ตามนี้ครับ
"ปลัดขิก" เครื่องรางศิลปะอีโรติก
ความเชื่อ ความกลัว และเพศ เป็นสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ จากสัญชาตญาณสามสิ่งนี้ทำให้ท่านไม้ที่ดูแสนจะธรรมดาท่อนหนึ่ง เมื่อผ่านการแกะ เหลา ขัดเกลา สร้างส่วนโค้งเว้า ด้วยอารมณ์และแรงขับตามธรรมชาติ ให้เป็นรูปลักษณ์ของอวัยวะเพศชาย แล้วไม้ธรรมดานี้เมื่อได้ผ่านกระบวนการปลุกเสก ลงคาถาอาคม อักขระเลขยันต์จากเกจิอาจารย์ชื่อดัง ท่อนไม้นี้จึงไม่ธรรมดาอีกต่อไป เพราะมันคือ "ปลัดขิก"
ปลัดขิกถือเป็นหนึ่งในเครื่องรางของขลังที่คนไทยมีติดตัวไว้ จนมีการท่องไล่เลียง "ของดี" หรือของสุดยอดของเครื่องรางที่คู่ควรสะสมไว้ว่า "ปลัดขิกหลวงพ่อเหลือ เสือหลวงพ่อป่าน หนุมานหลวงพ่อซุ่น วัวปั้นหุ่นวัดศรีษะทอง เบี้ยแก้กันของวัดนายโรง ตะกรุดทองหลวงปู่เอี่ยมวัดสะพานสูง"
ตามเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมา ปลัดขิกน่าจะมีรากเหง้าความเชื่อมาจากอิทธิพลของอินเดียตะวันออกเฉียงใต้ ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1 ซึ่งชาวฮินดูมีการนับถือแท่งหินที่แกะสลับเป็นรูปร่างของอวัยวะเพศชายตั้งอยู่บนฐานโยนี เป็นเครื่องหมายแทนองค์พระศิวะหรือพระอิศวร ในลัทธิไศวนิกาย อันเป็นตัวแทนของธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และเป็นบิดา มารดาของทุกสิ่งในจักรวาล
สำหรับปลัดขิกในประเทศไทยแล้ว ไม่แน่ว่ามีความเป็นมาตั้งแต่สมัยใดแน่ แต่ต่างจากการนับถือศิวลึงค์ของชาวฮินดู เพราะปลัดขิกของคนไทยถูกสร้างและปลุกเสกจากผู้ที่มีวิชาความรู้ทางด้านอาคม และชาวไทยสมัยโบราณนิยมห้อยปลัดขิกไว้ที่เอวหรือคอของเด็ก แทบจะทุกคน
ที่ผ่านมาในยุคสมัยหนึ่งเด็กผู้ชายไทยมักมีปลัดขิกผูกติดตัวไว้เป็นเครื่องรางของขลัง เพื่อป้องกันงูเงี้ยวเขี้ยวขอ ตามความเชื่อที่ผู้ใหญ่บอกไว้อย่างนั้นและก็มีบางส่วนโดยเฉพาะคนทำมาค้าขายก็เชื่อว่า ปลัดขิกช่วยให้เกิดการซื้อง่าย ขายคล่องของขายดีมีกำไร
วัฒนชัย มุตตามระ เซียนพระจากจังหวัดชลบุรี อายุ 49 ปี กล่าวว่า พ่อแม่ผูกปลัดขิกใส่เอวให้เขา จนกระทั่งทุกวันนี้เขายังคงมีเครื่องรางนี้ติดตัวอยู่
"ผมเชื่อในเรื่องของพุทธคุณ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับจิตใจเราด้วย ส่วนตัวผมก็เชื่อในตัวหลวงพ่อท่านเป็นเกจิรุ่นเก่าที่ใครๆ ก็รู้จักนับถือ ไม่ใช่เฉพาะคนแบบชายทะเลเท่านั้น "วัฒนชัย ชาวชลบุรี บอกโดยปลัดขิกของเขาเป็นของหลวงพ่ออี๋
ในด้านความเชื่อทางพุทธคุณหรือความขลังนั้น เป็นเรื่องที่เชื่อกันมาช้านานแล้ว พยัพ คำพันธุ์ ผู้รู้ด้านเครื่องรางแห่งวงการพระเครื่องไทย เปิดเผยว่า การสร้างปลัดขิกในเมืองไทยเกิดจากลูกศิษย์ลูกหาศรัทธาในตัวอาจารย์นำไม้ไปให้ท่านปลุกเสกแต่อาจารย์บางท่านก็ตั้งใจทำสิ่งนี้ขึ้นมาอย่างหลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก จังหวัดปราจีนบุรี ท่านก็ทำปลัดขิกขนาดใหญ่ตั้งไว้หน้าวัด ส่วนหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบก็โด่งดังตั้งแต่ครั้งที่ทำแจกให้ทหารเรือออกรบสมัยสงครามอินโดจีน
