ผู้เขียน หัวข้อ: วิปัสสนากรรมฐานแก้กรรม  (อ่าน 3056 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
วิปัสสนากรรมฐานแก้กรรม
« เมื่อ: 01 ส.ค. 2554, 07:48:41 »
วิปัสสนากรรมฐานแก้กรรม 1/4

พระธรรมสิงหบุราจารย์
________________________________________
   
      วันนี้จะเล่าเรื่องให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องการปฏิบัติเจริญวิปัสสนาแล้วสามารถแก้กรรมได้

   กล่าวถึงนายไกร  พัฒนทายาท  บ้านเดิมอยู่จังหวัดแพร่  เป็นลูกของมัคนายกวัด  สำเร็จการศึกษาแค่มัธยม ๖  ก็มาเข้างานที่สำนักงานไร่ยาสูบที่จังหวัดเพชรบูรณ์

   นายไกรเข้ามาทำงานโดยผู้จัดการคนก่อนรับไว้และช่วยเหลืออุปการะ ตั้งแต่เป็นเสมียนจนเลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าพัสดุ  ต่อมาเกิดมีการก่อสร้างโรงเรือนต่างๆ เพิ่มขึ้น         ผู้จัดการคนใหม่กับรองผู้จัดการไม่ถูกกันอย่างมากเลยทีเดียว

   นายไกรก็ทำบัญชีตะพึด  โกงหรือไม่โกงเขาไม่รู้         ผู้สอบบัญชีมาตรวจพบว่าผู้จัดการทุจริตในหน้าที่การก่อสร้าง เอาสิ่งของวัตถุก่อสร้างไปใช้ผิดประเภท

   ทางการก็สั่งพักงานผู้จัดการทันที  ข้างนายไกรก็กลุ้มอกกลุ้มใจเหลือเกิน  “เอ เราเป็นพยานจะต้องให้การ  อย่างไร ถ้าให้การไปตามจริง  เจ้านายจะติดคุก เราจะต้องติดร่างแหด้วย แต่ท่านก็เป็นเจ้านายเรานี่ แหม! พะอืดพะอมเหลือเกิน เราอุตส่าห์ตั้งใจทำงาน ตั้งแต่เป็นเสมียนจนเลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าพัสดุ เงินเดือนสูงขึ้น และลูกยังเล็กๆ ๓ คน  จะออกใหม่อีกคนเป็น ๔ คน ถ้าจะให้การตามจริงก็จะเป็นการแฉความผิดของผู้จัดการผู้มีพระคุณและเป็นเจ้านาย  ถ้าเราจะให้การโดยเล่ห์เพทุบายก็เป็นการโกงรัฐบาล” นายไกร    กลุ้มอกกลุ้มใจมาก

   ในที่สุดนายไกรก็ตัดสินใจตาย  บอกกับภรรยาและลูกเล็กๆ ว่าจะเข้ากรุงเทพฯนะ ก็เตรียมหีบเสื้อผ้า เตรียมยาไปเสร็จ ขึ้นรถยนต์ไปลงตะพานหิน ซื้อตั๋วรถไฟไปลงกรุงเทพฯ  แต่คงเป็นบุญวาสนาของเขา ก็เกิดร้อนอกร้อนใจลงเสียที่สถานีลพบุรี  ไม่ไปกรุงเทพฯ  แต่ได้บอกกับภรรยาไว้ว่าจะไปธุระราชการที่กรุงเทพฯ  ติดต่องานนิดหน่อยเท่านั้น  ด้วยความกลุ้มใจว่าตัวจะต้องโดนติดคุกด้วย  เสียอกเสียใจข้าวปลาไม่รับประทาน  มาลงที่สถานีลพบุรีเสร็จแล้วก็แบกหีบเทิ่งๆ ไป

