แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - นายธรรมะ

หน้า: [1]
1
ธรรมะ / กระรอกโพธิสัตว์ ^^
« เมื่อ: 29 ก.ค. 2555, 10:39:16 »
กระรอกโพธิสัตว์


วันนี้เล่าถึงเรื่องกระรอกพระโพธิสัตว์

กิรดังได้สดับมาว่า

ครั้งนั้นยังมีกระรอกตัวหนึ่ง

ลูกของกระรอกตัวนี้ตกลงไปในบึงใหญ่

กระรอกก็พยายามจะช่วยลูกตนเอง

โดยการเอาหางไปจุ่มน้ำ

แล้วก็วิ่งไปสลัดออก

พูดง่าย ๆ  ก็คือ  เอาหางวิดน้ำนั่นเอง

เทวดาที่อยู่ตรงนั้นเห็นเข้าก็หัวเราะเยาะแล้วว่า

"เจ้ากระรอกโง่  เหตุไฉนมาเอาหางวิดน้ำอยู่อย่างนี้เล่า"

กระรอกก็บอกว่า

"ลูกของข้าพเจ้าตกลงไปในบึงนี้  ข้าพเจ้าจะวิดน้ำในบึงให้แห้งเพื่อช่วยลูกขึ้นมา"

เทวดาก็ว่า

"เจ้าโง่เอ๊ย  หางเล็ก ๆ  ของเจ้า  จะวิดน้ำสักกี่ชาติกันบึงใหญ่นี้มันถึงจะแห้ง  ดีไม่ดีจะตายซะก่อน  เจ้านี่ช่างโง่นัก"

กระรอกก็ตอบว่า

"ถึงจะต้องวิดจนตัวตายก็ทำ  เพราะข้าพเจ้านี้เป็นกระรอก

กระรอกก็ทำได้แต่เพียงเท่านี้

แม้จะรู้วิธีการอย่างอื่นแต่ก็ทำไม่ได้

อนึ่ง  นี้เป็นความเพียร  หากว่าเราเพียรพยายามเสียแล้ว

ทุกสิ่งต้องสำเร็จ  แต่หากไม่สำเร็จ

ก็ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความเพียร  ตายไปก็ไม่ตายเปล่า

ไม่เป็นที่ตำหนิติเตียนของปวงปราชญ์ทั้งหลาย"

เทวดาได้ฟังดังนั้นแล้วก็ซาบซึ้งในธรรมของกระรอก

จึงอาสาช่วยเอาลูกกระรอกขึ้นมาจากน้ำให้

เรื่องก็จบแต่เท่านี้


ความเพียร  เป็นองค์ประกอบแห่งคุณธรรมอันจะนำไปสู่ความหลุดพ้นทั้งปวง

เป็นองค์ประกอบในหลายข้อธรรม

แม้ในการบำเพ็ญบารมีก็มี  วิริยบารมี

ในพละ ๕  อินทรีย์  ๕  หรือ  โพชฌงค์  ๗  ก็มี  วิริยะ



ก่อนที่เราจะปล่อยวางทุกสิ่ง  เราต้องทำให้ถึงที่สุด  แม้ด้วยชีวิต

นั่นหมายความว่า  หากจะเกิดการปล่อยวาง  ก็ย่อมเป็นเพราะจิตเห็นแจ้งด้วยจิตเองจึงเกิดการปล่อยวางตามธรรมชาติ  หาใช่มาคิดปล่อยวางเองไม่

นายธรรมะขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://artyhouse.blogspot.com/2011/11/blog-post_08.html

2
เถียงพ่อแม่ มีแต่ตกต่ำ


"คนเถียงพ่อเถียงแม่จะเอาดีไม่ได้ ไม่ต้องถึงกับฆ่าหรอก

แค่คิดว่าพ่อแม่ไม่ดี ก็ทำมาหากินไม่ขึ้นแล้ว
ต้องแก้ปัญหาก่อนคือถอนคำพูด ถอนความคิด ไปขอขมาลาโทษ

..กรรมใดที่ลูกได้ล่วงเกินคุณพ่อคุณแม่ ด้วยกายก็ดี
ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ขอให้คุณพ่อคุณแม่ อโหสิกรรมให้แก่ลูกด้วย.. แล้วมาเจริญกรรมฐาน รับรองสำเร็จแน่"

''คนที่มีบุญวาสนา จะกตัญญูต่อพ่อแม่''



โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม)


ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://board.palungjit.com
ข้อความนี้คัดลอกมาจาก
ที่มา หนังสือวิธีทำบุญ สร้างบารมี ทำดีสนองคุณพ่อแม่
สุดยอดแห่งพระวิปัสสนาจารย์ผู้สอนวิธีปฏิบัติกรรมฐานแก้กรรม

3
ธรรมะ / อานิสงส์บวช
« เมื่อ: 22 เม.ย. 2555, 08:45:42 »
อานิสงส์บวช


...บวชนี้ย่อมมีผลานิสงส์อย่างมากมาย องค์สมเด็จพระบรมศาสดา ตรัสเทนาอานิสงส์แห่งการ
บรรพชาอุปสมบทไว้โดยอเนกประการว่า ทาสสฺส อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลใดมีศรัทธาบรรพชา
ทาสกรรมกรให้เป็นสามเณร หรือสามเณร มีอานิสงส์ ๔ กัล์ป บวชเป็นภิกษุหรือภิกษุณี มีอานิสงส์
๘ กัล์ป และถ้าอุปสมบทจะได้รับอานิสงส์ ๑๖ กัล์ป หากอุปสมบทได้อานิสงส์ ๓๒ กัล์ป ถ้า
อุปสมบทตนเองในพระพุทธศาสนา ด้วยศรัทธาเลื่อมใสจะได้อานิสงส์ถึง ๖๔ กัล์ป บุคคลใดได้
บรรพชาบุตรตนก็ดี บุตรของผู้อื่นก็ดี ก็จะไม่ไปสู่อบายภูมิแล้วพระองค์ตรัสอีกว่าดูกรอานนท์ดังจะ
เห็นได้จากหญิงผู้หนึ่ง เขามีบุตรอยู่คนเดียว บุตรชายเขาขอไปบวชมารดาก็ไม่ให้บวชบุตรชายจึงหนีไป
บวช อยู่มาวันหนึ่งมารดาของสามเณรนั้นออกจากบ้านไปแต่เช้า เพื่อจักแสวงหาฟืน มารดาสามเณร
ครั้นหาฟืนได้พอสมควรแล้วก็กลับบ้าน พอมาถึงระหว่างทางได้พักอยู่โคนต้นไม้ใหญ่ แล้วลงนอนพัก
ผ่อนก็หลับไป ได้นิมิตรฝันไปว่ามีพระยายมราชมาถามว่า ดูกรผู้หญิง เธอได้กระทำบุญหรือว่าไม่ได้
กระทำเลย มารดาของสามเณรนั้นตอบว่าข้าแต่เจ้า ดิฉันไม่ได้กระทำบุญอย่างไรเลย พระยายมราช
ทราบแล้ว ก็จับเอาผู้หญิงนั้นไปใส่นรกทันที ได้และเห็นไฟนรกลุกโพรงก็ถามพระยายมราชว่า อันไฟ
แดงนั้นเป็นอย่างไร พระยายมราชว่า อันไฟแดงนั้นเป็นไฟนรก ผู้หญิงจึงบอกว่าเหมือนกับผ้าจีวรของ
ลูกชายของข้าพเจ้าอันได้บวชเป็นสามเณรนั้นแล พระยายมราชจึงกล่าวว่าดูกรผู้หญิง ลูกชายของเธอยัง
ได้บวชหรือนางก็ตอบว่าลูกชายยังได้บวชเป็นสามเณรอยู่พระยายมราชได้ยินคำของนางดังนั้นแล้ว จึง
นำนางมาคืนไว้เดิมเสีย เหตุอันนี้ก็เพราะบุญของลูกชายตนได้บวชเป็นสามเณร ในพุทธศาสนาไปกั้น
ไว้ในนรกได้ ครั้นนางตื่นขึ้นมาก็ตกใจกลัวรีบกลับบ้าน ตั้งแต่นั้นนางก็เลื่อมใสในพุทธศาสนา เฝ้า
ปฏิบัติสามเณรลูกชายของตน มิได้ขาดจนนางได้ตายไปตามอายุขัยก็ไปบังเกิดในสวรรค์ดั้งนี้ เป็นต้น

นายธรรมะขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://www.84000.org/anisong/08.html

4
กฎแห่งกรรม / อานิสงส์เผาศพ
« เมื่อ: 22 เม.ย. 2555, 08:41:07 »
อานิสงส์เผาศพ


......ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลผู้ใดมีจิตเมตตาสงเคราะห์เผาสรีรร่างกายของคนอนาถาที่มีแต่ร่างกระดูก
ผู้นั้นจะบริบูรณ์ไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ ศฤงคาร บริวารมากถึง ๘ พัน
ถ้าซากศพนั้นยังมีเลือดเนื้ออยู่จะอำนวยผลให้เป็นผู้ มียศศักดิ์บริวารหนึ่งหมื่น
ถ้าเผาผีร่างกายของคนแก่เฒ่าชรา จะนำมาซึ่งธนสารยศศักดิ์บริวารแวดล้อม ถึง ๔ หมื่น
ถ้าเผาซากศพญาติมิตรสหายบุตรและทารก จะอำนวยผลให้ผู้นั้นสมบูรณ์ หมื่นก็แลถ้า
บุคคลผู้ใดมีใจศรัทธามาทำฌาปนกิจเผาศพบิดามารดา จะได้เสวยผลานิสงส์อันเป็นทิพย์ ยศศักดิ์สมบัติ
บริวารประมาณแสนหนึ่งผู้ใดได้เผาสรีรร่างกายของภิกษุสงฆ์ จะได้รับผลานิสงส์ยศศักดิ์สมบัติ บริวาร
ประมาณสองแสนมาตรแม้นแต่เผาซากศพนกที่ตกอยู่บนปฐพี ด้วยใจยินดีเลื่อมใสในศรัทธา ครั้นมา
ทำลายเบญจขันธ์ลงก็จะตรงไปเกิดบนสวรรค์มีวิมานเป็นที่อยู่ การทำฌาปนกิจในสรีรสัตว์เดียรัจฉาน
ยังได้เสวยทิพย์สมบัติบนวิมานถึงเพียงนี้ ก็ท่านทั้งหลายได้กระทำการจุดเผาสรีรกายของมนุษย์ ยิ่งจะมี
ผลานิสงส์อันโอฬารกว่านี้ร้อยเท่าทวีคูณ จะเป็นบุญนิธิขุมทรัพย์นำให้อุบัติในสุคติโลกสวรรค์ อย่าง
ไม่มีความสงสัย เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ
(อธิบายโดย webmaster : การเห็นความจริงของสังขาร มรณสติ อนิจจัง เป็นตัวบุญของอานิสงส์นี้
ที่มา)

นายธรรมะขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://www.84000.org และ เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ


5
ไม่เป็นหรอกจ้า เขาไม่ได้ตั้งใจ คุณก็ไม่ได้ตั้งใจ ไม่มีใครตั้งใจ ไม่เป็นไรครับ เป็นคนดี มีศีล 5 ของก็ขลังละครับ ^^ อย่าคิดมาก  :005:

6
ครับผมก็ สมาชิก วัดบางพระเหมือนกันแต่ช่วงนี่ไม่ได้เข้ามาเลย

7
สวัสดีครับทุกคนสบายดีกันมั้งป่าวครับ !!  :090:

8
การรักษาศีล ๘ และโทษของอาหารมื้อเย็น



ถาม : ถ้าเกิดถือศีลแปดแล้วข้อ ๖, ๗, ๘ นี่พร่องเล็กน้อย กับถือศีลห้าแล้วสมบูรณ์อย่างนี้ อันไหนกำไรกว่ากัน ?

ตอบ : ศีลแปดกำไรกว่า เพราะบกพร่องเล็กน้อยก็จริง แต่ส่วนดีมีมากกว่า ศีลแปดคุมศีลห้าอยู่แล้ว มากกว่าอยู่แล้ว จริงๆ ศีลแปดมีเก้าข้อนะ นัจจะคีตะวาฯ กับมาลาคันธะฯ สองข้อนี้เขารวบเป็นข้อเดียว ค่อยๆ ทำไปเดี๋ยวเกิดความเคยชินก็จะทรงตัวไปได้เอง

ถาม : ตรงข้อแปดนะคะ ที่อุจจาสะยะนะฯ เวลาที่เรานอน นอนเป็นที่นอนนุ่ม ถ้าอย่างเราปวดหลังละคะ เรานอนกับพื้นธรรมดาแล้วเราปวดหลัง ?

ตอบ : นอนไปเถอะ หนาสักคืบหนึ่งก็ได้ ที่นอนสูงที่นอนใหญ่ภายในยัดด้วยนุ่นและสำลี เขาหมายความตามอรรถกถาท่านบอกว่าคืบหนึ่ง คืบหนึ่งสมัยก่อนคือ ๑๒ นิ้ว เป็นฟุตเลย จริงๆ แล้วที่ท่านห้าม เพราะท่านกลัวว่าจะติดสัมผัส คือว่าถึงเวลาแล้วจะติดเย็นติดร้อน อ่อนแข็งอะไรนั่น ไม่ได้ก็ดิ้นรนต้องให้ได้มา จิตใจก็จะไปฟุ้งซ่านถึงตรงจุดนั้น ถ้าไม่ติดเรารู้อยู่ว่าร่างกายของเราเจ็บป่วยอยู่ ไม่ใช่ข้ออ้างที่เราอ้างขึ้นมาเพื่อที่จะติดสุขตรงนั้น ก็นอนไปเถอะ

ถาม : อย่างนั้นเราก็สามารถอย่างเช่นว่า สมาทานศีลแปดตั้งแต่เช้าถึงเย็น แล้วเย็นเป็นคนที่ต้องกินข้าวทุกมื้อ แล้วก็ต้องกินข้าวเย็น ก็คือลาแล้วก็กินข้าวได้ ?

ตอบ : อ๋อ..ไม่ต้องลาหรอก อนุญาตให้กินได้เลย รักษาเป็นเวลายังดีกว่าไม่รักษาเลย

ถาม : แล้วก็สมาทานศีล ?

ตอบ : สมัยก่อนเคยเป็นอย่างนี้อยู่ช่วงหนึ่ง คือมาไล่ไปไล่มาเสร็จ เอ๊ะ..ของเรานี่ศีลแปดชัดๆ เพียงแต่เสียเวลาไปกินข้าวเย็นอยู่สิบนาทีแค่นั้นเอง เลยตัดสินใจไม่กินตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ก็เป็นอันว่าจบ แม้แต่ประเภทที่ว่าวินาที สองวินาทีก็ได้ เพราะว่า อานุภาพของศีลแปดสูงกว่าศีลห้ามาก อานิสงส์มากกว่า รักษาขนาดนั้นของเรานี่ ถ้ายังไม่ละอาหารเย็น เท่ากับว่าเราขาดแค่ครู่เดียวในแต่ละวัน

ถาม : ไม่ต้องลาใช่ไหมคะ ?

ตอบ : ไม่ต้องลาหรอก ถึงเวลาก็ขออนุญาตกินครู่หนึ่ง แล้วก็ไม่ต้องสมาทานใหม่หรอก เรารู้อยู่แล้วว่าเป็นอย่างไรก็งดเว้นต่อไป

ถาม : ถ้าเราไม่ได้สมาทานศีล เราไม่ได้ตั้งใจรักษาศีล แต่บังเอิญที่นอนที่บ้านก็ไม่หนา ข้าวก็กินครู่เดียว ทีวีเสียไม่ได้ดูอะไรแบบนี้ ?

ตอบ : กุศลไม่มี

ถาม : ค่ะ...ผลไม่มี ?

ตอบ : ขาดเจตนา คือ ตัวตั้งใจ ในเมื่อไม่ได้ตั้งใจละ ผลบุญไม่มี

ถาม : ถึงแม้มันจะตรงตามนั้นก็ตาม ?

ตอบ : ก็ท่านบอกแล้วเจตนาหัง ภิกขเว ปุญญังวทามิ ต้องเจตนาคือตั้งใจ ถึงจะเป็นบุญ

ถาม : ถ้าตั้งใจละ คือปวดท้องเพราะหิว ?

ตอบ : แล้วสิ่งที่ท่านอนุญาตให้กินได้ ให้ฉันได้ก็เยอะแยะไป เพียงแต่ว่าเราคิดที่จะกินข้าวท่าเดียว

ถาม : แล้วอย่างบางคนไม่กินข้าวแต่กินนมเยอะๆ ?

ตอบ : ท่านให้รู้จักประมาณในการกิน มีอยู่คนหนึ่ง รู้สึกว่าจะเป็นลูกศิษย์อาจารย์โอ๋ ? (อาจารย์บุปผชาติ พงษ์ประดิษฐ์) เจ้านั่นรักษาศีลแปด กำหนดเอาว่า เวลากินข้าวมื้อสุดท้ายคือบ่ายสอง ตั้งแต่เช้าถึงบ่ายสองเขาฟาดไปสิบกว่าหน ถ้าอย่างนั้นคุณรักษาศีลห้าดีกว่า ไม่เปลืองมาก ท่านให้มีโภชเน มัตตัญญุตา คือรู้จักประมาณในการกิน

ตัวโทษของการกินอาหารเย็น จะลำบากอยู่อย่างหนึ่ง คือว่าพอถึงเวลาแล้ว เลือดทั้งหมดจะวิ่งลงไปที่กระเพาะ เพื่อไปย่อยอาหาร โบราณท่านให้ใช้คำว่าไฟธาตุ พร้อมที่จะสันดาปเพื่อเผาผลาญอาหาร

ตอนที่เลือดวิ่งลงไปที่กระเพาะ สมองจะมึนเพราะเลือดเลี้ยงอยู่น้อย จะหลับท่าเดียว ทำให้การภาวนาทุกอย่างไม่ได้อย่างที่เราต้องการ เพราะว่าร่างกายอยู่ในสภาพที่หนักไปด้วยอาหาร ในเมื่อหนักไปด้วยอาหาร การภาวนาก็ไม่คล่องตัว เลือดลมไม่ปลอดโปร่ง จะทำให้เสียผลตรงนี้ แต่ว่าคนทั่วๆ ไปถ้าหากว่าไม่สามารถที่จะงดเว้นได้จริงๆ ตั้งใจรักษาศีลห้าก็ไปนิพพานได้จ้ะ


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...ead.php?t=1046

9
ธรรมะ / การทำบุญให้สัมภเวสี
« เมื่อ: 17 พ.ค. 2554, 11:25:58 »
การทำบุญให้สัมภเวสี


เรื่องนี้ขอนำคำสอนของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง มากล่าวดังนี้..

การทำบุญสงเคราะห์ญาติหรือผู้ที่ไม่ใช่ญาติสำหรับผู้ที่ตายไปเป็น สัมภเวสีต้องทำอย่างไรจึงจะบรรลุผลอย่างแท้จริง

“..ต้องรู้นะว่าการตายไปเป็น สัมภเวสี คือตายอย่างไร คือบุคคลที่ตายด้วยอำนาจอุปฆาตกรรม คือยังไม่สิ้นอายุขัย เช่น ฟ้าผ่าตาย สุนัขกัดตาย งูกัดตาย คลอดบุตรตาย ถูกฆ่าตาย รถชนตาย สรุปว่าตายปัจจุบันทันด่วนนั่นเอง
คนที่ตายตามอายุขัย ตายปุ๊บจะต้องไปเกิดตามกำลังบุญและกำลังบาป ถ้าเวลากำลังจะสิ้นใจนั้น คนบาป ต้องไปตามบาปทันที ( นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน) ถ้าคนบุญ ไปตามบุญทันที(มนุษย์ เทวดา พรหม นิพพาน) ทีนี้คนที่ตายก่อนอายุขัย ยังไม่มีสิทธิ์ไปตามบุญและบาป จะไปอบายภูมิก็ไม่ได้ ไปสวรรค์ก็ไม่ได้

ตอนนี้แหละเขาเรียกว่า สัมภเวสี

บุคคลที่ตายไปเป็นสัมภเวสี ถ้าหากว่า ญาติพี่น้อง สามี ภรรยา ลูกหลาน มีความฉลาด เมื่อทำบุญจะถวาย สังฆทาน หรืออะไรก็ตาม ต้องระบุชื่อเจาะจงให้แต่ผู้เดียว อย่าเผื่อคนอื่น อย่างนี้จะได้รับทันที เป็นผี (โอปปาติกะ )ที่มีความสุข แล้วก็คนนั้นเมื่อถึงวาระอายุขัย จะไม่ไปนรกแล้ว แต่จะไปสวรรค์ก่อน ตามกำลังบุญที่อุทิศให้ โดยผู้นั้นได้อนุโมทนาบุญนั้นด้วย..”

อีกตอนหนึ่งหลวงพ่อสอนเอาไว้ว่า…

“…บรรดาพุทธบริษัทโปรดทราบไว้ว่า กรรมที่เป็นอุปฆาตกรรมที่มาตัดรอนทำให้คนตายก่อนอายุขัย ตายแล้วไปเกิดเป็นสัมภเวสี บรรดาสัมภเวสีที่เดินเกลื่อนไปเกลื่อนมาในโลกมนุษย์ มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคนธรรมดา เวลาที่ตายแต่งตัวแบบไหน นุ่งผ้าประเภทไหนก็แต่งตัวแบบนั้น มีความกังวลอยู่อย่างหนึ่งคือ มีความทุกข์ใจไม่รู้จะเกิดที่ไหนได้แน่นอน บรรดาสัมภเวสีพวกนี้มีความลำบาก ถ้าญาติของเราตายด้วยอำนาจของสัมภเวสี คือยังไม่สิ้นอายุขัย เช่น ฟ้าผ่าตาย คลอดบุตรตาย ถูกฆ่าตาย ถูกรถชนตาย เป็นต้น แต่ก็ไม่แน่นักบรรดาพวกนี้ถึงอายุขัยก็มี แต่ก็เผื่อเหนียวไว้ก่อน สมมุติว่าเขาเป็นสัมภเวสี พอตายไปแล้วก็ไม่ต้องทำบุญมาก ทำบุญให้ได้บุญชัดๆ หาอาหารชนิดที่ไม่มีบาป อย่าทุบแม้แต่ไข่สัก ๑ ฟอง เอาผ้าไตรมา ๑ ไตร พระพุทธรูปมา ๑ องค์ นิมนต์พระมารับสังฆทานที่บ้าน ทำเงียบๆ อย่ามีเหล้ายาปลาปิ้ง เมื่อทำบุญเสร็จก็อุทิศส่วนกุศลให้เฉพาะคนที่ตาย ไม่ให้ใครทั้งหมด ทำอย่างนี้ท่านพวกนี้จะมีความสุข ได้รับผลบุญทันที มีความผ่องใส มีความอิ่มเอิบ เมื่อเข้าถึงอายุขัยเมื่อใด พวกนี้จะไปถึงด้านของสวรรค์ก่อน…”


ที่มา : หนังสือ ตายไม่สูญ…แล้วไปไหน ของ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง


อธิบายเพิ่มเติม

- เหตุที่หลวงพ่อไม่ให้ใช้ไข่ทำอาหารเพื่อถวายสังฆทาน เนื่องจากป้องกันไม่ให้ผิดศีลข้อ 1 เพื่อให้เป็นบุญที่บริสุทธิ์จริงๆ หมายความว่า โดยทั่วไปไข่ที่เราใช้ทำอาหารหากเป็นไข่ที่ไม่ได้รับการปฏิสนธิ ย่อมไม่ผิดศีลแต่อย่างใด ได้แก่ ไก่พันธุ์ไข่ทั่วๆ ไป แต่หากเป็นไข่ที่เกิดจากการปฏิสนธิแล้ว ถือว่าเป็นการพรากชีวิต ด้วยเหตุนี้เพื่อป้องกันหลวงพ่อเลยไม่ให้ใช้ไข่ทำอาหาร…

- พระพุทธรูปที่ถวาย หลวงพ่อแนะนำว่าควรใช้พระหน้าตักตั้งแต่ 5 นิ้วขึ้นไป

- การถวายสังฆทานควรใช้พระตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไป


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิต

10
เวรย่อมระงับ ด้วยการไม่จองเวร

11
วิธีระงับราคะและโทสะให้เด็ดขาด


ถาม : วิธีที่จะระงับความโกรธได้เด็ดขาด ระงับราคะเด็ดขาด ทำอย่างไรครับ?

ตอบ : ต้องทรงฌานสี่ จ้ะ แล้วตัดเข้าหาความเป็นพระอนาคามีให้ได้ ถ้าทรงฌานสี่ไม่ได้ จะระงับไม่อยู่

ถาม : ต้องได้ฌานสี่ก่อน ?

ตอบ : ถ้าจะระงับให้เด็ดขาดต้องฌานสี่เลย ไม่อย่างนั้นกำลังไม่พอที่ห้ามราคะและโทสะ

ถาม : แล้วพวกสุกขวิปัสสโกที่ทำได้ ?

ตอบ : ท่านทำได้เพราะท่านพิจารณาวิปัสสนาไปเรื่อยๆ แล้วเข้าถึงฌานสี่เอง

ถาม : เข้าถึงฌานสี่เอง ?

ตอบ : ไม่ใช่ว่าท่านไม่ได้ฌานสี่นะ ท่านได้ แต่ท่านแสดงฤทธิ์ไม่ได้

ถาม : ต้องผ่านฌานสี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นไม่มีทาง ?

ตอบ : ไม่อย่างนั้นเอาไม่อยู่ พระอนาคามีท่านถึงได้ทรงฌานสี่เป็นปกติ

ถาม : บางทีรู้สึกว่าใช่ แต่ทำไมไม่ละให้เด็ดขาด ?

ตอบ : กำลังสมาธิของเราต้องถึง แล้วใช้ปัญญาพิจารณาจนเห็นโทษของราคะและโทสะ เมื่อเห็นทุกข์เห็นโทษแล้ว จิตก็จะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด จึงจะถอนออกมาจากตรงนั้นได้


สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๔



ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...?t=2524&page=4

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

12
กราบนมัสการ หลวงพ่อตัดครับ ตะกรุดของท่านแต่ละรุ่นเหนียวอย่าบอกใคร  :005:

13
ชาติภพของคนเรานั้นเกิดได้ง่ายมาก


ผมจะขอนำเอาประสบการณ์เรื่องนึงที่พระอาจารย์ท่านเคยเล่าให้ผมฟัง เป็นคติเกี่ยวกับการพิจารณารู้เท่าทันกิเลสและจิตของตัวเอง สำหรับผู้ที่มีความตั้งใจที่จะตัดภพตัดชาติของตัวเองให้ลดน้อยลง

พระอาจารย์ท่านเคยเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับโยมผู้หญิงคนนึงซึ่งปฏิบัติธรรมมานานและมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมดี อยู่มาวันหนึ่งถึงคราวเจ้ากรรมนายเวรเก่าตามมาทวงคืน โยมคนนี้เขาถูกคนสนิทคนหนึ่งหลอกโดยให้เซ็นเอกสารบางอย่าง ทำให้ถูกโกงเงินไปเกือบหมดตัวจนแทบจะกลายเป็นคนล้มละลายเลยทีเดียว ด้วยความโกรธและความผิดหวังจากการถูกหักหลังโดยคนสนิท ผนวกกับการรู้ไม่เท่าทันโทสะที่เกิด โยมคนนี้ได้ผูกอาฆาตพยาบาทคนที่มาหลอกให้เซ็นเอกสารนั้น พระอาจารย์ท่านเล่าให้ฟังว่า ช่วงที่โยมเกิดพยาบาทจิตนั้นเอง ชาติภพใหม่ของโยมคนนั้นได้เกิดขึ้นมาอีกไม่ต่ำกว่า 10 ชาติ คิดแล้วก็น่าเสียดายที่โยมอุตส่าห์ปฏิบัติธรรมมานานหลายปี


ข้อคิดจากเรื่องที่ได้ฟังมานี้ก็คือ ชาติภพของคนนั้นเกิดขึ้นง่ายและเร็วมาก เพียงแค่เผลอสติรู้ไม่เท่าทันกิเลสแค่นิดเดียว ก็ทำให้ต้องเสียเวลาเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏเพิ่มขึ้นอีกนานแสนนานหลายภพชาติ ครูอาจารย์หลายท่านจึงได้เปรียบการปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้นว่าเหมือนกับการพายเรือทวนกระแสน้ำ การประมาทเพียงนิดเดียวโดยปล่อยให้จิตไหลไปตามวารีกิเลสที่ถาโถมนั้น ทำให้ต้องเสียเวลาอย่างมากในการที่จะต้องพายเรือกลับมายังจุดที่เคยอยู่เดิม เพราะฉะนั้น การมีสติและรู้เท่าทันกิเลสที่เข้ามากระทบจิตนั้นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักปฏิบัติทั้งหลายที่ต้องการหลุดพ้นจากภพชาติที่ร้อยรัดสัตว์โลกมาเป็นเวลานานแสนนาน

หวังว่าเรื่องราวนี้จะพอเป็นแง่คิดแด่ทุกท่านไม่มากก็น้อย

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

14
อนุโมทนา ด้วยครับเห็นแล้วเกิดอาการปิติ ครับ

15
ขอให้มี แฟนสวยๆ ลูกน่ารัก และขอให้ชีวติ เพอร์เฟค ครับ

16
ธรรมะ / นั่งตรงไหน...จึงจะสงบ !
« เมื่อ: 20 เม.ย. 2554, 09:36:15 »
นั่งตรงไหน...จึงจะสงบ !


สมัยเมื่อครั้งที่หลวงปู่ยังแข็งแรง ก็มีลูกศิษย์คนหนึ่งซึ่งเข้าวัดได้ไม่นาน
วันหนึ่ง เธอได้รับการเชิญชวนจากเพื่อนคนหนึ่งว่า
หากต้องการจะนั่งปฏิบัติภาวนาให้จิตเป็นสมาธิ เข้าถึงความสงบ ก็ต้องไปนั่งที่สำนักทรงแห่งหนึ่ง ที่จังหวัดสุพรรณบุรี
เธอจึงเกิดความลังเล เพราะนั่งภาวนาที่วัดสะแกเอง ก็ยังไม่เคยนั่งจริงจังนัก
หลวงปู่ก็ไม่เคยสอนเธอจริงจัง

ในระหว่างที่เธอเกิดความลังเลว่า จะหาโอกาสตามเพื่อนของเธอเพื่อไปปฏิบัติที่สำนักทรงแห่งนั้น
อยู่ ๆ หลวงปู่ก็ทักเธอ ในเช้าวันที่เธอนำภัตตาหารไปถวายท่าน
เมื่อเธอประเคนถวายภัตตาหารแด่หลวงปู่แล้ว
หลวงปู่ได้ชี้ให้เธอไป "นั่งภาวนาที่ข้างโอ่ง" (ที่ท่านสรงน้ำ)

เธอเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ท่านจ้องมาที่เธอ
จากนั้นเมื่อเธอหลับตา "ภาวนาไตรสรณคมน์"
ไม่ทันไร...เธอก็รู้สึกว่าตัวเธอลีบเล็กลง ๆ จนเหลือตัวน้อยหนึ่ง
ในขณะที่เสียงภายนอก เช่น เสียงดังจากปิ่นโตที่คนเขาถ่ายอาหารลงภาชนะเพื่อถวายหลวงปู่ ฯลฯ
ก็เป็นเสียงที่คล้ายจะดังมาจากที่ไกล ๆ และแผ่วเบามาก

เธอนั่งสมาธิเพลิน จนกระทั่งเริ่มได้ยินเสียงหลวงปู่ให้พรญาติโยม
เธอประหลาดใจมาก...ที่จิตเธอเป็น "สมาธิ" อยู่ได้ตั้งนาน
ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่เธอได้สัมผัสว่า จิตเป็นสมาธิ...เป็นเช่นนั้นเอง !

ที่สำคัญ เธอเรียนรู้ว่า เธอไม่จำเป็นต้องไปไกลถึงไหน ๆ เพียงเพื่อจะแสวงหาที่นั่งปฏิบัติภาวนา
เพราะที่วัดสะแกซึ่งเธอมากราบหลวงปู่อยู่นี้ ก็เป็นที่สัปปายะที่เอื้อต่อการปฏิบัติจิตตภาวนา
ขอเพียงมีความตั้งอกตั้งใจ (ประกอบกับได้บารมีหลวงปู่มาช่วยสนับสนุน)

นอกจากนี้ ยังลดความเสี่ยงจากการไปเยือนสำนักทรง
เพราะหลวงปู่พูดเตือนเสมอ ๆ ว่า สำนักทรงโดยมาก...ก็มีแต่ผีทั้งนั้น !


ที่มา : นั่งตรงไหน...จึงจะสงบ !

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

17
ขอถามหน่อยครับ
ความมีอยู่ว่าเคยพาผู้หญิงไปทำแท้งมาครับ ก็รู้สึกว่าตนเองผิดเหมือนกัน
คือเมื่อตอนเปฝ้นวัยรุ่นคึกคะนองอยู่ ได้รู้จักผู้หญิงคนนึง แล้วได้มีอะไรลึกซึ้งต่อกัน
ผู้หญิงคนนั้นเขาก็อ้าวว่าท้องกับผม แต่จริงๆๆแล้วผู้หญิงคนนั้นเขาท้องมาก่อน ที่จะมีอะไรกับผมอีก
เหมือนกับว่าเขามาหลอกผม อะไรทำนองนี้ แต่ตอนผมพาเขาไปทำแท้ง ผมก็ยังไม่รู้ความจริง
แบบนี้ผมจะ บาปมากไหมเพราะตอนนั้นไม่รู้จิงๆๆ
แต่ผมก็นึกในใจเสมอถึงไม่ใช่ลูกเรา ถึงเราจะโดนหลอก แต่เราก็พาเข้าไปทำ ยังไงก็ผิดยังไงก็บาปอยู่ดี
ทุกวันนี้เวลา ไหว้พระหรือทำบุญอะไรก็ตามแต่ก็จะขอให้แบ่งส่วนบุญนี้ไปให้เขาเสมอ
และผมควรจะทำยังไงดี รู้สึกไม่สบายใจเลย
คุณก็ ทำตามวิธีดูนะครับ หมั่นสวดมนต์ แผ่เมตตาไปให้เขา ตื่นเช้ามาก็ลุกขึ้นใส่บาตร ถือศีล 5 เวลาจะทำบุญไปให้เขาเจาะจงที่เขาคนเดียวนะครับ ^^  สู้ ๆๆ ละ ผมขอเป็นกำลังใจให้

18
ของผม ไอ่เฉิ่ม ไอซ์ นะครับ

19
แก้กรรมทำแท้ง


เมื่อหนุ่มสาวมีใจปฏิพัทธิ์ต่อกันได้อยู่กินกัน เมื่อตั้งครรถ์ขึ้นมาแต่ด้วยความไม่พร้อมหรือไม่วางแผนก็ตาม หรือเหตุบางอย่าง ทำให้ไม่สามารถที่จะรักษาอายุครรภ์ต่อไปก็คือต้องทำแท้ง ในเมืองไทยมีสถิติมาประมาณ ใน 1 ปี มีคนทำแท้งประมาณ 3 แสนครั้ง คิดดูว่าสัมภเวสีเด็กจะมากเพียงไร


ไม่ว่าจะเป็นพ่อเด็กหรือแม่เด็ก จะได้วิบากกรรมในชาติปัจจุบันที่เห็นชัดเจนคือทำมาหากินลำบาก การเงินการงานติดขัด ไปไหนมาไหนมักจะมีผู้ตั้งท่ารังเกียจกีดกันตลอด เพราะวิบากกรรมที่ตนเองทำนั่นแหละ การทำลายชีวิตคนทั้งคน เราทำให้เขาเกิดมาก็จริง แต่เราไม่ใช่ผู้ที่จะไปพิพากษาชีวิตเขา เพราะเขาอาจจะเกิดมาเป็นคนดีทำความดีให้สังคมก็ได้ เราไปตัดโอกาสนี้ของเขาจึงได้บาปมาก มากต่อมากของผู้หญิงที่มาปรึกษา กับผมหรือแม้กระทั่งผู้ชายก็ดี ล้วนเคยมีส่วนในการทำแท้ง แล้วมาปรากฏว่าชีวิตการงาน การเงินไม่คล่องเลย ลำบากมากฝืดเคืองมาก

ถึงไม่ใช่ว่าเราเป็นแม่เด็ก พ่อเด็ก แต่เราเป็นผู้มีส่วนในการทำแท้ง เราก็จะได้บาป และได้เจ้ากรรมนายเวรมาด้วย ให้ระวัง ท่านที่ไม่เคยทำ ไม่เคยมีส่วนร่วมให้ระวัง อย่าไปทำ

เหตุใดทำแท้งแล้วชีวิตมักตกต่ำเหมือนดวงตกทันที เพราะว่า เด็กบางคนถ้าเขาเกิดมาอาจจะมีอายุ 60 ปี 50 ปีบ้างตามวาระบุญเก่าเขา แต่เรามาตัดรอนเขาไปก่อน ในสภาพเช่นนี้ ทำให้เด็กเหล่านี้กลายเป็นสัมภเวสีทันที คือเป็นโอปาติกะที่เกิดจากคนตายก่อนอายุขัย เช่น จะมีอายุ 60 ปี แต่มาตายตั้งแต่อยู่ในท้อง จึงไปไหนไม่ได้ เป็นผีเร่ร่อน บุญเก่าที่เคยทำก็เสวยไม่ได้ บาปเก่าที่ทำก็ยังไม่ให้ผล จะไปเกิดที่ใหม่ก็ไม่ได้ หากจะไปตามที่ต่างๆ ที่ต่างๆล้วนมีเจ้าที่เจ้าทาง มีภูมิเทวดาที่ท่านรักษาที่นั่นๆ ท่านก็จะขับไล่ไป สุดท้ายแล้ว ผีเด็กเหล่านี้ไปไหนไม่ได้ เลยต้องมาเกาะ มาอาศัยกับทายาทกรรมก็คือพ่อแม่ของตนเองนั่นแหละ

คนที่ทำแท้งมา เจ้ากรรมนายเวรก็คือลูกของตนเองนั่นเอง จิตเขาผูกอาฆาต เลยมาเกาะอยู่กับแม่ เป็นกึ่งผี กึ่งสัมภเวสี พอเกาะอยู่ไม่มีอะไรกิน เขาก็อาศัยกายทิพย์ในร่างโอปาติกะที่แทรกเกาะตามกายหยาบเรา นั่นแหละ ดูดกินน้ำเลือดน้ำเหลืองในกายเรา พอกินในจุดนั้นไปนานๆ ก็ก่อให้เกิดการเป็นมะเร็ง เป็นเนื้องอก ผิดปรกติ

แล้วอีกประการหนึ่งการที่ไปไหนมาไหน มีผีเด็กตามเกาะตามติดตลอด ทำให้ดวงเราโดนปิดกั้นด้วยกระแสไม่ดี ทำให้ดวงตกดวงไม่ดี ไปที่ไหน มักจะได้รับการตั้งแง่รังเกียจ อีกประการผีเด็กบางคนจิตอาฆาตแรง จึงพยายามเล่นงานพ่อแม่ หรือผู้มีส่วนร่วมเต็มที่

วิธีแก้ไข

1.ให้เราตั้งสำรับอาหาร ให้เขาด้วย มีอาหารตามธรรมดาที่เรารับประทาน แล้วก็นมที่ชงใส่ขวดบ้าง แล้วก็จุดธูป 1 ดอกบอกกล่าวให้เขามากิน ที่ให้ทำเช่นนี้เพราะว่า พวกสัมภเวสีเหล่านี้ บางส่วนเขาจะยังโมทนาบุญไม่ได้เต็มที่ ต้องอาศัยการกินอาหาร (ลักษณะทิพย์ ที่ซ่อนอยู่ในของหยาบ )

2. หมั่นทำบุญด้วย การถือศีลแปด สวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตา แผ่ส่วนกุศลให้เขา

3. ทำบุญด้วยการซื้อที่ดินถวายวัดไหนก็ได้ ถ้าจะให้ดีที่สุด ตั้งแต่ 5 ตารางวาขึ้นไป อุทิศให้เขาเพียงผู้เดียว เขาจะได้มีที่อยู่อาศัยไม่ต้องมาเกาะอยู่กับพ่อแม่อีก

4.บุญที่สำคัญเช่น วิหารทาน เขาสร้างโบสถ์วิหารที่ไหน เราก็ไปสมทบ แล้วอุทิศให้
5.บุญสังฆทานด้วยของที่จำเป็นในการดำรงชีพ มี อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค
6.บุญสร้างพระพุทธรูป หรือพระเจดีย์ ให้ไปร่วมสร้าง หรือร่วมบริจาคสมทบทุนสร้าง พระตั้งแต่สี่ศอกขึ้นไป

บุญทั้งหมดที่กล่าวมา หากทำแล้วอุทิศให้ลูกตนเองที่เคยทำแท้ง เขาจะมีความสุขมาก แล้วอโหสิกรรมเปิดทางให้เราเร็ว ดวงจะได้เปิดโชคลาภความคล่องตัวจะได้เกิดขึ้น


ถึงเราจะเคยทำผิดคิดพลาด แต่แก้ให้ถูก แล้วต่อไปนี้ตั้งตนตั้งใจใหม่ ให้อยู่ในบุญในกุศล มีศีลห้าครบ ทำทานตามวาระ ภาวนารักษาจิตเป็นประจำ ต่อไปดวงหรือวิถีชีวิต ท่านจะไม่ตกต่ำ ไม่ลำบากอีกเลย ที่ลำบากคือ ทำผิดแล้วไม่แก้ไข

ที่มา www.ponboon.com

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

20
ธรรมะ / ตอบ: วิธีที่จะทำให้รวย
« เมื่อ: 08 เม.ย. 2554, 11:24:38 »
ขอบคุณมากค่ะสำหรับคำแนะนำดีๆ ปกติจะสวดบทนี้และจบเงินใส่บาตรออมสินเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ดีค่ะเพราะอ่านแล้วได้เคล็ดลับเพิ่มเช่นการตั้งจิตอฐิษธานกับการใช้ลูกประคำ ขออานิสงส์ผลบุญนี้ให้คนตั้งกระทู้ประสบแต่ความเจริญรุ่งเรืองค่ะ

ขอบคุณครับ อนุโมทนา สาธุ ครับ

21
คุณของยันต์เกราะเพชร



ถาม : ยันต์เกราะเพชร มีคุณอะไรคะ?

ตอบ : เอาไว้ป้องกันไสยศาสตร์จ้ะ แต่ต้องสวด อิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ทุกเช้าประมาณสามจบ พอกำลังใจมั่นคง นึกขอบารมีพระท่านช่วยคุ้มครอง จะป้องกันได้ทั้งวัน ใครทำไสยศาสตร์ใส่เราจะย้อนคืนหมด กลายเป็นว่า ใครคิดร้ายต่อเรา เขาจะซวยเอง..!

วิชานี้สืบสายมาจาก ตำราพระร่วง มาดังสมัย หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และมากระหึ่มอีกทีสมัย หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านจัดงานเป่ายันต์ทีคนไปเป็นแสน

ถ้าเราไม่เคยไปรับเป่ายันต์ เราก็พกผ้ายันต์ติดตัวไว้ แต่แปลก..ผ้ายันต์เกราะเพชรของอาตมา มีคนเขาเอาไปใช้ในทางค้าขายแล้วขายดี ก็เลยมีคนตามไปหาถึงวัด อาตมาก็สงสัยว่าตั้งใจสร้างในทางป้องกัน กลายเป็นค้าขายได้อย่างไร ? อ๋อ..ที่แท้ พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ ถ้าเราศรัทธาจริงๆ และมีบุญเก่าหนุนเสริม อธิษฐานอย่างไรก็ได้อย่างนั้น

สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔


ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...?t=2399&page=5

นาธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

22
ธรรมะ / วิธีที่จะทำให้รวย
« เมื่อ: 06 เม.ย. 2554, 08:38:29 »
วิธีที่จะทำให้รวย
เขียนโดย นายวางว่าง
๑. การทำให้ค้าขายคล่อง
การที่จะติดต่อทำธุรกิจกับใครเราจะต้องรู้จักการเชื่อมบุญ การขออโหสิกรรม การแผ่เมตตาเสียก่อน เพื่อต้องการให้เขามาซื้อสินค้าเรา ก่อนที่จะทำต้องมีศรัทธาและเชื่อมั่นว่าหนทางน้าจะช่วยเราได้ และต้องอาศัยคาถาเงินล้านที่สวดด้วยจิตอันตั้งมั่น ไร้ความอยาก ความโลภ ความอยากต่าง ๆ ที่เป็นกิเลศให้สวดด้วยความมีเมตตา ความกรุณา ความรัก ให้มโนภาพเห็นแสงสว่างสีขาวอันนุ่มนวล แผ่ความกรุณาไพศาล ให้เห็นกลีบดอกบัวสีขาวเป็นล้าน ๆ กลีบ แผ่ความรักความกรุณาจากเหนือกลางกระหม่อมออกไปถึงบุคคลนั้น หรือมวลมนุษย์ สรรพสัตว์ ตลอดถึงจักรวาลทั้ง ๓ ภพ

“ขอให้ท่านทั้งหลาย จงเป็นสุข ๆๆๆ ทุกท่านทุกคนเทอญ ”เป็นการเสริมบุญเก่าที่เคยทำมาด้วยกัน และเพิ่มบุญใหม่เข้าไปช่วยมีการกล่าวขออโหสิกรรม และให้อโหสิกรรมต่อกัน


วิธีการใส่บาตรวิระทะโยและการนับลูกประคำเพื่อให้เกิดความคล่องตัว
๑.นำเงินใส่ไว้ในมือ พร้อมกับพนมมือ ตั้งนะโม ๓ จบ ต่อด้วยการสวดไตรสรณคมน์ พร้อมทั้งนึกถึงความหมายของบทสวด

๒.สวดคาถาเงินล้านจำนวน ๓,๕,๗,๙ จบ แล้วแต่ตามความเหมาะสม ในขณะที่สวดให้นึกถึงสมเด็จองค์ปฐม องค์ปัจจุบัน พระปัจเจกพระพุทธเจ้า หลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ โดยจิตต้องไม่อยากมีอยากได้ หรือหวังผลจากการใด ๆ


๓.นำเงินหยอดลงไปในบาตรวิระทะโย เมื่อเงินตกลงในบาตรแล้ว ในทันทีให้นึกว่า “ขอบุญกุศลนี้จงถึงแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกิน ทั้งต่อหน้าก็ดีและลับหลังก็ดี ทั้งมีเจตนาก็ดีไม่มีเจตนาก็ดี ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า และขอบุญกุศลนี้จงถึงแก่เทวดาที่ปกปักษ์รักษาข้าพเจ้า และเทวดาที่รักษาประตูเงินประตูทองของข้าพเจ้า พร้อมทั้งท่านท้าวพญายมราชขอจงมโนทนาผลบุญส่วนกุศลนี้ และจงเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญบุญครั้งนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน

๔. ให้ปฏิบัติอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน เมื่อเงินเต็มบาตรให้นำเงินจำนวนนี้ไปทำบุญเพื่อสร้างวิหารทาน ห้องน้ำ หรือถวายเป็นสังฆทาน ตามวัดที่มีพระผู้ปฏิบัติกกรรมฐาน


การนับลูกประคำ
๑.ให้จับประคำโทนพร้อมทั้งตั้งนะโม ๓ จบ ต่อด้วยการสวดไตรสรณคมน์ พร้อมทั้งนึกถึงความหมายของบทสวด และให้กำหนดจิตไปที่กึ่งกลางของลูกประคำ

๒.สวดคาถาเงินล้าน ขณะนั้นให้กำหนดจิตเพ่งไปที่ลูกประคำจนสวดจบ ๑ บท ต่อจากนั้นให้นิ้วจับที่ลูกประคำลูกต่อไปพร้อมทั้งสวดคาถาเงินล้าน จิตก็กำหนดจิตเพ่งไปที่กึ่งกลางของลูกประคำ ให้ทำเช่นนี้ไปจนครบลูกประคำทั้งเส้น
๓.วิธีการนับลูกประคำนี้ นอกจากจะทำให้เกิดความคล่องตัวแล้ว ยังสามารถใช้ในการเสี่ยงทาย หรือช่วยในการตัดสินใจกระทำการต่าง ๆ ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่

-โดยในขณะที่ทำการนับลูกประคำนั้น สามารถนับไปจนครบไม่ติดขัดแสดงว่าสิ่งที่ตัดสินใจทำการใด ๆ นั้น จะประสบความสำเร็จ
-หากแม้นว่ามีสิ่งที่ทำให้การนับสะดุด หรือติดขัดไม่สามารถสวดได้จนจบครบทั้งเส้น แสดงว่าไม่ควรที่จะตัดสินใจทำการต่าง ๆ นั้น เพราะจะเกิดปัญหา หรือไม่ประสบความสำเร็จ ในระหว่างที่ทำการนับนั้น จะพูดคุย นั่ง เดิน หรือกระทำกิจการใด ๆ ก็ขอให้จิตเพ่งอยู่ที่กึ่งกลางของลูกประคำอยู่ตลอด วิธีการนี้สามารถช่วยให้มีความคล่องตัวในช่วงเวลาที่ขัดสน หรือติดขัดทางด้านการเงิน



คำนมัสการพระพุทธเจ้า
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต, สัมมาสัมพุทธัสสะ ( ๓ จบ)
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

ไตรสรณคมน์
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดเอาพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดเอาพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ แม้วาระที่ ๒ ข้าพเจ้าขอยึดเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ แม้วาระที่ ๒ ข้าพเจ้าขอยึดเอาพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ แม้วาระที่ ๒ ข้าพเจ้าขอยึดเอาพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ แม้วาระที่ ๓ ข้าพเจ้าขอยึดเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ แม้วาระที่ ๓ ข้าพเจ้าขอยึดเอาพระธรรมเป็นที่พึ่งที่ระลึก
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ แม้วาระที่ ๓ ข้าพเจ้าขอยึดเอาพระสงฆ์เป็นที่พึ่งที่ระลึก

และให้ตั้งสัจจะอธิษฐานถึงคนคนนั้น และเรื่องสินค้าที่จะขายให้กับเขา ขอให้บุญกุศลที่ทำนั้นเป็นการเชื่อมบุญระหว่างกันและกันเพื่อให้กรรมที่อาจจะมีต่อกัน เบาบางลงไป และจะต้องรักษาศีลตามอัตถภาพ จะต้องทำให้ได้ตามสัจจะที่ให้ไว้ ๓ วัน ๗ วัน ๑๐ วัน แต่ทางที่ดีควรรักษาให้ได้ตลอดดังพระบาลีที่ว่า สีเลนะโภคสัมปทา แปลว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยศึล ย่อมเป็นผู้มีโภคมาก

และอยากจะแนะนำท่านที่เป็นพ่อค้า แม่ขาย จะขายอะไรก็ตาม ลูกค้าที่เข้ามาจับจ่ายซื้อของนั้น เขาก็คือ เจ้ากรรมนายเวรแบบมีชีวิตด้วยเหมือนกัน เมื่อเขาเอาเงินเอาบุญมาส่งให้ ก็ควรจะทำการอุทิศบุญให้เขาด้วย เป็นการเชื่อมบุญ (ให้กำหนดจิตดังได้อธิบายไว้เบื้องต้นนั้น) เสริมบุญกระตุ้นความดีในดวงจิตของเขาให้มีมากขึ้น ให้เขาเอาบุญมาให้เราอีกมาเป็นขาประจำ อุดหนุนกันไปตลอด การค้าจะรุ่งเรือง

อีกอย่างการจะใช้ชีวิตให้มีความสุขและมั่งคั่งนั้น ต้องรู้จักเทวดาผู้ที่รักษาตัวเราเสียก่อน มีหลายจำพวก พวกหนึ่งก็คอยรักษาคุ้มครองป้องกัน ปัดเป่าคอยให้คำชี้แนะ ดลใจ อีกพวกหนึ่งก็คอยดูแลประตูเงินทองให้ความยับยั้งชั่งใจ และใช้จ่ายเงินทองอย่างระมัดระวัง ถ้าผู้ใดเป็นหนี้เราหรือทรัพย์สินของเราสูญหาย ก็สามารถนำกลับคืนมาให้เราได้ดังเดิม ทุกครั้งที่เราจะกระทำบุญต่าง ๆ ต้องอย่าลืมอุทิศบุญให้แก่เทวดาที่รักษาตัวของเราด้วยทุกครั้ง เพื่อให้เขาได้มีกำลังและสามารถนำบุญของเราไปผลัดผ่อนให้กับเจ้ากรรมนายเวรของเราได้ เทวดาทั้งหลายเหล่านี้ส่วนมากก็คือ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ และผู้มีพระคุณต่อเรา และเรามีบุญคุณต่อเขาทั้งหลาย จึงมีกรรมผูกพันต่อเรา

อีกอย่างเราจะต้องอุทิศบุญให้แก่เจ้ากรรมนายเวรของเราด้วย ทั้งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิตทั้งหมด เพื่อที่จะให้อุปสรรคทั้งทางเรื่องการเงิน การงาน เบาบางหรือหายไปด้วยการหนุนบุญให้สูงขึ้น สิ่งที่สำคัญที่ทำให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิและเสริมการเงิน และการงาน คือ
ทาน การให้ การให้ต้องให้ของที่ดี ตั้งใจดี ผู้รับดี
ศีล คือการงดเว้น การไม่ก่อกรรมเวรเพิ่มขึ้น เพื่อตัดอุปสรรคการเงิน การงานต่าง ๆ
ภาวนา ต้องทำให้ได้ตลอดเวลา ทุกสถานที่ ทุกอิริยาบถ


ข้อแนะนำการเตรียมตัวก่อนทำสมาธิ
- การหาเวลาที่เหมาะสม เช่น ไม่ใช้เวลาใกล้เที่ยงเป็นต้น จะทำให้เกิดอาการหิวข้าว หรือทำใกล้เวลารับประทานอาหาร และไม่รับประทานอิ่มเกินไป เพราะจะทำให้เกิดอาการง่วงนอน
- การหาสถานที่ที่เหมาะสม ไม่อยู่ในสถานที่อึกทึก ครึกโครม
- เสร็จจากธุระภารกิจต่าง ๆ ไม่ให้มีเรื่องกังวล
- อยู่ในอาการท่าทางที่สบาย ไม่ติดขัด แต่อย่าอยู่ในท่าที่เกียจคร้าน เช่น การนอนหงายบ่อย ๆ เป็นต้น
- ไม่ควรนึกถึงผลและคาดหมายหวังสิ่งต่าง ๆ เพราะเป็นการสร้างความกดดันทางใจ โดยไม่รู้ตัว และเกิดความกระวนกระวาย ทำให้จิตไม่เกิดสมาธิ ต้องทำใจให้ว่างมากที่สุด
- ต้องทำให้การนั่งแต่ละครั้ง ต้องทำให้ดีที่สุดตามเวลาที่กำหนดไว้
- ต้องทำให้เกิดความชำนาญ ทำทุกวัน ให้เกิดความเคยชินเป็นนิสัย
- ที่สำคัญต้องมีความเมตตาแผ่ไพศาลและต้องตัดปลิโพธิ คือ ความห่วงใยต่าง ๆ และเอาจิตจดจ่อในสิ่งที่ตนภาวนาหรือกระทำอยู่ ให้ความเพียวและสติสม่ำเสมอกัน อย่ามากกว่ากัน อย่าต่ำกว่ากัน

พระคาถาเงินล้าน
(นะโม ๓ จบ)
สัมปะจิตฉามิ (คาถาสนองกลับ)
นาสังสิโม (คาถาพระพุทธกัสสป)
พรหมมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะระยันติ (คาถาปัดอุปสรรค)
พรหมมาจะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุเม (คาถาเงินแสน)
มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุเม (คาถาลาภไม่ขาดสาย)
มิเตภาหุหะติ (คาถาเงินล้าน)
พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง
วิริหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย
พุทธัสสะมานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)
สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)
เพ็ง ๆ พา ๆ หา ๆ ฤาๆ
(บูชา ๓, ๕, ๗, ๙ จบ ตัวคาถาต้องว่าทั้งหมด)

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

23
กรรมที่ให้ผลแล้ว กลับมาให้ผลได้อีก..!


ถาม : กรรมที่ให้ผลแล้ว จะกลับมาให้ผลอีกไหมครับ ?

ตอบ : กรรมที่ให้ผลไปแล้ว ถ้าหากว่ายังไม่หมดแรงกรรมนั้นๆ ถึงวาระก็จะให้ผลอีก แต่ถ้าหากว่าให้ผลหมดแล้ว ก็เป็นอันว่าผ่านไปเลย

กรรมจะมีบางประเภทที่ให้ผลแบบฉับพลัน อย่างที่เขาเรียกว่า ครุกรรมทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล อย่าง ครุกรรมฝ่ายอกุศล คือ ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต ทำสังฆเภท ก็จะเห็นผลทันตาในปัจจุบัน ตายเมื่อไรคุณลงอเวจีมหานรกแน่นอน

ขณะเดียวกัน ครุกรรมฝ่ายกุศล คือฝ่ายดี ที่คุณทำเอาไว้อย่างเช่นว่า ได้ฌาน ๔ ได้สมาบัติ ๘ ถึงเวลาคุณก็ไปเป็นพรหมหรืออรูปพรหมไปเลย หรือ ถ้าหากมีโอกาสได้ทำบุญกับพระอริยเจ้าที่ออกนิโรธสมาบัติ ก็จะเป็นเศรษฐีในวันนั้นเลย

ฉะนั้น ลักษณะแบบนี้จะให้ผลฉับพลัน แต่ว่าให้แล้วให้เลย จบกันไปเลย เหมือนอย่างกับเราปลูกผักปลูกหญ้าให้ผลเร็วมาก ไม่กี่วันก็เก็บกินได้แล้ว..ใช่ไหม ? แต่ว่าเมื่อได้แล้วก็หมดไปเลย

แต่ว่ากรรมบางอย่างจะให้ผลช้ามาก อย่างเช่น อุปัชชเวทนียกรรม อปราปรเวทนียกรรม ให้ผลในชาติที่ ๒ ชาติที่ ๓ ชาติที่ ๔ ไปเรื่อยๆ เหมือนกับปลูกไม้ผล กว่าจะให้ผลช้ามากเหมือนกับตามไม่ทัน ลักษณะแบบเดียวกับรถสิบล้อวิ่งช้า..ใช่ไหม ? แต่ถึงเวลาถ้ารถชนเราจะเป็นอย่างไร ? รถใหญ่อาการเราก็หนัก เจ็บจริง เจ็บนาน ฉะนั้น..กรรมพวกนี้จะให้ผลต่อเนื่อง ยาวนาน ลักษณะเหมือนกับปลูกไม้ผล ระยะเวลา ๕ ปีขึ้นไปจึงจะเริ่มให้ผล แล้วก็จะให้ผลไปเรื่อยๆ

กรรมนั้นมีทั้งให้ผลตามกาล ให้ผลตามลักษณะ บางอย่างก็มาหนุนเสริม บางอย่างก็มาบีบคั้น บางอย่างก็มาตัดรอน ให้ผลตามกาลก็คือ ให้ผลช้า-เร็ว ก่อน-หลังกันไป รวมๆ แล้ว กรรมน่ากลัวมาก ตามทันเมื่อไร เราก็แย่เมื่อนั้น

สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดี จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

24
61.ดวงตก
เกิดจากการกระทำ
-ไม่นับถือพระพุทธศาสนา
-ไม่เคารพบิดา-มารดา
-เบียดเบียนผู้อื่น

วิธีลดกรรม
-ทำบุญ ตักบาตร ไหว้พระ กรวดน้ำให้ตนเองให้มากๆ
-ควรสวด อิติปิโสฯ เลยอายุ 1 จบ
-ปฏิบัติธรรม
-ควรแผ่เมตตาให้มากๆ วันละ 10-30 ครั้ง

62.มีความทุกข์และอุปสรรค ที่ทำให้เหนื่อยทั้งกายและใจ
ดวงชะตาอ่อนแรงลง

เกิดจากการกระทำ
-ไม่นับถือพระพุทธศาสนา
-ไม่เคารพบิดา-มารดา
-เบียดเบียนผู้อื่น

วิธีการลดกรรม
-กราบไหว้ทำบุญอุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวร และบรรพบุรุษ
-ทำบุญ ปล่อยนก ปล่อยหอยขม ปล่อยปลาไหล
-ทำบุญบริจาคทานแก่ผู้ยากไร้ จะบริจาคเป็นเงินทองหรือสิ่งของ
หรือแรงกายก็ได้ เช่น บริจาคเสื้อผ้า เครื่องใช้แก่ผู้ประสบอุทกภัย
น้ำท่วม บริจาคร่วมซื้อยารักษาโรคที่โรงพยาบาลสงฆ์
-ไหว้พระ ถวายรูป เทียน ปิดทองคำเปลว
-ถวายพวงมาลัยหรือดอกไม้สด ทำสังฆทานติดต่อกัน 3 เดือน
-ไปกราบไหว้เจ้าแม่กวนอิม พระโพธิสัตว์ ผู้เมตตาให้พ้นทุกข์
-งดเว้นการกินเนื้อวัว หรือเนื้อสัตว์ใหญ่
-ไปอาสาขัดล้างห้องน้ำ

63.เกิดเหตุร้ายกับชีวิตบ่อยๆ มีเลือดตกยางออกอยู่เสมอ
เกิดจากการกระทำ ทำร้ายผู้อื่น

วิธีการลดกรรม
-ถือศีลกินเจ 9 วัน ทุกเดือนจนครบ 9 เดือน
-บวชพระ บวชชีพราหมณ์ จำนวนวัน ตามแต่จะตั้งจิตเจตนา
-ไปไหว้พระ 7 วัด และนำน้ำมนต์ 7 วัด มาอาบมาประพรม
ศีรษะทั่วร่าง
-ทำบุญถวายสังฆทานทุกเดือน
-เติมน้ำมันตะเกียง 7 วัด ใน 3 เดือน
-ปล่อยนก ปล่อยหอยขม มากกว่าอายุตัวเองภายใน 3 เดือน
-ทำบุญซื้อโรงศพตามมูลนิธิต่างๆ

64.ค้าขายขาดทุน
เกิดจากการกระทำ
-ไม่เชี่ยวชาญในการทำงาน
-เคยทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
-อาจลบหลู่เจ้าที่เจ้าทาง
-ไม่เคารพเชื่อฟังพ่อแม่

65.ยากจนข้นแค้น
เกิดจากการกระทำ
-เคยลักขโมย และปล้นทรัพย์
-หลอกลวงเงินผู้อื่น

วิธีการลดกรรม
-ไม่ลัีกขโมยและตักเตือนผู้อื่น ไม่ให้ลักเล็กขโมยน้อย
-ยกย่องถึงผลดีของการไม่ลักขโมย
-เห็นผู้อื่นไมลักขโมย บังเกิดความปีติดีใจ
-ปรนนิบัติบุพาการีด้วยความตั้งใจ ของกินของใช้
ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
-ถวายปัจจัยต่างๆ ที่จำเป็นแก่ผู้อาวุโสหรือผู้มีคุณธรรม
-เห็นผู้อื่นได้รับผลประโยชน์บังเกิดความดีใจ
-เห็นผู้อื่นทำประโยชน์แก่ส่วนรวมก็หาวิธีช่วยเหลือ
-เห็นผู้อื่นชอบในการบริจาคก็บังเกิดความดีใจ
-พบเห็นผู้อดอยาก คิดหาทางช่วยเหลือ
-มีจิตคิดบริจาคอยู่เสมอ

66.ดวงชะตาหม่นมัว ชีวิตอับเฉา
เกิดจากการกระทำ
-คิดร้ายกับผู้อื่น
-เคยเบียดเบียนผู้อื่น
-ยุแหย่ให้ผู้อื่นแตกแยกกัน

วิธีการลดกรรม
-ไหว้พระ
-เติมน้ำมันตะเกียง หรือบริจาคเงินใส่ตู้เพื่อร่วมซื้อน้ำมัน
-ถวายโคมไฟ ตะเกียงแด่พระภิกษุสงฆ์
-บริจาคทรัพย์ร่วมสร้างสิ่งของเรื่องการไฟฟ้าต่างๆ
ภายในวัด

67.มีคดีความ
เกิดจากการกระทำ
-ช่วงอายุที่ดวงชะตาอ่อนแรง

วิธีลดกรรม
-ไปซื้อโลงศพทำบุญทำทานให้ผู้เสียชีวิตที่อนาถา
ไปทำบุญโลงศพได้ตามมูลนิธิต่างๆ
-ถือศีล 8 เคร่งครัด 7 วัน
-ทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ตอนเช้า ถวายสังฆทาน
-ปล่อยนก ปล่อยปลา

68.มักถูกรังแก ถูกเบียดเบียน
เกิดจากการกระทำ
-ไม่เคยบวช หรือทำบุญงานบวช

วิธีการลดกรรม
-บวช ด้วยจิตศรัทธาปวารณาอย่างบริสุทธิ์
ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง จะบวช 7 วัน หรือ 15 วัน
1 เดือน 1 พรรษา ก็ได้ตามแต่จิตแต่ศรัทธา
-ถ้าเป็นสตรีจะบวชชีพราหมณ์ หรือศีล 8
ตามเวลาที่สะดวกและตั้งจิตศรัทธา
หรือร่วมทำงานบุญงานบวชอย่างสม่ำเสมอ
เท่าที่จะทำได้

69.ไม่มีคนชื่นชมเอ็นดู ขาดเสน่ห์
เกิดจากการกระทำ ไม่เคยถวายของหอม

วิธีลดกรรม
-หมั่นทำบุญไหว้พระ ทุกวันพระ
-ถวายธูปหอม เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย
ทองคำเปลว ประน้ำอบน้ำปรุง
-ประพฤติดี ปฏิบัติชอบต่อผู้อื่น คิดดี ทำดี
พูดดี ให้ผู้อื่นได้ดี มิให้ร้ายผู้ใด

70.มักถูกโกง ถูกเบี้ยวเงิน
เกิดจากการกระทำเคยคดโกงผู้อื่น

วิธีการลดกรรม
-สละทรัพย์บริจาคร่วมการกุศลต่างๆ
-ทำบุญตักบาตร
-ถวายสังฆทาน
-กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวรทุกๆ เดือน

71.เจอแต่คนเอาเปรียบ
เกิดจากการกระทำ
-เคยเบียดเบียนเงินพ่อแม่ไว้ในอดีตชาติ
-เคยโกงคนไว้ในอดีตชาติ
-ขโมยเงินครอบครัวมาใช้

วิธีการลดกรรม
-หมั่นยึดถือศีล 5 ให้มั่นคง
-มีสติ ทำให้ไม่โดนโกงง่าย
-หมั่นสวดมนต์ อธิษฐานบารมีด้านขอพร
ให้พบเจอคนดีๆ เข้ามาในชีวิต

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดี จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยขอรับ   :054:

25
41.เป็นคนรับใช้เขาร่ำไป
เกิดจากการกระทำเคยเนรคุณผู้ที่เคยมีพระคุณ

วิธีการลดกรรม
-ตอบแทนผู้มีคุณด้วยความกตัญญู
-ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูป พระประธาน
-ทำทานทั้งกับคนและสัตว์

42.ขัดสน อดมื้อกินมื้อ
เกิดจากการกระทำ เคยละเว้นการใส่บาตร
ละเว้นการให้ทาน เมื่อมีคนยากไร้มาขอทานอาหารและน้ำ

วิธีการลดกรรม
-แบ่งปันอาหาร น้ำ เสื้อผ้า แก่คนยากไร้อนาถา
แม้ไม่เงินก็แบ่งปันสิ่งของตามที่มี
-ตักบาตรทุกเช้าหรือทุกวันพระ
-มีน้ำใจต่อผู้อื่นด้วยน้ำใสใจจริง และไม่หวังสิ่งตอบแทน

43.มีคดีความ
เกิดจากการกระทำ เคยพบคนทุกข์ร้อนไม่ช่วย หรือไม่ให้ความช่วยเหลือ

วิธีลดกรรม
-หมั่นทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา
-นั่งสมาธิ
-เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถือ ศีล 8 ทุกๆ 3 เดือน เดือนละ 7 วัน

44.ไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
เกิดจากการกระทำ
-ไม่สงเคราะห์คนอนาถา ที่มาาขออาหาร ขอชายคาหลบฝน
-ไม่มีน้ำใจช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก

วิธีลดกรรม
-ร่วมทำบุญซื้อกระเบื้องหลังคาโบสถ์
-หมั่นไปกราบไหว้บูชาศาลหลักเมือง
-ทำบุญทำทานแก่สัตว์พิการหรือสัตว์จรจัด

45.ไม่มีชื่อเสียง
เกิดจากการกระทำ เคยติฉินนินทา ทำใ้ห้ผู้อื่นเสียหาย

วิธีลดกรรม
-ร่วมทำบุญสร้างหอระฆัง
-ร่วมทำบุญหล่อเทียนพรรษา
-ทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา

46.ไม่มีวาสนาบารมี
เกิดจากการกระทำ ไม่เคยนับถือชื่นชมผู้นับถือธรรมะ

วิธีลดกรรม
-ทำบุญสร้างพระพุทธรูป
-ทำทานกับคน

47.เกิดในสกุลต้อยต่ำ
เกิดจากการกระทำ นิสัยโอหัง อวดดี จิตใจคับแคบ

วิธีลดกรรม
-ร่วมทำบุญสร้างวัด
-ร่วมสร้างพระประธาน
-ทำบุญทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา
-พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

48.ไร้สง่าราศี ขาดวาสนา
เกิดจากการกระทำ เคยเมาสุราอาละวาด ระรานผู้อื่น

วิธีลดกรรม
-นั่งสมาธิ
-ฝึกกรรมฐาน
-ทำทานกับคนอนาถา และสัตว์อนาถา
-ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

49.ค้าขายขาดทุน ทำงานไม่ก้าวหน้า
เกิดจากการกระทำ เคยลบหลู่เจ้าที่เจ้าทาง

วิธีลดกรรม
-หมั่นทำบุญใส่บาตร
-ถวายสังฆทาน
-ถวายเครื่องเซ่นสังเวย เจ้าที่ - เจ้าทาง
-หมั่นสวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร

50.ด้อยปัญญา
เกิดจากการกระทำ
-ฝักใฝ่ในอบายมุข
-ชักชวนคนไปทำชั่ว
-ดูแคลนหลักธรรมะ

วิธีการลดกรรม
-พิมพ์หนังสือธรรมะแจกจ่าย
-ทำบุญทำทานกับโรงเรียนของเด็กพิการ
หรือมูลนิธิต่างๆ

51.ตกงาน
เิกิดจากการกระทำ
-เคยกลั่นแกล้งผู้อื่นในเรื่องงาน
-แย่งงานผู้อื่น

วิธีการลดกรรม
-หมั่นทำบุญทำทาน
-ร่วมงานบุญต่างๆ
-ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยปลาไหล
-ไปไหว้พระ
-ทำบุญบริจาคทรัพย์ ร่วมสมทบทุนค่าน้ำ ค่าำไฟวัด
-เติมน้ำมันตะเกียง
-จัดผลไม้ น้ำสะอาด ดอกไม้ และพวงมาลัยถวาย
พระบนหิ้งพระที่บ้าน ดูแลเช็ดปัดหิ้งพระให้สะอาด
-หาของคาวหวานมา เซ่นไหว้ เจ้าที่เจ้าทางที่บ้าน
-ไปกราบไหว้พระพรหม ขอความเจริญก้าวหน้าในการงาน
-ไปกราบไหว้พระพิฆเณศ ถ้าการงานอยู่ในสายของศิลปะศาสตร์
ไม่ว่าแขวงใด เป็นเทพแห่งความสำเร็จ

52.ไม่มีโชคลาด
เกิดจากการกระทำ ไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ

วิธีลดกรรม
-หมั่นทำบุญสวดมนต์ไหว้พระ ถวายธูปเทียน ดอกไม้สด
พวงมาลัย ทองคำเปลว

53.เรียนไม่จบ การเรียนมีอุปสรรค
เกิดจากการกระทำ ปฏิเสธการฟังเทศน์ฟังธรรม

วิธีการลดกรรม
-หมั่นเข้าวัด ร่วมงานบุญต่างๆ
-ฟังเทศน์ อ่านหนังสือธรรมะ

54.มีอาชีพต้อยต่ำผู้คนดูแคลน
เกิดจากการกระทำ
-เคยบวชด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ ไร้ความศรัทธา
อาศัยผ้าเหลืองหากิน

วิธีการลดกรรม
-ถือศีล 5 ศีล 8 อย่างเคร่งครัด
-นั่งสมาธิ
-ฝึกกรรมฐาน
-ถวายสังฆทานทุกเดือน หรือทุก 3 เดือน

55.ครอบครัวยากจน
เกิดจากการกระทำ ไม่เคยบริจาคทาน

วิธีลดกรรม
-หมั่นทำบุญด้วยการบริจาคทาน ถ้ามีเงินไม่มากก็บริจาค
เป็นสิ่งของ แรงกาย หรือน้ำใจ ต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก
เช่น ไปช่วยอ่านหนังสือให้มูลนิธิคนตาบอด

56.เสียเงินตลอด
เกิดจากการกระทำ
-เคยเอาเงินผู้อื่นมาแล้วไม่คืน
-ปล่อยกู้คิดอกเบี้ยแพง
-โกงคนในชาติปัจจุบัน
-ทำแท้ง
-ยุยงให้คนเสียเงิน โดยรู้ว่าผิดก็ให้ทำ

วิธีลดกรรม
-พยายามทำบุญอุทิศส่วนกุศล ให้ผู้ที่เคยล่วงเกินกันมา
ขอให้อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน
-หากมีคนที่ล่วงเกินยังมีชีวิตอยู่ หาเงินไปคืนและขออโหสิกรรม
เพื่อชีวิตเราจะได้ดีขึ้นต่อไป
-ตักบาตรวันโกน อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรและวิญญาณเด็กที่ตามมา
ให้ได้รับกุศลและเปิดทางให้ชีวิตดีขึ้น
-ทำบุญกุศลกับผู้มีพระคุณ และช่วยคนไว้ เพื่อยามทุกข์ยากจะได้มี
คนมาเหลียวแล และดูแลบ้าง
-สวดมนต์ทุกวันเกิด และแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร

57.โง่เขลา เบาปัญญา ขาดไหวพริบ
เกิดจากการกระทำ
-ดูถูกผู้ที่หมั่นหาความรู้ และชักชวนไปทำผิด
-ไม่ขยันหมั่นเพียรศึกษาหาความรู้ แต่ทำตัวมั่วสุมในทางผิด

วิธีลดกรรม
-หมั่นทำบุญด้านหนังสือธรรมะ หรือพิมพ์บทสวดมนต์แจก
-ถวายหลอดไฟฟ้า หรือเีทียน เพื่ิอเพิ่มแสงสว่างทางปัญญา
-หมั่นสวดมนต์ทุกวัน
-หมั่นกตัญญููต่อความถูกต้อง และมีวิริยะมากขึ้น
-ขอคำชี้แนะจากผู้ทรงคุณธรรมปัญญา
-เผยแพรประโยชน์ของการดำเนินกุศลธรรม
-ยกย่องในหลักสัจธรรมที่ไม่มีเปลี่ยนแปลง
นับแต่อดีตจนปัจจุบัน
-เข้าใกล้ผู้มีภูมิธรรม ปัญญาดี
-เข้าใกล้บุุคคลที่ศรัทธาในต้นเหตุ ผลกรรม
-ห่างจากคนโง่เขลาและคนเลว
-ไม่เหยียดหยามคนที่รู้น้อยกว่า ขาดไหวพริบสติปัญญา
-เป็นแบบอย่างในการบำเพ็ญและเจริญรอยตามคำสอน
ในพระพุทธศาสนา
-คิด พูด ทำในสิ่งที่เป็นกุศล
-พูดธรรมะ ฟังธรรมะ บำเพ็ญธรรมะ อยู่เสมอ

58.มีบริวารไม่ดี
เกิดจากการกระทำ
-ไม่กตัญญูต่อผู้มีพระคุณ และคนใกล้ชิดในชาติก่อน
-เคยให้ร้ายคนอื่นไว้ก่อนเมื่ออดีตชาติ
-ไม่ช่วยเหลือส่วนรวม

วิธีการลดกรรม
-หมั่นทำบุญโดยให้ทานกับบุุคคลที่ใกล้ตัว
-หมั่นชักชวนบุคคลอื่น ทำบุญร่วมกัน
-ให้ร่วมทำบุญบวชนาคหมู่ หรือสามเณรภาคฤดูร้อน
จะทำให้พ้นทุกข์และมีบริวารที่ดี อยู่ในศีลธรรม
-หมั่นกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ

59.ไม่มีลาภลอย
เกิดจากการกระทำ
-ไม่เคยทำบุญเกินจิตที่ตั้งไว้
-เวลาบริจาคเกิดเสียดายทรัพย์ ทั้งๆที่มีเงินมากมาย
เกิดความตระหนี่ไม่ให้ทาน อย่างเต็มใจ
-ไม่ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความเต็มใจ
-โลภได้เงินมากๆ โดยมิชอบ

วิธีลดกรรม
-ตั้งจิตทำบุญทำกุศลด้วยความบริสุทธิ์ใจ
และตั้งมั่นที่จะช่วยเหลือศาสนาโดยไม่หวัง
สิ่งตอบแทน
-หมั่นทำบุญใหญ่ ขอพรด้านลาภลอย
-ให้ฝังลูกนิมิต ปีละครั้ง อธิษฐานขอพร
จะทำให้สมหวังในสิ่งที่ขอ

60.โดนกดขี่ข่มเหงอยู่เสมอ
เกิดจากการกระทำเคยทำร้ายผู้มีคุณ

วิธีลดกรรม
-ควรขอขมาผู้มีพระคุณ ให้กล่าว " อโหสิกรรม " ให้กัน
-ขอพรจากผู้มีพระคุณ
-ขอพรจากพระใหญ่

26
21.ตาบอดหรือโรคตา
เกิดจากการกระทำกรรม
-เคยทำร้ายสัตว์ที่ดวงตา
-ไม่เคยทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงในชาติก่อน
-เคยทำลายไฟฟ้าของวัดของที่สาธารณะ

วิธีลดกรรม
-ทำบุญสังฆทาน ด้วยการถวายโคมไฟ ถวายหลอดไฟ
ถวายเทียนห่อใหญ่ ถวายไฟฉายให้แก่พระสงฆ์และวัด
-เติมน้ำมันตะเกียงทุกวันพระ หรือบริจาคเงินในกล่อง
ซื้อน้ำมันตะเกียงวัด

22.ถูกรถเฉี่ยวชน ถูกลูกหลง ถูกสัตว์กัดต่อย
เิกิดจากการกระทำ
-เคยเป็นคนพาลเกะกะเกเร หาเรื่องเดือดร้อนให้ผู้อื่น
-มักรังแกและสาปแช่งผู้อื่นอยู่เสมอ

วิธีลดกรรม
-หมั่นพูดดี มีวาจาไพเราะ
-ไม่มีจิตใจคิดริษยา
-ไหว้พระคุ้มครอง

23.เป็นที่รังเกียจ มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว
เกิดจากการกระทำ
-เคยติเตียนดูแคลนผู้ที่ชอบทำบุญทำทาน
-ชอบดูถูกคนอื่น
-ชอบคิดอิจฉาริษยาผู้อื่น

วิธีการลดกรรม
-หมั่นทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอ
-ฟังเทศน์มหาชาติทุกๆ ปี
-ชัีกชวนผู้อื่นให้ร่วมทำบุญ หรือบริจาคทาน
เป็นการบอกบุญผู้อื่น
-พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี
-ต้องรู้จักเห็นผู้อื่นได้ดี พลอยยินดีไปด้วย
-หมั่นถวายของหอม ดอกไม้ ไม่ให้ขาด

24.รูปร่างหน้าตาไม่สวย ไม่งดงาม
เกิดจากการกระทำ
-ไม่เคยถวายดอกไม้ของหอม หรือถวายดอกไม้แห้งเหี่ยว
-ทำอะไรลวกๆ กับพระ และพ่อแม่
-ชอบว่าผู้อื่นทำร้ายผู้สัตว์

วิธีลดกรรม
-ถวายพวงมาลัยดอกไม้สด ดอกไม้หอม ด้วยกิริยาที่ตั้งใจ
-ไม่กระทำกิริยาไม่ดีต่อพระพุทธรูป พระภิกษุสงฆ์ และเทพ
-ไม่ลบหลู่ผู้มีพระคุณ รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์
-ทำบุญบริจาคดวงตา บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล
-บริจาคน้ำมันตะเกียง ขอแสงสว่างด้านความงาม

25.พิการร่างกายไม่สมประกอบ รูปร่างอัปลักษณ์
เิกิดจากกรรมเคยทุบตีพ่อแม่ ด่าพ่อแม้ หรือทำร้ายพ่อแม่

วิธีลดกรรม
-หมั่นทำบุญไหว้พระ
-จัดดอกไม้ เครื่องสักการะบูชาองค์พระพุทธรูป
-ปล่อยนกปล่อยปลา
-ถือศีล 5 ศีล 8 เจริญภาวนา
-นั่งวิปัสสนากรรมฐาน
-ไม่โมโห ไม่โกรธแค้น ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่
-เคารพต่อบุพการี ผู้อาวุโส และผู้มีคุณธรรมปัญญา
-ช่วยปัจจัยในงานก่อสร้าง ตบแต่งวัดวาอาราม
หรือสถานที่ปฏิบัติธรรม
-ไม่ดูหมิ่นเยาะเย้ยคนมีปมด้อย
-ให้ทานด้วยการลงแรงทำงานบุญต่างๆ
-จัดตั้งหรือส่งเสริมให้เปิดสถานธรรม ภายในครัวเรือน

26.เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
เกิดจากการกระทำ
-ฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์
-ทำร้ายคนไว้ในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ

วิธีการลดกรรม
-ตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติ
ปัจจุบันชาติ รวมถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ได้กุศล
และอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน
-ปล่อยสัตว์ลงน้ำในวันเกิดตนเอง กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล
ให้เจ้ากรรมนายเวรได้รับและอโหสิกรรม
-ถวายยาเข้าวัด
-ช่วยเหลือคนป่วย

27.เป็นมะเร็ง
เกิดจากการกระทำ
-รู้เห็นเป็นใจกับการทำแท้ง
-การทารุณสัตว์
-เคยฆ่าสัตว์หรือทำธุรกิจเกี่ยวกับโรงฆ่าสัตว์มาก่อน
-การทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น
-เคยสั่งฆ่าและทำร้ายผู้อื่น
-เบียดเบียนเงินผู้อื่นมากมาย

วิธีการลดกรรม
-ทำบุญใหญ่ อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
-บวชชีพราหมณ์ 1 เดือน เพื่อส่งกุศล
ให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม
-ทำบุญสร้างพระพุทธรูป
-สร้างโบสถ์หรือสร้างศาลาวัด
-ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี
-หมั่นนั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน

28.ประสพเคราะห์ร้าย
เช่น ป่วยหนัก อุบัติเหตุ เสียเงิน
เกิดจาการกระทำ
-ชอบทำร้ายคนต่ำกว่าให้ทุกข์ทรมานหรือป่วยหนัก
-ฆ่าสัตว์ ผิดศีลข้อ 1

วิธีการลดกรรม
-กินเจทุก 7 วัน อุทิศให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย
ที่เคยทำไว้ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ
-ตักบาตรให้ครบตามอายุ
-ไหว้พระให้ครบ 7 วัน
-ปล่อยสัตว์ลงน้ำ ตามกำลังวันเกิดตนเอง จนครบ 1 ปี
-ขอพรพระใหญ่ที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้พ้นภัย

29.ป่วยบ่อย
เกิดจากการกระทำเคยฆ่าปลา

วิธีลดกรรม
-ควรทำสังฆทานอุทิศให้ทุกเดือนติดต่อกันเป็นระยะเวลา 1 ปี

30.มักเป็นโรคลม
เกิดจากการกระทำเคยด่าไว้

วิธีลดกรรม
-หมั่นตักบาตรทุกวันเกิดของตนเอง อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน

31.มีโรคภัยรุมเร้า เกิดความเจ็บป่วย
ทุกข์ทรมานด้ายโรคภัยต่างๆ
เกิดจากการกระทำเคยเบียดเบียนผู้อื่นไว้

วิธีลดกรรม
-การสวดมนต์ภาวนา
-การถือศีล ทำบุญ
-จัดหาผลไม้ ขนมหวาน ดอกไม้ ธูปเทียน ตั้งกลางแจ้ง
จุดธูป 9 ดอก ไหว้บูชาเทวดาฟ้าดิน สวดมนต์บทขอขมา
เทวดา 1 จบ และสวดบทอิติปิโสและบทปรับดวงชะตา
ทุกวันจนครบ 7 วัน
-ถือศีล 5 เคร่งครัด อธิษฐานตั้งจิตว่าจะถือศีล 1-3 เดือน
หรือตามแต่จะตั้งมั่นว่าทำได้จริงๆ
-ทำบุญซื้อโลงศพบริจาคเป็นทานแ่ก่คนอนาถา ตามมูลนิธิต่างๆ
-ปล่อยเต่า 3 ตัว หรือ 9 ตัว ภายใน 2-3เดือน
-ทำบุญบริจาคทรัพย์ที่โรงพยาบาลสงฆ์
-ไม่ทุบตีหรือทารุณสัตว์
-ตักเตือนผู้อื่นไม่ให้ทุบตีทารุณสัตว์
-เห็นผู้อื่นรักใคร่กลมเกลียว จิตใจบังเกิดความปีติยินดี
-ปรนนิบัติพ่อแม่หรือผู้ป่วย
-เห็นผู้อื่นเจ็บหนักก็กระตือรือร้น ให้การช่วยเหลือดูแล
-เห็นคู่อริหายจากโรคภัยไข้เจ็บ จิตใจบังเกิดความยินดี
-บริจาคยาดีแก่ผู้ป่วย
-บังเกิดความสงสารเมื่อเห็นผู้อื่นอยู่ในสภาพตกทุกข์
-กินเจ หรือมังสวิรัติ

32.เป็นโรคไมเกรน
เกิดจากการกระทำ
-เคยทุบหัวปลา
-เคยเบียดเบียนสัตว์

วิธีการลดกรรม
-ตักบาตรติดกันทุก 7 วัน เริ่มตักบาตรในวันเกิดของตนเอง
ใส่บาตรอาหาร 1 ชุด พระสะดุ้งมาร 3 นิ้ว ดอกไม้ ธูปเทียน
-ปล่อยปลาช่อน เท่ากำลังวันเกิดตนเอง กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล
ให้เจ้ากรรมนายเวร
-ถวายยาใ้หพระภิกษุสงฆ์
-ทำพิธีต่ออายุตนเอง โดยให้พระภิกษุสงฆ์สวดคาถาให้
-นั่งวิปัสสนากรรมฐาน

33.การปวดหลัง ที่เกิดจากกรรมเก่า
เกิดจากการกระทำ
-เคยตีหลังสุนัข
-ตีตะขาบกลางหลัง

วิธีการลดกรรม
-ไหว้พระ
-ถวายสังฆทาน
-ใส่บาตรทุกวันพระ

34.โรคหัวใจ
เกิดจากการกระทำ
-ชอบกินปูทะเลสดๆ หรือเป็นๆ

วิธีลดกรรม
-ใส่บาตร
-ปล่อยปลา
-ร่วมทำบุญและเข้าพิํีธีงานบวชให้มากๆ

35.เกิดอุบัติเหตุบ่อย
เกิดจากการกระทำ เคยรังแกหรือทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน

วิธีการลดกรรม
-ทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ตอนเช้า (กี่รูปก็ได้) ต่อเนื่องกัน 7 วัน
-ไปไหว้พระ ทำสังฆทาน ขอน้ำมนต์มาประพรม
-ทำบุญซื้อโลงศพบริจาคแก่ศพอนาถาไร้ญาติ
-ปล่อยนก ปล่อยปลา
-นั่งสมาธิ สวดมนต์บทคาถาชินบัญชร และบทอิติปิโส
-ถือศีล 8 อย่างเคร่งครัด เป็นเวลาทุก 7 วันต่อเนื่องกัน

36.อายุสั้น
เกิดจากการกระทำ
-เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ผิดศีล ข้อ 1

วิธีการลดกรรม
-ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ปลดปล่อยชีวิตสัตว์
-เตือนผู้อื่นไม่ให้ฆ่าสัตว์
-เห็นผู้อื่นไม่ฆ่าทำร้ายสัตว์ กล่าวชมเชย
-เห็นผู้อื่นไม่ทำร้ายสัตว์ จิตใจบังเกิดความยินดี
-เห็นผู้อื่นกลัวตายก็ปลอบใจ ทำให้ใจของเขาสงบลง
-เห็นผู้อื่นวิตกหวาดกลัว คิดวิธีทำให้เขาไม่กลัว
-เห็นผู้อื่นหรือสัตว์เจ็บไข้ได้ป่วย บังเกิดความเห็นอกเห็นใจ
-เห็นผู้อื่นพบกับเรื่องร้อนใจ คิดหาทางช่วยเหลือ
-บริจาคอาหารแก่ผู้ยากไร้
-ฟังธรรมและเผยแผ่ธรรม

37.มักเดือดร้อนเพราะไฟ ไฟไหม้บ้าน ไฟดูด
เกิดจากการกระำทำเคยลบหลู่พระสงฆ์ และศาสนา

วิธีการลดกรรม
-ตักบาตรทุกวันพระ
-ทำบุญถวายสังฆทานทุกเืดือน
-ฟังเทศน์ฟังธรรมทุกวันพระ หรือทุกๆ เดือนในวันพระ
-ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกจ่ายฟรี

38.ขาดบารมี ไร้ญาติขาดมิตร
เกิดจากการกระทำ ไม่เคยไปร่วมงานบุญงานศพ

วิธีลดกรรม
-ร่วมทำงานบุณงานศพ โดยการบริจาคเงิน
หรือร่วมด้วยแรงกาย ช่วยงานอื่นๆในงานศพ
เช่น ทำอาหาร จัดดอกไม้

39.ตั้งหลักปัฏฐานไม่ได้ โยกย้ายบ่อย
เกิดจากการกระทำ ไม่เคยร่วมทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวิหาร
แก่วัดวาอารามต่างๆ

วิธิการลดกรรม
-ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์
-สร้างหลังคาวิหาร
-ร่วมทำบุญฝังลูกนิมิต
-หมั่นไปไหว้ศาลเจ้าหลักเมือง ณ เมือง
ที่ตนอยู่อาศัย

40.ไปไหนมาไหนลำบาก มีแต่อุปสรรค
เกิดจากการกระทำ
-เคยทำลายหนทางสัญจรของวัด
หรือของชาวบ้าน
-ทำให้ทางสัญจรสาธารณะ
ได้รับความไม่สะดวก

วิธีการลดกรรม
-บริจาคทรัพย์หรือแรงกายช่วยสร้างสะพาน สร้างทาง
อันเป็นประโยชน์แก่วัดหรือชุมชนเล็กๆ ช่วยผู้คนไร้ยากไร้
ให้ได้มียวดยานพาหนะหรือทางสัญจรที่สะดวก

27
ผลการทำบุญเพื่อลดแรงกรรมต่างๆ


1.สูญเสียคนใกล้ชิด
เกิดจากการกระทำเคยยิงนกตกปลา

วิธีลดกรรม
-ทำบุญไถ่ชีวิตโค กระบือ
-งดกินเนื้อสัตว์อย่างน้อย 1 อย่างชั่วชีวิต
-กินเจทุกๆ 3 เดือน
-ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

2.ถูกนินทา ถูกให้ร้าย
เกิดจากการกระทำกรรม
เคยพูดจาเป็นเหตุให้คนอื่นเป็นทุกข์หรือเดือดร้อน

วิธีลดกรรม
-พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี
-พูดดี พูดให้คนอื่นเกิดประโยชน์ พูดให้ผู้อื่นมีความสุข

3.อาภัพคู่ ร้างคู่
เกิดจากการกระทำผิดลูกผิดเมียเขา
วิธีลดกรรม
-บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์
-ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานคู่บ่าวสาวที่ยากจน
-ถวายของคู่ เช่น แจกันคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่เป็นต้น

4.ได้คู่ที่เลวร้ายทำร้ายตนหรือทำให้เป็นทุกข์
เกิดจากกระทำ เคยข่มขืนเขาในชาติก่อน
เคยทุบตีทำร้ายคู่ เคยเป็นชู้กับผู้อื่นไว้ในชาติอดีตและชาติปัจจุบัน
ทำร้ายจิตใจคู่ตนเองไว้ ทำร้ายร่างกายคู่ให้เขาเจ็บปวด
โดยตรงเองอยากทำ เพราะหึงหวง ผิดศีลกาเม ยุยงผู้อื่นให้เลิกกัน

วิธีลดกรรม
-บวชพระ บวชชีพราหมณ์
-ทำบุญปล่อยนก ปล่อยปลา
-ตั้งสัจจะว่าจะไม่แย่งสามี-ภรรยาผู้อื่น มาเป็นของตน
-หมั่นถวายเทียนคู่ในวันเกิดตนเองปีละครั้ง ขอเสริมดวงชีวิตคู่
ให้พบแสงสว่างในชีวิตคู่ที่ดี ในกรณีผู้ที่ขณะนั้นมีคู่อยู่
ขอให้ไปกับคู่และอธิษฐานขอพร
-ถวายสังฆทานในวันเกิด เพื่อขอพรให้สมหวังด้านชีวิตคู่
และอุทิศส่วนบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร และคู่ชีวิตที่
ล่วงเกินไว้ทั้งอดีตชาติและปัจจุบันชาติให้ได้รับกุศล
และอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน
-บริจาคทรัพย์ให้กับคู่แต่งงาน เพื่อส่งเสริมให้เขาสมหวัง
ในความรักและตนเองก็จะได้บุญต่อไป
-ไกล่เกลี่ยคู่สามี-ภรรยาที่ทะเลาะกันแยกทางกันให้มารู้สึก
ดีต่อกัน จะได้บุญทางชีวิตคู่

5.อยู่โดดเดี่ยวยามบ้านปลาย
เกิดจากการกระทำกรรม เคยกักขังสัตว์

วิธีลดกรรม
-ทำบุญปล่อยนก ปล่อยปลา
-ทำบุญทำทานแก่เด็กอนาถาและสัตว์อนาถา

6.จิตใจขุ่นมัว ดุดัน ขี้โมโห
เกิดจากการกระทำกรรม มักตระหนี่ในการทำบุญ

วิธีลดกรรม
-สวดมนต์ ไหว้พระ ทุกวันพระ
-ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 5
หรือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือน
-บริจาคทาน แบ่งปันเงินทอง
หรือสิ่งของแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก
-ร่วมบริจาคทานกับมูลนิธิสถานสงเคราะห์
และวัดวาอารามต่างๆ

7.มีลูกหลานไม่ดี เกเร ไม่เชื่อฟัง
เกิดจากการกระทำ ทำแท้ง
เคยทำร้ายคนใกล้ชิดมาก่อน
ทำร้ายจิตใจครอบครัวในชาติก่อน

วิธีลดกรรม
-บวชเณร โดยให้ลูกบวช หรือไปร่วมบวช
จะทำให้กรรมน้อย
-ปฏิบัติธรรม อุทิศให้ลูกตนเอง
-พาลูกไปหาพระให้เทศน์สอน
หมั่นฟังธรรม

8.ชีวิตไม่เจริญก้าวหน้า จิตใจเป็นทุกข์
เกิดจากกระทำกรรม เคยชักจูงคนทำชั่ว

วิธีลดกรรม
-ถือศีล 8 เป็นเวลา 7 วัน ทุกๆ 3 เดือน
-หมั่นทำบุญตักบาตร
-ถวายสังฆทาน

9.จิตใจฟุ้งซ่าน เป็นทุกข์
เกิดจากกระทำ เคยริษยาผู้อื่น

วิธีลดกรรม
-ทำบุญตักบาตร
-ถวายสังฆทาน
-ปล่อยปลา
-นั่งสมาธิ
-สวดมนต์บทคาถาชินบัญชร

10.เป็นเมียน้อย เมียเก็บ
เกิดจากการกระทำกรรม
เคยผิดลูกผิดเมียเขามาก่อน ขืนใจเขาโดยไม่ยินยอม
เคยอธิษฐานจิตร่วมกันมาว่ากี่ภพ ก็ขอให้ได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน

วิธีลดกรรม
-ถวายธงคู่ ธูปคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ อย่างใดก็ได้
อธิษฐานจิตขอให้ชีวิตคู่ดีขึ้น
-บวชชีพราหมณ์ ปีละ 1 ครั้ง 3 วัน อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร
ที่เคยล่วงเกินให้ได้รับกุศลและเปิดทางให้ชีิวิตคู่ดีขึ้น
-ร่วมเป็นเจ้าภาพงานแต่ง เพื่อชีวิตตนจะดีขึ้นและสมหวัง
-สวมมนต์ขอพรทุกวันเกิด ด้านความรักให้สมหวังต่อไป
-ทำบุญสังฆทานสด ในวันเกิดของตนเอง เดือนละครั้ง
เพื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรใน อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ
และวิญญาณที่ตามมาให้ได้รับกุศลและอโหสิกรรม
-ถือศีล 5 ให้ได้ 1 ปี ต่อ 1 เดือน จะทำให้ชีวิตดีขึ้น

11.เป็นทุกข์เพราะคนในครอบครัว
เกิดจากการกระทำ
-เคยลำเอียง ไร้คุณธรรมในด้านครอบครัวไว้ก่อน
-เึคยเอารัดเอาเปรียบคนในครอบครัวและคนใกล้ชิด
ไว้ในอดีตและชาติปัจจุบัน
-เคยทำให้ครอบครัวเขาแตกแยกในอดีตชาติ

วิธีลดกรรม
-บวชชีพราหมณ์ เพราะเมื่อเกิดอีกภพชีวิตจะได้
มีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะกุศลของการบวชปฏิบัติธรรม
ทำให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม และตนเองได้
พบสิ่งที่มีกุศลมากขึ้น
-ยึดมั่นในพรหมวิหาร 4 มี เมตตา กรุณา มุทิตา
อุเบกขา จะทำให้ชีวิตมีความเมตตา
-ไม่ลำเอียงเอารัดเอาเปรียบคนใกล้ชิด ทำให้วิถีชีิวิืต
มีคนนับถือและพ้นจากความทุกข์ในเรื่องญาติพี่น้อง
-นำพระคู่บ้านคู่เมืองเข้าสักการะที่บ้าน และสวดมนต์
ขอพรให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข

12.เป็นทุกข์เพราะความรัก
เกิดจากการกระทำ เจ้าชู้ หลอกผู้อื่นให้อกหัก

วิธีลดกรรม
-ประพฤติดีปฏิบัติทั้งความคิด กาย วาจา ใจ
-ร่วมทำบุญงานแต่งงาน
-ทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นได้สมรัก

13.ชีวิตตกต่ำไม่เจริญ
เกิดจากการกระทำ
-เคยทำแท้ง ถือเป็นการเบียดเบียนทำลายชีวิตผู้อื่น
มีเคราะกรรมขัดความรุ่งเรืองของชีวิตไปนานถึง 7 ปี

วิธีลดกรรม
-นิมนต์พระ เลี้ยงทำบุญบ้าน วันเกิด สวดชะยันโต
ขอพรประพรมน้ำมนต์ให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข
-ถวายสังฆทาน สวดอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
ให้อโหสิกรรม
-ช่วยชีวิตคนอื่น หรือการบริจาคอวัยวะ
-ให้ปล่อยปลาลงแม่น้ำใหญ่หรือแม่น้ำในวัด โดยจะทำทาน
ครั้งละกี่ตัวก็ได้ ขอให้ทำจนครบเท่าอายุของตัวเราหรือ
เกินอายุของของแต่ละคน ไม่นับรวมกัน ถ้้าปล่อยปลา
ต้องทำต่อเนื่องอย่าเว้นระยะห่างกันนัก และควรทำให้เสร็จ
ไม่เกิน 6 เดือน หรือ 1 ปี ทั้งนี้ควรไปซื้อปลาในตลาดสด
จะได้อนิสงค์แรงกว่า เพราะเป็นการแสดงเจตนารมณ์
ในการช่วยชีวิตพวกเขาโดยแท้ ทางที่ดีเมื่อปล่อยปลาชนิดใด
ก็ไม่ควรกินปลาชนิดนั้นอีกตลอดชีวิต และหลังจากปล่อยปลาทุกครั้ง
ให้ทำบุญสังฆทานกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลแก่เ้จ้ากรรมนายเวร
และบุตรธิดา ผู้ที่ไม่อาจมาเกิดกับเราได้

14.การดำเนินชีวิตติดขัด เพราะไม่เคยทำบุญให้บรรพบุรุษ
เกิดจากการกระทำ ไม่เคยทำบุญให้บรรพบุรุษ

วิธีลดกรรม
-ไปถวายผ้าบังสกุล อุทิศให้บรรพบุรุษให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข
หรือทำบุญให้บรรพบุรุษให้ได้รับกุศล

15.มีอุปสรรคขัดขวางชีวิต เพราะอาจจะเคยทำผิดกับเจ้าที่เจ้าทาง
เกิดจากการกระทำ ล่วงละเมิดทำผิดต่อเจ้าที่เจ้าทาง
ทั้งแบบที่ไม่ได้เจตนาและเจตนา

วิธีลดกรรม
-ตั้งเครื่องเซ่นไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ด้วยอาหารคาวหวานชุดใหญ่
อธิษฐานจิตต่อพระภูมิเจ้าที่ ผีบ้านผีเรือน ขอให้ยกโทษให้
ไม่ว่าท่านจะล่วงเกินโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม
รวมทั้งขอพรให้อำนวยโชคลาภและความร่มเย็นเป็นสุข
ให้ครอบครัวท่าน

16.ชีวิตคู่ไม่ราบรื่น
เกิดจากการกระทำกรรม เคยผิดศีลกาเม ในชาติก่อนและชาตินี้

วิธีลดกรรม
-สวดมนต์ทุกวันเกิดของตนเอง ขอพรเทพประจำตัวให้คุ้มครอง
ครอบครัวให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข

17.ได้รับภยันตรายอยู่ตลอดเวลา เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอยู่เสมอ
เกิดจากการกระทำ

-ฆ่าสัตว์ เห็นคนเป็นอันตราย แล้วสมน้ำหน้า จิตใจอาฆาต
คอยแช่งบุคคลอื่นเสมอ เคยทำแท้ง เคยฆ่าคนหรือสั่งฆ่าคน

วิธีการลดกรรม
-สร้างประตูวัด ป้องกันอันตรายให้ตนเอง และให้แคล้วคลาด
จากอันตรายต่างๆ ได้
-มีหิริ โอตัปปะ ในจิตใจ
-สวดมนต์คาถาป้องกันภัย 10 ทิศ ทุกวันเกิด 3 จบ
-ตักบาตรทุกวันเกิด อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรให้อโหสิกรรม

18.ลูกติดยาเสพติด
เกิดจากการกระทำ
-เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดทั้งเป็นผู้เสพ ผู้ขาย หรือผู้ผลิต
ชักชวนให้ผู้อื่นติดยาเสพติด ทำให้พ่อแม่เสียใจ

วิธีการลดกรรม
-ถวายสังฆทาน
-กราบไหว้ขอบารมีจากสิ่งศักดิสิทธิ์
-พาลูกเข้าวัดฟังธรรมให้มากขึ้น
-รักลูกให้มากขึ้น ให้ความอบอุ่นครอบครัว

19.ไม่มีลูก
เกิดจากการกระทำ
-การทำร้ายลูกของสัตว์อื่น พรากสัตว์อื่นจากพ่อแม่
เคยข่มเหงลูกของคนอื่น

วิธีการลดกรรม
-งดกินเนื้่อสัตว์ทุกๆ 7 วัน ในทุกๆ เดือน
-ทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ
-ปล่อยนกปล่อยกา
-ทำบุญบริจาคทานที่มูลนิธิสัตว์
หรือมูลนิธิเด็กอ่อน

20.เจ็บป่วยบ่อย หรือเป็นโรคร้าย
เกิดจากการกระทำกรรม เคยทำทารุณกรรมต่อสัตว์

วิธีกรรมลดกรรม
-ทำบุญทำทานกับสัตว์อนาถา
-ให้อาหาร ให้ความเมตตาต่อผู้ยากไร้
หรือสัตว์จรจัด
-ซื้อยาหรือบริจาคเงินที่โรงพยาบาลสงฆ์
-ทำบุญปล่อยเต่า
-งดกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต

28
12 วิธี การสร้างบุญบารมี ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องรางของขลัง


1. นั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ15นาที(หรือเดินจงกรมก็ได้)
อานิสงส์---เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้าเพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่ายจิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ
ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล

2. สวดมนต์ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน
อานิสงส์---เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า เงินทองไหลมาเทมา แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว
แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา,พระคาถาชินบัญชร,พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้น เมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง

3. ถวายยารักษาโรคให้วัด,ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์
อานิสงส์---ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลาสุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้และภพหน้า ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา

4. ทำบุญตักบาตรทุกเช้า
อานิสงส์---ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหารตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์

5. ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆเกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน
อานิสงส์---เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาภยศสรรเสริญ ปัญญา และบุญบารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน

6. สร้างพระถวายวัด
อานิสงส์---ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง ครอบครัวเป็นสุขได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาตลอดไป

7. แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพรามณ์หรือบวชพระอย่างน้อย9วันขึ้นไป
อานิสงส์---ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวรสร้างปัจจัยไปสู่นิพพานในภพต่อๆไป ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาจิตเป็นกุศล

8. บริจาคเลือดหรือร่างกาย
อานิสงส์---ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง ช่วยต่ออายุต่อไปจะมีผู้คอยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก เทพยดาปกปักรักษาได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง

9. ปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ
อานิสงส์---ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิตชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้นหน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆฟื้นคืนสภาพที่สดใสเป็นอิสระ

10. ให้ทุนการศึกษา,บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ,อาสาสอนหนังสือ
อานิสงส์---ทำให้มีสติปัญญาดี ในภพต่อๆไปจะฉลาดเฉลียวมีปัญญาได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม

11. ให้เงินขอทาน,ให้เงินคนที่เดือดร้อน(ไม่ใช่การให้ยืม)
อานิสงส์---ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยากเกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลงจะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน

12. รักษาศีล5หรือศีล8
อานิสงส์---ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรกได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตเจริญรุ่งเรืองกรรมเวรจะไม่ถ่าโถม ภัยอันตรายไม่ย่างกราย เทวดานางฟ้าปกปักรักษา



อานิสงส์ 10 ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์

1. เป็นที่รักของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้
4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
5. มีอายุมั่นขวัญยืน
6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทพทั้งปวง
7. ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคล
8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ
10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตจะมุ่งสู่สุคติภพ



อานิสงส์การจัดสร้างพระพุทธรูปหรือสิ่งพิมพ์อันเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนเป็นกุศลดังนี้

1. อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ
2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลาย ปวงภัยไม่มีคนคิดร้ายไม่สำเร็จ
3. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้วก็จะเลิกจองเวรจองกรรม
4. เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษเสือร้าย ไม่อาจเป็นภัยอยู่ในที่ใดก็แคล้วคลาดจากภัย
5. จิตใจสงบ ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคล รุ่งเรืองก้าวหน้าผู้คนนับถือ
6. มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฏ (เกินความคาดฝัน) ครอบครัวสุขสันต์วาสนายั่งยืน
7. คำกล่าวเป็นสัจจ์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา หนี้สินจะหมดไป
8. คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์หายเข็ญสตรีจะได้เกิดเป็นชายเพื่อบวช
9. พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาล้ำเลิศ บุญกุศลเรืองรอง
10. สิ่งที่สร้างจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็นเป็นเนื้อนาบุญอย่างเอนกทุกชาติของ ผู้สร้างที่เกิดจะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้าปัญญาในธรรมแก่กล้าสามารถได้อภิญญาหก สำเร็จโพธิญาณ



อานิสงส์การบวชพระบวชชีพรามณ์ ( บวชชั่วคราวเพื่อสร้างบุญ,อุทิศให้พ่อแม่เจ้ากรรมนายเวร )

1. หน้าที่การงานจะเจริญรุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญตามปรารถนา
2. เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรม หนี้กรรมในอดีตจะคลี่คลาย
3. สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาแจ่มใส ปัญหาชีวิตคลี่คลาย
4. เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆไป
5. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง โพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา
6. จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต
7. เป็นที่รักที่เมตตามหานิยมของมวลมนุษย์มวลสัตว์และเหล่าเทวดา
8. ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจน การเงินไม่ขาดสายไม่ขาดมือ
9. โรคภัยของตนเอง ของพ่อแม่ และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและรักษาหาย
10. ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่สำหรับผู้ที่บวชไม่ได้เพราะติดภาระกิจต่าง ๆ ก็สามารถได้รับอานิสงส์เหล่านี้ได้ด้วยการสร้างคนให้ได้บวชสนับสนุนส่งเสริมอาสาการให้คนได้บวช

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างบุญที่ยกขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงอานิสงส์ที่ท่านพึงจะได้รับจงเร่งทำบุญเสียแต่วันนี้ เพราะเมื่อท่านล่วงลับท่านไม่สามารถสร้างบุญได้อีกจนกว่าจะได้เกิด หากท่านไม่มีบุญมาหนุนนำแรงกรรมอาจดึงให้ท่านไปสู่ภพเดรัจฉาน ภพเปรต ภพสัตว์นรกที่ไม่อาจสร้างบุญสร้างกุศลได้ต่อให้ญาติโยมทำบุญอุทิศให้ก็อาจไม่ได้รับบุญ ดังนั้นท่านจงพึ่งตนเองด้วยการสร้างสมบุญบารมีซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ท่านจะนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติเสียแต่วันนี้ด้วย

http://www.amulet.in.th/forums/view_topic.php?t=1110

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ   :054:

29
คาถาอาคม / คาถา-เศรษฐี
« เมื่อ: 03 เม.ย. 2554, 11:14:15 »
คาถา-เศรษฐี


"ขยันให้เหงื่อออกตามรูขุมขน ดีกว่าขี้เกียจแล้ว ยากจน…จนน้ำล้นออกทางตา”

นายธรรมะ
ขอขอบคุณภาพดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

30
ทำกรรมอะไรถึงทำให้เกิดมาหน้าตาดี ผิวพรรณงาม


สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแลพระนางมัลลิกาเทวีเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ทรงถวายอภิวาทแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถาม
พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้มาตุคามบางคนในโลกนี้มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู ยากจนขัดสนทรัพย์สมบัติและต่ำศักดิ์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ
เป็นปัจจัยให้มาตุคามบางคนในโลกนี้ มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดูแต่เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมากและสูงศักดิ์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้มาตุคามบางคนในโลกนี้ มีรูปงาม น่าดู น่าชม ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณอันงามยิ่ง
นัก แต่เป็นคนยากจน ขัดสนทรัพย์สมบัติ และต่ำศักดิ์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้มาตุคามบางคนในโลกนี้ มีรูปงาม น่าดูน่าเลื่อมใส ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณงามยิ่งนัก ทั้ง
เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมากและสูงศักดิ์ ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรพระนางมัลลิกา มาตุคามบางคนในโลกนี้เป็นผู้มักโกรธมากไปด้วยความแค้นใจ ถูกว่าแม้เล็กน้อยก็ขัดเคืองฉุนเฉียวกระฟัดกระเฟียด กระด้างกระเดื่องแสดงความโกรธความขัดเคืองและความไม่พอใจให้ปรากฏ เป็นผู้ไม่ให้ทาน คือ ข้าว น้ำ
ยวดยานระเบียบ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีปโคมไฟ แก่สมณะหรือพราหมณ์และเป็นผู้มีใจริษยาในลาภ สักการะความเคารพ ความนับถือ การไหว้และการบูชาของผู้อื่น เกียดกันตัด
รอน ผูกความริษยา ถ้ามาตุคามนั้นจุติจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นอย่างนี้ กลับมาเกิดในชาติใดๆ ย่อมเป็นผู้มีผิวพรรณทรามรูปชั่ว ไม่น่าดู ทั้งเป็นคนยากจน ขัดสนทรัพย์สมบัติและต่ำศักดิ์ ฯ

ดูกรพระนางมัลลิกา
มาตุคามบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มักโกรธ มากไปด้วยความแค้นใจถูกว่าแม้เล็กน้อยก็ขัดเคือง ฉุนเฉียวกระฟัดกระเฟียดกระด้างกระเดื่อง แสดงความโกรธความขัดเคือง และความไม่พอใจให้ปรากฏแต่เขาเป็นผู้ให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยวดยานระเบียบของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีปโคมไฟแก่สมณะหรือพราหมณ์และไม่เป็นผู้มีใจริษยาในลาภ สักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้และบูชาของผู้อื่น ไม่เกียดกัน ไม่ตัดรอนไม่ผูกความริษยา ถ้ามาตุคามนั้นจุติจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นอย่าง
นี้กลับมาเกิดในชาติใดๆ ย่อมเป็นผู้มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู แต่เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมากและสูงศักดิ์ ฯ

ดูกรพระนางมัลลิกา
มาตุคามบางคนในโลกนี้ ไม่เป็นผู้มักโกรธไม่มากไปด้วยความคับแค้นใจ ถูกว่าแม้มากก็ไม่ขัดเคือง ไม่ฉุนเฉียว ไม่กระฟัดกระเฟียด ไม่กระด้างกระเดื่อง ไม่แสดงความโกรธความขัดเคืองและความไม่พอใจให้ปรากฏ แต่เป็นผู้ไม่ให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า
ยวดยานระเบียบ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีปโคมไฟ แก่สมณะหรือพราหมณ์ และเป็นผู้มีใจริษยาในลาภสักการะ ความเคารพความนับถือ การไหว้และการบูชาของผู้อื่น เกียดกัน ตัดรอน ผูกความริษยา ถ้ามาตุคามนั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว มา
สู่ความเป็นอย่างนี้ กลับมาเกิดในชาติใดๆ ย่อมเป็นผู้มีรูปงาม น่าดู น่าชม ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณงามยิ่งนัก แต่เป็นคนเข็ญใจยากจน ขัดสนและต่ำศักดิ์ ฯ

ดูกรพระนางมัลลิกา
มาตุคามบางคนในโลกนี้ ไม่เป็นผู้มักโกรธไม่มากไปด้วยความคับแค้นใจ ถูกว่าแม้มากก็ไม่ขัดเคือง ไม่ฉุนเฉียว ไม่กระฟัดกระเฟียด ไม่กระด้างกระเดื่อง ไม่แสดงความโกรธความขัดเคืองและความไม่พอใจให้ปรากฏ เป็นผู้ให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า
ยวดยานระเบียบ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีปโคมไฟ แก่สมณะหรือพราหมณ์และถ้ามาตุคามนั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว มาสู่ความเป็นอย่างนี้ กลับมาเกิดในชาติใดๆ ย่อมเป็นผู้มีรูปงาม
น่าดู น่าชม ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณงามยิ่งนัก ทั้งเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มากมีโภคสมบัติมากและสูงศักดิ์ ฯ

ดูกรพระนางมัลลิกา
นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้มาตุคามบางคนในโลกนี้มีผิวพรรณทรามรูปชั่ว ไม่น่าดู ทั้งเป็นคนเข็ญใจ ยากจนขัดสนและต่ำศักดิ์อนึ่ง นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้มาตุคามบางคนในโลกนี้มีผิวพรรณทราม รูปชั่วไม่น่าดู แต่เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมากและสูงศักดิ์ นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้มาตุคามบางคนในโลกนี้มีรูปงาม น่าดู น่าชม ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณงามยิ่งนัก แต่เป็นคนเข็ญใจ ยากจน ขัดสนและต่ำศักดิ์ อนึ่ง นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยมาตุคามให้บางคนในโลกนี้มีรูปงาม น่าดู น่าชมประกอบด้วยความ
เป็นผู้มีผิวพรรณงามยิ่งนัก ทั้งเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมากและสูงศักดิ์ ฯ
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พระนางมัลลิกาเทวีได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในชาติอื่นชรอยหม่อมฉันจะเป็นผู้มักโกรธ มากไปด้วยความแค้นใจ ถูกว่าแม้เล็กน้อยก็ขัดเคืองฉุนเฉียวกระฟัดกระเฟียด กระด้างกระเดื่อง แสดงความโกรธความขัดเคืองและความไม่พอใจให้ปรากฏ ในบัดนี้ หม่อมฉันจึงมีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดูแต่ในชาติอื่นหม่อมฉันคงได้ให้ทาน คือ ข้าว น้ำผ้า ยวดยาน ระเบียบของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอนที่อยู่อาศัย และ
ประทีปโคมไฟ บัดนี้หม่อมฉันจึงเป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมากในชาติอื่น หม่อมฉันคงจะไม่มีใจริษยาในลาภ สักการะความเคารพ ความนับถือ การไหว้และการบูชาของผู้อื่น ไม่เกียดกันไม่ตัดรอน ไม่ผูกความริษยา ในบัดนี้ หม่อมฉันจึงมีศักดิ์สูงข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็นางกษัตริย์บ้าง นางพราหมณีบ้าง นาง
คฤหบดีบ้าง มีอยู่ในราชสกุลนี้หม่อมฉันได้ดำรงความเป็นใหญ่ยิ่งกว่าหญิงเหล่านั้นข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตั้งแต่วันนี้ไป หม่อมฉันจักไม่โกรธ ไม่มากไปด้วยความแค้นใจ ถึงถูกว่ากล่าวมากก็จักไม่ขัดเคือง ไม่ฉุนเฉียว ไม่กระฟัดกระเฟียด ไม่กระด้างกระเดื่อง ไม่แสดง
ความโกรธความขัดเคืองและความไม่พอใจให้ปรากฏจักให้ทาน คือข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ระเบียบของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัยและประทีปโคมไฟ แก่สมณพราหมณ์จักไม่มีใจริษยาในลาภ สักการะ
ความเคารพ ความนับถือการไหว้ และบูชาของผู้อื่น จักไม่เกียดกัน ไม่ตัดรอนไม่ผูกความริษยา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงจำหม่อมฉันว่าเป็นอุบาสิกา
ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ

พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๑
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต
หน้าที่ ๑๙๒/๒๔๐ หัวข้อที่ ๑๙๗


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

31
ทำอย่างไรให้คนรักเรา เมตตาเรา ?

ถาม : เราจะพูดอย่างไรให้คนเมตตาเรา ?

ตอบ : สำคัญอยู่ที่ว่า เราสามารถที่จะพูดให้เขาเชื่อเราได้ไหม ?

ถ้าไม่ได้ก็มีวิธีอยู่เหมือนกัน ต้องเอาคาถาไปภาวนา คาถาที่หลวงพ่อวัดท่าซุงให้ไว้ว่า "พระอรหัง สุคโต ภควา นะ เมตตาจิต" ต้องการให้ใครเขารักเราเมตตาเรา ให้นึกถึงหน้าเขาแล้วภาวนาจนกำลังใจตั้งมั่น แล้วไปหาเขาเถอะ รับรองว่ารักเราทุกคน

แต่คราวนี้เขารักเราในลักษณะนี้จะไม่ยืนนาน เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าเราทำดีปฏิบัติดีกับเขาจะดีกว่า ได้รับความรักที่ยืนนานกว่า พระพุทธเจ้าทรงให้ปฏิบัติใน สังคหวัตถุ ๔ คือ

๑. ทาน รู้จักให้เขา สงเคราะห์เขาด้วยวัตถุสิ่งของ หรือแม้แต่อภัยทาน

๒. ปิยะวาจา พูดดีพูดเพราะกับเขาตลอดไป

๓. อัตถจริยา ยังประโยชน์ของเขาให้สำเร็จ

๔. สมานัตตตา เอาใจเขามาใส่ใจเรา เราชอบอะไรก็ทำสิ่งนั้นให้กับเขา เราไม่ชอบอะไร ก็อย่าทำสิ่งนั้นกับเขา


ท่านบอกว่า ถ้าทำอย่างนี้คนจะรักเราแน่นแฟ้นตลอดไป ดังนั้น..ตอนนี้ให้ทำ ๒ อย่างพร้อมกัน คือภาวนาคาถาไปพร้อมกับนึกถึงเขาด้วย แล้วก็ตั้งใจทำดีกับเขาด้วย เขาจะได้รักเราตลอดไป


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๕



ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...ead.php?t=2576

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

32
โทษแห่งกาเมสุมิจฉาจาร...พระโพธิสัตว์ ต้องตกนรกนานนับกัปกัลป์


โทษแห่งกาเมสุมิจฉาจาร




.......โทษภัยแห่งการประพฤติผิดในกามนั้น ไม่เคยปรานีผู้ใด แม้แต่พระโพธิสัตว์ ผู้สร้างสมบุญ
บารมีมามากมาย ยังต้องตกนรกไปนานนับกัปกัลป์ ด้วยเหตุที่ท่านหลงใหลในความรัก จนมิอาจ
หักห้ามยับยั้งใจ


มาณพหมุ่มช่างทอง


.......ครั้งหนึ่ง พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลช่างทอง เติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มรูปงาม มีความเฉลียว
ฉลาด ฝึกฝนจนเป็นช่างทองฝีมือเยี่ยม มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือตั้งแต่วัยหนุ่ม เศรษฐีใหญ่ในเมือง
ถึงกับว่าจ้างให้มาทำเครื่องประดับแก่ธิดาของตนเป็นพิเศษ เพื่อเข้าพิธีแต่งงานกับบุตรของเศรษฐี
ผู้มีตระกูลเสมอกัน

เมื่อเศรษฐีได้เห็นลักษณะอันงามชวนหลงใหลของช่างทอง ก็เกรงว่าธิดาคนสวยของตน จะ
ไปหลงรักช่างทองผู้มีตระกูลต่ำกว่า ไม่คู่ควรกัน เศรษฐีจึงถามชายหนุ่มช่างทองว่า

" หากท่านได้เห็นเพียงแค่ข้อมือ และข้อเท้าของลูกเรา ท่านจะสามารถจัดทำเครื่องประดับได้
หรือไม่ "

" ได้ครับ " ชายหนุ่มรับคำ

เศรษฐีจึงสั่งให้คนงาน กั้นฝาพนังระหว่างคนทั้งสองเจาะช่องเพียงให้มือและเท้าลอดไปได้
เท่านั้น ธิดาเศรษฐีจึงเกิดความสงสัยว่า เหตุใดบิดาจึงไม่ให้ช่างทองมาวัดขนาดทดลองเครื่องประดับ
เหมือนเช่นเคย หรือจะมีอะไรปิดบังนางอยู่ นางจึงลอบมองออกไปตามช่องไม้ เมื่อได้เห็นรูปอันงาม
ของช่างทองก็หลงใหลรักใคร่ ลงมือเขียนจดหมายทิ้งลงเบื้องหน้าชายหนุ่ม ความว่า

" ช่างทองผู้เป็นที่รัก หากท่านมีใจรักใคร่ในตัวเราขอจงมาพบเราที่ต้นไม้ใหญ่หลังบ้านในคืน
วันนี้เถิด "

ช่างทอง อ่านจดหมายด้วยความยินดี เขารอจนเวลาค่ำ จึงลอบมานั่งรออยู่บนต้นไม้ใหญ่นั้น
แต่ด้วยความตรากตรำกรำงานมาทั้งวัน จึงเกิดอาการง่วงนอน เผลอตัวเอนหลับไปคากิ่งไม้นั่นเอง

เมื่อคนในบ้านหลับกันหมดแล้ว ธิดาเศรษฐีจึงแอบจัดอาหารแล้วออกมาพบกับช่างทอง นางเห็น
เขาหลับสนิทจะปลุกให้ตื่นก็เกรงต่อความเชื่อที่ว่า ผู้ใดปลุกคนอื่นให้ตื่นขึ้นจากการนอนหลับ ผู้นั้น
จะได้รับบาปตกนรกนานถึงหนึ่งกัป เมื่อนางรออยู่ครู่ใหญ่ ชายหนุ่มก็ยังหลับสนิทเช่นเดิม นาง
ได้แต่วางขันทองไว้ตรงหน้าเขา แล้วหันหลังกลับไป

วันต่อมา ธิดาเศรษฐีแอบทิ้งจดหมายนัดพบอีก พร้อมกับกำชับให้เขาอดทน อย่าหลับใหลเหมือน
เมื่อวาน ช่างทองได้ไปรอที่เดิม แต่กลับเผลอหลับใหลไปอีก ธิดาเศรษฐีได้แต่วางอาหารไว้ให้
แล้วเดินกลับไป

วันที่สาม เหตุการณ์ยังเป็นเช่นเดิม ธิดาเศรษฐีเสียใจที่มิได้อยู่ใกล้ชิดกับชายคนรัก คิดปลงว่า
มิได้สร้างสมบุญร่วมกันมา จึงต้องแคล้วคลาดกันเช่นนี้ ฝ่ายชายหนุ่มก็แค้นเคืองตนเองที่เผลอสติ
หลับไปถึงสามครั้ง เขาเดินกลับด้วยความเสียดายโอกาสยิ่งนัก

.......เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อถึงกำหนดแต่งงานของธิดาเศรษฐี ช่างทองยังคงเฝ้าคิดถึงนางอย่างผูกพันไม่
คลาย จึงคิดหาอุบายจัดทำเครื่องประดับอันงดงามประณีตไปถวายพระมหาอุปราช เครื่องประดับ
ถูกพระทัยพระองค์มากถึงกับตรัสถามว่า

" ท่านทำเครื่องประดับอันงดงามนี้มามอบแก่เรา ท่านต้องการสิ่งใดหรือ "

ช่างทองได้โอกาส กราบทูลความประสงค์ของตนให้ทรงทราบ พระมหาอุปราชกลับเห็นชอบ
พร้อมออกอุบายช่วยเหลือ โดยปลอมแปลงแต่งกายให้นายช่างทองเป็นหญิง แล้วพามาบ้านท่าน
เศรษฐี รับสั่งกับท่านเศรษฐีว่า

" บัดนี้ พระเจ้าพี่ต้องการให้เราไปปราบกบฏชายแดน เราขอฝากน้องสาวไว้ให้ธิดาของท่าน
ดูแลเป็นการชั่วคราวจนกว่าเราจะกลับมา "

แม้เศรษฐีจะบ่ายเบี่ยงว่านางแต่งงานแล้ว แต่พระมหาอุปราชยังคงยืนยันเช่นเดิม พร้อมกับรับ
สั่งให้ดูแลนางอย่างดี ห้ามบุคคลอื่นแม้แต่สามีของธิดาเศรษฐีเข้าไปรบกวนเป็นอันขาด

.......ตั้งแต่วันนั้นมา ชายหนุ่มช่างทองได้เพลิดเพลินอยู่กับธิดาเศรษฐี สมความปรารถนาตลอดเวลา
สามเดือน พระมหาอุปราชจึงมารับกลับไป และจากการผิดศีลในครั้งนี้ ได้ทำให้เขาต้องตกนรก
เวียนวนอยู่ในอบายภูมิอย่างยาวนานตลอด ๑๔ กัป

ชายหนุ่มช่างทอง ผู้มีสมบัติอันเพียบพร้อม แต่กลับใช้ไปในทางที่ผิดศีลธรรม ก็เปรียบเสมือน
ผู้มีอาวุธร้าย เพื่อใช้ประหัตประหารตนเอง การที่เขาต้องตกนรก เพราะตกเป็นทาสของอารมณ์
รักใคร่ นับเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในหนทางการสร้างบารมี

หากย้อนเวลากลับไปได้ ชายหนุ่มช่างทองคงจะไม่คิดแตะต้องธิดาเศรษฐีเลยแม้เพียงปลายเล็บ
เพราะ ความสุขเพียงชั่วยามที่เขาได้รับนั้น ช่างไม่คุ้มค่าเลย เมื่อเทียบกับความทุกข์ทรมานอัน
ยาวนานในนรกภูมิ

ในโลกที่เต็มไปด้วยความรักใคร่อันเย้ายวนใจนี้ จึงมีเพียงผู้ที่รักษาศีลเท่านั้น ที่จะอยู่รอดปลอดภัย
สามารถรักษาความเป็นมนุษย์ไว้ได้ โดยไม่ใช้ชีวิตผิดพลาด เพราะตกเป็นทาสของความรักใคร่

จากหนังสือ.....

