หมวด ผู้ทรงวิทยาคุณ (เกจิอาจารย์) > เกจิอาจารย์ภาคอีสาน

หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม (๒/๔)

(1/2) > >>

ทรงกลด:
ต่อจากตอนที่ 1
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23638


ทีมารูปภาพ http://www.santidham.com/tatu1st/tatu/present/p-taou/p-taou.html
e ๓๓ f
อดีตพระราชาเมืองตองฮู้

วิญญาณที่มาในรูปชีปะขาวหนุ่มได้เล่าเรื่องราวในอดีตของตนถวายหลวงปู่ว่า

“แต่ก่อนข้าพเจ้าเป็นพระราชาอยู่เมืองตองฮู้ ระยะแรกได้เมินเฉยต่อพระธรรมคำสอน เพราะโลภมากในทรัพย์สมบัติ แต่ระยะหลังๆ ตอนบั้นปลายของชีวิตได้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์เคยเสด็จมาโปรด ข้าพเจ้าก็ได้รับศีลรับพรจากท่าน ได้กราบทูลขอให้พระพุทธองค์ได้ประทับรอยพระบาทไว้เพื่อเป็นที่สักการบูชาแก่ชาวเมือง

พระองค์ได้ทรงประทับรอยพระพุทธบาทไว้อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล อยู่กลางแม่น้ำที่พนังหินกลางแม่น้ำ แม่น้ำนี้ลึกท่วมหลังช้างเท่านั้น ไม่ลึกมากเท่าไรแม่น้ำนี้อยู่ใกล้เมืองประดู่ขาว

ปัจจุบันแม่น้ำนี้เรียกชื่อว่า แม่น้ำปอน และเมืองประดู่ขาวเปลี่ยนเป็น เมืองรัว”

วิญญาณนั้นบอกย้ำอีกว่า “รอยพระพุทธบาทนั้นอยู่กลางแม่น้ำนั้น นิมนต์ท่านไปดูและนมัสการด้วย ถ้าท่านนับถือพระพุทธเจ้าจริงๆ แล้วก็จะบอกหนทางเดินให้ แต่ท่านอย่าลืมว่าตรงปากทางเข้าไปจะถึงแม่น้ำนั้น จะมีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง เมื่อเข้าไปในถ้ำนั้นจะเห็นหินยาวรีมีลักษณะคล้ายงู แต่เป็นก้อนหินธรรมดา มนุษย์ทั่วไปเข้าใจว่าเป็นงูเพราะมีแต่ความกลัวเป็นใหญ่ ให้ท่านเดินข้ามไปหรือเหยียบไปเลยก็ได้ และภายใต้หินก้อนนั้นมีไหเงินและทองคำอยู่ ๔ ไห ถ้าหากท่านพระอาจารย์จะเอาไปเพื่อเป็นการเมตตาต่อข้าพเจ้าแล้วก็ขอน้อมถวายท่านเลย”

เมื่อพูดเพียงนี้แล้ว ชีปะขาวหนุ่มนั้นก็กราบลาแล้วก็หายไป

e ๓๔ f
เดินทางไปดูรอยพระพุทธบาท

หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโมได้พักภาวนาอยู่ที่นั่นเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ก็ออกเดินทางเพื่อไปดูรอยพระพุทธบาทตามที่วิญญาณอดีตพระราชาเมืองตองฮู้ ได้บอกไว้เมื่อคืนก่อน
หลวงปู่เล่าว่า ท่านใช้เวลาเดินทางตามที่วิญญาณบอก ๑ วันเต็มๆ ก็ไปถึงปากถ้ำทางเข้าไปเพื่อดูรอยพระพุทธบาทนั้น ท่านได้พบก้อนหินยาวเหมือนรูปงูจริงๆ ซึ่งมันก็เป็นก้อนหินธรรมดานั่นเอง เดินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงริมแม่น้ำ ก็มองเห็นหินก้อนใหญ่เหมือนภูเขาทั้งลูกตั้งอยู่กลางแม่น้ำเลย และก็ได้พบรอยพระพุทธบาทตามคำบอกเล่าจริงๆ

รอยพระพุทธบาทนี้ยาวประมาณ ๘ ศอก กว้าง ๖ ศอก สูง ๔ ศอก โดยประมาณเห็นจะได้

เมื่อพิจารณาแล้ว เห็นว่าเป็นรอยพระพุทธบาทที่พระพุทธองค์ประทับไว้จริงๆ หลวงปู่ จึงได้กระทำการสักการะ แล้วก็จากสถานที่นั้นไป

ขณะที่หลวงปู่ตื้ออยู่ปฏิบัติภาวนาในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตามดอยตามป่าต่างๆ นั้น ท่านมักจะเจอกับพวกกายทิพย์ และมีเหตุการณ์แปลกๆ มารบกวนการบำเพ็ญภาวนาของท่านเสมอ