   ตอนนั้นไฟฟ้าภูมิภาคไม่มีนะ  มีโรงไฟฟ้าเทศบาลอยู่ที่สวนสัตว์โน่น  ไปทางวัดไก่มีโรงไฟฟ้าของเทศบาล  สมัยเก่าไฟฟ้ายังไม่เข้า  เขาก็มีวิกอยู่ ๒ วิก  วิกนารายณ์กับวิกท่าขุนนาง  วิกท่าขุนนางเป็นวิกลิเก  วิกนารายณ์เป็นวิกหนัง  และนายไกรก็ไปพักโรงแรมทหารบก  ไฟฟ้าก็หรี่ตอนหัวค่ำ  แล้วก็นั่งเขียนหนังสือว่าจะกินยาตาย และก็ขอตายที่โรงแรมนี้  เขียนหนังสือว่าเขาเป็นใคร ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน  ทำไมต้องมากินยาตายที่นี่ด้วย ขอให้ทางโรงแรมได้รับทราบในเรื่องนี้ของเขาในค่ำคืนวันนั้น  แต่เขาก็ยังมีบุญอยู่  พอจะเอายาขึ้นมาจะดื่ม  ไฟฟ้าซึ่งริบหรี่อยู่เกิดสว่างพรึบขึ้นมาทันที  สว่างโล่งเลย ตกใจ! ยาหกไปหน่อยหนึ่งแล้วก็วางตั้งสติ  เขาเล่าให้ฟังอย่างนี้  ตั้งสติอารมณ์ใหม่ เอ! เมื่อตะกี้ไฟมันหรี่  มัน ๖ ทุ่มกว่า จะตี ๑ แล้ว หนังเลิกคนก็ใช้ไฟฟ้าน้อยลง  ไฟก็สว่างพรึบขึ้น

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 ส.ค. 2554, 07:49:21 โดย ทรงกลด »
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: วิปัสสนากรรมฐานแก้กรรม
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 01 ส.ค. 2554, 07:54:33 »
วิปัสสนากรรมฐานแก้กรรม 2/4

พระธรรมสิงหบุราจารย์
________________________________________


  นายไกรก็มาคิดว่า เอ! เราจะมากินยาตายคิดสั้นๆอย่างนี้หรือ?    พ่อเราก็เป็นมัคนายกวัด  อยู่จังหวัดแพร่  เป็นคนใจบุญสุนทาน  เราจะทำอย่างไรดี  คืนนั้นก็ไม่ได้นอนตลอดคืน  แล้วก็คิดตกลงใจว่า  อย่าเลย  เราจะไปหาที่สำนักวิปัสสนา  จะไปที่ไหนดี  ก็ตรึกตรองอยู่จนสว่าง  แล้วก็จ่ายค่าโรงแรมแบกหีบเสื้อผ้าเทิ่งๆ ไปกินกาแฟแก้วหนึ่งแก้หิว  ข้าวปลาไม่เอา  แบกหีบไปถึงท่าโพธิ์

      ตอนนั้นรถประจำทางไม่มีรถบัสหรอก  มีแต่รถคอกหมู  มีรถม้านั่ง  แล้วก็นั่งๆกัน ไปสิงห์บุรี-ลพบุรี  ก็ไม่ทราบว่าจุดหมายปลายทางจะไปที่ไหนประการใด  นายไกรก็แบกหีบ  พวกท้ายรถก็ช่วยแบกหีบ  ปากก็ร้องว่า สิงห์  สิงห์  สิงห์  แบกหีบขึ้นหลังคามัดไว้  ก็ใจลอยอยู่แล้วสติสตังไม่มีก็ขึ้นส่งไปเลย  เก็บบาทหนึ่ง  ลพบุรี-สิงห์ บาทหนึ่ง นี่สมัยนั้น ขึ้นไปแล้วทำอย่างไร  พวกกระเป๋ารถมาเก็บสตางค์ก็ถามไปไหน  นายไกรตอบ “ไม่รู้” “ไม่รู้ได้อย่างไร แล้วผมจะเก็บตังค์ถูกหรือ  ไปท่าวุ้งหรือลงไหน  สิงห์ก็แล้วกัน เก็บบาทหนึ่ง”  เสียตังค์ค่าโดยสารรถมาถึงตลาดปากบางที่จะเข้ามาวัดอัมพวัน ถึงบางงา รถเสีย  แก้ไม่ติด ทำอย่างไรก็ไม่ติด

   นายไกรก็ลงจากรถ  นั่งกอดอกอยู่ที่ร้านกาแฟ  มีร้านกาแฟอยู่ร้านเดียว  เดี๋ยวนี้เจริญแล้วที่บางงาตรงนี้เอง  นั่งกอดเข่าอยู่  เจ้าของร้านกาแฟถามว่า  “นี่คุณจะไปไหน”

   นายไกรตอบ “ไม่รู้ เอ! ไม่รู้จะไปไหน  เอาโอวัลตินมาถ้วยหนึ่งเถอะ”  พอดื่มโอวัลตินแล้วรถก็ยังไม่ติด  รถไม่ติดเลย  สักประเดี๋ยวก็เกิดสังหรณ์ใจขึ้นมา  บอกว่า “นี่กระเป๋าเอากระเป๋าผมลง  เดี๋ยวผมขอคุยกับแม่ค้าก่อน”

