แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ۞เณรน้อยเส้าหลิน۞

หน้า: [1]
1
บทความจากชมรมกัลยาณธรรม  

สำนักปฏิบัติธรรมวัดป่าเกษมสุข ต.หนองกี่ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี

เช้าวันเสาร์ที่ 30 เมษายน 2548 พวกเราเดินทางจากบางตราด มุ่งสู่ปลายทางกบินทร์บุรี อากาศดี ฟ้าสดใส เราถึงที่หมายก่อนเวลา จึงแวะพักนั่งสนทนาธรรมในวัดหนองกี่ ซึ่งมีมุมสบาย ๆ สำหรับทุกคน ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ของชนบทกันเต็มปอดเสียงลมพัดต้องหมู่ต้นโพธิ์ใหญ่ เสียงเหมือนเสียงดนตรีสวรรค์ ถ้าต้นโพธิ์นี้ไปขึ้นอยู่ที่สังเวชนียสถาน 4 ใบที่ร่วงหล่นคงไม่มีเหลือให้เห็น
ก่อนบรรยายได้ไปกราบนมัสการ และฟังธรรมจากหลวงปู่จันทรา อนากุโล แค่เข้าไปอยู่ในกุฏิเล็ก ๆ ได้กราบท่าน ก็รู้สึกถึงสัมผัสถึงความสงบเย็นและสายธารแห่งเมตตาธรรมของพระอริยสงฆ์ เป็นบุญของพวกเราที่ได้มาพบพระผู้ประเสริฐที่ดำเนินตามรอยบาทของพระศาสดา เราทุกคนล้วนปิติยินดีในจริยาวัตรอันงดงามของท่าน


การบรรยายเริ่มเวลา 13.00 น.เศษ หลวงปู่ฯท่านมารอฟังการบรรยายทั้งที่ท่านอายุ 80 ปีเศษแล้ว ท่านถือว่าท่านมาเคารพพระธรรม บรรยากาศกลางป่าลมพัดอื้ออึง แสงแดดสาดส่องทิวไม้ลงมา แต่ฝนไม่ตกเลยในขณะที่เมื่อเราออกมาพันบริเวณสำนักฯ ฝนเทลงมาอย่างหนักตลอดทางจากกบินทร์บุรี และสำนักปฏิบัติธรรมวัดป่าเกษมสุขมาก ด้วยความประทับใจในองค์หลวงปู่ ทุกคนตั้งใจกลับมากราบท่านอีก พวกเราทุกคนตั้งใจปฏิบัติธรรมพัฒนาจิตวิญญาณตนเอง เพื่อจะได้เป็นลูกหลานของพระศาสดา ตามที่หลวงปู่สอน








อาจารย์ ดร.สนอง  วรอุไร (ผู้ได้ธรรมะขั้นละเอียด)ได้สนทนาธรรมกับหลวงปู่




2
พระครูอาคมวิสุทธิ์ (หลวงพ่อคง สุวณฺโณ)


     




 
      พระครูอาคมวิสุทธิ์ (หลวงพ่อคง สุวณฺโณ) วัดวังสรรพรส ต.บ่อ อ.ขลุง จ.จันทบุรี เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดรูปหนึ่งของภาคตะวันออก ร่วมสมัยเดียวกับ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี หลวงปู่คร่ำ วัดวังหว้า หลวงพ่อศรีนวล วัดเกวียนหัก หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ และ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค เป็นต้นครับ

     วัตถุมงคลของหลวงพ่อคงแต่ละรุ่นล้วนมีประสบการณ์มากมายในทุกด้าน มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศ นับตั้งแต่สามัญชนจนถึงพระบรมวงศานุวงศ์ อาทิ พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร พลเรือเอกสงัด ชลออยู่  พล.ต.ต.ม.ร.ว.พงศ์สระ เทวกุล ฯลฯ

    นามเดิมของหลวงพ่อคือ คง ฑีฆายุ โยมบิดาชื่อ ส้อง โยมมารดาชื่อ โอง ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๔๕ ตรงกับวันเสาร์ ปีขาล ณ บ้านตาพราย ต.สะตอ อ.เขาสมิง จ.ตราด อุปสมบทครั้งแรก พ.ศ.๒๔๖๖ อายุได้ ๒๑ ปี อุปสมบทครั้งที่ ๒ เมื่อวันอังคารที่ ๕ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๗ ขณะอายุได้ ๓๒ ปี ณ วัดชมพูราย จ.ตราด โดยมี พระอธิการผูก วัดสลัก เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า "สุวณฺโณ"

   ท่านได้ศึกษาธรรมะและวิชาคาถาอาคมขลัง อักขระเลขยันต์จากโยมตาชื่อ หลวงคีรีเขตุ ซึ่งเป็นผู้มีวิชาทางคงกระพันเป็นเลิศ ตลอดจนพระคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงอีกหลายท่าน อาทิ หลวงพ่อเม วัดมาบไผ่ ต.มาบไพ อ.ขลุง จ.จันทบุรี (หลวงพ่อเม ท่านสำเร็จญาณ สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ครับ), หลวงพ่ออ่ำ วัดสะตอน้อย ต.ตกพรม อ.ขลุง จ.จันทบุรี   ,หลวงพ่ออุก หลวงพ่อเจาะ วัดโป่งโรงเซ็น ต.โป่งโรงเซ็น อ.มะขาม จ.จันทบุรี ,หลวงปู่วง (ปู่ของท่าน) ,หลวงพ่อหริ่ง ,ครูเต๋า ,และครูตาสด ฯลฯ

   หลวงพ่อคงได้ออกเดินธุดงค์ไปทั่วประเทศ ตลอดจนข้ามไปทางฝั่งประเทศพม่า กัมพูชา เพื่อฝึกฝนวิชาที่ท่านได้ร่ำเรียนมา โดยเฉพาะวิชา เสือสมิง ท่านมีความเชี่ยวชาญชำนาญเป็นพิเศษ ดังจะเห็นได้ว่า วัตถุมงคลของท่านแทบทุกรุ่น จะต้องมีรูปเสือสมิง ปรากฏอยู่ด้วย

     หลังจากที่ได้เดินธุดงค์จนเป็นที่พอใจแล้ว ท่านได้กลับมาอยู่ที่วัดวังสรรพรส และได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่พ.ศ.๒๕๐๘ เป็นต้นมา


การสร้างวัตถุมงคล
 
     หลวงพ่อคง สุวัณโณ อดีตเจ้าอาวาส วัดวังสรรพรส นับว่าท่านเป็นพระเกจิคณาจารย์รูปหนึ่ง เราจะสังเกตุเห็นเด่นชัดว่างานมหาพุทธาภิเษกวัตถุมงคลทุกครั้งไม่ว่าภาคไหนก็จะมีรายชื่อของท่านติดอยู่ในทำเนียบงานนั้นด้วยท่านผู้อ่านคงจำได้เมื่อคราวปลุกเสกครั้งยิ่งใหญ่ที่ท้องสนามหลวงเมื่อปีพ.ศ. 2500 หลวงพ่อคงท่านก็มาในพิธีครั้งนั้นด้วย  หลวงพ่อคงเริ่มเป็นที่รู้จักของประชาชนทั้งไกลและใกล้เมื่อสงครามโลกครั้งที่2 ท่านได้เริ่มทำธง  เสื้อยันต์ ตะกรุด และปลัดแจกเรื่อยมา
 
     นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 อันเป็นปีกึ่งพุทธกาล เพื่อสมนาคุณแก่ผู้ที่มีส่วนร่วมสร้างพระอุโบสถ ดังนั้นในปีนั้นท่านจึงได้จัดทำเหรียญรูปเหมือนของท่านเป็นครั้งแรก ท่านได้นำเหรียญของท่านมาเข้าพิธีที่ท้องสนามหลวงด้วย ภายหลังท่านก็นำเหรียญของท่านปลุกเสกในวาระอื่นๆด้วย เช่นงานทอดกฐิน งานทอดผ้าป่า และงานวันเกิดของหลวงพ่อ จำนวนสร้างทั้งหมด 15,000 เหรียญ ผิวเหรียญสีขาวเนื้ออัลปาก้าทั้งหมด เหรียญรุ่นนี้เคยมีอภินิหารเป็นที่เลื่องลือกันมาก
 
      วัตถุมงคลหลวงพ่อมีประสบการณ์มากมาย โดยเฉพาะด้านคงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม ค้าขายดี แคล้วคลาดปลอดภัย เป็นที่เลื่องลือไปทั่ว จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังกล่าวถึงตลอด หลวงพ่อคงมีจริยาวัตรงดงามมาก บุคคลต่างๆรวมทั้งลูกศิษย์ลูกหาจากทั่วประเทศเดินทางมากราบไหว้ท่าน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หลวงพ่อคงใจดี มีเมตตา ช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนมาโดยตลอด ไม่ลำเอียง ใครเจ็บป่วยมาหาท่าน ท่านจะเมตตาช่วยเหลือตลอดทุกคนเสมอไป หลวงพ่อคงมีแต่ให้กับให้ ใครมาขออะไรก็ให้ทั้งนั้น แม้กระทั่งเงินและวัตถุมงคล ตลอดระยะเวลาในการอุปสมบทของท่าน ท่านได้ปฏิบัติตามกฏของสงฆ์อย่างเคร่งครัดมีการครองผ้าสวดมนต์ ทำวัตรเช้า เย็น ตลอดมามิได้ขาด จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระครูอาคมวิสุทธิ์  ซึ่งแปลว่า พระผู้ซึ่งมีอาคมขลังเป็นที่สุด
 
หลวงพ่อคงได้อนุญาตให้ลูกศิษย์สร้างวัตถุมงคลทั้งที่เป็นประเภท เหรียญ รูปหล่อ และพระเนื้อผง มากมายหลายสิบรุ่น ส่วนวัตถุมงคลประเภทเครื่องราง อาทิ ผ้ายันต์ ตะกรุด รวมทั้งปลัดขิก และเขี้ยวเสือต่างๆ หลวงพ่อคงได้สร้างเองก็มีหลายแบบ ล้วนแล้วต่างมีประสบการณ์มากมายและส่วนมากวัตถุมงคลของท่านจะทำการปลุกเสกเดี่ยวจนครบไตรมาส จึงจะเอามาออกแจกใครได้รับต่างก็หวงแหน

 
 
ปลายชีวิตหลวงพ่อคง
 
     ในช่วงท้ายของชีวิตหลวงพ่อคงได้อาพาธเป็นไข้หวัดใหญ่ และปอดบวม มีโรคแทรกซ้อน เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2532 ลูกศิษย์ได้ส่งหลวงพ่อคงไปรักษาที่ รพ.ตากสิน จันทบุรี  จนพอทุเลา ท่านก็ขอกลับมาที่วัดวังสรรพรส และต่อมาอีกไม่กี่วัน ท่านก็ได้จากพวกเราไปอย่างสงบ ณ วัดวังสรรพรส ในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2532 เวลา 10.15 น.รวมสิริอายุได้ 87ปี พรรษาที่ 55 ก่อนที่จะท่านมรณะภาพ หลวงพ่อคง สุวณฺโณได้ปรารถ กับศิษยานุศิษย์ว่า ให้เก็บร่างท่านไว้ มิฉนั้นต่อไปจะไม่มีคนมาวัด

    หลังจากที่ท่านมรณภาพไปแล้วหลายสิบปี   เส้นเกศาของท่านยังยาวออกมาตลอดครับ


ขอบคุณภาพบางส่วนจากเว็บ http://sites.google.com/site/luangporkong/luangporkong-history   

3
สืบเนื่องจากมีสมาชิกท่านหนึ่งได้ตั้งกระทู้เกี่ยวกับพระบัวเข็ม หรือพระอุปคุต  ผมได้ชมสารคดีเกี่ยวกับทะเลสาปอินเล วัดป่าวต่ออู หรือวัดพระบัวเข็มที่ตั้งกลางทะเลสาปอินเลอยู่หลายครั้ง  จึงขอนำภาพความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาของชนชามพม่ามาฝากสมาชิกเว็บบอร์ดวัดบางพระทุกท่านครับ  

   "อินเล" เป็นทะเลสาปน้ำจืดอยู่ท่ามกลางขุนเขาสวยงาม มีความยาวกว่า 20 กิโลเมตรและกว้างประมาณ 10 กิโลเมตร ณ ทะเลสาปอินเลแห่งนี้ถือเป็นมนต์เสน่ห์ที่เย้ายวนให้นักท่องเที่ยวทั่วสารทิศต่างหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวชม



วิถีชีวิตของชาวบ้านในรอบๆทะเลสาปอินเล












   ทะเลสาป "อินเล" เป็นที่อยู่อาศัยของชาติพันธุ์ต่างๆ มากกว่า 35 เผ่า มีบ้านเรือนชุมชนชาวบ้านอาศัยอยู่บน "พื้นที่ลอยน้ำ" ซึ่งไม่ใช่พื้นดิน กลางทะเลสาปและโดยรอบ มากกว่า 200 ชุมชนอินเลจึง กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับ World Class Attration เพราะมีภูมิประเทศ วิถีชีวิต ความเป็นธรรมชาติที่สวยงาม แปลกตาไม่เหมือนที่ ใดๆ ในโลกใบนี้หรือแม้แต่ในประเทศพม่าเอง

      ชาวบ้านในทะเลสาปอินเลหลายพันคนยังชีพอยู่ได้ด้วยการประมง การทำการเกษตรลอยน้ำ (Floating Garden) หรือปลูกผักบนผืนหญ้าและดินที่ลอยบนน้ำที่ใสสะอาด ปราศจากมลพิษหล่อ เลี้ยงชาวรัฐฉาน นอกจากนี้การเดินทางไปมาของชาวอินเลยังใช้การพายเรือด้วยเท้าอันเป็น เอกลักษณ์เฉพาะอีกด้วย

      ในอินเลสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ที่เหมือนคนไทยคือการนับถือศาสนาพุทธ แต่วัดของอินเลก็ยัง คงความเป็น World Class Attration เช่นเดิมคือตั้งอยู่กลางทะเลสาปมีสีขาวสวย งามชื่อวัดป่าวต่ออู ซึ่งมีตำนานความศักดิ์สิทธิ์อันชวนให้ค้นหาอย่างหลากหลาย









แปลงมะเขือเทศลอยน้ำมีให้เห็นเป็นช่วง ๆ หลักไม้ไผ่ปักลงบนแปลงเพื่อยึดต้นมะเขือเทศเมื่อโต แต่ตอนนี้มันดูเหมือนหลักเหล่านี้กำลังค้ำฟ้า ค้ำเมฆเทา ๆ ที่กำลังถล่มลงสู่ทะเลสาบ ชาวอินทายังคงพายเรือไปตามร่อง ตามแปลงมะเขือเทศ  หากขึ้นไปเหยียบบนแปลงลอยน้ำ จะสัมผัสถึงความนุ่มนิ่ม เหมือนหญ้าแห้งลอยน้ำ เพราะมันเป็นหญ้าลอยน้ำที่เขาเอาดินเอาสาหร่ายวางทับอีกที คำนวณดูแล้วน้ำไม่ลึกเท่าไหร่ครับ



ที่มา - http://www.naewna.com/

4
ทุกท่านคงรู้จักศีล ๕ กันดีแล้ว แต่เพียงรู้จักว่าศีล ๕ ข้อมีอะไรบ้างเท่านั้น ยังไม่พอครับ  ผู้รักษายังต้องรู้เลยไปถึงว่า ท่านวางกฎเกณฑ์ไว้อย่างไรในการวินิจฉัยว่าทำอย่างไรแค่ไหนจึงล่วงศีล คือศีลขาด โดยใช้กฎเกณฑ์ในการวินิจฉัยที่ท่านเรียกว่า "องค์ของศีล" เป็นเครื่องตัดสิน ถ้าครบองค์ของศีลข้อนั้นๆ ศีลข้อนั้นก็ขาด ถ้าไม่ครบองค์ที่วางไว้ ขาดไปหนึ่งหรือสองข้อ ถือว่าศีลไม่ขาด แต่ศีลก็เศร้าหมอง องค์ของศีลที่ท่านวางไว้จึงเป็นเครื่องเตือนใจให้สำรวมระวังไม่ประมาท

องค์กรรมของศีลแต่ละข้อครับ

ศีลข้อ ๑ มีองค์ ๕ คือ
๑. ปาโณ สัตว์มีชีวิต
๒. ปาณสญฺญิตา รู้ว่าสัตว์มีชีวิต
๓. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า
๔. อุปกฺกโม เพียรเพื่อจะฆ่า
๕. เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความเพียรนั้น

ถ้าครบองค์ ๕ ศีลข้อ ๑ ก็ขาด ถ้าไม่ครบ ๕ ข้อ ศีลไม่ขาด แต่ก็เศร้าหมอง

โทษของศีลข้อ ๑ นี้ อย่างหนักทำให้ไปเกิดในอบาย เป็นสัตว์นรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน อย่างเบาทำให้อายุสั้นเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์
กล่าวคือ ถ้าฆ่าสัตว์ใหญ่ โทษก็มาก ถ้าฆ่าสัตว์เล็ก โทษก็น้อย
ถ้าฆ่าสัตว์มีคุณมาก โทษก็หนักมาก ถ้าฆ่าสัตว์มีคุณน้อย โทษก็น้อยลดหลั่นกันลงไป
ถ้าเจตนา คือความจงใจแรง โทษก็แรง ถ้าเจตนาคือ ความจงใจอ่อน โทษก็น้อย
ความพยายามมากโทษก็มาก ความพยายามน้อยโทษก็น้อย




ศีลข้อ ๒ มีองค์ ๕ คือ
๑. ปรปริคฺคหิตํ ของมีเจ้าของหวงแหน
๒. ปรปริคฺคหิตสญฺญิตา รู้ว่ามีเจ้าของหวงแหน
๓. เถยฺยจิตฺตํ จิตคิดจะลัก ( ทั้งโดยคิดลักเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นลักแทน )
๔. อุปกฺกโม เพียรเพื่อจะลัก
๕. เตน หรณํ นำของมาด้วยความเพียรนั้น
ถ้าครบองค์ ๕ ศีลข้อสองนี้ก็ขาด

โทษของศีลข้อ2 นี้ อย่างหนักทำให้ไปเกิดในอบายเช่นเดียวกับศีลข้อ ๑ อย่างเบาทำให้ทรัพย์สมบัติพินาศไปเมื่อเกิดเป็นมนุษย์



ศีลข้อ ๓ มีองค์ ๔ คือ
๑. อคมนียวตฺถุ วัตถุที่ไม่ควรถึง (คือชาย หรือหญิงที่มีเจ้าของ หรือมีผู้คุ้มครองดูแลรักษา  ลูกสาวคนอื่นที่ไม่มีคู่ครอง ไม่ขออนุญาตจากผู้ปกครองก็เข้าข่ายนี้ครับ)
๒. ตสฺมึ เสวนจิตตํ จิตคิดจะเสพในวัตถุนั้น
๓. เสวนปฺปโยโค พยายามที่จะเสพ
๔. มคฺเคน มคฺคปฺปฏิปตฺติ อธิวาสนํ ทำมรรคต่อมรรคให้ถึงกัน(คือการนำอวัยเพศของกันและกันให้จรดถึงกันครับ)
ถ้าครบองค์ ๔ ที่วางไว้ ศีลข้อ ๓ นี้ก็ขาด

โทษของศีลข้อ ๓ นี้ อย่างหนักทำให้เกิดในอบาย อย่างเบาทำให้มีศัตรู คู่เวร เมื่อเกิดเป็นมนุษย์เกิดเป็นกระเทย เป็นทอม เป็นดี้  เป็นตุ๊ต เป็นแต๋วหลายภพหลายชาติหรือเมื่อเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือมนุษย์แล้วต้องถูกตอนครับ



ศีลข้อ ๔ มีองค์ ๔ คือ
๑. อตถํ วตฺถุ เรื่องไม่จริง
๒. วิสํวาทนจิตฺตํ จิตคิดจะพูดให้ผิด
๓. ตชฺโช วายาโม พยายามพูดออกไป
๔. ปรสฺส ตทตฺถวิชานนํ คนอื่นเข้าใจเนื้อความนั้น
ถ้าครบองค์ ๔ ที่วางไว้ ศีลข้อ ๔ ก็ขาด

โทษของศีลข้อ ๔ นี้ อย่างหนักทำให้เกิดในอบาย อย่างเบาทำให้ถูกกล่าวตู่ด้วยคำที่ไม่เป็นจริง ในเมื่อเกิดเป็นมนุษย์



ศีลข้อ ๕ มีองค์ ๔ คือ
๑. มทนียํ ของทำให้เมามีสุราเป็นต้น
๒. ปาตุกมฺยตาจิตฺตํ จิตใคร่จะดื่ม
๓. ตชฺโช วายาโม พยายามดื่ม
๔. ปีตปฺปเวสนํ ดื่มให้ไหลล่วงลำคอเข้าไป
ถ้าครบองค์ ๔ ที่วางไว้ ศีลข้อที่ ๕ ก็ขาด

โทษของศีลข้อ ๕ นี้ อย่างหนักทำให้เกิดในอบาย อย่างเบาทำให้เป็นบ้า ขาดสติ ในเมื่อเกิดเป็นมนุษย์



อาจจะยาวไปนิดนะครับ แต่ถ้าได้อ่านผมว่าหลายท่านคงจะเข้าใจเรื่องศีลเหมือนที่ผมเข้าใจ  จะได้พาชีวิตให้รอดพ้นจากการทำบาป ตายไปจะได้ไปสุคติด้วยอานิสงส์แห่งการรักษาศีลครับ

ขอบคุณพื้นที่เว็บบอร์ดวัดบางพระครับ

ที่มา http://banimboon.unbbz.com/board/topic-13-last.un








5
มีบางคนยังสงสัยว่าที่เขาเรียกกันเสาร์ ๕ มันมาจากไหน นับกันอย่างไร  ส่วนตัวผมก็พอจะทราบหลักการนับแต่ถ้าจะถามประวัติก็คงไม่ทราบแน่นอนครับ  แต่ที่พอจะทราบได้ก็คือ เลข ๕ นั้นเป็นเลขมงคลที่บางท่านจะเขียนย่อจากพระนามของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ในกัปปนี้คือ "ปัญจพุทธา"  หรือ "นะโมพุทธายะ"   ส่วนวันเสาร์ก็เป็นวันแข็ง  วันดีครับ

เราในฐานะพุทธศาสนิกชน จึงนับวันกันตามข้างขึ้นข้างแรม  โดยยึดการนับตามหลักจันทรคติ  ซึ่งนับมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลแล้ว  ซึ่งจะพูดว่าชาวตะวันออกหรือชาวเอเซียนับวันตามหลักจันทรคติ  และชาวตะวันตกหรือชาวยุโรปนับวันตามหลักสุริยคติ ก็ไม่ผิดครับ

และที่เรียกกันว่า "เสาร์ ๕" นั้นเพราะวันนั้นตรงกับวันขึ้น ๕ ค่ำหรือวันแรม ๕ ค่ำ  เดือนใดเดือนหนึ่งในสิบสองเดือนครับ

โดยเสาร์ ๕ จะแบ่งออกเป็นหลายลักษณะเช่น เสาร์ ๕ ใหญ่  ,เสาร์ ๕ เล็ก ,เสาร์ ๕ ข้างขึ้น , เสาร์ ๕ ข้างแรม ครับ

โดยปีนี้จะมีเสาร์ ๕ มีอยู่ ๓ วันคือ

๑.  เสาร์ ๕ ใหญ่ คือวันที่ตรงกับขึ้น ๕ ค่ำเดือน ๕  หรือปีนี้ที่ตรงกับวันที่ ๒๐ มีนาคม ตามที่หลายๆท่านทราบกันดี

๒. เสาร์ ๕ เล็ก (ข้างแรม) ตรงกับแรม ๕ ค่ำ เดือน ๘-๘ (แปดหลัง)  หรือปีนี้ที่ตรงกับวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ครับ

๓. เสาร์ ๕ เล็ก (ข้างขึ้น)  ตรงกับขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๑  หรือหรือปีนี้ที่ตรงกับวันที่ ๑๑ ธันวาคม ครับ



บางครั้งเราก็อาจจะเห็นบางคนนับวันเสาร์ ๕ ที่ตรงกับวันเสาร์แต่เป็นวันที่ ๕ (ตามสากล) ไม่ได้เป็นวันเสาร์ข้างขึ้นหรือข้างแรม ๕ ค่ำ  เช่นปีนี้ก็มีวันแบบนี้คือวันเสาร์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๓ ซึ่งวันนั้นไม่ถือว่าเป็นวันเสาร์ ๕ เพราะตามจันทรคติแล้วตรงกับแรม ๘ ค่ำเดือน ๗ ครับ  เสาร์ ๕ แบบนี้ผมศึกษาตำรับตำราหลายที่แล้วไม่ปรากฏเจอในพงศาวดารไทยหรือตำราตามพระพุทธศาสนาหรือศาสนาพราหมณ์เลยครับ  อาจจะเป็นการเข้าใจผิด  แต่ถ้าจะเอาเป็นฤกษ์ดี วันดี เพื่อทำความดี สร้างบุญสร้างกุศล  อันนี้ผมก็ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ

6
ขออนุญาตทางเว็บบอร์ดวัดบางพระ และขออนุญาตพี่ Gearmour ด้วยครับ

จากการที่ได้ทราบข่าวอาการอาพาธของหลวงปู่จากพี่  Gearmour ตลอดมา  จึงได้ทราบว่าตอนเช้าวันนี้คือวันที่ 9 ก.ย. 2552  อ.อั้นท่านจะไปเยี่ยมหลวงปู่ที่รพ.  , ช่วงประมาณ 17:30 น. ผมจึงได้โทรศัพทย์หาอ.อั้น ซึ่งได้รับข่าวดีว่าหลวงปู่ได้กลับมาจำวัดที่วัดท้องไทรแล้ว  ตามที่พี่  Gearmour  ได้แจ้งข้างต้นไว้ว่าหลวงปู่น่าจะได้ออกจากรพ.ในวันนี้  และอ.อั้นได้แจ้งว่าหลวงปู่มีอาการดีขึ้น และต้องพักผ่อนซักระยะหนึ่งครับ

ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมต้องรอติดตามจากพี่  Gearmour ต่อไปนะครับ   ผมทราบรายละเอียดเพียงเล็กน้อย แต่ก็อยากมาโพสลงในบอร์ดไว้ก่อน เพราะเห็นมีหลายท่านต้องการทราบข่าวอาการของหลวงปู่ครับ

ขอขอบพระคุณอ.อั้นและพี่ Gearmour เป็นอย่างสูง

ถ้าผมได้กระทำผิดพลาดประการใดขออภัย ณ ที่นี้ด้วยครับ
เณรน้อยเส้าหลิน

7
วันนี้ขออนุญาตเอาข้อห้ามหลักๆสำหรับบุคคลที่ฝังเข็มทองมาฝากสมาชิกใหม่ที่พึ่งเข้ามาในเวปบอร์ดวัดบางพระ และพึ่งฝากตัวเป็นศิษย์สายเข็มทองของหลวงปู่พิมพ์ มาลโย  วัดหุบมะกร่ำ กันนะครับ  

1. ห้ามด่าบุพการี (บิดา มารดา)ของตนเองและผู้อื่น และห้ามลบหลู่คุณครูบาอาจารย์

2. ห้ามประพฤติผิดในกาม(ล่วงละเมิดสามีและภรรยาของผู้อื่นที่มีเจ้าของครอบครอง)

3. ห้ามบ้วนน้ำลายลงในโถปัสสาวะ อุจจาระ และสถานที่ที่สกปรก เช่นท่อระบายน้ำ  เป็นต้น

4. ขณะถ่ายหนัก ถ่ายเบา ห้ามเปิดปากเด็ดขาด ไม่ว่าจะพูดคุย หรือสูบบุหรี่

5. ห้ามเตะสุนัข  และห้ามใช้เท้าเล่นกับสุนัขครับ เพราะเท่าที่ทราบหลวงปู่พิมพ์มาลัยท่านเกิดปีจอครับ


เมื่อฝังเข็มทองมาแล้วให้หมั่นภาวนา "พุทโธ" บ่อยๆครับ



$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$$



สำหรับบุคคลที่พึ่งได้รับการฝังตะกรุดเสน่ห์มอญ หรือจะใช้ตะกรุดเสน่ห์มอญในครั้งแรก  ถ้าจะให้ดีควรมีเครื่องบูชาครูบาอาจารย์  คุณปู่วร ก้อนใบ ด้วยดังนี้ครับ

1.  หมากพลู 5 คำ

2.  บุหรี่ 1 มวน ตอนถวายจุดด้วยครับ

3.  ขนมเปี๊ยะไส้ฟัก 1 อัน

4.  น้ำเปล่า 1 แก้ว

5.  ดอกไม้ ธูป เทียน


การตั้งเครื่องบูชาส่วนใหญ่จะตั้งบูชากันในวันพฤหัสบดี หรือวันพระครับ

การใช้ตะกรุดมอญต้องมั่นภาวนา "อะระหัง" อยู่บ่อยๆครับ  การใช้ต้องคาดไว้ที่เอว ให้ตะกรุดอยู่หน้าท้อง ใต้สะดือครับ และเวลาเสพสังวาสก็ไม่ต้องถอดครับ

ปล.อย่าลืมนั่งสมาธิเจริญภาวนาบ่อยๆด้วยนะครับ
 

8

เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น  ถ้าจะว่าไปแล้วผมถือว่าเป็นคนที่ทำให้ทุกคนเข้าใจผิด  เป็นคนทำให้มีเรื่องเกิดขึ้นมาครับ

โดยผมไม่ขอเล่ารายละเอียดเรื่องทั้งหมด เพราะปัจจุบันได้ทำความเข้าใจกันแล้วครับ  เรื่องที่เกิดขึ้นเพราะคำพูดของผมบางคำพูดได้ไปพลาดพิงถึงพระอาจารย์ ซึ่งเป็นที่เคารพของทุกคน รวมทั้งตัวของผมเองด้วย   ถึงคำพูดนั้นจะมิได้เจตนาเป็นการลบหลู่ที่ออกมาจากใจของผมก็ตาม  จะเป็นคำพูดเพื่อลองใจหรือไม่นั้นไม่สำคัญ  แต่ไม่สมควรอย่างยิ่งในฐานะศิษย์คนหนึ่งที่จะกล่าวถึงพระอาจารย์ในทางที่ไม่ดี ถึงจะมีจุดประสงค์ใดๆก็ตาม และเมื่อเรื่องราวผ่านไปทำให้มีการตีความหมาย และสับสนเป็นอย่างมากในหมู่ลูกศิษย์ทุกคนครับ

และเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมากระผมได้ไปกราบพระอาจารย์ที่วัด  ได้นำพวงมาลัย ธูปเทียนแพไปขอขมาพระอาจารย์  พระอาจารย์ท่านก็เมตตาต่อกระผมเป็นอย่างมาก ท่านได้อโหสิกรรมเรื่องทั้งหมดให้กระผม  ท่านได้บอกว่าท่านไม่ได้ติดใจอะไร  แต่อยากให้ลูกศิษย์รักและสามัคคีกัน  ผมรู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของพระอาจารย์เป็นอย่างมากครับ

