ผู้เขียน หัวข้อ: กระแสจิต "ผี" ที่มีถึง "คน" !!!  (อ่าน 18964 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
กระแสจิต "ผี" ที่มีถึง "คน" !!!
« เมื่อ: 28 พ.ค. 2554, 08:41:30 »
กระแสจิต "ผี" ที่มีถึง "คน" !!!

    สถาบันค้นคว้าเรื่องราวทางจิตและวิญญาณ ในเวลานี้หลายประเทศในแถบซีกโลกตะวันตก ได้เริ่มหันมาให้ความสนใจกันมากขึ้น สาเหตุสืบเนื่องมาจากการค้นคว้าเรื่องของจิตและวิญญาณ ซึ่งชนชาติในทวีปแอฟริกาค้นคว้าอยู่นั้น ได้มีข้อมูลที่เชื่อถือได้ว่า วิญญาณมีจริง และมนุษย์บางคนสามารถติดต่อกับวิญญาณของคนตายได้จริง

    เราคงจะต้องติดตามข่าวนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป เนื่องจากผมมีความคิดว่า การศึกษาเรื่องราวของวิญญาณ เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ผมเชื่อว่าคงจะมีท่านผู้อ่านเป็นจำนวนมาก มีความคิดเช่นเดียวกับผม คือ ต้องการอยากที่จะรู้ว่า เราตายไปแล้ว วิญญาณของเราจะมีความรู้สึกเช่นไร จะหิวมั้ย จะมีความรู้สึกหนาวรู้สึกร้อนหรือเปล่า คือเราอยากจะหาตำแหน่งความแน่นอนของตัวเราตอนที่ตายไปแล้วนั่นเอง

...........มีอยู่วันหนึ่งผมไปงานศพของพี่ชาย ซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ผมนั่งอยู่กับหลานชาย ตอนนั้นมีคำถามเกิดขึ้นในใจผม คือ ผมอยากจะรู้ว่าพี่ชายของผมตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน แน่นอนร่างของเขาอยู่ในโลง แต่จิตสำนึกของความเป็นคน ผมเชื่อว่ามันไม่ได้ดับไปพร้อมกับร่าง ผมจึงพูดกับหลานของผม หลานผมตอบว่าเขาก็อยากรู้เหมือนกัน แต่เขาก็เดาไม่ออกว่าวิญญาณของพี่ผมในเวลานั้นอยู่ที่ไหน?
หลังจากนั้นไม่นาน หลานคนนั้นก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ทุกคนในบ้านไม่มีใครคาดฝันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น งานศพของหลานผม ความรู้สึกเหมือนเดิม รวมทั้งคำถามเดิมๆ คือ วิญญาณของหลานผมตอนนี้อยู่ที่ไหน ได้เกิดขึ้นมาอีกครั้ง

...........แน่นอนครับ ตอนนี้หลานผมเขาได้คำตอบแล้วว่า คนเราเมื่อตายไปแล้ว วิญญาณจะอยู่ที่ไหน แต่สำหรับผมยังไม่ได้คำตอบนั้น !
แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผมก็คือ ความรู้สึกแปลกๆ ที่ยากจะบอกเล่าให้คนทั่วไปได้เข้าใจ มันรู้สึกว่าหลานผมอยู่ใกล้ๆ ผม เหมือนว่าเขาพยายามที่จะติดต่อกับผม แต่เราสื่อสารกันไม่ได้ เขามองเห็นผม แต่ผมมองไม่เห็นเขา
ผมเชื่อว่าในบางครั้งท่านคงจะมีความรู้สึกเช่นเดียวกับผม คือ อยู่คนเดียวในห้องแต่กลับมีความรู้สึกอึดอัด เหมือนว่าภายในห้องมีคนอยู่เป็นร้อยๆ พันๆ คน ผมก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่า เหตุใดจึงมีความรู้สึกเช่นนั้น
การที่คนเราจะล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ในอนาคตได้นั้น มันจะต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ในตัวของบุคคลดังกล่าว ซึ่งองค์ประกอบสำคัญที่กล่าวถึงนี้ ไม่ใช่ว่าคนทุกคนจะมี แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับคนบางคนเท่านั้น และเกิดขึ้นในบางเวลาไม่ใช่เกิดทุกเวลา

...........คุณเฉลียว วิบูลย์มงคล เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิสว่างรุ่งเรืองธรรมสถาน อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ประสานงานทางวิทยุ คุณเฉลียวเป็นผู้ที่มีญาณพิเศษ ซึ่งสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างน่าพิศวง
"ทีแรกก็ไม่เชื่อเรื่องนี้ คิดว่าเป็นเหตุบังเอิญมากกว่า แต่มันเกิดขึ้นบ่อยมาก จึงทำให้เชื่อว่าเรามีสัมผัสที่ 6 สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคตได้จริงๆ"
"ช่วยเล่าถึงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังได้มั้ยครับ?"
"มันมีหลายเรื่องด้วยกัน อย่างเช่นเรื่องเพื่อนจะมาหา เป็นเพื่อนเก่าสมัยที่เรียนหนังสือตอนเด็กๆ เราไม่ได้เจอกันมานานร่วมสิบๆ ปีแล้ว จู่ๆ เราก็เห็นหน้าเพื่อนคนนี้ จำชื่อเขาไม่ได้หรอกว่าเขาชื่ออะไร เพราะว่ามันนานมากแล้ว ตอนนั้นยังอดที่จะแปลกใจไม่ได้เลย ทำไมจึงต้องนึกถึงเพื่อนคนนี้ขึ้นมา และในวันรุ่งขึ้นก็เห็นเพื่อนคนนี้จริงๆ เขาก็ยังแปลกใจที่มาเจอกับเรา

