ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องห้ามกินของร่วมกัน อยากรู้ไห้กระจ่าง  (อ่าน 3974 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sorrawit

  • ทุติยะ
  • **
  • กระทู้: 9
    • ดูรายละเอียด
1. กินน้ำร่วมกับเพื่อนได้ไหม

2. กินอาหารร่วมกับพี่น้องแท้ พ่อแม่ เป้นอะไรไหม

ออฟไลน์ GONGKUB

  • จตุตถะ
  • ****
  • กระทู้: 126
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
กินได้หมดอ่าครับ ไม่เปนไร

ออฟไลน์ sorrawit

  • ทุติยะ
  • **
  • กระทู้: 9
    • ดูรายละเอียด
แล้วถ้ากินเหล้า หล่ะครับ กินแก้วเดียวกัน น้ำลายเดียวกัน

จะขึ้นในวงไหม

มีคนเค้าเล่าให้ฟัง

ออฟไลน์ tiger3000

  • ฉัฏฐะ
  • *
  • กระทู้: 175
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
วัดบางพระไม่ได้ห้ามครับ กินได้หมดแหละครับ ยกเว้นน้ำเต้ากับมะเฟืองเท่านั้นห้ามกินครับ คนสมัยก่อนกินเหล้าขาวก็แก้วใบเดียวกินทั้งวงไม่เห็นเป็นไรเลย
ที่แน่นอนที่สุดคือ ห้ามด่าบุพการี ห้ามผิดลูกผิดเมียเขา สำคัญมากๆ

ออฟไลน์ tiger3000

  • ฉัฏฐะ
  • *
  • กระทู้: 175
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
อีกเรื่องนึงที่ว่ากินเหล้าแก้วเดียวกันแล้วของขึ้น ลองกินดูครับไม่ขึ้นหรอกครับ อย่าเชื่อคนอื่นมากจงเชื่อในตัวเอง
พระอาจารย์เคยบอกว่าของดีไม่ขึ้นโดยไม่มีเหตุผล(ไม่ขึ้นง่าย)

ออฟไลน์ sorrawit

  • ทุติยะ
  • **
  • กระทู้: 9
    • ดูรายละเอียด
ขอบคุณครับ อยากถามอีกอย่าง 1

คนเราถ้าของจะข้น ถ้าจิตแข็ง ยังไงก็ไม่ขึ้นหรอครับ

ออฟไลน์ ท่าจีน

  • ปัญจมะ
  • *****
  • กระทู้: 240
  • เพศ: ชาย
  • แต่ก็ มิได้นำพา .....
    • ดูรายละเอียด
คิดมาก คิดเล็ก คิดน้อย แระแวง โน่นนี่นั่น เดี๋ยวจะพาลเป็นบ้ากันพอดี
นะติตัง พญามะ นาคายะ อภินัง นาคา สาธุโนภันเต ยะมะ ยะมะ

ออฟไลน์ tookslot

  • ทุติยะ
  • **
  • กระทู้: 2
  • เพศ: หญิง
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ที่ว่าห้ามกิน น้ำเต้า มะเฟือง มันเป็นแบบไหนเหรอค่ะถ้าเราไม่รู้ว่าเขาแกงแล้วผสมน้ำเต้าไปด้วยนะค่ะ ส่วนมะเฟืองเรามองเห็นเราก็ไม่กิน

ออฟไลน์ umpawan

  • ก้นบาตร
  • *****
  • กระทู้: 3112
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์วัดบางพระ
    • ดูรายละเอียด
ข้อห้ามสำหรับคนสักยันต์
              ๑. ห้ามผิดลูกเมียเขา
              ๒. ห้ามด่าบุพการี
              ๓. ห้ามกิน น้ำเต้า มะเฟือง
              ๔. ห้ามลอดไม้ค้ำกล้วย สะพานหัวเดียว
              ๕. ให้ถือศีล ๕ อย่างเคร่งครัด ทำแต่กรรมดี
คัดลอกมาจาก หัวข้อสักยันต์ วัดบางพระครับ


ส่วนเรื่องของขึ้นผมว่าเป็นนานาจิตตัง เวลาขึ้นจริงๆจะรับรู้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจิตอ่อนจิตแข็งก็เป็นเหมือนกันหมด


และเรื่องแบบนี้ที่สงสัยต่างๆผมว่าอย่าให้ตึงมากมันจะขาดเสียก่อน และอย่าหย่อนมากจนไม่รักษาศีลทำแต่กรรมดีนะครับ ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจครับ อาจารย์ผมเคยบอกถ้าเอ็งคิดว่าของเอ็งเสื่อม ก็คือเสื่อม ถ้าเอ็งคิดว่าของเอ็งไม่เสื่อม ก็ไม่เสือม อย่าไปคิดมากกับเรื่องแบบนี้ มันจะทำให้การใช้ชีวิตของเราลำบากขึ้น แล้วเราจะสักมาเพื่ออะไรจริงไหมครับ  :054: :054: :054:

ออฟไลน์ nong-juk

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 62
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ไปซื้ออาหารทานตามร้าน ข้าว-น้ำซุป หม้อเดียวกันไหม ยึดมั่น ถือมั่น ไม่ตรอง ระวังสับสน