   แม่ค้าก็ถามว่า “คุณมาจากไหน”  นายไกรก็ไม่บอกและถามว่า “นี่แม่คุณเอ๋ย  วัดไหนมีสำนักกรรมฐานบ้าง  อยากให้พาไป”

     พอดีร้านกาแฟเขารู้จักอาตมา  บอกว่า “เอ้า เดี๋ยวจะพาไป เอา ๕ บาท”  แล้วผลสุดท้ายก็แบกหีบเสื้อผ้ามาให้  พอตกลง ๕ บาท  จ่ายเงินเลย  ต้องให้เงินก่อนไม่อย่างนั้นไม่พาไป  พอจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยรถติดเลย ไม่ได้เสียอะไรแล่นต่อไปได้

     อาตมาจำวัดอยู่ในโบสถ์  โบสถ์หลังเก่าไม่ใช่หลังนี้  เป็นป่าดงพงทึบเป็นป่าแฝก  ป่าหญ้าคาแน่นหมด  มีกุฏิพระกรรมฐานอยู่ ๓ หลัง  ที่แม่สะอิ้งสร้างไว้หลังแรก

   นายไกรมาพร้อมกับคนรับจ้างแบกหีบ  เขาส่งแค่  หน้าโบสถ์บอกว่า “กลับก่อนนะครับ”  แล้วเขาก็กลับ

   อาตมาก็ถามว่า “โยมมาจากไหนนี่”

   เขาไม่บอก  แต่บอกว่า “ผมชื่อนายบุญพัฒนา”  โกหกอาตมาว่าชื่อ นายบุญพัฒนา  มาจากไหนก็ไม่รู้

   อาตมารู้แล้ว  “เดี๋ยวไปอาบน้ำเสียก่อน จะมานั่งเจริญพระกรรมฐานใช่ไหม?”

   “ใช่”  และเขาก็ไปอาบน้ำอาบท่าแล้วก็จะมานั่ง

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: วิปัสสนากรรมฐานแก้กรรม
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 01 ส.ค. 2554, 08:01:00 »
วิปัสสนากรรมฐานแก้กรรม 3/4

พระธรรมสิงหบุราจารย์
________________________________________


อาตมาบอก “เดี๋ยวฟังโอวาทก่อน”  อาตมาก็ให้โอวาท  ไปตรงเรื่องเขาหมดเลย  ร้องห่มร้องไห้  อาตมาก็จับได้  “บอกเสียตรงๆนะ มีเรื่องอะไรในใจ”

     ก็เล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ  เล่าให้อาตมาฟัง  เรารู้เรื่องเขาหมดแล้วก็บอก “เอาอย่างนี้แล้วกัน อยู่ ๗ วัน รักษาศีล ๘  เดี๋ยวนี้”  อาตมาก็ให้พระกรรมฐาน  พอให้พระกรรมฐานเสร็จแล้ว  เดินจงกรม เอาเลย  ไม่ใช่ ๓๐ นาทีหรอก ต้อง ๑ ชั่วโมงนะ  เดิน ๑ ชั่วโมง  นั่ง ๑ ชั่วโมง  และให้ไปนั่งกับอาตมาในโบสถ์เพราะกุฏิมีอยู่ ๓ หลัง  ยังไม่มีพระมาอยู่ทางนี้  พระยังไม่ค่อยมีมาก  ก็ให้นั่งในโบสถ์  นั่งเสร็จแล้วก็ให้แผ่เมตตา  แผ่เมตตาถึงเจ้านาย

     นี่เล่าเรื่องหมดแล้ว  อาตมาก็สอนว่าจะต้องปักหลักสู้  และก็เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน  เราเป็นผู้มีกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ  จะให้การตามจริง เจ้านายก็จะติดคุก  จะให้การไม่จริงก็เป็นการโกงรัฐบาล  ข้าพเจ้าจะขอบวชเจริญวิปัสสนากรรมฐาน  แต่ไม่ได้บวชพระอย่างนี้  นุ่งขาวห่มขาวแล้วก็รับศีล ๘  แล้วนั่งเจริญพระกรรมฐานแผ่เมตตาออกไปให้กรรมการผู้สอบสวนและเจ้านาย ได้ทราบด้วยญาณวิถี  ขอให้ท่านมีความสุขความเจริญ และขอให้ผู้จัดการของข้าพเจ้ามีความสุข  ขอให้รองผู้จัดการที่หาเรื่องหาราวเป็นความจริงนั้น  ขอให้มีความสุขความเจริญ  แผ่เมตตา  ถ้าหากว่าข้าพเจ้าเจริญวิปัสสนากรรมฐานได้ครบถ้วนกระบวนการแล้ว ขอให้บุญกุศลจงช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด  ทำอย่างนี้ทุกวันเลย