...........อีกเรื่องเป็นอุบัติเหตุ ตอนที่กำลังเข้าเวรอยู่นั้น เราแว่วได้ยินเสียงเหมือนคนขอความช่วยเหลือ เขากำลังได้รับบาดเจ็บจากอุบัติรถชนกัน แต่ตอนนั้นไม่มีข่าวแจ้งเข้ามา เราก็วิทยุถามสายตรวจไปว่า มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นหรือเปล่า เขาก็ตอบกลับมาไม่มี"
"แต่เราก็ยังเชื่อว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจริงๆ?"
"ค่ะ ก็ยังเชื่อว่ามีอุบัติเกิดขึ้นจริงๆ เพียงแต่สายตรวจยังไม่ทราบจุดเกิดเหตุเท่านั้น ตอนนั้นลองพยายามทำจิตให้ว่าง พอจิตเราว่างก็ค่อยๆ ปล่อยให้จิตลอยไปเรื่อยๆ แล้วก็ถามไปด้วยว่า อยู่ที่ไหน ถ้าอยากจะให้ช่วยต้องบอกว่าคนเจ็บอยู่ที่ไหน แล้วเราก็ค่อยๆ เห็นภาพลางๆ ปรากฏ มันเหมือนภาพในความฝัน มีหมอกควันขาวเต็มไปหมด เรารู้แล้วว่าสถานที่ดังกล่าวอยู่ที่ใด เราก็วิทยุบอกสายตรวจไปว่า ลองไปขับรถไปดูบริเวณทางเข้าน้ำตกห้วยยาง สงสัยว่าจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น สายตรวจก็ขับรถ พักใหญ่เขาก็วิทยุมาบอกว่า มีอุบัติเกิดขึ้นจริงๆ มีคนตาย 1 คน บาดเจ็บ 2 คน ตอนนี้กำลังนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล"

"แสดงว่าคุณสามารถส่งกระแสจิตของคุณไปตามที่ต่างๆ ได้?"
"ไม่ใช่เลย ที่เราเห็นภาพต่างๆ ได้นั้น เกิดจากวิญญาณของคนตายต่างหาก วิญญาณคนตายซึ่งเป็นพ่อ ได้พยายามติดต่อกับเรา เพื่อที่จะบอกให้รู้ว่าลูกของเขาได้รับบาดเจ็บ ขอให้เราส่งคนไปช่วย วิญญาณของผู้เป็นพ่อสื่อสารเข้ามาหาเรา ไม่ใช่เราส่งจิตไปหาเขา"
"มีความรู้สึกแบบนี้บ่อยมั้ยครับ?"
"ไม่บ่อยนักหรอก นานๆ ครั้งจึงจะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง เรื่องของการติดต่อกันระหว่างจิตของคนกับวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว ไม่ใช่จะเกิดขึ้นง่ายๆ มันขึ้นอยู่กับดวงวิญญาณด้วยว่า ต้องการอยากจะติดต่อกับเราหรือเปล่า หากว่าเขาไม่อยากจะติดต่อกับเรา เราก็ไม่อาจจะสื่อสารกับเขาได้เลย เหมือนวิทยุนั่นแหละ มีสถานีส่งแต่ไม่มีเครื่องรับ วิทยุก็ฟังไม่ได้"
"เคยพบกับเรื่องแปลกๆ เกี่ยวกับผีหรือวิญญาณบ้างหรือเปล่า?"
"ในชีวิตยังไม่เคยเจอผีเลย แต่เชื่อว่าในโลกนี้มีผีอยู่จริง คนอื่นๆ เขามาเล่าให้ฟังว่าเห็นผี คิดว่าที่ผีไม่มาปรากฏตัวให้เราเห็น น่าจะมาจากส่วนของงานที่เราทำ เป็นงานสาธารณะกุศล เป็นงานบุญ พวกผีจึงไม่กล้ามาหลอก"
"เคยออกปฏิบัติงานเก็บศพบ้างหรือหรือเปล่า?"
"เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ ทุกคน จะต้องเก็บศพได้ ไม่มีใครรังเกียจซากศพหรอกค่ะ เพราะว่าคนเราสักวันก็จะต้องเป็นเหมือนเขา เป็นซากศพที่อาจจะนอนอยู่กลางถนน งานล้างป่าช้าก็จะต้องออกนอกสถานที่ ไปขุดศพที่ไม่มีญาติมาบำเพ็ญกุศล"
"ถามจริงๆ ทำไมจึงเลือกงานแบบนี้?"
"งานด้านสาธารณะกุศล เป็นงานบุญที่คนส่วนมากไม่ค่อยจะเข้าใจ และมักจะมองข้ามความสำคัญของงานนี้กันหมด เราไม่มีค่าจ้างค่าตอบแทน เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเจ้าหน้าที่มูลนิธิ แต่สิ่งที่พวกเราต้องการคือ การได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ซึ่งกำลังมีสภาพทุกขเวทนา คนที่ได้รับบาดเจ็บนอนเจ็บปวดกลางถนน มีเลือดเต็มตัวไปหมด คนทั่วไปได้มอง แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย เขาเหมือนรอความตาย พวกเราจึงอาสามาช่วยคนเจ็บพวกนั้น ซึ่งสักวันอาจจะเป็นตัวท่าน ญาติพี่น้องของท่านก็ได้"
"ส่วนมากแล้วอุบัติเหตุเกิดจากสาเหตุอะไรมากที่สุด?"
"เมาแล้วขับรถ เจอเป็นประจำนับศพไม่ถ้วนแล้ว อีกพวกก็คือประมาท ขับรถด้วยความคึกคะนอง ชอบลองของ คนอื่นจึงเดือดร้อนไปด้วย"
"คิดว่าจะทำงานให้กับมูลนิธิ ฯ ไปอีกนานมั้ยครับ?"
"คงจะทำไปเรื่อยๆ เพราะทำแล้วมีความสบายใจ อีกทั้งยังได้บุญอีกด้วย"

..........ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมาก ที่ยังไม่เข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ บางคนอาจจะมองพวกเขาในแง่ "ลบ" เพราะมีบางคนทำตัวเป็น "เหลือบ" ในวงการ  เราต้องแยกระหว่างคนดีกับคนเลว จะเอามาปะปนเหมารวมกันไม่ได้ จงให้ความเป็นธรรมกับคนทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจเถอะครับ !!!


ที่มา
http://www.oocities.org/sumpud/S3.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 พ.ค. 2554, 08:46:22 โดย ทรงกลด »
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: กระแสจิต "ผี" ที่มีถึง "คน" !!!
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 28 พ.ค. 2554, 08:52:38 »

ร่างหนึ่งนอนในห้องไอ.ซี.ยู...................แต่อีกร่างไปปรากฏให้แม่เห็น !!!]

