1
บทความ บทกวี / กวีเพ้อเจ้อ
« เมื่อ: 14 ม.ค. 2557, 12:38:46 »ฤ ไร้ราก จักมีใบ
ฤ ไร้สาย จักมีเสียง
ฤ ไร้เมือง จักมีเวียง
ฤ ไร้เพียง จักมีพอ
ฤ ไร้สาย จักมีเสียง
ฤ ไร้เมือง จักมีเวียง
ฤ ไร้เพียง จักมีพอ
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
ธรรมชาติที่ไม่รู้ตามความเป็นจริง เรียกว่า "อวิชชา" มี ๘ ประการ คือศาสนาพุทธ มีธรรม 2 ระดับ คือโลกุตระ และโลกียะ ในระดับโลกุตระ อ้างได้ตามนั้น แต่ในระดับโลกียะ คาถาที่ว่าดูตามวัตถุประสงค์ คุณไม่ใช้เพื่อผิดศีล 5 (เป็นอย่างน้อย) เป็นไปในธรรมทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ และสัมปรายิกัตถประโยชน์
ความไม่รู้ในทุกข์(ทุกเข อัญญาณัง) ๑, ความไม่รู้ในเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์(ทุกขสมุทเย อัญญาณัง-ไม่รู้สมุทัย) ๑, ความไม่รู้ในความดับทุกข์(ทุกขนิโรเธ อัญญาณัง-ไม่รู้นิโรธ) ๑, ความไม่รู้ในข้อปฏิบัติให้ถึงซึ่งความดับทุกข์(ทุกขนิโรธคามินิยา ปฏิทายะอัญญาณังไม่รู้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา) ๑, ความไม่รู้ในส่วนที่เป็นอดีต ๑, ความไม่รู้ในส่วนที่เป็นอนาคต ๑, ความไม่รู้ทั้งในส่วนที่เป็นอดีตและในส่วนที่เป็นอนาคต ๑ และความไม่รู้ในปฏิจจสมุปบาทธรรมอีก ๑ รวมเป็น "อวิชชา ๘" สรุปรวมคือ "ความไม่รู้ในอริยสัจ ๔" [เมื่อสิ่งนี้มี..สิ่งนี้จึงมี "อวิชชาปัจจะยา สังขารา.......ฯ" (ปะฏิจจะสะมุปปาทะปาฐะ)]
ความไม่รู้ ท่านจัดเป็นอวิชชา แต่ความรู้ในอีกหลายๆอย่าง ก็จัดเป็นอวิชชาได้เช่นกัน
มันเป็นเช่นนั้นเอง..(ตถตา).
โอ้โหห เสียชื่อชาวชมพูฟ้าจังง เฮ้อเศร้าขอรับท่าน Kanya ครับ ท่านและพวกพ้องจะว่าจะด่าอะไรผม ก็เชิญตามสบายเลยนะครับและถ้าแน่จริง ช่วยกรุณาด่าผมให้ชัด ๆ ลงในหน้ากระดานนี้ด้วยนะครับ จะเป็นพระคุณอย่างสูง แต่ถ้าจะกรุณาเพื่อเป็นการประหยัดเวลาและเนื้อที่ ก็ไม่จำเป็นต้องยกมหาสมุทรอะไรทั้ง 7 สายมาเพื่ออวดภูมิปัญญาท่านหรอกครับ ด่าตรง ๆได้เลยครับตามที่นิสัยสันดานท่านได้รับการอบรมจากบุพการีและครูบาอาจารย์มาตั้งแต่เล็ก เพราะต่อไปนี้ ขอให้สบายใจว่าผมจะไม่โต้ตอบคนอย่างท่านอีก ผมเห็นใจในปูมหลังของท่านครับ ถือว่าผมยอมเปลืองตัวให้ท่านและพวกพ้องท่านด่าเพื่อเป็นทานก็แล้วกันผมอยากถามถึงความรู้สึกของท่านสมาชิกสักหน่อยนะครับ เพราะถ้าไม่ถามบางท่านอาจเข้าใจผิด หรืออาจเข้าใจผิดมานานแล้วก็เป็นได้ คือผมจะถามว่า...
ท่านเข้าใจว่าวัตถุมงคลเมื่อเข้าพิธีแล้ว จะต้องศักดิ์สิทธิ์เสมอไปอย่างนั้นหรือเปล่า ?