ศีล....เป็นที่ตั้งแห่งความดีงาม

พระมหาสุวิทย์ วิชฺเชสโก ป.ธ. ๙


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

33
เลือกเกิดให้ดีเถิด (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)


กลัวความเกิดเถิด อย่ากลัวความตายเลย
เพียงหายใจออกแล้วไม่หายใจเข้าก็ตายได้สบายๆ แล้ว
แต่สิ้นลมแล้วไปปรากฏขึ้นที่ไหนในสภาพอย่างไร
นั่นสิควรกลัว ควรกลัวที่สุด

เพราะเมื่อถึงเวลานั้น
จะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
ที่ว่าเลือกเกิดไม่ได้
ก็มิใช่หมายความถึง
ชาติหน้าเลือกเกิดใหม่ไม่ได้

ที่เกิดแล้ว จริงที่ว่าเลือกเกิดไม่ได้
ก็เกิดแล้วจะไปเลือกอะไรได้อีก
เหมือนกินยาพิษเข้าไปตายแล้ว
จะไปเลือกกินน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร

แต่ชาติหน้าเลือกได้ทุกคน
ว่าต้องการรเกิดเป็นอะไร
เกิดที่ไหน
สวยงาม มั่งมี
สูงส่ง หรือน่าเกลียดน่าชัง
ลำบากยากจน
ต่ำต้อยด้วยยชาติตระกูล ฯลฯ


เหล่านี้เลือกได้สำหรับการเกิดชาติต่อไป
จงตั้งใจเลือกให้ดีได้เป็นไปดังปรารถนาให้ได้เถิด

วันอาสาฬหบูชามาถึงอีกครั้งหนึ่งแล้ว
พึงถือเป็นวันมหามงคลของชีวิตอีกวันหนึ่ง
ตั้งใจทำให้ดี เลือกชีวิตข้างหน้าให้ดี
หัวใจพระพุทธศาสนา ๓ ประการจะช่วยได้
ขอให้ทำจริง

การไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวง
การทำบุญกุศลให้ถึงพร้อม
และการทำใจให้ผ่องใส


ไกลกิเลส โลภ โกรธ หลง ให้ทุกเวลา
อย่าให้ความคิดปรุงแต่ง
เป็นมือมารดึงเอา กิเลสเครื่องเศร้าหมอง
เข้าสู่จิตใจ แล้วการเลือกการเกิด
ก็จะสำเร็จงดงามสมปรารถนา[/b]

: อาสาฬบูชา ๒๕๔๗
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

34
บุญของท่าน ช่วยดวงวิญญาณในขุมนรกได้

เมื่อตะกี้ ผมเพิ่งได้สนทนาธรรมกับผู้รู้ท่านหนึ่ง ผมได้ถามผู้รู้ท่านนี้ว่า

"สมมติว่าญาติเราตกนรกอยู่ แล้วเราอุทิศส่วนกุศลให้กับญาติเรา บุญนั้นส่งผลให้กับญาติเราทันทีหรือไม่ หากบุญนั้นไม่ส่งผล แล้วบุญนั้นหายไปหรือไม่ เราต้องอุทิศส่วนกุศลใหม่หรือไม่"

ท่านตอบอย่างนี้ครับว่า

"บุญที่เราส่งผลให้กับญาติเราที่ตกนรกอยู่นั้น บังเกิดผลทันที ทำให้ทุกขเวทนาลดน้อยลงชั่วขณะ เมื่อทุกขเวทนาหยุดหรือระงับลงชั่วขณะ เค้าก็โมทนาบุญกับเราได้ทันที"

ผมถามต่อไปว่า "สมมติว่าญาติเราถูกขังอยู่ 1 ปี การที่เราอุทิศส่วนกุศลให้บ่อยๆ นอกจากทำให้ทุกขเวทนาลดน้อยลงแล้ว ยังจะทำให้โทษที่ถูกจองจำ 1 ปีนั้นลดลงหรือไม่" ท่านยืนยันว่าใช่ โทษที่จองจำก็ลดน้อยลงไปด้วย

ผมถามอีกว่า บทอุทิศส่วนกุศลของผม ตอนท้ายๆลงท้ายว่า "ผู้เสวยทุกข์อยู่ก็ดี" หากผมจะเพิ่มไปว่า ให้กับดวงวิญญาณในนรกด้วยจะดีไม่

ท่านแนะนำให้เจาะจงอย่างนี้ครับว่า "ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณทุกดวง ในขุมนรกทุกขุม รวมทั้งเหล่ายมทูตทั้งหลาย ขอให้ท่านเป็นสุขเป็นสุขเถิด และเมื่อท่านทั้งหลายเป็นสุขแล้ว ก็ขอให้โมทนาบุญกับข้าพเจ้าด้วยเทอญ"

ท่านยังกล่าวอีกว่า ปกติบุญที่เราอุทิศให้กับใครในขุมนรกนั้น จะสว่างวาบช่วงสั้นๆ แต่ผู้ที่เราอุทิศก็จะทราบได้ทันที และถ้าเราอุทิศให้กับดวงวิญญาณทุกดวงในทุกขุมนรก นรกทุกขุมนรกก็จะสว่างจ้าขึ้นมาทันที

ท่านย้ำว่า การอุทิศส่วนกุศลนั้น ต้องทำทุกวัน อุทิศให้กับเหล่าดวงวิญญาณทุกวัน เค้าก็จะพ้นทุกข์เร็วขึ้น ซึ่งก็น่าจะจริง เหมือนนักโทษชั้นดีนะ ทำความดีอยู่บอยๆ ก็พ้นโทษเร็วขึ้น

สุดท้ายท่านก็กล่าวคำ "สาธุ สาธุ" กับผม

ความรู้นี้ผมเพิ่งได้มาสดๆใหม่ๆ ก็ขอนำมาเผยแพร่ให้เหล่าเพื่อนๆเป็นธรรมทาน มีข้อความบางส่วนที่ผมเคยโพสต์ไปในบางกระทู้ ต้องตามไปปรับปรุงแก้ไขข้อมูล

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ  :054:


35
อนุโมทนา บุญด้วยครับ ที่จะบวช ทดแทนพระคุณพ่อแม่

36
กฎแห่งกรรม / ท่องเเดนเปรตภูมิ
« เมื่อ: 25 มี.ค. 2554, 10:32:34 »
ท่องเเดนเปรตภูมิ


เปรตภูมิ เป็นที่อยู่ของพวกที่ทำบาปเบากว่า พวกที่ไปเกิดในนรกภูมิ เพราะนรกเป็นเรื่องการถูกทรมาน ด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามกรรมที่ได้ทำไว้ ส่วนเปรตเป็นเรื่องของการถูกทรมาน ด้วยการอดอยากหิวโหย เช่น การอดข้าวอดน้ำ เปรตบางชนิด ต้องกินหนองเลือด เสมหะ อุจจาระ เป็นอาหาร
ที่อยู่ของเปรต
เปรตไม่มีที่อยู่โดยเฉพาะ จะอยู่ทั่ว ๆ ไปตามป่า ภูเขา เหว เกาะ แก่ง ทะเล มหาสมุทร ป่าช้า เป็นต้น เปรต เป็นประเภทโอปปาติกกำเนิด ประเภทกายละเอียดที่ผลุดขึ้นโตทันที เราจึง มองไม่เห็น นอกจากเขาจะใช้พลังจิต กำหนดกายให้หยาบจึงจะมองเห็นได้
ชนิดของเปรต
เปรตมีหลายจำพวก มีทั้งพวกที่ตัวเล็ก ตัวใหญ่ บางพวกแปลงกายได้ เป็นเทวดา มนุษย์ผู้ชาย มนุษย์ผู้หญิง ดาบส พระ เณร หรือชี ทำให้ผู้พบเห็นเข้าใจว่า เป็นเทวดา เป็นชายหญิง หรือพระ เณร จริง ๆ เจตนาของการแปลงกาย ก็เพื่อจะช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ผู้พบเห็นนั้น ส่วนการแปลงกายที่มุ่งจะทำร้าย ให้เกิดความเกรงกลัวเสียขวัญตกใจ ก็จะแปลงกายเป็น วัว ควาย ช้าง สุนัข มีทั้งสีดำ แดง เทา รูปร่างใหญ่โตน่าเกลียดน่ากลัว พระธุดงค์หรือผู้ปฏิบัติธรรมในป่า มักจะพบเห็นกันเสมอ ๆ
อาหารของเปรต
เปรตทั้งหลายต้องเสวยทุกขเวทนา คือการอดข้าวอดน้ำ เปรตบางพวกจึง เข้าไปกินเศษอาหารที่ชาวบ้านเขาทิ้งไว้ บางพวกกินเสมหะ น้ำลาย ของโสโครกต่าง ๆ ท่านได้กล่าวไว้ว่า เปรตที่อาศัยอยู่ตามภูเขา เช่น ที่ภูเขาคิชฌกูฎ นอกจากจะอดอาหารแล้ว ยังต้องถูกทรมานเหมือนสัตว์นรกด้วย
เปรตประเภทต่าง ๆ ตามที่พระอรรถกถา และพระคัมภีร์ แสดงไว้
   แสดงเรื่องเปรตไว้ ๔ จำพวก คือ
๑.   ปรทัตตุปชีวิกเปรต   เป็นเปรตที่มีชีวิตอยู่ ด้วยการอาศัยส่วนบุญที่ญาติมิตร เขาอุทิศให้ ถ้าไม่มีผู้อุทิศให้ ก็ต้องอดอยากหิวโหย ได้รับทุกขเวทนาอยู่เช่นนั้น
๒.   ขุปปีปาสิกเปรต   เป็นเปรตที่อดอยาก หิวข้าวหิวน้ำอยู่เป็นนิตย์ ไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะลุกขึ้น ต้องนอนแซ่วอยู่เหมือนคนป่วยที่ใกล้จะตาย
๓.   นิชฌามตัณหิกเปรต   เป็นเปรตที่มีไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอ
๔.   กาลกัญจิกเปรต   เป็นเปรตจำพวกอสุรกาย หรือ อสุรา
ปรทัตตุปชีวิกเปรต

ประเภทเดียวเท่านั้นที่สามารถจะรับส่วนกุศลที่มนุษย์แผ่ไปให้ได้
เพราะอยู่ใกล้ๆ กับมนุษย์ และสามารถที่จะรู้ว่าเขาแผ่ส่วนกุศลให้ และอนุโมทนาส่วนบุญนั้น ถ้าไม่รู้หรือไม่ได้อนุโมทนา ก็ไม่ได้รับส่วนบุญที่ญาติมิตรแผ่ไปให้
พระโพธิสัตว์เมื่อได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้ว ถ้าจะเกิดเป็นเปรต ก็จะเกิดเป็นเปรตได้ประเภทเดียวเท่านั้นคือ ปรทัตตุปชีวิกเปรต เปรตอีก ๓ ชนิดที่เหลือ จะไม่ไปเกิด
เปรตปรทัตตุปชีวิกเปรตนี้ นับว่าเป็นเปรตที่โชคดีจำพวกเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถรับส่วนบุญกุศล ที่พวกญาติมิตรของตนอุทิศให้ เพราะมีอกุศลบางเบา จึงมีจิตยินดีที่จะอนุโมทนาส่วนกุศล โดยที่ตนมีความอยากข้าว และน้ำเป็นกำลัง จึงท่องเที่ยวซัดเซไปมา นึกถึงหมู่ญาติของตนว่า ใครอยู่ที่ไหนบ้าง เมื่อนึกได้ก็จะคอยอยู่ใกล้ ๆ คอยท่าอยู่ว่า   
“เมื่อใดญาติของเรา จะทำบุญทำกุศลแล้วอุทิศมาให้เราบ้าง”
ครั้นญาติทำบุญทำกุศลแล้ว ลืมอุทิศให้ หรืออุทิศให้แต่คนอื่น ไม่ได้อุทิศให้ตน เขาก็จะเดินวนเวียนไปมา ด้วยใบหน้าหม่นหมอง เศร้าสร้อยด้วยความผิดหวัง บางทีก็มีความน้อยใจ ถึงกับเป็นลมฟุบสลบลงไป ด้วยความหิวโหย ด้วยความทรมาน และก็ได้แต่หวังอยู่อีกว่า “ครั้งต่อไป เขาคงไม่ลืมเรา เขาคงอุทิศให้แก่เราบ้าง ในครั้งต่อไป เขาคงไม่ลืมเรา เขาคงมีแก่ใจอุทิศให้แก่เราบ้าง” เปรตพวกนี้ได้แต่หวังอย่างนี้มาแสนนาน บางทีก็ได้สมประสงค์ บางทีก็ไม่ได้ตามประสงค์ เพราะพวกญาติมิตรที่ตนฝากความหวังไว้นั้น ไม่ประกอบการกุศล เพราะเป็นคนมิจฉาทิฏฐิ ไม่เชื่อบุญเชื่อบาป หรือว่าญาติมิตรเป็นคนมีศรัทธาทำบุญ แต่หลงลืมไม่อุทิศให้ เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ย่อมไม่ได้รับผลบุญ ต้องทนทุกข์อดอยากหิวโหย อยู่นานแสนนาน

บรรดาเปรตทั้งหลาย ที่ได้กล่าวมาแล้ว เปรตที่มีโอกาสได้รับส่วนบุญจากผู้อื่นก็คือ ปรทัตตุปชีวิกเปรต เพราะอยู่ใกล้กับมนุษย์ ซึ่งเกิดอยู่ในบริเวณบ้านเรือนของญาติมิตรนั้น เนื่องจากเวลาใกล้จะตาย มีความห่วงใยอาลัยอาวรณ์ในทรัพย์สินเงินทอง ห่วงใยในสามีภรรยา ลูกหลานหรือมิตรสหาย เมื่อตายก็จะอยู่ในบริเวณบ้านเรือนนั้นเอง ที่เราเรียกว่า ผีหรือเปรต แม้ว่าจะอยู่ในบริเวณนั้นก็ดี ถ้าไม่รู้ว่าเขาอุทิศส่วนกุศลให้ และไม่มีโอกาสได้อนุโมทนาทาน ก็จะรับส่วนบุญที่เขาอุทิศมาให้ไม่ได้
ส่วนผู้ที่เกิดในนรก เปรตประเภทอื่น เช่น อสุรกาย เดรัจฉาน ซึ่งเกิดด้วยอำนาจของอกุศลกรรม ซึ่งอยู่ห่างไกลจากหมู่มนุษย์ ก็ไม่มีโอกาสที่จะรู้และอนุโมทนาในส่วนบุญที่เขาอุทิศมาเลย เช่น ญาติของตนตายแล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ หรือสุนัขในบ้านของเรา แม้จะอุทิศส่วนกุศลให้ ก็ไม่สามารถจะรับส่วนกุศลนั้น ๆ ได้ แม้แต่ผู้ที่ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมก็เช่นเดียวกัน
บุญที่อุทิศให้แก่ญาติผู้ตายแล้วนั้น หากไม่ถึงหรือไม่สำเร็จ ก็ไม่สูญหายไปไหน คงเป็นบุญที่ติดตัวแก่ผู้อุทิศให้นั้น ซึ่งจะส่งผลให้ได้รับความสุขความเจริญ ในชาติต่อ ๆ ไป

ในคัมภีร์ทั้งสองนี้ ได้แสดงเรื่อง เปรตที่อาศัยอยู่ ที่เชิงภูเขาหิมาลัยในป่าแห่งหนึ่ง ชื่อว่า วิชฌาฏวี มี ๑๒ จำพวก คือ
๑. วันตาสเปรต   เปรตที่กินน้ำลาย เสมหะ และอาเจียน เป็นอาหาร
๒. กุณปาสเปรต   เปรตที่กินซากศพคน หรือสัตว์ เป็นอาหาร
๓. คูถขาทกเปรต   เปรตที่กินอุจจาระต่าง ๆ เป็นอาหาร
๔. อัคคิชาลมุขเปรต   เปรตที่มีเปลวไฟลุกอยู่ในปากเสมอ
๕. สูจิมุขเปรต   เปรตที่มีปากเท่ารูเข็ม
๖. ตัณหัฏฏิตเปรต   เปรตที่ถูกตัณหาเบียดเบียน ให้หิวข้าวหิวน้ำอยู่เสมอ
๗. สุนิชฌามกเปรต   เปรตที่มีตัวดำเหมือนตอไม้ที่เผา
๘. สัตถังคเปรต   เปรตที่มีเล็บมือเล็บเท้ายาวและคมเหมือนมีด
๙. ปัพพตังคเปรต   เปรตที่มีร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขา
๑๐. อชครังคเปรต   เปรตที่มีร่างกายเหมือนงูเหลือม
๑๑. เวมานิกเปรต   เปรตที่ต้องเสวยทุกข์ในเวลากลางวัน แต่กลางคืนได้ไปเสวยสุขในวิมาน
๑๒. มหิทธิกเปรต   เปรตที่มีฤทธิ์มาก
   แสดงเรื่องเปรตไว้ ๒๑ จำพวก คือ
๑. อัฏฐิสังขสิก   เปรตที่มีกระดูกติดกันเป็นท่อน ๆ แต่ไม่มีเนื้อ
๒. มังสเปสิก   เปรตที่มีเนื้อเป็นชิ้น ๆ แต่ไม่มีกระดูก
๓. มังสปิณฑ   เปรตที่มีเนื้อเป็นก้อน
๔. นิจฉวิริส   เปรตที่ไม่มีหนัง
๕. อสิโลม   เปรตที่มีขนเป็นพระขรรค์
๖. สัตติโลม   เปรตที่มีขนเป็นหอก
๗. อุสุโลม   เปรตที่มีขนเป็นลูกธนู
๘. สูจิโลม   เปรตที่มีขนเป็นเข็ม
๙. ทุติยสูจิโลม   เปรตที่มีขนเป็นเข็มชนิดที่ ๒
๑๐. กุมภัณฑ   เปรตที่มีลูกอัณฑะใหญ่โตมาก
๑๑. คูถกูปนิมุคค   เปรตที่จมอยู่ในอุจจาระ
๑๒. คูถขาทกเปรตสเปรต   เปรตที่กินอุจจาระ
๑๓. นิจฉวิตก   เปรตหญิงที่ไม่มีหนัง
๑๔. ทุคคุนธ   เปรตที่มีกลิ่นเหม็น
๑๕. โอคิลินี   เปรตที่มีร่างกายเป็นถ่านไฟ
๑๖. อสีส   เปรตที่ไม่มีศีรษะ
๑๗. ภิกขุ   เปรตที่มีรูปร่างเหมือนพระ
๑๘. ภิกขุณี   เปรตที่มีรูปร่างเหมือนภิกษุณี
๑๙. สิกขมาน   เปรตที่มีรูปร่างเหมือนสิกขมานา
๒๐.สามเณร   เปรตที่มีรูปร่างเหมือนสามเณร
๒๑.สามเณรี   เปรตที่มีรูปร่างเหมือนสามเณรี

การที่มนุษย์ทั้งหลาย จะได้มีโอกาสไปอุบัติเป็นเปรต ต้องเสวยความทุกข์ทรมาน เพราะความอดอยาก ได้รับความหิวกระหายอย่างแสนสาหัสนั้น เนื่องจากบาปที่ตนได้กระทำไว้ ได้แก่ บาป ๑๐ ประการ เรียกว่า อกุศลกรรมบถ ๑๐ ได้แก่
การทำบาปทางกาย ๓ อย่าง คือ การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ และการประพฤติผิดในกาม
การทำบาปทางวาจา ๔ อย่าง คือ การพูดเท็จ การพูดส่อเสียด การพูดคำหยาบ และการพูดเพ้อเจ้อ เหลวไหลไร้สาระ
การทำบาปทางใจ ๓ อย่าง คือ โลภอยากได้ของเขา พยาบาทปองร้ายเขา และมิจฉาทิฏฐิ คือ เห็นผิดจากทำนองคลองธรรมซึ่งบาปอกุศล ๑๐ ประการนี้ เมื่อตายไปแล้ว ก็ต้องไปเสวยทุกขเวทนาเป็นเปรต และยังสามารถที่จะนำไปสู่นรกภูมิได้ด้วย ซึ่งจะต้องได้รับความทุกข์ทรมาน จากนรกก่อน เมื่อสิ้นกรรมจากนรกแล้ว เศษบาปยังมี จึงจะต้องไปเกิดเป็นเปรตอีกในภายหลัง

สิ่งมีชีวิตทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ เทวดา หรือพรหม ที่ได้กระทำกรรมในส่วนที่เป็นบาป หรือในส่วนที่เป็นบุญก็ดี ผลของกรรมก็จะนำเกิดอีก ในภพใหม่ชาติใหม่ โดยจะเกิดนิมิต หรืออารมณ์ก่อนตาย ๓ ประการด้วยกัน คือ
๑. กรรมอารมณ์
ก่อนตายจะทำให้เราระลึกถึงบุญหรือบาป ที่ได้กระทำไว้ ให้เห็นอย่างชัดเจน เช่น ตนเคยฆ่าเขาไว้ก็จะนึกถึงภาพ ที่ตนได้ฆ่าเขาไว้อย่างชัดเจน ใจก็จะเศร้าหมองหวาดกลัว เมื่อตายไปก็จะเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ในทำนองเดียวกันถ้าทำบุญไว้มาก ๆ เมื่อใกล้จะตาย ก็จะนึกถึงบุญที่ตนได้กระทำไว้ เช่น ทำบุญใส่บาตร ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร รักษาศีล เจริญภาวนา เมื่อตายลงก็ย่อมไปสู่สุคติ คือ ไปเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดา กรรมอารมณ์นี้ เป็นนิมิตให้เกิดได้ เฉพาะในกามภูมิเท่านั้น
๒. กรรมนิมิตอารมณ์[/b]
คือการเห็นภาพเครื่องมือในการทำบาป หรือทำบุญ เช่น เคยฆ่าสัตว์ ก็จะเห็นเครื่องมือของการทำบาป เช่น ดาบ มีด ปืน แห อวน อาวุธต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องมือในการฆ่า อุปกรณ์เหล่านี้ จะเป็นภาพปรากฏให้เห็น เมื่อตายลงก็ย่อมไปสู่ทุคติ ในทำนองเดียวกัน เมื่อทำบุญ ก็จะเห็นเครื่องใช้ในการทำบุญ เช่นเห็นขันข้าว หรือทัพพี เห็นศาลาการเปรียญ เป็นต้น เมื่อตายลง ก็ย่อมไปสู่สุคติด้วยอำนาจของบุญนั้น หรือผู้เจริญภาวนา ถ้าได้ฌานก็จะไปเกิดเป็น พรหม
๓. คตินิมิตอารมณ์
ได้แก่ภาพซึ่งเป็นสถานที่ ที่ผู้ทำบุญหรือทำบาปไว้ จะต้องไปเกิดนั้นมานิมิตให้เห็นก่อนตาย เช่น เห็นหมู่สัตว์นรกกำลัง ถูกทรมาน เห็นไฟนรก เห็นหมู่เปรตที่หิวโหย เห็นหมู่สัตว์เดรัจฉาน เมื่อตายลง ก็ย่อมไปเกิดในสถานที่ ที่เห็นนั้นด้วยอำนาจของบาปที่ทำไว้ ถ้าเห็นเป็นวิมานเทวดา เห็นหมู่เทวดา หรือเห็นครรภ์ของมารดา เห็นมวลหมู่มนุษย์ที่กำลังทำบุญ ทำกุศลกัน เมื่อผู้นั้นตาย ก็จะไปเกิดเป็นเทวดา หรือมนุษย์ตามภูมิที่ได้เห็นนั้น
อารมณ์หรือนิมิตทั้ง ๓ เหล่านี้ย่อมปรากฏอย่างใดอย่างหนึ่ง ก่อนที่บุคคลหรือสัตว์เหล่านั้นใกล้จะตาย นอกจากพระอรหันต์เท่านั้น ซึ่งไม่ต้องเกิดอีก ก็จะไม่มีนิมิตทั้ง ๓ ปรากฏให้เห็น

บุคคลที่เกิดมาในโลกนี้ เมื่อเกิดมาแล้วได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่จะต้องชดใช้กรรม พร้อมกันนั้นก็จะต้องกระทำกรรมใหม่ขึ้นอีก ทั้งในส่วนที่เป็นบุญและเป็นบาป จึงได้จำแนกการดำเนินชีวิตของคนไว้ ๓ ประเภทด้วยกัน คือ
๑. ทำบาปมากกว่าทำบุญ
๒. ทำบุญมากกว่าทำบาป
๓. ทำบุญกับทำบาปเสมอกัน

สำหรับบุคคลที่ทำบุญและทำบาปใกล้เคียงกัน เสมอกันนั้น เมื่อตายลง จะยังไม่ตรงไปเกิดในนรกภูมิ ด้วยอำนาจของอกุศลกรรม หรือตรงไปบังเกิดเป็นเทวดา ด้วยอำนาจของกุศลกรรมทันที ด้วยอำนาจแห่งความประมาท ที่ไม่ค่อยจะเชื่อบุญหรือเชื่อบาป เมื่อเขาตายลง ก็ย่อมจะได้ไปเกิดในแดนยมโลกนรก พบกับ ยมฑูต ย่อมจะถูกยมฑูตนำไปสู่สำนักของพญายมราช เพื่อให้พญายมราช ซึ่งเป็นใหญ่ในยมโลกนรก สอบถามถึงเทวทูต ๕ ประการเสียก่อน แล้วจึงจะเสวยผลกรรมดีหรือชั่ว ที่ตนได้กระทำไว้

เทวฑูตที่ ๑
พญายมราชผู้มีจิตกรุณาก็จะไต่ถามว่า “ดูกรท่านผู้เจริญ ท่านเคยเห็นเด็กแดงๆ ยังอ่อนนอนแบเบาะ นอนเปื้อนมูตรคูถของตนบ้างไหม เห็นแล้วมีความรู้สึกอย่างไร ?”
ถ้าตอบว่า เห็น แต่ไม่มีความรู้สึกอย่างไร พญายมราชก็จะบอกให้ทราบว่าเจ้าเป็นผู้มีความประมาท ไม่กระทำความดีทาง กาย วาจา ใจ ไม่เคยคิดเลยหรือว่า การเกิดมานั้นเป็นทุกข์ ดังที่เห็นอยู่ เมื่อท่านประมาทเช่นนี้นายนิรยบาลจะทำการลงโทษท่าน พญายมราชก็จะปลอบใจผู้กระทำบาปเหล่านี้ โดยถามเป็นปัญหา
เทวฑูตที่ ๒
เมื่อพญายมราชได้ปลอบโยนเอาอกเอาใจแล้วก็ได้ถามปัญหาข้อที่ ๒ ว่า “ ดูกรท่านผู้เจริญ ท่าน เคยเห็นคนแก่ อายุ ๘๐, ๙๐, ๑๐๐ ปี หลังโก่งคดงอ ถือไม้เท้า เดินงกเงิ่น ผมหงอก หนังเหี่ยว ตกกระ ในหมู่มนุษย์บ้างไหม เห็นแล้วรู้สึกอย่างไร” ถ้าตอบว่า เห็น แต่ไม่มีความรู้สึกอย่างไร พญายมราช ก็จะกล่าวชี้แจงให้ทราบว่าท่านเป็นผู้ประมาท ไม่พิจารณาเห็นโทษของความแก่ ไม่ขวนขวายในการทำบุญทำกุศล ตั้งอยู่ในความประมาท นายนิรยบาลจะลงโทษท่าน พญายมราชก็จะพูดปลอบใจและถามปัญหาต่อไป
เทวฑูตที่ ๓
พญายมราชจะถามว่า “ ท่านเคยเห็นคนป่วยไข้ ที่กำลังได้รับความทุกข์เวทนาบ้างหรือไม่ เมื่อเห็นแล้วรู้สึกอย่างไร ?” ถ้าตอบว่า เห็นแต่ไม่รู้สึกอย่างไร พญายมราชก็จะชี้แจงให้ทราบถึงเหตุผลว่า การเจ็บป่วยนั้นเป็นทุกข์ที่ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ จะต้องขวนขวายในการทำความดียิ่ง ๆ ขึ้น เพื่อให้พ้นจากสิ่งเหล่านี้ ท่านได้ชื่อว่าเป็นผู้ประมาท นายนิรยบาลจะลงโทษท่าน พญายมราชจะพูดปลอบใจเอาอกเอาใจ และถามปัญหาข้อที่ ๔ ต่อไป
เทวฑูตที่ ๔
พญายมราชได้ถามปัญหาด้วยจิตเมตตาต่อไปว่า “ ท่านเคยเห็นคนที่ถูกจองจำ เช่น โจร ผู้ร้าย ผู้กระทำผิด ซึ่งถูกทำการลงโทษด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การโบยด้วยแส้ โบยด้วยหวาย ตีด้วย กระบอง ตัดมือบ้าง ตัดเท้าบ้าง ตัดหูตัดจมูกบ้าง ตลอดจนยิงเป้า แขวนคอ นั่งเก้าอี้ไฟฟ้า หรือการฉีดสาร พิษเข้าสู่ร่างกายเพื่อให้เสียชีวิต บ้างหรือไม่ เห็นแล้วรู้สึกอย่างไร ? ” ถ้าตอบว่า เห็นแต่ไม่รู้สึกอย่างไร พญายมราช จะชี้แจงให้ทราบว่าท่านเป็นผู้ตกอยู่ในความประมาท ไม่ขวนขวายในการทำบุญทำกุศล เพื่อให้พ้นจากวัฏฏทุกข์เหล่านี้ นายนิรยบาลจะลงโทษท่าน พญายมราชก็จะพูดปลอบโยน เอาอกเอาใจและถามปัญหาในข้อต่อไป
เทวฑูตที่ ๕
พญายมราชก็จะถามปัญหาว่า “ ท่านเคยเห็นคนตายบ้างหรือไม่ เห็นแล้วรู้สึกอย่างไร ?” ถ้ายังตอบเหมือนเดิมอีก คือ เห็นแล้วไม่มีความรู้สึกอย่างไร และไม่ได้ขวนขวาย ในการที่จะกระทำคุณงามความดียิ่งๆ ขึ้น ก็ได้ชื่อว่า เป็นผู้ตกอยู่ในความประมาท ซึ่งไม่ใช่เป็นความผิดของบิดามารดา ญาติพี่น้อง มิตรสหาย หรือเทวดาดลใจ แต่เป็นความผิดของท่านเอง นายนิรยบาลจะลงโทษท่าน เมื่อพญายมราชได้พูดปลอบใจแล้ว นายนิรยบาล ก็จะจับผู้ประมาทเหล่านั้นทำการจองจำ ๕ ประการด้วยกัน คือ ตรึงตะปูด้วยเหล็กแดงที่มือข้างที่ ๑ ตรึงตะปูด้วยเหล็กแดงที่มือข้างที่ ๒ ตรึงตะปูด้วยเหล็กแดงที่เท้าข้างที่ ๑ ตรึงตะปูด้วยเหล็กแดงที่เท้าข้างที่ ๒ และตรึงตะปูที่ทรวงอกตรงกลาง สัตว์เหล่านั้นย่อมเสวยทุกขเวทนาแรงกล้า อยู่ในนรกนั้นแต่ก็ยังไม่ตาย ตราบเท่าที่บาปกรรมยังไม่หมดสิ้น

อ่านจบแล้วก็แผ่เมตตาไปให้พวกเขาบ้างนะครับ พวกเขาอาจจะรอรับอยู่ก็ได้ครับ

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิต และ http://www.buddhism-online.org/Section06A_08.htm ด้วยนะครับ

37
ก่อนจะแผ่เมตตาให้กล่าวว่า ข้าพเจ้า ขอแผ่เมตตาและแผ่ส่วนบุญส่วนกุศล ให้กับ ผู้ที่เสียชีวิตจากสึนามิที่ญี่ปุ่น ด้วยนะครับ  :054:
บทแผ่เมตตา

สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ

อัพพะยาปัชฌา โหนตุ

อะนีฆา โหนตุ

สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ

สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น

จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย

จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย

จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ



บทแผ่ส่วนกุศล


อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตาปิตะโร
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่มารดาบิดาของข้าพเจ้า ขอให้มารดาบิดาของข้าพเจ้า มีความสุข

อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้ามีความสุข

อิทัง เม คุรูปัชฌายาจริยานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ คุรูปัชฌายาจริยา
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า มีความสุข

อิทัง สัพพะเทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเทวา
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวง มีความสุข

อิทัง สัพพะเปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่เปรตทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เปรตทั้งหลายทั้งปวง มีความสุข

อิทัง สัพพะเวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเวรี
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง มีความสุข

อิทัง สัพพะสัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา
ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง มีความสุขทั่วหน้ากันเทอญ


ขอให้ผลบุญนี่ส่งไปถึงผู้ที่เสียชีวิตจากสึนามิที่ญี่ปุ่น ด้วยเถอะสาธุ

38
ธรรมะ / อานิสงส์ของการเจริญเมตตา
« เมื่อ: 23 มี.ค. 2554, 03:10:23 »
อานิสงส์ของการเจริญเมตตา


บทสวดมนต์นี้ขอแนะนำให้สวดทุกวันเป็นการเจริญเมตตา และให้ทำความเข้าใจกับความหมาย รวมทั้งนำไปกระทำในชีวิตประจำวัน ผลที่ได้ย่อมเกิดเป็นความอัศจรรย์ยิ่งนัก


อานิสงส์การเจริญเมตตา

เมตตายะ ภิกขะเว เจโตวิมุตติยา อาเสวิตายะ ภาวิตายะ พะหุลีกะตายะ,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเมตตาเจโตวิมุตติ อันบุคคลบำเพ็ญแล้ว
ภาวนาแล้ว เจริญให้มากแล้ว
ยานีกะตายะ วัตถุกะตายะ อะนุฏฐิตายะ,
ทำให้เป็นเครื่องดำเนินทางใจ ทำให้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางใจ,
ปะริจิตายะ สุสะมารัทธายะ , อบรม สร้างสม ปรารภด้วยดี,
เอกาทะสานิสังสา ปาฏิกังขา,
อานิสงส์ ๑๑ อย่าง อันบุคคลนั้นพึงหวังได้แน่นอน,
กะตะเม เอกาทะสะ?, อานิสงส์ ๑๑ อย่างนั้น เป็นไฉน?,
สุขัง สุปะติ, หลับก็เป็นสุข,
สุขัง ปะฏิพุชฌะติ, ตื่นก็เป็นสุข,
นะ ปาปะกัง สุปินัง ปัสสะติ, ไม่ฝันร้าย,
มะนุสสานัง ปิโย โหติ, เป็นที่รักใคร่ของเพื่อนมนุษย์,
อะมะนุสสานัง ปิโย โหติ, เป็นที่รักใคร่ของเหล่าอมนุษย์,
เทวะตา รักขันติ, เทวดาปกปักรักษา,
นาสสะ อัคคิ วา วิสัง วา สัตถัง วา กะมะติ,
ไฟและยาพิษหรือแม้แต่ศัตราวุธ ก็ไม่กร้ำกราย,
ตุวะฏัง จิตตัง สะมาธิยะติ, จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เร็ว,
มุขะวัณโณ วิปปะสีทะติ, สีหน้าผ่องใส,
อะสัมมุฬฬะโห กาลัง กะโรติ, ไม่หลงสติเวลาตาย,
อุตตะริง อัปปะฏิวิชฌันโต พรัหมะโลกูปะโค โหติ,
เมื่อไม่สามารถบรรลุธรรมชั้นสูงในภพนี้ได้ ก็ย่อมเข้าถึงพรหมโลก,

เมตตายะ ภิกขะเว เจโตวิมุตติยา อาเสวิตายะ ภาวิตายะ พะหุลีกะตายะ,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเมตตาเจโตวิมุตติ อันบุคคลบำเพ็ญแล้ว
ภาวนาแล้ว เจริญให้มากแล้ว,
ยานีกะตายะ วัตถุกะตายะ อะนุฏฐิตายะ,
ทำให้เป็นเครื่องดำเนินทางใจ ทำให้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางใจ,
ปะริจิตายะ สุสะมารัทธายะ , อบรม สร้างสม ปรารภด้วยดี,
อิเม เอกาทะสานิสังสา ปาฏิกังขาติ,
อานิสงส์ทั้ง ๑๑ ประการนี้ บุคคลนั้นพึงหวังได้อย่างไม่ต้องสงสัย,
อิทะมะโวจะ ภะคะวา, พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้อย่างนี้,
อัตตะมานา เต ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุนติ,
ภิกษุเหล่านั้น ต่างมีใจยินดี ชื่นชมในพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยประการฉะนี้แล.

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยนะครับ

39
บทสวดมหาจักรพรรดิ มหาบุญ,มหาลาภ


นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

(กราบ 3 ครั้ง)
(สวดตามกำลังวัน อาทิตย์ 6 จันทร์ 15 อังคาร 8 พุธ 17
พฤหัส 19 ศุกร์ 21 เสาร์ 10 )


นะโมพุทธายะ พระพุทธะ ไตรรัตนะญาณ
มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา
พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ
พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา
อัคคีทานัง วะรังคันธัง สีวลี จะมหาเถรัง
อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย
อะหังวันทามิ สัพพะโส
พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ


อานิสงค์การสวดบทพระบรมมหาจักรพรรดิ

โดยย่อกล่าวคือ

บท นี้เป็นการสวดไหว้พระพุทธเจ้าทั่วทั้งพระนิพพานตลอดจนถึงพระธรรมเจ้าและพระ โพธิสัตว์เจ้า พระอริยสงฆ์สาวกทั้งมวลไหว้พระพุทธเจ้าทั้ง5พระองค์รวมถึงน้อมนำกำลังของเทพ พรหมพระอริยะเจ้าทั้งหลาย

การสวดครั้งหนึงเป็นการดึงกำลังของพระเจ้า จักรพรรดิทุกๆพระองค์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมาร่วมถึงกำลังของพระมหา โพธิสัตว์เจ้ามารวมอารธนาเข้าที่กายและใจและรวมกำลังของพระโพธิญานโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายตั้งแต่อดีต ถึง ปัจจุบัน และอนาคต

การ สวดครั้งหนึงมีอานิสงค์แผ่ไปทั่วจักวาลสามแดนโลกธาตุสามารถแผ่บญไปทั่วทุก สรรพสัตว์ตลอดจนเทวดาประจำตัวเราญาติมิตรเพื่อนฝูงครอบครัวเจ้ากรรมนายเวร และหากนำบทสวดนี้ไปสวดในนรกหรือแผ่ไปไฟนรกจะดับชั่วขณะ

บทนี้เป็นการ สร้างกำแพงแก้วคุ้มกันตัวร่วมถึงการอารธนาบารมีครูบาอาจารย์พระพุทธพระธรรม พระสงฆ์อัญเชิญเข้าตัวเพื่อป้องกันภัยและสร้างมหาโชคมหาลาภ

อานิสงค์ แก่ผู้สวดมีทั่งมหาบุญมหาลาภเนื่องจากมีการกล่าวถึงพระสีวลีร่วมถึงบทนี้มี พลังงานอย่างยิ่งในการเจริญพระกรรมฐานหากนำไปสวดบริกรรมก่อนหรือระหว่างนั่ง ภาวนากรรมฐาน...จะทำให้การภาวนามีพุทธานุภาพมาคลุมและคุมการปฎิบัติของเรา คลุมกายและจิตเราเป็นวิมานทิพย์(ครอบวิมานให้ตัวเองหรือสวดอธิษฐานครอบคน อื่นก็ได้)

หากสวดบทนี้สามารถอฐิษฐานเรื่องราวใดๆมี่ติดข้องใจได้ให้ ผ่านพ้นไปอย่างทะลุปรุโปร่ง กล่าวโดยสรุปได้ว่าคาถาจักรพรรดินี้ จากการเรียบเรียงถ้อยคำโดยหลวงปู่ดู่ท่าน ก่อให้เกิด จักรพรรดิ กำลังจักรพรรดิขึ้นด้วยในบทสวด พระคาถาครอบจักรวาล

บทสวดมนต์นี่เป็นบทสวดที่ดีนะครับ ถ้าใครไม่สบายใจ หรือ เจอสิ่งต่างๆที่ไม่ดี ก็ให้นึกถึงหลวงปู่ดู่ แล้่วท่องบทสวดมนต์นี่นะครับ

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

40
ชายใดปรารถนาเป็นบุรุษทุก ๆ ชาติไป ก็พึงเว้นภรรยาผู้อื่นเสีย


ศีลข้อ ๓ มีองค์ ๔ คือ

๑. คือชาย หรือหญิงที่มีเจ้าของ หรือมีผู้คุ้มครอง ดูแลรักษา
๒. จิตคิดจะเสพในวัตถุนั้น
๓. พยายามที่จะเสพ
๔. ทำมรรคต่อมรรคให้ถึงกัน (อวัยวะสอดใส่)

ถ้าครบองค์ ๔ ที่วางไว้ ศีลข้อ ๓ นี้ก็ขาด ศีลข้อนี้ขึ้นอยู่กับเจตนา และคุณของผู้ถูกล่วงด้วย กล่าวคือ ถ้าจงใจมากโทษก็หนัก ถ้าจงใจน้อยโทษก็น้อย ถ้าผู้ถูกล่วงเป็นผู้มีศีลโทษก็หนัก

โทษของศีลข้อ ๓ นี้

อย่างหนักทำให้เกิดในอบาย
อย่างเบาทำให้มีศัตรู คู่เวร เมื่อเกิดเป็นมนุษย์
(ในชาดกแสดงว่าทำให้เกิดเป็นกระเทย หรือเมื่อเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือมนุษย์แล้วต้องถูกตอน)

มหานารทกัสสปชาดก
มหานารทกัสสปชาดก - วิกิซอร์ซ



อรรถกถา มหานารทกัสสปชาดก
พระมหานารทกัสสปะทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมี

ใจความตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า

แม้กระหม่อมฉันก็ระลึกชาติ ที่ตนท่องเที่ยวมาแล้วได้ ๗ ชาติ และระลึกชาติที่ตนจุติจากชาตินี้แล้ว จักไปเกิดในอนาคตอีก ๗ ชาติ ข้าแต่พระจอมประชาชน ชาติที่ ๗ ของกระหม่อมฉันในอดีต กระหม่อมฉันเกิดเป็นบุตรนายช่างทองในแคว้นมคธ ราชคฤห์มหานคร กระหม่อมฉันได้คบหาสหายผู้ลามก ทำบาปกรรมไว้มาก เที่ยวคบชู้ภรรยาของชายอื่น เหมือนจะไม่ตาย กรรมนั้นยังไม่ให้ผล เหมือนไฟอันเถ้าปกปิดไว้.

ในกาลต่อมา ด้วยกรรมอื่นๆ กระหม่อมฉันนั้นได้เกิดในวังสรัฐ เมืองโกสัมพี เป็นบุตรคนเดียว ในสกุลเศรษฐี ผู้สมบูรณ์มั่งคั่ง มีทรัพย์มากมาย คนทั้งหลายสักการะบูชาอยู่เป็นนิตย์ ในชาตินั้น กระหม่อมฉันได้คบหาสมาคมมิตรสหายผู้ยินดีในกรรมอันงาม ผู้เป็นบัณฑิต เป็นพหูสูต เขาได้แนะนำให้กระหม่อมฉันรักษาอุโบสถศีลในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ตลอดราตรีเป็นอันมาก กรรมนั้นยังไม่ได้ให้ผล ดังขุมทรัพย์ที่ฝังไว้ใต้น้ำ.

ครั้นภายหลัง บรรดากรรมทั้งหลาย ปรทารกกรรม อันใดที่กระหม่อมฉันได้กระทำไว้ ในมคธรัฐ ผลแห่งกรรมนั้นมาถึงกระหม่อมฉันแล้ว เหมือนดื่มยาพิษอันร้ายแรง ฉะนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ กระหม่อมฉันจุติจากตระกูลเศรษฐีนั้นแล้ว ต้องหมกไหม้อยู่ในโรรุวนรก สิ้นกาลนาน เพราะกรรมของตน กระหม่อมฉันได้ระลึกถึงทุกข์ที่ได้เสวยในนรกนั้น ไม่ได้ความสุขเลย กระหม่อมฉันยังทุกข์เป็นอันมาก ให้สิ้นไปในนรกนั้นนานปี แล้วเกิดเป็นลาถูกเขาตอน อยู่ในภิณณาคตนคร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตฺต ความว่า ข้าแต่ทูลกระหม่อม ชื่อว่า โลกนี้และโลกหน้า และผลแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีและทำชั่ว ย่อมมี แต่สงสารไม่สามารถจะชำระ สัตว์ทั้งหลายให้หมดจดได้ ด้วยว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมหมดจดด้วยกรรมเท่านั้น อลาตเสนาบดี และวีชกะผู้เป็นทาส ย่อมระลึกได้เพียงชาติเดียวเท่านั้น มิใช่แต่ท่านเหล่านั้นเท่านั้นที่ระลึกชาติได้ แม้กระหม่อมฉันก็ระลึกถึง ความที่ตนท่องเที่ยวในอดีตได้ถึง ๗ ชาติ ทั้งย่อมระลึกถึงชาติที่จะพึงไปจากนี้ แม้ในอนาคตถึง ๗ ชาติเหมือนกัน. บทว่า ยา เม สา ความว่า ชาติที่ ๗ ในอดีตของหม่อมฉันก็มีอยู่. บทว่า กมฺมารปุตฺโต ความว่า ในชาติที่ ๗ นั้นหม่อมฉันเกิดเป็นบุตรช่างทอง ในกรุงราชคฤห์ มคธรัฐ. บทว่า ปรทารสฺส เหเฐนฺตา ได้แก่ เบียดเบียนภรรยาของคนอื่น คือ ผิดในภัณฑะที่คนเหล่าอื่นรักษาคุ้มครองไว้. บทว่า อฏฺฐ เพราะกรรมชั่วนั้นที่หม่อมฉันทำในเวลานั้น ไม่ได้โอกาสได้ตั้งเก็บไว้ แต่เมื่อได้โอกาสจึงให้ผล เหมือนไฟอันเถ้าปิดไว้ฉะนั้น. บทว่า วํสภูมิยํ แปลว่า ในวังสรัฐ. บทว่า เอกปตฺโต ความว่า หม่อมฉันได้เป็นบุตรคนเดียว ในตระกูลเศรษฐี มีสมบัติถึง ๘๐ โกฏิ. บทว่า สาตเว รตํ ความว่า ยินดียิ่งในกัลยาณกรรม. บทว่า โส มํ ได้แก่ เขาได้เป็นสหาย ได้ชักนำหม่อมฉันให้ตั้งอยู่ในสิ่งเป็นประโยชน์ คือในกุศลกรรม. บทว่า ตํ กมฺมํ ความว่า กัลยาณกรรมของหม่อมฉันแม้นั้น ยังไม่ได้โอกาสในกาลนั้น ครั้นเมื่อได้โอกาสจึงให้ผล. บทว่า อุทกนฺติเก ความว่า ได้เป็นขุมทรัพย์ฝังไว้ในน้ำ บทว่า ยเมตํ ความว่า ลำดับในบรรดากรรมชั่ว มีประมาณเท่านี้ของหม่อมฉัน กรรมใดที่หม่อมฉัน กระทำแล้วในภรรยาของคนอื่น ในมคธรัฐ. ผลแห่งกรรมนั้นจึงติดตามมาถึงหม่อมฉัน. ถามว่า เหมือนอะไร? แก้ว่า เหมือนบุคคลบริโภคยาพิษ ฉะนั้น. อธิบายว่า กรรมนั้นย่อมถึงหม่อมฉัน เหมือนยาพิษที่ชั่วช้า กล้าแข็ง ร้ายกาจ กำเริบแก่บุคคลผู้บริโภค โภชนะอันมียาพิษ ฉะนั้น. บทว่า ตโต ได้แก่ จากตระกูลเศรษฐีในกรุงโกสัมพีนั้น. บทว่า ตํ สรํ ความว่า หม่อมฉัน เมื่อระลึกถึงทุกข์ที่หม่อมฉันเสวยในนรกนั้น ย่อมไม่ได้รับความสบายใจเลย หม่อมฉันย่อมเกิดแต่ความกลัวเท่านั้น. บทว่า ภินฺนาคเต ความว่า ในภินนาคตรัฐ หรือในนครชื่อว่า ภินนาคตะ. บทว่า อุทฺธตปฺผโล ได้แก่ พืชที่ถูกเขาตอน ก็แพะนั้นได้เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยกำลัง คนทั้งหลายแม้ขึ้นขี่หลังแพะ นำแพะนั้นไปเทียมแพะนั้น แม้ที่ยานน้อย.

พระนางรุจาราชธิดา เมื่อประกาศความนั้น จึงกล่าวว่า
กระหม่อมฉันพาลูกผู้ดีทั้งหลายไปด้วยหลังบ้าง ด้วยรถบ้าง นั่นเป็นผลแห่งกรรม คือ การที่หม่อมฉันคบชู้กับภรรยาของคนอื่น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาตปุตฺตา ได้แก่ บุตรแห่งอำมาตย์ทั้งหลาย. บทว่า ตสฺส กมฺมสฺส ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ การที่หม่อมฉันหมกไหม้อยู่ในมหาโรรุวนรก และการที่หม่อมฉันถูกตอน ในกาลเป็นแพะ ทั้งหมดนั่นเป็นผลของกรรมนั้น คือ กรรมที่หม่อมฉันคบชู้กับภรรยาของคนอื่น.

ก็แล ครั้นหม่อมฉันจุติจากชาติเป็นลานั้นแล้ว ก็ถือปฏิสนธิในกำเนิดลิงในป่า ครั้นในวันที่หม่อมฉันเกิด พวกลิงเหล่านั้นนำหม่อมฉันไปแสดงแก่ลิงผู้เป็นนายฝูง ลิงผู้เป็นนายฝูงกล่าวว่า จงนำบุตรมาให้เรา ดังนี้แล้ว จับไว้มั่นแล้วกัดลูกอัณฑะของลิงนั้น ถึงจะร้องเท่าไรก็ไม่ปล่อย.
เมื่อพระนางรุจาราชธิดาประกาศความนั้น จึงกราบทูลว่า

ข้าแต่พระชนกนาถผู้ปกครองวิเทหรัฐ กระหม่อมฉันจุติจากชาติลานั้นแล้ว ก็ไปเป็นลิงอยู่ในป่าสูง ถูกลิงนายฝูงคนองปากขบกัดลูกอัณฑะ นั่นเป็นผลของการที่เป็นชู้กับภรรยาของผู้อื่น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิลุจฺฉิตผโลเยว ความว่า หม่อมฉันถูกลิงนายฝูงคนองปากในป่านั้น ขบกัดลูกอัณฑะเอาทีเดียว.

เมื่อพระนางรุจาราชธิดาจะทรงแสดงชาติอื่นๆ จึงทูลว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ กระหม่อมฉันจุติจากชาติเป็นลิงนั้นแล้ว ได้เกิดเป็นโค ในทสันนรัฐ. ถูกเขาตอน มีกำลังแข็งแรง. กระหม่อมฉันต้องเทียมยานอยู่สิ้นกาลนาน นั่นเป็นผลของกรรม คือ การที่กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยาผู้อื่น. ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ กระหม่อมฉันจุติจากชาติเป็นโคนั้นแล้ว มาบังเกิดเป็นกระเทย ในตระกูลที่มีโภคสมบัติมาก ในแคว้นวัชชี. จะได้เกิดเป็นมนุษย์ยากจริงๆ. นั่นเป็นผลแห่งกรรม คือ การที่กระหม่อมฉันคบชู้ภรรยาผู้อื่น.

ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ กระหม่อมฉันจุติจากชาติเป็นกระเทยนั้นแล้ว ได้ไปบังเกิดเป็นนางอัปสร ในนันทนวัน ณ ดาวดึงส์พิภพ มีวรรณะน่าใคร่ มีผ้าและอาภรณ์อันวิจิตร สวมกุณฑลแก้วมณี เป็นผู้ฉลาดในการฟ้อนรำขับร้อง เป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกะ. ข้าแต่พระองค์ผู้ครองวิเทหรัฐ เมื่อกระหม่อมฉันอยู่ในดาวดึงส์พิภพนั้น ระลึกชาติแม้ในอนาคตได้อีก ๗ ชาติ ที่กระหม่อมฉันจุติจากดาวดึงส์พิภพนั้นแล้ว จักไปเกิดต่อไป.

กุศลที่กระหม่อมฉันทำไว้ ในเมืองโกสัมพี ตามมาให้ผล. กระหม่อมฉันจุติจากดาวดึงส์พิภพนั้นแล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์. ข้าแต่พระมหาราชา กระหม่อมฉันเป็นผู้อันชนทั้งหลาย สักการะแล้วเป็นนิตย์ ตลอด ๗ ชาติ. กระหม่อมฉันไม่พ้นจากความเป็นหญิงตลอด ๖ ชาติ. ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐชาติที่ ๗ กระหม่อมฉันจักได้เกิดเป็นเทวดาผู้ชาย เป็นเทพบุตร ผู้มีฤทธิ์มาก เป็นผู้สูงสุดในหมู่เทวดา. แม้วันนี้นางอัปสรทั้งหลายก็ยังร้อยดอกไม้เป็นพวงมาลัย อยู่ในนันทนวัน. เทพบุตรนามว่า ชวะ สามีกระหม่อมฉัน ยังรับพวงมาลัยอยู่.

๑๖ ปีในมนุษย์นี้ราวครู่หนึ่งของเทวดา. ๑๐๐ ปีในมนุษย์เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดา. ดังที่ได้กราบทูลให้ทรงทราบมานี้ กรรมทั้งหลายย่อมติดตามไปทุกๆ ชาติ. แม้ตั้งอสงไขย ด้วยว่ากรรมจะเป็นกรรมดี หรือกรรมชั่วก็ตาม (ยังไม่ให้ผลแล้ว) ย่อมไม่พินาศไป.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทสนฺเนสุ แปลว่า ในทสันนรัฐ. บทว่า ปสุ แปลว่า เป็นโค. บทว่า อหุ แก้เป็น อโหสิ แปลว่า ได้เป็นแล้ว. บทว่า นิลุจฺฉิโต ความว่า ในกาลที่หม่อมฉันเป็นลูกโคนั้นเอง พวกเขาได้ตอนพืชของหม่อมฉัน ด้วยคิดว่าจักเป็นที่ชอบใจ ด้วยประการฉะนี้. หม่อมฉันนั้นถูกเขาตอนแล้ว คือเป็นเหมือนคนมีกำลังดีถูกถอนพืช ฉะนั้น. บทว่า วชฺชีสุ กุลมาคโต นี้พระนางรุจาราชธิดาแสดงว่า หม่อมฉันจุติจากกำเนิดโคแล้ว บังเกิดในตระกูลคนผู้มีโภคะมากตระกูลหนึ่งในแคว้นวัชชี. ด้วยบทว่า เนวิตฺถี น ปุมา นี้ท่านกล่าวหมายถึงกระเทย. ภวเน ตาวตึสาหํ ความว่า หม่อมฉันเกิดในภพดาวดึงส์.

บทว่า ตตฺถ ิตาหํ เวเทห สรามิ ชาติโย อิมา ความว่า ได้ยินว่า พระนางรุจานั้นอยู่ในเทวโลกนั้นตรวจดูอยู่ว่า เรามาสู่เทวโลกเห็นปานนี้ มาจากไหนหนอ? เห็นแล้วซึ่งความเกิดในเทวโลกนั้น เพราะจุติจากความเป็นกระเทย ในตระกูลที่มีโภคะมาก ในแคว้นวัชชี. จากนั้น พระนางรุจาราชธิดาตรวจดูว่า เพราะกรรมอะไรหนอ เราจึงบังเกิดในที่อันน่ารื่นรมย์เช่นนี้. เห็นแล้วซึ่งกุศลมีทาน ที่ตนทำแล้วเป็นต้น ทำให้บังเกิดในตระกูลเศรษฐี ในกรุงโกสัมพี. ตรวจดูว่า เราบังเกิดในอัตภาพเป็นกระเทย ในภพอดีตเป็นลำดับ มาแต่ที่ไหน. ดังนี้ ได้รู้แล้วว่า ตนเคยเสวยทุกข์ใหญ่ ในกำเนิดโค ในทสันนรัฐ. เมื่อหวลระลึกถึงชาติต่อจากนั้น ได้เห็นตนถูกตอน ในกำเนิดลิง. เมื่อหวลระลึกชาติถัดจากนั้น จึงหวลระลึกถึงภาวะที่ตนถูกตอนพืชในกำเนิดแพะ ในภินนาคตะรัฐ. เมื่อหวลระลึกถัดจากชาตินั้น ได้ระลึกถึงภาวะที่ตนบังเกิดในโรรุวนรก.

ลำดับนั้น เมื่อพระนางรุจาราชธิดาระลึกถึง ภาวะที่ตนหมกไหม้ในนรก และทุกข์ที่ตนเสวยในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ความกลัวจึงเกิดขึ้น. ลำดับนั้น พระนางรุจาราชธิดา เมื่อหวลระลึกถึงชาติที่ ๖ ว่า เราเสวยทุกข์เห็นปานนี้ เพราะกรรมอะไรหนอ. จึงเห็นกัลยาณกรรมที่ตนกระทำ ในกรุงโกสัมพีในชาตินั้น. แล้วทรงตรวจดู ชาติที่ ๗ ได้เห็นกรรมคือ การคบชู้กับภรรยาคนอื่นที่ตนทำ เพราะอาศัยมิตรชั่ว ในมคธรัฐ. จึงได้รู้ว่า เราเสวยทุกข์ใหญ่นั้น เพราะผลแห่งกรรมนั้น.

ลำดับนั้น พระนางจึงตรวจดูว่า เราจุติจากชาตินี้แล้ว จักบังเกิดในภพไหนในอนาคต. ได้รู้ว่า เราจักบังเกิดเป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกเทวราชนั่นแลอีก ดำรงอยู่ตลอดชีวิต. เมื่อพระนางได้ตรวจดูบ่อยๆ อย่างนี้. ได้ทราบว่าในอัตภาพที่ ๓ จักบังเกิดเป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกเทวราชนั่นแล. ส่วนชาติที่ ๔ และที่ ๕ ก็เหมือนกัน. รู้ว่าเราจักบังเกิดเป็นอัครมเหสีของชวนะเทพบุตร ในเทวโลกนั้นนั่นเอง แล้วตรวจดูถัดจากชาตินั้นไป. รู้ว่าในอัตภาพที่ ๖ เราจุติจากภพดาวดึงส์นี้แล้ว จักบังเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสี ของพระเจ้าอังคติราช. เราจักมีนามว่า รุจา ดังนี้. จึงตรวจดูว่า ถัดจากชาตินั้นจักบังเกิด ณ ที่ไหน. รู้ว่าในชาติที่ ๗ จุติจากชาตินั้นแล้ว จักบังเกิดเป็นเทพบุตรผู้มีฤทธิ์มาก ในภพดาวดึงส์. จักพ้นจากความเป็นหญิง. เพราะเหตุนั้น พระนางรุจาราชธิดาจึงตรัสว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงครอบครองวิเทหรัฐ หม่อมฉันอยู่ที่นั้นระลึกชาติได้ ๗ ชาติ. แม้ในอนาคตจุติจากชาตินี้ไปก็ระลึกได้ ๗ ชาติเหมือนกัน.

บทว่า ปริยาคตํ ความว่าโดยปริยาย ท่องเที่ยวไปมาตามวาระของตน. บทว่า สตฺต ชจฺจา ความว่า พระนางตรัสว่า ๗ ชาติ คือในเทวโลก ๕ ชาติกับชาติที่เป็นกระเทยในแคว้นวัชชี. และในชาติที่ ๖ นี้ พระนางทรงแสดงไว้ว่า หม่อมฉันเป็นผู้อันเขาบูชาสักการะ เป็นนิตย์ตลอด ๗ ชาตินั้น. บทว่า ฉฏฺา ว คติโย นี้ พระนางกล่าวว่า เราจักไม่พ้น ความเป็นหญิง ตลอด ๖ คติเหล่านี้ คือในเทวโลก ๕ คติ และในชาตินี้ ๑ คติ. บทว่า สตฺตมี จ ความว่า จุติต่อจากนั้นแล้ว เป็นชาติที่ ๗. บทว่า สนฺตานมยํ ความว่า มีความสืบต่อที่ตนทำ ด้วยอำนาจขั้วเดียวกันเป็นต้น. บทว่า คนฺเถนฺติ ความว่า เป็นเหมือนสืบต่อด้วยกัน. เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ทุกวันนี้นางบำเรอของเรา ก็ไม่รู้ความจุติของเราในนันทนวัน ย่อมร้อยพวงมาลัย เพื่อประโยชน์แก่เราเท่านั้น. บทว่า โส เม มาลํ ปฏิจฺฉติ ความว่า ดูก่อนมหาราชเจ้า โดยชาติอันเป็นลำดับ เทพบุตรนามว่าชวะ ผู้เป็นสวามีของหม่อมฉัน ย่อมรับพวงดอกไม้ที่หล่นจากต้น.

บทว่า โสฬส ความว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ว่าโดยชาติของหม่อมฉันจนบัดนี้ได้ ๑๖ ปี. แต่กาลประมาณเท่านี้ เหมือนกับกาลครู่หนึ่งของเทวดา ก็เพราะเหตุนั้นหญิงบำเรอเหล่านั้น จึงไม่รู้แม้ถึงการจุติของหม่อมฉัน ยังคงร้อยพวงมาลัย เพื่อหม่อมฉันอยู่เชียว. บทว่า มานุสึ ความว่า อาศัยการนับปีของมนุษย์. บทว่า สรโทสตํ ความว่า เป็น ๑๐๐ ปี (ของมนุษย์) เทวดาทั้งหลายมีอายุยืนอย่างนี้. ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ด้วยเหตุนี้ ขอพระองค์จงทรงทราบปรโลก กรรมดีและกรรมชั่วว่ามีอยู่. บทว่า อนฺเวนฺติ ความว่า กรรมดีและกรรมชั่ว ย่อมติดตามเราไปทุกๆ ชาติอย่างนี้. บทว่า น หิ กมฺมํ วินสฺสติ ความว่า ทิฏฐเวทนียกรรม ย่อมให้ผลในอัตภาพนั้นนั่นเอง. อุปปัชชเวทนียกรรม ย่อมให้ผลในอัตภาพถัดไป ส่วนอปราปรเวทนียกรรมไม่ให้ผล จักไม่พินาศไป. พระนางรุจาราชธิดาทรงหมายเอา อปราปรเวทนีกรรมนั้น. จึงตรัสว่า กรรมจักไม่พินาศไปแล. ดังนี้แล้ว จึงตรัสว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ เพราะผลแห่งกรรมที่หม่อมฉันทำชู้กับภรรยาของคนอื่น. หม่อมฉันจึงหมกไหม้ในนรก แล้วเสวยทุกข์อย่างใหญ่ ในกำเนิดสัตว์เดียรฉาน. ถ้าแม้บัดนี้ พระองค์ทรงเชื่อถ้อยคำของคุณาชีวก จักกระทำอย่างนี้. พระองค์ก็จักเสวยทุกข์ เหมือนที่หม่อมฉันเสวยแล้ว นั่นแล. เพราะเหตุนั้น พระองค์อย่าได้ทรงกระทำอย่างนั้นเลย.

ลำดับนั้น พระนางรุจาราชธิดา เมื่อจะทรงแสดงธรรมให้ยิ่งขึ้นไปแก่พระราชบิดานั้น จึงตรัสว่า
ชายใดปรารถนาเป็นบุรุษทุกๆ ชาติไป ก็พึงเว้นภรรยาผู้อื่นเสีย เหมือนบุคคลล้างเท้าสะอาด. แล้วเว้นจากเปือกตม ฉะนั้น.
หญิงใดปรารถนาเป็นบุรุษทุกๆชาติไป ก็พึงยำเกรงสามี เหมือนนางเทพอัปสร ผู้เป็นบาทบริจาริกายำเกรงพระอินทร์ ฉะนั้น.
ผู้ใดปรารถนา โภคทรัพย์ อายุ ยศและสุขอันเป็นทิพย์ ก็พึงเว้นบาปทั้งหลาย ประพฤติแต่สุจริตธรรม ๓ อย่าง. สตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม ควรเป็นผู้ไม่ประมาทด้วยกาย วาจา ใจ มีปัญญาเครื่องพิจารณาเพื่อประโยชน์ของตน.
นรชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกนี้ ที่เป็นคนมียศ มีโภคทรัพย์บริบูรณ์ทุกอย่าง. นรชนเหล่านั้นได้สั่งสมกรรมดีไว้ ในปางก่อนแล้วโดยไม่ต้องสงสัย. สัตว์ทั้งปวงล้วนมีกรรมเป็นของตัว.

ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์ทรงพระราชดำริด้วยพระองค์เองเถิด. ข้าแต่พระจอมชน พระสนม (ผู้ทรงโฉมงดงาม) ปานดังนางเทพอัปสร ผู้ประดับประดา คลุมกายด้วยตาข่ายทอง เหล่านี้. พระองค์ทรงได้มา เพราะผลแห่งกรรมอะไร.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โหตุ แปลว่า เพื่อเป็น. บทว่า สพฺพสมนฺตโภคา แปลว่า มีโภคะทุกอย่างบริบูรณ์. บทว่า สุจิณฺณํ ได้แก่ สั่งสมไว้ด้วยดี คือกระทำกัลยาณกรรม. บทว่า กมฺมสฺสกา เส ความว่า มีกรรมเป็นของแห่งตน คือเสวยผลของกรรมที่ตนทำนั่นเอง. ไม่ใช่กรรมที่มารดาบิดาทำแล้ว ให้ผลแก่บุตรธิดา. ไม่ใช่กรรมที่บุตรธิดาเหล่านั้นทำแล้ว ให้ผลแก่มารดาบิดา. กรรมที่คนนอกนั้นกระทำ จะให้ผลแก่คนนอกนั้นอย่างไร? ศัพท์ว่า อิงฺฆ เป็นนิบาต ใช้ในอรรถว่า ประท้วง. บทว่า อนุจินฺเตสิ แปลว่า พึงคิดบ่อยๆ. บทว่า ยา เม อิมา ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ อันดับแรกพึงคิด ด้วยตนเองดังนี้ว่า หญิงที่บำรุงบำเรอพระองค์ ๑,๖๐๐ นางนี้นั้น พระองค์นอนหลับได้ หรือได้มาเพราะกระทำการปล้นในหนทาง หรือตัดช่องย่องเบาเป็นต้นได้มา หรือได้มาเพราะอาศัยกัลยาณกรรมเป็นต้น.

พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศความนั้น จึงตรัสว่า
พระนางรุจาราชกัญญายังพระเจ้าอังคติราชชนกนาถ ให้ทรงยินดี พระราชกุมารีผู้มีวัตรอันดีงาม กราบทูลทางสุคติแก่พระชนกนาถ ประหนึ่งบอกทางให้แก่คนหลงทาง และได้กราบทูลข้อธรรมถวาย โดยนัยต่างๆ ด้วยประการฉะนี้แล.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิจฺเจวํ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระราชกัญญานั้น ทรงยังพระราชบิดา ให้ทรงยินดีด้วยถ้อยคำ อันไพเราะเห็นปานนี้ ด้วยประการฉะนี้. ทูลบอกทางสุคติแด่พระชนกนาถนั้น เหมือนคนบอกหนทางแก่คนหลงทาง ฉะนั้น. และเมื่อจะทรงกล่าวธรรมแก่พระชนกนาถ นั่นแหละได้ ทรงกล่าวสุจริตธรรมด้วยนัยต่างๆ. บทว่า สุพฺพตา แปลว่า ผู้มีวัตรอันดีงาม.

พระนางรุจาราชธิดาได้ทูลเล่าถึงชาติที่ตนเกิดมาแล้วในอดีต และแสดงธรรมถวายแด่พระชนกนาถ ตั้งแต่เช้าตลอดคืนยังรุ่ง แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระองค์อย่าทรงถือถ้อยคำของคนเปลือยกาย ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิเลย โลกนี้มี โลกหน้ามี สมณพราหมณ์มี ผลของความดีความชั่วก็มี ขอพระองค์จงทรงเชื่อฟังคำของกัลยาณมิตร เช่นกระหม่อมฉันกล่าวนี้เถิด อย่าได้ทรงแล่นไป ในที่มิใช่ท่าเลย แม้เมื่อพระนางรุจาราชธิดา กราบทูลถึงอย่างนี้ ก็ไม่อาจปลดเปลื้องพระชนกจากมิจฉาทิฏฐิได้ ส่วนพระเจ้าอังคติราชทรงสดับวาจาอันไพเราะของพระราชธิดานั้นแล้ว ทรงปลื้มพระราชหฤทัย. จริงอยู่ มารดาบิดาย่อมรักเอ็นดูถ้อยคำของบุตรที่รัก แต่คำพูดนั้นหาทำให้บิดาละมิจฉาทิฏฐิได้ไม่ แม้ชาวพระนคร ก็ลือกระฉ่อนกันว่า พระนางรุจาราชธิดาทรงแสดงธรรม หวังจะให้พระชนกละมิจฉาทิฏฐิ มหาชนพากันดีใจว่า พระราชธิดาเป็นบัณฑิต ปลดเปลื้องมิจฉาทิฏฐิพระชนกได้แล้ว จักถึงความสวัสดีแก่ชาวพระนครทั้งหลาย.

พระนางรุจาราชธิดา เมื่อไม่อาจปลุกพระชนกให้ตื่นได้ ก็ไม่ทรงละความพยายามเลย ทรงดำริหาช่องทางต่อไปว่า จักหาอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง มากระทำความสวัสดีแก่พระชนก แล้วประคองอัญชลีกรรมขึ้นเหนือพระเศียร นมัสการทิศทั้ง ๑๐ แล้วทรงอธิษฐานว่า ในโลกนี้ย่อมมีสมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรม มีท้าวโลกบาล ท้าวมหาพรหมเป็นผู้บริหารโลก ข้าพเจ้าขอเชิญท่านเหล่านั้นมาปลดเปลื้องมิจฉาทิฏฐิของพระชนกนาถของข้าพเจ้า ด้วยกำลังตน เมื่อพระคุณของพระชนกนาถไม่มี ขอเชิญด้วยคุณด้วยกำลัง และด้วยความสัจของข้าพเจ้า จงมาช่วยปลดเปลื้องความเห็นผิดนี้ จงได้มาทำความสวัสดีแก่สากลโลก.

ขอขอบคุณ www.84000.org

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

41
รุ่น 4 ด้านหลัง 29 ยอดเลยนะครับ ด้านหน้าเสือสักตัว :002:
ยอดจองถล่มทลายแน่ :057:

ฮาดีนี่ คุณ คิดได้ไง

42
คาถาหลวงปู่ทวด ให้รวยๆๆๆๆๆ (พ่อท่านเลิบ วัดทองตุ่มน้อย จ.ชุมพร)

คาถาบูชาสมเด็จพระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด วัดช้างให้ จ.ปัตตานี
(นะโม 3 จบ)
นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา

คาถาหลวงปู่ทวดให้รวย
พุทธะนิมิต มหาเมตตา สิทธิพรชัย ลาภหลั่งไหลมา โสมานิอึ


พ่อท่านเลิบ เผยพระคาถาที่หลวงปู่ทวด นิมิตมาบอก
"หมั่นท่องไว้ โชคลาภ เงินทอง ชื่อเสียง สมหวังดั่งปราถนา"

พ่อท่านเลิบ วัดทองตุ่มน้อย จ.ชุมพร
พระมหาเถราจารย์รูปสุดท้าย ที่ร่วมพิธีปลุกหลวงปู่ทวด รุ่นแรก ปี2497

ที่มา : นิตยสาร ลานโพธิ์



บทสวดคาถาอื่นๆ เพิ่มเติม

**************************************************************************************************************

คาถาบูชาสมเด็จองค์ปฐม
(ตั้งนะโม 3 จบ)
นะโม กาเยนะ วาจายะ เจตะสา วา วะชิรัง นามะ ปะฏิมังอิทธิธรรมะปาฏิหาริยะกะรัง
สมเด็จพ่อองค์ปฐมต้นพุทธะรูปัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวาอะหัง วันทามิ สัพพะโส สะทา โสตถี ภะวันตุ เม


คาถาแผ่เมตตาขอบารมีสมเด็จองค์ปฐม
นะโมพระพุทธสิกขีพระพุทธเจ้าขอได้โปรดดลบันตาลให้สรรพสัตว์ทั้ง 3 โลกได้หลุดพ้นจากภัยพิบัติวัฏฏสงสารโดยสิ้นเชิง
ด้วยพระบารมีมิอาจประมาณลูกขอนอบน้อมนมัสการด้วยจิตใจ ขอให้ลูกมีจิตสะอาดสว่างใสหลุดพ้นไซร้สู่บ้านนิพพานเทอญ สัมปะจิตฉามิ (อย่างน้อย 9 จบ)


*********************************************************************************************

คาถาบูชาสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร
(นะโม 3 จบ)
โอมศรีศรี พรหมรังสี นามะเตโช มหาสัมมะโณ มหาปัญโญ มหาลาโภ
มหายะโส สัพพะสิทธิ "ภะวันตุเม" นะโมโพธิ สัตโต พรหมรังสี
(ถ้าสวดให้ผู้อื่นให้สวดเป็น "ภะวันตุเต" แต่ถ้าสวดให้ตนเองให้สวดเป็น "ภะวันตุเม" )


ที่มา : พระอาจารย์บุญส่ง อุปสโม วัดทรงเมตตาวนาราม ม.6 ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

*********************************************************************************************

พระครูบาเจ้าศรีวิชัย วัดบ้านปาง จ.ลำพูน
(นะโม ๓ จบ)
ศรีวิชัยชะนะ มหาเถโร สัพพะลาโภ นิรันดร์ตรัง ตระมะหัง สังฆัง สิระสา นะมามิ

*********************************************************************************************

พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร
คาถาพระพุทธเจ้า 5 องค์ชนะมาร

(นะโม ๓ จบ)
ปัญจะมาเร ชิโน นาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง
จะตุสัจจัง ปะกาเสติ ธัมมะจักกัง ปะวัตตะยิ
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม ชะยะมังคะลัง


*********************************************************************************************

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา : น้อมระลึกถึงปู่ดู่แล้วว่าคาถาดังนี้
(นะโม 3 จบ)
นะโม โพธิสัตโต พรหม ปัญโญ

บทสวดมหาจักรพรรดิ (พระพุทธนิมิตรวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ)
(นะโม 3 จบ) กราบ 3 ครั้ง
นะโมพุทธายะ พระพุทธะ ไตรรัตนะญาณ
มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา
พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ
พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา
อัคคีทานัง วะรังคันธัง สีวลี จะมหาเถรัง
อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย
อะหังวันทามิ สัพพะโส
พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ
ขอสิ่งที่ข้าพเจ้าอธิษฐาน จงศักดิ์สิทธิ์ สำเร็จเป็นจริงโดยฉับพลันทันใจทุกประการ
อิมัง สัจจะวานัง อธิษฐามิ พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ


(สวดตามกำลังของแต่ละวัน อาทิตย์ 6 จันทร์ 15 อังคาร 8 พุธ 17 พฤหัส 19 ศุกร์ 21 เสาร์ 10)

ที่มา : Watthummuangna วัดถ้ำเมืองนะ

*********************************************************************************************

คาถาบูชาพระพุทโธน้อย คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม
(นะโม 3 จบ)
พุทธะปูชา มะหาเตชะวันโต ธัมมะปูชา มะหาปัญโญ สังฆะปูชา มะหาโภคะวะโห ติโรกะนาถัง อัคคีปุปผัง อะหังคีเน สีสิตะสัพพะโก ธาเรนโต ลักกะตะยัง ปะระมัง สุขัง

พระคาถาพระสิวลีโภคทรัพย์ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม
(นะโม 3 จบ)
นะชาลีติ ฉิมพาลี จะ มหาเถโร สุวรรณะมามา โภชนะมามา วัตถุวัตถามามา พลาพลังมามา โภคะมามา มหาลาโภมามา สัพเพชะนา พหูชะนา ภวันตุเม ฯ.
พระคาถานี้คุณแม่บุญเรือนได้จากสมาธิเมื่อวันศุกร์ที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๐
ท่านให้สวดตามกำลังวันเพื่อบูชาพระสิวลีมหาเถระหรือพระฉิมพลีจะเป็นมหาลาภ มหาโชค มหาโภคทรัพย์อย่างยิ่ง
กำลังวันมีดังนี้ วันอาทิตย์ 6 วันจันทร์ 15 วันอังคาร 8 วันพุธ 17 วันพฤหัสบดี 19 วันศุกร์ 21 และวันเสาร์ 10 เพิ่มเติม ราหู 12,พระเกตุ 9

*********************************************************************************************

ปล.บทสวดคาถาที่ได้โฟสต์เพื่อเป็นธรรมทาน ถ้าหากซ้ำหรือผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

43
การให้อภัย ไม่ใช่ยอมแพ้ ไม่ใช่เสียเปรียบ

ยอมกันเสียบ้าง ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง การยอมแพ้อาจหมายถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ คือ การให้อภัย การให้อภัย ดูเหมือนว่า เรายอม ไม่ติดใจ ไม่เอาเรื่อง แล้วเขาจะได้กำเริบ ส่วนเราเสียเปรียบ ความจริงแล้วไม่ใช่ เรากำลังบำเพ็ญบารมี คือ"อภัยทาน" อันเป็นทานบารมีที่สูงส่ง

บางคนรักมากหลงมาก เพราะเขาดี ก็ปรารถนาพบกันทุกชาติ หรือต้องการพบกันอีก บางคนก็อธิษฐานไม่ขอพบขอเจอกันอีกและไม่ให้อภัยผลของการไม่อภัย ก็เหมือนการผูกสิ่งที่เราไม่ชอบไว้กับตัวตลอดเวลา คล้ายๆ ผูกเวร จองเวร ไม่มีที่สิ้นสุด

การให้อภัย เป็นการฝึกจิต อบรมจิต เป็นการชำระใจ เป็นการยุติปัญหาต่างๆ เป็นการแสดงกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่การเสียหน้าหรือเสียรู้ ไม่ใช่การได้เปรียบเสียเปรียบ แต่เป็นการชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีออกจากใจ เหมือนล้างภาชนะที่สกปรก ฉันนั้น

การให้อภัยพูดง่ายแต่ทำยาก แม้จะยากเพราะใจไม่อยากทำ ก็ต้องฝืนใจ เพราะเมตตาและการให้อภัย เป็นคุณประโยชน์แก่เรา เป็นความสงบร่มเย็นของเราเอง ไม่ใช่ของใครอื่น

การให้อภัย จึงเป็นชัยชนะของผู้มีปัญญา

สาธุ

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ด พลังจิตด้วยครับ

44
การเสียสละ (คำสอนดีๆ จากพระองค์หนึ่ง)


คุณธรรม ความดีงาม ที่พระพุทธเจ้าทรงมอบให้พุทธศาสนิกชนทุกๆคนไว้เจริญ มีอยู่ ๔ ประการด้วยกัน คือ

๑. ศรัทธาความเชื่อ
๒. จาคะการเสียสละ
๓. ศีลความประพฤติที่ดีงาม
๔. ปัญญาความรู้ความฉลาด

คุณธรรมทั้ง ๔ ประการนี้ เป็นคุณสมบัติของพุทธศาสนิกชนที่พระพุทธเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ ให้ผู้ที่มีศรัทธาความเชื่อ ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา นำไปปฏิบัติ เพื่อความสุข ความเจริญรุ่งเรือง ความเป็นสิริมงคล ความปราศจากความทุกข์ ความเสื่อมเสีย ความหายนะทั้งหลายเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงศึกษา ได้ทรงปฏิบัติ ทรงบรรลุเห็นอย่างชัดแจ้งแล้ว จึงได้นำเอามาสั่งสอนให้กับผู้ที่มีศรัทธาความเชื่อมีปัญญาความฉลาด ที่สามารถเห็นถึงผลที่ดีที่งามที่จะตามมาจากการปฏิบัติตามที่พรพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนและปฏิบัติมา

ถ้าเป็นพุทธศาสนิกชน ก็ควรคำนึงถึงคุณสมบัติทั้ง ๔ ประการนี้ ถ้ายังไม่มีคุณสมบัติทั้ง ๔ ประการนี้ ก็ยังไม่ถือว่าเป็นพุทธศาสนิกชนที่แท้จริง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็จะไม่ได้รับอานิสงส์ผลประโยชน์จากการเป็นพุทธศาสนิกชน แต่ถ้าได้เจริญคุณธรรมทั้ง ๔ ประการนี้ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ก็จะได้รับอานิสงส์อันดีงาม อันประเสริฐของพระพุทธศาสนา ตั้งแต่มนุษยสมบัติขึ้นไป จนถึงเทวสมบัติ พรหมสมบัติ และอริยสมบัติ คือ มรรคผลนิพพาน ซึ่งล้วนเกิดจากการเจริญคุณธรรมทั้ง ๔ ประการนี้

ดังนั้นในทุกๆวันพระหรือทุกๆครั้งที่เรามาวัดกัน ก็จะมีพิธีกรรมที่เสริมสร้างให้เจริญในคุณธรรมทั้ง ๔ เช่น เมื่อมาที่วัดแล้ว ก็จะได้บูชาพระรัตนตรัย เป็นการตอกย้ำศรัทธาความเชื่อ ความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ในพระพุทธ ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ตอกย้ำความไม่สงสัยในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติ เป็นการเจริญศรัทธา หลังจากนั้นก็มีการทำบุญถวายทาน จตุปัจจัยไทยทาน สังฆทาน เป็นการเจริญจาคะคือการเสียสละ ต่อจากนั้นก็มีการสมาทานศีล เป็นการเจริญศีล ความประพฤติดีทางกาย ทางวาจา แล้วก็มีการแสดงธรรม เป็นการเจริญปัญญาความรู้ ความฉลาด

นี่แหละคือคุณธรรมทั้ง ๔ ประการ ที่พุทธศาสนิกชนทุกครั้งที่มาวัดจะได้เจริญ เมื่อได้เจริญแล้ว ความสุขความเจริญ ความหลุดพ้นจากความทุกข์ ความวุ่นวายใจ ย่อมเป็นผลที่จะปรากฏขึ้นมาตามลำดับแห่งการปฏิบัติ จึงเป็นสิ่งที่ควรคำนึงอยู่เสมอ ควรเจริญอยู่เสมอ ไม่ว่าจะมาที่วัดหรือไม่ก็ตาม เพียงแต่ว่าเวลามาที่วัดจะสะดวกกว่า เพราะมีกิจกรรมเหล่านี้เป็นเครื่องส่งเสริม ให้ได้เจริญคุณธรรมเหล่านี้

แต่ถ้าไม่ได้มาที่วัด ก็ขอให้มีสติรำลึกรู้ถึงคุณธรรมทั้ง ๔ ประการนี้ แล้วพยายามเจริญให้มากอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตำบลใด เวลาใด เมื่อถึงเวลาที่ควรเจริญคุณธรรมเหล่านี้ ก็ควรเจริญไป ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว ความเจริญรุ่งเรือง ก็จะเป็นไปตามลำดับ ความเสื่อมก็จะลดน้อยถอยลงไป ความทุกข์ ความวุ่นวายใจก็จะค่อยๆหมดไปๆ จนในที่สุดก็จะไม่มีความทุกข์เหลืออยู่ภายในใจเลย


นั่นก็เป็นเพราะว่าได้ประพฤติปฏิบัติตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้

ซึ่งสรุปลงได้ ๓ ประการ ด้วยกัน คือ

๑. ละการกระทำบาปทั้งปวงเสีย
๒. ทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อม
๓. ชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด


นี่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เป็นหัวใจของคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ที่ได้มาตรัสรู้ธรรมในโลก แล้วนำธรรมนี้มาสั่งสอนให้กับสัตว์โลก เพราะธรรมนี้เป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง ความเป็นสิริมงคล ความหมดทุกข์หมดภัย หมดความเศร้าโศกเสียใจทั้งหลายได้อย่างแน่นอน ได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงเป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ จะทรงสั่งสอนพุทธศาสนิกชนทั้งหลายให้ปฏิบัติ

ไม่ว่าจะมาตรัสรู้ในเวลาไหนก็ตาม พุทธศาสนิกชนเมื่อได้ฟังธรรมแล้ว ก็จะเกิดศรัทธาความเชื่อขึ้นมา ซึ่งเป็นคุณสมบัติเบื้องต้นของพุทธศาสนิกชนที่เชื่อว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กิเลสตัณหาเป็นพิษเป็นภัยกับใจ ควรชำระ ควรกำจัด ไม่ควรปล่อยให้หลงเหลืออยู่ เมื่อมีความเชื่อในธรรม ก็นำไปปฏิบัติ เช่น การทำความดีทั้งหลาย ก็คือการเสียสละนี้เอง สละความสุข สละประโยชน์ส่วนตนให้กับผู้อื่น แบ่งปันความสุขและประโยชน์ให้กับผู้อื่น

การเสียสละก็มีอยู่หลายระดับ ระดับธรรมดาทั่วๆไป ถึงระดับสูงสุด ระดับทั่วๆไป ก็อย่างที่พวกเราทำกัน เรามีอะไรที่เป็นส่วนเกิน เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น ถ้าไม่มีก็ไม่เดือดร้อน เช่น ความสุขบางอย่าง ประโยชน์บางอย่าง สมบัติข้าวของบางอย่างที่เรามีอยู่ ถึงแม้ไม่มีก็ไม่เดือดร้อน เราก็เสียสละให้กับผู้อื่นไป อย่างนี้เป็นการเสียสละธรรมดาๆ ส่วนการเสียสละขั้นอุกฤษฏ์ ขั้นสูงสุดก็คือ ยอมเสียสละแม้ในสิ่งที่มีความจำเป็นต่อความสุขของเรา ต่อชีวิตของเรา แต่เพราะใจมีความแน่วแน่ต่อการบำเพ็ญคุณธรรมข้อนี้ ก็พร้อมที่จะเสียสละ แม้แต่ชีวิตก็สละได้ นี่คือลักษณะของการเสียสละขั้นสูงสุด

ดังที่พระพุทธองค์ทรงสอนให้เสียสละแม้แต่สมบัติ แม้แต่อวัยวะ แม้แต่ชีวิต เพื่อรักษาธรรม คือ จาคะนี้ ซึ่งเป็นธรรมที่ประเสริฐอย่างยิ่ง ผู้ใดได้เจริญแล้ว ความเจริญในใจย่อมปรากฏขึ้นมา ย่อมนำไปสู่ความสำเร็จอันสูงสุด อย่างที่พระพุทธเจ้าของเราได้บำเพ็ญมาในแต่ละภพ ในแต่ละชาติ ซึ่งเมื่อฟังแล้วก็อาจจะคิดว่า เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ ว่าจะเป็นไปได้ ที่สามารถสละทุกสิ่งทุกอย่างได้ แม้แต่ชีวิต เพื่อให้ได้มาในธรรมที่ประเสริฐที่สุด คือการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง


พระพุทธเจ้าของเราได้บำเพ็ญมาแล้วในแต่ละภพในแต่ละชาติ เราก็ได้ยินได้ฟังมา สมัยเป็นพระเวสสันดรก็สละราชสมบัติออกบวช สละลูก สละภรรยาเพื่อคุณธรรมนั่นเอง และเมื่อมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็ได้สละอีกเหมือนกัน เพราะนิสัยนี้ได้ถูกปลูกฝังมาจนเรียกว่า เป็นสันดานก็ได้ แต่เป็นสันดานฝ่ายดี เรียกว่าเป็นอริยะสันดาน ผู้ใดถ้าได้เจริญจาคะการเสียสละมาอย่างสม่ำเสมอแล้ว จะเห็นว่าการเสียสละไม่เป็นความทุกข์เลย แต่เป็นความสุขใจอย่างยิ่ง ถ้าไม่เชื่อลองเสียสละในสิ่งที่รัก ที่หวง ที่ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ถ้าลองได้เสียสละแล้ว จะได้สัมผัสกับความสุขที่ไม่เคยมาปรากฏขึ้นในใจเลย เพราะสิ่งที่รัก ที่ชอบ ที่หวงแหน ไม่ได้ทำให้ใจเบา ให้ใจสบาย แต่กลับเป็นเครื่องผูกรัดใจ ให้มีความคับแค้น ความคับแคบ ความเห็นแก่ตัว ความเสียดาย แต่ถ้าได้สละสิ่งที่รัก สิ่งที่สงวนมากที่สุดได้ ได้ชนะความหวงแหน ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นๆแล้ว ใจจะคลายออก จะโล่ง จะเบา จะมีความสุขอย่างยิ่ง

นี่แหละเป็นเหตุที่ทำให้คนอย่างพระพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย สามารถเสียสละในสิ่งที่พวกเรายังไม่กล้า ยังไม่สามารถที่จะสละได้ เพราะเรายังไม่เคยได้สัมผัสกับผลที่ประเสริฐ ที่จะปรากฏขึ้นในใจของเรา เวลาที่ได้เสียสละในสิ่งที่รัก ที่หวงแหน เราจะพบกับความสุขใจ ความเบาใจ ความภูมิใจ ที่ไม่เคยพบมาก่อนในโลกนี้ ในชีวิตนี้เลย และถ้าได้ลองทำอย่างนี้ไปเพียงครั้งเดียวแล้ว ก็จะเกิดความผูกพัน เกิดความยินดีที่จะทำอย่างนี้ต่อไปอีก แล้วชีวิตของเราก็จะมีแต่ความสุข ความสบายใจมากขึ้นตามลำดับ

ความทุกข์ใจของเราก็ไม่ได้เกิดจากอะไร ก็เกิดจากความหลงที่ให้ไปยึดไปติดกับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือบุคคล เมื่อไปยึดไปติดแล้ว ใจก็มีความเครียดกับสิ่งเหล่านั้น เครียดจากความห่วง จากความเสียดาย จากความหวงแหนในสิ่งนั้นๆ แทนที่จะมีความสุข กลับต้องมีความทุกข์กับสิ่งเหล่านั้น ไม่เชื่อลองสำรวจดูในตัวของเรา ในใจของเรา กับสิ่งต่างๆที่เรามีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลก็ดี หรือเป็นสิ่งของต่างๆก็ดี ว่าเรามีความโล่งใจ เบาใจกับสิ่งเหล่านั้นหรือไม่ หรือมีแต่ความห่วงใย มีแต่ความกังวลใจ มีแต่ความเครียด


ถ้าพิจารณาดูจะเห็นว่า เรามีแต่ความทุกข์กับสิ่งต่างๆที่เรามีอยู่ทั้งสิ้น ความสุขที่ได้รับจากสิ่งเหล่านั้น เป็นเพียงความสุขเล็กๆน้อยๆ และเมื่อได้สัมผัสแล้วไม่นาน ก็เกิดความชินชาจนไม่เห็นความสุขของสิ่งนั้นๆเหลืออยู่เลย มีแต่ความหวง ความห่วง ความยึดติดอยู่ในสิ่งนั้นๆ ทำให้เกิดความคับแค้นใจ ความวุ่นวายใจ ไม่รู้จักจบจักสิ้น

ไม่เชื่อลองพิจารณาดู ทุกวันนี้ทุกข์กับอะไร ก็ทุกข์กับสมบัติที่มีอยู่นั่นแหละ ทุกข์กับครอบครัว ทุกข์กับสามี ทุกข์กับภรรยา ทุกข์กับลูกเต้า ทุกข์กับทรัพย์สมบัติต่างๆที่มีอยู่ เพราะเมื่อมีสิ่งเหล่านี้แล้ว ก็ต้องคอยดูแลรักษา ทำให้ไม่รู้จักพึ่งตัวเอง ไม่รู้จักอยู่โดยปราศจากสิ่งเหล่านี้ ทั้งๆที่สามารถอยู่ได้โดยที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้ ไม่มีสามี ไม่มีภรรยา เราก็อยู่ได้ ไม่มีลูก เราก็อยู่ได้ ไม่มีสมบัติมากมายก่ายกองเกินความจำเป็น เราก็อยู่ได้ แต่เราไม่เคยอยู่แบบนั้นเลย เพราะว่าตลอดเวลาภายในหัวใจของเรา มีแต่ความหลง มีแต่ความโง่เขลาเบาปัญญา คอยหลอกให้เรากลายเป็นคนพิการไป คือ ไม่ให้พึ่งตัวเราเอง ไม่ให้เราหาความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ในตัวของเรา ไม่ให้มีความมักน้อยสันโดษ มีความพอใจยินดีกับสิ่งที่มีอยู่ กลับสร้างความหิวกระหาย ความอยาก ให้เกิดขึ้นตลอดเวลา จึงทำให้เราต้องดิ้นรนออกไปหาสิ่งต่างๆภายนอกตัวเรา ไปหาสมบัติข้าวของ หาบุคคลต่างๆ เพราะคิดว่าเมื่อได้สิ่งเหล่านี้แล้ว จะมีความสุข จะไม่มีความทุกข์กัน

แต่เมื่อมีแล้ว ก็มีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความกังวล เพราะเมื่อมีแล้ว ก็อาศัยสิ่งเหล่านี้ไว้ให้ความสุขเล็กๆน้อยๆกับเรา แต่ในขณะเดียวกัน เราก็กลายเป็นคนพิการไป ถ้าเกิดวันใดวันหนึ่งไม่มีสิ่งที่เคยมี เคยใช้อยู่ ก็จะมีความทุกข์อย่างมาก บางครั้ง บางคนอาจจะทนอยู่ไม่ได้ เมื่อไม่มีสิ่งเหล่านั้น ถึงกับทำร้ายชีวิตของตนไปในที่สุด ก็เพราะปล่อยตัวเองให้ไปยึดไปติด ไปพึ่งพาอาศัยสิ่งภายนอกมาให้ความสุขกับตนนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เวลาไม่มีสิ่งเหล่านั้นมาให้ความสุข ก็เกิดความทุกข์ จนทนอยู่ต่อไปไม่ได้ แต่ถ้าได้ศึกษา ได้ยินได้ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งทรงสอนว่า ความสุขที่ประเสริฐ ความสุขที่เลิศนั้น อยู่ในตัวของเราแล้ว อยู่ในใจที่สงบ ใจจะสงบได้ ก็จะต้องปล่อยวาง ไม่ไปพึ่งพาอาศัยสิ่งต่างๆภายนอก ยกเว้นสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ก็คือปัจจัย ๔

ปัจจัย ๔ เป็นสิ่งที่ต้องมี ถ้าไม่มีแล้วร่างกายนี้ ชีวิตนี้ ย่อมอยู่ไปไม่ได้ แต่ความจำเป็น คือความต้องการของร่างกายในปัจจัย ๔ ก็มีไม่มาก เราก็รู้ๆกันอยู่ ถ้ารู้จักความมักน้อยความสันโดษแล้ว ก็จะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปดิ้นรนหาปัจจัย ๔ มาเกินความจำเป็น ให้เหนื่อยยากไปเปล่าๆ เพราะอาหารก็ดี ที่อยู่อาศัยก็ดี เครื่องนุ่งห่มก็ดี ยารักษาโรคก็ดี ไม่จำเป็นจะต้องเป็นของราคาแพงๆ ถึงจะมีคุณค่ากับร่างกาย อาหารก็มาจากที่เดียวกัน มาจากตลาด แล้วก็เอามาทำให้เรารับประทาน ราคาจะสูงหรือต่ำก็อยู่ที่สถานที่ที่นำมาขาย ถ้าไปกินอาหารในร้านที่มีการตกแต่ง มีค่าใช้จ่ายสูง อาหารก็จะแพง ถ้าไปซื้ออาหารมาทำรับประทานที่บ้าน ก็เป็นอาหารเหมือนกัน เมื่อรับประทานเข้าไปก็ให้ความอิ่ม รักษาชีวิตให้อยู่ได้ต่อไปเหมือนกัน

ความแตกต่างกันอยู่ตรงที่ราคา ถ้าของหรูหราก็ต้องเสียเงินมาก แล้วเงินก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่งอกมาจากตัวเรา เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องออกไปหากัน เมื่อใช้มาก ก็ต้องหามาก ก็ต้องเหนื่อยมาก ถ้าใช้น้อยก็ไม่ต้องดิ้นรนมาก เราก็หามาน้อยๆพอใช้เท่าที่จำเป็น ปัญหาต่างๆที่เกิดจากการออกไปทำมาหากินก็มีไม่มาก ความสุขกลับมีมากกว่า ความสุขทางจิตใจของคนที่ใช้เงินน้อย จะมีมากกว่าของคนที่ใช้เงินมาก เพราะคนใช้เงินน้อยไม่มีความกดดัน ที่จะต้องคอยไปหาเงินมามากๆ มีอะไรก็ใช้ไปตามมีตามเกิด อย่างนี้มีความเบาใจ มีความสบายใจ มีความสุขใจ

นี่แหละคือความสุขที่แท้จริง อยู่ที่ใจของเรา อยู่ที่การกระทำของเรา อยู่ที่ว่ารู้จักสร้างความสุขให้กับใจหรือไม่ ส่วนใหญ่มักจะไปสร้างความทุกข์ให้กับใจด้วยความหลง ทำให้เกิดความอยากความโลภ คิดว่าถ้ามีอะไรมากๆแล้ว จะมีความสุขมาก แต่ไม่เคยหันมาดูที่ใจเลยว่า วันๆหนึ่งใจมีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความกังวล มีแต่ความห่วงใย กินไม่ได้นอนไม่หลับ

เศรษฐีบางคนมีเงินทองเยอะแยะ สามารถซื้ออาหารราคาแพงๆมารับประทานได้ แต่ใจกลับไม่มีความสุขกับการรับประทานอาหารนั้นเลย เพราะในขณะที่รับประทานไป ก็มีแต่ความกังวล ห่วงเรื่องดอกเบี้ยบ้าง เรื่องหนี้ที่จะต้องจ่ายบ้าง เรื่องเงินลูกหนี้ที่จะต้องไปตามเก็บบ้าง ล้วนแต่เป็นปัญหาคาราคาซังอยู่ภายในใจ สู้คนยากจนอย่างพระพุทธเจ้า พระอรหันตสาวกไม่ได้ ท่านไม่มีปัญหาเหล่านี้อยู่ในใจของท่านเลย เพราะท่านไม่มีลูกหนี้ ไม่มีเจ้าหนี้ ไม่มีดอกเบี้ยที่จะต้องคอยมากังวล ที่จะต้องคอยผ่อนส่ง วันๆหนึ่งใจของท่านมีแต่ความว่าง เพราะไม่มีสมบัติอะไร ไม่มีเรื่องราวอะไร ที่จะต้องไปห่วง ไปกังวล วันๆหนึ่งก็เพียงแต่มีหน้าที่ดูแลร่างกาย ตอนเช้าก็ออกไปบิณฑบาตหาอาหารมา ตามมีตามเกิด ได้อะไรก็พอใจกับที่ได้มา ก็รับประทานไป ก็อิ่มเหมือนกัน แต่ใจของท่านซิเป็นใจที่เบา เป็นใจที่สุข เป็นใจที่ว่างจากความทุกข์ทั้งปวง เพราะใจได้ถูกชำระด้วยปัญญาแล้ว

ปัญญานี้แหละคือสิ่งที่จะมาทำลายมลทิน ความสกปรก ความเศร้าหมองที่เกิดจากกิเลสตัณหาทั้งหลาย
พวกเราแทนที่จะทำตามอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทำ และได้ทรงปฏิบัติมาแล้ว กลับไม่ได้ทำกัน กลับไปส่งเสริมความเศร้าหมอง ส่งเสริมความสกปรกในใจให้มีมากยิ่งขึ้นไป ด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ด้วยความอยากต่างๆ

ขอให้จำไว้ว่า ทุกครั้งที่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง มีความอยาก ไม่ว่าจะเป็นความอยากในกาม ความอยากมีอยากเป็น หรือความอยากไม่มีอยากไม่เป็นก็ตาม ก็เท่ากับว่ากำลังสร้างขยะ สร้างความสกปรกให้มีมากขึ้นไปในใจ ใจก็จะมีความทุกข์มีความเศร้าหมองเพิ่มมากขึ้นไป ทั้งๆที่ได้เงินเพิ่มขึ้นมาอีก ๑๐ ล้าน อีก ๑๐๐ ล้าน มีสามี มีภรรยาเพิ่มขึ้นอีก ๔-๕ คนก็ตาม แต่ใจกลับมีความเศร้าหมองเพิ่มมากขึ้นไปอีก มีความกังวล มีความวุ่นวายใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับเพิ่มมากขึ้นไปอีก เพราะกำลังสร้างความทุกข์ให้กับใจโดยไม่รู้สึกตัว ทั้งๆที่คิดว่ากำลังสร้างความสุขให้กับตน แต่กลับมีแต่ความทุกข์ ความวุ่นวายใจ

ถ้าไม่เชื่อ ลองเปรียบเทียบดูระหว่างเรากับพระพุทธเจ้า พระอรหันตสาวกทั้งหลาย ท่านมีอะไรบ้าง ท่านไม่มีอะไรเลย ในเรื่องสมบัติภายนอก ไม่ว่าจะเป็นสามีภรรยา สมบัติต่างๆ ตำแหน่งต่างๆ ไม่มีอะไรเลย มีสมบัติอยู่เพียง ๘ ชิ้น ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของสมณะเท่านั้น คือมีผ้าไตรจีวร ๓ ผืน บาตรใบหนึ่ง ประคดเอว มีดโกน เข็มกับด้าย และที่กรองน้ำ

นี่คือสมบัติที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของพระ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ท่านอยู่ได้แล้ว ด้วยความสุข ด้วยความเบาใจ ด้วยความสบายใจ เพราะใจของท่านไม่มีภาระ ไม่มีความผูกพันกับอะไรทั้งสิ้น เพราะไม่ว่าจะมีอะไร ในไม่ช้าก็เร็ว ก็ต้องพลัดพรากจากสิ่งต่างๆที่มีอยู่ทั้งสิ้น เพราะธรรมชาติของชีวิตเป็นอย่างนั้น เราก็เห็นกันอยู่ เวลาเกิด ก็มาตัวเปล่าๆ เมื่อไปก็ไปตัวเปล่าๆ คือใจมาครอบครองร่างกาย

เมื่อตายไปใจก็ทิ้งร่างกายนี้ไป ทิ้งสมบัติ ทิ้งบุคคลต่างๆไปหมด ไม่ได้เอาอะไรไปเลยนอกจากบุญกับบาปเท่านั้น บุญก็คือความฉลาดหรือปัญญา บาปก็คือความโง่เขลาเบาปัญญานั่นเอง ถ้ายังไม่เข้าใจหรือยังไม่เห็น ก็ต้องรีบขวนขวายศึกษา แล้วปฏิบัติตาม อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ปฏิบัติมา คือพยายามลดละ ตัดกิเลสตัณหาทั้งหลายให้เบาบางลงไป ให้หมดสิ้นไป

เมื่อทำได้แล้ว จะเห็นความสุขที่แท้จริง ที่ปรากฏขึ้นมาภายในใจ เรียกว่าปัญญา ความสว่าง ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อนำธรรมไปปฏิบัติ เพียงแต่ได้ยินได้ฟังอย่างวันนี้ แล้วก็ไม่ได้นำไปปฏิบัติ ก็ยังจะไม่เห็นผลของการเสียสละ ของการปล่อยวาง ถ้าลองไปปฏิบัติดู ในเบื้องต้นอาจจะยากหน่อย เพราะเป็นสิ่งที่ฝืนกับนิสัยใจคอ แต่ไม่สุดวิสัย ถ้ามีความเข้มแข็ง มีความอดทนต่อสู้ ในไม่ช้าก็เร็ว ก็จะสามารถปฏิบัติตามอย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอน ได้ทรงปฏิบัติมา

เมื่อทำได้แล้วก็จะเห็นผล คือความสุข ความเบาใจที่จะปรากฏขึ้นมาในใจ ก็จะรู้ทันทีเลยว่า เรานี้โง่เขลาเบาปัญญามาตั้งนาน มัวแต่หลงแบกกองทุกข์ แบบไม่รู้จักจบจักสิ้น แต่เดี๋ยวนี้รู้แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ต้องการอะไรแล้ว ในเรื่องสมบัติภายนอก บุคคลภายนอก อยู่ได้โดยลำพัง แม้ไม่มีร่างกายนี้ ก็อยู่ได้ เพราะเห็นใจแล้ว รู้แล้วว่าใจกับร่างกายเป็นคนละส่วนกัน ต่างฝ่ายต่างจริง ใจไม่ต้องพึ่งอะไรเลย จึงสละได้หมดแม้แต่ชีวิต

นายธรรมะ  :054:
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

45
เวลาที่สำคัญที่สุดของชีวิต


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และพระคุณเจ้าที่เคารพ ที่กล่าวมาแล้ว กล่าวถึงความตาย ความจริงเรื่องความตายมีเรื่องเล่าสู่กันฟัง บรรดาท่านพุทธบริษัท ท่านบอกว่า “คนเราจะตาย จะเห็นนิมิตก่อน”

ตามที่หนังสือโบราณท่านเขียนไว้ แล้วก็คนโบราณ โบราณสมัยนี้ สมัยหลวงพ่อปาน ท่านก็เขียนไว้ ท่านบอกว่า ลอกมาจากตำรา ก็ไม่ทราบว่า ตำราเล่มไหนเหมือนกัน ท่านบอกว่า คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิต เรื่องนี้สำคัญ บรรดาท่านพุทธบริษัท คนจะตายต้องเห็นนิมิต คือ

๑. เวลาก่อนจะตาย ถ้าเห็นไฟ กองไฟ หรือดวงไฟ แสดงว่า คนนั้นตรงไปนรกทันที ไม่ผ่านสำนักของพระยายม
๒. ถ้าเห็นป่า จะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
๓. ถ้าเห็นก้อนเนื้อ จะเกิดเป็นคน
๔. ถ้าเห็นสิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล ของที่เคยให้ทานหรือวัดที่เคยทำบุญ พระที่เคยไหว้ จะเป็นพระพุทธรูปก็ตาม พระสงฆ์ก็ตาม เป็นอันว่า สิ่งที่เป็นบุญ เป็นกุศล อย่างนี้ก็จะไปเกิดบนสวรรค์ ไปสู่สุคติ


ตามที่ท่านเขียนมาอย่างนี้ อาตมาก็ไม่ใช่ต้องการพิสูจน์ แต่ก็เข้าไปประสบโดยคาดไม่ถึง นั่นก็คือ มีอยู่ว่า มีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ชื่อ จวน นามสกุลว่าอย่างไรก็จำไม่ได้ อยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

เมื่อเวลาสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ สมัยท่านจอมพลแปลก เป็นนายก ฯ เวลานั้นก็เกณฑ์คนไปทำงานที่เพชรบูรณ์ ตามลีลาที่เขาเล่ากันบอกว่า ตั้งใจจะต่อต้านญี่ปุ่น ว่าอย่างนั้นชาวบ้านพูด แต่ท่านจอมพลแปลกไม่ได้พูดให้ฟัง แต่ท่านมาแถลงการณ์ทางวิทยุทีหลัง ก็คล้ายคลึงแบบนี้ ต้องการจะเอาคนงานทั้งหมดเป็นทหารต่อต้านญี่ปุ่น จะเอานักเรียนนายร้อยไปไว้ที่นั่น เป็นผู้บังคับหมวด อย่างนี้เป็นต้น

ก็เป็นอันว่า เมื่อเลิกสงคราม เธอเลิกงานมาแล้ว ก็ปรากฎว่าเป็นโรค เป็นไข้ ต่อมาก็เป็นวัณโรค คือ เป็นโรคฝีในท้อง เป็นโรคปอด วันหนึ่ง เป็นวันสุดท้ายของชีวิตของเธอ อาตมาไปเทศน์ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ก็พอดีกลับมา เขาบอกว่า จวนป่วยหนัก เป็นเวลาเย็น ประมาณสัก ๔ โมงเย็นก็นิมนต์พระไปเป็นเพื่อน ๔ องค์ อาตมาด้วย ๑ องค์ เป็น ๕ องค์ ที่ไปเป็นเพื่อนไม่ใช่คิดว่ากลัวใครจะทำร้าย ที่นำไปแบบนั้นก็คิดว่าคนป่วยหนัก ถ้าเห็นพระอาจจะเป็นมงคลก็ได้ เพราะว่าตามตำราท่านบอกว่า ถ้าเป็นสิ่งที่เป็นกุศล คนนั้นจะไปสวรรค์
พอไปถึงเข้าจริง ๆ จวนก็อาการหนักจริง ๆ หายใจเบา หายใจช้า ๆ แล้วก็เบาลง ๆ แต่ว่าอาตมาไปนั่งข้าง ๆ ก็เรียกชื่อ “จวน จำฉันได้ไหม?”

เธอเหลียวหน้ามา ก็พยักหน้าตอบว่า “จำได้” เสียงเบามาก
ก็ถามเธอว่า “เวลานี้เห็นอะไรไหม? ไม่ใช่เห็นฉัน มีภาพอะไรลอยข้างหน้าบ้าง?”

เธอก็ตอบว่า “เวลานี้มีภาพไฟลอยข้างหน้า” เธอก็แสดงอาการหวาดกลัวมาก กลัวไฟ

เมื่อฟังเท่านั้นก็ตกใจ คิดว่า ท่าจะไม่ได้การแล้ว นิมิตตามที่ท่านเขียนไว้ปรากฏ นึกในใจ ไม่พูด คิดว่า นิมิตอย่างนี้ ถ้าเห็นไปนรกทันที ก็คิดอะไรไม่ถูก ถามว่า “จวน ภาวนา พุทโธ ไหม ?”

เธอส่ายหน้าบอกว่า “คิดไม่ออก”

จึงหันไปหาภรรยาเขา อาตมาก็จำชื่อภรรยาไม่ได้ ลืมเสียแล้ว
ถามว่า “มีสตางค์ไหม?”

เธอก็บอกว่า “มี”

ก็เลยบอกว่า “ถ้ามีละก็ ขอสัก ๒๐ บาทได้ไหม?”

เธอก็นำธนบัตรใบละ ๒๐ บาทมาให้

อาตมาก็ไปใส่มือจวน เอามือทั้งสองประกบกันในท่าพนมมือ บอกว่า

“จวน เอาอย่างนี้นะ ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เราจะตายหรือไม่ตายนั้น ไม่มีความสำคัญ ตั้งใจทำบุญก็แล้วกันนะ เวลานี้ฉันมาพร้อมกัน ๔ องค์ ขอจวนตั้งใจชำระหนี้สงฆ์ คิดว่าของต่าง ๆ ในวัดทั้งหลาย ที่มีพระสงฆ์ก็ดี หรือไม่มีพระสงฆ์ เป็นวัดร้างมีพระพุทธรูปก็ดี หรือว่าเป็นวัดร้างไม่มีพระพุทธรูปก็ตาม หรือเป็นที่ธรณีสงฆ์ ไม่มีสภาพเป็นวัดก็ตาม เราไปนำอะไรมาจากที่นั่นก็ตาม จะเป็นของหนักก็ดี ของเบาก็ดี ของน้อยก็ตาม ของมากก็ตาม มีค่ามากก็ตาม มีค่าน้อยก็ตาม ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงิน ๒๐ บาท”

เธอก็พูดเบา ๆ ตาม แล้วก็น้อมทำท่าผงกศีรษะนิดหน่อย ก็เลยบอกพระท่านบอกว่า

“คุณทั้งหลาย ถ้าเห็นชอบ ให้ สาธุ พร้อมกันนะ”

พระทั้งหลายก็ “สาธุ” พร้อมกัน

พอพระสงฆ์สาธุพร้อมกัน รู้สึกว่าจิตใจของเธอสดชื่นขึ้นมามาก ถามว่า

“จวน เวลานี้เห็นภาพอะไร ไฟหายไปแล้วหรือยัง”

เธอก็ตอบ“ไฟหายไปแล้ว”

ถามว่า “เธอเห็นภาพอะไร”

เธอบอก “เห็นภาพพระประธานในอุโบสถวัดบางนมโค”

เพราะว่าเธอบวชวัดนั้น เธอก็ไปทำวัตรเป็นประจำ

ถามว่า “เห็นชัดไหม”

เธอก็บอก “เห็นชัด อยู่ใกล้มาก”

ก็บอก “จวน นึกในใจก็ได้นะ ออกเสียงมันจะเหนื่อย นึกภาวนาในใจว่า พุทโธ”

แทนที่เธอจะนึกในใจ เธอก็ออกเสียงว่า “พุทโธ ๆ ๆ ๆ” เบา ๆ

เธอว่าไปสัก ๓ – ๔ ครั้ง รู้สึกว่าหายใจเบาลง แต่ว่ามีเสียงเล็กน้อย

ถามว่า “จวน เวลานี้เห็นพระไหม”

เธอตอบว่า “เห็นพระ”

ถามว่า “ชัดขึ้นไหม”

เธอก็ตอบว่า “ชัดเจนแจ่มใสมาก สุกสว่างมาก ใหญ่กว่าเดิมมาก”

บอก “ถ้าอย่างนั้น นึกถึงพระเป็นที่พึ่งนะ นึกถึงเวลานี้เราอยู่กับพระพุทธเจ้า ภาพที่เห็น คือ ภาพพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามาสงเคราะห์ จะหายจากโรค ถ้าจำเป็นต้องตายก็ไปสวรรค์”

เธอยิ้มนิดหนึ่ง เธอตอบว่า “พอพูดจบก็มีวิมานลอยมาอยู่ข้างหน้า พระก็ชี้ แสดงว่า วิมานนี้เป็นของเธอ”

จึงถามเธอว่า “เวลานี้ ต้องการอยู่บ้านหรือต้องการอยู่วิมาน”

เธอก็ตอบเบา ๆ ว่า “ต้องการวิมานครับ”

ก็ไม่ต้องการรบกวนให้เหนื่อยต่อไป ก็บอกว่า “ตั้งใจไปวิมานนะ ภาวนาว่า พุทโธ” เธอก็ภาวนาเบา ๆ ว่า “พุทโธ ๆ ๆ ๆ”

ในที่สุดก็เงีบบไปพร้อมกับคำภาวนา และลมหายใจเข้า-ออก รวมความว่า เธอตายคู่กับพุทโธ

เป็นอันว่า นิมิตเครื่องหมายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท มีจริง อาตมาผ่านแบบนี้มาหลายสิบราย ที่พบมาเองนะ ไม่ใช่หลายราย หลายสิบราย และวิธีแก้ของอาตมาก็มีวิธีเดียววิธีนี้ เพราะว่าอย่างอื่นเวลานั้น มันแก้กันไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินชำระหนี้สงฆ์ ถ้าบังเอิญไม่เป็นหนี้สงฆ์ ก็เป็นสังฆทานและวิหารทาน รวมความว่า เป็นบุญใหญ่ที่เขาจะพึงได้รับ นี่เป็นอันว่า มนุษย์เราที่ตายนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ทุกคนจะเห็นนิมิตก่อน
จากหนังสือ ตายแล้วไม่สูญ
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

นายธรรมะ  :054:
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

46
ที่แหละ คนที่พวกเราต้องการ !!

47
ศีล ๕ พาพ้นภัย..หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


ถ้าเราจะปฎิบัติดี ปฏิบัติชอบ ศีล ๕ ข้อนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก คฤหัสถ์กินข้าวเย็น ไม่มีในคัมภีร์ใดที่พระพุทธเจ้าเทศน์เอาไว้ว่าตกนรก ถ้าหากละเมิดศีล ๕ ข้อ ข้อใดข้อหนึ่งล่ะตกนรกทันที

ทำไมพระพุทธเจ้าจึงสอนให้รักษาศีล ๕ โดยวิสัยของพระพุทธเจ้า ทรงไว้ซึ่งพระกรุณาคุณ พระองค์ทรงปรารถนาให้มนุษย์มีความรักกัน นี่คือคำตอบ รักษาศีล ๕ ไปทำไม

ต้องการความรัก ความรักที่เกิดขึ้นจากคุณธรรม เป็นความรักที่ประกอบไปด้วยความเมตตาปรานี รักได้ทุกคน

เมื่อเรามีศีล ๕ ศีล ๕ ก็เป็นคุณธรรมประกันความปลอดภัยของสังคม

การไม่ฆ่าเป็นการเคารพในสิทธิของผู้อื่น
การไม่ลักขโมยเป็นการเคารพในสิทธิของคนอื่น
 กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาทก็เคารพในสิทธิของผู้อื่น
สุราไม่มัวเมา เคารพในสิทธิของตัวเองและผู้อื่นด้วย

เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เป็นมูลฐานให้เกิดระบอบประชาธิปไตย
เพราะฉะนั้น ในเมื่อมีศีล ๕ แล้วก็ไม่ต้องกังวล เป็นการตัดกรรมตัดเวร เมื่อเราไม่ฆ่าใคร ใครหนอจะมาคิดฆ่าเรา เมื่อเราไม่เบียดเบียนข่มเหงรังแก ใครหนอจะมาคิดร้ายต่อเรา เราก็อยู่สบาย อยู่ป่าก็สบาย

คนมีศีลบริสุทธิ์นี่ แม้แต่เสือมันก็ไม่กัด หลวงตาสนอยู่เมืองอุบลเมื่อก่อนนี่ เดิมทีเดียวท่านเป็นนักเลงโตขนาดจี้ปล้นชั้นเสือ ภายหลังมากลับอกกลับใจ นึกถึงบาปบุญคุณโทษ เพราะไปติดคุกอยู่ ๑๔ ปี พอออกจากตะรางไปยกมือไหว้ขอบริขารเขา บอกว่า โอ๊ย เพิ่งออกจากคุกมาเดี๋ยวนี้ อยากจะบวช ไม่มีบริขารจะบวช ขอบริขารไปบวชหน่อย คนขายบริขารก็จัดให้ ถ้าไม่ให้ก็กลัวมันจะทำร้ายเอา พอได้แล้วแกก็ไปหาอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์ก็บวชให้ด้วยความจำใจเหมือนกัน พอบวชแล้วท่านก็ศึกษาพระธรรมวินัยข้อวัตรปฏิบัติ พอมีความรู้ความเข้าใจพอสมควรแล้วไปธุดงค์อยู่ในดงบั๊กอี่

ดงบั๊กอี่มีอาณาเขตตั้งแต่อำเภออำนาจเจริญไปถึงอำเภอมุกดาหาร เมื่อก่อนทางรถยนต์ก็ไม่มี มีแต่ทางเดินเท้า มีคนไปสร้างกรงเอาไว้ เอาไม้เป็นท่อนๆ ไปฝังๆ เรียงกัน จนสัตว์ใหญ่ๆ เข้าไม่ได้ ใครเดินทางมาจะต้องรีบเร่งให้ถึงที่ตรงนั้น มานอนอยู่ในกรงนั่น มิฉะนั้นเสือมันเอาไปกินหมด

ทีนี้หลวงตาสนแกไป แกก็ไปนอนอยู่บนก้อนหิน กลดไม่กาง เดือนหงายๆ ตกกลางคืนเสือมันออกมาเป็นฝูง ท่านก็บอกว่า "เสือเอ๊ย! ... มากินมันเสีย บักอันนี้มันเป็นโจรฆ่าผู้ฆ่าคนมามากแล้ว มากินเสียให้มันหมดกรรมหมดเวรไปหน่อย" เสือมันก็ไม่กิน ท่านบอกว่า ธรรมดาเสือเมื่อมันเห็นคนเห็นสัตว์มันจะหมอบทำท่าขู่

แต่นี่มันมาแล้วมานั่งเฝ้าเหมือนหมาเฝ้าบ้าน นั่งยองๆ เหมือนหมานั่งเฝ้าบ้าน บางตัวเดินไปหัวมันสูงกว่าหัวเรา เวลามันนั่งอยู่ ท่านเดินเข้าไปหามัน จะเอามือไปตบหัวมัน มันก็กระโดดเข้าป่าไป แทนที่มันจะกัดท่าน มันไม่กัด ท่านจึงมาพูดเล่นๆ ตลกๆ ว่า "เออ! ไอ้ของที่เราสละทิ้งแล้วนี่ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็ไม่เอา ของทิ้งแล้ว"

เพราะฉะนั้น ศีลนี่เป็นหลักธรรมประกันความปลอดภัย ตัดกรรมตัดเวร ตัดผลเพิ่มของบาปกรรม ทอนกำลังกิเลส

นายธรรมะ
ขอขอบคุณสิ่งดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

48
เกิดมาทั้งที จงอย่าทำตนเป็นคนไม่ดี

49
กฎแห่งกรรม / ผลกรรมเมื่อผิดศีล 5
« เมื่อ: 13 มี.ค. 2554, 11:10:07 »
ผลกรรมเมื่อผิดศีล 5

ผิดศีลข้อ 1 ( ฆ่าสัตว์, เบียดเบียนทำร้ายสัตว์, กักขังทรมาณสัตว์) ผลกรรมคือ

1. มักมีปัญหาสุขภาพ ขี้โรค มีโรคเรื้อรัง รักษาไม่หาย รักษายุ่งยาก
2. มีอุบัติเหตุบ่อยๆ อาจมีอุปฆาตกรรม คือกรรมตัดรอน ทำให้ตายก่อนอายุขัย
3. อาจพิกลพิการ มีปัญหาร่างกายไม่สมส่วน ไม่สมประกอบ
4. กำพร้าพ่อแม่ คนใกล้ตัวโดนฆ่า
5. อายุสั้น ตายทรมาณ ตายแบบเดียวกับที่ไปฆ่าไปทรมาณสัตว์ไว้
6. อัปลักษณ์ มีปมด้อยด้านสังขาร

แนะนำหนทางทุเลา : ตั้งสัจจะว่าจะพยายามไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายหรือเบียดเบียน ไม่แกล้งไม่กักขัง ว่างๆก็ไถ่ชีวิตสัตว์ เช่น ไปตลาดซื้อปลาที่เค้ากำลังจะขายให้คนไปทำกิน ให้เราซื้อไปปล่อยในเขตอภัยทาน (ท่าน้ำของวัด)หรือซื้อยาสมุนไพรยาแผนปัจจุบันไปให้ถวายพระที่วัด หรือไปตามโรงพยาบาลทั้งของคนปกติและของสงฆ์เพื่อบริจาคค่ารักษา หรือรับอุปถัมภ์ค่ารักษาพยาบาล บริจาคเลือดและร่างกายให้สภากาชาดไทยหรือตามโรงพยาบาลต่างๆ และอื่นๆ ตามแต่ท่านจะสะดวกและตามกำลัง

ผิดศีลข้อที่ 2 (ลักทรัพย์ ,ขโมย ,ฉ้อโกง ,ยักยอก ,ทำลายทรัพย์) ผลกรรมคือ

1. ธุรกิจไม่เจริญก้าวหน้า เจ๊ง ขาดทุน ฝืดเคือง โดนโกง
2. มีแต่อุบัติเหตุให้เสียทรัพย์สิน ต้องชดใช้ให้คนอื่นอย่างไร้เหตุผล
3. ทรัพย์หายบ่อยๆหลงลืมทรัพย์วางไว้ไม่เป็นที่ หาก็ไม่เจอ
4. มีคนมาผลาญทรัพย์เรื่อยๆทั้งคนใกล้ตัวและคนทั่วไป
5. ลูกหลานแย่งชิงมรดก โดนลักขโมยบ่อยๆ
6.ตระกูลอับจนไม่มีที่สิ้นสุด มีแต่คนมาทำลายทรัพย์

แนะนำหนทางทุเลา : ตั้งสัจจะไม่ยุ่งกับทรัพย์สินของคนอื่นหากอยากได้ให้ขอเสียก่อนจนกว่าเจ้าของจะอนุญาตด้วยความเต็มใจ หมั่นทำบุญสังฆทาน บริจาคค่าน้ำค่าไฟวัดเพื่อที่ศาสนาจะได้ไม่ขาดแคลนปัจจัย ส่งผลบุญให้เราไม่ขัดสน มอบทุนการศึกษาแด่ผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ผลบุญทำให้เรามีปัญญาที่จะหาทรัพย์อย่างสุจริต รวมทั้งต้องตั้งสัจจะที่จะมีสัมมาอาชีพ ไม่ฉ้อโกงใครแม้แต่สลึงเดียว และอื่นๆตามแต่ท่านจะสะดวกและตามกำลัง

ผิดศีลข้อ 3 (ประพฤติผิดในกาม,ผิดลูกเมียเขา, ล่วงเกินบุตรธิดาของผู้อื่นก่อนได้รับอนุญาต, แย่งคนรักของคนอื่น, กีดกันความรักคนอื่น, นอกใจคู่ครอง, หลอกลวง, ข่มขืน, ค้าประเวณี,ล่วงเกินทางเพศต่างๆ) ผลกรรมคือ

1. หาคู่ครองไม่ได้ ,ไม่มีใครเอา, หน้าตาอัปลักษณ์ ,โดนเพศตรงข้ามล้อเลียนจนมีปมด้อย
2. เป็นหม้าย ,ผัวเมียตายจาก, ผัวหย่าเมียร้าง,คบใครก็มีเหตุให้หย่าร้างเลิกรา
3. คนรักนอกใจ, คนรักมีชู้, มีเมียน้อย, คบใครก็เจอแต่คนเจ้าชู้ ,โดนหลอกฟัน, ท้องไม่รับ, เสียตัวฟรี ,โดนข่มขืน
4. ไม่มีมิตรจริงใจ, เพื่อนฝูงไม่รัก, พี่น้องก็ไม่รัก ,พ่อแม่ทอดทิ้ง ,ชีวิตขาดความอบอุ่น, มีแฟนก็ไม่มีใครจริงจังด้วย, ครอบครัวไม่อบอุ่น
5. มีความผิดปกติทางเพศทางร่างกาย, ทางจิตใจ, ถูกกีดกันทางความรัก, สังคมไม่ยอมรับความรักของตน, มีความรักหลบๆซ่อนๆ
6. ต้องมีเหตุพลัดพรากจากคนรักและของรักอยู่เสมอ (ก่อนเวลาอันควร)

แนะนำหนทางทุเลา : ตั้งสัจจะว่าจะไม่ทำผิดเรื่องทางเพศไม่ทำให้ใครรู้สึกผิดหวังเสียใจในเรื่องความรัก ไม่กีดกัน ไม่คิดแย่ง หรือไปรักกับคนรักของใคร ไม่คิดทำร้ายความรู้สึกคนรัก ไม่ล่วงเกินบุตรธิดาของใครก่อนได้รับอนุญาต รักเดียวใจเดียว ไม่นอกใจ ไม่มีกิ๊ก พอใจในคู่ครองของตนเอง

หมั่นทำบุญถวายเทียนคู่ให้วัดถวายธงคู่ประดับวัด ช่วยออกค่าใช้จ่ายงานแต่งงานและอื่นๆ ตามแต่ท่านจะสะดวกและตามกำลัง หรือให้ธรรมะด้านความรักแก่คู่รักที่รู้จัก เอาใจใส่คู่ครองคนรัก เอาใจใส่พ่อแม่ของตนเอง หากรักพ่อแม่เอาใจใส่พ่อแม่อย่างดีจะได้รับผลบุญทำให้ความรักของเราสดใสไม่เจ็บช้ำ หากทรมาณพ่อแม่ทำอย่างไรกับพ่อแม่ไว้ ต่อไปชีวิตรักก็จะเลวร้ายพอๆกับความรู้สึกเสียใจของพ่อแม่ที่เราได้กระทำไว้

ผิดศีลข้อ 4 (โกหกปลิ้นปล้อน, กลับคำ,ไม่มีสัจจะ, หลอกลวงผู้อื่น, ใส่ร้ายผู้อื่น, ยุแยงให้คนแตกกัน, ใช้วาจาดูหมิ่น, พูดส่อเสียด, พูดคำหยาบ, ขี้โม,้ นินทา, ด่าทอ, ด่าพ่อล้อแม่,ด่าและเถียงผู้มีพระคุณ, ผิดสัญญาสาบานแล้วไม่ทำตาม )ผลกรรมคือ

1.ปากไม่สวย ฟันไม่สวย มีกลิ่นปาก มีปัญหาเรื่องปากเรื่องฟันอยู่เนืองนิจ
2.มีแต่คนพูดให้เสียหาย มีคนซุบซิบนินทาเรื่องของเรา มีคนคอยใส่ร้ายดูหมิ่นและส่อเสียดเราอยู่เสมอ
3.ไม่มีใครจริงใจด้วย มีแต่คนมาพูดจาหลอกลวง ผิดสัญญาต่อเรา
4.เกิดในสังคมที่พูดแต่คำหยาบคำส่อเสียดปลิ้นปล้อน นินทาอยู่เนืองนิจ เพียงตื่นมาก็พบเจอความไม่เป็นมงคล (สังคมที่ปากไม่เป็นมงคล)
5.หลงเชื่อคนอื่นได้ง่าย โดนหลอกได้ง่าย ไม่มีความระวังเวลาโดนโกหก
6.ไม่มีใครเชื่อถือในคำพูดของเรา, เป็นคนที่พูดอะไรแล้วคนเมิน,พูดติดๆขัดๆ, นึกจะพูดอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ

แนะนำหนทางทุเลา : ตั้งสัจจะว่าจะไม่พลั้งปากโกหก หรือส่อเสียดนินทายุแยงใครไม่ด่าใคร พูดตามความเป็นจริงทุกอย่าง สิ่งใดควรพูดก็ควรพูด ไม่ควรพูดก็อดทนไว้ ไม่ด่าไม่เถียงไม่นินทาผู้มีพระคุณ เช่น พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ให้คำสัญญาใครไว้ต้องรักษา อย่าสาบานอะไรพร่ำเพรื่อ ว่างๆก็ออกค่าใช้จ่ายให้ค่าทำฟันแก่คนยากคนจนและอื่นๆ ตามแต่ท่านจะสะดวกและตามกำลัง หมั่นให้สัจธรรมความจริงแก่คนทั่วไป พูดแต่ธรรมะสอนธรรมะอยู่เสมอ หมั่นพูดหรือเผยแพร่ธรรมะให้คนอื่นฟังบ่อยๆ ทำตัวให้มีธรรมะ ให้มีสัจจะ พูดอะไรก็ไม่ผิดคำพูด ไม่กลับคำไม่หลอกลวงใคร คนจะเชื่อถือมากขึ้น

ผิดศีลข้อ 5 (ดื่มของมึนเมา, เสพยาเสพติด, ให้ยาเสพติด, ให้ของมึนเมา, ขายของมึนเมา, ขายยาเสพติด) ผลกรรมคือ

1. สติปัญญาไม่ดี ขี้หลงขี้ลืม เรียนไม่เก่ง อ่านหนังสือไม่จำ อ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ
2. เกิดในตระกูลที่โง่เขลา เต็มไปด้วยอบายมุข
3. หากกรรมหนักจะเกิดเป็นเอ๋อ ปัญญาอ่อน เป็นโรคทางปัญญา
4. ลูกหลานสำมะเลเทเมา มีลูกหลานติดยาเสพติด
5. เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ไม่มีสติระวัง มีแต่ความประมาท
6. มักลุ่มหลงในสิ่งผิดได้ง่าย เป็นคนที่โดนมอมเมาให้หลงใหลในสิ่งผิดได้ง่าย (ขาดสติ)

แนะนำหนทางทุเลา : ตั้งสัจจะว่าจะไม่ดื่มของมึนเมาและยาเสพติดทุกชนิด ไม่จำหน่ายจ่ายแจกของมึนเมาและยาเสพติดทุกชนิด หมั่นทำธรรมทานวิทยาทาน ให้ปัญญาความรู้แก่คนทั่วไปและอื่นๆ ตามแต่ท่านจะสะดวกและตามกำลัง

ที่มา : ผลกรรมเมื่อผิดศีล 5 - เสวนาชาวพุทธ - โหราศาสตร์พ็อคเก็ตบล็อกซ์ [Community] - Powered by Discuz!

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

50
กฎแห่งกรรม / ตอบ: ไม่กลัวนรก !!!!
« เมื่อ: 12 มี.ค. 2554, 11:16:18 »
ขอร่วมโพสต์ด้วยครับ
   
เมื่อ..สมภารเป็นเปรต


เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ที่ผมได้รับฟังจากปากของท่านเกจิชื่อ....ดัง

หลวงพ่อ พุธ ฐานิโย ครับ คือ สมัยนั้น กระผมเป็น พระ ก็เลยได้มีโอกาสได้

สนทนากับท่าน เรื่องมันเกิดจาก มีท่าน......สมภาร ท่านหนึ่ง มีสมณะศักดิ์เป็น

พระครูสัญญาบัตร เป็นพระ อธิการเจ้าอาวาส ท่านเป็นมานานและเป็นที่เคารพ

ศรัทธา ของญาติโยมในสมัยนั้นมากพอสมควร

ท่านปกครองคณะสงฆ์ในสังกัดของท่าน โดย ธรรม โดย วินัย มาโดยตลอด

เรียกว่า....... ดี อ่ะครับ ญาติโยม รวมไปถึง คณะกรรมการของวัด ก็รักใคร่

ศรัทธา ท่านมาก

เนื่องจาก บริเวณวัด โดยรอบ เป็นเสมือนสวนมะพร้าว อาจจะเพราะ มีเนื้อที่

เยอะ พื้นที่ว่าง ก็ปลูกมะพร้าว แล้วอยู่มาวันหนึ่ง มีพ่อค้า มะพร้าว ผ่านมาเห็น

ว่า ที่วัดมีมะพร้าวมาก เมื่อสอบถามชาวบ้าน ก็ได้ความว่า

มะพร้าวพวกนี้เป็นสมบัติของทางวัด ซึ่งปกติแล้ว ไม่ได้ขาย จะเก็บเอามาทำ

ประโยชน์ ก็ตอนที่วัดทางวัดมีงานเท่านั้น ทางพ่อค้า จึงคิดว่า ถ้าขอซื้อไป

บ้าง คงจะมีรายได้เข้าวัดบ้าง เพราะวัดบ้านนอก นานๆจะมีกิจนิมนต์สักที

เรียกง่ายๆ หวังดี นั่นแหละครับ

จึงได้ไปหา กรรมการวัด เพื่อเจรจา ซื้อขาย ทางฝ่ายกรรมการ ก็เห็นดีว่า

จะได้นำเงิน ถวายท่าน พระครู บ้าง ท่านพระครูก็มิได้ขัดอะไร พอขายได้เงิน

มาก็นำมาถวายท่าน ซึ่งท่านก็มิกล้ารับเลยในทันที แต่กรรมการวัด ก็บอกว่า

รับไปเถอะท่าน

จะได้นำเงินไปซื้อ หมาก พูล มาถวายท่าน ท่านพระครู พอพูดถึง หมากพูล

ก็เลย เปรี้ยวปาก รับเงินนั้นมา เหตุการณ์ ผ่านไปจน ท่านได้มรณะภาพ

วันหนึ่ง หลวงพ่อ พุธ ท่านได้เดินทางมาพร้อมกับลูกศิษย์ท่าน และเข้ามา

จำวัด ที่วัดแห่งนี้

ในคืนนั้นเอง....... ได้เกิดนิมิตขึ้น กับ หลวงพ่อ ว่า มี........เปรต.....ตนหนึ่ง

ใส่จีวร มาร้องขอให้ท่านช่วย โดยเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมดว่า สาเหตุนั้นเกิด

จากการที่เอาเงินของสงฆ์ ก็คือ เงินที่ได้จากการขายมะพร้าว นั่นเอง มาใช้ใน

การส่วนตัว โดยมิได้รับความเห็นชอบจากสงฆ์ จึงเป็นเช่นนี้

สุดท้ายก็บอกว่า ฉันรอ......ท่านมานานแล้ว ท่านผู้มีบุญ ได้โปรดช่วยฉัน

ด้วย ฉันรอท่านมานานมาก

พอเช้า........ท่านหลวงพ่อ พุธ จึงได้ประชุมสงฆ์ และเล่าเหตุการณ์ต่างๆให้

ฟัง เมื่อตรวจสอบดู จึงรู้ความว่า ท่านเป็นเจ้าอาวาส แห่งนี้จริง และได้มรณะ

ภาพไปนานมากแล้ว ท่านจึงได้ประชุมสงฆ์ และถามในท่ามกลางสงฆ์เหล่า

นั้น เพื่อให้สงฆ์ ทั้งหลายร่วมลงมติ ให้ท่านนำเงินนั้นใช้ได้

เมื่อทำตามขั้นตอนเสร็จ สงฆ์ได้ร่วมกันอโหสิกรรมให้

พอตกกลางคืนของคืนนั้น ท่านสมภาร ได้มาหาท่านอีกครั้ง แต่คราวนี้มาแบบ

สวยงาม เหลืองอร่ามไปด้วยรัศมี เพราะ ท่านได้กระทำกรรมดีมามากมาย

เช่นเดียวกัน แต่เนื่องจาก การนำเงินสงฆ์ไปใช้ส่วนตัวนั้น เป็นบาปหนัก จึง

ต้องรับกรรมก่อน

เรื่องนี้คงเป็นคติ เตือนใจ แก่ท่านที่คิดหรือทำ ในสิ่งที่ไม่ใช่ของตนเอง ให้จง

ระวังและสังวรไว้นะครับว่า ขนาดท่านสมภาร ยังต้องเป็น เปรต เลย แล้วท่าน

ล่ะ จะเป็นอะไร.........

ที่มา
http://www.yorbor.com/index.php?topic=4896.0


เอาเลยครับสหายธรรมะ เรามาช่วยโพส สิ่งๆดีด้วยกัน

51
กฎแห่งกรรม / ไม่กลัวนรก !!!!
« เมื่อ: 11 มี.ค. 2554, 07:01:49 »
ไม่กลัวนรก !!!!

ถ้าบอกว่านรก ทุกคน คงกลัว และ ไม่อยากไป กันทั้งนั้น
แต่ถ้าลองอ่าน สิ่งที่ผมบอก คุณจะมองนรก ในอีกมุมหนึ่งครับ แล้ว คุณจะไม่กลัวนรก

1.ถ้าการตกนรก คือ การที่คุณได้ชดใช้กรรมชั่ว ที่คุณทำไว้
2.การขึ้นสวรรค์ คือ การได้รับผลกรรมดี ที่คุณทำไว้ แต่ปางก่อน

นั่นหมายความว่า ถ้าคุณไม่ทำชั่ว คุณก็จะไม่ตกนรก ซึ่งกรรม เป็นของๆ คุณ ไม่มีใครมาขโมย หรือ ยัดเยียด กรรมชั่ว มาใส่คุณแน่นอน

ดังนั้น หากคุณตกนรก นั่น ก็หมายความว่าคุณได้ชดใช้ กรรมที่คุณเคยทำไว้นั่นเอง

ไม่ต้องนรก หรอก เอาปัจจุบัน นี่แหละ

หากเคยเห็นข่าว ฆาตกร ฆ่าอมหิตอย่างเลือดเย็น ยกทั้งครอบครัว ไม่เว้น แม้แต่เด็กเล็ก ไม่รู้ประสีประสา

คุณจะรู้สึกอย่า่งไร กับ ฆาตกร คนนั้น

คุณคงภาวนา ขอให้ตำรวจจับมันให้ได้ ฆ่าให้ตาย ๆ ไปซะ อยู่ไปก็รกโลก

และฆาตกรคนนั้น หลังจากใช้กรรมที่นรก ด้วยเศษกรรมที่ยังเหลือ อยู่ จึงได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ที่ครอบครัวแตกแยก ถูกพ่อเลี้ยงตบตี ข่มขืน ทุกวัน จนเป็นสาว ขณะเดินทางกลับบ้าน โดนฉุดกลางทางไปขมขื่น และ ถูกฆ่าตาย

ช่างน่าสงสาร และ เวทนาหญิงสาวผู้นั้น เสียจริง แต่ถ้า มีใครรู้ว่า หญิงสาวคนนั้นที่ถูกฆ่า คือ ฆาตกร เลือดเย็น ที่เคยฆ่าคนมานับไม่ถ้วน กลับชาติมาเกิด เพื่อใช้กรรม ที่เหลืออยู่

คุณคง จะสมน้ำหน้ามากกว่า สงสาร ใช่ไหม!

หรือ เห็นเด็กพิการ แขนขาลีบ ตาบอด ข้างถนน ขอเศษเงิน ดูช่างน่าเห็นใจยิ่งนัก หากแต่เด็กคนนั้นอดีตชาติ เคย เป็น คนฆ่าสัตว์ ที่มักจะฆ่าอย่างเลือดเย็น โดยตัดเฉพาะแขนขา ไม่ได้ฆ่ามันทันที และปล่อยให้มันทุกข์ทรมานเจ็บปวด แสนสาหัส จนขาดใจตายไปเอง !!!!

