ตถตาอาศรม เขาเรดาร์ บ้านบึง ชลบุรี
จันทร์ที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔
" งานเลื้ยงย่อมมีวันเลิกลา " ทุกคณะที่มาเยี่ยมเยือนต่างลากลับไป
ทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ อย่างที่เคยเป็นมา จัดระเบียบเวลาในการทำกิจให้แก่ชีวิต
พิจารณาทุกอย่างเข้าหาธรรม มองให้เห็นถึงคุณและโทษ ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์
ของสรรพสิ่ง ตามความเป็นจริงของกฎพระไตรลักษณ์ ปรับความคิดตนเข้าหาหลักธรรม
หารูปแบบการนำเสนอธรรมให้เหมาะสมกับตัวบุคคล จากพื้นฐานความคิด จริตและงาน
ของแต่ละบุคคล อยู่บนหลักของเหตุผล ความเหมาะสม ความพอดีและความพอเพียง
โดยไม่เอาความอยากของเรา ( ตัณหา )เข้าไปกำหนดให้ผู้อื่นปฏิบัติตามความต้องการ
ของตัวเรา กล่าวธรรมเพื่อธรรม ทำหน้าที่ของผู้กล่าวธรรมให้สมบูรณ์ ทำตามบทบาทและ
หน้าที่ วางจิตเป็นอุเบกขา ไม่เข้าไปคาดหวังผล เพราะบุคคลแตกต่างกันด้วยธาตุและอินทรีย์
การรับรู้ รับฟัง การปฏิบัตินั้น มันเป็นเรื่องของจิตสำนึกและความรู้สึกของเขา ซึ่งเรานั้นไม่สามารถ
ที่จะเข้าไปกำหนดได้ เพราะว่าเป็นสภาวะภายในของเขา อย่าได้เอาความอยากของเราไปตั้งกฎ
กติกาให้ผู้อื่นปฏิบัติตามความอยาก ( ตัณหา ) ของเรา " ทำให้ดู อยู่ให้เห็น สอนให้เป็น แล้วก็ปล่อย "
ให้ทุกอย่างเริ่มจากความสบายใจ ความพึงพอใจ อย่าได้ไปตั้งกฎกติกาบังคับ มันจะทำให้เกิดความ
กดดัน ซึ่งจะนำมาซึ่งความเครียดโดยไม่รู้ตัว มันจึงได้เพียงรูปแบบ แต่จะขาดซึ่งสาระ เพราะว่าการเริ่มต้นนั้น
มันไม่มีความพึงพอใจ เป็นไปโดยการถูกบังคับ ถูกยัดเยียดให้กระทำ ขาดซึ่ง " ฉันทะ "องค์ประกอบตัวแรก
ในหลักของอิทธิบาท ๔ มันจึงทำให้ไม่มีความเจริญในธรรม...
ดั่งที่เคยกล่าวไว้...ทุกอย่างอยู่ที่การเริ่มต้นที่ถูกที่และถูกทาง แล้วทุกอย่างมันก็จะเดินไปได้
ด้วยตัวของมันเอง ความเจริญในธรรมนั้นจะช้าหรือเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับกำลังของแต่ละบุคคลและวิบากกรรมเก่า
จะส่งผลออกมาอย่างไร ซึ่งเรานั้นไม่สามารถที่จะไปกำหนดได้ หน้าที่ของเราคือทำไปและให้ใจศรัทธา
มีความเพียรพยายามในการกระทำและความสม่ำเสมอไม่ทอดทิ้งธุระ หมั่นพิจารณาตรวจสอบตนเองทุกขณะ
ให้เห็นถึงภาวะของความเสื่อมและความเจริญ ให้มีความเพลิดเพลินอยู่กับธรรม ไม่ไปคาดหวังผลในอนาคต
ทำปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุดตามกำลังของเราก็เพียงพอแล้ว...
ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๘.๕๘ น. ณ ตถตาอาศรม บ้านบึง ชลบุรี