ผมว่ามีหลายท่านทีเดียวที่มีความเข้าใจว่าวัตถุมงคลเมื่อนำเข้าพิธีปลุกเสกหรือพิธีพุทธาภิเษกแล้ว จะต้องมีความศักิด์สิทธิ์เสมอไป ที่เห็นได้ง่าย ๆ เลยก็คือทุกวันนี้ เวลาที่มีการจัดพิธีพุทธาภิเษก ก็จะมีคนไปขอเช่าวัตถุมงคลกันเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงมีผู้ที่นำเอาวัตถุมงคลของตัวเองที่เก็บไว้ ไปฝากเข้าพิธีด้วยโดยเชื่อว่านั่นจะเป็นการเพิ่มพลังความศักดิ์สิทธิ์หรือพุทธคุณให้กับวัตถุมงคลยิ่ง ๆ ขึ้น
ก่อนอื่น ผมคงต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่าผมไม่ได้มีเจตนาพูดว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลเดี๋ยวนี้ไม่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ความหมายของผมคือ " การปลุกเสกวัตถุมงคลเดี๋ยวนี้ หาได้ศักดิ์สิทธิ์ไปทุกพิธี " ทั้งนี้ เพราะการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลให้ศักดิ์สิทธิ์นั้น มันต้องมีองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง อาทิเช่น การคำนวณหาฤกษ์พิธี การจัดพิธีกรรมได้อย่างถูกต้องตามตำรา พลังจิตของผู้สร้าง ตลอดจนเคล็ดลับต่าง ๆ ตามที่ตำราบ่งบอกเอาไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะขาดเสียมิได้เลยสำหรับการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคล
แต่คนทุกวันนี้ มีความเข้าใจผิดกันมากว่าการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลที่เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้นั้น ล้วนเกิดจาก " คาถาอาคม " ผมว่านั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด
หลายคนมักจะเข้าใจอย่างนี้ ซึ่งคงโทษกันไม่ได้ เพราะตำราการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ก็จะต้องมีคาถาอาคมสำหรับการปลุกเสกเอาไว้เสมอ รวมไปถึงคาถาที่ใช้ในการท่องบ่นภาวนาที่ว่ามีอานุภาพทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพัน มหาอุดและโชคลาภ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงย่อมที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ว่าคุณวิเศษต่าง ๆ ที่มีนั้น เกิดขึ้นได้เพราะคาถาอาคม
หากจะว่ากันตรง ๆ ตามหลักการในด้านไสยศาสตร์หรือการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ นั้น คาถามีส่วนทำให้วัตถุมงคลเกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้ก็จริง แต่คาถาจะทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาไม่ได้อย่างเด็ดขาดหากปราศจากอำนาจของพลังจิต พูดง่าย ๆ ก็คือว่าคาถาจะเกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อผู้ท่องหรือบริ กรรมคาถานั้น มีพื้นฐานอำนาจจิต โดยเป็นผู้ที่ผ่านการฝึกฝนปฏิบัติสมาธิวิปัสนากรรมฐานจนได้ฌาณ ญาณสมาบัติหรือกสิณอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือถ้าพูดกันในด้านของการปฏิบัติก็หมายความว่า ผู้นั้นต้องมี " อภิญ ญา " เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น ต่อให้ท่องคาถาจนเหนียงยาน ความศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่มีวันบังเกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาดและแน่นอนที่สุดด้วย
ทั้งนี้ หากว่าคาถาอาคมสามารถทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้จริง ถ้าเช่นนั้น คนเราทุกคนก็สามารถเป็นผู้วิเศษได้หมด เพียงแค่ไปขอเรียนคาถาจากใครก็ได้สักบทสองบท หรือไม่ก็หาเอาจากในเว็บเรานี่แหละ...
แล้วถามว่าความศักดิ์สิทธิ์จะบังเกิดได้จริงเหรอ ?
สมัยก่อนนั้น ในการเรียนคาถาอาคมหรือวิชาไสยศาสตร์ ก่อนที่อาจารย์จะถ่ายทอดให้แก่ศิษย์นั้น ท่านจะให้ไปหัดฝึกพิ้นฐานอำนาจจิตเสียก่อน หรือไม่ก็เรียนภาคทฤษฎีและฝึกปฎิบัติไปพร้อม ๆ กัน แต่โดยธรรมเนียมแล้ว เขาจะต้องเริ่มฝึกพิ้นฐานอำนาจจิตเสียก่อน เปรียบเสมือนการขึ้นต้นไม้ ก็จะต้องปีนขึ้นไปจากทางด้านโคนต้นไม้ก่อนทั้งสิ้น หาใช่โดยการเรียนลัดด้วยการขึ้นต้นไม้ทางยอดโดยการกระโดดข้ามไปเรียนคาถาก่อนเลยแต่อย่างใดไม่ โดยไม่มีการฝึกพื้นฐานทางอำนาจจิตให้แข็งแกร่งเสียก่อน ซึ่งเมื่อฝึกไม่ถูกวิธี ขาดความอุตสาหะ ไร้ซึ่งบารมี เมื่อนั้นพื้นฐานทางอำนาจจิตก็จะไม่บังเกิดขึ้นด้วย...
ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าปัจจุบันนี้ จะมีพระเกจิอาจารย์สักกี่ท่านที่หยั่งรู้ว่าหลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน? หรือถึงแม้ว่ารู้ แล้วจะมีสักกี่ท่านที่สามารถฝึกเช่นนั้นได้ ? ด้วยเหตุนี้แหละครับ ผมจึงคิดว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลสมัยนี้ หาใช่มีความศักดิ์สิทธิ์ไปเสียทุกพิธี ทั้งนี้ เพราะความศักดิ์สิทธิ์ มิได้อยู่ที่ตัวคาถา หากแต่อยู่ที่พลังจิตต่างหากครับ แล้วพวกท่านสมาชิกมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ ?
***********************
สาระประโยชน์อันใดที่เกิดจากข้อเขียนอันเป็นข้อคิดนี้ ข้าพเจ้าขอมอบอุทิศคุณความดีและกุศลบุญทั้งหลายแด่รูบาอาจารย์และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ.....
สุวัชัย สมไพบูลย์
หากจะบอกว่าความขลังของวัตถุมงคลเกิดจากอะไร ก่อนอื่นขอพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับวัตถุมงคลทางศาสนาพุทธก่อน
ครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่งตรัสรู้ มีพ่อค้าม้า 2 พี่น้องคือตปุสสะและภัลลิกะ ได้เข้าไปเฝ้าและเกิดการเลื่อมใส
ถึงพระพุทธ พระธรรมว่าเป็นสรณะ นับเป็น เทววาจิกอุบาสก (อ่านว่า ทะเววาจิกะอุบาสก) แล้วจึงทูลขอสิ่งที่เป็น
ตัวแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้เป็นที่ระลึก ครั้งนั้น พระองค์ทรงลูบพระเศียรมีเส้นพระเกศาติดพระหัตถ์มา
จึงทรงมอบเส้นพระเกศาให้แก่สองพี่น้อง(ท่านคิดว่าเส้นพระเกศานี้ศักดิ์สิทธิ์ไหม เพราะองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ปลุกเสก)
ครั้นต่อมา เมื่อมีภิกษุสาวกเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เมื่อพระอริยะสาวกนิพพานลง พระองค์ก็ให้สร้างสถูป
เก็บอัฏฐิธาตุนั้นไว้เพื่อให้ผู้คนกราบไว้ แม้เมื่อพระอานนท์นิพพาน ก็มีผู้มาแย่งเอาพระธาตุไปไว้บูชา และแม้บริขารของ
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้บรรจุเป็นบริโภคเจดีย์ โดยไม่ต้องปลุกเสก
ทีนี้มาพูดกันเรื่องความขลังอีกส่วนหนึ่ง คือการทำน้ำมนต์ในงานบุญต่างๆ ความขลังของการทำน้ำมนต์
หรือน้ำพระพุทธมนต์มาจากไหน สมมุติว่ามาจากการสวดมนต์เพียงอย่างเดียว ถ้าแบบนั้นคงไม่ต้องนิมนต์พระไปสวด
ให้ชาวบ้านสวดก็คงได้ แล้วถ้าจะต้องให้พระที่พลังจิตไปสวด ถ้าแบบนั้นทำบุญนิมนต์พระกัน100บ้าน
จะมีสักบ้านไหมที่จะได้พระที่มีพลังจิต และถ้าได้พระที่ไม่มีพลังจิต ไม่สำเร็จฌาณไปสวด น้ำมนต์จะไม่ขลัง
ไม่ศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม ถ้าเป็นเช่นนั้น ต่อไปคงไม่ต้องเสาะหาแต่พระที่สำเร็จฌาณไปประกอบพิธีทำบุญบ้านกันหรือ
แล้วพระที่ได้ฌาณ ท่านก็บอกไม่ได้อีก ว่าท่านได้ฌาณหรือไม่ เพราะผิดพระวินัย เอาละสิ ยุ่งกันไปใหญ่แล้ว
เอาละ มาดูกันอีกหน่อย สำหรับคนที่เคยบวช เคยสวดไหมคับ คาถากันไฟน่ะ อัตถิโลเก สีลคุโณ....
