ผู้เขียน หัวข้อ: บุญวาสนามาจากการบริจาคhttp://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=vie  (อ่าน 2695 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

freejand*-*

  • บุคคลทั่วไป

เกริ่นนำ
      ?บุญวาสนามาจากการบริจาค? เป็นพระสูตรในพุทธศาสนาที่ได้รวบรวมพุทธโอวาทแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงตรัสถึงบุญอันสำเร็จด้วยทาน ให้ชาวโลกได้ประจักษ์และเข้าใจในบุญญานุภาพแห่งทานอันเป็นเหตุให้มนุษย์มีสภาพชีวิตที่แตกต่างกันไปในอายุ วรรณะ สุข ยศ ฯ ทั้งโลกนี้และโลกหน้า ดั่งที่พระองค์ทรงตรัสสรรเสริญว่า ผู้ให้ทานย่อมเป็นผู้กำชัยไว้ทั้งสองโลก คือ
     ... เพื่อประโยชน์เกื้อกูลในปัจจุบัน 1
     ... เพื่อความสุขในสัมปรายภพ 1
ด้วยเหตุนี้ ?การบริจาค? จึงเป็นหลักประกันชีวิตที่ดีที่สุด อันผู้มีปัญญาได้เลือกแล้ว เมื่อบริจาคย่อมเป็น ?บุญ? อันเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวไม่ให้ชีวิตตกลงไปในทางที่ชั่ว ให้ดำรงอยู่แต่ในทางที่ดีตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งบุญเป็นขุมทรัพย์ เมื่อมีอยู่ติดตัวแล้วจะอำนวยประโยชน์และความสุขคือ ?วาสนา? มาให้อย่างมากมาย เหนือสิ่งใดเมื่อจากไปในโลกหน้า บุญก็ยังตามติดเป็นที่พึ่งที่ยึดถือให้ไปสู่ภพภูมิที่ดีอีกด้วย ...
อานิสงส์แห่งธรรมทาน
พุทธพจน์:
      ?...ดูกรสุภูติ หากชายคนหนึ่งทำทานโดยการ
ถวายทานด้วยสมบัติกองสูงเท่ากับภูเขาพระสุเมรุทั้ง
จักรวาลมารวมกัน ส่วนอีกคนหนึ่ง รับฟังคำสอนไว้
ในใจ อ่าน เรียนรู้ จดจำ แล้วสั่งสอนผู้อื่น
     บุญกุศลของชายคนแรกยังไม่มากเท่าหนึ่งใน
ร้อย หนึ่งในพัน หนึ่งในแสน ของบุญกุศลที่ชายคน
ที่สองได้รับ เพราะไม่สามารถจะเปรียบกันได้เลย? 
บุญวาสนามาจากการบริจาคเรื่องจริงฤาอุบาย

พุทธพจน์:
?ถ้าสัตว์โลกจะพึงเห็น
อานิสงส์แห่งการบริจาค
เหมือนกับที่ตถาคตเห็น
มาตรแม้นว่าใครจะมาขอศรีษะ
ก็สามารถตัดให้เขาไปได้?
 
 
มิจฉาเป็นเหตุ

รู้ได้อย่างไรว่า ผลแห่งทานมีจริง
ผลแห่งการบูชามีจริง โลกนี้โลกหน้ามีจริง?
 


พุทธพจน์:
      ?... ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ผู้ที่มีวาทะอย่างนี้มีความเห็นอย่างนี้ว่า:
     ...ทานที่ให้แล้วไม่มีผล
     ...การบวงสรวงไม่มีผล การบูชาไม่มีผล
     ...ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดี-ทำชั่วไม่มี
     ...โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี ฯลฯ
     ดังนี้ เป็นอันหวังข้อนี้ได้ คือ จักดำเนินอยู่ในอกุศลธรรม คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เพราะเขาเหล่านั้นไม่เห็นโทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองแห่งอกุศลธรรม
     ...ก็โลกหน้ามีอยู่จริง แต่เขากลับเห็นว่าโลกหน้าไม่มี ความเห็นของเขานั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ
     ...ก็โลกหน้ามีอยู่จริง แต่เขาดำริว่าโลกหน้าไม่มี ความนึกคิดของเขานั้นเป็นมิจฉาสังกัปปะ
     ...ก็โลกหน้ามีอยู่จริง แต่เขากล่าววาจาว่าโลกหน้าไม่มี วาจาของเขานั้นเป็นมิจฉาวาจา
     ...ก็โลกหน้ามีอยู่จริง เขากล่าวว่าโลกหน้าไม่มี ผู้นี้ย่อมทำตนเป็นปรปักษ์ต่อพระอรหันต์ผู้รู้แจ้งโลกหน้า
     ...เขาละคุณคือเป็นคนมีศีลแล้ว ตั้งไว้เฉพาะแต่โทษ คือความเป็นคนทุศีล อกุศลธรรมอันลามกเป็นอเนกเหล่านี้ย่อมครอบงำเพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัยด้วยประการฉะนี้แล? 
บุรุษตาบอด
     ถ้าเช่นนั้นแล้วมนุษย์จะรู้เห็นในสิ่งที่เหนือไปกว่า
     ความสามารถที่จะรับรู้ได้อย่างไร เพราะข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้?