.......คงจะต้องยอมรับว่าอาชีพของนักข่าว สิ่งที่จะต้องพบเห็นอยู่เป็นประจำได้แก่ อุบัติเหตุ ใครจะเชื่อบ้างว่าเพียงเศษเสี้ยวของวินาที หากว่าเรามีความประมาท ความหายนะจะเกิดขึ้นทันที เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหนึ่งในทีมงานของพวกผม มันทำให้ผมได้รู้ซึ้งถึงพิษสงของคำว่า อุบัติเหตุยิ่งขึ้น
คืนนั้นผมและพวกเพื่อนๆ กำลังนั่งจิบเบียร์อยู่ที่คาเฟ่เล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งริมอยู่ริมถนนทางจะไปจังหวัดระยอง ขณะที่กำลังกินเหล้าออกรสอยู่นั้น ผมนึกขึ้นมาได้ว่า ผมเตรียมฟิล์มมาแค่ 2 ม้วน แต่งานของผมมันจะต้องใช้ฟิล์มไม่ต่ำกว่า 4 ม้วน ผมจึงจะเข้าไปซื้อฟิล์มในตัวจังหวัด แต่พวกเพื่อนๆ ไม่เชื่อ คิดว่าผมจะหนีไปเที่ยวคนเดียว น้องเล็กหนึ่งในทีมงานของพวกเราจึงขันอาสา จะขับรถเข้าไปซื้อฟิล์มตัวจังหวัดระยองเอง ซึ่งทุกคนต่างก็เห็นด้วย เพราะเชื่อว่าน้องเล็กเป็นคนขับไม่ประมาท ฝีมือดีทีเดียว

...........ผมส่งกุญแจให้น้องเล็กขับเข้าไปซื้อฟิล์มในตัวจังหวัด จากนั้นก็มานั่งกินเหล้าต่ออย่างมีความสุข เหล้าหมดไปกลมหนึ่งแต่น้องเล็กก็ยังไม่กลับ ผมเริ่มเป็นห่วงกลัวว่าน้องเล็กจะประสบอุบัติเหตุ แต่พวกเพื่อนๆ บอกว่าผมคิดมากไปแล้ว
2 ชั่วโมงผ่านไป น้องเล็กก็ยังไม่กลับ ผมเริ่มกระสับกระส่าย คราวนี้พวกเพื่อนๆ ก็เริ่มเป็นกังวลขึ้นมาทันที

"ท่าทางไม่ชอบมากลเสียแล้วโว้ย สงสัยไอ้เล็ก…"
"เฮ้ย หยุดพูดเรื่องอัปมงคล"
ความรู้สึกของผมในขณะนั้นมันเหมือนมีลางสังหรณ์บางอย่างเกิดขึ้น ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ความรู้สึกเช่นนั้นมันเกิดขึ้นได้อย่างไร
"ลองโทรสอบถามตำรวจดีกว่า บางทีมันอาจจะได้เรื่อง"
ผมรีบโทรไปสอบถามเจ้าที่ตำรวจ สภอ.เมืองระยอง เพื่อสอบถามว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นหรือเปล่า คำตอบที่ผมได้รับ มันทำให้ผมถึงกับเข่าอ่อน
"มีรถชนกันเมื่อชั่วโมงที่แล้ว"
"มีคนเสียชีวิตหรือเปล่าครับ?"
"ไม่มีหรอกครับ มีแต่คนเจ็บตอนนี้อยู่ในร.พ."
"ผมขอทราบทะเบียนรถครับ"
"รอสักครู่นะครับ ผมจะสอบถามร้อยเวรให้"

.........เสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจเงียบไป พวกเพื่อนๆ คงจะเดาออกว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้น แต่พวกเขาไม่กล้าพูดออกมาเท่านั้น ในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พูดมาตามสาย บอกทะเบียนรถที่ประสบอุบัติเหตุ
"หมายเลขทะเบียน กต. 4500 ครับ"
ความรู้สึกของผมในเวลานั้นยากจะบรรยาย มันคล้ายกับตกอยู่ในความฝันมากกว่า ผมไม่อยากเชื่อว่าเหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้มันจะเกิดขึ้นกับพวกเรา ความเสียหายของรถยนต์ เราสามารถซ่อมได้ให้มีสภาพเหมือนเดิม มีบริษัทประกันรับผิดชอบในเรื่องค่าใช้จ่าย แต่ชีวิตของคนๆ หนึ่ง เราบอกไม่ได้ว่า เขาจะหายเป็นปกติเหมือนเดิมหรือเปล่า
พวกเราไม่มีกระจิตกระใจจะทำงานอีกต่อไปแล้ว ปัญหาต่อมาก็คือ เราจะบอกแม่ของน้องเล็กถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะแม่ของน้องเล็กเป็นโรคหัวใจ
"เก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน เราบอกแม่ของน้องเล็กตอนนี้ไม่ได้เป็นอันขาด วันพรุ่งนี้ผมจะโทร.ไปบอกว่าน้องเล็กมีงานด่วน ต้องไปต่างจังหวัดหลายวัน แม่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงน้องเล็ก"
.........ตอนนั้นผมยอมรับว่าหนักใจมาก ตัดสินใจอยู่นานว่าจะเริ่มเรื่องนี้อย่างไรดี และในที่สุดผมก็คิดว่า พยายามพูดกับแม่น้องเล็กด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ อย่าให้แม่จับได้ว่าผมกำลังเครียด พูดให้สั้นที่สุด แล้วก็รีบวางโทรศัพท์ทันที
เมื่อผมโทรไปที่บ้านของน้องเล็ก ปรากฏว่าพี่สาวของน้องเล็กเป็นคนรับสาย ผมโล่งใจขึ้นมาทันที บางครั้งผมอาจจะเล่าความจริงกับพี่สาวของน้องเล็กก็ได้ แต่เหตุการณ์มันกลับไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิด และผมก็ต้องถึงกับอึ้งพูดไม่ออก
"จะพูดกับน้องเล็กหรือ ตอนนี้เขาไม่อยู่หรอกจ๊ะ?"
"ผมมีเรื่องจะบอกกับพี่ว่า น้องเล็ก…" ผมเริ่มกลายเป็นคนพูดติดอ่างขึ้นมาทันที
"น้องเล็กเพิ่งจะออกไปจากบ้านเมื่อ 2 นาทีนี้เอง ได้ยินพูดว่าที่ทำงานให้ไปทำงานต่างจังหวัดอาทิตย์หรือสองอาทิตย์นี่แหละจึงจะกลับ โทรเข้ามือถือซิจ๊ะน้อง"
ผมถึงกับขนลุกซู่ เมื่อได้ยินพี่สาวของน้องเล็กพูดอย่างนั้น
"พี่แน่ใจนะครับว่าน้องเล็กเพิ่งจะออกมาจากบ้านเมื่อครู่นี้"
"แน่ใจซิจ๊ะ ก็แม่ของน้องเล็กยังบอกให้น้องเล็กระวังตัว ดูแลสุขภาพให้ดีเลย"

