:060:ยังไม่มั่นใจในตนเองว่าจะทนต่อสภาพโลกภายนอกได้นานสักเท่าไหร่ เมื่อออกจากป่าไปสู่สังคมเมือง เพราะรู้ตัวเองดีว่า สติและสัมปชัญญะของเรายังไม่สมบูรณ์เท่าที่ควรต่อสิ่งกระทบทั้งหลาย จะรักษาทรงได้ไม่นานย่อมจะหวั่นไหวและคล้อยตามไปกับกระแสโลกอีก
เหมือนที่ผ่านมาในครั้งก่อนๆ แต่มีความตั้งใจที่จะรักษาทรงไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ รักษาไว้ซึ่งสติและสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ที่สุด
อยู่กับกุศลธรรม ดำเนินไปตามมรรคองค์แปดแห่งความเป็นสัมมาทั้งแปดประการให้ได้นานเท่านานเท่าที่จะทำได้
:059:ปฏิบัติอยู่ในป่าสิ่งกระทบมันน้อยมาก กิเลสไม่ถูกกระตุ้นมันจึงไม่แสดงให้เห็น จึงอยู่เป็นปกติสุข เหมือนกับว่ากิเลสนั้นเบาบางลงแล้ว
แต่เมื่อออกไปสู่สังคมเมืองตัวกระตุ้น(ผัสสะ)มันมีมากทั้งภายนอกและภายใน ถ้าจิตของเราไม่เข้มแข็งพอย่อมจะหวั่นไหว และคล้อยตามกิเลสเหล่านั้นได้ จึงต้องพยายามเตรียมกายเตรียมใจไว้ให้พร้อมต่อสถานะการณ์ที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าที่เราจะต้องเจอ ซึ่งจากประสพการณ์ที่ผ่านมา เรารู้ดีว่าจะต้องพบต้องเจอกับอะไรบ้าง ทางตา ทางหู ทางลิ้น ทางกายและทางใจ เพราะเรารู้เหตุรู้ปัจจัยไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องเจออะไรบ้าง จึงเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องดูแลรักษากายใจควบคุมไว้ให้ได้ เพราะกิเลสที่นองเนื่องในสันดานของเรา มันรอเวลาที่จะแสดง
ออกมาเมื่อได้ เมื่อมีปัจจัยที่เหมาะสมกับกิเลส เรียกว่าโรคนั้นยังมีอยู่มิได้หมดสิ้นไป เพียงรอวันที่จะเจอของแสลงของโรค โรคนั้นก็จะปรากฏ
ขึ้นมาให้เห็น
:059:ตรวจสอบกาย ตรวจสอบจิต ตรวจสอบความคิด ตรวจสอบการกระทำ อยู่ทุกขณะจิต พยายามตัดสิ่งที่เป็นอกุศลออกไป ไม่ส้องเสพใน
อกุศลทั้งหลาย รักษาทรงไว้ซึ่งสิ่งที่เป็นกุศล เป็นการฝึกตนเพื่อเตรียมความพร้อม สำหรับการออกจากป่ากลับไปสู่สังคมเมือง ซึ่งมิใช่เรื่องง่าย
ที่จะทรงไว้ได้ซึ่งสภาวะธรรมเหล่านี้ เพราะว่ามีภาระหน้าที่ ที่จะต้องออกไปกระทำนั้น มันต้องคลุกคลีกับหมู่คณะและผู้คนมากมาย ซึ่งมีลักษณะและอุปนิสัยที่แตกต่างกัน ภูมิธรรม ภูมิปัญญาแตกต่างกัน จึงต้องเตรียมกาย เตรียมใจ ไว้สำหรับการเผชิญต่อปัญหาที่จะเกิดขึ้นเฉพาะ
หน้าในทุกโอกาศ ทุกสถานะการณ์ ต้องควบคุมกายและใจไม่ให้คล้อยตามกระแสโลก กระแสสังคมให้ได้ ทรงไว้ซึ่งสภาวะธรรมทั้งหลาย
:060:อยู่กับปัจจุบันธรรม ด้วยการเจริญสติและมีสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา ไม่หนีปัญหาด้วยการเข้าสมาธิ ใช้การพิจารณาหาเหตุหาปัจจัย
ของอารมณ์ที่เกิดขึ้น แล้วเข้าไปดับที่เหตุ ที่ทำให้เกิดอารมณ์เหล่านั้น โดยการพิจารณาให้เห็นทุกข์ เห็นภัย เห็นโทษและสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ของเหตุนั้น จนเกิดความละอายและเกิดธรรมสังเวชในสิ่งนั้น จิตมันก็จะถอนจากการยึดถือ เกิดการปล่อยวาง เมื่อจิตไม่เข้าไปเกี่ยวข้องยึดถือแล้ว มันก็ดับเหตุไปได้ครั้งหนึ่ง เราต้องพยายามทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนเกิดความเคยชิน ความชำนาญ จนเป็นวสี และกลายเป็นอุปนิสัย เราจึงจะปลอดภัยต่อกระแสโลก...
:016:บันทึกบนเส้นทางธรรม...ด้วยศรัทธาและเชื่อมั่น
รวี สัจจะ
วจีพเนจร-คนรอนแรม
๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๒ เวลา ๐๗.๓๙ น. ณ ชายป่าห้วยขาแข้ง อุทัยธานี