ดังนั้ืน หากคุณ เจอ เรื่องไม่ดีผ่านเข้ามาในชีวิต

ทำไมชีวิตถึงฉันถึงอาภัพเช่นนี้
ทำไมชีวิตฉัน ถึงได้ลำบากขนาดนี้
ทำไมฉันถึงได้โดนเอาเปรียบอย่างนี้
ทำไมฉันทำอะไรก็ไม่เคยได้ดีเลย
ทำไมฉันถึงไม่มีใครรักและเข้าใจ
ชีวิตฉันทำไมถึงเป็นทุกข์เช่นนี้
ทั้งๆที่ฉันไม่เคยทำอะไรให้ใครเลย

ไม่จริง!คุณเคยต่างหาก เพียงแต่แค่คุณจำไม่ได้

เมื่อใดที่คุณรู้สึก เช่นนี้ ก็จงรู้ไว้เถิดว่า คุณกำลังใช้กรรมที่คุณเคยก่อไว้ในอดีตชาตินั่นแหละ เพียงแต่คุณไม่รู้เท่านั้นเอง ว่าคุณเคยทำอะไรไว้กับเจ้ากรรมนายเวร ในปางก่อน

ถ้าไม่อยากตกนรก ก็จงอย่าทำกรรมชั่ว เท่านั้นเอง
นั่นคือ สัจธรรม

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

52
ทำบุญให้ได้บุญ" เสริมชะตาวันเกิดตามหลักดวงพม่า

 
มิงกะลาบาเชี้ยน (สวัสดีค่ะ) เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ศาสตร์แห่งดวงพม่านั้น ความพิเศษจะอยู่ที่หลักแห่งพิธีกรรมเพื่อแก้ไขเคราะห์ให้ตนเอง เช่น การบูชาขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การประพฤติตนและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่กระทำแล้วเป็นผลดีต่อดวงชะตา การกินอาหารเพื่อเสริมชะตาปรับธาตุในตัว
การละเว้นกินอาหารเพื่อตัดสิ่งไม่ดีที่จะเข้าสู่ตัว เป็นต้น โดยมีหลักการง่ายๆ ดังนี้



ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ : ระวังจะเสียเปรียบผู้อื่น ถูกโกง ถูกให้ร้ายป้ายสีให้เสียชื่อเสียง เก็บเงินไม่อยู่

การงาน : บูชา – ไหว้ขอพร พระแก้วมรกต, เจ้าพ่อหลักเมือง, พระสยามเทวาธิราช, พระศิวะมหาเทพ เจ้าพ่อกวนอู ด้วยมะพร้าวอ่อนมีเปียไม่ปอกเปลือก 1 ผล และไข่ต้ม 6 ฟอง
การเงิน : ทำบุญถวายสังฆทาน โดยเพิ่มของตัวแทนวันเกิด คือ ไฟฉาย เทียน แว่นตา น้ำตาลปี๊บ
ความรัก : แก้ด้วยการใส่บาตรด้วยมะพร้าว ไข่ ดอกไม้สีแดง
สุขภาพ : ทำบุญที่เกี่ยวกับดวงตาและหัวใจ ห้ามกินอาหารที่มีไขมันมาก ควรทานส้ม ถั่ว ผักมากๆ



ผู้ที่เกิดวันจันทร์ : ระวังใจอ่อน เงินทองหมดไปกับการช่วยเหลือผู้อื่น ชอบเอาธุระคนอื่นเป็นเรื่องของตน

การงาน : บูชา - ไหว้ขอพร เจ้าแม่กวนอิม พระสุรัสวดี ท้าวสุรนารี พระสุพรรณกัลยา (วีรสตรีต่างๆ) ด้วยอ้อยจำนวน 2 ข้อ หรือ 15 ท่อน ดอกมะลิ ดอกเบญจมาศ ดอกไม้สีขาว สีเหลือง
การเงิน : ทำบุญถวายสังฆทาน โดยเพิ่มของตัวแทนวันเกิด คือ กาน้ำ กระติกน้ำ หรือน้ำบำรุงภาพ
ความรัก : แก้ด้วยการใส่บาตร ด้วยส้มหรือมะนาว 4 ผล หรือผลไม้รสเปรี้ยว
สุขภาพ : ทำบุญที่เกี่ยวกับรักษาโรค ห้ามกินเนื้อวัว เครื่องในหมู ควรทานน้ำขิง กล้วย สัปปะรด



ผู้ที่เกิดวันอังคาร : ระวังศัตรูเรื่องงานหรือคนอิจฉา นินทาว่าร้าย บริวารหักหลัง

การงาน : บูชา – ไหว้ขอพร พระพิฆเนศ เจ้าพ่อเห้งเจีย พระนอนฯ พระนเรศวรฯ พระเจ้าตากสินด้วยกุหลาบสีชมพู 8 ดอก พุทราดิบ 8 ลูก ทับทิม 3 ลูก ฝักบัว 5 ฝัก
การเงิน : ทำบุญถวายสังฆทาน โดยเพิ่มของตัวแทนวันเกิด มีดโกน กรรไกร
ความรัก : แก้ด้วยการใส่บาตร ข้าวหอม อ้อยควั่น 15 ท่อน มะลิ 2 พวง ขนมทองทั้ง 9
สุขภาพ : ทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์ เครื่องมือแพทย์ ห้ามกินเลือดทุกชนิด ควรทานมังสวิรัติเสริมดวง



ผู้ที่เกิดวันพุธ : ระวังคำพูด การตัดสินใจที่ผิดพลาด คดีความ มักขี้โรค ป่วยง่าย อย่าหูเบ

การงาน : บูชา – ไหว้ขอพร หลวงปู่ทวด เจ้าพ่อเสือ ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 พระกฤษณะเทพ ด้วยส้มหรือมะนาว 4 ผล
การเงิน : ทำบุญถวายสังฆทาน โดยเพิ่มของตัวแทนวันเกิด คือ หนังสือสวดมนต์ ยาสามัญประจำบ้าน
ความรัก : แก้ด้วยการใส่บาตร ส้ม อินทผลัม แกงสายบัว มะดันดอง
สุขภาพ : ทำบุญกับเด็กกำพร้า คนชรา ผู้ป่วยเบาหวาน ห้ามกินปู-หอย ควรทานส้ม น้ำสมุนไพร น้ำถั่วแดง



ผู้ที่เกิดวันพฤหัส : ระวังความดื้อรั้น ชอบสอนคน สันโดษ ซื่อตรงเกินไป

การงาน : บูชา – ไหว้ขอพร พระพุทธชินราช หลวงพ่อโสธร หลวงพ่อโตฯ พระพรหม รัชกาลที่ 5 หลวงพ่อสด พระแม่ลักษมีด้วยฟักทอง 1 ลูก ดอกแคขาว 19 ดอก แตงกวา 5 ผล
การเงิน : ทำบุญถวายสังฆทาน โดยเพิ่มของตัวแทนวันเกิด คือ จีวร สบง พระพุทธรูป
ความรัก : แก้ด้วยการใส่บาตร ข้าวหอม ฟักทองแกงบวด แกงส้มดอกแคใส่กุ้ง แตงกวา 5 ผล
สุขภาพ : สวดมนต์ทำสมาธิ ทำบุญกับคนพิการ ห้ามดื่มสุราเมรัย ควรทานผักบุ้ง ตำลึง แอปเปิ้ล



ผู้ที่เกิดวันศุกร์ : มักทำคุณใครไม่ขึ้น ขี้ใจน้อย แสนงอน เจ้าน้ำตา

การงาน : บูชา – ไหว้ขอพร พระแม่อุมาเทวี เจ้าแม่ทับทิม พระนางพญา ด้วยพวงมาลัย 6 พวง
การเงิน : ทำบุญถวายสังฆทาน โดยเพิ่มของตัวแทนวันเกิด คือ ปิ่นโต ผ้าอาบน้ำฝน ผ้าเช็ดหน้า
ความรัก : แก้ด้วยการใส่บาตร ด้วยอาหารมังสวิรัติ สัปปะรด ลูกตาลเชื่อม
สุขภาพ : ทำบุญกับสถาบันมะเร็ง ห้ามกินเนื้อวัว ปลาช่อน หอยขม ควรทานแอปเปิ้ล ฟักทอง ดอกแค



ผู้ที่เกิดวันเสาร์ : มักขาดคนอุปถัมภ์ แลกมาด้วยความเหนื่อยยาก พึ่งตัวเองและช่วยเหลือผู้อื่น

การงาน : บูชา – ไหว้ขอพร พระนารายณ์ เทพเจ้าไต้ฮงกง พระปางนาคปรก ด้วยกล้วยน้ำว้า 1 หวี
การเงิน : ทำบุญถวายสังฆทาน โดยเพิ่มของตัวแทนวันเกิด คือ ร่ม 1 คัน หรือกระโถน
ความรัก : แก้ด้วยการใส่บาตร อาหารเส้นต่างๆ น้ำทับทิม ขนมลูกบัว สับปะรด
สุขภาพ : ทำบุญกับคนพิการหรืออัมพาต ปล่อยวัว ปล่อยเต่า ห้ามกินเลือดหมู ควรกินมะพร้าวเสริมดวง

โดย : แม้นเมือง

www.tlcthai.com

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

53
ธรรมะ / ศีลห้า เป็นศีลของมนุษย์
« เมื่อ: 08 มี.ค. 2554, 09:52:51 »
ศีลห้า เป็นศีลของมนุษย์


ศีลห้า เป็นศีลของมนุษย์ ผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์จะต้องมีศีลห้าบริบูรณ์ ศีลห้าจึงเป็นศีลของมนุษย์
มีคำถามถามว่า “มีใครรักษาศีลห้าได้ครบถ้วนตลอดชีวิตบ้าง?”โปรดยกมือขึ้น จะเห็นได้ว่าไม่มีคนยกมือ นี่ก็แสดงว่าลำพังแต่ศีลเพียงห้าข้อก็รักษากันไว้ไม่ได้เสียแล้ว!
พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า “ให้รักษาใจตัวเดียว” ดังในสมัยพุทธกาล ภิกษุรูปหนึ่งในจำนวน ๕๐๐ รูปผู้บวชใหม่ เมื่อบวชแล้วได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเพื่อขอลาสิกขา โดยกล่าวว่า ศีลของภิกษุมากเหลือเกิน ปฏิบัติไม่ไหว จึงขอลาสิกขา พระพุทธองค์จึงให้ภิกษุรูปนั้นรักษาศีลเพียงข้อเดียว คือให้รักษาใจ พระภิกษุรูปนั้นจึงรับถือศีลข้อเดียวจนได้สำเร็จอริยบุคคล
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ตอบคำถามที่ว่า “ทราบว่าท่านรักษาศีลเพียงข้อเดียว มิได้รักษาทั้ง ๒๒๗ ข้อ เหมือนพระทั้งหลายที่รักษากันใช่ไหม?”
หลวงปู่ฯ ตอบว่า “ใช่ อาตมารักษาเพียงอันเดียว คือใจ อาตมารักษาใจ ไม่ให้คิดพูดทำในทางผิด อันเป็นการล่วงเกินข้อห้ามที่ทรงบัญญัติไว้จะเป็น๒๒๗ ข้อ หรือมากกว่านั้นก็ตาม บรรดาที่เป็นข้อทรงบัญญัติห้าม อาตมาก็ใจเย็นว่าตนมิได้ทำผิดต่อพุทธบัญญัติ ส่วนท่านผู้ใดจะว่าอาตมารักษาศีล ๒๒๗หรือไม่นั้น สุดแต่ผู้นั้นจะคิด จะพูดเอาตามความคิดของตน เฉพาะอาตมาได้รักษาใจอันเป็นประธานของกาย วาจา อย่างเข้มงวดกวดขันมาตลอด นับแต่เริ่มอุปสมบท ฯลฯ”
กลิ่นศีลหอมทวนลม
หอมกลิ่นดอกไม้ที่ นับถือ
หอมแต่ตามลมลือ กลับย้อน
หอมแห่งกลิ่นกล่าวคือ ศีลสัตย์ นี้นา
หอมสุดหอมสะท้อน ทั่วใกล้ไกลถึง
โคลงโลกนิติ

ทำอย่างไรจึงจะรักษาศีล ๕ ตลอดชีวิตได้?
การรักษาศีล คือ การมีเจตนางดเว้นจากการทำความชั่ว ดังคำพุทธพจน์รับรองว่า “เจตนาหัง ภิกขะเว สีลัง วะทามิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเรากล่าวว่าเจตนาเป็นเครื่องงดเว้นนั่นแหละคือ ศีล”
การงดเว้นมีอยู่ ๓ ประการ คือ
๑. สมาทานวิรัติ คือ การงดเว้นด้วยการสมาทาน เช่น สมาทานศีลกับพระ
๒. สัมปัตตวิรัติ คือ การงดเว้นเมื่อมีเหตุบังเกิดขึ้นเฉพาะหน้าแม้ไม่สมาทาน แต่เมื่อมีเหตุการณ์อันใดอันหนึ่งที่จะผิดศีลและตั้งใจงดเว้นขึ้นในขณะนั้น ถือว่าเป็นศีลเพราะตั้งใจงดเว้นเอาเอง
๓. สมุจเฉทวิรัติ คือ การงดเว้นโดยเด็ดขาด นั่นคือศีลของพระอริยะบุคคลซึ่งเป็นโลกุตตระศีล เป็นศีลขั้นสูง เช่น พระโสดาบันรักษาสิกขาบท๕ หรือศีล ๕ นี้ได้ตลอดชีวิต เป็นศีลที่รักษาได้โดยอัตโนมัติคืองดเว้นโดยเด็ดขาด โดยไม่ต้องสมาทานและไม่ต้องตั้งเจตนา
ศีลนี้ หากใครรักษาดีแล้ว ย่อมอำนวยประโยชน์แก่ผู้นั้นมากมายเป็นประโยชน์ในชาตินี้ คือ มีความเย็นใจไม่เดือดร้อนเพราะเป็นผู้มีศีล ประโยชน์ในชาติหน้าพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงสรุปผลของศีลไว้ ๓ ประการว่า
“สีเลนะสุคะติง ยันติ บุคคลจะไปสู่สุคติได้ก็เพราะศีล
สีเลนะโภคะ สัมปะทา บุคคลจะมีโภคะได้ก็เพราะศีล
สีเลนะ นิพพุติง ยันติ บุคคลจะบรรลุพระนิพพานได้ก็เพราะศีล”

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

54
อานิสงส์การสร้างพระประธานและพระพุทธเจ้าองค์ปฐม 9 ประการ


1. การไม่กลับมาเกิดอีก หรือ การได้ไปพิพพานเร็ว เพราะผู้ที่สร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมทำได้ยาก คือว่า เป็นพระพุทธเจ้าต้นพระพุทธเจ้าทั้งหมด

2. เป็นผู้มีบุญมากผู้ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะถูกบันทึกอยู่ในบัญชีทอง ซึ่งเป็นบัญชีทองคำของผู้ที่จะต้องเข้านิพพานเร็ว

3. เป็นผู้มีโชคลาภสูง

4. ผู้นั้นจะมีอำนาจวาสนา / ตำแหน่ง / เกียรติยศ ชื่อเสียง เจริญก้าวหน้าในการทำงานและกิจการอื่นๆ

5. จะได้รับความสุขกาย สุขใจ อุดมด้วยโภคทรัพย์

6. เป็นที่รักแก่มนุษย์ เทพยดาให้ความคุ้มครองรักษา

7. เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้

8. มีรูปร่างงดงาม มีสติปัญญา มีฤทธานุภาพยืนยาว

9. เคราะห์ กรรม ทุกข์โศก จะบรรเทาจางหาย


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

55
วิบากกรรมเเห่งความรัก 21 อย่าง


1.เจ็บปวดทรมานใจจากการรักเขาข้างเดียว

สาเหตุของกรรมมาจาก ในอดีตชาติ เคยเเอบเคียดเเค้นพยาบาท หรือลบหลู่ผู้ที่เราเเอบรัก ในชาตินี้จากกรรมื่เราทำร้ายคนผู้นั้นทางใจ โดยที่ผู้นั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย ชาตินี้จึงส่งผลทำให้เราเจ็บปวดทรมานใจข้างเดียวโดยคนผู้นั้นก็ยังคงไม่รู้เรื่อง ไม่รับรู้อะไรเลย งชาติที่เเล้วและชาตินี้

วิธีลดกรรม หรือเเก้กรรม กรรมชนิดนี้แก้ไม่ยาก หากรู้ตัวว่าเป็นผลจากกรรมที่เราเคยคิดไม่ดีต่อเขา ให้เราทำใจเสียว่าความรักที่เรามีให้เขาเป็นเพียงกรรมเก่า หลังจากนั้น ให้ตั้งจิตอธิษฐานขออภัยขออโหสิกรรมจากเขาเสีย แล้วหมั่นทำบุญอธิษฐานจิต และเเผ่ส่วนบุญกุศลให้เขา เมื่อเราเจอเขาก็ทำตัวปกติเสีย กรรมชนิดนี้เกิดขึ้นจากใจเราเเละก็พยายามทำให้จบลงที่ใจเราเสีย




2.ขาดเสน่ห์ ไม่มีคนสนใจหรือมารัก

สาเหตุของกรรมมาจาก ในอดีตชาติ หรืออาจเป็นกรรมที่ทำในชาติปัจจุบัน คือ ไม่เคยชอบผู้ใด เจอใครก็คิดในเเง่อคติไปหมด ชอบคิดร้ายต่อผู้อื่นและมีนิสัยไม่เป็นมิตร พูดจาให้ร้ายผู้อื่น

วิธีลดกรรมหรือเเก้กรรม
หากชาติปัจจุบันไม่มีนิสัยดังกล่าว แสดงว่าเป็นกรรมในอดีตชาติ ทีทำให้ไม่มีใครรักใครชอบ เวลานึกจะรักผู้ใดก็ไม่มีใครรักตอบ ให้หมั่นทำบุญไหว้พระทุกวัน เพื่อทำให้จิตใจผ่องใส ไม่คิดร้ายต่อผู้ใด ให้ถวายทาน เช่น ใส่บาตร หรือถวายสิ่งของต่อพระสงฆ์เท่าที่จะทำได้ แต่ให้เน้นอธิษฐานจิตเเผ่เมตตา แผ่ความหวังดีต่อผู้อื่น และให้พยายามทำดีและเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น เช่น คิดดี พูดดี ทำดี อย่าไปนึกถึงผู้อื่นในเเง่ร้าย เเต่หากเจอคนเลวนิสัยไม่ดีจริง ก็ให้พยายามหลีกห่างเสีย เพื่อเป็นการระงับกรรมเวรที่จะเกิดขึ้น
3.สูญเสียคนที่เรารัก(เเบบจากกันตลอดไปเพราะเขาเสียชีวิต)

สาเหตุของกรรมมาจาก ในอดีตชาติ คนที่เรารักได้ทำกรรมหนัก ในการตัดชีวิตผู้อื่น อาจเป็นการฆ่าคน หรือสัตว์ประเภทต่างๆ อาจเป็นบาปที่เกิดจากการฆ่าคนหรือสัตว์ที่รักกันให้เเยกจากกัน ส่วนเรานั้นอาจเป็นผู้สมคบร่วมคิด เราอาจไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าชีวิตคนหรือสัตว์นั้นๆ เเต่คนที่เรารักอาจเป็นผู้ลงมือกระทำ ซึ่งเราเป็นผู้รู้เห็นเป็นใจด้วยในทุกขั้นตอน ดังนั้น เมื่อคนที่เรารักได้ตายไปในชาตินี้ เราจึงต้องรับกรรมโดยโศกเศร้า ทนทุกข์ทรมานเพราะการจากไปของคนที่เรารักมาก

วิธีลดกรรม หรือเเก้กรรม
ต้องทำบุญโดยการไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ ให้ปล่อยสัตว์ที่กำลังจะโดนนำไปฆ่า เช่น ปลา ไก่ หมู วัว กระบือ ฯลฯ
วิธีการที่ดีที่สุด ในการไถ่ชีวิตสัตว์ คือ ไปตลาดที่กำลังมีการค้าสัตว์เพื่อนำไปฆ่าและปรุงอาหาร ให้ซื้อสัตว์เหล่านั้น เอาไปปล่อยในสถานที่ที่เหมาะสม เพื่อให้เขามีชีวิตตามธรรมชาติต่อไป
หรืองดกินเนื้อสัตว์ หรือกินเจ โดยอาจกำหนดระยะเวลา ต้งเเต่ 3 เดือนไปจนถึงตลอดชีวิต หากทำได้ยาก อาจเริ่มจากการกินสัตว์เล็ก เช่น กุ้ง หอย ปลาเล็ก ไข่ ฯลฯ โดยไม่กินสัตว์ใหญ่ เช่น ไก่ หมู วัว กระบือ ฯลฯ ซึ่งจะเป็นการลดการเข่นฆ่าสัตว์ที่ต้องเสียชีวิตเพราะนำมาเป็นอาหารของเราได้อย่างมากมาย และเราสามารถอธิษฐานจิตเเผ่เมตตาให่เเก่เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งคนที่เรารัก ผู้ที่ได้จากไป รวมทั้งเจ้ากรรมนายเวรของเราทั้งหมดหลังจากได้ทำบุญทุกชนิด เช่น ใส่บาตร บริจาคทานต่างๆ ฯลฯ

4.อาภัพคู่ ไร้คู่ครอง

สาเหตุของกรรมมาจาก ในอดีตชาติ เคยผิดลูกผิดเมียเขาในอดีตชาติ หรือทำให้ผู้อื่นไร้คู่ครอง โดยอาจไปแย่งคนรักของผู้อื่นมาโดยไม่ถูกต้องชอบธรรม อาจเคยเป็นเมียน้อย เมียเก็บ จนทำให้ครอบครัวของผู้อื่นต้องทุกข์ระทม

วิธีลดกรรม หรือเเก้กรรม

ให้ถือศีล8 ให้มีความบริสุทธิ์ งดกิจกรรมทางกาม หรือบวชพระ บวชชีพราหมณ์ บวชชี หรือร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพงานเเต่งงานให้คู่รักมีความสมหวังในรัก และเวลาถวายทานสิ่งใดก็ตาม ก็ให้เน้นถวายเป็นคู่ เช่น เทียนคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ เเจกันคู่ ผ้าไตรคู่ เครื่องไทยทานคู่ เป็นต้น

5.ได้คู่ครองที่เลวร้าย

สาเหตุของกรรม มาจาก ในอดีตชาติ เคยทุบตี หรือทำร้ายกันมาก่อน อาจเคยสมคบทำเรื่องเลวร้ายมาด้วยกัน และในกรณีของเวรกรรมที่เป็นควมแค้นต่อกัน อาจเคยข่มขืนเขาหรือฆ่าเขา หรืออีกกรณีอาจเคยมีเรื่องบาดหมาง ทำให้เขาผูกใจพยาบาทโดยที่เราไม่รู้ตัวก็เป็นได้ คู่ครองชนิดนี้ เเรกๆอาจจะดี หรืออาจส่อเเวร้ายตั้งเเต่แรกเลยก็เป็นได้ แต่ยังไงๆ ก็จะทำร้ายหรือทำให้เราเป็นทุกข์ เพราะไม่ใช่คู่เเท้หรือคู่บุญ แต่อาจเป็นคู่เเค้น หรืออาจเป็นคตู่กรรม

วิธีลดกรรม หรือเเก้กรรม

หากเป็นคู่กรรม นั่นเป็นเพราะมีบาปกรรมมาก คู่ครองของเราจึงออกมาลักษณะนี้ ให้หมั่นชักชวนทำบุญร่วมกัน พยายามทำดีกับเขาให้มากๆ แผ่เมตตา และอธิฐานจิตให้เขาเจอเเต่สิ่งดีๆ มีความสุข และกลับตัวกลับใจได้ โดยหมั่นทำบ่อยๆ แต่หากเป็นคู่เเค้นเหมือนพระพุทธองค์เจอกับพระเทวทัตต์ หากรู้ตัวให้จงรีบหนีออกห่าง เพราะคู่เเค้นจะไม่เหมือนคู่กรรม คู่เเค้นจะจองเวรเอาเรื่องอย่างเดียว หากเพียงเบาบางก็ทำร้ายเราจนหมดเวรต่อกัน แต่หากหนักๆ อาจฆ่าเราถึงตายได้ เราต้องหาทางระงับไม่ให้เกิดการจองเวรต่อกันอีก พยายามวางเฉย ถืออดทน ไม่จองเวรกลับ ให้บาปกรรมยุติเสีย เช่น บวชพระ หรือบวชชี อาจเป็นชีพราหมณ์ก็ได้ และต้องหมั่นทำบุญไถ่ชีวิตสัตว์ชนิดต่างๆ หรือถือศีลกินเจก็ได้ หากเคยถูกทำร้ายมาก่อน ให้แผ่เมตตาอโหสิกรรมเสีย

6.ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไร้คู่ ไร้คนเหลียวเเลจริงๆ

สาเหตุของกรรมมาจาก ในอดีตชาติ เคยจับสัตว์ขัง จับคนมากักขัง หรือยุยงทำให้ผู้อื่นเกลียดชังกัน แตกแยกกัน โกงผู้อื่นทำให้เขาหมดที่พึ่ง กลายเป็นคนอนาถาไม่มีที่ไป

วิธีลดกรรมหรือแก้กรรม

ทำบุญปล่อยให้สัตว์ต่างๆ เป็นอิสระ หรือให้ชีวิตใหม่เเก่สัตว์ ทำบุญทำทานเเก่เด็กอนาถา สัตว์อนาถา และผู้ที่ไร้คนเหลียวเเล การบริจาคเงินเพื่อสัตว์ เด็ก คน ผู้หิวโหยและถูกทอดทิ้งขว้าง จะช่วยเติมไฟให้เเก่จิตใจของบรรดาผู้ยากไร้ และทำให้เรามีความสุขใจและอบอุ่นใจในปัจจุบันด้วย

บุญชนิดนี้ อาจทำให้ผู้หมั่นสร้างมีคู่ในปัจจุบันชาติได้ ขึ้นอยู่กับกำลังบาปบุญจากชาติที่ผ่านมาและปัจจุบัน หากกำลังบุญมีมากกว่าบาป ผู้หมั่นทำย่อมได้คู่สมใจอย่างเเน่นอน

7.รูปร่างหน้าตาไม่งดงาม ทำให้ไม่มีผู้ใดมาชอบ มารัก

สาเหตุของกรรม มาจาก ในอดีตชาติ ไม่เคยถวายดอกไม้ของหอม หรือของงดงามให้แก่ทางศาสนาและผู้ที่ควรถวาย เช่น ผู้มีพระคุณ ผู้อุปการะ พระสงฆ์ นักบวช เพื่อนฯลฯ หรือไม่รักษาความสะอาด ชอบความสกปรกรกรุงรัง ทำให้ชีวิตปราศจากสิ่งสวยงาม ชอบอยู่กับความอัปลักษณ์และความสกปรก

วิธีลดกกรรมหรือเเก้กรรม
การเเก้กรรมในยุคปัจจุบันมี2 วิธี 1.ใช้หลักทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย เช่น ออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร ใส่ใจเรืองสุขภาพ จะช่วยได้ หรือทำศัลยกรรมใบหน้า ซึ่งหากทำศัลยกรรมได้ถูกต้องตามกระบวนการเเพทย์ก็ไม่น่ากลัว เเต่หากมีบาปกรรมมาหนุน อาจทำให้ศัลยกรรมผิดพลาดและเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
2. วิธีสร้างบุญ เเต่จะเป็นไปตามกฎเเห่งกรรม ที่ว่ากรรมตามเวลา คือ บุญชาตินี้จะไปเปลี่ยนกรรมทำให้เกิด(ชนกกรรม)ในชาติหน้า เพราะชาตินี้ใบหน้าถูกกรรมทำให้เกิดหลอมจนคงรูปแล้วเปลี่ยนไม่ได้ ยกเว้นใวธีเเรก(ศัลยฏรรม) ซึ่งเป็นการผิดธรรมชาติ

ผู้ทำต้องสามารถรับกรรม ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีจากการเปลี่ยนหน้าตนเองโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ให้ได้ หากไม่ต้องการศัลยกรรม ให้ใช้วิธีลดกรรมและสร้างบุญใหม่เพื่อชาติหน้าด้วย เช่น ถวายพวงมาลัยดอกไม้สด ดอกไม้หอม ของสวยงาม และมีประโยชน์ให้แก่ศาสนา หรือเวลาจะเอาของใคร ก็เอาของดีๆ สวยงามให้เขา และทำบุญบริจาคเลือด ดวงตา หรือ อวัยวะร่างกายให้เเก่โรงพยาบาล

8.ได้คู่ครองเป็นคนมีเจ้าของอยู่เเล้ว หรือเป็นเมียน้อย เป็นเมียเก็บ

สาเหตุของกรรมมาจาก ทั้งในอดีตและปัจจุบันชาติ ต้องเคยทำผิดศีลข้อ3 นั่นเอง คือ ชอบเสพกามกับผู้มีเจ้าของอยู่เเล้ว หรือประพฤติผิดทางกรรม เช่น มีความสัมพันธ์ชู้สาวกับลูก เมีย หรือ สามีของผู้อื่น โดยที่ทำให้ครอบครัวของเขาต้องมีความร้าวราน เจ็บปวด หรือแตกแยก ไม่เช่นนั้นทางเราก็ต้องมีเจ้าของอยู่เเล้ว เล้วเราทำผิดต่อคู่รักตนเอง หรืออาจเคยข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยเขาไม่ยินยอม หรือในอดีตชาติ เคยอธิฐานจิตร่วมกันมาว่ากี่ชาติก็ขอให้ได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน
ซึ่งถ้าคู่ที่เราอธิฐานร่วมไว้นั้น มีกรรมร่วมกับผู้อื่นมากกว่าหรือก่อนที่เราจะเข้าไปในชีวิตเขา เราเข้าไปภายหลัง ย่อมกลายเป็นเมียน้อย เป็นเมียเก็บ หรือได้คู่ครองเป็นคนมีเจ้าของอยู่เเล้ว

วิธีลดกรรมหรือเเก้กรรม
คือ หากมีสติก็สามารถหยุดบาปปัจจุบันไว้ได้ พยายามหนีห่างออกมาจากสภาพท่เป็นอยู่เสีย ส่วนวิธีสร้างบุญคือ ร่วมเป็นเจ้าภาพช่วยเหลืองานเเต่งงาน หรือถวายทานคู่ เช่น ถวายธงคู่ ธูปคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ เครื่องไทยทานคู่ ฯลฯ และทุกครั้งท่ทำบุญควรอุทิศผลบุญ แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยมีบาปกรรมต่อกันและขออโหสิกรรมเสีย การทำบุญทุกชนิดและการอธิษฐานจิต ขอให้เขาไปดีมีความสุข และขอให้ตัดขาดจากกันไปเลย จะช่วยบรรเทากรรมตรงนี้ได้
ส่วนวิธีแก้กรรมที่ดีที่สุด คือ การถือเพศพรหมจรรย์ เช่น ถือศีล8 และบวชชี หรือชีพราหมณ์ หากเป็นผู้ชายก็สามารบวชพระได้ อาจกำหนดเวลาที่ถือศีลและบวช ไว้ที่ 8 วัน 20 วัน 2 เดือน หรือเเล้วเเต่สะดวก

9.จิตใจ ไม่สงบ มักฟุ้งซ่าน ร้อนรน เป็นทุกข์เพราะความรัก

สาเหตุของกรรมมาจาก บาปทางใจ เช่น เคยริษยาผู้อื่น แค้นเคือง ผูกพยาบาท โกรธ โมโห ลบหลู่เขา ฯลฯ โดยที่เขาไม่ได้รับรู้เรื่องด้วยเลย กรรมชนิดนี้ คล้ายกรรมที่รักเขาข้างเดียวเเล้วเป็นทุกข์ แต่กรรมชนิดนี้ จะมีเหตุมาจากกรรมทางใจชนิดอื่นด้วย และเจ้ากรรมนายเวรของเราอาจมีหลายคน อาจมีทั้งที่เสียชีวิตแล้วและยังมีชีวิตอยู่ บาปจากกรรมนี้จะทำให้ใจสับสนคล้ายไร้จุดยืน ไม่มีสมาธิ มักกังวลเรื่อยเปื่อย

วิธีลดกรรมหรือแก้กรรม
ควรทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน หรือทานทุกชนิด อาจมีการไถ่ชีวิตสัตว์ทุกชนิด และให้เน้นนั่งสมาธิ สวดมนต์ (อาจสวดคาถาชินบัญชร และแผ่เมตตา อธิษฐานจิต ตัดความทุกข์ทางใจของเราเอง

อาจอธิษฐานจิตแผ่เมตตา ให้ผู้มีเรื่องกับเราอยู่ดีมีสุข ไม่มารบกวนเราทางใจอีก และให้เน้นการปล่อยวางทางใจ สามารนั่งสมาธิ ได้ทั้งเเนวสมถะและวิปัสสนา ควรหาคู่มือสมถะเเละวิปัสสนาเล่มเล็กมาใช้เพื่อการระงับใจที่ถูกต้อง

10.โง่เขลาเพราะความรัก และถูกคนที่เรารักหลอกลวงอยู่รำไป

สาเหตุของกรรมมาจาก ในอดีตชาติ เคยดูถูกความรักและคนที่เขารักเรา และอาจดูถูกผู้ที่เขาเป็นคนดี ผู้ที่หมั่นหาความรู้และประกอบเเต่กรรมดี หรืออาจเคยหลอกคนที่เขารักเรา หรือชักชวนคนที่หลอกเราในชาตินี้ ให้ไปกระทำผิดด้านความรัก ด้านชู้สาว โดยอาจทำให้คู่กรณีที่กล่าวมามีความเจ็บปวด ทรมานทั้งกายและใจ ส่วนตัวเรานั้น ก็ไม่ขยัน หมั่นเพียรศึกษาหาความรู้ที่ดีงาม แต่กลับหมกหมุ่นในเรื่องชู้สาว เรื่องความรักที่มีเเต่โทษ

วิธีลดกรรมหรือเเก้กรรม ให้ทำบุญ ถือศีล 5 หรือ 8 และทำทาน โดยเน้นทำบุญด้านหนังสือธรรมะ หรือพิมพ์บทสวดมนต์เเจก หากอยู่ในช่วงโดนหลอกอย่างหนัก อาจ ถวายเทียน หลอดไฟฟ้า น้ำดื่ม ถังบรรจุน้ำ เครื่องกรองน้ำ ให้เเก่วัด เพราะเป็นสัญลักษณ์เเห่งเเสงสว่างและความไหลรื่น จะได่เกิดความสบายใจ และเกิดผลในเเง่บวกต่อใจในขณะนั้น
นอกจากนี้ ยังสมารถบำรุงปัญญาโดยการสวดมนต์และทำสมาธิทุกวัน แล้วอธิษฐานจิตขอให้วิบากรรมของเราหมดไป อธิษฐานขอโทษ ขออโหสิกรรม และแผ่เมตตาให้คนที่หลอกเรา และขอให้เขามีความสุข โดยอธิษฐานขอให้เขาอย่าได้หลอกลวงเราอีกเลย เป็นการตัดบาปกรรมที่มีต่อกันให้สิ้นเสีย

11.มีคนรักก็จริง แต่กลายเป็นคนรับใช้ ของคนรักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สาเหตุของกรรมมาจาก
การที่ทั้งคู่เป็นคู่กรรมร่วมกันมาตั้งเเต่อดีตชาติ มีความรักร่วมกันมาและมีใจมุ่งมั่นจะเป็นคู่ครองกัน หรืออาจอธิษฐานจิตเป็นคู่กันในชาติต่อๆมา แต่มีบาปร่วมกัน เช่น เคยใช้คนรักของตนเหมือนทาส เคยเนรคุณทรยศคนรักของตน หรืออาจเคยติดหนี้บุญคุณคนรักหลายอย่าง แต่บาปตรงนี้อาจไม่หนักมาก จึงยังคงรักกันอยู่ แต่ต้องคอยรับใช้เขาเหมือนเช่นเราเคยใช้งานเขาในอดีตชาติ

วิธีลดกรรมหรือเเก้กรรม

พยายามทำบุญต่อทั้งเขาและผู้รอบข้าง เช่นครอบครัว ญาติพี่น้อง และผู้ใกล้ชิด อย่างจริงใจและในจำนวนครั้งที่มากครั้ง เพื่อบุญจะได้ผลักดันบาปเก่าให้เคลื่อนห่างออกไป และส่วนที่ชดใช้กรรมหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องมีความอดทนหากเรายังรักคนรัก ของเราอยู่ ให้ถือเสียว่า ตั้งใจชดใช้บาปกรรมของเราและตั้งใจสร้างบุญใหม่ขึ้นมาแทรกเเซง อาจใช้วิธีทางจิตวิทยา เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยทำให้คนรักเราเห็ว่า เรารักเขาจริง หากรักกันจริง ก็ต้องเข้าใจเราบ้าง และให้พาเขาไปทำบุญร่วมกันบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการมีบาปร่วมกัน
เช่น ร่วมกันตอบเเทนคุณของพ่อเเม่ทั้งสองฝ่าย ร่วมกันสร้างพระพุทธรูป รวมทั้งไถ่ชีวิตสัตว์ประเภทต่างๆ ร่วมกัน และในการทำบุญแต่ละครั้งให้หมั่นแผ่เมตตา ให้เขาและอธิษฐานจิตให้เขาเลิกทำร้ายเราทางใจ หรือเห็นเราเป็นคนรับใช้เสียที เมื่อบาปตรงนี้เจือจาง ท่าทีของเขาจะเปลี่ยนไป และเราก็สมารถปรับเปลี่ยนท่าที ไม่ต้องเป็นทาสรับใช้เขาอีกต่อไป แต่เน้นเดินร่วมกันบนทางเดินเเห่งชีวิตคู่

12.โดนคนรักเอาเปรียบ

สาเหตุของกรรมมาจาก เคยเบียดเบียนเงินหรือสิ่งของของผู้อื่น เช่น พ่อเเม่ ญาติพี่น้อง โดยเฉพาะคนที่เป็นคู่เวรคู่กรรมกับเราไว้ในอดีตชาติ เคยโกง ผู้มีพระคุณหรือคู่เวรคู่กรรมในอดีตชาติ กรรมชนิดนี้ รวมถึงการขโมยเงิน หรือทรัพย์สินต่างๆ ของครอบครัว และของคู่เวรคู่กรรม ของเรามาใช้

วิธีลดกรรมหรือแก้กรรม
ให้ลดกรรมด้วยการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการให้ทานทุกประเภท อย่ายึดติดในสิ่งของที่ต้องใช้ร่วมกัน และให้ถือเสียว่า การที่เราเผื่อเเผ่ในสิ่งที่เราไม่ได้ใช้หรือไม่มีประโยชน์ต่อเรามากนัก ก็นับว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ซึ่งเราควรยินดีด้วย และหลังจากการให้ทานเเล้ว ให้อธิษฐานจิตขออโหสิกรรมเจ้ากรรมนายเวร หรือคนรักของเราเสีย อย่าให้มีเวรกรรมต่อกัน และจงอย่าคิดแค้น หรือเอาคืนจากคนรักที่กำลังเอาเปรียบเราอยู่ เพราะจะเป็นเวรกรรมต่อกันไม่จบสิ้น

13.เป็นทุกข์เพระคนรักเจ้าชู้

สาเหตุของกรรมมาจาก ในอดีตชาติ หรือเเม้เเต่ชาติปัจจุบันเป็นคนเจ้าชู้ ไม่รักใครมั่นคง ชอบหลอกผู้อื่นให้อกหักและเศร้าโศก อาจมีพฤติกรรมนอกใจคู่รักเข้ามาเกี่ยวข้อง

วิธีลดกรรมหรือเเก้กรรม
ให้ลดบาปกรรมที่ตัวเรา โดยเริ่มประพฤติดีปฎิบัติดีทั้งความคิด กาย วาจา ใจ หากตนเองมีพฤติกรรมเป็นคนหลายใจ ก็ให้เลิกเสีย เพราะจะเป็นบาปส่งให้คนรักเรานอกใจเราอยู่ร่ำไป หากคนรักเป็นคนเจ้ชู้มาก ให้ปรับพฤติกรรมของเราเสีย การราวีและจับผิด หรือทะเลาะเบาะเเว้ง เพราะเรื่องนี้จะเป็นการสร้างเวรกรรมใหม่เพิ่ม นอกจากจะระงับกรรมปัจจุบันไม่ได้แล้ว ยังทำให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โตอีกด้วย พยายามทำบุญให้จิตใจผ่องใส ให้ทำบุญและอธิษฐานจิตบ่อยๆ ให้หมดเวรหมดกรรมตรงนี้เสีย จะได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีงามต่อชีวิต ส่วนการทำบุญเกี่ยวกับความรัก เช่น ถวายทานเป็นคู่ ร่วมทำบุญงานแต่งงาน ทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นได้สมรักสมหวังกัน ฯลฯ จะช่วยส่งเสริมให้ความรักของเราได้สมหวัง

14.กรรมที่ต้องมีคู่รักมาก

สาเหตุของกรรมาจาก การที่เราได้มีจิตผูกพันรักใคร่ หรือร่วมอธิษฐานจิต ร่วมเป็นคู่กับคู่รักหลายคน หรือทำบุญร่วมกันมา ซึ่งตามกฎเเห่งกรรมของความรักนั้น ชายหญิงจะมีคู่เรียงกันมา ราวๆ 5 คน เพราะจริงๆ แล้วคนที่เคยอยู่ร่วมกันมา มีนับชาติและนับคนไม่ถ้วน แต่คนที่จะอยู่ร่วมกันด้วยจะมีเพียงคนเดียว เพราะเป็นเนื้อคู่แท้ที่อยู่ร่วมกันมาและตั้งจิตจะอยู่คู่กันมามากชาติที่สุด ซึ่งเนื้อคู่ที่เคยอยู่ร่วมกันมาในอดีตชาติ ไม่จำเป็นต้องมาปรากฏอยู่ร่วมกับเราทั้ง5 คนก็ได้

แต่กรณีที่มีคู่รักมาก จนทำให้เกิดความเจ็บปวดทั้งสองฝ่ายเพราะความพลั้งเผลอในบุญและกรรมที่เผลอทำร่วมกันมา ตัวอย่าง เช่น เคยถวายทานเเก่พระร่วมกัน ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันมาก่อน โดยในขณะที่ถวายนั้น เผลอมีจิตชอบหลงใหลชอบกันชั่วเเวบขณะหนึ่ง ทั้งบุญและบาปตรงนั้นจะเป็นกรรมแทรกเนื้อคู่อันเเท้จริงที่มีเเต่เดิม มาจนกลายเป็นปัญหารักสามเส้า หรือหลายๆเส้าก็เป็นได้

วิธีลดกรรมหรือเเก้กรรม

อาจใช้วิธีปัจจุบันทันด่วน จะได้แก้ปัญหาทันท่วงที นั่นคือ ให้เจรจากับคู่รักของเราทั้งหมด ให้เข้าใจว่า แผนการในอนาคตควรเป็นเช่นไร เพราะอย่างไรก็ตามสังคมและวัฒนธรรมไทยยังรับไม่ได้กับการมีคู่รักพร้อมกันหลายๆคน ทั้งฝ่ายชายมีภรรยาหลายคน หรือฝ่ายหญิงมีสามีหลายคน เพราะจะเกิดปัญหาหลายอย่างในอนาคต ทั้งปัญหากฎหมายและปัญหาครอบครัว และจะทำให้ทุกคนที่เกื่ยวข้องเจ็บปวด ทรมาน และมีความทุกข์ใจอย่างมากมาย

ส่วนวิธีลดกรรม ต้องสำรวม กาย วาจา ใจ พยายามลดความกำหนัดทางกายให้ได้มากที่สุดที่ทำได้ อาจเริ่มศึกษาธรรมะให้มากขึ้นฝึกสมถะเเนวอสุภะ และวิปัสสนากรรมฐาน และถือศีล5 หรือศีล 8

ทุกครั้งเมื่อทำบุญใดๆ ก็ตาม ก็ให้อธิษฐานตัดคู่รักที่ไม่ใช่คู่เเท้ที่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไปออกเสีย ให้เหลือ เเต่คู่ จริงๆ ที่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป
หากมีคนเดินเข้ามาในชีวิตก็ต้องใช้สติพิจารณา หากพิจารณา ถ้วนเเล้ว ไม่ใช่เนื้อคู่ที่เเท้จริง ก็พยายามตัดคนๆ นั้นออกจากชีวิตไปเสีย โดยอธิษฐานจิตหลังทำบุญตลอดไม่ให้ชีวิตยุ่งเหยิงจาการรักซ้อน ส่วนเวลาทำทาน ก็พยายามทำทานด้วยของเป็นคู่ ๆ ไป เอาเคล็ดไว้ก่อน

15.กรรมที่ต้องเป็นไซด์ไลน์ สาวนั่งดริ๊ง โสเภณี หรือต้องขายตัว

สาเหตุของกรรมมาจาก ในอดีตชาติ อาจเคยพรากภรรยา หรือสามีผู้อื่น หรือเป็นคนเจ้าชู้มากรัก ประพฤติผิดทางกามเป็นประจำ และหักอกให้ผู้อื่นต้องช้ำใจ ขณะเดียวกันทั้งศีลและจริยธรรมก็บกพร่องตลอดด้วย โดยเฉพาะทางเพศ ทำให้ต้องมาเกิดเป็นโสเณี หรือคนที่ต้องทำอะไรคล้ายๆ กับการขายตัวในชาติปัจจุบัน

ซึ่งเเรกๆ อาจยังไม่รู้ตัวว่าจะต้องเป็นเช่นไร ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ดีงาม นั่นเป็นเพราะมีบาปกรรมบังตาไว้ ต่อมาเมื่อรู้ตัวและเกิดความทุกข์ก็ตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว

วิธีลดกรรมหรือแก้กรรม

ในเมื่อทำไปเสียแล้ว ก็ให้มีสติ ฉุกคิด ในสิ่งที่ตนทำไว้ ให้รู้เท่าทันในการกระทำของตน ให้นำเงินจากการขายบริการทางเพศส่งให้พ่อแม่ใช้ตลอดอย่าให้ขาด เป็นการตอบแทนคุณ ส่วนเงินส่วนหนึ่ง ก็ให้แบ่งทำบุญ โดยเฉพาะกับสัตว์ที่ถูกทิ้ง เด็กกำพร้า คนตาบอด คนพิการ คนชรา ฯลฯ

สัตว์เเละคนเหล่านี้น่าสงสาร เพราะด้อยโอกาสกว่าคนทั่วไป ให้ทำบุญเช่นนี้เป็นประจำ อย่าได้ขาด ถ้าเป็นไปได้ก็ทุกเดือนจนกว่า จะพ้นกรรมตรงจุดนี้ได้ และให้ระมัดระวังการใช้เงิน อย่าใช้ฟุ่มเฟือย สนองความสวยงามของร่างกายเเต่เพียงอย่างเดียว ให้ตั้งใจระมัระวัง สำรวมกายและใจ อาจถือศีล กินเจ

ส่วนข้อที่ละไม่ได้ไม่เป็นไร ให้ตั้งใจถือศีลข้อที่ละได้อย่างเคร่งครัด เช่น ไม่พูดโกหก ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ดื่มสุรา ไม่ผิดคนรักของผู้อื่น นอกจากอาชีพท่ตนทำอยู่ หรือพยายามอย่าให้ตนเป็นสาเหตุที่ทำให้ครอบครัวผู้อื่นต้องเลิกร้างกัน ให้พยายามครองโสดตลอดไป อย่าเพิ่งมีความรักแบบหนุ่มสาวจนกว่าจะพ้นอาชีพ หรือวิบากกรรม ตรงจุดนี้แล้ว ให้อธิษฐานจิตเเผ่เมตตา ขออโหสิกรรม ขอตัดกรรมกับเจ้ากรรมนายเวร หรือคู่กรณีหลังจาการทำบุญทุกครั้ง และขออธิษฐานจิตทำความดียิ่งๆ ขึ้นไปเพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น



16. กรรมต้องพลัดพรากจากคนรัก(คนรักยังมีชีวิตอยู่)

สาเหตุของกรรมมาจาก ในอดีตชาติ ได้ทำการพรากลูกพรากเมียผู้อื่น หรือได้วางแผนยุยง และทำให้บ้านเมืองและหมู่คณะ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่รักกันต้องพลัดพรากแตกแยกกัน บาปชนิดนี้ เกิดขึ้น เพราะทั้งเราและคนที่เรารัก อาจเป็นคนร่วมกันทำในอดีตชาติ หรืออาจจะทำฝ่ายเดียว ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งสมรู้ร่วมคิด รู้เห็นเป็นใจ ทำให้ในชาติปัจจุบัน ทั้งเราและคนที่เรารัก ต้องรับกรรม แตกแยกกัน ไม่มีทางได้กลับมารักกันได้ หรือยังรักกันแต่ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้

หากเรามีครอบครัว ครอบครัวของเราอาจแตกแยก พลัดพราก บ้านเเตกสาเเหรกขาดอย่างที่ไม่ต้องการจะให้เกิดขึ้นในชีวิต

วิธีลดกรรมหรือเเก้กรรม

หากต้องพลัดพรากจากครอบครัวและบ้านเมืองอันเป็นที่รัก แสดงว่าเป็นบาปกรรมหนัก อาจเป็นกรรมที่ทำให้ประเทศชาติและคนในชาติต้องเเตกแยกร้าวราน จำต้องอดทนรับกรรมที่เกิดขึ้น เพราะบาปที่เกิดขึ้นหนักมาก บุญที่ทำไม่อาจผลักดันให้บาปนั้นเคลื่อนห่างได้โดยง่าย แต่ก็ให้ทำการลดกรรมด้วยการทำบุญตลอดเวลา จะได้ไม่มีผลบาปส่งไปถึงชาติหน้า และชาตินี้ อาจมีโอกาสที่กรรมตรงนี้จะหมดไป ให้เน้นการทำบุญที่เป็นการส่งเสริมให้เกิดความปรองดองขึ้น

เช่น บริจาคเงินเข้าโครงการร่วมพัฒนาชนบท อาหารกลางวันเด็ก โครงการช่วยเหลือเด็กบ้านแตก หรือเด็กกำพร้ ฯลฯ และเงินที่ใช้บริจาคทาน ไม่ควรมาจากการโกงกินกรือโดยมิชอบ หลังจาการทำบุญทุกครั้ง ให้อธิษฐานจิตเพื่อให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ และหากรู้ว่า การกลับคืนมาของคนที่รักไม่สามารถเป็นไปได้ ก็ให้ทำบุญแผ่ส่วนบุญกุศลไปถึงคนที่เรารักบ่อยๆ เพื่อให้ชีวิตของเขามีความสุข และให้หมั่นอุทิศตัวทำบุญเพื่อสาธารณประโยชน์ให้มากครั้ง

17. ต้องเจ็บตัวหรือเจ็บใจเพราะความรักเป็นประจำ

สาเหตุของกรรมมาจาก ในอดีตชาติ อาจเคยมีเรื่องบาดหมางกับผู้คนมากมาย หรือเคยทรมานทาส ทำร้ายร่างกายผู้อื่นไว้ ทำให้ชาตินี้ ต้องมารับวิบากกรรม กรรมชนิดนี้ จะรวมการเจ็บตัว และเจ็บปวดใจเข้าด้วยกัน

วิธีลดกรรมหรือเเก้กรรม

ให้ตั้งจิตอุเบกขาอดทนรับกรรม ให้อธิษฐานจิตว่า ยินดีรับผิดเเล้ว ยินดีให้ลงโทษไปตามกรรมที่ได้เคยก่อขึ้นมาในอดีตชาติ และขอขมา ขออโหสิกรรม และขอให้บุญที่ทำมาดีแล้ว จงแผ่ไปสู่เจ้ากรรมนายเวรและคู่กรณี หรือคนรักที่ทำให้ต้องเจ็บตัวและเจ็บใจทุกๆท่าน ให้ท่านเหล่านั้นจงมีความสุข และเมื่อมีโอกาส ให้ทำบุญโดยการช่วยเหลือทางการเเพทย์ต่างๆ ไม่ว่าด้วยทรัพย์ หรือเเรงกาย หรือการบริจาคเลือดหรืออวัยวะ หรือทำทานเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ที่ไร้ผู้อนุเคราะห์ เพื่อตั้งจิตอธิษฐานผลบุญและแผ่เมตตาไปให้ทุกๆ คนที่เคยมีเวรกรรมต่อกัน กรรมเก่าก็จะหมดเร็ววัน





18. เกิดมาผิดเพศหรือชอบเพศเดียวกัน

สาเหตุของกรรมมาจาก

ในอดีตชาติ อาจเคยผิดลูกเมียผู้อื่น หรือยังเหลือเศษกรรมที่ต้องชดใช้กับเจ้ากรรมนายเวรที่เป็นเพศเดียวกัน หรืออาจเคยทำกรรมแย่งภรรยาผู้อื่น หรือมีศีลและจริยธรรมบกพร่องจนต้องมาเกิดเป๋นกะเทยหรือบุคคลรักร่วมเพศ หรือเป็นคู่รักเก่าร่วมบุพเพกันมา เเต่เกิดมาเป็นเพศเดียวกันเพราะบาปกรรมที่เคยก่อไว้ บางรายอาจเป็นพรหมจุติมาก่อน จึงติดเศษบุญเก่า คือ ดูไม่คล้ายชายไม่คล้ายหญิง เพราะร่างพรหมไม่มีเพศ เเต่เนื่องจากมีบาปเก่าติดมาด้วย จึงอาจมีบางช่วงชอบผู้ชายด้วยกัน เพราะเป็นเศษบาปกรรมในอดีตชาติ

วิธีลดกรรมหรือเเก้กรรม คือ ให้ตั้งอธิษฐานจิตชดใช้กรรม โดยขอให้เจ้ากรรมนายเวรลดทอนโทษด้วยการทำบุญไปให้ อาจเน้นการทำบุญ เช่น ช่วยเด็กกำพร้า ผู้ถูกทอดทิ้ง ผู้ที่ครอบครัวแตกแยก ฯลฯ

หากอยู่ในสภาวะที่การรักร่วมเพศเป็นไปไม่ได้ หรือมีทุกข์หนัก ให้อุทิศชีวิตโสดของตน เพื่อทำงานการกุศลประเภทต่างๆ จนหมดวาระกรรม ไม่ควรฝืนเเต่งงานกับผู้หญิงที่ตนไม่ได้มีจิตรักใคร่ตามเพศชายหญิง เพราะจะทำให้เกิดบาปกรรมพ่วงผูกพันกันต่อไปในชาติหน้า ควรครองตัวเป็นโสดและใช้เวลาว่างทำบุญเพื่อสาธารณประโยชน์ต่อๆไป

ในกรณีที่มีคู่รักเป็นเพศเดียวกัน ที่สามารถอยู่ครองรักใคร่และเข้าใจกันได้ ก็ให้หมั่นเชิญชวนการทำบุญอันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนให้มากๆ ควรหลีกเลี่ยง การตั้งใจ หรืออธิษฐานจิตให้เกิดมาเป็นเพศเช่นนี้ต่อๆไป แต่ควรขอให้คุณงามความดีที่ทำมา ให้เกิดมาเป็นเพศตามธรรมชาติตามำลังของกรรมในชาติต่อๆไป

19.มีคู่รักแต่ กลับไม่มีลูก

สาเหตุของกรรมมาจาก

ในอดีตชาติ เคยทำร้ายลูกของสัตว์อื่น หรือพรากลูกสัตว์มาจากพ่อแม่ของมัน อาจเคยข่มเหงรังแก หรือฆ่าลูกของคนอื่น แต่ถ้าในกรณีที่มีลูกช้า อาจยังไม่ทราบว่า เราเคยได้ฆ่าชีวิตลูกผู้อื่นหรือไม่ ในอดีตชาติ อาจเป็นเพียงบาปที่ไปพรากลูกผู้อื่นหรือกีดกันไม่ให้ลูกต้องพบกับพ่อแม่

วิธีลดกรรมหรือเเก้กรรม

ลดกรรมด้วยการถือศีลกินเจ 7 วัน ในทุกๆ เดือน และให้เน้นการทำบุญไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ ให้ไปซื้อสัตว์ที่กำลังจะโดนฆ่าเอามาปล่อยเสีย และทำบุญบริจาคทานที่มูลนิธิช่วยเหลือสัตว์ หรือมูลนิธิเด็กอ่อน เด็กกำพร้า เด็กถูกทอดทิ้ง เป็นต้น

หากต้องการเร่งบุญให้ถือศีล8 เป็นเพศพรหมจรรย์ และกินอาหารผักเป็นนิตย์ ละเว้นการตัดชีวิตสัตว์เพื่อนำมาทำเป็นอาหารเสีย หากในปัจจุบันชาติ ไม่สามารถมีลูกสืบสกุลได้แล้ว บุญจะหนุนนำไปอีกชาติหนึ่ง หากท่านยังมีอายุไม่มาก ให้แก้กรรมโดยทำบันทึกความดีขึ้นมา




20.ชีวิตคู่ไม่ราบรื่น ทะเลาะเบาะเเว้ง กันเป็นประจำ (อาจจะร้างรากันในที่สุด)

สาเหตุของกรรมมาจาก 2 กรณี

กรณีเเรก คือ ในอดีตชาติ เคยทำบุญร่วมกันโดยไม่เต็มใจ หรือโดยไม่รู้ตัว ซึ่งในกรณีนี้ ปกติเเล้ว จะอยู่ได้ไม่นานก็ต้องร้างรากันไป แต่ทั้งคู่คงเผลอทำบุญร่วมกันในบุญใหญ่ที่มีความบริสุทธิ์มากจริงๆ จึงทำให้อยู่ร่วมกันยาวนานได้ ข้อนี้ต้องระวัง ถ้าหมดบุญแล้ว จะต้องเลิกรากันตามอำนาจแห่งกรรม

คู่ชนิดนี้ ความสัมพันธ์จะไม่ราบรื่น ทะเลาะกันบ่อยครั้งจนเลิกรากันไป โบราณเรียก เนื้อคู่ ชนิดนี้ ว่า เนื้อคู่ข้าวตอก ดอกไม้ คือ ทั้งคู่เผลอเอาดอกไม้ไปถวายพระพร้อมกันแล้วเผลอเเตะตัวกัน ทำให้บุญตรงนั้นบันดาลให้เป็นคู่รักกันตามกำลังบุญ โดยมีระยะเวลา ตั้งเเต่ 1---30 ปี ก็ยังมี หลังจานั้นก็ต้องเลิกกัน

กรณีที่สอง คือ ในอดีตชาติ ก่อนๆ เป็นคู่เเท้ร่วมกันมา แต่ขาดความปรองดองต่อกัน ไม่ชอบร่วมมือกัน ชอบทำอะไรกันคนละทาง ซึ่งอาจเป็นเพราะขาดการอธิษฐานจิต หรือชอบทำบุญต่างเวลากัน

เนื้อคู่ชนิดนี้ ปัจจุบันชาติ อาจไม่เลิกรากัน แต่หากบุญค่อยๆ ขาดจากกัน จะไม่เป็นคู่กันอีกในชาติต่อๆไป

วิธีลดกรรมหรือเเก้กรรม

ในทั้งสองกรณี คือ ร่วมใจกันทำบุญร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ เช่น ตักบาตร ถวายสังฆทาน ร่วมเป็นเจ้าภาพงานเเต่งงาน ร่วมกันไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ ฯลฯ ให้ทำร่วมกันเป็นประจำ สม่ำเสมอ หรือทุกวันได้ยิ่งดี โดยให้ตระหนักว่า หากเรากับคู่รักเป็นกรณี เเรก เเสดงว่า เผลอทำบุญร่วมกันน้อยมาก ต้องเพิ่มบุญให้มากๆ จะได้ผลักชะตากรรมที่ต้องร้างรากันให้ห่างออกไปให้มากที่สุด และให้หมั่นสวดมนต์ ถือศีล ทำสมาธิร่วมกัน
อย่าทำบุญใดๆ หรือถือศีลคนเดียว เพราะจะทำให้เกิดช่องว่างของบุญและบาปขึ้น เช่น เราดื่มสุรา แต่แฟนถือศีล5 บุญของเเฟนเราจะยิ่งผลักคนที่ถือศีล 5 อย่างเราให้ไกลจากเขาทุก ๆ ที พยายามสำรวมกาย วาจา ใจ ให้คิดดี พูดดี ทำดี ซึ่งให้เริ่มจากเราก่อน จะได้ไม่เป็นการสร้างบาป ต่อกัน และท้ายที่สุด คือ ให้พยายาม ทำดีกับคู่รักให้มากๆ ให้คิดเสียว่าหากบุยเนื้อคู่ขาดกันวันใด เราก็จะไม่เสียใจแล้ว เพราะทำดีกับเขาที่สุดเเล้ว

21. ชีวิตคู่ไม่ประสบความสำเร็จ ในชีวิต ร่วมกันทำอะไรก็ไม่เจริญ มีเเต่ทรงกับทรุด

สาเหตุของกรรมมาจาก ทั้งคู่เป็นคู่กรรม ร่วมกันมา คือร่วมทำทั้งบุญและบาปร่วมกัน อาจเป็นคู่ ที่ไม่ควรเป็นคู่กันด้วยซ้ำ แต่บุญบาปในอดีตชาติ ทำให้หันเห มาเป็นคู่ชีวิตกัน หรือ อาจเป็นคู่เเท้ร่วมกันมาในชาติก่อนๆ แต่ร่วมกันทำบาปเล็กๆน้อยๆ หลายๆ บาปร่วมกัน บาปกรรมที่ทำจึงบันดาลให้ชีวิตคู่ ไม่ราบรื่น มีอุปสรรค ให้ฟันฝ่าจนเหนื่อยเสมอ หรือในปัจจุบันชาติ ทั้งคู่อาจร่วมกันทำบาปร่วมกันเล็กๆน้อยๆมาเรื่อยๆ โดยไม่สนใจทางบุญกุศลเลย ชีวิตคู่จึงไม่มีความเจริญเกิดขึ้น

วิธีลดกรรมหรือเเก้กรรม

ให้ร่วมกันทำบุญ ทำทานอย่างสม่ำเสมอ หากอุปสรรคที่พบเจอเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อยๆ หลายๆ เรื่อง แสดงว่า ทั้งคุ่ยังไม่มีบาปกรรมหนักร่วมกัน จงอย่าประมาท ให้รีบทำบุญ ทำกุศลหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อาจเป็นการออกเเรงเเทนเงินก็ได้
เช่น ร่วมกันกวาดถนน ร่วมกันกวาดลานวัดหรือเจดีย์ ร่วมกันล้างบ้าน ร่วมกันล้างห้องน้ำวัด ทำความสะอาดบ้านหรือวัด ร่วมบริจาคข้าวของให้คนยากไร้ ร่วมเป็นอาสาสมัครช่วยงานบุญที่วัด หรืองานการกุศลตามมูลนิธิต่างๆ ร่วมกันตักบาตรพระ หรือทำบุญต่างๆ ในวัดร่วมกัน ร่วมกันไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ ที่กำลังจะเป็นอาหาร เป็นต้น ส่วนการทำบุญที่ดีกว่านี้ เช่นการรักษาศีล หรือนั่งสมาธิภาวนาร่วมกัน ก็ควรทำหากเป็นไปได้

*************************************************************************************

รักเอย มีเเล้วทุกข์โศกสนิท เเต่ยม รักลบน้ำตาสิ้น

รักนั้นอยู่คู่ใจเป็นอาจิณ ประจำประวิงตามอยู่คอยเคล้าคลอ

รักนี้หรือคือกรรมเเต่เก่าก่อน คอยอาวรณ์เคียงอยู่มิรู้หาย

อยู่กับเรา ตายกับเรา ไม่เสื่อมคลาย มีความหมายล้วนสิ้น มาจากกรรม

รักกันอย่างไรก็ต้องพรากจากกัน

ข้อมูลจาก ชำเเหละกรรม ที่มาจากความรัก โดย จุฑา จิรชีวะ หาได้ตามร้านหนังสือต่างๆ


________________________________________

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

56
ชมภาพ ปาฏิหารย์ หลวงตามหาบัว อุ้มบาตร อำลา ...ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว


เมื่อวันที่ 5 มีนาคม อันเป็นวันพระราชทานเพลิงศพพระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ณ วัดป่าเกษรศีลคุณ หรือวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี

ท่ามกลาง พุทธศาสนิกชนเดินทางหลั่งไหลมายังวัดป่าบ้านตาด จำนวนมาก เพื่อร่วมพิธีสำคัญ และรอเฝ้าฯ รับเสด็จ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่จะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นประธานในพิธี ในช่วงเย็น

ในประชุมเพลิงส่งหลวงตา เวลา 18.30 น. พระสงฆ์วัดป่าบ้านตาด ขึ้นเมรุวางไม้จิกอีกครั้ง ก่อนที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จขึ้นเมรุวางดอกไม้จันทน์แก่นไม้จิก แล้วเสด็จลงประทับพระราชอาสน์ ในพลับพลาที่ประทับ ทอดพระเนตรพิธีพระราชทานเพลิงศพหลวงตามหาบัว ท่ามกลางบรรยากาศเศร้าสลด
บริเวณรอบเมรุ บรรดาญาติโยมพุทธศาสนิกชน ยังคงนั่งพนมมือภาวนาจิตเพ่งไปที่จิตกาธาน ที่ไฟกำลังลุกโชน ควันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อส่งหลวงตามหาบัวสู่วิมุตธรรม โดยบอกว่าหลวงตาจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ขณะที่บางส่วนภาวนาสังโฆ สังโฆ ด้วยดวงตาที่แดงก่ำ น้ำตาคลอเบ้า และร้องไห้กันระงมไปทั่ววัด

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่บันทึกภาพดังกล่าว ด้วยกล้องดิจิตัล ต่างตื่นตะลึงกับภาพที่ได้เห็น เพราะภาพที่ถูกบันทึก ปรากฏเป็นภาพเปลวไฟ เป็นรูปทรงคล้ายหลวงตา อุ้มบาตร กลางท้องฟ้า ภาพดังกล่าวเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ กันอย่างกว้างขวาง ว่าเป็น ปาฏิหาริย์ ของหลวงตา


สำนัก ข่าว ไอเอ้นเอ็น รายงานว่า จากควันไฟที่พวยพุ่งจากลานจิตกาธาน มีลักษณะคล้ายภาพด้านข้างของหลวงตามหาบัวครึ่งตัว กำลังอุ้มบาตร สร้างความฮือฮา และเชื่อว่าเป็นปาฎิหาริย์ของหลวงตามหาบัว


ภาพจาก ทีเอ็นเอ็น / มติชน

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

57
กฎแห่งกรรม / วิธีลดกรรม 45 อย่าง
« เมื่อ: 06 มี.ค. 2554, 06:46:16 »
วิธีลดกรรม 45 อย่าง


1. กรรมที่ไม่มีลูก
กรรมจาก การทำร้ายลูกของสัตว์อื่น พรากสัตว์อื่นจากพ่อแม่หรือเคยข่มเหงลูกคนอื่น
ลดกรรม ด้วยการงดกินเนื้อสัตว์ทุกๆ 7 วัน ในทุกๆเดือนทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญบริจาคทานที่มูลนิธิสัตว์หรือมูลนิธิเด็กอ่อน

2. เจ็บป่วยบ่อย หรือเป็นโรคร้าย
กรรมจาก เคยทำทารุณกรรมต่อสัตว์
ลดกรรม ด้วยการทำบุญทำทานกับสัตว์อนาถา ให้อาหารให้ความเมตตา ซื้อยาหรือบริจาคเงินที่โรงพยาบาลสงฆ์ ทำบุญปล่อยเต่า งดกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต

3. ตาบอดหรือเป็นโรคตา
กรรมจาก เคยทำร้ายสัตว์ที่ดวงตา หรือไม่เคยทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงในชาติก่อน หรือเคยทำลายไฟฟ้าของวัด ของที่สารธารณะ
ลดกรรม ซื้อโคมไฟ หลอดไฟถวายวัด ถวายเทียนห่อใหญ่ ถวายไฟฉาย เติมน้ำมันตะเกียงทุกวันพระ บริจาคเงินในกล่อง ซื้อน้ำมันเติมตะเกียงที่วัด

4. ถูกรถเฉี่ยวชน ถูกลูกหลง ถูกสัตว์กัดต่อย
กรรมจาก จากเคยเป็นคนพาลเกะกะเกเร หาเรื่องเดือดร้อนให้ผู้อื่น มักรังแกและสาปแช่งผู้อื่นอยู่เสมอ
ลดกรรม หมั่นพูดดี มีวาจาไพเราะ

5. สูญเสียคนใกล้ชิด
กรรมจาก เคยยิงนกตกปลา
ลดกรรม ทำบุญไถ่ชีวิตโค กระบือ งดกินเนื้อสัตว์อย่างน้อยสัก 1 อย่างชั่วชีวิต หรือกินเจทุกๆ 3 เดือน ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

6.ถูกนินทา ถูกให้ร้าย
กรรมจาก เคยพูดจาให้เป็นเหตุให้คนอื่นเป็นทุกข์หรือเดือดร้อน
ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี พูดดี พูดให้คนอื่นเกิดประโยชน์ พูดให้ผู้อื่นมีความสุข

7. มักเดือดร้อนเพราะไฟ ไฟไหม้บ้าน ไฟดูด
กรรมจาก เคยลบหลู่พระสงฆ์ และศาสนา
ลดกรรม ตักบาตรทุกวันพระ ทำบุญถวายสังฆทานทุกเดือน ฟังเทศน์ฟังธรรมทุกวันพระ หรือทุกๆเดือนในวันพระ ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกจ่ายฟรี

8. ขาดบารมี ไร้ญาติขาดมิตร
กรรมจาก ไม่เคยไปร่วมงานบุญงานศพ
ลดกรรม ร่วมทำบุญงานศพ บริจาคเงิน หรือร่วมด้วยแรงกายช่วยงานอื่นๆในงานศพ เช่นทำอาหาร จัดดอกไม้

9. ตั้งหลักปักฐานไม่ได้ โยกย้ายบ่อย
กรรมจาก ไม่เคยร่วมทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวิหาร แก่วัดวาอารามต่างๆ
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างหลังคาวิหาร ร่วมทำบุญฝังลูกนิมิต หมั่นไปไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ณ เมืองที่ตนอยู่อาศัย

10. มักถูกรังแก ถูกเบียดเบียน
กรรมจาก ไม่เคยบวช หรือทำบุญงานบวช
ลดกรรม บวช ด้วยจิตศรัทธาปวารถาอย่างบริสุทธิ์ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงจะบวช 7 วัน หรือ 15 วัน 1 เดือน 1 พรรษา แล้วแต่
จิตศรัทธา ถ้าเป็นสตรีจะบวชชีพราหมณ์ หรือถือศีล 8 ตามเวลาที่สะดวกและตั้งจิตศรัทธา หรือร่วมทำบุญงานบวชอย่างสม่ำเสมอเท่าที่จะทำได้

11. ไม่มีคนชื่นชมเอ็นดู ชาดเสน่ห์
กรรมจาก ไม่เคยถวายของหอม
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระทุกวันพระ ถวายธูปหอม เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย ทองคำเปลว ประน้ำอบน้ำปรุง ประพฤติดี
ปฏิบัติชอบต่อผู้อื่น คิดดี ทำดี พูดดี ให้ผู้อื่นได้ดี มิให้ร้ายผู้ใด

12. เป็นที่รังเกียจ มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว
กรรมจาก ทำติเตียนดูแคลน ผู้ที่ชอบทำบุญทำทาน
ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอ ฟังเทศน์มหาชาติทุกๆปี ชักชวนผู้อื่นให้ร่วมทำบุญหรือบริจาคทานเป็นการบอกบุญผู้อื่น
พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจกฟรี

13. ไปไหนมาไหนลำบาก มีแต่อุปสรรค
กรรมจาก เคยทำลายหนทางสัญจรของวัด หรือของชาวบ้าน หรือทำให้ทางสัญจรสาธารณะได้รับความไม่สะดวก
ลดกรรม บริจาคทรัพย์หรือแรงกายช่วงสร้างสะพาน สร้างทางอันเป็นประโยชน์แก่วัด หรือชุมชนเล็กๆ ช่วยผู้คนยากไร้ให้ได้มียวดยานพาหนะหรือทางสัญจรที่สะดวก

14. เป็นคนรับใช้เขาร่ำไป
กรรมจาก เคยเนรคุณผู้ที่เคยมีพระคุณแก่ตน
ลดกรรม ตอบแทนผู้มีคุณด้วยความกตัญญู ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูป พระประธาน ทำทานทั้งกับคนและสัตว์

15. ขัดสน อดมื้อกินมื้อ
กรรมจาก เคยละเว้นการใส่บาตร ละเว้นการให้ทาน เมื่อมีคนยากไร้มาขอทานอาหารและน้ำ
ลดกรรม แบ่งปันอาหาร น้ำ เสื้อผ้า แก่คนยากไร้อนา! ถา แม้ไม่มีเงินก็แบ่งปันสิ่งของตามที่มี ตักบาตรทุกเช้าหรือทุกวันพระ

16. อาภัพคู่ ร้างคู่
กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขา
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานคู่บ่าวสาวที่ยากจน ถวายของเป็นคู่ เช่น แจกันคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ เป็นต้น

17. ได้คู่ที่เลวร้าย ทำร้ายตนหรือทำให้เป็นทุกข์
กรรมจาก เคยข่มขืนเขาในชาติก่อน เคยทุบตีทำร้ายคู่
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

18. อยู่โดดเดี่ยวยามบั้นปลาย
กรรมจาก เคยจับสัตว์ขัง
ลดกรรม ทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญทำทานแก่เด็กอนาถาและสัตว์อนาถา

19. รูปร่างหน้าไม่งดงาม
กรรมจาก ไม่เคยถวายดอกไม้ของหอม
ลดกรรม ถวายพวงมาลัยดอกไม้สด ดอกไม้หอม ทำบุญบริจาคดวงตา บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล

20. มักถูกโกง ถูกเบี้ยวเงิน
กรรมจาก เคยคดโกงผู้อื่น!
ลดกรรม สละทรัพย์บริจาคร่วมการกุศลต่างๆ ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวรทุกๆ เดือน

21. พิการ ร่างกายไม่สมประกอบ
กรรมจาก เคยทุบตีพ่อแม่ ด่าพ่อแม่ หรือทำร้ายพ่อแม่
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระ ปล่อยนกปล่อยปลา ถือศีล 5 ศีล 8 เจริญภาวนา นั่งวิปัสสนากรรมฐาน

22. มีคดีความ
กรรมจาก เคยพบคนทุกข์ร้อนแล้วไม่ช่วยหรือพยายามหาทางช่วยเหลือ
ลดกรรม หมั่นทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือนๆ ละ 7 วัน

23. ไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
กรรมจาก ไม่สงเคราะห์คนอนาถา ที่มาขออาหาร ขอชายคาหลบฝน ไม่มีน้ำใจช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก
ลดกรรม ร่วมทำบุญซื้อกระเบี้องหลังคาโบสถ์ หมั่นไปกราบไหว้บู! ชาศาลหลักเมือง ทำบุญทำทานแก่สัตว์พิการหรือสัตว์จรจัด

24. จิตใจขุ่นมัว ดุดัน ขี้โมโห
กรรมจาก มักตะหนี่ในการทำบุญ
ลดกรรม สวดมนต ์ไหว้พระ ทุกวันพระ ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 5 หรือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือน บริจาคทาน แบ่งปันเงินทองหรือ สิ่งของแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรือร่วมทำบุญบริจาคทานกับมูลนิธิสถานสงเคราะห์ และวัดวาอารามต่างๆ

25. ไม่มีชื่อเสียง
กรรมจาก เคยติฉินนินทาทำให้ผู้อื่นเสียหาย
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างหอระฆัง ร่วมทำบุญหล่อเทียนพรรษา ทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา

26. ไม่มีวาสนาบารมี
กรรมจาก ไม่เคยนับถือชื่นชมผู้นับถือธรรมมะ
ลดกรรม ทำบุญสร้างพระพุทธรูป ทำทานกับคน

27. มีลูกหลานไม่ดี เกเร ไม่เชื่อฟัง
กรรมจาก ทำแท้ง เคยทำร้ายคนใกล้ชิดมาก่อน และทำร้ายจิตใจครอบครัวในชาติก่อน
ลดกรรม บวชเณร โดยให้ลูกบวชหรือไปร่วมบวช จะทำให้กรรมน้อยลง ปฏิบัติธรรมอุทิศให้ลูกตนเอง

28. เจอแต่คนเอาเปรียบ
กรรมจาก เคยเบียดเบียนเงินพ่อแม่ไว้ในอดีตชาติ เคยโกงคนไว้ในอดีตชาติ ขโมยเงินครอบครัวมาใช้
ลดกรรม หมั่นยึดถือศีล 5 ให้มั่น ไม่ดื่มเหล้า ทำให้ขาดสติ โดนโกงง่าย หมั่นสวดมนต์ อธิษฐานบารมีด้านขอพรให้พบเจอคนดีๆ เข้ามาในชีวิต

29. เกิดในสกุลต้อยต่ำ
กรรมจาก โอหัง อวดดี จิตใจคับแคบ
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างวัด สร้างพระประธาน ทำบุญทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

30. ไร้สง่าราศี ขาดวาสนา
กรรมจาก เคยเมาสุระอาละวาด ระรานผู้อื่น!
ลดกรรม นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ทำทานกับคนอนาถา และสัตว์อนาถา ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

31. ไม่เจริญก้าวหน้า จิตใจเป็นทุกข์
กรรมจาก เคยชักจูงคนทำชั่ว
ลดกรรม ถือศีล 8 เป็นเวลา 7 วัน ทุกๆ 3 เดือน หมั่นทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน

32. จิตใจฟุ้งซ่าน เป็นทุกข์
กรรมจาก เคยริษยาผู้อื่น
ลดกรรม ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน ปล่อยปลาลงน้ำ นั่งสมาธิ สวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร

33. ชีวิตตกต่ำ ทำสิ่งใดไม่เจริญ
กรรมจาก เคยทำแท้ง
ลดกรรม ปล่อยปลาลงน้ำทุกๆ เดือน จนครบ 9 เดือน หรือ 1 ปีเต็ม ถวายสังฆทาน ทำบุญใส่บาตรเสมอ

34. เป็นเมียน้อย เมียเก็บ
กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขามาก่อน ขืนใจเขาโดยไม่ยินยอม เคยอธิษฐานจิตร่วมกันมาว่ากี่ภพก็ขอให้ได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน
ลดกรรม ถวายธงคู่ ธูปคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ อย่างใดก็ได้ อธิษฐานจิตขอให้ชีวิตคู่ที่ดีขึ้น บวชชีพราหมณ์ ปีละ 1 ครั้ง 3 วัน อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยล่วงเกินให้ได้รับกุศลและเปิดทางให้ชีวิตคู่ดีขึ้น ร่วมเป็นเจ้าภาพงานแต่ง เพื่อชีวิตตนจะดีขึ้นและสมหวัง สวดมนต์ขอพรทุกวันเกิดด้านความรักให้สมหวังต่อไป ทำบุญสังฆทานสด ในวันเกิดตนเอง เดือนละครั้ง เพื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติและวิญญาณที่ตามมาให้ได้รับกุศลและอโหสิกรรม

35. เป็นทุกข์เพราะคนในครอบครัว
กรรมจาก เคยลำเอียง ไร้คุณธรรมในด้านครอบครัวไว้ก่อน เคยเอารัดเอาเปรียบคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดไว้ในชาติอดีตและชาติปัจจุบัน เคยทำให้ครอบครัวเขาแตกแยกในอดีตชาติ
ลดกรรม ต้องบวชชีพราหมณ์ เพราะเมื่อเกิดอีกภพชีวิตจะได้ดีมีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะกุศลของการบวช ปฏิบัติธรรมทำให้เจ้ากรรมนายเวร อโหสิกรรม และตนเองได้พบสิ่งที่มีกุศลมากขึ้น ยึดพรหมวิหาร 4 มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จะทำให้ชีวิตมีความเมตตา และไม่ลำเอียงเอารัดเอาเปรียบคนใกล้ชิด ทำให้วิถีชีวิตมีคนนับถือและพ้นจากความทุกข์ในเรื่องญาติพี่น้องยุ่งเกี่ยวได้ นำพระคู่บ้านคู่เมืองเข้าสักการะที่บ้าน และสวดมนต์ขอพรให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข

36. เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
กรรมจาก ฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ ทำร้ายคนไว้ในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ
ลดกรรม ตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติ รวมถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ได้กุศลและอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ปล่อยสัตว์ลงน้ำในวันเกิดตนเอง กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรได้รับและอโหสิกรรม ถวายยาเข้าวัด หรือช่วยเหลือคนป่วย

37. เป็นมะเร็ง
กรรมจาก รู้เห็นเป็นใจกับการทำแท้ง การทารุณสัตว์ หรือการทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น
ลดกรรม ทำบุญใหญ่อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และบวชชีพราหมณ์ 1 เดือน เพื่อส่งกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม
ทำบุญสร้างพระพุทธรูป สร้างโบสถ์หรือสร้างศาลาวัด ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี หมั่นนั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน

38. ค้าขายขาดทุน ทำงานไม่ก้าวหน้า
กรรมจาก เคยลบหลู่เจ้าที่เจ้าทาง
ลดกรรม หมั่นทำบุญใส่บาตร ถวายสังฆทาน ถวายเครื่องเซ่นสังเวย เจ้าที่-เจ้าทาง หมั่นสวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร

39. ด้อยปัญญา
กรรมจาก ฝักใฝ่อบายมุขในชาติก่อน หรือชักชวนคนไปทำชั่ว ดูแคลนหลักธรรมมะ
ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจก ทำบุญทำทานกับโรงเรียนของเด็กพิการหรือตามมูลนิธิต่างๆ

40. ตกงาน
กรรมจาก เคยกลั่นแกล้งผู้อื่นในเรื่องงาน หรือแย่งงานผู้อื่น
ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทาน ร่วมงานบุญต่างๆ ปล่อยนกปล่อยปลา

41. ไม่มีโชคลาภ
กรรมจาก ไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ
ลดกรรม หมั่นทำบุญสวดมนต์ไหว้พระ ถวายธูป เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย และทองคำเปลว

42. เรียนไม่จบ การเรียนมีอุปสรรค
กรรมจาก ชาติก่อนปฏิเสธการฟังเทศน์ฟังธรรม
ลดกรรม หมั่นเข้าวัด ร่วมงานบุญต่างๆ ฟังเทศน์ อ่านหนังสือธรรมะ

43. มีอาชีพต้อยต่ำที่ผู้คนดูแคลน
กรรมจาก ชาติก่อนเคยบวชด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ ไร้ความศรัทธา อาศัยผ้าเหลืองหากิน
ลดกรรม ถือศีล 5 ศีล 8 นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ถวายสังฆทานทุกเดือน หรือทุก 3 เดือน

44. ครอบครัวยากจน
กรรมจาก ชาติก่อนไม่เคยบริจาคทาน
ลดกรรม หมั่นทำบุญด้วยการบริจาคทาน ถ้ามีเงินไม่มากก็บริจาคเป็นสิ่งของ แรงกาย หรือน้ำใจ ต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก เช่น ไปช่วยอ่านหนังสือให้มูลนิธิคนตาบอด

45. เป็นทุกข์เพราะความรัก
กรรมจาก ชาติก่อนเจ้าชู้ หลอกผู้อื่นให้อกหัก
ลดกรรม ประพฤติดีปฏิบัติดีทั้งความคิด กาย วาจา ใจ ร่วมทำบุญงานแต่งงาน ทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นได้สมรักสม

อ่านให้จบเพราะ จุดเด่นอยู่ที่ข้อ 19 ค่ะ
กฏแห่งกรรม
1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย
เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์

2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอยู่เสมอ
เพราะชาติก่อนคุณเคยทำทานอาหารแก่คนยากจนในชาติก่อน

3. เหตุใดชาตินี้คุณอดอยากยากจน ไม่มีเสื้อผ้าดีดีสวมใส่
เพราะคุณตระหนี่ขี้เหนียวไม่ยอมทำทานคนจน ในชาติก่อน

4. เหตุใดชาตินี้คุณมีบ้านเรือนให­ญ่โต
เพราะคุณเคยถวายข้าวสารเข้าวัดในชาติก่อน

5. เหตุใดชาตินี้คุณมีความเจริ­ญรุ่งเรืองและมีความสุขมาก
เพราะคุณเคยถวายเงินสร้างวัดในชาติก่อน

6. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนสวย และรูปงาม
เพราะคุณเคยถวายดอกไม้สดบูชาพระด้วยความเคารพในชาติก่อน

7. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีปัญญาดี
เพราะคุณเคยเป็นพุทธมามกะและทานมังสวิรัติในชาติก่อน

8. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นที่รักของทุกๆ คนและมีเพื่อนมากมาย
เพราะคุณเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคนในชาติก่อน

9. เหตุใดชาตินี้คุณมีพ่อ แม่อยู่พร้อมหน้า
เพราะคุณเคารพและให้ความช่วยเหลือ ไม่ดูแคลนคนไร้­ญาติในชาติก่อน

10. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นเด็กกำพร้า
เพราะคุณเคยยิงนก ตกปลา และพรากสัตว์ในชาติก่อน

11. เหตุใดชาตินี้คุณมีอายุยืนแข็งแรง
เพราะคุณเคยปล่อยนก ปล่อยปลา สิ่งมีชีวิตในชาติก่อน

12. เหตุใดชาตินี้คุณอายุสั้น
เพราะชาติก่อนคุณเคยฆ่าสัตว์มากมาย

13. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนรับใช้
เพราะชาติก่อนคุณเคยดูถูกเหยียดหยามคนจน

14. เหตุใดชาตินี้คุณมีด??งตาสดใส
เพราะชาติก่อนคุณเคยเติมน้ำมันตะเกียงและจุดไฟบูชาพระ

15. เหตุใดชาตินี้คุณโง่ปั­­ญญาอ่อนและหูหนวก
เพราะชาติก่อนคุณเคยด่าว่าและหยาบคายต่อหน้าพ่อแม่

16. เหตุใดชาตินี้คุณต้องตายเพราะยาพิษ
เพราะชาติก่อนคุณเจตนาวางยาในต้นน้ำลำธารให้เป็นพิษ

17. เหตุใดชาตินี้คุณจึงแขวนคอตาย
เพราะชาติก่อนคุณใช้ตะข่ายล่าและดักสัตว์

18. ถ้าชาตินี้คุณฆ่าเขา
ชาติหน้าเขาก็จะฆ่าคุณ และจะฆ่ากันไป-มาไม่มีสิ้นสุด

19. ถ้าชาตินี้คุณบอกเล่ากฏแห่งกรรม
คุณจะเป็นที่เคารพนับถือมากมายในชาติหน้า

*อ่านเสร็จแล้ว ถ้าส่งต่อ ก็เหมือนได้ปฏิบัติตามกฏแห่งกรรม ข้อที่ 19 แล้ว ด้วยความปราถนาดี*


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

58
บทความ 8 วิธีแก้ง่วงที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้กับพระโมคคัลลานะ


พระมหาโมคคัลลานะ เมื่ออุปสมบทได้ 7 วัน ได้ไปทำความเพียรอยู่ที่ป่าใกล้บ้านกัลป์ลาวาลมุตตาคาม แขวงมคธ ถูกถีนมิทธารมณ์ คือ ความง่วงเหงาเข้าครอบงำ ไม่สามารถจะทำความเพียรได้ ขณะนั้น พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ สวนเภสกลาวัน ซึ่งเป็นสถานที่ให้เหยื่อแก่เนื้อ ใกล้เมืองสุงสุมารคิรี อันเป็นเมืองหลวงของแคว้นภัคคะ ทรงทราบด้วยพระญาณว่าพระโมคคัลลานะ โงกง่วงอยู่ จึงทรงทำปาฏิหาริย์ให้เห็นปรากฏ ประหนึ่งว่าเสด็จประทับอยู่ตรงหน้า ทรงแสดงอุบายสำหรับระงับความง่วงแก่เธอตามลำดับ ดังนี้

1.โมคคัลลานะ เมื่อเธอมีสัญญาอย่างใดแล้ว เกิดความง่วงขึ้น เธอจงทำไว้ในใจซึ่งสัญญาอย่างนั้นให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

2.ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรตรึกตรองถึงธรรมที่ได้เรียนมาแล้ว ได้ฟังมาแล้วให้มาก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

3.ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสาธยายธรรมที่ได้เรียนได้ฟังมาแล้วให้มากจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

4.ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรยอนช่วงหูทั้งสองข้าง และลูบตัวด้วยฝ่ายมือจะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

5.ถ้ายังละไม่ได้ เธอจงลุกขึ้นแล้วลูบนัยน์ตา ลูบหน้าด้วยน้ำเหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาว จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

6.ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรทำไว้ในใจถึงอาโลกสัญญา ถือ กำหนดความสว่างไว้ในใจเหมือนกัน ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำใจให้เปิด ให้สว่าง จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

7.ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรเดินจงกรมสำรวมอินทรีย์ มีจิตใจไม่คิดไปภายนอก จะเป็นเหตุให้ละความง่วงได้

8.ถ้ายังละไม่ได้ เธอควรสำเร็จสีหไสยาสน์ นอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าให้เลื่อมกัน มีสติสัมปชัญญะ หมายใจว่าจะลุกขึ้นเป็นนิตย์ เมื่อตื่นแล้วควรรีบลุกขึ้นด้วยตั้งใจว่า เราจะไม่ประกอบความสุขในการนอนและการเคลิ้มหลับอีกจะเป็นเหตุให้ละความง่วง ได้ พระพุทธองค์ ตรัสสอนอุบายเพื่อ
บรรเทาความง่วงโดยลำดับจนที่สุดถ้ายังไม่หายง่วงก็ให้นอน แต่ให้นอนอย่างมีสติ


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

59
เหตุที่ต้องมีพระพุทธองค์และธรรมวินัยอยู่ในโลก


เหตุที่ต้องมีพระพุทธองค์และธรรมวินัยอยู่ในโลก
ภิกษุ ท
. ! ถ้าธรรมชาติ ๓ อย่างเหล่านี้ ไม่พึงมีอยู่ในโลกแล้วไซร้ ;ตถาคตก็ไม่ต้องเกิดขึ้นในโลก เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ, และธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ก็ไม่ต้องรุ่งเรืองไปในโลก. ธรรมชาติ ๓ อย่างนั้น คืออะไรเล่า ? คือ ชาติ ชรา และ มรณะ (ทุกขอริยสัจ). ภิกษุ ท. ! ธรรมชาติ ๓อย่างเหล่านี้แล ถ้าไม่มีอยู่ในโลกแล้วไซร้, ตถาคตก็ไม่ต้องเกิดขึ้นในโลกเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ และธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วก็ไม่ต้องรุ่งเรืองไปในโลก.
ภิกษุ ท
. ! เพราะเหตุใดแล ที่ ธรรมชาติ ๓ อย่างเหล่านี้ มีอยู่ในโลก, เพราะเหตุนั้น ตถาคตจึงต้องเกิดขึ้นในโลกเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะและ ธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วจึงต้องรุ่งเรืองไปในโลก.


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

60
บทความ บทกวี / สิ่งที่ลูกควรอ่าน....
« เมื่อ: 06 มี.ค. 2554, 10:55:49 »
สิ่งที่ลูกควรอ่าน.....(อ่านแล้วอย่าแอบน้ำตาไหลละกัน)

 
เวลาไม่มีเงินคนแรกที่คิดถึงคือพ่อแม่ ...............แต่พอมีเงินคนแรกที่คิดถึงคือเพื่อนและแฟน

อยากได้รถคนแรกที่คิดถึงคือพ่อแม่
...................แต่พอมีรถคนแรกที่จะไปรับคือเพื่อนและแฟน

โรงหนัง ห้างสรรพสินค้ามีไว้สำหรับแฟนและเพื่อน
.......ทีวีและลานหน้าบ้านมีไว้สำหรับพ่อและแม่

ร้านอาหารหรูๆ บรรยาการคลาสสิคมีไว้สำหรับเพื่อนและแฟน
.........โต๊ะอาหารที่บ้านมีไว้สำหรับพ่อและแม่

พ่อและแม่คิดบัญชีค่าใช้จ่ายก่อนนอน เพื่อความอยู่รอด
...............ลูกนอนคุยโทรศัพท์ เล่นเน็ตก่อนนอนเพื่อให้หลับฝันดี

เวลาเรามีความสุุข มักจะมองหาแฟนและเพื่อน
......เวลาเรามีความทุกข์ คนที่กังวล หดหู่และเศร้าสลดใจคือพ่อและแม่

เวลาประสบความสำเร็จ เรามักจะมองหาแฟนและเพื่อนเพื่อนัดฉลองสังสรรค์
.........แต่คนที่ดีใจที่สุดคือพ่อและแม่ แต่เรากลับมองข้ามไป

ลูกไปรื่นเริงตาม ผับ บาร์ โต๊ะสนุ๊ก ฯลฯ
.......พ่อและแม่กลับทำงานหรือนอนหลับเก็บแรงไว้หาเงินในวันรุ่งขึ้นเพื่อแลกกับความสุขของลูก ให้ลูกได้เรียนสุงๆ

พ่อและแม่ตำหนิ ตักเตือนบางครั้งเต็มไปด้วยอารมณ์ห่วงใย เพื่อให้ลูกได้ดี
..........แต่ลูกคิดว่าสิ่งที่พ่อแม่พูดเป็นแค่เรื่องไร้สาระ

เวลาแต่งงาน คนที่เป็นคนธุระหาสินทอดทองมั่นให้คือพ่อและแม่
..........แต่คนที่มีความสุขคือลูก

พ่อและแม่คือผู้ที่ปกป้องและยืนเคียงข้างลูกจวบจนชีวิตจะหาไม่
............ลูกกำลังคิดสิ่งใด??????

พ่อและแม่คือผู้ที่ฝ่าฝันปัญหาร้อยพันประการเพื่อลูก
.............แต่พอลูกมีปัญหา มักคิดได้แต่ ท้อถอย หดหู่ และอยากตาย

คำว่า "พ่อ" หรือ "แม่" อาจเป็นคำแรกที่เราพูดได้ตั้งแต่เกิด
............แล้วคุณเตรียมอะไรไว้ให้พ่อและแม่ของคุณหรือยังละ


การที่เรา จะรักแม่รักพ่อนั้น ไม่จำเป็นจะต้องวัน แม่ วัน พ่อ เราสามารถทำความดีกับท่านได้ทุกวัน แล้วตอนนี่ละ พวก
คุณกำลังทำสิ่งนั้นกันรึยังครับ


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

61
ธรรมะ / อานิสงส์ "เผาศพพระ"
« เมื่อ: 06 มี.ค. 2554, 10:29:07 »
อานิสงส์ "เผาศพพระ"

ในวันเสาร์ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๔ มีการคาดการณ์ว่า จะเกิดปรากฏการณ์พลังศรัทธาประชาชนแห่ร่วมพิธีพระราชทานเพลิงสรีระสังขาร พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี โดยจะมีการเคลื่อนสรีระสังขารหลวงตาพระมหาบัว ไปยังเมรุชั่วคราวในเวลา ๑๐.๐๐ น. ทั้งนี้ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ทำการถ่ายสด

พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตโต ป.ธ.๙) รองเจ้าคณะภาค ๑๓ และเจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร กทม. บอกว่า การไปเผาศพได้อานิสงส์และบุญ ๔ ประการ คือ

๑.ได้บำเพ็ญญาติธรรมหรือมิตรธรรม คือ แสดงน้ำใจของญาติของมิตรต่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว หรือต่อบุตรภรรยาสามีของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว

๒.ได้เจริญสังเวคธรรม คือ ธรรมที่ให้เกิดความสลดสังเวชว่า แม้เราเองก็ต้องเป็นอย่างนี้ คือต้องตายเป็นธรรมดาอย่างนี้ ไม่มีใครหลีกหนีความตายไปได้พ้น เพราะฉะนั้น เมื่อมีชีวิตอยู่จึงควรทำแต่ความดี ตายแล้วก็ยังมีคนชื่นชมยกย่อง ไม่ใช่ตายแล้วมีแต่คนสาปแช่ง สมน้ำหน้าว่า คนอย่างนี้ตายเสียได้ก็ดี แผ่นดินเบาไปแยะ เป็นต้น

๓.เป็นการเจริญอนิจจสัญญา คือเห็นความจริงของสังขารรูปนาม อันประกอบไปด้วยกายและใจนี้ว่า ไม่เที่ยง เกิดแล้วก็ต้องดับ มีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา ไม่ยั่งยืนคงทน และ

๔.สำหรับในสถานที่ที่เผาศพกันกลางแจ้ง ก็อาจเจริญอสุภสัญญา คือความเห็นว่าร่างกายนี้ไม่งามได้ด้วย อย่างในประเทศอินเดีย เขาเผาศพกันกลางแจ้ง ริมฝั่งแม่น้ำที่เขาเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ มีแม่น้ำคงคา และยมุนา เป็นต้น ซึ่งผู้ที่เข้าใจสามารถเจริญอสุภสัญญาได้เสมอ

พร้อมกันนี้ พระเทพคุณาภรณ์ ยังบอกด้วยว่า ในบรรดาคนไทยเชื้อสายต่างๆ พุทธศาสนิกชนชาวไทยเชื้อสายมอญชอบไปร่วมงานศพพระสงฆ์มากที่สุด แม้ว่าจะไม่รู้จัก รวมทั้งเป็นลูกศิษย์ก็คือ คนมอญนิยมไปงานศพ มากกว่าที่จะไปงานทอดกฐิน แม้ว่ากฐินจะเป็นกาลทาน ซึ่งหมายถึงปีหนึ่งทำได้ครั้งเดียว เพราะการเผาศพพระเกจิอาจารย์มอญถือเป็น มหากาลทาน ซึ่งเป็นทานที่ใหญ่กว่า ที่นานๆ ครั้งจะมีหน

เมื่อมีพระมอญรูปหนึ่งรูปใดมรณภาพลง โดยเฉพาะพระชั้นผู้ใหญ่ที่มีพรรษาสูง มีศีลจารวัตรที่งดงาม ไม่ด่างพร้อย การจัดงานศพค่อนข้างยิ่งใหญ่กว่าศพพระธรรมดาสามัญทั่วไป ตั้งแต่โลงบรรจุศพ และการสร้างปราสาทสำหรับตั้งศพ พระรูปใดที่มีคุณสมบัติดีเลิศ ลูกศิษย์จะสร้างปราสาทให้ถึง ๙ ยอด พระรูปใดที่มีคุณสมบัติทางพรรษา และคุณธรรมน้อย ยอดปราสาทก็จะลดน้อยลงตามลำดับ ตัวปราสาทจะทำจากไม้ และกระดาษ ตามพิธีของมอญโบราณจะเผาปราสาทไปพร้อมๆ กับโลงศพ เนื่องจากปราสาทมีราคาแพงมาก เพราะทำจากไม้อย่างดี ซึ่งปัจจุบันนี้ไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยครั้งนัก

คติความเชื่อมอญและโบราณจารย์
คติความเชื่อของอานิสงส์แห่งการเผาศพ อาจารย์ "ฟะ" นักปราชญ์มอญ ได้แต่งเรื่องราวรวมถึงพิธีกรรมต่างๆ ของมอญไว้หลัง พ.ศ.๒๓๑๐ ซึ่งเป็นปีแรกที่กรุงหงสาวดีแตก ใช้เป็นบรรทัดฐานความเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน ท่านได้กล่าวถึงอานิสงส์ของการเผาศพไว้ว่า

๑.บุคคลคนใดทำโลงศพให้วิจิตรงดงามจะได้อานิสงส์ ๑,๐๐๐ ชาติ

๒.บุคคลใดนิมนต์พระสงฆ์มาพิจารณาซากศพ ซึ่งเป็นกรรมฐานจะได้รับอานิสงส์ ๒,๐๐๐ ชาติ และ ๓.เผาศพพระพุทธเจ้าจะได้รับอานิสงส์ไม่มีที่สิ้นสุด

การไปร่วมงานเผาพระเกจิมอญที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็จะได้อานิสงส์ทั้งหลายนั้น จะส่งให้ผู้ที่ไปในการเผาศพสมบูรณ์ไปด้วยมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ ได้ไปบังเกิดในพรหมโลก ไม่ต้องตกอยู่ในอบายมุขใดทั้ง ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งบางคนก็เชื่อว่า เป็นเพียงอุบายให้คนกระทำแต่ความดีเท่านั้น นรก สวรรค์ ไม่มีจริงแต่ประการใด

นอกจากนี้แล้ว โบราณจารย์ทั้งหลายได้กล่าวว่า ผู้ใดมีจิตเมตตาสงเคราะห์เผาสรีระร่างกายของคนอนาถา ที่มีแต่ร่างกระดูก จะอำนวยผลให้ได้รับยศถาบรรดาศักดิ์ และบริวาร ๘,๐๐๐ กัลป์

ผู้ใดมีจิตเมตตาสงเคราะห์เผาสรีระร่างกายศพที่ยังมีเลือดเนื้ออยู่ จะอำนวยผลให้ได้รับยศศักดิ์ และบริวาร ๑๐,๐๐๐ กัลป์

ผู้ใดมีจิตเมตตาสงเคราะห์เผาสรีระร่างกายของคนแก่ชรา จะอำนวยผลได้รับยศศักดิ์ และบริวาร ๔๐,๐๐๐ กัลป์

ผู้ใดมีจิตเมตตาสงเคราะห์เผาสรีระศพญาติมิตรสหายบุตร จะอำนวยผลให้ได้รับยศศักดิ์ และบริวาร ๘๐,๐๐๐ กัลป์

ผู้ใดมีจิตเมตตาสงเคราะห์เผาสรีระศพบิดามารดา จะอำนวยให้ได้รับอานิสงส์อันเป็นทิพย์ยศศักดิ์ และบริวาร ๑๐,๐๐๐ กัลป์

ผู้ใดมีจิตเมตตาสงเคราะห์เผาสรีระร่างกายของพระภิกษุสงฆ์ จะอำนวยผลให้ได้รับยศศักดิ์ และบริวาร ๒๐,๐๐๐ กัลป์

"คติความเชื่ออย่างหนึ่ง ของพุทธศาสนิกชนชาวมอญ คือ คนมอญนิยมไปงานศพมากกว่าที่จะไปงานทอดกฐิน เพราะการเผาศพพระเกจิอาจารย์มอญถือเป็น มหากาลทาน ซึ่งเป็นทานที่ใหญ่กว่า"


http://www.komchadluek.net

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

62
กฎแห่งกรรม / เรื่อง ของ คู่
« เมื่อ: 26 ก.พ. 2554, 06:29:37 »
เรื่อง ของ คู่


คำถามที่ว่าทุกคนต้องมีคู่หรือไม่?..
คำตอบตรง ๆ คือ ไม่จำเป็น
ถ้าจะถามแล้วควรมีหรือไม่ ?..
คำตอบคือ แล้วแต่จุดมุ่งหมาย

บุคคลที่อยู่ในระดับสูงของวิวัฒนาการแล้ว และมีคุณสมบัติเป็นมนุษย์พิเศษจำนวนมากที่ไม่มีคู่ชีวิต เช่น พระสารีบุตร พระโมคัลลานะ พระกัจจายนะ พระรัฐปาล และพระราหุล เป็นต้น แต่บุคคลเหล่านี้จะมีคู่ธรรมแทน เช่น

พระสารีบุตร เป็นคู่ธรรมกับ พระโมคคัลลานะ จะเกิดด้วยกันเกือบทุกชาติ เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกันในการปฏิบัติธรรม จนกระทั่งชาติสุดท้ายได้สำเร็จอรหันต์ในตำแหน่ง อัครสาวกด้วยกัน นับเป็นเพื่อนแท้อีกคู่หนึ่งในโลก

พระราหุล กับ พระนางอุบลวรรณา (กัณหา-ชาลี ในอดีตชาติ) เป็นคู่ธรรมกัน มักจะเกิดเป็นพี่น้องกันเกือบทุกชาติ เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลการปฏิบัติธรรมของกันและกัน นับเป็นพี่น้องที่ยืนยาวมากอีกคู่หนึ่งในโลก บุคคลเหล่านี้ท่านไม่นิยมคู่ชีวิต เพราะยุ่งยาก ไม่เป็นอิสระ ไม่เอื้อต่อความสงบจึงมีคู่ธรรมแทน

บุคคลที่ควรจะมีคู่คือ ผู้ที่จะบำเพ็ญเพียรเป็นพระพุทธเจ้า บุคคลเหล่านี้จะต้องฝ่าความระกำลำบากนานาประการ เป็นสัตว์ทุกชนิด เป็นมนุษย์ทุกประเภท เป็นเทวดาทุกภพทุกภูมิ เป็นพรหมทุกชั้น ต้องเคยอยู่เคยเป็นทุกอย่าง เพื่อจะได้รู้แจ้งแทงตลอดธรรมชาติอย่างปรุโปร่ง พระพุทธเจ้าเปรียบว่า ผู้บำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าเสมือนคนที่เห็นทะเลกำลังเดือด แล้วประสงค์จะว่ายน้ำ ฝ่าทะเลเดือดเพื่อไปช่วยมหาชน ณ ฝั่งที่ยังมองไม่เห็น ใครมีความกล้าอุทิศตนถึงเพียงนี้ จึงอาจบำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าได้ และในการบำเพ็ญตลอดทางอันไกลกันดารยาวนานนั้น มักจะทรงเลือกคู่บารมี เพื่อจะคอยเกื้อกูลประคับประคองกันในการปฏิบัติธรรม

หากจะถามว่า พระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญเพียรอยู่นั้นกับคู่บารมีของพระองค์ มีทุกข์ระหว่างกันบ้างหรือไม่ ก็บอกได้เลยว่ามี มีมากกว่าคนธรรมดาด้วย เพราะความผูกพันธ์อันยาวนานจะฝังรากลึก เวลาสมหวังก็ดีใจลึกๆ เวลาผิดหวังก็เสียใจร้าวลึกเช่นกัน แต่คนที่จะเป็นคู่บารมีได้จะต้องอุทิศชีวิตให้แก่กันและกันได้ และจะต้องมีอธิษฐานจิตกำกับทุกชาติไปดังนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นจึงมักถูกคลี่คลายได้โดยไม่ยาก

แล้วคนทั่วไปล่ะ!..ควรมีคู่หรือไม่? เรื่องนี้แล้วแต่จดมุ่งหมายของแต่ละคน ถ้าท่านจะเอาดีเป็นผู้วิเศษ ก็ไม่ควรมี เพราะคู่จะบั่นทอนความผ่องใสของจิตใจของกันและกันระดับหนึ่งทีเดียว แต่ถ้าท่านจะเอาดีทางการปกครอง เป็นผู้นำของชุมชน การมีคู่ก็เป็นไปตามธรรมเนียมของโลก ที่ทำให้ท่านไม่เบี่ยงเบนจากสังคมจนเกินไป

สำหรับมนุษย์โดยทั่วไปที่ไม่ได้อธิษฐานเป็นคู่กันตลอดกาล มักจะพานพบและมีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามอย่างสับสน ชาติหนึ่งอาจจะเป็นคู่กับอีกคนหนึ่ง พออีกชาติหนึ่งไปเป็นคู่กับอีกคนหนึ่ง ชาติอื่นอาจจะไปเป็นคู่ของคนอื่นอีกเรื่อยไป ต้องเริ่มต้นเรียนรู้ทำความเข้าใจกันใหม่อยู่ร่ำไป ครั้นมาเจอคู่คนเก่าในชาติเดียวกันก็จะหลายใจ และมักมีปัญหาความสำส่อนตามมา อันเป็นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งสิ้น จึงทำให้เกิด คู่กัด คู่กาม คู่กรรม ตามแต่กรณี

ประเภทของคู่

จากความสับสนในความสัมพันธ์ และความสำส่อนของบุคคลผู้ที่มิได้มีคู่แท้ถาวร ทำให้เกิดคู่ประเภทต่าง ๆ มาพัวพันชีวิต กอปรกับคู่ถาวรของบุคคลที่มีคู่บารมีหรือคู่ธรรมจึงทำให้จำแนกประเภทคู่ต่าง ๆ ออกได้ห้าประเภท คือ คู่กัด คู่กาม คู่กรรม คู่ธรรม และคู่บารมี

คู่กัดคือคู่ที่ผูกใจเจ็บ อาฆาตพยาบาท หรือสาปแช่งกันไว้ คู่ประเภทนี้ บางทีก็มาเป็นแฟนกัน บางทีก็มาเป็นพี่น้องกัน บางทีก็มาเป็นเพื่อนกัน บางทีก็มาเป็นคนรู้จักกันในฐานะต่างๆ แต่ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร จะมีความอิจฉาริษยา การแข่งขัน กีดกัน และทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่เนืองๆ เช่น คู่พระพุทธเจ้ากับพระเทวทัตต์ คู่ประเภทนี้ จะมีประโยชน์ประการเดียว คือช่วยให้เราได้ฝึกความดีในท่ามกลางความชั่ว

การแก้หรือขจัดคู่กัดเสียได้โดยเด็ดขาดนั้นสามารถทำได้โดยต่างฝ่ายต่างสำนึกถึงภัยของพยาบาทที่ทำลายความสุขและเป็นทุกข์ทั้งคู่ แล้วละพยาบาท ถอนคำอาฆาตเสีย ขออภัยและให้อภัยแก่กันและกัน แล้วปรองดองกัน คือเปลี่ยนจากความเป็นศัตรูมาเป็นมิตรเสียนั่นเอง

คู่กาม คือคู่ที่มีกามสัมพันธ์กันแบบสักแต่ว่าเสพกามกันไป ไม่มีเจตนาผูกพันหรือเจตนาร่วมชีวิตกัน การมีคู่ประเภทนี้อาจเกิดได้โดยกิจกาม เช่นการเที่ยวโสเภณี หรือพวกฟรีเซ็กซ์ทั้งหลาย คู่ประเภทนี้เมื่อเจอกันอีกในชาติใดใด ก็จะมีใจกระสันเข้าหากัน แต่ไม่มีบุญ หรือบาปรองรับ จึงไม่มีความสัมพันธ์ต่อเนื่อง และมักเป็นคู่ที่เข้ามารบกวน หรือทำลายความสัมพันธ์ของคู่ที่แท้จริงเป็นระยะ ๆ ในลักษณะของคู่สัมพันธ์รูปแบบต่างๆ ซึ่งบางทีเป็นเหตุให้สูญเสียคู่ที่แท้จริงไป หรือแม้ไม่สูญเสียไปก็ทำให้อยู่กันไม่เป็นสุข เพื่อไม่ให้มีปัญหาแก่คุณค่าแห่งชีวิตคู่ จึงควรละคู่กามเสียให้พ้น

คู่กรรม คือคู่ที่ได้ร่วมทำบุญ หรือปาบมาด้วยกัน ทำให้มีกรรมพัวพันกัน ต้องมาเกิดมีความสัมพันธ์กันในฐานะต่าง ๆ เช่น เป็น พ่อแม่ลูกกัน เป็นสามีภรรยากันบ้าง เป็นพี่น้องกันบ้าง เป็นครูอาจารย์กันบ้าง เป็นเพื่อนพ้องกันบ้าง เป็นคนรู้จักเกี่ยวข้องกันบ้างตามแต่กรณี ซึ่งในแต่ละชาติก็ไม่เหมือนกัน หมุนเวียนเปลียนไป ผลัดกันเป็น เช่นชาตินี้อาจเป็นแม่เป็นลูกกันชาติหน้าอาจกลับกัน เป็นลูกเป็นแม่กัน อีกชาติหนึ่งอาจเป็นศิษย์อาจารย์กัน ชาติถัดไปอาจเป็นเพื่อนกัน เป็นต้น

คู่แบบนี้จะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับกรรมที่ร่วมกันทำมาดังนั้น ควรหมั่นทำดีกับทุกคนรอบข้าง และสร้างกรรมดีร่วมกัน โดยพยายามหลีกเลี่ยงการทำเลวต่อกันและไม่ร่วมกันทำกรรมเลวใดใด ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายในชีวิตจะได้ดีต่อกัน ซึ่งจะเป็นการสานสร้างความสัมพันธ์อันอบอุ่น มั่นคงให้เกิดขึ้นได้

คู่ธรรม คือคู่ที่ตั้งจิตอธิษฐาน ที่จะปฏิบัติธรรมร่วมกัน เกื้อกูลแก่กัน ซึ่งบางชาติอาจเกิดมาเป็นเพื่อนกัน บางชาติอาจเป็นพี่น้องกัน บางชาติอาจเป็นพ่อแม่ลูกกัน บางชาติอาจเป็นอาจารย์กับศิษย์ บางชาติอาจเป็นสามีภรรยากัน ถ้าเป็นสามีภรรยากันก็จะมีความเป็นกันเองเสมือนเพื่อนมากกว่าจะเป็นสามีภรรยาทั่วไป และบางคู่แต่งงานกันแล้วก็ไม่เสพกามกันเลย อยู่กันเป็นเพื่อนปฏิบัติธรรมกันไป ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่สะอาด คู่ประเภทนี้จะสนิทใจและไว้วางใจซึ่งกันและกันมาก ไม่ทำร้ายทำลายหรือเรียกร้องอะไรจากกัน มีแต่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

คู่บารมี คือ คู่ที่อธิษฐานจะบำเพ็ญบารมีร่วมกัน เผชิญสุขเผชิญทุกข์ด้วยกัน คอยประคับประคองปรองดองกันให้ถึงเป้าหมายสูงสุดอันแสนไกล คู่บารมีจะมีลักษณะเป็นเพื่อนแท้ที่ยอมตายให้แก่กัน และกันได้ มีความเสียสละสูง มีความถาวร จะพบกันเกือบทุกชาติไป บางชาติก็อาจได้อยู่ด้วยกัน บางชาติก็อาจมีปัญหาไม่ได้อยู่ด้วยกันตามแต่กรรม แต่ก็จะเกื้อกลูกันทุกชาติไป คู่ประเภทนี้จะมีความผูกพันกันล้ำลึก เข้าใจกันได้ดี ความรักของคู่ประเภทนี้จะสะอาด จริงใจ เชื่อถือได้ แต่ก็มีปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง ตามประสาคนที่จิตยังไม่บริสุทธิ์

(จากหนังสือจิตวิทยาแห่งความรัก หลักการเลือกคู่ การอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข และการอยู่คนเดียวอย่างล้ำค่า ไชย ณ พล)

การเสาะหาคู่

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่วัยรุ่นชอบคิดกันมาก จึงควรทำความเข้าใจให้ตรงว่า คู่ที่แท้จริงนั้นไม่ต้องเสาะหา กลไกกรรมจะนำพามาเจอกันเอง หากพยายามเสาะหามักจะได้คู่เทียมเสียเป็นส่วนใหญ่ ถ้าไปพัวพันกับคู่เทียมเพราะคิดว่าเป็นคู่แท้ แล้วจะเสียใจภายหลังครั้นพบคู่ตัวจริงแล้ว แต่ตนพัวพัน แปดเปื้อน หรือหมดอิสระเสรีภาพเสียแล้ว อาจจะทำให้เสียโอกาสที่จะอยู่กับคุ่ที่แท้จริง หรือหากแก้ปัญหาได้ และมาอยู่ด้วยกันได้ในที่สุด ก็จะไม่มีความสุขสูงสุดอย่างที่ควรจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน ที่มีความพัวพันทางกามารมณ์ และผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องกันแล้วนั้น เสมือนการเอาก้อนอิฐสองก้อนมาเชื่อมกันไว้ด้วยซิเมนต์ ครั้นต้องการกระเทาะอิฐทั้งสองนั้นแยกออกจากกัน ย่อมทำให้อิฐแตกไปบ้าง แม้แยกออกได้แล้วก้ย่อมมีคราบซิเมนต์เกาะมาบ้าง

เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่มีกามารมณ์แล้วมีผลประโยชน์ร่วมกันแล้ว ครั้นพยายามแยกออกจากกัน ย่อมทำให้ดวงใจร้าวชำรุดไปบ้าง เมื่อแยกจากจากกันได้แล้วย่อม ทำให้จิตใจสกปรกเลอะเทอะไปด้วยความทุกข์ กรรม และอารมณ์อันไม่พึงปราถนาบ้าง ซึ่งดวงใจที่ไม่สะอาด และไม่สมบูรณ์ย่อมไม่อาจสร้างสัมพันธ์ใหม่ให้สดใสสมบูรณ์ได้

ดังนั้น การไม่ผลีผลามในเรื่องคู่จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับคนที่ต้องการความสุขในชีวิตอย่างแท้จริง

ดังนั้น ไม่ควรคิดเสาะหาคู่ เพราะแค่คิดก็ทุกข์แล้ว เมื่อปราถนาก็จะเริ่มขาดความเชื่อมั่นในตน ความสดใสจะสูญหายไป

หล่อ สวย รวย เก่ง ดี สูงส่งด้วยศักดิ์ศรี จะเลือกอย่างไหน ?

คุณสมบัติประการใดประการหนึ่ง หรือหลายประการ หรือทุกประการเหล่านี้คือ หล่อ สวย รวย เก่ง ดี สูงส่งด้วยศักดิ์ศรี อาจเป็นคุณสมบัติของชายในฝันหรือหญิงในฝันของหลาย ๆ คน หรืออาจจะเป็นของทุกคนก็เป็นได้

คนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการตามฝันนี้นั้นมีอยู่น้อยมากในโลก แทบจะนับคนได้ และพวกเขาก็มักจะมีคู่กันอยู่แล้ว ส่วนนอกนั้นก็มักจะมีบางคุณสมบัติ และขาดบางคุณสมบัติขาดๆเกินๆอยู่

ในกรณีที่มีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามมาตรฐานแห่งฝันดังนี้จะเลือกแบบไหนดี
คงต้องบอกความจริงให้รู้ จะอยากฝันอย่างไรก็ฝันไปเถิด พอถึงเวลาเจอคู่ที่แจริงแล้ว มาตรฐานที่ตั้งไว้ก็จะหมดความหมายไป ไม่มีโอกาสได้เลือกหรอก อำนาจรักจะบอกว่า เขาจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญ ฉันจะรักคนนี้ จะเอาคนนี้ เพราะพลังผูกพันในดวงใจของทั้งคู่เสมือนแม่เหล็กขั้วบวกกับขั้วลบที่ดูดเข้าหากันตลอดเวลา มิใยที่ใครจะห้ามปราม ชี้แจง หรือเอามาตรฐานใด ๆ มาให้พิจารณาก็ไม่ฟัง ความฝันที่ตนตั้งเกณฑ์ไว้ก็หายไปสิ้น

แต่ถ้าใครสามารถควบคุมใจได้ มิให้ความรักกำเริบกระชากลากพาชีวิตไป และจะเลือกอย่างมีวิจารณญาณ และตั้งใจไว้ว่าถ้าไม่เจอคนที่มีคุณสมบัติดีจริง ก็ไม่เอาดีกว่า ยอมอยู่คนเดียวอย่างมีอิสรสุข ดีกว่าจะอยู่กับอนาคตแห่งความทุกข์ระทม หรือหากใครยังไม่มีคู่แท้และอยากสร้างคู่ถาวรสักคน จะเริ่มต้นกับคนแบบไหนดี คุณสมบัติเหล่านี้มีค่าอย่างไรเราลองมาพิจารณาดูกันทีละคุณสมบัติ

ความหล่อ ความสวย เป็นคุณสมบัติที่ดูชื่นตา ชื่นใจ มีชีวิตชีวาดี แต่ก็มีข้อเสียในตนเองหลายประการเช่น

1.ถ้ามีแฟนหล่อมาก สวยมาก เขาหรือเธอมักเป็นที่หมายปองของคนอื่น จะมีเหตุให้บุคคลที่สามเข้ามาพัวพันให้ร้าวฉาน อกหัก แตกแยกได้ง่าย วุ่นวายหัวใจอย่างยิ่ง

2.แม้เขารัก และซื่อสัตย์ต่อเราจริง ความหล่อความสวยของเขาก็ไม่เที่ยง อยู่กันไปไม่เท่าไหร่ก็เหี่ยว เดี๋ยวก็เจ็บป่วย เป็นโรคต่างๆ และที่สำคัญไม่ว่าสวยหรือหล่อแค่ไหน เมื่อพิจารณาลึกๆแล้ว ร่างกายเหล่านั้นก็เต็มไปด้วยสิ่งของที่ไม่สะอาดทั้งนั้น เช่น ขี้หัว ขี้หู ขี้มูก ขี้ตา ขี้ฟัน ขี้รักแร้ ขี้ไคล อุจจาระ และขี้เมือกต่าง ๆ ซึ่งก็เหม็นเหมือนกันหมดทุกคน

3.แม้เขารักษารูปร่าง ทรวดทรงผิวพรรณไว้ได้ดี แต่พออยู่ ๆ ไปก็ชินตา ที่เคยเห็นว่าสดใส ก็กลับจืดชืดไป เหมือนอ้อยที่ถูกเคี้ยวหมดน้ำหวานแล้ว ก็เหลือแต่กากอันจืดชืด อยากจะคายทิ้ง

4.ความหล่อความสวยอย่างเดียว ไม่พอที่จะเป็นองค์ประกอบให้ชีวิตประสบความสำเร็จสุขได้ บางคนหล่อ สวย แต่ไม่ฉลาด หรือนิสัยไม่ดี คนหล่อคนสวย มักหยิ่ง เล่นตัว ซึ่งทำให้คบด้วยลำบาก

ดังนั้น การคบคนหล่อ คนสวย ก็เป็นการดี แต่ความหล่อความสวย ไม่ใช่คุณสมบัติหลักของการพิจารณาเลือกคู่ ต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่น ๆ อีก

ความรวย เป็นคุณสมบัติที่ดูเหมือนจะเอื้ออำนวยความสะดวกสบายได้ดี ต้องการอะไรก็ใช้เงินซื้อหามาแต่หากพิจารณาดีๆ ความรวยก็มีข้อจำกัด คือ

1.คนรวยมักมีภารกิจมาก ไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับบ้านและลูกเมีย ครอบครัวขาดความอบอุ่น

2.ความรวยเองก็ไม่เที่ยง ถ้าไม่รู้จักรักษาก็จนได้ แม้พยายามรักษาอย่างดีก็อาจถูกโกงถูกไพไหม้ได้

3.มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เงินซื้อไม่ได้ เช่นความสงบ ความรักแท้ ความซื่อสัตย์ บุญบารมี หรือปัญญาญาณอันลึกซึ้ง

4.ในแวดวงของคนรวยนั้น บางครั้งอาจขาดแคลนน้ำใจ เพราะจิตใจคนโดยปกติเสมือนแก้วน้ำที่มีน้ำเต็ม ถ้าเอาเหรียญหย่อนลงไปในแก้ว น้ำก็จะล้นออกมา ใส่เหรียญไปมากน้ำก็จะไหลออกมามาก จนกระทั่งในที่สุดเมื่อน้ำใจน้อย แล้งน้ำใจแล้ว ใจจะกระด้าง แห้งแล้ง คนรวยจึงมักไร้น้ำใจ เหมือนคนมีบุญแต่กรรมบัง มีเงินทองมากมาย ไม่ได้ใช้ ไม่เอื้อเฟื้อ ในที่สุดลูกเต้า เพื่อนพ้อง นักการเมืองและข้าราชการก็ดูดไปใช้หมด ทำให้ปวดใจ

ดังนั้นการคบคนรวยนั้นก็เป็นการดี แต่ความรวยไม่ใช่องค์ประกอบหลักที่จะทำให้ชีวิตคู่ประสบความสำเร็จสุขได้ ต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่นต่อไป

ความเก่ง เป็นคุณสมบัติที่น่านับถือ ดูเหมือนว่าคนเก่งจะเนรมิตอะไรได้โดยไม่ยาก และชื่อเสียงเกียรติยศปรากฏในสังคมแต่ความเก่งก็มักมีข้อจำกัดคือ

1.คนเก่งมักเป็นคนมีทัศนคติและพฤติกรรมเบี่ยงเบนจากสังคมทั่วไป มักคิดอะไรแปลกๆ พูดอะไรแปลก ๆ ทำอะไรแปลก ๆ เราต้องคอยตีความ และพยายามเข้าใจความแปลกของเขาอยู่เสมอ

2.คนเก่งมักเบื่อง่าย และคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ จนลืมรักษาของเก่าที่ดีอยู่แล้ว จนเป็นเหตุให้ต้องเริ่มต้นใหม่อยู่ร่ำไป ชีวิตจึงไม่ประสบความสำเร็จสมบูรณ์สักที ได้อย่างเสียอย่างเรื่อยมา เราต้องคอยตามอะไรใหม่ๆที่เกิดจากจิตนาการหรืออุดมการณ์ของเขาเสมอ และที่สำคัญต้องยอมรับด้วย ขัดแย้งไม่ค่อยได้

3.คนเก่งมักหงุดหงิดเวลาเราคิดไม่ทันเขา เข้าใจไม่ตรงกับความจริงที่เขาค้นพบ ซึ่งเขาคาดหมายว่าเราเป็นคู่เขาจะต้องเข้าใจอย่างที่เขาเห็น ทำให้เราพลอยไม่ชอบใจตนเอง และบางทีก็พลอยไม่ชอบเขาไปด้วย

4.คนเก่งมักสนุกกับงานของเขา จนไม่ค่อยสนใจครอบครัว ทำให้เราเหงาเป็นบางครั้ง

ดังนั้นการคบคนเก่งนั้นก็เป็นการดี แต่ความเก่งอย่างเดียว ไม่ใช่องค์ประกอบหลักที่จะทำให้ชีวิตประสบสำเร็จสุขได้ต้องพิจารณาอย่างอื่นต่อไป

ความดี เป็นคุณสมบัติที่ฟังดูแล้วพอจะไปได้ แต่ก็ไม่แน่เสมอไป เพราะยังมีข้อข้างเคียงของอุปนิสัยหรือพฤติกรรมที่ต้องพิจารณาอีกเช่น

1.คนดีมักเน้นอุดมคติ ยึดมั่นอยู่กับความสมบูรณ์แบบ จึงทำให้เขาหงุดหงิดที่ไม่สามารถสร้างโลกนี้ให้สมบูรณ์แบบได้

2.คนดีที่ติดดีมาก ๆ มักจะเป็นคนขวางโลก เห็นอะไรก็ไม่ถูกไม่ต้องไปหมด ทำให้เราพลอยหดหู่ ชีวิตขาดความสดชื่น

3.คนดีที่ไม่มีปัญญา มักจะเป็นคนอ่อนแอ ขี้ขลาดไม่กล้า แคร์ความรู้สึกของคนอื่นเสียจนปล่อยให้ตนเองเละเทะ องค์กรเละเทะ และสังคมเละเทะได้

4.คนดีมักนึกถึงคนอื่นและประโยชน์สุขของสังคมมากกว่าที่จะเห็นความสำคัญของเราคนเดียว

สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ในการอยู่กับคนดี ดังนั้น การคบคนดีนั้นดีแน่ แต่การดูคนดีแล้วเลือกมาเป็นคู่เลย โดยยังไม่ได้พิจารณาความเหมาะสมนั้น อาจสะท้อนใจลึก ๆ เพราะเหตุแห่งความดีของเขาก็ได้ ดังนั้นลองพิจารณาคุณสมบัติอื่นต่อไป

สูงส่งด้วยศักดิ์ศรี คุณสมบัตินี้ดูผิวเผินเหมือนจะดี ทำให้ภาคภูมิและอบอุ่น แต่ถ้าพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วนก็พบปัญหามากมายคือ

1.คนสูงส่งด้วยศํกดิ์ศรีมักทะนง ถือตัว บางครั้งก็ทำเหมือนลืมไปว่า เขาคือคนเหมือนคนอื่นๆ ทำให้ขาดความเป็นกันเอง ชีวิตไม่รื่นรมย์

2.คนสูงส่งด้วยศํกดิ์ศรีเหมือนคนยืนอยู่บนที่สูง มีบริวาร และคนประจบเอาใจมาก แต่มีมิตรแท้น้อย ต้องคอยระแวง ระวังตลอดเวลา และอาจพลาดได้ง่าย เมื่อพ่ายแพ้ พวกนี้มักจะพ่ายแพ้ต่อพลังมหาชน และการพ่ายแพ้ต่อมหาชนเป็นความพ่ายแพ้ที่เจ็บปวดที่สุดของนักปกครอง เพราะชีวิตที่เหลือ เขาแทบจะไม่มีความสุขเลยและยิ่งอยู่สูงเท่าใด เมื่อเขาตกลงมา ก็เจ็บมากเท่านั้น

3.ความสูงส่งด้วยศักดิ์ศรีไม่ใช่หลักประกันความดีงาม คนที่เคยสูงส่ง บางคนก็ไม่ใช่คนดี อาจเคยทำกรรมชั่วช้าลามก ซึ่งในที่สุดก็ต้องรับกรรมเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป ดังนั้น ความสูงส่งด้วยศักดิ์ศรีก็เป็นสิ่งไม่เที่ยง สัตว์บางตัวที่เราพบเห็น เช่นมด ยุง อาจจะเคยเป็นราชา ราชินีที่ยิ่งใหญ่ หรือเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองมาก่อนก็ได้ ความสูงส่งด้วยศักดิ์ศรีจึงไม่ใช่หลักประกันความดีงามที่แท้จริง กรรมดี กรรมชั่วต่างหากที่บุ่งบอกคุณธรรมความเป็นมนุษย์

4.ความสูงส่งด้วยศักดิ์ศรีไม่ใช่สิ่งที่มีค่าอย่างแท้จริง เพราะใคร ๆ ก็เป็นกันได้

ดังนั้นเวลาพิจารณาฐานันดรศักดิ์นี้ต้องลองสมมุติดูว่า ถ้าคู่รักของเราผู้สูงส่งด้วยศํกดิ์ศรีนี้ เขาไม่ได้มีฐานันดรอย่างที่เป็นอยู่นี้ บังเอิญเขาไปเกิดเป็นลูกชาวนา ชาวป่า ชาวไร่ แล้วเป็นคนมีรูปร่าง หน้าตา นิสัยใจคอ และคุณภาพอย่างนี้ จะต้องการมั้ย ถ้าต้องการ ก็เชิญตามสบาย แต่ถ้าไม่ต้องการ ก็แสดงว่าฐานันดรเป็นภาพลวงตา หลอกใจเราถอดมันออกเสียก็จะเห็นความเป็นจริงของคนตรงตามที่เขาเป็น

เมื่อพิจารณาแล้วดังนี้จะเห็นว่า คุณสมบัติหล่อ สวย รวย เก่ง ดี สูงส่งด้วยศักดิ์ศรี ไม่ใช่เกณฑ์มาตรฐานที่ควรนำมาพิจารณาเลือกคู่เลย

ถ้าพบคนหล่อ คนสวย คนรวย คนเก่ง คนดี คนสูงส่งด้วยศักดิ์ศรียังไม่สนใจ แล้วจะไปสนใจใครที่ไหน ไม่ต้องกังวลเลยวิญญูชนย่อมอุดมด้วยหลักการ และมาตรฐานอันประเสริฐเสมอ

http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=5742

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

63
อันตรายจากการว่าพ่อแม่ และจ้วงจาบผู้มีบุญคุณ ผู้ทรงศีล-ทรงธรรม




โทษของการจาบจ้วงพ่อแม่

ปี 2500 มีนิสิตปริญญาโทจุฬา 30 คนไปที่อ.ค่ายบางระจัน สิงห์บุรี ไปให้แม่ทำครัวเลี้ยงเพื่อนๆ บอกว่า

"เลี้ยงวันเกิดผม แม่รู้ไหม วันเกิดผม ทำครัวต้องอร่อยด้วยนะ ผมพาเพื่อนมาจากกรุงเทพฯ"

ก็ทำแบบบ้านนอกจะไปอร่อยอะไร ก็ว่าแม่ เสียดสีแม่ ว่าแม่เสียใจร้องไห้ไปเลยนะ แล้วก็กลับกรุงเทพฯ

อาตมาจดไว้เลย ดูซิ ลูกจะเกิดอันตรายไหม ไปจ้วงจาบกับแม่เห็นชัด ดูซิว่าจะได้รับกรรมอะไรบ้าง

ต่อมารับราชการได้แค่ 3 ปี โดนไล่ออก นี่ปริญญาโท เมื่อปี 2500 นานมาแล้ว

แล้วไปเข้างานบริษัทฝรั่งก็โดนไล่ออก ไปเข้างานบริษัทญี่ปุ่นก็โดนไล่ออกอีก นี่แหละ

กฎแห่งกรรมจากการกระทำของหลักกรรมเปลี่ยน

พฤติการณ์ของชีวิตได้ ทำให้เขากลายเป็นคนเหลวไหลไปเลย เรียนที่จุฬาฯ ปริญญาโท เป็นหมันไปเลย

ทรัพยากรของชีวิตก็หมดไปด้วยตามสภาพของกฎแห่งกรรมจากการกระทำของเขา

พ่อแม่ตาย น้องสาวยังอยู่ น้องสาวเคยมานั่งกรรมฐานที่วัด -ถามเขาว่าพี่ชายเธอเป็นอย่างไร

"หลวงพ่อคะ เข้ากับใครไม่ได้เลย" นี่เขาเถียงแม่ อาตมาถึงสอนเด็กอย่าเถียงพ่ออย่าเถียงแม่



อริโยปวาอันตราย -อันตรายเกิดจากการจ้วงจาบผู้มีบุญคุณ ผู้ทรงศีล ทรงธรรม

เช่นพระสงฆ์องค์เจ้า เป็นต้น แล้วก็จ้วงจาบกับครูบาอาจารย์ที่สอนหนังสือ เป็นอันตรายในปัจจุบันนี้

จ้วงจาบกับคุณพ่อคุณแม่ เป็นอันตรายในปัจจุบันนี้แน่นอน

ยกตัวอย่างให้เห็น มาเล่นกองไฟกินเหล้าเมายากัน นี่ปริญญาครุศาสตร์ เกิดต่อยปากครู ลงไปชกปากครูเลย

ดูซิ อย่างนี้จะมีอริโยปวาอันตรายเกิดขึ้นไหม -ครูก็ใจดี ครูก็เป็นมหาเปรียญ 6 ประโยค ตอนบวชเณร

แล้วก็ไปเรียนวิชาความรู้ วิชาครูแล้วมาบรรจุที่วิทยาลัยเทพสตรีนั้น เดี๋ยวนี้ปลดเกษียณไปแล้ว

"ผมไม่โกรธเขาแล้วครับ เขาต่อยปากผมไม่เป็นไร เขาเมา"

เราก็เรียกเด็กมาบอก "หนูเป็นบาปไปแล้ว นี่อริโยปวาอันตราย เธอไปขออโหสิกรรมกับครูเสีย"

ไม่ยอมไปขอ เปลี่ยนพฤติกรรมไปทางเมา เมาแล้วก็เปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนแปลงชีวิต กลายเป็นคนเหลวไหล

นี่มันเปลี่ยนพฤติกรรมได้ เพราะหลักกรรมอันนี้ออกมานี่ชัดเจนมาก ขอเจริญพรนะ อยู่มาไม่ถึง 7 วัน

ขับมอเตอร์ไซค์ที่ท่าวัง ถูกรถสิบล้อขยี้เลย มอเตอร์ไซต์พังหมด หัวเละ ตายคาที่เลย นี่แหละ อริโยปวาอันตราย อันตรายเกิดจากที่จ้วงจาบผู้มีบุญคุณ



วิธีขอขมาพ่อแม่

ผู้ใดก็ตาม ที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุข

ส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่าน ก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษ ฯ


ถึงวันเกิดของเราให้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้พ่อแม่ คนละ 1 ชุด

ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ 1 ผืน ตื่นเช้ามาไหว้พระสวดมนต์จบแล้ว

จัดหาอาหารอย่างดีที่สุดที่พ่อแม่ชอบ ให้พ่อแม่รับประทาน

เมื่อรับประทานแล้วให้ท่านนั่งบนเก้าอี้พร้อมกัน เอากะละมังใส่น้ำอุ่นมาล้างเท้าพ่อแม่

เอาสบู่ฟอกให้สะอาดแล้วล้างด้วยน้ำให้สะอาด

เอาผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ ที่ซื้อมาเช็ดให้แห้ง เอาแป้งโรยให้ทั่วให้หอม เอาเสื้อผ้าที่ซื้อมาให้ท่าน

เสร็จแล้วพูดว่า "กรรมใดที่ลูกได้ล่วงเกินคุณพ่อคุณแม่ ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี

ขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรมให้แก่ลูกด้วยเทอญ"... เสร็จแล้วกราบเท้าท่าน 3 ครั้ง

เอาเท้าท่านทั้ง 2 คน คนละข้างเหยียบที่ศรีษะเรา แล้วให้ท่านให้พรเรา

นั่นแหละถึงจะล้างกรรมกันได้ ฟังดูแล้วเห็นว่าไม่ยาก ลองไปทำดูเถอะง่ายนิดเดียว


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

65
ขอให้หลวงตา ไปสู่ซึ่ง นิพพาน ครับ  :054:

66
ไม่เสื่อมเชื่อผมนิ ยังก็ไม่เสื่อม ถ้าคุณเป็นคนดี รักษาศีล คิดดี พูดดี ทำดี ยังไงมันก็ไม่เสื่อม เชื่อผมซิ ทีนี้บายใจยัง  :095:

67
ขอบคุณครับพี่ใหญ่ สำหรับ คาถาดีๆ  :054: :054: แล้วได้ตะกรุดมาใหม่มั้งป่าว  :002:

68
หนุมาน ทุกตัวก็หัวใจ หะ นุ มา นะ หมดแหละครับ

69
ศีลครบ ๕ ข้อ แสดงว่าวันนั้นเรามีความเป็นคนครบบริบูรณ์ ๑๐๐ %
ถ้ามีศีลเหลือ ๔ ข้อ ความเป็นคนก็เหลือ ๘๐ % ใกล้สัตว์เข้าไป ๒๐ %
ถ้ามีศีลเหลือ ๓ ข้อ ความเป็นคนก็เหลือ ๖๐ % ใกล้สัตว์เข้าไป ๔๐ %
ถ้ามีศีลเหลือ ๒ ข้อ ความเป็นคนก็เหลือ ๔๐ % ใกล้สัตว์เข้าไป ๖๐ %
ถ้ามีศีลเหลือ ๑ ข้อ ความเป็นคนก็เหลือ ๒๐ % ใกล้สัตว์เข้าไป ๘๐ %



ถ้าศีลทุกข้อขาดหมด ก็หมดความเป็นคน หมดความสงบ หมดความสุข
ถึงยังมีชีวิตอยู่ก็เหมือนคนตายแล้ว ความดีใดๆ ไม่อาจงอกเงยขึ้นมาได้อีก มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อจะทำความเดือดร้อนให้แก่ตนเองและผู้อื่นเท่านั้น คนชนิดนี้คือคนประมาทแท้ๆ

อ า นิ ส ง ส์ ข อ ง ศี ล
๑. เป็นทางมาแห่งโภคทรัพย์สมบัติ และทำให้สามารถใช้ทรัพย์ได้เต็มอิ่ม โดยไม่ต้องหวาดระแวง ว่าจะมีใครมาทวงคืน
๒. ทำให้มีชีวิตอยู่ด้วยความเป็นสุข ไม่ต้องหวาดระแวงว่าใครจะมาปองร้าย
๓. ทำให้เกียรติคุณฟุ้งขจรไปว่าเป็นคนเชื่อถือได้ มีอนาคตดี
๔. ทำให้แกล้วกล้าอาจหาญในท่ามกลางประชุมชน
๕. ทำให้เป็นคนไม่หลงลืมสติ มีความจำดี
๖. ตายแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ มีสุคติเป็นที่ไป และเป็นทางดำเนินไปสู่มรรคผลนิพพานในที่สุด


ข้อมูลhttp://club.hunsa.com/tumbun/story_detail

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

70
“ยังมีทานที่ไม่ต้องใช้เงินทองแต่ได้กุศลผลบุญสูงกว่าอภัยทานอีกนะ”

“ทานอะไรหรือครับ ที่สูงกว่าอภัยทาน”
ข้าพเจ้าถามด้วยความอยากรู้



“ก็ ธรรมทาน ยังไงล่ะ สร้างสมได้โดยช่วยชี้แนะสั่งสอนผู้คนที่ประพฤติตนหลงผิดคิดชั่วให้กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี
เป็นที่ยอมรับของสังคมโดยทั่วไป หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือ


ช่วยนำทางคนที่เดินทางผิดให้มาเดินถูกทางนั่นแหละ ธรรมทานนี้จะได้กุศลผลบุญสูงกว่าอภัยทานนะ

เพราะแม้เราให้อภัยทานแก่คนที่เลวร้ายไปแล้วก็ตาม แต่เขาก็หาได้อยู่รอดปลอดภัยไม่ อาจถูกคนอื่นที่เขาไม่ให้อภัยกำจัดเสียก็ได้

แต่ถ้าเราให้ธรรมทาน จนสามารถทำให้คนเลวกลับกลายมาเป็นคนดีเสียได้เขาจะอยู่ได้โดยรอดปลอดภัยใช่ไหม?” หลวงพ่ออธิบาย



หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง
...ในสายตาของคนอื่น เขาอาจเห็นว่าลูกเลว แต่ขอลูกทั้งหลายจงคิดว่า นั่นเป็นเรื่องความรู้สึกนึกคิดของบุคคลแต่ละคน

แต่พ่อเองมีความรู้สึกว่า คนจะดีหรือคนจะเลวมันขึ้นกับกฏของกรรม

ก่อนที่เราจะเกิดมานี่ เราทำทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ขณะใดถ้ากรรมที่เป็นอกุศลมันให้ผล ขณะนั้นลูกของพ่อก็อาจจะมีความคิดผิด พูดผิด กระทำผิดไปได้เป็นของธรรมดา แต่ขณะใดกรรมที่เป็นกุศลให้ผล บรรดาลูกรักของพ่อก็จะทำถูก คิดถูก พูดถูกอยู่เสมอ เรื่องนี้ถึงแม้ว่าตัวของพ่อเองก็ประสบมามาก จึงไม่มีความรู้สึก

เมื่อลูกรักบางท่าน บางคน คิดพลาด พูดพลาด กระทำพลาดไป ถือว่านั่นเป็นกฏของกรรมเดิมที่เราทำมาแล้วไม่ดี ในชาตินี้เรามาแก้ตัวกันใหม่ พยายามทำความดีเสียทุกอย่างเพื่อการหักล้างความชั่วเดิม เพื่อผลที่เราจะพึงได้ต่อไปนั่นก็คือ ''พระนิพพาน''


จาก หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

71
ขอบคุณครับ สำหรับธรรมะดีๆ นะครับ อนุโมทนา ด้วยครับ

72
สวดมนต์แล้วอย่าลืมไหว้พ่อแม่ด้วยนะ

พ่อ แม่ คือพระในบ้าน

การไหว้พระในบ้าน (พ่อแม่)
เมื่อเราไหว้พระรัตนตรัยแล้ว ก่อนนอนทุกวันพึงไหว้พ่อแม่ ผู้เป็นพระในบ้าน ซึ่งมีพระคุณอันยิ่งใหญ่แก่เรา โดยพนมมือขึ้นรำลึกถึงพระคุณของท่าน กล่าวคำไหว้ดังนี้
มัยหัง มาตาปิตูนังวะ ปาเทสุ
วันทามิ สาทะรัง (กราบลง ๑ครั้ง)
นึกถึงพ่อแม่และนึกเห็นตัวเราหมอบกราบแทบเท้าท่านทั้งสอง
พ่อแม่ คือศูนย์รวมความเป็น “พระ” ของลูก
พ่อแม่ เป็นพระพรหม
พ่อแม่ เป็นพระเทพ
พ่อแม่ เป็นพระอาจารย์
พ่อแม่ เป็นพระอรหันต์
แน่แล้ว! พ่อแม่ คือพระในบ้าน

พระพรหมในบ้าน

ผู้ที่จะเป็นพระพรหมนั้นต้องมี ๔สีหน้า คือ
สีหน้าเมตตา
สีหน้ากรุณา
สีหน้ามุทิตา
และสีหน้าอุเบกขา
พระพรหมในบ้าน คือ พ่อแม่นี่เอง


จากหนังสือบทสวดมนต์ พระธรรมสิงหบุราจารย์
หลวงพ่อจรัญ

นายธรรมะ
ขอขอบคุณสิ่งๆดีจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

73
...กระผมขอให้ศิษย์วัดบางพระทุกท่าน..มีความเจริญทั้งในเรื่องการค้าและการงาน
...มีสุขภาพที่ดี..อุดมสมบูรณ์ไปด้วยโชคลาภและเงินทองตลอดปี2554นี้นะครับ :077:


๔ ท่าน Ome   ตอบ #53 เมื่อ: วันนี้ เวลา ๐๐:๐๐:๒๕

๕ นายธรรมะ   ตอบ #54 เมื่อ: วันนี้ เวลา ๐๐:๐๐:๓๗


...ส่งชื่อที่อยู่มาที่..ข้อความส่วนตัว..กระผมด้วยนะครับ.. :026:


เย้ๆได้ด้วยเหรอครับเนี่ย ดีใจจังครับ ขอบคุณมากนะครับ ท่าน Ronaldo 2007 ขอบคุณสำหรับกิจกรรมครับ

74
สวัสดีปีใหม่ นายธรรมะ

75
เรื่องของเรื่องนี้ก็คือผมสักน้ำมันมานั่นแหละครับแต่ว่าคือผมสักมาเยอะจนตัวผมเองก็จำไม่ได้แล้วครับว่ามีอะไรบ้างเยอะแค่ไหน   
 เพราะผ่านมานานพอสมควรแล้วครับ :009:
แต่ว่าที่ผมจำได้ผมมีพ่อแก่หน้าเสืออยู่ที่แขนครับ แล้วประเด็นคือเวลาของขึ้นเนี่ยครับ ผมเคยอ่านเจอมาว่า ถ้าคนไหนมีพ่อแก่อยู่พ่อแก่จะช่วยคุมรอยสักยันต์ต่างๆที่มีไม่ให้ตีกัน (สำหรับคนที่สักรูปสัตว์มาหลายชนิด)อันนั้นจริงหรือไม่ แล้วถ้าเป็นอย่างงั้นจริงทุกครั้งที่ของขึ้นนี่จะขึ้นเป็นพ่อแก่ทุกครั้งเลยมั้ยครับ คือผมก็เคยของขึ้นแหละครับแต่ผมไม่แน่ใจเลยอยากทราบจากพี่ๆครับ ถ้าผิดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ  :001: :001: :001:

ไม่ต้องไปสนเรื่องของขึ้น ถือศีล 5 ให้ตลอด คิดดี พูดดี ทำดี ของก็ขลัง แล้วครับ อย่าไปสนเรื่องของขึ้นครับ

76
ขอบคุณนะครับสำหรับบทความเรื่อง ผลกรรมผู้หญิงแต่งกายไม่สำรวมเข้าวัด  :054:

77
รวมรายชื่อวัดที่มีการสวดมนต์ข้ามปีเพื่อบำเพ็ญมหากุศล

กรุงเทพมหานคร วัดสร้อยทอง เขตบางซื่อ, วัดยานนาวา เขตสาทร, วัดพรหมวงศาราม เขตดินแดง, วัดเทพลีลา เขตบางกะปิ, วัดพระศรีมหาธาตุ เขตบางเขน



ภาคเหนือ ประกอบด้วย วัดพระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงราย, วัดพระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่,วัดพระธาตุศรีจอมทอง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่, วัดพระธาตุหริภุญชัย อ.เมือง จ.ลำพูน, วัดพระศรีรัตนมหาธาตุฯ อ.เมือง จ.พิษณุโลก, วัดท่าหลวง อ.ท่าหลวง จ.พิจิตร, วัดคลองโพธิ์ อ.คลองโพธิ์ จ.อุตรดิตถ์, วัดหนองโว้ง อ.หนองโว้ง จ.สุโขทัย


ภาคอีสาน ประกอบด้วย วัดป่าแสงอรุณ อ.เมือง จ.ขอนแก่น, วัดศรีสวัสดิ์ อ.เมือง จ.มหาสารคาม, วัดสระพังทอง อ.เมือง จ.มุกดาหาร, วัดไพรีพินาศ อ.เมือง จ.ชัยภูมิ, วัดศรีพันดอน อ.ภูเรือ จ.เลย, วัดทุ่งศรีเมือง อ.เมือง จ.อุบลราชธานี, วัดทุ่งโพธิ์ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์, วัดโพธิการาม อ.ปทุมรัตน์ จ.ร้อยเอ็ด, วัดสะเดารัตนาราม อ.ปราสาท จ.สุรินทร์




ภาคกลาง ประกอบด้วย วัดพระนอนจักรสีห์ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี, วัดต้นสน อ.เมือง จ.อ่างทอง, วัดศรีบุรีรัตนาราม อ.เมือง จ.สระบุรี วัดหนองโพ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี, วัดป่าเรไร อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี, วัดนางสาว อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร




ภาคตะวันออก ประกอบด้วย วัดโสธร อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา, วัดนครธรรม อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว, วัดบางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ




ภาคใต้ ประกอบด้วย วัดพระมหาธาตุฯ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช, วัดกะพังสุรินทร์ อ.เมือง จ.ตรัง, วัดท่าไทร อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี, วัดสุวรรณวิชัย อ.ควนขนุน จ.พัทลุง


วัดทั่วกรุงเทพฯ จัดสวดมนต์ปีใหม่อยู่แล้ว


วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร, วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร, วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร, วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร, วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร, วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร, วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร, วัดชัยชนะสงครามราชวรมหาวิหาร, วัดมหรรณพารามวรวิหาร, วัดพิชัยญาติการามวรวิหาร, วัดสังข์กระจาย, วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก, วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร, วัดศิริพงษ์ธรรมนิมิตร, วัดราชสิงขร, วัดดาวดึงส์, วัดมหาพฤฒารามวรวิหาร, วัดธรรมมงคล

เพิ่มเติม ^^

ภาคกลาง

กรุงเทพมหานคร
๑.วัดเจริญธรรมาราม เขตสายไหม กทม.
-วันที่ ๓๑ ธันวาคม ทำวัตรเย็นถึงเวลา ๐๑.๐๐ น.
-วันที่ ๑ มกราคม ทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง
๒.วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร เขตบางขุนเทียน กทม.
- สวดมนต์ข้ามคืน เวลา 5 โมงเย็นเป็นต้นไป ปลูกจิตสำนึกให้เด็กๆและครอบครัว
๓.วัดภาษี เขตวัฒนา กทม.
-สวดมนต์รอบพระธาตุ สวดมนต์พระเคราะห์
๔.วัดทุ่งลานนา เขตประเวศ กทม.
- สวดมนต์เย็น สวดบทแปลวันเสาร์ 6
๕. วัดชัยพฤกษ์มาลา เขตตลิ่งชัน กทม.
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม ทำวัตรเย็น
- วันที่ ๑ มกราคม ทำบุญตักบาตร
๖. วัดสุวรรณประสิทธิ์ เขตบึ่งกุ่ม กรุงเทพฯ
๗.ยุวพุทธิกสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ เขตภาษีเจริญ กทม.
๘.สมาคมส่งเสริมความดีสากล กทม.
๙.วัดยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ
๑๐.วัดพรหมวงศาราม เขตดินแดง กรุงเทพฯ
๑๑.วัดเทพลีลา เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ
๑๒.วัดพระศรีมหาธาตุ เขตบางเขน กรุงเทพฯ
๑๓.วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เขตป้อมปราบฯ กรุงเทพฯ
๑๔.วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร เขตดุสิต กรุงเทพฯ
๑๕.วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ
๑๖.วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ
๑๗.วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ
๑๘.วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ
๑๙.วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ
๒๐.วัดชัยชนะสงครามราชวรมหาวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ
๒๑.วัดมหรรณพารามวรวิหาร เขตดุสิต กรุงเทพฯ
๒๒.วัดพิชัยญาติการามวรวิหาร เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ
๒๓.วัดสังข์กระจาย เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ
๒๔.วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ
๒๕.วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร เขตป้อมปราบฯ กรุงเทพฯ
๒๖.วัดศิริพงษ์ธรรมนิมิต เขตบางเขน กรุงเทพฯ
๒๗.วัดราชสิงขร บางคอแหลม กรุงเทพฯ
๒๘.วัดดาวดึงษ์ เขตบางพลัด กรุงเทพฯ
๒๙.วัดมหาพฤฒารามวรวิหาร เขตบางรัก กรุงเทพฯ
๓๐.วัดธรรมมงคล เขตพระโขนง กรุงเทพฯ
๓๑.วัดสุวรรณประสิทธิ์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ
๓๒.วัดหัวลำโพง เขตบางรัก กรุงเทพฯ
๓๓.วัดบางโพโอมาวาส เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ
๓๔.วัดสร้อยทอง เขตบางซื่อ กรุงเทพฯ

ปทุมธานี
๑. วัดปัญญานันทาราม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม – ๓ มกราคม ๒๕๕๔
- ปฏิบัติธรรมบวชเนกขัมมบารมี-สวดมนต์ข้ามปี
- เจริญชัยมงคลคาถา/ตีกลอง ลั่นระฆัง
๒.วัดสายไหม อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม สวดมนต์ข้ามปี, ปฏิบัติธรรม
๓.วัดโบสถ์ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม สวดมนต์ข้ามปี, ปฏิบัติธรรม
๔.ยุวพุทธิกสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
๕.องค์การบริหารส่วนตำบลคลองสาม จ.ปทุมธานี
๕.สมาคมวัฒนธรรมเพื่อความดีสากล ปทุมธานี


นนทบุรี
๑. วัดไผ่เหลือง อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม ทำวัตรเย็น,ปฏิบัติบูชา,
- วันที่ ๑ มกราคม ทำบุญตักบาตร
๒.วัดบางปลากด อ.องครักษ์ จ.นครนายก
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม บวชเนกขัมมบารมีปฏิบัติธรรมข้ามปี ๓ วัน ๒ คืน
๓.วัดประสิทธิเวช อ.องครักษ์ จ.นครนายก

ฉะเชิงเทรา
๑.วัดบางแก้ว อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา
- วันที่ ๓๑ ธ.ค.–๑๕ ม.ค.๒๕๕๔สวดมนต์ข้ามปี
-ปฏิบัติธรรมเริ่มตั้งแต่, วันที่ ๑ มกราคม ทำบุญตักบาตร
๒.วัดหนองเสือ อ. พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา
๓.วัดโสธรวราราม อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา

ชลบุรี
๑. วัดเกาะแก้วคลองหลวง อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม บวชเนกขัมมบารมีปฏิบัติธรรมข้ามปี ๓ วัน ๒ คืน
- เจริญพระพุทธมนต์ ๗ ตำนาน
๒.วัดบ้านในบน อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม ปฏิบัติธรรม, สวดมนต์
๓.สวนธรรมนรารัตน์วันชัยขันติภาวนาบารมี อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
- สวดมนต์ บทสวดชัยมงคล เจริญจิตภาวนา

ราชบุรี
๑.วัดหนองตาเนิด อ.จอมบึง จ.ราชบุรี
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม สวดมนต์ข้ามปี
๒.วัดหนองโพ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ปราจีนบุรี
๑.วัดหลวงบดินทร์เดชา อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม สวดมนต์ข้ามปี
๒.วัดหลวงบดินทร์เดชา อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี
-สวดมนต์ข้ามปีตั้งแต่ 4 โมงครึ่ง
๓.วัดป่ามะไฟ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี



สมุทรปราการ
๑.วัดใหญ่ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ
- สวดมนข้ามปี 4 ทุ่ม-ตี1 สวดพรมน้ำมนต์ มีแจกปฎิทิน แจกวัตถุมงคล

สิงห์บุรี
๑.วัดพระนอนจักรสีห์ อ.เมืองสิงห์บุรี จ.สิงห์บุรี

สระบุรี
๑. วัดศรีบุรีรัตนาราม อ.เมืองสระบุรี จ.สระบุรี

อ่างทอง
๑.วัดต้นสน อ.เมืองอ่างทอง จ. อ่างทอง

ระยอง
๑.วัดเนินพระ อ.เมือง จ. ระยอง

ตราด
๑.วัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.ตราด

สุพรรณบุรี
๑.วัดป่าเลไลยก์ อ.เมือง จ. สุพรรณบุรี
๒.วัดสองพี่น้อง อ.สองพี่น้อง จ. สุพรรณบุรี
๓.วัดสามชุก อ.สามชุก จ. สุพรรณบุรี

สมุทรสาคร
๑.วัดปทุมทองรัตนาราม อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร
๒.วัดป้อมวิเชียรโชติการาม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร

เพชรบุรี
๑.วัดเขื่อนเพชร อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี

กาญจนบุรี
๑.วัดหนองอำเภอจีน อ.เลาขวัญ จ.กาญจนบุรี

นครปฐม
๑.วัดพระปฐมเจดีย์ จ. นครปฐม




ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

นครราชสีมา
๑. วัดสระตะเฆ่ อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม ปฏิบัติธรรม- สวดมนต์ข้ามปี
- วันที่ ๑ มกราคม ทำบุญตักบาตร,ทำบุญอุทิศ,ทอดผ้าป่า
๒. วัดโคกศรีษะเกษ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม บวชเนกขัมมบารมีถวายในหลวง,สวดมนต์,ทอดผ้าป่า
๓. วัดท่าหลวง อ.พิมาย จ.นครราชสีมา
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม สวดมนต์เย็น – เวลา ๐๑.๐๐ น.
- วันที่ ๑ ม.ค. ทำบุญตักบาตร
๔.วัดสุทธจินดา อ.เมือง จ.นครราชสีมา

ขอนแก่น
๑. วัดพิศาล อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม ปฏิบัติธรรม,ทอดผ้าป่า, วันที่ ๑ ม.ค. ทำบุญตักบาตร
๒.วัดหนองแวง ต.ในเมือง อ. เมืองขอนแก่น จ.ขอนแก่น

มหาสารคาม
๑. วัดขุนพรหมดำริ(บ้านอุปราช)อ.เมือง จ.มหาสารคาม
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม ปฏิบัติธรรม, สวดมนต์
- วันที่ ๑ มกราคม ทำบุญตักบาตร
๒.วัดศรีสวัสดิ์ อ.เมือง จ.มหาสารคาม
๓.วัดโสมนัส อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม
๔.วัดกลางกุดรัง อ.กุดรัง จ.มหาสารคาม

ร้อยเอ็ด
๑ วัดทุ่งรังษี อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม ปฏิบัติธรรม, สวดมนต์,ยกช่อฟ้าศาลา
- วันที่ ๑ มกราคม ทำบุญตักบาตร
๒. วัดป่าตถตาราม อ.จังหาร จ.ร้อยเอ็ด
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม ปฏิบัติธรรม, สวดอิติปิโส ๑๐๘
๓.วัดโพธิการาม อ.โพนสูง จ.ร้อยเอ็ด
๔.วัดสระเกษ อ.สระเกษ จ.ร้อยเอ็ด
๕.วัดท่าสะแบง อ.ทุ่งเขาหลวง จ.ร้อยเอ็ด
๖.วัดเจริญราษฎร์ อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด

สุรินทร์
๑. วัดดอกจานรัตนาราม อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์
- บวชเนกขัมมบารมีวันที่ ๑๖ ธ.ค.- ๒ ม.ค. ๒๕๕๔ สวดมนต์ข้ามปี,โครงการ “ส่วงเมา เซาประมาท” รณรงค์ไม่ประมาทในช่วงปีใหม่, วันที่ ๑ มกราคม ทำบุญตักบาตร
๒.วัดสะเดารัตนาราม ต.ทุ่งมน อ.ปราสาท จ.สุรินทร์

สกลนคร
๑. วัดบูรพาภิรมย์ อ.ส่องดาว จ.สกลนคร
- บวชเนกขัมมบารมีวันที่ ๒๙ – ๑ ม.ค. ๒๕๕๔
- สวดมนต์ข้ามปี,เจริญพระพุทธมนต์ถวายในหลวง

อำนาจเจริญ
๑ วัดเทพมงคล อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม โครงการ ส่งท้ายปีเก่าแบบวิถีไทย ต้อนรับปีใหม่แบบวิถีพุทธ สวดมนต์ข้ามปี ๑๙.๐๐ น. – ๒๔.๐๐ น. บทสวดเฉลิมพระเกียรติ

อุบลราชธานี
๑. วัดมงคลโกวิทาราม อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม ทอดผ้าป่าสบทบทุนสร้างโรงอาหาร สวดมนต์สะเดาะเคราะห์ ปัดเป่าสิ่งไม่ดีรับปีใหม่ สวดพายัพ ต่อชะตาคาถาชินณบัญชร แจกผ้ายันต์ท้าวสุวรรณ + ปฎิทิน 2554

กาฬสินธุ์
๑.วัดโพนวิมาน อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์
- ศีลนุ่งขาว ห่มขาว ทำวัตรเย็น สวดมนต์บทเจริญพุทธมนต์ – ตี 5
๒.วัดเวฬุวัน อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์
-บวชชีพราหมณ์ สวดมนต์สะเดาะเคราะห์
๓.วัดสิมนาโก อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์
-บวชชีพราหมณ์ สวดมนต์สะเดาะเคราะห์
๔.วัดชัยมงคลโคกค่าย อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์
-บวชชีพราหมณ์ สวดมนต์สะเดาะเคราะห์

ศรีสะเกษ
๑.วัดสว่าง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
-ปฏิบัติธรรม สวดมนต์ ตอบปัญหาเยาวชน
๒.วัดกลางขุขันธ์ ต.ห้วยเหนือ อ.ขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ
๓.วัดดอนใหญ่ ต.ดวนใหญ่ อ.วังหิน จังหวัดศรีสะเกษ
๔.วัดมหาพุทธาราม อ.เมือง จังหวัดศรีสะเกษ
๕.วัดศรีห้วยทับทัน อ.ทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ
๖.วัดบ้านโดด ต.โดด อ.โพธิ์สรีสุวรรณ จังหวัดศรีสะเกษ
๗.วัดสิริวราวาส ต.น้ำอ้อม อ.กันทราลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ

เลย
๑.วัดศรีบุญเรือง อ.เมือง จ.เลย

บุรีรัมย์
๑.วัดทุ่งโพธิ์ ต.อิสาน อ.เมือง จ.บุรีรัมย์
๒.วัดไผ่น้อย ต.ชุมเห็ด อ.เมือง จ. บุรีรัมย์

อุดรธานี
๑.วัดมัฌชิมาวาส ต. หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี

ยโสธร
๑.วัดยางตลาด อ.คำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร


ภาคเหนือ

เชียงใหม่
๑. วัดศรีสุพรรณ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม เจริญพระพุทธมนต์รับปีใหม่
-แจกวัตถุมงคล อาทิ พระ สายสิน น้ำมนต์
๒. วัดบ้านขุน อ.ฮอด จ.เชียงใหม่
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม เจริญพระพุทธมนต์รับปีใหม่
๓. วัดป่าไม้แดง อ.ไชยปราการ จ.เชียงใหม่
-วันที่ ๓๑ ธ.ค.
-เวลา ๑๘.๓๐ น.ไหว้พระสวดมนต์/สมาทานเบญจศีล/เจริญภาวนา/แผ่เมตตา
-เวลา ๒๑.๐๐ น.พิธีสะเดาะนพเคราะห์ จุดเทียนบูชา ปล่อยโคมไฟ ๙๙ ลูก
-เวลา ๒๓.๓๐ น.พิธีเจริญพระพุทธมนต์บทพุทธคุณข้ามปี
-เวลา ๒๔.๐๐ น.เจริญสมาธิ/แผ่เมตตา
-เวลา ๐๑.๐๐ น. พรมน้ำพระพุทธมนต์
๔.วัดสันกำแพง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่
- สวดมนต์เย็น ตั้งแต่ 5 โมงเป็นต้นไป มีกิจกรรมสอนเด็กในวันปีใหม่จัด
๕.วัดพระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
-เวลา 21.39 - 00.09 น. สวดพุทธมนต์ สวดพุทธบารมี สวดมงคลจักรวาล และสวดอรหันแปดทิศ
๖.ธุดงคสถานล้านนา อ.สันทราย จ.เชียงใหม่

พิษณุโลก
๓. วัดกำแพงมณี อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม สวดมนต์ข้ามปีเริ่มเวลา ๒๐.๐๐ น.- ๒๔.๐๐ น.

