ผู้เขียน หัวข้อ: <<หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก พระนครศรีอยุธยา>>5/5(จบ)  (อ่าน 7174 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ต่อจากตอนที่4
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23172
======================
<<หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก พระนครศรีอยุธยา>>5/5(จบ)

เรื่องราวเกี่ยวกับปาฏิหาริย์ของวัตถุมงคลของหลวงพ่อจงได้เกิดประสบการณ์ให้เห็นเมื่อคราวที่เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ตลาดบ้านแพน อำเภอเสนา ในคืนวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2529

หลังจากยามท้องถิ่นของตลาดบ้านแพนเคาะแผ่นเหล็กบอกเวลา 24.00 น. ผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียวก็มีเสียงตะโกนขึ้นจากผู้คนที่มีบ้านเรือนอยู่ในซอยบางปูว่า "ไฟไหม้ ๆๆ" จากเสียงตะโกนนั้นเองได้สร้างความโกลาหลขึ้นโดยทั่วไป ในขณะเดียวกันที่เปลวไฟลุกขึ้นอย่างโชติช่วงนั้น เสียงปะทุจากเชื้อเพลิงก็ดังเปรี๊ยะ ๆ ติดต่อกันมิได้ขาดระยะ เพราะย่านนั้นเป็นเรือนไม้เก่า ๆ ย่อมเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี กว่าจะสกัดให้เปลวไฟสงบลงได้ก็เมื่อเวลาใกล้ฟ้าสางแล้ว จากการสำรวจความเสียหายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ปรากฏว่ามีบ้านเรือนเสียหายทั้งสิ้น 46 หลัง ค่าเสียหายประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นการสูญเสียจากไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่สุดของตลาดบ้านแพน

เมื่อทุกอย่างสงบเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่ามีบ้านเรือนจำนวนหนึ่งรอดพ้นจากความพินาศไปได้ ทั้ง ๆ ที่บ้านเหล่านั้นอยู่ติดกับบ้านหลังอื่น ๆ ที่ถูกไฟเผาผลาญไปหมดแล้ว

คุณแก้ว ขมคิ้ว เจ้าของร้านขายของชำและอาหารกระป๋องที่ชื่อร้าน "แก้ว" ตั้งอยู่บ้านเลขที่ ก. 437/2 ตรงข้ามตลาดสดเทศบาลเมืองเสนา ในบ้านของคุณแก้วนอกจากจะมีภาพแววหางกระยางของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ นครสวรรค์แล้ว คุณแก้วยังเป็นผู้ที่มีความศรัทธาเชื่อมั่นในหลวงพ่อจงยิ่งนัก ดังจะเห็นได้จากการที่คุณแก้วห้อยเหรียญหลวงพ่อจงรุ่นหยดน้ำเนื้อเงินลงถม อยู่ที่คอเป็นประจำเพียงเหรียญเดียว ทั้ง ๆ ที่คุณแก้วก็เป็นนักนิยมพระ และมีพระเครื่องอื่น ๆ จำนวนไม่น้อย แต่คุณแก้วก็ห้อยเหรียญหลวงพ่อจงเพียงเหรียญเดียว

"เหรียญหลวงพ่อจงนั้นเมตตามหานิยมและแคล้วคลาดดีนัก ห้อยเพียงเหรียญเดียวก็พอ"

และความเชื่อในเรื่องนี้ก็ปรากฏเป็นจริงขึ้นเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ครั้งนี้ ดังรายละเอียดที่คุณแก้วได้เล่าให้ฟัง คือ...

หลังจากที่คุณแก้วเข้านอนได้สักพักใหญ่ ๆ ก็ต้องตกใจตื่นเมื่อได้ยินเสียงเอะอะอึกทึกที่ข้างบ้านพร้อมกับมีเสียงตะโกนว่า "ไฟไหม้ ๆๆ" คุณแก้วจึงรีบถลันออกไปดูที่หน้าต่างด้านหลังบ้าน ก็ได้เห็นเปลวไฟกำลังลุกฮือขึ้นที่บ้านไม้หลังหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับด้านหลังบ้าน เมื่อเห็นภัยกำลังจะมาถึงตัว คุณแก้วจึงรีบเก็บข้าวของสำคัญที่มีค่าเพื่อหนีไฟเสียก่อน ด้วยอารามตกใจภรรยาของคุณแก้วจึงหยิบโน่นคว้านี่ที่เป็นของจำเป็นและมีค่าพอที่จะหยิบฉวยได้ใส่ห่อผ้าเพื่อจำได้นำติดตัวหนีไฟไปด้วย

