ผู้เขียน หัวข้อ: เมาะละแหม่ง, หมะเมียะ และรักอันรันทด  (อ่าน 4490 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ขุนส่อง

  • คนเหนือ เหนือคน
  • ฉัฏฐะ
  • *
  • กระทู้: 199
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
เมาะละแหม่ง, หมะเมียะ และรักอันรันทด 

เมื่อเจ้านายในล้านนาสูญเสียทั้งอำนาจในการปกครองและรายได้จากการค้าไม้สัก อำนาจของสยามในล้านนาก็นับวันเพิ่มขึ้น ๆ เจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่สิ้นชีวิตในปี 2440 ลูกสาวที่ถูกเรียกลงเป็นเจ้าจอมที่บางกอกเมื่ออายุได้ 13 ปี (พ.ศ. 2430) คือเจ้าดารารัศมีก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาเผาศพพ่อ และแผ่นดินเชียงใหม่ก็ไม่มีเจ้าผู้ครองนครเพราะสยามไม่แต่งตั้งผู้ใด นั่นคือช่วงปี พ.ศ. 2441 - 2442


และช่วงเวลานั้นเอง (พ.ศ. 2441) ที่เจ้าแก้วนวรัฐ - ราชบุตรของเจ้าอินทวิชยานนท์ผู้วายชนม์ และเป็นราชบุตที่ไม่รู้ว่าจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าผู้ครองนครต่อจากพ่อหรือไม่ ก็ได้ส่งลูกชายคือเจ้าน้อยศุขเกษมวัย 15 ปี ไปเรียนที่โรงเรียน St. Patrick's School โรงเรียนกินนอนชายซึ่งเป็นคาธอลิคในเมืองเมาะละแหม่ง โรงเรียนแห่งนี้ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2385 ทำไมเจ้าราชบุตรจึงส่งลูกชายไปเรียนที่นั่น กล่าวกันว่าเจ้าแก้วนวรัฐค้าไม้สักกับพม่าเมืองเมาะละแหม่งจนสนิทสนมเป็นอันดีกับเศรษฐีพ่อค้าไม้ชาวพม่าคนหนึ่งชื่อ อูโพดั่ง เจ้าน้อยศุขเกษมนั่งช้างจากเชียงใหม่ไปถึงเมาะละแหม่งได้พักที่บ้านพ่อค้าอูโพดั่งในช่วงวันหยุด วันเรียนหนังสือก็อยู่ที่โรงเรียนกินนอน


จนเมื่อปี 2445 หนุ่มน้อยศุขเกษมวัย 19 ปีไปเที่ยวตลาดไดวอขวิ่น ซึ่งเป็นตลาดห่างจากบ้านพ่อค้าอูโพดั่งราว 10 นาที ก็ได้พบและหลงรักสาวน้อยวัย 15 ปี นาม "หมะเมียะ" (ภาษาพม่าแปลว่ามรกต) สาวหมะเมียะ ขายบุหรี่เซเล็ก (ภาษาพม่าแปลว่ายามวน) ก็รักหนุ่มน้อยจากเชียงใหม่เช่นกัน


เมื่อความรักเพิ่มพูนกลายเป็นความมุ่งมั่นและความผูกมัด วันหนึ่ง ทั้งสองก็ชวนกันขึ้นไปไหว้พระเจดีย์ไจ้ตาหล่านอันเป็นที่เคารพสูงสุดของชาวเมือง สาบานว่าจะครองรักกันไปตราบสิ้นลม และถ้าผู้ใดผิดคำสาบานก็ขอให้มีอันเป็นไป


เมื่อเจ้าศุขเกษมอายุ 20 ปีกลับบ้านพร้อมกับหมะเมียะวัย 16 ที่ปลอมตนเป็นชายร่วมเดินทางมาด้วย ฝ่ายชายก็พบว่าพ่อได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าราชบุตร ส่วนเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่คนใหม่คือเจ้าอินทวโรรสสุริยวงศ์ ผู้เป็นอนุชาต่างมารดาของพ่อ


เจ้าศุขเกษมได้พบว่าผู้เป็นพ่อและแม่ได้หมั้นหมายเจ้าหญิงบัวนวล ลูกเจ้านายในเชียงใหม่ไว้รอท่าแล้ว และครั้นทราบว่าลูกชายรักและได้สามัญชนชาวพม่าเป็นเมีย วิกฤตการเมืองก็เกิดขึ้นทันที และเจ้านายในเชียงใหม่ก็ทำทุกอย่างเพื่อให้หนุ่มสาวแยกทางกัน และผลักดันให้หมะเมียะต้องกลับเมืองเมาะละแหม่งเพียงสถานเดียว


หลายปีมานี้ มีบทความและเพลงพูดถึงเรื่องนี้หลายราย หลากหลายความคิดเห็น แต่ผู้เขียนเห็นว่าในสถานการณ์ดังกล่าว เจ้าศุขเกษมไม่มีทางเลือกอื่นเลยนอกจากหนทางที่ได้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2446 กล่าวคือ


ในทัศนะของฝ่ายสยาม เจ้าราชบุตรทำไม่ถูกต้องที่ส่งลูกชายคือเจ้าน้อยศุขเกษมไปเรียนที่พม่าในปี พ.ศ. 2441 เพราะขณะนั้นสถานการณ์เริ่มคับขันแล้ว สยามกำลังจะยกเลิกฐานะเมืองขึ้นของล้านนาและรวมล้านนาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยาม มีข่าวว่าเจ้านายล้านนาหลายคนไม่พอใจอำนาจท้องถิ่นที่ถูกสยามลิดรอน เจ้าดารารัศมีจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาเคารพและเผาศพพ่อในปี 2440 และน่าเชื่อว่าเจ้าราชบุตรส่งเจ้าน้อยศุขเกษมไปเรียนหนังสือที่พม่าโดยมิได้แจ้งหรือปรึกษาหรือขออนุมัติจากสยาม


ในด้านล้านนา ฝ่ายพ่อแม่ของเจ้าน้อยศุขเกษมอาจโกรธขึ้งที่ลูกชายได้สาวพม่าเป็นภรรยา โดยไม่บอกกล่าวหรือขออนุญาตจากพ่อแม่ก่อน ฝ่ายผู้ใหญ่ของเจ้าหญิงบัวนวลก็ย่อมไม่พอใจและเสียหน้าที่เจ้าน้อยศุขเกษมมีภรรยาแล้ว ทำให้แผนการแต่งงานระหว่างเจ้าน้อยศุขเกษมและเจ้าหญิงบัวนวลต้องสิ้นสุดลง