ที่ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อแสดงความรับผิดชอบในคำพูดของผม  ต่อไปนี้กระผมจะระมัดระวังคำพูดของกระผมให้มากขึ้นครับ

กระผมขอกราบแทบเท้าหลวงพี่ญา หลวงอาโด่ง พระอาจารย์ทุกรูป และหลวงพี่นรินทร์   ที่ได้เมตตาแนะนำชี้แนะ ได้เมตตาเป็นห่วงผมเสมอมาครับ

สุดท้ายกระผมขอขอบคุณทุกท่านที่เข้าใจ ที่ได้เป็นห่วง และบางท่านได้ให้คำแนะนำ เป็นที่ปรึกษาที่ดีตลอดมา  ตลอดทั้งต้องขอโทษคุณลุง คุณอา และพี่น้องวัดบางพระทุกท่าน ตลอดจนท่านชลาพุชะ(พี่ศักดา) ที่ทำให้ไม่สบายใจครับ

กราบแทบเท้าพระอาจารย์ทุกรูปด้วยความเคารพอย่างสูง

9
วันนี้ผมขอนำรูปวัดป่านานาชาติ  สาขาวัดหนองป่าพง ที่หลวงปู่ชา สุภัทโท ได้ดำริสร้างมาให้ชมกันครับ

บางรูปบางภาพอาจจะเคยเห็นแล้ว แต่วันนี้ผมอยากจะนำเสนอแบบรวมรูปมาให้ชมกันครับ

ผมขอใช้ภาพเป็นผู้เล่าเรื่องแล้วกันครับ






































ขอบคุณที่มาของรูป
http://www.guideubon.com/

10
หลวงปู่ครูบาอินตา วัดวังทอง  ต.เหมืองง่า อ.เมือง จ.ลำพูน มรณภาพแล้วเมื่อเช้าวันนี้ครับ



เส้นเกศาหลวงปู่ครูบาอินตา ธนกฺขนฺโธ




ครูบาอินตา เคยมรณะภาพแล้วฟื้น

          เมื่อเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2531 ครูบาอินตาได้อาพาธหนัก และเข้ารักษาที่ รพ.ลำพูน จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2532 อาการยังไม่ดีขึ้นและทรุดหนักจนไม่รู้สึกตัว   แพทย์จึงนำส่งโรงพยาบาลแมคคอร์มิค จังหวัดเชียงใหม่ แพทย์ได้นำครูบาอินตาเข้าห้อง ไอซียู และไม่รู้สึกตัวถึง 8 วัน พอถึงวันที่ 7 มีนาคม 2532 แพทย์ได้มาแจ้งว่าครูบาอินตามรณภาพแล้ว

          ทำให้ลูกศิษย์ ต่างเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก ขณะที่แพทย์จะฉีดยาศพ ปรากฏว่า เข็มฉีดยากับแทงไม่เข้าและได้หักงอ แพทย์จึงตัดสินใจไม่ฉีดยาศพ และเมื่อจะอาราธนาศพขึ้นรถ เพื่อไปส่ง ณ วัดวังทอง  หลวงปู่ครูบาอินตา ก็รู้สึกตัวและเหนื่อยหอบ สร้างความตกในแก่แพทย์ และได้นำครูบาอินตาเข้าห้อง ไอซียู และรักษาจนหายปกติครับ

ขอบคุณที่มา เวปบอร์ดพลังจิต






11
วันนี้ขอนำรูปพระมหาลาภคำข้าว  ของพระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง จ.อุทัยธานีที่มีอยู่มาให้ชมกันนะครับ

สำหรับพระคำข้าวทำได้ยากมาก เพราะต้องเสกข้าวที่มีรสอร่อยที่สุดออกจากปากนำมาเสก ทำอย่างนี้ครบ ๓ เดือนแล้วจึงทำเป็นผง แล้วนำเข้าพิธีพุทธาภิเษกอีกวาระหนึ่งครับ

หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้เล่าความอัศจรรย์ของพระคำข้าว สมัยที่ท่านยังอยู่กับหลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค จ.อยุธยาไว้ดังนี้ครับ






"เมื่อสมัยหลวงพ่อ(ปาน)ยังทรงชีวิตอยู่ ท่านทำพระไว้องค์หนึ่ง เสกข้าว ๓ เดือนนี่ปรากฏว่า คำไหนอร่อยมากคำนั้นไม่กินเอาออกเก็บ สำหรับที่ฉันนี่ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า คำแรก ยังไม่ต้องกิน กับข้าวที่ดีที่สุดผสมก่อน เสกเก็บนะ ก็ทำจริง ๆ ๔ เดือน ไปไหนก็ทำ หมายความว่าบังเอิญจะมาที่นี่ ก่อนจะกินก็ต้องทำเก็บไว้เหมือนกัน เพราะคำว่า ๓ เดือน ๓ เดือน นี่จะขาด สักวันหนึ่งไม่ได้เลย แล้วก็ผลจริง ๆ ที่เคยปรากฎนะ ที่หลวงพ่อปาน ท่านทำ ใช่ไหมทำแล้วก็ทำเป็นผงผสมไว้แล้วก็สร้างเป็นพระพุทธรูปไว้บูชาที่พระสวดมนต์"





คำอาราธนาให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหมด รวมทั้งเทวดาและพรหม ครูบาอาจารย์ทั้งหมดมีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อ.เสนา จ.อยุธยา เป็นที่สุด แล้วตั้งนะโม ๓ จบ ปฏิบัติตามปกติ ว่าอิติปิโส ๑ จบ หลังจากนั้นให้อธิษฐานเอาตามประสงค์ เมื่ออธิษฐานแล้ว ว่าคาถาปลุกพระของหลวงพ่อปานว่า

"อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะ เดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด"


  
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากเว็บพลังจิตครับ



12
ผีลูกกรอก โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซัง อุทัยธานี


ผู้ถาม : หลวงพ่อค่ะ ลูกกรอกกับผีเหมือนกันไหมค่ะ ?

หลวงพ่อ : ลูกกรอกกับผีธรรมดานี่ไม่เหมือนกัน ลูกกรอกมันมีสภาพกึ่งผีกึ่งเทวดา จะเป็นเทวดาก็เป็นไม่ได้เต็มที่ จะถือเหมือนผีธรรมดาก็ไม่ได้ เพราะพวกนี้มีศักดิ์ศรีสูงกว่า มีอำนาจมาก


ผู้ถาม : แล้วที่เห็นว่าเป็นเด็กล่ะค่ะ ?

หลวงพ่อ : ตามธรรมดาผีไม่มีเด็ก แต่ที่เห็นว่าเป็นเด็กนะ เขาทำให้ดู

ถ้าผีจริงๆไม่มีเด็ก มันจะเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมด แก่ก็ไม่มี ถ้าเราเห็นภาพคนแก่ แสดงว่าเขาตายเมื่อตอนแก่ นั่นเขาแสดงภาพให้ดู



ผู้ถาม : ลูกกรอกจะมีชีวิตอยู่นานไหมคะ  

หลวงพ่อ :มันเป็นไปตามกำลัง แต่ว่าเวลาเขามี บางทีก็ถึง20ปี ก็ไม่นานนัก


ผู้ถาม : ถ้าหากว่าบ้านมีลูกกรอกแล้วจะทำอย่างไรดีค่ะ ?  

หลวงพ่อ : ถ้ามีลูกกรอกจริงๆ ก็ควรจะรีบ ถวายสังฆทานให้เสียเลย มีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ผ้าไตรชุดหนึ่ง ถ้าหากว่าทำอย่างนี้แล้ว พวกหมอเรียกไปไม่ได้ ถ้าไม่งั้นเผลอไม่ได้มันเรียกไป ถึงแม้ว่าเราจะไม่บอกให้รู้ แต่ว่าพวกนี้มันมีผีเป็นสื่อ มันเที่ยวควานหา  


ขอบคุณข้อมูลจากทีมงานเว็บพลังจิตครับ

13

ตากิ่ม เป็นคนต้นคดปลายตรง คืออดีตทำความไม่ดีมามาก
พอมาพบหลวงพ่อก็ศรัทธาคอยอุปัฏฐากเวลาหลวงพ่อไปชัยนาท
เวลาตายจิตเศร้าหมองถูกนำตัวไปนรก หลวงพ่อไปเป็นประธานงานศพ
ขอตัวมาจากนรก หลวงพ่อช่วยให้เป็นเทวดา ด้วยบุญกรรมฐาน



หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ได้เล่าให้บรรดาพุทธบริษัทฟังว่า

เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๔ อาตมาไปเทศน์ที่วัดศรีษะเมือง หรือวัดมหาธาตุ
อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท วันนั้นเขาทำบุญงานศพ สำหรับงานศพรายนี้
ก็ปรากฏว่าลูกสาวเป็นคนจัด คือแม่ตายแล้ว จะทำศพพ่อวันนั้น
ก็จะบวชน้องชายด้วย ตอนเช้าบวชน้อง ตอนบ่ายยกศพพ่อขึ้นมาจัดการศพ
มีเทศน์ เขาก็อาราธนาอาตมาเป็นประธาน

ก็บอกเจ้าภาพว่า "อีหนูเอ็งให้หลวงน้าเป็นประธานนี่เป็นได้
แต่ว่าให้พระเป็นประธานนี่ งานทั้งหมดจะให้เป็นบาปไม่ได้สักนิดหนึ่ง"
เธอก็ถามว่า "มันเป็นอย่างไร"
ก็บอกว่า "คือว่าสิ่งใดก็ตาม แม้แต่ไข่ลูกหนึ่งก็ห้ามทุบ
จะมาบอกว่าไข่ไม่มีตัวก็ไม่ได้ ใจมันไม่สบาย" เธอก็รับคำ
ก็แนะนำเธออีกว่า "เมื่อเวลาจัดงานศพ เมื่อเวลาพระให้ศีล
แขกจะมาจากไหนก็ช่าง ต้องรับศีลให้จบเสียก่อน และตั้งใจรับศีล
ด้วยความเคารพ เวลาพระสวดแขกจะมาอย่าเพิ่งลุกไปรับแขก
ตั้งใจฟังพระสวดด้วยความเคารพ เวลาถวายทานก็เหมือนกัน
ให้ถวายทานด้วยความเคารพ เวลาพระเทศน์ตั้งใจฟังพระเทศน์
ด้วยความเคารพ อย่าให้มีสุรายาเมาเข้ามาเจือปน"
เธอก็รับคำ แล้วก็มีผู้หญิงท่านผู้เฒ่าคนหนึ่งชื่อแฟ้ม ก็บอกว่า
"โยมต้องเป็นพี่เลี้ยงนะ" ก็ปรากฏว่าท่านรับคำ

เมื่อถึงวันงานจริงๆ วันนั้นไปเทศน์กับ ท่านเจ้าคุณภาวนาภิรามเถระ
อาจารย์วิปัสนาญาณองค์หนึ่ง ตอนต้นอาตมาก็บอกอานิสงส์ไปสัก ๑๕ นาที
เป็นการเทศน์คู่ ที่นี้ต่อมาเจ้าคุณภาวนาท่านเป็นคนถาม องค์นี้ชอบร่ายยาว
ว่าอารัมภบทอย่างน้อยที่สุดก็ ๓๐ นาที
เมื่อแกเริ่มตั้งนะโม อาตมาก็เริ่มจับจิตเข้าสู่ความสงบ คือตามแบบฉบับที่
หลวงพ่อปานท่านเคยสอน ว่าก่อนจะเทศน์ให้ทำจิตเข้าสู่พระกรรมฐานสูงสุด
เท่าที่เรามีอยู่ เพราะฉะนั้นแกว่าแกร่ายยาวนี้อาตมาก็ได้กำไร ได้กำไรตอนไหน
ตอนที่มีจิตวางอารมณ์ได้สบาย

พอวางอารมณ์ได้สัก ๕ นาที ก็มานั่งนึกถึงคนตายว่า
เออ..ตากิ่มนี่แกไปอยู่ที่ไหน ดูไปดูมาบริเวณที่เขาทำบุญ
เห็นแต่ผีคนอื่นยืนเต็มไปหมด แต่ผีตากิ่มปรากฏว่าไม่ได้อยู่ที่นั่น
จึงได้นึกในใจว่า เอ.. ตากิ่มนี่น่ากลัวจะมีอันตราย นั่นก็หมายความว่า
แกอาจจะต้องถูกลงโทษ อาจจะกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง
จึงได้กำหนดจิตถามว่า เวลานี้นายกิ่มอยู่ที่ไหน
ใครควบคุมอยู่ ขอได้โปรดนำมาก่อนด้วย ขอโอกาสนิดหนึ่ง

ภาพก็ปรากฏเห็นแกเดินมา แกเศร้าสร้อยเหลือเกิน
มีโซ่ล่ามคอมา ๒ เส้น คนจูงหางโซ่มาข้างละคน
มาถึงก็มานั่งก้มหน้าแสดงความทุกข์ ถามแกก็ไม่พูด
จึงถามคนคุมมาบอกว่า วันนี้ลูกสาวเขาบวชลูกชายแก
และทำบุญถวายสังฆทาน มีพระมากนี่และก็มีพระเทศน์
บุญนี้เป็นมหากุศล ทำไมบุญขนาดนี้นายกิ่มจะไม่มีโอกาส
ได้บ้างเชียวหรือ เขาก็ตอบว่าไม่มีโอกาส
เขาก็เลยเล่าประวัติของนายกิ่มที่ทำความไม่ดีมามาก

แต่ตอนที่ตากิ่มแกพบอาตมานี่แกทำดี เมื่อตอนนั้นยังอยู่กรุงเทพฯ
ขึ้นมาชัยนาททีไรพัก ๕ วัน ๗ วัน ตากิ่มมานอนอยู่ทุกวันไม่ยอมกลับ
ตอนเช้าไปเอาข้าวต้มมาจากบ้าน ตอนกลางวันเอาข้าวสวยมา
ตอนเย็นตอนบ่ายก็เอาเภสัชมาถวาย ทำดีทุกอย่าง แต่อดีตของแกไม่ดี
เขาเรียกว่า ต้นคดปลายตรง ตอนปลายนี่ดีมาก
เมื่อเขาเล่าประวัติจบก็เลยถามว่า "ความดีเขามีอยู่ แต่เวลาตายจิตมัวหมอง
อันนี้ทำอย่างไร จึงจะให้เขามีโอกาสโมทนาบุญได้"
คนที่คุมมาเขาก็เลยบอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน บุญที่ลูกทำให้ก็ดี
หรือที่นายกิ่มทำมาแล้วก็ดี เวลานี้กำลังไม่พอ"
จึงได้ถามว่า "กำลังบุญอะไรมันถึงจะพอ"
แกก็บอกว่า "กำลังของบุญกรรมฐาน"

บุญกรรมฐานมีกำลังใหญ่มาก สามารถจะแหวกวงล้อมเข้าไปได้
ถ้าไม่หนักจนเกินไป คือยังไม่ลงนรกละก็ช่วยได้ ก็เลยบอกว่า
"ถ้าอย่างนั้น ฉันจะอุทิศส่วนกุศลให้ตากิ่มจะได้ไหม เพราะ
แกมีบุญคุณกับฉันมาก"
คนคุมเขาก็บอกว่า "ก็ดีเลยบุญของท่านมีกำลังเยอะ"
ก็บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วฉันจะให้นายกิ่ม"
ก็เลยตั้งใจอธิษฐานว่า "ด้วยอำนาจบุญกุศลบุญบารมีที่บำเพ็ญมา
ตั้งแต่ต้นจนกระทั้งถึงบัดนี้ จะพึงมีประโยชน์และความสุข
แก่ข้าพเจ้าเพียงใด ขอให้นายกิ่มจงโมทนาผลบุญนี้
และมีประโยชน์และความสุขเช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึ่งได้รับ"

เพียงเท่านี้ละบรรดาท่านพุทธบริษัท ปรากฏว่า
โซ่ล่ามรัดคอมาทั้ง ๒ เส้น มันหลุดลงไปทันที
แล้วนายกิ่มก็ก้มลงกราบครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ ยังมีสภาพเดิม
พอครั้งที่ ๓ แหม สวยอร่ามเป็นเทวดามีความสวยผิดปกติ
จึงได้ถามคนคุมว่าทำไมเขาถึงสวยมาก
เขาบอกว่า ด้วยอำนาจบุญกรรมฐานที่ท่านให้
สามารถจะปลดเปลี้องเขาออกจากความทุกข์
เมื่อบุญส่วนใดส่วนหนึ่งเข้าถึงใจแล้ว
บุญทั้งหมดที่นายกิ่มทำก็ดี ที่ลูกสาวทำให้วันนี้ก็ดี
มันก็รวมตัวกันหมด จึงเป็นเทวดาที่มีความสวยงามมาก


ขอบคุณคุณชนะ สิริไพโรจน์  ทีมงานเว็บพลังจิตด้วยครับ

14


ยันต์เกราะเพชรมีไว้กันคุณไสย ไม่ใช่แก้คุณไสย

ถาม : ในกรณีที่เพื่อนโดนของและไม่สะดวกที่จะพาเพื่อนไปร่วมพิธียันต์เกราะเพชร รวมทั้งเพื่อนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ จะใช้วิธีเอารูปพร้อมวัน เดือน ปี เกิดไปเข้าพิธีแทน เพื่อที่จะช่วยแก้และป้องกันคุณไสยจะได้หรือไม่คะ ?

ตอบ : เท่าที่มีประสบการณ์มา ยันต์เกราะเพชรมีไว้กันคุณไสย ไม่ใช่แก้คุณไสย แต่บุคคลที่ถูกคุณไสยมา ถ้าเข้าร่วมพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร คุณไสยจะเสื่อมลงทันที ถ้าเขาไม่เชื่อและไม่ไปร่วมพิธี ก็ไม่สามารถที่จะช่วยเขาได้

ถาม : ยันต์เกราะเพชรป้องกันในเรื่องของยาสั่งได้ไหมครับ และคนที่ทำกับเราจะเป็นอย่างไรครับ ?

ตอบ : ป้องกันได้ แต่ต้องมีการเตรียมการล่วงหน้า คือตอนเช้ามืดภาวนา อิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ จนอารมณ์ตั้งมั่น แล้วกลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง จะป้องกันอันตรายได้ทุกอย่าง ไม่ใช่ว่าไม่มีการเตรียมพร้อมเลยแล้วไปโดนเข้า ถ้าแบบนั้นก็แย่หน่อย สำหรับคนที่ทำเราแบบนั้น ถึงเราไม่ทำอันตรายอะไร นานไปเขาก็จะแพ้ภัยตัวเอง

สนทนากับหลวงพี่เล็ก สุธมฺมปญฺโญ (ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง อุทัยธานี)
เดือนตุลาคม ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ



ขอเชิญร่วมพิธี เป่ายันต์เกราะเพชร

วันเสาร์ที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๒

ที่วัดท่าขนุน  หมู่ที่ ๑ ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี










วันเสาร์ที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๒
ณ วัดท่าขนุน หมู่ที่ ๑ ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี


กำหนดการเป่ายันต์เกราะเพชร

๐๗.๓๐ น. บวงสรวงพุทธาภิเษก

๑๐.๐๐ น. เป่ายันต์เกราะเพชร รอบแรก

๑๓.๐๐ น. เป่ายันต์เกราะเพชร รอบที่สอง


ขอบคุณข้อมูลจากทีมงานเวปพลังจิต



15

 

      วัดบ้านสวนตั่งแต่เริ่มก่อสร้างมา มีพระอาจารย์ผู้มีความรู้ความสามารถ ศึกษาวิชาสายสำนักวัดเขาอ้อสืบต่อกันมา เคียงคู่มากับวัดดอนศาลา แต่ภายหลังต่างเด่นกันคนละทาง อาจจะเป็นการประนีประนอม ไม่ต้องการชิงดีชิงเด่นกัน ในสายวัดดอนศาลานั้นโดดเด่นในทางไสยเวท มีการอาบว่านแช่ยา ทำพิธีกรรมต่างๆ ส่วนวัดบ้านสวนเด่นในทางการรักษาโรคแทน ทราบว่าคณาจารย์วัดนี้ได้สืบทอดวิชาการรักษาโรคต่อกันมาเรื่อยๆจนกระทั่งมาถึงยุคของ พ่อท่านคง

    พ่อท่านคง หรือ พระครูพิพัฒน์สิริธร นั้น ท่านเป็นศิษย์ของพระอาจารย์เอียด วัดดอนศาลา ตามประวัติของท่านที่ทางวัดบันทึกไว้และพิมพ์แจกเป็นอนุสรณ์ในพิธีผูกพัทธสีมา วัดบ้านสวน เมื่อวันที่ 4-5 เมษายน 2530 ได้กล่าวถึงประวัติของพ่อท่านคงไว้ว่า "พระครูพิพัฒน์สิริธร นามเดิมว่า คง นามสกุล มากหนู ได้ถือกำเนิดเมื่อวันพุธ ขึ้น 10 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล ตรงกับวันที่ 7 มกราคม พ.ศ.2445 จ.ศ.1264 ร.ศ.121 ณ บ้านทุ่งสำโรง หมู่ที่ 8 ตำบล นาขยาด อ.ควนขนุน จ.พัทลุง เป็นบุตรของ นายสง มากหนู และ นางแย้ม มากหนู มีพี่น้องท้องเดียวกัน 4 คน คือ
    1. นายปลอด มากหนู
    2. นายกล่ำ มากหนู
    3. นายกราย มากหนู
    4. นายคง มากหนู หรือ พระครูพิพัฒน์สิริธร ในเวลาต่อมา


ปฐมวัย

    บิดามารดาได้ถึงแก่กรรมเมื่อเด็กชายคงยังอยู่ในวัยเยาว์ จึงตกอยู่ในอุปการะของ นายชู และ นางแก้ว เกตุนุ้ย ผู้เป็นญาติ เมื่อม่อายุพอสมควรแล้ว นายชูได้นำไปฝากกับพระครูสิทธิยาภิรัตน์(เอียด ปทุมสโร) ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดดอนศาลา และเป็นเจ้าคณะตำบลมะกอกเหนืออยู่ในขณะนั้น เพื่อให้ศึกษาอักษรสมัย ในระยะแรกๆได้ศึกษาเล่าเรียนจากพระครูสิทธิยาภิรัตน์โดยตรง ต่อมาเมื่อทางวัดได้จัดตั้งโรงเรียนขึ้นแล้ว เด็กชายคงก็ได้เข้าศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนของวัดจนจบชั้นสูงสุดของการศึกษาสมัยนั้นเมื่อ พ.ศ.2462

บรรพชาอุปสมบท

    เมื่อเด็กชายคงมีอายุได้ 20 ปี มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จึงได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดสุนทราวาส ต.ปันแต อ.ควนขนุน เมื่อวันจันทร์ ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 8 ปี จอ ตรงกับวันที่ 3 กรกฎาคม 2464 โดยมี พระครูกาชาด(แก้ว)วัดพิกุลทอง ตำบลชะมวง อ.ควนขนุน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสิทธิยาภิรัตน์(เอียด ปทุมสโร)วัดดอนศาลา เป็น พระศีลาจารย์(ผู้ให้ศีล)
 
    เมื่อบรรพชาแล้วได้กลับไปอยู่วัดดอนศาลากับพระครูสิทธิยาภิรัตน์ ผู้เป็นอาจารย์ และ ในปีต่อมาก็ได้รับการอุปสมบท เมื่อ วันพฤหัสบดี ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปี กุน ตรงกับวันที่ 21 มิถุนายน 2466 ณ วัดดอนศาลา โดยมีพระครูกาชาด(แก้ว) วัดพิกุลทอง ต.ชะมวง อ.ควนขนุน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการหนู วัดเกาะยาง ต.นาขยาด เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการไชยแก้ว วัดป่าตอ ต.โตนดด้วน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "สิริมโต" และคงอยู่ที่วัดดอนศาลาตามเดิม

    เมื่ออุปสมบทแล้ว พระคง สิริมโต ได้ไปศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมที่วัดพิกุลทอง จนสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในปีนั้น ท่านตั้งใจจะศึกษาให้จบหลักสูตรนักธรรม แต่เนื่องจากท่านสุขภาพไม่ดี มักจะเจ็บป่วยอยู่เสมอ ประกอบกับในสมัยนั้นการหาครูสอนพระปริยัติธรรมไม่ง่ายนัก จึงเป็นอุปสรรคต่อการศึกษาของท่าน

    นอกจากท่านได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมแล้ว ท่านยังสนใจศึกษาวิชาทางด้านไสยศาสตร์อีกด้วย และท่านก็ได้ศึกษาจากพระครูสิทธิยาภิรัตน์(เอียด) ผู้เป็นอาจารย์ของท่านนั้นเอง  ท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาแขนงนี้จากอาจารย์ของท่านจนมีความรู้แตกฉาน แต่ท่านก็ไม่พอใจอยู่แค่นั้น ได้พยายามศึกษาเพิ่มเติมจากตำหรับตำราไสยศาสตร์ของท่านอาจารย์ผู้เฒ่า วัดเขาอ้อ ซึ่งเป็นสำนักที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในวิชาไสยศาสตร์สมัยนั้น ท่านได้ศึกษาจนมีความรู้แตกฉานและทรงวิทยาคุณในวิชาแขนงนี้ จนในระยะหลังต่อมาท่านได้เป็นที่รู้จักและเคารพนับถือจากประชาชนทั่วไปทั้งในจังหวัดพัทลุงและจังหวัดอื่นๆ มีลูกศิษย์ลุกหาอยู่ทั่วไป และต่างก็เรียกนามท่านว่า อาจารย์คง บ้าง หลวงพ่อคงบ้าง แม้ในสมัยหลังที่ท่านได้สมณศักดิ์เป็น พระครูพิพัฒน์สิริธร แล้ว ประชาชนทั่วไปรวมทั้งลูกศิษย์ของท่านก็ยังเรียกท่านว่าอาจารย์คงหรือหลวงพ่อคงอยู่เช่นเดิม แทบจะไม่ได้ยินเรียกจากปากของผู้ใดว่า ท่านพระครูพิพัฒน์สิริธรเลย

    ในระยะที่บ้านเมืองกำลังอยู่ในสภาพที่ไม่สงบสุขจากผู้ก่อการร้ายในภาคต่างๆของประเทศ ท่านกันอาจารย์ชุม ไชยคีรี ได้ร่วมกันจัดสร้างพระเครื่องของวัดบ้านสวนขึ้นจำนวนหนึ่ง ประกอบพิธีทั้งพุทธาภิเษก และปลุกเสก ด้วยตัวท่านเองเมื่อเดือนเมษายน 2511 แล้วนำแจกจ่ายบำรุงขวัญ ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และประชาชนผู้ปฏิบัติหน้าที่เสี่ยงอันตราย อยู่ในแดนที่มีผู้ก่อการร้ายในจังหวัดภาคใต้ และภาคเหนือ โดยท่านอาจารย์ชุม ไชยคีรี เดินทางไปแจกจ่ายด้วยตัวเอง และพระเครื่องจำนวนหนึ่งได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อพระราชทานแก่ ทหาร ตำรวจหน่วยต่างๆต่อไป

    หลวงพ่อคง ได้ชื่อว่า เป็นผู้ใฝ่ศึกษาและมีศรัทธาตั้งมั่น เมื่อได้มาอยู่วัดบ้านสวน ด้วยความสำนึกว่าเป็นศิษย์สายเขาอ้อ และได้มาครองวัดบ้านสวน อันเป็นสมบัติส่วนหนึ่งของเขาอ้อ และเคยมีชื่อเสียงในไสยเวทและการรักษาโรค ท่านก็เลยสืบทอดเจตนาของบูรพาจารย์ โดยศึกษาการแพทย์แผนโบราณตามตำราของวัดเขาอ้อ แล้วนำวิชาความรู้สงเคราะห์คนเจ็บไข้ได้ป่วย
หลวงพ่อคงท่านทำหน้าที่นั้นจนกระทั่งมรณภาพ แต่ก็ได้ถ่ายทอดวิชาความรู้ไว้ให้กับศิษย์เอก คือ พระมหาพรหม หรือ พระครูขันตยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดบ้านสวนในปัจจุบัน


การสร้างวัตถุมงคล หลวงพ่อคง วัดบ้านสวน เริ่มสร้างวัตถุมงคล ตั้งแต่ปี พ.ศ.2483-2516
     หลวงพ่อคง วัดบ้านสวน ถือเป็นศิษย์สายสำนักเขาอ้อ วัตถุมงคลที่สำคัญมีดังนี้
     พระกลีบบัวเนื้อเงินยวง สร้างเมื่อ พ.ศ.2483
     พระปิดตานอโม เนื้อโลหะผสม และ เนื้อผงผสมว่านสบู่เลือด
     พระรูปเหมือนพระอาจารย์ทองเฒ่า เนื้อผงผสมว่านสบู่เลือด
     พระยอดขุนพล เนื้อผงผสมว่าน
     รูปเหมือน 2 หน้า หน้าหนึ่งรูปอาจารย์ทองเฒ่า อีกหน้าหนึ่งรูปหลวงพ่อคง
     พระขุนแผนออกศึก เนื้อผงผสมว่าน
     พระสิวลี เนื้อผงผสมว่าน
     เหรียญหลวงพ่อคง วัดบ้านสวน รุ่นแรก พ.ศ.2516
     ตะกรุด ลูกอม ผ้ายันต์ และอีกมากมาย


ขอบคุณที่มา http://prakrueng.muanglung.com/gajikong.htm

                http://www.tumsrivichai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=5345367&Ntype=5

16
Vesak Day so-call Buddha's Birthday in South Korea....부처님 오신날

"Lotus Lantern Festival" usually celebrate a week ahead before the Buddha's Birthday. This year it's fell on May 12th.
On Buddha's Birthday most of temples held lots of praying ceremonies and "Bathing the Little Buddha"


วันวิสาขบูชา ? 석가탄신일 ? (เดือนเมษายน - เดือนพฤษภาคม)