ออฟไลน์ sorrawit

  • ทุติยะ
  • **
  • กระทู้: 9
    • ดูรายละเอียด
ขอขอบคุณทุกความคิดเห็นครับ

ออฟไลน์ nga

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 9
    • ดูรายละเอียด
ข้อห้าม ที่ว่า ห้ามผิดลูก ผิดเมียเขา คือไม่ไปยุ่งกับเมียคนอื่น แต่ถ้าเราแต่งงานแล้ว ไปยุ่งกับสาวโสด หรือเที่ยวตามประสาผู้ชาย ข้อนี้ห้ามไหมครับ ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ก็ผิดต่อลูก ผิดต่อเมีย ของเรา

ออฟไลน์ nong-juk

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 62
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ข้อห้าม ที่ว่า ห้ามผิดลูก ผิดเมียเขา คือไม่ไปยุ่งกับเมียคนอื่น แต่ถ้าเราแต่งงานแล้ว ไปยุ่งกับสาวโสด หรือเที่ยวตามประสาผู้ชาย ข้อนี้ห้ามไหมครับ ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ก็ผิดต่อลูก ผิดต่อเมีย ของเรา
เรียกว่าเอาสีข้างเข้าถู ครับน้า

ออฟไลน์ tor.20

  • ..ลุงต้อ ศิษย์วัดบางพระ...
  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 616
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
เรียกว่าเอาสีข้างเข้าถู ครับน้า
ชอบประโยคนี้จัง 25; 25; 25;

ออฟไลน์ นักรบอาทมาต

  • เสือเย็น
  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 847
    • ดูรายละเอียด
ข้อห้าม ที่ว่า ห้ามผิดลูก ผิดเมียเขา คือไม่ไปยุ่งกับเมียคนอื่น แต่ถ้าเราแต่งงานแล้ว ไปยุ่งกับสาวโสด หรือเที่ยวตามประสาผู้ชาย ข้อนี้ห้ามไหมครับ ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่าย ก็ผิดต่อลูก ผิดต่อเมีย ของเรา

ศีลเขาแปลออกมาว่า......"ห้ามประพฤติผิดในกาม"

เขาหมายความไว้กว้างพอแล้ว เลี่ยงบาลีอย่างไรก็ไม่พ้น....

ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะมีถ้าไปมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันหล่ะผิดไหม


หรืิอพูดง่ายๆคือ คุณไปยุ่งกับสาวโสด คุณก็ไม่บอกเขาว่ามีเมียหรือก็ต้องโกหก บาปอีก

กับเมีย  ถ้าเมียคุณรู้หล่ะ  อย่างดีก็แค่ทำให้เขาเสียใจ แต่ถ้าเมียดุ โดนฟันหัวแบะแน่...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12 ต.ค. 2555, 11:21:52 โดย naklop1911 »
อันเสือครู  เสือดี  มีตบะ                       มีเดชะ   บารมี    ยามย่างกราย

พระอาจารย์ มอบให้ คุ้มครองกาย              ทุกข์ผ่อนคลาย แคล้วคลาด  สวัสดี

จาก....เสือเย็น

ออฟไลน์ nga

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 9
    • ดูรายละเอียด
หลายสำนัก จะเน้น 1.ห้ามผิดลูกเมียเขา 2.ห้ามด่าพ่อแม่ของตนและผู้อื่น ผมไม่ได้เลี่ยงวลีน่ะครับ ทั้งเขียน ทั้งคำที่อาจารย์บอก ก็จะบอกอย่างนี้จริงๆ ห้ามผิดลูกเมียคนอื่น ถ้าถือศิล 5 ได้ก็ดี แต่คนจะรักษาศิล 5 ได้บริสุทธิ์เชียวหรือ เพราะถ้าทำได้ก็ คือโสดาบัน ถ้าผิดศิล 5 แล้วเสื่อม ผมว่าอย่าไปสักให้เสียเนื้อเลยครับ  ถามตัวเองก็คงรู้ดีน่ะครับ ผมคิดถึงอะไรรู้ไหม ขุนแผนครับ หรือพวกขุนนางสมัยก่อน มีเมีย มีสนม ทาส สาวใช้เยอะแยะ แม้แต่แม่ทัพนายกอง ผมว่ารักษาไม่ได้หรอก จึงเห็นข้อห้ามของหลายสำนัก ใช้คำนี้แทบทั้งนั้น ห้ามผิดลูกเมียเขา เป็นเพียงข้อสังเกตน่ะครับ                           

ออฟไลน์ นักรบอาทมาต

  • เสือเย็น
  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 847
    • ดูรายละเอียด
หลายสำนัก จะเน้น 1.ห้ามผิดลูกเมียเขา 2.ห้ามด่าพ่อแม่ของตนและผู้อื่น ผมไม่ได้เลี่ยงวลีน่ะครับ ทั้งเขียน ทั้งคำที่อาจารย์บอก ก็จะบอกอย่างนี้จริงๆ ห้ามผิดลูกเมียคนอื่น ถ้าถือศิล 5 ได้ก็ดี แต่คนจะรักษาศิล 5 ได้บริสุทธิ์เชียวหรือ เพราะถ้าทำได้ก็ คือโสดาบัน ถ้าผิดศิล 5 แล้วเสื่อม ผมว่าอย่าไปสักให้เสียเนื้อเลยครับ  ถามตัวเองก็คงรู้ดีน่ะครับ ผมคิดถึงอะไรรู้ไหม ขุนแผนครับ หรือพวกขุนนางสมัยก่อน มีเมีย มีสนม ทาส สาวใช้เยอะแยะ แม้แต่แม่ทัพนายกอง ผมว่ารักษาไม่ได้หรอก จึงเห็นข้อห้ามของหลายสำนัก ใช้คำนี้แทบทั้งนั้น ห้ามผิดลูกเมียเขา เป็นเพียงข้อสังเกตน่ะครับ                          