หลวงปู่ได้ใช้ความอดทนอดกลั้นเอาชนะด้วยการบำเพ็ญภาวนาไปทุกครั้ง
พวกวิญญาณหรือกายทิพย์ทั้งหลายเหล่านี้ ส่วนมากมักจะเป็นพวกที่อยู่เฝ้าสมบัติมีค่าต่างๆ เมื่อได้ทดสอบความมั่นคงทางจิตใจของหลวงปู่แล้ว วิญญาณเหล่านั้นก็จะบอกถวายสมบัติที่พวกเขารักษานั้นให้ แต่หลวงปู่ก็ไม่เคยสนใจ คงมุ่งหน้าแต่การปฏิบัติพระธรรมกรรมฐานเพียงอย่างเดียว

e ๓๕ f
พุทโธช่วยให้พ้นภัยอันตรายได้

ลูกศิษย์ลูกหาต่างก็เชื่อมั่นว่า นับตั้งแต่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านบวชมาในพระพุทธศาสนาท่านก็ได้ดำเนินปฏิปทาในการปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ไม่เคยรู้สึกท้อแท้ หลวงปู่ท่านบอกว่า “จงสละไปเถิดวัตถุธรรม เพื่อความดี คือพระธรรม อันเป็นความดีที่สุดของชีวิต”

จากเรื่องราวชีวิตของหลวงปู่ จะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่ท่านได้ออกธุดงค์ครั้งแรกเป็นต้นมา ก็จะพบเจ้าที่เจ้าทางและวิญญาณทั้งหลายมาทดสอบความเข้มแข็งทางจิตใจ เพื่อจะเอาชนะท่านเสมอ แต่ด้วยวิสัยของลูกศิษย์พระตถาคตแล้ว ท่านไม่เคยท้อแท้ หรือลดละความพยายามในการปฏิบัติธรรมเลย

การท่องธุดงค์ของหลวงปู่ มักจะเป็นการผจญภัยใกล้ต่ออันตรายในชีวิตเสมอ นับเป็นปกติที่หลวงปู่ไม่ได้ฉันอาหารติดต่อกันตั้งแต่ ๗-๑๕ วัน เพราะต้องท่องเที่ยวอยู่ในป่าเขาที่ไม่พบผู้คนเลย ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าหลวงปู่ตื้อ และพระธุดงค์ทั้งหลายท่านไม่มีความพึงพอใจในการกระทำเช่นนั้น ท่านเต็มใจทำไปเพื่อความเห็นแจ้งตามแนวทางธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง

เมื่อเวลาท่องธุดงค์ในป่าเขาที่ห่างบ้านผู้คน ท่านจะต้องนึกเอา พุทโธ เป็นอารมณ์ทำให้เกิดกำลังใจ จิตใจแช่มชื่น ทนต่อความหิวและความกระวนกระวายลงได้

ท่านทั้งหลายยอมสละตาย มอบกายถวายชีวิตเพื่อค้นหาพระธรรม จึงไม่มีอะไรที่จะเป็นอุปสรรคต่อการบำเพ็ญเพียรของท่านเลย ท่านมีใจเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นต่อการค้นหาพระธรรมอย่างแท้จริง
นิสัยของหลวงปู่ตื้อที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ท่านชอบรู้สิ่งต่างๆ ที่เร้นลับ เช่น พวกกายทิพย์ ผีสางเทวดา เปรต และวิญญาณต่างๆเป็นต้น

หลวงปู่เคยเล่าให้บรรดาศิษย์ฟังเสมอ เกี่ยวกับพวกกายทิพย์นี้ เรื่องที่ท่านบอกเล่าล้วนแต่น่าอัศจรรย์ เพราะเป็นเรื่องที่นอกเหนือที่มนุษย์ธรรมดาสามัญจะรู้ได้ แต่สำหรับผู้สนใจใฝ่รู้ในด้านการปฏิบัติตามแนวทางพระพุทธศาสนาแล้วก็เชื่อมั่นว่าเป็นความจริง

หลวงปู่ตื้อ ท่านยืนยันว่าเรื่องสิ่งเร้นลับต่างๆ เกี่ยวกับภพภูมิที่แตกต่างออกไป เช่นพวกกายทิพย์ เทวดา ผีสางนางไม้ สัตว์นรกและเปรตต่างๆ นั้นเป็นสิ่งที่มีจริง สามารถสัมผัสรู้เห็นได้ ถ้าเรามีการฝึกฝนด้านจิตใจจนมีความละเอียดเพียงพอ

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-tue/lp-tue-hist-03.htm

ทรงกลด:
e ๓๖ f
ถือเอาเสือเป็นอาจารย์กรรมฐาน

เกี่ยวกับการผจญกับสัตว์ร้ายต่างๆ เช่นเสือ เป็นต้น ซึ่งพระธุดงค์ที่เดินทางในป่าดงในสมัยก่อน มักจะต้องพบเห็นอยู่เสมอ

หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านถือว่า เสือเป็นอาจารย์ในการปฏิบัติกรรมฐาน คือมาช่วยสอน ช่วยเตือน ให้พระธุดงค์ไม่ประมาทในการบำเพ็ญเพียรของตน ต้องทำสมาธิภาวนาอย่างไม่ลดละ
หลวงปู่ท่านว่า เสือคือเทพเจ้าที่คอยรักษาเอาให้ปลอดภัยจากการเดินธุดงค์ในป่าเขา ไม่ว่าเสือจริงๆ หรือเสือเทพเนรมิต เพราะเสือที่ท่านพบมักแสดงเหมือนกับรู้ภาษาคน
หลวงปู่เล่าว่า “เวลาที่เสือมาหาเราในป่า เราก็เร่งภาวนาให้จิตยึดใน พุทโธ เป็นอารมณ์ ไม่ฟุ้งซ่านรำคาญ ทำให้การปฏิบัติกรรมฐานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี

เช้าขึ้นก็ออกเที่ยวบิณฑบาตตามสมณวิสัย ฉันอาหารบิณฑบาตแล้วก็นั่งสมาธิภาวนา พิจารณาอาการ ๓๒ ของร่างกายที่เราหลงใหลว่าเป็นของสะอาดงดงาม เมื่อรู้สึกง่วงก็เดินจงกรมภาวนา เพื่อป้องกันนิวรณ์มาครอบงำ
สำหรับเวลากลางคืนนั้น บำเพ็ญความเพียรโดยตลอด เวลาพักผ่อนจำวัดมีน้อยมาก ทำกิจวัตรอย่างนี้ไม่เคยขาด ทำอยู่เสมอและทำด้วยความพอใจที่สุด ไม่ได้ห่วงหน้าห่วงหลัง ยึดพุทโธ เป็นสรณะตลอด ไม่เคยประมาท”

หลวงปู่ท่านเน้นย้ำว่า “ตราบใดที่จิตของเรายังมีอารมณ์ยึดมั่นอยู่กับพุทโธ เสือนั้นจะไม่ทำอันตรายอะไรเรา ไม่ว่าจะเป็นเสือจริงหรือเสือเทพเนรมิตก็ตาม แต่ถ้าจิตเรามัวแต่รักตัวกลัวตาย จนลืมภาวนาพุทโธ และจิตห่างจากพุทโธคราวใด เสือนั้นก็จะจ้องคอยทำร้ายให้เป็นอันตรายแก่ชีวิตได้

ด้วยเหตุนี้ หลวงปู่ตื้อ ท่านจึงไม่กลัวเสือ ท่านถือว่าเสือเป็นอาจารย์สอนให้เราได้ภาวนา และรู้จักคุณของพุทโธ
หลวงปู่ท่านยังแนะอีกว่า ในเรื่องของภูตผีปีศาจก็ตาม ถ้าหากใครกลัวผี ก็ให้ไปอยู่ภาวนาในป่าช้า จิตจะได้ตื่นกลัว แล้วจะได้ตั้งใจภาวนาตลอดคืนจนจิตเกิดสมาธิและสงบลง ทำให้หายกลัวไปได้
เพราะอานุภาพของพุทโธ และจิตที่เป็นสมาธิ พวกภูตผีต่างๆ จึงไม่สามารถทำอันตรายใดๆ แก่เราได้ และเมื่อเราแผ่เมตตาให้ พวกนั้นก็ยินดีน้อมรับในส่วนบุญ กลายเป็นมิตรกับเราไปเสียอีก

เรื่องราวข้างต้นนี้ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม  ได้เมตตาเล่าให้พระเณรฟัง เป็นเหตุการณ์เมื่อครั้งท่านจำพรรษาอยู่ที่พระบาทบัวบก จังหวัดอุดรธานี ก่อนที่จะเดินทางมาบำเพ็ญเพียรที่เชียงใหม่

e ๓๗ f
พบกับงูใหญ่ขณะเดินจงกรม

บันทึกเหตุการณ์ส่วนนี้เกิดขึ้นในสมัยที่ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม บำเพ็ญเพียรอยู่ที่ พระพุทธบาทบัวบก จังหวัดอุดรธานี
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในตอนกลางคืน ขณะที่หลวงปู่กำลังเดินจงกรมอยู่ ปรากฏมีงูใหญ่ตัวหนึ่งเลื้อยออกมาหยุดข้างทางเดินจงกรมของท่าน พอหลวงปู่เดินมาใกล้ งูตัวนั้นก็ชูคอจ้องดูท่านเดินจงกรมไปมา

หลวงปู่ เดินไป-กลับบนทางเดินอย่างปกติ แสดงว่าไม่ได้ให้ความสนใจมัน เจ้างูใหญ่ยังคงจ้องมองดูท่านอย่างไม่ลดละ คล้ายจะนึกสงสัยว่า “พระองค์นี้กำลังทำอะไรอยู่ เดินกลับไปกลับมาอยู่ได้ ไม่หันมามองดูเราเลย เราสู้อุตส่าห์มาเยี่ยมถึงที่ ท่านน่าจะต้อนรับพูดจาปราศรัยกับเราบ้าง”

เมื่อเจ้างูใหญ่เห็นหลวงปู่ไม่สนใจ จึงได้เลื่อนเข้ามาติดทางจงกรม แล้วก็ขดตัวซ้อนกันเป็นวง ชูคอจ้องมองมายังหลวงปู่ หลวงปู่ก็ยังเดินตามปกติ ไม่แสดงท่าว่าสนใจมัน แต่ความจริงแล้วท่านก็แอบสังเกตอยู่ในใจว่า เจ้างูใหญ่ตัวนั้นจะทำอะไรต่อไป