    ถึงปัจจุบันศาสนาพุทธจากประเทศเกาหลีใต้กำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤติอย่างหนัก  โดย 20 ปีที่ผ่านมา ชาวพุทธในประเทศเกาหลีใต้ลดลงจาก 98 % เหลือเพียง 49 % เท่านั้น  เนื่องจากชาวเกาหลีใต้นับถือพระพุทธศาสนาตามบรรพบุรุษเท่านั้น ไม่ได้ศึกษาคำสอน และนำมาปฏิบัติอย่างจริงจัง แม้แต่ศีล 5 ก็ไม่มีใครรู้จักว่าคืออะไร 
   อีกกรณีที่ทำให้พระพุทธศาสนาในประเทศเกาหลีใต้ลดลงอย่างรวดเร็วคือ กลุ่มวัยรุ่นนิยมวัฒนธรรมตะวันตกกันมากขึ้น  จึงหันมาทำตามขนบธรรมเนียมทางตะวันตก และมีศาสนาคริสต์ นิกายคริสเตียน เผยแพร่อย่างมากในเกาหลีใต้ ทำให้ประชาชนหันไปนับถือศาสาคริสต์ถึง 48 %  นักวิชาการได้มองว่าเหตุการณ์ที่เกิดกับพระพุทธศาสนาในเกาหลีใต้ เหมือนกำลังเริ่มต้นในประเทศไทยแล้ว  เนื่องจากสื่อทีวี  ละคร  ภาพยนตร์ได้แสดงวัฒนธรรมตะวันตกมากไป จนเป็นค่านิยมอย่างมากในกลุ่มวัยรุ่น  เช่นวัยรุ่นอยากแต่งงานในโบสถ์คริสต์ มากกว่าการแต่งงานแบบไทย แบบพุทธ   ผมขอฝากไว้เท่านี้ก่อนนะครับ


ถึงอย่างไรประเทศเกาหลีจะมีเทศกาลงานบุญวันวิสาขบูชาเช่นเดียวกันกับบ้านเรา แต่บ้านเขานั้นเขานับวันเดือนทางจันทรคติต่างกับบ้านเรา? พูดง่ายๆก็คือถ้าเอาวันวิสาขบูชาของบ้านเราลบด้วย 7 ในปีนี้เทศกาลวันวิสาขบูชาของเกาหลีใต้จะอยู่ราววันที่ 2 พฤษภาคม ที่ผ่านมา แต่เขาจะจัดงานเฉลิมฉลองในช่วงก่อนจะถึงวันวิสาขาบูชาราวๆ 3 สัปดาห์ต่อเนื่องเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์งานบุญวันวิสาขบูชา

ไฮไลต์จริงๆ คือเทศกาลโคมบัว จะเริ่มก่อนวันวิสาขบูชา ราวๆ 1 สัปดาห์ก่อน เขาถือว่าบัวเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า ช่วงนั้นจึงมีทั้งเทศกาลจุดโคมประทีป นิทรรศการต่างๆ เกี่ยวกับพุทธศาสนา การสอนทำโคมบัว และมีวันแห่งการปิดถนนพระเดิน พิธีเปิดขบวนพาเหรดไล่เรียงกันไป

ในงานเทศกาลนี้ทางหน่วยงานราชการเกาหลีจะให้ความสำคัญกับเทศกาลไม่น้อย และ ทุกปีจะมีการประดับประดาโคมไฟดอกบัวทั่วกรุงโซลและจะมีมากที่สุดก็เห็นจะเป็นแถบๆ วัดพงอึนซาที่ใช้จัดงานพิธีต่างๆ เหล่านี้โดยเฉพาะในช่วงนี้ใครที่นับถือศาสนาพุทธมหานิกายก็จะเข้าไปในวัด เข้าไปทำโคมดอกบัวไปแขวนถวายที่วัดถือเป็นพุทธบูชาค่ะ บางคนก็จะมารักษาศีลกินมังสวิรัติ คล้ายๆ บ้านเราเช่นกัน

เมื่อเริ่มวันเทศกาลนักท่องเที่ยวและชาวพุทธจากทั่วโลกนับแสนเดินทางมาที่นี่เพื่อรอชมขบวนแห่โคมไฟ ที่จะสรรค์สร้างเป็นรูปทรงต่างๆ เช่นรูปเทพเจ้า ตามความเชื่อทางพุทธศาสนา วันนี้เขาจะปิดถนนให้พระเดินกัน ทั้งคนทั้งพระเดินกันให้ว่อนทั่วท้องถนนเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีการละเล่นงานเฉลิมฉลองตลอดเส้นทางที่จะมุ่งสู่วัดพงอึนซาอีกด้วย

และเพื่อสักการะพระพุทธเจ้าที่ชาวเกาหลีใต้นับถือ งานนี้จึงจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่มีขบวนพาเหรดที่ผู้คนเข้าร่วมอย่างมากมายทั่วท้องถนน มีการจัดทำโคมไฟเป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้า มีมังกรสีสวย มีสาวๆ ให้ชุดฮัมบกร่ายรำอย่างสวยงาม ผสมผสานกับโคมไฟหลากสีสัน ที่นักท่องเที่ยวและผู้คนในท้องถิ่นต่างเฝ้ารอชมเทศกาลนี้อย่างมาก

ชาวเกาหลีใต้เชื่อกันว่า พระพุทธเจ้าถือกำเนิดเมื่อประมาณ 2,553 ปีที่ผ่านมา ที่นับถือและเจริญรุ่งเรืองอย่างจริงจังในเกาหลีใต้ก็เมื่อ 1,600 ปีที่ผ่านมา พระพุทธศาสนาจึงกลายมาเป็นศาสนาหนึ่งที่เป็นที่นับถือกันอย่างมาก โดยเฉพาะในระหว่างปี 1392-1910 ซึ่งถือว่าน่าจะเข้ามาแทนที่ลัทธิขงจื้อกันเลยก็ว่าได้ และในปัจจุบันก็มีวัดของชาวพุทธกระจายอยู่ทั่วไป เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้มีโอกาสเข้าไปสักการะและทำพิธีตามพุทธศาสนาได้อย่างต่อเนื่อง

ดังนั้นประเพณีโคมไฟเพื่อเฉลิมฉลองวันประสูติของพระพุทธเจ้าตามความเชื่อของชาวเกาหลีใต้นี้ จึงถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวเกาหลี เป็นเทศกาลที่บรรจุไว้ในแผนการท่องเที่ยวเกาหลีกันเลยทีเดียว มีการฉลองที่ยิ่งใหญ่ และทุกวัดจะมีพิธีฉลองเหมือนกัน เพียงแต่ขบวนพาเหรดเฉลิมฉลองที่ใหญ่ที่สุดนั้นจะจัดขึ้นที่วัด Chogey ในกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ และในวันที่ 2 พฤษภาคมนี้ ก็จะจัดงานฉลองวันพระจันทร์เต็มดวงด้วย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งวันในเทศกาลฉลองวันคล้ายวันประสูติของพระพุทธเจ้า ของชาวเกาหลีใต้



ขอบคุณคุณ ร้อยตะวัน (Roytavan) จากเวป  http://www.dmc.tv/index.php

ที่มา   http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=20492

17


              ผมกำลังดูพี่สมพงษ์(อุปัฏฐากของพระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย) วัดพระธรรมกาย ปทุมธานี) กำลังนำดินสอที่ใช้จนสั้นแล้วมาต่อตัวกันให้ยาวขึ้น
             พี่เขาเริ่มจากฝนที่ก้นดินสอแท่งแรกให้มีพื้นที่หน้าตัด แล้วนำแท่งที่สองมาตัดปลายแหลมด้าน ที่เคยเหลาออกให้มีพื้นที่ หน้าตัดเช่นกัน จากนั้นก็เอาหน้าตัดของ ทั้งสองแท่งมาประกบเข้าหากัน หยดกาวลงไป ทิ้งไว้จนกาวแห้ง แท่งดินสอที่สั้นพอมาต่อกันตอนนี้ก็เริ่มยาวขึ้น ถ้ามีแท่งสั้นอีกก็นำมาต่อได้อีกเรื่อยๆ กลายเป็นดินสอต่อตัว ดินสอที่หลวงพ่อใช้เขียนงาน พอใช้ๆ ไปแท่งดินสอจะค่อยๆ หดสั้นลง
            เมื่อสั้นมากเข้าจนจับเขียนไม่ถนัดพวกเราก็จะเปลี่ยนแท่งใหม่ให้หลวงพ่อ พอแท่งใหม่หดสั้นจนจับไม่ถนัดอีก ก็จะ เปลี่ยนใหม่ให้หลวงพ่อไปเรื่อยๆ
           ทุกครั้งที่เปลี่ยนแท่งใหม่ หลวงพ่อจะบอกให้เก็บแท่งเก่าที่สั้นไว้
           พอเก็บได้หลายๆ แท่ง  หลวงพ่อก็บอกให้นำมาต่อกัน แล้วนำมาให้หลวงพ่อ ใช้เขียนได้อีก
ทุกครั้งที่หยิบดินสอต่อตัวแท่งที่ว่านี้ส่งถวายให้หลวงพ่อใช้ เมื่อท่านใช้เสร็จแล้วส่งคืนมาให้เก็บ

           ผมจะรู้สึกดีใจกับดินสอสั้นๆ ที่ต่อตัวกันเหล่านี้ และคิดว่าดินสอก็คงจะดีใจ เช่นเดียวกัน ที่มีโอกาสทำหน้าที่ขีดเขียน ได้อย่างสมบูรณ์เต็มความสามารถจนหมดแท่งไม่เหลือทิ้ง
            จะนึกไปถึงสาธุชนที่ถวาย ถ้าผมเป็นคนหนึ่งที่เคยได้ถวายดินสอ ผมคงจะประทับใจ ไม่ลืมเหมือนกับที่ได้ปลื้มใจ มาตลอดในการร่วมทำบุญทุกครั้งว่า ปัจจัยที่หามาได้ยากและต้องแลกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย ตอนนี้ได้มาใช้ทำนุ บำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง ได้มาเป็นศาสนสถานเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม มาเป็นเจดีย์ ให้ได้กราบไหว้บูชา ได้มาสนับสนุนพุทธบุตรที่ลำบากทางภาคใต้ ได้พัฒนาช่วยเหลือพี่น้องทาง ภาคเหนือและทุกภาคที่เดือดร้อน ได้นำทุกบาท ทุกสตางค์มาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่



           เห็นอย่างนี้ผมจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมผู้ที่รักบุญถึงได้แสวงหา หมั่นสั่งสม และทำบุญในเนื้อนาบุญ ที่ได้พบเจอ แล้วอยู่เสมอ

            ถ้าเปรียบชีวิตคนเราเหมือนดินสอแท่งหนึ่ง การดำเนินชีวิตที่ผ่านไปในแต่ละวัน ย่อมทำให้ชีวิตของเราค่อยๆ หดสั้นลงไปเรื่อยๆ ผมได้ตั้งคำถาม--ถามตัวผมเองว่า จะขีดเขียนอะไรฝากทิ้งไว้บนโลกใบนี้บ้าง ก่อนที่ชีวิตเราจะหดสั้นลงจนเหลือจับเขียน ไม่ถนัด
            จะขีดเขียนตามแต่ใจปรารถนา อิสระไปเรื่อยๆ
            จะเขียนอะไรที่สนุกสนานเพลิดเพลินจนเวลาหมดลงไปทุกวัน
            หรือจะเขียนตามๆ คนอื่นไป วนเป็นวัฏจักรที่เหมือนเดิมอยู่อย่างนั้น
            หากยังคิดไม่ออก บางทีคงต้องย้อนกลับมาถามตัวเองอีกครั้งว่า เราจะตั้งเป้า ในการเขียนไว้อย่างไรดี?
            ควรเริ่มต้นเขียนเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเราก่อนแล้วค่อยขยายไปสู่พี่น้องของเรา--คนที่อยู่รอบข้าง--คนที่เรารัก ขยายออกไปถึงพี่น้องเพื่อนมนุษย์ทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้
            เมื่อตั้งเป้าได้ ต่อไปก็เริ่มขีดเขียนให้ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ แต่การที่จะให้ไปจนประสบผลถึงขั้นเกิดการเปลี่ยนแปลง กระจายเป็นวงกว้างออกไปได้อย่างที่ตั้งใจไว้นั้น แต่ถ้าต่างคนต่างเขียนเมื่อ พิจารณาดูแล้วช่างเหลือวิสัยเกินกว่า ที่จะขีดเขียนตามลำพังได้สำเร็จ
            แต่ถ้าหากใช้วิธีเหมือนดินสอต่อตัวที่รวมเป็นแท่งเดียวกันนี้ อาจทำให้เป้าที่ตั้งไว้บรรลุผลได้อย่างง่ายๆ ถ้าทุกคนมา ร่วมมือร่วมใจกัน
            ถ้าเป็นจริง--ภาพดินสอต่อตัวรวมใจกันแท่งนี้ คงจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนอย่างที่ผมนึกไว้
           บางแท่งที่เหลือสั้นนิดเดียวแต่ว่ามีประสบการณ์ขีดเขียนมามาก บางแท่งยังยาวแต่ทักษะการเขียนยังมีน้อย บางแท่ง ก็ยาวเต็มแท่งเพราะเพิ่งจะเริ่มต้นขีดเขียน บางแท่งมีคุณวุฒิและคุณภาพการขีดเขียนที่สูงมาก รวมไปถึงบางแท่งที่ต่างยี่ห้อ ต่างภาษา แต่ถ้าต้องมาต่อตัวรวมใจกันให้สนิทแน่นเป็นหนึ่งได้ ทุกแท่งก็ต้องลดทอน ฝนเหลี่ยมมุมของตัว เพื่อให้มีพื้นที่ หน้าตัดมากพอที่จะต่อเข้ากันได้ แล้วในที่สุดดินสอต่อตัวแท่งนี้คงเป็นดินสอพิเศษที่มีประสิทธิภาพในการขีดเขียนที่สูงมาก    

            ภาพร่างแปลนอาคารใหญ่ๆ เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ของปลายดินสอที่สถาปนิกใช้ร่างแบบ
            การที่จะขับเคลื่อนศีลธรรมให้เกิดสันติภาพที่สงบสุขแก่โลกก็คงเริ่มจากปลายแหลมของดินสอแท่งนี้เช่นกัน

            ความสำคัญคงจะอยู่ที่ผู้จะจับดินสอแท่งนี้ขีดเขียน--เราต่างก็รู้กันว่าเป็นใคร?
โครงการสำคัญๆ ของหลวงพ่อที่ประสบผลในสังคมชุมชนไปจนถึงสังคมโลก ล้วนเริ่มต้นขึ้นมาจาก ดินสอต่อตัวแท่งนี้
            แม้มีโครงการอีกมากมายที่รอให้หลวงพ่อเขียน แต่หลวงพ่อก็ไม่ลืมที่จะตอกย้ำ เป้าหมายหลักทุกครั้งว่า ให้ใช้วันเวลาให้คุ้มค่าสมกับที่ได้เกิดมา ให้หมั่นสั่งสมบุญกุศลติดตัวไว้ อย่าได้ประมาทในการดำเนินชีวิต และหมั่นปฏิบัติธรรม ให้ได้ทุกวัน
            ในแต่ละวันต่างมีภาระการงานที่ต้องรับผิดชอบมากมาย แต่การเข้าถึงที่พึ่งภายในนี้คือหัวใจหลัก ที่หลวงพ่อ รักและปรารถนาอยากให้ทุกคนเข้าถึง และเป็นที่พึ่งสูงสุดที่แท้จริงในชีวิตคนเรา
             หลวงพ่อจึงต้องให้หมั่นทำการบ้านในข้อที่ว่า "ทุก ๑ ชั่วโมงขอ ๑ นาที ทำใจนิ่งๆ ว่างๆ ที่ศูนย์กลางกาย นึกถึงดวง หรือองค์พระ ไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ " หนึ่งนาทีที่ขอนี้ ไม่ได้ขอให้ใคร แต่ขอก็เพื่อตัวของเราเอง เพื่อการเข้าถึงที่พึ่ง ภายในของเราเอง
             ๑ นาทีเป็นช่วงเวลาที่สั้นจนอาจมองข้ามเมื่อเทียบกับ ๑ ชั่วโมง แต่หลวงพ่อกลับให้ความสำคัญ เช่นเดียวกับ ดินสอแท่งสั้นที่จับเขียนไม่ถนัด
             หากสะสม ๑ นาที ใน ๑ ชั่วโมงไว้อย่างสม่ำเสมอทุกวัน แล้วนำเอานาทีที่สะสมไว้มาต่อๆ กัน ผลที่ได้นอกจากจะทำให้ เราเข้าใกล้จุดหมายที่พึ่งภายในแล้ว เรายังได้ชื่อว่าดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาท และยังใช้เวลาได้คุ้มค่าเหมือนอย่างที่ หลวงพ่อสอนและทำให้ดูได้อย่างแท้จริง



กราบแทบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย  คุณครูไม่ใหญ่ด้วยเศียรเกล้า




ที่มา  http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/main/index.php?option=com_content&task=view&id=526&Itemid=80

18
ช่วงปิดเทอมนี้ เรามานอนเล่นมองท้องฟ้ากันบ้างดีกว่าเมฆเกิดจากไอน้ำขึ้นไปก่อตัว แต่ใครจะรู้ว่ามันมีชื่อของมันด้วยแม้ว่าส่วนใหญ่เราจะเห็นแต่เมฆขาวๆกับเมฆฝนแต่บนโลกนี้แม้แต่เมฆเองก็ยังมีปรากฏการณ์ประหลาดให้เห็นกันด้วยครับภาพนั้นจะดูดไปก็ไม่ว่ากาน


อันดับ 10 Altocumulus Castelanus

เมฆกลุ่มนี้คือจะเป็นพุ่มๆเหมือนแมงกะพรุนครับ เกิดจากลมที่ชื้นๆจากกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม มาเจอกับอากาศแห้งๆ



......................................................................

อันดับ 9 Nacreous

เมฆนี้เรียกได้ว่าเป็นไข่มุกแห่งเมฆาเลยทีเดียว เพราะสีนวลตาและหลากสีทำให้เพลินตาดีซึ่งจะพบได้ที่แถบใกล้ๆขั้วโลกเช่นสแกนดิเนเวียตอนช่วงหน้าหนาวเวลาเย็นๆที่แสงอาทิตย์ส่องผ่านเป็นเวลา2ชั่วโมงเท่านั้นที่เราจะเห็นแบบนี้



......................................................................

อันดับ 8 Mammatus Clouds

เมฆลักษณะแบบเป็นกระเปาะยื่นลงมาคนทั่วไปมักจะนึกว่าเดี๋ยวจะมีพายุเข้ามารึเปล่าหว่า จริงๆแล้วเมฆนีไม่ใช่สัญญาณเตือนอันตรายแต่อย่างใดแต่มักเกิดขึ้นหลังจากที่พายุทอร์นาโดพ้นผ่านไปแล้วต่างหากล่ะ



......................................................................

อันดับ 7 Mushroom Clouds

เมฆแบบนี้คงไม่ใช่อะไรที่จะดีเท่าไหร่ เพราะมันเกิดจากการระเบิดอย่างแรง ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเชื่อมโยงกับระเบิดนิวเคลียร์นะครับ



......................................................................

อันดับ 6 Noctilucent Clouds

เมฆตามชื่อครับ คือ เกิดขึ้นในช่วงกลางคืนแต่เรืองแสงซึ่งเกิดที่บริเวณแถวๆใกล้ๆขั้วโลกโดยแสงอาทิตย์จากอีกฟากส่องมาปะทะกับเมฆจึงเห็นเหมือนกับเรืองแสงได้ครับ



......................................................................

19
10 อันดับของสังฆทาน ที่พระจะได้ประโยชน์มากที่สุด (สกู๊ปรายการจุดเปลี่ยน)

รายการ "จุดเปลี่ยน" เมื่อวันเสาร์ ที่14 และ 21 มิถุนายน 2551 ที่ผ่านมาทางช่อง 9 เวลา13:00 น. ออกอากาศเรื่อง '10 อันดับของสังฆทาน ที่ทำแล้วพระท่านจะได้ประโยชน์มากที่สุด'


     เนื่องจากมีการสำรวจของในถังสังฆทานสำเร็จรูป (ถังเหลือง) ที่เห็นวางขายกันอยู่ทั่วไป  พบว่า กว่า 50 % เป็นของที่ไม่มีคุณภาพ ใช้งานจริงไม่ได้ เช่น ผ้าจีวรสั้นและบางจนแทบจะเป็นผ้าซีทรู ,ใบชาเหม็นผงซักฟอกที่วางมาข้างๆ (กลายเป็นใบชารสโอโม่) กระดาษชำระหยาบและมีกลิ่นเหม็น ,แปรงสีฟันแข็งจนพระค่อนประเทศเป็นโรคเหงือกอักเสบ ,สบู่ แชมพู ที่ถวายมีกลิ่นหอมแรง และผสมมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ ทำให้พระผิดศีลต้องปลงอาบัติกันทุกวัน (มีศีลข้อหนึ่งห้ามการประทินผิวและใช้เครื่องหอม) ,เครื่องชงดื่มมักหมดอายุ, ถ่านไฟฉายหมดอายุ แบตฯเยิ้ม ฯลฯ หรือแม้แต่ตัวภาชนะที่ใส่ คือถัง ก็ยังทำจากพลาสติกคุณภาพต่ำ ใส่อะไรได้แป๊บเดียวก็ฉีก แตก พัง เป็นต้น

ที่มา  ขอบคุณรายการจุดเปลี่ยน  ทางสถานีโมเดิร์นนายทีวี


   การทำสังฆทาน นอกจากจะถวายเป็นสิ่งของแด่พระภิกษุสงฆ์  อันเป็นบุญอันเลิศแล้ว อีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ ก็คือ การบริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลสงฆ์ เพื่อช่วยเหลือพระภิกษุที่อาพาธ  หวังว่าข้อมูลนี้คงจะเป็นประโยชน์ ทั้งกับท่านพุทธศาสนิกชนที่มีจิตกุศลต้องการทำสังฆทาน และกับพระภิกษุสามเณร ผู้รับสังฆทาน ที่เป็นเนื้อนาบุญของโลก และเป็นผู้ที่จะสืบทอดพระพุทธศาสนาของเราต่อไปครับ

สุดท้ายนี้ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่มีจิตเป็นกุศลนะครับ บุญรักษาครับ

20
ขออนุญาตทางบอร์ดบางพระด้วยครับ


ขอเชิญทุกท่านเข้าร่วมพิธีไหว้ครูประจำปี วันที่ 4-5 พ.ค. 2552 ณ สำนักสักยันต์อาจารย์พล พยัคฆราช

หมายกำหนดการ

วันที่ 4 พฤษภาคม 2552

10.09 น. ถวายภัตตาหารเพลแก่พระภิกษุสงฆ์จำนวน 9 รูป
18.00 น. พิธีพุทธาภิเษกจุดเทียนชัยโดยคุณถั่วแระ เชิญยิ้ม
19.30 น. เชิญชมคอนเสิร์ตดารานักร้องและมหกรรมตลกทั่วฟ้าเมืองไทยกว่า 30 คณะ
นำโดยคุณถั่วแระ เชิญยิ้ม นายกสมาคมตลกประเทศไทย ( ครอบครูเป็นปฐมฤกษ์แก่ดารานักแสดงและศิลปินตลก)


วันที่ 5 พฤษภาคม 2552

08.30 น. เริ่มขบวนแห่ครูบาอาจารย์เข้าสู่ปะรำพิธีนำขบวนโดยคณะมังกร,คณะสิงโตและคณะกลองยาว
9.00 น. ทำพิธีบวงสรวงอัญเชิญบรมครูบาอาจารย์ทั่วสากลจักรวาลเข้าสู่ปะรำพิธี
10.09 น. เริ่มพิธีครอบเศียรบรมครูพ่อปู่ฤาษีนารอด
18.09 น. ลิเกคณะรวมดาราประเสริฐพรรำถวายมือครูบาอาจารย์
19.00 น. เชิญชมลิเกคณะรวมดาราประเสริฐพร


ที่อยู่ทางสำนัก  287/156 ถนนรามคำแหง ซอยรามคำแหง 21 หมู่บ้านคลองพลับพลา ซอย 5
(ซอยวิทยุชุมชนร่วมด้วยช่วยกัน) แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ

ถ้าท่านใดสนใจจะไป  PM มาถามเส้นทางได้นะครับ



21
มาตรา1
- พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า "พระราชบัญญัติว่าด้วยการอยู่ร่วมกันระหว่างหญิงและชาย"

มาตรา 2
- กฎข้อบังคับใดๆ ในพระราชบัญญัตินี้ ท่านว่าให้มีผลย้อนหลังและเดินหน้า บังคับได้ถึงทุกกรณี ไม่ว่าจะในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต
ไม่ว่าจะในหรือนอกราชอาณาจักร ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติหน้า

มาตรา 3
- ในพระราชบัญญัตินี้
"ท่าน" หมายถึง ผู้หญิง
"ท่าน...ว่า" ก็หมายถึง ผู้หญิง...ว่าอ้ะดิ
"หญิง" หมายถึง ผู้ที่พึงได้รับความเคารพสักการะจากผู้ชายอย่างถึงที่สุด  ชายผู้ใดจะละเมิดมิได้
"ชาย" หมายถึง ผู้ที่ต้องเคารพสักการะคนข้างบน นั่นก็หมายถึง "หญิง"
"สัญญา" หมายถึงข้อตกลงที่ผู้ชายและผู้หญิงตกลงกัน ซึ่งผู้หญิงเปลี่ยน แปลงข้อตกลงใดๆ ก็ได้ โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าอย่างเดียวกับบัตรเครดิต
"สัญญิง" หมายถึง คำที่เอาไว้นำหน้าคำว่าสัญญาเล่นโก้ๆ เช่น "สัญญิง สัญญา"
"การคบหา" หมายถึงการที่หญิง "คบ" แล้วคอยให้ชายคอยตาม "หา"
"การแต่งงาน" หมายถึง การหาเรื่องใส่ตัวซะแล้ว
"การหมั้น" หมายถึง การกำลังเตรียมหาเรื่องใส่ตัวน่ะสิ
"สินสอด" หมายถึง ค่าโง่
"ชู้" หมายถึง ตำแหน่งผู้ช่วยสามี
"เหตุผล" หมายถึง สิ่งที่ชายต้องเข้าใจ ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่ และหญิง อาจจะไม่เข้าใจก็ได้ แม้ว่าจะเข้าใจก็ตาม
"นอกใจ" หมายถึง ความตายของชาย ความอับอายของหญิง
"การฟ้องร้อง" หมายถึง อยาก"ร้อง"ก็ลอง"ฟ้อง" สิคะ

มาตรา 4
- ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกัน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า
ผู้ชายเป็นฝ่ายผิด ผู้หญิงเป็นฝ่ายถูกเสมอ

มาตรา 5
- ในกรณีที่เกิดปัญหาหรือข้อสงสัย ให้ย้อนกลับไปดูมาตรา 4

มาตรา 6
- ถ้าการคบหาก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายใดๆ ให้พึงสัณนิษฐานว่า ชายต้องจ่าย...
- อเมริกันแชร์ ท่านว่าเป็นเรื่องหยาบคายมาก หากเริ่มคบหากัน


มาตรา 7
- ในการตัดสินใจเรื่องใดเกี่ยวกับการคบหาก็ดี ให้ถือเสียงข้างมากเป็นหลัก
แต่ให้หญิงมีสิทธิสามารถออกเสียงได้สองครั้ง
- การตัดสินใจที่ว่านั้น หญิงจะถอนเสียเมื่อไรก็ได้

มาตรา 8
- การผิดนัด การสาย การผิดเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาใดๆ ที่ชายเป็นฝ่ายทำ
ท่านว่าอาจเรียกเบี้ยปรับได้ โดยให้หญิงเป็นผู้กำหนดเบี้ยปรับนั้น
การเรียกเบี้ยปรับไม่ทำให้ความผิดและโทษนั้นสิ้นผลหรือลดน้อยถอยลง
แต่ประการใด และชายยังคงผูกพันปฏิบัติตามสัญญานั้นอยู่ต่อไปด้วย
- การผิดนัด การสาย การผิดเงื่อนไขตามวรรคแรก ถ้าเป็นความผิดของ ฝ่ายหญิง
ให้กล่าวคำว่า "ขอโทษ" และให้เลิกแล้วกันไป

มาตรา 9
- โทษที่หญิงอาจลงต่อชายได้ หากไม่ปฏิบัติตามสัญญามี ห้าประการคือ
(1) งอน
(2) ไม่พูดด้วย
(3) ไม่ให้เข้าบ้าน
(4) ไม่ยอมรับฟังคำแก้ตัว
(5) ไม่รู้ไม่ชี้

มาตรา 10
- โทษที่ชายอาจลงต่อหญิงได้หากไม่ปฏิบัติตามสัญญา
- (ถูกยกเลิกไปแล้วทั้งมาตรา โดยไม่ได้แจ้งเหตุผล)

มาตรา 11
- มาตรา 10 หายไปไหนหว่า

มาตรา 12
- ดูเหตุผลในมาตรา 3 มาตรา 4 และมาตรา 5 ให้ดีๆ สิยะ

มาตรา 13
- การทำร้ายหญิงไม่ว่าจะโดยทางร่างกายหรือทางจิตใจ รวมทั้งการขัดใจใดๆ ก็ดี
เป็นโทษมหันต์ แม้จะล่ารายชื่อคนมาครบห้าหมื่นชื่อ
ก็ไม่อาจเป็นเหตุให้นิรโทษกรรมได้



ยกร่างโดย : ผู้ชาย
ภายใต้ความยินยอมและการบังคับของ : ผู้หญิง



++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ว่าแต่ พรบ.นี้ ประกาศใช้  รึยังหว่า???   ถ้าใช้เมื่อไหร่  หายนะมาเยือนเณรน้อยแน่ๆ   :075: :075:


คลายเครียดกันหน่อยครับ*


เครดิต คุณไผ่   http://www.pantown.com/board.php?id=...61&action=view

22


เดินไปเห็นห้อง ๆ หนึ่ง มีนักโทษชายหญิงสองคน
ชายหนุ่มและหญิงสาวคู่นี้แก้ผ้าเปลือยกายโดยตลอด ยืนเหยียบอยู่บนเหล็กแหลมแดง ๆ เผาไฟเสียบทะลุฝาเท้า ปากอ้ากว้างมีเหล็กเผาไฟแดงเสียบตรึงไว้ในลักษณะคล้ายเอาปากคาบไว้

เบื้องบนศีรษะมีเหล็กแหลมเผาไฟแดง ๆ เสียบตรึงกลางกระหม่อมไว้ รอบ ๆ ข้างมีเหล็กแหลมเผาไฟแดง ๆ ทิ่มแทงร่างกาย
ใบหน้าของหนุ่มสาวทั้งสองบิดเบี้ยว นัยน์ตาเหลือกถลน ส่งเสียงร้องครวญครางอ้อแอ้ บอกถึงความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัสสากรรจ์สุดประมาณ กระดิกติงตัวไม่ได้ เพราะเหล็กแหลมเผาไฟแดง ๆ ตรึงร่างกายไว้แน่นทุกด้าน จะขาดใจตายก็ไม่ตาย

เพราะการลงโทษในเมืองนรกไม่มีตาย จะมีก็แค่วิสัญญีภาพไปชั่ววูบเดียว แล้วก็ฟื้นขึ้นมารับการทรมานอีกต่อไป หรือร่างกายแหลกสลายไปด้วยอานุภาพของไฟนรก แต่ชั่วพริบตาต่อมาก็จะเกิดร่างใหญ่ขึ้นมาทดแทน เพื่อรับการทรมานต่อไปซ้ำ ๆ ซาก ๆ นับพันนับหมื่นปี

หลวงปู่คำคะนิงได้ถามจ่ายมบาลดูว่า หนุ่มสาวทั้งสองนี้ทำผิดสถานใด ถึงต้องมารับโทษหนักหนาสาโหดในเมืองนรกเช่นนี้

จ่ายมบาลกล่าวตอบให้ทราบว่า หนุ่มสาวทั้งสองนี้สมัยยังมีชีวิตอยู่โลกมนุษย์ เป็นคนเจ้าชู้ ฝ่ายหญิงชอบนอกใจผัว คบชู้สู่ชายไม่เลือก  ไม่เชื่อถือในศีลธรรมคุณงามความดีใด ๆ  มีความเชื่ออยู่แต่ว่า เกิดมาเพื่อกิน เพื่อถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ เพื่อสืบพันธุ์ประเวณี และเพื่อนอน เท่านั้น อย่างอื่นไม่สำคัญ ชาตินี้ต้องหาความสุขใส่ตัวอย่างเดียว ตายแล้วก็หมดกันไม่มีชาติหน้า ไม่ต้องใช้เวรใช้กรรมใด ๆ

หญิงสาวผู้นี้เป็นมะเร็งในมดลูกตายเมื่ออายุ 40 ปี เมื่อตายแล้วก็มาที่ศาลาพันห้องนี้ เพื่อรอการพิพากษาตัดสินจากพญายมบาลขั้นสุดท้าย แต่ก่อนตัดสินต้องจำจองทรมานแบบนี้ไว้ก่อน

ฝ่ายชายหนุ่ม เมื่อชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ เป็นคนเจ้าชู้ตลบตะแลงปลิ้นปล้อน นักเลงเหล้า นักเลงผู้หญิง หลอกลวงพร่าพรหมจารีผู้หญิงและปลิ้นปล้อนเอาทรัพย์ เป็นคนไม่มีศีลธรรม  ถือคติว่า เกิดมาเพื่อกิน เพื่อขับถ่าย เพื่อเสพกามารมณ์ และเพื่อนอน ตายแล้วก็สูญ ไม่มีชาติหน้าไม่มีนรก สวรรค์ ก่อกรรมใดไว้ ไม่ต้องใช้กรรม  เมื่อถูกสามีของหญิงคนหนึ่งแทงตาย จึงมาที่ศาลาพันห้องนี้เพื่อรอการพิพากษาตัดสินขั้นสุดท้ายจากพญายมบาล


หลวงปู่คำคะนิงได้ฟังแล้วก็บังเกิดสลดสังเวช โธ่เอ๋ย กรรมของสัตว์หนอ เพราะความโง่ความหลงผิด ความจองหอง หยิ่งทะนง อวดดื้อถือดีแท้ ๆ ของมนุษย์ เมื่อตายแล้วจึงต้องมารับกรรม เช่นนี้
ขนาดยังอยู่ในระหว่างรอการตัดสินก็ถกจองจำหนักหนาสาโหดถึงเพียงนี้มิทราบว่า หากได้รับการตัดสินจากยมบาลแล้ว จะได้รับโทษทัณฑ์สถานหนักสักเพียงไหน

หลวงปู่คำคะนิงจึงถามจ่ายมบาลว่า อยากจะสนทนากับหนุ่มสาวทั้งสองที่ถูกจองจำลงโทษนี้จะได้ไหม

จ่ายมบาลตอบว่า สำหรับพระคุณเจ้าแล้ว อนุญาตให้ซักถามได้

เมื่อจ่ายมบาลกล่าวอนุญาตแล้ว ทันใด เครื่องจองจำเหล็กแหลมเผาไฟแดง ๆ เหล่านั้นก็หลุดออกจากร่างหนุ่มสาวทั้งสองหายวับไป หนุ่มสาวทั้งสองร่างสั่นเทา ๆ เหมือนลูกนกตกน้ำ สะอึกสะอื้นน้ำตาไหลพรากอาบหน้าพากันทรุดกายลงกราบเท้าหลวงปู่คำคะนิงอย่างสำนึกในพระคุณ ที่ช่วยให้หลุดจากเครื่องจำจองทรมานอันทารุณหฤโหด

?หลวงพ่อเจ้าขา ช่วยดิฉันด้วย ?
หญิงสาวร้องวิงวอนเสียงสั่นระริก สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร หลวงปู่คำคะนิงถามว่า

?สีกาจะให้อาตมาภาพช่วยอย่างไร?