   ครบวันที่ ๖ แล้ว  วันที่ ๗  เขาจะขอลากลับ  วันที่ ๖      เขาขอว่า “ข้าพเจ้าหาทางออกไม่ได้แล้ว มีทางเดียวคือตายอับอายขายหน้าเขาเหลือเกิน  ลูกก็ยังเล็กๆ  แบเบาะอยู่ก็มี  ขอให้บุญกุศลนี้ร้อนถึงเจ้านายของข้าพเจ้า  ณ บัดนี้  จงเห็นใจข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าจะให้การตามความจริงก็ไม่ได้เพราะท่านเป็นเจ้านายเป็นผู้มีพระคุณ ตัดสินใจอะไรไม่ได้แล้ว” 

   เป็นเรื่องที่แปลกมากที่เกิดจากการอุทิศส่วนกุศล  เพราะร้อนถึงเจ้านายทันที

   ในที่สุดเจ้านายที่กรุงเทพฯก็โทรเลขด่วนไปที่บ้าน  บอกว่าให้นายไกรไปพบโดยด่วนภายใน ๗ วัน ถ้าไม่ไปพบ ภายใน ๗ วันถือว่ามีความผิดคดีอาญาอย่างร้ายแรง  พอ ภรรยาทางบ้านทราบ  ก็ไม่รู้จะไปตามที่ไหน  ทราบแต่มากรุงเทพฯ  มาตามที่กรุงเทพฯ  ก็ไม่พบ

   เขามีลุงคนหนึ่ง  อาตมาก็จำชื่อเขาไม่ได้ เป็นลุงข้างภรรยา  เขาโทรศัพท์ตามบ้านญาติแล้วก็ไม่มี  ช่วยไปตามทีเถอะ  แต่ตาลุงก็เป็นนักวิปัสสนาเสียอีก  ก่อนที่จะเดินทางมาตามก็เดินจงกรม  นั่งวิปัสสนาและขออธิษฐานจิต  ให้กุศลบันดาลให้พบหลานเขยให้จงได้ ว่าแล้วก็เดินทางขึ้นรถไฟมาถึงลพบุรี  ก็ลงที่ลพบุรีอีกเห็นไหมนี่  ทำให้เกิดสังหรณ์ในใจ  ลงลพบุรีเลย  แบกหีบเสื้อผ้าเทิ่งๆไป  มีกระเป๋าเล็กๆ ใบหนึ่ง เสร็จแล้วก็เดินไปทางท่าโพธิ์  เที่ยวถามเขาเรื่อยๆไป  รถคันเดิมนั่นแหละ  สิงห์  สิงห์  สิงห์  ยกหีบตาลุงคนนี้ขึ้นรถไปเลย  ขึ้นรถไปถึงบางงารถเสียอีก  นี่เรื่องอัศจรรย์เล่าให้โยมฟัง

   ตาคนนี้ก็ลงมาร้านกาแฟร้านเดิม  รถก็ไม่ติด  ลงมาร้านกาแฟก็ถามเขาเรื่อยมา  แกบอกว่าสติบอก  สติพระกรรมฐาน เพราะตาคนนี้แกเจริญพระกรรมฐานตั้งแต่อยู่วัดบวชมา ๑๕ พรรษา  แล้วก็มานั่งร้านกาแฟ  และก็ถามร้านกาแฟว่าเมื่อ ๗ วันก่อนโน้น  มีคนมาแถวนี้บ้างไหม  รูปร่างอย่างนั้น  อ๋อ  มี  มี มี บอกเลย  มีหีบรูปร่างอย่างนั้นๆ เชียว อยากจะไปเจอหรืออย่างไร


ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: วิปัสสนากรรมฐานแก้กรรม
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 01 ส.ค. 2554, 08:05:21 »
วิปัสสนากรรมฐานแก้กรรม 4/4