สุโขทัย
๑. วัดท่าเกษม อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม เจริญชัยมงคลคาถาข้ามปี ย่ำฆ้อง-กลอง ทำบุญตักบาตรปล่อยนก-ปล่อยปลา

ลำปาง
๑. วัดสบลืน อ.วังเหนือ จ.ลำปาง
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม สวดมนต์ภาษาพื้นเมือง,บารมี ๓๐ ทัศน์, เจริญชัยมงคลคาถา เริ่มเวลา ๒๐.๐๐ น.
-แจกวัตถุมงคลเช่น พระเจ้าขุนพล พระหงษ์เจ้าพ่อทองคำ
๒. วัดปงหอศาล อ.แม่ทะ จ.ลำปาง
- วันที่ ๓๑ ธ.ค.เวลา ๑๙.๐๐ น.- ๒๐.๐๐ น. ทำวัตรเย็น สวดมนต์ ๑๒ ตำนาน-ฟังธรรม,
- เวลา ๒๔.๐๐ น. เจริญชัยมงคลคาถา ลั่นระฆัง ๓ จบ จากนั้นสวดธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร
- วันที่ ๑ มกราคม ทำบุญตักบาตร
เวลา ๐๙.๐๐ น.พิธีตานหลัวหิงพระเจ้า,ทานข้าวหลาม,ถวายภัตตาหารเพล
๓.วัดศรีบุญเรือง อ.เมือง จ.ลำปาง
-เวลา 21.39 - 00.09 น. สวดพุทธมนต์ สวดพุทธบารมี สวดมงคลจักรวาล และสวดอรหันแปดทิศ

พิจิตร
๑.วัดบ้านน้อย อ.โพทะเล จ. พิจิตร
- มีสวดมนต์เย็น ปฎิบัติธรรมนั่งสมาธิ เแจกวัตถุมงคล หลวงพ่อเงิน

อุตรดิตถ์
๑.วัดคลองโพธิ์ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์
-สวดมนต์เย็น 5 โมง – 2 ทุ่ม มีแจกวัตถุมงคล

เชียงราย
๑.วัดเชตะวัน อ.เมือง จ.เชียงราย
-เวลา 21.39 - 00.09 น. สวดพุทธมนต์ สวดพุทธบารมี สวดมงคลจักรวาล และสวดอรหันแปดทิศ
๒.วัดพระสิงห์ ถนนสิงหไคล อ. เมือง จ. เชียงราย
๓.วัดพระแก้ว อ.เมือง จ.เชียงราย

ลำพูน
๑.วัดเมืองง่า อ.เมือง จ.ลำพูน
-อธิฐานจิตจากพระเกจิอาจารย์หลวงปู่ครูบา นักบุญล้านนาเจริญพระพุทธมนต์สะเดาะเคราะห์
-เวลา 21.39 - 00.09 น. สวดพุทธมนต์ สวดพุทธบารมี สวดมงคลจักรวาล และสวดอรหันแปดทิศ

๒.วัดพระธาตุหริภุญไชยอ.เมือง จ.ลำพูน
-เวลา 21.39 - 00.09 น. สวดพุทธมนต์ สวดพุทธบารมี สวดมงคลจักรวาล และสวดอรหันแปดทิศ
๓.ศูนย์อบรมศีลธรรม จ.ลำพูน
๔.วัดหนองผำ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน

พะเยา
๑.วัดศรีอุโมงค์คำ อ.เมือง จ.พะเยา
- เวลา 21.39 - 00.09 น. สวดพุทธมนต์ สวดพุทธบารมี สวดมงคลจักรวาล และสวดอรหันแปดทิศ
๒.วัดศรีโคมคำ อ. เมือง จ. พะเยา

น่าน
๑.วัดพระธาตุแช่แห้ง อ.ภูเพียง จังหวัดน่าน

แพร่
๑.สำนักสงฆ์ดอยขาน้อย อ.เมือง จ.แพร่


ภาคใต้
พังงา
๑. วัดประชุมโยธี อ.เมือง จ.พังงา
- วันที่ ๓๑ ธันวาคม เจริญพระพุทธมนต์ข้ามปี

นครศรีธรรมราช
๑. วัดพระพรหม อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช
- วันที่ ๓๑ ธ.ค เวลา ๐๘.๐๐ น.อุบาสก-อุบาสิกา บวชเนกขัมมบารมี
- เวลา ๑๘.๐๐ น. สวดมนต์/เจริญภาวนา/ฟังธรรม
- เวลา ๐๑.๐๐ น. สวดธรรมจักรกัปปวัตนสูตร วันที่ ๑ ม.ค. ปฏิบ
๒.วัดมหาธาตุวรมหาวิหาร อ.เมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช

ตรัง
๑.วัดเขาไม้แก้ว อ.สิงกา จังหวัดตรัง

สตูล
๑.วัดนิคมพัฒนาราม (ผังเจ็ด) อ.มะนัง จังหวัดสตูล

สงขลา
๑.วัดคลองแห อ.หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา[/b]

ใครมีวัดใด มาเพิ่มเติม แจ้งเพิ่มได้เลยนะครับ ใครสะดวกแถวไหนจะได้ไปกันครับ อนุโมทนาบุญกับท่านทั้งหลายด้วยนะครับ ที่จะไปบำเพ็ญมาหกุศลโดยการสวดมนต์ข้ามปีครับ

นายธรรมะ
ขอขอบคุณเว็บบอร์ดพลังจิต ที่แจ้งข่าวด้วยนะครับ

78
การลดกรรม 45 อย่าง ( ควรอ่านอย่างยิ่ง) มาทำความดี ละเว้นความชั่วกันดีกว่า

1. กรรมที่ไม่มีลูก
กรรมจาก การทำร้ายลูกของสัตว์อื่น พรากสัตว์อื่นจากพ่อแม่หรือเคยข่มเหงลูกคนอื่น
ลดกรรม ด้วยการงดกินเนื้อสัตว์ทุกๆ 7 วัน ในทุกๆเดือนทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญบริจาคทานที่มูลนิธิสัตว์หรือ มูลนิธิเด็กอ่อน


2. เจ็บป่วยบ่อย หรือเป็นโรคร้าย
กรรมจาก เคยทำทารุณกรรมต่อสัตว์
ลดกรรม ด้วยการทำบุญทำทานกับสัตว์อนาถา ให้อาหารให้ความเมตตา ซื้อยาหรือบริจาคเงินที่โรงพยาบาลสงฆ์ ทำบุญปล่อยเต่า
งดกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต


3. ตาบอดหรือเป็นโรคตา
กรรมจาก เคยทำร้ายสัตว์ที่ดวงตา หรือไม่เคยทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงในชาติก่อน หรือเคยทำลายไฟฟ้าของวัด ของที่สารธารณะ
ลดกรรม ซื้อโคมไฟ หลอดไฟถวายวัด ถวายเทียนห่อใหญ่ ถวายไฟฉาย เติมน้ำมันตะเกียงทุกวันพร! ะ บริจาคเงินในกล่อง
ซื้อน้ำมันเติมตะเกียงที่วัด


4.. ถูกรถเฉี่ยวชน ถูกลูกหลง ถูกสัตว์กัดต่อย
กรรมจาก จากเคยเป็นคนพาลเกะกะเกเร หาเรื่องเดือดร้อนให้ผู้อื่น มักรังแกและสาปแช่งผู้อื่นอยู่เสมอ
ลดกรรม หมั่นพูดดี มีวาจาไพเราะ


5. สูญเสียคนใกล้ชิด
กรรมจาก เคยยิงนกตกปลา
ลดกรรม ทำบุญไถ่ชีวิตโค กระบือ งดกินเนื้อสัตว์อย่างน้อยสัก 1 อย่างชั่วชีวิต หรือกินเจทุกๆ 3 เดือน ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา


6. ถูกนินทา ถูกให้ร้าย
กรรมจาก เคยพูดจาให้เป็นเหตุให้คนอื่นเป็นทุกข์หรือเดือดร้อน
ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี พูดดี พูดให้คนอื่นเกิดประโยชน์ พูดให้ผู้อื่นมีความสุข


7. มักเดือดร้อนเพราะไฟ ไฟไหม้บ้าน ไฟดูด
กรรมจาก เคยลบหลู่พระสงฆ์ และศาสนา
ลดกรรม ตักบาตรทุกวันพระ ทำบุญถวายสังฆทานทุกเดือน ฟังเทศน์ฟังธรรมทุกวันพระ หรือทุกๆเดือนในวันพระ ร่วมพิมพ์หนังสือ
ธรรมะแจกจ่ายฟรี


8. ขาดบารมี ไร้ญาติขาดมิตร
กรรมจาก ไม่เคยไปร่วมงานบุญงานศพ
ลดกรรม ร่วมทำบุญงานศพ บริจาคเงิน หรือร่วมด้วยแรงกายช่วยงานอื่นๆในงานศพ เช่น ทำอาหาร จัดดอกไม้


9. ตั้งหลักปักฐานไม่ได้ โยกย้ายบ่อย
กรรมจาก ไม่เคยร่วมทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวิหาร แก่วัดวาอารามต่างๆ
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างหลังคาวิหาร ร่วมทำบุญฝังลูกนิมิต หมั่นไปไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ณ เมืองที่ตนอยู่อาศัย


10. มักถูกรังแก ถูกเบียดเบียน
กรรมจาก ไม่เคยบวช หรือทำบุญงานบวช
ลดกรรม บวช ด้วยจิตศรัทธาปวารถาอย่างบริสุทธิ์ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงจะบวช 7 วัน หรือ 15 วัน 1 เดือน 1 พรรษา แล้วแต่
จิตศรัทธา ถ้าเป็นสตรีจะบวชชีพราหมณ์ หรือถือศีล 8 ตามเวลาที่สะดวกและตั้งจิตศรัทธา หรือร่วมทำบุญงานบวชอย่าง
สม่ำเสมอเท่าที่จะทำได้


11. ไม่มีคนชื่นชมเอ็นดู ชาดเสน่ห์
กรรมจาก ไม่เคยถวายของหอม
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระทุกวันพระ ถวายธูปหอม เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย ทองคำเปลว ประน้ำอบน้ำปรุง ประพฤติดี
ปฏิบัติชอบต่อผู้อื่น คิดดี ทำดี พูดดี ให้ผู้อื่นได้ดี มิให้ร้ายผู้ใด


12. เป็นที่รังเกียจ มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว
กรรมจาก ทำติเตียนดูแคลน ผู้ที่ชอบทำบุญทำทาน
ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอ ฟังเทศน์มหาชาติทุกๆปี ชักชวนผู้อื่นให้ร่วมทำบุญหรือบริจาคทานเป็นการบอกบุญผู้อื่น
พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจกฟรี


13. ไปไหนมาไหนลำบาก มีแต่อุปสรรค
กรรมจาก เคยทำลายหนทางสัญจรของวัด หรือของชาวบ้าน หรือทำให้ทางสัญจรสาธารณะได้รับความไม่สะดวก
ลดกรรม บริจาคทรัพย์หรือแรงกายช่วงสร้างสะพาน สร้างทางอันเป็นประโยชน์แก่วัด หรือชุมชนเล็กๆ ช่วยผู้คนยากไร้ให้
ได้มียวดยานพาหนะหรือทางสัญจรที่สะดวก


14. เป็นคนรับใช้เขาร่ำไป
กรรมจาก เคยเนรคุณผู้ที่เคยมีพระคุณแก่ตน
ลดกรรม ตอบแทนผู้มีคุณด้วยความกตัญญู ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูป พระประธาน ทำทานทั้งกับคนและสัตว์


15. ขัดสน อดมื้อกินมื้อ
กรรมจาก เคยละเว้นการใส่บาตร ละเว้นการให้ทาน เมื่อมีคนยากไร้มาขอทานอาหารและน้ำ
ลดกรรม แบ่งปันอาหาร น้ำ เสื้อผ้า แก่คนยากไร้อนา! ถา แม้ไม่มีเงินก็แบ่งปันสิ่งของตามที่มี ตักบาตรทุกเช้าหรือทุกวันพระ


16. อาภัพคู่ ร้างคู่
กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขา
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานคู่บ่าวสาวที่ยากจน ถวายของเป็นคู่ เช่น แจกันคู่
เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ เป็นต้น


17. ได้คู่ที่เลวร้าย ทำร้ายตนหรือทำให้เป็นทุกข์
กรรมจาก เคยข่มขืนเขาในชาติก่อน เคยทุบตีทำร้ายคู่
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา


18. อยู่โดดเดี่ยวยามบั้นปลาย
กรรมจาก เคยจับสัตว์ขัง
ลดกรรม ทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญทำทานแก่เด็กอนาถาและสัตว์อนาถา


19. รูปร่างหน้าไม่งดงาม
กรรมจาก ไม่เคยถวายดอกไม้ของหอม
ลดกรรม ถวายพวงมาลัยดอกไม้สด ดอกไม้หอม ทำบุญบริจาคดวงตา บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล


20. มักถูกโกง ถูกเบี้ยวเงิน
กรรมจาก เคยคดโกงผู้อื่น!
ลดกรรม สละทรัพย์บริจาคร่วมการกุศลต่างๆ ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวรทุกๆเดือน


21. พิการ ร่างกายไม่สมประกอบ
กรรมจาก เคยทุบตีพ่อแม่ ด่าพ่อแม่ หรือทำร้ายพ่อแม่
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระ ปล่อยนกปล่อยปลา ถือศีล 5 ศีล 8 เจริญภาวนา นั่งวิปัสสนากรรมฐาน

22. มีคดีความ
กรรมจาก เคยพบคนทุกข์ร้อนแล้วไม่ช่วยหรือพยายามหาทางช่วยเหลือ
ลดกรรม หมั่นทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือนๆละ 7 วัน


23. ไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
กรรมจาก ไม่สงเคราะห์คนอนาถา ที่มาขออาหาร ขอชายคาหลบฝน ไม่มีน้ำใจช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก
ลดกรรม ร่วมทำบุญซื้อกระเบี้องหลังคาโบสถ์ หมั่นไปกราบไหว้บู! ชาศาลหลักเมือง ทำบุญทำทานแก่สัตว์พิการหรือสัตว์จรจัด


24. จิตใจขุ่นมัว ดุดัน ขี้โมโห
กรรมจาก มักตะหนี่ในการทำบุญ
ลดกรรม สวดมนต ์ไหว้พระ ทุกวันพระ ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 5 หรือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือน บริจาคทาน แบ่งปันเงินทองหรือ สิ่งของแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรือร่วมทำบุญบริจาคทานกับมูลนิธิสถานสงเคราะห์ และวัดวาอารามต่างๆ


25. ไม่มีชื่อเสียง
กรรมจาก เคยติฉินนินทาทำให้ผู้อื่นเสียหาย
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างหอระฆัง ร่วมทำบุญหล่อเทียนพรรษา ทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา


26. ไม่มีวาสนาบารมี
กรรมจาก ไม่เคยนับถือชื่นชมผู้นับถือธรรมมะ
ลดกรรม ทำบุญสร้างพร?พุทธรูป ทำทานกับคน


27. มีลูกหลานไม่ดี เกเร ไม่เชื่อฟัง
กรรมจาก ทำแท้ง เคยทำร้ายคนใกล้ชิดมาก่อน และทำร้ายจิตใจครอบครัวในชาติก่อน
ลดกรรม บวชเณร โดยให้ลูกบวชหรือไปร่วมบวช จะทำให้กรรมน้อยลง ปฏิบัติธรรม อุทิศให้ลูกตนเอง


28. เจอแต่คนเอาเปรียบ
กรรมจาก เคยเบียดเบียนเงินพ่อแม่ไว้ในอดีตชาติ เคยโกงคนไว้ในอดีตชาติ ขโมยเงินครอบครัวมาใช้
ลดกรรม หมั่นยึดถือศีล 5 ให้มั่น ไม่ดื่มเหล้า ทำให้ขาดสติ โดนโกงง่าย หมั่นสวดมนต์ อธิษฐานบารมีด้านขอพรให้พบเจอคนดีๆเข้ามาในชีวิต


29. เกิดในสกุลต้อยต่ำ
กรรมจาก โอหัง อวดดี จิตใจคับแคบ
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างวัด สร้างพระประธาน ทำบุญทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี


30. ไร้สง่าราศี ขาดวาสนา
กรรมจาก เคยเมาสุระอาละวาด ระรานผู้อื่น!
ลดกรรม นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ทำทานกับคนอนาถา และสัตว์อนาถา ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี


31. ไม่เจริญก้าวหน้า จิตใจเป็นทุกข์
กรรมจาก เคยชักจูงคนทำชั่ว
ลดกรรม ถือศีล 8 เป็นเวลา 7 วัน ทุกๆ 3 เดือน หมั่นทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน


32. จิตใจฟุ้งซ่าน เป็นทุกข์
กรรมจาก เคยริษยาผู้อื่น
ลดกรรม ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน ปล่อยปลาลงน้ำ นั่งสมาธิ สวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร


33. ชีวิตตกต่ำ ทำสิ่งใดไม่เจริญ
กรรมจาก เคยทำแท้ง
ลดกรรม ปล่อยปลาลงน้ำทุกๆเดือน จนครบ 9 เดือน หรือ 1 ปีเต็ม ถวายสังฆทาน ทำบุญใส่บาตรเสมอ


34. เป็นเมียน้อย เมียเก็บ
กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขามาก่อน ขืนใจเขาโดยไม่ยินยอม เคยอธิษฐานจิตร่วมกันมาว่ากี่ภพก็ขอให้ได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน
ลดกรรม ถวายธงคู่ ธูปคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ อย่างใดก็ได้ อธิษฐานจิตขอให??ชีวิตคู่ที่ดีขึ้น บวชชีพราหมณ์ ปีละ 1 ครั้ง 3 วัน อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยล่วงเกินให้ได้รับกุศลและเปิดทางให้ชีวิตคู่ดีขึ้น ร่วมเป็นเจ้าภาพงานแต่ง เพื่อชีวิตตนจะดีขึ้นและสมหวัง สวดมนต์ขอพรทุกวันเกิดด้านความรักให้สมหวังต่อไป ทำบุญสังฆทานสด ในวันเกิดตนเอง เดือนละครั้ง เพื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติและวิญญาณที่ตามมาให้ได้รับกุศลและอโหสิกรรม


35. เป็นทุกข์เพราะคนในครอบครัว
กรรมจาก เคยลำเอียง ไร้คุณธรรมในด้านครอบครัวไว้ก่อน เคยเอารัดเอาเปรียบคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดไว้ในชาติอดีตและชาติปัจจุบัน เคยทำให้ครอบครัวเขาแตกแยกในอดีตชาติ
ลดกรรม ต้องบวชชีพราหมณ์ เพราะเมื่อเกิดอีกภพชีวิตจะได้ดีมีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะกุศลของการบวช ปฏิบัติธรรมทำให้เจ้ากรรมนายเวร อโหสิกรรม และตนเองได้พบสิ่งที่มีกุศลมากขึ้น ยึดพรหมวิหาร 4 มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จะทำให้ชีวิตมีความเมตตา และไม่ลำเอียงเอารัดเอาเปรียบคนใกล้ชิด ทำให้วิถีชีวิตมีคนนับถือและพ้นจากความทุกข์ในเรื่องญาติพี่น้องยุ่งเกี่ยวได้ นำพระคู่บ้านคู่เมืองเข้าสักการะที่บ้าน และสวดมนต์ขอพรให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข


36. เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
กรรมจาก ฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ ทำร้ายคนไว้ในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ
ลดกรรม ตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติ รวมถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ได้กุศลและอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ปล่อยสัตว์ลงน้ำในวันเกิดตนเอง กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรได้รับและอโหสิกรรม ถวายยาเข้าวัด
หรือช่วยเหลือคนป่วย


37. เป็นมะเร็ง
กรรมจาก รู้เห็นเป็นใจกับการทำแท้ง การทารุณสัตว์ หรือการทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น
ลดกรรม ทำบุญใหญ่อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และบวชชีพราหมณ์ 1 เดือน เพื่อส่งกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม
ทำบุญสร้างพระพุทธรูป สร้างโบสถ์หรือสร้างศาลาวัด ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี หมั่นนั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน


38. ค้าขายขาดทุน ทำงานไม่ก้าวหน้า
กรรมจาก เคยลบหลู่เจ้าที่เจ้าทาง
ลดกรรม หมั่นทำบุญใส่บาตร ถวายสังฆทาน ถวายเครื่องเซ่นสังเวย เจ้าที่-เจ้าทาง หมั่นสวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร


39. ด้อยปัญญา
กรรมจาก ฝักใฝ่อบายมุขในชาติก่อน หรือชักชวนคนไปทำชั่ว ดูแคลนหลักธรรมมะ
ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจก ทำบุญทำทานกับโรงเรียนของเด็กพิการหรือตามมูลนิธิต่างๆ


40. ตกงาน
กรรมจาก เคยกลั่นแกล้งผู้อื่นในเรื่องงาน หรือแย่งงานผู้อื่น
ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทาน ร่วมงานบุญต่างๆ ปล่อยนกปล่อยปลา


41. ไม่มีโชคลาภ
กรรมจาก ไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ
ลดกรรม หมั่นทำบุญสวดมนต์ไหว้พระ ถวายธูป เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย และทองคำเปลว


42. เรียนไม่จบ การเรียนมีอุปสรรค
กรรมจาก ชาติก่อนปฏิเสธการฟังเทศน์ฟังธรรม
ลดกรรม หมั่นเข้าวัด ร่วมงานบุญต่างๆ ฟังเทศน์ อ่านหนังสือธรรมะ


43. มีอาชีพต้อยต่ำที่ผู้คนดูแคลน
กรรมจาก ชาติก่อนเคยบวชด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ ไร้ความศรัทธา อาศัยผ้าเหลืองหากิน
ลดกรรม ถือศีล 5 ศีล 8 นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ถวายสังฆทานทุกเดือน หรือทุก 3 เดือน

44. ครอบครัวยากจน
กรรมจาก ชาติก่อนไม่เคยบริจาคทาน
ลดกรรม หมั่นทำบุญด้วยการบริจาคทาน ถ้ามีเงินไม่มากก็บริจาคเป็นสิ่งของ แรงกาย หรือน้ำใจ ต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก เช่น ไปช่วยอ่านหนังสือให้มูลนิธิคนตาบอด


45. เป็นทุกข์เพราะความรัก
กรรมจาก ชาติก่อนเจ้าชู้ หลอกผู้อื่นให้อกหัก
ลดกรรม ประพฤติดีปฏิบัติดีทั้งความคิด กาย วาจา ใจ ร่วมทำบุญงานแต่งงาน ทำสิ่งดีๆให้คนอื่นได้สมรักสม



อ่านให้จบเพราะ จุดเด่นอยู่ที่ข้อ 19 ค่ะ
กฏแห่งกรรม

1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย
เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์


2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอยู่เสมอ
เพราะชาติก่อนคุณเคยทำทานอาหารแก่คนยากจนในชาติก่อน


3. เหตุใดชาตินี้คุณอดอยากยากจน ไม่มีเสื้อผ้าดีดีสวมใส่
เพราะคุณตระหนี่ขี้เหนียวไม่ยอมทำทานคนจน ในชาติก่อน


4. เหตุใดชาตินี้คุณมีบ้านเรือนใหญ่โต
เพราะคุณเคยถวายข้าวสารเข้าวัดในชาติก่อน


5. เหตุใดชาตินี้คุณมีความเจริญ ญ รุ่งเรืองและมีความสุขมาก
เพราะคุณเคยถวายเงินสร้างวัดในชาติก่อน


6. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนสวย และรูปงาม
เพราะคุณเคยถวายดอกไม้สดบูชาพระด้วยความเคารพในชาติก่อน


7. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีปัญญาดี
เพราะคุณเคยเป็นพุทธมามกะและทานมังสวิรัติในชาติก่อน


8. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นที่รักของทุกๆ คนและมีเพื่อนมากมาย
เพราะคุณเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคนในชาติก่อน


9. เหตุใดชาตินี้คุณมีพ่อ แม่อยู่พร้อมหน้า
เพราะคุณเคารพและให้ความช่วยเหลือ ไม่ดูแคลนคนไร้ญญาติในชาติก่อน


10. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นเด็กกำพร้า
เพราะคุณเคยยิงนก ตกปลา และพรากสัตว์ในชาติก่อน


11. เหตุใดชาตินี้คุณมีอายุยืนแข็งแรง
เพราะคุณเคยปล่อยนก ปล่อย?ลา สิ่งมีชีวิตในชาติก่อน


12. เหตุใดชาตินี้คุณอายุสั้น
เพราะชาติก่อนคุณเคยฆ่าสัตว์มากมาย


13. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนรับใช้
เพราะชาติก่อนคุณเคยดูถูกเหยียดหยามคนจน


14. เหตุใดชาตินี้คุณมีดวงตาสดใส
เพราะชาติก่อนคุณเคยเติมน้ำมันตะเกียงและจุดไฟบูชาพระ


15. เหตุใดชาตินี้คุณโง่ปัญญญญาอ่อนและหูหนวก
เพราะชาติก่อนคุณเคยด่าว่าและหยาบคายต่อหน้าพ่อแม่


16. เหตุใดชาตินี้คุณต้องตายเพราะยาพิษ
เพราะชาติก่อนคุณเจตนาวางยาในต้นน้ำลำธารให้เป็นพิษ


17. เหตุใดชาตินี้คุณจึงแขวนคอตาย
เพราะชาติก่อนคุณใช้ตะข่ายล่าและดักสัตว์


18. ถ้าชาตินี้คุณฆ่าเขา
ชาติหน้าเขาก็จะฆ่าคุณ และจะฆ่ากันไป-มาไม่มีสิ้นสุด


19.. ถ้าชาตินี้คุณบอกเล่ากฏแห่งกรรม
คุณจะเป็นที่เคารพนับถือมากมายในชาติหน้า

ที่มาจาก Mail Forward

เราทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครใหญ่มาจากไหน รวยมาจากไหน ก็ล้วนมีกรรม ที่จะต้องชดใช้กันทั้งนั้น แล้วจะไปทำชั่วเพื่อเพิ่มกรรม ไปทำไมอีกจงหันหน้ามาทำแต่ความดีเว้นความชั่วกันเถอะสัตว์ทั้งหลาย

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

79
ขอให้มีความสุขมากๆนครับ ขอให้หน้าที่การงาน เจริญก้าวหน้า ไม่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยขอให้ อายุยืนนะครับ และ ขอให้หลวงปู่ คุ้มครองด้วยนะครับ

80
พี่ๆทีมงานเว็บบอร์ดบางพระครับ วัตถุมงคล ของผม ผมยกให้กับ eak_rescue นะครับ พอดีพี่เขามาไม่ทันกิจกรรม ผมเห็นว่าผมได้มากแล้ว ผมยกให้กับ eak_rescue แล้วกันนะครับ  :005:

เอาเป็นว่ารับของไปก่อนดีไหมครับ ว่ากันตามกติกาจะดีกว่าครับ

หลังจากได้รับแล้วนั้น จะยกให้ใครก็ตกลงกันเองดีกว่านะครับ

ดำเนินการทุกอย่างให้เสร็จสิ้นก่อนวันที่ 18 ธันวาคม 2553 นะครับ
:001:



ส่วนวัตถุมงคลที่เหลือเพียงเล็กน้อยจากผู้ที่สละสิทธิ์ในกิจกรรมในครั้งนี้

 จะดำเนินการจัดกิจกรรมใหม่อีกครั้งตามที่ประกาศไว้ครับ

ท่านใดที่ต้องการวัตถุมงคล ก็รอฟังประกาศนะครับ
:001:

อย่าส่งให้ทางผมได้ไหมครับ เด๋วพี่เอก เขาเข้ามาเลือกเองครับ ว่าจะเอาวิธีไหน ครับ เอาเป็นว่า ผมสละ สิทธิ ก่อนเด้อครับ

81
พี่ๆทีมงานเว็บบอร์ดบางพระครับ วัตถุมงคล ของผม ผมยกให้กับ eak_rescue นะครับ พอดีพี่เขามาไม่ทันกิจกรรม ผมเห็นว่าผมได้มากแล้ว ผมยกให้กับ eak_rescue แล้วกันนะครับ  :005:

82
80 วิธีทำความดีง่ายๆ


เนื่องในโอกาสปีใหม่ 2550 ที่กำลังจะมาถึง อีกทั้งเป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำเสนอ 80 วิธีทำดีต่อตนเอง ต่อสังคมรอบข้าง ตลอดจนประเทศชาติ มาให้ทุกคนได้ลองเลือกไปปฏิบัติตามความถนัดและความชอบ เพื่อนำมาซึ่งความสุขและความสมานฉันท์ของชาติและเพื่อถวายแด่ "ในหลวง" ที่รักยิ่งของเรา ดังต่อไปนี้

- ทำดีต่อตนเอง เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เราได้รู้สึกดีๆ และพร้อมที่จะแบ่งปันความสุขไปให้ผู้อื่น ได้แก่

1. ตื่นขึ้นมาอย่างกระตือรือร้นทุกเช้า พร้อมยิ้มแย้มแจ่มใสรับวันใหม่

2. ไหว้พระก่อนออกจากบ้านเพื่อเตือนสติและเพื่อสิริมงคลแก่ตน

3. สวัสดีคุณพ่อคุณแม่หรือผู้ใหญ่ก่อนและหลังกลับจากโรงเรียนหรือที่ทำงานทุกครั้ง

4. ตั้งใจไม่โมโห หรือไม่โกรธใคร อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 วัน

5. ไม่พาตัวไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทั้งปวง

6. อ่านหนังสือดีๆอย่างน้อยเดือนละครั้งเพื่อเสริมสร้างสติปัญญา และนำมาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต

7. พูดคำว่า "ขอบคุณ" หรือ "ขอบใจ" ทุกครั้ง เมื่อผู้อื่นทำอะไรให้ เช่น ช่วยถือของ ให้บริการ

8. อย่าลืม "ขอโทษ" เมื่อทำผิดต่อผู้อื่นทั้งโดยตั้งใจ และไม่ตั้งใจ หรือเมื่อทำสิ่งใดผิดพลาด

9. มีหลักการ ยึดมั่นในคุณความดี และมีความเพียรพยายาม

10. ซื่อสัตย์ต่อตนเอง ด้วยการตั้งใจทำสิ่งใด ก็เพียรทำให้สำเร็จ ไม่เบี้ยวแม้แต่กับตนเอง


- ทำดีต่อครอบครัว ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเราที่สุด และมีผลต่อความสุขของสมาชิกทุกคน ได้แก่


11. ลดการบ่นว่า ดุด่าคนในครอบครัวให้น้อยลง ไม่ว่าจะเป็นลูก สามี/ภริยา พี่น้อง เพื่อลดความเครียดในบ้านและทำให้ทุกคนรู้สึกบ้านน่าอยู่ไม่ร้อนหูร้อนใจ

12. พาสมาชิกในครอบครัวไปกินอาหารนอกบ้านหรือไปเที่ยวบ้างเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ

13. ช่วยกันลดรายจ่ายด้วยการไม่ซื้อของฟุ่มเฟือยหรือไม่จำเป็น เพื่อมิให้เป็นหนี้สินหรือเงินไม่พอใช้

14. ไม่คิดจะมีกิ๊ก หรือเป็นชู้กับสามี/ภริยาผู้อื่น อันเป็นสาเหตุให้ครอบครัวเราและผู้อื่นเกิดความแตกแยก

15. พูดจาไพเราะ สุภาพกับสมาชิกในบ้าน ไม่ตะคอกด่าทอหรือจิกเรียกด้วยถ้อยคำหยาบคาย

16. มีสัมมาคารวะ และแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ในบ้านทั้งพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย หรือพี่ป้าน้าอา เพื่อเป็นแบบอย่างแก่ลูกหลาน

17. มีน้ำใจกับคนในบ้าน เช่น ช่วยพ่อแม่ล้างถ้วยชาม ช่วยภริยากวาดถูบ้าน ช่วยพาพ่อ/แม่ของสามีหรือภริยาไปหาหมอ ซื้อของใช้ให้สามี/ภริยา

18. ไม่เอาแต่ความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ แต่รับฟังความคิดเห็นของสมาชิกในบ้าน เช่น ฟังสามี/ภริยา ฟังลูกว่าต้องการอะไรบ้างเพื่อให้เกิดความรัก ความเข้าใจซึ่งกันและกัน

19. พูดจาชมเชยและให้กำลังใจแก่สมาชิกในบ้าน เช่น ชมว่าแต่งตัวดี ทำกับข้าวอร่อย วาดภาพสวย เป็นต้น

20. พาครอบครัวไปทำบุญสร้างกุศลร่วมกันในโอกาสวันสำคัญต่างๆ เช่น วันเกิด วันวิสาขบูชา ฯลฯ เพื่อให้สมาชิกได้ใกล้ชิดกับพระศาสนา และได้เห็นแบบอย่างการทำดีอย่างเป็นรูปธรรม


- ทำดีต่อเพื่อนบ้าน ซึ่งอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน หากปลูกไมตรีต่อกันได้ ย่อมจะทำให้เราอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ดังนั้น จึงควรทำดีต่อกัน ดังนี้


21. ยิ้มและทักทายเมื่อพบกัน

22. ช่วยดูแล สอดส่องบ้านให้เมื่อเพื่อนบ้านไม่อยู่ หรือไปต่างจังหวัด หรือช่วยแจ้งเหตุหากมีสิ่งใดผิดปกติ

23. ซื้อของขวัญหรือของฝากไปให้บ้างตามโอกาส เช่น วันปีใหม่ วันตรุษจีน หรือเมื่อกลับจากต่างถิ่น เพื่อเป็นการผูกมิตรหรือขอบคุณเขาที่ช่วยดูบ้านให้ 24. ไม่เลี้ยงสัตว์หรือปลูกต้นไม้ที่จะสร้างความเดือดร้อนรำคาญใจมาสู่เพื่อน บ้าน หรือเป็นมูลเหตุให้เกิดการทะเลาะกัน เช่น สัตว์ส่งเสียงดังรบกวน หรือใบไม้ร่วงไปรกบ้านเขา

25. ไม่จอดรถขวางทางเข้าบ้านของเขา หรือในที่ที่เขาจอดประจำ

26. ไม่พาสัตว์เลี้ยงเช่น หมา แมว ไปอึหรือฉี่หน้าบ้าน ต้นไม้ของเขา

27. ไม่เปิดวิทยุ โทรทัศน์ หรือคาราโอเกะเสียงดังจนรบกวนเขา โดยเฉพาะในวันหยุด

28. ไม่ซ้อมดนตรี /จัดงานหรือส่งเสียงเอะอะ โวยวายรบกวนเพื่อนบ้าน ควรจะจัดเวลาซ้อมที่ไม่เช้าหรือดึกเกินไป หรือไม่ก็ควรจะไปซ้อมที่อื่น และไม่ควรพาเพื่อนมาตั้งวงกินเหล้าส่งเสียงดัง หนวกหูชาวบ้านเขาทุกอาทิตย์

29. ไม่กวาดขยะไปกองหรือทำสกปรกหน้าบ้านผู้อื่น ควรกวาดและเก็บใส่ถุงหรือถังขยะให้เรียบร้อย

30. ร่วมกิจกรรมสังสรรค์ที่จัดขึ้นในหมู่บ้านหรือชุมชนของเราเองบ้างตามโอกาสอัน ควร


- ดีต่อเพื่อนร่วมงาน ซึ่งจะทำให้การทำงานของเราราบรื่น เกิดความสามัคคี และมีผลต่อความเจริญก้าวหน้าของเราด้วย ได้แก่


31. ยิ้มแย้มแจ่มใส รู้จักโอภาปราศรัยต่อเพื่อนร่วมงาน ไม่ทำเมิน หรือทำหน้าเฉยเมยไร้ชีวิตเมื่อเจอกัน

32. ช่วยแนะหรือสอนงานที่เรามีความชำนาญให้

33. แสดงความยินดีหรือชมเชยเมื่อเขาประสบความสำเร็จหรือได้รับรางวัล 34. ซื้อของขวัญ ให้เงิน หรือการ์ดอวยพรในโอกาสต่างๆ เช่น วันเกิด วันแต่งงาน คลอดลูก

35. แสดงความเสียใจหรือปลอบใจเมื่อเขาประสบเหตุหรือโชคร้าย เช่น พ่อแม่ตาย ถูกขโมยขึ้นบ้าน

36. ช่วยเหลือ ตักเตือนหรือชี้แนะเมื่อเขาทำผิดพลาดด้วยความจริงใจ ไม่ซ้ำเติม

37. ไม่ขโมยผลงานของเขามาเสนอเป็นผลงานของเรา

38.ไม่ใส่ร้ายป้ายสี หรือยุยงให้เพื่อนร่วมงานแตกคอ หรือทะเลาะวิวาทกัน 39. แนะนำหนังสือ ร้านอาหาร วัด หรือสถานที่ดีๆแก่เพื่อนให้เขาได้ไปใช้บริการบ้าง

40. รู้จักอยู่ช่วยงานหรือร่วมกิจกรรมที่เพื่อนในหน่วยงานจัดขึ้น แม้จะมิใช่งานของเรา เพื่อจะได้รู้จักสนิทสนม และทำงานเข้าขากันได้มากขึ้น


- ดีต่อหน่วยงานหรือที่ทำงานของตน ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ประกอบอาชีพ ทำให้เรามีกินมีใช้ เราจึงควรต้องกตัญญูรู้คุณ ด้วยการ


41. ซื่อสัตย์ต่อหน่วยงาน ไม่โกงเวลา โกงทรัพย์สินของหน่วยงาน

42. ไม่นินทาว่าร้าย หรือดูถูกหน่วยงานของเราเอง หากเราคิดว่าไม่ดี ก็ควรออกไปหางานอื่นทำ

43. ตั้งใจทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ไม่เอาเปรียบผู้อื่น

44. เมื่อเห็นสิ่งใดไม่ดีในหน่วยงาน ต้องร่วมแรงร่วมใจกันแก้ไข ไม่ใช่ซ้ำเติมหรือเมินเฉย

45. ให้บริการหรือพูดจากับผู้มาติดต่อกับหน่วยงานให้สุภาพ ไพเราะเพื่อให้เกิดความประทับใจที่ดี

46. ใช้ทรัพยากรต่างๆของหน่วยงานอย่างประหยัด คุ้มค่าให้เหมือนสมบัติของเราเอง

47. ไม่ละเมิดกฎเกณฑ์ ทำลายระเบียบที่ดีจนหน่วยงานเละเทะ ยุ่งเหยิงเพราะต่างทำตามใจตนเองจนควบคุมไม่ได้

48. รู้จักเสียสละเพื่อหน่วยงานบ้างบางโอกาส เช่น ทำงานโดยไม่เอาโอ.ทีหรือร่วมลงขันจัดกิจกรรมให้หน่วยงาน

49. ช่วยกันสร้างภาพลักษณ์และชื่อเสียงที่ดีให้หน่วยงาน เช่น แข่งกีฬาชนะเลิศ จัดทำโครงการดีๆเพื่อสังคม

50. ต้องมีความภาคภูมิใจในหน่วยงานของตน


- ดีต่อสังคม ซึ่งมีเราเป็นหน่วยหนึ่ง ก็จะทำให้สภาพแวดล้อมรอบๆตัวเราน่าอยู่ยิ่งขึ้น เพราะจะเต็มไปด้วยความเอื้ออาทร และความมีไมตรีจิตต่อกัน ด้วยการ

51. ส่งของกิน ของใช้ หรือเงินไปบริจาคมูลนิธิต่างๆเมื่อถึงวันเกิด หรือวันสำคัญอื่นๆของตน

52. ทำหนังสือชมเชยไปยังบุคคล หรือหน่วยงานที่ให้บริการที่ดีเพื่อเป็นกำลังใจ และเป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่น เช่นเขียนไปชมกระเป๋ารถเมล์ที่พูดจาดี ช่วยพยุงคนแก่ขึ้นรถ

53. ช่วยกันรักษาความสะอาดและถนอมใช้สมบัติสาธารณะให้มีอายุยืนนาน เช่น ไม่ขีดเขียนในห้องน้ำสาธารณะ ไม่ทิ้งขยะ/ถ่มน้ำลายบนถนนหนทางหรือในแม่น้ำลำคลอง

54. ช่วยกดลิฟท์ให้กับผู้ร่วมทาง หรือช่วยถือของหนักให้กับคนบนรถเมล์ 55. ไม่แซงคิวใดๆที่เขากำลังเข้าแถวรอรับบริการ เช่น ซื้อตั๋วหนัง หรือเข้าส้วม

56. นำหนังสือดีๆ หรือหนังสือธรรมะ ไปบริจาคตามโรงพยาบาลรัฐ เช่น ห้องรอรับการรักษา ห้องพักผู้ป่วย ห้องพยาบาล เป็นต้น เพื่อเป็นการแนะวิธีปฏิบัติตน และช่วยปลุกปลอบใจ

57. ขับรถตามกฎจราจร มีน้ำใจให้กับรถคันอื่น ไม่แซงซ้ายป่ายขวา และจอดรถให้คนข้ามถนนบ้าง

58. อ่านหนังสือธรรมะ หรือหนังสือดีๆใส่เทป ซีดี ส่งไปให้คนตาบอดฟัง

59. รับเป็นพ่อแม่อุปถัมภ์ให้เด็กที่ด้อยโอกาสได้เรียนหนังสือ

60. ให้ความช่วยเหลือ/แนะนำแก่ผู้อื่นในสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคยหรือไม่เคยทำ เช่น แนะวิธีคาดเข็มขัดบนเครื่องบิน แนะวิธีใช้อุปกรณ์ออกกำลังกายในฟิตเนส


- ดีต่อศาสนา อันเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข เราจึงควรสืบทอดศาสนาให้ยั่งยืนต่อไปยังลูกหลานของเราด้วยการ



61. ศึกษาหลักธรรมในศาสนาของเราให้รู้จริง

62. ปฏิบัติตามธรรมะที่ศาสดาสอนไว้

63. ช่วยเหลือแนะนำผู้อื่นให้ปฏิบัติให้ถูกต้อง

64. ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนาอื่น อันเป็นเหตุให้เกิดความแตกแยก

65. ทำบุญตามหลักศาสนาของตนอย่างน้อยเดือนละครั้ง

66. สั่งสอนและปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีกับอนุชนรุ่นหลัง

67. ไม่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทำลายผู้อื่น

68. ไม่ใช้ศาสนาไปหลอกลวงให้ผู้อื่นหลงเชื่อในทางที่ผิด

69. หากเป็นพระ นักบวชต้องทำตนเป็นแบบอย่างและแนะแนวทางดำเนินชีวิตที่ถูกที่ควรแก่ศาสนิกชน

70. เชื่อมั่น และตั้งใจที่จะช่วยสืบทอดศาสนาทุกวิถีทางที่ดีและถูกต้อง


- ดีต่อชาติบ้านเมือง ซึ่งเป็นแผ่นดินถิ่นเกิดหรือให้เราได้อยู่อาศัย เราจึงควรตอบแทนด้วยการ

71. ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเต็มความสามารถไม่ว่าจะอยู่ในฐานะหรือตำแหน่งใด

72. ไม่ใช้ตำแหน่งหน้าที่หาผลประโยชน์ใส่ตัวหรือพวกพ้อง และไม่คิดคอรัปชั่นหรือคดโกงด้วยวิธีการใดๆ

73. ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต มีจรรยาบรรณต่อวิชาชีพของตน

74. ช่วยปกป้องหรือรักษาผลประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองเมื่อมีโอกาส

75. ไม่เมินเฉยหรือละเลยให้ผู้อื่นมาฉกฉวยผลประโยชน์จากชาติบ้านเมืองของเรา

76. ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี

77. สอนลูกหลานให้รักและภาคภูมิใจในชาติของเรา

78. ตั้งใจศึกษาหาความรู้ และนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาชาติบ้านเมืองอย่างเต็มที่

79. มีความรักความสามัคคีต่อกันในทุกระดับ

80. ช่วยกันรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขของประเทศ


ทั้งหมดคือตัวอย่างการ "ทำความดี" อันหลากหลายที่ทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติได้ แม้บางข้อดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่อย่าลืมว่าหากเราทุกคนตั้งใจทำ ความดีเล็กๆเหล่านี้ก็สามารถรวมเป็น "พลังอันยิ่งใหญ่" ที่ทำให้ทุกคนเป็นสุข เพราะไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน และมีผลทำให้ชาติบ้านเมืองร่มเย็นได้ และน่าจะเป็นสิ่งที่ "ในหลวง" ของเรา คงทรงยินดีที่ราษฎรของพระองค์สร้างความดีแก่ตัวและผู้อื่นมากกว่าการสร้าง ถาวรวัตถุใดๆถวายพระองค์ท่านอย่างแน่นอน

อมรรัตน์ เทพกำปนาท
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม


นำมาจาก
http://www.eppo.go.th/tank/80_methods.html และ จาก ผู้จัดการออนไลน์ 30 ธันวาคม 2549 09:51 น.

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

83
ธรรมะ / ชาติที่แล้วคุณทำไรมา
« เมื่อ: 14 ธ.ค. 2553, 06:38:44 »
ชาติที่แล้วคุณทำไรมา


กฏแห่งกรรม

1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย
เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์

2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอยู่เสมอ
เพราะชาติก่อนคุณเคยทำทานอาหารแก่คนยากจนในชาติก่อน

3. เหตุใดชาตินี้คุณอดอยากยากจนไม่มีเสื้อผ้าดีดีสวมใส่
เพราะคุณตระหนี่ขี้เหนียวไม่ยอมทำทานคนจน ในชาติก่อน

4. เหตุใดชาตินี้คุณมีบ้านเรือนให­่โต
เพราะคุณเคยถวายข้าวสารเข้าวัดในชาติก่อน

5. เหตุใดชาตินี้คุณมีความเจริ­รุ่งเรืองและมีความสุขมาก
เพราะคุณเคยถวายเงินสร้างวัดในชาติก่อน

6. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนสวย และรูปงาม
เพราะคุณเคยถวายดอกไม้สดบูชาพระด้วยความเคารพในชาติก่อน

7. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีปั­­าดี
เพราะคุณเคยเป็นพุทธมามกะและทานมังสวิรัติในชาติก่อน

8. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นที่รักของทุกๆ คนและมีเพื่อนมากมาย
เพราะคุณเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคนในชาติก่อน

9. เหตุใดชาตินี้คุณมีพ่อ แม่อยู่พร้อมหน้า
เพราะคุณเคารพและให้ความช่วยเหลือไม่ดูแคลนคนไร้­าติในชาติก่อน

10. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นเด็กกำพร้า
เพราะคุณเคยยิงนก ตกปลา และพรากสัตว์ในชาติก่อน

11. เหตุใดชาตินี้คุณมีอายุยืนแข็งแรง
เพราะคุณเคยปล่อยนก ปล่อยปลา สิ่งมีชีวิตในชาติก่อน

12. เหตุใดชาตินี้คุณอายุสั้น
เพราะชาติก่อนคุณเคยฆ่าสัตว์มากมาย

13. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนรับใช้
เพราะชาติก่อนคุณเคยดูถูกเหยียดหยามคนจน

14. เหตุใดชาตินี้คุณมีดวงตาสดใส
เพราะชาติก่อนคุณเคยเติมน้ำมันตะเกียงและจุดไฟบูชาพระ

15. เหตุใดชาตินี้คุณโง่ปั­­าอ่อนและหูหนวก
เพราะชาติก่อนคุณเคยด่าว่าและหยาบคายต่อหน้าพ่อแม่

16. เหตุใดชาตินี้คุณต้องตายเพราะยาพิษ
เพราะชาติก่อนคุณเจตนาวางยาในต้นน้ำลำธารให้เป็นพิษ

17. เหตุใดชาตินี้คุณจึงแขวนคอตาย
เพราะชาติก่อนคุณใช้ตะข่ายล่าและดักสัตว์

18. ถ้าชาตินี้คุณฆ่าเขา
ชาติหน้าเขาก็จะฆ่าคุณ และจะฆ่ากันไป-มาไม่มีสิ้นสุด

19. ถ้าชาตินี้คุณบอกเล่ากฏแห่งกรรม
คุณจะเป็นที่เคารพนับถือมากมายในชาติหน้า

**อ่านเสร็จแล้วถ้าส่งต่อ ก็เหมือนได้ปฏิบัติตามกฏแห่งกรรมข้อที่ 19แล้ว ด้วยความปราถนาดี **


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

84
อนุโมทนาด้วยครับขอสนับสนุนครับ การที่เราเอาธรรมะเผยแพร่นั้น มีอานิสงส์ มากมายครับ  :016: :015:

85
ขอบคุณค่ะ
อยากรักษาศีล 5 แต่ว่า
มักทำผิดศีลข้อห้ามพูดปดน่ะค่ะ
บางทีก็ลืม เวลาคนถามไปไหนมาชอบบอกว่า ป่าว
ทั้งๆที่ไปมา

ศีลไม่ขาดหรอก ผมเราไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดโกหกแต่เราพยามพูดปัดไปๆ แถมไม่ได้โกหก ให้ใครเดือดร้อนด้วย ศีลจะไม่ขาด แต่อาจจะด่างพร้อย ทะลุถ้าเป็นอย่างงี้ให้ท่อง คาถาอาราธนาศีล 5 ให้ทุกวัน ถ้าจะให้ดีท่องต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะครับ เช่น หน้าหิ้งพระในบ้านอะไรประมาณนี้นะครับ

คาถาอาราธนาศีล 5
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธะสะ (นะโม 3 จบ)

มะยังภันเต วิสุงวิสุง รักขะนะธายะ ติสะระเน นะสะหะ ปัญจะ ศีลานิยาจามะ
ทุติยัมปิ มะยังภันเต วิสุงวิสุง รักขะนะธายะ ติสะระเน นะสะหะ ปัญจะ ศีลานิยาจามะ
ตะติยัมปิ มะยังภันเต วิสุงวิสุง รักขะนะธายะ ติสะระเน นะสะหะ ปัญจะ ศีลานิยาจามะ

พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ

ตะติยัมปิ พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระนัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ

(อาราธนาศีล 5)
ปาณา ติปาตา เวระมณี สิกขา ปะทังสะมาธิยามิ
อทินนา ทาณา เวระมณี สิกขา ปะทังสะมาธิยามิ
กาเม สุมิฉา จารา เวระมณี สิกขา ปะทังสะมาธิยามิ
มุสา วาทา เวระมณี สิกขา ปะทังสะมาธิยามิ
สุรา เมระ มัชชะ ปะณา ทัดทานา เวระมณี สิกขา ปะทังสะมาธิยามิ



86
ธรรมะ / 10 วิธี ตื่นได้...ทุกวัน
« เมื่อ: 12 ธ.ค. 2553, 03:14:42 »


หากความหมายของการ "ตื่น" คือ การมีสติ การรู้ตัว และไม่เผลอหลงไปกับพฤติกรรมหรือความคิดที่เราเคยชิน การเจริญสติในชีวิตประจำวันย่อมเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับผู้ปฏิบัติ แต่การ ‘ตื่น’ ในชีวิตประจำวันนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก ... แต่ก็ไม่ได้ยากลำบากจนเกินไปเช่นกัน
จากการพูดคุยกับพี่น้องผู้ปฏิบัติหลายท่าน เราได้รับฟังประสบการณ์ที่แต่ละคนแลกเปลี่ยนว่า มีวิธีการปฏิบัติส่วนตัวในชีวิตประจำวันกันอย่างไรบ้าง เราจึงอดไม่ได้ที่จะนำเสนอกุศโลบายที่แยบคาย และน่าสนุกยิ่งสำหรับนักปฏิบัติในคอลัมน์ครั้งนี้

   1. ระฆังแห่งสติในคอมพิวเตอร์
เหมาะมากสำหรับผู้ที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน เมื่อได้ยินเสียงระฆังจากโปรแกรม (เราสามารถตั้งไว้ได้ว่าจะให้ดังทุก 15 นาที หรือ ทุกชั่วโมง ดาวน์โหลดได้ที่นี่ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ) ที่กังวานใส เราก็เพียงหยุดทุกสิ่งที่ทำอยู่ รวมถึงหยุดคิดด้วย แล้วกลับมาอยู่กับลมหายใจแห่งสติสัก 3 ลมหายใจ แล้วจึงค่อยทำงานต่อ ส่วนใครจะหายใจไปด้วย ยิ้มไปด้วย ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด

 
   2. ระฆังแห่งสติในชีวิตประจำวัน
สำหรับผู้ที่ไม่ได้อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ก็สามารถเจริญสติได้ โดยการหาอะไรสักอย่างที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันมาเป็น "ระฆังแห่งสติ" ให้กับตนเอง บางคนใช้เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก็ตามลมหายใจก่อนรับโทรศัพท์ มีพี่หมอท่านหนึ่งได้แลกเปลี่ยนว่า เพราะการเป็นหมอดมยาในห้องผ่าตัด (วิสัญญีแพทย์) พี่หมอจึงใช้เสียงของเครื่องปั๊มอากาศในห้องผ่าตัดแทนระฆัง เมื่อได้ยินเสียงเครื่องปั๊มอากาศพี่หมอก็กลับมาอยู่กับลมหายใจ แล้วชวนให้ผู้ป่วยกลับมาอยู่กับลมหายใจพร้อมกัน พี่หมอบอกว่านอกจากตัวเองแล้ว ยังสังเกตได้ว่าผู้ป่วยที่เคยกังวล ค่อยๆ หลับไปด้วยความผ่อนคลายยิ่งขึ้นด้วย งานนี้เรียกว่าหนึ่งได้สองกันเลยเชียว

 
   3. ทางเดินแห่งสติ
เราอาจเลือกเส้นทางหนึ่งที่เราต้องเดินในทุกวันให้เป็นทางเดินแห่งสติของเราเอง อาจเป็นทางเดินที่ไม่ไกลนัก เช่น จากที่จอดรถไปห้องทำงาน หรือจากตึกหนึ่งไปสู่อีกตึกหนึ่งหรือบันไดระหว่างชั้นที่เรามักต้องขึ้นลงบ่อยๆ ขอให้เราตั้งใจเอาไว้ว่า ในเส้นทางนี้เราจะเดินอย่างมีสติในทุกย่างก้าว ให้เป็นเส้นทางที่เดินแล้วเราได้ผ่อนคลาย เป็นการเดินที่สร้างรอยยิ้มให้กับเราก็เพียงพอแล้ว

 


    4. ไฟแดงคือหยุดอย่างแท้จริง
น้องคนหนึ่งแลกเปลี่ยนว่า แทนที่จะปล่อยความหงุดหงิดไปกับรถติดบนท้องถนน เธอเลือกที่จะใช้ไฟแดงนั้นเป็นอุปกรณ์ทำให้เธอได้กลับมาอยู่กับลมหายใจ และยิ้มให้กับไฟแดงซะเลย ยิ่งติดไฟแดงบ่อยเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสกลับมาอยู่กับลมหายใจเท่านั้น เธอบอกไว้พร้อมรอยยิ้ม

    
    5. จักรวาลในจานข้าว
บางคนจะที่ชอบทานก็สามารถยึดเอาเป็นสรณะได้เช่นกัน เพราะยิ่งทานก็ยิ่งมีโอกาสได้พิจารณาอาหารได้มากครั้งเท่านั้น เราได้มีโอกาสฝึกมองอย่างลึกซึ้งว่าอาหารหรือขนมที่อยู่ตรงหน้านั้นมาจากไหนบ้าง มีผู้คนที่ทำงานหนักด้วยความรักความเอาใจใส่อยู่มากมายเพียงใดในอาหารจานนี้ ที่สำคัญเรากำลังจะทานด้วยความรู้สึกอย่างไร เพียงเท่านี้เวลาในการทานอาหารก็กลายเป็นเวลาอันประเสริฐแห่งการปฏิบัติแล้ว

    
   6. เพลงพาใจเบิกบาน
หมู่บ้านพลัมมีบทเพลงที่เชื้อเชิญให้กลับมาอยู่กับลมหายใจ กับปัจจุบันขณะ กับตัวเราเอง กับความเบิกบาน มากมาย เวลาที่ขุ่นมัวเราอาจจะฮัม
เพลงเหล่านั้นขึ้นมาเบาๆ ซึ่งแม้เพียงแผ่วเบา ดอกไม้ก็สามารถบานขึ้นในใจได้เช่นกัน หรือใครจำเพลงของหมู่บ้านพลัมไม่ได้ อาจเลือกเพลงที่มีความหมายดีๆ ที่ชอบเป็นการส่วนตัวแทนก็ได้ ไม่ว่ากัน

    


   7. ปฏิบัติกับสังฆะ
การดำรงสติในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องไม่ง่าย แต่การปฏิบัติร่วมกันเป็นหมู่คณะช่วยให้การปฏิบัติง่ายขึ้นได้ เวลาเรายิ้มไม่ค่อยออก พี่น้องข้างหน้าจะส่งยิ้มให้เรายิ้มตอบ เวลาเราไม่ค่อยมีสติ พี่น้องข้างขวาจะปฏิบัติอย่างมีสติให้เราเห็น เวลาเราหลงลืมการปฏิบัติ พี่น้องข้างซ้ายจะปฏิบัติอย่างถูกต้องให้เราได้ทำตาม เวลาเราหมดกำลังใจ พี่น้องข้างหลังจะส่งพลังแห่งสติและความเบิกบานมาเกื้อกูล "สังฆะอยู่รอบตัวเราเพื่อเกื้อกูลกันและกัน ถ้าเป็นไปได้ควรปฏิบัติร่วมกันเป็นสังฆะดีกว่าปฏิบัติเพียงลำพังคนเดียว" หลวงปู่กล่าวเอาไว้เช่นนั้น

 
   8. ยิ้มช่วยท่านได้
เพื่อนนักปฏิบัติคนหนึ่งที่แม้จะไม่รู้จักหลวงพี่นิรามิสาเป็นการส่วนตัว แต่เพราะชอบรอยยิ้มอันเบิกบานของหลวงพี่ จึงตัดเอารูปของหลวงพี่จากนิตยสารฉบับหนึ่งเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะ เมื่อหงุดหงิดหรือมีความโกรธขึ้นมา พี่คนนี้ก็จะเปิดลิ้นชักออกมาและพบกับรอยยิ้มของหลวงพี่ ในทันใดก็สามารถสัมผัสถึงรอยยิ้มของหลวงพี่และสามารถยิ้มกลับไปได้ เมื่อรอยยิ้มเกิด ความโกรธก็จากลาไปในขณะเดียวกัน : )

 
   9. หลวงปู่ช่วยท่านได้
พี่คนหนึ่ง (อักษรย่อ ต.) เป็นคนชอบดื่มเหล้า เมื่อปฏิบัติก็รับศีลและตั้งใจว่าจะลดการดื่มลง เมื่อกลับไปที่บ้าน พี่ต. นำใบรับศีลที่ได้วางไว้หน้าขวดเหล้าในตู้เพื่อเป็นระฆังสติ เตือนใจยามที่เพื่อนมาที่บ้านแล้วจะสังสรรค์กัน เท่านั้นไม่พอ พี่ต. ยังนำรูปหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ วางไว้หลังใบรับศีล เผื่อว่าวันไหนอดใจไม่ไหว หยิบใบรับศีลออกก็จะยังได้เจอกับหลวงปู่อีกเป็นปราการด่านสุดท้าย และขอรายงานว่า จนถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบ 2 ปี ขวดสุราของ พี่ต. ยังไม่พร่องไปเลยสักนิด เพราะการปฏิบัติเช่นนี้นี่เอง

 
  10. …………...
สำหรับข้อนี้ขอเว้นว่างเอาไว้ให้คุณผู้อ่านได้เติมวิธีปฏิบัติของตัวเองว่ามีวิธีการ "ตื่น" อย่างไรบ้าง ...

ที่มา http://www.thaiplumvillage.org/thpv_shared_012.html

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

87
ธรรมะ / 9 วิธีเจริญสติในออฟฟิศ
« เมื่อ: 12 ธ.ค. 2553, 03:02:15 »
9 วิธีเจริญสติในออฟฟิศ

9 วิธีเจริญสติในออฟฟิศ
เรื่องโดย ...ศรัณยู นกแก้ว

รถติด งานล้น ลูกค้าขี้วีน เจ้านายขี้บ่น เพื่อนร่วมงานขี้นินทา สถานการณ์ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเร้าให้สติของชาวออฟฟิศอย่างเราๆ หลุดกระเจิงแทบทุก 5 นาที และด้วยเหตุนี้ที่ครึ่งค่อนชีวิตของเราๆ ท่านๆ ต้องอยู่กับงาน จึงไม่รอช้าที่จะชวนมาฝึกเทคนิคเรียกสติให้กลับคืนมาในระหว่างวันทำงาน

เพราะเมื่อสติกลับคืนมา ปัญญาที่จะสร้างสรรค์งานให้มีคุณภาพก็จะตามมาทันทีโดยไม่ต้องสงสัย

1. “ไฟแดง” ไฟแห่งสติ : สิ่งแรกที่ทำให้สติของชาวออฟฟิศขาดกระเจิงพร้อมกับอารมณ์ที่ขุ่นมัวตามมา เห็นจะเป็นการจราจรที่แสนติดขัด ยิ่งวันไหนที่ต้องติดไฟแดงแทบทุกแยกด้วยแล้ว มักหนีไม่พ้นที่จะบ่นกับตัวเองว่า “วันนี้ต้องเป็นวันซวยอย่างแน่นอน” ทางออกก็คือ ต้อง “เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส” ลองใช้ไฟแดงเป็นเครื่องมือเตือนสติดู ติดไฟแดงครั้งใดก็ให้หยุดดูความหงุดหงิดของตัวเอง พร้อมทั้งดึงสติมาจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ คราวนี้กว่าจะถึงออฟฟิศ เชื่อได้เลยว่าคุณจะมีสติพร้อมยิ้มรับกับทุกเรื่องที่กำลังรออยู่แล้ว

2. ตั้งจิตอธิษฐานก่อนเริ่มงานทุกวัน : เมื่อมาถึงที่ทำงาน สิ่งแรกที่ควรทำไม่ใช่การเริ่มงานอย่างลุกลี้ลุกลน แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือ หาเวลาสัก 5 นาทีเพื่อทำใจให้สงบ จากนั้นตั้งจิตให้มั่น แล้วนึกถึงธรรมะที่ต้องการน้อมนำมาปฏิบัติ เช่นเมื่อวานขี้เกียจไปนิด วันนี้จะขอตั้งใจทำงานด้วยความเพียร การตั้งจิตอธิษฐานไม่ได้หมายถึงการขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อช่วยให้ทำงานสำเร็จ ทว่าการอธิษฐานเป็นการเตือนใจไม่ให้พลัดหลงไปกับอารมณ์และความรีบเร่ง ที่จะมาบั่นทอนจิตใจในการทำงานนั่นเอง

3. ล้างจานเพื่อล้างจาน : การทำงานไม่ว่าอาชีพไหนก็สามารถเจริญสติขณะทำงานหมายถึงการดึงจิตใจอยู่กับงาน รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของอวัยวะต่างๆ จะล้างจานก็รู้ว่าล้างจาน ถูบ้านก็รู้ว่ากำลังถูบ้าน คิดเรื่องอะไรก็ใช้สติอยู่กับเรื่องนั้นๆ ไม่กังวลกับอดีตที่ผ่านไปแล้ว หรือพะวงอยู่กับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ข้อดีของการเจริญสติตลอดเวลาที่ทำงานนั้น นอกจากจะทำให้งานสำเร็จแล้ว ยังทำให้ทำงานด้วยความผ่อนคลายโปร่งเบา เพราะจิตใจไม่มี “ขยะ” ให้ต้องแบกรับ

4. ตามลมหายใจไปกับเสียงโทรศัพท์ : เคยไหมขณะกำลังทำงานอยู่เพลินๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์จากลูกค้าขี้วีนที่สุดเข้ามา ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวไปครึ่งค่อนวัน และเมื่อมีโทรศัพท์เข้ามีอีกครั้ง (แม้จะไม่ใช่คนเดิมก็ตาม) คราวนี้เราก็พร้อมจะระเบิดความขุ่นมัวเผื่อแผ่ไปให้ปลายสายอย่างไม่ยั้งคิด ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ แน่นอนว่ามีแต่เสียมากกว่า เผลอๆ อาจทำให้เราต้องเสียลูกค้าๆไปโดยไม่ได้คาดคิด ทางออกนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มี ขอแนะนำให้ใช้โทรศัพท์นี่แหละ เป็นเครื่องเรียกสติ โดยก่อนรับสายให้ค่อยๆ ตามลมหายใจเข้า-ออก ช้า3 ครั้ง เพื่อให้อารมณ์สงบนิ่ง บางคนอาจใช้อุปกรณ์เสริมอย่างเช่น กระจกบานเล็กๆ วางใกล้ๆโทรศัพท์ ขณะคุยอาจยิ้มน้อยๆไปด้วย การมองตัวเองในกระจก ช่วยให้ไม่เผลอส่งอารมณ์โกรธไปถึงคนปลายสายโดยไม่รู้ตัว

5. เจริญสติด้วยคำวิจารณ์ : การทำงานกับการวิพากษ์วิจารย์เป็นสิ่งคู่กัน แต่หลายคนมักสติหลุดเพียงเพราะถูกวิพากวิจารณ์คือ ดังนั้นสิ่งที่ต้องท่องให้ขึ้นใจเมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์คือ เราเอาปัญญาออกหน้า หรือเอาอัตตาออกหน้า หากเอาปัญญาออกหน้า จะเกิดคำถามในใจว่า “ฉันผิดพลาดตรงไหน” แต่หากเลือกอัตตาก็จะมีประโยคหนึ่งตามมาคือ “แกทำให้ฉันเสียหน้า” สุดท้ายถ้าเราพยายามเตือนตัวเองให้ใคร่ครวญแต่ข้อผิดพลาด ความทุกข์ ความรู้สึกเสียหน้าก็จะมาไม่ถึงเหมือนอย่างที่คุณเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งเมืองโบราณมักเตือนตัวเองเสมอว่า “วันไหนไม่ถูกตำหนิวันนั้นเป็นวันอัปมงคล” เพราะนั่นหมายถึงมีแต่คนสรรเสริญเยินยอจนหลงลืมตัวซึ่งอาจนำไปสู่ความเสื่อมในที่สุด

6. เจริญสติด้วยคำนินทา : หลายคนคงจะเคยเจอปัญหาที่แก้เท่าไรก็แก้ไม่ตก นั่นก็คือ คำนินทา ซึ่งถ้าเป็นเรื่องดีก็คงไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นเรื่องไม่จริงก็อาจทำให้หลายคนเกิดอาการเครียดไปตามๆ กัน ทางที่ดีที่สุด แม้เราจะห้ามคนนินทาไม่ได้ แต่เราก็สามารถห้ามใจไม่ให้คิดตามจน “จิตตก” ได้ และหนึ่งในวิธีได้ผลชะงัดคือ การมองโลกในแง่ดี คิดเสียว่าที่เขานินทา คือการเตือนทางอ้อมให้เราได้แก้ไขปรับปรุงในเรื่องที่เรายังบกพร่อง เวลาที่ได้ยินเสียงนินทาให้ถือเสียว่าเป็นระฆังแห่งสติที่จะเตือนให้เราหันกลับมามองตัวเอง สิ่งไหนจริง ก็ปรับปรุงแก้ไข สิ่งไหนไม่จริงก็ปล่อยให้ผ่านไปที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องคิด พูด และทำแต่สิ่งดีๆ เพื่อจะได้ไม่หวั่นไหวไปกับคำนินทาที่ไม่เป็นความจริง

7. สร้างทางเดินแห่งสติ : ปัญหาอย่างหนึ่งผู้ปฏิบัติธรรมมักใช้เป็นข้ออ้างเมื่อการปฏิบัติไม่คืบหน้าคือ ไม่มีเวลา ไม่มีสถานที่จะฝึกฝน เราจึงขอเสนอเส้นทางเดินแห่งสติในที่ทำงาน เริ่มตั้งแต่ลานจอดรถ ขั้นบันได ทางเดินไปห้องน้ำ และที่จะขาดไม่ได้เลยคือ ทางเดินไปห้องเจ้านาย แม้ทางเดินเหล่านี้จะเป็นระยะทางสั้นๆเพียงไม่กี่ก้าว แต่หากเราเดินด้วยความรู้สึกตัว มีสติในทุกย่างก้าว ซ้ายก็รู้ ขาวก็รู้ ขึ้นบันไดก็รู้ไม่เผลอคิดฟุ้งซ่าน ถ้าทำได้อย่างนี้ สติจะไม่อยู่กับเราขณะทำงานก็ให้รู้ไป

8. พักยกด้วยระฆังแห่งสติ : สำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศที่งานยุ่งจนไม่มีแม้แต่เวลาจะดูนาฬิกา ขอแนะนำให้ใช้บริการระฆังแห่งสติเป็นผู้ช่วย ระฆังแห่งสตินี้อาจใช้โทรศัพท์มือถือในการตั้งเวลาปลุกทุกครึ่งชั่วโมงหรือ 1 ชั่วโมง หรือถ้าจะง่ายกว่านั้น เพียงคลิกเข้าไปที่ www.thaiplumvillage.org คุณก็จะสามารถดาวน์โหลดโปรแกรมเสียงระฆังแห่งสติได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย จะต้องให้เตือนทุก 15 นาทีหรือทุกชั่วโมงก็ได้ เคล็ดลับคือ เมื่อได้ยินเสียงระฆังแล้วให้วางมือจากการทำงานและกลับมาอยู่กับลมหายใจทันทีสัก 3 ลมหายใจ จากนั้นจึงค่อยทำงานต่อ เท่านี้สติก็อยู่กับตัวได้ตลอดทั้งวันแล้ว

9. ซ้อม “สอบ” ในที่ทำงาน : จริงอยู่ว่าในการทำงานย่อมมีอารมณ์หลากหลายเข้ามาปะทะอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะดีใจ เสียใจ โกรธ โมโห อิจฉา ริษยา แต่จริงๆ แล้วอารมณ์เหล่านี้ ใช่ว่าจะเป็นผลร้ายกับเราไปเสียหมด ตรงกันข้ามอารมณ์หลากหลายที่เราต้องเผชิญในที่ทำงานคือบททดสอบที่ดียิ่งใน “วิชาสติ” ดังนั้นขอให้ใช้บททดสอบเหล่านี้เพื่อดูว่าเราสามารถควบคุมอารมณ์ ไม่ให้วูบวาบไปตามสิ่งที่มากระทบและเรียกสติมาช่วยได้ทันหรือไม่ หากเผลอก็ถือว่าสอบตก ต้องรีบสอบซ่อมและทำให้ดีกว่าเดิมในครั้งต่อไป

คนเราต้องทำงานเกือบทั้งชีวิต หากเราหมั่นฝึกใช้สติควบคู่ไปกับการทำงานก็เท่ากับว่าเรามีโอกาสฝึกปฏิบัติธรรมกันตลอดชีวิตเลยทีเดียว...

ที่มา www.kallayanatham.com

...ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกท่านค่ะ...

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

88
...วินัยของพระภิกษุสงฆ์...

พุทธศาสนิกฝ่ายคฤหัสถ์ควรรู้จักพระวินัยบางข้อของพระภิกษุสงฆ์ไว้ด้วย เพราะว่า พระภิกษุสงฆ์มีหน้าที่อันสำคัญที่สุด คือรักษาตัวอย่าให้มีโทษทางพระวินัย จึงจะสมเป็นที่ไว้วางพระหฤทัยของพระบรมศาสดา และจะได้สมเป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในฐานะเป็นนาบุญของชาวโลก ไม่บริโภคจตุปัจจัยของเขาให้เปลืองเปล่า เปรียบเหมือนอย่างพื้นนาอันปราศจากวัชพืช คือหญ้าที่เป็นโทษ ย่อมจะอำนวยให้ข้าวที่ชาวนาหว่านลงดินเจริญงอกงาม มีผลเต็มเมล็ดเต็มรวง แต่หากว่านารกไปด้วยวัชพืช ข้าวที่หว่านลงก็มีผลไม่เต็มที่


ข้อนี้ฉันใด พระภิกษุหรือสามเณร ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถ้าศีลไม่ขาด ไม่มีโทษทางพระวินัย ก็เท่ากับนาที่ไม่รก พืชบุญที่หว่านลงก็ย่อมมีผลมากกำไรมาก แต่ถ้าขาดศีลมาก มีโทษทางพระวินัยมาก ก็เท่ากับนาที่รก พืชบุญที่ชาวโลกหว่านลงก็มีผลน้อย มีกำไรน้อย ด้วยเหตุนี้ พระภิกษุสามเณรผู้ตระหนักในหน้าที่ของตน จึงพยายามรักษาตัวมิให้เป็นเหมือนนาที่รกด้วยวัชพืช ก็ในการรักษาตัวนั้น พระภิกษุ-สามเณรบางรูปบางเวลา บางครั้งบางคราว ไม่สามารถจะให้บริสุทธิ์เท่าที่ควรได้ เพราะคฤหัสถ์ หรือบุรุษ-สตรี หรือทายก ทายิกา ผู้ไม่รู้วินัยของพระ และมีธุระเกี่ยวข้องกับพระในวาระต่างๆ เช่น ในคราวทำบุญ แต่ทำไม่ถูกต้องพระวินัย ภิกษุเกรงใจคฤหัสถ์ บางทีคฤหัสถ์เกรงใจภิกษุ จึงทำให้พระต้องอาบัติ คือต้องโทษทางพระวินัย อย่างนี้คฤหัสถ์ได้บุญก็จริง แต่ได้น้อย เพราะขณะเดียวกันนั้น พระได้บาป ต้องโทษไม่บริสุทธิ์เหมือนนาที่รกเสียแล้ว อนึ่ง บางทีบางรูปไม่รู้วินัยของตนเองดีพอ หรือบางรูปรู้วินัยดีแล้ว แต่ไม่เอื้อเฟื้อในวินัย ก็ย่อมเกี่ยวข้องกับคฤหัสถ์ในทางที่ผิดๆ และคฤหัสถ์ก็ไม่รู้วินัยของพระ จึงพากันปฏิบัติผิดร่วมกัน อย่างนี้ จึงรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมแก่พุทธศาสนิกชนเลย


ด้วยเหตุนี้ เพื่อที่จะให้คฤหัสถ์ บุรุษ-สตรี ทั้งหลายช่วยกันรักษาพระภิกษุสงฆ์ให้บริสุทธิ์ เป็นนาบุญอย่างดี จะได้เพิ่มปริมาณผลแห่งพืชบุญที่บริจาคหว่านลงไป ให้มากยิ่งๆ ขึ้น จึงได้รวบรวมพระวินัยบางข้อ ที่คฤหัสถ์ทั้งบุรุษและสตรีควรทราบมาเรียงเป็นข้อๆ พอเป็นแนวทางแห่งการศึกษาและปฏิบัติสำหรับคฤหัสถ์ ดังต่อไปนี้ :-

๑. สุภาพสตรี อย่าถูกต้องภิกษุสามเณร.


๒. สุภาพบุรุษ หรือสุภาพสตรี ไม่ควรวานให้พระชักสื่อชายหญิงให้เป็นสามี-ภรรยากัน แม้ชั่วครั้งชั่วคราว.


๓.สุภาพสตรี ไม่มีบุรุษผู้รู้เดียงสาไปด้วย ไม่ควรเข้าไปหาภิกษุในที่ลับตาหรือลับหู เพราะอาจจะทำให้พระถูกโจทก์ด้วยอาบัติต่างๆ หรือเป็นทางให้เกิดความเสียหายมาก.


๔. สุภาพบุรุษ หรือสตรี เมื่อมีศรัทธาจะถวายเงินทองแก่พระภิกษุสามเณร ต้องมอบให้แต่ไวยาวัจกร (ผู้ที่รับทำกิจของท่าน) และแจ้งให้ท่านทราบ อย่ามอบให้ในมือหรือในย่าม หรือในบาตรเป็นต้นของท่าน.


๕. บุรุษผู้เป็นไวยาวัจกร เมื่อรับเงินทองของพระรูปใดไว้เท่าไร ต้องจัดสิ่งของที่พระต้องการถวายพระรูปนั้น ในราคาเท่าเงินทองที่ตนรับไว้นั้น ในเวลาที่ท่านขอ ถ้าเงินทองมาก พระขอของน้อย ก็จ่ายเท่าที่ท่านต้องการ เก็บส่วนที่เหลือไว้จ่ายในคราวต่อไป.


๖. บุรุษ-สตรี ผู้เป็นพ่อค้า-แม่ค้า ไม่ควรขายของแก่พระภิกษุ หรือสามเณร ผู้ที่จับต้องเงิน (ธนบัตร-เหรียญบาทเป็นต้น) มาซื้อด้วยตนเอง.


๗. บุรุษ-สตรี ไม่ควรเอาผ้าอาบน้ำฝนถวายพระก่อนเข้าพรรษามากกว่า ๑ เดือน แม้พระขอก็ไม่ต้องถวาย เว้นไว้แต่พระที่เป็นญาติ และพระที่ตนปวารณาไว้.


๘. บุรุษ-สตรี เมื่อเตรียมสิ่งของจะถวายแก่สงฆ์ (ไม่เฉพาะบุคคล) ถ้าพระแนะนำให้ถวายเฉพาะตัวท่านเอง หรือให้ถวายเฉพาะพระรูปใดๆ ก็ตามไม่ต้องถวายตามคำแนะนำนั้น


๙. บุรุษ-สตรี เมื่อเรียนธรรมกับพระ อย่าออกเสียงบทพระธรรมพร้อมกับพระ.


๑๐. บุรุษ เมื่อนอนในที่มุง ที่บัง อันเดียวกับพระครบ ๓ คืนแล้ว ต้องเว้นเสีย ๑ คืน ต่อไปจึงนอนได้อีก.


๑๑. สตรี ห้ามนอนในที่มุง ที่บัง อันเดียวกับพระแม้ในคืนแรก.


๑๒. บุรุษ-สตรี ถ้าพระใช้ให้ขุดดินเหนียวล้วนหรือดินร่วนล้วน ไม่ควรขุด แต่ถ้าพระแสดงความประสงค์ว่าต้องการหลุมหรือคูเป็นต้น หรือว่าต้องการให้ดินสูงเท่านั้น เท่านี้เป็นต้น ก็ควรจัดการให้ตามประสงค์.


๑๓. บุรุษ-สตรี ถ้าพระใช้ให้ตัดต้นไม้หรือดายหญ้าที่เกิดอยู่กับดิน หรือให้รื้อถอนผักหญ้าต่างๆ ที่เกิดอยู่ในน้ำ ไม่ควรตัด-ดาย-รื้อถอน แต่ถ้าพระบอกว่า เราต้องการไม้-หญ้า-ผัก หรือว่า เราต้องการทำความสะอาดในที่ซึ่งเกะกะรุงรังด้วยต้นไม้หรือผักหญ้า ดังนี้เป็นต้น จึงทำให้.


๑๔. บุรุษ-สตรี นิมนต์ให้พระฉันอาหาร อย่าออกชื่อโภชนะ ๕ คือ ข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง ปลา เนื้อ ควรใช้กัปปิยโวหาร คือคำพูดที่สมควร เช่นพูดว่า
“ ขอนิมนต์ฉันเช้า ” หรือว่า “ ขอนิมนต์ฉันเพล ” และต้องบอกวัน เวลา สถานที่ให้ชัดเจน ทั้งบอกให้พระทราบด้วยว่า ให้ไปกันเอง หรือจะมารับ, อนึ่ง การที่นิมนต์ให้พระฉันนั้น ปรารภเรื่องอะไร ก็ควรบอกให้ทราบด้วย.


๑๕. บุรุษ-สตรี เมื่อเลยเวลาเพลแล้ว คือตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงวันใหม่ อย่านำอาหารไปประเคนพระ หากเป็นของที่เก็บค้างคืนได้ ไม่บูด ไม่เสีย เช่น ข้าวสาร ปลาดิบ เนื้อดิบ อาหารสำเร็จบรรจุกระป๋อง มีปลากระป๋องเป็นต้น ก็มอบไว้แก่ไวยาจักรของท่านได้.


๑๖. บุรุษ-สตรี ถ้าพระที่มิใช่ญาติ และตนมิได้ปวารณาไว้ ไม่เป็นไข้ ขอโภชนะอันประณีตคือข้าวสุกที่ระคนด้วยเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง ปลา เนื้อ นมสด นมส้ม แม้อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ควรถวาย แต่ถ้าขอไปเพื่อผู้เป็นไข้ ควรถวายโดยแท้.


๑๗. บุรุษ-สตรี เมื่อประเคนอาหาร หรือยาเป็นต้น ทุกอย่างที่พระจะกลืนกิน (ฉัน) ต้องประเคนให้ถูกวิธี ดังนี้


ก. ภาชนะหรือห่อของนั้น ไม่ใหญ่หรือหนักเกินไป ยกคนเดียวได้อย่างพอดี.


ข. เข้าอยู่ในหัตถบาสของพระ ห่างจากพระประมาณ ๑ ศอก เป็นส่วนสุดของสิ่งหรือของบุคคลผู้ประเคน.


ค. น้อมกายถวายด้วยความเคารพ.


ฆ. กิริยาที่ถวาย ถวายด้วยมือ หรือของที่เนื่องด้วยมือ เช่น ช้อน-ภาชนะก็ได้.


ง. พระรับด้วยมือ หรือด้วยของที่เนื่องด้วยมือ เช่นบาตร-ผ้าก็ได้.


๑๘. สตรี ไม่มีบุรุษผู้รู้เดียงสาอยู่เป็นเพื่อน ต้องไม่นั่ง ไม่นอน ไม่ยืน ไม่เดินในห้องกับพระ แม้จะมีสตรีหลายคนก็ไม่ได้.


๑๙. สตรีต้องไม่นั่ง ไม่นอนในที่แจ้งกับพระหนึ่งต่อหนึ่ง ถ้าสตรีหลายคนนั่งได้ แต่การนอนนั้นไม่ควร แม้การยืน การเดินไปกับพระหนึ่งต่อหนึ่งด้วยอาการซ่อนเร้น ก็ไม่ควร.


๒๐. บุรุษ-สตรี ที่มิใช่ญาติของพระ แม้จะเป็นเขย สะใภ้ หรือภรรยาเก่าของพระ (ปุราณทุติยิกา) หากมิได้เกี่ยวข้องทางสายโลหิต ก็ชื่อว่ามิใช่ญาติ ถ้ามีศรัทธาจะให้พระขอปัจจัย ๔ หรือสิ่งของต่างๆ จากตนได้ ก็ต้องปวารณา คือเปิดโอกาสให้พระขอได้โดยลักษณะ ๔ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ :-


ก. กำหนดปัจจัยหรือสิ่งของ เช่นจีวร บิณฑบาต ที่นอน ที่นั่ง ยา หนังสือ สมุด ปากกา ฯลฯ.


ข. กำหนดเวลา คือให้ขอได้ตลอด เท่านั้นวันเท่านั้นเดือน เท่านั้นปี ตั้งแต่วันที่เท่าไร ถึงเท่าไร.


ค. กำหนดทั้งปัจจัย-สิ่งของ และเวลา


ฆ. ไม่กำหนดทั้งปัจจัยสิ่งของและเวลา ถ้าจะให้ขอได้เป็นนิตย์ ต้องบอกว่า นิมนต์ขอได้ตลอดกาลเป็นนิตย์.


เมื่อปวารณาแล้ว ถ้าพระขอเกินกำหนด หรือเกิน ๔ เดือน ไม่ควรถวาย เว้นไว้แต่ตนปวารณาอีก หรือปวารณาเป็นนิตย์.


หมายเหตุ : - คำว่า ญาติ ได้แก่คนที่เกี่ยวเนื่องกัน ๗ ชั้น คือ ๑. ทวด ๒.ปู่ย่าตายาย ๓.พ่อแม่ ๔.พี่น้อง ๕.ลูก ๖.หลาน ๗.เหลน.


๒๑. บุรุษ-สตรี ไม่ควรเอาของเสพติดให้โทษ เช่น สุราเมรัย ฝิ่น เฮโรอีน กัญชา ถวายพระ.


๒๒. บุรุษ-สตรี ผู้นำสินค้าหนีภาษี ไม่ควรเดินทางร่วมกับพระ หรือไม่ควรให้เกี่ยวข้องกับพระ.


๒๓. สตรี ไม่ควรชวนพระเดินทางไกล แม้สิ้นระยะบ้านหนึ่ง แม้นั่งรถ นั่งเรือไปเพียงหนึ่งต่อหนึ่งก็ไม่ควร แม้สตรีหลายคน แต่ไม่มีบุรุษผู้รู้เดียงสานั่งไปด้วย ก็ไม่ควร แม้บุรุษไปด้วย หากสตรีขับรถขับเรือเอง ก็ไม่ควร เว้นไว้แต่เรือข้ามฟาก.


๒๔. บุรุษ-สตรี จะถวายอาหารแก่พระผู้อยู่ในป่าอันเป็นที่เปลี่ยว ต้องแจ้งข่าวล่วงหน้าก่อน.


๒๕. บุรุษ-สตรี เมื่อพระรับบิณฑบาต เต็มบาตรแล้ว อย่าอาหารวางบนฝาบาตร หรืออย่าใส่ถุงให้พระหิ้ว.


๒๖. บุรุษ-สตรี เมื่อนิมนต์พระมาฉันในบ้าน ต้องจัดที่ฉันให้พร้อม เช่น น้ำล้างเท้า ผ้าเช็ดเท้า น้ำฉัน น้ำใช้ กระโถน ผ้า-กระดาษเช็ดมือ เช็ดปาก ช้อนส้อมและช้อนกลาง อย่าให้บกพร่อง.


๒๗. บุรุษ-สตรี เมื่อจัดที่ให้พระสวด หรือแสดงพระธรรมเทศนา หรือปาฐกถาธรรม ต้องจัดที่ให้พระนั่ง อย่าให้ยืน และต้องไม่ต่ำกว่าที่ของผู้นั่งฟัง


๒๘. บุรุษ-สตรี เมื่อฟังธรรมเทศนา หรือฟังปาฐกถาธรรม ต้องฟังด้วยกิริยาอาการเคารพ แม้ฟังพระสวดในงานมงคล หรืองานศพ เป็นต้น ก็ต้องเคารพเช่นเดียวกัน ไม่ควรนั่งคุยกันเลย จะคุยได้ในเวลาพระหยุดสวดได้อยู่.


๒๙. บุรุษ-สตรี จะถวายร่มแก่พระ ต้องเลือกเอาชนิดที่ไม่สลับสี เช่นร่มผ้าดำล้วน ร่มกระดาษ ร่มพลาสติค สีน้ำตาล สีดำ สีเหลืองล้วน


๓๐. บุรุษ-สตรี จะถวายรองเท้าแก่พระ ต้องเลือกเอาชนิดที่ไม่มีส้นสูง ไม่มีปกสัน ไม่มีปกหลังเท้า มีแต่สายรัดหลังเท้ากับสายที่คีบด้วยนิ้ว และมีสีหม่นหมอง เช่นสีน้ำตาลแก่


๓๑. บุรุษ-สตรี เมื่อถวายเตียง ตั่ง แก่พระสงฆ์ต้องเลือกเอาแต่ที่มีเท้าสูงไม่เกิน ๘ นิ้วพระสุคต หรือ ๙ นิ้วฟุต เว้นไว้แต่แม่แคร่ และไม่มีรูปสัตว์ร้ายที่เท้าเตียง เช่นเตียงจมูกสิงห์ หรือบัลลังก์ และเตียงนั้นต้องไม่ใหญ่ถึงนอนได้ ๒ คน ที่นอนก็ไม่ใหญ่อย่างเตียง ฟูกเตียง ฟูกตั่ง และที่นั่งที่นอนไม่ยัดนุ่นหรือสำลี


๓๒. บุรุษ-สตรี เมื่อจะถวายหมอนหนุนศีรษะแก่พระ ต้องให้มีขนาดหนุนได้ศีรษะเดียว ไม่ถึง ๒ ศีรษะ หมอนข้างไม่ควรถวาย


๓๓. สตรี ต้องไม่นั่งบนอาสนะผืนเดียวกัน บนเตียง ม้านั่งเดียวกันกับพระ แม้บนพื้นที่ไม่มีอะไรปูลาดเลย ก็ไม่ควรนั่งเสมอกับพระหรือสูงกว่าพระ ไปในรถ-เรือมีที่จำกัด จะต้องนั่งที่ม้าเดียวกับพระต้องมีบุรุษนั่งคั่นไว้เสียก่อน


๓๔. บุรุษ-สตรี ไม่ควรเอาวัตถุอนามาสประเคนพระ วัตถุอนามาส คือสิ่งที่พระไม่ควรแตะต้อง มี ๖ ประเภท ดังนี้ : -


ก. คนหญิง คนกะเทย เครื่องแต่งกายของคนเหล่านั้น แต่ที่เขาสละแล้วไม่นับ ตุ๊กตาหญิง สัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย.


ข. ทอง เงิน มุกดา มณี ไพฑูรย์ ประพาฬ ทับทิม บุษราคัม สังข์ที่ขัดแล้ว ศิลาชนิดดี เช่น หยก โมรา.


ค. ศัสตรา อาวุธ ต่างชนิด ที่ใช้ทำร้ายชีวิตร่างกาย.


ฆ. เครื่องดักสัตว์บก-น้ำ.


ง. เครื่องประโคม.


จ. ข้าวเปลือกและผลไม้อันเกิดอยู่ในที่.


๓๕. สตรี ไม่ควรเกลี้ยกล่อม ยั่วเย้าพระด้วยการพูดประเล้าประโลม หรือด้วยการแต่งเนื้อแต่งตัวชะเวิกชะวาก หรือล่อด้วยทรัพย์.


๓๖. บุรุษ-สตรี ไม่ควรเอาของเด็กเล่น เช่น เรือน้อยๆ รถน้อยๆ ถวายพระ.


๓๗. บุรุษ-สตรี ไม่ควรชักชวนพระเล่นการพนัน มีแพ้ มีชนะ เช่น หมากรุก หมากแยก ฯลฯ.


๓๘. บุรุษ-สตรี ไม่ควรเรียนดิรัจฉานวิชาจากพระและไม่ควรบอกดิรัจฉานวิชาแก่พระ ดิรัจฉานวิชา คือความรู้ในการทำเสน่ห์-ในการใช้ภูตผีปีศาจทำผู้อื่นให้ถึงความวิบัติ ในทางอวดฤทธิ์เดชต่างๆ – ในทางทำนายทายทัก บอกหวยบอกเบอร์ ในทางที่นำให้หลงงมงาย เช่น หุงเงิน หรือทองแดงให้เป็นทอง.


๓๙. บุรุษ-สตรี ไม่ควรใช้พระในกิจนอกพระพุทธศาสนา แต่จะขอให้ช่วยกิจพระพุทธศาสนา เช่น ให้ช่วยนิมนต์พระไปในการบำเพ็ญบุญได้อยู่.


๔๐. บุรุษ-สตรี ไม่ควรนำสิ่งของอันมีค่าฝากไว้กับพระ เพราะอาจเกิดอันตรายแก่พระได้ เช่น อันตรายในการเจริญสมณธรรม ถูกปล้น ถูกเป็นผู้สำนองในเมื่อของนั้นหาย.


๔๑. บุรุษ-สตรี ไม่ควรเอาเนื้อสัตว์ที่ไม่นิยมเป็นอาหาร ถวายพระ เนื้อที่ไม่นิยมเป็นอาหาร คือเนื้อมนุษย์ ช้าง-ม้า-สุนัข-สีห์-เสือโคร่ง-เสือเหลือง-หมี-เสือดาว.


๔๒. บุรุษ-สตรี ไม่ควรเอาเนื้อที่นิยมเป็นอาหาร แต่ยังดิบ ไม่สุกด้วยไฟ เช่นปูเค็ม กุ้งส้ม หอยเค็ม ปลาเค็ม แหนม กะปิ ลาบเนื้อดิบ ไข่ลวกไม่สุก ประเคนพระ ควรมอบไว้กับกัปปิยการก คือผู้มีหน้าที่ทำให้เป็นของควรแก่พระ


๔๓. บุรุษ-สตรี ไม่ควรเอาอุทิศมังสะถวายพระ อุทิศมังสะ คือเนื้อ หรือไข่สัตว์ที่เขาฆ่า เจาะจงภิกษุสามเณร.


๔๔. บุรุษ-สตรี อย่าเอาพืชคาม คือผลไม้มีเมล็ดสุกบางอย่าง เช่นพริกสุก มะเขือสุก อ้อยที่ยังไม่ได้ปอก ผักบุ้ง ขมิ้น กระชาย กระเทียม หอม โหระพา กะเพรา ฯลฯ ที่พ้นจากการที่เกิดที่อยู่แล้ว แต่ยังปลูกให้งอกได้อีกถวายพระ ควรทำให้เป็นของที่ไม่อาจปลูกได้แล้ว จึงถวายพระ.


๔๕. บุรุษ-สตรี ไม่ควรถือเอามรดกของพระผู้มรณภาพไปแล้ว ไม่ว่าพระรูปนั้นจะเป็นพ่อ ลูก ญาติมิตร หรือก็ข้องกันโดยสถานะไรๆ ก็ตาม แม้พระได้ทำพินัยกรรมไว้ให้ถือเอาก็ไม่ได้ เพราะทางวินัยของสงฆ์มีอยู่ว่า


มรดกของพระผู้มรณะตกเป็นของสงฆ์ทั้งหมด แม้พระจะพูดไว้ด้วยคำเป็นอนาคตว่า “ ถ้าฉันตายแล้ว เธอจงเอาสิ่งนั้นสิ่งนี้ไป ” ดังนี้ ก็ถือเอาไม่ได้ แต่สิ่งใดที่พระมอบให้ด้วยคำเป็นปัจจุบัน “ ฉันให้สิ่งนั้น สิ่งนี้แก่เธอ ” ก็ถือเอาได้เฉพาะสิ่งที่ระบุถึง หากระบุทั้งหมดก็ถือเอาได้ทั้งหมด.


๔๖. บุรุษ-สตรี เมื่อจะถือเอาสิ่งของของพระด้วยวิสาสะ ต้องให้ครบองค์ ๓ คือ : -


ก. เคยเห็นกัน เคยคบกัน เคยพูดกันไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง .


ข. รู้ว่าถือเอาแล้ว เจ้าของจักพอใจ .


ค. เจ้าของยังมีชีวิตอยู่ .


๔๗. บุรุษ-สตรี เมื่อพยาบาลพระผู้เจ็บหนัก ฉันอาหารไม่ได้ ครั้นถึงเวลาวิกาลหิวจัด หากมิได้อาหารอาจเป็นอันตราย จะต้มข้าวหรือเนื้อสัตว์ที่นิยมเป็นอาหาร (เว้นอุทิศมังสะ) ให้เหลว กรองให้หมดกาก เอาแต่น้ำข้าว น้ำเนื้อที่ใสถวายให้พระดื่มในเวลาวิกาลก็ได้.


การที่จะอ้างว่า แพทย์สั่งให้พระป่วยฉันอาหารในวิกาลได้ แล้วนำอาหารชนิดต่างๆ ไปถวายในวิกาลนั้น ไม่ควรเลย หากพระอยากฉันอาหารในวิกาลโดยไม่เอื้อเฟื้อต่อวินัยแล้ว ควรให้สึกเสียก่อนจึงจัดถวายให้รับประทาน.


๔๘. สตรีที่เป็นโสเภณี เป็นหม้าย เป็นสาวเทื้อ เป็นชี และกะเทย ไม่ควรไปมาหาสู่กับพระโดยไม่เป็นกิจจะลักษณะหรือผิดเวลา.


๔๙. บุรุษ-สตรี ไม่ควรนิมนต์พระเข้านั่งในร้านสุรา จะเป็นที่ขาย หรือที่กลั่นสุรา หรือที่ดองเมรัยก็ตาม.
บุรุษหรือสตรีก็ตาม เมื่อหวังความเจริญแก่ตน แก่วงศ์สกุลของตน และแก่พระพุทธศาสนาควรศึกษาให้มีความรู้เกี่ยวกับวินัยของพระภิกษุสงฆ์บางข้อตามที่รวบรวมไว้นี้ และปฏิบัติให้ถูกต้องก็ย่อมจะเหมาะสมแก่ความเป็นพุทธศาสนิกชน และย่อมช่วยประดับพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองแล.


ที่มา www.kallayanatham.com

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

89
ลักษณะของคนที่น่ารัก

พระธรรมวิสุทธิกวี
เจ้าอาวาสวัดโสมนัสวิหาร กรุงเทพมหานคร


ลักษณะของคนที่น่ารัก
ท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย
คนบางคนในโลกนี้ เป็นที่เคารพรักใคร่ของคนทั้งหลายแม้เพียงพบเห็นครั้งแรก จึงมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตได้มาก เพราะเขามีคุณธรรมอันเป็นลักษณะของคนที่น่ารักอยู่ในตัว คนประเภทนี้มีอยู่ไม่น้อยในสังคมปัจจุบัน แต่บางคนเป็นที่เกลียดชังของคนทั้งหลาย แม้เมื่อพบเห็นหรือรู้จักกันครั้งแรก ไม่อาจมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตได้ เพราะมีลักษณะนิสัยไม่ดี ขาดคุณธรรม คนประเภทนี้ก็มีอยู่มากเช่นกันในสังคม

ดังนั้น ความประพฤติหรืออุปนิสัยใจคอ จึงเป็นตัวบ่งบอกถึงความเจริญก้าวหน้าและความเสื่อมของคนเรา
ตามหลักในพระพุทธศาสนานั้นคนที่น่ารัก ซึ่งเป็นที่รักพอใจของคนทั้งหลายเมื่อกล่าวโดยทั่วไปแล้วมีลักษณะ ๙ ประการ คือ

• ไม่เป็นคนอวดดี
• ไม่พูดมากจนเขาเบื่อ
• เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน
• รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว
• พูดจาอ่อนหวาน
• เป็นคนเสียสละ ไม่เอาเปรียบผู้อื่น
• เป็นคนกตัญญูกตเวที
• เป็นคนไม่มีนิสัยริษยาเสียดสีผู้อื่น
• เป็นคนมีนิสัยสุขุม รอบคอบ ไม่ยกตนข่มท่าน


ลักษณะของคนที่น่ารัก
• ไม่เป็นคนอวดดี คือใครก็ตาม ถ้าชอบเป็นคนอวดดี เช่น อวดรวย อวดเก่ง อวดยศศักดิ์ตำแหน่งของตน ชอบคุยอวดคนโน้นคนนี้ถึงความดีเด่นของตนอย่างโน้นอย่างนี้ หรืออวดสมบัติของตน จนทำให้คนอื่นเบื่อฟังและรู้สึกหมั่นไส้ คนเช่นนี้แม้ตนเองจะมีคุณสมบัติหรือความดีเด่นจริง ก็เป็นที่ชิงชังและเบื่อระอาของคนทั้งหลาย เพราะเขาไม่ชอบคนอวดดี ยิ่งถ้าตนไม่มีคุณสมบัติอันใดก็ยิ่งเป็นที่ชิงชัง ของคนทั้งหลายยิ่งขึ้น แต่คนที่มีนิสัยดีน่ารักนั้น เขาจะไม่โอ้อวด แม้จะมีดีอวดแต่เป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน และบางคนถึงกับปกปิดคุณความดีของตน ถ้าใครจะทราบก็ค่อยรู้เอาเอง คนเช่นนี้ย่อมเป็นที่รักใคร่ เอ็นดู หรือเป็นที่เคารพนับถือของคนทั้งหลาย และย่อมมีโอกาสเจริญรุ่งเรืองในชีวิตได้มาก เพราะได้รับความช่วยเหลือเกื้อกูลจากบุคคลทั่วไป

• เป็นคนไม่พูดมากจนเขาเบื่อ คือใครก็ตามถ้าไม่รู้จักประมาณตนในการพูด พูดพล่ามพูดไร้สาระหรือพูดมากจนเกินไป จนคนทั้งหลายเบื่อฟังและรู้สึกรำคาญไม่อยากฟัง อยากออกไปเสียให้ห่าง เมื่อคนนั้นพูด คนเช่นนี้แม้จะมีความรู้ความสามารถดี ก็หาเป็นที่รัก แลเป็นที่เคารพของคนทั้งหลายไม่ ถ้ายิ่งเป็นคนต่ำต้อยอยู่แล้ว ก็ยิ่งเป็นที่เกลียดชังของคนทั้งหลายยิ่งขึ้น ฉะนั้น คนที่ฉลาดและน่ารักจึงพูดแต่พอประมาณไม่พูดมากจนเขาเบื่อ แต่พูดมีสาระน่าฟัง เช่นพูดแนะนำหรือพูดสร้างสรรค์ เป็นต้น และเมื่อพูดสิ่งใดก็คิดใคร่ครวญก่อนแล้วจึงพูด คนเช่นนี้ย่อมเป็ฯที่รักใคร่เคารพนับถือของคนทั้งหลายและย่อมได้รับความเอ็นดู ความเกื้อกูลจากคนทั่วไป ฉะนั้น คนที่มีลักษณะนิสัยที่น่ารัก จึงไม่พูดมากจนเขาเบื่อแต่เป็นผู้พูดพอประมาณ


• เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน คือบางคนขาดความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนแข็งกระด้าง ขาดสัมมาคารวะชอบดูหมิ่นดูถูกคนอื่น เป็นคนไม่ยอมก้มหัวให้แก่ใครคนประเภทนี้หาความเจริญได้ยาก ย่อมเป็นที่เกลียดชังของคนทั้งหลาย เหมือนต้นไม้ที่ยืนต้นตาย หรือเหมือนรวงข้าวที่ลีบไม่มีเมล็ด ไร้ค่า ยืนชูรวงโด่อยู่ไม่โน้มลง แต่คนที่น่ารักนั้นย่อมมีความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นนิสัยมีสัมมาคารวะ ไม่แข็งกระด้าง เคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่ที่เจริญกว่าตน ทั้งโดยวัยวุฒิ คุณวุฒิ และชาติวุฒิ คนเช่นนี้ย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตได้มาก สมดังพุทธพจน์ แปลความว่า ธรรมะ ๔ ประการ คือมีอายุยืน ๑ มีผิวพรรณผ่องใส ๑ มีความสุขกายสุขใจ ๑ มีกำลังกายกำลังใจ ๑ ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีปกติกราบไหว้อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่เป็นนิจ ฉะนั้นผู้หวังให้ผลดีทั้ง ๔ นี้เกิดขึ้นแก่ตน ก็ต้องสร้างเหตุคือนิสัยที่น่ารักด้วยการเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นนิจ

• รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว คือใครก็ตาม รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวในปัญหาต่าง ๆ ในข้อตกลงหรือปรึกษาหารือต่างๆ ไม่ดึงดันเอาแต่ความเห็นหรืออำนาจตามอำเภอใจของตนฝ่ายเดียว ย่อมรู้จักประนีประนอมในปัญหาต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกัน เมื่อฝ่ายหนึ่งรุนแรงยืนยันขันแข็งในท่าที หรือจุดประสงค์ของตนก็ผ่อนปรนลงบ้าง ไม่ยืนกระต่ายขาเดียว ไม่ว่าปัญหาครอบครัว การทำงานหรือในข้อขัดแย้งต่าง ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อความสามัคคีถนอมน้ำใจกัน และความสงบสุขในครอบครัว ในหน่วยงานหรือในสังคม ถ้าเมื่อฝ่ายหนึ่งหย่อนยานเกินไป อันอาจจะก่อให้เกิดผลเสียหายได้ ก็มีทีท่าเข้มงวดเข้าไว้ให้ถูกระเบียบและกฎเกณฑ์ก็จะทำให้เกิดความพอดีขึ้น คนเช่นนี้ สามารถดำเนินชีวิตไปอย่างสงบสุข ราบรื่นไม่ค่อยมีความขัดแย้งกับใคร จึงทำให้เป็นคนมีนิสัยน่ารักเพราะรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว การรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวนี้ ทำให้เกิดความพอดี ไม่เป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งและความขัดแย้งกับใคร ๆ เพราะไม่ตึง ไม่หย่อน จนเกินไป เหมือนคนที่เล่นว่าว ถ้าเล่นว่าวเป็น ว่าวก็จะไม่ตกและกินลมได้ดี คือเมื่อลมแรงเกินไป ก็ปล่อยสายป่านให้ยาวออกไป เพราะถ้าดึงไว้สายป่านก็จะขาดทำให้ว่าวตก หรือเมื่อลมอ่อนเกินไปก็พยายามดึงสายป่านเอาไว้ ว่าวก็จะกินลมได้ดีและไม่ตก การดำเนินชีวิตก็เหมือนกัน ถ้าจะให้ราบรื่นก็ต้องรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวในปัญหาขัดแย้งต่าง ๆ ถ้าไม่รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวแล้ว ก็จะขัดแย้งกับคนอื่นอยู่เสมอ ไม่ว่าในปัญหาครอบครัวหรือปัญหาใด ๆ ฉะนั้น การรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวจึงเป็นลักษณะนิสัยที่น่ารักประการหนึ่ง

• พูดจาอ่อนหวาน การพูดจาอ่อนหวานเป็นเสน่ห์ประการหนึ่ง ที่ยึดเหนี่ยวน้ำใจของผู้อื่นไว้ได้ เพราะทำให้ผู้ฟังชื่นใจ สบายใจ ทำให้เป็นกันเอง ทำให้ผูกมิตรไมตรีไว้ได้ จึงเป็นที่รักใคร่ของคนทั้งหลาย ผู้ที่พูดจาไม่น่าฟัง พูดขาดสัมมาคารวะ พูดไม่รู้ที่ต่ำที่สูงหรือพูดส่อเสียด ย่อมเป็นที่เกลียดชังของคนทั้งหลาย การพูดจาอ่อนหวานนี้ จัดเป็นวาจาสุภาษิตประการหนึ่ง


วาจาสุภาษิต
มีองค์ประกอบ ๕ ประการ คือ
• เป็นคำจริง
• เป็นคำอ่อนหวาน
• เป็นคำมีประโยชน์
• พูดถูกกาลเทศะ
• พูดประกอบด้วยเมตตา

คำพูดใด แม้จะเป็นคำจริง และเป็นคำอ่อนหวาน แต่ถ้าไม่มีประโยชน์แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสสอนไม่ให้พูด เพราะไม่ได้ประโยชน์ หรือคำพูดใด แม้จะเป็นคำจริง คำอ่อนหวานและมีประโยชน์ แต่ถ้าพูดไม่ถูกกาลเทศะ พระองค์ก็ไม่ตรัสสอนให้พูดเช่นกัน เพราะไม่เป็นวาจาสุภาษิต แต่ถ้าคำนั้นปะกอบด้วยลักษณะ ๕ ประการ คือ เป็นคำจริง เป็นคำอ่อนหวาน เป็นคำมีประโยชน์ พูดถูกกาลเทศะ และพูดด้วยเมตตาจิตแล้ว พระองค์ก็ตรัสสอนให้พูดคำเช่นนี้ เพราะก่อให้เกิดคุณค่าให้แก่ตนเองและผู้อื่นเป็นอันมาก ทำให้เป็นที่รักของคนทั้งหลาย และจัดเป็นมงคลแก่ชีวิต

• เป็นคนเสียสละ ไม่เอาเปรียบผู้อื่น คือใครก็ตามถ้ามีน้ำใจเป็นนักเสียสละ ไม่ตระหนี่ถี่เหนียวรู้จักแบ่งปัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ย่อมเป็นที่รัก ที่เคารพนับถือของคนทั้งหลายโดยทั่วไป เพราะการให้ย่อมผูกไมตรีไว้ได้ และผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของคนทั้งหลาย การเป็นคนเสียสละหรือนักเสียสละในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการเสียสละเงินทอง หรือวัตถุสิ่งของเท่านั้น หากแต่หมายถึง การเสียสละกำลังกาย เสียสละกำลังสติปัญญาช่วยเหลือกิจการของผู้อื่นหรือสาธารณกุศลโดยส่วนรวมหรือแม้แต่ชีวิตก็สละได้ เมื่อมาคำนึงถึงความยุติธรรมและความถูกต้อง แต่ไม่ใช่เป็นการฆ่าตัวเอง ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แปลความว่า
นรชนพึงสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ
พึงสละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต
เมื่อระลึกถึงธรรม พึงสละทุกอย่าง
คือ ทั้งทรัพย์ อวัยวะ และชีวิต
นอกจากเสียสละแล้ว คนที่น่ารักต้องไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่นด้วย คือไม่เห็นแก่ได้ หรือความสะดวกสบายส่วนตนแต่ฝ่ายเดียว ให้ความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย แต่คนที่มีลักษณะขี้เหนียว ไม่เห็นใจเพื่อนมนุษย์หรือแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน เป็นคนเห็นแก่ตัว และเอารัดเอาเปรียบก็ย่อมเป็นที่เกลียดชัง

• เป็นคนกตัญญูกตเวที คือใครก็ตามถ้าเป็นคนมีความกตัญญูกตเวทีต่อท่านผู้มีพระคุณแก่ตนมาก่อน คนนั้นจัดเป็นคนดี เป็นคนที่น่ารักและน่าเคารพนับถือ ยกย่อง จากคนทั้งหลาย เพราะเป็นการแสดงถึงพื้นฐานจิตใจของคนดี ดังคำพระบาลีที่ว่า ภูมิ เว สาธุรูปานํ กตญฺญกตเวทิตา (ความกตัญญูกตเวทีเป็นพื้นใจของคนดี) กตัญญูกตเวทีนี้ แยกเป็น ๒ ศัพท์ คือ กตัญญู ศัพท์หนึ่งและ กตเวที ศัพท์หนึ่ง กตัญญู หมายถึง ผู้รู้อุปการคุณที่คนอื่นได้เคยทำแก่ตนมา เช่น เคยเลี้ยงดูและเคยช่วยเหลือตนมา เป็นต้น แม้ยังไม่ได้ตอบแทน แต่ถ้ารู้ถึงบุญคุณที่คนอื่นเคยกระทำแก่ตนมา ก็จัดเป็นคนกตัญญูแล้ว ส่วน กตเวทีนั้น หมายถึง คนที่ได้ตอบแทนอุปการคุณที่เขาได้เคยทำแก่ตนมาแล้ว เช่น ได้ตอบแทนอุปการะเลี้ยงดูพ่อแม่ของตน หรือต่อคนที่เคยช่วยเหลือตนเป็นต้น คนที่รู้บุญคุณที่ผู้อื่นเคยทำมาแล้วแก่ตน และได้ตอบแทนเช่นนี้ จัดเป็นคนกตัญญูกตเวที ย่อมเป็นที่รักใคร่ของคนทั้งหลายที่พบเห็น และย่อมมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตได้มาก เช่น คนที่เลี้ยงดูพ่อแม่ของตนเป็นต้น ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มาตาปิตุอุปฏฐานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตนํ แปลว่า การเลี้ยงดูมารดาบิดาเป็นมงคลอย่างสูงสุดของชีวิต คือใครก็ตาม ถ้าได้เลี้ยงดูมารดาบิดาของตน จะมีความเจริญรุ่งเรืองมาก ไม่ตกอับ ถ้าจะตกอับบ้างก็ด้วยอำนาจกรรมชั่วในปางก่อนติดตามมา แต่ต้องเจริญรุ่งเรืองในที่สุด เพราะได้บุญมากอันเกิดจากการเลี้ยงดูมารดาบิดาของตนนั่นแล ข้อนี้พิสูจน์ดูก็ได้คือถ้าผู้ใดยังมีพ่อแม่ ทั้ง ๒ ยังมีชีวิตอยู่ หรือยังอยู่คนใดคนหนึ่ง โดยเราเอาเสื้อผ้า อาหาร หรือเงินทองไปมอบให้แก่ท่าน หรือได้เลี้ยงดูท่านด้วยความจริงใจในอุปการคุณของท่าน ผู้นั้นจะได้ลาภ ยศ หรือความรุ่งเรืองในชีวิตเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บางทีภายในเดือนหนึ่ง หรือ ๒-๓ เดือนเท่านั้น ถ้าผู้นั้นมีลูกหลาน ๆ ก็จะเลี้ยงเขาตอบ แต่ในทางตรงกันข้าม ผู้ใดเป็นคนอกตัญญูอกตเวที ไม่รู้คุณท่านผู้มีพระคุณแก่ตนและไม่คิดตอบแทน เช่นไม่เลี้ยงดูมารดาบิดาของตน และซ้ำร้ายกลับด่าว่าทุบตี และเหยียดหยามมารดาบิดาของตน และปล่อยให้ท่านถึงความลำบากเมื่อท่านป่วยไข้เข้าสู่วัยชรา คนเช่นนี้จะไม่มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตได้เลย จะมีแต่ตกต่ำฝ่ายเดียว ถ้าจะเจริญบ้างก็ด้วยอำนาจกรรมดีในปางก่อนดลบันดาลมา แต่ก็ต้องเสื่อมไปในที่สุด เพราะบาปมาก อันเกิดจากการประพฤติผิดต่อมารดาบิดาของตน ถ้าเขามีลูกหลาน ๆ ก็จะประพฤติต่อเขาเหมือนอย่างที่เขาเคยประพฤติต่อพ่อแม่ของตน ด้วยเหตุนี้ คนไทยส่วนใหญ่ไม่ว่าจะยากจนหรือร่ำรวยจะไม่ทอดทิ้งพ่อแม่ของเรา ฉะนั้นคนแก่เฒ่าในชาติของเราจึงได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากลูกหลานของตน มากกว่าคนแก่ในโลกตะวันตกซึ่งมักจะถูกทอดทิ้ง ความกตัญญูกตเวทีจึงมีผลอย่างมากต่อครอบครัว และสังคมไทยโดยส่วนรวม ฉะนั้น ความกตัญญูกตเวที จึงเป็นลักษณะของคนที่น่ารักและเป็นประโยชน์เกื้อกูลต่อสังคมโดยส่วนรวม

• เป็นคนไม่มีนิสัยริษยา เสียดสีผู้อื่น คือใครก็ตาม ถ้าเป็นคนมีนิสัยริษยาผู้อื่น เห็นใครเขาได้ดีทนอยู่ไม่ได้ รู้สึกเร่าร้อนใจ ไม่สบายใจ ในความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าของผู้อื่น และพยายามกลั่นแกล้งกีดกันต่อผู้ที่ดีเหนือกว่าตน ไม่อยากให้เขาได้ดีเหนือตน เช่น เห็นเขาสบายกว่าตน เขารวยกว่าตน เขามีทรัพย์สมบัติแลเกียรติยศชื่อเสียงเหนือกว่าตน หรือไม่อยากให้เขาดีเสมอตน ก็มีความเร่าร้อนใจ ที่เรียกว่าอิจฉาตาร้อน ต้องการให้ผู้นั้นเสื่อมไป หรือไม่ได้รับสิ่งที่ดีนั้นเหนือตนหรือเหนือกว่าดีกว่าคนที่ตนรักใคร่นับถือ คนเช่นนี้ย่อมมีใจต่ำ และจิตใจที่ร้อนผ่าวเมื่อเห็นคนอื่นเขาได้ดี เป็นคนขาดมุทิตา คือการพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นเขาได้ดีแท้ที่จริง ความริษยาเป็นพิษต่อจิตใจของผู้ริษยาเอง คือทำให้ใจเร่าร้อน ไม่สงบสุข แม้คนที่ถูกริษยาเขาจะทุกข์หรือไม่ก็ตาม แต่คนที่ริษยาก็มีความเดือดร้อนแล้ว เพราะสร้างไฟริษยาขึ้นเผาใจตนเอง บางคนไม่ใช่มีนิสัยริษยาอย่างเดียวแต่ยังมีนิสัยเสียดสีผู้อื่นอีกด้วย คือกระทำหรือพูดกระทบกระแทกให้คนอื่นเขาเจ็บใจ เพราะเขาทนในความสุขความเจริญของผู้อื่นไม่ได้ คนเช่นนี้นอกจากตนเองจะเดือดร้อนแล้ว ก็ยังทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วย และเป็นที่เกลียดชังของคนที่มีใจเป็นธรรมทั้งหลาย แต่คนใดที่มีนิสัยไม่ริษยาเสียดสีผู้อื่น และพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นเขาได้ดี เช่นเห็นเขาสวย เขารวย เขามียศตำแหน่งฐานะดี ก็แสดงความยินดีต่อผู้นั้นด้วยจริงใจ เหมือนอย่างพ่อแม่เห็นความเจริญรุ่งเรืองของลูก ก็รู้สึกปลื้มใจยินดีอย่างเหลือล้น และด้วยความบริสุทธิ์ใจ คนเช่นนี้ย่อมได้รับความสุขใจ และเป็นที่รักใคร่ยกย่องของคนทั้งหลายเพราะเป็นผู้มีใจสูงประกอบด้วยคุณธรรม ฉะนั้น การเป็นคนไม่มีนิสัยริษยาเสียดสีผู้อื่น จึงนับว่าเป็นลักษณะของคนที่น่ารักประการหนึ่ง

• เป็นคนมีนิสัยสุขุม รอบคอบ ไม่ยกตนข่มท่าน คือใครก็ตามไม่ว่าจะทำงาน จะลุก จะเดิน จะเจรจาปราศรัย ก็ทำด้วยความนิ่มนวล สุขุมรอบคอบ มีนิสัยเรียบร้อย สำรวม ละมุนละม่อม ไม่โฉ่งฉาง มีกิริยามรรยาทน่าเลื่อมใส น่ารัก น่าเอ็นดู ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็น่าเคารพนับถือ น่าบูชา และทำงานด้วยความเรียบร้อยไม่ประมาท ไม่ทำให้เกิดความเสียหาย ผลงานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เป็นที่พอใจของผู้พบเห็น ทั้งเป็นคนไม่อวดดื้อถือดี ไม่ยกตนข่มท่าน ให้เกียรติแก่คนทั้งหลาย คนเช่นนี้ย่อมเป็นที่เคารพ รักใคร่ นับถือ ยกย่อง ของคนทั่วไป ทั้งได้รับความไว้วางใจให้ทำงานที่ต้องไว้วางใจสูง ที่มีเกียรติ หรือตำแหน่งสูง เพราะมีลักษณะนิสัยเป็นที่ประทับใจของคนทั่วไป แต่ในทางตรงกันข้าม หากว่าผู้ใดมีนิสัยขาดความสุขุมรอบคอบ ไร้มารยาท ทำงานด้วยความประมาทเลินเล่อ ทำให้การงานเสียหาย และมีนิสัยกดขี่ข่มเหงผู้อื่น ยกตนและพวกพ้องของตนว่าดีแต่ผู้เดียว แต่ข่มผู้อื่น แม้เขาจะดีก็พูดไม่ให้กำลังใจ คนเช่นนี้ไม่ค่อยมีใครอยากคบค้าสมาคม ไม่มีใครพอใจให้ทำงานหรือทำงานด้วยฉะนั้น คนดีทั้งหลายจึงพยายามหลีกเลี่ยงนิสัยที่ตรงกันข้ามนี้เสีย แล้วพยายามฝึกอบรมนิสัยของตนเอง ให้สุขุมรอบคอบ ไม่ยกตนข่มท่าน เพราะย่อมเป็นไปเพื่อความน่ารัก อันมีผลสะท้อนเป็นความสุขความเจริญทั้งแต่ตนเองและสังคมโดยส่วนรวม
ท่านสาธุชนทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะเห็นได้แล้วว่าคนที่มีลักษณะนิสัยน่ารักนั้น ย่อมเป็นที่รักของคนทั้งหลาย นำความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองมาแก่ตนและสังคมส่วนรวมได้อย่างไร ส่วนคนที่มีลักษณะนิสัยตรงกันข้าม ย่อมเป็นที่เกลียดชังของคนทั้งหลาย และนำความเสื่อมมาสู่ตนและโดยส่วนรวมอย่างไร เมื่อทราบชัดเช่นนี้ก็พึงฝึกอบรมตนให้มีลักษณะที่น่ารัก ๙ ประการ ไม่เป็นคนอวดดี ไม่พูดมากจนเขาเบื่อ เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว พูดจาอ่อนหวาน เป็นคนเสียสละ ไม่เอาเปรียบผู้อื่น เป็นคนกตัญญูกตเวที เป็นคนไม่มีนิสัยริษยาเสียดสีผู้อื่น และเป็นคนมีนิสัยสุขุม รอบคอบ ไม่ยกตนข่มท่าน ก็จะเป็นที่รักใคร่ชอบใจของคนทั้งหลาย ซึ่งย่อมเป็นไปเพื่อความสุขความเจริญทั้งแก่ตนเองและสังคมโดยส่วนรวม ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา ในที่สุดนี้ ขออำนวยพรให้ท่านสาธุชนทุกท่าน จงประสบแต่ความสุขความเจริญ เป็นที่รักใคร่เคารพ นับถือ ของคนทั้งหลายด้วยการสร้างลักษณะของคนที่น่ารัก ๙ ประการดังกล่าวมาแล้วโดยทั่วกันเทอญ ขอเจริญพร ...


ทีมา www.kallayanatham.com

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

90
เกิดในตระกูลสูง – หมวดคุณสมบัติ

ชักชวนคนทำความดี


อ่อนน้อมถ่อมตน


เกิดในตระกูลสูง


มีมุทิตาจิต


บูชาบุคคลที่ควรบูชา



แผนผังแสดงกรรมที่ส่งผลให้เกิดในตระกูลสูง มียศ

วิบาก

รายละเอียด

 
1. เกิดในตระกูลสูง

 1. อดีตชาติ มีบุญสงเคราะห์โลก
2. อดีตชาติ อ่อนน้อมถ่อมตนต่อพระรัตนตรัย
3. อดีตชาติ ทำบุญในพระพุทธศาสนาด้วยความเคารพ
4. อดีตชาติ ชักชวนคนทำบุญมามาก
 
2.เป็นผู้นำ มีตำแหน่งสูง

 1. อดีตชาติ + ปัจจุบัน สงเคราะห์โลก / หมู่ญาติ
2. อดีตชาติ + ปัจจุบัน ชวนคนทำความดี
3.อดีตชาติ ถวายที่สร้างวัด
4.อดีตชาติ เลี้ยงดูบริวาร
5.อดีตชาติ มีกำลังทานบารมี
6. อดีตชาติ มีมุทิตาจิต
7. อดีตชาติ อ่อนน้อมถ่อมตน บูชาบุคคลที่ควรบูชา
 
3.เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี 1. อดี ตชาติ ชอบช่วยเหลืองานเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินและช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ 
4.เป็นที่รักเคารพ ได้รับการยกย่อง

 1. อดีตชาติ อ่อนน้อมถ่อมตน
2. อดีตชาติ มีสังคหวัตถุ 4
3. อดีตชาติ ชักชวนคนทำความดี
4. อดีตชาติ + ปัจจุบัน สงเคราะห์โลก หมู่ญาติ สนับสนุนการศึกษา
5. อดีตชาติ ทำบุญแล้วอธิษฐานขอให้มีชื่อเสียง
 


เกิดในตระกูลสูง มียศ


ประกอบด้วย เป็นผู้นำ มียศตำแหน่งสูง เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เป็นที่รักเคารพ ได้รับการยกย่อง



สรุปกรรมที่ทำให้เกิดในตระกูลสูง มียศ


1. อ่อนน้อมถ่อมตน บูชาบุคคลที่ควรบูชา


2. ทำทานด้วยความเคารพ 3. มีมุทิตาจิต 4. สงเคราะห์โลก และหมู่ญาติ
5. ชักชวนคนทำความดี

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลกับภาพดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

91
วันพุธที่   ๘    ธันวาคม  ๒๕๕๓  ขึ้น ๒   ค่ำ เดือน ๑  ปีขาล  ตั้งแต่เวลา oo.oo-o๖.๓o น.(มหัทโนฤกษ์)
วันพุธที่   ๘    ธันวาคม  ๒๕๕๓  ขึ้น ๒   ค่ำ เดือน ๑  ปีขาล  ตั้งแต่เวลา ๒o.๓๕-๒๔.oo น.(โจโรฤกษ์)


สวัสดีชาวเว็บวัดบางพระทุกท่าน วันหยุดหลายวันที่ผ่านมา หลายๆท่านคงมีโอกาสได้เดินทางไปวัดบางพระ เช่นเดียวกับโยมเพชร
แต่โยมเพชรได้ไปวัดบางพระวันที่ 4 ธค.53 ว่างวันเดียวจริงๆ ก็เลยอยู่รับใช้พระอาจารย์นานหน่อย(กลับถึงบ้านตี4 :004:)
ไปถึงช่วงบ่ายแก่ๆวันนี้คนไม่พลุกพล่านเพราะ รอมาวันหยุดทีเดียวเลย มาถึงผมก็ทำความสะอาดกุฏิสัก ให้อาหารสุนัข แล้วทำความสะอาดอีกที ถึงคิวได้สัก หลวงพี่บอกให้นอนตะแคง คิดในใจ โดนชายโครงอีกแล้วหรือนี่  :002: แต่ของดีนี่ครับ ต้องทนได้ วันนี้ได้รับเมตตา
เป็นยันต์ธง
พุทธคุณ >>(เจริญรุ่งเรือง..แคล้วคลาด..ยิงไม่ออก..ถึงยิงออกก็บ่โดนอ้าย)  ..อ้างจาก:Ronaldo 2007..(ขอบคุณครับ)
ยันต์ธงนี้เท่าที่ผมสังเกตุดูหลวงพี่แป๊วท่านลงให้ที่ชายโครงซ้ายและขวากับศิษย์ทุกคน บางท่าน บอกอีกว่า เป็นเครื่องหมายบอกถึง
การสักด้านหลังได้จบลงแล้ว ครั้งต่อไป เป็นการสักลงแขน หรือ ด้านหน้า เพื่อมาบรรจบกันที่ยันต์ธงนี้ กุฏิหลวงพี่แป๊ว เป็นไปตามตำราหน้าเสือ
ไปเรื่อยๆ ลงเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน ใครรอได้ก็รอ ใครรอไม่ได้อยากเต็มไวๆ ก็เวียนหลายๆกุฏิ  :002:

ยันต์ธงชายโครงด้านขวาของโยมเพชร ความเจ็บระดับ 7/10 เล็กก็จริงแต่เจ็บลึกครับ
เป็นการสักแบบไม่มีบล็อกนะครับ ออกแนวคลาสสิค จินตนาการ เชิญติชมครับ




เกร็ดความรู้เพิ่มเติม(สำหรับท่านที่ไม่รู้)
นานมาแล้วก่อนที่จะไปสักวัดบางพระ หรือ หลังจากสักมาแล้ว ผมได้พยายามศึกษาค้นคว้า เกี่ยวกับการสักสายวัดบางพระ
ตาม cd ประวัติหลวงพ่อเปิ่น cd ไหว้ครู รวมไปถึงหนังสือ ที่เกี่ยวกับหลวงพ่อเปิ่น หนังสือ รวมการสักและมีของวัดบางพระอยู่ด้วย
การสักสายวัดบางพระ ตั้งแต่โบราณมา ยึดถือกันว่า หากด้านหลังยังไม่เต็ม ก็จะยังไม่สักด้านหน้า นี่คือตำราวัดบางพระ
แต่ยุคสมัยเปลี่ยนไป ก็อาจทำให้อะไรหลายๆอย่างเปลี่ยนตาม บ้างอยากได้ยันต์เสือครู แล้วก็พอเลย ก็อาจจะมีการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ
และ ทุกกุฏิก็มีรูปแบบการสักแตกต่างกันไป เพราะหลวงพี่ทุกรูป ก็มียันต์ครู ของท่านเอง บางครั้งอาจจะลงให้ก่อนยันต์9ยอด
และ กุฏิหลวงพี่แป๊วทำไมถึงมีแต่ยันต์หัวใจต่างๆ ไม่ค่อยมีรูป เหมือนกุฏิอื่น เพราะท่านไม่อยากให้ร้อนรุ่ม ก็เลยสักยันต์สายเย็นให้
และในช่วงวันสำคัญ ทุกท่านจะได้ยันต์เดียวกันหมด ยกเว้นท่านที่ได้แล้ว ยกตัวอย่างเช่น วันพ่อ วันแม่ แจกยันต์พ่อแม่ ที่ไหล่ซ้าย ขวา  สาธุ


แหม๋ ดูฤกษ์ด้วยนะ สงสัยคงจะขลังน่าดูเลย  :050:

92
ครับ ผมท่านพี่.
 
แล้วที่เค้า จับที่ใบหู มีความหมายว่าอย่างไรครับ.
ไม่ได้จับอย่างเดียวครับ เขาดึงด้วย ดึงแล้วเรียกให้ได้สติเพราะ ตอนของขึ้นส่วนมากจะไม่มีสติครับ พอดึงหูแล้วเรียก สติจะกลับมาครับ ผมก็รู้เท่านี่แหละครับ

93
การระมัดระวังคำพูดดีกว่าการที่จะไม่พูดกับใครเลย


ถาม : การไม่ทำวจีทุจริตในการปฏิบัติธรรม แล้วไม่พูดกับใครเลยแม้แต่คำเดียว เป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืนโดยตั้งใจ กับการระวังคำพูด อย่างไหนน่าจะเหมาะสมในการปฏิบัติ ?

