ผู้เขียน หัวข้อ: กรรมที่ให้ผลแล้ว กลับมาให้ผลได้อีก..!  (อ่าน 1383 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ นายธรรมะ

  • ดีชั่วอยู่ที่ตัวทํา สูงต่ำอยู่ที่ทําตัว
  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 615
  • เพศ: ชาย
  • เหนื่อย ได้แต่อย่า ท้อ
    • ดูรายละเอียด
กรรมที่ให้ผลแล้ว กลับมาให้ผลได้อีก..!


ถาม : กรรมที่ให้ผลแล้ว จะกลับมาให้ผลอีกไหมครับ ?

ตอบ : กรรมที่ให้ผลไปแล้ว ถ้าหากว่ายังไม่หมดแรงกรรมนั้นๆ ถึงวาระก็จะให้ผลอีก แต่ถ้าหากว่าให้ผลหมดแล้ว ก็เป็นอันว่าผ่านไปเลย

กรรมจะมีบางประเภทที่ให้ผลแบบฉับพลัน อย่างที่เขาเรียกว่า ครุกรรมทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล อย่าง ครุกรรมฝ่ายอกุศล คือ ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต ทำสังฆเภท ก็จะเห็นผลทันตาในปัจจุบัน ตายเมื่อไรคุณลงอเวจีมหานรกแน่นอน

ขณะเดียวกัน ครุกรรมฝ่ายกุศล คือฝ่ายดี ที่คุณทำเอาไว้อย่างเช่นว่า ได้ฌาน ๔ ได้สมาบัติ ๘ ถึงเวลาคุณก็ไปเป็นพรหมหรืออรูปพรหมไปเลย หรือ ถ้าหากมีโอกาสได้ทำบุญกับพระอริยเจ้าที่ออกนิโรธสมาบัติ ก็จะเป็นเศรษฐีในวันนั้นเลย

ฉะนั้น ลักษณะแบบนี้จะให้ผลฉับพลัน แต่ว่าให้แล้วให้เลย จบกันไปเลย เหมือนอย่างกับเราปลูกผักปลูกหญ้าให้ผลเร็วมาก ไม่กี่วันก็เก็บกินได้แล้ว..ใช่ไหม ? แต่ว่าเมื่อได้แล้วก็หมดไปเลย

แต่ว่ากรรมบางอย่างจะให้ผลช้ามาก อย่างเช่น อุปัชชเวทนียกรรม อปราปรเวทนียกรรม ให้ผลในชาติที่ ๒ ชาติที่ ๓ ชาติที่ ๔ ไปเรื่อยๆ เหมือนกับปลูกไม้ผล กว่าจะให้ผลช้ามากเหมือนกับตามไม่ทัน ลักษณะแบบเดียวกับรถสิบล้อวิ่งช้า..ใช่ไหม ? แต่ถึงเวลาถ้ารถชนเราจะเป็นอย่างไร ? รถใหญ่อาการเราก็หนัก เจ็บจริง เจ็บนาน ฉะนั้น..กรรมพวกนี้จะให้ผลต่อเนื่อง ยาวนาน ลักษณะเหมือนกับปลูกไม้ผล ระยะเวลา ๕ ปีขึ้นไปจึงจะเริ่มให้ผล แล้วก็จะให้ผลไปเรื่อยๆ

กรรมนั้นมีทั้งให้ผลตามกาล ให้ผลตามลักษณะ บางอย่างก็มาหนุนเสริม บางอย่างก็มาบีบคั้น บางอย่างก็มาตัดรอน ให้ผลตามกาลก็คือ ให้ผลช้า-เร็ว ก่อน-หลังกันไป รวมๆ แล้ว กรรมน่ากลัวมาก ตามทันเมื่อไร เราก็แย่เมื่อนั้น

สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดี จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ
[shake]ศรัทธา ไม่ใช่ ไสยศาสตร์ ศรัทธา เพื่อ ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมีความ ศักดิ์สิทธิ์ ย่อมเกิด ปาฏิหาริย์[/shake]

ออฟไลน์ NOPPANUCH

  • ฉัฏฐะ
  • *
  • กระทู้: 42
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: กรรมที่ให้ผลแล้ว กลับมาให้ผลได้อีก..!
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 06 เม.ย. 2554, 05:29:23 »
สาธุ สาธุ สาธุ