รู้ไหมบทนี้น่ะ ผู้ที่สวดครั้งแรก เป็นแค่ลูกนกตัวหนึ่ง อย่าว่าแต่ฌาณเลยนะขอรับ เราแค่เฉียดสมาธิยังไม่มีเลย
แต่ผลจากการสวด กลับทำให้ไฟไม่ไหม้รัง เอ้า!!งงกันไปใหญ่ ไอ้กระผมคนโง่เขลา ความรู้น้อย ด้อยปัญญา
หาความคิดไม่ได้ ก็เลยไม่รู้จะว่ายังไง กับคำว่า
"ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าปัจจุบันนี้ จะมีพระเกจิอาจารย์สักกี่ท่านที่หยั่งรู้ว่าหลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน? หรือถึงแม้ว่ารู้ แล้วจะมีสักกี่ท่านที่สามารถฝึกเช่นนั้นได้ ?"
เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะกะแค่ลูกนกมันยังใช้คาถาจนตัวเองรอดจากพระเพลิงเสียได้ เฮ้อ!!มนุษย์ผู้ฉลาด
ขนาดจบปริญญาโท จะพูดอะไรไยไม่ศึกษาให้ถ่องแท้ เพราะคำๆนี้ ไอ้ที่ผมยกมาน่ะ คนเขียนจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า
เขียนเพื่ออวดตัวเองว่าข้ารู้จริง ว่า "หลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน" เอ้อหนอคนเรา ระดับการศึกษาสูงชั่งไม่ได้ทำให้จิตใจสูงขึ้นตามไปด้วยเลย
เอาละ ทีนี้อยากรู้ไหมว่า ทำไมเจ้าลูกนกตัวนั้นสวดคาถานี้แล้วเกิดความศักดิ์สิทธิ์ แล้วน้ำพระพุทธมนต์
ที่พระไปสวดกันตามบ้านศักดิ์สิทธิ์ไหมยังไง ถ้าอยากรู้ก็ลองไปใช้ปัญญาศึกษามาขอรับ หรือไม่ ก็ถามมาขอรับ
สำหรับคนดีถามเพื่อความรู้ ข้าน้อยผู้ด้อยความรู้ จะใช้กำลังทั้งหมดเท่าที่มีไปเสาะหามาตอบให้อย่างเต็มกำลังความสามารถ
แต่หากถามไถ่มาภาษาพาล มีคำเหน็บแนมแฝงภายใน ข้าพเจ้าผู้โฉดเขลา ก็คงจะตอบเข้าไปเช่นที่ถามมาขอรับสาธุ
ผมอยากถามถึงความรู้สึกของท่านสมาชิกสักหน่อยนะครับ เพราะถ้าไม่ถามบางท่านอาจเข้าใจผิด หรืออาจเข้าใจผิดมานานแล้วก็เป็นได้ คือผมจะถามว่า...
ท่านเข้าใจว่าวัตถุมงคลเมื่อเข้าพิธีแล้ว จะต้องศักดิ์สิทธิ์เสมอไปอย่างนั้นหรือเปล่า ?
ผมว่ามีหลายท่านทีเดียวที่มีความเข้าใจว่าวัตถุมงคลเมื่อนำเข้าพิธีปลุกเสกหรือพิธีพุทธาภิเษกแล้ว จะต้องมีความศักิด์สิทธิ์เสมอไป ที่เห็นได้ง่าย ๆ เลยก็คือทุกวันนี้ เวลาที่มีการจัดพิธีพุทธาภิเษก ก็จะมีคนไปขอเช่าวัตถุมงคลกันเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงมีผู้ที่นำเอาวัตถุมงคลของตัวเองที่เก็บไว้ ไปฝากเข้าพิธีด้วยโดยเชื่อว่านั่นจะเป็นการเพิ่มพลังความศักดิ์สิทธิ์หรือพุทธคุณให้กับวัตถุมงคลยิ่ง ๆ ขึ้น
ก่อนอื่น ผมคงต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่าผมไม่ได้มีเจตนาพูดว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลเดี๋ยวนี้ไม่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ความหมายของผมคือ " การปลุกเสกวัตถุมงคลเดี๋ยวนี้ หาได้ศักดิ์สิทธิ์ไปทุกพิธี " ทั้งนี้ เพราะการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลให้ศักดิ์สิทธิ์นั้น มันต้องมีองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง อาทิเช่น การคำนวณหาฤกษ์พิธี การจัดพิธีกรรมได้อย่างถูกต้องตามตำรา พลังจิตของผู้สร้าง ตลอดจนเคล็ดลับต่าง ๆ ตามที่ตำราบ่งบอกเอาไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะขาดเสียมิได้เลยสำหรับการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคล
แต่คนทุกวันนี้ มีความเข้าใจผิดกันมากว่าการสร้างและปลุกเสกวัตถุมงคลที่เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้นั้น ล้วนเกิดจาก " คาถาอาคม " ผมว่านั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด
หลายคนมักจะเข้าใจอย่างนี้ ซึ่งคงโทษกันไม่ได้ เพราะตำราการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ก็จะต้องมีคาถาอาคมสำหรับการปลุกเสกเอาไว้เสมอ รวมไปถึงคาถาที่ใช้ในการท่องบ่นภาวนาที่ว่ามีอานุภาพทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพัน มหาอุดและโชคลาภ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงย่อมที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ว่าคุณวิเศษต่าง ๆ ที่มีนั้น เกิดขึ้นได้เพราะคาถาอาคม
หากจะว่ากันตรง ๆ ตามหลักการในด้านไสยศาสตร์หรือการสร้างวัตถุมงคลต่าง ๆ นั้น คาถามีส่วนทำให้วัตถุมงคลเกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้ก็จริง แต่คาถาจะทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาไม่ได้อย่างเด็ดขาดหากปราศจากอำนาจของพลังจิต พูดง่าย ๆ ก็คือว่าคาถาจะเกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อผู้ท่องหรือบริ กรรมคาถานั้น มีพื้นฐานอำนาจจิต โดยเป็นผู้ที่ผ่านการฝึกฝนปฏิบัติสมาธิวิปัสนากรรมฐานจนได้ฌาณ ญาณสมาบัติหรือกสิณอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือถ้าพูดกันในด้านของการปฏิบัติก็หมายความว่า ผู้นั้นต้องมี " อภิญ ญา " เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น ต่อให้ท่องคาถาจนเหนียงยาน ความศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่มีวันบังเกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาดและแน่นอนที่สุดด้วย
ทั้งนี้ หากว่าคาถาอาคมสามารถทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ได้จริง ถ้าเช่นนั้น คนเราทุกคนก็สามารถเป็นผู้วิเศษได้หมด เพียงแค่ไปขอเรียนคาถาจากใครก็ได้สักบทสองบท หรือไม่ก็หาเอาจากในเว็บเรานี่แหละ...
แล้วถามว่าความศักดิ์สิทธิ์จะบังเกิดได้จริงเหรอ ?
สมัยก่อนนั้น ในการเรียนคาถาอาคมหรือวิชาไสยศาสตร์ ก่อนที่อาจารย์จะถ่ายทอดให้แก่ศิษย์นั้น ท่านจะให้ไปหัดฝึกพิ้นฐานอำนาจจิตเสียก่อน หรือไม่ก็เรียนภาคทฤษฎีและฝึกปฎิบัติไปพร้อม ๆ กัน แต่โดยธรรมเนียมแล้ว เขาจะต้องเริ่มฝึกพิ้นฐานอำนาจจิตเสียก่อน เปรียบเสมือนการขึ้นต้นไม้ ก็จะต้องปีนขึ้นไปจากทางด้านโคนต้นไม้ก่อนทั้งสิ้น หาใช่โดยการเรียนลัดด้วยการขึ้นต้นไม้ทางยอดโดยการกระโดดข้ามไปเรียนคาถาก่อนเลยแต่อย่างใดไม่ โดยไม่มีการฝึกพื้นฐานทางอำนาจจิตให้แข็งแกร่งเสียก่อน ซึ่งเมื่อฝึกไม่ถูกวิธี ขาดความอุตสาหะ ไร้ซึ่งบารมี เมื่อนั้นพื้นฐานทางอำนาจจิตก็จะไม่บังเกิดขึ้นด้วย...
ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าปัจจุบันนี้ จะมีพระเกจิอาจารย์สักกี่ท่านที่หยั่งรู้ว่าหลักของการเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ต้องเกิดมาจากอำนาจจิตก่อน? หรือถึงแม้ว่ารู้ แล้วจะมีสักกี่ท่านที่สามารถฝึกเช่นนั้นได้ ? ด้วยเหตุนี้แหละครับ ผมจึงคิดว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลสมัยนี้ หาใช่มีความศักดิ์สิทธิ์ไปเสียทุกพิธี ทั้งนี้ เพราะความศักดิ์สิทธิ์ มิได้อยู่ที่ตัวคาถา หากแต่อยู่ที่พลังจิตต่างหากครับ แล้วพวกท่านสมาชิกมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ ?
***********************
สาระประโยชน์อันใดที่เกิดจากข้อเขียนอันเป็นข้อคิดนี้ ข้าพเจ้าขอมอบอุทิศคุณความดีและกุศลบุญทั้งหลายแด่รูบาอาจารย์และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ.....