ผมต้องออกตัวก่อนไม่ได้ยากเอาชนะนะครับ...

แต่นี่เว็ปฯวัดบางพระ  กฎข้อห้ามก็คงต้องพูดกัน ของที่นี่

เพราะฉะนั้น ศีล 5 ก็อยู่ในกฎข้อห้าม...

จะถือได้หรือไม่ได้ก็แล้วแต่บุคคลครับ ศีลแค่ 5 ข้อถือไม่ได้ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรถ้้าอยากสัก

พระสงฆ์ยังถือศีล 227 ข้อเลยครับ

เณรถือศีล 10

อุบาสถ-อุบาสิกา ถือศีล 8

ถือศีลแค่ 5 ข้อต้องเป็นระดัีบโสดาบันเลยหรือครับ....

อย่าเอาตัวเองเป็นตัวตั้งครับ...และคิดว่าคนอื่นก็เหมือนต

ศึกษาให้มากกว่านี้...แล้วจะรู้ว่า แม่ทัพฯ สมัยก่อนไม่จำเป็นต้องมีเมียมากทุกคน

ขุนแผนเป็นนิยายไม่ใช่เรื่องจริงนะครับ ศึกษาให้ดีก่อน

อย่ารู้ตื่นๆแล้วเอามาโพส  อายเขา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12 ต.ค. 2555, 08:45:16 โดย naklop1911 »

ออฟไลน์ nga

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 9
    • ดูรายละเอียด
ศิล 5 บริสุทธิ์ ถึงโสดาบันครับ

ออฟไลน์ นักรบอาทมาต

  • เสือเย็น
  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 847
    • ดูรายละเอียด
ข้อมูลจากเว็ปฯ พลังจิต