แต่ปมปัญหาสำคัญที่สุดคือ เจ้าราชบุตรไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องส่งตัวหมะเมียะกลับพม่า เพื่อแสดงให้สยามเห็นว่าแม้ตนเองได้ทำผิดที่ส่งลูกชายไปเรียนที่พม่า แต่ต่อจากนี้ไป ล้านนาจะต้องไม่มีสัมพันธ์ใด ๆ กับพม่าอีก สัมพันธ์รักระหว่างลูกชายกับสาวพม่าจะต้องยุติอย่างเด็ดขาด


ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าฉากความรักและความอาลัยระหว่าง 2 หนุ่มสาวในตอนเช้าวันหนึ่งของเดือนเมษายน พ.ศ. 2446 จะโศกเศร้าสะเทือนใจจนใครต่อใครที่พบเห็นร้องไห้ตามเพียงใดก็ตาม แต่เรื่องจริงเรื่องนี้ก็ต้องจบลงเช่นนั้น ไม่ใช่เรื่องของกรรมเวร ไม่ใช่ศักดินาที่ต่างกันระหว่างคนรักทั้งสอง และไม่ใช่เชื้อชาติเผ่าพันธุ์ต่างกัน หรือประเพณี แต่เป็นปัญหาการเมือง


การเมืองที่สยามกำลังกำหนดเส้นทางเดินของล้านนา และเจ้าราชบุตรเลือกที่จะเป็นฝ่ายยอมจำนน การเมืองที่พ่อส่งลูกไปเรียน ด้วยหวังว่าลูกจะมีความรู้ในเรื่องภาษาอังกฤษ สถานการณ์การเมืองในพม่าและนโยบายของอังกฤษ เพื่อลูกจะได้กลับมามีบทบาทในล้านนาต่อไป (ไม่มีหลักฐานว่าเจ้าราชบุตรมีความคิดทางการเมืองอย่างใด) แต่แล้วความรักที่เกิดขึ้นและขัดแย้งกับปัญหาการเมืองก็ต้องพ่ายแพ้แก่การเมืองในที่สุด

เมื่อวันจันทร์ที่ 25 มีนาคม 2545 ที่ผ่านมา นักวิชาการชาวเชียงใหม่ท่านหนึ่งซึ่งสนใจเรื่องหนุ่มศุขเกษมและสาวหมะเมียได้ไปเยือนเมืองเมาะละแหม่ง เธอคือ รศ.จีริจันทร์ ประทีปะเสน เส้นทางที่ปิดระหว่างเมียวดีกับเมาะละแหม่งทำให้คนไทยที่สนใจจะไปเยือนเมาะละแหม่งต้องบินจากฝั่งไทยไปที่นครย่างกุ้ง แล้วนั่งรถยนต์หรือรถไฟย้อนกลับมา


น่าเสียดายที่อาจารย์จีริจันทร์ไปถึงเมืองเมื่อค่ำแล้ว และต้องเดินทางจากเมืองตอนสายวันรุ่งขึ้น แต่กระนั้น ในความมืดของคืนนั้นและความสลัวรางของเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น อาจารย์ก็ได้เห็นหลายสิ่งที่น่าตื่นใจ และจะเป็นฐานสำคัญสำหรับการเดินทางของเธอครั้งต่อไปและของผู้สนใจศึกษารุ่นต่อไป


อาจารย์เล่าว่า ค่ำคืนนั้น เธอได้ขึ้นไปที่วัดไจ้ตาหล่าน เมื่อขึ้นไปถึงลานกว้างหน้าพระเจดีย์ ขณะที่เธอกำลังไหว้พระเจดีย์สีทองอร่าม มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งนั่งเคยงกันอยู่ไม่ไกลนักกำลังไหว้พระเจดีย์เช่นกัน ลานนี้เองเมื่อ 99 ปีก่อน (พ.ศ. 2446) ที่หนุ่มเชียงใหม่กับสาวพม่าคู่หนึ่งนั่งเคียงกันไหว้พระเจดีย์เบื้องหน้า และสัญญาต่อกันและต่อหน้าพระเจดีย์ว่าจะรักและซื่อสัตย์ต่อกันตราบฟ้าสิ้นดินสลาย


เมื่ออาจารย์พบพระรูปหนึ่งและถามถึงแม่ชีของวัดนี้ ท่านได้พาเธอไปพบเจ้าอาวาสซึ่งมีอายุราว 60 ปี ท่านเจ้าอาวาสเล่าว่าวัดนี้เคยมีแม่ชีคนเดียวเมื่อนานมาแล้ว กล่าวคือเมื่อท่านเริ่มบวชเณรอายุ 18-19 ปีประมาณ พ.ศ. 2504-2505 ที่วัดมีแม่ชีชรารูปหนึ่ง ชื่อ ด่อนังเหลี่ยน อายุ 70 ปีเศษ และหลังจากนั้นไม่นาน แม่ชีก็เสียชีวิต


เจ้าอาวาสเล่าว่าท่านได้ยินว่าแม่ชีผู้นี้บวชชีตั้งแต่เป็นสาว เป็นแม่ชีที่ชอบมวนบุหรี่ และมีคนมารับไปขายเป็นประจำ แม่ชีได้บริจาคเงินให้วัดสร้างศิลาจารึกเป็นภาษามอญมีเนื้อหาเกี่ยวกับพระพุทธประวัติ ที่ยังคงเก็บไว้ที่วัด


เจ้าอาวาสเล่าว่าห้องพักของแม่ชียังคงอยู่ หม้อข้าวและเครื่องใช้บางอย่างก็ยังคงอยู่
อาจารย์จีริจันทร์คิดว่าแม่ชีด่อนังเหลี่ยนคือหมะเมียะ เพราะเป็นที่รู้กันที่เชียงใหม่ว่าหลังจากที่หมะเมียะถูกพรากจากเจ้าน้อยศุขเกษม เธอก็ไปรอชายคนรักที่เมืองเมาะละแหม่ง ไม่ได้รักใครอีก หลังจากนั้น เธอได้กลับมาที่เมืองเชียงใหม่อีกครั้งเพื่อมาพบเจ้าน้อยศุขเกษม


ในตอนนั้น เจ้าน้อยแต่งงานแล้วก็กับเจ้าหญิงบัวชุม ซึ่งดำเนินการโดยเจ้าดารารัศมีและพิธีสมรสจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ เมื่อเจ้าน้อยทราบว่าหมะเมียะมารอพบที่บ้านเชียงใหม่ เจ้าน้อยศุขเกษมไม่ยอมออกมาพบ แม้ว่าหมะเมียะจะรออยู่นานแสนนาน โดยที่เจ้าน้อยได้ฝากเงินให้ 800 บาทและแหวนทับทิมที่ระลึกวงหนึ่ง