พุทธพจน์:
     พ. ?... ดูกรมาณพ เปรียบเหมือนบุรุษตาบอดแต่กำเนิดเขาไม่เห็นรูปดำ รูปขาว ไม่เห็นรูปเขียว รูปเหลือง รูปแดง รูปสีชมพู รูปที่เสมอและไม่เสมอ หมู่ดาว ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์
     พ. เขาพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ไม่มีรูปดำ รูปขาว ไม่มีคนเห็นรูปดำ รูปขาว ไม่มีรูปเขียว ไม่มีคนเห็นรูปเขียว ไม่มีรูปเหลือง ไม่มีคนเห็นรูปเหลือง ไม่มีรูปแดง ไม่มีคนเห็นรูปแดง ไม่มีรูปสีชมพู ไม่มีคนเห็นรูปสีชมพู ไม่มีรูปที่เสมอและไม่เสมอ ไม่มีคนเห็นรูปที่เสมอและไม่เสมอ ไม่มีหมู่ดาว ไม่มีคนเห็นหมู่ดาว ไม่มีดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ ไม่มีคนเห็นดวงจันทร์ดวงอาทิตย์
     เราไม่รู้ไม่เห็นสิ่งนั้น เพราะฉะนั้นสิ่งนั้นย่อมไม่มี เมื่อเขากล่าวดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบหรือมาณพ?
     สุ. ?... ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านพระโคดม รูปดำรูปขาวมี คนเห็นรูปดำรูปขาวก็มี รูปเขียวมี คนเห็นรูปเขียวก็มี รูปแดงมี คนเห็นรูปแดงก็มี รูปสีชมพูมีคนเห็นรูปสีชมพูก็มี รูปที่เสมอและไม่เสมอมี คนเห็นรูปเสมอและไม่เสมอก็มี หมู่ดาวมี คนเห็นหมู่ดาวก็มี ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ คนเห็นดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ก็มี เราไม่รู้ไม่เห็นสิ่งนั้น เพราะฉะนั้น สิ่งนั้นย่อมไม่มีผู้ที่กล่าวดังนี้ ไม่ชื่อว่ากล่าวชอบ ท่านพระโคดม ฯ? 
เห็นต่างกัน
พุทธพจน์:
      ?... ดูกรอัคคีเวสสนะ เปรียบเหมือนภูเขาใหญ่ไม่ห่างไกลบ้านหรือนิคม สหาย 2 คนออกจากบ้านหรือนิคมนั้นไปยังภูเขาลูกนั้นแล้วจูงมือกันเข้าไปยังที่ตั้งภูเขา
 

     ครั้นแล้วสหายคนหนึ่ง ยืนที่เชิงภูเขาเบื้องล่าง เอ่ยถามสหายผู้ยืนบนภูเขานั้นอย่างนี้ว่า ?แน่ะเพื่อน! เท่าที่เพื่อนยืนบนภูเขานั้น เพื่อนเห็นอะไร??
     สหายคนนั้นตอบอย่างนี้ว่า ?เพื่อนเอย ! เรายืนบนภูเขาแล้วเห็นสวน ป่าไม้ ภูมิภาค และสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมย์?
     สหายข้างล่างกล่าวอย่างนี้ว่า ?แน่ะเพื่อน ! ข้อที่เพื่อนยืนบนภูเขาแล้วเห็นสวน ป่าไม้ ภูมิภาค และสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมย์ นั่น ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาสเลย?
     สหายที่ยืนบนภูเขาจึงลงมายังเชิงเขาข้างล่าง แล้วจูงแขนสหายคนนั้นให้ขึ้นไปบนภูเขาลูกนั้น ให้สบายใจครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามสหายนั้นว่า ?แน่ะเพื่อน ! เท่าที่เพื่อนยืนบนภูเขาแล้ว เพื่อนเห็นอะไร?
     สหายคนนั้นตอบอย่างนี้ว่า ?เพื่อนเอ๋ย ! เรายืนบนภูเขาแล้ว แลเห็นสวน ป่าไม้ ภูมิภาค และสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมย์ ...?