อารมณ์พระโสดาบัน
            อารมณ์พระโสดาบัน
            ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้ท่านทั้งหลายได้สมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ต่อไปนี้ขอได้โปรดฟังคำแนะนำ อารมณ์ของพระโสดาบัน
            สำหรับวันนี้จะได้พูดถึงอารมณ์ของท่านที่ทรงความเป็นพระโสดาบัน ท่านทั้งหลายจะได้ทราบไว้ว่า คนที่เป็นพระโสดาบันแล้วมีอารมณ์เป็นยังไง ส่วนใหญ่คนทั้งหลายมักจะมีความรู้สึกว่า คนที่เข้ามาเจริญพระกรรมฐาน หรือสมถภาวนา หรือ วิปัสสนาญาณ และเริ่มเข้ามาเจริญแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องตัดหมดนั้นเป็นความรู้สึกผิดของท่านผู้มีความคิดอย่างนั้น
            ความจริงการเจริญพระสมณธรรมมีอารมณ์เป็นขั้น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านที่ทรงจิตเป็น ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิหรือ อัปปนาสมาธิ สำหรับอัปปนาสมาธินี้หมายถึงอารมณ์ฌาน ตั้งแต่ฌานที่ 1 ถึงฌานที่ 8 อารมณ์ประเภทนี้จะระงับได้เพียงนิวรณ์ 5 ประการ แต่ก็เป็นเพียงระงับเท่านั้นไม่ใช่ตัด ถ้ายังมีความประมาทจิตคิดชั่ว ฌานก็สลายตัว เป็นอันว่าผู้ทรงฌานโดยเฉพาะอย่างยิ่งฌานโลกีย์ ยังไม่มีความหมาย ในการเจริญสมณธรรมในพระพุทธศาสนา ถึงแม้ว่าท่านผู้นั้นจะได้มโนมยิทธิก็ดี ได้อภิญญา 5 ในอภิญญา 6 ก็ดี ได้ 2 ในวิชชาสามก็ดี ก็ยังไม่มีความหมายในการตัดอบายภูมิ ท่านที่จะตัดอบายภูมิได้จริง ๆ ก็คือ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป
            คำว่า พระโสดาบัน แปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน
            ฉะนั้นพระโสดาบันก็ยังตัดอะไรไม่ได้หมด เป็นแต่เพียงว่ามีอารมณ์ชนะสังโยชน์ 3 ประการเบื้องต้น แต่เพียงอย่างอยาบเท่านั้น อารมณ์ชนะสังโยชน์ 3 ประการเบื้องต้นก็คือ             1. สักกายทิฏฐิ ที่มีความรู้สึกว่าสภาพร่างกายหรือว่าขันธ์ 5 เป็นเรา เป็นของเรา เรามีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 มีในเรา เฉพาะอย่างยิ่งในด้านสักกายทิฏฐินี้ พระโสดาบันลดลงมาได้เพียงเล็กน้อย ยังมีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเราอยู่ แต่ทว่ามีอารมณ์ไม่ประมาท มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ที่ท่านกล่าวว่าบรรดาพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี เป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิเล็กน้อย คำว่าสมาธิเล็กน้อย คือ อารมณ์สมาธิของท่านผู้เจริญฌานสมาบัติ มีอารมณ์ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป ยังไม่ถึงฌาน 4 ก็สามารถจะเป็นพระโสดาบันได้
            สำหรับที่ว่ามีปัญญาเล็กน้อย ก็เพราะว่ายังไม่สามารถตัดขันธ์ 5 ได้เด็ดขาดด้วยกำลังของจิต ยังมีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา แต่ทว่าความรู้สึกของท่านมีความดีอยู่หน่อยหนึ่งว่าเราจะต้องตาย ยังไง ๆ ก็ต้องตายแน่ เหมือนกับที่เปสการีมีอารมณ์คิดถึงคำสั่งสอนของสมเด็จพระธรรมสามิสร ที่ทรงตรัสว่า
            ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ท่านทั้งหลายจงอย่ามีความประมาทในการสร้างความดี
            นี่ความรู้สึกของพระโสดาบันในด้านสักกายทิฏฐิ มีอยู่จุดนี้เข้าใจไว้ด้วย มีคนพูดกันว่าถ้าเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน จะต้องสามารถระงับทุกขเวทนาได้หมด ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ร้อน ไม่หนาว นี่ไม่ใช่ความจริง ร่างกายยังมีความรู้สึก ร่างกายยังมีมีจิตเป็นเครื่องรักษา ร่างกายยังมีวิญญาณรู้การสัมผัส ถึงแม้ว่าพระอรหันต์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดีก็ยังรู้สึก รู้สึกเจ็บ รู้สึกปวดเหมือนกัน
            นี่ว่ากันถึงอารมณ์ของพระโสดาบัน เมื่อจิตเข้าถึงพระโสดาบันแล้ว มีความไม่ประมาทในชีวิต มีความรู้สึกเสมอว่าเราจะต้องแก่ เราจะต้องตาย แล้วก็ขึ้นชื่อว่าความตายนี้ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย ไม่ใช่ว่าจะไปกำหนดอายุการตายว่าต้องตายเท่านั้นเท่านี้ จะตายตั้งแต่ความเป็นเด็ก หรือ ความเป็นหนุ่มเป็นสาว ความเป็นคนแก่ อาการที่จะตาย อาจจะด้วยโรคภัยไข้เจ็บ อาจจะตายด้วยอุบัติเหตุ หรือตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายเที่ยง ตายกลางคืน ตายดึก ตายหัวค่ำก็เอาแน่นอนไม่ได้
            ฉะนั้น พระโสดาบันจึงไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าถ้าเราจะตายก็เชิญ แต่เราจะตายอยู่กับความดี อารมณ์ของพระโสดาบันที่จะคัดค้านคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินศรีนั้นไม่มี คือว่าเป็นคนไม่สงสัยในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่เป็นอันดับที่ 2 ที่เรียกว่า วิจิกิจฉา พระโสดาบันตัดสังโยชน์ตัวที่ 2 ได้ คือ ความสงสัย ที่เรียกว่า วิจิกิจฉา ขึ้นชื่อว่าความสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีในพระโสดาบัน เกิดขึ้นด้วยกำลังของปัญญา ที่พิจารณาหาความจริงว่า
            พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข
            และอันดับ 3 สีลัพพตปรามาส พระโสดาบันย่อมทรงศีลบริสุทธิ์ตามฐานะของตัว คำว่า ฐานะของตัวก็หมายความว่า ถ้าเป็นฆราวาสก็มีศีล 5 เป็นปกติ มีศีล 5 บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา ไม่มีเจตนาในการทำลายศีล รักษาศีลบริสุทธิ์ ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุให้บุคคลอื่นทำลายศีล แล้วก็ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว เป็นอันว่าพระโสดาบันเป็นผู้มีความทรงอารมณ์อยู่ในศีลเป็นสำคัญ หนักหน่วงในเรื่องของศีล ยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด
            ที่กล่าวมานี้หมายความว่า สังโยชน์ 3 ประการนี่ พระโสดาบันปฏิบัติมีจิตเข้าถึงตามนี้ นี่ก็พูดกันไปว่าก่อนที่จะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันจากโลกียะเป็นโลกุตตระ ตอนนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกว่า โคตรภูญาณ ขณะเมื่ออารมณ์จิตของท่านผู้ปฏิบัติเข้าถึงโคตรภูญาณ
            คำว่าโคตรภูญาณ นี่ก็หมายความว่า จิตของท่านผู้นั้น ยังอยู่ในระหว่างโลกียะกับโลกุตตระ
            แต่ทว่าอารมณ์ตอนนี้จะไม่ขังอยู่นาน บางท่านจิตจะทรงอยู่เพียงแค่ชั่วโมงหนึ่ง หรือไม่ถึงชั่วโมง และบางท่านก็อยู่ถึงอาทิตย์สองอาทิตย์ถึงเป็นเดือนก็มี สุดแล้วแต่ความเข้มแข็งของจิต ในช่วงที่จิตเข้าถึงโคตรภูญาณ ท่านกล่าวว่า ในขณะนั้นอารมณ์จิตของนักปฏิบัติ จะมีความรักพระนิพพานอย่างยิ่ง คือมีความรู้สึกอยู่เสมอว่ามนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ไม่เป็นแดนแห่งความสุข ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์ มันก็ทุกข์ตลอดเวลา ถ้าเกิดเป็นเทวดาก็พักทุกข์ชั่วคราว หรือ พรหมก็เช่นเดียวกัน ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีแล้วก็จะต้องจากเทวดา จากพรหมมาเกิดเป็นคนบ้าง บางรายก็เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอันว่าเขตทั้ง 3 จุด ไม่มีความหมายสำหรับใจ
            จิตใจของท่านที่มีอารมณ์เข้าถึงโคตรภูญาณ ใจมีความต้องการอย่างเดียวคือ พระนิพพานเป็นปกติ
            แต่ทว่าพอจิตพ้นจากโคตรภูญาณไปแล้ว ก้าวเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบันเต็มที่ ที่เรียกว่า โสดาปัตติผล ตอนนี้อารมณ์จิตของท่านละเอียดขึ้นมานิดหนึ่ง นอกจากจะรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วก็มีความรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันเป็นของธรรมดา
            การนินทาว่าร้ายที่จะปรากฏขึ้นกับบุคคลผู้ใดกล่าวถึงเรา จิตดวงนี้มีความรู้สึกว่า ธรรมดาของคนที่เกิดมาในโลกมันเป็นอย่างนี้ ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเกิดขึ้น มีความรู้สึกหนักไปในด้านของธรรมดา แต่ทว่าธรรมดาของพระโสดาบัน ยังอ่อนกว่า ธรรมดาของพระอรหันต์มาก
            ฉะนั้น ท่านที่เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน จึงยังมีความรักในระหว่างเพศ ยังมีการแต่งงาน ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ท่านกล่าวไว้แล้วว่า พระโสดาบันมีสมาธิเล็กน้อย และก็มีปัญญาเล็กน้อย หากว่าท่านทั้งหลายจะถามว่า ถ้าคนยังมีความรักในเพศ ยังมีการแต่งงาน ยังมีการอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลงก็ดูเหมือนว่าพระโสดาบันก็คือ ชาวบ้านธรรมดา
            แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ความรักในระหว่างเพศก็ดี ความอยากรวยก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี ของพระโสดาบันอยู่ในขอบเขตของศีล เรารักในรูปโฉมโนมพรรณ มีการแต่งงานกันได้ระหว่างสามีภรรยาของตนเอง ยอมเคารพในสิทธิซึ่งกันและกัน จะนอกใจสามีและภรรยา ขึ้นชื่อว่า กาเมสุมิจฉาจาร จะไม่มีสำหรับพระโสดาบัน จะทำให้ครอบครัวนั้นมีอารมณ์เป็นสุข
            และประการที่ 2 พระโสดาบันยังมีความโกรธ ท่านโกรธจริง พูดเป็นที่ไม่ถูกใจท่านก็โกรธ ทำให้ไม่เป็นที่ไม่ถูกใจท่านก็โกรธ แต่ทว่าพระโสดาบันมีแต่อารมณ์โกรธ ไม่ประทุษร้ายให้เขามีการบาดเจ็บ และไม่ฆ่าคนหรือสัตว์ที่ทำให้ตนโกรธ ให้ถึงแก่ความตาย เป็นอันว่าความโกรธหรือความพยาบาทของท่าน อยู่ในขอบเขตของศีล จิตโกรธแต่ว่าไม่ทำร้าย คือ แตกต่างกับคนธรรมดาตรงนี้