เจ้างูใหญ่เห็นหลวงปู่ไม่สนใจและไม่กลัวมัน มันเฝ้าดูอยู่ไม่นานก็คลายขนด แล้วเลื้อยหายเข้าป่า พ้นจากทางเดินจงกรมของท่านไป

e ๓๘ f
ผจญเปรตเจ้าที่

ในการเดินจงกรมครั้งเดียวกัน ที่พระพุทธบาทบัวบก
หลังจากงูใหญ่เลื้อยหายเข้าป่าไปแล้ว ทันใดนั้นเองก็ปรากฏเป็นคนร่างสูงใหญ่ กะว่าสูง ๑๐ วา มายืนกางขาที่ปลายทางจงกรมคล้ายกับจะคร่อมทางเดินไว้ แสดงท่าทางว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในถิ่นนั้น

หลวงปู่ตื้อ ท่านเดินจงกรมตามปกติ แสดงท่าว่าไม่สนใจกับมันท่านบอกว่ารู้สึกขนพองสยองเกล้าขึ้นบ้างเล็กน้อย ปรากฏว่าเริ่มมีกลิ่นสาบสางเหม็นขึ้นมา และก็เหม็นมากขึ้นทุกที จนรู้สึกว่าจะทนไม่ไหว ไม่สามารถดับเวทนาตัวนี้ได้

หลวงปู่ได้กำหนดจิตแผ่เมตตาให้มันก็ไม่เป็นผล ได้ออกปากไล่ให้มันหนีไป มันก็ยังทำเฉย แถมยังคงปล่อยกลิ่นสาบสางนั้นเช่นเดิม ท่านพยายามเดินจงกรมไปมา และกำหนดจิตไล่มันอยู่นานพอสมควร ก็ไม่ได้ผล ท่านยังยึดพุทโธอยู่ในอารมณ์ตลอดเวลา ตอนนี้จิตใจท่านไม่หวั่นไหวหรือเกรงกลัวมันเลย

ในที่สุดหลวงปู่ก็หยุดเดิน แล้วพูดขึ้นว่า

“ให้มึงรออยู่ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวจะได้ลองดีกัน”

หลวงปู่เดินขึ้นไปบนเพิงที่พัก จุดเทียนไข เอาไปติดที่ปลายไม้เท้าแล้วเดินกลับมาที่ทางเดินจงกรม พูดดังๆ ออกไปว่า

“ให้มึงหนีไปเด้อ ถ้าบ่หนีจะเอาไฟจุดดาก (ก้น) มึงเดี๋ยวนี้ละ”

ผีเปรตตนนั้นยังยืนนิ่งเฉย และส่งเสียงหัวเราะเยาะท่าน
หลวงปู่เดินเข้าไปใกล้ แล้วก็พุ่งเทียนเข้าใส่มัน
ได้ผล ผีเปรตตนนั้นกระโจนหายไป แล้วไปปรากฏที่ต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่ห่างออกไป แต่กลิ่นเหม็นสาบกลับมากขึ้นกว่าเดิม จนหลวงปู่ไม่สามารถข่มใจเดินจงกรมต่อไปได้

หลวงปู่ใช้ไฟเทียนไล่มันต่อไปอีก มันจึงหนีไป ดูท่าว่ามันจะหายไปแล้ว หลวงปู่จึงเข้าทางเดินจงกรมต่อไป พอได้เวลาพอสมควรท่านจึงหยุดพักการเดินจงกรมแล้วนั่งสมาธิภาวนาต่อไป

e ๓๙ f
โดนเปรตแกล้ง

เมื่อหลวงปู่หลับตานั่งสมาธิได้ประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ท่านรู้สึกว่ามีใครบางคนมาเป่าลมเข้าไปในหูขวา ท่านรู้สึกสะดุ้งเล็กน้อยแล้วมันก็กลับมาเป่าทางหูซ้าย ท่านพยายามข่มใจนั่งสมาธิต่อไปแผ่เมตตาให้ก็ไม่เป็นผล มันยังคงรบกวนอยู่นั่นเอง

หลวงปู่ลืมตาขึ้น เอ่ยปากขับไล่มัน มันก็หัวเราะชอบใจแล้วก็หนีไป
หลวงปู่นั่งสมาธิต่อ ไม่นานมันก็กลับมาอีก แกล้งเป่าลมเข้าหูท่าน ทำล้อเล่นเช่นเดิม พอเอ่ยปากไล่ มันก็หนีไป ไม่นานมันก็กลับมาอีก ทำอยู่เช่นนั้น

หลวงปู่คิดอุบายที่จะขับไล่ โดยจะเอาน้ำมาสาดมัน ท่านลุกจากที่จะไปหยิบขันเพื่อตักน้ำ ปรากฏว่าไม่มีขันในที่ ที่หลวงปู่วางไว้ คิดว่าผีมันคงเอาไปซ่อน มันหัวเราะเยาะแบบรู้ทัน

หลวงปู่คิดจะเอาไม้ขีดมาเผาหัวมัน แต่ก็คว้าหากลักไม้ขีดไม่เจอมันเอาไปซ่อนอีก ดูมันเล่นตลกกับท่าน ท่านคิดจะทำอะไรรู้สึกว่ามันจะรู้ทันไปหมด เจ้าผีเปรตยิ่งหัวเราะได้ใจใหญ่

