มนต์ธรรมโอสถ
บทสวดเพื่อสุขภาพจิตที่ดี
ฤษีในกรุง
มนต์ หรือมันตรา หรือจะเรียกว่าคาถาก็ได้ เป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกศาสนา ที่มนุษย์ทุกชาติทุกสมัยมี อียิปต์ คาลเดีย อัสสิเรีย เมโสโปเตเมีย กระเหรี่ยง ขอมโบราณ และปัจจุบันจะนับถือและสวดกันเสมอมา ไม่ว่าจะสวดด้วยเหตุผลใดก็ตาม มนต์ย่อมก่อให้เกิดพลังอำนาจขึ้นในจิตของผู้สวดที่มีความเชื่อศรัทธาอย่างแรงกล้า ไม่ว่าชาติใดศาสนาใดมักจะมีการสวดมนต์เสมอ เนื่องจากเขามีความเชื่อว่า เมื่อสวดมนต์แล้วจะเกิดความสบายใจ จะช่วยให้เกิดความสำเร็จในสิ่งที่ตนปรารถนาอยู่ และ เชื่อว่าเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยคุ้มครองเขาให้พบแต่ความสุขสวัสดีมงคลชัย มนต์และการสวดมนต์ นอกจากจะให้ประโยชน์ทางศาสนาคือ ทำให้จิตเป็นสมาธิแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากมาย ทำให้มีการผ่อนคลายทั้งทางกายและทางใจ นอกจากนั้นยังสามารถใช้บำบัดโรคได้ด้วย
ในคริสต์ศาสนาก็มีให้เห็นเสมอ ในประวัติของพระเยซูและเซ้นท์ (Saint) ต่าง ๆ นอกจากจะมีความดีด้านอื่นมากมายแต่ที่เด่นชัดคือ ความสามารถพิเศษในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ให้หายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งนี้เพราะด้วยอาศัยพลังแห่งการสวดมนต์บูชาพระเจ้าเป็นนิตย์รวมกับพลังจิตแห่งความเมตตา แม้แต่ในอินเดีย เหล่านักพรต ฤษี โยคี และนักบวชในลัทธิอื่น ๆ ที่มีการสวดมนต์และบำเพ็ญทางจิต ก็ใช้มนต์ในการบำบัดโรค เช่นกัน
ในพระพุทธศาสนามีกล่าวไว้หลายเรื่อง เช่นเมื่อพระมหากัสสปะเถระอาพาธ พระพุทธเจ้าเสด็จมา และทรงสวดโพชฌงค์ 7 พอทรงสวดจบ พระมหากัสสปะก็หายอาพาธ ในทำนองเดียวกัน พระโมคคัลลาน์หายอาพาธได้เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงโพชฌงค์ 7 ให้ฟัง แม้แต่พระพุทธเจ้าเอง เมื่อทรงอาพาธทรงโปรดให้พระมหาจันทะ สวดโพชฌงค์ 7 ถวาย เมื่อสวดจบ พระพุทธองค์ทรงหายจากอาการประชวร
นอกจากนั้น ในสมัยพุทธกาล ชาวบ้านยังนิยมนิมนต์พระสงฆ์มาสวดมนต์ให้ที่บ้านเมื่อเจ็บป่วย เช่น ธรรมมิกอุบาสก เมื่อใกล้จะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต นิมนต์พระสงฆ์มาสวดสติปัฏฐานสูต หรือในกรณีของมานทินคหบดี หรือท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เมื่อไม่สบายก็นิมนต์พระสงฆ์มาสวดที่บ้าน เมื่อสวดมนต์จบความเจ็บป่วยหายไปได้ การสวดมนต์ที่ชาวพุทธคุ้นเคยกันคือการทำวัตรเช้า-เย็น สวดมนต์แผ่นเมตตา สวดคาถาพาหุงมหากาฯ และสวดพระปริตร
มีการวิจัยในการแพทย์ปัจจุบันจำนวนมากที่แสดงว่าการสวดมนต์ช่วยให้เกิดความสุข ความพอใจในชีวิตที่เป็นอยู่ เช่น ให้สุขภาพจิตดี และช่วยแก้ไขปัญหาชีวิตได้ ตัวอย่างเช่น นายแพทย์ลารี ดอสซี ได้วิเคราะห์ผลงานวิจัยในเรื่องนี้ประมาณ 100 เรื่อง และพบว่าในงานวิจัยต่าง ๆ เหล่านี้ การสวดมนต์มีผลต่อการเจริญเติบโตของเมล็ดพืช และการที่แผลหายเร็วขึ้น นอกจากนั้นในงานวิจัยหลายราย การสวดมนต์สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ สมาคมวิทยาศาสตร์ทางจิตแห่งรัฐเทกซัสได้เจาะเลือดอาสาสมัคร 32 ราย เมื่อแยกเอาเม็ดเลือดแดงออกแล้ว ใส่สารละลายที่จะทำให้เม็ดเลือดแดงบวมและแตกในเวลาต่อมา แล้วให้อาสาสมัครเหล่านั้นสวดมนต์ขอให้เม็ดเลือดแดงแตกน้อยลง ผลคือ เม็ดเลือดแดงนั้นแตกช้าลง (Castleman M. Natures Cures)