            สำหรับด้านความหลงของพระโสดาบัน ที่ขึ้นชื่อว่าหลง เพราะยังมีความรักในเพศ ยังมีความอยากรวย เมื่อสักครู่นี้ข้ามคำว่าอยากรวยไป การอยากรวยของพระโสดาบัน คือ ต้องการความรวยในด้านสุจริตธรรมเท่านั้น เรียกว่า การทุจริตคิดร้ายคดโกงบุคคลอื่นใด ไม่มีในอารมณ์จิตของพระโสดาบัน ประกอบอาชีพด้วยความสุจริต เพราะอาศัยยังรักในความสวยสดงดงาม คือ รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่าเพศยังมีอยู่ ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง เพราะว่ายังคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ยังมีของสวยของงาม การถือตัวถือตนแบบนี้ จึงเชื่อว่ายังมีความหลง แต่ความหลงของพระโสดาบันนั้น ไม่สามารถจะนำบุคลผู้นั้น ในเวลาแล้วไปสู่อบายได้
            จุดนี้ขอบรรดาท่านทั้งหลายผู้รับฟัง จงจำไว้ว่า ความจริงอารมณ์ของพระโสดาบันนั้น ไม่แตกต่างกับชาวบ้านธรรมดาเท่าไรนัก ชาวบ้านธรรมดา ยังมีความรักในเพศ ยังมีสามี ภรรยา แต่ทว่ายังมีการนอกใจภรรยา สำหรับพระโสดาบันไม่มี ชาวบ้านอยากรวยก็ยังมีการคบคิดกันคดโกง การโกงมีการยื้อแย่งฉกชิงวิ่งราวดูทรัพย์ สำหรับพระโสดาบันนี่ ถ้าต้องการรวยก็รวยด้วยการสุจริต หากินด้วยความชอบธรรม ต่างกันตรงนี้
            พระโสดาบันยังมีความโกรธ ชาวบ้านโกรธแล้วก็ปรารถนาจะประทุษร้าย ถ้ามีโอกาสก็ประทุษร้ายบุคคลที่เราโกรธ ถ้าสามารถจะฆ่าได้ก็ฆ่า สำหรับพระโสดาบันมีแต่ความโกรธ การประทุษร้ายไม่มี การฆ่าการประหารไม่มี นี่ต่างกันกับชาวบ้าน
            พระโสดาบันยังมีความหลง ตามที่ได้กล่าวมาด้วยอาการที่ผ่านมาแล้ว แต่ทว่าพระโสดาบันก็ไม่ลืมคิดว่า เราจะต้องตาย เมื่อเราตายแล้ว เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ตอนนี้พระโสดาบันไม่เสียใจ ไม่เสียดาย ถือว่าถ้าตายเราจะมีความสุข นี่ขอท่านทั้งหลายจำอาการอารมณ์จิตที่เข้าถึงพระโสดาบันไว้ด้วย
            ตอนนี้จะขอพูดอีกนิดหนึ่งถึงอารมณ์ความจริงของพระโสดาบัน ที่เรียกกันว่า องค์ของพระโสดาบัน
            คำว่า องค์ ก็ได้แก่ อารมณ์จิตที่ทรงไว้อย่างนั้นอย่างแนบแน่นสนิท นั่นก็คือ
            1.พระโสดาบันมีความเคารพในพระพุทธเจ้าอย่างจริงใจ ไม่คลายในความเคารพในพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะมีเหตุผลใด ๆ เกิดขึ้น ใครจะมาจ้างให้รางวัลมาก ๆ ให้กล่าวว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระธรรมไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์ แม้แต่พูดเล่นพระโสดาบันก็ไม่พูด ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าท่านมีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระอริยสงฆ์อย่างจริงใจ แต่ทว่าระวังให้ดี ถ้าพระสงฆ์เลว พระโสดาบันไม่ใส่ข้าวให้กิน
            ตัวอย่าง ภิกษุโกสัมพี มีความประพฤติชั่ว ตอนนั้นฆราวาสที่เป็นพระอริยเจ้านับหมื่น ไม่ยอมใส่ข้าวให้กิน เพราะถือว่าเป็นโจรปล้นพระพุทธศาสนา เป็นผู้ทำลายความดี ไม่ใช่ว่าเป็นพระอริยเจ้าแล้วละก็ จะเมตตาไปเสียทุกอย่าง ท่านเมตตาแต่คนดีหรือว่าบุคคลผู้ใดมีความประพฤติชั่วท่าน แนะนำแล้วสามารถจะกลับตัวได้ พระโสดาบันก็เมตตา ถ้าเขาชั่วแนะนำแล้วไม่สามารถจะกลับตัวได้ พระโสดาบันก็ทรงอุเบกขา คือ เฉยไม่สงเคราะห์ โปรดจำอารมณ์ตอนนี้ไว้ให้ดี
            2. ในประการต่อไป พระโสดาบันมีศีลบริสุทธิ์ ขอพูดย่อให้สั้น เพราะองค์ของพระโสดาบันก็คือ
            (1) มีความเคารพในพระพุทธเจ้า
            (2) มีความเคารพในพระธรรม
            (3) มีความเคารพในพระอริยสงฆ์
            นี่จัดเป็นองค์ที่มี 3 ประการ
            (4) และสิ่งที่จะแถมขึ้นมาก็คือรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ทำทุกสิ่งทุกอย่างไม่หวังผลตอบแทน ไม่หวังความดีมีชื่อเสียงในชาติปัจจุบัน มีความรู้สึกต้องการอยู่อย่างเดียวว่าเราทำความดีทุกอย่างเพื่อพระนิพพานเท่านั้น อารมณ์จิตตอนนี้ขอบรรดาท่าพุทธบริษัทภิกษุ สามเณรทุกท่านต้องจำไว้ จงอย่าไปคิดว่าพระโสดาบันเลอเลิศไปถึงอารมณ์อรหันต์โดยมากมักจะคิดว่าอารมณ์ของพระอรหันต์เป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน ก็เลยทำกันไม่ถึง นี่เป็นการคิดผิด ความจริงการเป็นพระโสดาบันเป็นง่าย มีอารมณ์ไม่หนักที่หนักจริง ๆ ก็ คือ ศีลอย่างเดียว
            ต่อไปนี้ขอพูดถึงอาการของพระโสดาบันที่จะพึงได้ พระโสดาบันจัดเป็น 3 ขั้น คือ
            1.สัตตักขัตตุง สำหรับที่ท่านเป็นพระโสดาบันมีอารมณ์ยังอ่อน จะต้องเกิดและตายในระหว่างเทวดาหรือพรหมกับมนุษย์อีกอย่างละ 7 ชาติ เป็นมนุษย์ชาติที่ 7 และเข้าถึงความเป็นอรหัตผล
            2. ถ้ามีอารมณ์เข้มแข็งปานกลาง ที่เรียกกันว่า โกลังโกละ อย่างนี้จะทรงความเป็นเทวดาหรือมนุษย์อีกอย่างละ 3 ชาติครบเป็นมนุษย์ชาติที่ 3 เป็นพระอรหันต์
            3.สำหรับพระโสดาบันที่มีอารมณ์เข้มแข็งเรียกว่า เอกพิชี นั่นก็จะเกิดเป็นเทวดาอีกครั้งเดียว มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็เป็นพระอรหันต์