ออฟไลน์ เด็กบางปลา

  • พระนวกะ วรปญฺโญ
  • ปัญจมะ
  • *****
  • กระทู้: 57
  • เพศ: ชาย
  • พระนวกะ วรปญฺโญ
    • MSN Messenger - tey.piya@hotmail.com
    • AOL Instant Messenger - -
    • Yahoo Instant Messenger - -
    • ดูรายละเอียด
    • นายปิยะ สุวรรณเดช
    • อีเมล
ตอบ: กรรมที่ให้ผลแล้ว กลับมาให้ผลได้อีก..!
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 06 เม.ย. 2554, 05:46:07 »
สาธุ สาธุ สาธุ
สัพพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ   การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง
เดินก่อน ถึงก่อน เเต่ฝันก่อน เเล้วไม่เดิน เมื่อไรจะถึง

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: กรรมที่ให้ผลแล้ว กลับมาให้ผลได้อีก..!
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 07 พ.ค. 2554, 11:46:21 »
ขออนุญาตนายธรรมะ ขอแจมด้วยครับ :054:

การยุติผลกรรมข้ามภพข้ามชาติ... พระศรีญาณโสภณ

ทุกชีวิตล้วนมีภัย ภัยของชีวิตอาจเกิดขึ้นได้ทุกเสี้ยววินาที
ภัย ที่เกิดจากภายนอก ไม่ร้ายแรงเท่ากับภัยภายในภัยที่ผู้อื่นสร้างขึ้น กระทบเราน้อยกว่าภัยที่เราสร้างขึ้นเอง
บางคนทำผิดแล้ว กลับมานั่นเสียใจในภายหลัง

ภัยทั้งหลายล้วนเป็นยาพิษ ที่ปลิดชีวิตจิตใจเราได้ทั้งสิ้นไทยเรามีประเพณีอย่างหนึ่ง คือ เมื่อจุดธูปขอขมาศพก็จะขออโหสิกรรมต่อกันคือ...อย่าได้มีเวรต่อกันในภพ หน้า ให้ทุกอย่างจบลงที่ภพชาตินี้แม้ศัตรูคู่อาฆาตก็ต้องอโหสิกรรมต่อ กันการแสดงอภัยทาน เป็นการชำระใจ แม้จะดูพูดง่าย แต่ก็ทำได้ยาก หากไม่ฝึกทำจนเป็นปกติเพื่อให้เข้าใจง่ายและอยากทำให้ได้ ขอให้เรามาพิจาณาเหตุผล

ถึงความต่อเนื่องของผลกรรมที่มีผลข้ามภพข้ามชาติ ว่าให้ผลเผ็ดร้อนเพียงใด และยังเป็นผลที่เราหนีไม่ได้อีกด้วยเรา ต้องถามตนเองก่อนว่า เราต้องการยุติการเผล็ดผลของกรรมกับคน ๆ นั้นเพียงภพนี้หรือต้องการจะพบเขา จะเจอเขาอีกต่อไปเราต้องการจะ ยุติปัญหาเหล่านี้เพียงภพชาตินี้ หรือต้องการลากยาวไปถึงภพชาติข้างหน้าเรา มีสิทธิเสรีในตัวเรา

บางคน รักมาก หลงมาก เพราะเขาดีมาก ก็ปรารถนาให้พบกันทุกภพทุกชาติบางคนก็อธิษฐานไม่ขอร่วมเดินทาง แต่ก็ไม่ยกโทษในที่สุดผลของการไม่ยกโทษคือ...ไม่ยอมให้อภัย ก็เหมือนการผูกสิ่งที่เราไม่ชอบไว้ที่เอวตนเองตลอดเวลา


การให้อภัย จะทำให้เราสามารถยุติปัญหาต่าง ๆ ได้ เหมือนคนล้างแก้วน้ำสะอาด
ทำให้เหมาะสมที่จะรองรับน้ำบริสุทธิ์ทีเทลงไป ใหม่เหมือนการโยนของที่เราไม่ชอบทิ้งเสีย โดยไม่ต้องเสียดาย