หลวงปู่หมดหนทางจะจัดการกับผีเปรตตนนั้น ท่านจึงดึงมุ้งกลดลงกาง แล้วนั่งภาวนาในมุ้งกลดโดยไม่ยอมนอนเลยตลอดคืน ท่านทำสมาธิไปจนได้อรุณวันใหม่ เจ้าผีเปรตตนนั้นจึงหนีขึ้นไปบนเขา แล้วส่งเสียงร้องบอกท่านว่า

“เรายอมแพ้ท่านแล้ว !”
ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-tue/lp-tue-hist-03.htm

ทรงกลด:
e ๔๐ f
เข้ากราบเรียนถามหลวงปู่มั่น

ถึงตอนเช้า หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ก็เดินไปหาหมู่คณะที่อยู่ห่างออกไป ซึ่งมีหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พระอาจารย์ใหญ่เป็นประธานอยู่ ณ ที่นั้นด้วย
พอหลวงปู่ตื้อ เข้าไปถึง หลวงปู่มั่นก็กล่าวทักว่า “ท่านตื้อ เมื่อคืนนี้คุณทำอะไรอยู่?”
หลวงปู่ตื้อกราบเรียนว่า “กระผมรบกับผีขอรับ...กระผมทำอย่างไร เจ้าผีตนนั้นก็ไม่หนี จนได้อรุณ สว่างขึ้นเจ้าผีตนนั้นจึงขึ้นเขาไป”

หลวงปู่มั่นพูดขึ้นว่า “ดีแล้วท่านตื้อ ผีมันปลุกเราให้ภาวนา”

จากนั้นหลวงปู่มั่น หลวงปู่ตื้อ และพระเณรทุกองค์ก็แยกย้ายออกเที่ยวบิณฑบาตตามสมณกิจ เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ต่างองค์ต่างก็แยกย้ายไปบำเพ็ญเพียรยังสถานที่ของตน
หลวงปู่ตื้อได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังในภายหลังว่า “ผีตนนั้นเป็นผีเจ้าที่ที่ยิ่งใหญ่จริงๆ เราชนะมันได้จึงไปรอด แต่ถ้าเราเอาชนะมันไม่ได้ ก็คงจะลำบาก ต่อจากนั้นเจ้าผีก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีกเลย หากแพ้มันแล้ว มันคงจะมารบกวนทุกคืน ในเหตุการณ์เช่นนั้น ต้องอาศัยความอดทน อดกลั้นเป็นที่สุด จะท้อถอยไม่ได้เลย หายใจเข้าออกก็ต้องมีพุทโธเป็นประจำ ขาดไม่ได้ คำว่าพุทโธนี้เอง ผีกลัวเกรงมากที่สุด”

e ๔๑ f
อาจารย์เสือที่บ้านภูดิน

ในสมัยที่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่องธุดงค์อยู่ทางฝั่งประเทศลาว มีช่วงหนึ่งได้พักปักกลดอยู่ที่บ้านภูดิน เพียงคืนแรกที่หลวงปู่ไปถึง ได้ยินเสียงเสือใหญ่ลายพาดกลอนมาร้องอยู่ใกล้ๆ บริเวณที่ท่านปักกลด และทราบจากชาวบ้านว่า เสือตัวนั้นเพิ่งฆ่าคนตายมาไม่นาน จัดเป็นเสือที่ดุร้ายที่ชาวบ้านหวาดกลัว

ในคืนนั้น ทั้งชาวบ้าน รวมทั้งวัว ควาย ต่างพากันตระหนกกลัวต่างเฝ้าคอยระวังตลอดคืน ไม่กล้าหลับนอน
ชาวบ้านได้มาบอกให้หลวงปู่ระมัดระวังตัว เพราะกลัวเสือจะมาทำร้ายท่าน ด้วยท่านปักกลดอยู่องค์เดียว ห่างไกลหมู่บ้านคน

หลวงปู่ไม่ได้แสดงอาการวิตกกังวลให้เห็น ท่านพูดกับโยมว่า“อาจารย์เสือมาช่วยสอนกรรมฐานให้หรือ?

หลวงปู่ท่านบอกว่า ท่านเองก็ไม่ประมาท คอยระมัดระวังเช่นกัน แต่จะไปแสดงอาการกลัวหรือกังวลมากก็ไม่ได้ ท่านต้องหนักแน่นเพราะต้องเป็นที่พึ่งทางใจให้ชาวบ้านได้
เสียงเสือร้องรอบๆ บริเวณที่ท่านปักกลดตั้งแต่หัวค่ำ หลวงปู่นั่งสมาธิภาวนาอยู่ภายในตลอด ไม่ได้นึกหวั่นไหวเลย พอตกดึกเสียงเสือก็เงียบหายไป ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จิตท่านสงบแนบแน่นอยู่ในสมาธิไปจนถึงเวลาไก่ขันต้น ก็คงประมาณตี ๓ หรือ ตี ๔ เกือบจะแจ้งแล้ว

e ๔๒ f
วิญญาณพระอาจารย์คำบ้อมาหา

ในคืนนั้น หลวงปู่ นั่งสมาธิภาวนาอยู่ในกลดไปจนได้ยินเสียงไก่ขันครั้งแรก ประมาณตี ๓-๔ น่าจะได้ ได้มีวิญญาณของพระเข้าหาหลวงปู่ ในสมาธิ บอกว่าชื่อ พระอาจารย์คำบ้อ มาบอกท่านว่า