..........ผมเล่าสิ่งที่ได้ยินจากปากของพี่สาวของน้องเล็กๆ ผมได้เล่าให้พวกเพื่อนๆ ฟัง ทุกคนต่างนิ่งเงียบ ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร???
อาการของน้องเล็กดีขึ้นเป็นลำดับ หมอบอกว่าน้องเล็กเป็นคนแข็งแรง และมีกำลังใจที่เข้มแข็งมาก ทำให้อาการป่วยหายเร็วกว่าคนทั่วไป
น้องเล็กเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังว่า ตอนนั้นมันรวดเร็วจนทำอะไรไม่ถูก เพราะรถอีกฝ่ายหนึ่งขับมาด้วยความเร็ว น้องเล็กพยายามหักหลบแต่ไม่พ้น ในที่สุดจึงชนแบบประสานงาเต็มๆ

"ตอนนั้นผมยังมีสติดี สิ่งที่นึกถึงคือแม่ของผม ผมเป็นห่วงกลัวว่าแม่จะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมได้พยายามรวบรวมสมาธิ ข่มความเจ็บปวด จากนั้นก็ส่งกระแสจิตไปที่บ้านผม ผมต้องการให้พี่สาวให้แม่ผมเห็นว่าผมไม่ได้เป็นอะไร แต่ผมมีงานจะต้องออกต่างจังหวัดหลายวัน ก็ไม่คิดว่าผมจะทำได้"
..........น้องเล็กนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลนานเกือบครึ่งเดือน แต่เขาก็สามารถปกปิดเรื่องที่เกิดขึ้น โดยใช้วิธีโทรศัพท์ไปหาแม่ของเขาทุกวัน จนแม่และพี่สาวไม่ได้ระแคะระคายเลยว่า น้องเล็กประสบอุบัติเหตุจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ต่อมาน้องเล็กได้ตัดสินใจลาออกจากงานที่ทำ โดยให้เหตุผลว่ากลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ซึ่งพวกเราทุกคนต่างก็เข้าใจความรู้สึกของน้องเล็ก

ผมพยายามค้นหาความจริงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน จนกระทั่งได้มีโอกาสพบกับคุณลุงบุญเสริม นาคใหม่ เจ้าหน้าที่ดูแลวัดบางกร่าง จ.สุพรรณบุรี คุณลุงบุญเสริมท่านได้ชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เป็นเรื่องของ "พลังจิต"
"หากว่าคนเราได้รับการฝึกฝนพลังจิตอยู่เป็นประจำ เราก็สามารถที่จะถ่ายทอดพลังจิตของเราไปยังบุคคลอื่นได้ เราสามารถกำหนดภาพที่ส่งไปได้ด้วย เราต้องการให้เขาเห็นภาพอะไร หากว่าเรามีความผูกพันต่อกันแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งก็จะรับภาพที่เราส่งไปได้

..........กรณีเรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องเล็ก ขณะนั้นน้องเล็กจะต้องมีความแน่วแน่ ต้องการอยากจะให้แม่กับพี่สาวเห็นภาพของเขา เขาก็สร้างภาพตัวของเขาให้แม่กับพี่สาวเห็น แต่สิ่งนี้น้อยคนจะทำได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่สามารถฝึกฝนได้ การส่งพลังจิตแบบนี้ สมัยลุงยังเป็นหนุ่มๆ ก็ยังเคยทดลองกันมาแล้ว"

หลวงปู่ไสว "อดีต" เจ้าอาวาสวัดบางกร่าง ผู้ที่มี "สัมผัสที่ 6"
..........ชาวบ้านคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า หลวงปู่ไสว อดีตเจ้าอาวาสของวัดบางกร่าง ท่านเป็นพระเกจิฯ ที่มีชื่อเสียง และมีวิชาอาคมแก่กล้ามาก ท่านสามารถมองเห็นอนาคตได้อย่างแม่นยำ
"หากหลวงปู่ทักว่าไอ้คนนี้มีเคราะห์ ต้องมานอนในวัดเพื่อสะเดาะเคราะห์ หากคนนั้นไม่เชื่อคำทำนายของหลวงปู่ ไม่เกิน 3 วัน รับประกันได้เลยว่าจะต้องตายจริงๆ หลวงปู่ปากพระร่วง พูดคำไหนเป็นคำนั้น ท่านมีญาณพิเศษ ใครจะมาหาท่าน ท่านจะรู้ล่วงหน้าทุกครั้ง ลูกศิษย์เคยพิสูจน์กันมาแล้ว ซึ่งก็พบว่าเป็นความจริง หลวงปู่ท่านมีสัมผัสที่ 6 เหนือคนทั่วไป"
คงจะเป็นเรื่องที่เข้าใจยากสักหน่อย และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะมีคนสักกี่คนที่มีความเชื่อว่า เรื่องนี้เป็นความจริง !!!

ที่มา
http://www.oocities.org/sumpud/S2.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 พ.ค. 2554, 08:56:56 โดย ทรงกลด »

ออฟไลน์ saken6009

  • อย่ากลัวคนจะมาตำหนิ แต่จงกลัวว่าตัวเองจะทำผิด อย่ากลัวที่จะรับรู้ความบกพร่องของตน แต่จงกลัวว่าตนจะเป็นคนที่ดีได้ไม่จริง
  • ก้นบาตร
  • *****
  • กระทู้: 893
  • เพศ: ชาย
  • ชีวิตของข้า เชื่อมั่นศรัทธา หลวงพ่อเปิ่น องค์เดียว
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: กระแสจิต "ผี" ที่มีถึง "คน" !!!
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 28 พ.ค. 2554, 09:31:49 »
กระแสจิต "ผี" ที่มีถึง "คน"  11; 11;
                                             
ขอขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่นำบทความดีมากๆ มาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :053: :053:
 
ติดตามอยู่ครับ อ่านแล้วเพลินดีมากๆครับ และ ได้ความน่ากลัววังเวงแถมมาครับ :016: :015:
   
(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน เพื่อเป็นความรู้ ขอบคุณครับผม) :054: :054:
   
 

กราบขอบารมีหลวงพ่อเปิ่น คุ้มครองศิษย์ทุกๆท่าน ให้แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง สาธุ สาธุ