ส่วนคุณแก้วนั้นก็ย้อนกลับไปดูทิศทางของไฟอีกครั้งหนึ่ง ก็พบว่าในช่วงเวลา 2 - 3 นาทีนั่นเอง บ้านไม้หลังที่เป็นต้นเพลิงก็ถูกไฟไหม้จนท่วมหลังคา

คุณแก้วคิดว่าคราวนี้บ้านของเขาคงไม่อาจพ้นภัยได้แน่ จึงย้อนกลับเข้าไปในห้องช่วยภรรยาเก็บข้าวของต่าง ๆ ที่พอจะหยิบฉวยได้ทันใส่ห่อผ้า เพื่อรีบพากันหนีไฟออกจากบ้าน แต่ด้วยสัญชาตญาณของคนไทย เมื่อมีภัยถึงตัวก็ย่อมจะต้องระลึกถึงคุณพระคุณเจ้าเป็นที่พึ่ง คุณแก้วจึงหันหน้ากลับไปยังห้องนอนพร้อมกับยกมือขึ้นพนมรำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อันมีหลวงพ่อจงและหลวงพ่อปานเป็นที่สุด ตลอดจนบุพการีทั้งหลายที่ได้ล่วงลับไปแล้ว ขอให้คุ้มครองตนเองและครอบครัว พร้อมทั้งทรัพย์สินให้พ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ด้วยเถิด

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-09.htm
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด

เมื่อได้รำลึกถึงคุณพระคุณเจ้าเสร็จแล้ว คุณแก้วและภรรยาจึงรีบลงมาจากห้องนอนซึ่งอยู่ชั้นบน ขณะนั้นเองเปลวไฟก็ลามเลียเข้ามาทางหน้าต่างชั้นบนด้านหลังบ้าน ความรุนแรงของไฟลุกลามมาถึงบันไดที่จะลงสู่ชั้นล่าง ทั้งคุณแก้วและภรรยาจึงรีบวิ่งฝ่าเปลวไฟลงสู่ชั้นล่าง พอลงมาถึงชั้นล่างได้ คุณแก้วจึงรีบเปิดประตูเหล็กหน้าร้านให้ภรรยาซึ่งถือห่อของมีค่าอยู่หลบออกไปก่อนเพื่อนำสิ่งของเหล่านั้นไปฝากบ้านญาติ ส่วนคุณแก้วก็ตามออกมาภายหลัง

ในช่วงเวลาอันฉุกละหุกนั้นเองทั้งคุณแก้วและภรรยาก็มิได้คำนึงถึงทรัพย์สินและสินค้าที่อยู่ในร้านปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ขอเพียงแต่ตนเองรอดชีวิตออกไปได้ก็พอแล้ว เมื่อทั้งคู่ออกมาพ้นบ้านแล้ว คุณแก้วก็จัดการปิดประตูเหล็กทันที เพื่อป้องกันบรรดานักฉวยโอกาสทั้งหลาย ในขณะที่ปิดประตูเหล็กลงนั้น คุณแก้วก็ได้พบว่ามีกระแสลมโชยมาเป็นระลอกใหญ่ กระแสลมนั้นพัดมาจากทางด้านหลังของคุณแก้ว และความแรงของลมได้พัดพาเอากระแสเปลวไฟย้อนกลับไปยังทิศทางตรงข้าม

เหตุการณ์ดังว่านั้นคุณแก้วก็ยังมิได้สนใจมากนัก เร่งให้ภรรยารีบหนีไปก่อน ส่วนตนเองจะได้คอยดูแลร้านและช่วยเหลือกันดับไฟเท่าที่จะทำได้จากนั้นคุณแก้วก็ไปช่วยเขาถือสายดับเพลิงจากรถดับเพลิงของเทศบาลที่จอดอยู่ในบริเวณนั้น

ในขณะที่ช่วยเขาดับเพลิงอยู่นั้น คุณแก้วก็ได้สังเกตเห็นว่ารังสีของเปลวไฟได้ผ่านพ้นบ้านตนเองไปแล้ว จึงได้แต่ช่วยกันดับไฟอยู่จนกระทั่งไฟสงบเอาเมื่อตอนใกล้สาง