            4.ที่พูดตามนี้ หมายความว่า ท่านผู้นั้นเมื่อเป็นพระโสดาบันแล้วเกิดใหม่ไม่ได้พบพระพุทธศาสนา จะต้องฝึกฝนตนเองอยู่เสมอทุกชาติ แต่ว่าความเป็นมิจฉาทิฏฐิในชาติต่อ ๆไป จะไม่มีแก่พระโสดาบัน เพราะว่า พระโสดาบันไม่มีสิทธิที่จะไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน จะเกิดได้แค่ช่วงแห่งความเป็นมนุษย์กับเทวดาหรือพรหมสลับกันเท่านั้น
            เป็นอันว่าพระโสดาบันนี่ ถ้าท่านทั้งหลายพิจารณาให้ดีแล้ว ก็มีความรู้สึกว่าเป็นของไม่ยาก
            หากว่าท่านจะถามว่า พระโสดาบันทั้งสัตตักขัตตุง โกลังโกละ และเอกพีชี มีอารมณ์ต่างกันอย่างไร
            ก็จะขอตอบว่า พระโสดาบันขั้นสัตตักขัตตุง มีจริยาคล้ายชาวบ้านธรรมดามาก ยังมีอารมณ์รุนแรงในความรัก ยังมีอารมณ์รุนแรงในความโลภ ในความโกรธ ในความหลง แต่ทว่าเป็นผู้มั่นคงในศีล ไม่ละเมิด
            สำหรับพระโสดาบันขั้นโกลังโกละ ขั้นโกลังโกละนี้มีอารมณ์เยือกเย็นมาก หรือว่ามีความมั่นในคุณพระรัตนตรัย มีศีลมั่นคงมาก ความจริงเรื่องศีลนี่มั่นคงเหมือนกัน แต่ว่าจิตท่านเบาบางในด้านความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความคำนึงถึงอารมณ์อย่างนี้มีอยู่แต่ก็น้อย ถ้ามีคู่ครองเขาจะโทษว่า กามคุณท่านจะลดหย่อนลงไป ความสนใจในเพศ ความสนใจในความโลภ อารมณ์แห่งความโกรธ อารมณ์แห่งความหลงมันเบา กระทบไม่ค่อยจะมีความรู้สึก
            สำหรับพระโสดาบันขั้นเอกพีชี ในตอนนี้อารมณ์ของท่านผู้นั้น จะมีอารมณ์ธรรมดาอยู่มาก ขอท่านทั้งหลายโปรดอย่าลืมว่า พระอริยเจ้าจะเป็นฆราวาสก็ดี จะเป็นพระก็ดี จะเป็นเณรก็ดี จะเป็นคนมีจิตละเอียด ไม่ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา และไม่ขัดคำสั่ง ไม่ฝ่าฝืนกฎระเบียบวินัยและกฏหมาย อันนี้เป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน ที่ท่านทั้งหลายจะพึงทราบ
            สำหรับเอกพิชีนี่ ความจริงมีอาการจิตใจใกล้พระสกิทาคามี แต่ทว่าสิ่งที่จะระงับไว้ได้นั้น กดด้วยกำลังของศีล มีความรู้สึกว่าเราจะต้องประคับประคองศีลของเราให้แจ่มใสอยู่เสมอ มองดูความรักในระหว่าเพศ หรือว่าความร่ำรวย หรือว่าความโกรธ หรือหลงในระหว่างเพศ หลงในสภาวะต่าง ๆ เห็นว่าเป็นของไร้สาระ มีอารมณ์เบาในความปรารถนาในสิ่งนั้น ๆ แต่ทว่าก็ยังมีความปรารถนาอยู่
            เอาละ บรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครู เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ วันนี้คงไม่ได้อารมณ์แห่งการปฏิบัติ แต่ทว่าอารมณ์แห่งการปฏิบัติ ในความเป็นพระโสดาบันท่านฟังกันมาแล้วสองคืน ผมเองมีความรู้สึกว่า ท่านทั้งหลายคงจะรู้สึกว่าง่ายสำหรับท่าน แต่ถ้าหากว่าเห็นว่าอารมณ์ของพระโสดาบันยากนี่ ถ้าเป็นพระเป็นเณร ผมไม่ถือว่าเป็นพระเป็นเณร ผมถือว่าเป็นเถน เถนในที่นี้หมายความว่ามี สระเอ นำหน้า มีถอถุง และ นอหนู เขาแปลว่าหัวขโมย คือ ขโมยเอาเพศของพระอริยเจ้ามาหลอกลวงชาวบ้าน ตามปกติพระกับเณรนี่ต้องทรงศีลบริสุทธิ์อยู่แล้ว
            เอาละ พุดไปเวลามันเกินไป 1 นาที ก็ขอพอไว้แต่เพียงนี้ หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะเข้าใจ ต่อแต่นี้ไปขอท่านทั้งหลายตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น จะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม นั่งก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นอนก็ได้ตามอัธยาศัย ทรงกำลังใจควบคุมความเป็นพระโสดาบันของท่านไว้ จนกว่าจะถึงเวลาที่ท่านเห็นว่าสมควร สวัสดี


