ตถตาอาศรม เขาเรดาร์ บ้านบึง ชลบุรี
อังคารที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๔
" สรรพสิ่งล้วนเคลื่อนไหว ไปตามกฏแห่งธรรมชาติ "
มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ซึ่งเงื่อนไขของกาลเวลานั้น
อาจจะแตกต่างกันไป ตามเหตุปัจจัยของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น
จนบางครั้งเราแทบจะไม่เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของความเสื่อม
สลายที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ทุกขณะ จึงเข้าไปยึดติดและยึดถือในสิ่ง
เหล่านั้น อยากจะให้มันเป็นไปตามที่ใจของเรานั้นปรารถนาให้เป็น
ซึ่งถ้าสิ่งเหล่านั้นตอบสนองความต้องการของเราได้ เราก็จะยินดี
และเพลิดเพลินไปกับมัน แต่ถ้าสิ่งนั้นไม่เป็นไปตามที่ใจของเรา
ปรารถนาและต้องการแล้ว ก็จะเกิดความขุ่นใจ ความคับแค้นใจ
ความทุกข์ทั้งหลายก็จะเกิดขึ้นในจิต เพราะว่าเราไปยึดติดในความ
ต้องการของเราเกินไป ไม่เข้าใจและยอมรับในความเป็นจริงของสิ่ง
ทั้งหลายทั้งปวง ที่มันต้องดำเนินไปตามกฏแห่งธรรมชาติทั้งหลาย
การปฏิบัติธรรมนั้นคือการเจริญสติและการเจริญสัมปชัญญะ
เพื่อให้มีการระลึกรู้และมีความรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ทุกขณะจิต กับสิ่งที่
คิด สิ่งที่ทำและสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยมีองค์แห่งคุณธรรมคุ้มครอง
จิตอยู่ องค์แห่งคุณธรรมที่ว่านั้นคือ ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป
คอยกระตุ้นเตือนจิตสำนึก ความรู้สึกผิดชอบและชั่วดีที่กำลังเกิดขึ้น
ในความคิด ในจิตของเรา ทำให้เราสามารถที่จะข่มใจไม่ให้คล้อยตาม
ตัณหาความอยากที่เป็นอกุศลนั้นได้ ซึ่งต้องใช้การหมั่นฝึกฝนปฏิบัติ
เพื่อสร้างความเคยชินให้แก่จิต ในการคิดและการรู้เท่าทันซึ่งอารมณ์
ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในจิตของเรา รู้จักการแยกแยะซึ่งกุศลและอกุศล
ข่มใจตนไม่ให้คล้อยตามซึงกิเลสที่เป็นอกุศลทั้งหลาย โดยใช้การ
พิจารณามองให้เห็นถึงคุณ ถึงโทษ ถึงประโยชน์และมิใช่ประโยชน์
ของอารมณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น กระตุ้นเตือนจิตสำนึกแห่งการใฝ่ดี
ที่มันมีอยู่ในใจของเราทุกคนให้บังเกิดขึ้น แล้วน้อมนำความคิดนั้น
ไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้เป็นรูปธรรม แล้วความเจริญในธรรมทั้งหลาย
ก็จะบังเกิดมีแก่ผู้ใฝ่ธรรม ตามกำลังของสติ สัมปชัญญะและปัญญา
" เมื่อมีการกระทำ ย่อมต้องมีผลของการกระทำ เป็นสิ่งตอบแทน "
ซึ่งผลของการกระทำนั้น เป็นไปตามเหตุและปัจจัยเงื่อนไขที่เรานั้น
ได้กระทำมา ตามจังหวะ เวลา โอกาส สถานที่และตัวบุคคล...
.....ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิต.....
.....รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร.....
๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๘.๕๒ น. ณ ตถตาอาศรม บ้านบึง ชลบุรี