หลังจากนั้นคุณแก้วก็เข้าไปสำรวจความเสียหายในบ้านของตนเอง ก็ปรากฎว่าฝาบ้านด้านข้างถูกไฟลามเลียจนดำไปหมด ส่วนด้านหลังบ้านซึ่งอยู่ติดกับบ้านต้นเพลิงถูกเปลวไฟเผาเสียหายเล็กน้อย ทั้งทรัพย์สินและสินค้ามิได้เสียหายเลย ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพเดิม แม้แต่น้ำจากท่อดับเพลิงก็มิได้เข้ามาทำให้สิ่งใดในบ้านเปียกชื้นเลย ครั้งเมื่อทุกอย่างคงอยู่ในสภาพเดิม

คุณแก้วก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนนอนได้ถอดสร้อยคอทองคำซึ่งห้อยเหรียญหลวงพ่อจงรุ่นหยดน้ำเนื้อเงินลงถมวางไว้ที่หัวนอน แต่ในขณะนั้นไม่มีเสียแล้ว ทำให้เกิดใจเสียขึ้นมาทันที เพราะเป็นวัตถุมงคลเพียงอย่างเดียวที่ตนเองห้อยติดตัวเป็นประจำ ยังไม่รู้ว่าถูกผู้คนหยิบฉวยหรือตกหายในระหว่างฉุกละหุกเสียที่ไหน จึงได้แต่อธิษฐานในว่า "ถ้าบารมีของหลวงพ่อจงคุ้มครองลูกอยู่ก็ขออย่าให้ของนั้นสูญหายไปไหน จงได้คุ้มครองลูกตลอดไปด้วยเถิด"

เมื่อคุณแก้วได้พบกับภรรยาหลังจากที่ทุกอย่างสงบลงแล้ว จึงสอบถามเรื่องสร้อยคอที่แขวนเหรียญหลวงพ่อจงอยู่ซึ่งภรรยาของคุณแก้วก็ไม่สามารถให้คำตอบที่กระจ่างได้ เพราะความสับสนในคืนนั้น จนกระทั่งในเวลาต่อมา คุณแก้วและภรรยาก็ช่วยกันจัดข้าวของต่าง ๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ให้เข้าที่ และเมื่อแก้ห่อผ้าที่ห่อข้าวของต่าง ๆ หนีไฟนั้นออก ก็ได้พบสร้อยคอเส้นนั้นซุกอยู่ในหอผ้านั้นเอง ทำให้คุณแก้วมีความปีติเป็นอย่างยิ่ง

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-09.htm

จบ........ที่มาจากเวปข้างต้น แต่ยังมีเกร็ดประวัติอื่นๆของท่านอีกมากมาย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02 มิ.ย. 2554, 07:42:17 โดย ทรงกลด »

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
เป็นพระทองคำ
 
                           หลวงพ่อจง เป็นพระเถราจารย์ที่มีวิทยาคมแก่กล้า ได้รับการถ่ายทอดวิทยาคมจาก หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ อำเภอบางบาล และหลวงพ่อปั้น วัดพิกุล อยุธยา พระอาจารย์ทั้งสองท่านนี้  ก็เป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เช่นกัน
 
                           หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก เป็นสหายธรรมสนิทสนมกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เป็นอันมาก  เนื่องจากมีพระอุปัชฌาย์องค์เดียวกัน  นัยว่าสองหลวงพ่อนี้เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน  จึงมีความสนิทสนมและต่างฝ่ายต่างเคารพนับถือธรรมปฏิบัติของกันและกันมากเป็นพิเศษ
 
                           หลวงพ่อปานมีสังฆกิจอย่างไร  ต้องนิมนต์หลวงพ่อจงไปในพิธีเสมอ  หลวงพ่อจงมีสังฆกิจเช่นไรก็จะต้องนิมนต์หลวงพ่อปานไปร่วมพิธีทุกครั้ง  หลวงพ่อปานท่านมักพูดแก่ศิษย์ของท่านเองว่า  พระอย่างหลวงพ่อจงนั้นเป็นทองคำทั้งองค์  พระขนาดนี้อย่าไปขออะไรท่านนะ   จะเป็นบาปหนัก  เพราะแม้เทพยดาชั้นสูง ๆ ยังต้องขอเป็นโยมอุปัฎฐากเลย
 