หญิงสาวฟูมฟายน้ำตากล่าวว่า
?ดิฉันยังมีลูกที่จะต้องเลี้ยงดูอายุยังน้อย อยากกลับไปเกิดในโลกมนุษย์อีก หลวงพ่อได้โปรดช่วยให้ดิฉันกลับไปเข้าร่างเดิมที่ยังไม่ได้เผาด้วยเถิดเจ้าค่ะ?
?สีกาตายแล้วยังจำชาติที่แล้วสมัยเป็นมนุษย์ได้ดีอยู่หรือ?

?ยังจำได้ดีทุกอย่าง เหมือนนอนหลับไปแล้วตื่นขึ้นจำตัวเองได้ จำลูกได้ จำญาติพี่น้องมิตรสหายได้หมด แต่พูดจากับพวกเขาไม่ได้ เวลาจะไปไหนต้องมีผู้คุมคอยควบคุมตัวไป ก่อนที่ยังไม่ตายนั้น ดิฉันไม่เคยเชื่อเลยว่าความตายไม่ใช่การสิ้นสูญ?

?แท้ที่จริงตายแล้วเรายังมีชีวิตอยู่ แต่เป็นอีกชีวิตหนึ่งคือร่างวิญญาณ ยังจำความเดิมได้ทุกอย่าง?


?อาตมาภาพอยากจะช่วยแต่เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของท่านพญายมบาล อาตมาภาพจะช่วยสีกาได้อย่างเดียวคือ เมื่อกลับเมืองมนุษย์แล้วจะแผ่ส่วนบุญกุศลมาให้?
หลวงปู่คำคะนิงกล่าวฉันท์เมตตา หญิงสาวรู้สึกผิดหวังที่ไม่อาจกลับไปเข้าร่างเดิมในโลกมนุษย์ได้อีก ส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญโศกเศร้าน่าสังเวช หลวงปู่จึงเอ่ยถามชายหนุ่มบ้างว่า

?โยมจะให้อาตมาภาพช่วยอะไรได้บ้าง?
ร่างวิญญาณของชายหนุ่มผู้ถูกแทงตาย เพราะเป็นชู้กับเมียผู้อื่น คลานเข้ามากราบลงบนหลังเท้าหลวงปู่คำคะนิงแล้วร้องไห้คร่ำครวญว่า
?กระผมผิดไปแล้วพระคุณเจ้า กว่าจะรู้สึกตัวว่าเป็นคนชั่วช้าก่อกรรมทำเวรกับคนอื่นไว้มาก ก็มารู้เอาเมื่อตายแล้ว กระผมไม่ขออะไรมาก ขอให้พระคุณเจ้าแผ่ส่วนบุญกุศลมาให้กระผมบ้าง เพื่อที่กระผมจะได้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในยามทุกข์?

?ได้....อาตมาจะแผ่ส่วนกุศลมาให้?
จากนั้นหลวงปู่ก็ออกเดินต่อไป จ่ายมบาลอธิบายให้ฟังว่า ในกรงเหล็กที่เป็นแถวแนวยาวเหยียดนี้ คุมขังพวกนักโทษที่รอการตัดสินทั้งนั้น บ้างก็เคยฆ่าพ่อตีแม่ บ้างก็ปล้น ฆ่า ลักขโมย หลอกลวง ปลิ้นปล้อน ต้มชาวบ้าน ฉุดคร่าอนาจาร

บ้างที่เป็นหญิงสาวก็เกี้ยวพาราสีพระสงฆ์องค์เจ้า หลอกลวงพระสงฆ์องค์เจ้าให้สึกหาลาเพศมาเป็นผัวแห่งตน และที่ทำให้พระต้องปาราชิกก็มี บ้างก็แย่งผัวเขา วางยาพิษเมียหลวง คดีโทษต่าง ๆ นับไม่ถ้วน

เพราะมนุษย์ชายหญิงทุกวันนี้พากันไม่เชื่อในบุญในบาป ทำการทุกสิ่งทุกอย่างตามอำเภอไม่มียับยั้งบันยะบันบัง คำนึงถึงศีลธรรมอันดีงาม คนเหล่านี้เมื่อตายแล้ว จึงต้องพากันหลั่งไหลมาสู่ศาลาพันห้องแน่นขนัดทุกวัน


ขอขอบคุณ   Dragon_Fly  จากเวปพลังจิต ครับ

23
พอดีไปอ่านเจอ เลยนำมาฝากเพื่อนสมาชิกกันครับ


ท่องนะโม 3 จบ  แล้วว่า
    "อะอิงอ้อ อ้อสูตรอ้อเขียน อ้อเรียนอ้อมัด อ้อคัดหัวใจ อ้อไขเห็นดูก อ้อผูกเห็นเงา อ้อเกาเห็นยอด อ้อขอดเห็นใบ นะจำจิต โมจำใจ พุทจำไว้ ทาจำให้ อย่าให้ลืมหลง" 
(ท่อง 3 จบหรือ 7 จบ พร้อมเป่ากับข้าวเหนียวปั้นฮ้อน ๆ เวลาส่ายข้าวแล้วกะกลั้นใจกิน) ทุกมื้อ

คาถานี้หลวงปู่ทองฤทธิ์ วัดป่าฉันทนิมิตร ซึ่งเดิมท่านเป็นคนปัญญาไม่ดี อายุ๗ขวบยังอ่านหนังสือไม่ได้ และแถมเขียนไม่ได้อีก หลวงปู่มั่นภูริทัตโต เสกข้าวปั้นให้กินทุกวัน จนท้ายที่สุดหลวงปู่ทองฤทธิ์กลายเป็นคนที่มีปัญญาฉลาดว่องไว ก่อนหลวงปู่มั่นจะมรณภาพท่านเขียนใส่ใบลานลอดใต้ถุนให้หลวงปู่ทองฤทธิ์ หลวงปู่ทองฤทธิ์จึงเอาคาถานี้มอบให้อาจารย์ชินพรทำตะกรุดอ้อป่อง ปัญญาดี


ที่มา  http://www.buddhakun.org/  ครับ

24


ทุกเย็น ?ตั้ง? จะนั่งรถโรงเรียนกลับบ้าน
แต่เย็นนี้เขารู้สึกหงุดหงิดมาก
เมื่อเห็นนักเรียนชายรุ่นน้องรังแกเพื่อนผู้หญิง
ที่นั่งมาในรถด้วยกัน เด็กหญิงตัวเล็กกว่าจึงได้แต่ร้องห้าม
แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนกับยิ่งยุ เด็กชายก่อกวนหนักมือขึ้น
ตั้งเข้าไปตักเตือนแต่เด็กชายก็ไม่สนใจ
ยังคงก่อกวนเด็กหญิงต่อไป
ตั้งพยายามสะกดอารมณ์ แต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหว
เขาจึงตบหัวเด็กชายอย่างแรง จนเขาร้องไห้ดังลั่น

ตั้งกลับถึงบ้านด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
เขารู้สึกผิดที่เล่นงานเด็กคนนั้นหนักเกินไป
เย็นนั้นเขาจึงไม่มีอารมณ์จะเจื้อยแจ้วกับแม่เช่นเคย
แม่รู้สึกผิดสังเกต เดาว่าลูกชายคงไปก่อเรื่องมาแน่
จึงถามว่า ?ตั้ง วันนี้มีเรื่องอะไรมาหรือเปล่า บอกแม่มานะ?

ตั้งทำท่าอึกอัก นึกสรรหาคำแก้ตัว
แล้วเขาก็บอกแม่พร้อมกับชูมือขึ้นมาว่า
?แม่ ตั้งไม่อยากเชื่อเลยว่า มือข้างนี้จะตบหัวเด็กจนร้องไห้?

ตั้งรู้ตัวว่าทำผิด แต่แทนที่จะยอมรับผิดตรง ๆ
ว่าตนไปตบหัวเด็กจนร้องไห้
กลับบอกว่า เป็นการกระทำของมือข้างนั้นต่างหาก
เหมือนกับจะบอกแม่ว่า
เป็นความผิดของมือ ไม่ใช่ความผิดของตัวเขา
ด้วยคำพูดเช่นนี้ เขาหวังว่าแม่จะไม่โกรธเขา
และเห็นใจเขามากขึ้น

ดูเผิน ๆ นี้คืออุบายของเด็กที่ทำให้ตัวเองพ้นผิด
แต่ตั้งอาจไม่รู้เลยว่าคำพูดของเขาแฝงนัยยะที่ลึกซึ้ง
ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนา
นั่นก็คือมือนั้นไม่ใช่ ?ตัวฉัน?
จะว่าไปแล้วสิ่งที่เรียกว่า ?ตัวฉัน? นั้นหามีจริงไม่
เพราะตัวฉันเป็นเพียงแค่คำสมมุติ
ที่ใช้เรียกเมื่ออวัยวะหรือชิ้นส่วนต่าง ๆ มารวมกัน
เช่นเดียวกับบ้านนับร้อยเมื่อมารวมกันเราก็เรียกว่า ?เมือง?
แต่แท้จริงแล้วตัวเมืองนั้นหามีไม่


ขอขอบคุณ  คุณเต้  ทีมงานเว็บพลังจิตด้วยครับ

25

วิธีใช้หนี้พ่อแม่ไม่ยากเลย จงสร้างความดีให้กับตัวเอง และนี่ก็เป็นการใช้หนี้

ตัวเอง ตัวเรา พ่อให้หัวใจ แม่ให้น้ำเลือดน้ำเหลืองอยู่ในตัวแล้ว จะไปแสวงหาพ่อที่ไหน จะไปแสวงหาแม่ที่ไหน บางคนรังเกียจแม่ว่าแก่เฒ่าไม่สวยไม่งาม พอตัวเองแก่ก็เลยถูกลูกหลานรังเกียจ จึงเป็นกงกรรมกงเกวียนยืดเยื้อกันต่อไปอีก

ใครที่คุณแม่ล่วงลับไปแล้ว ก็ให้หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน และถ้าจะ ทำบุญด้วยการเจริญกรรมฐานแล้วอุทิศส่วนกุศลไป การทำเช่นนี้ ถือว่าได้บุญมากที่สุด ทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ


ผู้ใดก็ตาม ที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุขส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่าน ก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วยเป็นการขอขมาลาโทษ ฯ




ขอฝากท่านไว้ไปสอนลูกหลาน อย่าคิดไม่ดีกับพ่อแม่เลย ไม่ต้องถึงกับฆ่าหรอก แค่คิดว่าพ่อแม่เราไม่ดี จะทำมาหากินไม่ขึ้น เจ๊ง ท่านต้องแก้ปัญหาก่อนคือ ถอนคำพูด ไปขอขมาลาโทษเสีย แล้วมาเจริญกรรมฐานรับรองสำเร็จแน่ มรรคผลเกิดแน่ ฯ

บางคนลืมพ่อลืมแม่ อย่าลืมนะการเถียงพ่อเถียงแม่ไม่ดี ขอบิณฑบาต สอนลูกหลานอย่าเถียงพ่อเถียงแม่อย่าคิดไม่ดีกับพ่อกั บแม่ ไม่อย่างนั้นจะก้าวหน้าได้อย่างไรก้าวถอยหลังดำน้ำไม ่โผล่ ฯ

บ้านหนึ่งพ่อมีเมีย ๔ คน เมียหลวงบอกลูกว่า พ่อเจ้าไม่ดี ลูกก็ไปด่าพ่อว่าพ่อ แล้วมาบวชวัดนี้ บวชแล้วเดี๋ยวเป็นโน่นเป็นนี่ จนจะกลายเป็นโรคประสาท นี่แหละบวชก็ไม่ได้ผล หลวงพ่อก็ให้ไปถอน คำพูด และขอสมาลาโทษกับพ่อเขาก่อน แล้วกลับมานั่งกรรมฐานจึงได้ผล caseนี้หลวงพ่อจะ เตือนผู้เป็นลูกบ่อยๆไม่ให้ว่าพ่อ แต่ให้เป็นเรื่องของแม่ที่จะแก้ปัญหานี้ ซึ่งหลวงพ่อสอนไว้แล้ว : ผู้ รวบรวม ) ฯ

เมื่อเร็วๆนี้ฆ่าพ่อตาย แม่สงสารพามาเจริญกรรมฐาน พอเข้าวัดมันร้อนไปหมดปวดหัว เข้าไม่ได้นี่ เวรกรรมตามสนอง ปิตุฆาต มาตุฆาต ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ทำกรรมฐานไม่ได้แน่นอนต้องหันรถกลับ นี่เรื่องจริงในวัดนี้ ฯ

คนที่มีบุญวาสนา จะกตัญญูกับพ่อแม่ คนเถียงพ่อเถียงแม่เอาดีไม่ได้??.. คนไม่พูดกับพ่อแม่ นั่ง กรรมฐานร้อยปี ก็ไม่ได้อะไร ? ถ้าไม่ขออโหสิกรรม ฯ

ขออโหสิกรรม ที่คิดไม่ดีกับพ่อแม่ คิดไม่ดีกับครูบาอาจารย์ คิดไม่ดีกับพี่ๆน้องๆ จะไม่เอาอีกแล้ว เอาน้ำไปขันหนึ่ง เอาดอกมะลิโรย กายกัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมัง โยโทโส อันว่าโทษทัณฑ์ใด ความผิดอันใด ที่ข้าพเจ้าพลั้งเผลอสติไป ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดีทั้งต่อหน้าและลับ หลัง ขอให้คุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย คุณพี่คุณน้องอโหสิกรรมให้ด้วย แล้วเอาน้ำรดมือ รดเท้า ฯ

นี่แหละท่านทั้งหลายเอ๋ย เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่มากมาย ยังจะไปทวงนาทวงไร่ ทวงตึก มาเป็นของ เราอีกหรือ ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ สอนตัวเองไม่ได้ เป็นคนอัปรีย์จัญไรในโลกมนุษย์ไปทวงหนี้ พ่อแม่ พ่อแม่ให้แล้ว (ให้ชีวิต ให้?ให้? ให้?.ฯลฯ ) เรียนสำเร็จแล้วยังช่วยตัวเองไม่ได้ มีหนี้ ติดค้าง รับรองทำมาหากินไม่ขึ้น ฯ

หนี้บุญคุณอันยิ่งใหญ่ เหลือจะนับประมาณนั้น คือหนี้บุญคุณของบิดามารดา ฯ

" หนามแหลมใครเสี้ยม มะนาวกลมเกลี้ยงใครไปกลึง " เด็กประถม ๔ พ่อเมาเหล้า เมากัญชาเล่นการพนัน แม่เล่นหวย ปัจจุบัน เป็นดอกเตอร์ อยู่อเมริกา หลวงพ่อสอนครั้งเดียวจำได้ บอกวันเกิด หนูซื้อขนม ๒ ห่อ เรียกพ่อแม่มานั่งคู่กัน แล้วกราบนะลูกนะ แล้วก็บอกพ่อแม่ว่าความผิดอันใดที่ลูกพลั้งเผลอ ด้วยกาย วาจา ใจ ที่คิดไม่ดีต่อคุณพ่อคุณแม่ ขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรมให้ แล้วล้างเท้าให้พ่อแม่นั่ง ลูกไม่มีสตางค์ ลูกซื้อขนมมา ๒ ห่อ ให้แม่ก่อน ๑ ห่อ เพราะอุ้มท้องมาแล้วจึงให้พ่ออีก ๑ ห่อ ลูกขอปฏิญาณตนว่า ลูกขอเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ แล้วจะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ลูกจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวังพ่อฟังแล้วน้ำตาร่วง สร่างเมา ส่วนแม่ก็ร้องไห้ เลยพ่อแม่ก็ให้สัญญากับลูกเลิกอบายมุขทั้งหมด ฯ

ลูกหลานโปรดจำไว้ เมื่อแยกครอบครัว ไปมีสามีภรรยาแล้ว อย่าลืมไปหาพ่อแม่ ถึงวันว่างเมื่อไร ต้องไปหาพ่อแม่ ถึงวันเกิดของลูกหลาน อย่าลืมเอาของไปให้พ่อแม่รับประทานอย่ากินเหล้า เข้า โฮเต็ล ฯ


ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เป็นมงคลนาม ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะชื่อเป็นเพียงนามสมมุติแทนตัวเรา อย่างหลวงพ่อชื่อ จรัญ ปู่ตั้งให้ หมอดูบอกเป็นกาลกิณี แต่ทำไมเจริญรุ่งเรือง ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าทำดีได้ดี

ของดี ของ ปู่ ย่า ตา ยาย อย่าไปทำลายเลย ของพ่อแม่อย่าไปทำลายนะ หนีได้แน่นอน โยมมีกรรมฐาน มีทรัพย์ มีชื่อเสียง ความรัก บูชาทรัพย์ บูชาชื่อเสียง ความรักของพ่อแม่ได้ เงินจะไหลนองทองจะไหลมา??.. พ่อแม่ให้อะไรเอาไว้ก่อน อย่าไปทำลายเสีย ถึงจะเป็นถ้วยพ่อแม่ให้มา ก็ไว้เป็นที่ระลึกก็ยังดีอย่าเอาไปทิ้งขว้างฯ

ถ้าต้องการเจริญก้าวหน้า ขอฝากไว้ด้วย คนเรามี ๒ ก้าว จะก้าวขึ้นหรือก้าวลง ดำน้ำไม่โผล่ ก้าว ลงมันง่ายดี ก้าวขึ้นมันต้องยาก ของชั่วมันง่าย หลั่งไหลไปตามที่ต่ำ นี่บอกสอนลูกหลาน ต้องการจะบรรจุงานไม่ต้องไปวิ่งเต้น ดูลูกเสียก่อน กุศลเพียงพอหรือเปล่า ต้องเพิ่มกุศล ตัวอย่างเรียนจบครู สวดมนตร์เข้าเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นครู ทำงานธนาคารก็ได้ บริษัทก็ได้เดี๋ยวมีคนรับ บางรายทั้งสอบทั้งสมัครหลายแห่งไม่เคยเรียกเลย อาตมาให้นั่งกรรมฐาน พอ ๗ วันผ่านไปพวกมาตามให้เข้าไปทำงานแล้ว ฯ


ขอขอบคุณที่มา  เวปพลังจิต

26
วันนี้เป็นวันเสาร์   ผมกับเพื่อน(ART2530) ได้นัดกันเพื่อจะเดินทางไปไหว้พระในจ.นครปฐม

ตื่นแต่เช้าเป็นพิเศษ  ประมาณตีห้ากว่าๆ  อาบน้ำแต่งตัว  กว่าจะออกเดินทางก็ปาไปหกโมงครึ่งแล้ว  ระหว่างเส้นทางที่ขับขี่มอเตอร์ไซค์จากสุขุมวิท50  ไปถึงนครปฐม  บรรยากาศสองข้างทางยามเช้าช่างสดชื่นเสียจริงๆ   

เกือบ 8 โมงก็ถึงตลาดนครชัยศรี  แวะทานข้าว  หลังจากนั้นก็ออกเดินทางตรงไปวัดท้องไทร   


พอถึงวัดท้องไทร  ก็ขึ้นไปกราบหลวงปู่อั๊บ   พอศีรษะจรดฝ่าเท้าของท่านครบสามครั้ง 

หลวงปู่ถามว่า "มาจากไหน" 

ผมตอบว่า "มาจากกรุงเทพครับ "   พร้อมถามหลวงปู่ถึงอาการอาพาธของท่าน 

หลวงปู่ตอบว่า  "ค่อยดีแล้ว  มันเป็นที่ปอด"

ท่านถามประมาณว่ามาทำไมกัน ผมเลยตอบว่า "พอดีเรียนจบ  และได้ข่าวว่าหลวงปู่อาการดีขึ้นแล้ว  ก็เลยมากราบครับ"

ท่านก็เรียกเข้าไปใกล้ๆ  แล้วท่านก็เมตตาลงกระหม่อมผมให้ครับ   ท่านเป่าลงไป แล้วบอกว่า "เอา"

แล้วท่านก็ได้หยิบรูปถ่ายใบเล็กของท่านมาให้ผม กับเพื่อนคนละใบครับ


รูปถ่ายหลวงปู่ครับ


หลังจากนั้นผมก็ขอตัวลงไปข้างล่าง  เพื่อไปรอสักครับ (มาทั้งทีไม่สักได้ไงครับ อิอิ)   วันนี้อ.อั้นท่านเมตตาให้นางแก้วมาครับ

นางแก้วครับ



และหลังจากสักเสร็จก็ไปให้หลวงปู่ลงให้อีกทีครับ  และไม่ลืมนำนางพิม-ดำเซ็น วางใส่รวมกับพานครูให้หลวงปู่ลงให้ด้วยครับ


พอดีมีพี่ที่อยู่ใกล้ๆหลวงปู่ขอดูนางพิมของผม  หลวงปู่เลยชี้ที่นางพิมลอยองค์สีทอง แล้วก็พูดกับคนที่อยู่ข้างๆท่านว่า  เสกไปวัดช่องกลิ้งช่องกลด   ผมก็ดีใจที่วัตถุรุ่นนี้หลวงปู่ได้ปลุกเสกจริงๆครับ (สามองค์ด้านขวาครับ) แล้วท่านก็เมตตาจารให้ครับ (ทั้งๆที่ผมไม่ได้ขอ เพราะเห็นท่านไม่ค่อยสบาย  ไม่อยากรบกวนท่าน แต่หลวงปู่ก็เมตตาเช่นเคยครับ)

27
'พระพุทธเจ้าตอกสาน' หนึ่งเดียวในไทย ที่เมืองปาน จ.ลำปาง

พระเจ้าตอกสาน



นี่เป็นคติความเชื่อเรื่องอานิสงส์แห่งการ สร้าง พระพุทธรูปด้วยวัตถุต่างๆ กันของพุทธศาสนิกชน ตั้งแต่สมัยแรกเริ่มที่มีการสร้างพระพุทธรูป จนถึงปัจจุบัน
การสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ อาศัยความศรัทธาอย่างเดียวไม่พอ หากต้องอาศัยความสามัคคีแห่งกัลยาณมิตรด้วย โดยเฉพาะการจัดสร้างด้วย วิธีการสานด้วย ?ตอก? ซึ่งในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยมีให้พบเห็นมากนัก
ซึ่งล่าสุด มีการจัดสร้าง พระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่สานด้วยตอกทั้งองค์ มีความยาวขององค์พระพุทธรูป ๑๒ เมตร ๒ เซนติเมตร ประดิษฐานอยู่ที่ สำนักสงฆ์พระธาตุจอมก้อย หมู่ ๘ ต.บ้านขอ อ.เมืองปาน จ.ลำปาง (การเดินทางจากตัวเมืองลำปาง ไปตามถนนสายลำปาง-เมืองปาน ประมาณ ๔๕ กม.)
พระพุทธรูปเจ้าตอกสาน หรือเรียกทางตำนานว่า ?พระเจ้าอินทร์สาน? เป็นพระพุทธรูปนอนองค์ใหญ่ ที่มีความงดงามและโดดเด่น และมีเพียงองค์เดียวในประเทศไทย ที่วัสดุการสร้างมีความแปลก และสวยงามแตกต่างจากพระพุทธรูปทั่วๆ ไป เพราะใช้ เส้นตอกสาน ให้เป็นองค์พระพุทธรูป จนเป็นที่มา และเรียกกันว่า พระพุทธเจ้าตอกสาน
สำหรับ ตอก ที่นำมา สาน เป็นองค์พระพุทธรูปนั้น สร้างด้วย ไม้ไร่มุง ที่เชื่อกันว่า มีลักษณะเหนียว และทนทานเป็นพิเศษ โดยไม้ไร่มุงแตกจะมีกิ่งก้านสาขาเลื้อยขึ้นมุงไม้ใหญ่ที่อยู่บริเวณรอบๆ คล้ายหวาย

พระธาตุจอมก้อย

การอยู่ของไม้ไร่มุง จะอยู่ในที่เย็น นำมาจากเขตอนุรักษ์บ้านกล้วย อ.งาว และมาจากป่าแม่แจ่ม เขตติดต่อระหว่างลำปาง-เชียงใหม่
ด้วยความศรัทธาอันแรงกล้า ทำให้มีพระพุทธรูปเจ้าตอกสานเกิดขึ้น ณ สำนักสงฆ์พระธาตุจอมก้อยแห่งนี้ โดยก่อนหน้านี้ พระบรรจง ปุญญกาโม ได้ออกจาริกแสวงบุญ ร่วมกับพระสงฆ์อีกหลายรูป หนึ่งในนั้น คือ พระครูบาใต้อ๋อง วัดกู่ไก่แล้ว จ.พะเยา
การจาริกครั้งนั้น มีจุดมุ่งหมายที่ถ้ำผาแรม เขตเมืองพม่า เมื่อถึงถ้ำผาแรม ได้พบกับพระพุทธรูปนอนองค์ใหญ่ ที่ใช้ตอกสานเป็นองค์พระ มีความวิจิตรงดงามมาก ทำให้พระบรรจงเกิดศรัทธาและปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะสร้างพระพุทธรูปเจ้าตอกสานขึ้น จึงติดต่อคณะผู้สร้างองค์พระพุทธรูปเจ้าตอกสานองค์นี้ และทราบว่า ทั้งหมดเป็นลูกศิษย์ พระครูบาเจ้าบุญชุ่ม ญาณสังวร ซึ่งเป็นช่างฝีมือจากสิบสองปันนา
ต่อมา กลุ่มช่างจากสิบสองปันนา ได้เดินทางเข้ามายังประเทศไทย เมื่อวันจันทร์ที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ และได้เริ่มสร้าง (บวงสรวง) ในวันอังคารที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗

ตลอดระยะเวลาในการสร้าง หรือสาน ได้มีพระสมณะ สาธุชน อุบาสก อุบาสิกา อันกอปรด้วยน้ำใจศรัทธาอันแรงกล้า เดินทางมาจากทิศทั้ง ๔ ทั้งใกล้และห่างไกล เพื่อปรารถนาที่จะให้องค์พระสำเร็จลง และอยากจะได้เห็นเป็นบุญตา
ทุกวันที่ผ่านมา ทั้งกลางวันกลางคืน จะมีผู้ศรัทธาเลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนา ได้มาช่วยกันจักและเหลาดอก ที่มีเงินก็ถวายเงิน เพื่อจัดซื้อวัสดุและอุปกรณ์ในการสร้าง ที่มีแรงก็ออกแรงไป ทำอย่างบริสุทธิ์ใจ และความบริสุทธิ์อันประเสริฐแห่งพระพุทธศาสนา โดยผู้ปฏิบัติงานทุกคน ก่อนเหลาและสานองค์พระพุทธรูปเจ้าตอกสาน ต้องสมาทานเบญจศีลเพื่อความเป็นสิริมงคลโดยทั่วกัน
ช่างที่ร่วมสานมีใจวิรัติงดบาปอกุศลยิ่งขึ้น โดยสมาทานอุโบสถศีลเพื่อปฏิบัติบูชาพระพระรัตนตรัยดวงแก้ว ๓ ประการ ละชั่ว ประพฤติดี ทำใจให้บริสุทธิ์ สะอาดผ่องใส ปฏิบัติตนเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี
ส่วน พ่อสล่าศรีทน ซึ่งเป็นผู้นำในการสานองค์พระพุทธรูป ตลอดระยะเวลาที่สร้างองค์พระพุทธรูปเจ้าตอกสานนั้น จะรับประทานแต่อาหารเจเพียงมื้อเดียว เวลาประมาณ ๑๑.๐๐น เป็นอย่างนี้ทุกวัน ทั้งตื่นแต่เช้าเพื่อสร้างองค์พระ จนถึงเวลากลางคืน เวลาพักก็เพียงกิจส่วนตัวเล็กน้อย