หลังจากนั้น หมะเมียะก็กลับมาบวชชีที่วัดใหญ่ในเมืองเมาะละแหม่งจนสิ้นชีวิต


อาจารย์จีริจันทร์สนใจข้อเท็จจริงที่ว่าแม่ชีผู้นี้บวชตั้งแต่ยังสาว และชอบมวนบุหรี่ไปขายหารายได้ จึงน่าเชื่อว่าด่อนังเหลี่ยนกับหมะเมียะเป็นคนเดียวกัน ส่วนคำว่าหมะเมียะเป็นภาษาไทใหญ่แปลว่าสีแดง (ด่อ คือนาง) ก็เป็นประเด็นที่ต้องค้นคว้าต่อไปว่าเหตุใดหมะเมียะจึงเปลี่ยนชื่อ และเหตุใดต้องใช้ชื่อว่านังเหลี่ยน


เช้าวันรุ่งขึ้น อาจารย์ไปถามหาบ้านไม้สักหลังใหญ่ของเศรษฐีอู โพดั่ง ซึ่งเคยเป็นบ้านที่พักของเจ้าน้อยศุขเกษม อาจารย์บอกว่าอู โพดั่งเป็นชื่อถนนสายหนึ่งในย่านนั้น ส่วนบ้านนั้นรื้อขายไปแล้ว อาจารย์ได้ไปที่ตลาดได วอขวิ่น ที่เจ้าน้อยได้พบกับหมะเมียะ และเป็นตลาดที่ หมะเมียะเคยขายบุหรี่ที่นั่น เพราะเป็นตลาดที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเศรษฐีอู โพดั่ง เธอได้พบตลาดเก่าแก่ และมีสภาพที่ไม่น่าจะแตกต่างจากสภาพเมื่อเกือบ 100 ปีก่อน และได้พบย่านขายบุหรี่


จากนั้น อาจารย์ได้ไปที่โรงเรียน St. Patrick ได้พบว่าเป็นโรงเรียนที่มีเนื้อที่กว้างขวางเกือบ 10 ไร่ มีอาคารสร้างด้วยไม้สัก มีเสาขนาดใหญ่กว่า 60 ต้น มีโบสถ์ มีอาคารตึกที่เป็นหอพัก มีโรงอาหารขนาดใหญ่ และสระว่ายน้ำ แต่ขณะนี้โรงเรียนดังกล่าวได้ปิดกิจการไปแล้ว และกลายเป็นโรงเรียนสอนวิชาบัญชี

ชีวิตรักอันรันทดของเจ้าน้อยศุขเกษม (พ.ศ. 2426-2456) และหมะเมียะ (พ.ศ. 2430-2505) จบลงแล้วเมื่อปี พ.ศ. 2446 อันเป็นปีที่ทั้งสองเดินทางกลับถึงเชียงใหม่และถูกพรากจากกันไม่นานหลังจากนั้น


เมื่อปี พ.ศ. 2446 หรือ 99 ปีที่แล้ว ทั้งสองถูกแยกจากกันและไม่ได้พบกันอีก แม้หมะเมียะจะเดินทางกลับไปหาอีกครั้งเพื่อร่ำลาหลังจากทราบว่าเจ้าน้อยแต่งงาน เจ้าน้อยศุขเกษมน่าจะรู้สึกผิดและเจ็บปวดอย่างที่สุด จึงไม่อาจทำใจออกมาพบหญิงคนรักได้ ได้แต่ฝากของที่ระลึกให้


แม้เจ้าน้อยศุขเกษมจะสิ้นชีวิตอีก 10 ปีหลังจากการพลัดพรากในปี 2446 และหมะเมียะจะสิ้นชีวิตอีก 59 ปีหลังจากนั้น แต่กล่าวสำหรับเจ้าน้อยศุขเกษมชีวิตของเขาจบสิ้นแล้วตั้งแต่ปีนั้น ปีที่เขาถูกการเมืองทำลายความรักและเขาได้ละเมิดคำสัญญาที่เขามีไว้กับหญิงสาวที่เขารัก 10 ปีหลังจากนั้นที่เขามีชีวิตเหลืออยู่ก็มีเพียงกายที่เดินไปมา และกายที่คอยแต่ดื่มสุรา ดื่มเพื่อที่จะลืมอดีต ดื่มจนทำให้กายนั้นหยุดทำงานก่อนวัยอันควร


แม้เจ้าน้อยศุขเกษมจะเสียชีวิตด้วยพิษสุรา และหมะเมียะจะเสียชีวิตด้วยโรคชรา แต่ความรักของเขาไม่เคยสิ้นสุด ชีวิตของเขาทั้งสองได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความรักอันยิ่งใหญ่ที่พวกเขาได้สร้างขึ้นในวัยหนุ่มสาว


วันหนุ่มสาวที่ผู้ใหญ่หลายคนคิดว่าเป็นวัยที่รักง่าย ลืมง่าย คิดว่าแยกพวกเขาออกจากกันไม่นานก็ลืมกันไปเอง วัยหนุ่มสาวและความรักที่การเมืองระหว่างสยามกับล้านนาคิดว่าเป็นเรื่องเล่น ๆ ไม่มีความสำคัญใด ๆ


สุดท้าย ความรักอันยิ่งใหญ่นั้นก็ยืนยง ที่เจ้านายล้านนาไม่ว่าจะอยู่ที่เชียงใหม่หรือกรุงเทพฯ ก็ตกตะลึงคิดไม่ถึงว่าเจ้าน้อยศุขเกษมจะรักหมะเมียะ และมีใจให้หญิงสาวคนนั้นเพียงผู้เดียวอย่างเหนียวแน่นถึงเพียงนั้น และก็คงไม่มีใครคิดว่าสาวน้อยชาวพม่าคนนั้นจะมีหัวใจเพียงดวงเดียวมอบให้แก่ชายหนุ่มชาวเชียงใหม่ และเธอได้พิสูจน์ให้เห็นตลอดชีวิตอันยาวนานของเธอ


น่าเสียดายนักที่ราชนิกูลแห่งสกุล ณ เชียงใหม่ จะช่วยกันปิดบังเรื่องราวอีกหลายด้านเกี่ยวกับความรักและความรันทดของคนทั้งสอง จนกระทั่งพวกเขาเองลับหายจากโลกไปทีละคนทีละคน จนเวลานี้จวนจะครบ 100 ปีของความรักและโศกนาฏกรรมนั้น ยังมีอีกหลายอย่างมากที่ดำมืด มีเพียงการคาดคะเนและวิเคราะห์ไปตามข้อมูลที่มีอย่างจำกัด