                           ด้วยเหตุนี้  ลูกศิษย์ของหลวงพ่อปานจึงเคารพนับถือหลวงพ่อจงมาก  และท่านยังสั่งว่า  “ถ้าฉันไม่อยู่ติดขัดเรื่องธรรมะ ให้ไปถามท่านจงนะ  ท่านจงนี้น่ะ ท่านสอนเทวดามาแล้ว  ถ้าเธอไปเรียนกับท่านจงได้  ก็นับว่าเป็นบุญของเธอ”
 
ปฏิบัติเป็นกิจ
 
                           กิจวัตรประจำวันอันสำคัญที่หลวงพ่อจงนิยมปฏิบัติอยู่เสมอ คือ การทำวัตรสวดมนต์ทุกเช้า  เวลาใกล้รุ่งระหว่างเวลา 04.00 น. ถึง 05.00 น. และเวลาเย็นประมาณ 18.00 น. (ถ้าไม่มีแขกมาหา)  หลวงพ่อจะต้องทำวัตรสวดมนต์เป็นประจำไม่ขาด  เว้นแต่อาพาธหรือติดกิจนิมนต์ไม่ได้อยู่วัดเท่านั้น
 
                           หลังจากสวดมนต์จบแล้ว  หลวงพ่อจะเจริญกรรมฐาน อันเป็นธุระเอกของท่านอย่างสงบนิ่ง ประมาณวันละ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมงเป็นอย่างช้า  ฉะนั้น ผู้ที่เคยมาหาหลวงพ่อและรู้เวลาของท่านแล้ว เขาจะไม่รบกวนท่าน  รอจนกว่าท่านจะทำกิจเสร็จเรียบร้อย  เพราะถ้าใครไปปรากฎตัวหรือด้อม ๆ มอง ๆ ให้ท่านเห็น  หลวงพ่อจะรีบกราบพระลุกจากที่มาทันที  ด้วยความที่ท่านมีเมตตาเป็นปุเรจาริก  ปรารถนาจะสงเคราะห์ผู้อื่นให้สำเร็จประโยชน์ที่เขาต้องการ
 

ที่มา
http://www.kaskaew.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02 มิ.ย. 2554, 07:46:19 โดย ทรงกลด »

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
เป็นผู้รักความสะอาด
 
                           หลังเวลาทำวัตรเช้ามืดเสร็จแล้ว  และเวลาเย็นหลวงพ่อจะถือไม้กวาดฟั่นด้วยปอยาว ๆ เดินกวาดสถานที่ต่าง ๆ เช่น ถนนหนทาง กุฏิ ศาลา เป็นต้น ไม่ว่างเว้น  ท่านมีสุขนิสัยรักความสะอาดอย่างยากที่จะหาผู้ใดมาเปรียบได้
 
                           ท่านไม่รังเกียจว่า สถานที่ท่านกวาดนั้นเป็นกุฏิของผู้ใด  ถ้าหลวงพ่อพบฝุ่นละอองที่ไหน  ท่านจะปัดกวาดให้จนสะอาดเรียบร้อยไม่เคยว่ากล่าวผู้ใดทั้งสิ้น  ใบหน้าหลวงพ่อยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา
 
                           ในระยะหลัง พระอุปัฏฐากและศิษย์รับใช้ เมื่อเห็นท่านปัดกวาด ต้องรีบมาทำแทนท่าน เพราะเห็นว่าท่านชราภาพมากแล้ว  ท่านหมั่นทำความสะอาดอยู่กระทั่งถึงวาระสุดท้าย  ลุกจากที่จำวัดไม่ได้
 
                           กิจกรรมเช่นนี้ เป็นที่ควรปฏิบัติตามสำหรับอนุชนเป็นอย่างยิ่ง  เพราะสิ่งเหล่านี้มีพระพุทธภาษิตรับรองอยู่ว่า
                อสชฺฌายมลา  อนุตา  อนุฏฐานมลา  ฆรามลํ  วณฺณสฺสโกสชฺชํ ปมาโท รกฺขโต  มลํ
          ซึ่งแปลว่า เวทมนต์ที่ไม่ท่องบ่นย่อมเสื่อมคลาย เรือนทั้งหลายที่ไม่ปัดกวาดย่อมเสื่อมโทรม  ความเกียจคร้านเป็นความเศร้าหมองของผิวพรรณ  ความประมาทเป็นมลทินของผู้รักษา