Randolf Byrd แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจได้ทำการศึกษาเรื่องของการสวดมนต์ภาวนาในคนไข้ 393 คน ที่ San Francisco General Hospital โดยแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรก 192 คน ซึ่งมีกลุ่มที่คอยสวดภาวนาและสวดมนต์ให้ กลุ่มที่สอง 201 คน ไม่มีกลุ่มคอยสวดภาวนาให้
ผลการทดลองพบว่า คนไข้กลุ่มแรก ที่มีคนคอยสวดมนต์ให้ ใช้ยาปฏิชีวนะน้อยกว่ากลุ่มที่สอง 5 เท่า เกิดภาวะแทรกซ้อนในเรื่องน้ำท่วมปอด (Pulmonary Edema) น้อยกว่า 3 เท่า ถูกใส่ท่อช่วยหายใจ (Endo tracheal Intubation) น้อยกว่า 12 เท่า การทดลองครั้งนี้ได้รับการยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์ว่า ผลการทดลองมีนัยสำคัญที่เชื่อถือได้ 2
จากการศึกษางานวิจัยดังกล่าว เราอาจสรุปได้ว่า การสวดมนต์ในรูปแบบต่าง ๆ ทำให้เราผ่อนคลายทั้งทางจิตใจและทางกาย ทำให้เรารู้สึกสบายใจ สภาพจิตใจเช่นนี้มีผลกระทบต่อสุขภาพทางใจและทางกายมาก ด้วยเหตุนี้ จิตแพทย์ในประเทศสหรัฐอเมริกาจำนวนไม่น้อย จึงนำการสวดมนต์มาใช้ในการบำบัดทางจิตร่วมกับวิธีการรักษาทางการแพทย์ 3 การสำรวจของนักวิจัยหลายกลุ่มพบว่า คนอเมริกันนิยมสวดมนต์กันมาก กล่าวคือ 70 % สวดมนต์ทุกวัน 44 % สวดมนต์เพื่อการบำบัดโรค มีงานวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าการสวดมนต์ช่วยให้ผู้ป่วยเป็นโรคร้ายแรงน้อยลง เช่นโรคหัวใจ โรคความดัน โรคเครียด และโรคซึมเศร้า เป็นต้น และแม้แต่ผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งจะมีอัตราตายต่ำกว่าประชากรทั่วไป4 นอกจากนั้น การสวดมนต์เมื่อปฏิบัติร่วมกับสมาธิยังสามารถลดปัญหาการฆ่าตัวตาย และการใช้ยาเสพติดได้ 5
การสวดมนต์ไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรือเป็นไสยศาสตร์อีกต่อไป ผลจากการสวดมนต์ นอกจากจะให้ผลทางการบำบัดรักษาโรคต่าง ๆ แล้ว ยังให้ผลในด้านอื่น ๆ อีกมากมาย หากท่านยังไม่เชื่อหรือสงสัยว่าจริงหรือไม่ ขอให้ลองทดสอบดูด้วยตนเองก็ได้ เพราะสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ากับสวดมนต์ด้วยตนเอง
1 (Mc Collough Me. Prayer and Healt: Conceptual Issues, Journal of Psychology and Theology: 1995)
2 Jahnk, Roger, The Healer Within, New York, HarperCollins Book,199,p.224-225
3 King E.,Bushwick B,Beliefs and Attitudes of Hospital Inpatients about Faith Healing and Prayer
4 (Michello Ja, Spintual and Emotional Determinants of Health, Jounal of Health, 1988)
5 (Ellison E.C., Religious Involvememt and subjective well-being, Journal of Health Social Behaviors, 19910.
ที่มา
http://intaram.org.www.readyplanet5.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538740388&Ntype=7