คุณค่าของวันเวลาที่ผ่านไป ๑๔ สค. ๕๔ ...
ตถตาอาศรม เขาเรดาร์ บ้านบึง ชลบุรี
จันทร์ที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
"จงใคร่ครวญเสียก่อนแล้วจึงค่อยทำ...อนุวิจฺจการํ กโรหิ..."
พุทธสุภาษิต อุปาลีวาทสูตร ๑๓/๖๒
............................
"ภิกษุทั้งหลาย! เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิเถิด
ภิกษุผู้มีใจตั้งมั่นแล้ว ย่อมเห็นตามความเป็นจริง"
"สมาธึ ภิกฺขเว ภาเวถ สมาหิโต ภิกฺขเว ภิกฺขุ ยถาภูตํ ปชานาติ"
พุทธสุภาษิต สมาธิสูตร ๑๙/๔๗๐
.........................................
"ผู้ใด มีสติพิจารณาร่างกายอยู่เนืองนิตย์
ทั้งกลางวันและทั้งกลางคืน
ผู้นั้น ย่อมได้ชื่อว่าเป็นสาวกผู้ตื่นของพระพุทธเจ้า"
"สุปฺปพุทฺธํ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา
เยสํ ทิวา จ รตฺโต จ นิจฺจํ กายคตา สติ"
พุทธสุภาษิต ธรรมบท ๒๕/๔๖
........................................
วันนี้ไม่มีใครขึ้นมาบนเขา ทำให้มีเวลาที่จะได้ค้นคว้าพระไตรปิฏก
เพื่อเตรียมกายเตรียมจิดทบทวนความทรงจำในหัวข้อธรรมทั้งหลาย
อ่านแล้วทำความเข้าใจบันทึกไว้ในหมวดของความทรงจำของสมอง
ใคร่ครวญไตร่ตรองพิจารณาให้ถ่องแท้ถึงอรรถะความหมายของบทธรรม
ว่าพระองค์ทรงตรัสที่ไหน แก่ใคร ปรารภเหตุจากอะไร มุ่งหมายเพื่อสิ่งใด
จะได้ไม่สับสนในหัวข้อธรรม เมื่อนำไปกล่าว ไปบรรยาย จะได้ชัดเจน
ทุกอย่างในการทำงานแต่ละขั้นตอนเราต้องมีการวางแผนงานไว้ล่วงหน้า
ต้องค้นหาข้อมูลรายละเอียดให้ถูกต้องและชัดเจนเพื่อความไม่ผิดพลาด
เพราะการกล่าวธรรมนั้นไม่อาจที่จะผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากหลักธรรมได้
ซึ่งถ้าเรากล่าวผิดไปพลาดไปทำให้ผู้ฟังเข้าใจคลาดเคลื่อนและนำไปปฏิบัติตาม
มันจะเป็นกรรมที่หนักต่อตัวเรา ซึ่งเท่ากับชี้ทางผิดให้เขาปฏิบัติเดินไปสู่อบาย
เป็นการปิดกั้นกระแสพระนิพพานของเขา กรรมของเราผู้กล่าวแนะนำนั้นจึงหนัก
ซึ่งเรื่องนี้ได้เรียนรู้มาจากหลวงพ่อชาแห่งวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี
ที่ท่านได้เคยกล่าวสอนแก่ศิษย์ไว้...ว่าในสมัยหนึ่งเคยมีพระมาถามเรื่องธรรมวินัย
และท่านได้ตอบผิดพลาดไป แต่เมื่อมาทบทวนดูใหม่ ท่านได้รีบไปหาเพื่อแก้ไข
บอกข้อธรรมใหม่ที่ถูกต้องให้แก่พระท่านนั้น แม้นว่าจะเป็นเวลากลางคืนดึกดื่นแล้ว
และท่านได้ย้ำเตือนศิษย์ทั้งหลายให้ตระหนักและจดจำไว้ในการที่จะกล่าวธรรม
จึงได้นำมาปฏิบัติเตือนจิตเตือนใจทุกคร้งในการที่เราจะกล่าวธรรมบรรยายธรรม
เราต้องทำการบ้านมาก่อนทุกครั้ง และถ้าคำถามใดที่เรายังไม่ชัดเจนก็จะไม่ตอบไป
โดยขอเวลาค้นหาและทำความเข้าใจเสียก่อนจึงจะตอบในหัวข้อธรรมที่เขาถาม
การทำความรู้ความเข้าใจนั้น ต้องใช้สติและสัมปชัญญะ เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ
แล้วทำจิตให้ว่าง ยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา ให้ปัญญาเกิดขึ้นในจิตแล้วพิจารณาหัวข้อธรรม
เราจึงจะเห็นสภาวะธรรมที่แท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่จิตเราปรุงแต่งและคิดเข้าใจไปเอง
โดยเอาอัตตามานะทิฏฐิของเราเป็นที่ตั้งในการคิดและพิจารณาหัวข้อธรรมทั้งหลาย
และถ้าไม่เข้าใจและไม่ชัดเจนก็ต้องบอกให้ผู้ฟังรู้ว่า..นี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัว
ผู้ฟังอย่าพึ่งเชื่อให้ลองคิดพิจารณาดูซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ เพราะเป็นความเห็นส่วนตัว
อย่าสอนให้ผู้ฟังงมงายเชื่อทันทีที่ได้ยินได้ฟัง จงสอนให้เขารู้จักการคิด รู้จักการพิจารณา
เพื่อให้ปัญญาเกิดขึ้นแก่ผู้ฟัง ฝึกให้เขาคิดเป็น คิดเองได้ เพราะไม่มีใครจะเข้าใจในตัวเขา
เท่ากับตัวเขาเอง สภาวธรรมทั้งหลายของผู้ที่ปฏิบัติธรรมนั้นนั้นเป็นเรื่อง “ ปัตจัตตัง “
มีเพียงความคล้ายคลึงและใกล้เคียงกัน แต่จะไมเหมือนกันในทุกอย่าง ในทุกสภาวะ
ซึ่งถ้าเหมือนกันทุกอย่างนั้น มันเป็นการอุปทานสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา ตามสัญญาความจำ
มันเป็นการสะกดจิตตนเอง เพื่อให้เป็นไปตามที่เคยได้ยินได้ฟังมา หาใช่ปัจจุบันธรรมไม่
มันจึงไม่ใช่สภาวธรรมที่แท้จริง มันเป็นเพียงสิ่งที่เราสร้างขึ้นมา ซึ่งไม่ช้ามันก็จะดับไป
ทรงไว้ในอารมณ์นั้นมิได้นาน เพราะมันไม่ใช่ของจริง....
แด่การเตรียมกายเตรียมจิด ทบทวนความคิดและความทรงจำในหัวข้อธรรมทั้งหลาย
เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ด้วยไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๔.๑๐ น. ณ ตถตาอาศรม บ้านบึง ชลบุรี