พระธรรมสิงหบุราจารย์
________________________________________


รับจ้าง ๕ บาท  จากบางงามานี่รถไม่มี  และบางงา มาปากบางนี่ สะพานก็ไม่มี  ยังไม่ได้สร้างสะพาน  สร้าง สะพานไม้ขึ้น เมื่อสมัยจอมพล  ป.พิบูลสงคราม  และสมัยจอมพลถนอม  จึงจะเป็นสะพานคอนกรีต

   ผลสุดท้ายตาคนนี้ก็มาถึง พอตกลง ๕ บาท  ก็จ่ายเงินก่อน  ไม่อย่างนั้นไม่มาส่ง ร้านนั้นก็แน่เหมือนกัน  พอให้ ๕ บาทแล้ว รถติดเลย  ก็คันเดิมนั่นแหละเห็นไหม  พอมาถึง นายไกรน้ำตาร่วงเลย

   นายไกรน้ำตาร่วงนี่ไม่ได้เสียใจแต่ดีใจมาก  ก็มากราบและเล่าให้อาตมาทราบว่า  เจ้านายให้มาตามด่วนภายใน ๗ วันนี้ ถ้าไม่ไปพบมีคดี  ให้ไปพบให้ได้  นายไกรก็ได้นั่งเจริญพระกรรมฐานบอกเป็นความจริงแล้วที่เขาได้มานั่งเจริญวิปัสสนา  ๗ วัน  สามารถแก้กรรมของเขาได้สิ้นสุดอย่างแน่นอน มั่นใจเหลือเกิน

   แล้วก็กราบเรียนให้อาตมาทราบว่า  “หลวงพ่อครับ  ถ้าผมกลับไปงานการได้ดิบได้ดีเข้าอย่างรูปเดิมแล้วผมจะทอดกฐินทอดผ้าป่า ๗ วัด  และก็เลี้ยงเช้าเลี้ยงเพลพระ ๗ วัน  แล้วผมจะนิมนต์หลวงพ่อไป”  แล้วเขาก็ขอลาไปตลาดไปซื้อตะเกียงเจ้าพายุ  เมื่อก่อนไม่มีไฟฟ้าใช้  บอกว่ามาได้รับแสงสว่างที่นี่  แล้วก็ถวายไว้ ๑ ดวง  และเขาก็กลับไปกับตาลุงนั้น  ก็ได้ความออกมาว่า  เจ้านายสอบสวน  เห็นอกเห็นใจ  เลยให้นายไกรเข้าทำงานได้  แต่ผู้จัดการให้พักงานและย้าย

   นายไกรได้ทำงานตามเดิม  เพียงถูกตัดเงินเดือน ๒ ขั้นเท่านั้นเอง  นี่เห็นไหมแผ่เมตตาไปนี้  เจ้านายทราบหมดเลย  ไม่ต้องถามอะไรมากมาย  ทำให้เจ้านายเข้าใจนายไกรได้ดีมากด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน  และแผ่เมตตาหลังจากออกจากการเจริญพระกรรมฐานแล้ว  เป็นความจริง  เดี๋ยวนี้นายไกรยังมีชีวิตอยู่ด้วย  ลูกเล็กๆ แบเบาะได้ปริญญาไปหมดแล้ว

   นี่อาตมาเล่าเรื่องเก่าให้ฟังว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์  เขาไม่เคยรู้จักกับอาตมาเลยมาแต่เดิมที  หลังจากแม่สะอิ้งสร้างกุฏิพระกรรมฐานไว้ และเขาก็มาประเดิมใช้  เรื่องก็จบด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวมา

   เขาก็นิมนต์อาตมาไปเพชรบูรณ์  และก็ได้มีโอกาสไปนมัสการเจ้าคณะจังหวัดอยู่ที่วัดชนแดน  ซึ่งจอมพล ป.พิบูลสงคราม  นิมนต์ท่านไปเป็นเจ้าคณะจังหวัด  แล้วเจ้าคณะจังหวัดนั้นก็มรณภาพไปแล้ว  อาตมาไปค้างกับท่าน  บ้านนั้นเขาเลยเลี้ยงเพลเลี้ยงเช้า  ประชาชนมาคุยกับอาตมามากมาย  ว่านายไกรรอดตายได้อย่างไร  ผลสุดท้ายเจ้าคณะอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ มานั่งเจริญพระกรรมฐานที่วัดอัมพวันมากันเยอะทีเดียว  แล้วกลับไปสอนต่อไปจนทุกวันนี้

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html