ขณะเดียวกัน ที่เมืองเมาะละแหม่ง แผ่นดินอันเป็นที่เกิดและที่สืบสานความรักและการรอคอยก็ดูเหมือนจะเกิดประเด็นใหม่ ๆ จากการไปเยือนของอาจารย์จีริจันทร์


ในหนังสือน่าอ่านเรื่อง วันฤดูหนาวในพม่า ของคุณอนุรักษ์ พันธุรัตน์ (สำนักพิมพ์บานชื่น 2544) ผู้เขียนไม่เพียงแต่เดินทางไปมาหลายครั้งระหว่างกรุงเทพฯ กับเมาะละแหม่ง หายังมีพ่อซึ่งท่านเคยเรียนโรงเรียน St. Patrick เช่นเดียวกับเจ้าน้อยศุขเกษม ศิษย์เก่าโรงเรียนนี้น่าจะช่วยอธิบายลักษณะของโรงเรียนนี้ให้คนรุ่นหลังได้ทราบ


นั่นหมายความว่าถ้าหากคุณอนุรักษ์ได้ทราบเรื่องความรักอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นเกือบ 100 ปีก่อนที่เมืองเมาะละแหม่ง และอาจจะมีคนอื่น ๆ อีกที่เพิ่งได้ทราบเรื่องนี้


ในโอกาส 100 ปีของความรักอันอมตะนี้ คนล้านนา-สยามและพม่าจะได้รับรู้เรื่องราวและแง่มุมเพิ่มขึ้น ได้บทเรียนใหม่ ๆ สำหรับชีวิตของคนที่ยังอยู่ และเติมพลังแห่งความรักของเขาทั้งสองให้แก่คนรุ่นหลัง


อย่างน้อย โลกนี้ก็มีคนบางคนที่ได้พิสูจน์แล้วว่า ความรักนั้นยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใด ไม่มีกำแพงแห่งเชื้อชาติ ภาษา ประเพณี หรือการเมืองใดจะขวางกั้น


และแม้วันเวลาจะผ่านไป 1 ศตวรรษแล้ว ความรักนั้นไม่เพียงแต่ยังคงทรงพลังเช่นนั้น แต่ดูเหมือนจะเปี่ยมพลังยิ่งขึ้น และสร้างความมหัศจรรย์ใจยิ่งกว่าเดิม แม้ว่าขณะนี้ ความรักและความเข้าใจของ 2 ชาติจะจืดจางเหลือเกินก็ตาม

อาจจะยาวไปหน่อยครับ แต่ก็น่าสนใจ
เรื่องนี้ช่อง 7 เคยสร้างเป็นละครแล้ว
ที่ ศรราม กับ สุวนัน แสดงนำครับ
นานแล้วพอจำกันได้ไหมครับ


 :090:  :090:  :090:  :090:  :090:  :090:
 :090:  :090:  :090:  :090:  :090:  :090:
นะโมพุทธายะ  ยะนะมะ  พะทะจะ  ภะกะสะ  นะมะอะอุ
สุวิอะ  นะสะมะ  อะสังวิสุโล  ปุละพุภะ
สุวะอัง  อาภะนิมุ  ปัสสะ


ออฟไลน์ ขุนส่อง

  • คนเหนือ เหนือคน
  • ฉัฏฐะ
  • *
  • กระทู้: 199
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: เมาะละแหม่ง, หมะเมียะ และรักอันรันทด
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 17 มี.ค. 2552, 06:30:32 »
มะเมียะ
เรื่องราวความรักที่ต่างเชื้อชาติ ระหว่างเจ้าน้อยศุขเกษมและมะเมียะ อันกลายมาเป็นตำนานรักที่จบลงอย่างโศกสลด และได้รับการกล่าวขานมาถึงปัจจุบัน ถูกถ่ายทอดโดยเจ้าหญิงบัวชุม ณ เชียงใหม อดีตคู่หมั้นของเจ้าน้อยศุขเกษม) แม้ว่ามะเมียะจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ ล้านนาโดยตรง แต่สำหรับเจ้า (น้อย) ศุขเกษม ราชบุตรองค์ใหญ่ของเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าหลวงเชียงใหม่ (พ.ศ.๒๔๕๒-๒๔๘๒) กับแม่เจ้าจามรีแล้ว มะเมียะเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของเจ้าน้อยฯ ก็ว่าได้