ท่านบอกว่า เพื่อบูชาพระรัตนตรัยดวงแก้ว ๓ ประการ และจะมอบกายและใจ เพื่อการบูชาครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้ จนกระทั่งความสำเร็จครั้งใหญ่ ที่ทุกคนตั้งใจใคร่จะเห็น ก็มาถึงได้สำเร็จเสร็จลงใน วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๔๗ เวลาเที่ยงคืนตรง รวมระยะเวลาในการสร้าง ๑ เดือน ๒๒ วัน

เรื่องและภาพ "ประทีป นันทะผาบ" จ.ลำปาง



28
   ถึงวันนี้พระเดชพระคุณหลวงตาพวง สุขินทริโย ท่านจะละสังขารไปแล้ว  ผมจึงอยากจะนำบทความเก่าๆที่กล่าวถึงท่านมาเล่าให้สมาชิกในเวปบางพระได้อ่าน และได้ทราบถึงประวัติท่านกันครับ


หลวงตาพวง สุขินทริโย (ศิษย์หลวงปู่มั่น)
พระอริยเจ้าลุ่มน้ำชี วัดศรีธรรมาราม อ.เมือง จ.ยโสธร


หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ กล่าวถึง หลวงตาพวง

ชื่อเสียงของหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ แห่งวัดบ้านไร่ อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ย่อมเป็นที่รู้จักกันดีในสายวงวัตถุมงคลโชคลาภ ของคนไทยทั่วประเทศเพราะด้วยปฏิปทาที่เรียบง่าย สมถะและเมตตาแก่ทุก ๆ คนที่ไปหา มิใช่แต่ชาวจังหวัดนครราชสีมาที่เลื่อมใสและศรัทธาท่าน ชาวยโสธรเองก็เช่นเดียวกันที่เลื่อมใสศรัทธาในวัตรปฏิบัติ และพากันไปกราบนมัสการหลวงพ่อคูณ เพื่อความเป็นสิริมงคล รวมทั้งขอวัตถุมงคลเพื่อคุ้มครองป้องกันภยันตรายต่าง ๆมิได้ขาด
แต่ทุก ๆ ครั้งที่ชาวยโสธรไปกราบนมัสการหลวงพ่อคูณนั้น หากท่านทราบว่าเป็นชาวยโสธรแล้วหลวงพ่อคูณท่านจะไม่ยอมให้วัตถุมงคล และบอกว่าให้กลับไปเอาที่ยโสธร ท่านมักจะพูดว่า "ที่ยโสธรมีคนเก่งกว่ากูมีอีก ผมหงอก ๆ ขาว ๆ ที่นั่งอยู่ริมแม่น้ำชีนั่นแหละ ท่านหมดกิเลสแล้ว ท่านไม่แสดงเฉยๆ กูยังไม่ถึงเท่าท่านเลย ไป"
เมื่อสัมภาษณ์หลวงตาพวง ถึงเรื่องนี้ ท่านก็เล่าให้ฟังว่า "ก็เคยได้ยินมาจากญาติโยมหลายสิบคนแล้ว ที่เล่าให้ฟังเหมือนกันว่าเมื่อชาวยโสธรไปกราบหลวงพ่อคูณ ท่านมักจะไล่กลับมาหาหลวงตา"

"หลวงตาเองก็ไม่เคยได้พูดคุยกับหลวงพ่อคูณสักครั้งเดียว หลวงตาก็เคยไปวัดบ้านไร่มาสองครั้ง แต่ไม่เคยมีโอกาสพูดคุยกับท่านเพราะมีญาติโยมเป็นจำนวนมากจึงไม่มีโอกาสพูดคุยกัน หลวงพ่อคูณจะทราบได้อย่างไรก็ไม่ทราบหรืออาจเป็นเพราะมีลูกศิษย์เล่าให้ฟังถึงประวัติหลวงตากระมัง"



ปาฏิหาริย์หลวงตาพวง เดินบิณฑบาตรข้ามแม่น้ำชี

มีเรื่องเล่าขานกันในหมู่ชาวบ้านแถบลำน้ำชีอันเป็นที่ตั้งของ วัดศรีธรรมารามซึ่งหลวงตาพวงเคยจำพรรษาอยู่ ฝั่งตรงข้ามของวัดศรีธรรมารามเป็นหมู่บ้านที่อยู่ในเขตของอำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ชาวบ้านเล่ากันว่ามีคนออกไปเก็บกับดักหนูที่ดักไว้ในช่วงเช้ามืดได้เห็นหลวงตาพวงออกเดินบิณฑบาตโดยเดินบนแม่น้ำชีจากวัดศรีธรรมารามไปบิณฑบาตในหมู่บ้านฝั่งอำเภอพนมไพร
คุณสมจันทร์ โพธิศรี อยู่บ้านเลขที่ 68 บ้านกุดกุง (คุ้มหนองแสง) ต. เขื่อนคำ อ.เมือง จ. ยโสธร เล่าให้ฟังเป็นภาษาอิสานว่า "เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2538- 2539 เช้าวันหนึ่งข่อยไปดักหนูป่าแมะ ได้เห็นหลวงตาพวงเพิ่นเดินข้ามแม่น้ำชีไปแมะ ข่อยนี้แหละเป็นผู้เห็นท่านเองเลย" (คัดจากหนังสือโลกทิพย์)

เมื่อถามเรื่องนี้กับหลวงตา หลวงตาก็ตอบว่า "เป็นเรื่องของเขาเห็นปรากฏในสายตา หลวงตาไม่ค้าน ไม่ได้ปฏิเสธ เขาคงเห็นด้วยสายตาของเขา จะเล่าลืออย่างไร หลวงตาไม่ได้พูด ไม่ได้อวดอะไร" แล้วหลวงตาก็เปลี่ยนเรื่องพูดถึงเรื่องหมู่บ้านในฝั่งอำเภอพนมไพรว่า "หลวงตาก็รับนิมนต์ไปสวดหรือไม่ก็ฉันที่หมู่บ้านฝั่งนี้เป็นประจำทุกวันออกพรรษาชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน ก็พากันมามอบกายถวายตัวเป็นลูกศิษย์ มากราบขอพรเพราะพวกเขาไม่มีที่พึ่งในหมู่บ้าน เขาจึงมาพึ่งหลวงตา เมื่อมีการงานอะไรพวกเขาก็มาช่วยเสมอ ๆ แม้แต่มาอยู่ที่วัดป่าใหม่นิคมพัฒนาราม พวกเขาก็ยังมา"



29

นับแต่เมื่อครั้ง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระเยาว์ได้โดยเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในท้องถิ่นทุรกันดารทั่วทุกภาคของประเทศไทยโดยเสมอ จึงทรงพบเห็นและตระหนักถึงความทุกข์ยากและปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับพสกนิกรชาวไทย ไม่ว่าเรื่อง โภชนาการ ความยากจน การศึกษา สุขภาพอนามัย ปัญหาสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม ฯลฯ

เมื่อทรงเจริญพระชันษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จึงทรงมุ่งมั่นปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่าง ๆ เพื่อบรรเทาทุกข์และหาทางแก้ไขปัญหาแก่พสกนิกรชาวไทย อย่างมิทรงเหน็ดเหนื่อยและมิทรงย่อท้อ แม้ว่าหนทางที่เสด็จฯ แต่ละที่จะทุรกันดารเพียงใด

หากแต่เพื่อความสุขของประชาชนแล้ว ทรงดั้นด้นฝ่าฟันเสด็จฯ จนถึงที่หมาย เพื่อพระราชทานขวัญและกำลังใจแก่ราษฎรในพระองค์

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีความห่วงใยต่อคุณภาพชีวิตของ เด็กและเยาวชนในท้องถิ่นทุรกันดารเป็นพิเศษ เนื่องจากเด็กกลุ่มนี้มักป่วยด้วยโรคขาดสารอาหาร รวมถึง มีมาตรฐานทางการศึกษาต่ำ เนื่องจากครอบครัวยากจนขาดแคลนทุนทรัพย์ทำให้พ่อแม่ไม่มีเงินส่งเสียลูกเข้าเรียนต่อ เด็กที่เติบโตจึงไม่มีความรู้ความสามารถที่จะนำกลับไปพัฒนาความเป็นอยู่ของครอบครัวและชุมชนได้

ด้วยเหตุนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชดำริโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง ?โครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร? เมื่อปี 2523 มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารทั้งด้านโภชนาการ สุขภาพอนามัย การศึกษา อาชีพ ความเป็นอยู่และสภาพแวดล้อม ปัจจุบันการดำเนินงานขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มีโรงเรียนและหมู่บ้านในโครงการกว่า 300 แห่งครอบคลุมพื้นที่ในถิ่นทุรกันดาร โดยดำเนินงานผ่านโครงการต่าง ๆ แบบบูรณาการในโรงเรียนสังกัดกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน, สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, สำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน และกรุงเทพมหานครบางส่วน ซึ่งการดำเนิน งานด้านการศึกษา จัดการส่งเสริมคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนและ ศูนย์การเรียนชุมชน ชาวไทยภูเขา ?แม่ฟ้าหลวง? เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้รับโอกาสทางการศึกษาที่ทัดเทียมกับพื้นที่อื่น ๆ


อย่างไรก็ตาม ยังคงมีเด็กอีกจำนวนมากที่ขาดโอกาสทางการศึกษา และบรรพชาเป็นสามเณรเพื่อเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ซึ่งเปิดสอนทั้งสายสามัญตั้งแต่มัธยมศึกษาตอนต้นถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย และสายนักธรรมบาลี ควบคู่กัน

เมื่อความทราบถึงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในปัญหาสุขภาพอนามัยและโภชนาการของเด็ก ๆ ตลอดจนปัญหาการจัดการการศึกษาและการขาดโอกาสทางการศึกษาของเด็กและเยาวชน จึงทรงรับอุปถัมภ์กิจกรรมในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ตั้งแต่ปีการศึกษา 2547 และพระราชดำริให้ดำเนิน โครงการพัฒนาการศึกษาสามเณร นักเรียนในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา และขยายงานเรื่อยมา กระทั่งถึงปัจจุบัน


ในปีการศึกษา 2551 มีโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ในโครงการตามพระราชดำริ รวมทั้งสิ้น 33 โรงเรียน ครอบคลุมพื้นที่ จ.น่าน, แพร่ และเชียงราย โดยในปีการศึกษา 2551 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ถวายความช่วยเหลือแก่สามเณรจำนวน 5,160 รูปด้วยกัน

ทั้งนี้ การดำเนินงานตามโครงการพัฒนาการศึกษาสามเณรนักเรียนในโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เน้นใน 2 ส่วนด้วยกันตามพระราชดำริในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเป็นห่วงเด็กและเยาวชนไทยใน 2 เรื่องคือเรื่องโภชนาการ-สุขภาพอนามัย และเรื่องการศึกษา

ในเรื่องของ การพัฒนาด้านโภชนาการและสุขภาพอนามัย นับตั้งแต่ปี 2547 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ถวายค่าภัตตาหารเพลและค่านมผงสามเณรนักเรียน ภาคเรียนละ 100 วันเรียน ถึงปัจจุบันเป็นเงินทั้งสิ้น 17,896,856 บาท เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาหาร โดยเฉพาะภัตตาหารเพล ทำให้สามเณรนักเรียนทุกคนได้ฉันภัตตาหารเพลทุกวันเรียน และเป็นภัตตาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ


นอกเหนือไปจากการดูแลสามเณรในโรงเรียนพระปริยัติธรรม ให้มีภาวะโภชนาการและสุขภาพอนามัยที่ดีแล้ว ยังมุ่งส่งเสริมและพัฒนาให้สามเณรในโรงเรียนมีโอกาสและมีทางเลือกทางการศึกษาที่สูงขึ้น ให้สามารถเข้ารับการศึกษาสายสามัญ นักธรรมบาลี และด้านวิชาชีพ รวมถึงได้ศึกษาในระดับที่สูงขึ้นกว่าระดับมัธยมศึกษาตามศักยภาพและความสามารถของแต่ละบุคคล สร้างเสริมทักษะพื้นฐานการประกอบอาชีพทำให้สามารถนำวิชาชีพที่เรียนรู้ไปประกอบอาชีพหาเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ ไม่ต้องเป็นภาระของสังคม

ในส่วนของ การพัฒนาด้านการศึกษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินการสนับสนุนการศึกษาแก่สามเณรนักเรียนในโรงเรียนพระปริยัติธรรมสองส่วนด้วยกัน ส่วนแรกเป็นการส่งเสริมคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนพระปริยัติธรรม ในการฝึกอบรมครูของโรงเรียนพระปริยัติธรรม เพื่อพัฒนาทักษะการจัดการเรียนการสอน ตลอดจนการทำสื่อและสนับสนุนค่าตอบแทนของครู รวมถึงการสนับสนุนการศึกษาของครูให้มีโอกาสศึกษาต่อเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มคุณวุฒิ


ในการนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ถวายทุนการศึกษาส่วนหนึ่งให้กับครูโรงเรียนพระปริยัติธรรม เพื่อนำไปใช้ศึกษาต่อในสาขาที่โรงเรียนขาดแคลน

การพัฒนาสามเณรนักเรียน มีการพัฒนาทักษะสามเณรนักเรียนในเรื่องวิชาสายสามัญและการฝึกอบรมเฉพาะเรื่องตามความเหมาะสม อีกทั้งยังสนับสนุนสบง จีวร เสนาสนะ คิลานเภสัช อุปกรณ์สื่อการเรียนการสอน และการพัฒนาอาคารสถานที่ สิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมตามความจำเป็น

ส่วนที่สองเป็นการส่งเสริมให้สามเณรนักเรียนศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสให้พระภิกษุและสามเณรได้เรียนต่อสูงขึ้นตามทักษะและความสามารถของแต่ละคน โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ถวายทุนการศึกษาแก่พระภิกษุและสามเณรที่ศึกษาจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนในโครงการตามพระราชดำริ เพื่อศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน จำนวน 120 รูป คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 3,650,000 บาท


ในการทรงรับอุปถัมภ์และทรงส่งเสริมการศึกษาแก่สามเณรนักเรียน ไม่เพียงแต่เป็นการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ขาดโอกาสทางการศึกษา แต่ส่วนหนึ่งยังเป็นการช่วยส่งเสริมพระพุทธศาสนาไปในตัวด้วย ถือเป็นการเพิ่มจำนวนศาสนทายาท เพื่อให้ช่วยกันสืบทอดเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อไป

ในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เหล่าพสกนิกรชาวไทย ขอน้อมถวายพระพร ขอพระองค์ทรงพระเกษมสำราญ พระวรกายแข็งแรง ปราศจากภยันตรายใด ๆ ทั้งหลายทั้งปวง และทรงเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยตราบนานเท่านาน
ที่มา  http://www.dailynews.co.th/web/html/...e=1&Template=1






30
จากกระทู้เดิมที่ผมได้แจ้งข่าวอาการอาพาธพระะเทพสังวรญาณ (หลวงตาพวง สุขินทริโย)พระเถระผู้ใหญ่ในสายกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตตะเถระ http://www.bp.or.th/webboard/index.php/topic,8016.html



พระเทพสังวรญาณ (หลวงตาพวง สุขินทริโย) เจ้าอาวาสวัดศรีธรรมาราม อ.เมือง จ.ยโสธร พระวิปัสสนากรรมฐานชั้นผู้ใหญ่สายหลวงปู่เสาร์-หลวงปู่มั่น ละสังขารภาพแล้ววันนี้ กราบถวายอาลัยหลวงตาพวงพระอริยเจ้าผู้เปี่ยมไปด้วยพระเมตตา พระเนื้อนาบุญของชาวไทย

เมื่อเวลา 10.54 น. วันนี้ (2 เม.ย.) พระเทพสังวรญาณ หรือหลวงตาพวง สุขินทริโย รองเจ้าคณะภาค 10(ธ) ได้ละสังขารแล้ว อายุ 82 ปี พรรษา 57 พรรษา ที่โรงพยาบาลยโสธร หลังจากอาพาธด้วยโรคมะเร็งท่อน้ำดีระยะสุดท้าย ตั้งแต่เดือน ก.ย. 2550 และรับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดอย่างต่อเนื่องที่โรงพยาบายศิริราช ก่อนจะมาพักรักษาต่อที่โรงพยาบาลยโสธร จนมรณภาพ

ทั้งนี้ หลังจากทราบข่าวศิษยานุศิษย์และประชาชนจำนวนนับพันต่างทยอยกันมากราบสังขารหลวงตาพวงเป็นครั้งสุดท้ายแน่นโรงพยาบาลยโสธร
ก่อน หน้านี้ คณะแพทย์โรงพยาบาลยโสธร ได้ให้การดูแลอาการของหลวงตาพวง อย่างเต็มขีดความสามารถ เนื่องจากหลวงตาพวง อาพาธค่อนข้างหนัก รู้สึกตัวเป็นบางครั้ง มีความดันโลหิตตกเป็นช่วงๆ คณะแพทย์ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและยาลดความดันตลอดเวลา จวบจนเวลาประมาณ 03.00 น. วันนี้ อาการของหลวงตาพวง แสดงอาการหนักขึ้นมาก คณะแพทย์ได้พยายามรักษาและเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด จวบจนเวลา 10.54 น หลวงตาพวง ก็ได้ละสังขารอย่างสงบ สร้างความโศกเศร้าให้กับพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ ที่ต้องสูญเสียพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอีกหนึ่งรูป

31
ลองทำความเข้าใจดูนะครับ  แต่เป็นประโยชน์อย่างมากครับ

หลายคนคงจะพอทราบกันว่าอายุพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้านี้มีอายุอยู่ได้เพียง 5,000 ปี  แต่หลายคนมักจะเข้าใจกันผิดว่าหลังจากนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่ ที่มีพระนามว่า "พระศรีอาริยเมตไตรย" จะบังเกิดขึ้นเลยทันที   อันนี้เป็นการเข้าใจผิด อาทิเช่น ในสมัยพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน)หมดอายุพระพุทธศาสนาลงไป  พระศาสนาของพระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ได้บังเกิดเชื่อมต่อกันทันที

ในสมัยที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันมีพระชนม์ชีพอยู่นั้น  มนุษย์ทั่วไปมีอายุขัยเฉลี่ยที่ 100 ปี   พระพุทธเจ้าได้เคยตรัสว่า ทุกๆ 100 ปี อายุขัยของมนุษย์จะลดลง 1 ปี  ซึ่งขณะนี้พระพุทธศาสนาได้ผ่านมา 2500 ปีกว่าปีแล้ว อายุขัยมนุษย์ในปัจจุบันก็ 75 ปี   

พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันได้ทรงพุทธพยากรณ์ด้วยพระสัพพัญญูว่า พระศาสนาของพระองค์จะมีอายุได้เพียง 5,000 ปี  และเมื่ออายุขัยมนุษย์ลดลงเหลือเพียง 10 ปีคือประมาณพ.ศ. 9000  หรือหลังจากพุทธปรินิพพานไปแล้ว 9,000 ปี  จะเกิดยุคมิคสัญญีคือยุคทีมีมนุษย์จะไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉานเลย  จะทำแท้งกันเสรี  จะเห็นกงจักรเป็นดอกบัว   แม่จะสมสู่กับลูกชาย  ลูกสาวจะสมสู่กับพ่อ  ไม่มีการละอายต่อกัน เพราะสังคมจะยอมรับได้    มนุษย์จะเข่นฆ่ากัน     แต่จะมีมนุษย์จำพวกหนึ่งเบื่อสถานการณ์ภายนอก  ปลีกตัวออกห่างความโกลาหลวุ่นวายไปหาที่อยู่ใหม่  ได้ตั้งใจรักษาศีล 5 (คำสอนหมดไป แต่มนุษย์เหล่านี้สอนตนเองได้ ด้วยบุญเดิมที่ทำไว้)  มีลูกออกมา  ลูกจะมีอายุ 40 ปี

อายุมนุษย์จะขัยขึ้นอีกครั้ง   คือเมื่อผ่านยุคมิคสัญญีไปแล้ว  ทุก 100 ปี อายุมนุษย์จะเพิ่ม  1 ปี   เพิ่มอย่างนี้จนมนุษย์มีอายุ 1 อสงไขยปี (1 อสงไขยปี = เลข 1 แล้วตามด้วยเลข 0 อีก 140 ตัว)   จะเกิดยุคมิคสัญญีอีกครั้ง   มนุษย์จะเข่นฆ่ากันอีก 

หลังจากนั้นอายุมนุษย์จะขัยลงอีก คือ 100 ปีลดลง 1 ปี   จนอายุมนุษย์เหลือ 100,000 ปี  ก็จะเกิดมิคสัญญีอีก 1 ครั้ง    อายุมนุษย์จะลดลงไปเรื่อยๆอีก ทุก 100 ปีลดลง 1 ปี  จนอายุมนุษย์เหลือ 80,000 ปี 

เวลานี้แหละที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีพระนามว่า "พระศรีอาริยเมตไตรย" จะอุบัติบังเกิดขึ้นในโลกมนุษย์มาตรัสรู้ธรรมครับ


แล้วเราจะรอพระศรีอาริยเมตไตรยกันเหรอครับ  ทุกวันนี้ธรรมะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันยังมีให้ปฏิบัติ  คำสอนยังมีให้ศึกษา  ถ้าวันนี้เราไม่ทำ  ไม่ปฏิบัติ  พลาดพลั้งไปลงอบาย  ยาวนานมากครับ  แล้ววันหน้าเราจะมีโอกาสได้เหมือนกับวันนี้หรือเปล่าครับ
ที่ได้ยิน ได้ฟัง  ได้อ่าน  ได้ศึกษา คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ

32


พระะเทพสังวรญาณ (หลวงตาพวง สุขินทริโย)พระเถระผู้ใหญ่ในสายกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตตะเถระ

วันนี้ (31 มี.ค.) นพ.สุรพร ลอยหา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดยโสธร เปิดเผยถึงอาการป่วยของ พระเทพสังวรญาณ หรือหลวงตาพวง สุขินทริโย พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบชื่อดังของ จ.ยโสธร และภาคอีสาน ว่า จากการที่หลวงตาพวง ได้อาพาธด้วยโรคมะเร็งท่อน้ำดี ระยะสุดท้าย และรับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดอย่างต่อเนื่องที่โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่เดือน ก.ย. 2550 และหลวงตาพวงได้มีอาการอาพาธเพิ่มเติมจากโรคปอดบวมและติดเชื้อในกระแสโลหิต เนื่องจากมีภูมิต้านทานต่ำ ก่อนจะย้ายเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลยโสธร เมื่อกลางดึกวันที่ 29 มี.ค. ที่ผ่านมานั้น ทางคณะแพทย์ของโรงพยาบาลยโสธร ได้ให้การดูแลอาการป่วยของ หลวงตาพวง อย่างใกล้ชิด


นพ.สุรพร กล่าวว่า ตอนแรกที่เข้ารับการรักษานั้น หลวงตาพวง มีอาการรู้สึกตัวเป็นบางครั้ง มีความดันโลหิตตกเป็นช่วงๆ แพทย์ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และยาเพิ่มความดันตลอดเวลา ห้ามผู้เข้าเยี่ยมอย่างใกล้ชิดโดยเด็ดขาด ยกเว้นคณะแพทย์และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันการติดเชื้อและในวันนี้ เวลาประมาณ 10.00 น. อาการป่วยของหลวงตาพวงดีขึ้นเป็นลำดับ สามารถที่จะตอบสองการรับรู้ได้อย่างดี และทางแพทย์ก็ได้ถอดเครื่องช่วยหายใจออกแล้ว หลวงตาพวงก็สามารถพอที่จะขยับตัวได้ตามที่แพทย์บอกได้แล้ว ดังนั้น ทางคณะแพทย์ของโรงพยาบาลยโสธรจะยังเฝ้าดูอาการป่วยของ หลวงตาพวงอย่างใกล้ชิด และจะแจ้งข่าวให้ประชาชนทราบอย่างใกล้ชิดต่อไป


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณตึกศัลยกรรม 5 ชั้น และที่บริเวณชั้น 2หน้าห้องพิเศษ ที่ทางโรงพยาบาลยโสธร ทางคณะศิษย์ของหลวงตาพวง ได้ตั้งแท่นบูชา และมีประชาชนมาเข้าสักการะและกราบรูปของหลวงตาพวง พร้อมกับลงสมุดเยี่ยมเพื่อขอให้ หลวงตาพวง หายโดยเร็ว นอกจากนี้ นายวันชัย อุดมสิน ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร และข้าราชการก็ได้เข้ามาเยี่ยมดูอาการป่วยของ หลวงตาพวง ที่โรงพยาบาลยโสธร ด้วย


ที่มา  http://www.thairath.co.th/online.php...content=130664

33
วันนี้เอารูปช้างเผือกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาให้ดูกันครับ  สำหรับคนที่ยังไม่เคยเห็น จะได้ชมกันครับ


34


ผู้ถาม "มีด็อกเตอร์คนหนึ่งนะคะพูดว่า ศาสนาพุทธนี่มีอายุไม่ถึง ๕,๐๐๐ ปี ตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ เพราะขณะนี้ทางเบื้องบนตกลงไว้ว่าจะมีการชำระล้างกันก่อน เพราะว่าเวลานี้คนบาปมากเพื่อว่าจะได้มีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ทีนี้ขอเรียนถามหลวงพ่อว่า จะทำอย่างไรจึงจะไม่ให้เป็นไปตามนั้นคะ....?"

"ปัญหานี่ดี แต่ฉันว่าไม่มีหรอก พระพุทธศาสนาต้องทรงอยู่ได้ถึง ๕,๐๐๐ ปีแน่นอน ฉันขอยืนยัน ถ้าใครไม่เชื่อจงอย่าตายนะ รอไปถึงเวลานั้น นี่เขาคงเดาเอาน่ะ พระพุทธดำรัสมีอยู่คือว่า

* พันปีแรก จะมากไปด้วย ปฏิสัมภิทาญาณ
* พันปีที่ ๒ จะมากไปด้วย ฉฬภิญโญ
* พันปีที่ ๓ คือระหว่างนี้จะมากไปด้วย เตวิชโช
* พันปีที่ ๔ จะมากไปด้วยสุกขวิปัสสโก และ
* พันปีที่ ๕ จะมากไปด้วยอนาคามี

คำว่า มาก หมายความว่า พวกนี้จะมากกว่าส่วนอื่นที่มีอยู่
แต่เวลานี้พวกปฏิสัมภิทาญาณก็มี อภิญญาหกก็มี แต่พวกวิชชาสามมีมากกว่า


อย่างพันปีที่ ๔ พวกสุกขวิปัสสโกมาก แต่ว่าปฏิสัมภิทาญาณก็ดี อภิญญาหกก็ดี วิชชาสามก็ดี เขาก็ยังมีอยู่

อย่างพันปีที่ ๕ พระอนาคามีมีมาก แต่ว่าพระอรหันต์ทั้ง ๔ พวกนี้ยังมีอยู่ พระพุทธเจ้าไม่วางพื้นฐานส่งเดช และที่เขาว่าพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาใครล่ะมา พระศรีอาริยเมตตรัย ท่านก็ไม่มา ไม่เชื่อไปถามท่านซิ"

ผู้ถาม "หลวงพ่อคะ ถ้าหากว่าคนไปนิพพานหมด โลกนี้ก็จะร่อยหรอด้วยคนซิคะ.....?"
"ไม่มีทาง พระพุทธเจ้ามาอีกแสนองค์ก็ยังไม่ร่อยหรอเลย เพราะคนที่พยายามคอยเกิดบนโลกนี้มีมากต่อมาก"

ผู้ถาม "คือคิดดูในปัจจุบันนี้ว่าคนมีปริมาณน้อยค่ะ "
"ไอ้ที่ว่าเห็นน้อยก็เพราะว่าเขาไปเสวยทุกข์ในนรกกันมาก ยิ่งต้นกัปคนก็ยิ่งน้อย เพราะต้นกัปพวกที่มีบาปขึ้นมาไม่ได้เลย ลงมาแต่พวกพรหม หลังจากนั้นเลยมาอีกหน่อย ก็มาแต่พวกเทวดา ฉะนั้นในยุคต้นๆ ของกัปเขาจึงมีความสุขกันมากการรบราฆ่าฟันกันไม่มี ความเป็นอยู่เป็นสุข ทรัพย์สมบัติก็สมบูรณ์บริบูรณ์ อายุเขาจึงยืนนาน ต้นกัปคนมีอายุถึง ๘๐,๐๐๐ ปีเพราะเขาไม่มีโทษปาณาติบาต

แล้วต่อมาพวกมี่มีบุญน้อยลดตัวลงมาก็หมายถึงพวกเทวดา พวกเทวดาหรือพรหมนี่ เมื่อหมดจากบุญวาสนาบารมีเดิม กรรมที่เป็นอกุศลเริ่มให้ผล อายุมันก็ลดลงบ้าง ๑๐๐ ปี ลง ๑ ปี

ต่อมาในยุคนี้สัตว์ในอบายภูมิขึ้นมาเกิดมาก โลกจึงมีแต่ความเร่าร้อน เวลานั้นเขาไม่มีสงคราม ต้นกัปจริงๆ เขาไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน ไม่มีผู้ปกครองโลก ปกครองประเทศอยู่กันด้วยความสุข"

ที่มา : หนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษเล่ม ๒ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

35
ต่อจากกระทู้เดิม ครับ  "บันทึกประวัติศาสตร์ 65 ปี ธรรมชัยในโซโลมอน  ตอนที่ 6 ต้นทางสวรรค์"   

http://www.bp.or.th/webboard/index.php/topic,7885.0.html

...............................................................................