ออฟไลน์ โบตั๋นสีขาว

  • ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 146
  • เพศ: หญิง
  • จะสูงจะต่ำอยู่ที่เราทำตัวจะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวเราทำ
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: กระแสจิต "ผี" ที่มีถึง "คน" !!!
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 28 พ.ค. 2554, 08:06:20 »
ขอบคุณมากคะ สำหรับเรื่อง ผี-วิญญาณ อ่านแล้วน่ากลัวมากคะ แต่ชอบอ่านคะ :090: :075: :090:
เคารพ กตัญญู บูชา หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ ทั้งครอบครัวคะ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: กระแสจิต "ผี" ที่มีถึง "คน" !!!
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 29 พ.ค. 2554, 07:26:42 »
"วิญญาณ"กับ"สัมผัสที่6"

.........เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบางครั้งมันก็มีคำตอบ แต่บางเหตุการณ์ก็ไม่มีคำตอบ อย่างกับเรื่องที่คุณป้าของผม ท่านได้เล่าให้ฟังสมัยที่ท่านเป็นเด็ก
ป้าได้ยินพวกผู้ใหญ่เขาพูดกันว่าหากคุณตาเชื่อเรื่องที่แม่ชีบอก คุณตาผมท่านก็จะไม่ตาย !
"ทำไมคุณตาต้องตายด้วยล่ะค่ะ?"

ตอนนั้นคุณป้าท่านยังเป็นเด็ก คำถามของท่านจึงไม่มีใครให้ความสนใจ เพราะทุกคนต่างก็สาละวนกับการจัดงานศพของคุณตา
ร่างของคุณตานอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง ตอนนั้นคุณป้าคิดว่าคุณตานอนหลับ คุณยายจึงเข้าไปเขย่าเพื่อที่จะปลุกให้คุณตาตื่นขึ้นมา
"เล็ก อย่าไปกวนคุณตาซิลูก"
"ก็เล็กอยากจะให้คุณตาตื่นขึ้นมาเล่นกับเล็กนี่คะ"
"คุณตาท่านไปสบายแล้ว เราไม่มีคุณตาอีกแล้วลูก"
คราวนี้คุณป้ายิ่งสับสนในคำพูดของพวกญาติผู้ใหญ่ ในเมื่อคุณตาท่านก็นอนอยู่ บนเตียง ไม่มีอะไรที่จะเป็นความผิดปกติเลยแม้แต่น้อย
"ตอนนั้นป้ามีความรู้สึกปวดหัวมาก มันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงแบบนั้น"
"คนอื่นๆ เขาไม่รู้หรือว่าคุณป้าไม่สบาย"

"ไม่มีใครเชื่อป้า ทุกคนคิดว่าป้างอแง หาเรื่องเรียกร้องความสนใจ แต่ความจริงเราปวดจนหัวแทบระเบิดเป็นเสี่ยงๆ พี่สาวของป้าคงรำคาญ ไม่อยากฟังเสียงร้องไห้ของป้า ก็เลยพาป้าเข้าไปในห้องเก็บของ แล้วปิดประตูขังเอาไว้ให้อยู่ในนั้นคนเดียว"
"ความรู้สึกในขณะนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?"
"กลัวจนบอกไม่ถูก เด็กทุกคนจะต้องกลัวการถูกขังไว้ในห้อง ยิ่งเป็นห้องแคบๆ อย่างกับห้องส้วมก็ยิ่งกลัวมากขึ้น"

..........คุณป้าเล่าว่าเมื่อพี่สาวเอามาขังในห้อง ท่านก็ได้ยินเสียงข้างนอกใส่กลอนประตู ห้องเก็บของมีขนาดใหญ่ มีกลอนใส่ทั้งด้านในและด้านนอก หากว่าด้านหนึ่งด้านใดถูกใส่กลอน อีกด้านหนึ่งเป็นอันหมดสิทธิ์ที่จะออกไป
อยากให้ท่านผู้อ่านลองวาดภาพเหตุการณ์งานศพว่าจะมีความฉุกละหุกเพียงใด ไหนจะต้องนิมนต์พระมาสวด ไหนจะเรื่องทำกับข้าวเลี้ยงคนที่มาช่วยงาน สมัยก่อนนั้นจะต้องทำกันเอง ไม่มีแม่ครัวรับเหมาเหมือนกับสมัยนี้ และสภาพของจิตใจที่ต้องเสียเสาหลักของบ้าน ผู้ซึ่งเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพวกลูกๆ มันเป็นสิ่งที่วุ่นวายมาก

ทุกคนลืมไปว่าได้ขังคุณป้าไว้ที่ห้องเก็บของ !!!
"ตอนนั้นป้าร้องไห้จนเจ็บคอไปหมด พยายามทุบประตูห้องก็ไม่มีใครได้ยิน ตอนนั้นหิวข้าวจนแสบท้อง ในใจก็นึกถึงคุณตา ป้าอยู่กับคุณตาไม่เคยร้องไห้แม้แต่ครั้งเดียว เพราะคุณตาท่านไม่เคยขัดใจป้าเลย มีขนมให้กินตลอดเวลา ป้าก็เลยตะโกนสุดเสียงขอให้คุณตาช่วยด้วย"
..........เมื่อสิ้นเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือจากคุณตา เสียงกลอนประตูห้องเก็บของก็ค่อยๆ ดังขึ้น แสดงว่าด้านนอกมีคนเปิดกลอนประตู
"ใครมาเปิดประตูครับ"
"คุณตา"
คำพูดของคุณป้าทำให้ผมถึงกับขนหัวลุกทันที
"คุณป้าแน่ใจหรือว่าเป็นคุณตา"
"ป้าเห็นเต็มตาเลยว่าคุณตายืนอยู่หน้าประตู ตอนนั้นดีใจมาก โผเข้าไปกอดคุณตาแล้วร้องไห้ บอกคุณตาว่าหิวข้าว คุณตาท่านบอกว่าหิวข้าวก็กินซิลูก ตาเอาข้าวเอาขนมมาให้กินแล้ว ตอนนั้นคุณตาถือถาดใส่อาหารมาด้วย ในถาดมีอาหารคาวหวานหลายอย่าง"