มะเมียะเป็นแม่ค้าสาวชาวพม่า หน้าตาพริ้มเพรา ได้พบกับเจ้าน้อยศุขเกษมครั้งแรก เมื่ออายุเพียง ๑๖ ปี ขณะนั้นมะเมียะเป็นเพียงแม่ค้าขายบุหรี่ซะเล็กอยู่ที่ตลาดใกล้บ้านในเมืองมะละแหม่ง มะเมียะหารายได้ด้วยความหวังเพื่อจะได้เงินมาจุนเจือครอบครัว ซึ่งอยู่ในฐานะปานกลาง
วันหนึ่งเมื่อเจ้าน้อยศุขเกษมได้ออกเดินเที่ยวตามห้างร้านในตลาด จึงได้พบกับมะเมียะ ซึ่งเพิ่งกลับมาจากเมืองตองอู หลังจากไปอาศัยอยู่กับป้าของเธอเป็นเวลาหลายปี ทั้งคู่เกิดถูกใจในกันและกัน จึงได้คบหากันเรื่อยมา หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองจึงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา ด้วยความสนับสนุนของทางบ้านของมะเมียะ และในวันพระทั้งสอง จะพากันไปทำบุญตักบาตรและนมัสการพระบรมสารีริกธาตุตามสถานที่ต่างๆ ในเมืองมะละแหม่งอยู่เสมอ วันหนึ่ง ณ ลานกว้างหน้าพระธาตุใจ้ตะหลั่น ทั้งสองได้กล่าวคำสาบานต่อกันว่าจะรักกันตลอดไป และจะไม่ทอดทิ้งกัน หากผู้ใดทรยศต่อความรักที่มีให้กัน ก็ขอให้ผู้นั้นอายุสั้น
จากนั้นไม่นานก็ถึงกำหนดการเดินทางกลับเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเจ้าน้อยฯ เพิ่งจะมีอายุครบ ๒๐ ปี จึงได้ตัดสินใจให้มะเมียะปลอมตัวเป็นชายติดตามขบวนเพื่อกลับไปยังเมืองเชียงใหม่ ในฐานะเพื่อนหนุ่มชาวพม่า โดยหารู้ไม่ว่าเจ้าพ่อและเจ้าแม่ของตนได้หมั้นหมายเจ้าหญิงบัวนวล ธิดาของเจ้า สุริยวงษ์ (คำตัน สิโรรส) ให้เป็นคู่หมั้นของเจ้าน้อยฯ เป็นการภายในตั้งแต่ปีที่เจ้าน้อยฯ เดินทางไปศึกษาเล่าเรียนในเมืองพม่า
หลังจากที่ต้องแอบซ่อนมะเมียะไว้ในบ้านหลังเล็ก ที่เจ้าพ่อและเจ้าแม่จัดเตรียมไว้ให้เป็นที่พักมาแล้วหลายวัน เจ้าน้อยศุขเกษมได้ใช้เวลาคิดใคร่ครวญและตัดสินใจเล่าความจริงให้ทั้งสองฟัง แม้ว่าจะไม่มีคำใดเอื้อนเอ่ยออกมาในขณะนั้น แต่เจ้าน้อยฯ ก็พอจะทราบได้ว่าทั้งสองไม่ยอมรับมะเมียะเป็นศรีสะใภ้อย่างแน่นอนเนื่องจากปัญหาใหญ่ในขณะนั้น คือเจ้าน้อยเป็นผู้ที่ได้รับการคาดหวังว่าจะได้รับตำแหน่งเจ้าหลวงองค์ถัดไปจากเจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ ซึ่งเป็นพระเจ้าลุง หากเจ้าน้อยฯ เลือกมะเมียะมาเป็นศรีภรรยา ประชาชนย่อมต้องเกิดความอึดอัดใจในการยอมรับมะเมียะผู้เป็นหญิงต่างชาติมาดำรงฐานะศรีภรรยาของเจ้าเมืองอย่างแน่นอน
ในสถานการณบ้านเมืองขณะนั้นน่าวิตกมาก เนื่องจากมหาอำนาจอังกฤษกำลังแผ่อิทธิพลไปทั่วดินแดนในคาบสมุทรเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ มะเมียะซึ่งเป็นคนในบังคับของอังกฤษและกำลังอาศัยอยู่ในคุ้มของอุปราช (ขณะนั้นเจ้าแก้วนวรัฐดำรงตำแหน่งอุปราชเมืองเชียงใหม่) อาจเป็นชนวนของปัญหาทางการเมืองที่ใหญ่โตได้ในภายหลัง ในที่สุดเจ้าพ่อและเจ้าแม่จึงเรียกตัวเจ้าน้อยฯไปพบ และยื่นคำขาดให้เจ้าน้อยส่งตัวมะเมียะกลับเมืองมะละแหม่ง เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมือง ในยามเย็นวันนั้นเอง เจ้าน้อยได้เข้าพิธีเรียกขวัญและรดน้ำมนตที่เจ้าพ่อกับเจ้าแม่จัดขึ้น เพื่อขจัดสิ่งชั่วร้ายที่ท่านทั้งสองเชื่อว่ามะเมียะได้กระทำแก่เจ้าน้อยฯ อันเป็นเหตุให้เจ้าน้อยฯ หลงไหลในตัวนาง หลังจากพิธีรดน้ำมนต์ผ่านพ้นไป ช้างพาหนะและไพร่พลที่จะใช้ในการส่งตัวมะเมียะกลับเมืองมะละแหม่งก็ถูกจัดเตรียมทันทีตามคำสั่งของเจ้าแก้วนวรัฐ
เมื่อเจ้าน้อยฯ กลับไปถึงที่พักในคืนนั้น มะเมียะได้รับการเกลี้ยกล่อมโดยหญิง-ชาย ชาวพม่าฝ่ายละคน ให้นางกลับไปรอเจ้าน้อยฯ ที่เมืองมะละแหม่ง มิฉะนั้นบ้านเมืองอาจเดือดร้อน นางได้เอ่ยขึ้นด้วยความเสียใจและยินยอมจากไปเพื่อมิให้ผู้ใดได้รับความเดือดร้อน แม้ตัวนางจะจากไกล แต่ความรักอันมั่นคง ยังคงอยู่ดังคำสาบานที่เคยให้ไว้แก่กันและกัน ฝ่ายเจ้าน้อยฯ ยังคงยืนยันในความรักที่มีต่อมะเมียะ และขอให้นางกลับไปรอที่บ้านก่อน หากมีวาสนาจะกลับไปรับนางมาอยู่ด้วยกันที่เชียงใหม่ให้ได้
ในเช้าวันหนึ่งของเดือนเมษายน นับเป็นวันเดินทางกลับเมืองมะละ แหม่งของมะเมียะที่ดูเหมือนจะเป็นการจากลาชั่วนิรันดร์ ณ ประตูหายยาที่เนืองแน่นไปด้วยประชาชนที่ใคร่เห็นโฉมหน้าของมะเมียะ ที่ลือกันว่างามนักงามหนา บรรยากาศเต็มไปด้วยความหดหู่และเศร้าหมอง เมื่อเจ้าน้อยฯ พูดภาษาพม่ากับมะเมียะได้เพียงไม่กี่คำ นางผู้มีใจรักมั่นได้ร่ำไห้ด้วยความอัดอั้นตันใจ ในอ้อมแขนที่ยากจะแยกจากกันได้ เวลานั้นก็ล่วงเลยไปมากแล้ว เจ้าน้อยฯ ได้รับปากกับมะเมียะว่าตนจะยึดมั่นในคำปฏิญาณที่ให้ไว้ต่อหน้าพระพุทธรูปวัดใจ้ตะหลั่นจนกว่าชีวิตจะหาไม่ หากท่านนอกใจมะเมียะโดยสมรสกับหญิงอื่น ขอให้ชีวิตของตนประสบแต่ความทุกข์ทรมานใจ แม้แต่อายุก็จะไม่ยืนยาว เจ้าน้อยฯ ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าภายใน เดือนจะกลับไปหามะเมียะให้จงได้ นางจึงคุกเข่าลงกับพื้น ก้มหน้า สยายผมออกเช็ดเท้าเจ้าน้อยฯ ด้วยความอาลัยหา ก่อนที่เธอจะขึ้นไปบนกูบช้าง
เมื่อกลับไปถึงเมืองมะละแหม่งแล้ว มะเมียะได้มอบเงินทองจำนวนหนึ่งซึ่งเจ้าแก้วนวรัฐและเจ้าแม่จามรีมอบให้นางก่อนเดินทางกลับเป็นการปลอบขวัญแก่พ่อแม่และน้อง จากนั้นนางได้แต่เฝ้ารอคอยเจ้าน้อยฯ จนครบกำหนด เดือนที่ท่านได้รับปากไว้ แต่นี่กระไรกลับไร้วี่แววใดๆ มะเมียะจึงตัดสินใจเข้าพึ่งใต้ร่มพุทธจักร ครองตนเป็นแม่ชีเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ว่านางยังซื่อสัตย์ ต่อความรักที่มีต่อเจ้าน้อยศุขเกษม
หลังจากที่มะเมียะทราบข่าวการเข้าพิธีมงคลสมรส ระหว่างร้อยตรีเจ้าอุตรการโกศล (ยศของเจ้าน้อยฯ ในขณะนั้น) กับเจ้าหญิงบัวนวล ณ เชียงใหม่ แม่ชีมะเมียะจึงเดินทางมายังเมืองเชียงใหม่และขอเข้าพบเจ้าน้อยฯ เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อแสดงความยินดีกับชีวิตที่กำลังรุ่งโรจน์ องค์อดีตสวามีผู้เป็นที่รัก ก่อนที่ตนจะตัดสินใจครองตนเป็นแม่ชีไปตลอดชีวิต แต่เจ้าน้อยศุขเกษมผู้ยึดสุราเป็นที่พึ่งดับความกลัดกลุ้มอันเกิดจากความรักอาลัยในตัวมะเมียะ ชีวิตที่ไม่เคยมีความสุขในชีวิตสมรส ท่านไม่สามารถหักห้ามความสงสารที่มีต่อมะเมียะได้ จึงไม่ยอมลงไปพบแม่ชีมะเมียะตามคำขอร้อง เพียงแต่มอบหมายให้เจ้าบุญสูง พี่เลี้ยงคนสนิท นำเงินจำนวน ๘๐บาท ไปมอบให้กับแม่ชีมะเมียะเพื่อใช้ในการทำบุญ พร้อมกับมอบแหวนทับทิมประจำกายอีกวงหนึ่งเป็นตัวแทนของเจ้าน้อยฯ ให้กับแม่ชีมะเมียะ
เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นทำให้มะเมียะและเจ้าน้อยต่างสะเทือนใจเป็นที่สุด หลังจากเดินทางถึงเมืองมะละแหม่ง มะเมียะได้ครองชีวิตเป็นแม่ชีตามความตั้งใจ จนกระทั่งถึงแก่กรรมในปี พ.ศ.๒๕๐๕ รวมอายุได้ ๗๕ ปี
 