การ ให้อภัย คือการแสดงกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อภัยทานเวลาจะให้ ไม่ต้องไปขอใครไม่เหมือนใครมาขอเงินเรา เราต้องควักกระเป๋าให้ แต่ให้อภัยเราไม่ต้องหาจากไหน และไม่รู้สึกว่าเป็นการสูญเสีย

ใคร จะคิดอย่างไรไม่ใช่ประเด็น แต่สำหรับเราผู้แสดงออกว่าเราให้อภัยใน เรื่องนี้ต่อบุคคลผู้นี้แล้ว นั่นเป็นสิ่งสำคัญเพราะสิ่งนั้นจะถูก บรรจุลงไปในเครื่องคอมพิวเตอร์คือจิตของเราทันทีการผูกอาฆาต ความพยาบาท ความอิจฉา โกรธ เกลียด ความคิดแก้แค้น ทิฐิมานะ เป็นต้นเป็น เสมือนเชื้อไวรัส อภัยทานคือเครื่องมือแอนตี้ไวรัส ส่วนจิตของเรา เหมือนคอมพิวเตอร์

ในชีวิตที่เหลืออยู่นี้ อาจจะดูเหมือนยาว แต่มีใครบอกได้ว่าเราจะอยู่ได้ปลอดภัยถึงวันไหนเราต้องการความทรงจำที่ เลวร้าย หรือต้องการความทรงจำที่ดีในชีวิตความคิดเป็นสิ่งที่ทรง พลังมาก สุขหรือทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่วิธีคิดคิดเป็นก็พ้นทุกข์ คิดไม่เป็น แม้แต่เรื่องมิใช่เรื่อง ก็อาจเกิดเรื่องได้

มีผู้ใหญ่ ท่านหนึ่งเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง เป็นเรื่องที่มีอุทาหรณ์และคติน่าคดมาก เกี่ยวกับเรื่องของคนที่ไม่ยอมให้อภัยใครและเป็นคนผูกโกรธ ผูกเกลียด ผูกอาฆาต มองเห็นคนอื่นเป็นศัตรูคู่ต่อสู้ตลอดเวลากระทั่งวันหนึ่งตายไป พร้อมกับจิตใจที่ขุ่นมัวและผูกอาฆาต

ท่านเล่าว่า เขาอธิษฐานไปเกิดเป็นลูกของศัตรู เพื่อจะได้ทำร้ายจิตใจอย่างใกล้ชิด แนบเนียนที่สุดจะได้เผาผลาญคนนั้นให้ถึงที่สุด ให้ทุกข์ที่สุด ให้สาละวนอยู่กับเรื่องทุกข์ตลอดเวลาเขาเป็นลูกเกเรผลาญทรัพย์ ทำลายวงศ์ตระกูล นำความทุกข์เดือดร้อนเข้าบ้านทุกวัน

พระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเป็นหลักใจว่า คนที่ตายขณะจิตเศร้าหมอง ย่อมไปสู่อบายแม้ คนพวกนี้ จะไม่เชื่องเรื่องอบาย เรื่องนรกที่เป็นภพภูมิแต่เขาก็ปฏิเสธ ไม่ได้ถึงนรกคือ...ความเร่าร้อนรุนแรงที่คุกรุ่นภายในใจ ในขณะยังมีชีวิตอยู่ส่วนคนที่ตาย ขณะจิตผ่องใส จะไปสู่สวรรค์คือ สภาพที่ใจปลอดโปรงโล่งเบาก็จะมีแก่ผู้นั้น

สิ่งที่น่าคิดก็คือ ข้าพเจ้าทราบจากนักปราชญ์บัณฑิตโบราณ ท่านพูดเอาไว้ว่าการที่เราโกรธ ใคร เราไม่ให้อภัยเขา หรือเราไม่ไปขออโหสิกรรมความโกรธนั้นจะเป็นกรรม หนักติดตัว คือ...ติดใจเราไปยาวนานข้ามภพข้ามชาติ แปลว่า...ไม่ ว่าเราจะไปเกิดภพใดชาติใด กรรมนั้นก็จะตามไปไม่สิ้นสุด.

 :054:พระศรีญาณโสภณ วัดพระรามเก้า กรุงเทพ ฯ
ขอบคุณที่มา
http://www.watpanonvivek.com/phpBB306/viewtopic.php?f=39&t=1303
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