สุวัชัย สมไพบูลย์
:016:คนดีไม่เบ่ง คนเก่งไม่โม้ คนโตไม่อวด
-------------------------------------------------
:054:ยกธรรมของคำคม มาให้ชมและให้ดู
ให้อ่านและให้รู้ คำของครูซึ่งแหลมคม
กล่าวไว้ให้น่าคิด ช่วยเตือนจิตเตือนสังคม
กล่าวตามความเหมาะสม เป็นคำคมของคำครู
.....คนดีไม่อวดเบ่ง ไม่ข่มเหงและข่มขู่
ช่วยเหลือและอุ้มชู แก่ผู้น้อยด้วยเมตตา
คนดีมีน้ำใจ มีแต่ให้ไม่ร้องหา
คนดีมีจรรยา ใช่หน้าตาที่ดูดี
คนดีมีคนรัก คนเขาทักไปทุกที่
ไปไหนใครก็ดี และไมมีซึ่งศัตรู
.....คนเก่งคนฉลาด เขาสามารถจะเรียนรู้
เอาผิดมาเป็นครู รู้จักอยู่และเจียมตน
ไม่อวดและไม่โม้ ไม่คุยโอ่รู้อดทน
เพราะผ่านการฝึกฝน เพราะเป็นคนมีปัญญา
คนโง่อวดฉลาด เขาจึงพลาดทุกเวลา
ไม่จริงก็กล่าวมา จึงขายหน้าเพราะอวดรู้
......คนโตมีตำแหน่ง เขาก็แกล้งทำให้ดู
ไม่อยากให้ใครรู้ เขาอยากอยู่สุขสบาย
ทำตนไม่โอ้อวด พร้อมทั้งตรวจความเป็นไป
ใครคิดเห็นอย่างไร แล้วนำไปเป็นข้อมูล
....แนวทางวางชีวิต ที่ลิขิตก่อนดับสูญ
กุศลจะเพิ่มพูน ทวีคูณถ้าทำดี.....
:054:เคารพในคำคม..ของคำครู
เชื่อมั่น-ศรัทธา
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๐.๔๙ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายแดนประเทศไทย
"ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ "
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความจริง ๔ อย่าง อันทำให้ใจห่างไกลจากกิเลสนี้ ถ้าหากเรายังไม่รู้เห็นตามความเป็นจริง โดยอาการหมุนเวียนแห่งปัญญาญาณ ครบ ๓ รอบทั้ง ๔ อย่าง รวมเป็นอาการ ๑๒ รอบ
"ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ "
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดแล ความจริง ๔ อย่าง อันทำให้ใจห่างไกลจากกิเลสนี้ เราได้รู้เห็นตามความเป็นจริง โดยอาการหมุนเวียนแห่งปัญญาญาณ ครบ ๓ รอบทั้ง ๔ อย่าง รวมเป็นอาการ ๑๒ รอบ ด้วยปัญญาอันบริสุทธิ์หมดจดแล้ว ฯ
ด้วยความเคารพครับ
รอบ 3 อาการ 12 หมายความว่าอย่างไรครับ
ขอแสดงความนับถือ
Gearmour
ขอบคุณครับสำหรับข้อมูลเอาไว้คุณสองคนพ่อลูกไปช่วยกันตบพวกเกรียนในวัดบางพระให้หมดก่อนเถอะครับรวมทั้งตัวคุณด้วย... ว่าเสียดสีคนอื่นเขานี่ ชอบจังสนุกปาก แต่หาสาระไม่มีเลย บอกให้คุณพ่อช่วยอบรมเยอะๆ หน่อยนะครับ แล้วลองนึกดูให้ดีใหม่นะครับว่าใครกันแน่ที่สร้างความแตกแยกให้ผู้อื่นและสังคม วันหลังถ้าอยากจะแจ้งเกิดกับเขาบ้าง ก็หัดคิดอะไรในทางที่สร้างสรรค์กว่านี้หน่อย สองวันผมโดนค่าไปเป็นสิบ ผมยังยอมรับฟังด้วยรอยยิ้ม ไม่ลุกมาด่าใครหรือชวนใครตีสักแอะ แล้วคุณเจ็บปวดอะไร ถึงต้องอยากแจ้งเกิดด้วยวิธีการคำพูดที่ห่วยแตกไม่เอาไหน อย่างนี้....