 
ปฏิปทาน่าฉงน
 
                           การปฏิบัติอันเป็นกิจวัตรของหลวงพ่อจง  บางอย่างก็แปลก ๆ เป็นปริศนาให้ผู้พบเห็นคิดอยู่นาน  เช่นเดียวกับการปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา  อำเภอบ้านหมี่  จังหวัดลพบุรี  กล่าวคือ  พอตกกลางคืนท่านจะออกมาจากกุฏิ  โดยถือไม้กวาดแล้วกวาดลานวัดไปเรื่อย ๆ  กวาดจนรอบวัดแล้วยังกวาดใหม่อยู่อย่างนี้จนดึก
 
                           หลังจากนั้นก็เดินขึ้นกุฏิไปเข้ามุ้ง  แต่ไม่ดับตะเกียง  ท่านจะนั่งสมาธิอยู่เป็นครู่ใหญ่  แล้วออกจากมุ้งมากวาดลานวัดอีก  เมื่อกวาดรอบวัดเสร็จก็จะกลับขึ้นไปเข้ามุ้งในกุฎิ  ทำสมาธิ  หลังจากนั้นก็จะออกมากวาดลานวัดเป็นคำรบสาม  เสร็จแล้วก็เข้ามุ้ง  นั่งสมาธิ เป็นครั้งสุดท้าย  จากนั้นจึงดับตะเกียงจำวัด  หลวงพ่อจงปฏิบัติธรรมของท่านเช่นนี้ตลอดมา
 
                           ก่อนที่จะมรณภาพไม่นาน  ลูกศิษย์ใกล้ชิดเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่  ได้ถามท่านว่า  ทำไมถึงชอบกวาดลานวัดตอนดึก ๆ ขณะพระลูกวัดจำวัดหมดแล้ว  ท่านตอบสั้น ๆ ว่า “วัดสะอาด  ใจก็สะอาด  กวาดวัด แล้วกวาดใจ  ตายแล้วไม่ไปอบายภูมิ” :054:
 

ที่มา
http://www.kaskaew.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02 มิ.ย. 2554, 07:51:26 โดย ทรงกลด »

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
มักน้อยสันโดษ
 
                           หลวงพ่อจงท่านเป็นพระที่มักน้อยสันโดษอย่างมาก  ใครมาหาท่าน ท่านก็ต้อนรับขับสู้ด้วยอาการยิ้มแย้มแจ่มใสมีเมตตา  ใครจะนั่งอยู่ดึกดื่นค่อนคืนอย่างไร ท่านก็ยังคงต้อนรับอยู่อย่างนั้น  จนกระทั่งแขกเหรื่อหมดแล้ว ท่านจึงจะเข้ากุฏิ
 
                           หลวงพ่อจงเป็นพระที่เสียสละอย่างสูง  เมตตาของท่านท่วมท้นทั้งในอาณาจักรและศาสนจักร  ในประการหลังนี้จะเห็นได้จากการที่ท่านรื้อกุฏิในวัดของท่านถวายแก่วัดที่ยากจน  ซึ่งท่านทำเช่นนี้เสมอมา  นี่คือเหตุผลที่ว่า  ทำไมวัดหน้าต่างนอกที่มีพระอาจารย์ชั้นเยี่ยมอย่างหลวงพ่อจงเป็นเจ้าอาวาส  จึงไม่ค่อยเจริญในด้านวัตถุมากนัก  ทั้งนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า  พระสุปฏิปันโนเฉกเช่นหลวงพ่อจงนี้  ท่านมีแต่ขนออกแจกเขาอย่างเดียว  ไม่มีการนำเข้า มีแต่แจกออกไป  ใครถวายสิ่งใดแก่ท่าน ท่านก็นำออกมาถวายให้พระลูกวัดเป็นสังฆปัจจัยจนหมด
 
                           ในด้านสมณศักดิ์นั้นท่านก็วางเฉย  มีลูกศิษย์ที่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาปรารภกับท่านบ่อย ๆ ทำนองใคร่สนับสนุน  แต่ท่านปฏิเสธไปอย่างสุภาพและนุ่มนวลอีกว่า  “อาตมาแก่แล้ว  สังขารไม่เอื้ออำนวย  มันจะเจ็บ มันจะแก่ มันจะตาย ไปบังคับมันไม่ได้ สังขารของอาตมาจึงไม่เหลือที่จะเป็นประโยชน์แก่กิจของสงฆ์อีกแล้ว”
 