จากตำนานรักระหว่างเจ้าน้อยศุขเกษมและมะเมียะ ได้รับการเผยแผ่ทั้งโดยการเล่าขานสืบต่อกันมา จากการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว อาจกล่าวได้ว่าสาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้คนทั่วไปรู้จักเจ้าน้อยฯ และมะเมียะมากขึ้น คือ "เพลงมะเมียะ" ซึ่งขับร้องโดยคุณจรัล มโนเพชร นักร้อง โฟลคซองชาวล้านนา ดังเนื้อเพลงที่ยกมาต่อไปนี้

"มะเมียะ"

มะเมียะเป็นสาวแม่ค้า คนพม่าเมืองมะละแหม่ง
งามล้ำเหมือนเดือนส่องแสง คนมาแย่งหลงรักสาว
มะเมียะบ่ยอมรักไผ มอบใจหื้อหนุ่มเชื้อเจ้า เป็นลูกอุปราชท้าวเชียงใหม่
แต่เมื่อเจ้าชายจบการศึกษา จำต้องลาจากมะเมียะไป
เหมือนโดนมีดสับดาบฟันหัวใจ ปลอมเป็นพ่อชายหนีตามมา
เจ้าชายเป็นราชบุตร แต่สุดที่รักเป็นพม่า ผิดประเพณีสืบมา ต้องร้างลาแยกทาง
โอโอก็เมื่อวันนั้น วันที่ต้องส่งคืนบ้านนาง
เจ้าชายก็จัดขบวนช้างให้ไปส่งนางคืนทั้งน้ำตา
มะเมียะตรอมใจอาลัยขื่นขม ถวายบังคมทูลลา สยายผมลงเช็ดบาทบาทา
ขอลาไปก่อนแล้วชาตินี้เจ้าชายก็ตรอมใจตาย มะเมียะเลยไปบวชชี
ความรักมักเป็นเช่นนี้ แลเฮย.........

ออฟไลน์ chinjung

  • ปัญจมะ
  • *****
  • กระทู้: 428
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เมาะละแหม่ง, หมะเมียะ และรักอันรันทด
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 17 มี.ค. 2552, 06:43:08 »
ยาวๆทั้งนั้เลย

ออฟไลน์ น้องลิงน้อย

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 1127
  • เพศ: หญิง
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เมาะละแหม่ง, หมะเมียะ และรักอันรันทด
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 17 มี.ค. 2552, 07:53:00 »
:075:ยาวมากมาย แต่ก็มีสาระมากมายเช่นกันนะเนี่ย  :053: :053:

  :054:ขอบคุณท่านขุนส่องค่ะที่นำสาระดีๆ มาให้อ่านอีกแล้ว  :053: :002:

porvfc

  • บุคคลทั่วไป
ตอบ: เมาะละแหม่ง, หมะเมียะ และรักอันรันทด
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 18 มี.ค. 2552, 10:43:39 »
ปลดโธ ธัมโม สังโฆ เหียเต๊อะ....ปี้ขุนฯ ย้าว ยาว แต้ๆๆเลย อ่านวันเดียวก่อบ่หมด  วันพรุ่งจะมาอ่านต่อเน้อ จะอ่านฮือจบเลย เพราะว่าต่อนี้กำลังมีความฮักอยู่ อยากจะฮู้ว่าฮักทรหด นั้นเป๋นจะใดพ่อง  จะได้นำไปเป๋นทฤษฏีแนะนำแนวทางชีวิต อิอิ  วันพรุ่งจะมาต่อเน้อ คืนนี้ไปนอนก่อน ไข้หลับละ บ้าย บาย

ออฟไลน์ ขุนส่อง

  • คนเหนือ เหนือคน
  • ฉัฏฐะ
  • *
  • กระทู้: 199
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: เมาะละแหม่ง, หมะเมียะ และรักอันรันทด
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 19 มี.ค. 2552, 08:37:23 »
รีบๆมาอ่านเร็วๆเน้อครับ

 :002:  :002:  :002:  :002:  :002:

ออฟไลน์ nutagul

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 573
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เมาะละแหม่ง, หมะเมียะ และรักอันรันทด
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 19 มี.ค. 2552, 10:21:38 »
ขอบคุณจ้าดนักครับ อ่านจ๋นปอก้าย เป๋นความฮู้ดีๆของจาวเหนือ
อิติสุคโตอะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ ฐิตคุโณอาจาริโย จะมหาเถโร มหาลาโภ สัพพะสุขขัง จะมหาลาภัง สัพพะโภคัง สัพพะธะณัง ภะวัณตุเม