“ท่านหลวงทหาร และหลวงชา เอาของมาฝากไว้ที่ใต้ต้นค้อเมื่อครั้งสมัยเมืองเวียงจันทน์แตก ท่านพระอาจารย์จะเอาไปก็ได้ แต่ก่อนจะเอาไป ให้สวดมงคลสูตรเสียก่อน และไม่ต้องมีเครื่องบูชาอะไรหรอก...”

วิญญาณพระอาจารย์คำบ้อ ได้บอกสถานที่ซ่อนทรัพย์ให้และแนะ นำว่า
“เมื่อท่านเดินไปจากที่นี้ถึงต้นค้อแล้ว ให้ยกเอาหินที่วางซ้อนกัน ๓ ก้อนออก แล้วขุดลึกลงไปประมาณ ๓ ศอก เท่านั้นก็จะเจอ ในนั้นมีพระเงินและพระทองคำหลายองค์ เพราะในขณะนั้นท่านหลวงทหาร และหลวงชา ได้นำมาฝากไว้ แล้วไม่รู้ว่าท่านทั้งสองหายไปไหน และเจ้าปู่เอง (พระอาจารย์คำบ้อ) ก็จะไปที่อื่นแล้ว ต่อจากนี้จะไม่มีคนเฝ้ารักษาแล้ว”

หลวงปู่ตื้อท่านรับทราบเฉยๆ ไม่ได้โต้ตอบแต่อย่างใด สักครู่หนึ่งวิญญาณของพระอาจารย์คำบ้อก็หายไป

e ๔๓ f
วิญญาณชาวเผ่ากุยก่อมองกะเร

อีกครั้งหนึ่งที่ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม บำเพ็ญเพียรอยู่ที่บ้านภูดิน ในคืนหนึ่งได้ปรากฏนิมิตเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่และตัวดำมาก ท่านว่า ดำยิ่งกว่าถ่านไฟเสียอีก ได้มาปรากฏอยู่ข้างหน้าท่าน แล้วก็พูดว่าอย่างไรก็ฟังไม่ชัด

หลวงปู่ได้ถามกลับไปว่า “เจ้าเป็นชาติอะไร?

เขาตอบสั้นๆ ว่า “เป็นเผ่ากุยก่อมองกะเร”

หลวงปู่ไม่เข้าใจ จึงถามไปอีกว่า “เป็นเทวดาหรือ? เขาก็ตอกย้ำคำเดิม ฟังก็ได้ความว่าเป็นชาติอะไรกันแน่ พูดจากันไม่รู้เรื่อง หลวงปู่จึงบอกให้นั่งลงและกราบพระ
ี่
ผีตนนั้นได้แต่ยิ้ม ไม่ยอมไหว้พระ

หลวงปู่จึงพูดว่า “ถ้าไม่ไหว้พระก็จงหนีไปเถิด”

เขาทำท่าจะนั่งลง แต่ไม่นั่ง แสดงอาการย่อตัวเล็กน้อย แล้วก็หลีกหนีไป
ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-tue/lp-tue-hist-03.htm

saken6009:
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ภาค2 36; 36;                                                      ขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่นำบทความที่ดีมากๆมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :053: :053: 
ติดตามอยู่ครับ อ่านแล้วเพลินดีมากๆครับ และ ได้สาระความรู้มากๆครับผม :016: :015: 
(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน เพื่อเป็นความรู้ ขอบคุณครับผม) :033: :033:

ทรงกลด:
e ๔๔ f
เจ้าปู่ทีฆาวุโสมาบอกลา

หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโมได้ทำความเพียรอยู่ที่บ้านภูดินต่อไปเรื่อยๆ  คืนหนึ่งมีเทพองค์หนึ่ง นามว่า ฑีฆาวุโส ได้ประกาศตนว่าชาติก่อนเป็นเจ้านครเวียงจันทน์ ได้เข้ามาหาท่าน
ท่านฑีฆาวุโสได้พูดกับหลวงปู่ตื้อว่า “เจ้าหัวลูก มาจากไหน? เจ้าปู่ได้เฝ้าดูเห็นว่าท่านเคร่งครัดในการปฏิบัติธรรมมาก น่าเลื่อมใส สมัยนครเวียงจันทน์ครั้งก่อนนั้น ชาวเมืองได้ตั้งใจบำเพ็ญกุศลกันดีมาก เจ้าเมืองก็ใส่บาตรทุกวันด้วย  เจ้าปู่เห็นท่านไปบิณฑบาตแล้ว ไม่ค่อยจะมีคนใส่บาตรเลย นับว่าท่านมีความอดทน น่ายกย่องสรรเสริญท่านมาก ที่ไม่ท้อถอยในการบำเพ็ญเพียร ไม่เห็นแก่ได้ บางวัน เจ้าหัวลูก ไม่ได้ฉันอาหารบิณฑบาตเลย น่านับถือในความอดทน และความตั้งใจของท่านจริงๆ...”