เมื่อทานอาหารเสร็จคุณป้าก็นึกขึ้นมาได้ว่าคุณตาตายไปแล้ว แต่คุณป้าท่านไม่เข้าใจว่าอะไรคือความตาย ท่านจึงถามคุณตาว่าคุณตาตายไปแล้วนี่คะ
"ตายังไม่ตายหรอกลูก หากว่าตาตายไปแล้วใครจะเอาข้าวเอาขนมมาให้กินล่ะลูก พวกนั้นมันบ้า ตาแค่นอนหลับไปเท่านั้นเอง แต่พวกเขาก็เอาตาไปมัดตราสังข์ เอาร่างของตาใส่โลง ตาพยายามบอกกับทุกคนแต่ก็ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครสนใจตาเลย"
"ถ้าอย่างนั้นหนูจะไปบอกให้พวกเขาเอาคุณตาออกจากโลงนะคะ"
"ดีมากลูก ช่วยไปบอกพวกมันด้วย ตาพูดจนปากเปียกปากแฉะแล้ว แต่ก็ไม่มีใครสนใจ ไม่รู้เป็นบ้าอะไรกันไปหมด ลูกไปบอกให้พวกมันเอาตาออกจากโลงทีเถอะนะ"

..........คุณป้ารีบวิ่งไปเรือนหลังใหญ่ทันที พอไปถึงก็พบว่าพระกำลังสวดศพคุณตา พี่สาวคนที่เอาคุณป้าไปขังถึงกับตกตลึง เขาลืมไปว่าได้เอาคุณป้าไปขังไว้ในห้องเก็บของแล้วลืมไปเลย พี่สาวถามว่าใครเป็นคนเปิดให้คุณป้าออกมาจากห้องเก็บของ
"พี่ลืมไปเลยว่าเอาเธอไปขังไว้ในห้องเก็บของ แล้วเธอออกมาได้ยังไง?"
"คุณตาเป็นคนเปิดประตูให้ออกมา"
"โกหก ไปเอานิสัยโกหกมาจากใคร"
บรรดาพวกญาติๆ ต่างก็ไม่พอใจในคำพูดของคุณป้า แต่คุณป้าก็ยังคงยืนยันว่าคนที่เปิดประตูห้องเก็บของให้คุณป้าออกมาคือคุณตาจริงๆ
"คุณตายังเอาข้าวกับขนมไปให้กินเลย มีข้าวคลุกกะปิ และต้มจืดเต้าหู้ขาวกับผัดถั่วงอก ขนมก็ถั่วเขียวต้มน้ำตาล"
คราวนี้ทุกคนต่างนิ่งอึ้งไปตามๆ กัน พี่ชายคนโตของคุณป้า ซึ่งนั่งอยู่ในเหตุการณ์ได้เดินไปที่ข้างๆ โลงศพของคุณตา ซึ่งมีสำรับกับข้าวสำหรับคนตายตั้งอยู่

"ป้าเห็นพี่ชายยืนตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก คนอื่นๆ ก็เลยเดินตามไปดู จานใส่อาหารของคุณตาเหลือแต่จานเปล่าๆ ไม่มีกับข้าวหรือขนมเหลืออยู่เลย"
..........กับข้าวรวมทั้งขนมที่คุณป้าพูดมานั้น ตรงกับที่พี่ชายของคุณป้าจัดได้ไปให้คุณตาทุกอย่าง คราวนี้ทุกคนเริ่มมีอาการหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว คุณป้าจึงเล่าเรื่องที่คุณตามาบอกว่าท่านยังไม่ตาย ให้เปิดฝาโลงเอาคุณตาออกมาด้วย
"ทีแรกก็ไม่มีใครกล้า เพราะกลัวว่าผีคุณตาจะไม่มีความสุข แต่พี่ชายของป้าเป็นคนห้าวๆ อยู่แล้ว เขาจึงตัดสินใจเปิดฝาโลงออก"
พอฝาโลงศพเปิดออก ทุกคนก็พากันไปดูร่างของคุณตา ปรากฏว่าคุณตานอนลืมตา พยายามดิ้นรนแก้สายสิญจน์ที่ผูกมือออก
ปรากฏว่าคุณตายังไม่ตาย !

.........คุณตาได้เล่าให้ฟังว่าตอนที่คุณตากำลังเดินอยู่ในคันนา จู่ๆ ก็เกิดหน้ามืดเป็นลมขึ้นมา หลังจากที่ท่านวูบไปพักหนึ่งท่านก็ตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าท่านนอนอยู่ในโลงศพ มือของท่านถูกมัดตราสังข์อย่างแน่นหนา พยายามดิ้นก็ดิ้นไม่หลุด
คุณตาท่านเป็นคนชอบนั่งสมาธิอยู่แล้ว ดังนั้นท่านจึงพยายามถอดจิตของท่านให้ออกจากร่าง ..........ท่านเล่าว่าเมื่อท่านถอดจิตออกจากร่างได้แล้ว ท่านก็พยายามบอกกับใครต่อใครว่าท่านยังไม่ตาย ช่วยเอาท่านออกมาจากโลงด้วย แต่ไม่มีใครได้ยินที่คุณตาพูด จนกระทั่งคุณตาได้ยินเสียงคุณป้าร้องขอความช่วยเหลือและบอกว่าหิวข้าว ท่านจึงคว้าสำรับอาหารแล้วรีบไปที่ห้องเก็บของเพื่อช่วยคุณป้าทันที ท่านก็ยังอดที่จะแปลกใจไม่ได้ ที่คุณป้าสามารถสื่อสารทางโทรจิตกับคุณตาได้จริงๆ ทั้งที่คุณป้าไม่เคยนั่งวิปัสสนาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
สิ่งที่เป็น สัมผัสที่ 6 เราไม่จำเป็นต้องศึกษาหรอกครับ เพราะ "ญาณ" นี้มันเกิดขึ้นได้เอง !!!

ที่มา
http://www.oocities.org/sumpud/S4.htm

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: กระแสจิต "ผี" ที่มีถึง "คน" !!!
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 29 พ.ค. 2554, 09:19:33 »
เรื่องจริงหรือสิ่งลวงโลก ???