ในบอร์ดมีอีกซักตำแหน่งมั้ยครับ
ผมอยากขอสมัครเป็นหน่อยตบเกรียนหรือปราบเกรียนอะไรก็ได้
ที่คอยจัดการกับคนกับกลุ่มคนเหล่านี้
เอาแบบลากตัวเป็นๆมันมาตบ(อบรมสั่งสอน)
กลุ่มคนเหล่านี้จะได้ไม่เก่งอยู่กับคีย์บอร์ด
จะได้เข็ดหลาบเกิดความสำนึกเลิกสร้างคามแตกแยกให้ผู้อื่นและสังคมได้บ้าง
ขอให่ทุกอย่างจบกันเถอะครับท่าน suwatchai รู้จักให้อภัยและปล่อยว่างเป็นผู้ที่เจริญ.... ไม่จำเป็นว่าใครจะถูกหรือผิดผมให้อภัยและอโหสิกรรมมานานแล้วครับ ก็อย่างที่ผมบอกไง " เราบ่ผิด ดาบนั้นคืนสนอง " ส่วนบางกระทู้ที่ผมโต้ตอบไปนั้น ไม่ใช่เพราะอาฆาตพยาบาท เกลียดชัง แต่แค่อยากสั่งสอนเท่านั้น....
ราตรีสวัสดิ์ ผมต้องรีบไป Route 66 แล้ว...
ขอแสดงมุทิตาจิต ต่อพระมหานรินทร์ ที่ได้จบ ป.โท พุทธศาสน์มหาบัณฑิต
รับทราบค่ะ และจะระมัดระวังตัวให้มากกว่าเดิมค่ะ
ไม่นำความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นคร๊าบ
จะทำตัวเรียบร้อยแล้วค่ะ จะน่ารักแบบพองามนะคะ
เอ้อ !!! รู้สึกว่าประเด็นจะเปลี่ยนไปแล้วนะคับออกเสียง เพื่ออะไรครับท่าน จะแจกรางวัล หรือ ครับท่านผมคุยกะเวปมาอ่ะคับ โดนเวปด่ามาว่าไม่รู้จักอ่านคู่มือการใช้บอร์ด
ผมเลยถามไปว่า 100 คนจะมีคนอ่านซักกี่คน เวปเลยพูดมาว่า อืม! น่าหาข้อมูลเหมือนกัน
ผมเลยมาโพสถามอ่ะคับ
ออกเสียง เพื่ออะไรครับท่าน จะแจกรางวัล หรือ ครับท่านผมคุยกะเวปมาอ่ะคับ โดนเวปด่ามาว่าไม่รู้จักอ่านคู่มือการใช้บอร์ด
ง่า .. ผมรู้จักอ้ายยุ้ยตอน ม.4 ไปค่ายวิทย์ด้วยกันที่ประจวบฯ ยุ้ยกะบุ้งเป็นตัวแทนของ มพ.โหย อะไรกันนี่... เด็ก มพ. Hot Hit ปานนี้เลยเหรอ... มะน่าเชื่อเนาะผมเคยไปนอนมพ.มา 2 ปี ปีละ 3 วัน 2 คืน แต่เคยเข้าไปเที่ยวบ่อย(สมัยเรียน)
ชื่อย่อ ม. พ. มักถูกผู้ชายล้อว่าเป็น เมียพี่ เด็กม.พ. มีแค่สองอย่าง สาวเปรี้ยวเท่ ทอมหล่อ และยิ้งหญิงดี้สนิท
ผอ. วิเชียร สามารถ ถูกต้องคร่า...คุณกันย่า.. ไปไปมามา... แหมบางคนมีเรื่องเล่า..แต่ออมนะยะ...
ปล. น้องอชิ ได้เพื่อนใหม่เนี่ย ระบุหน่อยจิ หญิงหรือชาย
เคยเห็นความแสบ ความน่ารัก(นึกก่อนว่ามีไหม) เพื่อนที่มพ.อ้ายยุ้ย(ธาราทิพย์ อุดมธรปรเสริฐ)
ขายแก๊สอยู่ตลาดน้อย(ตลาดน้อยค้าแก๊ส)คุณโชพอรู้จักป่ะคับ กะอ้ายบุ๋ง(ณัฐชลี ปิยมหันต์)
ไม่ได้เจอนานคิดถึงเพื่อนๆเหมือนกัน เท่าที่ถามคุณเอดู คุณโชน่าจะเรียนรุ่นเดียวกะผม เพราะเกิดปีเดียวกัน
เพียงแต่ผมเรียน นข. แต่ไปค่ายวิทย์ที่ มพ.จัด จะว่า เด็ก มพ. Hot Hit ไหม ผมว่าแสบใช้ได้นะคับ
เฮ้ย... ยุ้ย ธาราทิพย์ เรียนห้องเดียวกัน... เลย เล่นเสก็ต ด้วยกันเลย...รู้จักกันดี ห้องเดียวกันสามปีนะ เหอๆ มะน่าเชื่อหงะ
โหย อะไรกันนี่... เด็ก มพ. Hot Hit ปานนี้เลยเหรอ... มะน่าเชื่อเนาะผมเคยไปนอนมพ.มา 2 ปี ปีละ 3 วัน 2 คืน แต่เคยเข้าไปเที่ยวบ่อย(สมัยเรียน)
ชื่อย่อ ม. พ. มักถูกผู้ชายล้อว่าเป็น เมียพี่ เด็กม.พ. มีแค่สองอย่าง สาวเปรี้ยวเท่ ทอมหล่อ และยิ้งหญิงดี้สนิท
ผอ. วิเชียร สามารถ ถูกต้องคร่า...คุณกันย่า.. ไปไปมามา... แหมบางคนมีเรื่องเล่า..แต่ออมนะยะ...