"ปัจจุบันใครศรัทธาอาจารย์องค์ไหน ก็เอาไม้ไปให้ท่านแกะแล้วทำการปลุกเสก รูปแบบก็แล้วแต่คนแกะซึ่งมันเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ด้านหนึ่งก็เป็นศิลปะ อีกด้านก็เป็นความเชื่อด้านพุทธคุณ ส่วนวัตถุที่นิยมนำมาแกะในบ้านเราก็จะทำจากไม้จำพวก ไม้รัก ไม้คูณ ไม้มะยม ส่วนทำจากหินนั้น ไม่มี เพราะถ้าเป็นหิน จะเป็นศิวลึงค์ของพราหมณ์ เป็นแบบทางอินเดียมากกว่า"
แต่เดิมปลัดขิกมีรูปแบบเป็นเพียงลักษณะของอวัยวะเพศชาย ต่อมาก็มีการแกะสลักลวดลายเพิ่มรายละเอียดเข้าไปมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปลิง หรือรูปผู้หญิงนอนเปลือยกายในเชิงอีโรติกบนตัวปลัดขิก แต่ละรายละเอียดที่เพิ่มเติมเข้าไปมักมีความหมายในเชิงความเชื่อ เช่น รูปลิง มีคุณด้านความแคล่วคล่อง ทำให้แคล้วคลาดจากภัยอันตราย หรือรูปหญิงเปลือยกายให้ความมีเสน่ห์ เป็นที่รักแก่ผู้อื่น
มนต์เสน่ห์เหล่านี้ทำให้ตัวปลัดขิกเปลี่ยนแปลงไปจากแค่เครื่องรางของขลังที่เด็กผู้ชายชาวไทยใช้เพื่อป้องกันงูเงี้ยวเขี้ยวขอ ไปสู่งานศิลปะราคาแพง และเป็นที่สนใจสะสมของชาวต่างชาติ
ศุภกิจ ภู่แก้ว วัย 45 ปี เจ้าของร้าน Piece of Art ร้านขายของเก่าและของสะสม ที่ศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ ผู้ซึ่งคลุกคลีกับปลัดขิกมากกว่า 20 ปี กล่าวว่า ปลัดขิกที่ดีคนเห็นแล้วต้องหัวเราะ ขำ ชอบใจ จากรูปร่างหน้าตาของปลัดขิกนั้นทำให้คนไทยมีความเชื่อว่า การนำปลัดขิกมาพกติดตัว นอกเหนือจากการป้องกันภัยแบบความเชื่อโบราณแล้ว ยังช่วยในเรื่องของความนิยมชมชอบเป็นที่รักของผู้พบเห็น
"อันที่ผมพกติดตัวเป็นพวงกุญแจนี้ ทำมาจากไม้พยุง" ศุภกิจ บอกพร้อมกับดึงออกมาให้ดู "ชื่อไม้ให้ความหมายในทางการพยุง ยกย่อง มีคนคอยช่วยเหลือ และปัจจุบันนี้ปลัดขิกกลายเป็นเครื่องรางที่สำคัญของคนทำการค้า"
สำหรับไม้ที่นำมาแกะสลักเป็นปลัดขิก จะต้องเป็น
ไม้ที่มีชื่อมงคล เช่น ไม้รัก เพื่อให้คนรัก, ไม้สัก หมายถึงศักดิ์ศรี, ไม้มะขาม เพื่อให้ผู้คนเกรงขาม, ไม้มะยมเพื่อให้คนพกได้รับความนิยม ชมชอบ แต่จะไม่ใช้ไม้โพธิ์เด็ดขาดเนื่องจากเป็นต้นไม้ของพระพุทธเจ้า
ลวดลายที่ทำการแกะสลัก ถ้าเป็นสัตว์ นิยมแกะเป็นรูปของลิงขณะประกอบกามกิจ ด้วยความเชื่อว่าลิงเป็นสัตว์ที่มีความคล่องแคล่วว่องไว เฉลียวฉลาด เอาตัวรอดเก่ง นอกจากรูปสัตว์แล้วจะมีรูปหญิงสาวซึ่งให้คุณในเรื่องของความนิยมชมชอบ เป็นที่รักของผู้อื่น