"บันทึกประวัติศาสตร์การทำหน้าที่ ณ ดินแดนโซโลมอน ตอนที่  7 ด. เด็กก้าวเดิน"

กราบคารวะแทบเท้าคุณครูไม่ใหญ่ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งครับ
 
     เด็กๆ ก็เหมือนกระดาษสีขาวที่รอการแต่งเสริมเติมสีจากผู้ใหญ่จากพ่อแม่ผู้เป็นครูคนแรกของลูกและจากคุณครูในโรงเรียน เราอยากให้พวกเขาเป็นอย่างไรก็สามารถทำได้ทั้งนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการต้นแบบที่ถูกต้องดีงาม เพื่อจะได้ก้าวเดินตามอย่างภาคภูมิและมั่นใจ
 
     โรงเรียนเทนาวาตู แห่งนี้ก็เช่นกัน เมื่อกระกระผม พระสังเวียน  อตฺตทโม ดวงตะวันแห่งโซโลมอนเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ จึงง่ายต่อการเดินทางไปเยี่ยมเยือนคุณครูและเด็กๆอย่างสม่ำเสมอ
 
     ในเช้าวันจันทร์ที่ 16 มีนาคม 2552 กระผมไปโรงเรียนเหมือนเช่นเคย แล้วก็เจอภาพเด็กๆนั่งรวมกันทำกิจกรรมร้องเพลงในห้องเรียนอย่างเป็นหนึ่งเดียวกันคือไม่ได้แยกระดับชั้น


นั่งรวม ไม่ได้แยกระดับชั้น

ทำกิจกรรมนั่งร้องเพลง

หลังจากนั้นคุณครูก็ได้มาอบรมวินัยหน้าห้อง พูดถึงปัญหาเรื่องเครื่องแต่งกายบ้าง การกินบ้าง ทั้งครูและนักเรียนหมดเวลาไปสามสิบนาทีกับความเคร่งเครียด

คุณครูอบรมวินัยอย่างเคร่งเครียด

หลังจากนั้นก็ปล่อยเด็กเดินขึ้นห้องเรียนของตนแบบไม่ต้องตั้งแถว

เดินขึ้นชั้นเรียนแบบไม่เป็นแถว

           กระผมคิดถึงคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อทั้งสอง(หลวงพ่อธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และหลวงพ่อทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย)ที่พระอาจารย์สุธัมโม ประธานภาคพื้นโอเชียเนียเคยเมตตาทบทวนให้ว่า ?แม้สัตว์เดรัจฉาน (เช่น ปลาโลมาในโซโลมอน) ยังสามารถฝึกได้ แสดงว่าคนก็สามารถฝึกตัวได้ดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน?

พระอาจารย์สุธัมโม ทักทายโดลฟิน(ปลาโลมา)

เมื่อนึกถึงคำสอนแล้ว กระผมจึงขออนุญาตประชุมคุณครูทุกท่านในช่วงบ่ายหลังเลิกเรียน เพื่อแนะนำสิ่งดีๆให้เป็นประโยชน์ต่อไป  เมื่อถึงเวลาประชุมกระผมและคุณครูก็ได้นั่งสมาธิร่วมกันก่อนประชุมครับ คุณครูเล่ากำหนดการของเด็กๆว่าเช้าวันจันทร์และวันศุกร์

ประชุมคุณครู

7:45-8:00 น.  เด็ก ๆ จะมานั่งรวมกันร้องเพลง
     8:00-8:30 น. ฟังคุณครูอบรมอบรมก่อนขึ้นห้องเรียน
 
     กระผมจึงได้แนะนำเพิ่มเติมว่า ?ใครที่มีหน้าที่รับบุญทำความสะอาดประจำวันก็ให้มาก่อน และปรับปรุงกำหนดการให้ดังนี้
 
     7:35-7:45 น. เมื่อถึงเวลารวมพลก็ให้คุณครูช่วยแยกแถวตามระดับชั้นเรียน
     7.45-8:00 น. ร้องเพลง
     8:00-8:15 น. คุณครูให้โอวาทยกใจ เพื่อให้เด็กมีกำลังใจเรียน ส่วนเรื่องร้อนๆ อย่านำมาเล่าให้เด็กฟัง
     8:15-8:25 น. ให้คุณครูนำเด็กนั่งสมาธิก่อนเรียน
     8:25-8:30 น. เด็ก ๆ เดินแถวขึ้นห้องเรียน

 
     กระผมบอกคุณครูว่า เด็กๆ ทั้งหมดจะเป็นกำลังสำคัญของประเทศโซโลมอนในอนาคต ถ้าเด็กๆ รุ่นนี้สามารถฝึกได้ รุ่นต่อๆ ไปเขาก็จะเจริญรอยตามพี่ๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นนิสัย  
     เมื่อถึงวันศุกร์ 20 มีนาคม 2552 คือวันที่เด็กๆ มารวมตัวกันร้องเพลงอีกครั้ง กระผมเดินไปที่โรงเรียนแต่เช้าภาพแรกที่เจอคือคุณครูแอ๊ดมอนและคุณครูประจำชั้นกำลังจัดแถวเด็กๆตามระดับชั้น เมื่อจัดแถวแล้วก็นั่งลง

ครูใหญ่ช่วยจัดแถว

จัดแถวแล้วนั่งลง

แต่ปรากฎว่าวันนี้เป็นวันแรกที่เริ่มแยกระดับชั้น คุณครูและเด็กๆใช้เวลาทั้งหมดกับการจัดแถวจึงขาดกิจกรรมร้องเพลงและให้โอวาทเด็กๆไป เหลือเวลาเพียง 10 นาทีก่อนขึ้นชั้นเรียน คุณครูซาโลมีจึงนำเด็กๆนั่งสมาธิครับ

นั่งสมาธิร่วมกัน โรงเรียนเทนาวาตู

 หลังจากนั้น คุณครูก็ปล่อยให้เด็ก ๆ เดินขึ้นห้องเรียนอย่างเป็นระเบียบสวยงาม

เดินแถวขึ้นห้องเรียนอย่างเป็นระเบียบ

เดินแถวขึ้นห้องแบ่งเป็นชั้นเรียน

เดินแปรแถวขึ้นห้องเรียน

กระผมจึงเดินไปกล่าวชื่นชมคุณครูทุกท่านว่า ?ทุกท่านเยี่ยมมาก วันนี้เป็นวันแรกในการจัดแยกแถวจึงใช้เวลานาน ต่อไปเมื่อเด็กๆ เขารู้ว่าตัวเองจะต้องนั่งตรงไหนก็จะรวดเร็วขึ้น และสามารถดำเนินกิจกรรมได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์?

ภาพคุณครูหลังปล่อยเด็กขึ้นชั้นเรียน

รายงานฉบับนี้ นับว่าเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ แห่งการฝึกฝนความมีระเบียบวินัยร่วมกันของเด็กๆในโซโลมอน  เพื่อให้พวกเขาได้เป็นเด็กเก่งและดีเป็นกำลังสำคัญของประเทศต่อไป

เรื่องราวดีๆ ในหมู่เกาะอดีตมนุษย์กินคนยังมีอีกมากมาย  กระผมจะทยอยมาเล่าในตอนต่อไปนะครับ
 
กราบคารวะแทบเท้าด้วยความเคารพอย่างสูงครับ


พระสังเวียน  อตฺตทโม




36



ขอบคุณพี่นิราศ จักรวาลแก้ว จากเวปพลังจิตด้วยครับ

ที่มา  http://board.palungjit.com/showthread.php?t=180427 


37
ก่อนอื่นต้องเกริ่นหัวข้อนี้ก่อนนะครับ  "บันทึกประวัติศาสตร์ 65 ปี ธรรมชัยในโซโลมอน  ตอนที่ 6 ต้นทางสวรรค์"   คำว่า 65 ป ธรรมชัย นั้นคือครบรอบอายุ 65 ปีพระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์  ฝ่ายวิปัสนาธุระ(หลวงพ่อธัมมชโย วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี) ในวันที่ 22 เมษายน 2552 ที่จะถึงนี้ครับ

ท่านส่งพระปฏิบัติธรรมในระดับที่ดี ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั่วทุกมุมโลกครับ

ข้างล่างเป็นจดหมายที่พระที่ถูกส่งไป  ส่งกลับมารายงานครับ
************************************

กราบคารวะแทบเท้าคุณครูไม่ใหญ่ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งครับ  (หลวงพ่อธัมมชโย จะเรียกตัวท่านเองว่าคุณครูไม่ใหญ่ครับ)

การกราบเท้าพ่อแม่ เป็นสื่อแทนใจได้หลายอย่าง เช่น การแสดงความรัก ความเคารพ ความกตัญญูกตเวที และความอ่อนน้อมถ่อมตน ได้เป็นอย่างดี สำหรับตัวกระผม พระสังเวียน อตฺตทโม_นั้น ได้กราบเท้าโยมพ่อโยมแม่ ครั้งสุดท้าย ในวันที่กล่าวคำขอขมาลาบวช วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2551 ครับ


ภาพแห่งการทำความดีเหล่านั้น แม้จะไม่ได้มีใครถ่ายรูปเก็บไว้ แต่ได้ถูกบันทึกด้วยเครื่องบันทึกที่ดีที่สุดในโลกที่กลางใจของกระผมแล้ว ซึ่งสามารถเห็นได้ตลอดเวลาเมื่อนึกถึงครับ แต่อย่างไรก็ตามภาพแห่งการทำความดี จะไม่ยุติเพียงเท่านี้ สิ่งดีๆทั้งหลายจะต้องแผ่ขยาย และบังเกิดขึ้นแก่สายตาเทวดาและทุกๆคนที่โซโลมอน ให้ได้มากที่สุดครับ
 
    ตอนนี้ ครอบครัวทอมมี่เป็นครอบครัวที่ใกล้ชิดกับกระผมมากที่สุด และลูกชายของทอมมี่ทั้งสามคน ก็ได้มาฝึกฝนอบรมตนเองหลายๆเรื่อง ผ่านกิจกรรมต่างๆ และการนั่งสมาธิครับ
 
    โดยลูกชายคนโต โจเซฟ ทอมมี่ อายุ 20ปี จะเป็นคนที่ใฝ่เรียน รักความสงบ ชอบนั่งสมาธิก่อนนอน


ลูกชายคนที่สอง มัสสลิน ทอมมี่ อายุ 18ปี เป็นนักพัฒนา ชอบทำงานใช้กำลังและมีอารมณ์ศิลปิน แต่ก็ไม่ทิ้งการปฏิบัติธรรม






ลูกชายคนเล็ก เกวิน ทอมมี่ อายุ 14ปี มีความเฉลียวฉลาด จดจำได้แม่นยำ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ว่านอนสอนง่าย ขยันเรียนและตั้งใจฝึกตัว ซึ่งกระผมก็หวังจะฝึกฝนเด็กทุกคนให้เป็นคนดีที่โลกต้องการ และเป็นกำลังสำคัญของประเทศครับ





กระผมจึงเริ่มต้น ปลูกฝังคุณธรรมด้านความกตัญญูรู้คุณบิดามารดาก่อน โดยทดสอบความเข้าใจของพวกเขา จากการป้อนคำถามทีละคำถามครับ ตอนแรกกระผมถามพวกเขาว่า ?ถ้าพ่อแม่ให้กำเนิดลูกแล้ว ไม่ได้เลี้ยงดู พ่อแม่เช่นนี้ ถือว่าดีหรือไม่?
 
เด็กทั้งสามคนตอบเหมือนกันว่า ?ไม่ดี เพราะคลอดออกมาแล้วก็หนีไป ปล่อยให้คนอื่นเลี้ยงจะดีได้อย่างไร?
กระผมจึงถามต่อว่า ?ถ้ามีคนเอาเงินมาให้พวกเธอหมื่นเหรียญล่ะ เขาเป็นคนดีไหม?
ทั้งสามคนตอบเหมือนกันว่า ?เขาดีมากๆครับ?
?แล้วถ้าเอาเงินมาให้พวกเธอหนึ่งล้านเหรียญล่ะ?
ทั้งสามคนตอบเหมือนกันว่า ?ผมกราบเขาได้เลยนะครับพระอาจารย์?
คราวนี้ กระผมก็ถามขึ้นว่า ?นิ้วชี้ของพวกเธอราคาเท่าไร ฉันขอแค่คนละนิ้วเท่านั้น?
ทั้งสามคนตอบเหมือนกันว่า ?ตีราคาไม่ได้ครับ เพราะไม่มีอะไหล่ครับ จึงให้ไม่ได้ครับ?
 
    ได้ยินดังนั้นกระผมจึงสอนว่า ?ถ้าตีราคาไม่ได้ แสดงว่าแค่นิ้วเดียวของพวกเธอยังราคามากกว่าล้านเหรียญ แล้วถ้าทั้งตัวเธอล่ะ มันจะราคาเท่าไร? ทั้งสามคนฟังแล้วก็เงียบ กระผมจึงกล่าวต่อ ?ถ้าเช่นนั้นพ่อแม่ที่คลอดลูกออกมาแล้วไม่ได้เลี้ยง ยังเป็นคนดีอยู่ไหม? ทั้งสามคนตอบเหมือนกันว่า ?ดีครับ?
 
    กระผมเลยกล่าวว่า ?แต่พวกเธอก็เป็นลูกที่โชคดีมากๆ เพราะพ่อแม่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กจนโต เป็นเวลานานแล้วที่ทั้งสองคนต้องทำงานหนัก แต่ก็ไม่เคยบ่นแม้เพียงสักคำ พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะให้ได้มีเงินเลี้ยงดู และส่งพวกเธอเรียนหนังสือ ถ้าตีราคาออกมา ไม่ว่าจะเป็นราคาค่าคลอดพวกเธอ ค่าตัวเธอ ค่าอาหาร ค่าเล่าเรียนและค่าอื่นๆ สรุปแล้วคงหลายล้านเหรียญน่าดู แล้วพวกเธอเคยกราบเขาทั้งสองบ้างไหมล่ะ?
 
ทั้งสามคนตอบเหมือนกันว่า ?ไม่เคยครับ เพราะไม่มีใครสอนให้กราบครับ?
กระผมจึงถามคำถามสุดท้ายว่า ?เขาทั้งสองสมควรจะได้รับการกราบจากพวกเธอไหม?
ทั้งสามคนตอบเหมือนกันว่า ?สมควรครับ?
 
    ลูกชายทั้งสามคนได้ปรึกษากันว่า จะกราบเท้าพ่อแม่เวลาไหนดี กระผมจึงแนะนำว่าให้กราบก่อนเข้านอน จะได้เป็นสิริมงคลแก่ตนเองและนอนหลับฝันดี พร้อมกันนั้นกระผมก็ได้สอนวิธีการกราบ โดยกราบเหมือนกราบพระ เพราะพ่อแม่ คือ พระอรหันต์ในบ้าน
 
    และแล้ว ภาพมหัศจรรย์ก็ได้บังเกิดขึ้นแก่สายตาของกระผม คือ เมื่อถึงเวลานัดหมาย ทั้งสามคนก็ยกเก้าอี้มาสองตัวพร้อมกับบอกทอมมี่และเอมมิลี่ ผู้เป็นพ่อแม่ให้มานั่งบนเก้าอี้สองตัวนี้ แล้วก็กราบเท้าพร้อมกันครับ


ทอมมี่ ได้ให้สัมภาษณ์ หลังจากที่ลูกชายทั้งสามกราบเท้าว่า ?ผมมีความสุขมากที่ลูกชายมากราบเท้าผมและภรรยา ผมรู้สึกตื่นเต้นดีใจในความพร้อมเพรียงของพวกเขา ครอบครัวได้อบอุ่นยิ่งขึ้นด้วยความรัก แต่ผมก็ยังรู้สึกเสียใจ แล้วก็มีคำถามกับตัวเองว่า ผมดีพอแล้วหรือที่ลูกจะมากราบเท้าผม? แล้วทอมมี่ก็กล่าวขอบคุณกระผม ที่สามารถทำให้ลูกชายทั้งสามกราบเท้าเขาได้ครับ
 
    ส่วน เอมมิลี่ ก็บอกว่า ?ฉันมีความสุขมากที่ลูกชายทั้งสามมากราบเท้าฉันและทอมมี่ เพื่อแสดงความเคารพรัก นี่คือสิ่งที่พิเศษที่สุดที่ไม่เคยมีในโซโลมอน นี่คงเป็นครอบครัวแรกในโซโลมอน ที่ลูกๆมากราบเท้าพ่อแม่ค่ะ?
    ตอนนี้ พอตกเย็นทั้งสามคนก็จะกราบเท้าพ่อแม่ก่อนเข้านอนทุกคืน ส่วนเกวิน ทอมมี่ ลูกชายคนเล็ก ยังได้กราบเท้าพ่อแม่ก่อนไปโรงเรียนทุกวันด้วยครับ




กระผมมีความสุขมากครับ ที่ได้เห็นภาพดีๆอย่างนี้ สิ่งดีๆใดๆที่บังเกิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้ กระผมจะทยอยนำมาเล่าสู่กันฟัง ถวายรายงานคุณครูไม่ใหญ่ต่อไปครับ
 
กราบคารวะแทบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อทั้งสอง
ด้วยความเคารพอย่างสูงครับ
 
พระสังเวียน อตฺตทโม





38









ศรีลังกา เป็นประเทศเล็กๆตั้งอยู่บนเกาะซึ่งเหล่ากวีได้เปรียบเปรยว่าเป็น หยาดมรกตที่หยดลงบนมหาสมุทรอินเดีย มีพื้นที่เล็กกว่าประเทศไทยถึง ๘ เท่า และมีประชากรกว่า ๒๐ล้านคน ซึ่งมีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนานมากกว่า ๒,๕๐๐ ปี


ควบคู่มากับพระพุทธศาสนาที่ชาวลังกากว่า ๗๙ % ถือเป็นหลักยึดมั่น วางรากฐานวัฒนธรรมประเพณีและวิถีชีวิตจิตวิญญาณตลอดมา ดินแดนแห่งนี้คือต้นทางพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์ที่เผยแผ่เข้ามาสู่ดินแดนอุษาคเนย์เมื่อกว่า ๘๐๐ ปีมาแล้ว แต่ก็เคยเกือบจะต้องสูญเสียพุทธศาสนาของตนให้กับการรุกรานของผู้ล่าอาณานิคม ทำให้ชาวพุทธลังกาซาบซึ้งถึงคุณค่าและหวงแหน ศาสนธรรมล้ำค่าที่ตัวเองมี

วัดมัลลิกา ดาลดา หรือ วัดพระเขี้ยวแก้วแห่งเมืองแคนดี้ เป็นสถานที่ประดิษฐาน พระทันตธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเขี้ยวแก้วเพียงองค์เดียวที่ปรากฏบนโลกมนุษย์โดยมีหลักฐานรองรับความถูกต้องตรงตามพระคัมภีร์มหาวังศา ด้วยว่าพระทันตธาตุหลังจากการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ และ นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่๙ พระเขี้ยวแก้วได้ประดิษฐานอยู่บนแผ่นดินแห่งนี้มาโดยตลอด มิเคยถูกนำออกนอกดินแดนเลย ตั้งแต่ถูกอัญเชิญมาจากชมพูทวีปโดยเจ้าหญิงเหมมาลาแห่งแคว้นกาลิงคะเมื่อกว่า ๑,๗๐๐ ปีก่อนชาวศรีลังกาต่างถวายเคารพต่อพระทันตธาตุอย่างสูงสุด โดยเชื่อกันว่าหากเมื่อใดพระเขี้ยวแก้วถูกนำออกนอกเกาะลังกาแล้ว จะนำภัยพิบัติมาสู่ประเทศชาติ และยังเชื่อว่าหากเมื่อใดที่เกิดทุกข์ภัยขึ้น การเปิดอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วออกให้ผู้คนสักการบูชาจะสามารถขจัดเภทภัยต่างๆได้ โดยจะมีการจัดพิธีสมโภชเปิดอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วในช่วงราวทุก ๔-๕ ปี โดยในปีนี้จะจัดขึ้น ระหว่าง ๖-๑๖ มีนาคม ๒๕๕๒

สายธารของกระแสฝูงชนนับแสนที่พร้อมใจกันเป็นสีหนึ่งเดียวด้วยชุดสีขาวทอดยาวจากวัดมัลลิกาวะที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว โค้งยาวอ้อมไปตามถนนรอบทะเลสาบกรุงแคนดี้ ไม่ต่ำกว่า ๓-๔ กิโลเมตร ผู้คนมาจากทั่วสารทิศ เพื่อต่อแถวยาว นานกว่าครึ่งค่อนวันเพียงเพื่อจะได้มีโอกาสสักครึ่งนาทีที่จะได้นมัสการพระทันตธาตุ ที่เปิดให้ประชาชนกราบสักการะครั้งแรกในรอบ ๕ ปี ถึงแม้แสงแดดจะร้อน อากาศจะอบอ้าว ผู้คนจะเบียดเสียดแค่ไหน แต่ใบหน้าที่ผุดเหงื่อเหล่านั้นก็ยังแย้มยิ้มรอโอกาสบุญที่ตนกำลังจะได้สัมผัส หลายคนมาเข้าแถวแต่เช้ามืดเพื่อที่จะได้เข้ามากราบตอนบ่ายๆ เสร็จแล้วก็เดินออกไปต่อแถวใหม่อีกครั้ง เพื่อหวังว่าจะได้มีโอกาสกลับมากราบอีกสักครั้งในช่วงค่ำๆ นี่คือภาพความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวศรีลังกา จากคำบอกเล่าของ นายฉัตตริน เพียรธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอ็นซี ทัวร์ แอนด์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ผู้บุกเบิกทัวร์บุญและเส้นทางสังเวชนียสถาน มากว่า๓๐ ปี

พร้อมกันนี้นายฉัตตรินยังบอกด้วยว่า เจ้าหน้าที่วัดพระเขี้ยวแก้วประเมินว่า วันหนึ่งๆจะมีคนเข้ามากราบพระเขี้ยวแก้วประมาณ ๑๗๕,๐๐๐คน-ครั้ง โดยงานสมโภชนี้จัดขึ้นเป็นเวลาทั้งสิ้น ๑๑ วัน เมืองทั้งเมืองคลาคล่ำไปด้วยผู้แสวงบุญหลั่งไหลเข้ามา เที้ยรย่อมคนเสียดกันเมืองสุโขทัยนี้ มีดั่งจักแตก เทียบดังเช่นที่พ่อขุนรามคำแหงจารึกบอกเล่าสภาพวันนั้นของกรุงสุโขทัยเมื่อ ๗๐๐ ปีก่อน แต่วันนี้ยังหาดูได้ที่นี่

ในประเทศที่ผู้คนรักความสนุกสนานมีเทศกาลรื่นเริงมากมายอย่างในเมืองไทยซึ่งเราฉลองกันทั้งปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์ ลอยกระทงไปจนถึงคริสต์มาส แต่เชื่อหรือไม่ว่า งานเฉลิมฉลองที่คนลังกาเฝ้าคอยทั้งปีคือ เทศกาลวันวิสาขบูขา หรือวันไวสาข ที่ชาวลังกาจะได้หยุดยาวออกมาทำบุญฟังธรรม ที่จะมีการจัดเทศน์ประชันกันของพระนักเทศน์ชื่อดังทั่วประเทศ มีการถ่ายทอดสดออกโทรทัศน์ตัดภาพสลับกันระหว่างเวทีธรรมาสน์จากเมืองต่างๆ ราวกับถ่ายทอดสดเวทีเคาท์ดาวน์ช่วงปีใหม่ในบ้านเราก็ไม่ปาน

ตกเย็นผู้คนต่างจุดประทีปโคมไฟกระดาษที่ตบแต่งอย่างประณีตบรรจงแขวนไว้หน้าบ้านเรือนในเมืองมีการเฉลิมฉลอง มีการจัดประกวดประขันออกแบบโคมไฟงามไม่แพ้การประกวดกระทงที่บ้านเรา สองข้างถนนมีการประดับตบแต่งจัดทำป้ายคัตเอาท์ขนาดใหญ่วาดเป็นเรื่องราวพุทธประวัติ ติดไฟกระพริบ แสงสีประกอบเทคนิคต่างๆตามแต่ที่เจ้าภาพผู้สร้างจะคิดได้ บอกเล่าเรื่องราวประกอบคำบรรยายแสงสีและซาวน์เอฟเฟคต์ แม้จะไม่ได้ทันสมัยตระการตาเหมือนงานแสดงไลท์แอนด์ซาวน์ ไม่ได้มีเรื่องราวยั่วกิเลสอย่างหนังกลางแปลงร้อยจอของบ้านเรา แต่ก็เร้าใจพอที่จะเรียกให้ชาวบ้านชาวเมืองแต่งตัวกันออกมาเดินชมอย่างสนุกสนาน ซื้อขนมชิมพลางเดินแวะดูป้ายโน้นป้ายนี้ อิ่มท้อง อิ่มบุญไปพร้อมๆกัน สมกับที่ชาวศรีลังกาให้ความสำคัญสำหรับวันวิสาขบูชาเป็นอย่างยิ่งและเป็นหัวหอกสำคัญที่ผลักดันให้วันนี้ได้รับการประกาศให้เป็นวันสำคัญของโลกโดยองค์การสหประชาชาติ

นายฉัตตรินยังบอกดวยว่า การเดินทางมาที่วัดกัลยาณีหรือวัดเกลานียะที่ชานกรุงโคลอมโบในเช้าวันจันทร์วันหนึ่งที่น่าจะเป็นช่วงเวลาทำงานอันยุ่งวุ่นวายของเมืองศูนย์กลางธุรกิจของประเทศ แต่กลับเจอผู้คนนุ่งขาวห่มขาวมากมายมาปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิภาวนา ทั้งคนหนุ่มสาว คนวัยทำงาน ครอบครัวที่มีเด็กๆวิ่งเล่นอยู่ใกล้ หรือแม้แต่คู่บ่าวสาวที่กำลังจะแต่งงานในชุดเต็มยศ ก็เข้ามาขอพรพระ ให้ครองคู่อยู่เย็นเป็นสุข พร้อมกับนัดช่างภาพจากสตูดิโอมาถ่ายรูปตามสมัยนิยมไปด้วยเลย โดยอาศัยฉากหลังจากความงดงามของวัดนั่นเอง คำตอบที่ได้รับก็คือวันจันทร์นี้ตรงกับวันพระขึ้น ๑๕ค่ำ ซึ่งเป็นวันหยุดราชการนอกเหนือจากวันอาทิตย์ที่เป็นวันหยุดสากล โดยทั่วประเทศไม่ว่าหน่วยงานทั้งภาครัฐหรือเอกชน ธนาคาร ห้างสรรพสินค้า ต่างก็พร้อมใจกันปิดทำการเพื่อให้ผู้คนได้มีเวลาใกล้ชิดกับพระศาสนา สถานบันเทิงเริงรมย์ก็พร้อมใจกันงดขายสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด แม้แต่ร้านขายเนื้อสัตว์ก็ยังงดเว้นการเบียดเบียนชีวิตในวันนี้เช่นกัน

การสืบทอดพระพุทธศาสนาเป็นงานสำคัญของพระภิกษุในประเทศนี้แม้มีพระสงฆ์เพียงประมาณ ๗๐,๐๐๐รูปอาจจะนับว่าน้อยเมื่อเทียบกับประเทศไทย แต่ก็เป็นจำนวนพระที่มีคุณภาพ ผู้ที่จะบวชจะต้องมีการมาอยู่วัดเตรียมตัวและเตรียมใจเสียก่อนเป็นเวลานาน โดยในวันอุปสมบทเจ้านาคจะแต่งเครื่องทรงอย่างกษัตริย์ซึ่งกล่าวกันว่า ได้แบบแผนมาจากกรุงศรีอยุธยาที่เคยส่งสมณทูตมาฟื้นฟูพุทธศาสนาในยุคที่ลังกาเสื่อมถอยถึงที่สุดการบวชเป็นพระของชาวลังกานั้นโดยมากจะไม่สึกออกมาอีก โดยหากใครก็ตามบวชแล้วสึกออกมาเป็นฆราวาส มักจะถูกสังคมตำหนิว่าเป็นคนโลเล เชื่อถือไม่ได้ จิตใจไม่มั่นคง

"รัฐธรรมนูญของประเทศศรีลังกาได้รับรองให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติและมีกระทรวงกิจการพระพุทธศาสนาคอยดูแลแต่นั่นก็ยังไม่ใช่หลักสำคัญที่ทำให้พุทธศาสนาหยั่งรากลึกฝังลงในจิตใจของผู้คนอย่างลึกซึ้ง การได้มีโอกาสสัมผัสพบเห็นงานสมโภชพระเขี้ยวแก้ว พระทันตธาตุของพระพุทธเจ้าอันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวพุทธลังกา ที่ไม่เคยยินยอมให้ใครนำออกไปจากดินแดนเกาะมรกตแห่งนี้ตลอด ๑,๗๐๐ปี ที่ผ่านมา สามารถรับประกันความเข้มแข็งของพุทธศาสนาได้ดีกว่า ตัวอักษรที่ปรากฏในกฎหมายฉบับไหนๆ
  นายฉัตตรินกล่าวทิ้งท้าย
http://www.komchadluek.net/detail/20...่...ลังกา.html

39
เจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อแก้บนอายุเก่าแก่หลายศตวรรษถูกค้นพบในเมืองกุจารัฐ

เมือง Ahmedabad ประเทศอินเดีย ? คณะกรรมการโบราณคดี ของสำนักงานกิจกรรมการกีฬา เยาวชน และวัฒนธรรม ของรัฐกุจารัฐได้ทำการขุดค้นทางวิทยาศาสตร์ที่เมือง Vadnagar เมื่อปี 2005



วงกลมสีเขียวที่เห็นในภาพแสดงตำแหน่งครึ่งวงกลมของโครงสร้างส่วนยอดของเจดีย์ วงกลมสีม่วงแสดงส่วนของเจดีย์ที่เป็นสี่เหลี่ยม ภาพเล็กทั้งสาม แสดงให้เห็นว่า ภาพสมบูรณ์ของเจดีย์เป็นอย่างไร

การขุดค้นใต้พื้นดินในครั้งนั้นทำให้ได้มีการพบโบราณสถานที่สำคัญอีกหลายแห่งหลังจากนั้นมา ในช่วงปี 2007-2008 วัดทางพระพุทธศาสนาแห่งหนึ่งก็ได้ถูกขุดพบ ซึ่งจากลักษณะต่างๆ ของวัดทำให้ทราบว่า ส่วนที่ถูกขุดพบนั้นเป็นส่วนของสังฆาวาส

การขุดค้นที่ทำอยู่ในปัจจุบันนี้ เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคม 2008 ได้พบเจดีย์องค์หนึ่งที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นการแก้บน ประดิษฐานอยู่ ณ มุมหนึ่งตรงทิศตะวันออกเฉียงเหนือของวัดแห่งนี้

จากสถาปัตยกรรมที่ปรากฎให้เห็น เจดีย์องค์นี้สร้างแบบเป็นชั้นลดหลั่นกัน ฐานเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมเรียงลำดับจากใหญ่ไปเล็ก ส่วนยอดครอบด้วยโครงสร้างครึ่งวงกลมที่มีชื่อเรียกว่า ?anda? บัดนี้ ฐาน 3 ชั้นได้ถูกขุดจนมองเห็นได้แล้ว ตรงกลางของชั้นสูงสุดเป็นที่ตั้งของเจดีย์ที่มีฐานทรงกลมซึ่งทำขึ้นจากอิฐ