ออฟไลน์ ۞เณรน้อยเส้าหลิน۞

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 1560
  • เพศ: ชาย
  • ไม่สู้ ไม่หนี ทําดีเรื่อยไป
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เมาะละแหม่ง, หมะเมียะ และรักอันรันทด
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 19 มี.ค. 2552, 10:28:19 »
ขอบคุณมากครับพี่ขุนส่อง  ผมชอบเรื่องนี้มาก  มันอยู่ในใจผมมานานแล้วครับ เพราะเมื่อหลายไปก่อน  ก่อนที่ผมจะเข้ามหาลัย  มีผู้หญิงคนหนึ่งได้นำซีดีมาส่งให้ผม  ผมก็งงๆครับ แต่ก็รับเอาไว้

พอกลับมาบ้านก็เปิดฟังครับ  ครั้งแรกที่ฟังเหมือนถูกดึงเข้าไปอยู่ในห้วงเวลาหนี่ง  แล้วก็นึกถึงคนที่เราเคยรักทุกๆคน  นึกสงสารมะเมี๊ยกับเจ้าชายศุขเกษมครับ   เพลงนี้ชื่อว่า มะเมี๊ย  - จรัล  มโนเพ็ชร

พอหลายวันไปเจอน้องคนนี้  เธอได้ถามผมว่าฟังเพลงหรือยัง  ผมบอกว่า  ฟังแล้ว  เธอบอกว่า  ขอร้องให้ฟังมันหลายๆครั้งนะ  เธอฟังมาตั้งแต่เด็ก  และเวลาที่แม่ของเธอได้ยินเพลงนี้ทางวิทยุ  แม่ของเธอจะน้ำตาไหล ร้องไห้ทุกครั้ง  และประโยคสุดท้ายที่เธอบอกผมว่า "คนเราจะรีบทำอะไรก็ทำซะนะ รู้สึกอย่างไรก็บอกกัน  อย่าให้เวลามันผ่านไป จนไม่สามารถจะกลับมาแก้ไขได้"  ประโยคนี้ทำให้ผมเริ่มรู้ว่าเธอรักผมครับ

ที่สำคัญผมชอบเธอครับ แต่ผมก็ไม่กล้าบอกเธอครับ  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร  หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เจอน้องคนนี้อีกเลยครับ รู้สึกเสียดายมากๆครับ

ว่าไปแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยดีเลยครับ  ใจหมองซะแล้ว  อิอิ

ขอบคุณครับ
ครูผู้บริสุทธิ์ ครูผู้หมดกิเลสเครื่องเศร้าหมอง
ครูผู้มี"พระปัญญาธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ" อย่างประมาณมิได้
บรมครูผู้นั้นคือ "สมเด็จพระพุทธเจ้า"
ขอนอบน้อมกราบกรานพระบรมศาสดา

ออฟไลน์ ชลาพุชะ

  • เราอาจไม่รู้มากนัก แต่เรารู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร
  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 1526
  • เพศ: ชาย
  • ที่นี่คือเว็บวัดบางพระ เราก็ศิษย์วัดบางพระ
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เมาะละแหม่ง, หมะเมียะ และรักอันรันทด
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 19 มี.ค. 2552, 12:20:33 »
น่าเศร้า ที่รักกันไม่ได้กัน

ออฟไลน์ อชิตะ

  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 3218
  • เพศ: ชาย
    • MSN Messenger - aston_25@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เมาะละแหม่ง, หมะเมียะ และรักอันรันทด
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 19 มี.ค. 2552, 12:42:19 »
แบบเอื้องผึ้ง-จันผา เลยนะครับ   เรื่องเดียวกันหรือเปล่า นะ    :005: :005:

ออฟไลน์ ปาท่องโก๋

  • ตติยะ
  • ***
  • กระทู้: 56
  • เพศ: หญิง
  • ไม่เสียสละ ชัยชนะไม่เกิด
    • MSN Messenger - thongma4@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เมาะละแหม่ง, หมะเมียะ และรักอันรันทด
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: 19 มี.ค. 2552, 02:28:50 »
ไม่ชอบเลย รักกันต้องมาพรากจากกันเพราะการเมือง 23;

  ไม่เสียสละ  ชัยชนะไม่เกิด 

ออฟไลน์ กุ๊งกิ๊ง

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 558
  • เพศ: หญิง
  • *_*..ปิดทองใต้ฐานพระ..*_*
    • ดูรายละเอียด
    • หมู่บ้านคาถาอาคม บริหารโดย Kungking
ตอบ: เมาะละแหม่ง, หมะเมียะ และรักอันรันทด
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: 19 มี.ค. 2552, 02:52:17 »
เจ้าน้อยศุขเกษมเป็นชายหนุ่มรูปงาม ซึ่งชาวพม่า มอญ ยกย่องสรรเสริญความงามของหม่อมเจ้าน้อยศุขเกษมเสียเลิศลอย

" พิศโฉมและฟังเสียง ละก็เพียงจะขาดใจ
โอ้นอนจะหลับไหล ฤาฉะนี้นะอกเอ๋ย
ขืนนอนก็ร้อนเร่า ฤดีเฝ้าคนึงเชย
หากขืนจะนอนเฉย อุระอาจพังภินทร์ "

"มะเมี๊ยะ" ขณะนั้นมะเมี๊ยะเป็นเพียงแม่ค้าสาวชาวพม่า
หน้าตาพริ้มเพราได้พบกับเจ้าน้อยศุขเกษมครั้งแรกเมื่ออายุเพียง 16 ปี ขณะนั้นมะเมี๊ยะเป็นเพียงแม่ค้าขายบุหรี่ในตลาดเมืองมะระแหม่ง

" ขนตายาวราวปีกคลีของผีเสื้อ
มองไม่เบื่อจูงใจไปจำหลัก
ตาคมซึ้งตรึงอุระดังชะนัก
เป็นรอยปักแนบแน่นแก่นชีวิต "

เมื่อทั้งสองได้พบกันจึงเกิดเป็นความรัก ได้อยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาเรื่อยมา และในวันพระ ทั้งสองจะพากันไปทำบุญที่วัดในเมืองมะระแหม่งอยู่เสมอ ณ ที่ลานพระบรมธาตุศักดิ์สิทธิ์-ปูชนียสถานเก่าแก่ดั้งเดิม คู่บ้านคู่เมืองของเมืองมะระแหม่งนั้นเอง ทั้ง สองหนุ่มสาวซึ่งได้ครองรักเยี่ยงสามีภริยากัน หลังจากติดต่อกันไม่นานได้นั่งหมอบเคียงคู่ให้สัตย์ ปฏิญาณสาบานต่อกันว่า จะซื่อตรงจงรักไม่แปรผันชั่วชีวิตดับ ทั้งเจ้าหนุ่มและมะเมี๊ยะสาวน้อย ผู้ยังไม่ เดียงสาต่อโลกและชีวิต เฝ้าแต่เพียงว่า