ตอบ : ระมัดระวังคำพูดเหมาะสมกว่า อันนี้ต้อง หลวงปู่บุดดา คนไปถามจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มหาศีลนี่อุกฤษฎ์หน่อย ลักษณะที่ว่า ถ้าจะไม่โกหก ก็คืออย่าพูดเลย เขาก็เลยมีการอธิษฐานไม่พูดกัน คนก็ไปถามหลวงปู่บุดดาว่า “หลวงปู่เจ้าขา ทำแบบนี้ดีไหมคะ ?” หลวงปู่บอกว่า “คนไม่พูดมันคิดไหมเล่า” ตกลงมันคิดมากกว่าแกอีก ดีไม่ดีมันด่าในใจ มากกว่าให้มันด่าออกมาดังๆ อีก

เพราะฉะนั้น...การที่เราระมัดระวังคำพูด มีสติอยู่ พูดแต่สิ่งที่ไม่เพ้อเจ้อ ไม่ส่อเสียด ไม่หยาบคาย ไม่โกหก ย่อมดีกว่าที่จะไปอุดปากตัวเองเอาไว้ เดี๋ยวอกจะระเบิดตาย



สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


ที่มา : http://www.grathonbook.net/book/80.3.html

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

94
ขอให้ทุกคนในที่นี้ มีแต่ความสุข แคล้วคลาด จากอันตรายทั้งปวง มีแฟนสวยๆ  และ บารมี หลวงพ่อคุ้มครองด้วยครับ :005:

95
เรื่องของ"พ่อ-ลูก" ซึ้งมากมาก


"พ่อ ลูก"

มีพ่อลูกคู่หนึ่งกำลังจะข้ามสะพาน
คุณพ่อค่อนข้างกลัวเล็กๆ เลยบอกลูกสาวตัวน้อยของเขาว่า
ลูกรักจ๊ะ จับมือพ่อไว้สิ หนูจะได้ไม่ตกลงไปในแม่น้ำ
เด็กน้อยกล่าวว่า 'ไม่ค่ะพ่อ พ่อน่ะแหละจับมือหนู'
'มันต่างกันยังไงจ๊ะลูก' พ่อถามด้วยความสงสัย
'มันต่างกันมากเลยค่ะพ่อ' เด็กน้อยกล่าว
'ถ้าหนูจับมือพ่อ แล้วมีอะไรเกิดขึ้นกับหนู
มันมีโอกาสที่หนูจะปล่อยมือพ่อ
แต่ถ้าพ่อจับมือหนู หนูรู้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
พ่อไม่มีวันปล่อยมือหนูแน่นอน'


*****
ที่มา : http://www.innovaclub.net

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

96
ธรรมะ / บันได...สู่นิพพาน
« เมื่อ: 06 ธ.ค. 2553, 10:45:21 »
บันได...สู่นิพพาน

หนังสือบันได...สู่นิพพาน
โดย...ท่านเขมรังสี ภิกขุ


อ่านสารบัญ :: http://www.kallayanatham.com/book/BandisuNippan.p.1-7.pdf
เนื้อเรื่อง :: http://www.kallayanatham.com/book/BandisuNippan.p.8-96.pdf

ที่มา : ชมรมกัลยาณธรรม
www.kanllayanatham.com

ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกท่านค่ะ

นายธรรมะ
ขอบคุณข้อมูล จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

97
มาสร้างบุญบารมีกันเถอะ

1.นั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ15นาที(หรือเดินจงกรมก็ได้)
อานิสงส์---เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า
เพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย
จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล

2.สวดมนต์ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน
อานิสงส์---เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
ชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า
เงินทองไหลมาเทมา แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา,พระคาถาชินบัญชร,
พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้น เมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง

3.ถวายยารักษาโรคให้วัด,ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์
อานิสงส์---ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา สุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้และภพหน้า ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา

4.ทำบุญตักบาตรทุกเช้า
อานิสงส์---ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหาร ตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์

5.ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆเกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน
อานิสงส์---เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาถยศ สรรเสริญ ปัญญา และบุญบารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน

6.สร้างพระถวายวัด
อานิสงส์---ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง ครอบครัวเป็นสุขได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาตลอดไป

7.แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพรามณ์หรือบวชพระอย่างน้อย9วันขึ้นไป
อานิสงส์---ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่ ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร สร้างปัจจัยไปสู่นิพพานในภพต่อๆไป ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาจิตเป็นกุศล

8.บริจาคเลือดหรือร่างกาย
อานิสงส์---ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง ช่วยต่ออายุ
ต่อไปจะมีผู้คอยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก เทพยดาปกปักรักษา
ได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง

9.ปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ
อานิสงส์---ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต
ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้น
หน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆฟื้นคืนสภาพที่สดใส เป็นอิสระ

10.ให้ทุนการศึกษา,บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ,อาสาสอนหนังสือ
อานิสงส์---ทำให้มีสติปัญญาดี ในภพต่อๆไปจะฉลาดเฉลียวมีปัญญา
ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม

11.ให้เงินขอทาน,ให้เงินคนที่เดือดร้อน(ไม่ใช่การให้ยืม)
อานิสงส์---ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยาก เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลง จะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน

12.รักษาศีล5หรือศีล8
อานิสงส์---ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตเจริญรุ่งเรือง กรรมเวรจะไม่ถ่าโถม ภัยอันตรายไม่ย่างกราย เทวดานางฟ้าปกปักรักษา

ที่มา : www.kallayanatham.com
นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

98
การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก


สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่ ณ วัดพระเชตวัน มีอุบาสก 5 คนเป็นเพื่อนกัน มานั่งฟังธรรม
ทั้ง 5 คนต่างมีกิริยาอาการต่างๆ กัน

คนหนึ่งนั่งหลับ
คนหนึ่งนั่งเอานิ้วเขียนพื้นดินเล่น
คนหนึ่งนั่งเขย่าต้นไม้
คนหนึ่งนั่งแหงนดูท้องฟ้า
มีเพียงคนเดียวที่นังฟังธรรมด้วยอาการสงบ

พระอานนท์กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า "ทำไมอุบาสกเหล่านี้จึงแสดงกิริยาเช่นนั้น"
พระพุทธเจ้าจึงทรงเล่าอดีตชาติของอุบาสกแต่ละคนว่า

อุบาสกที่นั่งหลับ
เคยเกิดเป็นงูมาแล้วหลายร้อยชาติ เขาหลับมาหลายร้อยชาติแล้วก็ยังไม่อิ่ม
แม้แต่ฟังเทศน์พระพุทธเจ้า ธรรมะก็ไม่เข้าหู ยังหลับอยู่อย่างนั้น

อุบาสกที่นั่งเอานิ้วเขียนพื้นดิน
เคยเกิดเป็นไส้เดือนมาหลายร้อยชาติ นั่งเอานิ้วเขียนบนพื้นดินเล่นอยู่อย่างนั้น
ด้วยอำนาจความประพฤติที่ตัวเคยทำมา ก็ไม่ได้ยินธรรมะของพระพุทธเจ้าเช่นกัน

อุบาสกที่นั่งเขย่าต้นไม้อยู่นั้น
เกิดเป็นลิงมาแล้วหลายร้อยชาติ ถึงบัดนี้ก็ยังเขย่าต้นไม้อยู่
ไม่ได้ยินธรรมะของพระพุทธเจ้าเช่นกัน

อุบาสกที่นังแหงนดูท้องฟ้านั้น
เคยเกิดเป็นพราหมณ์บอกฤกษ์ด้วยการดูดาวมาหลายร้อยชาติ
ถึงบัดนี้ก็ยังคงนั่งดูท้องฟ้าอยู่ ไม่ได้ยินธรรมะของพระพุทธเจ้า

อุบาสกที่นั่งฟังธรรมอย่างสงบด้วยความเคารพ
เคยเกิดเป็นพราหมณ์ศึกษาธรรมะและปรัชญา ค้นคว้าหาความจริงมาหลายร้อยชาติ
มาบัดนี้ได้พบพระพุทธเจ้า ตั้งใจฟังธรรมด้วยดี จนได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะนึกสงสัยว่า ชาติก่อนเราเกิดเป็นอะไรหนอ


พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องยาก ต้องมีบุญมาก
อุปมาเหมือนเต่าตาบอดตัวหนึ่งดำน้ำอยู่ในทะเล ทุกๆ 100 ปี เต่าตาบอด
ตัวนั้นจะโผล่หัวขึ้นมาจากทะเลครั้งหนึ่ง ในทะเลมีห่วงเล็กๆ ขนาดใหญ่กว่า
หัวเต่าหน่อยหนึ่งลอยอยู่ 1 ห่วง โอกาสที่เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่ขึ้นมา
แล้วหัวสวมเข้ากับห่วงพอดียากเพียงใด โอกาสนั้นก็ยังมีมากกว่า การที่
เหล่าสรรพสัตว์จะได้มาเกิดเป็นมนุษย์

ในฐานะมนุษย์ ไม่มากก็น้อยที่ใจของเราได้มีประสบการณ์ในภพชาติอื่นๆ
ทั้งที่ต่ำกว่าและสูงกว่าภพมนุษย์ เรามีปัญญาที่จะรู้ได้จากประสบการณ์
ของเราแล้วว่าอะไรดี อะไรไม่ดี

การเกิดเป็นมนุษย์ถ้าดีก็ดีได้มากๆ แต่ก็น่ากลัวเหมือนกัน เพราะถ้าประมาท
ก็ทำชั่วได้มาก ถ้าไม่ประมาท รักษาศีล 5 ทำความดี สร้างบารมี ตั้งใจ
พัฒนาชีวิตจิตใจแล้วก็สามารถมีประสบการณ์สูงขึ้น เป็นเทวดา พรหม
ตลอดจนเข้าถึงอริยมรรค อริยผล บรรลุนิพพานได้ มนุษย์จึงเป็นชาติที่มีทางเลือก


พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
เป็นการยากที่ได้เกิดเป็นมนุษย์
เป็นการยากที่ชีวิตสัตว์จะได้อยู่สบาย
เป็นการยากที่จะได้ฟังธรรมของสัตบุรุษ
เป็นการยากที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติมา

เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว เราจึงควรเห็นคุณค่าของการเกิดเป็นมนุษย์ อย่าให้เสียโอกาส
เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เอาใจใส่รักษาความเป็นมนุษย์ไว้ให้มั่นคง

ดังนั้นสำหรับการเกิดเป็นมนุษย์ในชาติหนึ่ง การเลือกทางดำเนินชีวิตของเรา
จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

จากหนังสือ เราเกิดมาทำไม โดย อ.มิตซูโอะ คเวสโก

ที่มา ก า ร เ กิ ด เ ป็ น ม นุ ษ ย์ เ ป็ น ข อ ง ย า ก

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

99
ในหลวง.....ดวงใจของคนทั้งชาติ


ผมเชื่ออย่างสุจริตใจว่า คนในผืนแผ่นดินไทยนี้ รักและเคารพในหลวง อย่างบริสุทธิ์ใจกันแทบทุกคน

เพราะ ในหลวง หรือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นั้น พระองค์ทรงรัก พวกเราก่อนด้วยความบริสุทธิ์พระราชหฤทัย

ทรงรักและเป็นห่วงพวกเราๆ ท่านๆ ซึ่งเป็นพสกนิกรของพระองค์ท่าน อย่างพ่อรักลูก


ถ้าคุณเจ็บไข้ป่วย อยู่ในถิ่นที่ห่างไกล การคมนาคมไม่สะดวก จะไปไหนมาไหนก็ไม่ได้สะดวก เต็มไปด้วยความทุรกันดาร อาจจะต้องขึ้นเขาลงห้วย หรือเดินกันเป็นวันๆ

จะมีใครมาช่วยเหลือคุณ จะมีใครเดินทางมาหาคุณ ถ้าการไปมาหาสู่นั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก หรือเต็มไปด้วยอุปสรรคต่างๆ

คนที่จะมาหาคุณได้นั้น ต้องเป็นคนที่ รัก คุณจริงๆ ต้องมีความห่วงใย ในความทุกข์ยากของคุณจริงๆ

จะมีก็แต่พ่อแม่เท่านั้นที่ความรักและห่วงใยคุณ อย่างที่ไม่ต้องการอะไรมาตอบแทน เป็นความรักและความห่วงใยที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ

'ในหลวง' ก็ทรงเป็นเช่นนั้น

ทรงเป็นพ่อที่ห่วงใยลูกๆ ของพระองค์ท่าน

แม้ว่าลูกของพระองค์ท่านจะมีมากมายถึง 60 กว่าล้านคน

แต่ก็ไม่เคยทำให้ลูกๆ ทั้ง 60 กว่าล้านคนรู้สึกเลยว่า พ่อของพวกเขาเหล่านี้ทอดทิ้งพวกเขา

เพราะเมื่อใดๆ ที่ลูกๆ กำลังมีความทุกข์ พ่อของพวกเขาก็จะเป็น 'กำลังใจ' ให้ตลอด

ด้วยการ 'ปฏิบัติ' ให้พวกลูกๆ เห็นว่ายังคงทรงห่วงใยพวกเขาเหล่านั้นอย่างจริงจัง

ไม่ว่าจะเป็นข่าวเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียน ปลอบขวัญ ให้กำลังใจ หรือพระราชทานสิ่งของ เงินทอง ให้ผู้ที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก หรือผู้ที่กำลังถูกธรรมชาติและสังคมรังแก


บางครั้งก็ทรงให้กำลังใจและข้อคิด ด้วยพระราชกระแส ด้วยพระราชดำริ เป็นคำแนะนำที่มนุษย์ธรรมดาสามัญทำได้ ไม่ได้เป็นเรื่องยากเย็น ไม่ได้เกินกำลังความสามารถของคนธรรมดาสามัญที่สามารถทำได้

บางเรื่อง บางคำแนะนำที่พระราชทานให้นั้น เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แต่คนอื่นมองข้ามไป อาจจะด้วยเพราะความที่อวดตัวว่าเรียนมามาก มีความรู้สูง เรียนสูง จบมาจากต่างประเทศ หรือไม่ได้ใส่ใจความเป็นอยู่ที่อยู่รอบข้างตัวเอง...ด้วยความเป็นจริง

แต่ 'ในหลวง ทรงเห็น

ผมเชื่อโดยสุจริตใจว่า ไม่มีทุกข์ยากใดๆ ในแผ่นดินไทยนี้ที่พระองค์ไม่ทรงทราบ

พระองค์ทรงมีหูตาอยู่ทั่วไป

หูและตาที่ว่านี้ ก็คือข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ที่คอยถวายรายงานให้ทรงทราบ รวมทั้งประชาชนที่มีความจงรักภักดีในพระองค์ท่าน อย่างบริสุทธิ์ใจ


เมื่อทรงทราบแล้ว ไม่เคยไม่มีสักครั้งที่ทรงอยู่เฉย ทรงให้ 'ความช่วยเหลือ' อย่างเร่งด่วน และตรงจุด

บางครั้งบางคราว ใครจะไปรู้ได้ว่า ความทุกข์ยากที่กำลังได้รับอยู่นั้น ถูกแบ่งเบาและได้รับความช่วยเหลืออย่างปัจจุบันทัน อย่างฉุกเฉิน ก็เพราะเป็นความช่วยเหลือจาก 'ในหลวง'


แต่จะเป็นไปในรูปแบบใดนั้น เป็นอีกกรณีหนึ่ง
ยังมีอีกหลายเรื่องหลายกรณีที่เราๆ ท่านๆ ไม่รู้หรอกว่า มีสิ่งของ ความช่วยเหลือ และคำแนะนำ การแก้ไข ที่มาโดยตรงจาก 'ในหลวง'

'ในหลวง' ไม่ได้ทรงทำให้คนรู้ แต่ทรงทำให้คนหายทุกข์ในเวลาที่ทุกข์


ข่าวคราวที่ปรากฏทางหน้าหนังสือพิมพ์ หรือทาง 'ข่าวในพระราชสำนัก' ในโทรทัศน์นั้น เป็นแค่เพียง 1 ใน 1,000,000 หรือมากกว่านั้น ถ้าเทียบกับพระราชกรณียกิจที่พระองค์ท่านทรงทำ

เมื่อใดที่น้ำท่วมบ้านเรือนราษฎร ก็เหมือนน้ำท่วมในพระราชหฤทัยในพระองค์ท่าน

เมื่อใดที่เกิดภัยพิบัติ สร้างความทุกข์ให้ราษฎร พระองค์ก็ทรงทุกข์กว่า

จะมีใครล่วงรู้ว่า กว่าที่ความช่วยเหลือของทางการบ้านเมือง (หน่วยงานราชการ) จะไปถึงมือผู้กำลังมีทุกข์ น้ำพระราชหฤทัยของ 'ในหลวง' เดินทางไปแล้ว เดินทางไปถึงมือราษฎรของพระองค์ท่านแล้ว


ข้าวสาร อาหาร ถุงยังชีพ ฯลฯ เดินทางไปในทันที โดยผ่านทางหน่วยงานของพระองค์ท่าน

แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ลูกๆ กว่า 60 ล้านคน 'รัก' พ่อของพวกเขาได้อย่างไร ?

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.......ในหลวง.......พ่อของแผ่นดิน


ที่ผมเกริ่นมาข้างต้นนี้ ก็เพราะอยากจะบอกให้เห็นว่า การที่ใครสักคนหนึ่งห่วงเรา รักเรา ด้วยความบริสุทธิ์ใจนั้น สมควรหรือไม่ที่เราจะตอบแทนความรัก ความห่วงใยนั้น ด้วยการกระทำในสิ่งที่ดีๆ สิ่งที่มีคุณค่า เพื่อเป็นการตอบแทน

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีความรัก ความห่วงใยพวกเราขนาดนี้แล้ว สมควรที่เราๆ ท่านๆ จะต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ ตอบแทนความรักของพระองค์ท่านให้มากที่สุด

แต่ไม่ใช่เป็นการตอบแทนด้วยลมปากเพียงว่า 'รัก'


เรานั้นมักจะทำอะไรไปโดยขาดความไตร่ตรอง หรือทำอะไรไปตามกระแส และบ่อยครั้งทำอะไรไปโดยไม่คำนึงถึง 'คุณค่า' และ 'สาระ' เท่าที่ควร

ขอให้ดูในสิ่งที่ 'ในหลวง' ได้ทรงทำ

ทุกอย่างที่ทรงทำ มี 'สาระ' ตลอด

เวลาที่พระองค์ห่วงลูกหลานราษฎร พระองค์ไม่เพียงรับสั่ง (พูด) แต่พระองค์ทรงทำให้เห็น ให้เป็นเรื่องราว

พระราชทานสิ่งของ สิ่งยังชีพ เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า หรือพระราชทานวิธีการแก้ไขความทุกข์นั้น ทรงหาทางแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นระยะยาว

ผมสังเกตอยู่เสมอว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมี 'วิสัยทัศน์' ในระยะไกล

การแก้ปัญหาของพระองค์ท่านนั้น แก้ทั้งระยะใกล้ คือแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แบบฉุกเฉิน เพื่อให้ความเดือดร้อนที่พสกนิกรได้รับนั้น บรรเทาความเดือดร้อนไปก่อน


คนเดือดร้อนจะเป็นจะตายอยู่แล้ว จะมานั่งรอให้คนมาช่วยเหลือ แล้วไม่มาสักที ไม่ช่วยสักที ไม่ดำเนินการสักที เกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมา แย่งเอาหน้าเอาตา เอาความดีความชอบ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยราชการ มูลนิธิ หน่วยงานการกุศล

แต่ 'ในหลวง' ทรงช่วยเหลือทันที ตามกำลังของพระองค์ท่าน ไม่ว่าจะเป็นทางใดก็ทางหนึ่ง

ทรงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าก่อน เพื่อบรรเทาความทุกข์ยากเหล่านั้น

และบางเรื่องนั้น พระองค์ท่านก็ทรงมองไปในภายภาคหน้า บางเรื่องบางราวก็ทรงมองไปถึง 5 ปี หรือ 10 ปี หรือมากกว่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องที่เป็นต้นเหตุแห่งปัญหาได้เกิดเกิดขึ้น


จำเรื่องน้ำท่วมใหญ่ที่หาดใหญ่ได้มั้ย ?

ทรงเตือนมาตั้งนานเป็น 10 ปี ว่าถ้าทำอย่างนี้น้ำจะท่วม

แต่มีใครปฏิบัติตามมั้ย

ไม่มี !

แล้วสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น ก็เกิดขึ้น เพราะความดื้อรั้น และไม่ทำตามอย่างที่ 'พ่อ' แนะนำ


หรือเรื่อง 'น้ำท่วม' .ซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำ

ในหลวงก็ทรงแก้ปัญหาอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้ฝืนธรรมชาติ

ฝนตกก็เรื่องของฝนตก ห้ามกันไม่ได้

มีใครห้ามฝนตกได้

เมื่อฝนตก น้ำก็มาก มันเป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติ

ฝนมาก น้ำก็ต้องมาก ใครห้ามได้บ้าง

เมื่อมีน้ำมาก น้ำก็ท่วม ท่วมในเมือง หรือในกรุงเทพ ฯ นี่แหละ

ทรงมองว่า น้ำมีมาก เพราะไม่มีที่พักน้ำ น้ำรีบเข้ามามาก เพราะไม่มีที่พักน้ำ น้ำจึงทะลักเข้ามา

การระบายน้ำทำไม่ทัน
โครงการ 'แก้มลิง' จึงเกิดขึ้น

ก็เป็นเรื่องธรรมชาติแท้ๆ

ลิงนั้น เวลาที่เห็นอะไรน่ากิน มันก็จะกิน และกินมากๆ ด้วยความที่มันงก ต้องการเก็บตุนอาหารไว้ให้ได้มากๆ

มันก็ตุนอาหารไว้ที่กระพุ้งแก้ม เพื่อเก็บเอาไว้กินในเวลาต่อมา

แก้มลิง ก็คือการเก็บตุนเอาไว้

เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ

และคนที่เรียนมาสูงๆ อวดภูมิอวดเก่ง มากมายด้วยโครงการร้อยแปดพันเก้า

คิดไม่ออก คิดกันไม่เป็น

ไปนั่งแก้ปัญหาด้วยนั่นด้วยนี่ ด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย หมดเงิน (งบประมาณแผ่นดิน) ไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ และสุดท้ายก็แก้ปัญหาไม่ได้ หรือได้ก็ไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป

แล้วมานั่งอ้างว่า เป็นเพราะกรุงเทพ ฯ เป็นเมืองต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ยังงัยๆ น้ำก็ต้องท่วม คงแก้ไขได้ยาก

ไม่รู้เอาอะไรคิด !

แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแก้ปัญหาธรรมชาติด้วยธรรมชาติ เพราะไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าธรรมชาติ

ธรรมชาติชนะสิ่งทั้งหลายได้อย่างเด็ดขาด และเที่ยงตรง

เพราะฉะนั้น การจะแก้ปัญหาที่เกิดจากธรรมชาติ......ก็ต้องด้วยธรรมชาติเท่านั้น


เมื่อมีน้ำมาก ระบายไม่มัน ก็ต้องมีที่พักน้ำ ไม่ให้ทะลักเข้ามามากเกินไป เมื่อมีที่พักน้ำ น้ำไม่รีบทะลักเข้ามา ถ้าไม่มีฝนตกเพิ่ม น้ำทะเลไม่หนุน น้ำที่พักไว้นั้น ก็ค่อยๆ ระบายไปเรื่อยๆ น้ำที่ท่วมก็จะลดน้อยลง

ก็ที่พักน้ำนี่แหละครับ คือโครงการแก้มลิง

ก็คือการพักน้ำเอาไว้ เหมือนที่ลิงพัก (เก็บตุน) อาหารไว้ที่กระพุงแก้ม

เป็นเรื่องง่ายๆ ที่มาจากธรรมชาติ เอาธรรมชาติแก้ไขธรรมชาติ

พวกที่เรียนมาสูงๆ อายกันบ้างมั้ย ?


ถ้าพูดถึงเรื่องน้ำท่วมนั้น ผมว่า 'ในหลวง' ท่านแนะนำการแก้ปัญหามาเป็นสิบๆ ปีแล้ว

ทรงให้แก้ที่ 'ต้นเหตุ'

ไม่ได้ให้แก้ที่ 'ปลายเหตุ'

พระองค์ไม่ได้ละเลยเรื่องธรรมชาติ

น้ำมาก.....เพราะฝนตก ถึงแม้จะมีน้ำทะเลหนุน แต่น้ำทะเลก็มาจากฝนเป็นเรื่องสำคัญ

เมื่อมีน้ำมาก ก็ต้องป้องกันไม่ให้น้ำมันไหลเข้ามาในบ้านในเมือง หรือในป่าด้วยปริมาณที่มีมาก

ต้องมี 'ตัวหยุด' น้ำ

ตัวหยุดน้ำที่ดีที่สุด ที่ดีกว่าเขื่อน ก็คือ 'ป่าไม้'


ทรงมีพระราชดำรัสเรื่อง 'ป่าไม้' มานาน นานมากเป็นหลายๆ สิบปี

ถ้าเป็นภาษาชาวบ้าน ก็ต้องบอกว่า 'ปากเปียกปากแฉะ'

แต่ถ้าเป็นราชาศัพท์ ไม่รู้ว่าจะเขียนอย่างไร ? กลัวผิด

แต่เป็นอย่างนั้นจริงๆ

พระองค์ทรงบอกแล้วว่า 'ป่าไม้' ป้องกันน้ำท่วมได้

แล้วใครเชื่อพระองค์ท่านบ้าง ?

หรือเชื่อ แต่ก็ไม่ทำตาม

แบบปากว่าตาขยิบ บอกว่าเชื่อที่ 'ในหลวง' พูด แต่ไม่ทำตามที่ 'ในหลวง' บอก

อาจจะเพราะมีเรื่องของผลประโยชน์ยังหูบังตา ยังบังสติปัญญาเอาไว้


ทุกวันนี้ ยังมีการลักลอบ ตัดและทำลายป่าไม้กันไม่เว้นแต่ละวัน

ด้วยสาเหตุเดียว ก็คือ 'เงิน'

พวกรับจ้างนายทุนตัดไม้ทำลายป่า ก็เพราะได้รับ 'ค่าจ้าง' ซึ่งก็คือเงิน

พวกที่เป็นนายทุน ก็ต้องการ 'เงิน' ไม่ว่าจะเป็นการขายไม้ที่ลักลอบตัด หรือผลประโยชน์ต่างๆ ที่มาจากการตัดไม้ทำลายป่า

โลภ กันทั้งนั้น

ยังตัดไม้ทำลายป่ากันอยู่

ถ้าไปถามพวกนี้ว่า รู้มั้ยว่า 'ในหลวง' ไม่อยากให้ตัดไม้ทำลายป่า

พวกนี้ก็ต้องตอบว่า 'รู้'

แล้วถ้าถามว่า แล้วรักในหลวงมั้ย

ก็ต้องตอบว่า รักซิ

แล้วถ้ายิงคำถามไปอีกว่า ถ้ารักในหลวง แล้วในหลวงไม่อยากให้ตัดไม้ทำลายป่า แล้วคุณไม่ทำตามคนที่รักได้บอกบ้างหรือ

ใบ้รับประทานกันเป็นแถว

แล้วนี่หรือที่ปากบอกว่า 'เรารักในหลวง'

รักแต่ปากนี่ (หว่า !)


เราๆ ท่านๆ นั้นนั่งบ่นนั่งรำพรรณกันว่า 'เรารักในหลวง'

เห็นพูดกันทุกวัน พูดกันบ่อยๆ แต่ไม่ค่อยได้เคยเห็นใครแสดงให้เห็นจริงๆ จังๆ เลยว่า รักในหลวงจริงหรือเปล่า

หรือจริงใจกับความรักที่มีต่อ 'ในหลวง' อย่างจริงจังแค่ไหน ?

ผมก็เชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า ทุกคนรักในหลวงจริง

รักมากด้วย

รักแบบถวายชีวิตได้ด้วย


แต่ถ้าเรารักแล้ว ไม่ได้แสดงออกให้เห็นได้ว่าเรารักในหลวงอย่างจริงจังนั้น ผมว่ายังไม่ครบถ้วน

ยังไม่ถูกต้อง

ยังไม่จริงใจในความรักนั้น

และยังไม่บริสุทธิ์ใจในความรักนั้น อย่างแท้จริง

อย่างที่ผมบอกว่า เวลาที่ในหลวงรักราษฎร ในหลวงไม่ได้เพียงแต่พูด (รับสั่ง) แต่ (ทรง) ทำให้เห็น

แต่เรารักในหลวงนั้น พูดมากกว่าทำ

เราไม่เคยดูเลยว่าในหลวงทรงทำอะไรให้ดูเป็นตัวอย่างบ้าง


ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่เกี่ยวกับในหลวง ล้วนแล้วแต่เป็น 'สาระ' ที่เราควรพิจารณา

ถ้าเราดูข่าว อ่านหนังสือพิมพ์ หรือติดตามข่าวสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับในหลวง จะเห็นว่าทรงกระทำตัวอย่างให้เราได้ 'พิจารณา'

เคยได้ยินหรือไม่ครับว่า ในหลวงทรงใช้ยาสีฟันจนหลอดยาสีฟันบิดเบี้ยว นั่นเป็นเพราะทรงและบีบเค้นจนยาสีฟันจนหมดจริงๆ ไม่หลงเหลือตัวยาสีฟันอยู่ในหลอด ทั้งๆ ที่ในฐานะของพระองค์นั้น สามารถใช้ยาสีฟันได้วันละเป็นร้อยหลอดพันหลอด

แต่ไม่ทรงทำ เพราะทรงถูกสอนมาจากสมเด็จย่าให้รู้จักคุณค่าของสิ่งของ และเรื่องของความประหยัด ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีของการดำรงชีวิตอย่างถูกต้อง



เคยได้ยินหรือไม่ว่า เวลาที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงงาน หรือทรงเยี่ยมราษฎรในที่ต่างๆ ไม่มีพระกระยาหาร (อาหาร) อะไรที่เลิศหรู บางครั้งบางหนก็เป็นเพียง 'กะเพราไก่ไข่ดาว' หรือ 'ข้าวผัด' ธรรมดาๆ นี่เอง ทั้งๆ ที่ในฐานะของพระองค์นั้น สามารถเสวยพระกระยาหารได้เลิศหรูที่สุดในแผ่นดิน หรือในโลกด้วยซ้ำ

เคยได้ยินหรือไม่ว่า เวลาที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่สร้างความเสียหายให้กับราษฎรของพระองค์ท่านนั้น พระองค์ทรงบัญชาการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยพระองค์เอง จนมีเรื่องบอกว่า คนรับวิทยุเคยตอบโต้กับ 'ในหลวง' โดยที่คาดไม่ถึงว่า คนที่ตอบโต้ด้วยนั้น คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งๆ ที่ในฐานะของพระองค์นั้น มีคนคอยรับใช้เป็นหมื่นเป็นแสนคน ไม่ต้องมาบัญชาการเอง


แต่ที่ต้องทรงทำอย่างนั้น ก็เพราะต้องการช่วยราษฎรของพระองค์ท่านให้ทันใจ ทันกับความเดือดร้อนทุกข์ยากของราษฎร

ไม่อยากที่จะต้องทรงรอแต่เพียง 'รายงาน' อย่างเดียว

เคยได้ยินหรือไม่ว่า ชาวบ้าน ชาวเขา ชาวดอย เวลาที่เข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใช้คำพูดธรรมดา ที่แสนจะธรรมดา บางครั้งไม่ต้องหมอบกราบ ยืนคุยกับ 'ในหลวง' ก็เคยมี ไม่เคยถือพระองค์เลย ทั้งๆ ที่ในฐานะของพระองค์นั้น ยิ่งใหญ่กว่าใครทั้งหลายในแผ่นดิน จะหาใครเทียบเท่าเสมอเหมือนไม่มี



ผมนั้นจำได้ติดตา เมื่อคราวที่มีนักเรียนกลุ่มหนึ่งยืนคุยกับในหลวง เมื่อคราวที่เสด็จราชดำเนินไปทรงงานที่ไหนสักแห่ง จำไม่ได้

ในหลวงทรงยืนคุยกับเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่ง พระราชทานคำสอน พระราชทานความรู้และคำแนะนำ อย่างใกล้ชิดๆ

ใกล้ชิดจริงๆ

มีบุญเหลือเกิน.....เด็กๆ เอ๋ย !


เคยได้ยินหรือไม่ว่า ในขณะที่เกิดความทุกข์ยากกับราษฎรนั้น ในหลวงของเราก็ร้อนรุ่มพระราชหฤทัย ไม่หลับไม่นอน ไม่ทรงบรรทม แต่จะทรงคิดหาทางแก้ไขเพื่อขจัดความทุกข์นั้นให้หมดไปโดยเร็ว ในขณะที่ผู้ที่มีความเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะข้าราชการ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความลำบากเดือดร้อนนั้น กำลังนอนหลับสบาย หรือกำลังแสวงหาความสุขโดยไม่ใส่ใจกับหน้าที่ที่ควรจะทำ ทั้งๆ ที่ในฐานะของพระองค์นั้น ไม่จำเป็นต้องมานั่งเหนื่อยกับปัญหาอย่างนี้


เคยได้ยินหรือไม่ว่า ไม่ว่าใครจะสื่อสารกับในหลวงในด้านใด วิธีใด ในหลวงทรงรับรู้ทุกอย่างทุกเรื่องราว

อย่างในคราวที่เกิดน้ำท่วมแถวฝั่งธนบุรี ในหลวงทรงพระราชทานถุงยังชีพให้คนในชุมชนหนึ่ง เพื่อแก้ไขความเดือดร้อนเฉพาะหน้า และเมื่อคนในชุมชนนั้นได้รับความช่วยเหลือจาก 'พ่อ' ของพวกเขา ด้วยความซาบซึ้งจึงเขียนจดหมายจ่าหน้าซองว่า ส่งถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยความปลาบปลื้มปิติ โดยไม่คิดว่า 'ในหลวง' จะได้อ่านจดหมายที่เขียนถึงพระองค์ท่าน

แล้วไม่กี่วันต่อมา ก็มีจดหมายตอบมาจากสำนักพระราชวังว่า 'พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้รับจดหมายแล้ว ทรงขอบใจที่มีจดหมายมาถึง.......'

จดหมายของราษฎร......พระองค์อ่านทุกฉบับ......

หรือเมื่อคราวที่บ้านเมืองลุกเป็นไฟ มีความวุ่นวายเกิดขึ้นในเรื่องของความโลภ โกรธ หลง ความไม่เข้าใจกันของคน 2 ฝ่าย ถึงขนาดมีการจลาจล นองเลือด ความวุ่นวายเกิดขึ้น


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรียกให้ตัวแทนคน 2 ฝ่ายนั้น (พลตรีจำลอง ศรีเมือง และพลเอกสุจินดา คราประยูร) มาพบกัน โดยมีพระองค์ท่านพระราชทานคำแนะนำ คำตักเตือน และทรงให้ 'สติ' กับทั้ง 2 คน

เหตุการณ์วุ่นวาย จลาจลนั้น ก็สงบลงทันทีเป็นปลิดทิ้ง


ผมเองนั้นได้มีโอกาสเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลายครั้ง

ไม่ใช่เพราะได้สิทธิพิเศษอะไรหรอกครับ เป็นเพราะผมเป็นเด็กที่เรียนโรงเรียนวัด คือวัดเทพศิรินทร์ ที่วัดเทพศิรินทร์จะมีงานหลวงบ่อยครั้ง

พระราชวงศ์สิ้นพระชนม์ สิ้นชีพิตักษัย ถึงแก่กรรม ก็มาประกอบพิธีที่วัดเทพศิรินทร์

หรืองานที่เกี่ยวข้องกับในรั้วในวัง ที่เกี่ยวกับศาสนา ก็ต้องที่วัดเทพศิรินทร์

คราใดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาในงานพิธี ผมก็มีโอกาสได้เห็นพระองค์ท่าน

เห็นทีไร ก็ปลาบปลื้มปิติทุกครั้ง โดยที่ตอนนั้นไม่ทราบด้วยซ้ำว่าทำไมถึงรู้สึกอย่างนั้น เพราะยังเด็ก

เมื่อโตขึ้น เรื่องราวที่ได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับ 'ในหลวง' ก็มีมากขึ้น


โดยเฉพาะคุณพ่อของผม (คุณพ่อทิพย์ เขตต์บรรพต) ได้มีโอกาสเข้าไปถวายพระอักษร (วิชาลูกเสือ) ให้กับพระราชวงศ์ในพระราชวังสวนจิตรลดา

สมัยนั้นผมยังเรียนชั้นประถมอยู่เลย


คุณพ่อก็จะนำเรื่องราวที่ได้รับรู้มาจากในพระราชวังว่า พระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นมีอะไรบ้าง

และเล่าได้ไม่มีวันหมด

ในวังมีนา มีไร่มีสวน มีแปลงเกษตร มีแปลงทดลอง มีโรงงาน มีโรงนม มีวัวมีควายเลี้ยงเอาไว้เพื่อกิจการทดลอง ที่ต่อมาได้เอื้ออำนวยประโยชน์มหาศาลให้กับคนอื่นๆ ทั่วไป

หรือใครได้ยินว่า ที่บ้านของในหลวง (พระราชวัง พระตำหนัก) ของชนชาติอื่นมี 'นา' อยู่ในบ้านบ้าง ?



และยังมีเรื่องราวอีกมากมาย มากมายมหาศาลที่เราอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกระทำอะไรบ้าง ทุกวินาทีที่ผ่านไป พระองค์ทรงใช้อย่างคุ้มค่า และมีสาระ

คุณค่าและสาระนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบ้านเมือง และความเป็นอยู่ของราษฎรของพระองค์ท่านทั้งนั้น

แล้วพวกเราๆ ท่านๆ จะทำอย่างไรดี เพื่อให้สมกับ 'ความรัก' ที่ในหลวงทรงมีให้


จะร้องตะโกนปาวๆ ว่า เรารักในหลวง เรารักในหลวง แล้วก็ยังนินทาว่าร้ายคนอื่น ยังโกงกินบ้านเมือง คอรัปชั่น ฉ้อราษฎร์บังหลวง ยังทำตัว 'ไร้สาระ' ให้ผ่านไปวันๆ

อย่างนั้นหรือ ?

จะเอาแค่ประดับธงชาติ ติดไฟสวยงาม ในวันเฉลิมพระชนม์พรรษาแค่นั้นหรือ ? พอแล้วหรือกับการตอบแทนความดีของ 'ในหลวง'

ตอบแทนความดีของคนที่เรา 'รัก'

จะเอาแค่วันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันหยุด แล้วไปเที่ยวเฮอา สำมะเลเทเมา กินเหล้ากินเบียร์ เที่ยวสนุกสนาน

อย่างนั้นหรือ ?

หรือใครเคยเห็นว่า ในวันที่ 5 ธันวาคมของทุกๆ ปี ในหลวงของเราทรง 'หยุด' ทรงงาน (ทำงาน)

เจ้าของวันเกิดไม่เคยทำตัวให้เราเห็นเลยว่า ใช้เวลาวันหยุดไปทำเรื่องราวที่ไม่เป็นประโยชน์

แต่เราเองนั้น ใช้วันหยุดที่อ้างมาจากวันคล้ายวันประสูติ (วันเกิด) ของในหลวง เอาไปทำเรื่องไร้สาระมากมาย

เอาไปเที่ยว (อย่างไม่มีสาระ) เอาไปกินเหล้าเมายา เอาไปดื่มไปกินไปเที่ยว หรือเอาเวลาไปใช้ โดยไม่ได้ก่อเกิดประโยชน์ต่อตัวเองหรือต่อคนอื่น

คิดและพิจารณาบ้างเถิดครับ

ตอบแทนความดีของในหลวงให้ถูกต้องและมีสาระบ้างเถิด


สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำนั้น มีมากมายมหาศาล นับไม่ได้ นับไม่ถ้วน ถึงขนาดพยายามจะนับว่า ทรงเคยกระทำกิจกรรมอะไรมาบ้าง ผมเชื่อว่าไม่มีใครตอบได้หมด ไม่ว่าจะพยายามนับเท่าไหร่ก็ตาม

ด้วยเพราะว่าสิ่งที่ 'ในหลวง' ทรงทำนั้นมีมากมายมหาศาลจริงๆ

ไม่ต้องทำทุกอย่างอย่างที่พระองค์ท่านทรงทำ เพราะทำอย่างไรก็ไม่สามารถจะทำได้อย่างพระองค์ทรงทำ

แต่เลือกเอาเพียงอย่างน้อยสัก 1 อย่างที่พระองค์ท่านทรงทำให้เห็น หรือที่พระองค์ท่านได้ทรงสอนสั่ง ได้ทรงให้คำแนะนำ

เอาอย่างน้อยอย่างเดียวก็ได้

อย่างเดียวเอง....ทำได้มั้ย ?


แต่ถ้าใครทำได้มาก หลายๆ อย่าง ก็จะยิ่งดี และจะดีมากๆ ถ้าทำได้ตลอดกาล ตลอดชีวิต

มีเยอะแยะที่ในหลวงทรงทำให้เห็น ทรงสอนสั่ง ทรงให้คำแนะนำ

ไม่โกงกินบ้านเมือง (ทำกันได้มั้ย ?) เรื่องนี้ในหลวงรับสั่งนักรับสั่งหนาว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดี ไม่ควรทำ

เราจะไม่โกงกิน คอรัปชั่นบ้านเมือง ได้มั้ย ?


ไม่จำเป็นต้องเป็นข้าราชการ เป็นนักการเมือง เป็นประชาชนคนธรรมดาก็สามารถทำได้

ไม่โกงไม่กิน ไม่เอาของบ้านเมืองหรือส่วนที่เกี่ยวข้องกับบ้านเมือง เอามาเป็นประโยชน์ หรือหาทางนำมาซึ่งประโยชน์ให้กับตัวเอง

เรื่องของการเสียสละให้กับส่วนรวม โดยคำนึงเรื่องของส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว

เสียสละเรื่องส่วนตัวเพื่อส่วนรวม ได้มั้ย ?


สนับสนุนคนดีให้มีส่วนร่วมในการทำงาน การบริหารบ้านเมือง หรือเพื่อชุมชุน สนับสนุนกันได้มั้ย

ไม่สนับสนุนคนชั่วคนเลว คนที่มีแต่ความโลภ คนที่ชอบเบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมหรือของคนอื่นมาเป็นส่วนตัว ให้มีโอกาสครอบครองบ้านเมือง หรือให้มีโอกาสบริหารราชการบ้านเมือง

ปฏิบัติศาสนกิจในหลักของพระพุทธศาสนา เช่น ปฏิบัติ สมาธิ วิปัสสนา กรรมฐาน ทำบุญทำกุศล ฟังเทศน์ฟังธรรม ทำกันได้หรือไม่ ?


ทำเพื่อในหลวงที่เราบอกว่าเรารักเหลือเกิน จะได้มั้ย

(ความจริงนั้น สิ่งที่เราจะทำเพื่อในหลวงนั้น ก็คือสิ่งจะเป็น 'อานิสงส์' ให้ตัวเองในอนาคต)

ทำความดีให้ในหลวงกันดีกว่า

ความดีที่ว่านั้น พอจะบอกกันเป็นหลักได้ว่า

1.ทำอะไรก็แล้วแต่ อย่าทำให้ใครเดือดร้อน

2.ทำอะไรก็แล้วแต่ อย่าทำให้ตัวเองเดือดร้อน

3.ทำอะไรก็แล้วแต่ มีประโยชน์ให้กับคนอื่น

4.ทำอะไรก็แล้วแต่ มีประโยชน์กับตัวเอง

ทำความดีอย่างนี้ ถวายให้ 'ในหลวง' ได้มั้ยครับ

อย่ารักในหลวงแต่ปากเลย


ถ้าคุณจะทำความดีเพื่อแสดงให้เห็นอย่างจริงๆ ว่า 'รัก' ในหลวง
คุณไม่คิดหรือว่า พระองค์จะทรงรับรู้ว่า ว่าคุณกำลังทำความดีเพื่อพระองค์ท่าน
มันขึ้นอยู่ว่า คุณจะตั้งใจทำจริงหรือไม่ เท่านั้นเอง !

ที่มา : บทความของ อโณทัย เขตต์บรรพต จากหนังสือ "สิ่งที่ชาวพุทธควรรู้ 2" ในหลวง.....ดวงใจของคนทั้งชาติ

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

100
ธรรมะ / วิธีบรรเทากรรม
« เมื่อ: 04 ธ.ค. 2553, 08:26:55 »
วิธีบรรเทากรรม


ถาม : คนเราเกิดมาจะมีกรรมใช่ไหมครับ ? คนที่แวดล้อมทำกับเรา เกิดกับเราในลักษณะนี้ เกิดจากอะไร ?

ตอบ : คนเราเกิดมาเพราะกรรมที่เราทำเอาไว้เองต่างหาก ทุกอย่างเกิดจากที่เราทำ ฉะนั้น..เลิกเกิด..เป็นวิธีแก้ที่ง่ายที่สุด..!

ถ้าเลิกเกิดก็ไม่ต้องเจอปัญหาอะไร ไม่อย่างนั้นทุกสิ่งที่เราทำไว้ไม่ว่าดีหรือชั่ว ถึงเวลาผลก็จะเกิดกับเรา และส่งผลกระทบมารอบด้านเลย

ถาม : จะมีทางบรรเทาไหมในกรณีที่ไม่ดี ?

ตอบ : ก็ถ้ามันดีจะบรรเทาไปทำไมละพ่อคุณ..ในกรณีไม่ดี ทำได้โดยการสร้างบุญใหญ่ขึ้นมาแทน ในเมื่อเราสร้างบุญใหญ่ขึ้นมาแทนกำลังบุญสูงกว่า ก็จะห่างกรรมไปชั่วระยะหนึ่ง

ถึงเวลากำลังบุญต่ำลง กรรมก็จะตามทันอีก ก็ต้องทำบุญใหม่ ที่เขาเรียกกันว่า สะเดาะเคราะห์

จริงๆ ก็คือเขาหลอกให้เราทำบุญใหญ่ บุญทั้งหมดก็อยู่ที่ ทาน ศีล ภาวนา นั่นแหละ บุญกิริยาวัตถุ คือ สิ่งที่เราทำแล้วเป็นบุญมี ๑๐ อย่างด้วยกัน สำคัญที่สุดตรง ๓ ข้อแรก คือ ทาน ศีล ภาวนา เพราะเป็นบุญใหญ่ โดยเฉพาะทาน เขาจะเน้นในสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน

ถาม : แล้วต้องแผ่เมตตาด้วยใช่ไหมครับ ?

ตอบ : ทำได้ด้วยก็ดี



สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๔


ที่มา : www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2302

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

101
กฎแห่งกรรม / วิธีถอนคำสาปแช่ง
« เมื่อ: 28 พ.ย. 2553, 04:33:58 »
วิธีถอนคำสาปแช่ง


... มีคนจำนวนไม่น้อยมีชีวิตอยู่ด้วยความทุกข์กาย - ทุกข์ใจ บ้างก็ทุกข์เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ทุกคนมักเห็นว่าทุกข์ของตนมีมากมาย ไม่ว่าทุกข์กาย - ทุกข์ใจก็ตาม และมักคิดคล้ายๆ กันว่าทุกข์ของตนมากกว่าทุกข์ของผู้อื่น

เมื่อมีความทุกข์ก็ย่อมพยายามดิ้นรนหาวิธีพ้นทุกข์ แต่ส่วนมากจะหาวิธีหนีทุกข์ในทางที่ผิดๆ แทนที่จะลดทุกข์กลับเพิ่มทุกข์ เช่นการดื่มสุราบ้าง เล่นการพนันบ้าง จนถึงฉ้อโกงลักทรัพย์ปล้นสะดม ลืมคิดถึงเวรกรรมว่าจะต้องตอบสนองแน่นอน ไม่เร็วก็ช้าเป็นการเพิ่มทุกข์ให้สาหัสขึ้น

พุทธศาสนาสอนให้เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ว่าทำกรรมใดไว้ (ไม่ว่าดีหรือชั่ว) ก็ตาม ผลกรรมย่อมตามสนอง บ้างก็รวดเร็วทันตาเห็น บ้างก็รอคอยตามสนองไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น กรรมนั้นมีทั้ง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

มโนกรรมกับวจีกรรมเป็นสิ่งที่คนเราชอบกระทำมากที่สุด เมื่อยามโกรธเคืองหรือเจ็บแค้นใคร ไม่อาจตอบโต้ทางกายได้ก็กระทำทางวาจา เช่น แช่งด่า หรือทางใจก็นึกสาปแช่งให้คนที่ก่อกรรมให้ตน หรือทำให้ตนขุ่นเคืองต้องมีอันเป็นไปต่างๆ นานา จนถึงลงมือกระทำการจริงๆ จังๆ

เช่น เผาพริก - เผาเกลือแช่งให้มีอันเป็นไปในทางร้ายๆ จนถึงแก่ชีวิตบ้าง จ้างวานผู้ที่ตั้งตนเป็นผู้เชี่ยวชาญทางไสยศาสตร์ หรือหมอผีทำร้ายด้วยอาคม เช่น เสกตะปู เสกสายสิญจน์ แม้แต่หนังควายเข้าท้อง โดยเชื่อว่าจะได้ผลจริงๆ จังๆ

ทางธรรมะถือว่าเป็นการประสงค์ร้ายต่อผู้อื่น แม้จะเป็นเพียงความคิดก็เป็นบาปกรรมอย่างหนึ่ง จะต้องติดตามมาสนองให้ตอ้งชดใช้กรรมไม่ช้าก็เร็ว

ผู้ใดมีความทุกข์กาย - ทุกข์ใจ โดยจำไม่ได้ว่าเคยทำบาปกรรมใดไว้บ้าง หรือมั่นใจว่าไม่เคยได้กระทำไว้เลย อาจจะเป็นกรรมเก่าก็ได้ที่เคยสาปแช่งผู้อื่นไว้ก็เป็นไปได้

พระชุมพล พลปญโญ ได้เขียน "คำถอนอธิษฐานที่เป็นมิจฉาทิฐิ" ในนิตยสาร "ไตรรัตน์" ฉบับที่ ๙ ไว้ดังนี้


"อิมัง มิจฉา อะธิฎฐานัง ปัจจุทธะรามิ


ทุติยัมปิ อิมัง มิจฉา อะธิฎฐานัง ปัจจุทธะรามิ


ตะติยัมปิ อิมัง มิจฉา อะธิฎฐานัง ปัจจุธะรามิ
"


ข้าพเจ้าขอถอนคำอธิษฐาน ถอนคำสาป ถอนคำแช่ง ที่ข้าพเจ้าได้ตั้งขึ้นถึงพร้อมแล้ว ด้วยกิเลส ด้วยตัณหา ด้วยอุปทาน ด้วยราคะ ด้วยโทสะ ด้วยโมหะ ด้วยมานะ ด้วยมิจฉาทิฐิ เป็นไปเพื่อความพยาบาทเบียดเบียน สร้างเวรสร้างกรรม ไม่ประกอบด้วยธรรม ไม่ประกอบด้วยวินัย ไม่ประกอบด้วยกุศล ไม่ประกอบด้วยปัญญา ไม่ประกอบด้วยบารมี ที่ข้าพเจ้าได้อธิษฐานไว้ สาปไว้ แช่งไว้ ในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี ระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้น

ข้าพเจ้าขออ้างเอาพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า แม่พระธรณี แม่พระคงคง แม่พระเพลิง แม่พระพาย และเทวดาทั้งหลายทั้งปวง มาเป็นพยาน ว่าข้าพเจ้าขอถอนคำอธิษฐานเหล่านั้น ถอนคำสาปเหล่านั้น ถอนคำแช่งเหล่านั้นร้อยหน พันหน หมื่นหน แสนหน ล้านหน โกฎิหน ณ กาลบัดนี้เทอญ

"นะถอน โมถอน พุทถอน ธาถอน ยะถอน

นะคลอน โมคลอน พุทคลอน ธาคลอน ยะคลอน

ถอนถ้วย นะโม พุทธายะ
"

ข้าพเจ้าขอยกโทษ อโหสิกรรม และให้อภัยในความบกพร่อง ผิดพลาดของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งปวง ทุกชีิวิต ทุกจิตวิญญาน ในทุกที่สถาน ในกาลทุกเมื่อเทอญ

ขอบคุณที่มา : คอลัมภ์ กรรมกำหนด หนังสือชีวิตเป็นสุข

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

102
บทความ บทกวี / แม่ไม่เคยคิดเงิน
« เมื่อ: 28 พ.ย. 2553, 11:51:48 »
แม่ไม่เคยคิดเงิน

เจ้าเด็กชายตัวน้อยของเราเดินเข้าไปหาแม่ และส่งกระดาษให้ หลังจากแม่เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้ว เธอก็ก้มลงอ่าน

                ค่าตัดหญ้า                                                  5.00บาท

                ค่าทําความสะอาด                                      1.00บาท

                ค่าซื้อของให้แม่                                          2.50บาท

                ค่าดูแลน้อง                                                 2.50บาท

                ค่าเอาขยะไปทิ้ง                                          1.00บาท
   
                ค่าได้คะแนนดี                                             5.00บาท

                ค่ากวาดสนาม                                             2.00บาท

                รวมค้างชําระ                                              19.00บาท

        เธอจึงหยิบปากกาขึ้นมา พลิกไปด้านหลังแล้วเขียนว่า 

                เก้าเดือนที่แม่อุ้มท้อง                                 ไม่คิดเงิน

                เวลาแม่พยาบาลและดูแลลูก                      ไม่คิดเงิน
         
                ค่าที่ลูกทําให้แม่เสียน้ำตา                           ไม่คิดเงิน

                ของเล่น อาหาร เสื้อผ้า พาเที่ยว                 ไม่คิดเงิน

                แม้แต่เช็ดน้ำมูกให้                                  ไม่คิดเงินหรอกจ๊ะลูก
         
                รวมทั้งหมดค่าความรักของแม่                ไม่คิดเงินเหมือนกัน


                 เมื่อลูกชายอ่านสิ่งที่แม่เขียนแล้ว น้ำตาหยดโตก็ไหลออกมา เขาสบตาแม่ และพูดว่า "แม่ครับ ผมรักแม่จริงๆนะครับ" แล้วเขาก็เอาปากกา เขียนหนังสือตัวโตๆว่า

               
++  จ่ายหมดแล้ว แม่จ่ายหมดแล้ว แต่ลูกยังทอนให้ไม่หมด ++

ที่มา http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=135376&chapter=1#ixzz16Y8SGXFo

103
ธรรมะ / อานิสงส์การภาวนา
« เมื่อ: 28 พ.ย. 2553, 11:41:14 »
อานิสงส์การภาวนา


หลวง ปู่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการปฏิบัติบูชามาก เนื่องจากประโยชน์ที่จะได้รับในขณะที่ปฏิบัติสมาธินั้น ได้บุญพร้อมถึง ๓ องค์คือ ทาน ศีล และภาวนา

เกี่ยวกับทานมีกล่าวไว้ในพระสูตร ว่าด้วยเรื่องของการให้ทานกับคนธรรมดาหนึ่งครั้ง ให้ทานคนธรรมดาร้อยครั้ง ไม่เท่ากับการให้ทานคนที่มีศีลหนึ่งครั้ง ให้ทานผู้มีศีลร้อยครั้ง ไม่เท่ากับให้ทานพระอริยบุคคลขั้นโสดาบันหนึ่งครั้ง เรื่อยมาจนถึงให้ทานพระสัมมาสัมพุทธเจ้าร้อยครั้ง ไม่เท่ากับถวายสังฆทานหนึ่งครั้ง โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน และการถวายสังฆทานร้อยครั้ง ไม่เท่ากับการถวายวิหารทาน ได้แก่ โบสถ์ วิหาร ฯลฯ แต่ถึงแม้จะถวายวิหารทานไว้มากมายถึงร้อยครั้ง อานิสงส์ก็ยังไม่เท่ากับการเจริญเมตตาจิต หรือการภาวนาได้แสงสว่างเพียงเท่าช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น เพียงครั้งเดียว ถ้าจะมีผู้แย้งว่า ขณะนั่งสมาธิไม่มีการให้ทาน

ขอตอบว่า ทานในขณะปฏิบัติเป็นทานอันยิ่ง คือ อภัยทาน เพราะในเวลานี้ ถ้าเราโกรธ อาฆาต พยาบาทใครก็ตาม เราต้องให้อภัย มิเช่นนั้นแล้วสมาธิจะไม่เกิดขึ้น ดังนั้น เราต้องมีเมตตาธรรมบังเกิดขึ้น จุดประสงค์ของพระพุทธเจ้า เกี่ยวกับการให้ทานนี้ ก็เพื่อลดความเห็นแก่ตัวนั่นเอง มิใช่เป็นการให้ทานเพื่อหวังผลตอบแทนอย่างเลอเลิศ เพราะจะกลายเป็นผู้โลภบุญ หลวงปู่ทวดเคยให้คำจำกัดความของบุญกับผู้เขียนว่า "บุญ คือความสบายใจ ก่อนทำก็สบายใจ ขณะทำก็สบายใจ ทำแล้วก็สบายใจ คิดถึงทีไร สบายใจทุกที"

เรื่อง ของศีลนั้น ในขณะที่ปฏิบัติ เราจะเป็นผู้ที่มีศีลอย่างบริบูรณ์ เนื่องจากได้สมาทาน และมีเจตนาที่จะรักษาศีลเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้บางท่านจะภาวนาเลย ก็ย่อมมีศีลอยู่กับใจ (ศีลโดยแท้ คือ ภาวะปกติของใจ ที่ไม่กระเพื่อมไปตามอำนาจกิเลส เรียกว่า ศีลใจก็ไม่ผิด) เพราะว่าเราไม่ได้ไปผิดศีลข้อใดในขณะนั้น ตั้งแต่การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกาม เป็นต้น เมื่อเรามีศีลบังเกิดขึ้น อานิสงส์ของศีลย่อมทำให้เรามีความสุข มีชีวิตอยู่ก็มีความสุข ตายไปแล้วก็มีสุคติเป็นที่หวังอย่างแน่นอน สำหรับการภาวนามีจุดประสงค์เพื่อให้จิตเกิดความสงบมีสมาธิ การบริกรรมภาวนา ไม่ว่าสัมมาอรหัง พุทโธ หรือพุทธังฯ ธัมมังฯ สังฆังฯ ต่างก็มุ่งหวังให้จิตเป็นสิ่งเหนี่ยวนำหรือได้ทำงานในสิ่งที่ดี เนื่องจากสภาพของจิต มักจะไม่อยู่นิ่ง เหมือนลิงมีอาการซุกซน คิดโน่นคิดนี่ ไม่มีสมาธิ ผู้ปฏิบัติจึงต้องอาศัยคำภาวนา ผูกจิตเอาไว้ไม่ให้วอกแวกไปทางอื่น เมื่อมีสติรู้อยู่กับคำภาวนาจนจิตเกิดความสงบ หรือบังเกิดแสงสว่างขึ้น จึงมีอานิสงส์พร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน เป็นการรวมตัวของบุญที่กระทำขึ้น จึงมีอานิสงส์มากกว่าการตักบาตร หรือการทำทานเพียงอย่างเดียว

ดังนั้น การปฏิบัติสมาธิ หรือการภาวนา ดังที่หลวงปู่กล่าวไว้ จึงเป็นการสร้างบารมีอย่างดียิ่ง อันให้ประโยชน์กับตนเองทั้งปัจจุบัน และภายภาคหน้าด้วยประการนี้.....

ธรรมะสว่างกลางดวงใจ : อานิสงส์การภาวนา


ที่มา variety.teenee.com/saladharm/31099.html

นายธรรมะ
ขอขอบคุณสิ่งดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

104
ธรรมะ / ตอบ: ธรรมะ ฮา แบบมีสาระ
« เมื่อ: 28 พ.ย. 2553, 11:29:35 »
ธรรมะ ฮา แบบมีสาระ 2


ที่มา : http://gotoknow.org/blog/jesda/51132?page=1

นายธรรมะ
ขอขอบคุณสิ่งดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

105
ธรรมะ / ธรรมะ ฮา แบบมีสาระ
« เมื่อ: 28 พ.ย. 2553, 11:15:45 »
ธรรมะ ฮา แบบมีสาระ


การฟังธรรมะกับดนตรี
ฟังธรรมะแล้วจะทำให้ไม่ โง่
แต่ถ้าฟัง Potato ถึงมีรักแท้แต่ก็ดูแลไม่ได้

ฟังธรรมะ แล้วจะทำให้ตาใส่แจ่ม
แต่ถ้าฟัง Bodyslam มักจะโทษว่าความรักทำให้คนตาบอด

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้ไม่เพ้อเจ้อ
แต่ถ้าฟังพีชเมกเกอร์ จะละเมอถึงแต่เรื่องบนเตียง

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้ปากเราติดดิสเบรก
แต่ถ้าฟังเบิร์ด-เสก ถึงอมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้ใจเรา ชอกช้ำ
แต่ถ้าฟังไอน้ำ จะชอกช้ำเพราะรักคนมีเจ้าของ

ฟังธรรมะ แล้วจะทำให้ไม่เหงาหงอย
แต่ถ้าฟังเสนาหอย จะแอบเหงาคนเดียว

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้ไม่งมงายในความเชื่อและศรัทธา
แต่ถ้าฟังทาทา มักจะพูดว่า ไอ บีลีฟ

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้รักกันอย่างไม่ต้องนอนละเมอ
แต่ถ้าฟังไฮเปอร์ มักจะเจอรักแท้ในคืนหลอกลวง

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้ใจ ไม่เน่าเสีย
แต่ถ้าฟังนัท มีเรีย มักจะโทษว่า รักไม่ช่วยอะไร

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้รักกันจนสิ้นชีวิน
แต่ถ้าฟังเอนโดรฟิน แล้วจะบอกว่า ถ้าเขามาฉันจะไป

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้เราไม่คุยโม้
แต่ถ้าฟัง Potato จะถูกต่อว่าปากดีนะเรา

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้เรามีสุขเมื่ออยู่ด้วยกัน
แต่ถ้าฟังน้องพั้นช์ เพียงแค่วางมือบนบ่า น้ำตาก็ไหล่

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้เราเจอคนดีเสมอ
แต่ถ้าฟังไฮเปอร์ มักจะเจอผู้ร้ายคน ใหม่

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้เราเข้าใจกัน
แต่ถ้าฟังน้องพั้นช์ บอก ได้คำเดียวว่า ยิ่งกว่าเสียใจ

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้เรารักกันยิ่งกว่า ชีวิน
แต่ถ้าฟังเอนโดรฟิน จะเป็นได้แค่เพื่อนสนิท

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้จิตใจใสแจ่ม
แต่ถ้าฟัง ว่าน วงแพลม จะตัดพ้อต่อว่า ไม่บอกให้รู้สัก เรื่องได้ไหม

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้ไม่แรด
แต่ถ้าฟัง Big Ass มักจะเล่นของสูง

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้ไม่หยิ่งยะโส
แต่ถ้าฟังติ๊ก ชีโร่ จะโอหังว่า รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้จิตใจเปล่งปลั่ง
แต่ถ้าฟังอาหรั่ง จะคุ้มคลั่งว่า ทำบ้า....ทำบ้าอะไร

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้ดีที่ใจมิใช่เพียงแค่หน้าตา
แต่ถ้าฟังปนัดดา ก็จะรู้เพียงว่า ขอเป็นคนเลวที่รักเธอ


ฟังธรรมะ แล้วจะทำให้ตาใส่แจ่ม
แต่ถ้าฟัง Bodyslam มักจะโทษว่าความรักทำให้คนตาบอด

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้ไม่เพ้อเจ้อ
แต่ถ้าฟังพีชเมกเกอร์ จะละเมอถึงแต่เรื่องบนเตียง

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้ปากเราติดดิสเบรก
แต่ถ้าฟังเบิร์ด-เสก ถึงอมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้ใจเรา ชอกช้ำ
แต่ถ้าฟังไอน้ำ จะชอกช้ำเพราะรักคนมีเจ้าของ

ฟังธรรมะ แล้วจะทำให้ไม่เหงาหงอย
แต่ถ้าฟังเสนาหอย จะแอบเหงาคนเดียว

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้ไม่งมงายในความเชื่อและศรัทธา
แต่ถ้าฟังทาทา มักจะพูดว่า ไอ บีลีฟ

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้รักกันอย่างไม่ต้องนอนละเมอ
แต่ถ้าฟังไฮเปอร์ มักจะเจอรักแท้ในคืนหลอกลวง

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้ใจ ไม่เน่าเสีย
แต่ถ้าฟังนัท มีเรีย มักจะโทษว่า รักไม่ช่วยอะไร

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้รักกันจนสิ้นชีวิน
แต่ถ้าฟังเอนโดรฟิน แล้วจะบอกว่า ถ้าเขามาฉันจะไป

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้เราไม่คุยโม้
แต่ถ้าฟัง Potato จะถูกต่อว่าปากดีนะเรา

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้เรามีสุขเมื่ออยู่ด้วยกัน
แต่ถ้าฟังน้องพั้นช์ เพียงแค่วางมือบนบ่า น้ำตาก็ไหล่

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้เราเจอคนดีเสมอ
แต่ถ้าฟังไฮเปอร์ มักจะเจอผู้ร้ายคน ใหม่

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้เราเข้าใจกัน
แต่ถ้าฟังน้องพั้นช์ บอก ได้คำเดียวว่า ยิ่งกว่าเสียใจ

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้เรารักกันยิ่งกว่า ชีวิน
แต่ถ้าฟังเอนโดรฟิน จะเป็นได้แค่เพื่อนสนิท

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้จิตใจใสแจ่ม
แต่ถ้าฟัง ว่าน วงแพลม จะตัดพ้อต่อว่า ไม่บอกให้รู้สัก เรื่องได้ไหม

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้ไม่แรด
แต่ถ้าฟัง Big Ass มักจะเล่นของสูง

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้ไม่หยิ่งยะโส
แต่ถ้าฟังติ๊ก ชีโร่ จะโอหังว่า รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้จิตใจเปล่งปลั่ง
แต่ถ้าฟังอาหรั่ง จะคุ้มคลั่งว่า ทำบ้า....ทำบ้าอะไร

ฟังธรรมะแล้วจะทำให้ดีที่ใจมิใช่เพียงแค่หน้าตา
แต่ถ้าฟังปนัดดา ก็จะรู้เพียงว่า ขอเป็นคนเลวที่รักเธอ
ที่มา:http://www.dek-d.com/board/view.php?id=807065

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆมีสาระ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

106
หลอกให้อโหสิกรรม โดยพระอาจารย์เล็ก วัดท่าขนุน

ถาม : ไม่แน่ใจว่าเขาคิดถูกหรือคิดผิดนะเจ้าค่ะ เขาบอกว่า เขาสามารถมีภรรยาได้หลายคน ถ้าภรรยายินยอม อาจพูดด้วยปาก แต่ใจไม่ได้บอกว่ายินยอม ?
ตอบ : ใจจะยอมไม่ยอม ถ้าออกปากว่าได้ ก็เสร็จเขาแล้ว

ถาม : เรียบร้อยเลยหรือเจ้าคะ ?
ตอบ : จ้ะ รับรองได้ ตีกินมีเป็นฝูงได้เลย

ถาม : แล้วเขาถือว่าเขาไม่ผิดศีลได้หรือเจ้าคะ ?
ตอบ : ไม่ผิดจ้ะ ก็แบบเดียวกับว่า คนที่เคยเป็นเจ้า กรรมนายเวร เราเคยกระทำสิ่งที่ไม่ดีต่อเขา

ถ้าหากว่าเขาเอ่ยปากอโหสิกรรมให้กับเรา จะเป็นเพราะโดนเราหลอกให้เอ่ยปากหรืออะไรก็ตาม ก็เป็นอันว่าจบกัน

ถาม : ถ้าหากว่าเจ้ากรรมนายเวรของเรา เขาบอกให้อโหสิกรรมเป็นอันจบเลยหรือเจ้าคะ ถ้าอย่างนั้นต้องหลอกล่อเก่ง ๆ ?
ตอบ : ลองทำดูก็ได้ ถ้าเขาเก่งกว่าเราก็แย่เหมือนกัน

ถาม : ตรงใจมากเลยเจ้าค่ะ ของหนูเขาเคยบอกไว้ว่า ต้องกราบเท้าเขาก่อนเขาจะอภัยให้ ชาตินี้จะให้ก้มกราบไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ แต่กลัวเขาจะงงที่ว่า ตัวเขาก็ไม่ได้เข้าวัดทำบุญอะไร ?
ตอบ : บอกเขาก่อนสิ อาตมาเคยทำมาแล้ว เจอหน้าคนบางคนรู้เลยว่า ถ้าหากขืนปล่อยให้เป็นไปตามวาระกรรม ตามกาลเวลาที่กรรมจะส่งผล เราที่บวชพระอยู่ ก็จะบวชต่อไม่ได้

จึงบอกเขาว่า สิ่งที่พูดต่อไปนี้จะว่าอาตมาบ้า อาตมาก็ยินดีรับว่าบ้า แต่ว่า "กรรมอะไรทั้งหมดที่เคยล่วงเกินมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ ขอให้เป็นอโหสิกรรมต่อกันได้ไหม ?"

เขารู้เดี๋ยวนั้นเลย เขาบอกว่า "ได้ แล้วสิ่งที่เขาเคยล่วงเกินมาก็ขอให้อโหสิกรรมให้เขาด้วย"

ก็จบกันเลย คือว่าถ้าหากว่ากระแสกรรมนี้เนื่องกันมา เมื่อเราเอ่ยขึ้นมาเขาจะนึกออกทันที

สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔


ที่มา : www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?p=60352#post60352

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

107
ของนะไม่เสื่อมแต่ใจคนนะเสื่อมซะแล้ว ของอยู่กับคนดีมีศีลธรรมะ ยังไงก็ไม่เสื่อมหรอก บายใจรึยัง :004:

108
แจ้งข่าว "หลวงปู่มหาอมร เขมจิตโต" พระป่าเกจิดังเมืองอุบลละสังขารแล้ว 23 พ.ย.53


พระมงคลกิตติธาดา (หลวงปู่มหาอมร เขมจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกธรรมชาน์ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นพระป่าสายปฏิบัติด้านวิปัสสนากรรมฐาน ลูกศิษย์หลวงปู่ชา สุภัทโท สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตของจังหวัดอุบลฯและภาคอีสาน มรณภาพแล้วด้วยวัย 75 ปี คณะศิษยานุศิษย์ร่วมเคารพศพแน่นวัด
 
เมื่อเวลา 11.36 น. วันที่ 23 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลวงปู่มหาอมร เขมจิตฺโต เจ้าอาวาสวัดป่าวิเวกธรรมชาน์ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี เกจิดัง ของจังหวัดอุบลราชธานีและภาคอีสาน มรณภาพแล้วด้วยวัย 75 ปี
หลวงปู่มหาอมร เขมจิตฺโต เป็นพระที่ศิษยานุศิษย์ให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก เป็นพระที่เปี่ยมด้วยเมตตา ได้อาพาธและเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ด้วยอาการโรคหัวใจ ความดันโลหิต และโรคปอดบวม ทางแพทย์ได้ดูแลเยียวจนสุดความสามารถ แต่อาการก็มีแต่ทรงและทรุดมาตลอด จนมรณภาพด้วยอาการสงบคณะศิษย์และชาวบ้าน นำศพกลับมายังวัดป่าวิเวกธรรมชาน์ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี เพื่อขอพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ
สำหรับหลวงปู่มหาอมร เขมจิตฺโต มีนามเดิมว่า นายอมร บุตรศรี เกิดเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2478 (ตรงกับวันจันทร์แรม 11 ค่ำ เดือนอ้าย ปีมะแม) ที่บ้านหนองขุ่น ต.ยางโยภาพ อ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี บิดาชื่อนายหลอด บุตรศรี มารดาชื่อ นางกว้าง บุตรศรี มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน เป็นบุตรคนที่ 2 เรียนจบชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนบ้านหนองขุ่นจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ขณะที่มีอายุได้ 13 ปี ครั้นเรียนจบชั้นประถม บิดาได้ถามว่าอยากจะเรียนต่อหรืออยากจะบวช ได้ตอบบิดาว่าอยากจะบวช ดังนั้นจึงได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดหนองขุ่น เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2487 เป็นต้นมา
และถือเป็นพระปฏิบัติด้านวิปัสสนากรรมฐาน ในปี พ.ศ.2508 ได้พบกับหลวงปู่ชาที่วัดหนองป่าพง เกิดความรู้สึกประทับใจ และเกิดความเลื่อมใสในหลวงปู่ชาเป็นอย่างมาก จึงได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ชา ที่วัดหนองป่าพง จนถึงปี พ.ศ.2513 ท่านได้รับบัญชาจากหลวงพ่อชา ให้ไปอยู่อบรมสั่งสอนญาติโยมที่สำนักใหม่ในอ.ม่วงสามสิบ ซึ่งก็คือวัดป่าวิเวก(ธรรมชาน์) ในปัจจุบัน
http://www.komchadluek.net/detail/20101123/80557/

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

109
หลวงปู่ภัททันตะ อาสภมหาเถระ ละสังขารแล้ว 26 พ.ย.53


หลวงปู่มหาภัททันตะ อาสภมหาเถระ
อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยา
วัดภัททันตะอาสภาราม ต.หนองปรือ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี
มรณภาพแล้วเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 สิริอายุได้ 99 ปี และจะมีการสรงน้ำศพ ที่ศาลาการเปรียญ วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพ ในวันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลาประมาณ 13.00 น. จึงขอโอกาสแจ้งมาเพื่อโปรดทราบและไปร่วมพิธีเพื่อแสดงความกตัญญูและไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้ายโดยทั่วกัน



สังเขปประวัติ


หลวงพ่อดร.ภัททันตะ อาสภมหาเถระฯ พระมหาบูรพาจารย์แห่งวงศ์วิปัสนากรรมฐานแห่งยุคกึ่งกลางพุทธกาลนี้ มีนามเดิมว่า “หม่องขิ่น” ถือกำเนิดในตระกูล”ตวยเต้าจี้” ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางชั้นสูงของพม่า โยมบิดามีชื่อว่า “อุโพอ้าน” โยมมารดามีนามว่า “ต่อเปียว” ท่านเป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนพี่น้อง 3 คน เกิดที่บ้านตำบลจวนละเหยียน อำเภอเยสะโจ จังหวัดปะคุกกู่ ประเทศพม่า เมื่อวันที่ 1 ฯ8 ปีกุน จุลศักราช


1273 ตรงกับเดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2454 เวลา 10.54 น.


เมื่อท่านได้เจริญวัยจนมีอายุได้ 7 ปี โยมบิดามารดาจึงพร้อมใจนำท่านไปฝากให้เรียนหนังสือที่วัดจวนละเหยียนเหนือ ซึ่งมีพระภัททันตะปุญญมหาเถระเป็นเจ้าอาวาสและพระอาจารย์ ได้รับการศึกษาเริ่มต้นตั้งแต่ นโม พุทฺธาย สิทฺธ ตลอดไปจน ทศมหาชาดก ซึ่งเป็นวิชชาพื้นฐานการศึกษาพระพุทธศาสนาของเยาวชนพม่า ไปได้สักระยะหนึ่ง พระภัททันตะ ปุญญมหาเถระก็ถึงแก่มรณภาพ เด็กชายหม่องขิ่น เลยจำเป็นต้องย้ายที่เรียนไปที่วัดโชติการาม อำเภอสะโจ เมืองปะคุกกู่ โดยมีพระภัททันตะ ญาณมหาเถระเป็นพระ


อาจารย์อนุศาสน์สั่งสอนสืบต่อมา

เวลาผ่านไปจนเด็กชายหม่องขิ่น มีอายุได้ 15 ปี เมื่อปีพ.ศ. 2469 จึงได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดโชติการามนั่นเอง โดยมีท่านพระภัททันตะ ญาณมหาเถระ เจ้าอาวาสเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “อาสโภ” จากนั้น ท่านพระอาจารย์ก็ได้การอบรมสั่งสอนระเบียบวินัยข้อวัตรปฎิบัติต่างๆ ตลอดจนให้การศึกษาไวยกรณ์บาลีมหากัจจายน์ และพระอภิธรรมมัตถสังคหะอรรถกถา อันเป็นพื้นฐานการศึกษาพระบาลีพระไตรปิฏกของคณะสงฆ์พม่าเป็นลำดับมา


กาลต่อมา เมื่อท่านพระภัททันตะ ญาณมหาเถระผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ได้พิจารณาแล้ว เห็นว่า อันสามเณรอาสโภรูปนี้ มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด สามารถที่จะศึกษาพระปริยัติธรรมชั้นสูงได้อย่างไม่ต้องสงสัย ท่านจึงได้อาสภสามเณรนี้ไปถวายตัวให้กับท่านพระภัททันตะ ปัญญามหาเถระ อัครมหาบัณฑิต ปัญจนิกายปารคู สะยาดอร์ ผู้เป็น”คณะปาโมกข์” ณ. “มหาวิสุตารามมหาวิทยาลัย” ซึ่งเป็นวิทยาลัยสงฆ์ของพม่า มีพระจากทั่วประเทศมาศึกษาบาลีนับเป็นจำนวนพันๆรูปเลยทีเดียว สามเณรอาสโภก็ได้ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างไม่ลดละเป็นการถาวร ที่มหาวิสุตารามหาวิทยาลัยนั้น โดยท่านได้ศึกษาพระคัมภีร์ชั้นสูงต่างๆ เช่น พระคัมภีร์อภิธานฉันปกรณะ อลังการะ รูปสิทธิ สัททนีติ พระคัมภีร์กังขาวิตรณีอรรถกถา และพระคัมภีร์อภิธัมมัตถวิภาวินีฏีกา จนแทงตลอดอย่างดียิ่งเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อปีพ.ศ.2473 อาสภสามเณร ซึ่งมีอายุได้ 20 ปีบริบูรณ์จึงได้กลับอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนอย่างสมภาคภูมิ ณ วัดจวนละเหยียน อ. เยสะโจ จังหวัดปะคุกกู่ ที่บ้านเกิดแห่งท่าน เมื่อ 17ฯ 8 ปีมะแม จุลศักราช 1293 ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 21 กรกฏาคม พ.ศ. 2473 โดยมีพระภัททันตะ ญาณมหาเถระเป็นพระอุปัชฌาย์ พระภัททันตะ อูเกลาสะมหาเถระ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระภัททันตะ อูปัญญามหาเถระ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาในทางพระพุทธศาสนาตามเดิมว่า “อาสโภ” จากนั้น พระอาสภะภิกขุ ก็ได้เดินทางกลับไปศึกษาพระปริยัติธรรมชั้นสูงที่มหาวิสุตารามมหาวิทยาลัย กับพระมหาเถระผู้ทรงคุณอย่างยอดเยี่ยม ระดับ”อัครมหาบัณฑิต”และ”อภิชมหารัฐคุรุ”เป็นหลายองค์ จนที่สุด พระภิกษุอาสโภก็ได้สำเร็จการศึกษาชั้น”ธัมมาจริยะ”ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดแห่งการศึกษาของคณะสงฆ์พม่า เมื่อปีพ.ศ. 2480 เมื่อท่านมีอายุได้ 27 ปีเท่านั้น



แต่แม้พระอาสภภิกขุสังฆะเจ้า จะได้ผ่านการศึกษาพระปริยัติธรรมชั้นสูงมามากมายอย่างนี้ แต่พระภัททันตะ อาสภะ ธัมมาจริยะ ก็ยังไม่ประสงค์ที่จะหยุดศึกษาต่อแต่เพียงเท่านั้น แต่ท่านปรารถนาที่จะได้ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ความเป็นพหูสูตให้ยิ่งๆขึ้นไปอีก พระอาสภะ ธัมมาจริยะจึงได้ออกจากมหาวิสุตารามมหาวิทยาลัย ไปศึกษาธรรมะเพิ่มเติมจากพระมหาเถระผู้มีชื่อเสียงเกริกไกรในสมัยนั้นอีก อันมี
1.พระคุณท่านภัททันตะ นารทมหาเถระ อัครมหาบัณฑิต ปัญจนิกายปารคู วัดทักขิณาราม นครมัณฑเลย์
2. พระคุณท่านภัททันตะ โกญทัญญะมหาเถระ อัครมหาบัณฑิต วัดพญาจีใต้ กรุงย่างกุ้ง
3.พระคุณท่านภัททันตะ นันทิมามหาเถระ อัครมหาบัณฑิต ปัญจนิกายปารคูสันจอง สะยาดอร์ วัดขิ่มมะกัน นครมัณฑเลย์
4.พระคุณท่านภัททันตะ นันทิยมหาเถระ วัดตูมอง นครอมรปุระ ซึ่งมีสมญานามพิเศษว่า “พระอาจารย์ใหญ่สะยาดอร์ดัง “ญะหวา” (ทไวไลท์) เพราะท่านมีเทคนิคพิเศษในการสอนพระอภิธรรมอันลึกซึ้งใน”ความมืด”แห่งรัตติกาล โดยไม่ต้องใช้ไฟส่องสว่างและหนังสือหนังหามาประกอบการสอนแต่อย่างไรทั้งสิ้น เป็นการ”ถ่ายทอด”กันจาก”ใจ”ถึง”ใจ”โดยตรง เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
5. พระคุณท่านภัททันตะวิมลมหาเถระ อัครมหาบัณฑิต วัดมงคลเก่า นครอมรปุระ ซึ่งท่านองค์นี้ มีสมญานามว่า “ท่านอาจารย์ใหญ่โมกุกสะยาดอร์ “ มีคุณวิเศษที่สามารถสอนพระพุทธวจนะได้อย่างแม่นยำและถูกต้องถ่องแท้ อีกทั้งท่านยังเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง ซึ่งเมื่อท่านภัททันตะ วิมลมหาเถระได้มรณภาพลง ก็ได้ปรากฏเหตุการณ์ปาฏิหาริย์เป็นหลายประการ สร้างความอัศจรรย์แก่มหาชนทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง

ท่านพระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ ได้ใช้เวลาศึกษาความรู้พิเศษเพิ่มเติมจากพระคณาจารย์ผู้ทรงธรรมวิเศษยอดเยี่ยมเห็นปานนี้ถึง 3 ปี จึงได้เดินทางกลับคืนมาสู่มหาวิสุตารามมหาวิทยาลัย บรรดาพระมหาเถระ คณะปาโมกข์ฝ่ายคันถธุระแห่งมหาวิทยาลัย เมื่อได้ทราบความเป็นมาเป็นไปของท่านอาสภเถระ ธัมมาจริยะแล้ว ก็มีความยินดีพอใจอนุโมทนาเป็นอย่างมาก จึงมีมติเป็นเอกฉันท์แต่งตั้งท่านให้เป็น”คณะวาจกะสะยาดอร์” คือเป็น”พระคณาจารย์ชั้นผู้ใหญ่”ประจำมหาวิทยาลัย เพื่อให้การอนุศาสน์สั่งสอนพระภิกษุสามเณรโดยทั่วไปตั้งแต่ปีพ.ศ.2483 เรื่อยมา ซึ่งทั้งมหาวิทยาลัยมหาวิสุตารามนี้ มีพระอาจารย์ใหญ่ระดับ”คณะวาจกะ”เพียง”7”องค์เท่านั้น


“สู่เส้นทางวิปัสสนา”

ท่านพระอาจารย์ภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ คณะวาจกะสะยาดอร์ ได้บำเพ็ญองค์เป็นพุทธสาวกชั้นเยี่ยม โดยการสั่งสอนพระพุทธธรรมแก่พระภิกขุสังฆะทั้งหลาย อันเป็นการธำรง”พระปริยัติศาสนา”ให้คงอยู่มาเป็นเวลาช้านาน ประมาณ กว่า 1 ทศวรรษ จนกระทั่งปีพ.ศ. 2493 เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ท่านพระอาจารย์ภัททันตะ อาสภเถระฯ ได้หักเหจาก”อาจารย์บอกธรรม”มาเป็น”วิปัสสนาจารย์”โดยสมบูรณ์ เมื่อท่านได้มีโอกาสพบกับพระภัททันตะ คันธมหาเถระ อัครมหาบัณฑิต ผู้มีเกียรติคุณสูงเด่นในวิชาการชั้นสูง อันเป็นที่ยอมรับของมหาชนทั้งหลายโดยทั่วไป โดยเมื่อท่านได้สนทนากับท่าน”คันธมหาเถระ”พอสมควรแล้ว ท่านพระคันธมหาเถระ ก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งส่งให้ พร้อมกับสั่งกำชับว่า “จงอ่านให้ได้” ซึ่งพระอาสภเถระเมื่อได้ลองอ่านดู ก็พบว่า หนังสือนั้นมีชื่อว่า “แนวปฏิบัติวิปัสสนา” ซึ่งรจนาโดย”พระอาจารย์ภัททันตะโสภณมหาเถระ อัครมหาบัณฑิต” หรือ”พระอาจารย์มหาสี สะยาดอร์”



หมายเหตุ,ท่าน”พระมหาสี สะยาดอ” สุดยอดพระวิปัสนาจารย์แห่ง


เมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์ องค์นี้ นับเป็นพระ ผู้แตกฉานในพระวิปัสนากรรมฐานอย่างแจ่มแจ้งแทงตลอดอย่างยิ่ง จนได้รับเกียรติสูงสุดให้เป็น”ปุจฉกะ”(ผู้ถาม)ในการกระทำสังคายนาพระไตรปิฏกครั้งที่ 6 ของโลก ที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์ เมื่อปีพ.ศ. 2496 โดยทำหน้าที่เดียวกับ”พระมหากัสสปะเถระ”ที่ทำหน้าที่ซักถามพระวินัยแก่”พระอุบาลีเถระ”ในคราวสังคายนาพระไตรปิฏกครั้งแรกนั่นเลยเทียว..!!!!!



และเมื่อพระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ อ่าน”แนวทางปฏิบัติวิปัสสนา”ที่เขียนโดยท่านพระอาจารย์มหาสี สะยาดอร์จบ ท่านอาสภเถระ ก็บังเกิดความอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งว่า



“ในสมัยปัจจุบันทุกวันนี้ การปฏิบัติวิปัสสาที่ถูกต้องและได้ผลจริงยังมีอยู่อีกหรือนี่..?????”


เป็นพระวิปัสสนาจารย์ผู้บอกพระกรรมฐาน ด้วยความเข้มงวดกวดขันเป็นอย่างยิ่ง โดยเมื่อพระภัททันตะ อาสภเถระ ฯ ได้ปฏิบัติไปๆ ก็ให้อัศจรรย์ใจในผลของการบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานเพิ่มมากยิ่งขึ้นทุกวัน และที่สุด ก็ได้”บรรลุ”ถึงผลสมดังความมุ่งหมาย วิจิกิจฉาความลังเลสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานใดๆที่เคยค้างคาใจมาแต่กาลก่อน ก็ล้วนปลาสนาการหายไปจนหมดสิ้น การเป็นที่น่าอนุโมทนาสาธุการเป็นอย่างยิ่งที่สุดเลยทีเดียว....




“สืบสายธรรมแท้จากพระอรหันต์ครั้งพุทธกาล”

มหาเหตุที่สำคัญอย่างยิ่งยวดประการหนึ่ง ซึ่งทำให้ท่านพระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ คณะวาจกะ สะยาดอร์ ได้บรรลุธรรมเบื้องสูงดังกล่าวมานั้น ก็เห็นจะเป็นการที่ท่าน ได้มาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่”ถูกต้องร่องรอย”ตาม”พระพุทธวจนะ”แห่งองค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่าง”แท้จริง”นั้นเอง

เหตุดังกล่าวย่อมปรากฏชัดว่า อันแนวทางการปฏิบัติวิปัสสนาที่ท่านพระอาจารย์มหาสี สะยาดอร์ได้สอนนั้น เป็นวิธีการสอนวิปัสสนาที่ใช้สืบทอดกันมาเป็นเวลาช้านาน โดยสืบวิปัสสนาวงศ์มาแต่องค์”พระอรหันต์”ผู้เป็นสัทธิวิหาริก(ลูกศิษย์) ของท่าน”พระมหาโมคคัลลีบุตรสังฆวุฒาจารย์” ที่พระเจ้าอโศกมหาราช ได้อาราธนามาประดิษฐานบวรพระพุทธศาสนา เผยแผ่พระพุทธธรรมยังสุวรรณภูมิประเทศเมื่อ 2000 กว่าปีที่ แล้วอย่างแท้


“ความผิดเพี้ยน”หรือ”คลาดเคลื่อน”จากหลักธรรมที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนไว้ ซึ่งไม่ปรากฏแต่อย่างใด นี่คือความสำคัญอย่างเอก และเป็นอานิสงส์โดยตรงของการที่ชนชาวพม่า มีความศรัทธามั่นคงใน”พระพุทธ”และ”พระธรรม”เป็นยอดทั้งสิ้น
 

 

โอกาสที่”สัทธรรมปฏิรูป”หรือ”ธรรมะปลอม” ที่ไม่ว่าจะเกิดจากการ”หลงนิมิต”หรือ”กรรมฐานเพี้ยน”เพราะถูกกิเลสหลอกให้”เห็นผิดเป็นชอบ” หรือเห็น”น้ำตาลเป็นเกลือ”หรือ”เกลือเป็นน้ำตาล” จึงยากที่สุดจักสอดแทรกเข้ามาแทนที่พระพุทธธรรมอันพิสุทธิ์ได้ นี้แล จึงก่อให้เกิดเป็นมหาคุณูปการอันยิ่งใหญ่ที่สุด ต่อทั้งชนชาวพม่าเองและพุทธศาสนิกชนประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง ที่อาจจะยังพอ”ยึดถือ”และ”พึ่งพาอาศัย” ได้บ้าง เมื่อต้องการศึกษา”ของจริงของแท้” ที่ไม่ใช่เรื่อง”ฝันในฝัน”กลางคืนดึกๆ หรือ กลางวันแสกๆ ที่มี”ที่สุดแห่งการปฎิบัติ”ก็คือการ”บริจาคเงิน”เพื่อแลกกับ”โลกีย์”หรือ”กามสุข” (ลาภ ,ยศ,สรรเสริญ)แบบ”โลกๆ” แทนที่จะสอนคนให้”หลุดพ้น”จากวัฏฏะอย่างสิ้นเชิงตามรอยบาทแห่งพระพุทธองค์ เหมือนอย่างบางสำนัก บางวัด ในบางประเทศนิยมทำกันแต่อย่างไรทั้งสิ้น


และก็ด้วยอานิสงส์ดังว่านี้เอง “ประเทศไทย”ของเรา จึงพลอยได้รับอานิสงส์พิเศษสุด จากความมั่นคงในพุทธธรรมของชาวพม่า เมื่อ “พระพิมลธรรม” (อาจ อาสภมหาเถระ) วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ กรุงเทพมหานคร (ที่ต่อมาได้รับโปรดเกล้าสถาปนาให้เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่”สมเด็จพระพุฒาจารย์ ) ซึ่งเมื่อปีพ.ศ.2495 ท่านมีตำแหน่งเป็น”สังฆมนตรี” ว่าการองค์การปกครอง ได้เกิดมหากุศลจิตที่ประสงค์จะให้เกิดการบำเพ็ญวิปัสสนาที่”ถูกต้อง”ขึ้นในประเทศไทย และเมื่อท่านพระพิมลธรรมได้พิจารณาด้วยจิตใจที่เป็น”กลาง”อย่างยิ่งแล้ว พบว่า การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ประเทศพม่านั้น มีความ”ถูกต้องแม่นยำ”และ”ไม่ผิดเพี้ยน”จากพระพุทธวจนะ เพราะเหตุที่สืบสายมาโดยตรงจากพระอรหันต์ผู้เป็นศิษย์ใน”พระโมคคัลลีบุตรอรหันตเถระ”สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชอย่างแท้จริง สมควรที่จะยึดถือเป็นแบบอย่างได้อย่างมั่นใจ สมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ อาสภมหาเถระ) หรือ”พระพิมลธรรม” ในสมัยนั้น จึงได้ส่ง”ศิษย์เอก”ท่านหนึ่งของท่าน คือ” พระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ” เปรียญธรรม 9 ประโยค (ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์สูงขึ้นมาเรื่อยๆจนที่สุดได้เป็นที่”พระเทพสิทธิมุนี” พระวิปัสสนาจารย์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังกลางกรุงเทพมหานครในเวลาต่อมา ซึ่งมีจิตใจฝักใฝ่ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างยิ่ง ให้ไปเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่”สำนักวิปัสสนาสาสนยิตสา” ที่ฯพณฯ อูนุ อดีตนายกรัฐมนตรีพม่าในสมัยนั้นได้สร้างขึ้นที่เมืองย่างกุ้ง โดยได้ฝากให้อยู่ในความดูแลของท่านพระอาจารย์โสภณมหาเถระ หรือ”ท่านพระอาจารย์มหาสี สะยาดอร์” ซึ่งเป็นเจ้าสำนักใหญ่อยู่ในขณะนั้น ซึ่งพระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ ก็ได้ตั้งใจเร่งความเพียรในการปฏิบัติธรรมอย่างดียิ่ง โดยท่านพระอาจารย์มหาสี สะยาดอร์ ก็ได้มอบหมายให้
”พระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ” ศิษย์เอกของท่านซึ่ง”บรรลุธรรม”มาแต่ก่อนเรียบร้อยแล้ว คอย”ดูแล”และ”สอบอารมณ์”ท่านพระมหาโชดก แทนท่านซึ่งมีภารกิจแห่งความเป็นเจ้าสำนักมากมาย ทำให้ไม่อาจจะมาคอยควบคุมและสอบอารมณ์พระกรรมฐานได้ทุกวัน ด้วยเหตุนี้ ท่านพระอาจารย์ภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ จึงได้เป็นเสมือนหนึ่งเป็น”พระพี่เลี้ยง”ในท่านเจ้าคุณ”พระเทพสิทธิมุนี” หรือ”พระมหาโชดก ญาณสิทฺธิ”ไปโดยปริยาย

 จำเนียรกาลแห่งการปฏิบัติธรรมพระกรรมฐานในสำนักสาสยิตสาของพระมหาโชดก ญาณสิทฺธิผ่านไปเพียง 3 เดือน ท่านพระมหาโชดกก็ได้”สำเร็จวิปัสสนา”สมดังความมุ่งหมาย เป็นที่น่าอนุโมทนาสาธุการอย่างยิ่ง ท่านพระมหาโชดกจึงเตรียมเดินทางกลับมายังประเทศไทย ท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรมจึงได้ทำเรื่องไปยัง”สภาการพระพุทธศาสนาแห่งพม่า”ขอให้ส่งพระวิปัสสนาจารย์ผู้มีความเชี่ยวชาญมาสอนวิปัสสนากรรมฐานในประเทศไทยด้วย ซึ่งทางสภาการพระพุทธศาสนาก็ได้มอบหมายให้ท่านพระอาจารย์มหาสี สะยาดอร์เป็นผู้คัดเลือก ผลก็ปรากฏว่า ท่านได้เจาะจงเลือก”พระภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ”ให้รับภาระหน้าที่อันสำคัญนี้ โดยสั่งกำชับไว้ด้วยว่า “จงอย่าขัดข้องหรือปฏิเสธเลย” ด้วยเหตุนี้ ท่านพระอาจารย์ภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ ผู้ทรงภูมิรู้แห่งวิปัสสนาวิธีจากลุ่มแม่น้ำอิระวดี จึงมีอันได้เดินทางจากปิตุภาค มาตุภูมิเดิม มาเป็นพระอาจารย์บอกพระกรรมฐานอยู่ที่คณะ 5 วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2596 เป็นต้นมา

“พระมหารัตนวิปัสสนาจารย์แห่งยุคกึ่งพุทธศาสนยุกาล”

ก็เมื่อท่านพระอาจารย์ภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ ได้เดินทางมาบอกพระกรรมฐานที่ประเทศไทยเป็นการถาวรตามคำบัญชาของพระอาจารย์มหาสี สะยาดอร์ ผู้เป็นพระมหาบูรพาจารย์แล้ว ท่านก็ได้ร่วมกับพระมหาโชดก ญาณสิทธิ ทำการเผยแพร่วิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่ถูกต้องร่องรอยตามพระพุทธวจนะในพระไตรปิฏกและตามแนวแห่งปฐมอรหันต์ผู้มาประดิษฐานพระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิเมื่อ 2 พันกว่าปีก่อน เพื่อสนองพระคุณพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างทุ่มเทและตั้งอกตั้งใจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งก็ได้มีพระภิกษุสามเณรตลอดจนบุคคลทุกระดับชั้น ทุกสาขาวิชาชีพ สนใจศรัทธามาขอเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นจำนวนมาก จนเป็นที่”ปรากฏผล”และ”บรรลุธรรม”จากการปฏิบัติแนวทางที่ถูกต้องนี้ตามควรแก่บุรพวาสนาแห่งตนมากมาย

ที่มีชื่อเสียงเกียรติคุณสูงส่งและโดดเด่นเป็นพิเศษ ก็มีอาทิเช่น
1. สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี พระราชมารดาแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน http://www.gmwebsite.com/Webboard/Topic.asp?TopicID=Topic-080308142424564

หมายเหตุ , สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่งทรงมีอัธยาสัยใฝ่ธรรมมาแต่ดั้งเดิม ก็ได้เคยเสด็จมาทรงเจริญพระวิปัสสนากรรมฐาน กับท่านพระอาจารย์ภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ และท่านเจ้าคุณโชดก ญาณสิทฺธิ ที่คณะ 5 วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ กรุงเทพมหานคร ด้วยพระราชศรัทธาอย่างเปี่ยมล้น เมื่อปีพ.ศ. 2498 จนเป็นที่รับรู้กันว่า สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้ทรง”บรรลุธรรม” ชั้นสูงแล้ว คุณแห่งพระวิปัสสนาที่ทรงสำเร็จ ก็ยิ่งส่งเสริมให้พระองค์ทรงเป็น”บริสุทธิเทพ”ยิ่งกว่า”เทพ”ใดๆ สมกับที่ทรงสถิตสถาพรอยู่เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม เป็นทั้ง”ศักดิ์”และ”ศรี”แห่งบ้านแห่งเมืองไทยนี้ทั้งหมดแล้วอย่างแท้จริง
2. พระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัล ) วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี พระวิปัสสนาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในยุคนี้ มีผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและพระพุทธศาสนามากมาย อีกทั้งยังเคยเป็น”ศิษย์ใกล้ชิด”ของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำมาแต่ก่อน และ”รู้เห็น”การที่หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ มา”แก้กรรมฐาน”กับท่านพระอาจารย์ภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ และท่านเจ้าคุณโชดก ที่วัดมหาธาตุด้วยองค์เองอีกด้วย
3. พระราชอุทัยกวี(พุฒ) วัดมณีสถิตย์ อ. เมือง จ.อุทัยธานี พระอริยคณาจารย์องค์สำคัญผู้มีชื่อเสียงเกียรติคุณและเป็นที่เคารพนับถือของชาวอุทัยธานีอย่างกว้างขวางในยุคร่วมสมัยนี้
4. พระสุธรรมญาณเถระ (ครูบาอินทจักรรักษา) วัดน้ำบ่อหลวง อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่
หมายเหตุ, ครูบาอินทจักรรักษานี้ เป็น”พระพี่ชาย”แท้ๆของหลวงพ่อพระพุทธบาทตากผ้า อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ของพระอริยสงฆ์องค์สำคัญอีกองค์หนึ่งของอ.สันป่าตอง ซึ่งก็คือ “หลวงปู่ครูบาเจ้าบุญปั๋น ธัมมปัญโญ” พระอรหันตเจ้า แห่งวัดร้องขุ้ม ด้วย ซึ่งอาจจนับได้ว่า หลวงปู่ครูบาเจ้าบุญปั๋นนี้ เป็น”หลานศิษย์”ของสำนักกรรมฐาน วัดมหาธาตุ ที่มี”หลวงพ่อภัททันตะ อาสภเถระฯ” เป็น”อาจารย์ใหญ่”ก็ว่าได้ไม่ผิดเลย
5. พระสุพรหมญาณเถระ (ครูบาพรหมา พรหมจักโก) วัดพระพุทธบาทตากผ้า อ.ป่าซาง จ.ลำพูน
หมายเหตุ, พระอริยเจ้าองค์สำคัญที่สุดองค์หนึ่งแห่งภาคหนึ่ง ถึงขนาดที่”ครูบาเจ้าศรีวิไชย นักบุญแห่งล้านนาไทย”ยังต้อง”ขอดูตัว” ซึ่งทรง”อภิญญา”อันยิ่งใหญ่ และทรงอิทธิจิตอันแก่กล้าถึงขนาดสามารถ”เหยียบศิลาแลงทั้งแท่งให้เป็นรอย”เหมือนหนึ่งเหยียบลงในดินเลนที่อ่อนนุ่มได้เป็นมหัศจรรย์ (ยังปรากฏรอยเท้าในแผ่นหินเป็นหลักฐานอยู่ที่หลังวัดพระพุทธบาทตากผ้าจนถึงทุกวันนี้) ก็เคยมาเรียนพระกรรมฐานที่คณะ 5 วัดมหาธาตุ กับท่านหลวงพ่อภัททันตะ อาสภเถระฯ และท่านเจ้าคุณโชดก ญาณสิทฺธิ ในครั้งหนึ่งด้วย
6. พระครูวรวุฒิคุณ (หลวงปู่ครูบาอิน อินโท )วัดฟ้าหลั่ง กิ่งอ.ดอยหล่อ จ. เชียงใหม่ พระอริยเจ้าอาวุโสสายเหนือผู้บรรลุคุณธรรมสูงสุด และอิทธิฤทธิ์บุญฤทธิ์อย่างยอดยิ่ง ที่แม้แต่หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ. เชียงดาว จ.เชียงใหม่ พระอริยเจ้าสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ก็ยังให้ความเคารพยกย่องเป็นพิเศษ ก็เคยลงมาฝึกกรรมฐานกับหลวงพ่อภัททันตะ อาสภเถระ ที่คณะ 5 วัดมหาธาตุ เช่นเดียวกัน
7. ”พระเทพมงคลมุนี”หรือที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางที่สุดทั่วไปในนาม ”หลวงพ่อสด จันทสโร”แห่งวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ผู้สร้าง”พระของขวัญ วัดปากน้ำ”อันบันลือลั่นที่สุดนั่นแล



หมายเหตุ , การที่หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ต้นตำรับ”วิชชาธรรมกาย”อันโด่งดัง ได้มา”แก้กรรมฐาน” ตามแนว”สติปัฏฐาน”ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริงกับพระอาจารย์ภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะ และท่านเจ้าคุณโชดก ญาณสิทฺธิ นี้ เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว”จริง” มีหลักฐานทั้ง”วัตถุ”และ”บุคคล”ชั้นที่ 1 (ภาษากฏหมาย) ที่”เจ้าตัว”ได้จดบันทึกไว้เอง” หรือ”รู้เห็นทันเหตุการณ์ด้วยตนเอง”ยืนยันไว้อย่าง”หนาแน่น”ที่สุดทั้งสิ้น
1. ก็คือ “จดหมายเปิดผนึกพร้อมรูปถ่ายลายเซ็นรับรอง” ที่หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ได้เขียนและนำมามอบถวายไว้ที่คณะ 5 วัดมหาธาตุด้วยองค์เอง
2. “คำบอกเล่า”ของ “พระธรรมสิงหบุราจารย์”หรือ “หลวงพ่อจรัล ฐิตธัมโม” พระวิปัสสนาจารย์ชื่อดัง ก้องฟ้าเมืองไทย แห่งวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ซึ่งท่านได้เคยเป็น”ศิษย์ใกล้ชิด”ของหลวงพ่อสด และ”อยู่ในเหตุการณ์”ตั้งแต่ต้นจนอวสานทั้งหมด และได้เคย”เล่า”เรื่องราวที่มีผลโดยตรงต่อ”ความมั่นคง”ของ”พระพุทธธรรม”และ”บวรพระพุทธศาสนา”โดยองค์รวมนี้ทั้งโดยการ”เทศน์”และ”ตีพิมพ์”เป็นหนังสือไว้เป็นหลักฐานในหลายที่หลายแห่ง เป็นหลายครั้งหลายครา ซึ่งจะขออนุญาตอัญเชิญมาถ่ายทอดให้ได้รับทราบกันทั่วไปในโอกาสต่อไป

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

110
ร่วมแสดงความอาลัยด้วยครับ  :070:

111
เกิดมาพบพระพุทธศาสนายากแค่ไหน เกิดมาเป็นโมฆะหรือเปล่า


การได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาและมีผู้ชี้ธรรม ยากที่สุด

หนูๆนี้ถือว่าโชคดีกว่าใครๆ เพราะว่าได้มาสวดมนต์ไหว้พระ ปฏิบัติธรรม อฐิษฐานจิตตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆในขณะที่เด็กๆคนอื่นเขาไปวิ่งเล่นกัน ไปเล่นเกมกัน วันนี้แม้จะถูกพ่อแม่บังคับมาก็ถือว่าดี เกิดมาครั้งหนึ่งได้มีโอกาสอย่างนี้ประเสริฐมากนะ คนในโลกนี้มีหลายล้านคน โอกาสที่จะมาฟังธรรมปฏิบัติธรรมแบบนี้ยากมาก พระพุทธองค์ตรัสว่ายากที่สุด การที่หนูๆทุกคนได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนามีคนสอนธรรมชี้ธรรมให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ซึ่งเป็นหลังธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมามาสัมพุทธเจ้านั้น พระพุทธองค์ตรัสว่ายากที่สุด พระสาวกได้กราบทูลถามพระพุทธองค์ว่าที่ยากที่สุดนั้นมันขนาดไหนพระพุทธองค์ตรัสว่าหาที่เปรียบประมาณไม่ได้เลยว่ายากขนาดไหนแต่ที่พอจะยกตัวอย่างได้ก็คือ สมมุติว่าแผ่นดินนี้กลายเป็นท้องทะเลมหาสมุทรใหญ่ และใต้ท้องก้นทะเลมหาสมุทรใหญ่มีเต่าตาบอดสองข้างอยู่ตัวหนึ่ง หนึ่งร้อยปีจะโผล่ขึ้นมาหายใจเหนือผิวน้ำหนึ่งครั้ง คนในโลกนี้พยายามโยนแอกที่มีขนาดคล้องคอเต่าได้พอดี เมื่อไหร่ที่แอกนั้นไปสวมคอเต่าตาบอดตัวนั้นได้ จึงจะได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนามาฟังธรรมอย่างท่านทั้งหลายนี้ พระพุทธองค์ถามว่าโอกาสที่แอกจะสวมคอเต่าตาบอดตัวนั้นได้ยากหรือไม่ พระสาวกทั้งหลายตอบว่ายากมากดังนั้นการที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วปล่อยให้โอกาสนี้มันผ่านไปเลยไปถือว่าเป็นโมฆะสูญเปล่าไปเสียสิ้นเลย โอกาสจะกลับคืนมาเป็นครั้งที่สองนั้นยากจริงๆฉะนั้นการที่ท่านได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้มีโอกาสฟังธรรมอย่างนี้ถือว่าประเสริฐสุด บุญกุศลที่ท่านได้มาปฏิบัติธรรมนี้ ก็จะเป็นบุญกุศลผลบุญบารมีติดจิตท่านไป ถ้าท่านปฏิบัติไม่สำเร็จในชาตินี้ บุญกุศลที่ท่านได้มีโอกาสมาฟังธรรม มาปฏิบัติธรรมนี้ก็จะเป็นหนึ่งในสิบอย่างของบิญสิบประการที่ส่งผลให้ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก มีโอกาสมาฟังธรรมอีก ฉะนั้นท่านทั้งหลายที่มาปฏิบัติธรรมก็ถือว่าโชคดี บุญบารมีอื่นๆนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสว่า ได้แก่ การให้ทาน รักษาศีล และภาวนา

การให้เป็นทาน ผลที่ได้เป็นบุญ

ทาน ก็คือการให้หรือการสละออก สิ่งใดที่ท่านให้ออกไปไม่ว่าจะให้อาหาร ให้เงินทอง ให้ที่อยู่อาศัย ให้เครื่องนุ่งห่มที่เก่าๆไม่ได้ใช้แล้ว ให้ยารักษาโรค บริจาคเงินให้สัตว์หรือมนุษย์ วัดวาอาราม โรงพยาบาล สร้างโรงพยาบาล ถนนหนทางที่เป็นสาธารณะทั้งการให้ทานด้วยแรงกาย น้ำใจ และพูดให้เขาสบายใจคลายจากทุกข์ ล้วนแต่เป็นการให้ทานทั้งสิ้น รวมทั้งท่านตักบาตรพระ ก็เรียกว่าให้ทาน ถวายจีวร ถวายพระพุทธรูป ถวายกุฏิ ก็เรียกว่าให้ทาน แต่พระสงฆ์ที่ไม่เจาะจง เรียกว่าถวายสังฆทาน แต่บางคนเข้าใจผิดว่าเวลาถวายพระเรียกว่าทำบุญ เวลาให้คนธรรมดาไปเรียกว่าทำทาน ความจริงนั้นเป็นการให้ทานทั้งหมดทั้งให้พระให้คนและให้สัตว์ทั้งหลายที่เรียกว่าให้ทาน ดังนั้นทานที่ให้แก่พระสงฆ์ เขาถึงเรียกว่าสังฆทาน ไม่เรียกว่าสังฆบุญ แต่ผลที่ได้รับคือใจเป็นบุญ ใจเป็นกุศล ใจอิ่มเอิบ ใจเป็นสุข เรียกว่าได้บุญ บุญ คือใจที่เป็นสุข ใจที่อิ่มเอิบ ซึ่งมีผลเกิดมาจากที่ได้ทำทานได้ถวายทานนั้นแล้วทำให้ใจอิ่มเอิบเป็นสุข นึกทีไรก็อิ่มใจทุกที เรียกว่าได้บุญ

บุญนั้นเกิดจากใจ
หากให้ทานดวยใจที่เศร้าหมอง ย่อมได้บาป

คนทั้งหลายไม่เข้าใจว่าบุญนั้นเกิดจากใจ เมื่อตั้งใจที่จะนำของไปถวาย มันก็เป็นบุญตั้งแต่อยู่ที่บ้านแล้ว ไม่ใช่ว่าท่านต้องฉันเสียก่อนถึงจะได้บุญในตอนนั้น สมมุติตั้งใจว่าวันพรุ้งนี้จะอาหารดีๆหรือเตรียมข้าวของไปถวายสังฆทาน แต่บังเอิญไปเสียชีวิตกลางทางสะก่อน บุญนั้นเกิดขึ้นแล้วแก่ใจ ไม่ทันต้องไปถวายกับท่าน บุญนั้นก็ติดจิตทันที เมื่อจิตดับก็นึกถึงบุญกุศลที่ตั้งใจไว้นั้น ก็ได้เสวยบุญทันที บุญจึงไม่ได้เกิดจากการที่เอาของนั้นไปถวายที่มือท่านแล้วจึงจะได้บุญ หริอว่าท่านต้องฉันจึงจะได้บุญ บุญเกิดจากใจ เมื่อเจตนาที่จะทำอย่างแน่วแน่แล้ว แม้จะมีอะไรมาทำให้เป็นอุปสรรค หรือทำให้เราไม่ได้ไปทำอย่างที่เราตั้งใจ ก็ได้บุญแล้ว เพราะบุญเกิดจากใจ ความไม่เข้าใจตรงนี้ของคนทั้งหลายนั้นคลาดเคลื่อนกันเป็นจำนวนมาก เพราะเข้าใจว่าบุญเกิดจากวัตถุ หากให้ทานแล้วใจเศร้าหมอง ก็ไม่เรียกว่า ได้บุญกลับได้บาป เพราะบาป คือ ใจที่เศร้าหมอง ใจที่ไม่ผ่องใสเรียกว่าได้บาป ไม่ใช่ว่าได้บุญ ถ้าตรงนี้เข้าใจผิดแล้วก็จะคลาดเคลื่อนมากเลย อย่างหนูๆมาฟังให้เข้าใจตั้งแต่เป็นเด็กนั้นดีมากเคยพาศิษย์ไปถวายอาหารพระอริยสงฆ์ อาหารที่ต่างคนต่างนำมาถวายมีมาก ท่านฉันไม่หมด ฉันได้นิดหน่อย แต่ผู้ถวายมีความรู้สึกว่าอุตส่าห์ทำมาทั้งคืน คัดสรรแต่อาหารดีๆ คุณภาพดีๆเพื่อจะมาถวายให้ท่านฉัน แต่ท่านไม่ฉันของเราเลย ชะเง้อคอดูหลวงปู่ไม่ได้ฉันเลย เดี๋ยวชะเง้อคอดูอีกแล้ว หลวงปู่ไม่ได้ฉันสักที ชะเง้อไปชะเง้อมา ใจมันก็เศร้าหมอง จิตตกลง ตกลง สุดท้ายแล้วมาถวายทานกับพระอริยสงฆ์ แทนที่จะได้บุญใหญ่กลับได้บาปแทนเพราะใจเศร้าหมอง ทำมาเหน็ดเหนื่อย ท่านไม่ฉันเลย นี่เรียกว่าใจเป็นบาป ใจเป็นความเศร้าหมอง ใจเป็นทุกข์ ใจไม่สบาย เรียกว่าใจเป็นบาป ใจไม่เป็นบุญ

ขณะตายใจเศร้าหมองเป็นทุกข์ตายแล้วก็ยังเป็นทุกข์

มีพี่กับน้องช่วยกันสร้างเจดีย์ถวายเป็นพุทธบูชา สร้างยังไม่ทันเสร็จทั้งพี่ทั้งน้องตายก่อน ทั้งพี่ทั้งน้องเกิดความโศกเศร้าเสียใจ ใจเศร้าหมองว่าเราสร้างเจดีย์ไม่ทันเสร็จมาตายเสียก่อนเมื่อตายวิญาณก็ไปเกิดเป็นเปรตเฝ้าเจดีย์นั้นร้องไห้ทุกวัน มีความทุกข์โศกเศร้าจิตไป นี่ตายแล้วไม่ได้พ้นทุกข์นะ ถ้าในขณะก่อนตายมีทุกข์ ตายแล้วก็ยังเป็นทุกข์ ผู้ที่คิดจะฆ่าตัวตายฟังให้ดีถ้าในขณะนั้นก่อนตายมีทุข์ ตายแล้วก็ยังไปเป็นทุกข์อีก เพราะความทุกข์นั้นติดจิตไป วิญญาณที่เกิดใหม่ของพี่กับน้องก็ร้องไห้โศกเศร้าเสียใจอยู่ข้างเจดีย์ทุกวันๆ ถึงคราวจะสิ้นกรรม บุญคงจะส่งผล หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งเป็นพรอรหันต์ เป็นพระอาจารย์ใหญ่ มีลูกศิษย์เป็นพระอรหันต์จำนวนมาก มีญาณใหญ่สามารถล่วงรู้ได้ไปปักกลดอยู่บริเวณเจดีย์ร้างนั้น เห็นพี่น้องนี้มาร้องไห้อยู่ทุกวัน จึงได้ไต่ถามว่าทำไมจึงมามีทุกข์โศกเศร้าเสียใจอย่างนี้ทั้งพี่ทั้งน้องเลยเล่าให้หลวงปู่มั่นฟังว่ามีความเสียใจมาก เพราะตั้งใจสร้างเจดีย์บูชาพระพุทธศาสนา แต่สร้างไม่เสร็จ มาถึงแก่ความตายเสียก่อนทั้งพี่ทั้งน้อง หลวงปู่มั้นเลยถามว่าบุญนี่มันติดอยู่ที่ก้อนอิฐหรือว่าบุญมันติดที่ใจ ถ้าบุญอยู่ที่ใจ บุญมันสำเร็จแล้วตั้งแต่ตั้งใจที่จะสร้าง แต่ถ้าบุญมันติดที่ก้อนอิฐ บุญนั้นยังไม่สำเร็จ เพราว่ามันยังสร้างไม่เสร็จ อันความสุขนั้นใจเป็นสุขหรือว่าอิฐมันเป็นสุข ทั้งพี่น้องได้คิดสะกิดใจขึ้นมา อ้าวก็เราได้บุญมาครบถ้วนแล้วนี่ ใจเป็นบุญตั้งแตาสร้างเจดีย์ เพราะว่าเราตั้งใจมาสร้างเจดีย์ให้เสร็จ ใครบ้างตั้งใจสร้างเจดีย์ไว้ครึ่งเดียว ก็ไม่มีเวลาตั้งใจก็ตั้งใจจะสร้างให้เสร็จ มันก็เป็นบุญทันที บุญนั้นสำเร็จตั้งแต่ตั้งใจสร้างเจดีย์ให้เสร็จแล้ว พอพี่กับน้องคิดได้อย่างนั้นเท่านั้นแหละ ความเข้าใจผิดหายไปจากใจโดยสิ้นเชิง นึกถึงบุญที่ตัวเองได้ตั้งใจสร้างเจดีย์บูชาพระพุทธศาสนา บุญก็มาสวมพรึบทันทีเลย พ้นจากภพชาติที่เป็นเปรตเฝ้าเจดีย์นั้น ด้วยอำนาจแห่งบุญที่สร้างเจดีย์นั้นเข้ามาสวมแทนความเข้าใจผิดก็เป็นบุญทันที ได้ไปเกิดใหม่ที่สวรรค์มีรูปร่างและเครื่องทรงงดงามด้วยอำนาจแห่งบุญที่ตัวเองได้สร้างเจดีย์ถวายบูชาพระพุทธศาสนาทั้งพี่ทั้งน้องก็เหาะลงมาจากสวรรค์มากราบขอบคุณหลวงปู่มั่นกลับมาใหม่งดงามผ่องแผ้วทั้งพี่ทั้งน้องรัศมีสว่างไสวเจิดจ้าด้วยอำนาจแห่งบุญที่สร้างเจดีย์บูชาพระพุทธศาสนา ขอบคุณหลวงปู่มั่นที่เมตตาชี้แนะให้เกิดปัญญาจากการที่เข้าใจผิดมาเป็นเข้าใจถูกนี่จะเห็นได้ว่าถ้าเข้าใจผิดแม้แต่ท่านสร้างทานบารมี แต่กลับได้บาป เพราะความเข้าใจผิด การทำทานแล้วถ้าเข้าใจผิดก็เป็นโทษ ดูซิ แทนที่จะได้บุญกลับเป็นโทษติดอยู่ตรงนั้น

ยึดติดสิ่งที่ตนสร้างไว้ ตายแล้วก็ไปติดอยู่ที่นั้น

กรณีผู้ที่เอาเงินทองของตัวเองไปสร้างวัดวาอาราม สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ พอสร้างเสร็จแล้วก็ยึดติดอยู่ที่นั้นว่าของกู นี่กูสร้าง ของกู ของกู เขาจึงห้ามคนคนเดียวสร้างเจดีย์ทั้งองค์ และห้ามสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้าววัดด้วยคนคนเดียวเพราว่าเงินของตัวคนเดียว ไปสร้างไว้ ก็ติดว่าของกู ของกูพอตายแล้วมันเลยไม่ไปไหนเลย เพราะมันไปยึดติดที่ตรงนั้นว่าวัดของกู เจดีย์ของกู มันไปชื่นชมไปมองอยู่เรื่อยๆ ว่าของกู ของกู พอตายแล้ววิญญาณ ไปเกิดใหม่เป็นเปรตเฝ้าอยู่ตรงนั้น แทนที่จะเสวยผลบุญได้เกิดบนสวรรค์ที่มีรัศมีงดงามสว่างไสว กลับเป็นเปรตเฝ้าโบสถ์อยู่นั่นเอง อีกรายหนึ่งมีครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่าหมาขี้เรื้อนตัวนี้มันเป็นเจ้าของวัดที่สร้างถวายท่าน แต่เมื่อสร้างวัดถวายท่านแล้วแทนที่ใจจะได้บุญ กลับยึดว่าวัดนี้ของกู คนที่มาวัดเข้าห้องน้ำทำสกปรกทิ้งเศษขยะไม่เป็นที่เป็นทาง ก็ตามด่าตามว่าเขาตลอดเวลาว่าวัดของกู วัดของกู พอตายแล้วต้องไปเกิดเป็นหมาขี้เรื้อนในวัด เหตุที่เกิดเป็นหมาขี้เรื้อน ก็เพราะว่าไปตามด่าตามว่าพวกที่มาปฏิบัติธรรม ที่มาถวายทานแด่พระอริยสงฆ์ที่วัดนั้น เลยกลายเป็นบาปกรรมติดตัวอีก รี่เพราะความเข้าใจผิดเป็น โทษมหันต์ ทำทานบารมียิ่งใหญ่มากเลยสร้างวัดทั้งวัด แทนที่จะได้บุญกลับได้บาป กรณีอย่างนี้มีมากที่คนในโลกเข้าใจผิดอย่างนี้

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

112
เวร กรรม ยถากรรม และอนันตริยกรรม


เวร

คำว่า “เวร” มาจากคำภาษาบาลี เวร แปลว่า “ความเป็นศัตรู ความพยาบาท ความปองร้าย” การที่คนดีๆ ถูกผู้ที่ไม่ได้เป็นศัตรูกันทำร้าย เชื่อว่าเป็นเวรที่ผูกกันมาแต่ชาติก่อน ทำให้ต้องมารับผลกรรมในชาตินี้ การผูกพยาบาทจองเวรต่อกันเป็นความชั่วทางใจ เมื่อคนมีความพยาบาทต่อกัน ย่อมเป็นเหตุให้คนทั้งสองฝ่ายมีจิตคิดร้ายตั้งตัวเป็นศัตรูกัน ทำให้มีแต่ความทุกข์เดือดร้อนไม่มีความสงบสุข และจะต้องหาวิธีทำร้ายกันไม่รู้จบสิ้น เช่น ตระกูล ๒ ตระกูลที่ผูกพยาบาทจองเวรกัน ต่างก็หาทางที่จะให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นอันตรายหรือพินาศ ทั้งทางร่างกายและทรัพย์สิน ทำให้ไม่มีความสงบสุข การมีใจคิดแก้แค้น จองเวรศัตรูนั้นในทางพระพุทธศาสนากล่าวว่ามิใช่จะจบสิ้นเพียงชาตินี้ แต่จะผูกพันต่อไปในชาติหน้าด้วย เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงห้ามไม่ให้ผูกเวรกัน ดังที่ตรัสสอนว่า “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร” ถ้าคิดทำร้ายศัตรู ศัตรูก็คิดจะทำร้ายตอบ ต่อเนื่องกันไปไม่สิ้นสุด แต่ถ้าคิดให้อภัย เมตตาแก่ศัตรู เวรก็จะสิ้นสุดลง

กรรม

คำว่า กรรม เป็นคำที่มาจากภาษาสันสกฤตว่า กรฺม แปลว่า การกระทำ ในทางพระพุทธศาสนาถือว่า กรรม คือการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนาและแสดงออกได้ ๓ ทาง คือ ทางกายด้วยกิริยาอาการต่างๆ ทางวาจาด้วยคำพูด และทางใจด้วยความคิดความรู้สึก มนุษย์ประกอบกรรม ๒ ประเภท คือ กรรมดีและกรรมชั่ว ในทางพระพุทธศาสนาถือว่า มนุษย์ สัตว์ มีกรรมเป็นเครื่องกำหนดความเป็นไปของชีวิต การทำกรรมดีก็ย่อมได้รับผลดี ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ถ้าเรามีเมตตาต่อสัตว์เลี้ยงอย่าง สุนัข แมว ให้อาหารเลี้ยงดูมัน สัตว์นั้นก็จะไม่ทำอันตรายเรา รักเรา และช่วยเหลือเรา ถ้าทำกรรมชั่ว ก็จะได้รับผลที่ไม่ดี เช่น ถ้าขโมยของของผู้อื่น ก็จะถูกลงโทษ ถูกตำรวจจับ ถูกจำคุก เป็นต้น คนจะได้ดีหรือชั่วย่อมขึ้นอยู่กับกรรม คือการกระทำของตนเอง เพราะฉะนั้นเราจึงควรเชื่อกฎแห่งกรรมว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

ยถากรรม

คำว่า ยถากรรม แปลว่า ตามกรรม หมายความว่ามนุษย์ที่เกิดมาจะมีชีวิตอย่างไรย่อมเป็นไปตามกรรม คือ การกระทำดีหรือชั่วของตนนั่นเอง ผู้ใดทำกรรมดี ย่อมได้รับผลของกรรมดีตอบสนอง เช่น นักเรียนผู้มีความตั้งใจพากเพียรเรียนหนังสือดีจัดว่าเป็นผู้ประกอบกรรมดี ย่อมได้รับผลของกรรมดีตอบสนอง คือทำให้มีความรู้ดี สอบได้ และเลื่อนขั้นสูงขึ้น ตรงข้ามกับนักเรียนที่เกียจคร้านไม่พากเพียรเรียนหนังสือ ประพฤติเกเร จัดว่าเป็นผู้ประกอบกรรมชั่วย่อมได้รับผลของกรรมชั่ว คือ ไม่มีความรู้ สอบตกไม่เจริญก้าวหน้า

คนที่ตายไปแล้ว กรรมดีก็ส่งให้ไปเกิดในที่ดี เช่น ในโลกมนุษย์เป็นคนที่มีความสุขและเกิดในสวรรค์ คนที่ทำกรรมชั่ว กรรมก็จะส่งให้ไปเกิดในที่ไม่ดี เช่น เกิดเป็นคนทุกข์ยาก เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน

พุทธศาสนิกชนจึงพูดคำว่า ยถากรรม ไปตามยถากรรม ติดปาก แสดงว่า เราต้องรับผลของการกระทำของเราเสมอ ตามกรรมดีและกรรมชั่วที่เราทำไว้

อนันตริยกรรม

คำว่า อนันตริยกรรม เป็นคำยืมจากภาษาสันสกฤต มาจากคำว่า อนนฺตริย ซึ่งแปลว่า ไม่มีช่องว่าง กับคำว่า กรฺม ซึ่งหมายถึง การกระทำที่ทำด้วยความจงใจ คำว่า อนันตริยกรรม มีความหมายตามรูปศัพท์ว่า การกระทำที่ไม่มีช่องว่าง หมายถึง การกระทำที่ไม่มีช่องว่างระหว่างกรรมที่กระทำลงไปแล้วกับวิบากหรือผลที่จะตามมา นั่นคือ กรรมที่จะต้องได้รับผลแห่งการกระทำนั้นทันทีโดยไม่ต้องรอเวลาที่ผลกรรมจะตามมาสนอง สาเหตุที่ต้องรับผลกรรมทันทีก็เพราะว่าเป็นกรรมชั่วหรือเป็นความผิดร้ายแรงที่สมควรได้รับโทษรุนแรงอย่างที่สุด อนันตริยกรรมจึงมิได้หมายถึงกรรมโดยทั่วๆ ไป แต่หมายเอาเฉพาะกรรมชั่วที่ร้ายแรงที่สุดเท่านั้น

อนันตริยกรรมมี ๕ ประการ ได้แก่

๑. การทำมาตุฆาต หรือการฆ่ามารดาของตน
๒. การทำบิตุฆาต หรือการฆ่าบิดาของตน
๓. การทำอรหันตฆาต หรือการฆ่าพระอรหันต์
๔. การทำโลหิตตุปบาท หรือการทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงกับห้อเลือด
๕. การทำสังฆเภท หรือการทำให้หมู่สงฆ์แตกแยกกัน


พุทธศาสนาเชื่อว่าผู้ที่ทำกรรมชั่วขั้นที่เรียกว่า อนันตริยกรรมนั้นจะต้องไปชดใช้กรรมที่ตนก่อในนรกขั้นที่ต่ำที่สุดที่เรียกว่า อเวจีมหานรก จะไม่มีโอกาสได้ขึ้นสวรรค์และไม่มีโอกาสได้เข้าสู่พระนิพพาน

พุทธศาสนาสอนให้คนรักชีวิตของตนเองและชีวิตของผู้อื่น ดังนั้น จึงถือว่าการฆ่าหรือทำลายชีวิตไม่ว่าจะเป็นชีวิตของตนเองหรือชีวิตของผู้อื่นนั้นเป็นบาป ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตที่เราฆ่าจะเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเล็กๆ หรือสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ก็ตาม ยิ่งถ้าฆ่ามนุษย์ก็ยิ่งถือเป็นบาปหนัก เพราะผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์คือผู้ที่กำลังสะสมบุญและมีโอกาสหลุดพ้นจากสังสารวัฏได้

ถ้าหากฆ่ามนุษย์ผู้เป็นบิดามารดาของตน หรือพระอรหันต์ด้วยแล้ว ก็ยิ่งเป็นบาปหนักหลายเท่าทวีคูณ เพราะบิดามารดาเป็นผู้ให้กำเนิดแก่ตน เป็นผู้เลี้ยงดูให้การศึกษาอบรมแก่บุตรเพื่อหวังให้บุตรมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขและประสบแต่ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต ผู้เป็นบุตรทุกคนมีหน้าที่ต้องกตัญญูต่อบิดามารดาของตนโดยการเลี้ยงดู ยกย่อง เทิดทูนและทำให้ท่านมีความสุขทั้งกายและใจ หากบุตรคนใดอกตัญญูทำร้ายบิดามารดาจนถึงแก่ชีวิตก็สมควรได้รับโทษที่สาหัสที่สุด

ส่วนพระอรหันต์เป็นผู้มีปัญญาและความเพียรมากจนสามารถปฏิบัติธรรมบรรลุความหลุดพ้นตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้ การฆ่าพระอรหันต์ผู้หมดกิเลสจึงเป็นบาปกรรมหนัก เช่นเดียวกับการฆ่าบิดามารดา พระพุทธศาสนาจึงถือว่า การฆ่าบิดามารดา ฆ่าพระอรหันต์เป็นกรรมหนักขั้นอนันตริยกรรม

พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่มีพระคุณต่อสรรพสัตว์ในโลกนี้เป็นอย่างมาก เพราะพระองค์ทรงเปี่ยมด้วยปัญญา สามารถตรัสรู้ธรรมอันลึกซึ้งและเปี่ยมด้วยพระกรุณา นำธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้วนั้นมาสั่งสอนสัตว์โลกให้เห็นทางสว่างและปฏิบัติตนเพื่อความสุขเนื่องจากปราศจากกิเลสที่จะทำให้เป็นทุกข์ทั้งทางกายและใจ และหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ผู้ที่ทำร้ายพระพุทธเจ้าแม้แต่เพียงทำให้พระองค์ห้อเลือดหรือที่เรียกว่า โลหิตุปบาท นั้น นอกจากจะถือว่าเป็นผู้อกตัญญูอย่างยิ่งต่อผู้ทรงคุณอันประเสริฐต่อโลกและสรรพชีวิตแล้ว ยังถือว่าเป็นผู้ที่มีใจบาปหยาบช้า กรรมที่ทำให้พระพุทธเจ้าถึงกับห้อเลือดถือเป็นบาปกรรมขั้นอนันตริยกรรม

ส่วนการทำสังฆเภทหรือการทำให้พระภิกษุสงฆ์แตกความสามัคคีกันนั้น ถือเป็นอนันตริยกรรมด้วย ก็เพราะการทำสังฆเภทก็เท่ากับการทำลายความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา เพราะภิกษุสงฆ์เป็นทายาททางธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นผู้สืบอายุพระพุทธศาสนา การทำให้พระภิกษุสงฆ์แตกแยกกันอย่างกรณีที่พระเทวทัตยุยงให้ภิกษุแตกความสามัคคีกัน จึงจัดว่าเป็นการทำบาปที่หนักมาก

การที่ภิกษุบางรูปแยกการปฏิบัติไปตามที่พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธานุญาตให้แก้ไขพระวินัยบางข้อที่ไม่เหมาะสมได้ ทำให้เกิดเป็นพุทธศาสนานิกายมหายานขึ้นนั้น ไม่จัดว่าเป็นการทำสังฆเภท เพราะไม่ได้ทำให้ภิกษุแตกความสามัคคีหรือทะเลาะกัน แต่เป็นการแยกตนออกไปปฏิบัติตามแนวทางที่เห็นว่าจะทำให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอีกแนวทางหนึ่งเท่านั้น

โดย คุณกาญจนา นาคสกุล นิตยสารสกุลไทย

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

113
ท่าน ว.วชิรเมธี ชี้ ทำแท้งเป็นบาปร้ายแรง


พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี ขาดศีลธรรมต้นเหตุปัญหาทำแท้ง
20 พย. รายงานข่าวแจ้งว่า พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี เปิดเผยถึงกรณีการทำแท้งกับสังคมไทยว่า เกิดจากการขาดศีลธรรมของคนในสังคม ความเสื่อมถอยทางการศึกษาไทยเนื่องจากหากได้รับการอบรมที่ดีปัญหาเหล่านี้คงจะไม่เกิดขึ้น โดยได้รับอิทธิพลจากวัตถุนิยม ทำให้คนที่ทำแท้งหรือคนที่รับทำแท้งขาดศีลธรรม ยอมทำทุกอย่างเพื่อตัวเองหรือเพื่อเงิน
ทั้งนี้ ในทัศนะของพระพุทธศาสนาแล้วการทำแท้งไม่ว่าจะเป็นคนที่ไปทำหรือคนที่ทำ ให้ จะเป็นการฆ่าคนดีๆ เป็นการทำบาปอย่างร้ายแรง และถ้าพระรูปไหนมีส่วนรู้เห็นต้องออกจากการเป็นพระทุกๆกรณี และคนใดที่อยู่ในกระบวนการการทำแท้งจะเดือดร้อนทั้งในชาตินี้และในชาติหน้า เพราะบาปจะติดตัวเราไป
อย่างไรก็ดี สุดท้ายอยากฝากถึงวัยรุ่นหรือคู่หนุ่มสาวทุกคน รวมถึงคนที่อยู่ในกระบวนการทำแท้ง ทุกๆครั้งที่ทำแท้งเหมือนเป็นการทำอาชญากรรม เป็นการทำผิดศีลธรรมและผิดกฏหมาย ทางที่ดีควรป้องกันตั้งแต่ต้นเหตุ ในการร่วมสัมพันธ์ทุกครั้งต้องมีความรักและความรับผิดชอบต่อกันไม่ควรเอาเปรียบกัน หากขาดสิ่งเหล่านี้ปัญหาการทำแท้งก็จะไม่หมดไปจากสังคมไทย

เรียบเรียงข่าวโดย Mthai news

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

115
ข้อคิด & วิธีเลี่ยงการทำบาปกรรมประเภท "จำเป็นต้องโกหก" ในชีวิตประจำวัน


ถาม – ได้ยินว่าแค่โกหกก็ต้องตกนรกแล้ว โทษหนักเกินไปหรือเปล่า? ในเมื่อชีวิตประจำวันของคนเรานั้นยากที่จะหลีกเลี่ยงการพูดเท็จอย่างนี้

ที่เคยได้ยินมานั้นพักไว้ก่อน ลองดูว่าคนที่รู้ดีที่สุดท่านพูดไว้อย่างไรดีกว่าครับ

การโป้ปดมดเท็จนั้น เมื่อใครเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังให้มีกำเนิดในนรก ในดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากแห่งมุสาวาทอย่างเบาที่สุดย่อมยังการกล่าวตู่ด้วยคำไม่เป็นจริงให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์

พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้ พอลองดูอย่างละเอียดรอบคอบก็จะพบว่ามีเงื่อนไขของการไปนรกเพราะมุสาวาทอยู่ นั่นคือเสพจนติด เพาะเลี้ยงตัวโกหกจนมันเติบโตขึ้นเป็นนิสัยถาวร ปั้นน้ำเป็นตัวบ่อยเสียจนชินชาหน้าไม่อาย

เมื่อเล็งเข้าไปที่จิตใจของผู้สร้างสมนิสัยโป้ปดมดเท็จจนเคยตัว จะเห็นว่ามีความดำมืด มีความบิดเบี้ยวเลอะเลือน และที่ธรรมชาติเขาพิพากษาไว้ก็คือหากจิตชุ่มด้วยบาป สกปรกมะล่อกมะแล่กดูไม่ได้ ก็จะต้องมีที่ไปเหมาะกับความสกปรกโสมมของตนเอง

อีกประการหนึ่ง ตัวมุสาตัวเดียวมันเหมือนเชื้อโรคร้าย สามารถแตกกิ่งก้านสาขาออกไปเป็นโรคอื่นได้ไม่รู้จบ จะเปรียบเทียบเหมือนกับเอดส์ที่เข้าไปทำลายภูมิต้านทานโรคต่างๆในร่างกายมนุษย์ก็ได้ เมื่อใดที่ความละอายถูกทำลายลง เมื่อนั้นคนเราย่อมหมดความยับยั้งชั่งใจที่จะกระทำบาป พร้อมจะก่อเวรก่อกรรมได้ทุกชนิด สมดังที่พระพุทธเจ้ามีพระดำรัสคือ

เรากล่าวว่าบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวมุสาทั้งรู้อยู่แก่ใจ ที่จะไม่ทำบาปกรรมแม้น้อยหนึ่งนั้น ย่อมไม่มี

โกหกหนึ่งครั้งคือสร้างความบิดเบี้ยวให้กับจิตหนึ่งหน สังเกตดูก็ได้ครับ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ครั้งต่อไปลองพูดปดแบบรู้ทั้งรู้ว่าเรื่องมันไม่จริง พูดเสร็จให้ดูเข้ามาในใจตัวเอง จะเห็นความฟุ้งซ่านจับไม่ติด หรือแม้หากว่าพื้นฐานเป็นผู้ทรงสติเป็นเยี่ยม อย่างน้อยที่สุดคุณจะเห็นความเย็นชาของจิต มีความรู้สึกอยากเย้ยโลก และเห็นว่าการสร้างข้อมูลเท็จได้แนบเนียนคืออำนาจที่แท้จริง

ความจริงยิ่งกว่าสิ่งใดก็คือ สัจจะความจริงนั่นแหละอำนาจสูงสุด เมื่อคุณพูดถึงความจริงบ่อยๆ พูดอย่างมีสติทั้งรู้ว่าบางครั้งอาจก่อผลด้านลบให้กับตนเอง แต่ละครั้งคุณจะรู้สึกถึงพลัง ความมั่นคงทางใจ และความสามารถรู้เห็นอะไรๆได้ตามจริงราวกับคนเคยตาสั้นได้แว่นที่จักษุแพทย์มอบให้

มาพูดถึงความจำเป็นต้องโกหกในชีวิตประจำวันกันบ้าง การโกหกมดเท็จนั้นมีหลายแบบ แบบที่เดือดร้อนคนอื่นมากก็มี ไม่เดือดร้อนใครเลยก็มี โกหกโดยเจตนาให้เกิดประโยชน์กับทุกฝ่ายก็มี โกหกเพราะมาดหมายเอาประโยชน์เข้าตนก็มี โกหกทุกวันจนติดเป็นนิสัยก็มี นานๆโกหกทีก็มี โกหกแบบหยอกล้อเล่นหัวเพื่อได้หัวเราะกันก็มี โกหกแบบตลกเลือดจะให้ตระหนกตกใจปางตายก็มี

ตัวแปรต่างๆจะทำให้เกิดน้ำหนักผิดแผกแตกต่างไป ที่เห็นผลใกล้ที่สุดก็คือความบิดเบี้ยวทางความรู้สึกอันเป็นของรู้เฉพาะตน (ผู้มีความสามารถหยั่งรู้วาระจิตก็ทราบได้ แต่คนทั่วไปเขาจะไม่รู้สึกถึงความบิดเบี้ยวอันนี้ในเราเลย)

ความบิดเบี้ยวทางจิตเป็นอย่างไร? ขอให้ลองดูตอนคุณโกหกคำโต เมื่อไหร่โกหกเสร็จลองพยายามรู้ตามจริงว่าหายใจเข้าหรือออกให้ได้สักสิบครั้ง นับดูสิครับว่าจิตมีความสามารถตามรู้ไปได้จริงๆกี่ครั้ง เสร็จแล้วเอาใหม่ ถ้ามีโอกาสให้โกหกเพื่อประโยชน์ของเรา แต่เราไม่เอา จะเอาแต่ความจริง พูดแต่คำที่เป็นสัตย์ พูดออกมาจากใจที่ซื่อทางโลกแต่เจ้าปัญญาทางธรรม พอพูดเสร็จสังเกตดูว่ารู้สึกดีอย่างไร เกิดความมั่นคงทางใจแค่ไหน ขอให้ทราบว่านั่นแหละอำนาจแห่งสัจจะที่เราได้รับในทันที ลองพิสูจน์ให้เห็นอำนาจนั้นชัดขึ้นด้วยการตามรู้ลมหายใจเข้าออกสิบครั้ง แล้วจะรู้ว่าเราทำได้ไม่ยากเลย

ความสามารถรู้ตามจริงนั้น โดยทั่วไปคนเราถือเป็นเรื่องผิวเผิน แต่ที่แท้มีความสำคัญยิ่งยวดกับชีวิต เพราะเมื่อสามารถรู้ได้ตามจริง ก็ย่อมเห็นว่าอะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ คนเราเมื่อรู้จักประโยชน์ย่อมเก็บเกี่ยวแต่ประโยชน์มาสั่งสมไว้ให้พอกพูน แต่เมื่อไม่รู้ว่าอะไรเป็นโทษก็อาจพลาดตักตวงมันเข้ามาด้วยความละโมบโลภมาก เหมือนกองขยะแห่งบาปกรรมส่งกลิ่นเน่าเหม็นเพียงใดก็ไม่รู้สึก เพราะจมูกแห่งมโนธรรมมันตายด้านไปเสียแล้ว

นี่แหละ สังเกตจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับเราเอง เอาเราเองเป็นที่ตั้งของเครื่องวัด ก็จะพบว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ขู่เล่น ท่านตรัสชี้ว่าอะไรเป็นอะไรตามจริงต่างหาก


ถาม – ผมทำการค้า หลายครั้งบอกความจริงกับลูกค้า แต่บอกไม่หมด เหมือนบิดเบือนข้อมูลไป ถือว่าเป็นการผิดศีลเรื่องการพูดปดหรือไม่ครับ?