ปล. น้องอชิ ได้เพื่อนใหม่เนี่ย ระบุหน่อยจิ หญิงหรือชาย
รูปนี้คุณ กุ๊งกิ๊ง เป็นคนถ่ายครับ ผมก็ อยู่ให้เหตุการณ์นั้นเช่นกันครับความจริงเรื่องของเครดิตเป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ ครับ คุณแหวกบาดาลในฐานะที่นับถือหลวงปู่
ถ้าไงก๊อบมาก็ให้เครดิส เจ้าของภาพด้วยครับ เพราะก่อนถ่ายภาพ
เขาก็ขออนุญาต เจ้าของลายสักมาเช่นกันครับ สาธุ ....
ของแรงนะครับของคุณพ่อผมอ่ะคับ ท่านถ่ายรูปเอามาให้ดู
ลองชมจากนี่และพิจณาดู ครับ http://www.bookskanessporn.com/content_437_5904_TH.html3 ข้อมูลเวปจากพี่บอลสุดหล่อ ครับ
ชมภาพและให้เพื่อนๆ ช่วยพิจณา อีกที ครับ
ขอ อโหถ กรรม ขอรับเอ้ออ!!! เว็ป รัปทานไรผิดสำแดงป่าวขอรับ มาแนวโฉด เอ๊ยโหดจังบาปกรรม เกรียนไปมั่งครับ
ไม่ตึงจนเกินไป ไม่หย่อนจนเกินไป = มัชฌิมาปฏิปทาแล้วยังไงอ่าคับ ที่เรียกว่าไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป วัยรุ่น งง!
พี่น้องครับ แปลกนะทำไมบอร์ดของพันทิพย์ เขาแก้ไข ข้อมูลที่พิมพ์ได้ แต่เปิดหน้าต่างใหม่รัวๆ นั้นคือท่านติดไวรัสครับหรือbug ถ้าท่านเข้าhi5 แล้วปิดไว้ มันจะยิงหน้าต่างมา200 หน้าเพื่อให้คอมท่านล่มครับ
ให้กำลังใจท่านโจ และทีมงานทุกท่านครับ {ไม่เปิดธรรมมะอัตโนมัติ คงไม่มีใครได้ฟังเพราะลืมเปิดฟังครับ}
ขอบพระคุณทุกข้อเสนอครับพี่น้อง
การที่ พระมหาโมคคัลลานเถระ ยอมให้พวกโจรทุบจนกระดูกแหลกเหลว เพื่อชดใช้กรรมที่เคยทำไว้ในอดีตชาตินั้น ทำให้พระมหาโมคคัลลานเถระ หมดกรรมจริง
แต่พวกโจรที่มาทำร้าย ผมว่ากลับมีกรรมเพิ่มขึ้น เพราะว่าได้ทำร้ายพระอรหันต์ คงจะต้องตก นรก หมกไหม้ไปอีกนาน แล้วการที่พระมหาโมคคัลลานเถระ ทำอย่างนี้
จะหมกกรรมจริงหรือ เปล่า แม้ว่าท่านจะได้บรรลุพระอรหันต์ไปแล้ว ย่อมมีจิตใสสะอาด และอโหสิกรรมให้พวกโจรก็ตาม กรณีเปรียบเทียบ ว่าพระเทวทัต ได้พลัก
ก้อนหิน ลงมาเพื่อปลงพระชนน์พระพุทธเจ้า กับอีกหลายกรณี ผลสุดท้าย พระเทวทัต ต้องถูกธรณีสูบ ตกนรก นานแสนนาน ทั้งนี้ พระพุทธเจ้าคงไม่เจ็บแค้นผูกใจ
เจ็บ จองเวร จองกรรม เป็นแน่ และคงจะอโหสิกรรม ให้ด้วยซ้ำไป
กรณีพระมหาโมคคัลลานเถระ ถ้าไม่ให้โจรทุบจนมรณะภาพ จะดีกว่าไหม หรือ ว่าอย่างไร ช่วยตอบที