" สิ่งกีดขวางระหว่างชนสองคนเพศ
ใช้เส้นเขตขีดรอบเป็นขอบขันธ์
ใช้สัญชาติ, ศาสน์, เหล่าหรือเผ่าพันธ์
แต่สิ่งนั้นคือศักดิ์ที่รักดี "

ภาพของเจ้าน้อยสุขเกษม ทรงรูปงามศิริโฉมเป็นยิ่งนัก

ออฟไลน์ ปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)

  • *โปรดระวัง - สีลัพพตปรามาส, ๗ เดือน ๑๙ วันจะเก็บแต่ความทรงจำที่ดีๆไว้, ตถตา (เช่นนั้นเอง).
  • ...
  • *****
  • กระทู้: 6436
  • เพศ: ชาย
  • ผู้สอนคือผู้ลวง? ผู้เรียนคือผู้หัดที่จะลวง?
    • ดูรายละเอียด
    • เฟสบุ๊ควัดบางพระ (หลวงพ่อเปิ่น)
ตอบ: เมาะละแหม่ง, หมะเมียะ และรักอันรันทด
« ตอบกลับ #12 เมื่อ: 19 มี.ค. 2552, 08:36:47 »
ลึกซึ้งกินใจ นิยามอีกบทหนึ่งของความรัก ขอบคุณอีกครั้งครับอย่าสุดซึ้ง  :054:

ออฟไลน์ tum72

  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 2246
  • ณ ตลาดพลู
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เมาะละแหม่ง, หมะเมียะ และรักอันรันทด
« ตอบกลับ #13 เมื่อ: 19 มี.ค. 2552, 09:26:36 »
มีความหมายในตัวเองครับ ขอบคุณครับ
โอม ราศีกูเอ๋ย  จงมาเป็นอาสน์  สีธาวาส  มาเป็นเกียรติ  ศรีชายมาเป็นช่วง
หญิงชายทั้งปวง รักกูมิรู้วาย  ด้วยราศีกูงามคือฟ้า  หน้ากูงามคือพรหม
หญิงเห็นหญิงรัก  ชายเห็นชายทัก  กูอยู่ทุกเมื่อ  ไม่เบื่อแต่สักวัน
โอม หญิงชายทั้งหลายเอ๋ย  มา

porvfc

  • บุคคลทั่วไป
ตอบ: เมาะละแหม่ง, หมะเมียะ และรักอันรันทด
« ตอบกลับ #14 เมื่อ: 19 มี.ค. 2552, 11:00:14 »
มาอ่านต่อจนจบแล้วค่ะ พี่ขุนฯ ซึ้งอ่ะคะ  23; ไม่อยากให้ความรักจบลงเหมือน มะเมี๊ยะเลยนะ 23;

ออฟไลน์ ۞เณรน้อยเส้าหลิน۞

  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 1560
  • เพศ: ชาย
  • ไม่สู้ ไม่หนี ทําดีเรื่อยไป
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เมาะละแหม่ง, หมะเมียะ และรักอันรันทด
« ตอบกลับ #15 เมื่อ: 20 มี.ค. 2552, 12:24:42 »
สำหรับคนที่ยังไม่เคยฟังเพลง มะเมี๊ยะ   ลองฟังดูนะครับ

แต่ผมมีข้อแม้นะครับ  ว่าคนที่ฟัง ดูมิวสิคเพลง เมื่อดูเสร็จแล้วขอให้สำรวมจิตเป็นสมาธิ  นึกถึงบุญกุศลที่ทุกท่านได้กระทำมาทั้งหมด แล้วอาราธนาบุญทั้งหมดมาประชุมรวมกัน ณ ศูนย์กลางกาย ให้มีอานุภาพไม่มีประมาณ  แล้วค่อยอุทิศบุญนั้นให้แด่คุณปู่ทวดเจ้าศุขเกษม ณ เชียงใหม่และคุณย่าทวดมะเมี๊ยะ  ขอให้ท่านทั้งสองได้อยู่ในสุคติภูมิ  เมื่อถึงคราวที่จะต้องมาเกิด ขอให้ได้อัตภาพของมนุษย์ มีเพศที่บริสุทธิ์  ครบถ้วนบริบูรณ์ทั้ง 32 ประการ  ให้ได้เกิดให้ครอบครัวสัมมาทิฏฐิ  ครอบครัวมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ค้ำจุนพระพุทธศาสนา  มีบิดา มารดาที่อยู่ในศีลในธรรม  เมื่อเกิดมาแล้วให้สามารถรู้แจ้งเห็นแจ้งในกฏแห่งกรรมทั้งปวง  ได้ปฏิบัติธรรมตั้งแต่เยาว์วัย  มีดวงตาเห็นธรรม ปราบมาร ประหารกิเลส ให้สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ  ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรมเทอญ  นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ.

ผมก็ขอกับทุกท่านแค่นี้แหละครับ  ในฐานะที่เราทั้งหลายได้นำเรื่องของท่านมาเล่าสู่กันฟัง มาเป็นอุทาหรณ์เรื่องความรัก ในการดำรงชีวิต  ผมก็อยากจะตอบแทนท่านบ้างครับ

เพราะนิสัยโดยส่วนตัวของผมแล้ว ถ้าผมอ่านหนังสือหรือบทความที่กล่าวถึงใคร  ผมได้ยินคำสอนของท่านใด  ผมจะนั่งสมาธิ  ทำบุญแล้วอุทิศให้ทุกๆท่านครับ ผมถือว่าได้มีบุญกุศลซึ่งกันและกัน ได้มีบุญคุณกันมาในชาติก่อน  ชาตินี้ผมถึงได้อ่านบทความของท่าน  ได้ยินเรื่องราวของท่าน  ผมจึงนำมาสอนตนเองได้  มาเป็นบทเรียนให้กับชีวิตของผมได้  ผมจึงอุทิศบุญ เพื่อตอบแทนพระคุณของท่านครับ

http://www.youtube.com/watch?v=XlQfNA1DRTU&feature=related  - เวอร์ชั่นของจรัล มโนเพ็ชรครับ

http://www.youtube.com/watch?v=Sj2J60s84yE&feature=related  - เวอร์ชั่นของสุนทรี  เวชชานนท์ครับ

แต่เนื้อร้องน่าจะคนเดียวกันนะครับ


ขอบคุณครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20 มี.ค. 2552, 12:29:25 โดย ۞เณรน้อยเส้าหลิน۞ »