ต่อจากนั้น ท่านเจ้าปู่ฑีฆาวุโส ก็กล่าวอำลาว่า “วันนี้เป็นวันที่เจ้าปู่จะไปจากที่นี้แล้ว”

กล่าวเพียงเท่านั้น เจ้าปู่เทพองค์นั้นก็หายวับไปทันที

e ๔๕ f
เจอเจ้าที่ลองดี

หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม มาพำนักที่พระพุทธบาทบัวบก จังหวัดอุดรธานี เป็นครั้งที่สอง ในขณะที่หลวงปู่กำลังเดินจงกรม เกิดมีก้อนหินตกลงมาจากที่สูงหลายสิบก้อน แต่ตกห่างจากที่เดินจงกรม หลวงปู่ไม่ได้ให้ความสนใจ ยังคงเดินต่อไป

ไม่นานก็มีก้อนหินตกมาอีก คล้ายกับถูกปาลงมา คราวนี้ใกล้กับทางเดินจงกรมมากกว่าเดิม หลวงปู่จึงพูดขึ้นดังๆ ว่า “ใครเก่งก็ให้ออกมาต่อสู้กันเลย”

คราวนี้ได้ยินเสียงก้อนหินตกรอบตัวหลายสิบก้อน หลวงปู่จึงได้หยุดการเดินจงกรม แล้วเข้ามุ้งกลดนั่งสมาธิภาวนาต่อไปเสียงก้อนหินก็ยังตกลงมาเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าใครเป็นคนขว้างเข้ามา

ในคืนนั้น มีญาติโยมชาวบ้านมารักษาศีลอุโบสถด้วยกัน ๕ คนหลวงปู่ได้บอกให้พระอีกองค์หนึ่งที่ไปด้วยกันมาภาวนาอยู่ใกล้ๆ โยม
เสียงก้อนหินก็ยังตกมารอบๆ บริเวณนั้น ตกมาเป็นระยะๆ มองออกไปรอบบริเวณก็เห็นเป็นก้อนหินจริงๆ ถ้าโดนศีรษะใครก็จะต้องแตกอย่างแน่นอน
สักพักใหญ่ๆ ก็มีเสียงดังคล้ายกับมีคนออกแรงผลักก้อนหินขนาดใหญ่กลิ้งลงมาจากยอดเขา เสียงนั้นอยู่ห่างจากที่ๆ พระกับโยมพักพอสมควร
หลวงปู่ได้กำหนดจิตดู เห็นมีชายร่างใหญ่ผลักก้อนหินลงมาจากยอดเขาจริงๆ จะด้วยจุดประสงค์อันใดนั้นท่านไม่สามารถกำหนดรู้ได้
ในมุ้งกลดของพระอาจารย์ที่อยู่เป็นเพื่อนโยมได้จุดเทียนขึ้นสว่างไสว ท่านเฝ้าคอยสังเกตการณ์อยู่ตลอดทั้งคืน ทั้งหลวงปู่ และญาติโยมต่างไม่ได้หลับนอนกันเลย

หลวงปู่ท่านบอกภายหลังว่า “พอนึกถึงคำพูดของท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นที่ว่า ผีมันปลุกให้ภาวนา แล้วก็มีกำลังแข็งแรงทั้งกายและจิตทุกครั้งไป”

พอสว่างหลวงปู่ก็เตรียมตัวออกไปบิณฑบาต วันนั้นได้ไปเที่ยวบิณฑบาตที่บ้านติ้ว อำเภอบ้านผือ พอฉันอาหารเสร็จ พระอาจารย์ที่เป็นเพื่อนอยู่ในคืนนั้นก็เก็บบริขาร เตรียมตัวจะย้ายไปอยู่ที่อื่น

หลวงปู่ถามพระองค์นั้นว่า “ท่านจะไปที่ไหน?” พระอาจารย์องค์นั้นตอบว่า “ผมอยู่ไม่ได้หรอก เพราะตลอดคืนมีแต่ก้อนหินตกลงมาจะภาวนาก็ไม่สะดวก”

หลวงปู่ตื้อจึงแก้ว่า “เมื่อสมัยพระพุทธเจ้าแสดงธรรมเรื่องเวสสันดรชาดก เมื่อพระองค์กล่าวคาถาขึ้นเท่านั้น ก็มีฝนเงินฝนทองตกลงมาเป็นพุทธบูชา
และเมื่อมีการแสดงธรรมเวสสันดรทุกวันนี้ พระท่านกล่าวคาถาพันเท่านั้น พุทธศาสนิกชนทั้งหลายก็โปรยข้าวตอกดอกไม้เป็นเครื่องบูชาเช่นกัน
ก็เมื่อคืนนี้ ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าภาวนาพุทโธ เทวดาเขาก็อนุโมทนาโปรยดอกไม้ทิพย์เป็นเครื่องสักการบูชา”