                           แม้แต่ตอนที่ท่านมรณภาพ  เงินสักเฟื้องสักสลึงก็ไม่มีติดย่าม  ย่ามของท่านนั้นเล่าก็เก่าคร่ำคร่า  ย่ามดี ๆ ท่านก็ให้แก่พระลูกวัดใช้จนหมดสิ้น  สมบัติของท่านที่เหลืออยู่ให้เราเห็นในทุกวันนี้  มีเพียงเก้าอี้โยกเก่า ๆ ตัวหนึ่ง  รูปปั้นฤาษี “พ่อแก่”  และพระพุทธรูปบูชาขนาดเล็กที่ท่านบูชาประจำองค์เดียวเท่านั้น
 
สร้างเพื่อรื้อถอน
 
                           กุฏิที่ท่านจำวัดก็เป็นไม้เก่า ๆ  ผุพังไปบางส่วน  เวลานี้เขาย้ายที่ไปสร้างใหม่  โดยรื้อมาประกอบทั้งหลัง  ไปดูที่วัดก็ยังได้ ถ้าใครไม่เชื่อ สมัยที่ท่านมีกิตติคุณเกรียงไกร  สามารถเอื้ออำนวยให้วัดมีสิ่งก่อสร้างถาวรวัตถุเป็นปูนเป็นอิฐ ขนาดใหญ่เท่าใดก็สามารถทำได้  แต่ท่านกลับมีอุบายอันแยบยลด้วยการรื้อถอนกุฏิบริจาคให้วัดอื่น  เพื่อสร้างนิสัยสั่งสมบุญกุศลแก่ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย
 
                           ลูกศิษย์ที่เคารพนับถือท่าน เขามีเงินเป็นเศรษฐี  ได้มาสร้างเสนาสนะและสิ่งอื่น ๆ อยู่เป็นประจำ  แต่ท่านขอให้ลูกศิษย์ทุกคนก่อสร้างให้รื้อถอนได้  กล่าวคือ  สร้างสำหรับแบบรื้อได้นั่นเอง  ไม่มีใครทราบเหตุผลว่าทำไมท่านจึงสั่งเช่นนั้น  แต่บรรดาลูกศิษยก็ไม่อาจขัดท่าน  เพราะศรัทธาในตัวท่าน  สั่งเช่นไรก็ทำไปเช่นนั้นไม่มีบิดพลิ้ว
 
                           เมื่อสร้างเสร็จและฉลองศรัทธาของญาติโยมโดยใช้อาศัยอยู่พักหนึ่ง หากมีวัดใดขัดสนท่านก็บอกให้ถอนไปตั้งที่วัดนั้นวัดนี้  เคยมีลูกศิษย์น้อยอกน้อยใจไปต่อว่าท่าน  ท่านก็ยิ้มแล้วบอกว่า  “เธอสร้างให้หลวงพ่อเป็นศรัทธาของเธอ  กุศลมีแก่เธอแล้วทุกประการ  พระสงฆ์และวัดเป็นเนื้อนาบุญ วัดไหนก็เหมือนกัน  ถ้าหลวงพ่อบอกให้เธอไปสร้างให้วัดอื่น  เธอคงไม่ยอมไป เพราะศรัทธายังไม่มี   เมื่อสร้างแล้วหลวงพ่อไปถวายวัดอื่น  บุญกุศลนั้นก็ยังเป็นของเธออย่างเต็มเปี่ยม  ขอเธอจงโมทนาเถิด”
                          
                           คำกล่าวของหลวงพ่อ  พระเถราจาย์ที่ยิ่งใหญ่แห่งกรุงศรีอยุธยาครั้งกระนั้น  ประดุจโอวาทที่ศิษย์รับใส่เกล้าทุกคน
 

ที่มา
http://www.kaskaew.com/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02 มิ.ย. 2554, 08:04:00 โดย ทรงกลด »

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
วิธีอบรมจิต
 
                           หลวงพ่อจง  พุทธัสสโร  ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในการปฏิบัติกรรมฐานอันเป็นเครื่องชำระจิตให้หมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองอยู่เสมอ  ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่ใดก็ตาม
 