การขุดค้นพบองค์เจดีย์และวัดในครั้งนี้เป็นการยืนยันอีกชั้นหนึ่งว่า ในระหว่างศตวรรษต้นๆ ของศาสนาคริสต์ ได้มีความรุ่งเรืองของศาสนาพุทธอยู่บนดินแดนของ Vadnagar แห่งนี้ และการค้นพบต่างๆ ในครั้งนี้ยังเป็นการบ่งชี้ว่า การขุดค้นต่อไปจะทำให้ได้พบส่วนก่อสร้างขนาดใหญ่ทั้งหมดของวัดแห่งนี้ซึ่งคาดว่า จะต้องมีองค์ประกอบทางด้านสถาปัตยกรรมประเภทเจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นการแก้บนรวมอยู่ด้วยอีกมากมาย

นอกจากนี้การค้นพบในครั้งนี้ยังเป็นการพิสูจน์ว่าที่ท่าน Hiuen Tsiang ได้บันทึกเอาไว้เมื่อ 640 ปีก่อนคริสตศักราช ในขณะที่ท่านมาเยี่ยมเยือนสถานที่แห่งนี้เป็นความจริง



พระเจดีย์เป็นสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้บรรจุอัฐิของพระอริยบุคคลต่างๆ เจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อแก้บนนี้เรียกว่า ?อุเทสิกเจดีย์? โดยทั่วไปสร้างขึ้นโดยพุทธศาสนิกชนเพื่ออุทิศถวายเป็นพุทธบูชาหลังจากที่ความปรารถนาที่ตนเองได้มาขอต่อพระรัตนตรัยเอาไว้สำเร็จผล

ในระหว่างการขุดค้นในครั้งปัจจุบันนี้ สถานที่แห่งนี้ได้รับการเยี่ยมเยือนจากนักวิชาการนานาชาติที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น ศาสตราจารย์ Robin Conningham รองอธิการบดีมหาวิทยาลัย Durham University สหราชอาณาจักร ท่านเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ Anuradhapur Buddhist Project ในประเทศศรีลังกา ตั้งแต่เมื่อ 15 ปีที่แล้ว, ดร. R. S. Fonia ผู้อำนวยการการขุดค้นและสำรวจ ASI และ ดร. B. R. Mani ผู้อำนวยการด้านการสำรวจด้านโบราณคดีอินเดีย และยังมีนักวิชาการด้านพระพุทธศาสนาระดับแนวหน้าของอินเดียและนักโบราณคดีอีกหลายท่าน ทั้งนักวิชาการและนักโบราณคดีทุกท่านได้ร่วมเป็นพยานว่า การขุดค้นพบวัดทางพระพุทธศาสนาที่ Vadnagar ถือว่าเป็นการค้นพบครั้งสำคัญทางด้านทิศตะวันตกของอินเดียในช่วงหลายปีมานี้ ปัจจุบันการขุดค้นยังดำเนินต่อไป

ที่มา-http://www.buddhistchannel.tv/index.php?id=4,7758,0,0,1,0



40
ประวัติ ดร.ดาราวรรณ ครูอิสลามที่เคร่งครัดแต่เปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนาและสอนปฏิบัติธรรม (ที่เพิ่งออกรายการคลับเซเว่นของไตรภพ)





ครูดาราวรรณ เด่นอุดม เกิดเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 ที่กรุงเทพมหานคร สนใจฝึกสมาธิภาวนาตามหลักพระพุทธศาสนา เนื่องจากอ่านหนังสือเกี่ยวกับการปฏิบัติสมาธิภาวนาแบบเซ็น คือ เรื่องกุญแจเซ็น และปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ เกิดความประทับใจว่าการฝึกสมาธิและการอยู่อย่างมีสติสามารถทำให ้พ้นทุกข์ได้ จึงศึกษาค้นคว้าและปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังจากพระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์อตุโล) และพระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) ค้นพบองค์ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของจิตหลักการฝึกจิตและผลของการฝึกจิต แล้วนำมาเผยแพร่ โดยการพิมพ์และแปลหนังสือธรรมะของครูบาอาจารย์ แ ละถ่ายทอดความรู้โดยการอบรมให้แก่ครู ? อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นแนวทางแก้ปัญหาสังคมไทย ให้พ้นภัยวิกฤติด้านต่าง ๆ ที่เผชิญอยู่ในปัจจุบัน

ครูดาราวรรณ ถือกำเนิดในครอบครัวที่นับถือศาสนาอิสลาม ประพฤติ ปฏิบัติตามหลักของศาสนาอย่างเคร่งครัด เป็นครอบครัวที่อบอุ่นมีบิดามารดาเป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องควา มซื่อสัตย์ และความขยันหมั่นเพียร มีคุณปู่เป็นผู้นำศาสนาอิสลาม (อิหม่าม) อุปนิสัยส่วนตัวชอบความสงบ ชอบพิธีกรรมทางศาสนา โดยเฉพาะการสวดมนต์ภาวนาทางบ้านได้ส่งให้เรียนในโรงเรียนศาสนา ใ นระดับชั้นประถมศึกษาและเรียนพิเศษด้านศาสนาตอนเย็นหลังเลิกเรียน จึงมีความรู้ศาสนาอิสลามแตกฉานได้รับคัดเลือกเป็นตัว แทนโรงเรีย นเข้าแข่งขันตอบปัญหาและปาฐกถาธรรมทางศาสนาได้รับรางวัลชนะเลิศ และรองชนะเลิศ

แม้จะมีความรู้และศรัทธาในศาสนาอิสลาม แต่ก็เก็บความสงสัยในคำสอนหลายเรื่องที่หาเหตุผลไม่ได้และไม่สา มารถถามผู้รู้ได้ เนื่องจากเป็นข้อห้ามของศาสนา ต่อมาได้อ่านหนังสือ เกี่ยวกับการปฏิบัติสมาธิภาวนาแบบเซ็นอยู่ ๒ เล่ม คือเรื่องกุญแจเซ็น และปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอของท่านติช นัท ฮันท์ พระภิกษุชาวเวียตนาม แล้วเกิดความประทับใจว่า การปฏิบัติสมาธิและการอยู่อย่างมีสติสามารถทำให้พันทุกข์ เมื่อศึกษาและปฏิบัติแล้วพบว่า ถูกกับอุปนิสัย จึงมีความเลื่อมใสศรัทธาที่พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เป็นวิทยาศาสต ร์ มีเหตุผลและเน้นสอนให้เราพึ่งตนเองและเชื่อหลักธรรม


ครูดาราวรรณ ได้เริ่มการศึกษาและปฏิบัติธรรมตามหลักพระพุทธศาสนาอย่างจริงจั งเมื่อปี พ.ศ. 2523 โดยเริ่มจากการปฏิบัติจิตภาวนา ได้ฝึกฝนกับอุบาสิกาสะอาด เกษมสันต์ ที่วัดน้อยนพคุณ กรุงเทพฯ จากนั้นเมื่อย้ายมารับตำแหน่งศึกษาสิเทศก์ กรมสามัญศึกษาเขตการศึกษา 11 ที่จังหวัดนครราชสีมา ได้เข้าอบรมกรรมฐานกับคุณ
แม่สิริ กรินไชย 2 ครั้ง ๆ ละ 7 วัน


ใน ปี พ.ศ. 2523 ? 2526 ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ โดยไปรายงานผลการปฏิบัติ และซักถามปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ แนวทางที่หลวงปู่อบรมให้เน้นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการตามดูจิต ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกจริตมากที่สุด ปี พ.ศ. 2526 ก่อนหลวงปู่มรณภาพประมาณ 2 เดือน ท่านสั่งให้ไปสอนผู้อื่นเพราะจิตชำนาญแล้ว นอกจากการสอนอบรมแล้วยังได้แปลธรรมะของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล เรื่อง ?จิตคือพุทธะ? เป็นภาษาอังกฤษเผยแพร่ให้นักปฏิบัติต่างชาติ โดยได้พิมพ์แจกทันง านพระราชทานเพลิงศพของปู่ดูลย์ อตุโล ในปี พ.ศ. 2527
ช่วงปี พ.ศ. 2523 ? 2542 ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมอย่างใกล้ชิดกับพระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งท่านได้ให้คำสอนทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติอย่างละเอียดมาก ได้รับการไว้วางใจให้จัดทำหนังสือธรรมะเผยแพร่มาตลอด ปีละ 1 ? 2 ครั้ง ๆ ละ 10,000 ? 50,000 เล่ม ได้แก่ ธรรมวิสัชนาหลวงพ่อสอนธรรม ฐานิยปูชา มอบธรรม นำพร เป็นต้น

การศึกษาจิต : องค์ความรู้แห่งการดับทุกข์
สิ่งที่ครูดาราวรรณ ได้ค้นพบความจริงแห่งการดังทุกข์ คือ?จิต? ซึ่งเป็นพลังแฝงอยู่ในกาย มีหน้า ที่สั่งกาย และบันทึกผลงาน การทำ พูด คิด ไว้เป็นประจุกรรม (พลังกุศลกรรม และอกุศลกรรม)ซึ่งเป็นข้อมูล หรือหน่วยความจำที่มีปริมาณมหาศาล จิตเป็นอมตธาตุ เป็นธาตุที่ไม่ตาย เมื่อกายตาย จิตจะทิ้งกายไปหาที่อยู่ใหม่ (ภพภูมิ) ตามพลังขับเคลื่อนของจิตว่าจะไปทางฝ่ายกุศลหรืออกุศล จะทำให้จิตมีสิ่งรู้ ทำสติให้มีสิ่งระลึกต้องฝึกจิตหรือการทำสมาธิภาวนา ครูดาราวรรณได้ศึกษาและปฏิบัติตามหลวงพ่อพุทธ ฐานิโย ซึ่งแยก


สมาธิเป็น ๒ แบบ คือ
๑. สมาธิในวิธีการ หมายถึง การปฏิบัติสมาธิที่มีรูปแบบ เช่น การนั่งกำหนดลมหายใจบริกรรมภาวนา การเดินจงกรม เป็นต้น ซึ่งเป็นการปฏิบัติอยู่วงจำกัด เมื่อมีเวลาเป็นส่วนตัว
๒. สมาธิในชีวิตประจำวัน หรือ สมาธิสาธารณะ เป็นการปฏิบัติสมาธิในชีวิตประจำวันด้วยการกำหนดสติอยู่กับปัจจ ุบัน ไม่ว่าจะเป็นการยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ทำได้ทุกสถานการณ์ ทุกกาลเวลา และทุกสถานที่ เมื่อฝึกจิตได้แล้ว จิตจะมีพลังสติสัปชัญญะมากจะก่อให้เกิดปัญหาในระดับต่าง ๆ กล่าวคือ
- ปัญญาระดับสูง การรู้เท่าทันกิเลส ตัณหา อุปาทาน จนสามารถตัด อาสวกิเลสได้
- ปัญญาระดับกลางการรู้เท่าทันจิต มีภูมิต้านทานต่อสิ่งยั่วยุ สิ่งกระทบต่าง ๆ เมื่อมีสิ่งยั่วยุ (จากภายในหรือภายนอกก็ตาม) ให้ทำ
- ปัญญาระดับต้น เป็นความชาญฉลาดทางสติปัญญาที่ใช้ในการเรียนการงานต่าง ๆ ทำให้ประสบผลสำเร็จสูง มีความผิดพลาดน้อย

การที่ ครูดาราวรรณ เด่นอุดม เป็นบุคคลผู้ทรงภูมิปัญญาด้านปรัชญา ศาสนา และประเพณี เป็นผู้สร้างสรรค์และสืบสานภูมิปัญญาดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่ยอมรับของสังคมและชุมชน จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ จากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ให้เป็นครูภูมิปัญญาไทย เพื่อทำหน้าที่ถ่ายทอดภูมิปัญญาในการจัดการศึกษา ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ตามนัยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542


ครูดาราวรรณ เด่นอุดม อายุ๕๑ ปี เกิดเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของ ร.ต.มุขและนาง
เกยูร เด่นอุดม สถานภาพโสด ที่อยู่ปัจจุบันบ้านเลขที่ 256 ถนนมิตรภาพ ซอย 15 ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา 30000

การศึกษา
- ปริญญาตรี อักษรศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2512 - 2515)
- ปริญญาโท อักษรศาสตร์มหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (251 - 2521)
- ปริญญาเอก Ph.D ภาษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย Grenoble ประเทศฝรั่งเศส (252 - 2529)

เกียรติคุณที่ได้รับ
- พ.ศ. 2540 ได้รับรางวัล ?เสมาธรรมจักร? ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาสาขาส่งเสริมผู้ปฏิบัติธรรม จากกรมการศาสนากระทรวงศึกษาธิการ
- พ.ศ. 2545 ครูภูมิปัญญาไทยรุ่นที่ 2 ด้านปรัชญา ศาสนา และประเพณี จากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี


นางสาวดาราวรรณ เด่นอุดม 256 ถนนมิตรภาพ ซอย 15 ถ.มิตรภาพ ต.ในเมือง อ.เมือง จังหวัดนครราชสีมา 30000



แหล่งที่มาของข้อมูลครูภูมิปัญญาไทย รุ่นที่ 2 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=254311


แล้ววันนี้คุณปฏิบัติธรรม เป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีแล้วหรือยัง


41


ล้านห้า ที่เอ่ยมาไม่ใช่เรื่องของเงินหรือสตางค์นะครับ แต่เป็นจำนวนขวดที่นำมาสร้างเป็นวัด ไม่ผิดครับ ขวดทั้ง 1,500,000 ขวด แปลกดีเอามาให้ชมครับ

วัดล้านขวด หรือ วัดป่ามหาเจดีย์แก้ว เป็นวัดสังกัดธรรมยุตนิกาย อยู่ที่ อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ เดินทางจากกรุงเทพโดยรถส่วนตัวประมาณ 6 ชม. และรถประจำทาง 7-8 ชม. (บริษัทชนะภัยทัวร์หรือเชิดชัยทัวร์ ) โดยใช้เส้นทางเดียวกับไปเขาพระวิหาร ซึ่งจะถึงก่อนประมาณ 70 กม. อำเภอนี้ยังมีน้ำตกมากมาย และสวนผลไม้ เช่น เงาะ ทุเรียน และพืชผักให้ท่านได้เลือกซื้ออีกเยอะ ไปแล้วไม่ผิดหวังกับบรรยากาศที่ร่มรื่น และอุดมสมบูรณ์กับธรรมชาติไร่นา อาหารการกินก็ไม่แพง ใครสนใจก็ไปเที่ยวและเยี่ยมชมได้ คำเตือน อำเภอนี้ไม่นิยมรับประทานข้าวเหนียวเป็นอาหารหลักนะ ถ้าคนที่ไปอยากกินข้าวเหนียวต้องแวะซื้อที่ตลาดเอาเองด้วยนะ บอกเอาไว้ก่อน...อิอิ




































เพื่อนส่งเมลล์มาให้  เลยนำข้อมูลมาลงให้ดูกันครับ



42
กระผมขออนุญาตทางเวปบอร์ดลงข้อมูลครับ

ภาพวันงานวันอาทิตย์ที่ 1 มี.ค. 2552 ที่ผ่านมา  มีพิธีแจกตะกรุด ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายครับ


ช่วงเช้าท่านอ.พล พยัคฆราช  ลงมารดน้ำมนต์ให้ลูกศิษย์ก่อนที่จะแจกตะกรุด



มารอรับน้ำมนต์กันครับ



ต่อกันแถวเลยครับ  คนจะมากก็เป็นระเบียบครับ ไม่มีการเหยียบกันอย่างแน่นอน  ใครเป็นใครดูกันเองครับ


ต่อกันเลยครับ


คราวนี้มาถึงภาพหวาดเสียวแล้วแล้วสำหรับเด็กผู้ใหญ่ควรแนะนำครับ   สำหรับท่านสุภาพบุรุษเป็นร้อยท่านครับที่ได้สัมผัสกับความหวาดเสียว เรียกว่า อึ้ง ทึ่ง เสียวครับ    จะได้รู้จักคำว่าคงกระพัน ชาตรีกันครับ แต่ผมแปลกใจครับสุภาพบุรุษหลายๆท่านยังไม่กล้าที่จะให้ท่านพ่อพล
สับหรือกรีดหลังด้วยมีด  แต่เวลาไปมีเรื่องตีรันฟันแทงไม่ยักกะกลัวครับ  อิอิ 



ภาพนี้ดูที่มีดครับ  หลังใครต้องดูกันเอาเองครับ ครั้งหนึ่งในชีวิตลูกผู้ชายให้ครูบาอาจารย์ท่านกรีดท่านฟันเพื่อเป็นสิริมงคลและจะได้รู้ครับที่นี่เป็นของจริง สามารถกราบท่านพ่อพล พยัคฆราชได้สนิทใจครับ


43
มหาวิหารประดิษฐานพระไตรปิฎกหินอ่อน

 ลักษณะอาคาร เป็นสถาปัตยกรรมไทย รูปทรงจตุรมุข ทั้ง 4 ทิศ ใช้ พื้นที่ก่อสร้าง บริเวณเกาะ หลังองค์พระประธาน พุทธมณฑล ในเนื้อที่ 9 ไร่  พื้นที่ ในการก่อสร้าง 5,824 ตารางเมตร มีพระเจดีย์ 9 ยอด ประดิษฐาน ณ ท่ามกลาง เป็นที่จารึก พระไตรปิฎก หินอ่อนขนาด 1.10 x 2.00 เมตร จำนวน 1,418 แผ่น มีภาพวาด พุทธประวัติ อยู่ด้านบน โดยรอบ

เริ่มสร้าง ในปี พ.ศ. 2532 แล้วเสร็จ ในปี พ.ศ. 2541   โดยวัดปากน้ำภาษีเจริญและสมาคมศิษย์ หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ บริจาคเงิน ในการจัดสร้างทั้งหมด เพื่อเฉลิมพระเกียรติ และถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องวโรกาส ทรงเจริญ พระชนมพรรษา 5 รอบ ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ประมาณ 200 ล้านบาท









พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย วัดปากน้ำภาษีเจริญ  ชาตะเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ.2427  มรณภาพเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502














รายได้ก็มาจากการสร้างพระของขวัญรุ่น 6  สร้าง 3,000,000 องค์ครับ  พระรุ่น 6 หมดภายในหนึ่งปีครับ  วัตถุประสงค์เพื่อให้ทุกคนที่ผ่านมาได้อ่านพระไตรปิฎกได้ง่ายขึ้น  เข้าถึงบุคคลทั่วไปได้ง่ายครับ


44
ขออนุญาตทางเวปด้วยครับ














]

45

วิธีการรู้กฎแห่งกรรม
โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม


มีอยู่คนหนึ่งเป็นชาวมาเลเซีย ปวดขามา ๗ ปีแล้ว...ทรมานเหลือเกิน
พูดไทยไม่ได้ มานั่งกรรมฐานที่วัดนี้
กำหนดปวดหนออย่างเดียว ปวดจนน้ำตาร่วง
ปวดหนักตั้งสติไว้ ปวดหนอนี่อุปาทาน
ยึดการศึกษา เรียกว่าสมถวิธี เป็นการศึกษาให้รู้แจ้งเห็นจริง
พอเห็นจริงแล้ว เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
วูบเลย เวทนาหายไปเลย
จิตก็เป็นกุศลเกิดปัญญา นั่งงอขา
พับเพียบได้ทันที เดิมงอขาไม่ได้
นั่งไม่ได้ ต้องเหยียดขาโด่ออกไป
ภาวนาก็ผุดขึ้นมาทันที บอกเหตุการณ์ของกฎแห่งกรรม

คนจะรู้กฎแห่งกรรมได้ต้องผ่านเวทนา
เวทนาทำให้รู้กฎแห่งกรรม
ไม่ใช่มานั่งหลับตาเห็นกรรมนะ
ปวดหนอ ปวดหนอ ปวดหนอ
ปวดจังเลย ตายให้ตาย จิตยึดมั่นเป็นสมถะ
ศึกษาเวทนาจบรายการ เกิดขึ้น
ตั้งอยู่ ดับไปเลย เพราะรู้จริงเสียแล้วจิตจะไม่ยึดถือ
ขอให้นักกรรมฐานโปรดจำข้อนี้ไว้
รู้จริงจะไม่ยึด รู้จริงยิ่งสงบ
คนไหนรู้ไม่จริง จิตไม่สงบ
รู้แต่วิชาการใช้ไม่ได้ เลย
ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ขางอได้เลย และไม่ปวดจนบัดนี้

กฎแห่งกรรมโผล่ออกมาว่า
ไปขว้างขาหมู หนอนกินแล้วจับขายให้เขาฆ่าตาย
เอามีดไปขว้างขามัน ตัวเองต้องปวดขา
มาจนบัดนี้ ตั้งแต่รุ่นสาว ขณะนี้ ๕๐ กว่าปีแล้ว
เลยก็แผ่เมตตาให้หมู ลูกชายเขามาด้วย
เห็นเป็นเรื่องอัศจรรย์ดลบันดาลว่า
หายภายใน ๗ วัน ขางอนั่งพับเพียบได้
ลูกชายก็ปฏิญาณตนกับอาตมาว่า จะเลิกเลี้ยงหมู
จะสร้างวัดแบบจีน และจะสอนแบบที่วัดนี้
เมื่อก่อนต้นตระกูลเขาเป็นคริสต์ บัดนี้เป็นพุทธเต็มตัวแล้ว

46



ภาพของดาวหางลู่หลินเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.51 ที่ผ่านมา โดยไมเคิล แจเกอร์ (Michael Jaeger) ซึ่งวันที่ 23 ก.พ.นี้ ดาวหางจะเข้าใกล้โลกมากที่สุด (ภาพจาก areavoices.com)


เตรียมกล้องสองตา-ตั้งกล้องโทรทรรศน์ให้พร้อม แฟนดาวหางไม่ควรพลาดสำหรับ "ลู่หลิน" ดาวหางสีเขียว ที่ไม่เคยเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ และยังโคจรรอบดวงอาทิตย์ต่างไปจากดาวเคราะห์ในระบบสุริยะดวงอื่นๆ คือ หมุนตามเข็มนาฬิกา ขณะที่ดาวอื่นๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์ทวนเข็มนาฬิกา

ดาวหางแปลกประหลาดสีออกเขียว กำลังเข้าใกล้โลกในเดือน ก.พ.52 นี้ และเป็นการเดินทางจากขอบสุริยะอันไกลโพ้น เพื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ โดยสำนักข่าวเอพีระบุว่าดาวหางดังกล่าวชื่อว่า "ลู่หลิน" (Lulin) เป็นดาวหางที่ค้นพบโดยนักศึกษาชาวจีนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว และมีโอกาสที่เราจะได้เห็นดาวหางดวงนี้ ด้วยตาเปล่า ในพื้นที่ห่างไกลแสงไฟจากเมืองรบกวน

หากแต่นักดาราศาสตร์แนะนำว่า เราควรจะเตรียมกล้องโทรทรรศน์ หรืออย่างน้อยควรมีกล้องสองตาไว้สองดู

ตามที่ โดนัลด์ ยีโอแมนส์ (Donald Yeomans) ผู้จัดการโครงการวัตถุใกล้โลก (Near Earth Object program) ขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐอเมริกา (นาซา) ระบุ ช่วงเวลาดีที่สุด สำหรับดูดาวหางดวงนี้คือก่อนรุ่งสาง ซึ่งดาวหางจะอยู่ใกล้ดาวเสาร์ และดาวที่สุกสว่างอีก 2 ดวงคือ ดาวรวงข้าว (Spica) และดาวเรกูลา (Regula) โดยดาวหางลู่หลินจะเข้าใกล้โลกมากที่สุดในวันจันทร์ที่ 23 ก.พ.นี้ เป็นระยะทาง 61 ล้านกิโลเมตร

เรื่องราวของลู่หลิน เป็นที่น่าสนใจมากกว่าภาพปรากฏบนฟากฟ้า ซึ่งสีเขียวจางๆ ของดาวหางอาจยากที่มองเห็นได้ โดยสีดังกล่าว เป็นสีที่แสดงถึงก๊าซคาร์บอน และก๊าซไซยานอเจน (cyanogen) ซึ่งเป็นก๊าซพิษ โดยยีโอแมนส์เผยว่า ดาวหางดวงนี้ ยังคงเต็มไปด้วยก๊าซดั้งเดิมของตัวเองอยู่ ซึ่งปกติก๊าซของดาวหางจะระเหยออกไปเมื่อเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ และต่างไปจากดาวหางที่เคยพบเห็น ดาวหางดวงนี้ไม่เคยเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มาก่อน

ขณะที่ดาวเคราะห์อื่นๆ และวัตถุอื่นๆ ส่วนมากในระบบสุริยะ โคจรรอบดวงอาทิตย์แบบทวนเข็มนาฬิกา แต่ดาวหางลู่หลิน โคจรรอบดวงอาทิตย์แบบตามเข็มนาฬิกา

สตีเฟน เอ็ดเบิร์ก (Stephen Edberg) นักดาราศาสตร์ของนาซา บอกว่าดาวหางดวงนี้ กำลังเคลื่อนที่สวนทางกับระบบสุริยะ โดยเคลื่อนที่มาจากขายขอบระบบสุริยะด้วยระยะทางไกลกว่า 28 ล้านล้านกิโลเมตร และเมื่อลู่หลินโคจรรอบดวงอาทิตย์แล้วก็จะมีความเร็วเพียงพอที่จะหนีไปจากระบบสุริยะ

"ถ้าคุณสนใจในดาวหาง คุณต้องไม่พลาด แต่ดาวหางดวงนี้จะไม่ดังเป็นพลุแตกสำหรับสาธารณชนทั่วไป" เอ็ดเบิร์กกล่าว

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระบุว่า จะสามารถสังเกตดาวหางลู่หลินได้ชัดเจนที่สุดในวันที่ 23-24 ก.พ.นี้ ด้วยกล้องสองตาหรือกล้องโทรทรรศน์ โดยประเทศไทยสามารถสังเกตดาวหางลู่หลินได้ ตั้งแต่กลุ่มดาวหญิงสาวหรือกลุ่มดาวคันชั่งโผล่พ้นขอบฟ้า หรือตั้งแต่เวลา 22.30 น. จนถึงเวลาก่อนฟ้าสาง โดยมองไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ที่กลุ่มดาวใน 12 ราศีกำลังเคลื่อนที่ขึ้นจากขอบฟ้า

อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากเว็บไซต์ของสมาคมดาราศาสตร์แห่งประเทศไทย ระบุถึงตำแหน่งของดาวหางลู่หลินว่า ในวันที่ 24 ก.พ.52 ดาวหางลู่หลิน เข้าใกล้โลกมากที่สุด โดยในช่วงเช้ามืดดาวหางอยู่ห่างไปทางทิศใต้ของดาวเสาร์ประมาณ 2 องศา

จากนั้น วันที่ 26 ก.พ. ดาวหางจะอยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ อาจสว่างขึ้นได้เล็กน้อยจากระดับปกติ เนื่องจากวันนั้นดาวหางอยู่ใกล้ระนาบสุริยวิถี หลังจากนั้นจึงจะจางลง

คืนวันที่ 27 ถึงเช้ามืดวันที่ 28 ก.พ. ดาวหางผ่านใกล้ดาวหัวใจสิงห์ ในกลุ่มดาวสิงโตที่ระยะไม่ถึง 1 องศาเข้าสู่กลุ่มดาวปูในช่วงต้นเดือนมีนาคม ผ่านใกล้กระจุกดาวรังผึ้งในคืนวันที่ 5 ถึงเช้ามืดวันที่ 6 มี.ค. จากนั้นปลายเดือน มี.ค.คาดว่าดาวหางจะจางลง.
 
ที่มา  -  http://www.manager.co.th/Science/Vie...=9520000019409

47



นายเบรนดัน เอ็ม. บัคเลย์ พร้อมคณะวิจัยวิทยาศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนครนิวยอร์ก เผยถึงข้อพิสูจน์ภายใต้ ?โครงการอาณาจักรนครวัด? ขณะประชุมด้านสภาพอากาศในเวียดนามว่า สาเหตุของการผุพังของนครวัด ในกัมพูชา ที่องค์การยูเนสโกตั้งให้เป็นมรดกโลกนั้นอาจเกิดจากสภาวะแห้งแล้งจัดเมื่อเกือบ 600 ปีก่อน ไม่ใช่เฉพาะการบุกรุกของ กองทัพชาวสยามหรือการตัดไม้ทำลายป่าตามที่เคยเข้าใจกันก่อนหน้านี้ เพราะภูมิภาคในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประสบภาวะภัยแล้งอย่างหนักและยาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ.1958-1982 ซึ่งสอดคล้องช่วงเวลาเดียวกับที่นักโบราณคดีเชื่อว่านครวัดล่มสลาย


ทั้งนี้ จากการศึกษาวงปีของต้นไม้ ลักษณะชั้นหนาของวงปีทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถเก็บบันทึกประวัติสภาพภูมิอากาศในช่วงนั้นๆได้.