ถ้าเจตนาเราต้องการกล่อมคนฟังให้ถึงขั้นเข้าใจผิดจากความจริง ก็เรียกว่าเป็นการมุสาทั้งนั้นครับ จะด้วยวิธีบอกทั้งหมดหรือบางส่วน หรือกระทั่งใช้ภาษากายเป็นอุบายล่อตาก็ตาม เจตนาทำให้คนดูหรือคนฟังสำคัญผิดจากความจริงอย่างสิ้นเชิงนั่นเอง คือมุสาวาทเต็มขั้น

กล่าวกว้างๆอย่างนี้ ความจริงในภาคปฏิบัติต้องดูเป็นเรื่องๆด้วยครับ บางทีคุณไม่ได้พูดโกหกแม้แต่คำเดียว ทว่าเจตนานั้นฉ้อฉล ทำให้คนฟังหลงกล กลับความเข้าใจจากดำเป็นขาว จากขาวเป็นดำ อย่างนี้ก็เข้าข่ายมุสาวาท ตรงข้าม แม้คุณไม่พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เช่นพ่อสอนลูกด้วยการอุปมาอุปไมยหรือยกนิทานมาเล่าเป็นการสาธก แต่ลูกเกิดความเข้าอกเข้าใจสัจจธรรมอย่างถูกต้อง อย่างนี้ก็ไม่ถือว่าเข้าข่ายมุสาวาท

ในหลายกรณี ถ้าเราพูดความจริงตามหน้าที่ โดยคิดว่าหน้าที่ของเราให้ข้อมูลเขาได้แค่นี้ ก็ถือว่ารอดตัว ยกตัวอย่างเช่นทีมแพทย์ตกลงกันว่าจะบอกญาติคนไข้ว่าผลการผ่าตัดมีโอกาสสำเร็จต่ำ ทั้งที่นึกๆอยู่ในใจว่าไม่มีทางสำเร็จเลย อย่างนี้ก็ไม่นับเป็นการโกหก เพราะผลยังไม่ปรากฏชัดเจนแน่นอน เป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่มีใครรู้จริง

สำหรับพวกที่ต้องติดต่อค้าขายอาจเลี่ยงยาก เพราะไม่ใช่แค่ให้ข้อมูลด้านเดียว แต่มักต้องให้ข้อมูลด้านอื่นที่ผู้บริหารสั่งมาด้วย เริ่มต้นอาจเป็นกตัตตากรรม คือคุณจำใจโกหกตามคำสั่งโดยไม่ยินดี แต่พอทำบ่อยๆจนชิน กลายเป็นความเต็มใจ ในที่สุดก็เป็นกรรมของคุณเองได้ พูดง่ายๆคือใจหมดความรู้สึกผิดเมื่อใด ตรงนั้นคือมุสาวาทเต็มขั้นแล้ว

บางทีอยู่ในโลกก็หลีกเลี่ยงบาปกรรมยากครับ คุณต้องรักษาศีลให้สะอาดผ่องแผ้วพอจะไปเกิดในสังคมอารยะที่ไม่มีการโกหกเลย เอาเป็นว่าถ้าจำเป็นต้องโกหกก็ขอให้รักษา ‘ความไม่ยินดี’ ไว้ บอกตัวเองว่าเราไม่อยากอยู่ในวงจรแห่งการมุสาเลย วันนี้เราทำเขา วันหน้าก็ต้องโดนเขาทำบ้าง เมื่อใดคุณขาแข็งพอจะปลีกตัวออกมาจากวงจรเดิมๆเสียได้ก็อย่าช้าแล้วกัน


ถาม – ถ้าจำเป็นต้องโกหกบ้างนิดๆหน่อยๆ กฎแห่งกรรมถือว่าหยวนๆให้บ้างไหม?

ผมไม่ได้มีหน้าที่พิทักษ์กฎแห่งกรรมนะครับ คงไม่อาจเป็นตัวแทนธรรมชาติหยวนหรือไม่หยวนให้คุณๆได้สักแค่ไหน เอาเป็นว่าตัดสินใจอย่างไรก็ขอให้รู้อยู่ว่าตัวเองมีความละอายติดจิตติดวิญญาณแค่ไหนก็แล้วกัน


ขอให้พิจารณาตามจริงว่าแม้เราจะไม่โกหกเป็นประจำ แต่ลงถ้าได้เริ่มต้นออกจากจุดสตาร์ทแล้ว ก็มักจะเหมือนเราก้มหัวให้ใครเขาใช้ ถูกใช้ได้ครั้งหนึ่งก็จะอ่อนแอลงนิดหนึ่ง พอเขาใช้อีกเราก็อาจจะยอมก้มหัวอีก ในที่สุดหัวเราก็อ่อนลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นขี้ข้าตัวมุสาไปเต็มยศ นี่แหละ ผมสรุปว่าที่มาของการโกหกใหญ่ก็คือการโกหกเล็กๆนั่นเอง โดยเฉพาะถ้าโกหกเล็กๆโดยปราศจากความละอาย

แรงขับดันให้โกหกมักมาจากคำว่า ‘จำเป็น’ หรือ ‘หลีกเลี่ยงไม่ได้’ มันอยู่ที่เราตัดสินใจเลือก ถ้าใช้ความฉลาดกันจริงๆก็อาจไม่จำเป็นต้อง ‘โกหกเต็มๆ’ หรอก หลายๆเรื่องเราเอาความจริงส่วนที่ไม่เสียหายมาพูดได้ เพราะเราไม่จำเป็นต้องพูดทั้งหมดในทุกเรื่องอยู่แล้ว

ขอให้สังเกตจากชีวิตประจำวันว่าคำพูดนั้นดิ้นไปได้เรื่อยๆครับ ปากพูดอย่างหนึ่ง แต่ใจเล็งอีกอย่างหนึ่ง จิตคิดพูดของคนในโลกมักเบี่ยงเบน ไม่เป็นไปเพื่อการเห็นตามจริง แต่เป็นไปเพื่อตัวตน เป็นไปเพื่อให้คนอื่นเห็นเราตามที่เราอยากให้เขาเห็น


ลองฝึกฝนดู ใจเล็งอย่างไรปากพูดตามนั้น ก่อนพูดก็ทำตัวเป็นนายคำพูด สั่งให้เกิดแต่คำพูดที่เป็นประโยชน์ หรือก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบน้อยที่สุด เมื่อคิดก่อนพูดบ่อยเข้า ชีวิตจะลงตัวไปเอง ความจำเป็นต้องโกหกจะค่อยๆหายไปจากชีวิตเราจนกระทั่งไม่เหลือเลยจนได้แหละน่า ธรรมชาติเขาไม่ใจไม้ไส้ระกำกับคนตั้งใจดีมีใจจริงหรอกครับ

ที่มา Dungtrin.com
เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว - ดังตฤณ

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

116
เกจิดังขอนแก่น 'หลวงปู่พันธ์' มรณภาพแล้ว


"หลวงปู่พันธ์" เกจิดังของ จ.ขอนแก่น และภาคอีสาน มรณภาพแล้ว ด้วยวัย 78 ปี 45 พรรษา คณะศิษยานุศิษย์ร่วมเคารพศพแน่นวัด ทำพิธีประชุมเพลิง 12 ธ.ค.นี้...

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 19 พ.ย. พระครูบุญชยากร เจ้าอาวาสวัดไชยศรีและเจ้าคณะตำบลสาวะถีเขตหนึ่ง อ.เมืองขอนแก่น ได้เป็นประธานพิธีรดน้ำศพหลวงปู่พันธ์ ปภากโร เจ้าอาวาสวัดศรีชมบาล บ้านม่วงโป้ ต.สาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น ที่ศาลาการเปรียญวัดศรีชมบาล โดยมี นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ ส.ส.ขอนแก่น ซึ่งเป็นลูกศิษย์และประชาชนที่ให้ความเคารพนับถือหลวงปู่พันธ์ พากันเดินทางไปร่วมพิธีรดน้ำศพและกราบไหว้จำนวนมาก

นายพงศ์พิสุทธิ ยุงรัมย์ ผู้ใหญ่บ้านม่วงโป้ กล่าวว่า หลวงปู่พันธ์ เป็นพระที่ศิษยานุศิษย์ให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก เป็นพระที่เปี่ยมด้วยเมตตา หลวงปู่พันธ์ ได้อาพาธและเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ด้วยอาการโรคหัวใจ ความดันโลหิต และโรคถุงลมโป่งพอง ประมาณ 45 วัน ทางแพทย์ได้ดูแลเยียวจนสุดความสามารถ แต่อาการก็มีแต่ทรงและทรุดมาตลอด ซึ่งหลวงปู่ได้สั่งไว้ว่าหากถึงวาระสุดท้าย ขอให้คณะศิษย์และชาวบ้าน นำกลับมายังวัด และเมื่อวันอังคารที่ 16 พ.ย. คณะศิษย์นำหลวงปู่กลับมาที่วัด จนกระทั่งช่วงสายวันนี้ หลวงปู่ก็มรณภาพอย่างสงบภายในกุฏิ ด้วยวัย 78 ปี 45 พรรษา

สำหรับ หลวงปู่พันธ์ ปภากโร อุปสมบทเมื่ออายุ 33 ปี ที่วัดท่าบึง ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น จากนั้นได้ออกศึกษาธรรมะไปเรื่อยๆ พร้อมกับการเรียนวิชาอาคมกับหลวงปู่อุย โดยเฉพาะการสร้างตะกรุดโทน ด้านมหานิยม ซึ่งเป็นตะกรุดตัวผู้และตัวเมีย มีลักษณะสองดอก ต่อมาในปี 2524 หลวงปู่พันธ์ ได้ไปจำพรรษาที่ จ.ตาก และได้สร้างวัดบ้านทรัพย์สมบูรณ์ ต.วังประจบ อ.เมืองตาก จากนั้นได้กลับมาจำพรรษาที่วัดศรีชมบาล บ้านม่วงโป้

ต่อ มาปี 2531 ทางคณะสงฆ์ได้แต่งตั้งให้หลวงปู่พันธ์ เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีชมบาล และเมื่อปี 2543 หลวงปู่พันธ์ได้สร้างวัตถุมงคลรุ่นแรก จำนวน 3 ชนิด คือ เหรียญชนิดพิมพ์กลมขอบดาว เหรียญชนิดรูปเสมากนกข้าง และพระผงพิมพ์สมเด็จ และตะกรุดโทน ซึ่งลูกศิษย์ส่วนใหญ่นิยมนำไปแขวนไว้ในรถยนต์และพกติดตัว

ทั้ง นี้ คณะสงฆ์และกรรมการวัด คณะศิษย์ จะจัดพิธีบำเพ็ญกุศล สวดอภิธรรมศพ จนถึงวันที่ 21 พ.ย. จากนั้นจะเก็บศพหลวงปู่พันธ์ ไว้ในโลงเย็น และในวันที่ 12 ธ.ค. จะจัดพิธีทำบุญและพิธีประชุมเพลิง.


ไทยรัฐออนไลน์

โดย ทีมข่าวภูมิภาค
19 พฤศจิกายน 2553, 21:00 น


ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

117
กฎแห่งกรรม / โทษของการส่อเสียด
« เมื่อ: 20 พ.ย. 2553, 03:51:30 »
โทษของการส่อเสียด



ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระ โพธิสัตว์เป็นโอรสของพระเจ้าพาราณสีนั้น เจริญวัยแล้ว เล่าเรียนศิลปะในเมืองตักกศิลาเสร็จแล้ว เมื่อพระบิดาสวรรคตแล้ว ได้ครองราชสมบัติโดยธรรม

ครั้งนั้น นายโคบาลคนหนึ่งเลี้ยงโคทั้งหลายในตระกูลทั้งหลาย เมื่อจะมาจากป่า ไม่ได้นึกถึงแม่โคตัวหนึ่งซึ่งมีครรภ์ จึงทิ้งไว้แล้วไปเสีย แม่โคนั้นเกิดความคุ้นเคยกับแม่ราชสีห์ตัวหนึ่ง

แม่โคและแม่ ราชสีห์ทั้งสองนั้นเป็นมิตรกันอย่างมั่นคงเที่ยวไปด้ วยกัน จำเนียรกาลนานมา แม่โคจึงตกลูกโค แม่ราชสีห์ตกลูกราชสีห์ ลูกโคและลูกราชสีห์ทั้งสองนั้น ก็ได้เป็นมิตรกันอย่างเหนียวแน่นด้วยไมตรี ซึ่งมีมาโดยสกุล จึงเที่ยวไปด้วยกัน

ครั้งนั้น พรานป่าคนหนึ่งเข้าป่าเห็นสัตว์ทั้งสองนั้นคุ้นเคยกั น จึงถือเอาสิ่งของที่เกิดขึ้นในป่า แล้วไปเมืองพาราณสี ถวายแด่พระราชาอันพระราชาตรัสถามว่า สหาย ท่านเคยเห็นความอัศจรรย์อะไรๆ ในป่าบ้างไหม ?

จึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ไม่ได้เห็นอะไรๆ อย่างอื่น แต่ได้เห็นราชสีห์ตัวหนึ่งกับโคผู้ตัวหนึ่ง สนิทสนมกันและกันเที่ยวไปด้วยกัน

พระราชาตรัสว่า เมื่อสัตว์ตัวที่สามเกิดขึ้นแก่สัตว์ทั้งสองเหล่านั้ น ภัยจักบังเกิดมี เมื่อใดท่านเห็นสัตว์ตัวที่สามเพิ่มขึ้นแก่สัตว์ทั้ง สองนั้น เมื่อนั้นท่านพึงบอกเรา

นายพรานป่านั้นทูลรับว่า ได้พระเจ้าข้า

ก็ เมื่อพรานป่าไปเมืองพาราณสีแล้ว มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเข้าไปบำรุงราชสีห์และโคผู้. นายพรานป่าไปป่าได้เห็นสุนัขจิ้งจอกนั้น คิดว่า จักกราบทูลความที่สัตว์ตัวที่สามเกิดขึ้นแล้วแก่พระร าชา จึงได้ไปยังพระนครพาราณสี

สุนัขจิ้งจอกคิดว่า เว้นเนื้อราชสีห์และเนื้อโคผู้เสีย ขึ้นชื่อว่าเนื้ออื่นที่เราไม่เคยกิน ไม่มี เราจักยุยงทำลายสัตว์ทั้งสองนี้แล้วกินเนื้อสัตว์ทั้ งสองนี้

สุนัขจิ้งจอกนั้นจึงยุยงสัตว์ทั้งสองนั้นให้ทำลายกัน และกันโดยพูดว่า ผู้นี้พูดอย่างนี้กะท่าน ผู้นี้พูดอย่างนี้กะท่าน ไม่นานนัก ก็ได้ทำให้ถึงแก่ความตายเพราะทำการทะเลาะกัน

ฝ่าย พรานป่ามาถึงแล้ว กราบทูลแก่พระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ สัตว์ตัวที่สามเกิดขึ้นแล้วแก่ราชสีห์และโคผู้เหล่าน ั้น พระราชาตรัสถามว่า สัตว์ตัวที่สามนั้น คืออะไร ? พรานป่ากราบทูลว่า สุนัขจิ้งจอกพระเจ้าข้า

พระ ราชาตรัสว่า สุนัขจิ้งจอกจักยุยงทำลายสัตว์ทั้งสองนั้นให้ตาย พวกเราจักไปทันในเวลาสัตว์ทั้งสองนั้นจะตาย จึงเสด็จขึ้นทรงราชรถเสด็จไปตามทางที่พรานป่าชี้แสดง ให้ เสด็จไปทันในเมื่อสัตว์ทั้งสองนั้นทำการทะเลาะกันและ กันแล้ว ถึงแก่สิ้นชีวิตไป

สุนัขจิ้งจอกมีใจยินดีกินเนื้อราชสีห์ครั้ง หนึ่ง กินเนื้อโคผู้ครั้งหนึ่ง พระราชาทรงเห็นสัตว์ทั้งสองนั้นถึงความสิ้นชีวิตไปแล ้ว ทรงประทับยืนอยู่บนรถนั่นแล เมื่อจะตรัสเจรจากับนายสารถี จึงตรัสคาถาเหล่านี้ว่า :-

ดูก่อนนายสารถี สัตว์ทั้งสองนี้ไม่ได้มีความเสมอกันเพราะสตรีทั้งหลา ย ไม่ได้มีความเสมอกันเพราะอาหาร คือต่างก็มีสัตว์ตัวเมียและอาหารคนละชนิดไม่เหมือนกั น ภายหลัง เมื่อสุนัขจิ้งจอกยุยงทำลายความสนิทสนมจนถึงให้ตาย ท่านจงเห็นเหตุนั้นซึ่งฉันคิดไว้ถูกต้องแล้ว

พวกสุนัขจิ้งจอกพากันกัดกินโคผู้และราชสีห์ เพราะคำส่อเสียดใด คำส่อเสียดนั้น ย่อมเป็นไปถึงตัดมิตรภาพ เพราะเนื้อคือสุนัขจิ้งจอกเป็นเหตุ ดุจดาบคม ฉะนั้น

ดูก่อนนายสารถี ท่านจงดูการนอนตายของสัตว์ทั้งสองนี้ ผู้ใดเชื่อถือถ้อยคำของคนส่อเสียด ผู้มุ่งทำลายความสนิทสนม ผู้นั้นจะต้องนอนตายอย่างนี้

ดู ก่อนนายสารถี นรชนเหล่าใดไม่เชื่อถือถ้อยคำของคนส่อเสียดผู้มุ่งทำ ลายความสนิทสนม นรชนเหล่านั้นย่อมได้ประสบสุข เหมือนคนไปสวรรค์ ฉะนั้น

นายธรรมะ
ขอบคุณบทความจาก บ้านธรรมะ และ เว็บบอร์ดพลังจิต

118
19 วิธีในการดำเนินชีวิต


ข้อแนะนำในการดำเนินชีวิต

1. ระลึกเสมอว่า การจะได้พบความรักและความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ก็ต้องประสบกับความเสี่ยงอัน มหาศาลดุจกัน

2. เมื่อคุณแพ้ อย่าลืมเก็บไว้เป็นบทเรียน

3. จงปฏิบัติตาม 3Rs

3.1 เคารพตนเอง (Respect for self)

3.2 เคารพผู้อื่น(Respect for others)

3.3 รับผิดชอบต่อการกระทำของตน (Responsibility for all your actions)

4. จงจำไว้ว่า การที่ไม่ทำตามใจปรารถนาของตนบางครั้งก็ให้โชคอย่างน่ามหัศจรรย์

5. จงเรียนรู้กฎ เพื่อจะทราบวิธีการฝ่าฝืนอย่างเหมาะสม

6. จงอย่าปล่อยให้การทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย มาทำลายมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ของคุณ

7. เมื่อคุณรู้ว่าทำผิด จงอย่ารอช้าที่จะแก้ไข

8.จงใช้เวลาในการอยู่ลำพังผู้เดียวในแต่ละวัน

9. จงอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลงแต่อย่าปล่อยให้คุณค่าของคุณหลุดลอยจากไป

10. จงระลึกไว้ว่า บางครั้งความเงียบก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุด

11.จงดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อที่ว่าเมื่ อคุณสูงวัยขึ้นและคิดหวนกลับมาคุณจะสามารถมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำลงไปไ ด้อีกครั้ง

12.บรรยากาศอันอบอุ่นในครอบครัวเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิต

13.เมื่อเกิดขัดใจกับคนที่คุณรัก ให้หยุดไว้แค่เรื่องปัจจุบัน อย่าขุดคุ้ยเรื่องในอดีต

14. จงแบ่งปันความรู้ เพื่อเป็นหนทางก้าวสู่ความเป็นอมตะ

15. จงสุภาพกับโลกใบนี้

16. จงหาโอกาสท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่คุณไม่เคยไป อย่างน้อยก็ปีละครั้ง

17.จำไว้ว่า ความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด คือความรักมิใช่ความใคร่

18. จงตัดสินความสำเร็จของตนด้วยสิ่งที่ต้องเสียสละ

19. จงเข้าใกล้ความรักด้วยการปล่อยวาง


(กว่าวโดยท่าน Dalai Lama )

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆมีสาระจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

119
บุญของท่าน ช่วยดวงวิญญาณในขุมนรกได้


เมื่อตะกี้ ผมเพิ่งได้สนทนาธรรมกับผู้รู้ท่านหนึ่ง ผมได้ถามผู้รู้ท่านนี้ว่า

"สมมติว่าญาติเราตกนรกอยู่ แล้วเราอุทิศส่วนกุศลให้กับญาติเรา บุญนั้นส่งผลให้กับญาติเราทันทีหรือไม่ หากบุญนั้นไม่ส่งผล แล้วบุญนั้นหายไปหรือไม่ เราต้องอุทิศส่วนกุศลใหม่หรือไม่"

ท่านตอบอย่างนี้ครับว่า

"บุญที่เราส่งผลให้กับญาติเราที่ตกนรกอยู่นั้น บังเกิดผลทันที ทำให้ทุกขเวทนาลดน้อยลงชั่วขณะ เมื่อทุกขเวทนาหยุดหรือระงับลงชั่วขณะ เค้าก็โมทนาบุญกับเราได้ทันที"

ผมถามต่อไปว่า "สมมติว่าญาติเราถูกขังอยู่ 1 ปี การที่เราอุทิศส่วนกุศลให้บ่อยๆ นอกจากทำให้ทุกขเวทนาลดน้อยลงแล้ว ยังจะทำให้โทษที่ถูกจองจำ 1 ปีนั้นลดลงหรือไม่" ท่านยืนยันว่าใช่ โทษที่จองจำก็ลดน้อยลงไปด้วย

ผมถามอีกว่า บทอุทิศส่วนกุศลของผม ตอนท้ายๆลงท้ายว่า "ผู้เสวยทุกข์อยู่ก็ดี" หากผมจะเพิ่มไปว่า ให้กับดวงวิญญาณในนรกด้วยจะดีไม่

ท่านแนะนำให้เจาะจงอย่างนี้ครับว่า "ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณทุกดวง ในขุมนรกทุกขุม รวมทั้งเหล่ายมทูตทั้งหลาย ขอให้ท่านเป็นสุขเป็นสุขเถิด และเมื่อท่านทั้งหลายเป็นสุขแล้ว ก็ขอให้โมทนาบุญกับข้าพเจ้าด้วยเทอญ"

ท่านยังกล่าวอีกว่า ปกติบุญที่เราอุทิศให้กับใครในขุมนรกนั้น จะสว่างวาบช่วงสั้นๆ แต่ผู้ที่เราอุทิศก็จะทราบได้ทันที และถ้าเราอุทิศให้กับดวงวิญญาณทุกดวงในทุกขุมนรก นรกทุกขุมนรกก็จะสว่างจ้าขึ้นมาทันที

ท่านย้ำว่า การอุทิศส่วนกุศลนั้น ต้องทำทุกวัน อุทิศให้กับเหล่าดวงวิญญาณทุกวัน เค้าก็จะพ้นทุกข์เร็วขึ้น ซึ่งก็น่าจะจริง เหมือนนักโทษชั้นดีนะ ทำความดีอยู่บอยๆ ก็พ้นโทษเร็วขึ้น

สุดท้ายท่านก็กล่าวคำ "สาธุ สาธุ" กับผม

ความรู้นี้ผมเพิ่งได้มาสดๆใหม่ๆ ก็ขอนำมาเผยแพร่ให้เหล่าเพื่อนๆเป็นธรรมทาน มีข้อความบางส่วนที่ผมเคยโพสต์ไปในบางกระทู้ ต้องตามไปปรับปรุงแก้ไขข้อมูล

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆมีสาระ จาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

120
เลือกของทำบุญอย่างไรให้เหมาะสม

การทำบุญเป็นสิ่งที่ อยู่คู่คนไทย เชื่อว่าชาวพุทธเกือบทุกท่านคงเคยถวายเครื่องสังฆทาน และมีทั้งซื้อแบบสำเร็จตามห้างร้านต่างๆ หรือการจัดเอง แต่รู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ทำบุญไปนั้นได้ใช้ประโยชน์มากน้อยเพียงใด


อะไรบ้างกลายเป็นของไม่ได้ใช้ประโยชน์และถูกกองล้นวัด 10 อันดับรายการสินค้าที่ไม่จำเป็น

1.ใบ ชา ซึ่งพระสงฆ์ส่วนใหญ่ระบุว่า ปัจจุบันพระสงฆ์ไม่ค่อยฉันน้ำชา ควรเปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้แท้ที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพน่าจะดีกว่า เพราะน้ำผลไม้ส่วนใหญ่ที่อยู่ในถังสังฆทาน มักเป็นน้ำผลไม้ที่ไม่มีคุณภาพ ส่วนใหญ่เป็นน้ำหวานแต่งกลิ่น รส หรือ ผงสมุนไพรห่อที่ไม่ค่อยมีคุณภาพนัก

2.ขิงผงสำเร็จรูป เป็นเครื่องดื่มที่คนส่วนใหญ่คิดว่า พระสงฆ์น่าจะชอบฉัน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่

3. ยาจุดกันยุง ส่วนนี้อาจจะจำเป็นสำหรับพระที่จำพรรษาในป่าหรือชนบทไกลๆ

4.นมข้นหวาน

5.กาแฟผงสำเร็จรูป

6.ถัง กล่องสบู่ ขวดน้ำ ขันพลาสติก ซึ่งจากการสำรวจพบว่า อุปกรณ์เหล่านี้ถูกกองไม่ได้ใช้ประโยชน์จนล้นวัด

7.บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

8.น้ำดื่มบรรจุขวด

9.ขนมคุ้กกี้ ขนมอบต่างๆ

10.ธูป เทียน ไม้ขีดไฟ ที่ส่วนใหญ่มักอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถใช้งานได้ ที่สำคัญของเหล่านี้มีจำนวนเกินพอแล้วในวัด

สิ่งของที่เป็นประโยชน์และเป็นของจำเป็นต้องใช้

1.ยาสระผม คนมักคิดว่าพระไม่มีผมไม่จำเป็นต้องใช้ยาสระผมแต่จริงๆแล้วจำเป็นเพราะส่วน หนึ่งอาจมีคราบไคลและไขมันที่เกาะสกปรกตามหนังศรีษะอยู่บ้าง

2.มีดโกน ใบมีดโกน พระได้ใช้บ่อยแต่ไม่ค่อยมีคนถวาย

3.อุปกรณ์ เครื่องครัว เช่นจาน กะทะ หม้อ ช้อน แก้วน้ำ ที่มีคุณภาพซึ่งพระสามารถใช้เป็นของส่วนตัวและเอื้อเฟื้อสำหรับญาติโยมที่มา ทำบุญได้ด้วย

4.อุปกรณ์ช่าง ค้อน ตะปู ไขควง สว่าน ที่พระมีโอกาสได้ใช้ในการซ่อมแซมต่างๆในวัดและกุฏิ

5.อุปกรณ์ทำความสะอาด ไม้กวาด ไม้ถูพื้น ไม้กวาดแข็ง ที่โกยขยะ ซึ่งเป็นอุปกรณ์จำเป็นแต่ไม่ค่อยมีคนถวาย

6.ข้าว สาร อาหารแห้ง เลือก ที่คุณภาพดีไม่ใช่ที่บรรจุในถังสังฆทานที่มักใช้ไม่ได้ ส่วนนี้ท่านจะได้ใช้ในการบริจาคหรือนำไปอุปการะผู้ยากไร้ที่มาพึ่งใบบุญของ วัดได้ด้วย

7.เครื่องเขียน สมุด ปากกา ดินสอ

8.หนังสือธรรมะ หรือหนังสือแนวทางการดูแลสุขภาพ

9.ผ้าสบง จีวร ผ้าอาบน้ำ เลือกที่คุณภาพดี

10.ยาสมุนไพร ยารักษาโรค เลือกที่มีคุณภาพมาตรฐานในการผลิตหรือมีตราอย.รับรอง

รู้แบบนี้แล้ว ทำบุญคราวหน้าอย่าลืมเลือกของที่เป็นประโยชน์ด้วย ทำบุญได้บุญแน่นอน


ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก FW Mail
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

121
ชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า

ธรรมบรรยายโดย ท่านติช นัท ฮันห์


ชาติ หนึ่งของพระพุทธเจ้าอยู่ในนรก ก่อนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ทนทุกข์ทรมาน มาหลายภพชาติ พระองค์ได้กระทำผิดมากมายเช่นเดียวกับพวกเรา พระองค์เคยทำให้ พระองค์และคนรอบข้างมีความทุกข์ ทรงเคยกระทำความผิดมหันต์จนทำให้พระองค์ต้อง ใช้ชีวิตอยู่ในนรกในชาติหนึ่ง พุทธประวัติอันมากมายถูกรวบรวมไว้ในรูปของนิทานชาดก มีเรื่องหนึ่งที่ฉันจำได้อย่างชัดเจน ตอนนั้นฉันอายุ 7 ขวบยังเยาว์วัยนัก ฉันอ่านพุทธประวัติ เรื่องนี้แล้วรู้สึกสะเทือนใจมาก แม้จะยังไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งก็ตาม

พระพุทธองค์อยู่ในนรก เพราะได้ทรงกระทำผิดอย่างร้ายแรง ก่อให้เกิดความทุกข์ต่อตนเองและผู้อื่น ในชาตินั้นพระองค์ได้ลิ้ม รสชาติความทุกข์อย่างที่สุด เพราะนรกที่พระองค์อยู่เป็นนรกที่เลวร้ายที่สุดในบรรดานรกทั้งปวง มีบุรุษผู้หนึ่งตกนรกพร้อมพระองค์ ทั้งสองต้องทำงานหนักร่วมกันภายใต้คำสั่งของผู้คุมผู้หนึ่ง ในนรกนั้นมืด เหน็บหนาว และร้อนระอุในเวลาเดียวกัน ผู้คุมผู้นั้นดูราวกับ ไม่มีหัวใจ ราวกับไม่รู้จักความทุกข์และความรู้สึกของผู้อื่น เขามีหน้าที่ควบคุมและทำให้บุรุษทั้งสองเป็นทุกข์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็น ไปได้

ฉันคิดว่าผู้คุมผู้นั้นก็คงเป็นทุกข์มากเช่นกัน ดูเหมือนเขาไม่มีความเมตตาแม้แต่น้อย ไม่มีความรักในหัวใจ ดูเหมือนเขาจะไม่มี หัวใจด้วยซ้ำ ดูเหมือนเขาจะไม่สามารถสัมผัสความเป็นมนุษย์ได้เพราะเขาดุร้ายเกินไป เขาไม่สะทกสะท้านต่อความทุกข์และความ เจ็บปวดของผู้อื่น

ผู้คุมผู้ นี้มีเหล็กสามง่ามเป็นอาวุธ เมื่อใดที่เขาอยากให้บุรุษทั้งสองเดินไปข้างหน้า เขาจะใช้เหล็กสามง่ามนั้นดันไปบนแผ่นหลัง ของบุรุษทั้งสองจนเลือดโชก เขาใช้อาวุธนั้นดันตลอดเวลาโดยไม่ปล่อยให้บุรุษทั้งสองได้หยุดพัก ตัวผู้คุมเองก็ดูราวกับถูกอะไร บางอย่างผลักดันอยู่ข้างหลังเช่นกัน แล้วเธอล่ะเคยรู้สึกบ้างไหมว่ามีอะไรบางอย่างผลักดันเธออยู่ แม้ไม่มีใครอยู่ข้างหลังเธอ แต่เธอ รู้สึกเหมือนถูกผลักและดันให้ทำในสิ่งที่เธอไม่อยากทำ พูดในสิ่งที่เธอไม่อยากพูด และการกระทำนั้นก็ได้สร้างความทุกข์ให้กับ ตัวเธอและผู้อื่น ผู้คุมผู้นี้พยายามผลักดันผู้อื่น เพราะเขาเองก็ถูกผลักดัน เขาทำร้ายบุรุษทั้งสองอย่างแสนสาหัส แม้บุรุษทั้งสองจะ เหน็บหนาวและหิวโหย แต่เขาก็ยังคงดันและทุบตีให้ทั้งสองทุกข์ทรมาน

บ่ายวันหนึ่ง อดีตชาติของพระพุทธเจ้าเห็นผู้คุมปฏิบัติต่อเพื่อนของเขา อย่างโหดร้ายมาก จนบุรุษผู้นั้นรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในตัวถูกปลุกขึ้น จนรู้สึกอยากต่อต้าน แต่ก็รู้ว่าถ้าเข้าขัดขวางหรือพูดอะไรเพื่อปกป้องไม่ให้ ผู้คุมทุบตีเพื่อน ผู้คุมก็คงจะหันมาทุบตีเขาแทน แต่อะไรบางอย่างในตัว ผลักดันให้เขารู้สึกอยากเข้าไปขัดขวาง และพูดว่า "อย่าทุบตีเพื่อนของเรา ให้มากมายนักเลย ทำไมไม่ปล่อยให้เขาได้พักบ้าง?" ลึกเข้าไปภายในตัว ของเขา มีบางอย่างผลักดันให้ต้องการเข้าขัดขวาง แม้รู้ว่าจะต้องถูกทุบตี อย่างแน่นอน แรงกระตุ้นนั้นรุนแรงมากจนไม่สามารถทานทนได้ เขาจึง หมุนตัวมาเผชิญหน้ากับผู้คุมที่ปราศจากหัวใจ และกล่าวว่า "ทำไมเจ้าจึง ไม่ปล่อยเขาไว้ตามลำพังสักครู่เล่า ทำไมเจ้าต้องตี และผลักดันเขาอยู่ อย่างนั้น เจ้าไม่มีหัวใจหรอกหรือ?"

นั่น คือสิ่งที่บุรุษที่ต่อมาได้กลายเป็นพระพุทธเจ้าได้พูดออกไป เมื่อ ผู้คุมได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จึงใช้เหล็กสามง่ามแทงลงไป ที่อกของบุรุษผู้เป็นอดีตชาติของพระพุทธองค์จนสิ้นชีวิต เขาได้เกิดใหม่ ในแทบจะทันทีในร่างของมนุษย์ เขาหลุดพ้นจากนรก และกลายมาเป็น มนุษย์ในโลก เพราะเขามีความเห็นอกเห็นใจที่แรงกล้า จนก่อให้เกิด ความกล้าที่จะเข้าขัดขวางและช่วยเหลือเพื่อนของเขา

เมื่อฉันอ่าน เรื่องนี้จบ ฉันรู้สึกแปลกใจที่แม้แต่ในนรกก็ยังมีความ เห็นอกเห็นใจ นั่นเป็นความจริงที่น่ายินดี ที่แม้แต่ในนรกก็ยังมีความ เห็นอกเห็นใจ เธอนึกภาพออกไหม? ที่ไหนก็ตามที่มีความเห็นอกเห็นใจกัน ที่นั่นก็ไม่เลวร้ายนักหรอก และเธอรู้อะไรไหม เมื่อบุรุษอีกคนเห็นเพื่อนสิ้นชีวิต เขารู้สึกโกรธมาก และเป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับ ความเห็นอกเห็นใจ เขาตระหนักได้ว่าบุรุษผู้นั้นต้องมีความรัก ความเมตตามากจนกล้าพอที่จะเข้าขัดขวางเพื่อเขา นั่นทำให้ความรู้สึก เมตตาของเขาเพิ่มขึ้นเช่นกัน เขามองไปที่ผู้คุมและกล่าวว่า "เพื่อน ของฉันพูดถูก เจ้าไม่มีหัวใจ สิ่งที่เจ้าทำเป็นมีเพียงแต่การสร้าง ความทุกข์ให้ตัวเองและผู้อื่นเท่านั้น ฉันไม่คิดว่าเจ้าจะมีความสุขนักหรอกที่ได้ฆ่าเขา" หลังจากที่ได้ยิน ผู้คุมผู้นั้นก็โกรธมาก และ ใช้เหล็กสามง่ามแทงลงไปที่ท้องของเขา ทำให้เขาตายในทันที และเขาก็ได้เกิดใหม่เป็นมนุษย์ในโลก บุรุษทั้งสองหลุดพ้นจากนรก และมีโอกาสเริ่มต้นใหม่บนโลกในฐานะมนุษย์เต็มตัว

แล้ว เธอรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้คุมผู้ไร้ซึ่งหัวใจ เขาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพราะในนรกนั้นมีคนอยู่เพียงสามคน และสองคน ได้ตายไปแล้ว เขาเริ่มเห็นว่าแม้คนทั้งสองจะไม่ใช่คนดีนัก แต่การมีคนอยู่ด้วยนั้นเป็นสิ่งที่วิเศษมาก บัดนี้ทั้งสองตายไปแล้ว และ เขาต้องอยู่ตามลำพังในนรก เขาไม่สามารถทนความเหงาเช่นนี้ได้ นรกเป็นสิ่งที่แสนลำเค็ญสำหรับเขาเสียแล้ว ความทุกข์นี้สอนให้ เขาได้รู้ว่า คนเราไม่อาจอยู่เพียงลำพัง มนุษย์ไม่ใช่ศัตรูของเรา คนเราไม่สามารถเกลียดชังและฆ่ากันเอง คนเราไม่อาจลดคุณค่า ของคนอื่นจนไม่เหลืออะไรเลย เพราะถ้าเราฆ่าเพื่อนมนุษย์เสีย แล้วเราจะอยู่กับใคร เขาได้ตั้งปณิธานว่า หากเขาต้องดูแลใคร ในนรกอีก เขาจะเรียนรู้ที่จะปฏิบัติกับคนเหล่านั้นให้ดีขึ้น และการแปรเปลี่ยนก็ได้บังเกิดในหัวใจของเขา ที่จริงเขาก็มีหัวใจ การที่ เชื่อว่าเขาไม่มีหัวใจนั้นเป็นความเข้าใจที่ผิด ทุกคนล้วนมีหัวใจ เราเพียงต้องการบางสิ่งบางอย่าง หรือใครบางคนมาสัมผัสหัวใจ และ แปรเปลี่ยนหัวใจนั้นให้เป็นหัวใจมนุษย์ ด้วยความตั้งใจที่จะปฏิบัติต่อนักโทษอย่างเห็นอกเห็นใจมากขึ้น ทันใด ประตูนรกก็เปิดออก และพระโพธิสัตว์ก็ปรากฏกายขึ้นพร้อมกับรัศมีรอบพระองค์ พระโพธิสัตว์ตรัสว่า "ความดีได้เกิดขึ้นในตัวเธอแล้ว เธอจะทนทุกข์ ในนรกอีกไม่นาน เธอจะตายและเกิดใหม่เป็นมนุษย์ในเร็วๆ นี้"

นี่ คือเรื่องราวที่ฉันอ่านเมื่ออายุ 7 ขวบ ฉันต้องสารภาพว่าในขณะที่อ่านฉันไม่ได้เข้าใจมากนัก แต่พุทธประวัติเรื่องนี้มีผลกระทบ ต่อฉันมาก เป็นนิทานชาดกเรื่องโปรดของฉัน ฉันพบว่าแม้แต่ในนรกความเห็นอกเห็นใจก็บังเกิดขึ้นได้

ดังนั้นไม่ ว่าในสถานการณ์ที่เลวร้ายเพียงใด ความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นก็สามารถเกิดขึ้นได้ ในแต่ละวันเราได้สร้างนรกให้ตัวเอง และคนที่เรารัก พระพุทธองค์ก็ได้เคยทำสิ่งเดียวกันนี้มาหลายครั้งก่อนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ได้สร้างความทุกข์ให้กับตนเอง และผู้อื่น รวมถึงพ่อแม่ของพระองค์ด้วย นั่นคือเหตุผลว่าทำไมชาติหนึ่งของพระองค์จึงต้องอยู่ในนรก แต่นรกก็เป็นที่ที่เราจะได้ เรียนรู้บทเรียนสำหรับการเติบโต และที่นี่เองพระองค์ได้เรียนรู้เป็นอย่างดี เมื่อพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ยังคงเฝ้าปฏิบัติ ความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น ทรงก้าวเดินในเส้นทางแห่งความเข้าใจและความรัก พระองค์ไม่เคยต้องกลับไปอยู่ในนรกอีกเลย เว้นแต่ ในยามที่เสด็จกลับไปเพื่อโปรดสัตว์

ฉันเคยอยู่ในขุมนรกหลายขุม และได้สังเกตเห็นว่าแม้ในนรกก็ยังมีความเห็นอกเห็นใจกัน ด้วยการฝึกสมาธิในทางพุทธศาสนา เธออาจป้องกันไม่ให้นรกปรากฏ และถึงแม้นรกจะปรากฏเธอก็ยังมีวิธีที่จะแปรเปลี่ยนนรกให้เป็นสิ่งที่น่า อภิรมย์มากขึ้น เมื่อเธอโกรธ นรกก็เกิดขึ้น ความโกรธทำให้เธอและคนที่เธอรักมีความทุกข์ หากเราไม่รู้วิธีฝึกสมาธิ เราอาจสร้างนรกในครอบครัวของเราเสมอๆ..๐

นายธรรมะ
ขอบคุณบทความจาก หมู่บ้านพลัม และ เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยนะครับ

122
ธรรมะ / รักษาศีล 5 แล้วได้อะไร ?
« เมื่อ: 18 พ.ย. 2553, 07:36:58 »
รักษาศีล 5 แล้วได้อะไร ?


เรียบเรียงโดย : พระอธิการถวิล จนฺทสโร เจ้าอาวาสวัดถ้ำพระบำเพ็ญบุญ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย

เรื่องของศีลข้อที่ 1 คือเว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้น จากการเบียดเบียนชีวิตซึ่งกัน และกัน เนื่องจากชีวิตเป็นสิ่งที่ทุกคนรัก ทุกคนหวงแหน แม้สัตว์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน รักชีวิต หวงชีวิต กลัวชีวิต จะต้องตายทุก ๆ ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ทั้งหลาย ต่างดิ้นรน ต่อสู้ทุกวิถีทาง เพื่อให้ชีวิตของตนอยู่รอด แคล้วคลาด ปลอดภัย อยู่ดีมีความสุข พระพุทธเจ้าจึงบัญญัติศีลข้อที่ 1 ด้วยเห็นว่าสัตว์ทั้ง หลายรักชีวิตของตนเป็นอันดับ 1


ศีลข้อที่ 1 ปาณาติปาตาเวรมณี


เว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วย ตนเองหรือใช้ให้ผู้อื่นฆ่า ...ถ้าไม่เว้นย่อมยังสัตว์ให้ไป เกิดในนรก ในสัตว์เดรัจฉานในเปรตวิสัย... และเมื่อเกิดเป็นมนุษย์อีกจะได้รับผล 9 ประการ คือ

เป็นคนทุพพลภาพ
เป็นคนรูปไม่งาม
มีกำลังกายอ่อนแอ
เป็นคนเฉื่อยชา
เป็นคนขี้ขลาด
เป็นคนผู้อื่นฆ่า, และฆ่าตัวเอง
โรคภัยเบียดเบียน
ความพินาศของบริวาร
อายุสั้น และให้ผลติดต่อกันหลายชาติ

รักษาศีลข้อที่ 1 แล้วได้อะไร?
ได้รับผลปฏิสนธิกาล คือ ได้เกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดเป็นเทวดา เรียกว่า กามสุคติภูมิ
ได้รับผลในปวัตติกาล คือ หลังจากเกิดแล้ว เช่น หลังจากเกิดเป็นมนุษย์แล้วได้รับผลอีก 23 ประการ

อานิสงส์แห่งการรักษา ศีลข้อที่ 1 มี 23 ประการ

สมบูรณ์ด้วยอวัยวะน้อยใหญ่
มีร่างกายสมทรง
สมบูรณ์ด้วยกำลังกาย
มีเท้างามประดิษฐานลงด้วยดี
เป็นผู้มีผิวพรรณสดใส
มีรูปโฉมงามสะอาด
เป็นผู้อ่อนโยน
เป็นผู้มีความสุข
เป็นผู้แกล้วกล้า
เป็นผู้มีกำลังมาก
มีถ้อยคำสละสลวยเพราะพริ้ง
มีบริษัทรักใคร่ไม่แตกแยกจาก ตน
เป็นคนไม่สะดุ้งตกใจกลัวต่อ ภัยเวร
ข้าศึกศัตรูทำร้ายไม่ได้
ไม่ตายด้วยความเพียรฆ่าของผู้ อื่น
มีบริวารที่หาที่สุดมิได้
มีรูปร่างสวยงาม
มีทรวดทรงสมส่วน
มีความเจ็บไข้น้อย
ไม่มีเรื่องเสียใจเศร้าโศก
เป็นที่รักของชาวโลก
ไม่พลัดพรากจากสิ่งที่รักและ ชอบใจ
มีอายุยืน

ศีลข้อ ที่2 อทินนาทานาเวรมณีเว้นจากการลักทรัพย์ด้วยตนเอง หรือผู้อื่นลัก
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า อทินนา อันบุคคลเสพแล้วเจริญ แล้วกระทำให้มากแล้วย่อมยังสัตว์ให้ไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานในเปรตวิสัย วิบากแห่งอทินนาทานอย่างเบาที่สุด ย่อมยังความพินาศและโภคะให้เป็นไปแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์มีสมบัติต้องพินาศ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์อีกจะได้รับผล 6 ประการ

1.เป็นคน ด้อยทรัพย์
2.เป็นคนยาก จน
3.เป็นคนอด อยาก
4.ไม่ได้ สมบัติที่ตนต้องการ
5.ต้องพินาศ ในการค้า
6.ทรัพย์ พินาศเพราะภัยต่าง ๆ เช่น อัคคีภัย อุทกภัย วาตภัย ราชภัย โจรภัย เป็นต้น

รักษา ศีลข้อที่ 2 แล้วได้อะไร
1.ได้รับผล ในปฏิสนธิกาล คือ ได้เกิดเป็น มนุษย์ หรือ เทวดา เรียกว่า กามสุคติภูมิ
2.ได้รับผล ในปวัตติกาล คือหลังจากเกิดเป็นมนุษย์แล้วจะได้รับผลอีก 11 ประการ
อานิสงส์ของการรักษาศีลข้อที่ 2 มี 11 ประการ

1.จะเป็นผู้ มีทรัพย์มาก
2.มีข้าวของ และอาหารมาก
3.หาโภค ทรัพย์ได้ไม่สิ้นสุด
4.โภคทรัพย์ ที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น
5.หาสิ่งที่ ปรารถนาได้รวดเร็ว
6.สมบัติไม่ กระจายด้วยภัยต่าง ๆ
7.หาทรัพย์ ได้โดยไม่ถูกแบ่งแยก
8.ได้โลกุ ตตรทรัพย์คือนิพพาน
9.อยู่ที่ ไหนก็เป็นสุข
10.ไม่รู้ไม่ เคยได้ยินคำว่าไม่มี

ศีลข้อ ที่ 3 กาเมสุมิจฉาจาราเวรมณี...เว้นจากการประพฤติผิดใน กาม
ถ้าไม่เว้นจะเกิดอะไรขึ้น ...พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า บุคคลเสพแล้ว เจริญให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้ตกนรก ในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานในเปรตวิสัย ทำกาเมสุมิจฉาจาร แล้วได้อะไร ทำแล้วหากเกิดเป็นมนุษย์อีกได้รับผล 11 ประการ คือ

1.มีผู้ เกลียดชังมาก
2.มีผู้ปอง ร้ายมาก
3.ขัดสน ทรัพย์
4.ยากจนอด อยาก
5.เป็นหญิง
6.เป็นกระเท ย
7.เป็นชายใน ตระกูลต่ำ
8.ได้รับ ความอับอายเป็นอาจิณ
9.ร่างกาย ไม่สมประกอบ
10.มากไปด้วย ความวิตกห่วงใย
11.พลัดพราก จากผู้ที่ตนรัก

ผลทั้ง 11 ประการนี้ เป็นเศษของกรรมกาเมสุมิจฉาจาร ให้ผลหลังจากไปตกนรกไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน หรือหลังจากไปเกิดเป็นเปรตมาแล้ว เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะได้รับผลของกาเมสุมิฉาจาร ในปวัตติกาลดังกล่าวแล้ว
รักษา ศีลข้อที่ 3 แล้วได้อะไร
การละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม เสียได้จะได้รับผล 2 ขั้น คือ
1.ได้รับผล ในปฏิสนธิกาล คือเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดา เรียกว่าได้ปฏิสนธิในกามสุคติภูมิ
2.ได้รับผล ในปวัตติกาล คือ หลังจากเกิดแล้ว เช่น ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ จะได้รับผลอีก 20 ประการ

อานิสงส์ ของการรักษาศีลข้อที่ 3 มี 20 ประการ คือ1.ไม่มีข้า ศึกศัตรู
2.เป็นที่ รักของคนทั่วไป
3.นอนเป็น สุข
4.ตื่นก็ เป็นสุข
5.พ้นภัยใน อบายภูมิ
6.ไม่เกิด เป็นหญิงหรือกระเทย
7.ไม่โกรธ ง่าย
8.ทำอะไรก็ ได้โดยเรียบร้อย
9.ทำอะไร เปิดเผยแจ่มแจ้ง
10.มีความ สง่า คอไม่ตก
11.หน้าไม่ ก้ม มีอำนาจ
12.มีแต่ เพื่อนรักทั้งบุรุษและสตรี
13.มี อินทรีย์ 5 บริบูรณ์
14.มีลักษณะ บริบูรณ์
15.ไม่มีใคร รังเกียจ
16.ขวนขวาย น้อยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยมาก
17.อยู่ที่ ไหนก็เป็นสุข
18.ไม่ต้อง กลัวภัยจากใคร ๆ
19.ไม่ค่อย พลัดพรากจากของที่รัก
20.หาข้าว, น้ำ, ที่อยู่, เครื่องนุ่งห่ม ได้ง่าย

ศีลข้อ ที่ 4 คือให้เว้นจากการพูดเท็จ พูดไม่เป็นความจริง พูดโกหกหรือพูดมุสา
ถ้าไม่เว้นจากมุสาวาท หรือพูดเท็จอะไรจะเกิดขึ้น...พระพุทธเจ้าตรัสว่า มุสาวาทอันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มาก แล้วย่อมยังสัตว์ไปในนรก ในกำเนิดดิรัจฉานในเปรตวิสัย ผลจากการกล่าวมุสาวาทอย่างเบาที่สุดย่อมยังกางแตกจากมิตรให้ไปเกิดแก่ผู้ เป็นมนุษย์
การ กล่าวมุสาวาทแล้วจะได้อะไร

การกล่าวมุสาวาท หรือการพูดเท็จปราศจากความจริง เมื่อกล่าวออกไปแล้ว จะได้รับผล 2 ขั้น คือ
1.ได้รับผล ในปฏิสนธิกาล คือเกิดในนรก ดิรัจฉาน, เปรตวิสัย
2.ได้รับผล ในปวัตติกาล คือ หลังจากเกิดแล้วและผลที่จะได้รับในปวัตติกาลนี้ จะครบองค์มุสาวาท หรือไม่ก็ตาม ถ้าได้เกิดมาเป็นมนุษย์จะได้รับ

ผล อีก 8 ประการ คือ
1.พูดไม่ชัด
2.ฟันไม่ เป็นระเบียบ
3.ปากเหม็น มาก
4.ไอตัวร้อน จัด
5.ตาไม่อยู่ ในระดับปกติ
6.กล่าววาจา ด้วยปลายลิ้นและปลายปาก
7.ท่าทางไม่ สง่าผ่าเผย
8.จิตไม่ เที่ยงคล้ายคนวิกลจริต
อานิสงส์แห่งการรักษาศีลข้อที่ 4 มี 14 ประการ
1.มี อินทรีย์ทั้ง 5 ผ่องใส
2.มีวาจา ไพเราะอ่อนหวาน
3.มีฟันเสมอ ชิด สะอาด
4.ไม่อ้วนจน เกินไป
5.ไม่ผอมจน เกินไป
6.ไม่สูงจน เกินไป
7.ไม่เตี้ย จนเกินไป
8.กลิ่นปาก หอมเหมือนดอกบัว
9.ได้สัมผัส แต่ที่เป็นสุข
10.มีบริวาร ล้วนขยันขันแข็ง
11.มีถ้อยคำ ที่บุคคลเชื่อถือได้
12.ลิ้นบาง แดง อ่อนเหมือนกลีบบัว
13.ใจไม่ ฟุ้งซ่าน
14.ไม่เป็นคน ติดอ่าง ไม่เป็นใบ้

ศีลข้อที่ 5 คือ เว้นจากการดื่มสุรา และเมรัย รวมถึงเครื่องดองของเมายาเสพติดให้โทษทุกชนิด
โทษของการดื่มสุรา
ทำให้เกิดความประมาทปราศจากการเคารพบิดา มารดา พี่น้อง น้า อา แม้อุปัชฌาจารย์และสมณะ พราหมณ์ ผู้มีศีลก็ไม่เคารพศีลาจารวัตรในการปฏิบัติกายวาจาให้บริสุทธิ์ จะทำแต่การบาปหยาบช้า มีการหยาบ วาจาหยาบ ใจหยาบ ทำแต่อุกุศลเป็นนิตย์ไม่คิดสงสารสัตว์


นอกจากนี้ โทษของการดื่มสุราเมรัยยังพาให้ตกในอบาย นายนิรยบาลจะกรอกด้วยน้ำทองแดง น้ำถึงปากและคอก็จะทำลายไส้พุงขาดกระจายตาย ตายแล้วก็กลับฟื้นขึ้นมา เสวยทุกขเวทนาต่อ ๆ กันไป เมื่อพ้นจากอบายแล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ จะเป็นคนใบ้ เสียจริตผิดจากมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นภัยของชีวิตที่น่ากลัว

ศีลข้อที่ 5 สุรา เมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวรมณี เว้นจากการดื่มสุราเมรัย ของมึนเมา สิ่งเสพติดให้โทษ ถ้าไม่เว้นอะไรจะเกิดขึ้น
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "การดื่มน้ำเมา คือสุรา และเมรัย อันบุคคลเสพแล้ว เจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว ยังสัตว์ให้เป็นไปในนรกในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย"

ผลแห่งการดื่มน้ำเมา คือสุรา และเมรัยอย่างเบาที่สุดย่อมยังความเป็นบ้าใบ้ให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็น มนุษย์
ถ้าผิด ศีลข้อที่ 5 จะได้อะไร
การดื่มสุรา เมรัย หรือสิ่งเสพติดให้โทษจะได้รับผล 2 ขั้นคือ
1.ได้รับผล ในปฏิสนธิกาล เกิดในนรก, ดิรัจฉาน, เปรตวิสัย
2.ได้รับผล ในปวัตติกาล คือ หลังจากเกิดแล้ว และผลที่จะได้รับในปวัตติกาลนี้จะครบองค์หรือไม่ก็ตามถ้าได้เกิดมาเป็น มนุษย์ จะได้รับผลจากการดื่มสุรา 6 ประการคือ
1.ทรัพย์ถูก ทำลาย
2.เกิดวิวาท บาทหมาง
3.เป็นบ่อ เกิดแห่งโรค
4.เสื่อม เกียรติ
5.หมดยางอาย
6.ปัญญา เสื่อมถอยหรือพิการทางปัญญา

รักษาศีลข้อ 5 จะ ได้อะไร
ถ้าเว้นจากการจากการดื่มสุรา เมรัย หรือเว้นจากส่งเสพติดให้โทษ จะได้ผลดี 2 ประการ
1.ได้รับ ผลดีในปฏิสนธิกาล คือจะเกิดในกามสุคติภูมิ มี มนุษย์หรือสวรรค์เป็นที่เกิด
2.ได้รับผล ในปวัตติกาล คือหลังจากเกิดแล้ว ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์จะได้รับอานิสงส์จากเว้นดื่มน้ำเมา 35 ประการคือ
อานิสงส์แห่งการรักษาศีลข้อ ที่ 5 มี 35 ประการ
1.รู้กิจการ อดีต อนาคต ปัจจุบันได้รวดเร็ว
2.มีสติตั้ง มั่นทุกเมื่อ
3.มีปัญญาดี มีความรู้มาก
4.มีแต่ความ สุข
5.มีแต่คน นับถือยำเกรง
6.มีความขวน ขวายน้อยหากินง่าย
7.มีปัญญา มาก
8.มีปัญญา บันเทิงในธรรม
9.มีความ เห็นถูกต้อง
10.มีศีล บริสุทธิ์
11.มีใจละอาย แก่บาป
12.รู้จัก กลัวบาป
13.เป็น บัณฑิต
14.มีความ กตัญญู
15.มีกตเวที
16.พูดแต่ ความสัตย์
17.รู้จัก เฉลี่ยเจือจาน
18.ซื่อตรง
19.ไม่เป็น บ้า
20.ไม่เป็น ใบ้
21.ไม่มัวเมา
22.ไม่ประมาท
23.ไม่หลงใหล
24.ไม่หวาด สะดุ้งกลัว
25.ไม่บ้า น้ำลาย
26.ไม่งุนงง ไม่เขอะขะ
27.ไม่มีความ แข่งดี
28.ไม่มี ริษยาใคร
29.ไม่ ส่อเสียดใคร
30.ไม่พูด หยาบ
31.ไม่พูดจา เพ้อเจ้อ ไร้ประโยชน์
32.ไม่เกียจ คร้านทุกคืนวัน
33.ไม่ ตระหนี่
34.ไม่โกรธ ง่าย
35.ฉลาดรู้ใน สิ่งที่เป็นประโยชน์และในสิ่งที่เป็นโทษ

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

123
แอบดูคนเข้าห้องน้ำเป็นกรรม


ในโลกของความเป็นจริงมีอีกมากมายที่เป็น
ความทุกของแต่ละท่านที่มีวิบากกรรมเป็นตัวเชื่อมให้
เหตุที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดทุกข์ กรรมเป็นตัวบ่งชี้ให้เกิด
เห็นทุกข์อย่างชัดเจน แต่ก็ไม่มีใครที่สนใจหาเหตุเพื่อดับทุกข์
ทุกคนคิดว่าเป็นกรรมข้ามชาติหรือกรรมจาก
อดีตชาติแทนทั้งสิ้น

วันหนึ่งในศาลาธรรมวัดพิชยญาติการาม แม่ชีชี้
ไปที่โยมผู้ชายท่านหนึ่งแล้วถามว่า "แม่ชีพูดเรื่องโยมได้ไหมค่ะ"

โยม "ได้ครับ ผมสร้างกรรมอะไรในอดีตชาติหรือเปล่า
ผมถึงไม่มีความสุขเลย ผมให้แม่ชีพูดได้หมดเลยครับเต็มที่ครับ"

แม่ชี "โยมมีเมียกี่คนคะ"

โยม "สามคนครับ"

แม่ชี "เขาเรียกโยมว่าอย่างไรคะ"

โยม "เมียผมหึงหวงผมจนทุกข์มากอยากตายครับ
ผมหาทุกอย่างให้เขา คือผมไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน
เลยครับ คำที่เมียผมเรียกทำให้ผมเกิดปมด้อยในใจครับ"

แม่ชี "แม่ชีเห็นทุกข์ของโยมคือตอนอายุ 13 ขวบ โยม
เจาะห้องน้ำแอบดูคนใช้อาบน้ำ แม่ชีเห็นโยมี
ความุสุขมากๆ กับรูที่แอบเจาะไว้ เพราะคนใช้สาว
ในบ้านโยม ทำให้โยมสำเร็จความใคร่อย่างสนุกตา
สนุกใจ กรรมตรงนี้ทำให้โยมเป็นทุกข์ค่ะ"

โยม "แม่ชีครับแม่ชีรู้ได้อย่างไรว่าผมเจาะรูแอบดูคนใช้อาบน้ำ"

แม่ชี "แม่ชีมีบางอย่างที่ได้จากการปฏิบัติเจริญกรรมฐาน
แล้วโยมเคยทำแบบนั้นไหมคะ"

โยม "เคยครับตอนอายุ 13 ขวบ ผมรู้สึกว่าผมต้องการ
มันมากไม่รู้เพราะอะไรผมคอยฟังเวลาเขาเข้าห้อง
อาบน้ำ แม่ชีครับเป็นกรรมด้วยเหรอครับ เป็นกรรม
ตรงไหนครับ

แม่ชี "โยมยังไม่ได้ตอบแม่ชีเลยว่าเมียโยมเรียกชื่อโยม
ว่าอย่างไร ถ้าโยมตอบแม่ชีจะได้พูดเป็นธรรมทาน
โยมจะได้หมดทุกข์"

โยม "เมียผมเรียกผมว่า พ่อนกกระจอกครับ"

แม่ชี "โยมฟังนะคะ โยมเจาะรูแอบดูคนอาบน้ำแล้วมี
ความใคร่ มันเป็นกรรม แต่อะไรก็แล้วแต่เขาไม่อนุญาต
ก็รับเต็มๆ โยมมีเมีย 3 คน แต่ทุกคนก็ไม่ได้รับความสุขจากโยมได้
เพราะเหมือนถึงรูก็เห็นแล้ว (เสร็จแล้ว) เมียโยม 3 คน
เขาก็หาทางออกให้ตัวเองเหมือนกัน เพราะตัณหามันแทบ
ทำให้ทั้ง 3 คนอยากจะฆ่าโยม ที่เขายังไม่
ไปจากโยมเพราะโยมมีเงินเลี้ยงดูเขาอย่างสุขสบาย"


เรื่องนี้เอาไว้เป็นธรรมทานกับคนที่ชอบดูอะไรที่เป็นเรื่อง
ลับของคนอื่น ดูมากๆ เสื่อมสมรรถภาพนะคะ ขออนุโมทนากับโยม
นกกระจอกนะคะ ขอให้โยมได้บุญจากธรรมทานนี้คะ
(ขอให้เป็นซุปเปอร์แมน)


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากเว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

124
ชอบเนื้อคู่ในอดีต ผิดศีลหรือไม่?


ถาม : ส่วนใหญ่ทุกคนเคยเกิดมาหลายภพหลายชาติแล้ว และก็เคยมีเนื้อคู่มาหลายภพหลายชาติแล้ว ในชาตินี้เรามีคู่แล้ว แต่เราไปเจอเนื้อคู่ในอดีต แล้วรู้สึกชอบเขา อย่างนี้จะผิดศีลไหมคะ ?

ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นแค่ความชอบไม่เป็นไร เพราะยังเป็นแค่ความคิด แต่อย่าให้เป็นการกระทำ ความคิดเป็นมโนกรรม ส่วนของธรรมะจะหมอง

แต่ลักษณะของการเป็นเนื้อคู่ ก็อย่างที่เราว่ามา เราเกิดมาเยอะก็ย่อมต้องเจอคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง ถ้าหากว่าคนไหนเกิดร่วมกับเรามาก เป็นลักษณะของบุพเพสันนิวาส เจอหน้ากันก็จะรักชอบเลย คนไหนที่เกิดร่วมกันน้อย โอกาสที่จะเกิดความรู้สึกเหล่านั้น ก็จะเบาบางลงไปตามลำดับ

ถ้าหากว่าเราสังเกตตัวเราจะเห็นว่า บางครั้งเราเจอคนๆ นี้เราก็ชอบเขา เมื่อเวลาผ่านพ้นช่วงวาระกรรมนั้นไป ก็จะแคล้วคลาดกันไป เราไปเจอคนอื่น อ้าว..เจออีกแล้ว ถ้าใช้มโนมยิทธิดูก็จะรู้ว่า แต่ละคนล้วนแล้วแต่เคยเป็นคู่ของเรามาก่อน เพียงแต่จังหวะเวลาของกรรมส่งให้เขามาพบเราก่อนหลังต่างกันไป

เพราะฉะนั้น..ตัวเราจะต้องมีสติสัมปชัญญะอยู่ในตรงจุดที่ว่า ศีลของเราต้องไม่บกพร่อง ถ้าหากว่ายอมให้ศีลบกพร่องเมื่อไร โอกาสที่จะลงอบายภูมิมีสูงมาก ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามทำนองคลองธรรม

ชอบใจคนๆ หนึ่ง คือ ลุงปาน ตอนนี้มีเมียมาคนที่เก้าแล้ว เขาตั้งเป้าไว้ว่าจะมีให้ครบสิบสองคน แต่ตอนนี้เขี้ยวชักจะไม่ค่อยเหลือ ตอนนี้ฟันร่วงแล้ว หกสิบกว่า ลุงปานแกชอบออกป่า นอนในป่ามากกว่านอนบ้าน เมียเบื่อขึ้นมาก็ทิ้งแกไป พอทิ้งไปแกค่อยหาคนใหม่ เรียกว่ามารยาทดี ถ้าหากว่าเลิกร้างกันไปแล้วค่อยหาคนใหม่ อย่างนี้ไม่ผิดศีล

มีลูกอยู่ห้าคนไม่ได้มีแม่เดียวกันเลย ต่างคนต่างแม่หมด คือต้องอยู่ในลักษณะนั้น ต้องมีสติสัมปชัญญะพอ ไม่ใช่ว่าเห็นแล้วชอบก็กวาดเรียบ อันนั้นใช้ไม่ได้จ้ะ ถ้าจะทำต้องให้เจ้าของเก่าอนุญาตก่อน

ถาม : อย่างที่บอกว่าภรรยาอนุญาตแล้ว ?

ตอบ : นั่นแหละจ้ะ ต้องทำให้เขาอนุญาตให้ได้ แล้วแต่ฝีมือ ...(หัวเราะ)...


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔



ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...ead.php?t=2253

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากเว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

125
~อาการเขม่น~

การเขม่นที่หัวคิ้วทางด้านขวา หมายถึง การจะถูกหักหลัง


การเขม่นที่หัวคิ้วทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีคนรักบ่นถึง


การเขม่นที่หางตาทางด้านขวา หมายถึง การจะได้โชคลาภ ได้รับเงินทอง


การเขม่นที่หางตาทางด้านซ้าย หมายถึง การจะไม่สบายใจ การเจ็บป่วย


การเขม่นที่หน้าผาก หมายถึง การจะเสียของรัก


การเขม่นที่ตาทางด้านขวา หมายถึง การจะมีคนนำโชคลาภมีให้


การเขม่นที่ตาทางด้านซ้าย หมายถึง การที่มีผู้หญิงบ่นถึง


การเขม่นที่หูทางด้านขวา หมายถึง การจะได้รับข่าวไม่ค่อยดี


การเขม่นที่หูทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้รับข่าวดี


การเขม่นที่จมูก หมายถึง การจะมีเรื่องมีราวที่ไม่ดี


การเขม่นที่แก้มทางด้านขวา หมายถึง การจะได้ลาภจากคนรัก


การเขม่นที่แก้มทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีความสุขสมหวังกับคนรัก


การเขม่นที่ริมฝีปาก หมายถึง การจะมีโชคลาภทางอาหารการกิน


การเขม่นที่ริมฝีปากทางด้านบน หมายถึง การจะมีคนเลี้ยงไปงานเลี้ยง


การเขม่นที่ริมฝีปากทางด้านล่าง หมายถึง การจะได้รับข่าวดีจากเพศตรงข้าม


การเขม่นที่ริมฝีปากทางด้านขวา หมายถึง การจะมีลาภจากเพศตรงข้าม


การเขม่นที่ริมฝีปากทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีปากเสียงทะเลาะวิวาท


การเขม่นที่คาง หมายถึง การจะประสบปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ทางครอบครัว


การเขม่นที่ต้นคอ หมายถึง การจะประสบอุบัติเหตุ


การเขม่นที่คอทางด้านขวา หมายถึง การจะมีลูกชายเป็นที่น่าพึงพอใจ


การเขม่นที่คอทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีลูกสาวเป็นที่น่าพึงพอใจ


การเขม่นที่ไหล่ทางด้านขวา หมายถึง การจะเสียเงินเสียทองของรัก


การเขม่นที่ไหล่ทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจ


การเขม่นที่รักแร้ทางด้านขวา หมายถึง การจะเกิดความเดือดร้อน


การเขม่นที่รักแร้ทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีลาภ มีข้าวของเงินทอง


การเขม่นที่แขนทางด้านขวา หมายถึง การจะได้ลาภจากการเดินทาง


การเขม่นที่แขนทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้รับข่าวดี


การเขม่นที่ข้อศอกทางด้านขวา หมายถึง การมีญาติพี่น้องมาเยี่ยม


การเขม่นที่ข้อศอกทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีคนรักที่น่าพึงพอใจ


การเขม่นที่มือทางด้านขวา หมายถึง การจะได้รับเงินทองเป็นของรางวัล


การเขม่นที่มือทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้รับชื่อเสียงเกียรติยศ


การเขม่นที่หลังฝ่ามือทางด้านขวา หมายถึง การจะมีคนมาติดต่อเรื่องงาน


การเขม่นที่หลังฝ่ามือทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้รับจดหมายจากเพศตรงข้าม


การเขม่นที่นิ้วหัวแม่มือ หมายถึง การจะมีคนมาขอรับปรึกษา


การเขม่นที่นิ้วชี้ หมายถึง การจะเกิดเรื่องเกิดราว


การเขม่นที่นิ้วกลาง หมายถึง การจะมีคนมาขอให้เป็นพยาน


การเขม่นที่นิ้วนาง หมายถึง การจะได้รับข่าวดีจากต่างเพศ


การเขม่นที่นิ้วก้อย หมายถึง การจะมีคนดูถูก


การเขม่นที่หน้าอก หมายถึง การจะพบเพศตรงข้ามที่พึงพอใจ


การเขม่นที่หัวนมทางด้านขวา หมายถึง การจะมีโชคลาภจากเพศตรงข้าม


การเขม่นที่หัวนมทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้เดินทางไกล


การเขม่นที่ฐานหัวนมทางด้านขวา หมายถึง การจะได้รับข่าวจากคนรัก


การเขม่นที่ฐานหัวนมทางด้านซ้าย หมายถึง การที่คนรักจะคิดถึงมาก


การเขม่นที่สีข้างทางด้านขวา หมายถึง การจะมีโชคลาภ


การเขม่นที่สีข้างทางด้านซ้าย หมายถึง การจะได้ลาภจากเพศตรงข้าม


การเขม่นที่สะโพกทางด้านขวา หมายถึง การจะมีโชคกับเพศตรงข้าม
 

การเขม่นที่สะโพกทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีคู่ครองได้แต่งงาน


การเขม่นที่ขาทางด้านขวา หมายถึง การจะทะเลาะกับเพศตรงข้าม


การเขม่นที่ขาทางด้านซ้าย หมายถึง การจะทะเลาะกับเพศเดียวกัน


การเขม่นที่หน้าแข้งทางด้านขวา หมายถึง การจะถูกเพศตรงข้ามหลอกลวง


การเขม่นที่หน้าแข้งทางด้านซ้าย หมายถึง การจะถูกเพศเดียวกันหลอกลวง


การเขม่นที่เข่าทางด้านขวา หมายถึง การจะมีลาภลอย


การเขม่นที่เข่าทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีปากเสียงกับคู่ครอง


การเขม่นที่เท้าทางด้านขวา หมายถึง การจะได้เดินทางไกล


การเขม่นที่เท้าทางด้านซ้าย หมายถึง การจะถูกเพศตรงข้ามดูถูกเหยียดหยาม


การเขม่นที่ปลายเท้าทางด้านขวา หมายถึง การที่พี่น้องจะคิดถึงกัน


การเขม่นที่ปลายเท้าทางด้านซ้าย หมายถึง การจะมีการเดินทางไกล


มาเพิ่มเติมค่ะจาก http://www.tlcthai.com/webboard/horo...5&post_id=9628

อาการ"เขม่น" อาจเกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายทุก ๆ คน แต่ส่วนมากมักจะเกิดที่นัยน์ตา ปาก และหู เป็นส่วนใหญ่ ...คนโบราณยอมรับว่า "เขม่น" นี้ มีส่วนใกล้เคียงกับความจริงอยู่ในลางสังหรณ์หรือลางนิมิติ

ลางสังหรณ์จากอาการเขม่น
เขม่นในตอนเช้า นับจากตื่นนอนใกล้รุ่ง
ถ้าเขม่นในตาขวา..... จักมีญาติมิตรต่างแดนมาหา
ถ้าเขม่นในตาซ้าย..... จักมีปากเสียงทะเลาะวิวาท หรือมีเรื่องเดือดร้อนมาสู่

เขม่นในตอนสาย (นับจากเวลา 9.00 - 12.00 หรือเที่ยงวัน)
ถ้าเขม่นนัยน์ตาขวา..... ญาติมิตร
ต่างแดนหรือต่างแดงหรือต่างจังหวัดจะนำลาภมาให้
ถ้าเขม่นนัยต์ตาซ้าย.....จะเกิดเรื่องไม่ดีงามภายในครอบครัว

เขม่นในตอนบ่าย (พ้นจากเที่ยงวัน - 16.00 น.)
ถ้าเขม่นนัยน์ตาขวา..... การที่คิดไว้หรือกำลังทำอยู่จะประสบผลสำเร็จ
ถ้าเขม่นนัยน์ตาซ้าย.....จะมีเพศตรงข้ามกล่าวขวัญถึงหรืออาจมาหา

เขม่นในตอนเย็น (ตั้งแต่ 17.00 - 19.00 น.)
ถ้าเขม่นนัยน์ตาซ้าย... จะมีญาติหรือเพื่อนสนิทที่อยู่ห่างไกลมาเยี่ยม
ถ้าเขม่นนัย์น์ตาขวา... จักได้พบญาติหรือมิตรสหายที่จากกันไปนานโดยไม่นึกไม่ฝัน

เขม่นในตอนกลางคืน ( 19.00 เป็นต้นไป )
ถ้าเขม่นนัยน์ตาซ้าย..... จักมีข่าวดีมาถึงในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น หรือจักได้ลาภจากผลงานที่ทำไว้
ถ้าเขม่นนัยน์ตาขวา..... จักมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับคนในครอบครัว


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

126
ตอนเด็กๆเท่าที่จำได้ จะเป็นเป็นตะกรุดหลวงพ่อท่านนวล ครับ

127
มาหาความรู้เหมือนกันครับ เท่าที่ผมคิดนะครับ หมายถึงเครื่องสักการะบูชาครูซึ่งแต่ละยุค แต่ละสมัย จะนิยมแตกต่างกัน หรือแต่ละสำนักจะมีแตกต่างกัน และเป็นการแสดงถึงการนอบน้อมเคารพครูบาอจารย์ ที่ประสิทธประสาทวิชาให้ครับ

128
ขอบคุณครับ สำหรับภาพและข้อความครับ

129
ความเชื่อเรื่องการปิดทองหลังพระ

ชาวพุทธมีความเชื่อว่าเป็นการสร้างบุญมหากุศลอันยิ่งใหญ่ โดยมีคติความเชื่อว่าผู้ที่ได้มีโอกาสปิดทองพระไม่ว่าจะเกิดภพชาติใดจะมีผิว พรรณผ่องใสงดงาม มีสง่าราศรี


เป็นที่ถูกเนื้อต้องใจของผู้ที่พบเห็น ส่วนอานิสงค์ผลบุญที่ให้เห็นในชาตินี้ ชาวพุทธมีคติความเชื่อว่ามาตั้งแต่โบราณกาลมาถึงปัจจุบัน คือ

1.ถ้าปิดที่พระพักตร์ มีคติควารมเชื่อว่าทำให้หน้าที่การงาน ชีวิตเจริญรุ่งเรือง

2.ปิดบริเวณพระอุทร (ท้อง) มีคติความเชื่อว่า จะอุดมสมบูณณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง

3.ปิดที่พระนาภี (สะดือ) มีคติความเชื่อว่า

ตลอดทั้งชีวิตจะไม่รู้จักคำว่าอด สมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สิน

4.ปิดที่พระเศียร (หัว) มีคติความเชื่อว่า จะทำให้สติปัญญาความจำเป็นเลิศ สามารถแก้ไขฝันผ่าปัญญาอุสรรคของชีวิตได้ตลอด

5.ปิดที่พระอุระ (หน้าอก) มีคติความเชื่อว่า ทำให้มีความสง่าราศรีเป็นที่ถูกใจของคนทั่วๆ ไป

6.ปิดที่ระหัตถ์ (มือ) ทำให้เป็นคนที่มีอำนาจบารมี

7.ปิดที่พระบาท (เท้า) มีคติความเชื่อว่า สมบูรณ์ด้วยที่พักอาศัย และยวดยานพาหระ


ส่วน การปิดทองหลังพระนั้นที่มีการพูดถึงเป็นภาษิต มีคติความเชื่อว่าถ้าจะให้การปิดทองทั้งหมดสมบูรณ์ต้องปิดด้านหลังด้วย นอกจากนี้แล้ว แม้ไม่ปิดที่องค์พระเช่น

กรณีพระพุทธณูปขนาดใหญ่ แม้การปิดทองบริเวณฐานของรองขององค์พระทำให้หน้าที่การงานมั่นคงเจริญก้าวหน้าการงาน

การไหว้พระปิดทองนั้น เป็นคติธรรมมุ่งหมายถึงการได้บูรณะต่อองค์พระพุทธปฏิมา เพื่อผลแห่งอานิสงส์ที่จะให้ผลโดยทันที ผู้ที่เกิดเคราะห์กรรมหรือวิบากกรรม อุปสรรค์ ความมั่วหมองในชะตาชีวิต ในสัมมาอาชีพ

หากต้องการความสำเร็จในสิ่งที่ทำไปแล้วโดยฉับพลันทันทีการสร้างอานิสงส์โดยการปิดทองพระพุทธปฏิมาจึงเป็นสิ่งที่ให้ผลโดยตรง




ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก http://www.agalico.com/
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

130
วิธีแก้กรรมในความรัก


1. แก้กรรมร้างคู่

คนบางคนขาดคู่แท้ คู่ถาวรเพราะวิบากกรรม
ชาติก่อนอาจเคยทำให้คู่รักต้องเลิกกันไปโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
หรืออาจเคยพรากคู่รักให้แยกจากกัน
หรือเคยยุยงให้เขาแตกกัน
หรือขัดขวางมิให้เขาได้ครองคู่กัน
การแก้กรรมดวงที่ร้างคู่ให้ปฏิบัติ ดังนี้

1.1 ถวายเทียนคู่หรือแจกันคู่
ถวายให้ครบ 9 วัดอย่างต่อเนื่อง
จะทำบุญเดือนละ 1 วัดหรือ 2 วัดก็ได้ตามแต่สะดวก
ให้ถวายในวันเกิดของตน เช่น คนเกิดวันพุธ ก็ไปทำบุญวันพุธ
อธิษฐานจิตขอทำบุญเพื่อแก้วิบากกรรม
ตั้งจิตภาวนาขอพรเรื่องคู่ตามที่หวัง
(สามารถถวายสิ่งของอื่นแก่วัดได้ แต่ควรถวายสิ่งของที่ใช่เป็นคู่
เช่น เชิงเทียน แจกัน )

2. แก้กรรมชีวิตคู่ไม่ราบรื่น

อาจเป็นเพราะชาติปางก่อน ทำบุญร่วมกันโดยไม่เต็มใจ
จึงเกิดมาเป็นคู่กัน แต่ความสัมพันธ์ไม่ราบรื่น
หรือเมื่อครั้งที่เคยเป็นคู่กันนั้น ขาดความปรองดองต่อกันหรือร่วมมือกัน
จึงต้องมาทะเลาะเบาะแว้ง ให้แก้กรรมโดยปฏิบัติ ดังนี้

2.1 ร่วมใจกันทำบุญตักบาตรพระสงฆ์อย่างสม่ำเสมอ ต้องเป็นประจำ
สม่ำเสมอ ทุกกเช้า วันเว้นวัน หรือทุกอาทิตย์

2.2 ร่วมกันทำบุญถวายสังฆทานสม่ำเสมอ ทุกเดือน หรือ ทุก 3 เดือน

2.3 ร่วมกันสวดพระคาถาบท ทุกวันพระเป็นเวลา 3 เดือน
จากนั้นสวดทุกวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ

2.4 เป็นเจ้าภาพหรือร่วมเป็นเจ้าภาพ เกี่ยวกับงานเลื้ยงวิวาห์ ออกแรง
หรือออกเงินช่วยงานแต่งงานของคู่บ่าวสาวที่ไม่รวยนัก ไม่จำเป็นต้องเป็นคู่
ที่เรารู้จักคุ้นเคยดี

2.5 ตั้งตนชอบอยู่ในจริยธรรมอันดี คิดดี พูดดี และทำดีต่อคู่รักทุกคู่
มิว่าจะรู้จักกันดีหรือไม่ ช่วยให้คู่รักเขาได้สมรักหรือได้เข้าใจกัน ไม่ทำให้เขาแตกร้าวกัน จะได้อานิสงค์แรงมาก

3.แก้กรรมคู่ไม่สมพงศ์ดวงกัน
คู่ที่มีดวงไม่ถูกโฉลกกัน หรือไม่สมพงศ์กันในทางพื้นเรือนชะตา เมื่อมาครองคู่ด้วยกันแล้ว ชีวิตมักจะขรุขระไม่ราบรื่น มีอุปสรรคให้ฟันฝ่าจนเหนื่อยเสมอ หรืออาจมีความลุ่ม ๆ ดอน ๆ ก้าวหน้าช้า มีความขัดสน หรือมีปัญหาอื่น ๆ ที่ทำให้หาความสุขสบายแท้จริงไม่ได้ ให้แก้กรรม ดังนี้

3.1 ร่วมกันทำบุญ ทำทานสม่ำเสมอ ทำบุญด้วยการออกแรงแทนเงินก็ได้ นำข้าวของไปบริจาคคนยากไร้ ไปอาสาช่วยงานบุญที่วัด

3.2 ร่วมกันตักบาตรพระสงฆ์

3.3 ไปไหว้พระ ทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงร่วมกัน

3.4 ไปไหว้ศาลหลักเมืองด้วยกัน

3.5 ร่วมกันปล่อยนก ปล่อยปลาย ปล่อยหอยขม โดบไปซื้อปลาที่ตลาดสดมาปล่อย หรือไถ่ชีวิตสัตว์

3.6 ร่วมกันล้างบ้าน จัดบ้านใหม่ ไหว้พระที่บ้าน ไหว้เจ้าที่เจ้าทาง

4. อธิษฐานขอฟ้าให้พบหน้าคู่แท้
ต้องฟังผู้หลักผู้ใหญ่หรือคนในครอบครัวที่สูงวัย ที่ให้คำแนะนำ ตรงนี้เป็นบุญประการหนึ่ง บุญนี้จะหนุนนำให้ได้คู่ที่ดี ให้ได้ลูกที่ดีในลำดับต่อไป


ต่อมาเป็นเรื่องของการทำบุญ คือไม่ทำให้คุณพ่อ คุณแม่เดือดร้อน ปู่ย่าตายายเดือดร้อน ร้อนกายร้อนใจว่าเราเอกเขรกเกเร ทั้งนี้จะเป็นบุญกุศลหนุนนำให้เราได้พบคู่รักอันเป็นคู่แท้ประการหนึ่ง อีกหลาย ๆ ประการที่กล่าวถึงดังต่อไปนี้ ถือว่าเป็นบุญกุศลในเรื่องที่จะให้สมหวังในความรักทั้งนั้น
การกตัญญูกตเวทิตาต่อบิดามารดาและญาติผู้ใหญ่ในวงศ์ตระกูล ทำบ้านให้
ร่มเย็นเป็นสุข การทำบุญกับบ้านเด็กกำพร้า การบริจาค หรือการทำบุญกับบ้านคนชรา การบริจาค หรือการทำบุญให้กับโรงพยาบาลสงฆ์ การบริจาคหรือการทำบุญกับมูลนิธิเพื่อนหญิง หญิงที่ถูกทำร้าย การบริจาคหรือการทำบุญกับโรงพยาบาล เป็นส่วนสำคุญที่จะเป็นบุญแรง เป็นบุญใหญ่ หนุนนำให้เกิดความสุขและความสำเร็จในเรื่องความรัก เพราะสถานที่ที่ได้กล่าวถึง มีสื่อทางจิตวิญญาณอันสัมพันธ์เกี่ยวกับบุญวาสนาบารมี ที่จะเกื้อหนุนให้เกิดพลังของผลบุญที่เกื้อหนุนในเรื่องของความรักและชีวิตครอบครัว เมื่อทำบุญแล้วต้องมีการอธิษฐานบุญ ขอให้ตั้งจิตอธิษฐาน เมื่อท่านสงบนิ่งแล้วให้ระลึกถึงสิ่งที่เป็นผลบุญที่ได้กระทำอันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ท่านได้ทำบุญมา และให้อธิษฐานว่า

“ขอให้ข้าพเจ้า ชื่อ-นามสกุลของท่าน ขอให้ประสบความสุข ความสำเร็จโดยเฉพาะในเรื่องของชีวิตคู่ เรื่องของครอบครัวขอให้มีความสุข ขอให้ได้พบคู่แท้ดังที่ปรารถนา หากใครก็ตามที่เป็นคู่แท้ ก็ขอให้พบโดยเร็วพลัน
ขอให้ได้เรียนรู้ ขอให้อย่าได้พบกับคนที่หลอกลวง แต่ถ้าหากใครคิดจะหลอกลวง ทำร้าย ทำลายน้ำใจให้มีความรู้สึกเจ็บช้ำ จงอย่าได้กล้ำกลายเข้ามา ขอให้ห่างไกลหลีกลี้หนีไปจากบารมี หลีกลี้ไปจากเรา ขอให้มีบารมี บุญบารมีธรรมคุ้มครองเราด้วยเถิด หากใครเป็นคู่แท้แล้วไซร้ก็ขอให้จงมีโอกาสเข้ามาใกล้ ประดุจเทพอุ้มสม คือเทพหนุนนำ เทวดาชักพา ให้เกิดการพบหน้า มีจิตประภัสสรให้เกื้อหนุนกันต่อไป จากปัจจุบันถึงอนาคตด้วยเถิด สาธุ”

อะไรประมาณนี้ ท่านก็จะสมหวังตามที่ปรารถนา ส่วนอธิษฐานมีส่วนเหมือนกัน กล่าวคือ

ท่านที่เกิดวันอาทิตย์นั้น การอธิษฐานควรจะอธิษฐานหรือทำบุญในวันอาทิตย์หรือวันพฤหัสบดี

ท่านที่เกิดวันจันทร์ควรจะทำบุญอธิษฐานขอพรจากเทวดาฟ้าดิน ในวันจันทร์หรือวันพุธ

ส่วนท่านที่เกิดวันอังคารควรขอพรจากเทวดาฟ้าดินในวันอังคารและวันศุกร์

ท่านที่เกิดวันพุธกลางคืนควรอธิษฐานขอพรในวันพุธกลางคืนและวันเสาร์


ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวของการอธิษฐานขอฟ้าให้พบหน้าคู่แท้ หวังว่าท่านคง
ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อความสุขของท่านเองและคนรอบข้าง
ให้สมหวังดังที่ปรารถนา พบรักในเร็ววัน



http://variety.teenee.com/foodforbrain/29706.html

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

131
การทำบาปของผู้ที่รู้และไม่รู้ (มิลินทปัญหา)


ชานอชานปัญหา
: ถามเรื่องการทำบาปของผู้ที่รู้และไม่รู้

พระเจ้ามิลินท์ :

คนที่รู้ว่าบาปแล้วยังขืนทำ
กับคนที่ไม่รู้ว่าบาปแล้วทำลงไป
ทั้ง ๒ คนนี้ใครจะบาปมากกว่ากัน

พระนาคเสน :

คนที่ไม่รู้ว่าบาปทำลงไปเป็นบาปมากกว่า

พระเจ้ามิลินท์ :

อำมาตย์ของข้าพเจ้า คนที่รู้ว่าผิดแล้วขืนทำ
ข้าพเจ้าจะลงโทษเป็น ๒ เท่า เพราะถือว่ารู้แล้วขืนทำ

พระนาคเสน :

อุปมาเหมือนคนที่รู้ว่าก้อนเหล็กร้อน แล้วจับก้อนเหล็กนั้น
ส่วนอีกคนไม่รู้ว่าก้อนเหล็กร้อนแล้วจับ
ทั้งสองคนนั้นใครจะร้อนกว่ากัน

พระเจ้ามิลินท์ :

คนที่ไม่รู้ว่าก้อนเหล็กร้อน
แล้วจับนั่นแหละจะร้อนมากกว่า

พระนาคเสน :

คนที่ไม่รู้ว่าบาปแล้วทำบาปก็จะบาปมากกว่า
เช่นเดียวกับคนที่ไม่รู้ว่าก้อนเหล็กร้อน
แล้วจับก้อนเหล็กย่อมร้อนมากกว่า ฉะนั้น

จบชานอชานปัญหา



ที่มา “มิลินทปัญหา เล่ม ๑”,
กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ จัดพิมพ์, ๒๕๔๓, หน้า ๙๙



อชานันตัสสะปาปกรณะอปุญญปัญหา
: ถามเรื่องของการทำบาปของผู้ไม่รู้ว่าเป็นบาป

พระเจ้ามิลินท์ :

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ผู้ที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นบาป
เมื่อทำลงไปย่อมมีบาปมากกว่า

แต่ในพระวินัยตรัสว่า ภิกษุไม่รู้ว่าเป็นอาบัติ
กระทำลงไปก็ไม่ปรับเป็นอาบัติ

เช่นนี้ไม่ขัดแย้งกันหรือ

พระนาคเสน :

ไม่ขัดแย้งกัน เพราะเป็นเรื่องธรรมกับพระวินัย
คือที่ตรัสว่าผู้ไม่รู้ว่าเป็นบาป
ทำลงไปเป็นบาปมากนี้เป็นเรื่องธรรม

ส่วนที่ตรัสว่าภิกษุ ไม่รู้ว่าเป็นอาบัติ ทำลงไปโดยไม่รู้ตัว
หรือไม่มีความจงใจไม่เป็นอาบัติ นี้เป็นเรื่องวินัย

จบอชานันตัสสะปาปกรณะอปุญญปัญหา



ที่มา “มิลินทปัญหา เล่ม ๒”,
กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ จัดพิมพ์, ๒๕๔๔, หน้า ๔๒



ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14385

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

132
ธรรมะ / อานิสงส์พิเศษของบุญกฐิน
« เมื่อ: 11 พ.ย. 2553, 07:21:23 »
อานิสงส์พิเศษของบุญกฐิน


ถาม :..................

ตอบ : ช่วงนี้เป็นช่วงของกาลกฐิน คำว่ากาลนั้น กาละแปลว่าเวลา เวลาของกฐิน กฐินจริง ๆ ความหมายก็คือ ผ้าสะดึง ผ้าที่ขึง เครื่องขึงที่ยึดผ้าให้ตึงจะได้ประกอบให้เป็นสิ่งโน้นสิ่งนี้ได้ ไม่ว่าจะเย็บปักถักร้อยอะไรก็ง่าย

กาลกฐินจะเป็นเรื่องกำหนดตามระเบียบพิธีของสงฆ์ โดยเฉพาะพระภิกษุที่จำพรรษาแล้วเป็นเวลาครบถ้วน ๓ เดือน สมัยก่อนนั้นพระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้เปลี่ยนจีวรได้ คราวนี้ว่าการเปลี่ยนจีวรนี้ต้องสมเหตุสมผล คือว่าเป็นผู้ที่จีวรเก่าจริง ๆ ชนิดที่เรียกว่าหมดสภาพแล้วก็อนุญาตให้เปลี่ยนได้ ท่านก็ให้เสาะหาผ้าที่จะมาทำจีวร

ภายหลังการเสาะหาผ้าเต็มไปด้วยความยากลำบาก นางวิสาขาก็ดี อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ดี ก็ขอให้รับคหปติจีวร คือจีวรที่มีผู้น้อมมาถวายได้ คราวนี้พอจำพรรษาแล้วครบสามเดือนมีสิทธิรับกฐินได้ กาลกฐิน คือ เวลาของการรับกฐิน เริ่มตั้งแต่แรมหนึ่งค่ำเดือนสิบเอ็ดไปสิ้นสุดเอากลางเดือนสิบสองเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม

ช่วงระยะนี้วัดไหนก็ตามที่มีเจ้าภาพตั้งใจว่าจะถวายกฐินก็จะจัดให้ถวายกฐินขึ้นมา คราว นี้กฐินเป็นงานบุญพิเศษ ความจริงกฐินเป็นสังฆทานเหมือนกันแต่บังเอิญว่าจำกัดด้วยเวลา คือ ทำได้แค่เดือนเดียวเท่านั้นในหนึ่งปี ก็เลยจะมีอานิสงส์พิเศษ

หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยบอกเอาไว้ว่า ให้เรารู้จักสังเกตตัวเอง ใครก็ตามที่ได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพทำบุญกฐิน คำว่าเจ้าภาพไม่ได้หมายความว่าจะต้องเจาะจงว่าตัวเองเป็นประธานหรือว่าหา สิ่งของทั้งหมดมา เราร่วมเป็นเจ้าภาพด้วยจะเล็กน้อยอย่างไรก็ตามถือว่าเป็นเจ้าภาพเหมือนกัน ท่านบอกว่า บุคคลที่ตั้งใจเป็นเจ้าภาพกฐินติดต่อกันได้ถึงสามปี ให้สังเกตความเป็นอยู่ของตัวเอง ความเป็นอยู่จะคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา จะมีความสะดวกกว่า เพราะฉะนั้นก็ให้พวกเราตั้งใจลักษณะนี้

ตัวอาตมาเองตั้งใจตั้งแต่ก่อนบวชจนกระทั่งถึงบวชแล้ว แต่ละปีจะทำบุญกฐินปีละมาก ๆ หลาย ๆ วัด สมัยที่ก่อนบวชถึงเวลาหน้ากฐินก็เตรียมซองไว้เลย ซองละพัน ๆ เจอเขาทำที่ไหนก็ถวายร่วมกับเขาที่นั่น พอเป็นพระมาก็ใช้วิธีจัดแบบนี้ คือว่านิมนต์พระที่ท่านไม่มีกฐินหรือว่าพระที่เป็นมิตรสหายคุ้นเคยกันมา มารับกฐินที่วัดของเรา หรือว่าอย่างระยะหลัง ๆ ไปเป็นประธานทอดให้เขาด้วย หรือว่าทางด้านโน้นเขาเรียกร้องมาก็ต้องไป

อานิสงส์ที่ชัดที่สุด ก็คือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา พระพุทธเจ้าสมัยที่ท่านเกิดเป็นมหาทุคตะ คือ คนที่จนมาก ท่านเป็นคนรับใช้คนอื่นเขา ในสมัยนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่าปทุมุตตระ ท่านเป็นคนใช้เขา เจ้านายจะจัดกฐินก็สั่งให้มหาทุคตะจัดการให้ทุกอย่าง มหาทุคตะก็บอกว่า ข้าแต่นายขอร่วมมีส่วนในกฐินนี้ได้หรือไม่ นายก็บอกว่าได้ เรามีอะไรล่ะ บอกว่าเดี๋ยวขอเสาะหาก่อน

คราวนี้เขามีแต่ผ้านุ่งอยู่ผืนเดียว แขกเขาจะมีผ้านุ่งอยู่ผืนหนึ่ง แล้วผ้าห่มผืนหนึ่ง แต่มหาทุคตะจนมากมีผ้านุ่งผืนเดียวก็ไม่ทราบจะทำอย่างไรดี เลยเข้าไปในป่า เอาใบไม้มาเย็บทำเป็นเครื่องนุ่งห่มแทนแล้วเอาผ้าผืนนั้นไปที่ตลาด ไปถามกับพ่อค้าว่าผ้าผืนนี้สามารถแลกของอะไรได้บ้าง เขาถามว่าเธอจะเอาไปทำอะไรผ้าก็เก่าเต็มทีจะแลกของอะไรได้นักหนาเชียว

เขาก็บอกว่านายของเราจัดกฐินขึ้นมาเพื่อทอดถวายพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เราก็อยากทำบุญด้วย พ่อค้าบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ให้เข็มไปเล่มหนึ่งแล้วก็ด้ายไปกลุ่มหนึ่ง เพราะว่าผ้าเก่ามากแล้วมีค่าน้อยมา
ท่านก็เอาเข็มกับด้ายนั้นเข้าไปร่วมในกองกฐินแล้วตั้งใจอธิษฐานว่าขอให้ผล บุญที่ได้ทำบุญกฐินครั้งนี้ ขอให้ท่านบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณดังที่ปรารถนาด้วยเถิด เสร็จแล้วปรากฏว่าพอถึงชาติปัจจุบันนี้ ท่านบรรลุมรรคผลได้จริง ๆ
หลวงพ่อท่านเคยเทศน์ถึงอานิสงส์กฐิน ท่านบอกว่าบุคคล ที่ตั้งใจทำบุญกฐิน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าแม้แต่ทิพจักษุแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่ง ถือว่าเลิศแล้วที่สุด ยังมองไม่เห็นเลยว่าอานิสงส์นั้นจะไปสิ้นสุดตรงไหน ส่วนใหญ่ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ จะเป็นพระมหากษัตริย์ หรือเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี เกิดแล้วเกิดอีกอยู่ในระดับของความดีนี้ตลอดจนกระทั่งไม่สิ้นสุดของอานิสงส์กฐินก็จะเข้านิพพานเสียก่อน ฟังดูแล้วน่าทำไหม ร่วมกับเขาบ่อย ๆ

สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

133
วันที่ 11 พฤศจิกายน วันละสังขารหลวงปู่มั่นภูริทัตโต


วันนี้ คือวันที่ 11 พฤศจิกายน วันครบรอบ 60ปีการละสังขารหลวงปู่มั่น


หากเราหลับตาลองนึกภาพว่าหากไม่มีหลวงปู่มั่นในประเทศไทยแล้วจะเกิดอะไรขึ้นอาจจะไม่มีพระป่า ศาสนทายาทที่สืบพระศาสนาที่เน้นการปฏิบัติในแก่นแท้ของศาสนาก็จะไม่มีการเรียนรู้ในหลักการภาวนาที่แท้จริงก็จะไม่เกิดขึ้น บุคลากร เช่น หลวงปู่ต่างๆ ก็ไม่มีในสารบบ

การที่หลวงปู่มั่นท่านได้เน้นการสร้างพระให้เป็นพระในปัจจุบัน
จึงนับว่าเป็นการปฏิวัติวงการคณะสงฆ์ ในภาคปฏิบัติ
มีคุณูปการในการสืบพระศาสนาในประเทศไทยอย่างแท้จริง

ศาสนิกชนในประเทศไทยจึงเป็นหนี้บุญคุณอันล้นพ้นประมาณของท่านอย่างใหญ่หลวง

ในข้อมูลปัจจุบัน พระสายวัดป่าทั่วประเทศเกือบทั้งหมดสืบเชื้อสายมาจากสายหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่น
มีพระปฏิบัติดีเป็นแบบอย่างมากมาย นับแต่ศิษย์รุ่นแรกของท่าน เช่นหลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน หลวงปู่ดูลย หลวงปู่ฝั้น และอีกมากมายทั้งที่ปรากฏนามและที่ไม่ได้เปิดเผยตัวตนเพราะอยู่ในป่าลึกก็มีมาก สืบทอดปฏิปทาแบบอย่างพระที่แท้มาจนปัจจุบัน


ลักษณะที่พระอาจารย์มั่นเน้นในการสืบพระศาสนาจนได้ผลจนถึงปัจจุบันมีดังนี้

1.การเริ่มต้นที่ตนเอง นำตนเองเป็นพยาน เป็นเครื่องพิสูจน์ ให้เห็นจริง เป็นการยืนยันว่ามนุษย์นั้นทำได้ไม่เหลือวิสัย โดยดูจากท่านเองเป็นชาวบ้านคำบง เกิดมาในชนบทที่ห่างไกลสุดปืนเที่ยงก็สามารถพัฒนาตนจนบรรลุธรรมได้จริง พระอรหันต์จึงไม่ใช่เป็นเพียงในตำนานในคัมภีร์ เท่านั้น
2.การเน้นการสร้างคน มากกว่าการสร้างวัตถุใด ตลอดชีวิตของท่านไม่มีที่ใดที่ท่านสร้างวัตถุไว้ให้ยึดถือแต่อย่างใดแต่กลับเน้นที่การสร้างคนคือพระจำนวนมาก จึงมีนับร้อยที่ได้กราบขอเป็นลูกศิษย์ท่าน แต่ท่านก็ไม่ได้รับไว้ทั้งหมด บางรายที่ทำไม่ดีท่านก็ไล่ออกจากวัด

3.ท่านเน้นในเรื่องการปฏิบัติโดยไม่ได้ตามตำรา แต่เน้นการศึกษาในพระธรรมอย่างถ่องแท้ ไม่ได้หมายความว่าไม่ศึกษาธรรม เพราะท่านเองก็ได้ขวนขวายมาเล่าเรียนกับท่านเจ้าคุณอุบาลีที่กรุงเทพฯควบคู่กับการปฏิบัติ ท่านสามารถเทศน์อธิบาย ขยายความ ข้อธรรมต่างๆ ทั้ง พระวินัย พระอภิธรรม และเขียนเป็นบทประพันธ์ได้อย่างไพเราะและแฝงด้วยข้อธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง จนยากยิ่งที่จะหาพระที่เทศน์ได้กินใจ จนเจ้าคุณอุบาลี ยกย่องชมเชยว่า ข้อธรรมที่หลวงปู่มั่นท่านเทศน์นั้นเป็น "มุตโตทัย" คือหนทางหลุดพ้นอย่างแท้จริง

4.การสอนรายบุคคลไม่ซ้ำกัน อันเป็นปัจจัตตัง หากเป็นภาษาสมัยใหม่คือ individual development plan (IDP) จากประวัติหลวงปู่องค์ต่าง ๆ ที่เล่าขานกันมา พบว่าท่านมีกลอุบายวิธีที่แยบยล จนคนถูกสอนต้องยอมรับแบบหมอบราบคาบแก้ว ไม่มีข้อโต้แย้งหรือมานะทิฏฐิใด ๆ เหลืออยู่ เช่น หากเป็นพวกที่ขี้กลัวเสือ ท่านส่งให้ไปอยู่ป่าทางเสือผ่าน พวกที่กลัวผี ท่านจะส่งไปอยู่ป่าช้า พวกปัญญามาก
ท่านจะสอนด้วยการวิสัชนาถามตนเอง จนสิ้นสงสัย และการบอกสอนของท่านก็ไม้ซ้ำรูปแบบ แม้การญัตติ(บวช)เป็นธรรมยุติ บางองค์ท่านทำให้บ้าง แต่บางองค์ท่านบอกไม่จำเป็น เช่น ในกรณีหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง ซึ่งนับว่าเป็นผลดีต่อคณะสงฆ์ไทยสายวัดป่าในเวลาต่อมาอย่างมาก ว่าการปฏิบัติที่เข้นข้นที่มิใช่จำกัดอยู่เพียงในนิกายธรรมยุติเท่านั้น

5.ความเมตตาอันไม่มีประมาณต่อหมู่คณะ แทนที่ท่านจะบรรลุธรรมเพียงคนเดียวแล้วอยู่ในป่า ท่านกลับเกื้อกูลหมู่คณะ ตั้งแต่ภาคอิสาณจรดภาคเหนือ ในแต่ละช่วงที่ท่านบรรลุธรรม ท่านจะนำพาหมู่คณะไปพร้อมๆ กัน จนกระทั่งเมื่อถึงช่วงสุดท้ายสิบปีในชีวิตท่านเมื่อกลับมาอิสานอีกรอบท่านก็ได้สั่งสอนลูกศิษย์อย่างไม่เหน็ดเหนื่อยแม้อยู่ในวัยชรามากแล้ว และได้สอนพระอริยะอีกหลายองค์ต่อมา องค์หนึ่งในนั้นที่ท่านได้สอนที่บ้านหนองผือนาในคือท่านหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน พระอริยะในยุคปัจจุบันที่สืบต่อเชื้อสายวงศ์วัดป่ามาจากมหาบูรพาจารย์นั่นเอง นอกจากนั้น กรณีชาวเขาชาวป่าที่กล่าวหาท่านว่าเป็นเสือเย็นก็เช่นกัน ท่านไม่ประสงค์ให้พวกนั้นต้องมีวิบากกรรม จึงอยู่ในหมู่บ้านนั้นเมตตาโปรดสั่งสอนชาวเขาเข้าใจถูกต้องแล้วจึงจากไป อีกกรณีที่ท่านเห็นแววอริยะท่านก็จะไปโปรด เช่น แม่ชี้กั้งขาวที่บ้านหนองผือนาในที่แม้อยู่ในป่าลึกมาก ท่านได้เห็นว่ามีแววที่จะบรรลุธรรมท่านได้ท่านก็จะเมตตาสั่งสอนจนเป็นผลสำเร็จ

ความเมตตาอันไม่มีประมาณของท่านที่ได้เป็นแบบอย่างที่ดีเลิศ ในการสร้างพระอริยะให้เดินตามท่านมากมายนี้จึงเป็นคุณูปการอันใหญ่หลวงต่อสังคมไทย เป็นการสืบพระศาสนาอย่างแท้จริงให้อยูในดินแดนสุวรรณภูมินี้

ปีนี้เป็นปีที่ครบรอบหนึ่งร้อยสีสิบปี (2413-2553 ) เราจึงควรตั้งจิตคารวะมหาบูรพาจารย์ ที่มีบุญคุณอันยิ่งใหญ่ต่อพวกเราจนปัจจุบัน
และควรที่จะมีการยกย่องเทิดทูนภารกิจที่ท่านได้ทำมาแก่สังคมไทยมากกว่านี้


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

134
ขอบคุณครับสำหรับสิ่งดีๆ

135
ขอให้ได้ไปสู่สุคติ ได้ไปอยู่ในภพที่ดีๆครับ อย่าได้มีความทุกข์กายทุกใจเลย  :054:

136
กิเลสทั้งหลายของมนุษย์เรานี้ เกิดจากจิตแต่ผู้เดียว (เทสก์ เทสรังสี)


กิเลสทั้งหลายของมนุษย์เรานี้
เ กิ ด จ า ก จิ ต แ ต่ ผู้ เ ดี ย ว

พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (เทสก์ เทสรังสี)

วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย

นักปฏิบัติทั้งหลาย ไม่ว่าจะเรียนมาก หรือน้อย
หรือเรียนเฉพาะกรรมฐานที่ตนจะต้องพิจารณาก็ตาม

เมื่อลงมือปฏิบัติแล้วจะต้องทอดทิ้งสิ่งทั้งปวงหมด
เพ่งพิจารณาแต่เฉพาะกรรมฐานที่ตนพิจารณาอยู่นั้นเฉพาะอย่างเดียว
จึงจะรวมลงเป็นเอกัคคตารมณ์ได้
จะเรียนมาก หรือเรียนเอาแต่เฉพาะกรรมฐานที่ตนพิจารณาอยู่นั้นก็ตาม
ก็เพื่อทำจิตให้เป็นสมาธิ เอกัคคตารมณ์อันเดียว

ดังท่านที่เจริญวิปัสสนา
ถึงแม้จิตจะแส่ส่ายตามสภาพวิสัยของมันซึ่งบุคคลยังมีชีวิตอยู่
แต่ก็รู้เท่าทันเห็นตามพระไตรลักษณ์ไม่หลงใหลตามมัน

อารมณ์ที่พบผ่านมาไม่ว่าจะเป็นตา หู จมูก ลิ้น กายแลใจก็ตาม
ล้วนแล้วแต่เป็นอุปสรรคของการทำฌาน สมาธิ ทั้งนั้น
ตกลงว่า อายตนะที่เราได้มาในตัวของเรานี้
เป็นภัยแก่การทำฌาน -สมาธิ ของเราทั้งนั้น

ผู้พิจารณาเห็นโทษดังนี้ ย่อมเบื่อหน่ายในอารมณ์นั้นๆ
เห็นจิตที่สงบจากอารมณ์นั้นแล้ว
จิตจะรวมเข้าเป็นเอกัคคตารมณ์สงบนิ่งเฉยอยู่ คนเดียว

เมื่อจิตถอนออกมาแล้ว ก็จะวิ่งตามวิสัยของมันอีก
แล้วเห็นโทษของมัน สละถอนออกจากอารมณ์นั้นอีก
ทำจิตให้เข้าสู่เอกัคคตารมณ์อีก ทำอย่างนี้จนจิตคล่องแคล่วชำนิชำนาญ
จนเห็นว่าอารมณ์ทั้งปวงสักแต่ว่าอารมณ์เกิดขึ้นมา
แล้วก็ดับไปตามสภาพของมัน

จิตก็อยู่พอจิตต่างหาก
จิตไม่ใช่อารมณ์ อารมณ์ไม่ใช่จิต
แต่อาศัยจิตเข้าไปยึดเอา อารมณ์จึงเกิด

เมื่อขาดตอนกันอย่างนี้ จิตก็จะอยู่วิเวกคนเดียว
กลายเป็นใจ ขึ้นมาทันที

ความรู้ในทางพระพุทธศาสนา
ถ้าพูดว่าลึกแลกว้างก็ลึกแลกว้าง
เพราะผู้นั้นทำตนไม่ให้เข้าถึงใจ

เมื่อจะพูดก็พูดแค่อาการของใจ (คือจิต) จิต
คิดนึกปรุงแต่งอย่างไร ก็พูดไปตามอาการอย่างนั้น
แต่จับตัว ใจ (คือผู้เป็นกลางนิ่งเฉย) ไม่ได้

อุปมาเหมือนกับคนตามรอยโค ตามไปเถิด ตามไปวันค่ำคืนรุ่ง
เมื่อยังไม่เห็นตัวของมันแลจับตัวมันยังไม่ได้ ก็ตามอยู่นั้นแหละ
ถ้าตามไปถึงตัวมันแลจับตัวมันได้แล้ว ไม่ต้องไปแกะรอยมันอีก

ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน
ที่ว่าลึกซึ้งแลกว้างขวางนั้น

เพราะเราไม่ทำ จิต ให้เข้าถึง ใจ
ตามแต่อาการของใจ (คือจิต) จึงไม่มีที่สิ้นสุดได้

ดังท่านแสดงไว้ในอภิธรรมว่าจิตเป็นกามาพจร
จิตเป็นรูปาพจร จิตเป็นอรูปาพจร แลจิตเป็นโลกุตร
มีเท่านั้นดวง เท่านี้ดวง

ท่านจำแนกแจกอาการของจิตไว้เป็นอเนกประการ
เพื่อให้รู้แลเข้าใจว่า อาการของจิตมันเป็นอาการอย่างนั้นๆ
เพื่อให้ผู้ปฏิบัติไม่หลงตามอาการของมันต่างหาก

แต่ผู้ท่องบ่นจดจำได้แล้ว เลยไปติดอยู่เพียงแค่นั้น
จึงไม่เข้าถึงตัว ใจสักที มันก็เลยเป็นของลึกซึ้งแลกว้างขวาง
เรียนเท่าไรก็ไม่รู้จักจบจักสิ้นสักที

ดูเหมือนพระพุทธเจ้าจะสอนพวกเราว่า

"เราได้เคยตามรอยโคมาแล้วนับเป็นอเนกชาติ
ถึงแม้ในชาติปัจจุบันเราได้เกิดมาเป็นสิทธัตถะ
เราก็ตามอยู่ถึง ๖ ปี จึงได้พบตัวโค (คือใจ)"

ถ้าจะพูดว่าแคบก็แคบ

แคบในที่นี้มิได้หมายความว่าที่มันไม่มี แลของมันไม่มี
ของกว้างๆ นั้นแหละ จับแต่หัวใจของมัน
หรือข้อสำคัญของมัน จึงเรียกว่าแคบ

เช่น จิตของคนเรา
มันคือวุ่นวายไปตามอารมณ์ของตน แลของตัวเราเอง
ไม่รู้จักหยุดจักยั้งสักทีเรียกว่ากว้าง

ผู้มาเห็นโทษของจิตว่าวุ่นวายส่งส่าย
มันเป็นทุกข์แล้วมาพิจารณาเรื่องอารมณ์มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เรื่องของจิตผู้คิดนึกไปตามอารมณ์มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

แล้วเรามาแยกออกจากกันเสีย

เอาอารมณ์ออกไปไว้ส่วนหนึ่ง เอาจิตออกไปไว้ส่วนหนึ่ง
จิตก็จะอยู่คนเดียว แล้วมาเป็นใจ อารมณ์ก็หายสูญไปโดยไม่รู้ตัว

คราวนี้จะเห็นได้ชัดเลยทีเดียวว่า

สรรพกิเลสทั้งปวงและโทษทุกข์ทั้งหลาย
ที่มนุษย์คนเราได้พากันเสวยอยู่นี้
ล้วนแต่จิตผู้เดียวเป็นผู้หามาใส่

ถ้าจิตไม่ไปหามาใส่แล้ว
จิตก็จะกลายเป็นใจไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง
อยู่เป็นสุขโดยส่วนเดียว

เหมือนต้นกล้วยไม่มีแก่น
แกะกาบไปๆ ผลที่สุดเลยหาแก่นไม่ได้
มีแต่กาบอย่างเดียว

ผู้ภาวนาทั้งหลายล้วนแต่แกะกาบหาแก่นแท้ของธรรมทั้งนั้น
ผู้หาแก่นของธรรมแต่แกะกาบไม่หมดจึงไม่เห็นธรรม....


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

137
ขอบคุณครับ สำหรับกิจกรรมดีๆนะครับ

138
มีของดีมาให้ชมอีกนะครับเนี่ย มาของดีมากจริงๆ  :095:

139
นมัสการพระอาจารย์ครับ ขอบคุณสำหรับบทความนะครับ  :054:

140
ได้ตะกรุดมาใหม่ก็ ท่องคาถา อาราธนาสิครับ

นะโม 3 จบ

พุทโธล้อม ธัมโมล้อม สังโฆล้อม

พระพุทธเจ้ามาพร้อม สมเด็จพระพุทธโธ นะโมพุทธายะ
ท่อง 3 จบก่อนคล้องพระออกจากบ้าน สั้นๆง่ายๆได้ใจความ

หรือบทอื่นๆ

พุทธัง อาราธะนานัง ธัมมัง อาราธะนานัง สังฆัง อาราธะนานัง
พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา
พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา
พุทธะคุณัง ธัมมะคุณัง สังฆะคุณัง
พุทธัง ประสิทธิ เม ธัมมัง ประสิทธิ เม สังฆัง ประสิทธิ เม
หรือ

อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ

ติ วา คะ ภะ โธ พุท นัง สา นุส มะ วะ เท ถา สัต ถิ ระ สา มะ ทัม สะ ริ ปุ โร ตะ นุต อะ ทู วิ กะ โล โต คะ สุ โน ปัน สัม ณะ ระ จะ ชา วิช โธ พุท สัม มา สัม หัง ระ อะ วา คะ ภะ โส ปิ ติ อิ

นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ จะมะกะสะ

หรือของเวปเพื่อนบ้าน (เครดิตจากพี่อชิตะ ครับ)

พุทโธ อะนุตตะโร อะระหัง ประสิทธิเมฯ

หรือ

พระพุทธอยู่หลัง พระอะระััหังอยู่หน้า ตรงกลางคือตัวข้า มะหาเตชา ภะวันตุเมฯ

หรือ

อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ ฯ
หรือ

นะอะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ สิ่งดีๆ จงมาสู่ตัวข้าพเจ้าตลอดวันนี้ โสมาเรสะฯ

ที่มา http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=17564

141
พระโพธิสัตว์ตีจั่งอ๊วงไขปัญหาเร้นลับ


ถาม: เรียนถามท่านโพธิสัตว์ ท่านควบคุมดูแลนรกในโลกนี้ทั้งหมดใช่ไหม?
ตอบ: นรกที่มีอยู่ทั้งหมดล้วนอยู่ในความดูแลของเรา

ถาม: กล่าวกันว่า วิญญาณบาปที่ตกนรกขุมอเวจีล้วนแต่สมัยมีชีวิตเป็นคนชั่วร้ายมาก หลังจากผ่านการ
รับโทษจากนรกขุมต่าง ๆ เสร็จแล้ว จึงถูกส่ไปจอจำยังนรกอเวจี ช่ไหม?
ตอบ: มหานรกอเวจีมี 18 ชั้น ภายในนั้นมืดมิดมองไม่เห็นนิ้วมือ เต็มไปด้วยดินโคลนชื้นแฉะสีเหมือนกาแฟหากตกไปอยู่ในนั้นแสนทุกข์ทรมานสุดบรรยาย พวกที่ตกนรกอเวจีส่นใหญ่ไม่ได้ผุดเกิดอีก เช่น คนที่ทำความผิดข้ออกตัญญูต่อพ่อแม่วันๆ เอาแต่เที่ยวเตร่ เมื่อขอไม่ได้เงินก็ข่มขู่ด่าว่าพ่อแม่ บางครั้งยังเตะถีบ ชกต่อย ทำร้ายพ่อแม่ ลูกที่อกตัญญูเนรคุณ ตายแล้วหลังจากรับโทษทัณฑ์จากนรกขุมต่างๆ แล้ว ก็ถูกส่เข้ามหานรกอเวจี ไม่ได้ผุดเกิดอีกตลอดกาล
ความดีทั้งหลาย กตัญญูต้องมาก่อน ไม่รู้จักปรนนิบัติเลี้ยงดูพ่อแม่ ยังมาทำร้าย โฉดชั่วที่สุด ลูก
อกตัญญูเนรคุณ ทางยมโลกจัดเป็นบาปหนักมหันต์ ไร้อภัย

ถาม: คนที่มีบาปกรรม มีวิธี ไถ่บาปบ้างไหม?
ตอบ: มนุษย์หาใช่เทวดา ใครเลยไม่เคยทำบาปคนที่สามารถขมากรรม (ชั่นหุ่ย) หรือสารภาพบาปทั้งหมดที่ได้ทำโดยไม่ตั้งใจ แล้วกลับตัวกลับใจใหม่ เทวดาย่อมจะคุ้มครอง การขมากรรมสามารถไถ่บาปได้ แต่ถ้าขมากรรมโดยไม่ได้กลับตัวใหม่ ก็ยังเท่ากับศูนย์อยู่ดี จะต้องกลับตัวกลับใจเป็นคนใหม่ จึงจะได้รับผลแห่งการขมากรรม วิธีสลายบาปกรรมอีกวิธีหนึ่ง คือ การไหว้พระและสวดภาวนา เอามีทอฝอ” (แต้จิ๋ว : ออนีทอฮุก) และรีบทำความดีสั่งสมกุศล ขอเพียงให้มีความศรัทธาย่อมเกิดผล แน่นอน และทุกคืนเวลา 23.00 น. ถึง 1.00 น. ให้จุดธูปพนมมือคุกเข่าหันหน้าไปทางทิศตะวันตก แล้วสวดว่า “นามอตี้จ้างหวางผูซ่า หมอเฮอซ่า” (แต้จิ๋ว : ตี่จั่งอ้วงผู่สักมอฮอสัก) 12 ครั้งนี้ก็จะสลายบาปกรรมได้ ถ้าได้สวดครบหนึ่งแสนครั้ง จะเกิดความสว่างไสว สงบสุข ไม่ต้องกลัวภูตผีมารังควาน

ถาม: ผู้บำเพ็ญธรรมหรือพระชั้นสูงที่บรรลุธรรมตายแล้วต้องไปฟังการตัดสินของยมโลกไหม?
ตอบ: ยมโลกควบคุมดูแลแต่คนธรรมดาและคนที่ทำบาปหนัก ส่วนผู้บำเพ็ญธรรมหรือพระชั้นสูงที่สำเร็จธรรมละสังขารแล้วขึ้นสวรรค์ชั้นสูงทันที ไม่ต้องผ่านยมโลกเพราะว่าไม่มีรายชื่ออยู่ในบัญชียมโลก จึงไม่สามารถตัดสินส่วนผู้ที่ขึ้นสวรรค์ชั้นต่ำที่ยังต้องผ่านยมโลก โดยมียมทูตคอย ให้การ ต้อนรับ

ถาม: จะต้องมีกุศลผลบุญเท่าไรจึงจะได้เป็นเทวดา
ตอบ: คนที่มีกุศลครบได้เป็นเทวดา โดยนับกุศลที่สั่งสมมาตลอดชีวิตรวมกับของชาติก่อน ๆ เมื่อนำบาปบุญหักลบกันแล้วมีกุศลเหลือ 3,000 กุศลขึ้นไป ก็จะได้เป็นเทวดาชั้นต่ำ ถ้ามี 10,000 กุศลขึ้นไปก็เป็นเทวดาชั้นกลาง หากได้โปรดผู้คนจนมี 15,000 กุศลขึ้นไป ก็จะได้เป็นเทวดาชั้นสูง จำนวนกุศลนี้จะมีเจ้าที่เจ้าเรือนคอยบันทึกไว้ตลอดชีวิต

ถาม: ยมโลกนับถือเกรงใจคนแบบไหนที่สุด และเกลียดคนแบบไหนที่สุด
ตอบ: คนที่ยมโลกนับถือเกรงใจที่สุด คือ ชายที่อภิมหาซื่อสัตย์ภักดี คนกตัญญู หญิงที่รักนวลสงวนตัว
ตลอดชีวิตมีสามีเพียงคนเดียว บุคคลดังกล่าวแม้มีบาปกรรมก็จะได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ
ยมโลกเกลียดที่สุด คือ คนที่ประพฤติผิดในกามฆ่าคน คนที่ประพฤติผิดในกามจนถึงกับฆ่าคนตาย หาก
สองอย่างนี้เกิดขึ้นพร้อมกัน โทษจะเพิ่มอีกสิบเท่า โบราณว่า “ความชั่วทั้งหลายประพฤติผิดในกามนำ
หน้า ความดีทั้งหลายกตัญญูมาก่อน ฆ่าคนห้ามสวรรค์” คำกล่าวนี้ไม่ไร้สาระ ชาวโลกอย่าได้ประมาท

ถาม: ข้อห้ามในการบำเพ็ญธรรมเพื่อหนีนรกมีอะไรบ้าง?
ตอบ: 1. ไม่ละโมบในทรัพย์
2. ไม่เที่ยวโสเภณี
3. ไม่ดื่มสุรา
4. ไม่โมโห
5. ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
6. ไม่ลักขโมย
7. ไม่เล่นการพนัน
8. ไม่โกหกหลอกลวง
9. ไม่ร้องรำทำเพลง
10. ไม่สร้างวจีกรรม
ข้อห้ามข้างต้น คือ วิธี ไม่ตกนรก ขอให้สาธุชนจงละเว้น เทอญ

ถาม: คนที่ตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ยอมทำบุญให้ทานชาติหน้าเป็นอย่างไร?
ตอบ: ชาติหน้าจะลำบากยากจน ไม่มีเสื้อผ้าใส่ กินไม่อิ่มเป็นกรรมสนอง การทำบุญที่เป็นมหากุศล คือ พิมพ์หนังสือธรรมะแจก โปรดผู้คน ขัดเกลาจิต บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ สงเคราะห์คนยากจนอนาถา

ถาม: การพิมพ์หนังสือธรรมะแจกให้คนอ่าน เตือนคนให้ละชั่ว ทำดี จะมีผลอย่างไร?
ตอบ
: การพิมพ์หนังสือธรรมะ เตือนคนให้ละความชั่ว ทำความดี ที่กุศลมากจะได้จุติสวรรค์ ที่กุศลไม่มากพอ ยังต้องไปบำเพ็ญต่อที่ศูนย์บำเพ็ญในโลกวิญญาณ หรือตัดสินให้ไปเกิดเป็นคนมั่งมีศรีสุขในโลกมนุษย์

ถาม: มีคนแซ่หลิวชอบเล่นการพนัน ประเภทไพ่นกกระจอกทั้งกลางวันกลางคืน ไม่เหลียวแลครอบครัว และมักไปเที่ยวสถานเริงรมย์ ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย แต่ไม่ค่อยได้ทำบุญให้ทาน ตายแล้วจะเป็นอย่างไร?
ตอบ: คนที่ติดการพนัน ไม่เหลียวแลครอบครัว ไม่สงเคราะห์คนยากจน ตามกฎนรก ตายแล้วต้องตกนรกเผานิ้วมือหรือนรกควักลำไส้ ควักหัวใจสุดแสนทุกข์ทรมานทุกวัน

ถาม: คนที่ไม่ประกอบสัมมาอาชีพ เที่ยวปล้นฆ่าตีชิงวิ่งราว ข่มขืนหญิงชาวบ้าน ตายแล้วจะถูกลงโทษ อย่างไร ?
ตอบ: ตามกฎนรก คนที่เที่ยวปล้นฆ่า ตีชิงวิ่งราวต้องตกนรกหมาเหล็กงูเหล็ก 40 ปี นรกโอบเสาเพลิง 20 ปี ข่มขืนหญิงชาวบ้านต้องตกนรกโม่หิน 20 ปี เมื่อครบกำหนดแล้วส่งเข้ามหานรกอเวจี ไม่ได้ผุดเกิดตลอดกาล

ถาม: มีคนแซ่เจิง เป็นคนกตัญญู สุภาพอ่อนโยนมีเมตตา ชอบทำบุญและปล่อยสัตว์ จะได้รับผลอย่างไร ?
ตอบ: คนที่ทำความดีอยู่เสมอ จะได้ไปเกิดในครอบครัวคนรวย หรือไปบำเพ็ญต่อที่ศูนย์รวมบุญในโลก วิญญาณ เมื่อใดกุศลครบ (3,000 กุศล) ก็จะได้จุติสวรรค
ถาม: คนอกตัญญู ฆ่าคน วางเพลิง ต้มตุ๋นหลอกลวงทรัพย์สินผู้อื่น จะถูกลงโทษอย่างไร?
ตอบ: ฆ่าคน วางเพลิง ต้มตุ๋นหลอกลวงทรัพย์สินผู้อื่น จะถูกตัดสินไปเกิดเป็นสัตว์น้ำ 5 ชาติ แล้วไปเกิด เป็นสัตว์สี่เท้าอีก 5ชาติ จากนั้นจึงไปเกิดเป็นขอทาน โสเภณี กำพร้า อนาถา

ถาม: การตัดสินคดีของยมโลกมีการผิดพลาดบ้างไหม ?
ตอบ: ไม่มี เพราะกรรมดีกรรมชั่วของทุกคน มีเจ้าที่เจ้าเรือนจดบันทึกข้อมูลอย่างละเอียดไว้ก่อนแล้ว มี พยานหลักฐานสามารถตรวจสอบ จึงตัดสินได้อย่างยุติธรรมไม่เคยมีผิดพลาด

ถาม: หลายปีก่อน มีพ่อค้าควายคนหนึ่ง ชื่อหวงลงเถียน วันหนึ่งเขาได้ซื้อควายตัวผู้แข็งแรงมาตัวหนึ่ง จู่ ๆ หวายตัวนั้นเกิดบ้าคลั่งขึ้นมา ได้วิ่งเข้าไปในหมู่บ้านตรงเข้าขวิดนายเฉินสอเม่าจนไส้ทะลักล้มลงตายคาที่ ไม่ทราบเรื่องนี้ทางยมโลกได้จัดการอย่างไร?
ตอบ: เฉินสอเม่าและควายบ้าตัวนั้น ในอดีตชาติมีหนี้เวรต่อกัน บัดนี้ได้หมดเวรต่อกันแล้ว โดยพ่อค้า ควายได้ขายควายตัวนั้นแก่คนขายเนื้อไป วิญญาณควายตัวนั่นได้ไปร้องขอความเป็นธรรมต่อยมบาล ยมบาลกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการจองเวรกันไปจองเวรกันมาระหว่างเจ้าทั้งสาม
มนุษย์ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มา ไม่รู้ว่าผ่านมาแล้วกี่ชาติได้สะสมบาปกรรมไว้มากมายสุดที่จะนับประมาณ ถ้าว่าถึงชาติก่อน ชาตินี้ ชาติหน้า คำว่าชาติก่อนมิใช่หมายถึงชาติที่แล้วเพียงแค่ชาติเดียว แต่หมายถึงอดีตชาติที่ผ่านมาแล้วทั้งหมด คือ ตั้งแต่เริ่มมีวิญญาณเป็นต้นมา ชาวโลกมักเข้าใจผิดว่า ทุกอย่างในชาตินี้ล้วนเกิดจากกรรมของชาติที่แล้วทั้งหมด

ขอให้ชาวโลกมีเหตุผลอย่างเลี่ยงบาลีว่า ที่ฉันฆ่าเขาตาย เพราะชาติก่อนเขาเป็นหนี้เวรฉัน โบราณว่า “เวรควรยุติไม่ควรก่อ” ถึงแม้มีหนี้เวรต่อกัน หากสามารถไม่จองเวรจักเป็นมหากุศลยิ่ง

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

142
นมัสการพระอาจารย์ครับ ขอบคุณพระอาจารย์สำหรับความรู้ใหม่ๆด้วยนะครับ อนุโมทนา สาธุครับ

143
ข้อความอัพเกรดชีวิตตัวเอง จากสุภาษิต


1. รู้ไหม การพูดแต่เรื่องดีๆ มีค่ามากแค่ไหน

2.คนแย่กว่าเรา ให้เห็นใจและเผื่อแผ่ ไม่ใช่เหยียบย่ำด้วยสายตาอันดูแคลน

3.ความเสื่อมเพราะความเพียร ไม่มี

ความเสื่อมเพราะความอดทน ไม่มี

ความเสื่อมเพราะสุภาพ ไม่มี

ผู้อ่อนโยน ย่อมเป็นที่รัก

คนมีน้ำใจ ย่อมมีความสุข

4.จงกล่าวแต่วาจา ที่ควรฝังไว้ในหทัยผู้อื่น

เว้นการล้อเล่น การโกหก วาจาหยาบคาย และการนินทา

(การล้อเล่นนอกจากไม่ดีแล้วทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ)

5. อย่ายอมสูญเสียตัวเอง เพื่อคนที่รัก เพราะผู้มีบุญ(ทำตัวคู่ควร)

แล้ว ย่อมได้สิ่งที่รักในภายหลัง

6. อย่าทำ อย่าพูด อย่าคิด สิ่งใดๆ ที่ไม่มีค่า ไม่ทำให้เกิดความเจริญ

7. ความผิดของคนเราคือการคาดหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

จึงได้ต้องทุกข์อยู่กับความหวังที่ไม่สมหวังจากการเข้าใจผิดนั้นเสียเอง

(เช่นหวังในรัก , หวังในทรัพย์สินเงินทองที่ไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ไม่ถูกหวย)

8. ความพยายาม + ทำถูกต้อง = ความสำเร็จอย่างเดียวเท่านั้น

9. การละสิ่งไม่ดีที่ตนเองทำอยู่ ต้องใช้เหตุผลบวกกำลัง(พยายาม)

10. เวลาคนอื่นทำไม่ดีกับเรา ไม่ได้แปลว่าเราโชคร้าย แต่แปลว่าเขานิสัยเสีย นิสัยไม่ดีปรกติของเขาเอง

11. การทำตัวเหนือคนอื่น คนอื่นไม่ได้มองว่าเราเหนือว่า อย่าทำ เพราะยิ่งทำว่าเราสูง เราจะยิ่งต่ำลง

รวงข้าวที่แก่แล้ว มีน้ำหนักมาก ย่อมน้อมลง ผู้มีคุณงามความดี ย่อมน้อมลงต่อผู้อื่น แม้แต่เด็กหรือคนที่ต่ำกว่า ข้อนี้เป็นมงคลชีวิตในมงคลสูตร

ตรงกันข้าม ต้นข้าวที่ไม่มีเม็ดข้าว ย่อมตั้งชี้ ชูขึ้น แต่หามีค่าใดไม่ เช่นเดียวกัน ผู้ที่ถือตัว เชิดชูตนเอง

ไม่ว่าเรื่องใดๆ เรื่องรูปร่างหน้าตา เรื่องการศึกษา เรื่องทรัพย์ เรื่องความสามารถ เรื่องเป็นหัวหน้า เรื่องตระกูล หรือเรื่องอื่นใด
ย่อมเป็นดุจต้นข้าวไม่มีเม็ด เป็นคนเปล่า

12. อย่าทำตัวตกต่ำ อย่าประจบ อย่าพูดจาทีเล่นทีจริง
อย่าทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะหวังจะได้อะไรบางอย่างจากผู้อื่น

เพราะนั่นไม่ใช่วิธีที่จะได้อะไรมาจากใคร หากหวังจะให้ใครรักชอบ ให้ใครสนใจ ให้ใส่ใจคนอื่น ให้รักคนอื่นก่อนอย่างจริงใจ

ไม่หวังอะไรตอบแทน เพราะนั่นคือความไม่บริสุทธิ์ใจ และไม่ต้องแสดงกิริยาหลอกลวงใดๆ

13. ความโกรธ ความถือตัว และความทะนงตน เป็นของสกปรก ไม่มีใครอยากได้ หรือแม้แต่มอง

14. ถ้ารักใครแบบชายหญิง ก็เก่งมากเลยที่พากันไปตาย

15. คนดีจริง จะไม่ซ่อนความผิดของตัวเอง จะเปิดเผย และพยายามไม่ทำผิดอื่นๆ ส่วนคนไม่ดี แม้ทำผิดเล็กน้อย
ก็หวังในใจว่าคนอื่นอย่ารู้ และจะไม่มีวันสบายใจและมีความสุขเลย

การไม่ปิดบังสิ่งไม่ดีของตนเอง ทำให้สบายใจทุกเรื่อง แต่คนบางคนยอมกลัว ยอมไม่สบายใจ เพื่อจะให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองมีบางอย่างดี ทั้งที่เป็นเรื่องโกหก

16. ไม่มีประโยชน์ใดแม้เล็กน้อย เกิดเพราะความเศร้าโศก (พระพุทธเจ้า)

17. ไม่ว่าจะได้สิ่งใดมาง่าย หรือยากก็ตาม แต่แม้สิ่งๆ เดียวที่ใครจะได้มา โดยไม่ต้องทำอะไรนั้น ไม่มี

18.อย่าหลอกใครกินฟรี

19. ความรัก ถึงจะได้มา ก็ไม่หายทุกข์ การได้ความรักมา เหมือนการเกาไม่ถูกที่คัน

20. ถ้าเค้าโกรธเราแทบตาย แต่เราดีกับเค้า เดี๋ยวเค้าก็ยอมเรา เดี๋ยวเค้าก็หายโกรธ

21. หากเราแย่งคนรักของคนอื่นมา แม้คนคนนั้นจะรักเรา วันข้างหน้า เราก็จะต้องถูกแย่งคืน เพราะความหมุนเวียนแห่งกรรม ดังนั้น อย่าแย่งคนรักของใคร หากอยากมีรักกับใคร ให้ได้มาโดยธรรม อย่าสร้างความเดือดร้อนให้กับใคร

22. ถึงใครไม่ดีกับเรา เราต้องดีกับตัวเอง
การทำดีกับตัวเอง คือการไม่ทำไม่ดีกับคนอื่น

เพราะหากเราทำดีกับคนอื่น สิ่งดีก็จะย้อนกลับมาหาเรา
ในทางตรงกันข้าม

หากเราทำไม่ดีกับคนอื่น สิ่งไม่ดีนั้นและมากกว่านั้นก็จะย้อนกลับมาหาเรา

ดังนั้น หากรักตัวเอง ต้องทำดีกับคนอื่นให้มาก ทุกวิถีทาง
พูดให้ดีให้หมด คิดให้ดีให้หมด ทำให้ดีให้หมด

อย่าให้มีเศษเหลือ และเราจะได้ความสุขทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง
จากการที่เราดีกับตัวเอง


"ทำบุญหวังเงินก็เป็นบุญ แต่การไม่อยากได้เงินคือความไม่โลภเป็นบุญมากกว่า" (ทำไมไม่ทำ?)


อย่าประหม่าเวลาสบตาคนแปลกหน้า ทุกคนมีความทุกข์
ควรถามผู้อื่นด้วยดวงตาเสมอว่า "เหนื่อยไหม" เพราะคนบนโลกทุกคนอยากได้ยินคำๆนี้


"การนินทาคนอื่นลับหลัง คือการประจานความชั่วของตัวเอง"

"ด่าเขา เขาก็จะด่ากลับ ถ้าไม่ด่าใคร ก็จะไม่มีอะไร"

"ไม่ต้องคิด หรือพยายามทำให้ใครมองว่าดี เพราะสิ่งสำคัญของคนดีจริงคือการไม่แสดงตน"

"จุกจิกกับเขามากไป หรือห่างเหินกันเกินไป ไม่ดีทั้งสองอย่าง เพราะเขาจะแหนงหน่าย ให้อยู่สายกลาง ไม่มากไม่น้อยเกินไป" (มหาโพธิขาดก)

"เบื่องานไหม ? งานเป็นของปรกติ แต่ความสุขและทุกข์ เราปรุงแต่งขึ้นมาเอง" (คัมภีร์มหาปัฎฐาน)

"ไม่ต้องฝืนยิ้มเสมอไป แค่ไม่หน้าบูดให้ใครก็พอ"

"ไม่ต้องคิดว่าใครทำดีหรือไม่กับเรา หรือใครเป็นอย่างไร คิดเพียงว่า "เราจะทำอะไร" (ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท)

"กายสงบ วาจาสงบ ใจสงบ ทุกข์ก็สงบ"

"ผู้ไม่โกรธ ย่อมไม่มีทุกข์"

"ไม่ต้องแสดงเป็นคนดีกับคนอื่น เพราะไม่มีใครชอบคนเสแสร้ง หากจะดี ก็ให้ดีจริงทั้งต่อหน้าและลับหลัง"

"ถึงใครจะไม่ดีกับเรา แต่เราดีกับตัวเองได้ด้วยขันติ ไม่ทำตัวเองให้เครียดให้ไม่สบายใจเองก็พอแล้ว"

"รูปร่างหน้าตาดีหรือไม่ ไม่ต้องดีใจหรือไม่สบายใจ เพราะรูปขันธ์ไม่ใช่ของเรา"

"ทรัพย์สินเงินทอง รูปร่างหน้าตาที่สวยงามน่ารัก และการชื่นชอบจากคนอื่น รักษาอะไรใครไม่ได้ มีเพียงธรรมเท่านั้น ที่จะรักษาบุคคลได้"

"Don't hurt ones mind"

"พบเจอหรือติดต่องานใคร อย่าเชิดไป และคิดว่าเขาจะใส่ใจเราเต็มที่ เพราะแต่ละคนมีงานต้องทำ ถ้าเขาไม่ใส่ใจเราแล้ว เราเองจะฟุ้งซ่านและเก้อเขิน" (โมคคัลลานสูตร)

"ไม่มีความต่างกันในสุขและทุกข์ เพราะสุขและทุกข์เป็นอนัตตา จึงไม่ควรฝันหรือติดกับความสุข และไม่ต้องพร่ำเพ้อกับความทุกข์ เพราะทั้งสองอย่าง ไม่ใช่ตัวตน ผู้ไม่ติดทั้งสองนี้ ย่อมนิพพานในปัจจุบันไม่ต้องรอ"

"พ่อแม่สำคัญกว่าแม้พระราชา จึงไม่ควรสุภาพและระวังความประพฤติกับหัวหน้าที่ให้เงินเดือนมากกว่าพ่อแม่ที่ให้ชีวิต" (สิงคาลกสูตร)

"พูดมาก คนจะรำคาญ พูดไร้สาระ คนจะหมดความนับถือ พูดไม่คิด ตนจะวิบัติ"


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

144
วิธีตัด รัก โลภ โกรธ หลง ให้ขาดเร็วที่สุด

ถาม : มีวิธีในการตัด รัก โลภ โกรธ หลง อย่างไร ให้ขาดเร็วที่สุด ?