                           ในขบวนการใช้อุบายแยบคายอบรมบ่มจิตให้ได้รับความสงบ  จนบังเกิดเป็นสมาธิและฌาน  กับอาการอบรมจนให้ดวงจิตบังเกิดปัญญาที่เรียกว่า  วิปัสสนากรรมฐาน ก็ดี  หลวงพ่อจงพอใจชอบใช้ฝึกจิตในแนวทางเรียกว่าอสุภะมากกว่าวิธีอื่น
 
                           อสุภะ  ตามความหมายก็คือ  หมายความถึงสิ่งอันเป็นซากของวัตถุ หรือซากร่างปราศจากชีวิตอันไร้ความน่าดู  ปราศจากความสวยงาม  ตรงข้ามน่าพึงชังรังเกียจ น่าพึงเบื่อหน่าย  ขยะแขยงสะอิดสะเอียน  หลวงพ่อจงพอใจใช้วิธีการเพ่งอสุภะ เป็นแนวทางอบรมบ่มจิต  ก็เพราะได้คิดว่า  มันเป็นการช่วยให้ตนสามารถมองเห็นชัดด้วยตาและบังเกิดความรู้สึกในใจให้คิดสังเวชอย่างซาบซึ้งถึงความจริงในข้อที่ว่า  ตนและสรรพสัตว์  เมื่อต้องมีอันเป็นไปบังเกิดเป็นความตายแล้ว  ก็ต้องมีสภาพน่าอเนจอนาถ ไม่น่าดู ไม่น่ารัก  แต่น่าชัง น่ารังเกียจ ทุเรศอุจาดตา  ดังนี้ด้วยกันทั้งนั้น  และเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น
 
                           ซึ่งจากข้อคิดนี้  จะทำให้ดวงจิตแห้งแล้งหดหู่  ปราศจากความร่านยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ  ปราศจากความหลงงมงายคิดว่าร่างกายเป็นสิ่งสวยงาม  จะได้เป็นเครื่องบรรเทาอัสมิมานะ  คือความสำคัญผิดเพ้อเห็นไปว่า  ร่างกายนั้นหนอ  มันเป็นตัวตนของเขาของเราจริงแท้  ซึ่งความจริงมันมิใช่
 
                           ความจริงมันเป็นเพียง อัตตะ ปราศจากตัวตน  เป็นที่รวมอยู่ของธาตุทั้งห้า ชั่วครั้งคราวโดยสภาวะปรุงแต่งแวดล้อม  ครั้นถึงกาลเวลาก็แตกดับล่วงลับสลายไป ไม่เป็นเขาไม่เป็นเรา  ดังนั้นจึงไม่บังควรไปหลงคิดรัก หลงหวงแหน หลงป้อยอ หลงรับ ใช้หาของกินรสโอชะ  หรือหลงไหลกดขี่ขูดรีดคนโกงแย่งชิงสรรพสิ่งจากที่อื่นสิ่งอื่นไปบำรุงบำเรอมัน  เพราะอย่งไรในที่สุดก็ไม่พ้นเสียเปล่าและสูญสิ้นเปล่า  เหมือนชีวิตไม่เคยมีใครรักษามันไว้ได้
 
                           หลวงพ่อจงชอบเพ่งมองอสุภะ  คือรูปเน่าเปื่อยของศพที่มีผู้เอามามอบให้ และท่านเก็บไว้ในห้องที่จัดไว้พิเศษ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งซ่อนเร้นมิให้ประเจิดประเจ้อต่อความรู้เห็นของผู้อื่น
 
                           ท่านจะใช้เวลายามปลอดและสงัดผู้คนเข้าห้องพิเศษ  พร้อมด้วยดวงเทียนหรุบหรู่  เข้าไปนั่งเฝ้าเพ่งมองดูรูปศพคนตาย  ไม่เลือกว่าจะเป็นศพขึ้นอืดจนเป็นน้ำเหลืองหยด  จะมีกลิ่นเหม็นหรือเป็นซากศพแห้งเหี่ยวย่น  หน้าตาน่าเกลียดเพียงใด  ท่านก็จะเฝ้าจ้องมองเพ่งดูอย่างจริงจัง  เพ่งมองให้เป็นภาพติดตาจนจำขึ้นใจว่า ศพนั้นท่าทางรูปร่างเป็นอย่งนี้  แห้งเหี่ยวเป็นรอยย่นผิดหน้าตามนุษย์ธรรมดายังงั้นยังงี้  หรือมีน้ำเหลืองหยดเพราะอาการเน่าเปื่อยตรงนั้นตรงนี้
 