ที่่มา http://www.thairath.co.th/news.php?s...content=124220

48



หลวง พ่อทูล ขิปปปัญโญ เกิดเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2478 ที่ อ.ไชยวาน จ.อุดรธานี เข้ารับการบรรพชาอุปสมบท เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2504 ณ วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมืองอุดรธานี มี ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ จากนั้น ท่านได้ศึกษาจนมีความมั่นคงในพระพุทธศาสนา และมาอยู่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกองเพล จ.หนองบัวลำภู เมื่อหลวงปู่ขาวมรณภาพ ท่านได้มาสร้างวัดป่าบ้านค้อ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2528 และได้พำนักอยู่ในวัดนี้มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งท่านได้อุทิศทุ่มเทชีวิตให้กับการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและได้สร้างคุณ ประโยชน์แก่สังคมเป็นอเนกประการ

ทั้งนี้หลวงพ่อทูล เริ่มมีอาการเจ็บปวดตามตัว เบื่ออาหาร เหนื่อย พูดเสียงเบา เมื่อเดือนธันวาคม 2550 แพทย์ รพ.ศิริราช ตรวจพบก้อนเนื้อที่ปอดด้านขวา ต่อมา เดือนเมษายน 2551 ก้อนเนื้อโตขึ้น และได้แพร่กระจายไปที่กระดูก จึงเข้ารับการฉายรังสี เพื่อบรรเทาอาการปวด และกลางเดือนตุลาคม 2551 ได้เข้ารักษาตัวที่ รพ.วัฒนา จ.อุดรธานี เนื่องจากปอดติดเชื้อ ก่อนจะกลับมารักษาตัวที่วัด โดยมีแพทย์เฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด

จนกระทั่งเย็นวันที่ 10 พฤศจิกายน หลวงพ่อทูลหลับสนิท ไม่มีอาการปวด ความดันโลหิตเริ่มลดลง แพทย์ได้ให้น้ำเกลือและยาปรับความดันทางเส้นเลือด หลังจากนั้น หลวงพ่อทูลก็มีความดันไม่สม่ำเสมอ ชีพจรเต้นช้าลง จนกระทั่งหัวใจหยุดเต้น และละสังขารไปด้วยอาการสงบ สิริรวมอายุได้ 73 ปี 5 เดือน พรรษา 48

และได้สวดบำเพ็ญพระอภิธรรมตลอดมา จนกระทั่งได้มีกำหนดการพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 ครับ










ภาพจากพิธีสวดพระอภิธรรมศพ คืนวันเสาร์ที่ 31 มกราคม



ที่มา larndham.net/index.php?showtopic=33885&st=65

ขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาบุญกับพี่ภิเนษกรมณ์  ที่ได้อนุเคราะห์ข้อมูลและภาพ ณ ที่นี้ด้วยครับ





49
  สวัสดีเพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆทุกท่านครับ
     ก่อนอื่นผมต้องขอเกริ่นกระทู้ก่อนนะครับ  คือว่าผมอยากจะเปิดกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อรักษาการเขียนภาษาไทยของเราให้ถูกต้องครับ  ทุกท่านจะได้เขียนได้ถูกต้อง เพราะทุกคนต้องมีคำที่ไม่ถูกต้องเหมือนกันบ้าง ส่วนตัวผมเองก็เยอะครับ ที่อาจจะเขียนผิดแล้วไม่รู้ตัว  ผมอยากให้คนไทยเขียนภาษาไทยได้ถูกต้อง เพื่อรักษาวัฒนธรรม  รักษาภาษาอันเป็นที่น่าภูมิใจของเราเอาไว้ให้อยู่ชั่วลูกชั่วหลานนะครับ  ส่วนคำทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษ ทับศัพท์ภาษาต่างๆเอาไว้ก่อนนะครับ เดี๋ยวมันจะยุ่งกันไปใหญ่ครับ

    บุคคลที่เข้ามาในกระทู้นี้ต้องไม่มีเจตนาจะจับผิดผู้อื่น  ไม่ควรยกกระทู้อื่นที่เขียนผิดมาอ้างอิง  ไม่เสียดสีซึ่งกันและกัน  เช่น อาจจะมีบุคคลอื่นมาเขียนผิด โดยไม่เจตนา หรือพลาดพลั้งไป  แล้วนำมาเสียดสีกัน ผมไม่เห็นด้วยนะครับ

   เจตนาคือเพื่อต้องการรักษาภาษาไทยให้อยู่คู่คนไทย  ไม่ใช่ใคร หรือ ใคร และใครที่เขียนผิดหรือถูก จะไม่มีการยกย่องใครที่เขียนถูก และว่ากล่าวใครที่เขียนผิดในกระทู้นี้กันนะครับ

   ท่านใดเจอคำที่เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในเวปมักจะเขียนผิดบ่อยๆ  นำมาลงคำที่ถูกต้องได้นะครับ

   ขอบคุณครับ

   

50
มส.ตั้งพระนักเทศน์ดัง"หลวงพ่อจรัญ" ที่ปรึกษาเจ้าคณะสิงห์บุรี




นายอำนาจ บัวศิริ ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยว่า ที่ประชุมมหาเถรสมาคมได้พิจารณาเรื่องเสนอขอแต่งตั้งพระสังฆาธิการเป็นที่ปรึกษา ตามที่เจ้าคณะภาค 3 รายงานว่า พระธรรมสิงหบุราจารย์ หรือหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม สิริอายุ 80 พรรษา 59 วัดอัมพวัน ต.บ้านแป้ง อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี ได้ปฏิบัติหน้าที่มาด้วยดีจนอายุครบ 80 ปีบริบูรณ์ สมควรได้รับยกย่องเชิดชูเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี ตามความในข้อ 34 วรรคสอง แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 (พ.ศ.2541) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 28 (พ.ศ.2546) จึงเสนอรายงานมาเพื่อให้คณะกรรมการมหาเถรสมาคมพิจารณา ทั้งนี้ ที่ประชุมมหาเถรสมาคมพิจารณาเห็นชอบแต่งตั้งพระธรรมสิงหบุราจารย์ ให้ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป

นายอำนาจกล่าวต่อว่า พระธรรมสิงหบุราจารย์ หรือหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ถือเป็นพระนักวิปัสสนาจารย์ และนักเทศน์ชื่อดังที่ได้รับความเลื่อมใสศรัทธา ทั้งจากชาวเมืองสิงห์บุรีและพุทธศาสนิก ชนทั่วประเทศ และท่านยังมีตำแหน่งปกครองในคณะสงฆ์ ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี แต่ในระยะหลังเมื่อท่านมีอายุมากขึ้นทำให้การปฏิบัติศาสนกิจคณะสงฆ์และการฝึกสอนอบรมปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐานให้กับญาติโยมไปพร้อมกัน กลายเป็นภาระหนักสำหรับท่าน เมื่อเร็วๆ นี้ ตนได้เข้าไปกราบสักการะท่าน และท่านได้ปรารภว่าตอนนี้อายุมากแล้ว ต้องการจะขอวางมือจากการงานด้านการปกครองคณะสงฆ์ ให้พระเถระรุ่นหลังได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ตรงนี้แทน ส่วนการฝึกอบรมปฏิบัติธรรมจะยังคงดำเนินต่อไปตลอดชีวิต

อัตโนประวัติ หลวงพ่อจรัญเกิดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2471 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ท่านได้พัฒนาปรับปรุงวัดวัดอัมพวันจนเป็นสถานปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐานที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง พระคุณเจ้ายึดหลักสร้างคน สร้างเหตุดี ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาและเพื่อสืบทอดแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาโดยแท้จริง พระเดชพระคุณท่านเป็นพระนักพัฒนา พระนักเทศน์ และวิปัสสนาจารย์ จนเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ได้รับพระราชทานโล่เกียรติคุณนักสังคมสงเคราะห์ดีเด่นในสาขาสังคมสงเคราะห์อาสาสมัครฝ่ายกิจการพระศาสนา พ.ศ.2528 จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จนได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมสิงหบุราจารย์

ขอกราบนมัสการแทบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อด้วยความเศียรเกล้า 

ที่มา http://board.palungjit.com/showthread.php?t=171317

51



กรวดน้ำทั้งทีต้องทำแบบนี้ครับ ขำขำนะครับ จะได้คลายเครียดกันบ้างครับ

52
ขออนุญาตทางเวปด้วยครับ



เปลี่ยนกำหนดการจากวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ. 2552 เป็นวันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม 2552  โดยท่าน อ.พล พยัคฆราช จะทำพิธีครอบเศียรพระลักษณ์หน้าทองให้แก่ลูกศิษย์และผู้ที่สนใจ  โดยพิธีทางสำนักจะจัดเครื่องบวงสรวงและบายศรีพรหม บายศรีเทพ บายศรีปากชามและเครื่องบวงสรวงต่างๆครบถ้วยทุกองค์ครับและการครอบพระลักษณ์หน้าทองในครั้งนี้เป็นครั้งแรกของทางสำนัก  เพื่อช่วยเหลือลูกศิษย์ให้มีเมตตามหาเสน่ห์ในภาวะวิกฤตเช่นนี้  เริ่มพิธีประมาณ 8.00 ฯเป็นต้นไปครับ

การครอบเศียรพระลักษณ์ครั้งนี้ท่าน อ.พล ท่านครอบฟรี  โดยไม่มีค่าครู ค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นครับ เน้นครับครอบฟรีครับ

ดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีสำหรับลูกศิษย์ที่สนใจอยากมีเสน่ห์อยากมีเมตตา  ใครไปก่อนก็รับบัตรคิวก่อนครับจะครอบให้ตามคิวในงานอาจจะมีวัตถุมงคลแจกด้วยครับ

และในวันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม 2552 ทางสำนักโดยท่าน อ.พล พยัคฆราชจะทำการแจกตะกรุดบารมี 30 ทัศน์ฟรี
จะเริ่มแจกเวลา 9.00 น  เป็นต้นไปใครว่างเชิญไปรับบัตรคิวในวันที่ 26-28 ก.พ. 2552  หรือในวันงานก็ได้ครับ 


ขอบคุณครับ

*หมายเหตุ
    ผู้ที่ไปร่วมงานทุกคนจะได้ครอบเศียรกับท่านอาจารย์พลโดยตรงอย่างแน่นอน ไม่มีใครมากันไม่ให้เข้าพบอย่างแน่นอนครับ
    และผู้ที่จะไปร่วมพิธีกรุณาส่วมชุดขาวไปร่วมพิธีหรืออย่างน้อยขอเป็นเสื้อขาวด้วยนะครับ

53
ขออนุญาตทางเวปบางพระแจ้งข่าวครับ

วันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ. 2552 ท่าน อ.พล พยัคฆราช จะทำพิธีครอบเศียรพระลักษณ์หน้าทองให้แก่ลูกศิษย์และผู้ที่สนใจ  โดยพิธีเริ่มบวงสรวงเวลา 8.00 น การครอบเศียรพระลักษณ์ครั้งนี้ท่าน อ.พล ครอบฟรี  โดยไม่มีค่าครู ค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นครับ เน้นครับครอบฟรีครับ

ดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีสำหรับลูกศิษย์ที่สนใจอยากมีเสน่ห์อยากมีเมตตา  ใครไปก่อนก็รับบัตรคิวก่อนครับจะครอบให้ตามคิวในงานอาจจะมีวัตถุมงคลแจกด้วยครับ

และในวันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม 2552 ทางสำนักโดยท่าน อ.พล พยัคฆราชจะทำการแจกตะกรุดบารมี 30 ทัศน์ฟรี
จะเริ่มแจกเวลา 9.00 น  เป็นต้นไปใครว่างเชิญไปรับบัตรคิวในวันที่ 26-28 ก.พ. 2552  หรือในวันงานก็ได้ครับ 


ขอบคุณครับ

54
ตรุษจีนนี้ผมมีข่าวดี ข่าวมงคลมาฝากพี่น้องชาวบางพระทุกท่านครับ

หลวงพ่อสนอง กตฺปุญโญ มีความประสงค์ให้พุทธศาสนิกชนทั่วไปได้มีโอกาสรับพระบรมสารีริกธาตุ 84,000 องค์









 

เพื่อพุทธศาสนิกชนจะได้นำไปสักการะบูชา

เวลาที่เปิดรับ :  วันธรรมดา (วันจันทร์ - วันศุกร์) เวลา 12.00 น.- 18.00 น.
                           วันพระ, (วันเสาร์ - วันอาทิตย์) เวลา 10.00 น. - 18.00 น.

ลงทะเบียน : รับบัตรได้ที่บริเวณ อุโบสถแก้ว วัดสังฆทาน

หลักฐาน : การรับพระบรมสารีริกธาตุ โปรดนำบัตรประชาชนเพื่อนำมาลงทะเบียน

ท่านสามารถไปรับพระบรมสารีริกธาตุได้ด้วยตัวท่านเอง ได้ที่ เรือนไทยริมน้ำ วัดสังฆทาน

...

เนื่องในโอกาสฉลองพระบรมสารีริกธาตุประจำปี วัดสังฆทาน จังหวัดนนทบุรี

การบูชาพระบรมสารีริกธาตุ

- บรรจุในเจดีย์ หรือผอบแก้ว หรือใถกระเบื้องที่มีฝาครอบ อัญเชิญไว้ในที่สูงเหมาะสมกับการกราบไหว้
- สิ่งสำคัญที่สุดน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ว่ามีพระคุณยิ่งใหญ่ประมาณมิได้ต่อสัตว์โลก
- การจะมีข้าวตอกดอกไม้เครื่องหอมเป็นเพียงส่วนประกอบ หากบูชาสิ่งเหล่านั้นอยู่เป็นประจำ แต่จิตใจไม่ได้น้อมถึงพระคุณท่านเลย การบูชานั้นก็เป็นเพียงอามิสบูชา
- การบูชาที่แท้จริง คือการปฏิบัติบูชา ได้แก่การปฏิบัติตามคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะทำให้เกิดผลดีต่อตนเอง อันจะทำให้เกิดศรัทธา
และระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของท่านอย่างลึกซึ้งเข้าถึงจิตใจ และกราบไหว้ด้วยจิตที่สะอาด สงบ ปราศจากกิเลส
- พระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาด้วยคำอธิษฐาน และเสด็จไปได้เมื่อปฏิบัติไม่ถูกต้อง
- การปฏิบัติบูชาที่ถูกต้อง มีผลานิสงคืมากนัก อาจทำให้สำเร็จประโยชน์ และสุขสมบูรณ์ได้ทั้งชาตินี้ และชาติหน้า หรือประโยชน์อย่างยิ่งคือ "พระนิพพาน"

คำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
- นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 ครั้ง)
- อิติปิโสภะคะวา, นะมามิหัง ตัง ภะคะวันตัง, ปะระมะสารีริกธาตุยา ลัทธิง, อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, วิชชาจะระณะสัม ปันโน, สุคะโต, โลกะวิทู, อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ, สัตถา เทงวะมะนุสสานัง, พุทโธ, ภะคะวาติ

บทสวดบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
- อุกาสะ วันทามิ ภันเต เจติยัง สัพพัง สัพพัตถะฐาเน สุปะติฏฐิตัง
ข้าแต่พระองศ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอถือโอกาสไหว้พระเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุอันตั้งไว้ดีแล้วในที่ทั้งปวง
- พุทธะสารีรังคะธาตุง มะหาโพธิง พุทธะรูปัง คันธะกุฏิง จะตุราสีติสะหัสเส ธัมมักขันเธ
พระสารีรังคะธาตุของพระพุทธเจ้า ต้นศรีมหาโพธิ์ พระพุทธรูป พระคันธกุฏีของพระพุทธเจ้า และพระธรรมทั้งหลาย แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์
- สัพเพตัง ปาทะเจติยัง สักการัตถัง
เพื่อสักการะซึ่งพระเจดีย์ คือรอยพระบาทเหล่านั้นทั้งหมดทั้งสิ้น
- อะหังวันทามิธาตุโย
ข้าพเจ้าขอไหว้พระธาตุทั้งหลาย
- อะหังวันทามิสัพพะโส
ข้าพเจ้าขอไหว้ดดยประการทั้งปวง
- อิจเจตัง ระตะนัตตะยัง อะหัง วันทามิ สัพพะทา
ข้าพเจ้าขอไหว้ซึ่งพระรัตนตรัยเหล่านั้นในกาลทุกเทื่อด้วยอาการดังนี้แลฯ


 ที่มาครับ  http://sanghathandhamma.com/index.php?option=com_content&task=view&id=319&Itemid=2

55
พระครูอาคมวิสุทธิ์ (หลวงพ่อคง สุวณฺโณ)

       พระครูอาคมวิสุทธิ์ (หลวงพ่อคง สุวณฺโณ) วัดวังสรรพรส ต.บ่อ อ.ขลุง จ.จันทบุรี เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดรูปหนึ่งของภาคตะวันออก ร่วมสมัยเดียวกับ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี หลวงปู่คร่ำ วัดวังหว้า หลวงพ่อศรีนวล วัดเกวียนหัก หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ และ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค เป็นต้นครับ

     วัตถุมงคลของหลวงพ่อคงแต่ละรุ่นล้วนมีประสบการณ์มากมายในทุกด้าน มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศ นับตั้งแต่สามัญชนจนถึงพระบรมวงศานุวงศ์ อาทิ พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร พลเรือเอกสงัด ชลออยู่  พล.ต.ต.ม.ร.ว.พงศ์สระ เทวกุล ฯลฯ

    นามเดิมของหลวงพ่อคือ คง ฑีฆายุ โยมบิดาชื่อ ส้อง โยมมารดาชื่อ โอง ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๔๕ ตรงกับวันเสาร์ ปีขาล ณ บ้านตาพราย ต.สะตอ อ.เขาสมิง จ.ตราด อุปสมบทครั้งแรก พ.ศ.๒๔๖๖ อายุได้ ๒๑ ปี อุปสมบทครั้งที่ ๒ เมื่อวันอังคารที่ ๕ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๗ ขณะอายุได้ ๓๒ ปี ณ วัดชมพูราย จ.ตราด โดยมี พระอธิการผูก วัดสลัก เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า "สุวณฺโณ"

   ท่านได้ศึกษาธรรมะและวิชาคาถาอาคมขลัง อักขระเลขยันต์จากโยมตาชื่อ หลวงคีรีเขตุ ซึ่งเป็นผู้มีวิชาทางคงกระพันเป็นเลิศ ตลอดจนพระคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงอีกหลายท่าน อาทิ หลวงพ่อเม วัดมาบไผ่ ต.มาบไพ อ.ขลุง จ.จันทบุรี (หลวงพ่อเม ท่านมีวิชาขนาดเหาะเหินเดินอากาศได้ครับ), หลวงพ่ออ่ำ วัดสะตอน้อย ต.ตกพรม อ.ขลุง จ.จันทบุรี   ,หลวงพ่ออุก หลวงพ่อเจาะ วัดโป่งโรงเซ็น ต.โป่งโรงเซ็น อ.มะขาม จ.จันทบุรี ,หลวงปู่วง (ปู่ของท่าน) ,หลวงพ่อหริ่ง ,ครูเต๋า ,และครูตาสด ฯลฯ

   หลวงพ่อคงได้ออกเดินธุดงค์ไปทั่วประเทศ ตลอดจนข้ามไปทางฝั่งประเทศพม่า กัมพูชา เพื่อฝึกฝนวิชาที่ท่านได้ร่ำเรียนมา โดยเฉพาะวิชา เสือสมิง ท่านมีความเชี่ยวชาญชำนาญเป็นพิเศษ ดังจะเห็นได้ว่า วัตถุมงคลของท่านแทบทุกรุ่น จะต้องมีรูปเสือสมิง ปรากฏอยู่ด้วย

     หลังจากที่ได้เดินธุดงค์จนเป็นที่พอใจแล้ว ท่านได้กลับมาอยู่ที่วัดวังสรรพรส และได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่พ.ศ.๒๕๐๘ เป็นต้นมา

    หลวงพ่อคง นับเป็นพระเกจิอาจารย์ระดับแนวหน้าท่านหนึ่งที่มักจะได้รับนิมนต์ให้ไปร่วมนั่งปรกปลุกเสกวัตถุมงคลในพิธีพุทธาภิเษกตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศตลอดเวลา ไม่ว่าจะวัดใกล้วัดไกลแค่ไหนก็ตาม นอกจากนี้ในส่วนตัวของท่านเองก็ได้สร้างวัตถุมงคลออกมาหลายรุ่น เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของวัตถุมงคลของท่านคือ จะมีรูปเสือสมิงอยู่ด้านหลัง หรือไม่ก็เป็น รูปพระปิดตา ซึ่งเป็นฝีมือการเขียนโดยตัวท่านเอง

    วัตถุมงคลของหลวงพ่อคงทุกรุ่นล้วนมีพุทธคุณเป็นเลิศในทุกๆ ด้าน เป็นที่เลื่องลือกันอย่างกว้างไกล นอกจากนี้ท่านยังมีความเชี่ยวชาญด้านรักษาโรคด้วยสมุนไพรอีกด้วย จนเป็นที่พึ่งพาอาศัยของชาวบ้านตลอดมา

   หลวงพ่อคงมรณภาพเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๓๒ เวลา ๑๐.๑๕ น. สิริรวมอายุ ๘๗ ปี พรรษา ๕๕

   หลังจากทีท่านมรณภาพไปแล้ว เล็บมือ เล็บเท้า เส้นเกศาของท่านจะยาวออกมาตลอดครับ

ดูพระเครื่องที่ท่านได้จัดสร้างเอาไว้ได้ที่ http://p.moohin.com/199.shtml

ขอขอบคุณ คุณวุธ จันทบุรี ที่ผมนำข้อมูลจากท่านบางส่วนครับ


56



กลางวัน


กลางคืน

สวยดีเนอะ










วัดปากลำขาแข้ง หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "วัดปากลำ" ตั้งอยู่ที่ ถนนกาญจนบุรี-ศรีสวัสดิ์ บ้านปากลำ ตำบลเขาโจด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ได้มีการดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่ พุทธศักราช 2484 โดยการริเริ่มของประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น เนื่องจากไม่ได้รับความสะดวกในการที่จะประกอบพิธีทางศาสนาต่างๆ เช่น ทำบุญเข้าพรรษา ทำบุญออกพรรษา หรืองานบุญต่างๆ ภายในหมู่บ้าน ประกอบกับชาวบ้านส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ มีศรัทธาแรงกล้าที่จะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนต่อไป จึงได้สร้างวัดนี้ขึ้นมา โดยร่วมแรงร่วมใจกันสร้างเสนาสนะต่างๆ ขึ้นภายในวัด ให้เป็นที่สำหรับประกอบพิธีทางศาสนา และสร้างกุฏิสำหรับให้พระสงฆ์อยู่จำพรรษา เจริญภาวนา ปฏิบัติธรรม และเป็นที่พักสำหรับพระภิกษุผู้เดินทางมาเผยแผ่ธรรม ปัจจุบันวัดปากลำขาแข้งมีเสนานะมั่นคง แข็งแรง มีพระภิกษุอยู่จำพรรษาตลอดมา

ที่ดินเฉพาะบริเวณที่ตั้งวัด มีเนื้อที่ 27 ไร่ โดยมีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งทางสำนักงานบริหารงานที่ดินอำเภอเป็นผู้รับรองออกให้ หนังสือที่ กจ.0922/28
 
โบสถ์สแตนเลส แห่งเดียวในโลก

ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 บ้านตีนตก ตำบลเขาโจด

ที่จังหวัดกาญจนบุรี

ที่มา  http://board.palungjit.com/showthread.php?t=157804

       http://www.paklamkha-khaeng.com/travel.htm

       http://www.paklamkha-khaeng.com/photo.asp




57



พระครูศรีชยาภิวัฒน์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงกลางดึกคืนวันที่ 28 ต.ค. พระธรรมสิริชัย (บุญเลิศ โฆสโก) เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม ได้มรณภาพด้วยโรคชรา สิริรวมอายุ 90 ปี พรรษา 68  มีพิธีสรงน้ำศพเวลา 14.00 น. วันพฤหัสที่ 30 ต.ค. ร.ร.พระปริยัติธรรมวัดอรุณฯ

โดยก่อนหน้านี้ เจ้าประคุณพระธรรมสิริชัย ได้เข้าพักรักษาอาการอาพาธอยู่ที่โรงพยาบาลธนบุรีเป็นประจำ จนกระทั่งเมื่อเร็วๆ นี้ ท่านเจ้าคุณพระธรรมสิริชัย มีอาการไม่ดี หายใจเหนื่อยหอบ คณะศิษยานุศิษย์และคณะสงฆ์จึงนำตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง แต่อาการไม่ดีขึ้น คณะแพทย์จึงได้รีบนำเข้ารักษาที่ห้องไอซียูเป็นการด่วน แต่ด้วยท่านพระธรรมสิริชัย มีอายุชราภาพ ไม่สามารถรับการผ่าตัดได้ แม้คณะแพทย์จะได้พยายามรักษาเยียวจนสุดความสามารถ แต่ไม่สามารถยื้ออาการไว้ได้ สุดท้าย ท่านเจ้าคุณพระธรรมสิริชัยได้ละสังขารจากไปอย่างสงบ ท่ามกลางความเศร้าของญาติโยมและคณะศิษยานุศิษย์
 
พระครูศรีชยาภิวัฒน์ กล่าวต่อว่า สำหรับศพพระธรรมสิริชัย ได้เก็บไว้ที่ห้องเก็บศพของโรงพยาบาลธนบุรี และจะเคลื่อนศพกลับมาที่วัดอรุณราชวราราม ในวันพฤหัสบดีที่ 30 ต.ค. เวลา 13.00 น. มาตั้งศพบำเพ็ญกุศล ณ บริเวณชั้น 2 โรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดอรุณฯ จากนั้นจะเปิดให้พระเถรานุเถระและพุทธศาสนิกชน ร่วมสรงน้ำศพตั้งแต่เวลา 14.00 น.เป็นต้นไป และเวลา 17.00 น. ทางวัดได้ขอพระราชทานน้ำหลวงสรงศพพระธรรมสิริชัย เป็นการพิเศษ




สำหรับประวัติ พระธรรมสิริชัย มีนามเดิมว่า บุญเลิศ ปรักมสิทธิ์ เกิดเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2462 ที่ ต.บ้านกระแซง อ.สามโคก จ.ปทุมธานี เป็นบุตรของนายบุญเรื่อนและนางเขียน บรรพชา-อุปสมบท เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน 2584 ณ วัดบ้านนา อ.สามโคก จ.ปทุมธานี โดยมีพระครูบวรธรรมกิจ (เทียน) วัดโบสถ์ จ.ปทุมธานี เป็นพระอุปัชฌาย์ ทั้งนี้ พระธรรมสิริชัย เป็นพระนักเทศน์ที่มีลีลาการบรรยายธรรมเป็นที่น่าเลื่อมใสของญาติโยม และเป็นผู้ริเริ่มให้มีการจัดงานวันวิสาขบูชา ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2526 ท่านยังได้ทุ่มเทให้แก่การศึกษา โดยเฉพาะการศึกษาสงฆ์  โดยท่านได้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม, ที่ปรึกษาเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร และเป็นประธานมูลนิธิศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย




58
ยังลอกไม่หมดนะครับ เลยไม่ค่อยชัดเท่าไหร่



59


พอดีผมกับเพื่อนได้ทำเวปให้ท่านอ.พล พยัคฆราชใหม่ครับ  ดูแล้วรู้สึกขัดตาไปบ้างก็อย่าว่ากันนะครับเพราะพึ่งหัดทำครับ เด็กวิศวะไฟฟ้ามาทำเวป ก็คงไม่สวยเท่ากับเด็กคอมหรอกนะครับ ฝึมือยังห่างชั้นกับเวปอื่นๆมากครับ (แต่ใจมันรักครับ)


ลองSerch ดูกันแล้วกันนะครับ

60
วันพรุ่งนี้เพื่อนผมจะไปสักเสือกับหลวงพี่แป๊ว (มีสองรูปนะครับคือเสือตีนโตกับเสือไต่ผาอ่ะครับ) ไม่ทราบว่าตอนนี้ค่าครูเท่าใดครับ





รูปล่างยืมขาขวาท่านโจรสลัดหน่อยนะครับ

61
                                                          

                                                          

     ขอเชิญพุทธศาสนิกชนทุกท่านไปร่วมงานสรงน้ำมุทิตาสักการะหลวงปู่อั๊บ เขมจาโร วัดท้องไทร ในวาระศิริอายุรวมครบ 87 ปี    ท่านเป็นเกจิอาจารย์ที่น่าเลื่อมใสมาก ทั้งด้านข้อวัตรปฏิบัติ ศีลาวัตรที่งดงาม และเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เรืองเวทย์ในทางพุทธคุณด้านเมตตา  จะพูดไม่เป็นสองรองใครก็ว่าได้ครับ  เพราะผู้ที่ไปขอความเมตตาจากท่าน  จะบอกกันปากต่อปากเป็นคำเดียวว่า "ของท่านแรงและสุดยอดจริงๆ" ครับ
 
     อย่าลืมไปบูชาตะกรุดแม่พิม ตะกรุดกันงูและพระแม่พิม ด้วยนะครับ 
   



62
.



วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม 2551 ตรงกับวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 เวลา 9 นาฬิกา ทางสำนักได้จัดงานฉลองสมโภชน์เจ้าแม่กวนอิมและพระโพธิสัตว์อวโลติเกศวร ที่บรรดาลูกศิษย์ชาวไต้หวันและชาวไทยได้ร่วมกันสร้างถวายแด่อ.พล พยัคฆราช เพื่อให้บรรดาพุทธศาสนิกชนและลูกศิษย์ทั่วไปได้กราบไหว้บูชาขอพรกันครับ และเป็นการตอบแทนพระคุณของอ.พล ที่ท่านได้เมตตาสั่งสอนธรรมะ และช่วยเหลือลูกศิษย์ตลอดมา   

โดยในงานจะมีพิธีเทกระจาด แจกข้าวสาร  และมีพิธีปลุกเสกเหรียญ "กูผู้ชนะ" ของอ.พล พยัคฆราช     โดยจะมีการเชิดสิงห์โตถวายเจ้าแม่กวนอิมด้วยครับ

โดยผู้ที่ไปร่วมงานกรุณาสวมชุดขาวหรืออย่างน้อยใส่เสื้อขาวด้วยครับ เพื่อเป็นการสืบสานวัฒนธรรมชาวพุทธและเคารพต่อพระรัตนตรัยครับ

ที่อยู่สำนัก 287/156 ถนนรามคำแหง21 หมู่บ้านคลองพลับพลา ซอย5
(ซอยวิทยุชุมชนร่วมด้วยช่วยกัน) แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กทม.

*****ขอโทษทางเวปด้วยครับที่ผมลืมไป Copy เบอร์ที่สำนักมาลงไว้  ผมมาลบออกให้แล้วครับ  ผมลงอะไรผิดพลาดแก้ไขได้เลยนะครับ

63
ผมขอนำภาพพ่อแก่ฤาษีตาไฟ  อาจารย์ต๋อย ดาบสมาลงให้ทุกท่านได้ชมบารมีท่านกันครับ





พ่อแก่ฤาษีจะลงร่างท่านอาจารย์ต๋อยก่อน ถึงท่านจะสักครับ

สำนักอยู่ติดกับวัดทองใน ซอยอ่อนนุช 25  หรือเส้นสุขุมวิท77    พระโขนง    กทม 
พ่อแก่ฤาษีต่าไฟจะลงตั้งแต่เวลาบ่ายโมงตรงของทุกวันเป็นต้นไปครับ

 โทร 02311XXXX / 086027XXXX  ห้ามโพสหมายเลขโทรศัพย์ในบอร์ดครับ

64
ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่หงษ์ วัดเพชรบุรี สุรินทร์   ท่านมีวิชาเป่าทองคนองฤทธิ์คือสามารถเป่าทองให้ทะลุกระดาษไปเข้าในหัวกระโหลกคนได้ครับ และท่านยังสามารถเรียกทองที่เป่าไปแล้วให้วิ่งได้เหมือนเข็มวิ่งครับ

ท่านปลุกเสกเสือรุ่นหนึ่งกระโดดออกจากพาน และปลุกเสกวัตถุก้อลอยได้ครับ

ลองเข้าไปในเวปท่านนะครับ

ท่านอยู่รามคำแหงซอย 21 ครับ

ผมชื่อสุรสิทธิ์  ชื่อเล่นว่าต่ายครับ  อยู่สุขุมวิท50  ได้ไปเป่าทองกับท่านมาสองครั้งแล้วครับ  ครั้งแรกท่านก้อเรียกทองบนตัวผมให้ดูครับ

น่านับถึอมากครับ 

http://www.kingoftiger.com/

หน้า: [1]