ตอบ : ต้องเอากรรมฐานคู่ศึกของเขามาใช้

ในเรื่องของ กามราคะคือความรัก นี่ต้องใช้อสุภกรรมฐาน หรือ กายคตานุสติ ที่เป็นคู่ศึกโดยตรงของเขา

ตัวโลภ ก็ ทานบารมี กับ จาคานุสติ

ตัวโกรธ ก็ใช้ เมตตาบารมี หรือว่าจะใช้ วรรณกสิณสี่ ก็ได้

ถ้าตัวหลง จำเป็นต้องเจริญอานาปานุสติให้มากเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นเผลอสติเมื่อไร โอกาสที่จะหลงไปยึดติดอยู่กับ โลภะ โทสะ โมหะ ก็จะมีอีก

ตราบใดที่ยังรัก ยังโลภ ยังโกรธอยู่ เราต้องหลงแน่ๆ จ้ะ เพราะฉะนั้น..ตัวหลงนี่ตัดยากที่สุด แต่ขณะเดียวกัน รัก โลภ โกรธ หลง ก็เหมือนกับม้านั่งสี่ขา ถ้าหากว่าเราตัดขาใดขาหนึ่งได้ ที่เหลือก็ไม่แข็งแรงแล้วจ้ะ


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔


ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...ead.php?t=2245

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

145
หลวงตา ลองของ

สามเณรน้อยรูปหนึ่งเป็นนักเทศน์เก่งมาก สามารถนำธรรมะมาประยุกต์เข้ากับสถานการณ์ ได้อย่างแตกฉาน ตอนเข้าพรรษาที่วัดก็มีการจัด พระเณร ผลัดหมุนเวียนกันขึ้นเทศน์ แต่เณรน้อยจะเป็นขวัญใจของญาติโยมที่ชื่นชอบมาก เป็นพิเศษ มากกว่าคนอื่นๆ เพราะฟังแล้วเข้าใจง่าย ไม่มีภาษาบาลีมากนัก หลวงตาติดก็เป็นนักเทศน์เหมือนกัน ติดสมชื่อ คือ ติดหมาก ติดบุหรี่ ขณะที่เทศน์ก็สูบบุหรี่ควันโขมง เทศน์สอนว่าเหล้า บุหรี่ ไม่ดี ยาเสพติดไม่ดี อาตมารู้หมด แต่ อดไม่ได้ วันหนึ่งได้พบหน้ากับเณรน้อย หลวงตาซึ่งไม่ค่อยสบอารมณ์อยู่แล้ว จึงพูดกับเณรว่า
“ เณร..ถึงเณรจะเทศน์เก่ง มีคนสนใจมาก แต่ไม่เห็นมีใครสนใจเอาใจใส่เณรเลยว่าเณรต้องการอะไร ไม่เห็นมีใครเอาอะไรมาถวายเณรเลย สู้อาตมาไม่ได้ มีญาติโยมนำมาติดกันเทศน์เต็มไปหมด ต้องการอะไรเขาก็เอามาถวายทุกอย่าง ฉันต้องการขวานมาผ่าฟืนต้มน้ำร้อน เขาก็เอามาถวาย ฉันต้องการพัดลมมาแก้ร้อน เขาก็ถวาย พัดลม ”

เณรน้อยบอกว่า “ หลวงตา ที่เขาติดกันเทศน์เป็นขวานกับพัดลมน่ะ มันเป็นปริศนาธรรม เขาติดกันเทศน์เพื่อสอนหลวงตา ”
“ ไม่จริง..เขาสอนยังไง..?? ” หลวงตาแย้งถาม
“ ที่เขาถวายขวาน เขาสอนว่า หลวงตารู้หมดทุกอย่างว่า เหล้าไม่ดี บุหรี่ไม่ดี ยาเสพติดไม่ดี เทศน์สอนคนทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ตัวเองยังสูบ ยังติด มันก็เหมือนกับขวาน ขวานมันถากอะไรได้ทุกอย่าง ยกเว้นด้ามของมันเอง ”

หลวงตาโกรธจัด ด่าว่า “ ไอ้เด็กเวร ทำเป็นอวดรู้มาสอนกู ” เณรน้อยจึงพูดต่อว่า
“ หลวงตาโกรธใช่ใหม.?? ”
“ เออ ..ซิวะ..” หลวงตาว่ายังไม่หายฉุน
“เวลาโกรธนี่มันร้อนใจหรือเย็นใจ หลวงตา ” เณรถามต่อ
“ ร้อนซิวะ ถามได้ ”

“ พัดลมที่เขาติดกันเทศน์น่ะ เขาสอนหลวงตาว่า พัดลมมันเป่าให้คนอื่นเย็นได้ทุกคนแหละ แต่ว่าก้นมันเองร้อน เพราะมันลืมเป่าก้นตัวเอง ”

ธรรมะจากพระพยอมกัลยาโณ

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

146
เหมือนกันกับในข่าวทั้งหลายทั้งปวงแหละครับ

แขวนพระเครื่องเกจิชื่อดังเต็มคอ โดนยิงทำไมตาย

ผมว่าทั้งนี้ทั้งนั้นสืบเนื่องมาจากผลกรรมของเราๆท่านๆทั้งหลาย มากน้อยต่างกัน

" ลูกเอ๋ย  ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด  เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเอง  คือ  บารมีของตน  ลงทุนไปก่อน  เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วย  มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอดเพราะหนี้สิน  ในบุญบารมีที่เที่ยวไปขอยืมมาจนพ้นตัว ... เมื่อทำบญทำกุศลได้บารมีมา  ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด  ไม่มีอะไรเหลือติดตัว... แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า  หมั่นสร้างบารมีไว้ .. แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง..!"

" จงจำไว้นะ...เมื่อยังไม่ถึงเวลา  เทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้....  ครั้นถึงเวลา  ทั่วฟ้าจบดิน  ก็ต้านเจ้าไม่อยู่ ... จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน   เมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลย  จะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า ..."

ใช่ครับ สมเด็จพระพุฒาจาย์ (โต พรหมรังษี) ท่านเคยสอนเอาไว้

147
ภาพมงคล..ในหลวงกับพระเกจิชื่อดัง





ในหลวงกับหลวงปู่ดูลย์ อตุโล

ในหลวงกับหลวงปู่ขาว อนาลโย

ในหลวงกับหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

ในหลวงกับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร

ในหลวงกับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ

ในหลวงกับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม

ในหลวงกับหลวงปู่หลุย จันทสาโร.

ในหลวงกับหลวงปู่สิม พุทธาจาโร

ในหลวงกับหลวงพ่อเกษม เขมโก

ในหลวงกับหลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต

ในหลวงกับครูบาชัยวงศาพัฒนา (ครูบาวงศ์)

ในหลวงกับหลวงพ่อวัน อุตฺตโม

ในหลวงกับหลวงพ่ออุตตมะ อุตตมรัมโภ.

ในหลวงกับหลวงพ่อพุธ ฐานิโย

ในหลวงกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ในหลวงกับครูบาพรหมา พรหมจักโก

ในหลวงกับหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน.

ในหลวงกับพระเทพสาครมุนี (หลวงปู่แก้ว สุวณฺณโชโต)

ในหลวงกับหลวงปู่นำ ชินวโร

ในหลวงกับสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (วิน ธมฺมสารเถร)

ในหลวงกับหลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ

ในหลวงกับหลวงปู่โต๊ะ อินฺทสุวณฺโณ

ในหลวงกับหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ

ในหลวงกับหลวงจีนคณาณัติจีนพรต (ไต้ซือเย็นบุญ )

ในหลวงกับสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์

ในหลวงกับ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสงฆราช (จวน อุฏฺฐายี)

ในหลวงกับ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณฺณสิริ)

ในหลวงกับ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน)

ในหลวงกับ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวฑฺฒโน)

ในหลวงกับพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ)

ในหลวงกับหลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ

ที่มา http://www.our-teacher.com/our-teach...king&monks.htm

นายธรรมะ
ขอขอบคุณรูปภาพและข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

148
ถ้าเป็นตะกรุด คาดได้ครับ ไม่มีปัญหา

149
อยู่นครศรีธรรมราชครับ เด็กใต้ ขอรับ

150
เอาของดีมาให้ชมอีกแล้วนะครับ ขอบคุณครับ

151
พระพุทธเจ้าครองใจคนได้อย่างไร


ใคร ว่าเป็นผู้นำต้องไม่ทำงานหนัก หากใครพูดอย่างนี้คงเป็นผู้นำคนไม่ได้ และคงไม่เหมาะสมที่จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้นำไม่ว่าระดับไหนก็ตาม ผู้นำต้องทำงานหนักแน่นอน อยู่ที่ว่าจะหนักแบบไหนอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับลักษณะที่รับผิดชอบ เป็นผู้นำแล้วไม่ทำงาน หรือทำงานน้อยๆ หรือทำไปวันๆ พอแล้วไม่ได้ เพราะถ้าทำอย่างนี้ก็ยากที่จะครองใจลูกน้องบริวาร หรือนั่งอยู่ในกลางใจผู้คนได้

ผู้นำทั้งหลายถ้าไม่มีใครเป็นต้นแบบอยากให้ดูพระพุทธเจ้าเป็นโมเดล บรรดาภิกษุหรือฆราวาสจะหาคนที่ทำงานหนักเฉกเช่นพระองค์นั้นไม่มีแน่ ถ้า นับชั่วโมงทำงานของคนทั่วไปวันหนึ่งทำประมาณ 8-10 ชั่วโมง แต่พระพุทธเจ้าทรงงานเกือบตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวันเป็นเวลา 45 ปี เรียกว่าแทบหาเวลาพักผ่อนบรรทมนั้นไม่มี

ทรงงานหนักแต่เช้ามืดทุกวัน

งานของพระองค์คือการเป็นครู ทรงเป็นครูสอนของเทวดาและมนุษย์ หน้าที่คือทรงสอนให้รู้จักการละความชั่ว ทำความดี และชำระจิตของตัวเองให้สะอาด เรียก ว่าเป็นงานที่ไม่ต้องลงทุนด้วยเงินทอง ในขณะเดียวกันก็ไม่ทรงหวังสิ่งตอบแทนใดๆ ในรูปของวัตถุสิ่งของและเงินตราจากผู้นั้นด้วย ทรงหวังแต่เพียงว่าให้เขามีความสุข ถ้ามีทุกข์ก็ให้คลายหายจากความทุกข์ นี่คือเป้าหมาย

"พุทธกิจแรกในวันใหม่เริ่มตั้งแต่เช้ามืดของทุกวันจะ ทรงตรวจดูสัตวโลกเพื่อหาคนที่มีอุปนิสัยที่จะเทศนาสั่งสอน ทรงตรวจดูว่าวันนี้คนที่จะไปเทศน์สอนนั้นเป็นใคร เป็นคนกลุ่มไหน เป็นเศรษฐีหรือคนยากจนมีร่างกายสมประกอบหรือพิการ มีอุปนิสัยอย่างไร มีจริตอย่างไร และคำสอนชนิดไหนที่จะเหมาะกับเขา สอนแล้วผลที่เขาจะได้รับเป็นอย่างไร ได้ขั้นไหน ขั้นบรรลุมรรคผลหรือขั้นอรหันต์ หรือขั้นแค่ให้เขาศรัทธาในพระรัตนตรัย" ดร.บรรจบ บรรณรุจิ อาจารย์ประจำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว

ไม่เกี่ยงสถานะของผู้นั้นจะเป็นเช่นไร

ใน โลกนี้จะหาผู้นำที่มีความยุติธรรม ไม่มีอคติไม่เลือกที่รักมักที่ชังยากนักหนา เพราะส่วนใหญ่ที่เห็นผู้นำมักจะไม่สามารถผดุงความยุติธรรมเอาไว้ได้ เพราะมุ่งแต่ประโยชน์ตน กลุ่มตน และพรรคตนเป็นสำคัญ ปากมักจะพูดว่ายุติธรรม ไม่มีอคติ แต่ใจหาเป็นเช่นนั้นไม่

สำหรับพระพุทธเจ้าแล้วทรงเป็นผู้นำที่ทรงวางพระองค์เป็นกลางจริงๆ ในการที่จะเสด็จไปเทศนาสอนใครนั้น ไม่ทรงมีอคติ ไม่ว่าผู้นั้นจะไม่ชอบหรือคิดประทุษร้ายพระองค์ นอกจากนี้ในการเดินทางไปเทศนาสั่งสอนก็ไม่ทรงเกี่ยงในเรื่องระยะทาง ไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ไกลแค่ไหน เป็นร้อยโยชน์พันโยชน์ และมีภูมิประเทศแห้งแล้งแค่ไหน ขอเพียงเขาผู้นั้นพร้อมที่จะรับฟังธรรมก็พร้อมที่จะเสด็จไปโปรดทุกเมื่อ

ประการ สำคัญ พระบรมครูจะไม่ทรงเกี่ยงในเรื่องของสถานะของผู้นั้นว่าเขาเป็นอะไร เป็นพระหรือฆราวาส เป็นราชา หรือราษฎร เป็นโจรผู้โหดร้าย หรือคนนอกพุทธศาสนาที่ไม่ชอบพระพักตร์พระองค์ ถ้าเขามีอุปนิสัยแล้วจะต้องเสด็จไปให้ได้และไม่ทรงคำนึงว่าจะมีฐานะอย่างไร รวยหรือจน เพราะมีพระทัยเสมอในทุกคนโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชังเหมือนที่ผู้นำหลายๆ คนเป็น

แต่จะเห็นว่าผู้นำบางคนถ้าจะทำประโยชน์อะไรให้ประชาชน ก็จะไม่มองลงไปที่ความเดือดร้อนของประชาชนเป็นอันดับแรก แต่จะมองว่าประชาชนในภาคนี้ จังหวัดนี้เป็นฐานคะแนนของตนก็ทำให้ก่อนแต่สำหรับพระพุทธเจ้าไม่ทรงเป็นผู้ นำแบบนี้แน่นอน

ทำงานโดยมีเมตตาเป็นพื้นฐาน

ผู้ นำบางคนมักจะมีอคติอยู่ในใจและทำงานบนพื้นฐานของความโกรธ ทำให้ลูกน้องบริวารต้องทำงานอย่างหวาดระแวงและไม่มีความสุข ได้ยินเสียงนายทีไรเป็นสะดุ้ง แต่พระพุทธเจ้าทรงงานโดยมีพระเมตตาและมหากรุณาเป็นพื้นฐาน เพราะในสายพระเนตรพระองค์สัตวโลกทั้งหมดล้วนตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ทั้ง สิ้น จึงต้องการที่จะช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ด้วยพระทัยเมตตากรุณา ขนาดพระเทวทัตที่ตั้งตนเป็นศัตรูก็ไม่เคยโกรธตอบแต่กลับมีพระทัยปรารถนาดี ต่อพระเทวทัตทุกเวลา

"พระพุทธองค์ทรงหวั่นไหวคืออนาทรกับความทุกข์ ร้อนของสัตวโลกมาก เมื่อสัตวโลกประสบกับความทุกข์ก็ทรงมีพระเมตตามาสั่งสอนให้เขาพ้นทุกข์ตลอด 45 ปี และนี่คือสิ่งพระองค์ทรงครองใจคนได้" ดร.บรรจบ กล่าว

พระศรี ญาณโสภณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก กล่าวเสริมว่า พระพุทธเจ้าได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีเมตตากรุณาต่อสัตวโลก ทั้งคนที่ทรงรัก คนที่รักพระองค์ และคนที่รังเกียจคิดประทุษร้ายพระองค์ เช่น พระเทวทัต ที่ไม่ผูกโกรธ ไม่ว่าร้าย ไม่ประทุษร้ายตอบ ทรงงานหนักโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยใดๆ้นแก่เหน็ดเหนอยน ทรงทำประโยชน์กับสังคมมากและไม่ทรงหวังประโยชน์ใดๆ จากสังคมเลย เพียงแค่มีปัจจัย 4 เพื่อทรงมีพระกำลังในการทำประโยชน์ให้แก่สังคมต่อไปเท่านั้น

ไม่หักด้ามพร้าด้วยเข่า

ใน ส่วนของวิธีการสอนของพระองค์นั้น ซึ่งเป็นที่ประทับใจและครองใจคนนั้นมีมากมายยากที่จะนำมากล่าวในที่นี้ได้ หมดสิ้นจึงขอนำมากล่าวเป็นบางส่วน เช่น บางครั้งไม่ทรงใช้วิธีการหักด้ามพร้าด้วยเข่า เพราะการที่จะใช้วิธีนี้จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

พระศรีญาณโสภณ กล่าวว่า วิธีหักด้ามพร้าด้วยเข่าเป็นเรื่องที่ต้องระวัง ต้องละเอียดคิดให้ดีถ้าจะใช้ และพระพุทธองค์ก็ไม่ทรงใช้วิธีนี้หันไปใช้วิธีอื่นแทน อย่างกรณีที่พระวัดโฆสิตารามเมืองโกสัมพีทะเลาะกันรุนแรงมากทรงห้ามอย่างไร ก็ไม่ฟังแทนที่จะลงโทษพระก็หันไปลงโทษพระองค์แทนด้วยการเสด็จหลีกหนีพระ เหล่านั้นไปอยู่ป่ากับลิงและช้าง

"ชาวบ้านเมื่อไม่เห็นพระพุทธเจ้าก็ พานโกรธพระไม่ยอมใส่บาตรทำให้พระต้องอดข้าวจนในที่สุดต้องหันมาสามัคคีกัน แล้วเดินทางไปขอขมาพระพุทธเจ้านิมนต์ให้เสด็จกลับมา กลับมาแล้วชาวบ้านก็หันมาใส่บาตรดังเดิม นี้ก็เป็นพุทธวิธีครองใจคนอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า" พระศรีญาณโสภณ กล่าว

การ ที่พระพุทธเจ้าทรงครองใจคนมาถึงวันนี้ 2,552 ปีเข้าแล้ว เพราะทรงงานหนักด้วยพระทัยที่มีพระเมตตาและพระมหากรุณาเป็นที่ตั้ง ปราศจากอคติทั้งสี่ มีความเป็นกลาง ทรงมีพระทัยในทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ว่าผู้นั้นจะชอบหรือรังเกียจพระองค์ ไม่ว่าผู้นั้นจะรวยหรือจน ทุกคนทรงให้ความเท่าเทียมหมด ไม่มีเหลื่อมล้ำ จึงยากที่จะหาผู้นำคนใดมาเทียบพระองค์ได้ในทุกกรณี

ฉะนั้น ผู้นำยุคนี้ถ้าหวังจะเป็นผู้นำที่ครองใจคนทั้งประเทศหากยังหาต้นแบบไม่เจอก็ขอให้ดูพระพุทธเจ้าเป็นแบบปฏิบัติ




ที่มา
http://www.posttoday.com/

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยด้วยครับ

152
มนุษย์เกิดมาทำไม โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

พลิกนิดเดียว ของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก


เหตุดี ผลก็ดี เหตุไม่ดี ผลก็ไม่ดี
พิจารณาให้ดีเถิด
เราอาจจะเกิดมาไม่มีพ่อ หรือไม่มีแม่ หรือไม่มีทั้งพ่อและแม่
เราอาจจะเกิดมายากจน
เราอาจจะถูกกลั่นแกล้งอยู่เรื่อยๆ
บางวัน เราอาจจะเป็นทุกข์และไม่สบายใจ
แต่วันนี้ เราอาจจะเป็นสุขและมีความพอใจมากที่สุดในชีวิต
วันนี้ เราอาจจะไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
เท่านี้เราก็เห็นได้ชัดเจนแล้วว่า
ทุกอย่างดำเนินไปตามเหตุปัจจัยที่สมบูรณ์ที่สุดเสมอ
จงก้าวไปสู่อนาคตด้วยความเข้าใจเช่นนี้
จงมั่นใจในผลกรรมและเชื่อในเหตุปัจจัยอย่างสมบูรณ์เถิด
จงทำความดี ละความชั่ว มีเมตตาแก่ตนและสรรพสัตว์
และยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้วยจิตที่สงบ


โลกนี้สมบูรณ์แล้วด้วยกรรม
เรามีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว
วันนี้เราอาจทุกข์ แต่พรุ่งนี้เราก็อาจจะเป็นสุข
ทุกอย่างไม่แน่นอน
ให้อยู่กับปัจจุบันตลอดเวลา และทำใจให้เป็นสุข
อย่าลืมทำเหตุให้ดีตั้งแต่วันนี้ เพื่อผลที่ดีในวันนี้
และวันข้างหน้า
เรามีหน้าที่รักษาข้อวัตร และทำให้ดีที่สุดเสมอเท่านั้น
นอกจากนั้น เขาจะ “เป็นไปเอง” ตามเหตุปัจจัยของเขา

คั้นส้ม กวาดบ้าน ฯลฯ ให้เป็นสัมมาทิฏฐิยังคิดไม่ถูก ยังคิดไม่เป็น ยังไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ
ท่านอาจารย์สอน เมื่อเห็นเราหงุดหงิดขณะที่คั้นส้ม
เพราะรู้สึกว่าเสียเวลามาก
ท่านบอกว่า “ต้องทำความเห็นให้ถูกต้อง ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ”
ทำงานต้องทำด้วยสติสัมปชัญญะและความพอใจ
ขณะที่คั้นส้ม การคั้นส้มเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในโลก
อย่างอื่นในโลกไม่สำคัญ
ขณะที่กวาดบ้าน การกวาดบ้านเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในโลก
อย่างอื่นในโลกไม่สำคัญ
ขณะที่ทำอาหารให้ลูก การทำอาหารให้ลูกเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในโลก
เรื่องอื่นในโลกไม่สำคัญ
ฯลฯ
คั้นส้มก็ให้รู้อยู่ว่ากำลังคั้นส้ม ให้สติอยู่กับการคั้นส้ม
ให้ทำด้วยความพอใจ
กวาดบ้านก็ให้รู้อยู่ว่ากำลังกวาดบ้าน ให้สติอยู่กับการกวาดบ้าน
ให้ทำด้วยความพอใจ
ทำอาหารให้ลูก ก็ให้รู้ว่ากำลังทำอาหารให้ลูก
ให้สติอยู่กับการทำอาหาร ให้ทำด้วยความพอใจ
ฯลฯ
การคั้นส้มก็ดี การกวาดบ้านก็ดี การทำกับข้าวก็ดี การทำอะไรทุกๆ อย่างให้ถือว่าเป็นข้อวัตรปฏิบัติ เป็นหน้าที่ ต้องเอาใจใส่ ทำด้วยความตั้งใจ และทำดีที่สุด
ทำเพื่อเพิ่มความดีของเราเอง
ทำเพื่อตัวเราเอง
ทำเพื่อขัดเกลากิเลสของเรา
ทำเพื่อละทิฏฐิมานะของเรา
อย่าคิดว่าทำให้คนอื่น
อย่าคิดว่าต้องทำเพราะคนอื่นไม่ทำ
อย่าคิดว่าต้องทำเพราะคนอื่นให้เราทำ
เรามีหน้าที่ เราก็ทำให้ดีที่สุด คิดอย่างนี้เราก็ไม่เป็นทุกข์ ใจก็จะสงบมีปีติได้ตลอดเวลา เป็นสัมมาทิฏฐิ
ภาวนาให้มากๆ นะ
ปรับปรุงความคิดความเห็นของเราให้ถูกต้อง
โยนิโสมนสิการ ยกอารมณ์กรรมฐานขึ้นพิจารณาบ่อยๆ นะ

ทุกข์
“เคยทุกข์แทบจะตายไหม” ท่านอาจารย์ถาม
ถ้าทุกข์หรือหดหู่ ให้รู้อยู่ว่าทุกข์หรือหดหู่ ไม่ต้องปรุงแต่ง
ให้อดทนเพ่งความทุกข์ความหดหู่ใจอยู่อย่างนั้น
ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย
ประคับประคองจิต ไม่ให้เอียงไปทางซ้าย ไม่ให้เอียงไปทางขวา
ทำใจให้เป็นกลางๆ
กำหนดรู้อยู่อย่างนั้น นั่งก็รู้ เดินก็รู้
กำหนดไป กำหนดไป ก็จะรู้ชัดขึ้นๆ
จะเห็นเป็นความว่าง ต่างหาก
เห็นว่าความทุกข์ก็ดี ความหดหู่ก็ดี เป็นสักแต่ว่าความรู้สึกเท่านั้น
ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
เป็นเพียงอุปาทานเท่านั้น
อุปาทานว่าเราหดหู่ อุปาทานว่าเราทุกข์นั้นแหละ
จริง ๆ แล้วมันก็เปลี่ยนแปลงได้ และจะเปลี่ยนไปเอง
เมื่อมีอารมณ์ใหม่เข้ามาแทนที่
เพราะมันเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เราทุกข์ เราหดหู่ เพราะอุปาทาน ความยึดมั่นนั่นแหละ
อาศัยความอดทน อดกลั้น ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์วิปัสสนา

เพ่งพิจารณาความไม่เที่ยง ไม่แน่นอน
แล้วความรู้สึกทุกข์ ความรู้สึกหดหู่ใจ ก็จะเปลี่ยนแปลง
เพราะ สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งปวง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
แล้วเราจะรู้ชัดขึ้นๆ

ความหดหู่เป็นอาคันตุกะ
เขามาเยี่ยมเฉยๆ แล้วก็ไป ไปแล้วก็มาใหม่
ถ้าเราหยุด วางเฉย เขาก็อยู่ไม่ได้
อย่าเพลิดเพลินกับการตามอารมณ์นะ
แขกมาหา จะไล่เขาไปก็ไม่ได้ เดี๋ยวเขาจะโกรธเอา
ต้อนรับก็ไม่ได้ เขาจะอยู่เฉย
เราเฉยเสีย เขาก็จะไปเอง
เพราะเขาเป็นอาคันตุกะ ไม่ใช่ผู้อยู่ประจำ
ถ้าเขามาก็รู้ว่า อ้อ เขามาแล้ว กำหนดรู้ แล้วก็เฉย
ทำใจให้เป็นอุเบกขา ทำใจเป็นกลางๆ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย
ไม่ตกใจ ไม่กลัว ไม่รังเกียจ
เอาก็ไม่ใช่ ไม่เอาก็ไม่ใช่
กำหนดรู้ไปเรื่อยๆ
จุดหมาย คือความไม่มีทุกข์ และจิตที่สงบ สะอาด สว่าง

ให้เอาทุกข์เป็นอาจารย์
อย่ารังเกียจทุกข์นะ อย่าหนีทุกข์ อย่ากลัวทุกข์
ทุกข์นั่นแหละเตือนเราไม่ให้ประมาท
ให้เกิดปัญญา ให้รู้ ให้เห็น ตามความเป็นจริง ให้เห็นสัจธรรม
ยิ่งทุกข์มากยิ่งดี เมื่อผ่านไปได้ ต่อไปก็ไม่ต้องกลัวอะไร
ต้องอดทนต่อสู้ ด้วยจิตใจที่กล้าหาญ
ทุกข์ที่ไหน กำหนดดูที่นั่น
ทุกข์เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ ต้องตามรู้ ตามศึกษา
ค้นหาดูทุกข์
ดูไปๆ ก็จะพบตัณหา อุปาทาน
ตัณหา อุปาทาน นี่แหละ ทำให้เป็นทุกข์
ตัณหา อุปาทาน นี่แหละ ปิดบังไม่ให้เห็นทุกข์
เป็นทุกข์ แต่ไม่เห็นทุกข์
เราจึงต้องจิตใจเข้มแข็ง มุ่งหน้าเข้าไป (พิสูจน์) ดูจึงจะเห็นทุกข์
เมื่อเห็นแล้วก็จะรู้แจ้ง เกิดญาณทัสสนะทั้งรู้ ทั้งเห็น ตามความเป็นจริงว่า
ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น
ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่
ทุกข์เท่านั้นดับไป

นอกจากทุกข์แล้ว ไม่มีอะไรเกิด
นอกจากทุกข์แล้ว ไม่มีอะไรดับ
สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงอันใครๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
สัพเพ ธัมมา อนัตตา
ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา
เมื่อวางเฉยได้ วางทุกข์ได้ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย
ทุกข์ก็จะไม่มี หรือมีเหมือนไม่มี

อย่าคิดว่าเราทุกข์
ทุกข์ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ทุกข์
ทุกข์ไม่ใช่อยู่ในเรา เราไม่ใช่อยู่ในทุกข์
ทุกข์เราก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เรามีหน้าที่เพียงกำหนดรู้ทุกข์ที่เกิดขึ้น
กำหนดรู้ทุกข์ที่ตั้งอยู่
กำหนดรู้ทุกข์ที่ดับไป
ทำอย่างนี้เราก็สามารถรับทุกข์ได้
ทุกข์แค่ไหนก็รับได้
ต้องอดทนนะ คนมีปัญญาทนทุกข์ได้

ถ้าเรายังเป็นทุกข์ ก็ยังใช้ไม่ได้ ยังผิดอยู่
ให้พิจารณาอริยสัจ ๔ เสมอๆ
ถ้าเรายังเป็นทุกข์ แสดงว่าเราไม่มีสัมมาทิฏฐิ
เวลาทุกข์เกิดขึ้นให้ดูเข้าข้างใน (ดูจิต)
อย่าไปดูข้างนอก อย่าไปโทษคนโน้นคนนี้
ให้ดูกายกับใจของเรานี่แหละ
ดูให้เห็นว่า ตัณหา อุปาทาน นี้แหละ เป็นตัวต้นเหตุให้ทุกข์เกิด
เป็นมาร เป็นศัตรูที่ร้ายแรงที่สุด
ให้มีขันติ อดทนสู้อารมณ์นั้นๆ
ตามรู้อารมณ์นั้นๆ
รู้แล้วก็ไม่หวั่นไหว
ไม่เดือดร้อนเป็นทุกข์
รู้แล้วไม่หลง ไม่ติด
มีแต่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
นั่นแหละ พระพุทธเจ้าอยู่ที่นี่เอง
ไม่ต้องไปหาที่ไหน
แม้จะต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันก็ยอม
ต้องเอาชนะให้ได้
อาศัย ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นอาวุธ
ดูให้เห็น อนิจจัง ความไม่เที่ยงแท้ ความไม่แน่นอน

ธรรมะอยู่ที่ ๕๐ : ๕๐

ถ้าคิดว่า “เขาทำผิด” เขาไม่ควรทำเราอย่างนี้
ให้คิดว่าเราก็ผิด ๕๐ % ด้วย
คิดอย่างนี้เราก็จะไม่โกรธเขา เพราะถ้าโกรธเขาก็ต้องโกรธตัวเราด้วย
และเขาอาจจะไม่ผิดก็ได้ เชื่อไว้ ๕๐ % ก่อน
คิดอย่างนี้เราก็ไม่ทุกข์
ใครเล่าว่า “คนนั้นเขานินทาเราอย่างนั้นอย่างนี้ คนนั้นเขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้”
อย่าเพิ่งเชื่อ และก็อย่าเพิ่งปฏิเสธทันที
รับฟังไว้ ๕๐ % ก่อน
อย่าวิพากษ์วิจารณ์ทันที แล้วก็เป็นทุกข์ แล้วก็ปรุงแต่งต่อไป
บ่อยๆ ครั้งเราก็จะโกรธและเสียเวลาคิด เสียอารมณ์ไปโดยเปล่าประโยชน์
อย่าไปทำตามคำพูด ความคิดของใครๆทั้งหมดทันที

ฟังแล้วทำตามเขา ๑๐๐ % ก็มักจะวุ่นบ่อยๆ
เพราะความคิดก็เป็นอนิจจัง เขา (ผู้พูด) อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้
เราอาจฟังผิดก็ได้ เขาอาจคิดผิดและเปลี่ยนความคิดใหม่ก็ได้
ถ้าเรารับฟังไว้ ๕๐ % ก่อน
ตั้งสติของเราเข้าไว้ ก็จะปลอดภัย ไม่สับสน ไม่ทุกข์
แม้แต่ความคิดของเราเองก็อย่าเชื่อ ๑๐๐ %
รับฟังไว้ ๕๐ % ก่อน
เพราะเราก็อาจเปลี่ยนความคิดได้
ที่เราคิดว่าถูก จริงๆ อาจผิดก็ได้
ไม่แน่หรอก
สรุปว่า อย่าเชื่อทั้งตัวเรา ตัวเขา อย่าเชื่อทั้งสุข และทุกข์ ๑๐๐%
รับฟังไว้ ๕๐ % ก่อน
ไม่ต้องโกรธ ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องแปลกใจตั้งสติเข้าไว้ก่อน
พิจารณาให้ดีก่อน
สุขก็ไม่แน่นอน ทุกข์ก็ไม่แน่นอน
สุขหายไปก็ทุกข์ ทุกข์หายไปก็สุข
ทุกอย่างไม่แน่นอน...ก็เท่านั้นเอง

เขานินทาเรา
เขานินทาเรา เขาด่าเรา เขาแย่งของเราไป ฯลฯ
เราไม่พอใจ เรากำลังจะโกรธ ต้องรีบแก้ไขทันที
“เขา” ไม่สำคัญ สำคัญที่ใจเรากำลังจะเป็นทุกข์
เรากำลังจะผิดศีล กำลังจะผิดข้อวัตรของเรา
ระวังนะ...ถ้าเราเป็นทุกข์ เราก็ผิดข้อวัตรของเราแล้ว
ผิดศีล เราก็บาปแล้ว
เราต้องมีหิริ โอตตัปปะ ละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป
ถ้าเราเป็นทุกข์ เราผิดศีล เราก็บาป
ใครเขานินทาเราก็ไม่สำคัญเขาทำอะไรๆ เราก็ไม่สำคัญ สำคัญที่ใจเรา
สำคัญที่ใจเราอย่าเป็นทุกข์เท่านั้นก็พอแล้ว
ไม่ต้องดูใคร ไม่ต้องฟังใคร ดูกายกับใจของเรานี่แหละ
เราต้องเป็นที่พึ่งของเราเอง
อัตตาหิ อัตตโนนาโถ นะ
เราขึ้นอยู่กับคำพูดหรือการกระทำของคนอื่นไม่ได้หรอก
ระวังนะ... คนโน้นคนนี้ก็ไม่สำคัญหรอก สำคัญที่จิตของเรานี่แหละ
ใครทุกข์ก็ไม่ต้องทุกข์ตามเขา ไม่ต้องโต้ตอบ ไม่ต้องชี้แจง ไม่ต้องกลัว
สำคัญที่ใจเราอย่าเป็นทุกข์นะ
ถ้าเราทุกข์แล้วผิดแล้วนะ ไม่ใช่เขาผิดหรอก
ต้องรีบพิจารณาแก้ไขทันที

พลิกนิดเดียว แล้วอยู่อย่างมีความสุข
คนเราจะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์อยู่ที่ความคิดนิดเดียว

พลิกนิดเดียวเราก็จะไม่เป็นทุกข์
พลิกนิดเดียวก็จะเปลี่ยนจากมิจฉาทิฏฐิมาเป็นสัมมาทิฏฐิ
จากความคิดผิดเป็นความคิดถูก
จากทางโลกมาสู่ทางธรรม
พลิกนิดเดียวเราก็จะอยู่ได้อย่างไม่มีทุกข์
อยู่กับปัจจุบันได้อย่างสงบ
ยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นแต่ละขณะอย่างสมบูรณ์การเจริญสติปัฏฐาน คือการอยู่อย่างไม่มีความทุกข์ที่จะต้องดับ (ท่อนหลังนี้ เป็นถ้อยคำสำนวนของพระเดชพระคุณพระราชวรมุนี (ปัจจุบันคือ พระ ธรรมปิฏก) ในหนังสือพุทธธรรม ซึ่งบังเอิญเป็นเรื่องเดียวกันพอดีที่ท่านอาจารย์สอนจึงกราบขอ อนุญาตคัดมาประกอบ)การเจริญสติปัฏฐาน หรือการเจริญสมาธิวิปัสสนา ก็เพื่อหัดเปลี่ยนจากการอยู่อย่างมีทุกข์เป็นพื้นฐาน มาเป็นการอยู่อย่างมีความสุขเป็นพื้นฐาน
เพียงแต่มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันให้เต็มที่ในขณะนั้นๆ
ไม่อยู่กับอดีตบ้าง อนาคตบ้าง
รับรู้และเสวยอารมณ์แต่ละขณะอย่างเต็มบริบูรณ์
เห็นความงดงามของปัจจุบัน อย่ามัวแต่อยู่กับอดีตและอนาคต
ยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะอย่างสิ้นเชิง

ที่มา : http://thai.mindcyber.com/buddha/why2/1137.php

จากหนังสือ “พลิกนิดเดียว”
ของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
วัดป่าสุนันทวนาราม อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี
สาขาที่ ๑๑๗ ของวัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี



ปกิณณกธรรม
(จาก หนังสือ “ธรรมประทาน”)
ชีวิตสมบูรณ์แล้วทุกประการตามเหตุปัจจัย

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากเว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

154
พระคาถาพระพุทธเจ้า 5 พระองค์เปิดโลก


พระคาถาพระพุทธเจ้า 5 พระองค์เปิดโลก

( นะโม 3 จบ )

พระพุทธังอาราธนา พระพุทธเจ้าเปิดโลก
พระธัมมังอาราธนา พระพุทธเจ้าเปิดโลก
พระสังฆังอาราธนา พระพุทธเจ้าเปิดโลก

นะเปิดบุญ โมเปิดบารมี พุทเปิดวาสนา ธาเปิดจิต ยะเปิดธรรม
เปิดโลกเปิดจิตครอบจักรวาล ด้วยนะโมพุทธายะ

ยะเปิดการณ์ดี ธาเปิดงานดี พุทเปิดโชคดี โมเปิดลาภดี นะเปิดอำนาจดี
เปิดสิ่งดีๆทั้งหลายมาสู่ตัวข้าพเจ้า ด้วยยะธาพุทโมนะ

นะมะพะทะ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ขออำนาจบารมีของพระรัตนตรัย โปรดเชื่อมโยงบุญบารมี วาสนาบารมี ฌาณบารมี ญาณบารมี ทั้งหลายทุกภพทุกชาติของข้าพเจ้า จงมารวมกัน ณ ปัจจุบันชาติ และขอเบิกบุญบารมีทั้งหลายมาสู่ตัวข้าพเจ้า ณ ปัจจุบันชาตินี้ เปิดโลกเปิดจิตเปิดธรรม เปิดด้วยนะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ

( 3 จบ หมั่นสวดเป็นประจำทุกวัน )


*** คาถานี้เกิดจากแนวความคิดหนึ่ง หลังจากผมมีโอกาสไปพบอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านให้แง่คิดว่า คนเราเกิดมานับภพชาติไม่ถ้วน บ้างคนสร้างสมบุญกุศลมามากมาย แต่ปัจจุบันไม่รู้วิธีนำบุญมาใช้ อาจารย์ก็ให้แนวคิดมา ผมเองก็นำมาคิดต่อ...เลยลองหาข้อมูลหาคำอธิฐานหรือคาถาดีๆในเว็บต่างๆ เพื่อเป็นแนวทาง แล้วลองนำมาแต่งเป็นคาถาบทใหม่ ตอนแรกก็กะว่าจะนำมาไว้สวดภาวนาคนเดียว ได้ทดลองสวดอยู่หลายวัน ก็มีแนวคิดว่าถ้าสวดคนเดียวประโยชน์เกิดน้อย ถ้าเป็นคาถาที่ดี ให้คนอื่นได้มีโอกาสสวดภาวนาด้วย น่าจะเกิดประโยชน์มากกว่า เลยลองคัดลอกไปให้อาจารย์พิจารณาดู อาจารย์กล่าวว่าเป็นคาถาที่ดีครับ เหมาะที่จะนำไปเผยแผ่ต่อได้ครับ ผมก็เลยมานำเสนอให้ทุกท่านได้ทดลองสวดภาวนากันครับ

เรียเรียงใหม่โดยคุณณัฏฐ์ วสุวงศ์สรณ์ เผยแผ่ครั้งแรกวันที่ 26/06/2552 ( ชื่อใหม่คือ เอกณัฏฐ์ )
บุญกุศลใดที่เกิดจากการแต่งคาถาและเผยแผ่ ขออุทิศบุญกุศลที่เกิดขึ้นให้แก่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ที่ได้อบรมสั่งสอนดวงจิตของข้าพเจ้ามาตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงชาติปัจจุบัน


คาถาบทเดิม
"นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ" พลังพระเปิดโลก เป็นพระคาถาเก่าแก่มาแต่โบราณกาล เป็นพระคาถาศักดิ์สิทธิ์มากของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ในภัทรกัปนี้ ได้แก่

นะ-คือ พระพุทธเจ้ากุกกะสันโธ องค์แรกในภัทรกัปนี้
โม-คือ พระพุทธเจ้าโกนาคม องค์ต่อมา
พุท-คือ พระพุทธเจ้ากัสสปะ องค์ถัดมา
ธา-คือ พระพุทธเจ้าพระสมณโคดม องค์ปัจจุบัน
ยะ-คือ พระพุทธเจ้าพระศรีอริยเมตไตรยในอนาคตกาลข้างหน้า



ใครเหมาะที่จะสวดบทนี้บ้าง
1.ผู้ที่หวังความเจริญในชีวิต การงาน การค้า ความสุขสมบูรณ์
2.ผู้ที่เริ่มปฏิบัติธรรม...จะช่วยไปดึงบารมีเก่ามาส่งเสริมการปฏิบัติทางจิต
3.ผู้ที่กำลังหลงทางในชีวิต...บุญและแสงสว่างแห่งธรรมจะมาปรากฎในจิต

สรุปว่า ...สวดได้ทุกเพศทุกวัยครับ แต่ต้องสวดทุกวันนะครับ

อาจารย์ที่ผมให้ท่านช่วยพิจารณาบทคาถา ท่านก็ฝึกจิตมาตั้งแต่อายุ 13 ฝึกสมาธิมาตั้งสามสิบกว่าปี ตอนนี้ท่านฝึกวิปัสสนาต่อยอดอยู่ จิตท่านละเอียด ถ้าบทคาถาไม่ดีจริง ท่านย่อมรู้ได้โดยจิต ท่านคงไม่เห็นด้วยกับการนำมาเผยแผ่

ก็หวังว่าทุกท่านจะทดลองสวดกันดูครับ ลองสวดดูสักอาทิตย์ก่อนก็ได้ครับ แล้วจะรู้สึกได้เองครับ ถ้าจิตรู้สึกดีก็ขอให้สวดต่อไปนะครับ และถ้ามีโอกาสก็ลองให้คนรอบข้างสวดด้วยนะครับ

ทุกท่านจะได้พบสิ่งดีๆ...และธรรมจะปรากฎในจิตของทุกท่าน
ด้วยความปรารถนาดี
เอกณัฏฐ์

นายธรรมะ
ขอขอบคุณสิ่งๆดีจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

155
หลวงพ่อเล่าเรื่อง...กรรมของคนเจ้าชู้


หนังสืออ่านเล่น เล่ม ๒
วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๑


วันนี้วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๓๑ ขอคุยเรื่องของวันที่ ๑๕ กันยายน ตอนดึกสักเล็กน้อย เวลาก่อนหลับนอนพิจารณาและภาวนาเห็นพระหลายท่าน ที่เห็นเป็นชุดแรก คือ พระสารีบุตร กับพระโมคคัลลาน์ ต่อมาก็เห็น พระมหากัจจายนะและพระอนุรุธ พระอานนท์ พระมหากัสสป และคณะ พระบิณโฑภารัชชวาชะ ต่อมาเห็นพระพุทธเจ้าแล้วก็หลับไป ตื่นเมื่อเวลา ๓ น.เศษ ๆ

ภาวนาต่อหลับไป ตื่นใหม่ ๔ น.เศษ คราวนี้ทำอุจจาระกิจคือไปส้วม กลับมาแล้วนอนภาวนาสงบกำลังใจไปหาพระในที่ของท่าน ไหว้ท่านรับฟังโอวาทจากท่านเสร็จแล้ว เข้าบ้านของตนตรวจดูทรัพย์สินเห็นอยู่ครบตามเดิม ลงมาที่ดาวดึงส์ไหว้พ่อไหว้แม่ และท่านผู้มีพระคุณทั้งหมด หลวงพ่อปาน ท่านเตือนเรื่องอาหาร ท่านบอกว่าที่ไม่ปกติคืนนี้ เพราะกินฝรั่งมากไปท้องจึงอืด กินน้อยไม่เป็นไร ท่านเตือนว่าร่างกายยังดีไม่พอ ไม่ควรใช้พิมพ์ดีดให้ใช้เขียนไปพรางก่อน เมื่อท่านเตือนเสร็จแล้วก็ลาท่านกลับ

เมื่อมาถึงเทวดา นางฟ้า ที่เมตตาสงเคราะห์มากท่าน จึงยกมือไหว้ขอบคุณทุกท่านที่เมตตา ถามท่านเวสสุวรรณ ถึงภัยอันตรายท่านบอกว่าไม่มี ถามถึงแขกที่จะมาหา ท่านบอกว่า วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ ๔ วันนี้ แขกมาก แต่ไม่ใช่ล้นวัด แขกที่มาทุกคนมีศรัทธาดี มองดูเวลา ๖ น. พอดี กำลังจะลุกขึ้นเก็บที่นอนและผ้าห่ม พอดีลุงพุฒมาคนเดียว วันนี้ท่านนุ่งผ้าพื้นโจงกระเบนเป็นผ้าไหมสวยมาก ท่านบอกว่า คุณ ไปบ้านผมหน่อยซิ บอกท่านว่า ลุงตอนนี้ ๖ โมงเช้าแล้ว ประเดี๋ยวเด็กจะมาขนของลงข้างล่าง ท่านบอกว่าไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับได้ พอดีท่านพ่อ ท่านมาบอกว่า ไปเถอะคุณ คุณไปไหว้พระ ไหว้ท่านผู้มีคุณแล้ว ลุงท่านมีเรื่องด่วนจึงได้มาเวลากระชั้น จึงตกลงตามลุงท่านไป

พอไปถึงท่านก็เข้าประจำที่ ท่านเรียกชายคนหนึ่งเข้ามา ขอสมมุติชื่อว่า นายข้างขาว มีขี้แมลงวันขนาดเล็กมากอยู่ระหว่างคิ้วทั้งสอง แต่ใกล้คิ้วขวามากเรื่องไฝหรือขี้แมลงวันใกล้คิ้วขวานี้เป็นสัญลักษณ์บอกว่า เป็นคนที่ได้รับความเมตตาจากผู้หญิงมาก ถ้ามีไฝหรือขี้แมลงวันทางคิ้วขวา ตามีเสน่ห์มองหญิงแล้วหญิงงงทุกราย ตาเจ้าชู้หรือตายุให้หญิงมาร่วมชู้ ชายคนนี้ก็มีกรรมอย่างนี้เหมือนกัน

มาคุยเรื่องของเธอ เธอตายเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๓๑ บ้านอยู่อีสาน แต่มาทำงานกรุงเทพฯ เธอไม่ได้บอกที่ตายของเธอ เธอตายเพราะอุบัติเหตุคือถูกตียัดกระสอบตาย เพราะความมีเสน่ห์ของเธอ ปกติสาวชอบมาหาเธอก็เมตตาทุกราย และที่เหตุร้ายเกิดขึ้นถึงตาย เพราะเธอไปยุ่งกับสาวคือเมียนายจันทร์

คนนี้การสอบสวนแปลก เพราะไม่ผ่านเจ้าหน้าที่สอบสวน ลุงท่านเรียกมาหาท่านโดยตรง คงจะเป็นเพราะเวลาน้อย ชายคนนี้ที่เห็น ผอม หน้าตาซีดเซียว ท่าทางอิดโรยมาก แต่พบตอนหลังที่เธอเป็นเทวดาแล้วเธอทำภาพเมื่อเป็นมนุษย์ให้ดูเป็นชายล่ำสัน ลักษณะแบบผิวเนื้อสองสีค่อนเข้า จึงต้องตาย และศพก็สูญหาย เพราะใส่กระสอบฝังดินกลางทุ่งนา ไกลตาคนไปพบเห็น เสน่ห์มากมันก็มีภัยอย่างนี้ ถามเธอว่า ทำไมรุ่มร่ามอย่างนั้น เธอบกว่า เห็นใจหญิงเธอมีความต้องการ ถ้าไม่ได้ตามความประสงค์เธอก็กลุ้ม

ถามว่าเข้ามากรุงเทพฯ ทำงานอะไร เธอบอกว่าทำทุกประเภท เมื่อก่อนตายทำงานรับจ้างเป็นหัวหน้าหน่วยงาน นายเอาเธอไปใช้ที่บ้าน เห็นทำงานคล่องและสุภาพเรียบร้อย ความสุภาพและงานดีทำให้เป็นคนมีเสน่ห์ หญิงในบ้านนั้นทุกคนเมตตา มีความสุข ในที่สุดเมียนายก็เมตตาด้วยเป็นเหตุให้ได้สตางค์ใช้มากขึ้น เพราะเมียนายเมตตานี่เอง ในที่สุดก็กลายเป็นผีประวัตินี้เธอเล่าให้ฟังเมื่อเป็นเทวดาแล้ว มาคุยกันเรื่องการสอบสวนต่อไป

เมื่อท่านลุงเรียกเข้าไป รูปร่างลักษณะหน้าตาเลอะเทอะ เหมือนถูกทุบตีแบบยับเยิน ลุงถามว่า เอ็งชอบไปยุ่งกับลูกเมียเขาใช่ไหม เธอตอบว่า ใช่ ท่านลุงถามว่า ทำไมถึงทำอย่างนั้น เธอบอกว่า เห็นใจหญิง เมื่อเธอมาหาแล้วก็ไม่อยากให้เธอผิดหวัง ลุงบอกว่า เอ็งมีบาป แต่เวลาเอ็งไปฝึกกรรมฐานเอ็งบอกให้ฉันเป็นพยานทุกคราว ต่อไปถ้าขอให้ข้าเป็นพยานละก็จงอย่าทำบาปนะ มันผิดระเบียบของเขา แต่เมื่อให้เป็นพยานก็เป็นพยานให้ ท่านพูดต่อไปว่า

๑. เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ ต้นเดือน เอ็งไปรับศีลแปดและปฏิบัติศีลแปด ตลอด ๓ วัน ใช่ไหม เธอตอบว่าใช่

๒. เธอถวายสังฆทานถึงเล็กถึงละ ๑๐๐ บาท รวม ๑๗ ถัง ใช่ไหม

เธอตอบว่าใช่ จากนั้นภาพสังฆทานถังเล็กก็ปรากฏตั้งเป็นแถว
ท่านลุงบอกว่า เท่านี้พอแล้วเอ็งดีมาก แต่เอ็งระยำวันอื่น นอกจากนั้นเล่นกาเมนอกบ้านทุกวัน ถ้าเกิดใหม่จะไปไหนเอาเมียไปด้วยนะ จะได้ไม่หิวกินไม่เลือกอย่างที่แล้วมา เอ็งมีบาปมาก สัตว์ คือ ปลา กบ เขียด งู ไก่ เอ็งเคยฆ่า โกหกก็เก่ง พบสาวโสดหรือสาวมีผัวรูปร่างต้องใจเมื่อไรเป็นโกหกทุกที กลับมาบ้านยังโกหกเมียอีก ลักขโมยเธอไม่เป็น สุราเมรัยดื่มนิดหน่อย แต่มันก็เป็นบาป เขาต้องเอาลงนรก
ท่านลุงพูดจบ ดูเหมือนเธอทำท่าจะล้ม ท่านลุงเตือนให้ยืนตรง ๆ ท่านบอกว่า ข้ายังพูดไม่จบเลยทำท่าจะตายแล้ว ให้ข้าพูดจบก่อนซิ แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า

เมื่อเอ็งให้ข้าเป็นพยานบุญ ข้าก็ต้องเป็นและเบิกความให้ ข้าเป็นพยานให้แล้ว เอ็งไปรับผลของความดีก่อน ถวายสังฆทานและรักษาศีลแปดเดือนละ ๓ วัน ศีลขาดเดือนละ ๒๗ วัน เจริญกรรมฐานเดือนละ ๓ วัน ทำกาเมเดือนละ ๒๗ วัน ไม่เลือกกลางวันหรือกลางคืน ในเมื่ออารมณ์เศร้าหมองสลับกับอารมณ์แจ่มใส

บุญอย่างนี้ปกติไปอยู่ชั้นนิมมานรดี แต่เพราะศีลขาดมากกว่าศีลดี จิตผ่องใสน้อยกว่าจิตเจ้าชู้ วิมานเอ็งอยู่แค่ดาวดึงส์ตามกำลังบุญของเอ็งก็แล้วกัน เมื่อเธอได้ฟังอย่างนั้น รู้สึกว่าร่างกายผ่องใสขึ้นทันที สวยขึ้น ๆ ในที่สุดก็แต่งกายเป็นเทวดาสวยงามมาก

ท่านลุงจึงให้เทวทูตนำไปส่งวิมานของเธอเมื่อเสร็จภารกิจของท่านลุงแล้ว ท่านก็หันมาพูดว่า ที่ผมไปตามคุณยามเช้าใกล้ไปธุระ ก็เพราะเจ้านี่มันเนื่องกับคุณ มันเป็นลูกศิษย์เหมือนอาจารย์ ใจบุญแต่เจ้าชู้ สาวชอบมาหาเหมือนกัน คุณถ้าไม่บวชผมคิดว่าคงไปขึ้นต้นงิ้วสนุกแน่

เมื่อท่านพูดจบท่านก็อนุญาตให้กลับ กลับมาถึงที่นอนเวลา ๖.๓๐ น. สักประเดี๋ยวหนึ่งเด็กก็ขึ้นไปรับของขนลงมาเพื่อจะไปทำงานกลางวัน เป็นอันว่าจบเรื่องตอนเช้าเพียงเท่านี้

ตอนกลางวัน พ.อ.อ.ประมวล ราชอินทร์ กับภรรยา เอาอาหารมาเลี้ยง ได้ฝากหนังสือประกาศงานของ หลวงพ่อลักษณ์ ไปให้ท่าน ท่านให้ช่วยร่างให้ หลังอาหารกลางวันมีความรู้สึกว่า เงียบเหงา ถ้าไม่มีแขกจะนอนพักผ่อนให้เป็นสุข

ท่านเวสสุวรรณ ท่านบอกว่ามีแขกหลายคน ถามท่านว่า คนมาด้วยศรัทธามีมาไหม ท่านบอกว่า วันนี้ทุกคนมาด้วยศรัทธาแท้เหมือนกันหมด ขึ้นไปถามท่านพ่อท่านแม่ไปถามพระ ท่านตอบเหมือนกับท่านเวสสุวรรณ เวลา ๑๓.๑๕ น. โทรไปถามที่รับแขก คุณบัญชา ตอบว่ายังไม่มีใครมาเลย จึงบอกว่าถ้าอย่างนั้น เวลา ๑๔.๐๐ น. จะมีคนมาหรือไม่มาก็ตาม จะลงไปรับแขกตามระเบียบ

ถึงเวลา ๑๓.๔๕ น. ถามไปอีกได้รับตอบว่า ไม่มีใครเลย คิดในใจว่า พระก็ดี เทวดา ท่านพ่อ ท่านแม่ ไม่เคยบอกอะไรผิด วันนี้ถ้าผิดก็แสดงว่าอารมณ์เราเฝือไป แต่พอถึงเวลา ๑๔.๐๐ น. ก็ลงไปที่รับแขก ปรากฏว่ามีรถยนต์จอดอยู่หลายคัน

พอขึ้นไปบนที่รับแขกมีคนหลายคนมาจากกรุงเทพฯ ราชบุรี อุทัยธานี ลพบุรี แม่สอด เป็นอันว่าท่านพยากรณ์ของท่านตรง วันนี้มีคนทำบุญทั้งหมด ๒,๒๔๐ บาท เงินทำบุญที่สร้างวัดได้ ก็เป็นเงินทำบุญจากกรุงเทพฯ ที่ซอยสามลม เป็นทุนก่อสร้างหลัก รองลงมา คือ เป่ายันต์เกราะเพชร รองลงมาอีกก็เป็นเงินทำบุญในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา

ส่วนเงินประจำวันได้บ้างเล็กน้อยตามที่เขียนมา
วันนี้ได้รับเงินทำบุญ ๒,๒๔๐ บาท สั่งเครื่องทำน้ำแข็งแบบอนามัย ขนาดเล็ก ๑ เครื่อง ราคา ๖๕,๐๐๐ บาท เพื่อทำน้ำแข็งถวายพระบ้าง เลี้ยงเด็กบ้าง เลี้ยงคนที่มาทำงานวัดบ้าง และเลี้ยงคนที่มาในงานวัดบ้าง เป็นอันว่าได้น้อยจ่ายมาก ยังมีเงินจ่ายเป็นรายเดือนโดยเฉพาะค่าไฟฟ้าและค่าอาหารอีก วันละ ๔,๐๐๐ บาท สำหรับปี ๒๕๓๑ นี้อีก

เรื่องที่คุยกันวันนี้ก็มีเรื่องธรรมะเล็ก ๆ น้อย ๆ คุยธรรมผสมเหตุการณ์ปัจจุบัน รู้สึกว่าฟังง่าย สบายใจผู้ฟัง เรื่องอื่นพิเศษมีเหมือนกัน แต่จะงดไม่คุยให้ฟังเพราะเกรงว่าจะเฟ้อไป

เวลา ๑๘.๓๐ น. พ.อ.สถาพร และศิริพร พงษ์พิทักษ์ เอาเงินมาให้อีก ๔,๑๐๐ บาท รวมรับวันนี้ ๖,๓๔๐ บาท รอดตัวไปอีกวันหนึ่ง พ.อ.สถาพร ช่วยนวดให้ เพราะเป็นหมอนวดสมัครใจบรรเทาอาการปวดเมื่อยไปมาก

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

156
ธรรมะ / :: หนีนรกมาเกิด ::
« เมื่อ: 02 พ.ย. 2553, 10:54:20 »
หนีนรกมาเกิด


ถาม : พอดีเคยพบคนที่เป็นบุคคลที่หนีมาจากนรกเจ้าค่ะ เราก็บอกให้ทำบุญทำกุศลแล้วเขาก็ไม่ทำ แล้วยมทูตเขามาเจอตัว อีกไม่นานเขาก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไป ก็เลยสงสัยว่า ทำไมวิญญาณเหล่านี้ จึงสามารถหลบหนีมาได้เจ้าคะ ?

ตอบ : ถ้าหากว่าเขาโดนลงโทษอยู่ในขุม ก็ไม่สามารถจะหนีมาได้ น่าจะอยู่ในระหว่างรอการตัดสิน แล้วตรงกับวันสำคัญที่พระยายมท่านปล่อยให้มาโมทนาบุญมากกว่าจ้ะ

ฟังให้ดีๆ จะ มีวันสำคัญอยู่สี่วัน คือวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา ซึ่งเป็นวันที่ชาวบ้านเขาทำบุญกันมาก พระยายมท่านจะปล่อยบรรดาผู้ที่ไปรอรับการตัดสิน ให้ไปโมทนาบุญก่อน บรรดาผู้ที่โทษหนัก รู้ตัวว่าถ้าหากรอการตัดสินมีหวังแย่แน่ ก็เผ่นเลย

แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเขามักไปรอการตัดสิน เพราะว่าพระยายมท่านพยายามช่วยทุกวิถีทาง เพื่อที่จะให้เขาพ้นนรกไปได้ จะได้ไม่ต้องรับโทษ

จำให้แม่นๆ ว่า พระยายมไม่มีหน้าที่พาใครลงนรก แต่ท่านพยายามกันไว้ไม่ให้ลงนรก พวกที่กลัวไม่เข้าเรื่องเข้าราว ก็เผ่นเสียก่อน อย่างนั้นยมทูตก็ต้องไปตามคืน

ถาม : แล้วต้องใช้เวลานานไหมครับ ?

ตอบ : เวลาของท่านนิดเดียว อย่าลืมว่า ที่ตำหนักพระยายม วันหนึ่งเท่ากับห้าสิบปีมนุษย์ เวลาของท่านนิดเดียว แต่ทางนี้โตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วก็มี

พวกเราใช้แรงงานพรหมเกินขนาด ท่านหยุดงานปีละสี่ครั้งแค่นั้น ครั้งละสามวัน คือ ขึ้นสิบสี่ค่ำ ขึ้นสิบห้าค่ำ แล้วก็แรมหนึ่งค่ำ แล้วขณะเดียวกัน เวลางานมากๆ ก็หยุดแต่ตัวจริง ต้องเนรมิตตัวปลอมเอาไว้ทำงานแทน


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔


ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...ead.php?t=2229

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

157
คำถามที่ชาวพุทธควรตอบได้


๑. ถาม : พระพุทธศาสนาสอนเรื่องความเชื่อไว้อย่างไร?

ตอบ: พระพุทธศาสนา สอนให้เชื่ออย่างมีเหตุผล

๒. ถาม: พระพุทธศาสนาสอนให้เชื่ออย่างมีเหตุผลในเรื่องใด?

ตอบ: ในเรื่องของกรรม หรือการกระทำที่ได้ทำลงไป

๓. ถาม: เรื่องของความเชื่อ คือ คำว่า ศรัทธาใช่หรือไม่?

ตอบ: ใช่เลย

๔. ถาม: ความเชื่อตามหลักพระพุทธศาสนามีกี่อย่าง อะไรบ้าง?

ตอบ: มี ๔ อย่าง คือ
๑. เชื่อว่า กรรมมีจริง
๒. เชื่อว่า ผลของกรรมมีจริง
๓. เชื่อว่า ผลกรรม ต้องเป็นของผู้กระทำจริง
๔. เชื่อมั่นในคำสอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าเป็นเรื่องจริง
และมีผลดีต่อผู้เชื่อถือจริง


๕. ถาม: คนบางคนชาวโลกรู้กันโดยทั่วไปว่ากระทำกรรมไม่ดี
คือทำบาปกรรมอยู่เสมอ แต่ก็เห็นว่า ชีวิตของเขาไม่เดือดร้อน
กลับอยู่ดีมีสุข และมีฐานะร่ำรวยเพิ่มขึ้นๆ เมื่อเป็นเช่นนี้
ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร?


ตอบ: เห็นว่า เป็นเรื่อง ธรรมดาๆ

๖. ถาม: ท่านเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ๆ หมายความว่าอย่างไร?

ตอบ: ก็เห็นว่า เพราะผลของกรรมชั่วยังมีพลังมากไม่พอที่จะให้ผล
จึงทำให้ผู้ทำบาปหรืออกุศลกรรม หลงระเริงคิดว่า “ทำดีได้ดี
มีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป” น่ะซิ


๗. ถาม: กรุณาขยายความคำตอบข้อที่ผ่านมา อีกสักหน่อยครับ?

ตอบ: ได้เลย
ถ้าจะเปรียบ บุญ กับ บาป เป็นนักกรีฑาที่วิ่งแข่งขันกันในสนาม
ชีวิตของเรา และเราคือผู้เกี่ยวข้องกับเขา
เมื่อ นายบุญมีกำลังมาก ก็จะเป็นฝ่ายชนะ ใช่หรือไม่ขณะนายบุญ
วิ่งชนะเข้าสู่เส้นชัย นายบาปก็วิ่งตามไปด้วยแต่ไม่ได้รับชัยชนะ
จึงไม่สามารถสนองผลเป็นรางวัลชนะเลิศให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ในช่วงนั้น
แต่เมื่อใดก็ตาม นายบุญกำลังน้อย อาจเพราะเหตุที่ใช้กำลังวิ่งแข่งขัน
บ่อยมาก และไม่ได้เพิ่มพลังบุญอย่างต่อเนื่อง ก็จะเป็นทีของนายบาป
ซึ่งบำรุงกำลังเพิ่มกำลัง คือทำบาปเพิ่มเรื่อย ๆ ก็จะมีกำลังมาก และจะ
เป็นฝ่ายมีชัยชนะ ส่งผลให้ผู้เกี่ยวข้องต้องรับผลของบาปเป็นรางวัล
อย่างแน่นอน ตั้งใจอ่านคำถามต่อ ๆ ไป จะเข้าใจโดยอัตโนมัติ
ขอชมว่าคำถามที่ถามเป็นคำถามที่ดีนะ


๘. ถาม: นาย ก ทำบุญทำทานตลอดชีวิตที่เกิดมา รักษาศีลบำเพ็ญ
สมาธิภาวนา สวดมนต์ไหว้พระอยู่เสมอ ทำไมชีวิตของเขาจึงต้อง
ประสบกับชะตากรรมที่เลวร้ายบ่อย ๆ เช่น มีโรคประจำตัวประกอบ
กิจการงานอะไรก็ล้มเหลวจนแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว มีคนคอยกลั่น
แกล้งจนต้องนอนทุกข์ระทมอยู่เสมอ มีลูกลูกก็ตาย มีพี่ชายก็คิดโกง
ทรัพย์สินของน้อง สรุปว่า ชีวิตหาความสุขไม่ได้เลย ท่านคิดอย่างไร?


ตอบ: ก็คิดว่า เป็นเรื่องธรรมดา ๆ ที่ต้องทำใจให้เข้มแข็ง และทำความเข้าใจ
ในเรื่องที่เกิดขึ้นให้ดี


๙. ถาม: ทำจิตใจให้เข้มแข็งพอเข้าใจ แต่ทำความเข้าใจให้ดี ทำอย่างไร?

ตอบ: ก็ทำความเข้าใจว่า ผลกรรมบางอย่างที่เราได้รับอยู่นั้นอาจเป็นกรรมใน
อดีตชาติ (ชาติก่อน ๆ) ที่เราเคยทำไว้ เช่น ผู้มีโรคประจำตัว เป็นเพราะ
กรรมที่เคยเบียดเบียนชีวิตของคนอื่นหรือสัตว์อื่นให้เดือดร้อน ทำให้เขา
ต้องทุกข์ทรมานทางกายหรือทางใจมาก่อน เกิดชาตินี้จึงมีโรคประจำตัว
ตั้งแต่เกิดก็มี ผู้ที่เกิดมาพิกล พิการ เช่น ตาบอด หูหนวก ขาด้วน
แขนด้วน ถ้าไม่เคยทำกรรมชั่วในชาตินี้ ก็เพราะเคยทำร้ายคนหรือสัตว์
อื่นให้ตาบอด หูหนวก ขาและแขนขาดในชาติก่อน ๆ และผลกรรมชั่ว
นั้นมีพลังพอ จึงตามมาให้ผลทันในชาตินี้และส่งผลให้ผู้กระทำต้องรับกรรม
เมื่อใครต้องรับผลกรรมเช่นนี้ ให้เร่งทำบุญ อย่าท้อแท้ แล้วกรวดน้ำอุทิศ
บุญให้เจ้ากรรมนายเวร อาจเป็นอโหสิกรรมต่อกันได้


๑๐. ถาม: ศรัทธา แปลว่า อะไร?

ตอบ: ศรัทธา เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า ความเชื่อ

๑๑. ถาม: ศรัทธา ตามหลักพระพุทธศาสนา โดยย่อ ๆ มีกี่อย่าง?

ตอบ: มี ๒ อย่าง ๑. จลศรัทธา (อ่านว่า จะ-ละ-สัด-ทา) ๒. อจลศรัทธา
(อ่านว่า อะ-จะ-ละ-สัด-ทา)


๑๒. ถาม: จลศรัทธา คือ อะไร?

ตอบ: คือ ความเชื่อที่ไม่มั่นคง หวั่นไหวง่าย มักเชื่อตามข่าวลือ หรือที่เรียกว่า
มงคลตื่นข่าว


๑๓. ถาม: อจลศรัทธา คือ อะไร?

ตอบ: คือ ความเชื่อที่มั่นคง มีเหตุผลถูกต้อง ไม่หวั่นไหวง่าย เป็นความเชื่อตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา

๑๔. ถาม: ความเชื่อ หรือ ศรัทธา ตามคำสอนทางพระพุทธศาสนาภาคภาษาบาลี
มีกี่อย่าง อะไรบ้าง?


ตอบ: มี ๔ อย่าง

๑๕. ถาม: ศรัทธา ๔ อย่าง มีอะไรบ้าง?

ตอบ: ศรัทธา ๔ อย่าง ตั้งใจจำให้ดีนะ
๑. กัมมสัทธา (อ่านว่า กำ-มะ-สัด-ทา)
๒. วิปากสัททา (อ่านว่า วิ-ปา-กะ-สัด-ทา)
๓. กัมมสกตาสัทธา (อ่านว่า กำ-มะ-สะ-กะ-ตา-สัด-ทา)
๔. ตถาคตโพธิสัทธา (อ่านว่า ตะ-ถา-คะ-ตะ-โพ-ทิ-สัด-ทา)


๑๖. ถาม: กัมมศรัทธา คือ อะไร?

ตอบ: กัมมสัทธา คือ เชื่อว่า กรรม มีจริง


๑๗. ถาม: วิปากรัทธา คือ อะไร?

ตอบ: วิปากสัทธา คือ เชื่อว่า ผลของกรรม มีจริง

๑๘. ถาม: กัมมสกตาสัทธา คือ อะไร?

ตอบ: กัมมสกตาสัทธา คือ เชื่อว่าผลกรรม เป็นของผู้กระทำจริง


๑๙. ถาม: ตถาคตโพธิสัทธา คือ อะไร?

ตอบ: ตถาคตโพธิสัทธา คือ เชื่อว่าความรู้ที่พระพุทธเจ้าสอน หรือที่พระองค์ตรัสรู้ เป็นเรื่องจริง

๒๐.ถาม: กัมมสัทธา เชื่อว่ากรรมมีจริงนั้น คำว่ากรรม คืออะไร?

ตอบ: กรรม คือ การกระทำที่เราทำลงไป ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ (ความคิด)

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยนะครับ

158
ถูกชมคือธรรมดา ถูกด่าก็ไม่เลว โดย ท่าน ว.วชิรเมธี

ถูกชมคือธรรมดา ถูกด่าก็ไม่เลว

โดย ท่าน ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย



หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าว “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” กันมาบ้างแล้ว
คำกล่าวนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของจิต
หรืออีกนัยหนึ่งของความคิดได้เป็นอย่างดีว่า
จิตกำหนดวัตถุ หรือกายเป็นไปตามอำนาจของจิต
ผู้รู้ท่านหนึ่งเคยกล่าวถึงความสำคัญของจิต หรือความคิดไว้ว่า


“เธอจงระวังความคิด เพราะความคิดจะกลายเป็นการกระทำ

เธอจงระวังการกระทำ เพราะการกระทำจะกลายเป็นนิสัย

เธอจงระวังนิสัย เพราะนิสัยจะกลายเป็นบุคลิก

เธอจงระวังบุคลิก เพราะบุคลิกจะกำหนดชะตากรรมของเธอ”


ชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับว่า
เรามีความคิดหรือวิธีคิดอย่างไร
ในทางพุทธศาสนานั้น ท่านให้ความสำคัญกับวิธีคิดเป็นอันมาก
พระนักปราชญ์ท่านหนึ่งได้ประมวลวิธีคิดในพุทธศาสนาไว้ว่ามีมากกว่า ๑๐ วิธี


วิธีคิดอย่างหนึ่ง ซึ่งเราควรนำมาปรับใช้ในชีวิตก็คือ วิธีคิดเชิงบวก


วิธีคิดเชิงบวก หมายถึง การรู้จักเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อสิ่งต่างๆ
ซึ่งโดยมากมักแสดงตัวให้เราได้สัมผัสในแง่ลบ
แต่พอเราพลิกมุมมองใหม่ เราจะได้อะไรดีๆ จากเรื่องลบๆ เหล่านั้น
เช่น ในชีวิตจริงของผู้เขียนซึ่งทำงานกับคนหมู่มาก
มักจะพบกับคำชมและคำด่าอยู่เสมอ ๆ
เมื่อแรกเผชิญกับคำชม ผู้เขียนก็ฟู ครั้นพบกับคำด่าก็แฟบ
แต่เมื่อเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อคำชมและคำด่า
ก็รู้สึกว่า ได้คุณค่าจากคำด่าคำชมเป็นอันมาก


คำชมนั้น สำหรับคนที่ไม่คิดอะไรมาก
ดูเหมือนว่า ไม่ลำบากใจเลยที่จะน้อมรับ
แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว คำชมนั่นแหละคืออันตรายยิ่งกว่าคำด่า
เพราะหากเรารู้ไม่ทัน คำชมจะทำให้เราหลงตัวเองและมีโอกาสลืมตัวสูง
ส่วนคำด่า ถ้าพิจารณาไม่ดีก็ทำให้เราเสียศูนย์ได้ง่ายๆ
แต่หากพิจารณาอย่างลึกซึ้งด้วยวิธีคิดแบบมองโลกในแง่ดี
บางทีคำด่ากลับมีค่ามากกว่าคำชม


คำด่ามีค่ามากอย่างไร ?


(๑)คำด่า คือ กระจกเงาสะท้อนความบกพร่องของงานที่เราทำ


(๒)คำด่า มักแฝงคำแนะนำมาด้วยเสมอ


(๓)คำด่า บอกเราว่า สิ่งที่เราทำอยู่นั้น
หากมีคนที่คิดไม่เหมือนเราเขามองดูอยู่
เขาเห็นอะไรในสิ่งที่เรามองไม่เห็นบ้าง


(๔)คำด่า คือ กระดาษทรายอย่างดี
ที่คอยขัดสีฉวีวรรณให้เรามีความกลมกล่อมลงตัว
เหมือนพระประธานที่ต้องถูกกระดาษทราย ขัดสีฉวีวรรณจนผุดผ่อง


(๕)คำด่า ทำให้เราไม่ประมาทผลีผลาม
ทำอะไรด้วยความเชื่อมั่นมากเกินไป


(๖)คำด่า ทำให้รู้ว่า มีคนรักหรือเกลียดเรามากน้อยแค่ไหน


(๗)คำด่า ทำให้รู้ว่า อย่างน้อยก็มีคนสนใจในสิ่งที่เราทำ
หรืออย่างน้อย สิ่งที่เราทำมันกำลังส่งผลอย่างใดอย่างหนึ่ง
จึงมีคนอุทิศตนมาสนใจและด่าอย่างเป็นงานเป็นการ


(๘)คำด่า จะทำให้เราได้หันกลับมาดูภูมิธรรมของตนเองว่า
เข้มแข็งมากน้อยแค่ไหน เมื่อทุกข์กระทบแล้วธรรมกระเทือน
หรือกิเลสกระเทือน ถ้า ธรรมกระเทือนแสดงว่าเราฝึกตนเองมาดี
แต่ถ้ากิเลสกระเทือนแสดงว่า
ต้องกลับไปฝึกจิตตัวเองใหม่ให้เข้มแข็งกว่านี้


(๙)คำด่า ทำให้เราได้รู้ว่า ในโลกนี้ไม่มีใครหนีโลกธรรม ๘ ได้
(ได้ลาภ เสื่อมลาภ,ได้ยศ เสื่อมยศ,สรรเสริญ นินทา,สุข ทุกข์)


(๑๐)คำด่า คือ บทเรียนเรื่องการปล่อยวางตัวกูหรืออัตตาที่ดีที่สุด
เพราะหากเรายังปล่อยวางตัวกูไม่ได้ เราก็จะต้องหาวิธีด่าคืนอยู่ไม่สิ้นสุด

คัดลอกจาก ลูกโป่ง ลานธรรม
ถูกชมคือธรรมดา ถูกด่าก็ไม่เลว - ลานธรรมเสวนา

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตด้วยครับ

159
ขอบคุณครับที่แจ้งข่าว ขอไว้อาลัยแด่การจากไปของหลวงพ่ออุ้น

160
ปีชง ปี2554 และวิธีแก้ชง ปรับดวงชง เสริมดวงชะตา


ปีชง ปี2554 และวิธีแก้ชง ปรับดวงชง เสริมดวงชะตา (เผยแพร่ติดต่อกันเป็นปีที่ 12) (Turtlebiz )

ปีพ.ศ.2554 นี้เป็นปีเถาะ (กระต่ายทองคำ : ซิ้งเบ้า)

ตามประเพณีการไหว้องค์ไท้ส่วย หรือไท้ส่วยเอี๊ยเป๋าส่วยกุงเผ่งอัง ในช่วงเริ่มต้นปีใหม่ (ตรุษจีน) ของทุก ๆ ปี หรือที่ชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนรู้จักกันดีในนามของ "เทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา" นี้ เป็นเทพผู้ทรงสิทธิ์ และมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนในแต่ละปี อีกทั้งเป็นเคล็ดลับวิชาของซินแสจีนโบราณ ที่ยึดหลักการคำนวณและผูกดวงจีน ตามหลักของโป๊ยหยี่ซี้เถียว มาจากการคำนวณหาราศีบนเทียงถัง 10 ตัว มาผสมกับราศีล่าง (ตี่กี่) หรือ 12 นักษัตร ซึ่งไล่เรียงจับคู่กันได้ 60 คู่ เรียกว่า "หลักจับก๊ะจื้อ" โดยในรอบ 60 ปี จึงจะเวียนมาบรรจบครบรอบกัน 1 ครั้ง

ในรอบ 60 ปีนี้ จะมีเทพเจ้าไท้ส่วยประจำอยู่ในแต่ละปี ซึ่งจะมีชื่อเรียกขานต่าง ๆ กัน รวมกันได้ทั้งสิ้น 60 องค์ ทำหน้าที่รักษาและคุ้มครองดวงปี หรือที่เรียกว่า "เฝ้าปี" อยู่ ซึ่งจะถือว่าแต่ละองค์ จะมีอำนาจให้คุณดลบันดาลความสุข โชค เคราะห์ ทุกข์ภัย หรือให้โทษแก่ผู้ใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับพระเมตตาของท่าน โดยเฉพาะท่านที่มีเคราะห์หรือดวงชะตาอ่อน ทำอะไรก็ติดขัดไม่ราบรื่นสมหวัง ท่านก็จะช่วยปัดเป่าเคราะห์ภัย บังเกิดแต่ความเป็นสิริมงคลมาสู่ตัวท่านและครอบครัว

สำหรับปีเถาะ พ.ศ.2554 นี้ องค์ไท้ส่วยที่ลงมาสถิตเฝ้าปี มีพระนามว่า "ห่วมเล้งไต่เจียงกุง"

เหตุที่ชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีน ให้ความเคารพบูชากราบไหว้ เพราะมีความเชื่อว่าเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย จะบันดาลความสุขความทุกข์ให้เกิดแก่ใครนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเมตตาของท่าน หากใครมีเกณฑ์ชะตาที่ดีอยู่แล้วจะได้ดียิ่งขึ้น หากใครมีดวงชะตาที่ไม่ดีทำอะไร ก็มีปัญหาติดขัด ก็อธิฐานขอพรจากท่านให้ช่วยปัดเป่าทุกข์ภัยให้ ดังนั้นในแต่ละปี จึงมีผู้คนไปกราบไหว้บูชาขอพร ให้อยู่เย็นเป็นสุขมีดวงชะตาที่ดีตลอดทั้งปี ชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีน จึงมีประเพณีในการไหว้ฝากดวงเพื่อสะเดาะเคราะห์ ต่อเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย โดยเฉพาะ "ท่านที่เกิดปีชงกับองค์ไท้ส่วย" โดยท่านสามารถเดินทางไปไหว้สะเดาะเคราะห์ด้วยตนเองต่อเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ยได้ที่ วัดเล่งเน่ยยี่ ทั้ง 2 แห่งคือ ถนนเจริญกรุง และบางบัวทอง หรือฝากทางร้านประกอบพิธีให้ได้


ท่านที่มีปีเกิดที่ชงกับปีนี้ และควรไปไหว้ "องค์ไท้ส่วย" คือ ท่านที่เกิดปี ดังต่อไปนี้

1. ปีระกา (ไก่) ชง (ปะทะ) โดยตรงกับเทพเจ้า "ไท้ส่วยเอี๊ย" และเป็นอริกับปีเถาะโดยตรง

 2. ปีเถาะ (กระต่าย) ทับไท้ส่วย

 3. ปีมะเมีย(ม้า) ปีร่วมชง และยัง "ผั่ว (แตกแยก)" กับปีเถาะด้วย

 4. ปีชวด (หนู) ปีร่วมชง และยัง "เฮ้ง (เบียดเบียน)" กับปีเถาะด้วย


และท่านที่ห้ามไปเป็นเจ้าภาพหรือเข้าร่วมพิธีทั้งงานมงคล (แต่งงาน) และอัปมงคล (งานศพ รวมถึงการเยี่ยมไข้คนป่วยด้วย) แต่ถ้าหากไม่สามารถเลี่ยงได้ ก็ขอให้ละเว้นการไปดูศพเวลาฝังศพ (เผาศพ) หรือแม้แต่การส่งศพ และควรติดกิ่งทับทิมไปด้วย พร้อมทั้งเตรียมน้ำใส่กิ่งทับทิมไว้ด้วย สำหรับล้างหน้าก่อนที่จะเข้าบ้าน เมื่อกลับถึงบ้านหลังจากไปร่วมงานกลับมาแล้ว

เพื่อป้องกันสิ่งอัปมงคลต่าง ๆ จะปะทะให้เจ็บป่วยได้คือ ท่านที่เกิดในปีนักษัตร ในรอบปีต่อไปนี้

1. ปีระกา ท่านที่เกิด ปี2488 (อายุ 66ปี) ปี2512 (อายุ 42ปี) ปี2548 (อายุ 6ปี)

 2. ปีเถาะ ท่านที่เกิด ปี2470 (อายุ 84ปี) ปี2530 (อายุ 24ปี)

 3. ปีมะเมีย ท่านที่เกิด ปี2461 (อายุ 93ปี) ปี2521 (อายุ 33ปี)

 4. ปีชวด ท่านที่เกิด ปี2479 (อายุ 75ปี) ปี2503 (อายุ 51ปี) ปี2539 (อายุ 15ปี)


เพราะทั้ง 10 ปีนี้เป็น "ไท้ส่วยเฮี้ยบจี่จู้" แปลว่า "ไท้ส่วยตรงเจ้าพิธี" นอกจากจะนำพาสิ่งอัปมงคลทั้งหลายมาให้แล้ว ยังถือเป็น การหมิ่น และลบหลู่ต่อองค์ไท้ส่วยอีกด้วย

ถ้าหากท่านมีความจำเป็นต้องไปร่วมงานอัปมงคลต่าง ๆ (รวมถึงการเยี่ยมไข้คนป่วยด้วย) วันที่ท่านควรหลีกเลี่ยงการไปร่วมกิจกรรมดังกล่าวในปี 2554 มี 36วัน ดังนี้

15มค. 24มค. 27มค. 16กพ. 28กพ. 1มีค. 16มีค. 25มีค. 28มีค. 17เมย. 29เมย.

30เมย. 15พค. 24พค. 27พค. 26มิย. 28มิย. 29มิย. 14กค. 23กค. 26กค. 15สค.

27สค. 28สค. 12กย. 21กย. 24กย. 14ตค. 26ตค. 27ตค. 11พย. 20พย. 23พย.

13ธค. 25ธค. 26ธค. (หากหลีกเลี่ยงได้ควรหลีกเลี่ยงเพื่อความเป็นมงคลแก่ตัวท่าน)

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2554 นี้ บ้านที่หน้าบ้าน หรือโต๊ะทำงาน หรือหัวเตียงหันไปทางทิศตะวันออก (ทิศอัปมงคล ดาว 5) ควรหาทางป้องกันแก้ไข โดยการจัดตั้งวัตถุมงคลเสริมทิศ

"บุ้งกี๋โกยเงินทอง" หรือทิศตะวันตก(ทิศอัปมงคล ดาว9) ควรหาทางป้องกันแก้ไข โดยการจัดตั้งวัตถุมงคลเสริมทิศ "น้ำเต้าในพระหัตถ์" และทิศตะวันตกเฉียงใต้ (ทิศอัปมงคล ดาว4) ควรหาทางป้องกันแก้ไข โดยการจัดตั้งวัตถุมงคลเสริมทิศ "งูหงส์เสริมอำนาจบารมี" เพื่อเป็นการแก้ไขทิศทางฮวงจุ้ยที่ไม่ดีให้ดีขึ้น ช่วยคุ้มครองปัดเป่าความทุกข์ บันดาลความสุขมาสู่ตัวท่าน และครอบครัวไปตลอดทั้งปี

วิธีบูชาเทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย จุดธูป 9 ดอก ไหว้พระประธานในวัดก่อน (ปักธูปกระถางละ 3 ดอก) จากนั้นจึงไปไหว้เทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย จุดธูป 3 ดอกวิงวอนขอพรท่าน ให้ท่านช่วยปกป้องคุ้มครองจากภยันอันตรายต่าง ๆ ที่ท่านอาจประสบพบเจอในปีนี้ จากหนักให้กลายเป็นเบา จากเบาก็ให้มลายสูญสิ้นไป ซึ่งทางวัดเล่งเน่ยยี่จะมีพิธีสวดมนต์เสริมสิริมงคล หรือพิธีนำซิ้งเต๋าเก็ง

เพื่อให้ท่านและครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข หมดทุกข์หมดเคราะห์ไป ตลอดทั้งปเครื่องบูชาเทพเจ้าไท้ส่วย มีดังนี้

1. ธูป 3 ดอก ต่อ 1 ท่าน

2. เทียนแดง 1 คู่

3. หงิ่งเตี๋ย 12 คู่

4. ตั่วกิม 12 แผ่น (กระดาษทอง)

5. ทุกหลั่งจี๊ 12 แผ่น

6. เป๋าอุ่งจี๊ 12 แผ่น

7. เผ่งอังจี๊ 12 แผ่น

8. กระดาษแดง (อั่งเถียบ) 1 แผ่น

9. ขนมจันอับ (จับกิ้มทึ้ง) 1 จาน


อันประกอบด้วย....
- ถั่วเคลือบน้ำตาลสีขาว - ถั่วเคลือบน้ำตาลสีชมพู - ฟักเชื่อม - ถั่วตัด - ข้าวพอง


10. ส้ม 4 ผล 1 จาน


1. นำกระดาษแดงที่เขียน ชื่อ-นามสกุล วัน เดือน ปีเกิด (และเวลาตกฟาก) วางลงบนกระดาษไหว้ ใช้หนังสติ๊ก หรือเชือกแดงมัดไว้

2. จัดส้ม 4 ผล และขนมจันอับใส่จานจัดวางต่อหน้าองค์เทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ย

3. จุดเทียนแดงปักไว้ข้าง ๆ กระถาง จากนั้นจุดธูป 3 ดอก อธิษฐาน.....

คำอธิษฐานขอพรไหว้เทพเจ้าไท้ส่วย

วันนี้ตรงกับวันที่...เดือน.....พ.ศ. ... ข้าพเจ้าชื่อ....นามสกุล.....วันเดือนปีเกิด....ที่อยู่...
ขออัญเชิญเทพเจ้า "ห่วมเล้งไต่เจียงกุง" โปรดเสด็จมารับเครื่องสักการบูชาทั้งหลาย เมื่อรับแล้วโปรดประทานพรให้ข้าพเจ้าและครอบครัวประสบแต่สรรพสิริมงคล มีความสุขความเจริญก้าวหน้าอุดมด้วยโชคลาภ ทำมาค้าขึ้น เงินทองไหลมาเทมา ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย สิ่งอัปมงคลทั้งหลายอย่าได้แผ้วพาน ขอให้สมความปรารถนาด้วยมงคลทั้งปวงเทอญ

4. ถ้าเป็นของตนเอง ให้หยิบชุดสะเดาะเคราะห์ที่เตรียมไว้ตามข้อ 1 ปัดตั้งแต่ศรีษะลงมาจนสุดแขน 12 ครั้ง (หมายเหตุ ถ้าท่านไปไหว้แทนบุคคลอื่น ก็ไม้ต้องทำพิธีปัดตัว แต่ให้กระทำโดยปัดเสื้อของบุคคลนั้นแทน) ขณะปัดตัวให้กล่าวว่า "บังเกิดแต่สิ่งรุ่งเรืองก้าวหน้า สิ่งอัปมงคลให้ปัดเป่าหายไป"

5. นำชุดสะเดาะเคราห์วางลงในกล่องรับฝากที่ทางวัดจัดไว้ให้ ก็เป็นอันเสร็จพิธี ของเซ่นไหว้ต่าง ๆ ถวายให้วัดไม่ต้องนำกลับบ้าน (ของไหว้ที่รับประทานได้ ไม่ต้องเก็บกลับบ้านให้วางไว้ที่วัดเพื่อความเป็นสิริมงคล)

หมายเหตุ ท่านสามารถไปทำพิธีได้ทุกวันที่ท่านสะดวก (ควรเป็นช่วงเวลาเช้า ๆ ก่อนเที่ยง) และ

-ผู้หญิงขณะมีประจำเดือนไม่ควรทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ให้งดเว้นไปก่อน

-เจ้าชะตาปีเถาะ และเจ้าชะตาปีระกา ขณะนำชุดกระดาษไหว้มาปัดตัว ต้องให้ผู้มีอาวุโสกว่าเราปัดให้เท่านั้น

ช่วงปีใหม่ และตรุษจีน ปี2554 ควรหาโอกาสไปไหว้เทพเจ้าต่าง ๆ ตามแต่ที่จะเสริมปีนักษัตรตนเอง (รายละเอียดมีกล่าวไว้ตามปีนักษัตรแต่ละปี และมีสรุปไว้อีกครั้งตอนท้ายบทความ)


และหาวัตถุมงคลหรือเครื่องรางที่เป็นสิริมงคลมาเสริมดวงชะตาโดยตั้งไว้ที่ บ้าน (ที่ทำงาน) หรือติดตัว เพื่อเป็นการแก้ชง ปรับดวงชง หรือเสริมดวงชะตา โดยเฉพาะปีนักษัตรที่ชงทั้ง 4 ปี

 1. ปีระกา (ไก่)(ชง : ปะทะ) โดยตรงกับเทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตา "ไท้ส่วยเอี๊ย" และเป็นอริกับปีเถาะโดยตรง อีกทั้งยังมีดาวอัปมงคลเพ่งเล็งอยู่มากมาย โชคชะตาจึงตกต่ำมัวหมอง มีอุปสรรคปัญหารุมเร้า โชคลาภอับเฉา เงินทองรั่วไหล ต้องระวังอุบัติเหตุเคราะห์ภัยต่าง ๆ และต้องอยู่อย่างสงบเสงี่ยม อย่าทำเรื่องผิดกฎหมายเป็นอันขาด มิเช่นนั้นจะต้องรับผลกรรมที่ตามมา

จี้มงคลเสริมราศีปีระกา 2554 วัตถุมงคลเสริมราศีปีระกา 2554 ฉะนั้นจึงควรหาทางป้องกันแก้ไข ขจัดภัย สลายเคราะห์ ปรับเปลี่ยนร้ายให้เป็นดี โดยการจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว (ติดรถ) "ไก่สวรรค์ มังกรเทพ คุ้มภัย เสริมโชคลาภ" เพื่อปกป้องคุ้มครองให้ชาวปีระกาแคล้วคลาดปลอดภัย เสริมส่งให้การงานการค้าเจริญรุ่งเรือง โชคลาภสดใส มั่งคั่งร่ำรวย มีสุขภาพแข็งแรง อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี

"ไฉ่ซิ่งเอี๊ยประทับเสือ" องค์เทพเสริมราศีปีระกา 2554

และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "องค์ไท้ส่วยเอี๊ย" และ "ไฉ่ซิ่งเอี๊ยประทับเสือ" วัดเล่งเน่ยยี่ หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถฝากทางร้านทำพิธีฝากดวง และเช่าบูชาองค์ "ไฉ่ซิ่งเอี๊ยประทับเสือ" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี

 2. ปีเถาะ (กระต่าย) ปีนี้ดวงของคุณไม่ชงโดยตรงแต่ก็ "ทับองค์ไท้ส่วย" และมีดาวร้ายหลายดวงคอยคุกคามอยู่ โดยเฉพาะดาวกระบี่คม "เจี้ยนฟง" คอยจ้องทำร้ายให้บาดเจ็บ เลือดตกยางออก การงานการค้าไม่เจริญก้าวหน้า และต้องระวังเรื่องอุบัติเหตุเคราะห์ภัยต่าง ๆ ให้ดี ฉะนั้นจงอย่าประมาท

วัตถุมงคลเสริมราศีปีเถาะ 2554 จี้มงคลเสริมราศีปีเถาะ 2554 หากคิดป้องกันแก้ไขกลับร้ายให้กลายเป็นดี จึงควรจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว (ติดรถ) "ช้างถวายคัมภีร์ เสริมส่งโชคลาภ บารมี" เพื่อสลายพลังร้าย ขจัดเคราะห์ ต้านภัย เสริมส่งให้การงานการค้าเจริญรุ่งเรือง โชคลาภเงินทองเพิ่มพูน สุขภาพแข็งแรง ปราศจากอุบัติเหตุเภทภัย อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี

"พระยูไล" องค์เทพเสริมราศีปีเถาะ 2554

และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "องค์ไท้ส่วยเอี๊ย" และ "พระยูไล" วัดเล่งเน่ยยี่ หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถฝากทางร้านทำพิธีฝากดวง และเช่าบูชาองค์ "พระยูไล" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี

 3. ปีมะเมีย (ม้า) ปีนี้ดวงของคุณไม่ชงโดยตรงแต่ก็ถือว่า "ร่วมชงองค์ไท้ส่วยเอี๊ย" และยัง "ผั่ว (แตกแยก)" กับปีเถาะด้วย โดยปี นี้ดวงคุณมีดาวมงคลพระจันทร์ "ไท่อิน" และสวรรค์ยินดี "เทียนสี่" โคจรเข้ามาเสริมส่งให้ประสบความเจริญก้าวหน้าทั้งเรื่องความรักและการงานการค้า แต่ก็มีดาวอัปมงคลหลายดวงเข้ามาคุกคามทำให้สุขภาพอ่อนแอเจ็บป่วยง่าย การงานการค้าติดขัดเกิดปัญหา ฉะนั้นจึงไม่ควรประมาท

จี้มงคลเสริมราศีปีมะเมีย 2554 วัตถุมงคลเสริมราศีปีมะเมีย 2554 หากคิดป้องกันแก้ไข ควรจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว (ติดรถ) "งาช้างมงคล สมบัติล้ำค่า" ที่มีอานุภาพสูงส่ง เพื่อสลายพลังร้ายให้หมดไป พร้อมทั้งเสริมส่งความรักให้สมหวัง การงานการค้าเจริญก้าวหน้า มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว ปราศจากอุบัติเหตุเคราะห์ภัย อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี

"เจ้าแม่ทับทิม" องค์เทพเสริมราศีปีมะเมีย 2554

และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "องค์ไท้ส่วยเอี๊ย" วัดเล่งเน่ยยี่ และ "เจ้าแม่ทับทิม" บริเวณวัดเลียบสะพานพุทธ หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถฝากทางร้านทำพิธีฝากดวง และเช่าบูชาองค์ "เจ้าแม่ทับทิม" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี

 4. ปีชวด (หนู) ปีนี้ดวงของคุณไม่ชงโดยตรงแต่ก็ถือว่า "ร่วมชงองค์ไท้ส่วยเอี๊ย" และยัง "เฮ้ง (เบียดเบียน)" กับปีเถาะด้วยโดยปีนี้ดวงคุณมีดาวมงคลนกคู่แห่งรัก "หง หลวน" และดาวแห่งความร่ำรวย "ฟู่ซิง" โคจรเข้ามาส่งความสุขสดชื่น มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง แต่กลับมีดาวภัยเพราะปาก "เจวี่ยนเสอ" ดาวทุกข์ลาภ "พี๋ม๋า" กับดาวสระน้ำเค็ม "เสียนฉือ" เข้ามาจ้องทำลาย จึงต้องปฏิบัติตัวให้ดี ทั้งคำพูดคำจาและเอาใจใส่ผู้อาวุโสให้ใกล้ชิด สิ่งสำคัญต้องลดละเลิกเรื่องสุรานารี ฉะนั้นจึงไม่ควรประมาท

วัตถุมงคลเสริมราศีปีชวด 2554 จี้มงคลเสริมราศีปีชวด 2554 หากคิดป้องกันแก้ไขควรจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว (ติดรถ) "หงหลวนเคียงคู่ รักโชคล้นหลาม" ที่มีอานุภาพในการเสริมส่งความรัก และสุขภาพให้แข็งแรง การงานการค้าเจริญก้าวหน้า กระตุ้นเปิดรับโชคลาภ พร้อมทั้งสลายพลังร้าย ขจัดปัดเป่าเคราะห์ภัย ให้อยู่เย็นเป็นสุขตลอดทั้งปี

"องค์ลื่อต่งปิง" องค์เทพเสริมราศีปีชวด 2554

และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "องค์ไท้ส่วยเอี๊ย" วัดเล่งเน่ยยี่และ "องค์ลื่อต่งปิง" ศาจเจ้าหลี่ตี้เบี้ยว เยื้อง สน.พลับพลาไชย หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถฝากทางร้านทำพิธีฝากดวง และเช่าบูชาองค์ "องค์ลื่อต่งปิง" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี

 5. ปีมะโรง (มังกร,งูใหญ่) ปีนี้ดวงของคุณตามหลักโหราศาสตร์จีนถือว่า "ไห่(ให้ร้าย)" (เป็นการปะทะรูปแบบหนึ่ง)กับปีเถาะ กล่าวคือคุณจะเป็นคนที่มีอารมณ์ร้อนมากขึ้น โมโหง่ายไม่อดทนโดยไม่มีสาเหตุ เป็นเหตุให้การงานเสียหาย และมีศัตรูเพิ่มมากขึ้นได้

โดยปีนี้ดวงคุณมีดาวมงคลพระอาทิตย์ และดาวอานม้ามาช่วยเสริมส่งให้มีความเจริญก้าวหน้ามีชัยชนะเหนือคู่แข่ง ปรปักษ์แต่ก็มีดาวอัปมงคลหลายดวงโคจรเข้ามาคุกคาม จึงต้องประพฤติตัวให้ดี ต้องจริงใจเป็นมิตร จึงจะได้รับความร่วมมือช่วยเหลือ และระวังเรื่องเงินทองรั่วไหล การใช้จ่ายที่เกินตัว จนอาจสร้างปัญหาได้

วัตถุมงคลเสริมราศีปีมะโรง 2554 จี้มงคลเสริมราศีปีมะโรง 2554 ฉะนั้นเพื่อความไม่ประมาท ควรจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว (ติดรถ) "พระอาทิตย์เสริมส่ง เรือมังกรให้โชคลาภ" เพื่อเสริมส่งให้การงานการค้าเจริญรุ่งเรือง กระตุ้นโชคลาภให้สดใส เงินทองไหลเข้าไม่รั่วออก สุขภาพแข็งแรง ปราศจากอุบัติเหตุเคราะห์ภัยตลอดปี

"องค์ไท้เอี้ยงแชกุง" องค์เทพเสริมราศีปีมะโรง 2554

และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "องค์ไท้เอี้ยงแชกุง" วัดเล่งเน่ยยี่ หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์ "องค์ไท้เอี้ยงแชกุง" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี

 6. ปีฉลู (วัว) ปีนี้ดวงคุณมีดาวอัปมงคล หมาสวรรค์ "เทียนโกว" ดาวแห่งการสูญเสีย "เตี๊ยวเคอะ" และดาวหางเสือดาว "เป้าเหว่ย" ส่งผลให้ดวงชะตามัวหมอง โชคลาภอับเฉา ธุรกิจการงานประสบปัญหากับผู้บังคับบัญชาและคนรอบข้าง อีกทั้งต้องระวังอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด และต้องเอาใจใส่เด็ก ๆ กับผู้อาวุโสให้ดี อย่าได้ประมาท

จี้มงคลเสริมราศีปีฉลู 2554 วัตถุมงคลเสริมราศีปีฉลู 2554 ฉะนั้นจงอย่าประมาท หากคิดป้องกันแก้ไข ปรับเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดี ควรจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว (ติดรถ) "หลีฮื้อพ่นทรัพย์ โชคลาภสดใส" เพื่อ สลายขับไล่พลังร้ายให้สูญสิ้นไป พร้อมทั้งเสริมส่งให้การงานการค้าเจริญก้าวหน้า กระตุ้นเปิดรับโชคลาภให้เงินทองไหลเข้าและหลุดพ้นจากเคราะห์ภัยต่าง ๆ อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี

"ฮั่วกวงไต่ตี่" องค์เทพเสริมราศีปีฉลู 2554

และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "ฮั่วกวงไต่ตี่" ศาลเจ้าพ่อกวนอู เยาวราช หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์ "ฮั่วกวงไต่ตี่" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี

 7. ปีขาล (เสือ) ปีนี้ดวงคุณมีดาวอัปมงคล "หวันสึน" และดาวป่วยไข้ "ปิ้งฝู" จอมมารแห่งโรคภัยที่คืบคลานเข้ามาคุกคาม จึงต้องระวังเรื่องความปลอดภัยต่างๆ ทั้งในบ้านและนอกบ้าน เอาใจใส่การงานการค้าให้ดี รวมทั้งเรื่องอาหารต้องถูกสุขลักษณะ จึงจะหลุดพ้นจากโรคภัย

วัตถุมงคลเสริมราศีปีขาล 2554 จี้มงคลเสริมราศีปีขาล 2554 ฉะนั้นจึงไม่ควรประมาท หากคิดป้องกันแก้ไข ขจัดภัยสลายเคราะห์ จึงควรจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว(ติดรถ) "โหงวฮก 5 ค้างคาว 5 พรมงคล" เพื่อ กระตุ้นเปิดรับโชคลาภให้เงินทองไหลมาเทมา การงานการค้ามีความเจริญก้าวหน้า สุขภาพแข็งแรงแคล้วคลาดปลอดภัย อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี

"ไท้เสียงเหล่ากุง" องค์เทพเสริมราศีปีขาล 2554

และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "ไท้เสียงเหล่ากุง" ศาลเจ้าหลี่ตี้เบี้ยว เยื้อง สน.พลับพลาไชย หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์ "ไท้เสียงเหล่ากุง" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี

 8. ปีมะเส็ง (งูเล็ก) ปีนี้ดวงคุณมีดาวประตูมรณะ "ซั่งเหมิน" และดาวปฐพีพิฆาต "ตี้ซา" เข้ามาเพ่งเล็งส่งผลร้ายเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ และอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเรื่องการเดินทางบนท้องถนนเป็นพิเศษ ส่วนด้านการงานและการค้ามักมีอุปสรรคไม่ก้าวหน้า จึงต้องเสาะแสวงหาแนวทางใหม่ๆ มาช่วยแก้ไข

จี้มงคลเสริมราศีปีมะเส็ง 2554 วัตถุมงคลเสริมราศีปีมะเส็ง 2554 ฉะนั้นเพื่อความไม่ประมาท จึงควรจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว (ติดรถ) "อูฐบรรทุกสมบัติ เต่าอายุวัฒนะ" เพื่อขจัดเคราะห์ภัย พร้อมทั้งเสริมส่งให้สุขภาพแข็งแรง การงานการค้าเจริญรุ่งเรือง กระตุ้นโชคลาภให้สดใส ปราศจากอุบัติเหตุเคราะห์ภัย อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี

"เจ้าแม่กวนอิม" องค์เทพเสริมราศีปีมะเส็ง 2554

และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "เจ้าแม่กวนอิม" โรงพยาบาลเทียนฟ้า เยาวราช หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์ "เจ้าแม่กวนอิม" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี

 9. ปีมะแม (แพะ) ปีนี้ดวงคุณมีดาวมงคลหลายดวงโคจรเข้ามาเสริมส่ง ให้โชคชะตารุ่งโรจน์สดใส การงานการค้าเจริญก้าวหน้า แต่มีดาวผลุบโผล่ "ฝู่เฉิน" และดาวเลือดตกยางออก "เสว่เยิ่น" แทรกแซงเข้ามาสร้างความยากลำบากในการทำงานและการค้า รวมทั้งอาจเกิดเคราะห์ภัยเลือดตกยางออก และภัยที่เกิดจากทางน้ำ

จี้มงคลเสริมราศีปีมะแม 2554 วัตถุมงคลเสริมราศีปีมะแม 2554 ฉะนั้นจึงไม่ควรประมาท หากคิดป้องกันแก้ไข ควรจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว (ติดรถ) "ฮก ลก ซิ่ว ประทานพร" เพื่อ คุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย เสริมส่งให้การงานการค้าเจริญรุ่งเรือง กระตุ้นเปิดรับโชคลาภให้มั่งคั่งร่ำรวย มีสุขภาพแข็งแรง หมดเคราะห์หมดภัย สุขสบายมีชัยตลอดปี

"เจ้าแม่เทียนโหว" องค์เทพเสริมราศีปีมะแม 2554

และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "เจ้าแม่เทียนโหว" วัดเลียบสะพานพุทธ หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์ "เจ้าแม่เทียนโหว" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี

 10. ปีวอก (ลิง) ปีนี้แม้ดวงคุณมีดาวมงคลคุณธรรมพระจันทร์มาช่วยเสริมส่ง แต่ก็ไม่มีพลังพอที่จะต่อสู้กับดาวอัปมงคลที่ห้อมล้อมอยู่มากมายจึงส่งผลให้ สุขภาพอ่อนแอเจ็บป่วยง่าย โชคลาภอับเฉา เงินทองรั่วไหล และอาจมีอุบัติเหตุเคราะห์ภัย ถูกปล้นชิงวิ่งราวและถูกทำร้ายได้

จี้มงคลเสริมราศีปีวอก 2554 วัตถุมงคลเสริมราศีปีวอก 2554 ฉะนั้นจึงไม่ควรประมาท หากคิดป้องกันแก้ไขกลับร้ายให้กลายเป็นดี จึงควรจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว (ติดรถ) "กวักโชคกวักลาภ เหลือกินเหลือใช้" เพื่อ เสริมส่งให้การงานการค้าเจริญรุ่งเรือง กระตุ้นเปิดรับโชคลาภให้มั่งคั่งร่ำรวย มีสุขภาพแข็งแรง พ้นเคราะห์พ้นภัย อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี

"ซักบ่อเซียน" องค์เทพเสริมราศีปีวอก 2554
และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "ซักบ่อเซียน" โรงเจพ่งไล้กิวเกาะ ซอยโรงเลี้ยงเด็กสวนมะลิ หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์ "ซักบ่อเซียน" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี

 11. ปีจอ (สุนัข) ปีนี้ดวงคุณมีดาวมงคลดอกไม้จักรพรรดิ "จื่อเว่ย" และดาวคุณธรรมมังกร "หลงเต๋อ" โคจรเข้ามาเปล่งรัศมีสดใสอยู่ในเรือนชะตา ส่งผลให้ประสบความสำเร็จทั้งการงานและการค้า สามารถมีชัยต่ออุปสรรคปัญหาทั้งหลายทั้งปวง แต่มีดาวทำลายให้พ่ายแพ้ "เป้าไป้" โคจรเข้ามาคอยซุ่มดักรอหาโอกาสทำลายท่านให้พ่ายแพ้ล้มครืนลง

จี้มงคลเสริมราศีปีจอ 2554 วัตถุมงคลเสริมราศีปีจอ 2554 ฉะนั้นจึงไม่ควรประมาท หากคิดป้องกันแก้ไข ควรจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว (ติดรถ) "เต่าหัวมังกรจตุรทิศ เสริมลาภยศบารมี" เพื่อเสริมส่งลาภยศบารมีให้การงานการค้าเจริญรุ่งเรืองกระตุ้นเปิดรับโชคลาภเงิน ทองไหลมาเทมา คุ้มครองให้ปราศจากอุปสรรคเคราะห์ภัย มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว

"เจ้าพ่อกวนอู" องค์เทพเสริมราศีปีจอ 2554

และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "เจ้าพ่อกวนอู" ศาลเจ้าพ่อกวนอู เยาวราช หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถเช่าบูชาองค์ "เจ้าพ่อกวนอู" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี

 12. ปีกุน (หมู) ปีนี้ดวงชะตาไม่ค่อยสดใส เนื่องจากมีดาวอัปมงคลรุมล้อมสร้างความเสียหาย โดยเฉพาะดาวเสือขาว "ไป๋หู่" และดาวศัตรูที่ซ่อนเร้น "จื่อเป้ย" ที่จะส่งผลทำให้เกิดเคราะห์ภัยต่าง ๆ อย่างไม่ทันรู้ตัวการงานการค้ามีอุปสรรค และมีศัตรูปรปักษ์แอบแฝงอยู่ โชคลาภการเงินอับเฉา จึงต้องระวัง อย่าประมาท

จี้มงคลเสริมราศีปีกุน 2554 วัตถุมงคลเสริมราศีปีกุน 2554 ฉะนั้นหากคิดป้องกันแก้ไข ขจัดภัยสลายเคราะห์ เสริมส่งโชคลาภให้สดใส จึงควรจัดตั้งวัตถุมงคล หรือพกจี้มงคลติดตัว (ติดรถ) "หมื่นม้านำชัย เสริมส่งโชคลาภ" เพื่อ กระตุ้นเปิดรับโชคลาภ ให้เงินทองไหลมาเทมา การงานการค้ามีเจริญก้าวหน้า แคล้วคลาดปลอดภัย อยู่เย็นเป็นสุขตลอดปี

"องค์ตั่วเหล่าเอี๊ย" องค์เทพเสริมราศีปีกุน 2554

และเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น ควรไปไหว้ "องค์ตั่วเหล่าเอี๊ย" ศาลเจ้าพ่อเสือ หรือถ้าไม่สะดวกเดินทางไปสามารถเช่าบูชา "องค์ตั่วเหล่าเอี๊ย" ไปกราบสักการะที่บ้านได้ตลอดทั้งปี


ปีใหม่ และตรุษจีน ปี2554 ทุกราศีควรไปไหว้ เทพเจ้าเสริมดวงชะตา ดังนี้

 ปีชวด (หนู) ให้ไปไหว้ขอพร "ไท้ส่วยเอี๊ย" ที่ศาลเจ้าเล่งเน่ยยี่ มังกรกมลาวาส (ทำแก้ชง) และไหว้ "องค์ลื่อต่งปิง" องค์เทพเสริมราศีปีชวด 2554 "องค์ลื่อต่งปิง" ศาจเจ้าหลี่ตี้เบี้ยว เยื้อง สน.พลับพลาไชย

 ปีฉลู (วัว) ให้ไปไหว้ขอพร "ฮั่วกวงไต่ตี่" องค์เทพเสริมราศีปีฉลู 2554 "ฮั่วกวงไต่ตี่" ศาลเจ้าพ่อกวนอู เยาวราช

 ปีขาล (เสือ) ให้ไปไหว้ขอพร "ไท้เสียงเหล่ากุง" องค์เทพเสริมราศีปีขาล 2554 "ไท้เสียงเหล่ากุง" ศาลเจ้าหลี่ตี้เบี้ยว เยื้อง สน.พลับพลาไชย

 ปีเถาะ (กระต่าย) ให้ไปไหว้ขอพร "ไท้ส่วยเอี๊ย" ที่วัดเล่งเน่ยยี่ มังกรกมลาวาส (ทำแก้ชง) และไหว้ "พระยูไล" องค์เทพเสริมราศีปีเถาะ 2554 "พระยูไล" วัดเล่งเน่ยยี่

 ปีมะโรง (งูใหญ่) ให้ไปไหว้ขอพร "องค์ไท้เอี้ยงแชกุง" องค์เทพเสริมราศีปีมะโรง 2554 "องค์ไท้เอี้ยงแชกุง" ที่วัดเล่งเน่ยยี่ หรือ วัดทิพย์วารี หลังจราจรกลาง ถ.ตรีเพชร กทม หรือทุกศาลเจ้า ที่มีองค์ไท้เอี้ยง

 ปีมะเส็ง (งูเล็ก) ให้ไปไหว้ขอพร "เจ้าแม่กวนอิม" องค์เทพเสริมราศีปีมะเส็ง 2554 "เจ้าแม่กวนอิม" โรงพยาบาลเทียนฟ้า เยาวราช

 ปีมะเมีย (ม้า) ให้ไปไหว้ขอพร "ไท้ส่วยเอี๊ย" ที่วัดเล่งเน่ยยี่ มังกรกมลาวาส (ทำแก้ชง) และไหว้ "เจ้าแม่ทับทิม" องค์เทพเสริมราศีปีมะเมีย 2554 "เจ้าแม่ทับทิม" บริเวณวัดเลียบสะพานพุทธ

 ปีมะแม (แพะ) ให้ไปไหว้ขอพร "เจ้าแม่เทียนโหว" องค์เทพเสริมราศีปีมะแม 2554 "เจ้าแม่เทียนโหว" วัดเลียบสะพานพุทธ

 ปีวอก (ลิง) ให้ไปไหว้ขอพร "ซักบ่อเซียน" องค์เทพเสริมราศีปีวอก 2554 "ซักบ่อเซียน" โรงเจพ่งไล้กิวเกาะ ซอยโรงเลี้ยงเด็กสวนมะลิ

 ปีระกา (ไก่) ให้ไปไหว้ขอพร "ไท้ส่วยเอี๊ย" ที่วัดเล่งเน่ยยี่ มังกรกมลาวาส (ทำแก้ชง) และไหว้ "ไฉ่ซิ่งเอี๊ยประทับเสือ" องค์เทพเสริมราศีปีระกา 2554 "ไฉ่ซิ่งเอี๊ยประทับเสือ" วัดเล่งเน่ยยี่

 ปีจอ (หมา) ให้ไปไหว้ขอพร "เจ้าพ่อกวนอู" องค์เทพเสริมราศีปีจอ 2554 "เจ้าพ่อกวนอู" ศาลเจ้าพ่อกวนอู เยาวราช

 ปีกุน (หมู) ให้ไปไหว้ขอพร "องค์ตั่วเหล่าเอี๊ย" องค์เทพเสริมราศีปีกุน 2554 "องค์ตั่วเหล่าเอี๊ย" ที่ศาลเจ้าพ่อเสือ ถ.ตะนาว เสาชิงช้า หรือทุกศาลเจ้าที่มีองค์เจ้าพ่อเสือ


ถ้าท่านไม่สามารถไปไหว้เทพเจ้าเสริมดวงชะตาตามที่แนะนำได้ ก็ให้ไปไหว้พระประธาน ในวัดหรือเทพเจ้าที่คุณเคารพบูชาที่ศาลเจ้าใดก็ได้ที่อยู่ใกล้บ้านคุณ โดยนำเทพเจ้าที่เสริมดวงชะตาตามปีเกิดของคุณ ไปวางไว้เบื้องหน้าของคุณแล้วอธิฐานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพบูชาดังนี้

ข้าพเจ้า ขอกราบบูชา "..........(ชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปสักการะที่วัดหรือศาลเจ้า)" ขอพระองค์จงช่วยประทานอำนาจบารมีแด่ "....(ชื่อเทพเจ้าที่เสริมดวงชะตาประจำปี 2554 ตามปีเกิดคุณ)" ซึ่งมาสถิตในเรือนชะตาของข้าพเจ้า (ชื่อ....นามสกุล.....วันเดือนปีเกิด....ที่อยู่...) ด้วยความศรัทธายิ่ง ขอได้โปรดประทานพรให้ข้าพเจ้า ปราศจากอุปสรรคแคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง พร้อมทั้งประทานความสำเร็จ ความสุขความเจริญ มีสิริมงคล สุขภาพแข็งแรงและโชคดีตลอดปี 2554 นี้ แก่ข้าพเจ้าเทอญ....สาธุ

หากวัดหรือศาลเจ้านั้นมีเทพเจ้าเสริมดวงชะตาตามปีเกิดของคุณก็ให้ไปอธิษฐานขอพรจากองค์เทพนั้นโดยตรงโดยอธิฐาน ดังนี้

ขอกราบบูชา และต้อนรับ "....(ชื่อเทพเจ้าที่เสริมดวงชะตาประจำปี 2554 ตามปีเกิดคุณ)" ซึ่งมาสถิตในเรือนชะตาของข้าพเจ้า (ชื่อ....นามสกุล.....วันเดือนปีเกิด....ที่อยู่...) ด้วยความศรัทธายิ่ง ขอได้โปรดประทานพรให้ข้าพเจ้า ปราศจากอุปสรรค แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง พร้อมทั้งประทานความสำเร็จ ความสุขความเจริญ มีสิริมงคล สุขภาพแข็งแรงและโชคดีตลอดปี 2554 นี้ แก่ข้าพเจ้าเทอญ....สาธุ

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต และ

161
กฎแห่งกรรม / โยนแม่ทิ้งกลางถนน
« เมื่อ: 30 ต.ค. 2553, 06:52:06 »
โยนแม่ทิ้งกลางถนน

ลองอ่านกันดู ไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้อ่านข่าวนี้ เหนือคำบรรยายจริงๆ

เรื่องของคุณยายอายุเจ็ดสิบ ชื่อคุณยายสง่า สังข์ทอง พิการ เดินไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็น เป็นคนอยุธยา ได้มาอยู่อาศัยกับลูกคนแล้วคนเล่าในจำนวนสี่คนที่เมื่อก่อนแม่เลี้ยงดูฟูมฟักมากับมือจนเติบใหญ่ทั้งสี่คน

แต่บัดนี้ แม่หาประโยชน์มิได้แล้ว รังแต่จะเป็นภาระ ลูกชาย ลูกสาวนั้นก็พยายามหาทางผลักไส ให้แม่หนีไป ยายแกก็ไม่รู้จะไปไหนไป สุดท้ายมาขออาศัยลูกชาย ชื่อสุเทพ ก็เจอลูกสะใภ้ด่าว่าเข้าให้อีก กินข้าวแต่ละมื้อกับน้ำพริก แม่ก็ต้องกินข้าวเคล้าน้ำตา ในที่สุด ทั้งลูกชาย และลูกสะใภ้ก็เรียกรถแท็กซี่มาอุ้มแม่ไปทิ้งที่ซอยอ่อนนุช 46 พร้อมกับหมาหนึ่งตัวที่คุณยายแกเหลืออยู่......
คนที่ช่วยเอาไว้ ก่อนจะนำส่งที่สถานสงเคราะห์ เล่าว่าคุณยายแกไม่กล้ากลับไปอยู่กับลูก เพราะกลัวจะถูกด่าว่ารังแก เอาแต่ร้องไห้ และบอกว่า ถ้าลูกสำนึกได้แกก็ให้อภัยเสมอ โธ่เอ๋ย.........

ผมไม่ทราบว่าท่านได้อ่านข่าวเรื่องราวอย่างนี้ จะคิดอย่างไรกัน เทคโนโลยีก้าวหน้าไป คนไทยช่างทันสมัย ไม่นึกถึงพระคุณผู้ที่ให้กำเนิดแม้แต่น้อย
ใจโหดร้ายพอที่จะโยนแม่ทิ้งกลางถนนพร้อมกับหมาหนึ่งตัวได้อย่างไม่อายฟ้าอายดิน

คนไทยครับ.....เราเป็นอะไรกันไปแล้วหรือ ??
คนเราทุกวันนี้ ก็แปลก มองเห็นเพื่อนๆ ที่ทำงาน หลายคน มุ่งมั่นที่จะมีคู่ครองกันมาก ไม่เคยเห็นใครที่จะมุ่งมั่นเพื่อพ่อ แม่บ้างเลย ทุกคน อยากทำงาน เก็บเงิน ซื้อรถ เพื่อจะได้ขับไปทำงานอย่างสบาย อยากซื้อบ้าน เพราะต้องการแยกตัวออกจาก พ่อ แม่ อยากแต่งงาน เพื่อเหตุผลแห่งการสืบพันธุ์อันเป็นธรรมชาติแห่งสัตว์โลก ทำงานหนัก เพื่อความฟุ่มเฟือย ของตนเอง ไม่ว่างานหนักแค่ไหนทนได้..แต่ไม่เคยทำงานบ้านเพราะอ้างว่าเหนื่อยมากพอแล้ว ทุกสิ่งในเนื้องานจำได้หมด....แต่ไม่เคยจำได้ว่าพ่อแม่ชอบกินอะไร

เจ้านาย อยากได้อะไรทำให้ได้หมด...แต่ไม่เคยทำอะไรให้พ่อแม่ คุณพาคู่รักไปท่องเที่ยว หาอาหารอร่อยๆ กินได้ทุกที่...แต่ไม่เคยแม้แต่ซื้อกับข้าวกลับบ้าน ทุกคนลืม มองข้าม คนที่รักเรามากที่สุด


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

162
ชาวศรีสะเกษตักบาตรถวาย"ในหลวง"อุทิศส่วนกุศลเหยื่อน้ำท่วม


ชาวพุทธศรีสะเกษร่วมกันทำบุญตักบาตรถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมกับอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมใหญ่ ในหลายจังหวัด ทั้งภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ที่วัดป่าขันติธรรม บ้านยาง ต.ยาง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 30 ต.ค. พระอาจารย์วิรพล ฉัตติโก หรือหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ประธานสงฆ์วัดป่าขันติธรรมและประธานมูลนิธิส่งเสริมคุณธรรมและคุณภาพชีวิต ได้นำคณะสงฆ์ของวัดป่าขันติธรรม ออกรับบิณฑบาตรจากพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดศรีสะเกษและชาวไทยทั่วประเทศที่พากันมาร่วมพิธีปฏิบัติธรรมในงานทอดมหากฐินทาน ต้นเงินสูง 9 เมตร จำนวน 36 ต้น เพื่อสมทบทุนในการก่อสร้างพระแก้วมรกตจำลององค์ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งพุทธศาสนิกชนได้ร่วมกันนุ่งขาวห่มขาวทำบุญตักบาตรกันเป็นจำนวนมาก

หลวงปู่เณรคำ กล่าวว่า ขณะนี้วัดป่าขันติธรรมกำลังอยู่ในช่วงของการปฏิบัติธรรมเนื่องในพิธีทอดมหากฐินทานต้นเงินกฐินสูง 9 เมตร จำนวน 36 ต้น ซึ่งมีพุทธศาสนิกชนชาว จ.ศรีสะเกษและชาวไทยจากทั่วประเทศมาร่วมพิธีปฏิบัติธรรมและร่วมทอดกฐินเป็นจำนวนมาก และได้ร่วมกันทำบุญตักบาตรเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเพื่อขอให้พระองค์ทรงมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงและเพื่อขอให้ทรงหายจากอาการพระประชวรโดยเร็วอีกทั้งเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่เสียชีวิตจากน้ำท่วมใหญ่หลายจังหวัดทั้งเขตภาคกลางและภาคอีสาน ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนหลายรายด้วยกัน


มติชนออนไลน์

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

163
กรรมที่ทำให้มีปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย โดย แม่ชีทศพร


มีสองสามีภรรยา เฝ้าถามแม่ชีว่า ครอบครัวเราจะมีบ้านอยู่เป็นของตัวเองไหม?

แม่ชี “ไม่มีค่ะ โยมต้องเช่าบ้านเขาอยู่จนตายล่ะคะ ถึงเก็บเงินทองเป็นก้อนได้ไปผ่อน ไปดาวน์ก็ไม่สามารถผ่อนหมดนะคะ สักพักหนึ่งก็ต้องถูกยึด เพราะโยมไม่มีบุญกุศลเรื่องที่อยู่อาศัย”

โยม “ต้องแก้ไขอย่างไรค่ะ เพราะหนูกับสามีฝันอยากได้บ้านเป็นของตัวเองมาก”

แม่ชี “แก้ไม่ได้ค่ะ เพราะโยมไม่ได้ส่งเขาหลายเดือนแล้วใช่ไหมค่ะ”

โยม “ใช่ค่ะ แต่พี่สาวหนูจะช่วยให้ยืมเงินไปผ่อนต่อ เขาจะให้ตามที่เขาบอกไหมค่ะแม่ชี”

แม่ชี “ถึงเขาให้ยืม เดือนต่อไปโยมก็ต้องหาตังค์อีก โยมยืมเขาไปจนจะไม่มีที่ยืมแล้ว ให้เขายึดไปเถอะนะ แล้วไปเช่าเขาอยู่ ไม่ต้องทุกข์อย่างนี้อีก ยิ่งอยู่บ้านที่อยากได้สมบัติของตัวเองก็ทุกข์โยม”

โยม “แม่ชีช่วยบอกหนูทีเถอะหนูทำกรรมทำเวรอะไรไว้ หนูอยากรู้”

แม่ชี “ให้แม่บอกก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้นหรอกนะ เพราะมันมีกรรม สมัยยังหนุ่มยังสาวอยู่บ้านนอก โยมอยู่จังหวัดอุบลใช่ไหม?”

โยม “ค่ะ หนูกับแฟนอยู่ที่อุบล”

แม่ชี “โยมรับจ้างทำนา รับจ้างหักอ้อยใช่ไหม”

โยม “ค่ะ”

แม่ชี “โยมเคยเจอรังต่อหัวเสือไหม แม่ชีเห็นโยมเอาไฟเผารังปลวกโยมก็ขุดให้ไก่กิน มีนกมีหนูที่ไหนก็เอาน้ำกรอกรังเขาไหม้รังเขาหมด เราก็หมดรังพักอาศัยเหมือนกัน เข้าใจหรือยังโยม กรรมติดจรวด”

โยม “จริงค่ะ หนูกับสามีเคยทำไว้ ไม่ถามแล้วค่ะ”

http://www.thossaporn.com/article_detail.php?id_edit=43

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

164
น้ำตาแม่ตก (ท.เลียงพิบูลย์)


น้ำตาแม่ตก
โดย ท.เลียงพิบูลย์

จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๑


เมื่อสมัยข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ผู้ใหญ่เคยพูดว่าใครไม่มีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ผู้มีพระคุณ คนผู้นั้นคบไม่ได้ ท่านห้ามไม่ให้คบ เพียงพ่อแม่เลี้ยงดูมาเป็นพระคุณสูงสุดของเรา ให้ความรัก ให้ความเป็นห่วง ให้ความเมตตาปรานี ไม่มีใครจะรักเราหวังดีต่อเรามากเท่าพ่อแม่บังเกิดเกล้า มีอยู่ในโลกเพียงสองคนเท่านั้น เมื่อท่านล้มหายตายจากไปแล้ว หาไม่ได้อีก ลูกชั่วมันไม่รู้พระคุณพ่อแม่แล้ว มันยังเนรคุณอีก แล้วใครจะคบมันได้ คนพวกนี้ไม่ซื่อกับใคร

ข้าพเจ้าก็เพียงจำเอาไว้ว่า คนที่ไม่เคารพพ่อแม่ของตัวนั้นเป็นคนคบไม่ได้ มันก็คบเพื่อนที่ดีไม่ได้เพราะคนดีเขาก็ไม่คบ คงจะคบได้แต่พวกอกตัญญูพวกนิสัยชั่วเหมือนกัน ผู้ใหญ่สมัยก่อนสอนเด็กพวกลูกหลานว่า ใครหรือลูกคนใดทำให้พ่อแม่ช้ำอกช้ำใจจนถึงน้ำตาตก คนผู้นั้นก็บาปหนัก จะต้องได้รับกรรมตามสนองในวันหนึ่งข้างหน้า หนีกรรมที่ตนทำไว้ไม่พ้น

ข้าพเจ้าได้ฟังคำของผู้ใหญ่ก็จดจำไว้ รู้ว่าเพื่อนคนไหนมีประวัติไม่เคารพพ่อแม่ผู้มีพระคุณ ก็ไม่ยอมคบให้ความสนิทสนม และต่อมาได้ติดตามดูการครองชีวิตของคนผู้นั้น ไม่มีความเจริญมีแต่ความเสื่อม สุดท้ายกรรมตามสนอง มีลูกก็ไม่มีความกตัญญูแก่ตัว เช่นเดียวกับตัวได้ทำกับพ่อแม่ในอดีต นี่เป็นผลกรรม


ข้าพเจ้าได้รับบันทึกจากพระภิกษุรูปหนึ่ง เขียนมาจากวัดโขดทิมราชธาราม ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง ลงวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ ท่านได้บันทึกเรื่องที่ท่านได้ประสบการณ์เกิดขึ้นก่อนอุปสมบท ครั้งท่านยังเป็นฆราวาสในบันทึกของท่านได้เขียนว่า

อาตมาได้ประสบการณ์พบเห็นเรื่องจริงได้เกิดขึ้นแล้วด้วยตัวของอาตมาเอง เห็นว่าเข้ากับในชุด “กฎแห่งกรรม” ที่คุณโยมเขียน เพราะอาตมาได้อ่านชุด “กฎแห่งกรรม” รู้สึกมีประโยชน์มาก เพราะทำให้ผู้อ่านจิตใจสบายขึ้น อาตมาจึงได้บันทึกความจริงส่งมาให้ อยากให้คุณโยมพิจารณาดู เรื่องบุคคลที่ได้สร้างกรรมทำชั่วไว้กับผู้เป็นแม่ผู้มีพระคุณสูงยิ่ง ขาดความกตัญญูแล้วหนีไม่พ้นกรรมตามสนอง ตามสนองในชาตินี้ พอรู้ตัวว่าผิดก็หมดลมหายใจ

เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙ เป็นเวลาที่อาตมารับราชการเป็นพนักงานแผนกที่ดิน อยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดระยอง มีเพื่อนร่วมโรงเรียนจบพร้อมกันและมีอายุเท่ากัน ปีเดียวกัน แต่ทำงานคนละแผนกในอำเภอเดียวกัน วันหนึ่งในเวลาราชการ อาตมาเดินออกจากแผนกที่ดินเพื่อนำหนังสือมาเสนอให้นายอำเภอลงนาม ก่อนที่จะเข้าห้องนายอำเภอ ต้องผ่านหน้าห้องมีโต๊ะปลัดอำเภอตั้งอยู่ เห็นโยมแม่ของเพื่อนยืนร้องไห้อยู่ที่ข้างโต๊ะปลัด เห็นเพื่อนผู้เป็นลูกยืนแสดงสีหน้าเครียดกำลังอารมณ์เสีย ขึ้นเสียงดังด้วยความโกรธ อาตมายืนนิ่งฟังอยู่ห่างๆ เพราะยังไม่รู้เรื่องต้นสายปลายเหตุ ที่สุดก็จับใจความได้ว่า เพื่อนผู้นี้กำลังจะไล่แม่ให้ออกจากบ้าน ไม่สนใจว่าแม่จะไปอาศัยอยู่ที่ไหน

อาตมาฟังแล้วต้องชะงักยืนงง ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเพื่อนจะใจเหี้ยมโหดรุนแรงถึงเพียงนี้ อาตมาคิดแล้วก็เศร้าใจ เพราะเพื่อนผู้นี้เคยจบหกพร้อมกันที่โรงเรียนระยองมิตรอุปถัมภ์ และเวลานั้นเพื่อนก็มีภรรยาแล้ว แต่ยังไม่มีบุตรด้วยกัน เมื่อมาพิจารณาดูตั้งแต่เพื่อนได้ภรรยาแล้วก็เปลี่ยนนิสัยไป ก่อนอยู่สองคนกับแม่ก็เป็นคนดี

อาตมาได้ยินปลัดอำเภอได้พยายามไกล่เกลี่ย เปรียบเทียบชี้ให้เห็นบุญบาป ที่ทำให้แม่เสียอกเสียใจถึงกับน้ำตาตก ร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วพูดด้วยเสียงสั่นๆ อย่างน้อยอกน้อยใจ แต่ไม่ได้พูดรุนแรงกับลูก พูดจาเรียบๆ ไม่หยาบคาย เหมือนไม่โกรธตอบลูก แต่พูดให้ลูกเห็นใจ มิได้ใช้วาจาหยาบคายตามอารมณ์ ฟังแล้วก็คิดสงสาร เสียงผู้เป็นแม่พูดว่า

“แม่ได้ยกบ้านให้ลูกแล้ว เพียงแต่แม่อาศัยไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น แม่ไม่ต้องการอะไรทั้งหมด และแม่ก็ไม่โกรธลูกที่ว่าแม่ ไล่แม่ แม่รู้ตัวว่าแม่แก่แล้ว อยู่ได้ไม่นานแม่ก็จะตาย ลูกไม่ควรจะไล่แม่ไปอยู่ที่อื่น แล้วแม่จะไปอยู่ที่ไหนล่ะ ไปอาศัยใครเขาก็คงรังเกียจคนแก่ ช่วยทำงานอะไรให้เขาก็ไม่ไหว เห็นแก่แม่ที่เลี้ยงลูกมาจนโตเถิด แม่แก่แล้วจะอยู่กับลูกไม่นานก็ตาย”

อาตมายืนฟังด้วยความสลดใจ น้ำตามันจะไหลออกมา ข้าราชการบนอำเภอต่างก็หน้าเศร้าเหมือนจะร้องไห้ เพราะความสงสารผู้เป็นแม่ คำพูดของแม่แต่ละคำมิได้พูดให้กระเทือนใจลูกเลย มีแต่คำอ้อนวอนให้ลูกมีความสงสารแม่เท่านั้น แต่ลูกกลับมีกิริยาทั้งขู่ทั้งตวาด ใช้วาจาหยาบคายต่อแม่บังเกิดเกล้า เสียงตวาดว่า

“ต้องออกจากบ้านเพราะบ้านเป็นของฉัน แม่ยกให้ฉัน ไม่ใช่ของแม่แล้ว แม่ไม่มีสิทธิ์จะอยู่ต่อไป แม่ไม่มีที่อยู่ ไปอยู่วัดก็ได้ ขอให้ไปพ้นบ้านฉัน”

อาตมาฟังแล้วมีความแค้นและเจ็บใจแทนผู้เป็นโยมแม่ของเพื่อน ไม่นึกว่าเพื่อนจะมีจิตใจร้ายกาจเยี่ยงสัตว์เช่นนี้ พวกข้าราชการบนอำเภอต่างก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับอาตมา มีแต่คนแช่งด่าชังน้ำหน้า ไม่มีใครยกย่องว่าเป็นคนดี


อาตมารู้สึกหูหน้า ร้อนชา เลือดฉีดแรงขึ้นหน้าเพราะโกรธแทนโยมแม่ของเพื่อน สงสารและเห็นใจ นึกในใจเพื่อนอย่างนี้เลิกคบค้าสมาคมนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป อาตมารู้ตัวดีจึงรีบเดินออกจากที่นั่น ก่อนที่จะระงับอารมณ์ไม่อยู่ ทนดูเพื่อนเป็นไอ้ลูกอกตัญญูไม่ไหว

ต่อจากนั้นอาตมาก็ไม่อยากทราบเรื่องให้เกิดความขุ่นใจเปล่าๆ เพราะอาตมาตัดการเป็นเพื่อนฝูงสิ้นสุดกันแล้ว อาตมาคิดว่าเพื่อนคนนี้ต่อไปจะไม่มีความเจริญ มีแต่จะเสื่อมลง กรรมจะต้องตามสนองในวันหนึ่งข้างหน้า

หลังจากนั้นต่อมาประมาณเดือนเศษ หรือสองเดือนอาตมาก็จำไม่ได้ ในปีเดียวกัน เพื่อนผู้นี้ได้ขี่รถจักรยานยนต์ ซูซูกิ ๕๐ ซีซี มาทำงานที่อำเภอเป็นประจำ เช้าวันนั้นประมาณ ๘.๐๐ น. เพื่อนได้ขี่รถออกจากบ้าน ซึ่งอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอประมาณ ๖ กม. ตำบลบ้านแลง อำเภอเมือง เมื่อขี่จักรยานยนต์ผ่านมาถึงหน้าศาลากลางจังหวัด

เหตุการณ์ที่ไม่เคยนึกเคยฝันก็เกิดขึ้น รถที่เพื่อนขี่มานั้นวิ่งตรงเข้าชนท้ายรถเมล์ที่จอดเฉยอยู่ข้างถนน เหมือนมีอาถรรพณ์เป็นเหตุให้รถแหลก ตัวเองก็บาดเจ็บสาหัสมีผู้เห็นเหตุการณ์ในครั้งนั้นเล่าว่า เมื่อเข้าช่วยพยุงร่างที่ไม่ได้สติออกมา เพื่อจะรีบนำตัวคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล แต่พอรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาก็ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด สุดท้ายก่อนที่เพื่อนของอาตมาจะสิ้นลมหายใจ ก็ร้องไห้ออกมาเหมือนทารกแล้วรำพันเป็นครั้งสุดท้ายว่า

“แม่จ๋า ลูกรู้ตัวว่าลูกผิดไปแล้ว แม่จ๋า อภัยให้ลูกด้วยแม่อยู่ไหน” พอสิ้นเสียงก็สิ้นใจ


เมื่อรู้ถึงผู้เป็นแม่ว่า ลูกชายเกิดอุบัติเหตุ ก็ตกใจลืมเรื่องที่ลูกเคยไล่ให้แม่ออกจากบ้าน เหลือแต่ความรักความอาลัยที่มีต่อลูก เมื่อรู้ข่าวว่าลูกตาย ก็เหมือนใครมาควักเอาดวงใจออกจากร่าง ร้องออกมาว่า “โธ่ ลูกรัก เจ้าหนีแม่ไปแล้ว” ก็ร่ำไห้รำพันถึงความรักที่มีต่อลูกชายคนเดียวจนสิ้นสติสมประดี หมดอาลัยในชีวิตที่จะอยู่ในโลกมนุษย์ต่อไป

นี่ก็ชี้ให้เห็นว่า ความรักในโลกนี้ไม่มีใครรักลูกเกินกว่าแม่บังเกิดเกล้า แม้ลูกจะชั่วร้ายอกตัญญู ไม่รู้คุณทั้งยังทำให้แม่น้ำตาตกแม่ก็ยังรัก และยังให้อภัยลูกเสมอ แม่ฆ่าลูกไม่ได้ ขายลูกไม่ขาด

อาตมาอยากจะพูดว่า ลูกคนใดมีความเคารพกตัญญูต่อพ่อแม่บังเกิดเกล้า กรรมดีจะเป็นสิริมงคลมีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตของผู้นั้น ตรงข้ามผู้ใดอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ กรรมชั่วนั้นจะตามสนอง เพราะไม่มีใครหนี “กฎแห่งกรรม” ไปได้ อยู่ที่เวลาจะช้าหรือเร็วเท่านั้น


งานฌาปนกิจศพเพื่อนอาตมาคนนี้ได้จัดขึ้น ณ เมรุวัดบ้างแลง ตำบลบ้านแลง อำเภอเมือง จังหวัดระยอง อาตมาก็ไปในงานเพราะรู้สึกเศร้าใจในชะตากรรมของเพื่อนอาตมา ที่เคยเกลียดเคยชังในการที่เพื่อนได้เคยปฏิบัติต่อแม่บังเกิดเกล้ามาแล้ว อาตมาก็ได้อโหสิกรรมให้หมดสิ้นไปแล้ว เพราะเพื่อนก็ได้รับเคราะห์กรรมตามสนองแล้ว งานประชุมเพลิงวันนั้น ผู้ไปในงานรู้ชีวิตเบื้องหลังของเพื่อน ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ที่เพื่อนหนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น บัดนี้ได้ตามสนองเพื่อนแล้ว คงจะเป็นตัวอย่างแก่คนรุ่นหลังต่อไป


ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=340

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

165
คุณ ๗๗๗ นิมีของดีมากจริงๆเลยนะครับ

166
ทำบุญง่าย ๆ ตามประสาคน (ไม่ค่อย) มีเวลา


พูดถึงเวลาถ้าเราจะทำบุญ คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึง การตักบาตรพระ หรือ เข้าวัดทำบุญ เป็นส่วนมาก แต่ถ้าหากว่าเราไม่ค่อยมีเวลาตักบาตรพระเพราะต้องตื่นเช้า หรือ เข้าวัดไปทำบุญ ก็เลยทำให้เสียโอกาสในการ สะสมบุญของเรา

วันนี้ จึงมีเรื่องมาเล่าให้ทุก ๆ คนได้อ่านพิจารณากัน เผื่อจะได้แง่มุมใหม่ ๆ ในการสร้างบุญสร้างกุศล สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา หรือ มีเวลาทำเป็นปกติอยู่แล้ว แต่มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้ได้อ่าน เพื่อจะได้เข้าใจว่า ถ้าเราทำอย่างที่จะบอกต่อไปนี้ เราจะได้อะไรบ้าง?

เชื่อว่าที่บ้านของทุกคนส่วนใหญ่ จะต้องมีหิ้งพระ หรือ โต๊ะหมู่บูชา แต่ถ้าไม่มี ให้หารูปพระมาติดไว้ที่ผนังบ้านก็ได้ จากนั้นให้เราหาขัน หรือ กระปุกออมสิน หรือ บาตรพระพลาสติก (ที่ร้านขายสังฆทานจะมีขายเป็นบาตรเจาะรูเหมือนกระปุกออมสิน) ทุกวันให้เราสละเวลาเพียงวันละประมาณ ๑๕ - ๓๐ นาที สวดมนต์ไหว้พระ เวลาไหนก็ได้ที่เราว่างเราสบายใจ สวดเช้า สาย บ่าย เย็น หรือ ก่อนนอนก็ได้ โดยเริ่มสวดจากบท

อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง อะภิปูชะยามิ, อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง อะภิปูชะยามิ, อิมินา สักกาเรนะ สังฆัง อะภิปูชะยามิ

อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา, พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ)

สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ)

สุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สังฆัง นะมามิ (กราบ)

ก่อนที่เราจะตั้งนะโมฯ ก็ให้เอาเงินที่เราตั้งใจจะทำบุญ จะกี่บาทก็ได้ ตามศรัทธา มาจบไว้ที่มือแล้วก็ตั้ง

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุท ธัสสะ (๓ จบ)

จากนั้นก็เริ่มสวด

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ, ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ, ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ต่อไปสวด บทพระพุทธคุณ (อิติปิ โส ภะคะวา ฯลฯ) บทพระธรรมคุณ (สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ฯลฯ) บทพระสังฆคุณ (สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ฯลฯ)

ถ้ามีเวลา ให้สวดบท พาหุง มหากา ฯลฯ จบแล้ว ให้กลับมาสวด บทพระพุทธคุณ ๙ จบ หรือ เท่าอายุบวกหนึ่ง หรือ ๑๐๘ จบ ตามกำลังของผู้สวด

ถ้าไม่มีเวลา ให้สวด บทพระพุทธคุณบทเดียว ๙ จบ หรือ เท่าอายุบวกหนึ่ง

ต่อจากนั้น ทำสมาธิแล้วอธิษฐานจิต เสร็จแล้ว เอาเงินที่เราจบไว้ที่มือ หยอดใส่ในภาชนะที่เตรียมไว้ที่หิ้งพระ หรือที่โต๊ะหมู่ เสร็จแล้ว แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลทุกครั้ง ทำอย่างนี้อย่าให้ขาด


ถามว่าเราจะได้อะไรจากการปฏิบัติอย่างนี้ ?