                           พร้อมกันนั้น  ก็กระทำจิตให้บังเกิดอารมณ์สังเวชว่า รูปกายเกิด เกิดมาแล้วก็ต้องถึงวาระมีอันเป็นเบียดเบียนให้เจ็บป่วย  ถูกทำร้ายหรือบังเกิดอุบัติเหตุเป็นภัยอันตรายถึงตาย  ตายแล้วก็มีอาการน่าอเนจอนาถต่าง ๆ นานา  เป็นเช่นนี้เสมอไป
                           ร่างกายหนอ...ชีวิตหนอ...ต่างล้วนเป็นภาพน่าอนาถ น่าสังเวช น่าชิงชัง น่าเบื่อด้วยกันทั้งนั้น เช่นนี้แล
 
                           เกี่ยวกับการพิจารณาซากอสุภะของหลวงพ่อจงนี้เคยมีผู้สงสัยถามว่า  เมื่อทำดังนี้และปลงอารมณ์ได้ดังนี้แล้ว  จะบังเกิดประโยชน์อะไร
 
                           หลวงพ่อจงให้คำตอบว่าได้ประโยชน์คือ  ทำให้ไม่หลงไหลรักตัวตนว่าเป็นตัวตนของเขาของเรา  มันเป็นแค่ชีวิตกายที่ก่อสารรูปขึ้นได้ด้วยสภาวะแวดล้อมของธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ เข้ารวมตัวกัน  ความคิดเห็นแก่ตนเองเอาเปรียบเบียดเบียนผู้อื่นจะหย่อนหายไปจากสันดานโลภโมโทสัน เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งขัดเกลาสันดานจิตใจให้ผ่องใสสะอาด
 
                           หากมนุษย์อันเป็นตัวสมมุติของกายเกิด ไม่หลงนึกแยกประเภทของกายเกิดว่านั่นเป็นเขา นี่เป็นเรา  ดังนี้แล้ว  การอยู่ร่วมกันในสังคม บ้านเมือง ตลอดทั่วโลกก็จะมีแต่ความสงบสุข ไม่ต้องมีการดิ้นรนจองล้างจองผลาญย่ำยีต่อกัน  นั่นคือคำตอบอันเป็นการไขข้อสงสัยในกรรมฐานที่ท่านพิจารณาอยู่ทุกเมื่อของหลวงพ่อจง

ที่มา
http://www.kaskaew.com/

จบ........ประวัติของท่านมีเรื่องที่สนใจมากมาย หากสนใจลองค้นคว้าค้นหาอ่านศึกษากันนะครับ :054:

ออฟไลน์ saken6009

  • อย่ากลัวคนจะมาตำหนิ แต่จงกลัวว่าตัวเองจะทำผิด อย่ากลัวที่จะรับรู้ความบกพร่องของตน แต่จงกลัวว่าตนจะเป็นคนที่ดีได้ไม่จริง
  • ก้นบาตร
  • *****
  • กระทู้: 893
  • เพศ: ชาย
  • ชีวิตของข้า เชื่อมั่นศรัทธา หลวงพ่อเปิ่น องค์เดียว
    • ดูรายละเอียด
หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก ภาค5จบ 36; 36;
   
ขอขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่นำบทความดีมากๆมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :053: :053:
   
ติดตามอยู่ครับ อ่านแล้วเพลินดีมากๆครับ และ ได้สาระความรู้มากๆครับผม :016: :015:
 
(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน เพื่อเป็นความรู้ ขอบคุณครับผม) :054: :054:

กราบขอบารมีหลวงพ่อเปิ่น คุ้มครองศิษย์ทุกๆท่าน ให้แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง สาธุ สาธุ

ออฟไลน์ โบตั๋นสีขาว

  • ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 146
  • เพศ: หญิง
  • จะสูงจะต่ำอยู่ที่เราทำตัวจะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวเราทำ
    • ดูรายละเอียด
ขอบคุณมากคะ สำหรับเรื่องราวธรรมะดีๆ อ่านแล้วได้ความรู้มากคะ :090: :050: :090:
เคารพ กตัญญู บูชา หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ ทั้งครอบครัวคะ