.........ได้รับการติดต่อจากคุณปราณี ดวงรัตน์ เธอเขียนประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นมาให้ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอ
เนื้อความในจดหมายเขียนมาเล่าให้ฟังว่าเธอเป็นคนจังหวัดอยุธยา มีพี่น้อง 3 คน เป็นผู้ชาย 2 คน เธอเป็นคนสุดท้อง แต่ก่อนเธอเป็นคนไม่เชื่อเรื่องของไสยศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับภูตผีปีศาจ เวลาที่ได้ยินใครพูดเรื่องผีๆ สางๆ เธอก็มักจะมองคนที่เล่าด้วยสายตาและความรู้สึกที่ดูแคลน ทำนองว่าเป็นคนโง่เขลางมงาย

.........แต่เมื่อวันสงกรานต์ที่ผ่านมา (ปี 2544) ครอบครัวของเธอได้เดินทางขึ้นเหนือไปเที่ยวงานสงกรานต์ที่จังหวัดเชียงใหม่ คุณปราณีนั่งรถคันเดียวกับคุณพ่อและคุณแม่ ส่วนพี่ชายทั้งสองคนขับรถอีกคันไป จุดนัดพบก็คือโรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นโรงแรมหรูหราระดับ 5 ดาว คุณปราณีได้บอกชื่อโรงแรมนั้นมาด้วย แต่ผมขอละเว้นที่จะกล่าวถึง

คุณปราณีได้พักห้องเดียวกับคุณแม่ ส่วนคุณพ่อและพวกพี่ๆ ของเธอพักอยู่อีกห้องหนึ่ง พอทำการเช็กอินเป็นที่เรียบร้อย คุณปราณีก็ขอตัวขึ้นไปอาบน้ำ ส่วนคุณพ่อและคุณแม่ของเธอนั่งรอพี่ชายอยู่ที่ล็อบบี้ของทางโรงแรม
หลังจากที่อาบน้ำเสร็จสรรพ คุณปราณีก็เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ในขณะนั้นเธอก็เห็นคุณแม่เดินเข้ามาในห้อง .........คุณปราณีได้ถามคุณแม่ว่าพวกพี่ๆ มาถึงแล้วรึ พอจบคำถามก็มีเสียงตอบกลับมาว่าพวกมันมาไม่ถึงหรอก คุณปราณีรู้สึกแปลกใจในคำพูดประโยคนั้นมาก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร จากนั้นเธอก็ลงมาที่ห้องล็อบบี้  

คุณปราณีได้เล่าให้ฟังว่าใจของเธอหายวาบ เมื่อพบคุณพ่อกับคุณแม่ของเธอนั่งอยู่ด้วยกัน คำถามที่ตามมาก็คือ ผู้หญิงที่เข้าไปในห้องเมื่อสักครู่นี้เป็นใคร ?
ความเข้าใจของเธอก็คือ เธออาจจะตาฟาดไปก็ได้ !!!
เวลาแห่งการรอคอยพี่ชายทั้งสองมันช่างเนินนานเหลือเกิน คุณพ่อพยายามโทรศัพท์ติดต่อกับพี่ชายเธอแต่ติดต่อไม่ได้ สัญญาณเรียกแต่ไม่มีคนรับ จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ทุกคนเริ่มกระวนกระวายจนนั่งไม่ติด คุณพ่อตัดสินใจโทรไปเช็คกับตำรวจทางหลวง ว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นหรือเปล่า
.........ตำรวจทางหลวงทำการตรวจเช็คอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตอบกลับมาว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 3 ราย แต่มีรายหนึ่งมีความรุนแรงมาก ผู้ขับขี่กับคนโดยสารเสียชีวิตทั้งสองคน จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงก็ได้แจ้งชื่อผู้เสียชีวิตให้ทราบ คุณพ่อถึงกับโทรศัพท์ตกจากมือ ท่านช็อกแน่นิ่งไปนาน ส่วนคุณแม่เมื่อทราบเรื่องถึงกับเป็นลมล้มทั้งยืน
พี่ชายของคุณปราณีทั้ง 2 คนประสบอุบัติเหตุ ชนเก๋งที่ขับยางหน้าระเบิด ทำให้รถเสียหลักพลิกคว่ำ จากนั้นก็มีรถบรรทุกทรายวิ่งตามหลังมาด้วยความเร็วหยุดไม่ทัน จึงได้พุ่งเข้าชนอย่างแรง ทำให้รถกระเด็นไปไกลหลายสิบเมตร การชนในครั้งหลังนี้เอง ที่ทำให้พี่ชายทั้ง 2 คนเสียชีวิตเพราะแรงกระแทก

สงกรานต์สำหรับคนอื่นๆ อาจจะเป็นงานรื่นเริง แต่สำหรับครอบครัวของคุณปราณี ..........สงกรานต์ในปีนี้มันกลายเป็นสงกรานต์แห่งความสูญเสียที่ใหญ่หลวง คุณปราณีนึกทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอ เริ่มตั้งแต่เธอเห็นผู้หญิงเดินเข้ามาในห้อง เธอเข้าใจว่าเป็นคุณแม่ ต่อมาผู้หญิงคนนั้นได้พูดกับเธอว่า พี่ชายของเธอไม่มีทางมาถึงโรงแรม
ทุกอย่างมันไม่ใช่เรื่องที่เธอคิดไปเอง แต่มันเป็นเรื่องของสัมผัสที่ 6 มีสื่อบางอย่างได้ผ่านเข้ามาติดต่อกับจิตของเธอ ซึ่งในขณะนั้นเธอกำลังคิดถึงพี่ชายของเธอ แต่ทว่าพญามัจจุราชได้คร่าชีวิตพวกเขาไปแล้ว

คุณปราณีเล่าว่าคุณพ่อสามารถปรับสภาพจิตใจได้เร็วมาก ท่านบอกคุณปราณีว่าอะไรที่มันเกิดไปแล้ว เราคงจะไปเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ สิ่งเดียวที่ทำได้ในขณะนี้ก็คือ ดูแลอย่าให้คนที่ยังอยู่ต้องเป็นอะไรไปอีกเลย แต่คุณแม่ท่านกลับทรุดเพราะไม่อาจปรับสภาพจิตใจได้ ท่านยังคงคิดว่าพี่ชายทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ บางครั้งก็มีอาการเหม่อลอยไม่ยอมพูดกับใคร
สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณปราณีในบางช่วงเวลาก็คือ เธอจะมีความรู้สึกเหมือนพี่ชายทั้งสองมาอยู่ข้างๆ เธอ ...........คุณปราณียืนยันมาในจดหมายว่าไม่ใช่เรื่องของอุปทานอย่างแน่นอน บางครั้งเธอก็ได้ยินเสียงคนเดิน คนลากเก้าอี้ดังมาจากในห้องของพี่ชายเธอ มันเกิดขึ้นบ่อยครั้งมาก จนในที่สุดเธอได้ตัดสินใจพิสูจน์ที่มาของเสียง…
ทันทีที่เสียงลากโต๊ะลากเก้าอี้ดังขึ้น คุณปราณีได้ตัดสินใจเปิดประตูห้องของพี่ชายเธอทันที !!!
ภาพที่ปรากฎตรงเบื้องหน้า มันทำให้เธอถึงกับตะลึงทำอะไรไม่ถูก เธอเห็นพี่ชายของเธอกำลังลากเก้าอี้ลากโต๊ะ แต่ร่างกายที่ปรากฏให้เห็นมีเฉพาะส่วนเอวขึ้นไปเท่านั้น ส่วนล่างจากเอวไม่มี พี่ชายของเธอซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นผีไปแล้วมองหน้าและยิ้มให้เธอ จากนั้นร่างก็ค่อยๆ เลือนหายไป