ส่วน ปวิธพล ตรึงจิตรารัตน์ นักสะสมปลัดขิก แนะนำการดูปลัดขิกว่า ต้องใช้ความชำนาญและต้องมีการศึกษาประวัติอย่างดี ต้องดูลวดลายอย่างละเอียดของการแกะสลัก ไม้ที่ใช้ซึ่งก็แตกต่างกันไป นอกจากนี้การดูความเก่า ตาต้องถึงว่าเป็นปลัดขิกของหลวงพ่อองค์ใด
"เราต้องรู้ว่าหลวงพ่อองค์นั้น ทำปลัดขิกในช่วงปีไหน มรณภาพไปกี่ปี ปลัดขิกก็ต้องมีอายุตามนั้น นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการลงรัก คาถาอาคม ปลัดขิกบางชิ้นจะมีอักขระ ซึ่งหลวงพ่อแต่ละองค์ก็จะลงอักขระบาลีแตกต่างกันไป" ปวิธพล กล่าว
"กัณหะ เนหะ นี่ของหลวงพ่ออี๋" พยับ อธิบายเพิ่ม "แต่ก็ต้องดูความเก่าและรายละเอียดปลีกย่อยบางอย่างบนตัวปลัดขิกด้วย"
สำหรับการปลอมปลัดขิกออกขายตามสนามพระต่างๆ นั้น
เอ มรดกไทย เซียนพระแห่งสนามพระบางลำพู และงามวงศ์วาน เล่าว่า ของปลอมมีมากมาย เพราะมันเป็นของที่เหลาด้วยไม้ ใครก็เหลาได้ แต่การดูจะดูที่การเหลา ดูความเก่าของไม้กับวัสดุที่สร้างลายจากของหลวงพ่อ
"เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนลายเซ็นต์ของเราปลอมได้ แต่น้ำหนักของเส้นหนัก เส้นเบาจะไม่เหมือนกัน การที่จะดูของปลอมของจริงนี้ ก็ต้องแยกแยะได้ว่าเราจะเล่นของหลวงพ่ออะไร เขาจะมีเอกลักษณ์ของแต่ละหลวงพ่อที่ไม่เหมือนกัน ราคาก็อยู่ราวๆ หลักหมื่นขึ้นไป ซึ่งก็อยู่ที่ความพอใจของผู้ซื้อกับผู้ขาย"
ทางด้านความนิยมของชาวไทยกลับพบว่าผู้ที่นิยมสะสมปลัดขิกนั้นมีไม่ถึง 20% เทียบกับนักเลงพระเครื่องแล้วถือว่าน้อยมาก และแนวโน้มของปลัดขิกนั้นต่อไป ก็จะยิ่งหายากมากขึ้น เพราะเกจิอาจารย์ที่ปลุกเสกปลัดขิกออกมานั้นแทบจะไม่มีแล้ว เกจิอาจารย์ที่ดังๆ เช่น หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ จ.ชลบุรี ที่เชื่อและกล่าวขานกันจากปากต่อปากว่าของแท้ที่หลวงพ่อปลุกเสก ลงคาถาอาคมไว้นั้น เมื่อปล่อยลงน้ำแล้วท่องคาถาที่หลวงพ่อให้ไว้ก็จะว่ายน้ำได้เอง หรือของหลวงพ่อฟัก วัดนิคมประชาสวรรค์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ แต่ทั้งสองเกจิอาจารย์ก็ได้มรณภาพไปหลายสิบปีแล้ว
นอกจากเกจิอาจารย์ที่มีชื่อด้านการปลุกเสกปลัดขิก 2 ท่านที่กล่าวมาแล้วยังมีหลวงพ่อยิด หลวงพ่อเฮง หลวงพ่อเหลือ หลวงพ่อซ่วน ซึ่งศุภกิจขายปลัดขิกไปแล้วหลายร้อยตัวก็น่าเป็นห่วงว่าต่อไปปลัดขิกมีแนวโน้มที่จะสูญหายไปจากสังคมไทย เนื่องจากปัจจุบันก็ไม่ค่อยมีเกจิอาจารย์ชื่อดังทำปลัดขิกออกมา คนรุ่นใหม่ก็ให้ความสนใจกับปลัดขิกน้อยลง ส่วนปลัดขิกของเก่าที่มีคุณค่า ราคาก็สูง ผู้ที่ซื้อหาไปก็เป็นคนต่างชาติ
ต่อไปไม่แน่ใจว่าคนรุ่นหลังที่เอวเหน็บเพจเจอร์กับโทรศัพท์มือถือถ้าอยากเห็นปลัดขิกอาจต้องบินไปดูในพิพิธภัณฑ์หรือแกลลอรี่ในยุโรปก็เป็นได้
อ้างอิงจาก http://www.pantown.com/board.php?id=119&area=4&name=board1&topic=301&action=view