ไม่มีตรงไหนบอกแค่ศีล5บริสุทธิ์ ก็ได้โสดาบัน

เป็นเพียงส่วนประกอบ...

ถ้าง่ายขนาดนั้น เขาจะพิมพ์อะไร ที่ยืดยาวขนาดนี้...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12 ต.ค. 2555, 10:47:50 โดย naklop1911 »

ออฟไลน์ nga

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 9
    • ดูรายละเอียด
และอันดับ 3 สีลัพพตปรามาส พระโสดาบันย่อมทรงศีลบริสุทธิ์ตามฐานะของตัว คำว่า ฐานะของตัวก็หมายความว่า ถ้าเป็นฆราวาสก็มีศีล 5 เป็นปกติ มีศีล 5 บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา ไม่มีเจตนาในการทำลายศีล รักษาศีลบริสุทธิ์ ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุให้บุคคลอื่นทำลายศีล แล้วก็ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว เป็นอันว่าพระโสดาบันเป็นผู้มีความทรงอารมณ์อยู่ในศีลเป็นสำคัญ หนักหน่วงในเรื่องของศีล ยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด

Copy จากข้างบนมาให้อ่านครับ


ออฟไลน์ assis.aod

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 222
  • เพศ: ชาย
  • ลูกบางพระ
    • ดูรายละเอียด
1. กินน้ำร่วมกับเพื่อนได้ไหม

2. กินอาหารร่วมกับพี่น้องแท้ พ่อแม่ เป้นอะไรไหม

ผมชอบกินน้ำ กินอาหาร ร่วมกับสาวๆอ่ะครับ happy happy  :005: :005: :005:
ไม่ตึงและไม่หย่อนจนเกิน ดำเนินชีวิตให้เป็นปกติสุข  แต่ที่ไม่ควรล่วงเกินคือลูกเขา เมียใคร
ไม่ลบหลู่ล่วงเกิน พ่อ แม่ ครู อาจารย์ ของเรา ของเขา

ออฟไลน์ นักรบอาทมาต

  • เสือเย็น
  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 847
    • ดูรายละเอียด
และอันดับ 3 สีลัพพตปรามาส พระโสดาบันย่อมทรงศีลบริสุทธิ์ตามฐานะของตัว คำว่า ฐานะของตัวก็หมายความว่า ถ้าเป็นฆราวาสก็มีศีล 5 เป็นปกติ มีศีล 5 บริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา ไม่มีเจตนาในการทำลายศีล รักษาศีลบริสุทธิ์ ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุให้บุคคลอื่นทำลายศีล แล้วก็ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว เป็นอันว่าพระโสดาบันเป็นผู้มีความทรงอารมณ์อยู่ในศีลเป็นสำคัญ หนักหน่วงในเรื่องของศีล ยอมตัวตายดีกว่าศีลขาด

Copy จากข้างบนมาให้อ่านครับ



อ่านแล้วครับ นั่นเป็นเพียงให้มีอารมณ์นั้นไว้ทุกขณะจิต

แต่ไม่ได้เป็นเพียงเท่านั้น...นี่ครับ...

เป็นเพียงอารมณ์ที่โสดาบันควรต้องมี 1 ใน 3

แล้วทำไมไม่ก๊อปปี้ต่อมาอีกหล่ะครับ

ที่กล่าวมานี้หมายความว่า สังโยชน์ 3 ประการนี่ พระโสดาบันปฏิบัติมีจิตเข้าถึงตามนี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12 ต.ค. 2555, 11:04:56 โดย naklop1911 »

ออฟไลน์ nga

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 9
    • ดูรายละเอียด
ที่ copy มาแค่ส่วนนี้เพราะอธิบายคำว่า ปฏิบัติ ศิล5 ให้บริสุทธิ์ได้ดีมากครับ ถ้าปฏิบัติได้ตามนี้ อารมย์ของพระโสดาบัน ก็จะเกิดตามมา อย่างที่ท่านบรรยายไว้นั่นแหละครับ พระอรหันต์หลายองค์เทศนาอย่างนี้จริงๆ ยกตัวอย่างหลวงปู่หล้า เขมปัตโต ก็กล่าวเช่นนี้จริงๆ รักษาศิลห้าให้บริสุทธิ์ นี่คือธรรมะในระดับโสดาบันครับ ถ้าไม่เชื่อลองปฏิบัติดูสิครับ อนุโมทนาบุญด้วยน่ะครับ