คุณปราณีได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้คุณพ่อของเธอฟัง ท่านได้ตัดสินใจนำข้าวของเครื่องใช้ของพี่ชายไปถวายวัด พร้อมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาไป จากนั้นทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพปกติ ไม่มีใครเห็นหรือได้ยินเสียงอะไรอีกเลย
...........จากคนที่ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ มองเห็นเรื่องภูตผีปีศาจเป็นเรื่องความงมงาย ปรากฏว่าในเวลานี้คุณปราณีได้พยายามศึกษาและค้นคว้า สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่คนเราได้ตายไปแล้ว บางคนเรียกเหตุการณ์นี้ว่า โลกหลังความตาย นั่นเอง

เรื่องของสัมผัสที่ 6 เป็นเรื่องที่น่าศึกษา แต่จะมีสักกี่คนที่เรียนแล้วพบกับความสำเร็จ ความแน่วแน่อย่างเดียวมันไม่เพียงพอ สิ่งที่จะต้องมีควบคู่ไปด้วยก็คือ บุญบารมี สิ่งเหล่านี้เสาะแสวงหาไม่ได้ มันเป็นเรื่องของชาติภพก่อน


...........แม่ชีอ่อน ศีเพ็ง ได้พูดเรื่องของสัมผัสที่ 6 เอาไว้ว่า เรื่องนี้มีอยู่จริง ครั้งหนึ่งแม่ชีอ่อนไม่เชื่อเรื่องนี้ จนกระทั่งวันหนึ่งเหตุการณ์อัศจรรย์ได้เกิดขึ้นกับแม่ชีอ่อน จู่ๆ เธอก็สามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ในอนาคตว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
"วัดที่แม่ชีบวชอยู่นั้นยังไม่มีโบสถ์ หลวงพ่อท่านจะมีความคิดจะสร้างโบสถ์ขึ้นมา ท่านก็บอกบุญกับพวกญาติโยม จนกระทั่งรวบรวมเงินได้จำนวนหนึ่ง ท่านจึงได้เริ่มเลือกทำเลว่าจะสร้างโบสถ์ตรงไหนดี ท่านดูไปดูมาอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกด้านหลังขององค์พระนอน ตอนนั้นก็ไม่มีใครคัดค้านหลวงพ่อ แต่คืนนั้นแม่ชีฝันไปว่าหลวงพ่อพระนอนมาพูดกับแม่ชี บอกว่าโบสถ์จะสร้างหลังพระนอนไม่ได้ หากจะสร้างต้องสร้างหน้าพระนอน แม่ชีจึงเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง แทนที่ท่านจะเชื่อท่านกลับว่าเราเพี้ยน ไม่เชื่อที่แม่ชีบอก…"

...........การก่อสร้างโบสถ์ได้เริ่มดำเนินการ ลงเสาหลักปักเสาเข็ม ทุกขบวนการดูราบรื่นดี ไม่มีเค้าว่าจะเกิดอุปสรรค จนกระทั่งเสาเข็มลงครบหมดทุกต้น เหตุการณ์ที่คนทั่วไปคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น พื้นดินบริเวณรอบๆ ที่ได้ลงเสาเข็มเอาไว้ได้ทรุดตัวลง ส่งผลให้เสาเข็มทั้งหมดพลอยทรุดตัวตามไปด้วย
"มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ ซึ่งแม่ชีก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น จากนั้นแม่ชีก็เหมือนไม่ใช่ตัวของตัวเอง บางทีก็เห็นภาพแปลกๆ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้นในขณะนั้น แต่หลังจากนั้นอีกสองสามวัน เหตุการณ์นั้นก็จะเกิดขึ้นจริงๆ บางทีก็ได้ยินเสียประหลาดดังมาจากต้นโพธิ์ เหมือนว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่สิงสถิตย์อยู่ในต้นโพธิ์เขาอยากจะพูดกับเรา"

ที่มา
http://www.oocities.org/sumpud/S5.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 พ.ค. 2554, 09:20:10 โดย ทรงกลด »

ออฟไลน์ ATITTAN

  • จตุตถะ
  • ****
  • กระทู้: 8
  • เพศ: หญิง
  • "PROMISE YOU"
    • MSN Messenger - TOON_TEELUX@HOTMAIL.COM
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: กระแสจิต "ผี" ที่มีถึง "คน" !!!
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 30 พ.ค. 2554, 03:51:48 »
ขอขอบคุณท่านทรงกลดเป็นอย่างสูง ที่ได้นำบทความหรือสาระดีๆธรรมมะที่เป็นอาหารสมองเพื่อเจริญปัญญาให้กับศิษย์บางพระได้อ่านอย่างต่อเนื่อง
และที่สำคัญตัวขาพเจ้าเองได้ติดตามอ่านแทบทุกเรื่องทุกบทความ ไม่ทราบว่าด้วยเหตุปัจจัยอะไรสิ่งที่ท่านทรงกลดนำมาเสนอในกระทู้มักเป็นสิ่งที่ขาพเจ้ากำลังประสบหรือมีข้อสงสัยในขณะนั้นเสมอ และก็รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่ไม่เคยผิดหวังเลยสักครั้งที่ได้เข้ามาอ่านกระทู้ทุกๆกระทู้ของท่านทรงกลดมีสาระและคุณประโยชน์มากจริงๆ ไม่ใช่กับตัวขาพเจ้าเองแต่คิดว่ากับทุกๆท่านที่ได้เข้ามาอ่านอ่ะค่ะ ขอขอบพระคุณท่านทรงกลดเป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 พ.ค. 2554, 04:09:43 โดย ATITTAN »
[promise][you]