ท่านพระอาจารย์องค์นั้นกล่าวสวนว่า “ดอกไม้ทิพย์อะไรกัน เห็นมีแต่ก้อนหินเท่านั้น ก็เรื่องข้าวตอกดอกไม้นั้น เป็นสิ่งที่เห็นด้วยตาและรู้สาเหตุที่มาด้วย แต่นี่ไม่เห็นอะไรเลย”

ทุกคนที่อยู่ที่นั้นต่างพากันหัวเราะขบขัน แล้วต่างแยกย้ายไปสู่ที่พักบำเพ็ญเพียรของตน แล้วพระอาจารย์องค์นั้นก็กราบลาย้ายไปที่อื่น
หลวงปู่ตื้อ ยังคงพักอยู่ที่เดิม ตั้งใจว่าจะอยู่ที่นี่ไปก่อน “เพราะเพิ่งมาถึงคืนแรกเท่านั้นก็จะท้อถอยกลัวมันแล้ว เจ้าผีจะหัวเราะเยาะเอาว่าเรากลัวมัน
และเมื่อคืนนี้เราก็ไม่ได้เจ็บกายอะไรจากการกระทำของมันเลย เพียงแต่มันรบกวนให้เราได้รับความรำคาญเท่านั้นเอง
ถ้าหากเราไปอยู่ที่อื่นแล้ว เจอเจ้าที่ที่อื่นอีกก็ต้องถูกลองดีกันเรื่อยไป เราต้องทำความเข้าใจกันเป็นที่ๆ ไป”

หลวงปู่ตื้อ ก็พักบำเพ็ญภาวนาอยู่ ณ ที่นั้นต่อไป

e ๔๖ f
เจ้าที่ยังลองดีต่อไป

ในคืนต่อมาแค่เวลาเพียง ๓-๔ ทุ่ม เท่านั้นเอง หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโมกำลังนั่งภาวนาอยู่ภายในกลดธุดงค์ ก็ได้ยินคล้ายเสียงฝีเท้าม้า เดินไปเดินมารอบๆ บริเวณที่ท่านนั่งอยู่ เสียงม้าเดินดังอยู่ที่ก้อนหินเป็นจังหวะ เสียงฝีเท้าม้าหนักเข้า เดินเข้ามาหามุ้งกลดของท่าน เสียงใกล้จนชิดมุ้ง

หลวงปู่เลิกมุ้งกลดขึ้นดู ก็เห็นม้าสีขาวมีขนาดใหญ่เดินเสียงห่างออกไป ท่านเอามุ้งกลดลงแล้วนั่งภาวนาต่อไป
เสียงม้ายังดังรบกวนแบบเดิมอยู่อีก หลวงปู่จึงออกจากมุ้ง แล้วมาเดินจงกรมแทน
อีกไม่นานก็ได้ยินเสียงม้าเดินอีก แต่อยู่ห่างออกไป เสียงเดินยังดังอยู่รอบๆ ห่างๆ มันคงไม่กล้าเข้ามาใกล้ท่าน
หลวงปู่คงเดินจงกรมเป็นปกติ ไม่นานนักเสียงฝีเท้าม้านั้นก็เงียบหายไป

หลังจากนั้นอีกสักครู่ ปรากฏว่า ที่ทางเดินจงกรมของท่าน มีงูเลื้อยยั้วเยี้ยอยู่หลายสิบตัว จนหลวงปู่เดินจงกรมไม่ได้ พิจารณาดูงูเหล่านั้นล้วนมีสีดำสนิท ถ้าหากท่านเดินไป จะต้องเหยียบพวกมันอย่างแน่นอน

หลวงปู่ จึงหยุดเดิน และยืนดูเฉยๆ บนทางจงกรมนั้น หลับตาเพ่งดูพวกงูเหล่านั้นว่าจะพบอะไรบ้าง
หลวงปู่ ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นค่อนข้างนาน ปรากฏว่ามีงูมามากขึ้นกว่าเดิม แต่พวกมันไม่ได้เลื้อยมาใกล้ท่านเลย อยู่ห่างท่านในช่วง ๑ วาเศษ เท่านั้น
หลวงปู่ตั้งใจว่า จะต้องยืนอยู่ที่นั้นจนกว่าบรรดางูจะหนีไปหมด ท่านไม่ได้ให้ความสนใจกับพวกมันว่าจะมีมากหรือน้อยเพียงใด ยืนกำหนดจิตภาวนาอยู่อย่างนั้น
ปรากฏว่ามีบุรุษคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น มาบอกหลวงปู่ว่า ขอให้ท่านเดินจงกรมต่อไปเถิด กระผมจะจับงูเหล่านี้ไปให้หมด จะเอาไปให้เป็นอาหารพญาครุฑ

บุรุษนั้นเก็บเอางูทั้งหมดใส่ลงในถุงใบใหญ่ได้เกือบเต็มถุงแล้วก็เดินหายไป
หลวงปู่มองดูที่เดินจงกรม ก็ไม่มีงูเหลืออยู่แม้แต่ตัวเดียว ท่านจึงออกเดินจงกรมต่อไป ตั้งใจว่าคืนนี้จะไม่นั่งและไม่นอน จะเดินและยืนภาวนาอยู่ในที่เดินจงกรมนี้จนสว่าง

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-tue/lp-tue-hist-03.htm

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version