๑. ขณะที่เราสวดมนต์อยู่นั้น เราสวดบูชาใคร? ตอบ เราสวดบูชาคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ขณะที่สวดจิตเราก็น้อมระลึกนึกถึงคุณพระรัตนตรัย ขณะนั้น จิตเรามีพุทธานุสสติ, ธัมมานุสสติ, สังฆานุสสติ, เป็นอนุสสติในกรรมฐาน ๔๐ กอง เราได้สติ ได้พระกรรมฐานในเบื้องต้นแล้ว

๒. ขณะที่สวดมนต์อยู่นั้น เราสวดมนต์ด้วยจิตที่สำรวม มีความตั้งใจในการสวดมนต์ ถามว่า อาการที่สำรวมของจิต มีความตั้งใจในการสวดมนต์นั้น เป็นอาการของอะไร? ตอบ เป็นอาการของสมาธิ เราได้สมาธิเบื้องต้นแล้ว

๓.ขณะที่สวดมนต์ด้วยจิตที่สำรวม มีความตั้งใจ จิตเราก็คอยนึกถึง ระมัดระวังไม่ให้หลงให้ลืมในบทสวด ถามว่า อาการที่คอยนึกถึง ระวังอยู่นั้นเป็นอาการของอะไร? ตอบ เป็นอาการของสติ

๔. ขณะที่เราสวดมนต์เสร็จ ตั้งจิตเป็นสมาธิ อธิษฐานจิต เอาเงินที่จบใส่ลงในภาชนะที่ได้เตรียมไว้ เป็น ทานบารมี อธิษฐานบารมี ซึ่งจะขอวกเข้ามาเรื่องของบารมี ๓๐ ทัศ


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

167
บุญกุศลเป็นสิ่งลบล้างความกลัวตาย (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)


นี่ละบุญกุศลเป็นสิ่ง ลบล้างความกลัวตาย จากนั้นไปก็มีความกล้าหาญชาญชัย ต่อความตาย เอาจะตายเมื่อไรก็ตายเถอะ หัวใจนี้ไม่ตาย เต็มไปด้วยบุญด้วยกุศล

คุณธรรมเต็มหัวใจ ได้ที่ไหนไปดีทั้งนั้น เพราะอยู่นี้ก็ดี เป็นใจที่ดี ใจที่สงบร่มเย็น เป็นใจบุญใจกุศล ใจศีลใจธรรม ตายไปแล้วจะไปเมืองเปรตเมืองผีที่ไหนเป็นไปไม่ได้ ตายแล้วต้องไปสู่สถานที่ดี คติที่สมหวังของผู้สร้างคุณงามความดีนั้นแล

ความตายก็ไม่กลัว เวลาสร้างบุญสร้างกุศลให้มากๆ ขึ้นภายในจิตใจแล้วจะไม่กลัวตาย ถ้าท่านทั้งหลายอยากสร้าง เวลานี้กำลังกลัวตายด้วยกันทุกคน ให้สร้างความดีงามรวมเข้ามาสู่จิตตภาวนา

จิตตาภาวนา นี่เป็นสิ่งที่ต้านทานความกลัวได้โดยไม่ต้องสงสัย จิตตภาวนาคือพิจารณาสาเหตุอันเป็นเหตุใหญ่หลวงเกิดไปจากใจ เรากำหนดภาวนาเข้าสู่ใจ เรื่องราวทั้งดีทั้งชั่วจะปรากฏเห็นชัดที่ดวงใจของเรา แล้วชำระซักฟอกสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายซึ่งเกิดจากใจ

ความคิดความปรุงยุ่งเหยิงวุ่นวาย การกระทำการพูดไม่ดีออกจากใจทั้งนั้น แล้วเราภาวนา ย่อมทราบได้ดีว่าความคิดเช่นนี้เป็นกิเลสตัณหาเป็นฟืนเป็นไฟจะเผาไหม้ตัวเรา การพูดเช่นนั้นการทำเช่นนั้นจะเป็นฟืนเป็นไฟมาเผาไหม้ตัวเรา เพราะเป็นบาปเป็นกรรม

จิตตภาวนาจะรู้รอบขอบชิดโดยลำดับ แล้วสร้างแต่ความคิดที่ถูกที่ดี พูดแต่สิ่งที่เป็นสาระสำคัญแก่กันและกัน การกระทำก็ทำตั้งแต่ความดีงาม จิตดวงนี้สั่งสมความกล้าหาญชาญชัยขึ้นมาจากการบำเพ็ญของตน

สุดท้ายไม่กลัวตาย เอาพูดให้ชัดเจน ให้เห็นประจักษ์ในปัจจุบันนี้ละ ไม่ต้องไปรอฟังข้างหน้าชาติหน้าที่ไหน ให้ภาวนาดีๆ ถ้าท่านทั้งหลายอยากรู้ว่าความกลัวตายเป็นอย่างไร ความกล้าหาญต่อความตายเป็นอย่างไร ให้พากันภาวนา

พอภาวนาเข้าไปแล้วพินิจพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างรอบคอบขอบชิดไปหมดแล้วความ กลัวตายหายไปๆ สุดท้ายไม่กลัวตาย จะเป็นจะตายที่ไหนไม่สำคัญๆ เพราะหลักที่แน่นหนามั่นคงคือความดีงาม ที่พึ่งอยู่กับที่ใจหมดแล้ว

ใจจึงกล้าหาญชาญชัย จนกระทั่งฟาดภาวนาลงไปให้กิเลสขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจ เพราะกิเลสนั่นเป็นตัวกลัวตาย กลัวนรกอเวจี แต่กลัวตายก็ไม่พ้นตาย กลัวนรกอเวจีแต่อยากทำตั้งแต่ความชั่วช้าลามก

ทีนี้เวลาธรรมเข้าถึงใจแล้วความกลัวตายก็ไม่กลัว นรกอเวจีก็ไม่กลัว ภายในจิตใจมีแต่ธรรมเต็มหัวใจๆ นี่สง่างามไม่กลัวตาย

พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=3905&CatID=]Luangta.Com

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

168
ก็ลองศึกษาดูก่อนนะครับว่า สำนักที่คุณไปสักอะเขามีข้อห้ามว่า ห้ามไปสักสำนักอื่นรึป่าว ถ้าสำนักคุณไม่มีข้อห้ามนี่ คุณก็มาสักที่วัดบางพระได้เลยครับ

169
...คาถาที่ควรค่าแห่งการบูชา...


คาถาบูชาสมเด็จพระนเรศวร
(ตั้งนะโม 3 จบ)

นะมามิ สิระสา พิมพัง
พุทธะ ญาณะ นเรศวร
สัพพะ ทุกขะ สะเมตตารัง
สันติทัง สุขะทัง สะทาติ

คาถาบูชาพระพุทธชินราช
(ตั้งนะโม 3 จบ)

อิเมหิ นานาสักกาเรหิ อภิปูชิเตหิ
ฑีฆายุโก โหมิ อะโรโค สุขิโต
สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง ปิยังมะมะ
ประสิทธิลาโภ ชะโยโหตุสัพพะทา
พุทธชินนะราชาอภิปาเราตุมัง นะโมพุทธายะ

คาถาบูชาพระพิฆเนศ
(ตั้งนะโม 3 จบ)

โอม ศรีคเณศา ยะนะมะ
อะธะอิโต ปะธานัง พรหมจาริเน นะมะ
อะปะอิปิ อิทธิฤทธิ อิทธิฤทธัง
อภิมหาลาภัง ภวันตุเม..

คาถาตัดกรรม
(ตั้งนะโม 3 จบ)

สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต
อุกาสะ ทะวารัตตะเยนะ กะตังสัพพัง อะปะราธัง
ขะมะถะเมภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต

คาถาปล่อยสัตว์
คัจเฉวะโข ตะวัง ตะนะมารูโป มาตัง อะมิตตาปุนะ อัคคะเหสุง
ทุกโขหิ ลุทโทหิ ปุมาสะมาคะโม อัทสะนัง โภชะปุตตานัง คัจฉะ

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากเว็บบอร์ดพลังจิต

171
ธรรมะ / ตอบ: อานิสงส์ของศีล ๕
« เมื่อ: 28 ต.ค. 2553, 08:44:09 »
ขอบคุณครับเนื้อหาดีมาก

172
ในการทำงาน ต้องให้สติกับปัญญาสมดุลกัน


ถาม : การทำงานกับผู้มีปัญญามาก เราตามไม่ทันล่ะคะ ?

ตอบ: ถ้าปัญญามากยังไม่พอ ถ้ากำลังท่านสูงนี่ยิ่งหนักใหญ่

ถาม : เจ้านายค่ะ กิจที่ท่านทำบางทีเราตามไม่ทันค่ะ

ตอบ: ให้ถาม บอกว่าอันนี้หนูไม่ไหวค่ะ ขอคำอธิบายหน่อย

ถาม : แล้วเราต้องทำตัวไหนเพิ่มไหมคะ นอกจากเอาสติมาควบคุม

ตอบ: สำคัญที่สุดขาดสติ ปัญญาก็ไม่มี สติกับปัญญาต้องสม่ำเสมอ ถ้าปัญญาเกินสติจะบุ่มบ่ามทำอะไรโฉ่งฉ่างไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลัง แต่ถ้าสติเกินปัญญาเมื่อไหร่เหมือนกับคนขี้กลัว ไม่ค่อยกล้าตัดสินใจ ไม่ค่อยกล้าทำอะไร กลัวผิดพลาด ฉะนั้นสองอย่าง ต้องให้สมดุลกัน ต้องให้พอเพียงกัน

ถาม : แทนที่ปัญญาเกิด เราไม่มีสติไปคุยกิจการงานให้คนที่ต้องประสานงานได้

ตอบ: เจ๊งไปเลย เดี๋ยวคนเขาว่าเราเพี้ยนด้วย

ถาม : จะให้เร็วกลายเป็นช้า พอมันละเอียดขึ้นนี่เราต้องโจทก์โทษตัวเอง พิจารณาทุกวันใช่ไหมคะ บางทีสติมันเหมือนหลุดค่ะ

ตอบ: มีใครบ้างที่ไม่หลุด แม้กระทั่งพระอรหันต์ท่านก็หลุด แต่ท่านจะหลุดด้านอื่น ท่านจะไม่หลุดในด้านระมัดระวังดูจิตดูใจ แล้วก็ไม่หลุดในด้านความมั่นใจเลยว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของท่านแน่



สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๕ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

173
ก่อนที่สังขารเราจะละโลกนี้ไป ควรทำอย่างไร


ถึงวันพระ เราพา กันไปวัด ปฏิบัติ ศีลธรรม นำวิถี

หมั่นสวดมนต์ ภาวนา หาความดี

ไม่กี่ปี ก็จะพราก จากกันไป

อย่าประมาท ขาดศีลธรรม คำสอนพระ

เสียสละ ลงทุน ทำบุญไว้

เกิดชาตินี้ ชาติหน้า หรือชาติไหน

ย่อมยั้งใจ ให้ผาสุก ทุกคืนวัน

สุขหรือทุกข์ อยู่ที่ใจ มิใช่หรือ

ถ้าเราถือ ก็เป็นทุกข์ ไม่สุขสันต์

หากปล่อยวาง ก็ว่างทุกข์ สุขนิรันดร์

เพราะฉะนั้น จงเลือกทาง ว่างทุกข์เอย ขอเจริญพร

พระสมศักดิ์ โฆษธมฺโม

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

174
คำสั่งสอน ของ พระอรหันต์...จี้กง


คำสอน ของ...พระอรหันต์จี้กง
1. ชีวิตย่อมเป็นไปตามวิถีแห่งกรรมที่ลิขิต (ละชั่วทำดี) วอนขออะไร
2. วันนี้ไม่รู้เหตุการณ์ในวันพรุ่งนี้ กลุ้มเรื่องอะไร
3.เคารพพระพุทธเจ้าไม่เคารพพ่อแม่ เคารพเรื่องอะไร
4. พี่น้องคือผู้ที่เกิดตามกันมา ทะเลาะกันทำไม
5. ลูกหลานทุกคนล้วนมีบุญตามลิขิต ห่วงใยทำไม
6. ชีวิตย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จได้ ร้อนใจทำไม
7. ชีวิตใช่จะพบเห็นรอยยิ้มกันได้ง่าย ทุกข์ใจทำไม
8. ผ้าขาดปะแล้วกันหนาวได้ อวดโก้ทำไม
9. อาหารผ่านลิ้นแล้วกลายเป็นอะไร อร่อยไปใย
10. ตายแล้วบาทเดียวก็เอาไปไม่ได้ ขี้เหนียวทำไม
11. ที่ดินคือสิ่งที่สืบทอดแก่คนรุ่นหลัง โกงกันทำไม
12. โอกาสจะได้กลายเป็นเสีย โลภมากทำไม
13. สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือศีรษะเพียง 3 ฟุต ข่มเหงกันทำไม
14. ลาภยศเหมือนดอกไม้ที่บานอยู่ไม่นาน หยิ่งผยองทำไม
15. ทุกคนย่อมมีลาภยศตามวาสนาที่ลิขิต อิจฉากันทำไม
16. ชีวิตลำเค็ญเพราะชาติก่อนไม่บำเพ็ญ แค้นใจทำไม(บำเพ็ญไวๆ)
17. นักเล่นการพนันล้วนตกต่ำ เล่นการพนันทำไม
18. ครองเรือนด้วยการประหยัดดีกว่าไปพึ่งผู้อื่น สุรุ่ยสุร่ายทำไม
19. จองเวรจองกรรมเมื่อไหร่จะจบสิ้น อาฆาตทำไม
20. ชีวิตเหมือนเกมหมากรุก คิดลึกทำไม
21. ฉลาดมากเกินจึงเสียรู้ รู้มากทำไม
22. พูดเท็จทอนบุญจนบุญหมด โกหกทำไม
23. ดีชั่วย่อมรู้กันในที่สุด โต้เถียงทำไม
24. ใครจะป้องกันมิให้เกิดเรื่องได้ตลอด หัวเราะเยาะกันทำไม
25. ฮวงซุ้ยดีอยู่ในจิตไม่ใช่อยู่ที่ภูเขา แสวงหาทำไม
26. ข่มเหงผู้อื่นคือทุกข์ รู้ให้อภัยคือบุญ ถามโหรเรื่องอะไร
27. ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

175
ขอบคุณมากคับ
ผมงงมากเลยคับอยู่เฉยๆกระทุ้นี้ก็เด้งขึ้นมา
ทั้งที่ผมไม่ได้เข้าและกดไปgoogleแล้ว
ขอกราบสักการะสิ่งสักศิษย์

สงสัยมันคงเป็นพรหมลิขิตอะครับ  :048:

176
ทำไมคนปฏิบัติธรรมจึงได้รับกรรมเร็วกว่าคนไม่ปฏิบัติ


ถาม : ทำไมคนปฏิบัติธรรมจึงได้รับกรรมเร็วกว่าคนไม่ปฏิบัติ (ถาม-ตอบ นิตย์)

ตอบ : เพราะเขาเข้าสู่ความดีเร็ว ถ้าเขาเข้าสู่ความดีก็เหมือนกับเรากำลังวิ่งเพื่อจะข้ามกองไฟ ถ้าเราข้ามพ้นก็พ้นเลย เพราะฉะนั้นแรงกระชากย่อมแรงที่จะไม่ให้เราข้าม เพราะวิบากกรรมก็ต้องวิ่งคว้าอย่างรุนแรงเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นเราพ้น เมื่อแรงส่งสูงแรงต้านก็ต้องสูง หลักวิทยาศาสตร์ ฉะนั้น วิบากกรรมที่เป็นฝ่ายอกุศลก็ฉุดกระชากลากถู ส่งแรงต้าน มารก็เกิดมากมายมหาศาล ฉะนั้น ถ้าเราเปิดศึกทุกอย่างจะตีขึ้นมาหมด ตีให้ตายกันไปข้าง ถ้าพ้นก็ได้พ้นเลย

จะแสดงธรรมให้ฟังเรื่องอุบาสก ๕ คน ในสมัยพทธกาล พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม โดยมีพระอานนท์เป็นพระอุปัฏฐากทำหน้าที่โบกพัดอยู่ใกล้ ๆ ปกติวิสัยของพระองค์ท่าน เวลาแสดงธรรมอุปมาเหมือนพระสุรเสียงจะชำแรกเข้าถึงในกระดูก คนที่ฟังธรรมมีจิตที่จะเข้าใจในธรรมได้สูง เพราะพลานุภาพในความเป็นพระพุทธเจ้า แต่อุบาสก ๕ คนนี้ เมื่อได้ฟังแล้วมีอาการต่าง ๆ กัน

๑. คนหนึ่งหลับ - เคยเกิดเป็น งู (นาคราช)
๒. อีกคนหนึ่งมองดูฟ้า - เคยเกิดเป็นโหราจารย์
๓. อีกคนหนึ่งนั่งขย่มกิ่งไม้ - เคยเกิดเป็นลิง
๔. คนหนึ่งนิ่งเงียบเหมือนกับนั่งฟัง - เคยเกิดเป็นนักพยากรณ์ นำคำสอนไปเปรียบเทียบกับมนต์ของตัวเอง
๕. นั่งขีดเขียนบนพื้นดิน - เคยเกิดเป็นไส้เดือน

แม้พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมให้ฟังอย่างไร อุบาสกทั้ง ๕ ก็หาได้รับฟังพระสัจธรรมดังกล่าว ดังเช่นบุคคลอื่น ๆ ไม่ ด้วยผลแห่งวิบากกรรมในอดีตของแต่ละคนตามที่กล่าวมา ซึ่งต้องเสวยผลกรรมนั้นอยู่ ฯลฯ

ตอบปัญหาธรรม : ตามรอยธรรมพระป่า อารยะวังโส ภิกขุ
รศ.ดร. นิตย์ ศกุนรักษ์ ถอดเทปถวาย

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

177
ลักษณะของผู้มีความสงบ ๑๖ ประการ


1. เป็นผู้ไม่ฉุนเฉียว
2. เป็นผู้ไม่หวาดหวั่น
3. เป็นผู้ไม่โอ้อวด
4. เป็นผู้ไม่ก่อความรำคาญ
5. เป็นผู้พูดด้วยปัญญา
6. เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน
7. เป็นผู้มีวาจาอันสำรวมแล้ว
8. เป็นผู้วางตัวเป็นกลาง
9. เป็นผู้มีสติทุกเมื่อ
10. เป็นผู้ไม่ถือตัวว่าเสมอกับเขา
11. เป็นผู้ไม่ถือตัวว่าวิเศษกว่าเขา
12. เป็นผู้ไม่ถือตัวว่าต่ำกว่าเขา
13. เป็นผู้ไม่มีโทษอันทำให้มืดมัว ดุจฝ้า
14. เป็นผู้ไม่ยึดถือสิ่งอะไร ๆ ในโลกว่าเป็นของตน
15. เป็นผู้ไม่เศร้าโศกเพราะสัตว์และสังขารที่เสื่อมไป
16. เป็นผู้ไม่ถึงอคติในธรรมทั้งหลาย......



ปุ .ธรรมะชนิดใดเล่าเป็นธรรมะแท้จริง เป็นคำสอนของพระศาสดา

วิ .ธรรมะใดไม่เป็นไปเพื่อการตรัสรู้ ไม่เป็นไปเพื่อการออกจากทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อการทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ
ธรรมะนั้นไม่ชื่อว่าเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าทั้งปวง....ดังนี้....


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

178
ทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง อยู่ที่เจตนา และ อยู่ที่ใจ + กับความศรัทธา ชัดเจนรึป่าว

179
ธรรมะ / ตอบ: บุญ ๑๐ วิธี
« เมื่อ: 26 ต.ค. 2553, 12:31:25 »
ขอบคุณครับ เนื้อหาดีมาก

180
ถึงจะได้ที่เท่าไหร่ไม่สำคัญที่อยู่ที่การแสดงให้เห็นถึงความรักที่ ลูกมีต่อพ่อ และ พ่อที่มีแต่ลูกครับ ขอบคุณสำหรับคลิปดีๆอย่างนี้นะครับ

181
ตะกรุดดอกข้างล่าง ของหลวงพ่อจำลองแน่นอนครับ เพราะของผมก็เป็นแบบนั้น มันจะมีโค๊ตเลข 9 ดอกที่ล่อออกมาด้วยนะ รู้เท่านี้แหละ

182
กรรมแห่งการกักขังสิ่งมีชีวิต

กรรมของภิกษุถูกขังในถ้ำ


ภิกษุ ๗ รูปเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่วิหารเชตวัน กล่าวคือระหว่างทางได้แวะไปพักที่วิหารแห่งหนึ่งในเวลาเย็น พระภิกษุที่อยู่ประจำที่วัดก็จัดที่นอนให้นอนในถ้ำแห่งหนึ่ง ตอนกลางคืนมีก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งกลิ้งมาปิดปากถ้ำไว้ เช้าวันรุ่งขึ้นพระภิกษุเจ้าของถิ่นก็มาดูภิกษุอาคันตุกะ ๗ รูปนั้น เห็นก้อนหินปิดปากถ้ำอยู่ จะระดมคนช่วยกันอย่างไรก็ยกก้อนหินนั้นไม่ได้ แม้พระภิกษุที่อยู่ภายในถ้ำจะช่วยก็ไม่สำเร็จ

จนถึงวันที่ ๗ ก้อนหินนั้นก็กลิ้งออกจากปากถ้ำได้เองเป็นที่อัศจรรย์ ภิกษุที่มาพักและติดอยู่ในถ้ำพากันอิดโรยอดอาหารอยู่ถึง ๗ วัน เมื่อออกจากถ้ำแล้วก็คิดว่าจะไปกราบทูลถามถึงกรรมของตน ครั้นเดินทางไปถึงวัดเชตวันแล้วก็กราบทูลเล่าเรื่องนี้ให้ทรงทราบ พร้อมทั้งขอทราบกรรมที่ภิกษุทั้ง๗ได้กระทำไว้

พระผู้มีพระภาคตรัสเล่าว่า ในอดีตกาลภิกษุทั้ง ๗ รูปนี้ได้เกิดเป็นเด็กเลี้ยงโค ๗ คนในเมืองพาราณสี ได้ต้อนโคไปเลี้ยงยังที่ต่างๆ วันหนึ่งพบตัวเงินตัวทองตัวใหญ่ตัวหนึ่งจึงติดตามไป ตัวเงินตัวทองก็หนีเข้าไปในจอมปลวก จอมปลวกนั้นมีช่องอยู่ ๗ ช่อง เด็กทั้ง ๗ คนก็พาไปหากิ่งไม้ใบไม้มาปิดช่องนั้นคนละช่อง คิดว่าพรุ่งนี้จะมาจับเอาไป แต่แล้วก็ลืมเสียได้พาโคไปเลี้ยงยังที่อื่น พอถึงวันที่ ๗ กลับมาที่เก่าพบจอมปลวกนึกขึ้นได้ จึงได้ไปเปิดกิ่งออก ตัวเงินตัวทองนั้นอดอาหารอยู่ ๗ วันซูบผอมแทบสิ้นชีวิต เด็กๆ ก็สงสารบอกกันว่าเราอย่าฆ่ามันเลยปล่อยไปเสียเถอะแล้วก็ปล่อยมันไป

เด็กทั้ง ๗ นั้นไม่ได้ไปตกนรกเพราะว่าตัวเงินตัวทองนั้นไม่ตาย แต่ก็อดอาหารถึง ๗ วันถึง ๑๔ ชาติด้วยกัน นี่เป็นอดีตชาติของภิกษุ ๗ รูปนั้น

ใครทำกรรมอย่างไรย่อมได้รับผลอย่างนั้น ไม่มีใครหนีกรรมที่ตนทำได้พ้น ผลที่ได้รับเกิดจากการกระทำของตนเองทั้งสิ้น สิ่งอื่นๆ และคนอื่นเป็นเพียงเครื่องมือช่วยสนับสนุนให้ผลของกรรมนั้นเกิดขึ้นเท่านั้น ถ้าเราไม่ได้ทำกรรมไว้เหตุต่างๆ ที่จะเป็นเครื่องสนับสนุนให้วิบากคือ ผลของกรรมเกิดขึ้นก็ไม่มี


ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewt...fade667372e506

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

183
สวยครับ เข้มขลังน่าดูเลยครับอยากมีบ้างจังเลย

184
สาเหตุที่พวกเทพเทวดาไม่อยากมาเกิดเป็นมนุษย์

สาเหตุที่พวกเทพเทวดาไม่อยากมาเกิดเป็นมนุษย์
สาเหตุที่พวกเทพไม่อยากมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น
จากประสบการณ์ตรงของผู้เขียน ตอนไปภาวนาวันเกิด ที่วัดคีรีบรรพต (ภูสิงห์)
บ้านนาสะแบง อำเภอศรีวิไล จ.หนองคาย เดือนกันยายน 2543
ได้มีโอกาสสัมผัสกับเทวดาตอนทำภาวนาดังนี้
วันนั้นเดินจงกรมเหนื่อยแล้วนั่งสมาธิ
จิตแวบเข้าไปเห็นผู้หญิงรูปร่างเหมือนภาพเขียนตามผนังโบสถ์เข้ามาหา
จึงถามว่ามาจากไหนเขาพาไปดูก้อนหินใหญ่ข้างกุฏิที่ผู้เขียนภาวนาอยู่แล้วว่า
นี่แหละวิมานของน้องมองดูที่ก้อนหินนั้น ภายในมีลักษณะเป็นห้อง มีประตูเปิดปิดได้
: อ๋อ วิมานเทวดาเป็นอย่างนี้นี่เอง จึงถามต่อว่ามาทำไม
เทวดา : อยากจะให้ช่วย อยากเป็นพระอริยะเจ้า
ผู้เขียน : อยากจะเป็นพระอริยะเจ้าต้องไปเกิดเป็นมนุษย์ แล้วมาปฏิบัติธรรม รักษาศีลภาวนา เจริญสติให้เกิดปัญญารู้ธรรมเห็นธรรม จึงละกิเลสเป็นพระอริยะเจ้าได้
เทวดา : ไม่อยากไปเกิดเป็นมนุษย์
ผู้เขียน : เพราะอะไรหรือ
เทวดา : กลัวหลง
ผู้เขียน : หลงอะไรบ้าง
เทวดา : หลงอันที่หนึ่ง คือ หลงกินดิบ
ผู้เขียน : กินดิบมันเป็นอะไร
เทวดา : มันเป็นนิสัยของสัตว์เดรัจฉาน
เกิดเป็นมนุษย์แล้วมันจะเลยไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานโดยไม่รู้ตัว ก็จะตกอบายภูมิ
หลงอันที่สอง คือ หลงดื่มสุราเมรัยของมึนเมาเสียสติ
ผู้เขียน : มันสนุกดีมิใช่หรือ
เทวดา : สนุกตกนรกสิไม่ว่า
ถ้าตกนรกแล้วกว่าจะได้มาเกิดเป็นเทพ เป็นเทวดา อินทร์ พรหมอีก เป็นเรื่องยากมาก
เพราะสิ้นกรรมจากนรกแล้วต้องมาเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน
ก่อนจึงจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์
ผู้เขียน : ข้ามขั้นมาเกิดเป็นเทวดาเลยไม่ได้หรือ
เทวดา : จะได้ก็ต่อเมื่อพระพุทเจ้าหรือพระโพธิสัตว์ผู้ทรงฤทธิ์มาโปรดเท่านั้น
ปกติจะต้องใช้กรรมขึ้นมาตามลำดับจนถึงมนุษย์ ได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วถ้าไม่หลงเกิดไป
รู้จักสะสมบารมี จึงจะได้ไปเกิดเป็นเทพเป็นพรหมอีก
ซึ่งกว่าจะขึ้นมาได้ต้องทนทุกข์ทรมานนานแสนนาน ซึ่งเป็นเรื่องน่ากลัวและไม่น่าเสี่ยง
ผู้เขียน : หลงอะไรอีก
เทวดา : หลงอันที่สาม คือ หลงทรัพย์สมบัติ มนุษย์เกิดมา พากันหลงหาทรัพย์สมบัติ
หลงติดอยู่ในการหา ติดอยู่ในความร่ำรวยมั่งมีไม่สนใจ รักษาศีลภาวนา
เจริญสติปัญญาเพื่อละกิเลสถอนกิเลส
หลงอันที่สี่ คือ หลงยศหลงเกียรติ
มนุษย์ผู้มียศมีเกียรติจะหลงติดอยู่กับภาระของการมียศมีเกียรตินั้น
ไม่มีเวลาถือศีลปฏิบัติธรรม เจริญสติปัญญา เพื่อละกิเลสถอนกิเลสเช่นเดียวกัน
หากผู้มีทรัพย์มียศ หลงใช้ยศใช้ทรัพย์เอารัดเอาเปรียบข่มเหงรังแกผู้อื่น ก็มีสิทธิตกนรกเช่นเดียวกัน
หลงอันที่ห้า คือ หลงกลกาม คือ หลงแต่งงาน ซึ่งเป็นเรื่องเพิ่มงาน
เพิ่มความยุ่งยากลำบากลำบนให้แก่ตนเอง ผูกมัดตนเองไว้กับการงาน บ้านเรือน
ทำมาหากิน ไม่มีเวลาถือศีลปฏิบัติธรรม เจริญสติปัญญาเพื่อละกิเลสเป็นพระอริยะเจ้าอีกเหมือนกัน
ผู้เขียน : ใครหละ จะช่วยพวกท่านให้เป็นเทวดาอริยะ พรหมอริยะ
เทวดา : ปกติจะมี 3 ท่าน คือ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์และพระอนาคามี ทั้งสามท่านเป็นผู้มีคุณธรรมพร้อม และมีสติปัญญา
สามารถแนะนำวิธีประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อบรรลุเป็นเทวดาอริยะ
พรหมอริยะได้ด้วยการทำทิฐิวิสุทธิ
ผู้เขียน : ได้เป็นเทวดาอริยะ พรหมอริยะ แล้วดีอย่างไร
เทวดา : ดีวิเศษสุดๆ เลย คือเมื่อได้บรรลุธรรมเป็นเทวดาอริยะ พรหมอริยะแล้ว
เมื่อหมดอายุขัยในการเป็นเทวดา เป็นพรหม ก็จะได้ไปจุติในสุทธาวาสภพ
ซึ่งเป็นภพพิเศษมีแต่เลื่อนขึ้นไม่มีตกต่ำลง เหมือนเทพนิกายยอื่นๆ
และสุดท้ายก็ได้เลื่อนเข้านิพพาน แดนซึ่งมีแต่ความสุขเป็นนิรันดร์
ข้ามพ้นวัฏฏสงสารได้อย่างถาวร ความเป็นอริยะเจ้าจึงเป็นยอดปรารถนาของจิตวิญญาณ
ผู้มีสัมมาทิฏฐิในหัวใจ

บทความบางส่วนจากหนังสือ วัฏฏสงสารกับ มรรคผลนิพพาน
โดยพิทักษ์ธรรม


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

185
วิชาฆ่ากิเลส (พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน)


พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๐

วิชาฆ่ากิเลส


วิชาฆ่ากิเลสเป็นวิชาประเภทหนึ่งที่เป็นเรื่องของธรรม สร้างขึ้นมาจากความมีอยู่ของธรรมเป็นแขนงๆ ออกมา เช่นเดียวกับต้นไม้ ก่อนที่จะเป็นกิ่งก้านสาขาดอกใบย่อมออกจากลำต้น ต้นย่อมออกจากรากเหง้าของมัน แตกกิ่งก้านสาขาดอกใบออกมา เรื่องของธรรม ธรรมในหลักธรรมชาติ ซึ่งเป็นพื้นฐานของตัวเองอยู่แล้วตั้งแต่กาลไหนๆ มา นั่นเรียกว่าพื้นฐานของธรรม วิชาธรรมก็ผลิตออกมาจากนั้นเป็นแขนงต่างๆ แล้วก็ออกมาพูดได้หลายชนิดให้ไพเราะเพราะพริ้งก็ได้ ให้เป็นไปตามความจริงก็ได้ ที่เรียกว่าชำระกิเลสบ้าง ประกอบความพากเพียรบ้าง ถ้าพูดตามหลักความจริงก็ว่าสังหารกิเลส หรือฆ่ากิเลส นี่ถึงใจของผู้ปฏิบัติทั้งหลายไม่ว่าท่านผู้ใด จะถึงใจในความรู้สึกก่อนแล้วก็ถึงใจในการระบายออกมาหรือแสดงออกมา

วิชาของธรรมนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากกิเลสประเภทใดผลิตขึ้นมา ให้เป็นเครื่องมือกลับเข้าไปสังหารกิเลส แต่เป็นหลักธรรมชาติของตัวเอง วิธีการขุดค้นวิชาธรรมให้เกิดขึ้นภายในใจ พระพุทธเจ้าได้บำเพ็ญหรือได้ดำเนินมาก่อนแล้ว แต่พระพุทธเจ้านั้นเป็นสยัมภู ทรงพยายามขวนขวายเอง รู้ขึ้นมาเองโดยลำดับลำดา จนกระจ่างแจ้งในธรรมทั้งหลาย ทั้งพื้นฐานแห่งธรรมและธรรมที่เป็นสมบัติของพระองค์โดยเฉพาะบรรจุในพระทัย เต็มส่วน ควรแก่ความเป็นศาสดาของโลกได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว จึงได้นำธรรมในพระทัยนั้นออกมาสอนโลก ธรรมเหล่านี้จึงเป็นประเภทหนึ่งจากโลกทั้งหลาย ท่านจึงให้ชื่อว่าโลกว่าธรรม ไม่ใช่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

การศึกษาเล่าเรียนในแง่ต่างๆ ของธรรมที่ท่านเรียกว่าปริยัตินั้น เราศึกษาเพื่อการจดจำแนวทางแห่งการปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลสออกจากใจ เราจำต้องได้ศึกษาเล่าเรียนก่อนไม่มากก็น้อย ดังอุปัชฌาย์ท่านสอนกรรมฐาน ๕ ก็คือวิชา ๕ ประเภทนั้นเองขึ้นมา ให้พวกเราทั้งหลายได้ศึกษาเป็นเบื้องต้น ดังท่านสอนว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่เรียกว่าอนุโลม ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา เรียกว่าปฏิโลม คือย้อนหน้าถอยหลังหลายตลบทบทวน เพื่อความชำนิชำนาญ เพื่อความเข้าใจตามธรรมชาติมีอยู่ของอาการทั้ง ๕ นี้ซึ่งมีอยู่ทั้งตัวเราตัวเขา แล้วก็นำอาการทั้ง ๕ หรือวิชาทั้ง ๕ แขนงนี้ไปฝึกหัด เช่น การพิจารณาผม พิจารณาขน เล็บ ฟัน แล้วกระจายไปถึงหนัง เนื้อ เอ็น กระดูกตลอดสรรพางค์ร่างกาย ล้วนแล้วแต่เป็นวิชาธรรมที่แตกแขนงออกไป จากการปฏิบัติของผู้บำเพ็ญทั้งหลาย และธรรมก็เกิดขึ้นจากวิชาอันนี้แหละ

วิชานี้ได้มาจากอุปัชฌาย์อาจารย์หรือครูอาจารย์เสียก่อน เป็นภาคจดจำ แล้วก็มาคลี่คลายขยายออกดูตามความจริงของมัน จนปรากฏความรู้แจ้งขึ้นมาภายในตัวของเรา กลายเป็นสมบัติของเราขึ้นมา นี่ท่านเรียกว่า รู้ตามความจริง เอาความจำมาปฏิบัติเพื่อความจริงทั้งหลาย วิชาธรรมจึงเป็นวิชาประเภทหนึ่ง ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับโลกทั้งหลาย คำว่าโลกทั้งหลายนั้น ได้แก่สิ่งที่ท่านเรียกว่าอธรรม คือสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่ธรรมนั้นแล เมื่อธรรมผลิตขึ้นมาก็เพื่อจะแก้จะถอดถอนสิ่งเหล่านี้ หรือสังหารสิ่งเหล่านี้ออกจากใจของตนที่เต็มไปด้วยอธรรม

ด้วยเหตุนี้การศึกษาธรรมและการปฏิบัติธรรม การบำเพ็ญธรรม จึงเป็นเรื่องพิเศษๆ อยู่โดยหลักธรรมชาติของตน แม้จะเรียนมาจากปริยัติหรือศึกษามาจากปริยัติแล้วก็ตาม กิ่งแขนงที่จะแตกออกไปเรื่อยๆ นับตั้งแต่วงแคบถึงวงกว้าง นับแต่หยาบถึงขั้นละเอียดนั้น จะเป็นขึ้นจากการปฏิบัติของผู้บำเพ็ญทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้การปฏิบัติจึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่จะถอดถอนตนให้ หลุดพ้นออกจากทุกข์ ด้วยความรู้แจ้งแทงทะลุในสิ่งทั้งหลายที่เคยพัวพันจิตใจ ให้กลายเป็นคนละเรื่องละราว กลายเป็นคนละสัดละส่วนออกไปจากใจ ไม่คละเคล้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนดังที่เคยเป็นมา นี่ละการปฏิบัติธรรมจึงเป็นกรณีพิเศษจากโลกทั้งหลายอยู่ไม่น้อย

คำทั้งนี้ต้องออกมาจากภาคปฏิบัติของผู้บำเพ็ญทั้งหลาย ซึ่งเข้าใจแล้วรู้แล้วถึงจะนำมาพูดได้อย่างชัดเจน ไม่ใช่เราจะด้นจะเดาเอามาพูดได้ ถ้าธรรมภาคความจริงแล้วด้นเดาไม่ได้ ต้องรู้จริงอย่างนั้นถึงจะพูดออกมาได้ตามความจริงที่ตนรู้ตนเห็นนั้น นี่จึงเป็นกรณีพิเศษ ถ้าพูดถึงเรื่องความเพียรก็ต่างจากโลกเขาเพียรในการงานของเขาอยู่มาก งานใดก็ตามงานทางโลกกับงานทางธรรมนี้ มีความแตกต่างกันอยู่มากทีเดียว การปฏิบัติในตัวของเราจะให้เป็นแบบโลกเป็นเหมือนโลกนั้น จึงเป็นไปได้ยากสำหรับผู้ที่จะตะเกียกตะกาย เพื่อความพ้นทุกข์ให้ได้อย่างใจหวัง

ศรัทธาความเชื่อ เชื่อธรรมดาในธรรมทั้งหลายนี้เป็นประเภทหนึ่ง เชื่อจากความฝังใจที่ได้รู้ได้เห็น เป็นสักขีพยานขึ้นมาเป็นลำดับลำดานี้ประการหนึ่ง ความเพียรธรรมดาที่ตะเกียกตะกายล้มลุกคลุกคลานไปตามความจดความจำ ความเข้าอกเข้าใจในตำรับตำรา หรือเชื่อตามครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอนนั้นเป็นประเภทหนึ่ง เชื่อในสิ่งที่ตนรู้ตนเห็นนี้เป็นอีกประเภทหนึ่ง เพียรไปโดยลำดับลำดา เพราะความรู้ความเห็นนั้น ซึ่งเป็นเหมือนแม่เหล็กดึงดูดความเพียรให้หนักแน่นเข้าไปโดยลำดับหนึ่ง จึงต่างกันๆ ไปโดยลำดับลำดา

สิ่งที่กล่าวมาเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติจะพึงขวนขวายในตัวเอง และรู้ขึ้นมาภายในตัวเองโดยไม่ต้องไปถามผู้หนึ่งผู้ใดเลย ท่านเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก นี่เป็นสมบัติของผู้ปฏิบัติโดยแท้ สมบัติอันนี้แลเป็นเครื่องรักษาผู้ปฏิบัติได้โดยลำดับ ตามสมบัติที่มีมากน้อย ท่านเรียกว่า ธรรมสมบัติ เกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติ เราผู้ปฏิบัติทั้งหลายก็มุ่งจุดนี้เป็นสำคัญ เหมือนครั้งพุทธกาลท่านที่ได้เป็นสรณะของพวกเรา ล้วนแล้วแต่ท่านปฏิบัติเพื่อความเป็นสรณะของตน และได้เป็นจริงๆ แล้วก็กลายเป็นสรณะของโลกขึ้นมา

ธรรมจึงเป็นพิเศษอันหนึ่งจากโลกทั้งหลาย และสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมก็เป็นข้าศึกกัน ส่วนมากอธรรมต้องเป็นเจ้าของจิตใจของสัตว์โลก แม้ธรรมมีก็เป็นแต่เพียงว่าเคลือบแฝงเท่านั้น ยังไม่ใช่เป็นเนื้อเป็นหนังของตัวเองจริงๆ ที่มีกำลังมากเหมือนกับอธรรมที่มันไปสร้างตัวเอง จนเป็นเนื้อเป็นหนังขึ้นภายในจิตใจของสัตว์โลก แล้วกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับมัน

เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายจึงได้ถือว่า หรือจึงได้พูดกันว่าอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น คือมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับกิเลส ใจของเรานี้น่ะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับกิเลส ประหนึ่งว่าไม่มีอะไรเป็นพิเศษ นอกจากถ้าว่าเป็นกิเลสก็เป็นกิเลสทั้งหมด ว่าเป็นเราก็เป็นทั้งหมด ไม่มีทางที่จะแยกแยะกันออกได้ ให้เป็นคนละสัดละส่วน นี่เพราะความกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน เนื่องจากความสร้างเนื้อสร้างหนังของตนเองขึ้นภายในจิตใจของสัตว์โลกแต่ละ ดวงๆ นี่ท่านให้นามว่ากิเลส ซึ่งเป็นเหมือนกับกาฝากแทรกอยู่กับต้นไม้ แล้วดูดซึมต้นไม้มาเป็นอาหารเลี้ยงลำต้นของตน และต้นไม้นั้นก็อับเฉา จนกระทั่งถึงตายไปได้เมื่อกาฝากมีจำนวนมาก

จิตใจของเราก็เสียคนได้เมื่อสิ่งเหล่านี้มีกำลังมาก แทรกซึมอยู่ภายในจิตใจ สร้างเนื้อสร้างหนังสร้างความเป็นอยู่สืบทอดกันไปโดยลำดับลำดา ไม่มีวันหยุดหย่อนผ่อนคลายเลย ก็คือกิเลสสร้างตัวเองภายในจิตใจของสัตว์โลกนี้แล นี่ละที่เรียกว่ามันเป็นเราไปเสียหมด ประหนึ่งว่ากาฝากกับต้นไม้นั้นเป็นอันเดียวกัน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่อันเดียวกัน กาฝากเกิดขึ้นใบของมันก็ไม่เหมือนต้นไม้ต้นนั้น กิ่งก้านสาขาของมันอะไรๆ ของมัน อวัยวะของมันทุกส่วนเป็นเรื่องของมันทั้งนั้น แต่มันดูดซึมเอาต้นไม้นั้นเป็นอาหารของมันไปตลอด ยังชีพของมันอยู่ได้ด้วยอาหารจากต้นไม้

นี่ก็เหมือนกัน กิเลสสร้างตัวของมัน ยังชีพคือความเป็นอยู่ของตัวเองให้สืบทอดไปโดยลำดับลำดา จนเป็นกัปเป็นกัลป์เป็นกี่ล้านกัปล้านกัลป์ ก็ไม่มีใครที่จะนับอ่านได้จากความยืดยาวของกิเลส ที่มีความเหนียวแน่น และสร้างตัวเองอยู่ภายในจิตใจ จึงไม่มีใครจะทราบได้ว่ากิเลสเป็นเช่นไร จิตเป็นเช่นไร มันกลายเป็นอันเดียวกันหมด

ใครล่ะจะทราบได้ ก็มีพระพุทธเจ้าที่เป็นศาสดาองค์เอก ทรงบำเพ็ญพระองค์ทรงแก้ทรงไขทรงถอดทรงถอนสิ่งที่เป็นกาฝากทั้งหลายออกไปได้ ด้วยการสร้างความดีทั้งหลาย นับตั้งแต่ปรารถนาเป็นพระโพธิญาณหรือปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า แล้วทรงตัวด้วยความเป็นพระโพธิสัตว์เรื่อยมา ความพากความเพียรไม่ลดถอยน้อยลงเลย นี่คือการบำเพ็ญเพื่อสั่งสมกำลังทางความดีทั้งหลาย ที่จะถอดถอนสิ่งเหล่านี้ออกจากพระทัย จนได้กลายเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาด้วยสยัมภู โดยความรู้เองเห็นเอง นี่เบื้องต้นมีพระพุทธเจ้าเท่านั้น แยกกาฝากกับต้นไม้ออกได้ ด้วยความรู้ชัดเจนว่า นี้คือกาฝาก นี้คือต้นไม้ เป็นข้าศึกต่อกันไม่น้อย ร้อยทั้งร้อยก็คือกาฝากนั้นแลเป็นข้าศึกต่อต้นไม้ จนได้ชำระออกหมด สังหารออกโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ กลายเป็นพระทัยหรือพระจิตบริสุทธิ์ล้วนๆ นั้นแหละที่นี่จึงได้เป็นศาสดาสอนโลกด้วยความอาจหาญชาญชัยโดยไม่มีใครเป็น คู่แข่งเลย

พวกเราทั้งหลายก็ได้รับฟังพระโอวาทของพระพุทธเจ้า และบรรดาสาวกทั้งหลายที่เป็นอันดับสองจากพระพุทธเจ้าขึ้นมา ก็ได้ยินได้ฟังจากพระองค์แล้ว ด้วยคำว่า สาวโกๆ แปลว่าผู้สดับผู้ฟังก่อน และได้ปฏิบัติตามแนวทางที่ได้ยินได้ฟังมานั้น จึงค่อยรู้เรื่องรู้ราวค่อยชำระสะสางกาฝากภายในจิตใจออกได้โดยลำดับ ทั้งส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียด ที่มีเต็มอยู่ภายในจิตใจ แก้ไขถอดถอนออกได้โดยสิ้นเชิง เพราะความสามารถฉลาดรู้ทันกับกลมายาของกิเลส ซึ่งเป็นเหมือนกาฝากนั้นแล้วก็เป็นที่พึ่งของตนได้โดยสมบูรณ์

เมื่อเป็นสรณะของตนได้โดยสมบูรณ์เหมือนพระพุทธเจ้าแล้ว ก็กลายเป็นสรณะของโลก เป็นที่พึ่งที่เกาะที่ยึดของโลก เป็นแนวทางให้โลกได้เป็นคติเครื่องพร่ำสอนโลกให้ยึดเหนี่ยวเรื่อยมาจน กระทั่งปัจจุบันนี้

นี่เราพูดถึงหลักธรรมชาติของจิตจริงๆ นั่นละ เมื่อมันคละเคล้ากับกาฝากคือกิเลสแล้ว เราจึงไม่มีทางทราบได้เพราะละเอียดพอๆ กันกับจิต เนื่องจากเป็นนามธรรมเหมือนกัน จะทำอะไรจึงเป็นการกระทบกระเทือนกิเลสเสียหมด ความทุกข์ความลำบากก็กลัวตัวทุกข์ตัวลำบาก จะประกอบความพากเพียรหรือตะเกียกตะกายด้วยวิธีการใดๆ ก็กลัวแต่ความลำบากๆ นั่นละ

ถ้าพูดตามหลักความจริงแล้วก็คือกลัวกิเลสลำบาก กลัวกิเลสเป็นทุกข์ เพราะการประกอบความเพียรเพื่อชำระกิเลสนี้เป็นการกระทบกระเทือน เป็นการตบการตีกิเลส การฟัดการฟันกิเลสโดยลำดับลำดา และในขณะเดียวกันเพราะความสำคัญของเราที่ถูกกิเลสกลืนอย่างจมมิด ก็กลัวว่าเราเป็นทุกข์นั่นเอง นั่นกิเลสมาเป็นเราเสียแล้ว เลยกลัวว่าเราเป็นทุกข์ เรากับทุกข์ก็แยกกันไม่ออก กิเลสกับเราก็แยกกันไม่ออก มันกลายเป็นอันเดียวกัน แน่ะ

ด้วยเหตุนี้วิชาธรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ที่จะแยกจะแยะสิ่งเหล่านี้ วิชาอื่นใดในโลกไม่มีทางที่จะแยกจะแยะระหว่างกิเลสกับธรรม หรือระหว่างกาฝากกับต้นไม้ให้ออกเป็นคนละสัดละส่วนได้นอกจากธรรมเท่านั้น นี่ละวิชาธรรมเป็นอย่างนี้

เบื้องต้นก็ได้มาจากพระพุทธเจ้าเสียก่อน ได้ยินได้ฟังอุบายต่างๆ ในการบำเพ็ญ ในการแก้ไขถอดถอนก็นำมาปฏิบัติตนเอง ค่อยๆ เกิดผลขึ้นมาๆ ในเบื้องต้นความโลภเกิดขึ้นก็เป็นเราเสีย ความโกรธเกิดขึ้นก็เป็นเราเสีย ความหลงเกิดขึ้นก็เป็นเราเสีย ราคะตัณหาเกิดขึ้นก็เป็นเราเสีย ขึ้นชื่อว่าอาการของกิเลสทั้งมวลที่แสดงออกมา เราก็ถือว่าเป็นเราเสียสิ้น นี่เพราะความรู้ความฉลาดของเราไม่ทันมัน

แต่อาศัยการปฏิบัติบำเพ็ญตามหลักศาสนธรรมที่สอนไว้ ก็ค่อยเข้าใจไปโดยลำดับ จนกระทั่งจิตมีความสงบบ้างเป็นบางกาลบางเวลา เช่น จิตรวมสงบตัวหรือจิตเป็นสมาธิขึ้นโดยลำดับ ก็จะเริ่มเห็นภัยแห่งความฟุ้งซ่านของตนเอง ฟุ้งซ่านๆ เรื่องอะไร ก็ฟุ้งซ่านเพื่อความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหานั้นแลไม่ใช่เพื่ออะไร ก็เมื่อจิตเคยสงบแล้ว ความฟุ้งซ่านเป็นสิ่งที่ผิดปกติกับความสงบ ย่อมจะทราบ และฟุ้งซ่านไปในแง่ใด ในแง่ความโกรธเหรอ ในแง่ความโลภเหรอ ในแง่ความกำหนัดยินดีเหรอ พอใจหรือไม่พอใจเหรอ ย่อมทราบไปโดยลำดับลำดา เพราะอาการเหล่านี้เป็นอาการที่แฝงขึ้นมาๆ ผิดปกติของจิตที่สงบมีความสุขในขณะที่สงบตัว นั่นจึงเป็นเหตุให้ตื่นตัวตื่นใจ ให้ได้ทราบว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งหนึ่ง หรือว่าสิ่งนี้เป็นภัย สิ่งนี้เป็นหนึ่งนอกจากตัวของเรา นอกจากจิตของเราไป จิตของเราสงบอันนี้ไม่พาให้สงบ อันนี้พาให้ฟุ้งซ่านรำคาญ จึงต้องได้ถืออันนี้เหมือนกับเป็นข้าศึกอันหนึ่ง

ระหว่างเรากับข้าศึกคือกิเลสนั้นก็ต่อสู้กัน ครั้นต่อสู้กันไปเรื่อยๆ ก็เห็นเหตุเห็นผลไปเรื่อยๆ และแก้ไขถอดถอนออกไปเข้าสู่ความละเอียด ธรรมก็ละเอียดขึ้นกิเลสก็ละเอียดไปตามๆ กัน พอฟัดพอเหวี่ยงกันไป นี่วิธีการปฏิบัติเป็นอย่างนั้น

ทีนี้เมื่อจิตของเรามีทั้งความสงบ มีทั้งความแยบคาย อุบายต่างๆ ทันกับการแสดงออกของกิเลสประเภทต่างๆ แล้ว มันก็พอเป็นพอไปพอฟัดพอเหวี่ยง สุดท้ายก็เห็นชัดเจน กิเลสแสดงอาการใดของตัวเองขึ้นมา เช่นแสดงอาการโลภ ไม่ต้องพูดที่อื่น โลภอยากได้อาหารเพียงเท่านั้นมันก็กระเทือนใจแล้ว หือ วันนี้จิตมันโลภอะไรอย่างนี้ นั่นแต่ก่อนไม่เห็นว่าเป็นข้าศึก มันเริ่มทราบ หรือโกรธใครก็ตาม อ้อ วันนี้จิตแสดงอาการไม่ดี โกรธคนนั้นโกรธคนนี้ๆๆ ไม่พอใจเขา นี่เป็นเรื่องของกิเลสที่เกิดขึ้นจากเราไปโกรธเขา เขาจะผิดเท่าฟ้าเท่าแผ่นดินก็ตาม ความไม่พอใจในเขาก็คือกิเลสของเราเอง นี่มันก็ย้อนเข้ามาเห็นโทษของตัวเอง มากกว่าที่จะเห็นโทษของผู้อื่นที่ว่าผิดไป แล้วก็พยายามเข้ามาแก้ตรงนี้ นั่น มันเริ่มเห็นเข้าไปอย่างนั้น

หรือราคะตัณหาเกิดขึ้น เพราะเห็นรูปได้ยินเสียงธรรมชาติที่เป็นวิสภาคกัน แต่ก่อนไม่รู้ กลมกลืนกันไปเลย พันกันไปเลย เมื่อปฏิบัติเข้าถึงจิตขั้นละเอียด พอแสดงอาการขึ้นมาอย่างนี้ นี่จิตเราแสดงราคะคือความกำหนัดในสิ่งนั้นแล้ว ไม่ถือว่าสิ่งนั้นเป็นความผิด ถือผู้เป็นราคะที่แสดงตัวให้กระเทือนจิตใจนี้เป็นความผิด แล้วย้อนจิตเข้ามาแก้ที่ตรงนี้ นั่น เริ่มรู้ๆ เข้าไปอย่างนั้น จึงเรียกว่าผู้ปฏิบัติ รู้ด้วยสติที่เราฝึกอยู่ แล้วพินิจพิจารณาไตร่ตรองด้วยปัญญา ก็ทราบไปโดยลำดับลำดา เมื่อทราบกันหลายครั้งหลายหนก็แก้กันไปได้เรื่อยๆ ตั้งแต่ส่วนหยาบ ส่วนกลาง จนถึงขั้นละเอียด

แล้วก็กระจายกันออกไปถึงขันธ์ ๕ ของตัวเอง ว่าเป็นตัวพิษตัวภัย ตัวเป็นทางแสดงออกหรือเป็นเครื่องมือแสดงออกของกิเลสทั้งหลาย กิเลสอาศัยขันธ์นี้แลเป็นเครื่องมือ นั่น มันก็เริ่มทราบ ตัวกิเลสจริงๆ ไม่ใช่ขันธ์ ขันธ์ไม่ใช่กิเลส แต่เป็นเครื่องมือของกิเลสที่นำไปใช้ เราก็นำขันธ์นั้นมาเป็นเครื่องมือของธรรมด้วยในขณะเดียวกัน เอ้า จิตมันคิดมันปรุงเรื่องอะไร มันคิดเรื่องกิเลส เราคิดเรื่องธรรมแก้กัน มันสำคัญมั่นหมายเป็นเรื่องของกิเลส เราก็ใช้สัญญาความจดความจำที่พอจะแก้กิเลสประเภทนั้นได้ด้วยความจำของเรา ด้วยสัญญาของเรา จนกระทั่งกลายเป็นปัญญาขึ้นมา วิญญาณความรับทราบ รับทราบเรื่องอะไร เอ้า รับทราบที่จะเป็นกิเลส เราก็แก้เป็นธรรมไปโดยลำดับลำดา

นี่ละเครื่องมืออันนี้ละ เราแยกแยะออกมาใช้ทางด้านธรรมะ เมื่อสติปัญญาของเราทัน หรือธรรมะของเรามีในใจ มีกำลังพอที่จะทันมันแล้ว ย่อมจะทราบกันได้เป็นลำดับลำดาไป ทั้งๆ ที่แต่ก่อนเราไม่เคยทราบมาเลย ครั้นปฏิบัติไปโดยลำดับลำดา จิตก็ค่อยเลื่อนฐานะขึ้นไป เพราะได้รับการบำรุงรักษาอยู่เสมอ ย่อมเจริญเติบโตขึ้น ถ้าว่าเติบโต สติเคยขาดวรรคขาดตอนก็ไม่ค่อยขาดและไม่ขาด ปัญญาซึ่งนอนจมอยู่ภายในจิตใจเหมือนกับซุงทั้งท่อน ก็แสดงตัวขึ้นมา ไหวตัวขึ้นมา ปัญญาไหวตัวขึ้นมาจะไหวเพื่ออะไรถ้าไม่เพื่อทราบเหตุทราบผลต้นปลายในสิ่ง ต่างๆ แล้วกิเลสเป็นสิ่งใดล่ะ เป็นเหตุผลกลไกอะไร เป็นเรื่องอะไร เหตุใดปัญญาจะไม่จับปัญญาจะไม่คิด ปัญญาจะไม่พินิจพิจารณาล่ะ นั่น มันก็ต้องได้พิจารณา เมื่อพิจารณาเข้าไปแล้วมันก็ต้องรู้ รู้ไปโดยลำดับลำดา ตามขั้นของปัญญาเสียก่อน นี่เรียกว่าแก้กัน ชำระหรือถอดถอนทำลายกาฝากภายในจิตใจเรื่อยไปโดยลำดับลำดาอย่างนี้ละท่าน เรียกว่าวิชาธรรม การปฏิบัติธรรมปฏิบัติอย่างนี้

ทีนี้เมื่อจิตได้เข้าอกเข้าใจวิธีการต่อสู้กับกิเลสแล้ว เรื่องความขี้เกียจขี้คร้านซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสหุ้มห่อจิตใจตัวของเราหมด ทั้งร่าง จนกระทั่งจะเคลื่อนย้ายสู่ความเพียรไม่ได้ก็ค่อยจางหายไปๆ จนกลายเป็นความขยันหมั่นเพียร หนักก็เอาเบาก็สู้ไม่มีถอยขึ้นมาโดยลำดับลำดา จากนั้นก็กลายเป็นความเพียรกล้า เลยความขยันหมั่นเพียรไปเข้าสู่ความเพียรกล้า ดังท่านผู้ดำเนินในขั้นสติปัญญาอัตโนมัติท่านเหล่านี้เป็นผู้ก้าวเข้าสู่ ความเพียรกล้า เลยความขยันหมั่นเพียรไปแล้ว

แต่ก่อนมีแต่กิเลสตัวขี้เกียจขี้คร้านตัวท้อแท้อ่อนแอ ตัวอำนาจวาสนาน้อยตัวไปไม่ไหวเต็มหัวใจและก้าวไม่ออก เมื่อธรรมมีกำลังแล้ว ธรรมก็ก้าวได้เหยียบหัวกิเลสไป ตัวขี้เกียจก็เหยียบไป ตัวท้อแท้อ่อนแอที่เคยเป็นมาแต่ก่อนก็เหยียบไปทำลายไปเรื่อยๆๆ สุดท้ายก็มีแต่จะเอาๆ ท่าเดียว ถ้าไม่หลุดพ้นเสียแล้วเป็นถอยไม่ได้ นั่นมันเป็นขึ้นเองเมื่อธรรมมีกำลังแล้ว

เราไม่คาดไม่หมายแหละ หากเป็นขึ้นโดยกำลังของธรรม กำลังของธรรมกับกำลังของจิตกลมกลืนเป็นอันเดียวกันแล้ว หากเป็นขึ้นรู้ขึ้น สิ่งที่ไม่เคยรู้ก็รู้ สิ่งที่ไม่เคยเห็นก็เห็น สิ่งที่ไม่เคยว่าเราจะตัดขาดไปได้ ก็ตัดขาดไปได้ ด้วยอำนาจของธรรมเป็นเครื่องมืออันทันสมัย ทันกาลทันเวลา ทันกับกิเลสทุกแง่ทุกมุม ทุกประเภทของกิเลส นั่นเป็นอย่างนั้น นี่ที่ท่านหลุดพ้นไปได้ ท่านหลุดพ้นด้วยอย่างที่กล่าวมานี้แล

เพราะฉะนั้น การบำเพ็ญการแก้ไขการถอดถอน จึงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับพระผู้ปฏิบัติ และสถานที่ก็เป็นสิ่งสำคัญมากทีเดียว เราดูซิในตำรับตำราครั้งพุทธกาลมักจะอยู่ในป่าในเขาในถ้ำเงื้อมผา หาสถานที่ที่จะตั้งเนื้อตั้งตัว หาสถานที่ที่ไม่ประมาทนอนใจ เพราะคนเราเมื่อไปสู่สถานที่เปลี่ยวๆ ไปสถานที่น่ากลัวแล้วย่อมเป็นความเพียรขึ้นมาเอง ใครจะไปนอนจมอยู่ด้วยความขี้เกียจขี้คร้านเล่า เมื่อไปอยู่สถานที่เป็นภัย สถานที่จะต้องมีความฉิบหายวายปวงได้เมื่อประมาท แล้วใครจะไปยอมประมาทในสถานที่ควรจะตายเช่นนั้นด้วยความประมาท ต้องไม่ประมาท นั่น

ดังตะกี้นี้ก็ได้พูดให้ฟังถึงเรื่องการอยู่ในป่าในเขา ก่อนที่จะเทศน์นี้ มันต่างกันมากอย่างนั้นแหละ ทั้งวันความเพียรเป็นไปตลอดสายไม่ต้องบังคับ สติอยู่กับตัวแม้ปัญญาจะยังไม่ก้าวเดินก็ตามเพราะยังไม่ถึงขั้นจะก้าวเดิน สติดีระมัดระวังรักษาจิตอยู่ เมื่อกำหนดที่จะให้เข้าสู่ความสงบเมื่อใดก็ได้อย่างง่ายดายๆๆ นั่นละความเพียรอยู่กับตัวเป็นอย่างนั้น เพราะอาศัยสถานที่ที่น่ากลัวนั้นแหละ เป็นการกระตุ้นเตือนสติให้ตั้งตัวอยู่ตลอดเวลา เลยกลายเป็นความเพียรทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอนเว้นแต่หลับเท่านั้น นอนก็มีสติ อะไรมาสัมผัสนิดหน่อยเท่านั้นตื่นแล้วๆๆ นี่ความเพียรของผู้อยู่ในสถานที่ไม่ประมาท ย่อมไม่ประมาท จึงเป็นความเพียรตลอดเวลา

อันใดก็ตาม ขอให้เราได้บำเพ็ญ ขอให้เราได้ดำเนินเถอะ เราจะรู้เอง ดังที่กล่าวมาในป่าในเขา สถานที่น่ากลัวน่าหวาดเสียว และเป็นสถานที่ตั้งแห่งความเพียรโดยลำดับลำดานี้ พระพุทธเจ้าทรงดำเนินมาแล้ว พระสาวกท่านพากันดำเนินมาแล้วทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้การบำเพ็ญในป่าในเขาในถ้ำเงื้อมผา จึงเป็นสถานที่อันเหมาะสมอย่างยิ่ง ตามพระโอวาทที่ทรงสั่งสอนไว้แล้ว ว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ เป็นต้น นี่ละเป็นการช่วยได้เป็นอย่างดี คือช่วยความเพียรของเรา

เราจะเห็นได้เวลาเราออกมาจากสถานที่นั่นมาอยู่ที่ธรรมดาๆ และมาอยู่กับหมู่เพื่อน ความขี้เกียจขี้คร้านแสดงตัวขึ้นมา ความเพียรไม่ค่อยก้าวหรือไม่ก้าว เป็นเพราะอะไร เพราะจิตมันนอนจมโดยไม่รู้สึกตัว เนื่องจากกิเลสพาให้จมนั่นเอง กิเลสมันง่ายที่สุดที่จะทำเราให้ล่มจมไป ขอให้ได้ช่องได้โอกาส เพราะกิเลสมีแต่หาโอกาสจะทำลายเราอย่างเดียว เมื่อมาอยู่ที่เช่นนั้นก็เป็นอันว่าเปิดโอกาสให้กิเลสก็ว่าได้ เพราะมันต่างกันมากกับอยู่ในป่าในเขาเพียงคนเดียว นี่ละท่านจึงสอนให้อยู่ในป่าในเขา สถานที่ที่เป็นที่ตั้งแห่งความเพียร

อยู่อย่างนั้นไม่นับวันนับคืนนับปีนับเดือนละ ดูแต่จิตดูแต่เรื่องที่จะเกิดขึ้นจากจิต มันกลัวอะไร มันไปสัมผัสสัมพันธ์กับอะไร กลัวว่าเสือ เสืออยู่ที่ไหนความคิดสังขารอันนี้มันปรุงต่างหาก มันหลอกว่าเสือ นั่นมันก็รู้ทันเสีย สังขารความปรุงว่าเสือไปเกิดขึ้นที่ใจ ทั้งๆ ที่เสือไม่มี มันหลอกตัวเอง บังคับจิตไม่ให้คิดเรื่องเสือเรื่องสัตว์อะไรที่จะเป็นโทษแก่จิตใจ โทษแก่ความสงบ บังคับจิตให้อยู่ในอรรถในธรรม เมื่อจิตอยู่ในอรรถในธรรม อรรถธรรมเป็นเครื่องรักษาจิต จิตย่อมปลอดภัยไร้กังวล สุดท้ายก็เข้าสู่ความสงบเย็นแน่วเลย นั่น

เอ้า ที่นี่วาระหลังจากนั้นแล้ว แม้แต่เสือกระหึ่มๆ อยู่ข้างที่อยู่เรา มันกลับไม่เห็นกลัว นั่นฟังซิ นั่นละเมื่อธรรมเข้ารักษาใจเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าให้กิเลสรักษาใจหลอกวันยังค่ำ เสือไม่มีก็หลอกว่ามี อะไรไม่มีก็หลอกขึ้นมาว่ามีๆๆ แล้วเป็นไปตามมันจมไปตามมัน ไม่มีคำว่าได้เป็นผลเป็นประโยชน์เลย มีแต่เสียโดยถ่ายเดียว ผลลบตามกันไปเรื่อยๆ พอเราได้ใช้อรรถใช้ธรรมเข้ารักษาตัว สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม อุตสาหธรรม หมุนเป็นเกลียวเดียวกันเข้าสู่ใจ รักษาใจ จนกระทั่งใจมีกำลังขึ้นมาแล้ว แม้เคยกลัวมาขณะก่อน แต่ขณะนี้ไม่กลัว เห็นได้อย่างชัดเจนของผู้ปฏิบัติ

เอ้า ถ้าเราอยากจะรู้ก็ลองดูซิ ธรรมะพระพุทธเจ้าโกหกโลกเมื่อไร เมื่อธรรมได้เข้าสนิทกับใจแล้วเป็นเครื่องหนุนใจ ย่อมไม่มีความกลัว ถึงเสือจะเดินดุ่มๆ เข้ามาหาเรา เราจะเดินเข้าไปหาเสือได้อย่างไม่สะทกสะท้านเลย ทำไมเป็นอย่างนั้นฟังซิ มันเป็นแล้วนี่ไม่ใช่มาคุยเฉยๆ ได้ปฏิบัติแล้ว ได้ฝึกได้ทรมานตนแล้วถึงเหตุถึงผลถึงเป็นถึงตาย เอ้าๆ จะตายก็ตายเถอะ ทำไมมันถึงกลัวนักหนาว่ะ มันจะไม่ตายเหรอในโลกนี้ มันจะอยู่ค้ำฟ้าเหรอ ก้าวเข้าไปเดินเข้าไป มันหลอกเราว่าเสืออยู่ตรงไหน เดินเข้าไปหาเสือเลย เดินเข้าไปมันไม่มี นี่มันหลอก

เดินเข้าไปๆ จนตั้งคำสัตย์ขึ้นมากึ๊กเลยเชียวในหัวใจ เอ้า วันนี้ถ้าหากว่าจิตนี้ยังไม่กล้าหาญ ไม่รู้เรื่องรู้ราวของความกลัวความกล้านี้เมื่อไรแล้วจะไม่กลับ ใครจะว่าบ้าก็บ้าเถอะเราไม่สะทกสะท้าน กิเลสภายในหัวใจของเรานี้มันหลอกเราอยู่เวลานี้ ให้เป็นบ้าให้เป็นทุกข์จริงๆ เขาว่าลมปากของเขาไม่เห็นว่าเป็นทุกข์อะไรเลย นั่น แล้วเดินไปๆ เดินตรงนี้แล้วมันไม่มีเสือ เอ้า ไปตรงนั้น แล้วอยู่ตรงไหนอีกเดินไปอีก ไปหาตรงที่ว่าเสืออยู่ๆ ที่แท้สังขาร สัญญา มันหลอกเรา ไปที่นี่ก็แล้วไปที่นั่นก็แล้ว หนึ่งแล้วนะโกหกเรา สองแล้วนะ ตามกันไปเรื่อยไม่ใช่ไปเฉยๆ ไปด้วยความเพียร สังเกตตัวเองไปตลอดเวลา คอยจับผิดกัน กิเลสเป็นตัวผิดเป็นตัวหลอกลวง ธรรมะเป็นตัวจับผิดเป็นตัวแก้ความหลอกลวง

สุดท้ายก็เกิดความกล้าหาญขึ้นมา กล้าหาญไม่ใช่กล้าหาญธรรมดา กล้าหาญอย่างที่ว่านี้แหละ นึกให้หมดในโลกอันนี้กลัวอะไร ไม่มีอะไรกลัวเลย เอ้า ถ้าเสือเดินเข้ามานี้ เดินเข้ามาก็เดินใส่เสือเลยไม่สะทกสะท้าน จะไปลูบคลำหลังมันได้อย่างสบาย โถ เพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายมาหากันเหรอ มาเยี่ยมกันเหรอ ถึงเสือจะกินมันก็ไม่มีกลัว ไม่สะทกสะท้าน เอ้า ตายก็ตายเพราะความกล้าหาญนั่นเอง ไม่ได้ตายเพราะความกลัวเลย นั่นเห็นไหม ขณะนี้เป็นอย่างนี้ คือกล้าจนตัวสั่น ความกล้าหาญชาญชัยเป็นขนาดนั้นดูซิ นี่ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่จริงยังไง ไม่ยังงั้นท่านจะสอนให้ฝึกให้ทรมานทำไม

กิเลสเป็นตัวทำให้คนเสีย ธรรมะเป็นเหตุให้ฟื้นตัวขึ้นมาได้ ท่านจึงสอนด้วยวิธีนี้ ให้อยู่ในป่าในเขา ที่ไหนกลัวยิ่งเข้าไป ไม่ใช่ไปนอนให้มันกินเฉยๆ นะเสือ เอ้า ไปด้วยความเพียรนี่นะ กล้าด้วยความเพียรสละตายด้วยความเพียร สละตายด้วยสติปัญญา ด้วยอรรถด้วยธรรม ไม่ใช่สละตายแบบขึ้นเขียงเฉยๆ นั่น ทีนี้มันก็รู้ละซี เมื่อเป็นเช่นนั้นมันก็เห็นคุณค่าของการอยู่ในป่าอยู่ในเขา เห็นคุณค่าไปโดยลำดับลำดา เมื่อเราได้ปฏิบัติในสิ่งใดแล้วย่อมเห็นเหตุเห็นผลกัน และเห็นคุณค่าตลอดถึงการเห็น ควรจะเห็นโทษมันก็เห็นได้อย่างชัดเจนเพราะการปฏิบัตินั่นแล

เมื่อตนก็ได้ปฏิบัติมาอย่างนั้นแล้ว และรู้ขึ้นมาด้วยการปฏิบัติอย่างนั้นจริงๆ แล้ว ทำไมจะพูดไม่ได้มนุษย์เรา ใจเป็นของรู้ รู้แล้วทำไมพูดไม่ได้ ปากเป็นสิ่งที่พูดได้แท้ๆ นี่ ทำไมพูดไม่ได้วะ เอาอย่างนั้นละซิ

ให้รู้ซีเรื่องนักปฏิบัติเราเป็นยังไง ธรรมะพระพุทธเจ้านั้นเป็นโมฆะจริงๆ เหรอ สอนโลกแล้วโลกมันไม่ยอมรับนั่นซี โลกมันเป็นโมฆะ หัวใจเป็นโมฆะ ตาหูจมูกลิ้นกายใจมันเป็นโมฆะ ธรรมะถึงจะเลิศประเสริฐเท่าไรก็เหมือนกับเอายาไปใส่คนตายนั่นแหละจะเป็นอะไร มันได้ผลประโยชน์อะไร ยาจะวิเศษวิโสขนาดไหนเอาไปใส่คนตายซิ เอากรอกลงไป เอาฉีดลงไป ก็ฉีดคนตายมันจะฟื้นได้ยังไง มันไม่เกิดประโยชน์อะไร นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะอยู่กับคนประเภทปทปรมะ ไม่สนใจกับสิ่งใดเลยนอกจากกิเลสตัณหาฉุดลากไป เหมือนกับสิ่งไม่มีหัวใจเท่านั้น แล้วมันจะเกิดประโยชน์อะไรธรรมะ

เราไม่ใช่คนประเภทนั้นนี่นะ เรารู้ดีรู้ชั่ว เรามาบวชในพุทธศาสนา เราบวชเพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อมรรคผลนิพพาน เพื่อคุณงามความดี สิ่งใดที่เป็นข้าศึกต่อคุณงามความดี ทำไมเราจะไม่รู้ ทำไมเราจะไม่แก้ไม่ถอดไม่ถอนล่ะ เรายิ่งเป็นพระทั้งองค์ เป็นผู้ปฏิบัติทั้งคนด้วย ทำไมจะไม่แก้กันล่ะ

อยู่เฉยๆ ทำไม การอยู่เฉยๆ เป็นประโยชน์อะไรบ้างถามตัวเองซิ อย่าให้ครูบาอาจารย์ถาม อย่าให้ผู้อื่นผู้ใดถาม ไม่ดี มันจะเกิดกิเลสขึ้นมา ด้วยการกระทบกระเทือน การกระทบกระเทือนนั้นละกิเลสมันเกิด มันเกิดขึ้นในขณะนั้น

มันเร็วที่สุดนะเรื่องของกิเลส เคยได้พูดแล้ว ไม่มีอะไรแหลมคมยิ่งกว่ากิเลสถ้าสติปัญญาไม่ทันมันจะเกิดได้วันยังค่ำคืนยัง รุ่ง กระดิกออกมาพับเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น จากหัวใจดวงนั้น ต่อเมื่อสติปัญญาทันมันนั่นแหละถึงจะรู้มัน ออกอาการใดๆ รู้ จนกระทั่ง เอ้า ให้ใจบริสุทธิ์ กลมายาของกิเลสออกแง่ไหนทำไมจะไม่รู้ มันอยู่ในหัวใจนี้ ทำลายมันจนพังไม่มีอะไรเหลือ ตลอดถึงโคตรแซ่ของกิเลส อวิชฺชาปจฺจยา ก็คือโคตรแซ่ของกิเลสที่พาให้สัตว์เกิดแก่เจ็บตายตลอดเวลานี้ พังไปหมดแล้ว มันจะไปแสดงอยู่ในจิตดวงใด ในอาการของผู้ใด ทำไมจะไม่ทราบล่ะ ก็เมื่อธรรมเป็นผู้สังหารมันเอง เพราะเหนือมันอยู่แล้ว ทำไมจะไม่ทราบอากัปกิริยาที่มันแสดงออก มันไม่มีที่จะแสดงออกในหัวใจเรา มันแสดงออกจากหัวใจใดจะต้องรู้ ถ้าลงได้เหนือมันแล้วต้องรู้ นั่นละการชำระตนเอง

ต้องให้มีความอาจหาญชาญชัยซิ เราเคยจมอยู่กับกิเลส มันพาให้เราวิเศษวิโสอะไรบ้าง เดินจงกรมก็กลัวแต่จะตาย นั่งสมาธิภาวนาก็กลัวแต่จะตาย มีอะไร มีแต่กลัวแต่จะตายๆ เรื่องกลัวแต่จะตายคือเรื่องอะไรนั่นน่ะ พิจารณาซิ ถามเจ้าของอย่างนี้ซิ จิตเมื่อเวลาตีเข้าถูกช่องถูกทาง กิเลสเวลาตีเข้าถูกช่องถูกทางมันหมอบเหมือนกันนั่นแหละ มันทำไมจะไม่หมอบ ไม่หมอบพระพุทธเจ้าจะสอนให้ตีให้ชำระเหรอให้สังหารมันเหรอ ธรรมเท่านั้นที่จะทำให้กิเลสได้กระเทือน นอกจากนั้นไม่มีอะไรที่จะให้กิเลสกระเทือนได้เลย นี่ละการปฏิบัติ

เราต้องใช้ความคิดความอ่านซี สติปัญญามีอย่าอยู่เฉยๆ หรือว่าทำจิตให้สงบแล้วปัญญาจะเกิดเอง อย่าฝันมันจะตายทิ้งเปล่าๆ ไม่เกิดจนกระทั่งสมาธิคือความสงบใจนั่นแหละ ถ้าทำด้วยความอ่อนแอท้อแท้ความขี้เกียจขี้คร้านพาให้ทำแล้ว มันจะจมลงในหมอนเท่านั้นละไม่เกิดประโยชน์อะไร ให้เห็นโทษของมันในสิ่งเหล่านี้ ผู้จะปฏิบัติตนเพื่อความพ้นทุกข์ต้องเอาจริงเอาจังอย่าท้อถอย

ให้ดูหัวใจเจ้าของ นี่สำคัญมากที่ตรงนี้นะ อย่าไปดูสิ่งใดฟังสิ่งใด สำคัญกับสิ่งใดมากยิ่งกว่าดูความเคลื่อนไหวของใจที่แสดงออกมา ด้วยอำนาจของกิเลสแทบทั้งนั้นแหละ มันแสดงออกมา ถ้าสติปัญญาไม่ทันมันจะมีแต่เรื่องของกิเลส นอกจากว่ากิเลสมันอ่อนตัวลงจนกระทั่งมันหลบมันซ่อนแล้ว นั้นละมันจะไม่แสดง มีแต่ธรรมละ คือ สติธรรม ปัญญาธรรม แสดงตัว แสดงลวดลายอยู่ตลอดเวลาภายในหัวใจดวงนั้น เวลากิเลสมันกระดิกออกมา ก็เป็นอันว่าถูกสังหารกันทันทีๆ มันจะแสดงอะไรล่ะ กิเลสมันก็ฉลาด ไม่งั้นจะปกครองหัวใจโลกหรือเป็นเจ้าอำนาจบนหัวใจโลกได้ยังไง นั่นมันลำบากขนาดนั้นละเรื่องการชำระกิเลส

ถ้าเราจะเอาความลำบากนี้เข้ามาเป็นอารมณ์ของใจอีก ก็จะเป็นเรื่องของกิเลสอีก ให้เกิดความท้อแท้อ่อนแออีกแหละ ไปไม่ไหว ว่าอีกแหละ นั่นฟังซิ มันแหลมไหมกิเลส มันแทรกขึ้นมาทุกระยะๆ นะ

การพูดเรื่องกิเลสต้องเห็นเรื่องของกิเลส พูดเรื่องของธรรมต้องรู้เรื่องของธรรม เห็นเรื่องของธรรมให้เต็มหัวใจเถอะน่ะ มันพูดได้เต็มปากนั่นแหละ ถ้าไม่เห็นนี่ซีมันลำบาก จะทำอะไรก็กลัวแต่จะเป็นจะตาย เล้ยไม่ได้เรื่อง วันหนึ่งๆ บวชเข้ามาก็มานับวันนับคืนนับปีนับเดือน นับอะไรมืดๆ แจ้งๆ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานเขาก็อยู่ในความมืดแจ้งเหมือนกันกับเรา เขาไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร แล้วเราจะเอาความวิเศษวิโสอะไรมาจากมืดจากแจ้ง เท่านั้นปีเท่านี้เดือน เท่านั้นพรรษาล่ะ ถ้าไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติฆ่ากิเลสตัวเป็นพิษเป็นภัยต่อจิตใจออกแล้ว เราอย่าหวังว่าจะเป็นความสุข

เราจะไปโลกไหนถามเจ้าของซิ โลกไหนโลกวิเศษ ถ้าลงได้กิเลสบีบหัวใจอยู่แล้วมันก็เหมือนกับนักโทษ ย้ายจากเรือนจำนี้ไปสู่เรือนจำนั้น ย้ายจากเรือนจำนั้นสู่เรือนจำนี้ ก็คือนักโทษย้ายที่ย้ายฐานนั่นเอง มันมีความสุขความเจริญความเลิศเลอที่ตรงไหน พิจารณาเอาซิ นี่ละการถามเจ้าของให้ถามอย่างนั้น กิเลสอยู่บนหัวใจมันก็เป็นเหมือนกับนักโทษ ย้ายภพย้ายภูมิย้ายไปไหนก็ไม่พ้นที่จะเป็นนักโทษของกิเลสบีบหัวใจอยู่ตลอด เวลา ฆ่ามันเสียแหลกไม่มีอะไรเหลือเลย นั่นละไม่ถาม ถามหาทำไม อดีตผ่านมาแล้วยุ่งอะไร อนาคตยังไม่มาถึงยุ่งอะไร ปัจจุบันก็รู้เท่าทันไม่ยึดไม่ถือ นั่นฟังซิ แล้วจะไปหมายอะไร เมื่อไม่หมายแล้วก็หมดกังวล แล้วจะเอาทุกข์มาจากไหน

ทีนี้มันก็ทำให้รู้ซิว่า ที่เป็นทุกข์ๆ ในหัวใจนี้ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะกิเลสเท่านั้น มีมากมีน้อยก็ตาม เหมือนอย่างหนามอย่างเสี้ยนเรานี่ ละเอียดขนาดไหนมันก็ทุกข์ ถ้ายังมีอยู่ในร่างกายของเรานี้ ถอดถอนมันออกหมดเสียนั่นถึงจะสบาย จิตใจก็เหมือนกัน

ธรรมพระพุทธเจ้าถอดถอนกิเลสไม่ได้แล้วมันก็หมด จะเอาอะไรมาถอนเอาอะไรมาถอด แล้วย่นเข้ามาหาตัวของเราอีก ถ้าเราถอดถอนกิเลสไม่ได้แล้วจะให้ใครถอน ใครจะเลิศยิ่งกว่าเราผู้แก้กิเลสในหัวใจเรา ใครจะเก่งยิ่งกว่าเราผู้แก้กิเลสในหัวใจเรา ใครจะเพียรยิ่งกว่าเราผู้แก้กิเลสในหัวใจเรา ใครจะฉลาดยิ่งกว่าเราผู้พยายามแก้หัวใจเราด้วยปัญญา ใครจะมีสติยิ่งกว่าเราผู้ตั้งสติอยู่ตลอดเวลานี้ นั่นฟังซิ มันเกิดได้ๆ มีได้ ถ้าเราได้ปักใจลงไปเพื่อความมีความเป็นในสิ่งที่เป็นสิริมงคลทั้งหลายสำหรับ ตัวของเราเอง ต้องเป็นได้แน่นอน ไม่อย่างนั้นธรรมพระพุทธเจ้าไม่เรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว เหล่านี้เป็นเรื่องของธรรมทั้งนั้นสอนคนให้พ้นทุกข์พ้นภัย

หัวใจนี้เป็นสำคัญมากนะ ร่างกายเป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น อาศัยอยู่ในร่างนี้แล้วยังไม่แล้ว ยังมายึดร่างนี้ว่าเป็นตัวของเราอีกแบกหมดเลย นั่นเห็นไหมกิเลสมันฉลาดไหม ยึดนี่อุปาทานขันธ์ท่านว่า โน่นออกมาจากใจนั่นแหละ ยึดใจ ยึดมาโดยลำดับลำดา พอปล่อยเข้าไปๆ ดังเคยอธิบายให้ฟังแล้ว ปล่อยเข้าไปจนกระทั่งถึงรากแก้วรากฝอย ถอนพรวดออกมาหมด ไม่ถามหานิพพานถามหาทำไม

มีกิเลสเท่านั้นพาให้ยุ่งนั้นยุ่งนี้ วุ่นนั้นวุ่นนี้อยู่ตลอดเวลา กะนั้นคาดนี้ มีแต่เป็นลมๆ แล้งๆ คว้าน้ำเหลวไปหมด ปักลงไปซี ตรงไหนกิเลสสร้างเรื่องขึ้นมา อยู่ตรงไหน มันสร้างที่หัวใจนั่นแหละ ดูให้ดี

การประกอบความพากเพียรอย่าไปหาเวล่ำเวลา อุบายวิธีดัดเจ้าของเป็นของเจ้าของเอง เป็นกรณีพิเศษสำหรับแต่ละคนที่จะหาอุบายฝึกตนเอง แก้ไขตนเอง ครูบาอาจารย์ยกยื่นให้ก็เหมือนกับยื่นให้ธรรมทั้งดุ้นนั่นแหละ เจ้าของต้องไปจาระไนเอา คิดแยกตัวเอง ไม่เช่นนั้นไปไม่รอดนะ สักแต่ว่าประกอบความเพียรเฉย ๆ

ธรรมพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ทุกแง่ทุกมุมซึ้งทั้งนั้น ถ้าเราจะใช้ความพิจารณาตามความซึ้งแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงออกมา นี้ เพราะทรงแสดงออกมาด้วยความบริสุทธิ์หมดจดแท้ๆ ภายในพระทัย และความฉลาดแหลมคมด้วย แสดงออกมาด้วยความฉลาดแหลมคมที่สุดก็คือพระพุทธเจ้า ผู้พินิจพิจารณาตามพระโอวาท ไม่ว่าจะบทใดบาทใดแง่ใดก็ตามเถอะ จะได้ความซึ้งใจมาโดยลำดับลำดาเพราะมีน้ำหนักพอๆ กันหมด ในนามว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว นั่น แต่นี้เราไม่พิจารณานั่นซิ มันถึงไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร

อยากให้หมู่เพื่อนได้รู้ได้เห็นธรรมทั้งหลายก็แทบเป็นแทบตาย สอนก็สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย สอนหมดไส้หมดพุงไม่มีอะไรเหลือเลย ยังยึดเอาไม่ได้มันก็สุดวิสัยซีว่าไง จะให้สอนอะไรไปอีก ก็สอนหมดพุงแล้ว ฟังแต่ว่าหมดพุงเป็นไร ให้พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติซิ ให้ต่างคนต่างเหมือนอยู่คนเดียว ทั้งๆ ที่อยู่ในท่ามกลางหมู่เพื่อนฝูงนั่นแหละ ไม่ให้คิดเป็นเครื่องกังวลอันเป็นการทำลายธรรมะให้ขาดวรรคขาดตอนไป ด้วยความกังวลในสิ่งนั้นสิ่งนี้คนนั้นคนนี้ไม่ดี

พยายามซิ เจ้าเรื่องจริงๆ อยู่ที่ไหนก็บอกแล้ว อยู่ที่จิต แสดงอยู่ที่นั่นละ มาหมายเรื่องนั้นและมาหมายเรื่องนี้ ผู้นั้นเองเป็นผู้ออกไปหมาย เราหลงตื่นเงามันไม่ใช่อะไรนะ จำให้ดีคำนี้ เวลามันเป็นขึ้นมาจะเป็นเหมือนกับกังวานอยู่ภายในหัวใจเจ้าของนั่นแหละ ครูบาอาจารย์จะแสดงไว้นานเท่าไรก็ตาม มันจะไปกังวานอยู่ในนั้นด้วยความจริงที่เรารู้เราเห็นขึ้นมานั้นแหละ อ๋อๆ ที่นี่ยอมรับ กราบ ไม่สงสัย นี่ละคือเจ้าเรื่องใจดวงนี้เอง

แหมเวลามันก่อๆ จริงๆ นะ ไม่ทราบเงื่อนต้นเงื่อนปลายเล้ย มันเป็นอยู่นี้และไม่ทราบว่าจิตเป็นยังไงอีกด้วย หากมีแต่เรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวายเต็มหัวใจ ไฟบรรลัยกัลป์สู้ไม่ได้ ไฟบรรลัยกัลป์มันอยู่ไหนไม่รู้นะ ไฟหัวใจเรานี่ซิ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา ความยุ่งเหยิงวุ่นวายเกิดขึ้นจากไฟเหล่านี้ เผาอยู่ที่หัวใจนี้ไม่มีเวลาสร่างเลยถ้าไม่แก้มันได้ หรือให้มันสงบตัวลงได้ด้วยการแก้ไขดัดแปลงกัน เราก็จะแบกอยู่อย่างนั้นตลอดไป ไปโลกไหนก็จะแบกไฟไป มันวิเศษอะไร มันสุขที่ตรงไหน เอ้า สมมุติว่าเราขึ้นจากชั้นนี้ไปชั้นบน พร้อมทั้งแบกไฟขึ้นไป มันก็ไปเผาอยู่ข้างบนนั่นซิ เหมือนคนไข้ไปอยู่โรงพยาบาล ไปอยู่ชั้นไหนก็ไปซิคนไข้นั่นน่ะ มันก็เป็นคนไข้อยู่ในชั้นนั้นๆ แหละ ถ้าเป็นมากมันก็ไปครวญไปครางอยู่โน้นละ มีร้อยชั้นก็ไปร้องไปครางอยู่ในร้อยชั้นนั่น มันจะเอาความสุขมาจากไหนถ้าไม่หายไข้น่ะ ถ้าหายไข้เสียอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ ไม่จำเป็นจะต้องไปอยู่ชั้นนั้นชั้นนี้ มันเป็นปกติธรรมดาไม่เป็นทุกข์ นี่มันทุกข์เพราะไข้ต่างหากบีบบังคับ

อันนี้ก็ทุกข์เพราะกิเลสต่างหากบีบบังคับหัวใจ ถอดถอนกิเลสออกหมดแล้วอยู่ไหนก็สบายทั้งนั้น ไม่เลือกกาลสถานที่เวล่ำเวลาว่าสูงว่าต่ำ ว่าจะไปที่ไหนต่อที่ไหน เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเงาทั้งนั้นไม่ใช่ความจริง ความจริงจริงๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คือดวงใจที่บริสุทธิ์ล้วนๆ แล้วนั่นแหละ หมดอดีตอนาคต ปัจจุบันก็ไม่สนใจเพราะรู้เท่าแล้ว นั่นเห็นไหม ฟังซิ นี่ละท่านว่าเลิศ เลิศอย่างนี้แหละ ให้เห็นตรงนี้เข้าไปซิ ว่าพระพุทธเจ้าเลิศขนาดไหน เราคัดค้านเราไม่ได้แล้วจะไปคัดค้านพระพุทธเจ้าได้ยังไง ความจริงมันเหมือนกันนี่ รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างเดียวกันแล้ว ค้านกันได้ลงคอหรือคนเรา

แม้แต่ภายนอกอยู่นี้ก็เหมือนกัน ต่างคนต่างไปเห็นแล้ว จะเอาอะไรมาค้านกันมันยอมรับกันนั่นซิ ธรรมก็ยิ่งเป็นของจริงเต็มส่วนด้วยแล้ว รู้เข้าไปตรงไหนมันจะยอมรับๆๆ เท่านั้นเอง ให้พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติ

ผมไม่ค่อยจะได้ประชุมเทศน์อบรมอยู่บ่อยๆ นะทุกวันนี้ ไม่เหมือนแต่ก่อน ธาตุขันธ์ก็อย่างว่าแหละ วัยก็แก่ลงไปชราลงไปโดยลำดับลำดา จะให้ขยันขันแข็งแน่นหนามั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้ยังไง อยู่กับหมู่กับเพื่อนก็อยู่ไปอย่างนั้นแหละ การแนะนำสั่งสอนก็แล้วแต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์จะอำนวยให้มากน้อย ถ้าธาตุขันธ์ไม่อำนวยแล้วก็จะเอาอะไรมาเทศน์ เพราะธาตุขันธ์เป็นเครื่องมือ เมื่อเครื่องมือมันชำรุดแล้วจะเอาอะไรมาใช้ มันก็อยู่เฉยๆ นั่นซี เพียงแต่ลำพังใจที่จะแสดงออกอย่างนี้ไม่ได้ จึงต้องอาศัยขันธ์เป็นเครื่องแสดงออก

ฉะนั้นหมู่เพื่อนก็ขอให้ตั้งอกตั้งใจ อย่าให้ได้หนักอกหนักใจนะ สอนแทบล้มแทบตายแล้ว ยังให้แบกความหนักอกหนักใจ เพราะเรื่องนั้นเรื่องนี้เกี่ยวกับหมู่กับเพื่อนที่อยู่ด้วยกันนี้อีกแล้ว นั่นละผมอกแตกนะ อย่าว่าแต่ผู้ทะเลาะกันจะอกแตก นี่ก็อกแตกได้เหมือนกัน สลดสังเวชนั่นเอง สอนอย่างหนึ่งผลเป็นขึ้นมาอย่างหนึ่ง มันขัดมันแย้งกัน ก็แสดงให้เห็นชัดๆ ว่ากิเลสกับธรรมเข้าแข่งกันในวัดในวาในครูบาอาจารย์ ทั้งๆ ที่เทศน์สอนให้ชำระกิเลสตลอดเวลา แต่กลายเป็นเรื่องของกิเลสมาเป็นคู่แข่งกับธรรมของครูบาอาจารย์ มาเป็นข้าศึกต่อเพื่อนต่อฝูง ต่อครูต่ออาจารย์แล้วยิ่งประจานขายหน้าความเลวทรามของตนอย่างไม่มีอะไรที่จะ ให้อภัยเลย จึงขออย่าให้ได้เห็น ขออย่าให้ได้ยิน

เอาละเหนื่อยแล้ว เทศน์เท่านี้พอแล้ว

ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14348

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

187
ผลกรรมผู้หญิงแต่งกายไม่สำรวมเข้าวัด


ผู้หญิงเข้าวัดแต่แต่งตัวไม่สำรวม


ผู้หญิงที่เข้าวัดแต่แต่งตัวไม่สำรวมอวดเนื้อหนังให้พระหวั่นไหวต่อไปจะได้รับ
ผลกรรมอย่างไร...?

ขอบเขตของคำถามที่ว่า ‘แต่งกายไม่สำรวม’ เข้าวัดนั้น อาจทำให้เพ่งโทษคับแคบ ต้องค่อยๆ
มองให้คลุมข้อเท็จจริงตามลำดับครับ

โดยความเป็นเพศหญิง มีธรรมชาติดึงดูดใจ หรือล่อตาอยู่ในตัวเองเดินๆไปถ้าเป็นที่สนใจได้ก็ถือว่ามีรูปสมบัติอันพึงมีสมเพศตนถ้าวันไหนแต่งองค์ทรงเครื่องได้ถึงขนาดชายหญิงมองเหลียวหลังกันทั่วทุกหัวระแหงก็จะยิ่งภาคภูมิเต็มอิ่มประมาณเดียวกับที่นักวิ่งเข้าเส้นชัยได้เป็นคนแรกทีเดียว

ฉะนั้นผู้หญิงที่รูปร่างหน้าตาดีเกือบทุกคนจึงอดไม่ได้กับการอยากทดสอบเสน่ห์ของตนแล้ว
อะไรจะเป็นเครื่องทดสอบได้ดีไปกว่าผู้ประกาศตนว่าสละเรื่องทางเพศแล้วไม่สนใจเพศหญิงอีกแล้ว

สมัยนี้พระทั่วไปไม่ใช่เครื่องทดสอบที่น่าท้าทายอะไรนักเนื่องจากข่าวฉาวที่ประดังเข้าหูเข้าตาผ่านหน้าหนังสือพิมพ์แทบไม่เว้นแต่ละวันทำให้ผู้หญิงยุคใหม่มองพระไม่ต่างจากชายนุ่งกางเกงนอกวัดทั้งหลายหากทำให้สนใจได้ยังไม่ถือว่าแน่อะไรนัก เท่าที่ทราบจากคำให้การของสาวๆส่วนใหญ่จะรู้สึกสมเพชและนึกดูถูกพระที่ไม่สำรวมเพ่งเล็งตนด้วยสายตากรุ้มกริ่มตั้งแต่แรกเห็นยิ่งกว่าสมเพชและดูถูกผู้ชายทั่วไปมากเนื่องจากใส่เครื่องแบบที่ควรจะมีสง่าราศีเยี่ยงภิกษุผู้อิ่มแล้วแต่กลับทำตัวกระจอกไม่ต่างจากนักโทษที่หิวโซ

แต่หากกลับเป็นตรงข้ามถ้าเป็นพระชื่อดัง ที่มีคนร่ำลือว่าเป็นผู้สงบ เป็นผู้สำรวมการทำให้
ท่านสนใจได้ นับว่าน่าภาคภูมิใจเป็นพิเศษระดับความอยากให้สนใจก็ต่างๆกันไปตามพื้นความคิดความอ่านของผู้หญิงแต่ละคน
เท่าที่ได้ทราบจากปากของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งตั้งใจสละโลกและเข้าประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่ เธอยอมรับว่ารู้สึกผิดและละอายคือพออยู่ๆในวัดไปแล้วอดไม่ได้เห็นชายที่เคร่งๆแล้วอยากลองเสียหน่อยว่าเขาจะทนเสน่ห์เธอไหวไหมในระดับของเธอ ก็จัดได้ว่ามีสติดีและยอมรับตามจริงมากพอที่จะเห็นแม้อาการตั้งใจเล็กๆน้อยๆของตน เช่นชม้ายตาหรือไม่มีอะไรเลยก็เดินด้วยความรู้สึกเป็นเป้าล่อความสนใจของผู้เคร่งในธรรมธรรมดาผู้หญิงที่เคยถูกจับจ้องมามากจะสำเหนียกรู้ได้ว่ากำลังมีผู้ชายสนใจตนอยู่หรือเปล่าและเป็นการแอบชำเลืองหรือเพ่งเล็งเขม็งเป็นความสนใจด้วยความชื่นชมหรือเจืออยู่ด้วยราคะและราคะนั้นถึงขั้นหื่นกระหายหมดรูปหรือว่าเป็นเพียงความวาบหวามแบบอ่อนๆ


หากทำได้ครั้งหนึ่งก็นึกยินดี หรือนึกภูมิใจว่าตนแน่ยิ่งพระที่ขึ้นชื่อว่าปลอดกิเลสเท่าไร ยิ่งอยากทำให้สนใจตนมากขึ้นเท่านั้นแต่หากปลูกฝังจิตสำนึกในทางละอายเอาไว้ก่อนก็จะรู้สึกผิดรุนแรงที่ทำเรื่องไม่งาม ไม่สมควร หรือบางคนยั่วให้สนใจสำเร็จเห็นพระทำตาหวานใส่ ก็พานเกลียดชัง พานสาปส่ง หมดความนับถือไปเลยไม่เหลือเกียรติให้ต้องเคารพกันอีก และไม่คิดหวนกลับไปทำบุญที่วัดนั้นตลอดชีวิตนี่นับเป็นความขัดแย้งในตัวเองที่น่าปวดหัว

ที่กล่าวมาคือหญิงผู้มีสำนึกในธรรมแล้วนะครับตั้งใจจะเดินบนเส้นทางสีขาวแน่นอนแล้วยังเจอเรื่องมิติมืดภายในตนเล่นงานให้ย่ำแย่เข้าได้ แล้วผู้หญิงธรรมดาโดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดมาพร้อมกับการรับรู้ข่าวคาวๆฉาวๆของพระล่ะ?

เท่าที่ทราบแนวโน้มของสาวรุ่นใหม่จะไม่มีความรู้สึกเกี่ยวกับเครื่องแบบที่เหมาะหรือไม่เหมาะกับเขตวัดถ้าเพิ่งเข้าวัดใหม่ๆหรือนานๆเข้าวัดทีจะนึกไม่ถึงว่าเสื้อยืดและกางเกงรัดรูปที่‘แต่งกันเป็นปกติ’ นั้นอาจมีความยั่วตายวนใจ และรบกวนตบะของพระสงฆ์ได้ง่ายๆ

แต่จะมีสาวอีกกลุ่มหนึ่ง ที่จงใจแต่งตัวหวือหวาขัดกับสถานที่ให้เป็นที่สนใจของคนอื่น ไม่ว่าจะพระเณรหรือฆราวาสด้วยกันเข้าหลักถ้าอยากเด่นต้องทำตัวให้ไม่มีใครเหมือน เขาหลิ่วตาเราอย่าหลิ่วตามเขาแต่งขาวเราต้องแต่งดำ ผู้หญิงอื่นปกปิดเราต้องเปิดโปง

เอาเฉพาะเจตนาอันหนักแน่นข้อนี้นะครับถ้าแต่งตัวโป๊เพื่อล่อตาล่อใจเพศตรงข้ามในวัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งทำด้วยความภาคภูมิใจและไม่สำนึกผิดภายหลังหญิงนั้นได้ชื่อว่าเพาะเชื้อแห่งความเป็นธิดาพญามารไว้ในตนแล้ว

การทำบุญสร้างความเป็นธิดาพญามารมีหลายระดับถ้าแจกแจงละเอียดยิบคงเป็นปึก ในที่นี้ขอแยกเป็นคร่าวๆให้เห็นภาพง่ายสุดคือ

๑) เมื่อถึงเวลาทำบุญ ก็ทำด้วยน้ำจิตเลื่อมใสของที่นำมาถวายเป็นการจัดหาของตนหรือตั้งใจร่วมสวดหรือฟังเทศนาธรรมด้วยอาการสำรวม ก็เป็นบุญที่มีกำลังมากหากเสน่ห์ที่นำมาโปรยในวัดมีกำลังอ่อน แค่ในระดับล่อตาล่อใจไม่ถึงขั้นรู้สึกว่าถ้าสึกพระได้ถือว่าเจ๋ง อย่างนี้มีวิบากเป็นกระแสดึงดูดใจแต่เจือด้วยปัญหาร้อนใจในการคบเพื่อนต่างเพศ เพราะใครๆก็จ้องตาเป็นมันและมักเข้ามาเพื่อหวังผลประโยชน์ทางเพศเป็นหลักแต่กว่าจะกอบโกยประโยชน์จากเนื้อหนังไปได้เต็มอิ่ม กว่าจะรู้สึกจืดชืดก็เนิ่นนานแรมปี

เมื่อตายไป กำลังของบุญอาจเป็นแรงฉุดขึ้นสวรรค์ถ้าจิตไม่ผูกพันกับการยั่วยวนคนในวัด ก็จะอยู่ในหมู่เทวดาที่เสวยบุญรื่นเริงเช้าค่ำตามปกติ แต่หากจิตผูกพันกับการยั่วยวนคนในวัดก็จะไปอยู่ในหมู่เทวดาฝ่ายมาร มีใจขวางผู้ปรารถนาความหลุดพ้นเห็นใครประพฤติพรหมจรรย์เก่งๆก็อาจทุรนทุรายอยากลองของเช่นลองมาเข้าฝันแสดงภาพงามวิจิตรล่อใจเสียหน่อย ดูซิว่าจะเผลอหลุดฟอร์มไหมพร่ำละเมอเพ้อพกถึงนางในฝันได้ไหม

๒) เมื่อถึงเวลาทำบุญ ใจก็ยังวอกแวกคอยสังเกตว่ามีใครมองตนไหม เมื่อร่วมสวดมนต์กับคนอื่นก็ไม่ตั้งใจเมื่อฟังเทศนาธรรมก็ฟุ้งซ่านเรื่องแฟน อย่างนี้เป็นบุญที่มีกำลังอ่อนและเจืออยู่ด้วยราคะ หากเสน่ห์ที่นำมาโปรยในวัดมีกำลังกล้าแข็งถึงขั้นเห็นว่าถ้าสึกพระได้นับเป็นยอดหญิง อย่างนี้มีวิบากเป็นกระแสน่ารังเกียจไม่น่าเข้าใกล้ ไม่น่าจับต้อง ตัวไม่เหม็นแต่ก็เหมือนเหม็นอย่างไรบอกไม่ถูกผู้ชายเข้ามาด้วยความหน้ามืดสถานเดียวและมักเป็นประเภทที่เสพสมครั้งเดียวแล้วเบื่อทันทีอยากทิ้งขว้างเหมือนกระดาษชำระที่ใช้แล้วทันที แทบไม่มีแก่ใจอยากแตะต้องต่อเว้นแต่รอให้หน้ามืดอีกทีคราวหลัง

เมื่อตายไปกำลังของบาปมักรั้งลงต่ำถึงอบายภูมิ อาจไปเป็นเปรตจำพวกอสูรยิ่งถ้าจิตผูกพันกับการยั่วยวนคนในวัด ก็จะอยู่ในเขตอสุรกายใจทรามชอบเข้าฝันพระหรือชายดีๆ แสดงเป็นแต่ภาพลามกจกเปรต ล่อให้คิดถึงกามารมณ์และมักเป็นกามารมณ์ที่ผิด หรือสถานเบาถ้ามีวาสนาได้กลับมาเป็นมนุษย์ก็อาจมีความต้องการทางเพศสูง อย่างที่เรียกกัน (แบบผิดความหมายเดิม)ว่าเป็นฮิสทีเรีย อยากมีอะไรกับผู้ชายไม่เลือกหน้า เป็นต้น

สิ่งที่ค่อนข้างแน่นอนคือถ้าผู้หญิงเข้าวัดโดยมีใจเจืออยู่ด้วยเรื่องทางเพศหรือเรื่องเกี่ยวกับการดึงดูดใจชาย เกิดใหม่มักจะเป็นหญิงอีกและห่วงเรื่องความดึงดูดใจของตนเป็นที่หนึ่งจะกระวนกระวายมากถ้ารู้สึกว่าตนเองขาดความดึงดูดใจ ไม่น่าชมได้เงินเดือนมามักถมลงไปกับเรื่องความสวยความงามเป็นหลัก

ทางที่ดีที่สุด ถ้าเริ่มเข้าวัดด้วยใจที่สะอาด ไม่มีเจตนาให้พระมาเพ่งพิศตนจะปลอดภัยที่สุดครับ การแต่งกายปกปิดมิดชิดก็เป็นการสะท้อนถึงเจตนาอันดีผมทราบว่าสุภาพสตรีหลายท่านมี‘ชุดปกติ’ รัดรูป ตอนเข้าวัดยากจะหา ‘ชุดปกปิด’ ได้เจอ อันนี้ขอแนะนำว่าหากทราบแน่ว่าต้องตามที่บ้านไปเข้าวัดประจำ ก็ควรหาซื้อ ‘ชุดพิเศษ’ มาเพื่อแสดงเจตนารมณ์อันดีในการเข้าวัดโดยเฉพาะครับ

ดังตฤณ
http://www.watthummuangna.com/board

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

188
ขอบคุณที่นำมาให้ชมครับ

189
ของฝากจากพระยายม


(เรื่อง การอุทิศส่วนกุศล ท่านพระยายม (ลุงพุฒิ) ท่านมาสั่งให้หลวงพ่อบอกลูกหลาน เมื่อวันปวารณาออกพรรษาปี ๒๕๓๑ ซึ่งหลวงพ่อได้เล่าให้ฟังดังนี้)

หลวงพ่อ : พระยายมกับท่านลุง (นายบัญชี) มาเที่ยววันออกพรรษา
พระยายม กับท่านลุงฯ บอกว่า “คนที่ผมจะช่วยได้ ต้องเฉพาะคนที่ผ่านสำนักผมเท่านั้นนะ!”

ถามท่านว่า “ลุงมีข่าวอะไรส่งข่าวบ้างละ?”

ท่านบอก “ไม่มี! ผมหยุดนรกการ ๓ วัน”

รู้จักไหม… ชาวบ้านเขาหยุดราชการ ใช่ไหม..ท่านหยุดนรกการ ๓ วัน เมื่อวานนี้ (ออกพรรษา), วันนี้ (ปวารณา), และพรุ่งนี้

ถาม
“ทำไม?”

ท่านบอก “วันสำคัญนี่ วันมหาปวารณาผมไม่สอบสวน”

เลยถามว่า “ถ้าเวลาที่ลุงไม่สอบสวน พวกที่คอยการสอบสวนเขามีอิสระใช่ไหม…?”

ท่านบอกว่า “ตามปกติเขาก็มีอิสระอยู่แล้ว ไอ้ที่ไปยืนที่นั่นเขายืนรอคนไม่ให้ลงนรกเท่านั้นเอง”

คือ ท่านมีหน้าที่ไม่ให้ลงนรก แต่ก็ต้องไปตามกฎของกรรม ถ้ารู้กฎของบุญนิดหนึ่งท่านให้ไปสวรรค์ก่อนเลย.. ท่านจัดอย่างนั้น.

เลยถามท่านว่า “ถ้าเขามีอิสระอย่างนี้เขาไปได้ไหม?”

ท่านบอกว่า “เขาไปไหนก็ได้ ถึงเวลาสอบสวนเขาก็มาเอง กฎของกรรมมันบังคับ”

หมายความ เขาจะต้องถูกสอบสวน ไม่งั้นเขาจะลงนรกทันที ถ้าเขามาที่นั่นยังมีโอกาสพ้นหรือไม่พ้น ยังไม่แน่

เลยถามว่า “ถ้าบรรดาญาติเขาอุทิศส่วนกุศลให้ เขาจะมีโอกาสได้รับไหม…?

ท่านบอกว่า “ถ้าญาติฉลาด ได้รับทุกคน”

ญาติฉลาด หมายความ ทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ตรงให้คนเดียว อย่าให้คนอื่น แต่ต้องออกชื่อนะ เพราะเวลานั้นยังเป็นเวลาปลอดอยู่ มีสภาพคล้าย สัมภเวสี

ก็ถามท่านว่า “ทำบุญอย่างไหน พวกนี้จึงจะไปสวรรค์ชั้นสูง มีความสุขมาก มีความสุขน้อย หรือไม่ได้รับเลย”

ท่านบอกว่า “แดนใดที่ไม่มีบุญ ทำแล้วก็ไม่ได้รับเหมือนกัน

หมายความพระเรานี่ล่ะ! เป็นพระแต่หัวแต่ผ้าเหลืองมีไหม นี่แหละทำไปเท่ไรเจ๊งหมด ขาดทุน! ท่านบอกว่า อย่างนี้ทำเท่าไรก็ไม่มีผล อุทิศส่วนกุศลให้แก่พวกนั้นเขาก็ไม่ได้รับ เพราะรับไม่ไหว ถ้าทำบุญที่เขตมีบุญน้อย เขาก็มีอานิสงส์น้อย เขาก็มีความสุขน้อย นี่เราก็ไม่ต้องพูดกัน ทำบุญที่มีอานิสงส์ใหญ่ที่เป็นบุญมาก ก็ได้รับผลมาก ก็ถามถึงบุญ ท่านบอกว่า สังฆทาน นี่ดีที่สุด!

แล้วท่านก็บอกว่า “ไปบอกชาวบ้านเขานะว่า คนที่ผมจะช่วยได้จริงๆ ต้องเฉพาะคนที่ผ่านสำนักผมเท่านั้นนะ” อย่าง สัมภเวสี เปรต อสุรกาย ไม่ผ่านท่าน ท่านช่วยไม่ได้ แล้วคนที่ลงนรกท่านใดก็ช่วยไม่ได้ เพราะไม่ได้ผ่านสำนักท่าน คนที่ต้องผ่านสำนักท่าน เมื่อผ่านสำนักท่านก็ต้องไปคอยอยู่ เลยถามท่านว่า “ทำอย่างไร ถึงความแน่นอนจึงจะปรากฏ ลุงจะช่วยได้”

ท่านก็เลยบอกว่า “เอาอย่างนี้ เวลาเขาทำบุญเสร็จ อุทิศส่วนกุศลให้แก่คนตาย ถ้ายังไม่มั่นใจให้บอกว่า…”

“ถ้าบุคคลนี้ ยังไม่มีโอกาสโมทนาเพียงใด ขอพระยายมเป็นพยานด้วย ถ้าหากว่าพบเธอเมื่อใด ขอให้บอกเธอโมทนาเมื่อนั้น”

ท่านบอกว่า “เพียงแค่เท่านี้แหละ! ผมก็ไม่ต้องสอบสวน มันโผล่หน้าเข้าไป ผมก็บอกว่า เฮ้ย! ข้าทำบุญอย่างโน้นมึงโมทนาเว้ย! มันก็ไปสวรรค์เลย แค่นี้ล่ะผมก็ไม่ต้องเหนื่อย…”

(แล้ว หลวงพ่อก็จบการสนทนาระหว่างท่านกับพระยายมเพียงแค่นี้)

ที่มา : คัดลอกจาก หนังสือ “การอุทิศส่วนกุศล” วัดท่าซุง หน้า ๙ - ๑๒

อ้างอิงจาก : www.bloggang.com/mainblog.php?id=srt-student&month=15-11-
2008&group=12&gblog=5


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

190
หลวงปู่ดู่สอนศิษย์..เรื่อง.."กรรมทางวาจา "


หลวงปู่ดู่สอนศิษย์..เรื่อง.. "กรรมทางวาจา"

หลวงปู่ท่านมักกล่าวถึงมงคลที่สำคัญที่ท่านอยากให้ลูกศิษย์ได้นำไปปฏิบัติ คือ มงคล 38 ประการ มงคลที่ท่านพูดถึงบ่อย ๆ นั่นคือ สัมมาวาจาชอบ คือ พูดแต่สิ่งที่เป็นมงคล

ท่านว่าคนส่วนมากมักสร้างกรรมทางวาจา เพราะกรรมนี้สร้างได้ง่าย แต่เขาไม่รู้หรอกว่าผลของกรรม เมื่อส่งผลจะร้ายแรงเพียงไรคำพูดนั้นสำคัญมาก บางคนพูดไม่ดีกับผู้อื่น จนเป็นเหตุถึงโกรธเกลียดกันชั่วชีวิตก็มี บางรายคำพูดเพียงไม่กี่คำ ก็ทำให้ไม่พูดกันไปหลายปี คนส่วนมากที่ขึ้นโรงขึ้นศาล หรือทะเลาะกันจนไปถึงฆ่ากันตาย ก็เพราะคำพูดที่ไม่ดีนี่แหละ

หลวงปู่ท่านสอนอยู่เสมอว่า อย่าไปพูดไม่ดีกับใครเขา ถ้ามีคนมาว่า หรือด่าเราแต่เราไม่ว่าหรือด่าเขาตอบมันก็จะไม่มีเรื่องกัน

แต่ถ้าแกไปด่าเขาเมื่อไรนั่นแหละเรื่องใหญ่ ท่านสอนศิษย์เสมอว่า อย่าไปพูดทำลายความหวังของใครเขา เพราะนั้นอาจจะเป็นความหวังเดียวที่เขามีอยู่
ถ้าแกไปพูดเข้าเมื่อไหร่กรรมใหญ่จะตกแก่ตนเอง

ท่านบอกไว้อีกว่า คนที่ชอบด่าหรือใส่ร้ายผู้อื่นรวมไปถึงการพูดไม่ดีต่าง ๆ กับคนอื่นนั้น กรรมจะมาเร็วมาก

เขาผู้นั้นจะเป็นคนที่มีศัตรูทั้งภายนอก และภายใน ไม่เป็นที่รักของคนทั่วไป ตรงกันข้ามกับเป็นคนที่น่ารังเกียจแก่คนทั้งหลาย กรรมนี้จะทำให้เขามีเรื่องและเดือดร้อนอยู่เสมอ ๆ ทั้งทางกาย และทางใจ บางคนทำกรรมนี้ไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้ตัว พอกรรมดีที่ตนเคยสร้างมาแต่ปางก่อนหมดหรือเหลือน้อยลง กรรมชั่วที่สร้างนี้ก็จะสนองเขาอย่างหนักทั้งในภพนี้และภพหน้า

ในภพนี้เวลาที่กรรมดีแต่ปางก่อนจะส่งผลให้มีความสุข หรือมีโชคลาภ กรรมชั่วก็จะเข้ามาตัดรอนกรรมดี เหมือนอย่างเขาผู้นั้นซื้อหวยเลข 56 หวยก็จะออกเลข 55 หรือ 57 บางทีก็ติดต่อการค้าหรืองานต่าง ๆ มองเห็นอยู่ว่างานนี้ได้แน่นอน แต่พอถึงเวลาก็ไปไม่ทันบ้าง ไปแล้วไม่เจอหรือมีเหตุต่าง ๆ มาทำให้มีอุปสรรคอยู่เสมอ ๆ ซึ่งที่จริงแล้วผู้นั้นจะมีโชคที่ควรได้ประมาณเป็นล้าน ๆ เขาก็จะได้แค่หมื่นสองหมื่น หรือโชคครั้งนี้ จะได้หลายหมื่น แต่เขากับได้เพียงไม่กี่พันบาท หรือเพียงได้ไม่กี่ร้อยเท่านั้นเอง นี้เป็นเพราะกรรมชั่วเข้ามาตัดรอนกรรมดี และรวมถึงญาติพี่น้องลูกหลาน เขาเหล่านั้นก็จะทำความเดือดร้อนเสียหายมาให้ มีพี่น้องหรือญาติไปจนถึงเพื่อนฝูง ก็จะโกงทรัพย์สินเงินทองของเราบ้าง บางครั้งก็พูดใส่ร้ายให้โทษ ด่าว่าทะเลาะวิวาท ทำให้เราไม่สบายกาย และสบายใจเป็นอย่างมาก มีเรื่องเดือดร้อนต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลาอย่างไม่จบสิ้น มีลูกหลานก็จะดื้อด้าน ว่านอนสอนยาก ทำความเดือดร้อนให้เสียเงินทองอยู่มิได้ขาด ว่ากล่าวลูกหลานไม่เชื่อฟัง ไม่เครารพนับถือ ลูกหลานบางคนก็จะอกตัญญูตนเองมักจะเดือดร้อนด้วยการเป็นโรคร้ายที่รักษายากหรือรักษาไม่หาย เช่น อัมพฤต อัมพาต มะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคร้ายต่าง ๆ อีกมากมายหลายชนิด

หลวงปู่ท่านบอกไว้ว่า กรรมทางวาจามีร้ายแรงมาก การที่เราพูดใส่ร้าย หรือพูดไม่ดีจนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน และเสียใจ หรือไปพูดทำลายความหวังต่าง ๆ ของเขาถ้ารู้ตัวให้หยุดเสีย ถ้าไม่หยุดหรือเลิกทำเสียกรรมไม่สนองแต่ในชาตินี้
พอตายลงไปยังต้องไปใข้กรรมยังนรกตามขุมต่าง ๆ อีก ท่านจะพูดและสอนศิษย์อยู่เสมอว่า "คนดีเขาไม่ตีใคร" ความหมายว่าคนดีไม่ตีใคร ไม่ใช่เอาไม้หรือของแข็ง ๆ ไปตีเขา แต่ท่านไม่ให้พูดจากไม่ดีด่าว่าใส่ร้ายทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเสียหาย และทุกข์ใจ หลวงปู่บอกว่าคนดีเขาไม่ว่าใคร ถ้าแกไปว่าเขาแกก็จะเป็นคนไม่ดี

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต และ http://www.agalico.com/board/showthread.php?t=14224

191
การให้คนอื่นโมทนาบุญของเรา แทนที่บุญของเราจะลดน้อยลง กลายเป็นบุญของเราเพิ่มขึ้น


ถาม : (ไม่ชัด) ?

ตอบ: เรื่องของการโมทนาบุญ เราให้เขาโดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวร เขาจะยินดีหรือไม่ยินดีก็ตาม เราได้ให้เขา ในเมื่อเราได้ให้เขาแล้วจิตใจของเรามันจะปลดหลุดออกจากจุดนั้นมา มันหลุดจากจุดที่ว่าเราเคยทำไม่ดีกับเขา แต่ขณะนี้เราได้ทำดีเป็นการตอบแทนแล้ว ในเมื่อจิตเราไม่ยึดไม่เกาะตรงจุดนั้น โอกาสหลุดพ้นของเราก็มี ส่วนเจ้ากรรมนายเวรเขาจะยินดีไม่ยินดี โมทนาไม่โมทนาเป็นเรื่องของเขา เรามีหน้าที่ให้เราให้ไป ถ้าเขาโมทนาก็ถือเป็นโชคดีของเขาไป ถ้าเขาไม่โมทนาก็ช่วยไม่ได้ เราไปแล้ว บ๊าย บาย

ถาม : ตอนให้นี่เรา (ไม่ชัด) ?

ตอบ: ให้ไปเรื่อยๆ ขอให้เขาอโหสิกรรมให้ ส่วนเขาจะให้ไม่ให้ เรื่องของเขา

ถาม : (ไม่ชัด) ?

ตอบ: ตัวของเรานี่ เราทำบุญมาด้วยความยาก สิ่งที่เราทำมาด้วยความยาก เรายังสละให้คนอื่นได้ กำลังใจขนาดนี้แหละที่เขาเรียกว่าบุญ สมมติว่าหนูทำงานมาเหนื่อยทั้งเดือน ได้เงินเดือนมาแล้วไปให้คนอื่น เป็นคนอื่นเขาทำได้ไหม ทำไม่ได้ ถ้าใจไม่ประกอบไปด้วยความเมตตา กรุณาจริงๆ ก็ทำไม่ได้ คนที่กำลังใจประกอบด้วยเมตตากรุณามันเป็นบุญตรงนั้น

ถาม : แล้วบุญเราจะหมดไหม ?

ตอบ: ลักษณะของการให้บุญคนอื่น เหมือนกับเราก่อไฟขึ้นมากองหนึ่ง การให้คืออนุญาตให้เขามาต่อไฟนั้นไปใช้ได้ สมมติว่าเขามีเทียนคนละเล่ม เราจุดเทียนขึ้นมาเล่มหนึ่งแล้วปักไว้ เอ้า อนุญาตให้เธอต่อได้ คนโน้นก็มาจิ้มที คนนั้นก็มาจิ้มที ไฟเราดับไหมล่ะ ไม่ดับหรอก แต่ขณะเดียวกันพอคนอื่นได้ไปแสงสว่างมันเพิ่มมากขึ้น นั่นก็คือบุญของเราที่เพิ่มขึ้นด้วย คนอื่นก็ได้ด้วย ของเราเองก็ไม่ไปไหนแถมยังมากขึ้น เพราะฉะนั้นรีบให้เยอะๆ บุญมันจะได้เยอะขึ้น

ถาม : กลัวเจ้ากรรมนายเวรไม่มารับ ?

ตอบ: ไม่ต้องกลัวหรอก นั่นเรื่องของมัน รับไม่รับเรื่องของเขา เราได้ให้แล้วจิตใจของเราก็ปลอดโปร่ง รู้สึกว่าเบารู้สึกว่าสบาย ได้ทำการตอบแทนในสิ่งที่เราทำไม่ดีแล้วด้วยความดี จิตของเราปลดออกจากจุดนั้นมา เราก็มีโอกาสหลุดพ้นไปเป็นเทวดา เป็นพรหม ไปนิพพานได้ ส่วนเขาโมทนา ไม่โมทนา หลุดไม่หลุดเรื่องของเขา

ถาม : ............................... ?

ตอบ: พระอนุรุทธ มีอยู่ชาติหนึ่งเป็นคนเกี่ยวหญ้าให้เศรษฐี เศรษฐีแกมีช้าง ม้า วัว ควาย เยอะ ชาตินั้นท่านชื่อ อันนภาระ ได้ทำบุญกับ พระปัจเจกพุทธเจ้า เสร็จแล้วก็ไปเล่าให้เจ้านายฟัง เจ้านายก็อยากได้บุญอันนี้ บอกว่าฉันให้พันหนึ่ง เธอให้บุญฉันนะ พระอนุรุทธบอก ไม่ให้ ให้หมื่นหนึ่ง ไม่ให้ ให้แสนหนึ่ง ไม่ให้ ถามว่าทำไม บอกว่าถ้าหากว่าให้แล้ว เดี๋ยวบุญจะหมด คือท่านเข้าใจอย่างนั้น เอางี้แล้วกันไม่เอาทั้งหมดหรอกแบ่ง

พระอนุรุทธในชาติที่เป็นอันนภาระชายเกี่ยวหญ้า บอกเดี๋ยวขอไปถามพระคุณเจ้าก่อนว่าแบ่งได้ไหม พอไปถาม พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็บอกให้ว่า เรื่องของการให้คนอื่นเขาโมทนาบุญ มันก็เหมือนกับตัวเองก่อไฟขึ้นมา แล้วอนุญาตให้คนอื่นเขาต่อไปใช้ ไฟของเรามันไม่ได้น้อยลง ขณะเดียวกันไฟที่คนอื่นก่อเพิ่มมา มันก็เพิ่มแสงสว่างมากขึ้นด้วย แทนที่บุญของเราจะลดน้อยลง กลายเป็นบุญของเราเพิ่มขึ้น นั่นแหละพระอนุรุทธ ถึงได้ยอม กลับมาบอกให้มหาเศรษฐีที่เป็นเจ้านายโมทนาบุญ ไม่อย่างนั้นไม่ให้หรอก กลัวหมด

สมัยหนึ่ง หลวงพ่อก็ยังเคยมานั่งเสียดายว่า กูทำแทบตายมันเอาของกูไปหมดเลย พอรุ่งเช้าตอนบิณฑบาตกลับมา เตรียมจะฉัน หลวงปู่ปาน ท่านก็ถาม เป็นไงพ่อคุณให้เขาแล้วยังเสียดายเรอะ? บอกเสียดายสิครับ ผมทำมาตั้งนาน ทำมาด้วยความยากด้วยความลำบาก มันเอาของผมไปหมดเลย หลวงปู่ปานท่านบอก หมดซะเมื่อไหร่เล่า แล้วท่านก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง บอกว่าถ้าให้เขาของเรามันเยอะขึ้น เป็นเราก็ใจหายนะจากที่โทรมๆ นี่กลายเป็นนางฟ้า เพชรแพรวพราวทั้งตัวเลย มันโกยของเราไปเท่าไรหว่า



สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

193
ว้าวๆ สวยมาก เข้มขลังน่าดูเลยนะเนี่ย

194
คนใก้ลตายควรแนะนำอย่างไร(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


ปกิณกะ
เรื่องที่ ๑๗๒
คนใกล้จะตายควรแนะนำอย่างไร

"..ถ้าป่วยใหม่ๆ อาตมาแนะนำให้ทำดังนี้
๑) ให้นำพระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร พร้อมอาหารและของใช้ที่จำเป็น นำไปให้ผู้ป่วยเห็นและให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า
"ของทั้งหมดนี้ขอถวายเป็นสังฆทานแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เพื่ออุทิศส่วนกุศลผลบุญทั้งหมดนี้ให้เจ้ากรรมนายเวรของผู้ป่วยได้โมทนาและอโหสิกรรมให้ผู้ป่วยด้วย"
แล้วญาติก็นำของทั้งหมดไปถวายพระเป็นสังฆทาน จิตใจของผู้ป่วยจะได้สบายเพราะได้เห็นพระพุทธรูปและได้ทำบุญ
๒) ถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีก ก็ควรนำเงินจะมากหรือน้อยตามแต่ศรัทธา ให้ผู้ป่วยถือเงินไว้และให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า
"เงินจำนวนนี้ขอถวายชำระหนี้สงฆ์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถ้าเคยไปหยิบหรือนำของสงฆ์มาโดยเจตนาหรือไม่ได้เจตนาก็ตาม"
๓) ในระหว่างที่นอนป่วยอยู่ ควรนำพระพุทธรูปมาตั้งไว้ให้ผู้ป่วยได้มองเห็น อย่าไปตั้งไว้ในที่ผู้ป่วยเห็นไม่ถนัด ผู้ป่วยลืมตาขึ้นมาเมื่อใดก็จะเห็นพระทันที จิตของผู้ป่วยจะได้จับอยู่ที่พระ ใจจะสบายช่วยให้คลายจากทุกขเวทนาได้บ้าง และถ้าตายเมื่อใดก็จะไม่ลงนรก
๔) ถ้าป่วยมากมีทุกขเวทนามาก ควรแนะนำสั้นๆ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าหรืออย่างใดอย่างหนึ่งดีกว่า ถ้าไปแนะนำยาวๆ จะเกิดอาการกลุ้ม
๕) ถ้าต้องการให้ผู้ป่วยตายแล้วไปพระนิพพาน ให้นึกภาวนาว่า "นิพพานัง สุขัง"ถ้าคิดว่าป้องกันไม่ให้ลงนรกก็ให้ภาวนาว่า "พุทโธ" ให้บอกสั้นๆ อย่าบอกยาว
๖) ถ้าผู้ป่วยภาวนาไม่ไหว ก็ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ให้นึกถึงพระไว้หรือจะนึกถึงพระสงฆ์ก็ได้ อย่าไปแนะนำยาวๆ เพราะเวลานั้นทุกขเวทนามากจะทำให้กลุ้ม ดีไม่ดีจิตใจเขาดีอยู่แล้ว ถ้าแนะนำไม่ดี พูดมากไปเขาจะกลุ้มจะทำให้ลงนรกไป ให้ดูตาคนป่วย ถ้าตาลอยๆ ตาปรือๆ อย่าไปพูดมาก
ฉะนั้น การแนะนำคนป่วยก่อนตาย ต้องระมัดระวังให้ดี.."


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

195
ตายจากสัตว์ฯแล้วไปเกิดเป็นพรหมฯ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


เรื่องที่ ๑๔๑

ตายจากสุนัขชื่อ "ปุย" ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๗
"..มีลูกสุนัขตัวหนึ่งมันป่วย เจ้าตัวนี้เกิดมาใหม่ๆ ตัวเบาเหมือนนุ่น ตัวเล็กที่สุด ต่อมาก็แข็งแรงแล้วก็ป่วย รุ่งขึ้นก็ตายตอนเช้า มันอยู่ข้างล่าง อาตมานอนอยู่ชั้นบนก็เห็นผู้ชาย ๔-๕ คน นุ่งขาวห่มขาวเป็นแบบคนธรรมดา รูปร่างใหญ่เดินเข้ามา อาตมามีความรู้สึกว่าเป็นพรหม จึงถามว่า "มาทำไม" เขาก็บอกว่า "ผมมารับปุยครับ" เจ้าหมาตัวนี้หมายเลข ๓๔ อาตมาเรียกมันว่า "ปุย" เพราะขนปุยเหมือนหมาจู ถามว่า "ปุยคนไหน" ตอบว่า "คนนี้ครับ" ก็เลยถามว่า "ตายแล้วไปอยู่ไหนล่ะ" เขาตอบว่า "อยู่พรหมชั้นที่ ๗ เขาเป็นท้าวมหาพรหม เขาลงมาประเดี๋ยวเดียว เขาก็กลับ
"แสดงว่าพรหมมารับพรหม.."

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

196
ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปพระนิพพาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปพระนิพพาน
เรื่องที่ ๔
การบรรลุมรรคผลพระนิพพานของท่านอัญญาโกณฑัญญะกับท่านสุภัททะปริพาชก

“..เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศว่า พระองค์จะนิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ที่เมืองกุสินารามหานคร พระอานนท์ก็ทัดทานว่า เมืองกุสินาราเป็นเมืองเล็ก การนิพพานที่นั่นจะไม่เหมาะสม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่าเหมาะ เพราะเมืองกุสินาราเคยเป็นเมืองของพระเจ้าจักรพรรดิ และคนที่เป็นจักรพรรดิในเมืองนั้นก็คือ ตถาคตฉะนั้นเมืองใดที่เคยมีจักรพรรดิ เมืองนั้นถือว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญ เมืองที่พระอานนท์ท่านเสนอก็คือเมืองราชคฤห์กับเมืองพาราณสี การที่องค์สมเด็จพระบรมครูตรัสแก่พระอานนท์ว่า เมืองกุสินารามหานครเมื่อก่อนนี้เป็นมหาประเทศ เป็นเขตที่อยู่ของพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลกนั้นเป็นเหตุอย่างหนึ่ง แต่เนื้อแท้จริงๆ การที่พระองค์จะทรงไปนิพพานที่นั่นก็เพื่อหวังจะไปโปรดบริษัทคนสุดท้าย เพราะคนที่เกิดมาจะได้บรรลุมรรคผล บางคนก็พระอรหันต์สอนได้ แต่บางท่านพระอรหันต์สอนไม่ได้เพราะวิสัยตรงเฉพาะพระพุทธเจ้า ท่านผู้นั้นคือ ท่านสุภัททะปริพาชก

เวลากลางคืนก่อนที่องค์สมเด็จพระบรมครูจะเข้าสู่พระนิพพานในวันรุ่งขึ้นเวลาใกล้รุ่งอรุณ ก็ปรากฏว่ามีท่านๆ หนึ่งคือ สุภัททะปริพาชก ต้องการจะเข้าไปกราบทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้า พระอานนท์ก็ทรงห้ามไว้ เพราะเวลานี้สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประชวรหนัก ท่านอย่าไปรบกวนพระองค์เลย ขณะที่พระอานนท์กำลังพูดกับท่านสุภัททะปริพาชก พระพุทธเจ้าได้ทรงสดับด้วยทิพโสตญาณ เมื่อพระองค์ทรงทราบก็บอกพระอานนท์ให้ปล่อยเข้ามา “ว่าการที่ตถาคตมาที่นี่ ก็มาเพราะลูกชายคนนี้เท่านั้น” จะเห็นว่าตอนก่อนจะมาพระองค์ตรัสอย่างหนึ่ง ถ้าตรัสว่าจะมาโปรดสุภัททะปริพาชก ก็คงจะต้องถูกทัดทาน พระองค์จึงให้เหตุผลคนละอย่าง เพราะพระพุทธเจ้าทรงทราบว่า สุภัททะปริพาชก พระสาวกก็สอนไม่ได้ เป็นคนมีอารมณ์แข็ง ก่อนที่จะมาเกิดชาตินี้เป็นพี่น้องกันกับท่านอัญญาโกณฑัญญะท่านอัญญาโกณฑัญญะเป็นน้อง ท่านสุภัททะปริพาชกเป็นพี่ แต่ท่านอัญญาโกณฑัญญะเวลาทำบุญจะเริ่มทำบุญตั้งแต่แรกนา ส่วนพี่ชายคือท่านสุภัททะปริพาชกทำบุญเมื่อขนข้าวเข้ายุ้งเสร็จแล้ว


ฉะนั้น เมื่อเวลาสำเร็จมรรคผล ท่านอัญญาโกณฑัญญะจึงได้ก่อนบรรลุมรรคผลก่อนคนอื่นทั้งหมด สำหรับพี่ชายทำบุญเมื่อเก็บข้าวเสร็จแล้ว จึงบรรลุมรรคผลหลังสุดคือพระพุทธเจ้าจะนิพพาน เป็นอันว่าท่านสุภัททะปริพาชกก็เข้ามา พระองค์จึงถามถึงความประสงค์แล้วก็ตรัสว่า “เวลานี้ตถาคตป่วยมากนะ เวลาก็ใกล้จะสว่างมากแล้ว เมื่อใกล้สว่างตถาคตก็ต้องนิพพาน ฉะนั้นการถามปัญหาของเธอจงงดไว้ จงฟังเทศน์เถิด”


พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์ปรารภขันธ์ ๕ ว่า “จงอย่าสนใจกับร่างกายของเรา อย่าสนใจร่างกายของบุคคลอื่น อย่าสนใจกับวัตถุธาตุใดๆ ทั้งหมด เพราะทุกอย่างมันเป็นอนิจจังไม่เที่ยง ถ้าเราเข้าไปยึดแล้ว ก็เป็นทุกขังเป็นทุกข์ ในที่สุดมันก็พัง ต้องเป็นอนัตตาดึงมันไว้ไม่อยู่ ฉะนั้นขอเธอจงปรับใจของเธอให้เข้าใจถึงเรื่องนี้ให้รู้ตามความเป็นจริง” รวมความว่า ไม่ให้สนใจในรูปโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือรูปของเรา

เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์จบประเดี๋ยวเดียว ท่านสุภัททะปริพาชกก็ไปปฏิบัติ สักครู่เดียวก็สำเร็จอรหัตผล...”

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

197
ตายจากฯมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเรื่องที่ ๑๒๘

ตายจากพระสงฆ์ไปเกิดเป็นพญานาคมีนามว่า "พญาเอรกปัตตนาคราช"

"..ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "สมเด็จพระพุทธกัสสป" ได้มีภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาอยู่ในถํ้าติดชายทะเล คือภูเขาชายทะเล เวลานั้นคนมีอายุถึง ๔๐,๐๐๐ ปี ท่านบวชเป็นพระจำศีลภาวนานานถึง ๒๐,๐๐๐ ปี ยังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดาที่เรียกว่า "สมมุติสงฆ์"
วันหนึ่งท่านอาบนํ้าอยู่ชายทะเล มีเรือสำเภาลำหนึ่งแล่นมาช้าๆ เพราะลมอ่อน เฉียดเข้ามาใกล้ที่ท่านอาบนํ้า ท่านเห็นตะไคร่นํ้าจับข้างเรืออยู่มันยาวมาก เรือเดินทะเลต้องเดินทางกันเป็นเดือนๆ ตะไคร่ก็จับมาก ท่านก็เลยนึกสนุกขึ้นมาโผกายไปจับตะไคร่นํ้า ปล่อยให้เรือลากไปตามอัธยาศัย ร่างกายของท่านหนัก ตะไคร่ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้จึงหลุดออกมา ตัวท่านก็หลุดออกมาจากเรือแต่ไม่เป็นไรเพราะนํ้าตื้น
การพรากของเขียวคือการทำให้ตะไคร่นํ้าหลุดออกจากที่เดิม พระพุทธเจ้าทรงปรับเป็นอาบัติปาจิตตีย์ แต่มีโทษไม่เหมือนกับอาบัติปาจิตตีย์การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นลงนรก แต่ปาจิตตีย์การพรากของเขียวให้พลัดพรากจากที่เดิมของท่านก็คือ ท่านเป็นพระอยู่องค์เดียวจึงไม่มีการแสดงอาบัติ คือไม่มีโอกาสระงับโทษนี้ เวลาตายอาบัติก็คาใจนิดเดียวเท่านี้ การจำศีลภาวนาของท่านไม่มีผลให้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาหรือพรหม แต่ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นพญานาค ด้วยอำนาจแห่งการบำเพ็ญบารมีมานานถึง ๒๐,๐๐๐ ปี และมีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงมีสภาวะเป็นทิพย์มีความเป็นอยู่คล้ายเทวดา มีที่อยู่เป็นทิพย์ มีเครื่องบริโภคเป็นทิพย์ มีสมบัติอันเป็นทิพย์แต่ทว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานมีนามว่า "พญาเอรกปัตตนาคราช"ก็เพราะว่ามีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนนาคธรรมดา มีสภาพเหมือนตะไคร่นํ้าคือ ทั้งตัวรุ่มร่ามนุงนังไปหมด เหมือนตะไคร่นํ้าลอยนํ้า
ต่อมาพญาเอรกปัตตนาคราชก็ได้ นางนาควิกาคือนาคนารีอีกตัวหนึ่งมาเป็นคู่ครอง มีลูกสาวมีนามว่า "นางนาคมาณวิกา"ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทรงอุบัติขึ้น พญานาคตนนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นนาคแต่มีอารมณ์ใจเป็นทิพย์ มีความคิดอยู่เสมอว่าเมื่อไรหนอพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่จะทรงอุบัติขึ้น ท่านมีอายุนานเหลือเกินเพราะท่านเกิดเป็นนาคในสมัยสมเด็จพระพุทธกัสสป และพระองค์ทรงนิพพานไปแล้ว สิ้นเวลาเป็นล้านๆ ปี ท่านพญานาคตนนี้ก็ยังมีอายุยืนเป็นพญานาคอยู่ ถ้าหากว่าท่านตายจากความเป็นนาค ความดีเดิมปรากฏก็จะบันดาลให้ท่านเป็นเทวดาได้ แต่ทว่าอายุของท่านมันนานเกินไป แต่จิตใจก็ยังน้อมไปด้วยกุศล
วันหนึ่งท่านเกิดไม่สบายใจคิดว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงอุบัติขึ้นในโลกแล้วหรือยัง ทนไม่ไหวจึงได้เรียกลูกสาวคือ นางนาคมาณวิกาให้แปลงเป็นมนุษย์สาวสวย ตัวท่านเองก็แผ่พังพานให้ลูกสาวยืนอยู่บนพังพานของท่าน แล้วก็ร้องเพลงเป็นพุทธภาษิต ที่ท่านแต่งขึ้นโดยตั้งจิตคิดว่า เพลงนี้มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะทรงแก้ได้ คนธรรมดาไม่สามารถจะแก้ได้ เพลงของท่านเป็นพุทธภาษิตที่ สมเด็จพระพุทธกัสสป ตรัสไว้ ท่านจำได้เพราะจิตเป็นทิพย์
เมื่อท่านแผ่พังพานลอยขึ้นมาในน่านนํ้า นางนาคมาณวิกาก็ร้องเพลงที่พ่อแต่งให้ โดยมีสัญญาว่า "ถ้าใครร้องเพลงแก้เพลงนี้ได้ เราจะยอมเป็นภรรยา"รูปร่างหน้าตาของลูกสาวท่านสวยมาก ไม่ว่าใครๆ ที่ทราบข่าวก็พากันไปร้องเพลงแก้ เมื่อร้องเพลงแก้แล้วนางก็ตอบว่า "ไม่ถูก" ท่านพ่อก็เป็นพยานบอกว่า "ยังไม่ถูก" ถ้าร้องเพลงแก้ถูกเมื่อไรก็ยกลูกสาวของเราให้เป็นภรรยาทันที เพราะสภาวะท่านเป็นทิพย์ ท่านก็พูดภาษาคน
อุตตรมาณพบรรลุพระโสดาบัน

ต่อมาองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเห็นว่า อุตตรมาณพ ซึ่งเป็นคู่ครองกันมากับนางนาคมาณวิกา จะได้เป็นพระโสดาบัน เวลานั้นอุตตรมาณพได้ยินข่าวเขาลือว่า นางนาคมาณวิกามีรูปร่างหน้าตา ทรวดทรงสวยยิ่งกว่ามนุษย์ใดๆ ในโลกที่จะพึงสวยเท่า มาร้องเพลงให้คนแก้ ถ้าใครแก้ได้จะยอมเป็นภรรยา จึงได้ศึกษาว่าเพลงเขาร้องว่าอย่างไร ก็ตั้งใจจะร้องแก้ ก็เดินออกจากบ้านไป เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทราบอุปนิสัยว่าเขาจะได้ พระโสดาปัตติผล พระองค์จึงได้ไปนั่งดักกลางทาง ครั้นอุตตรมาณพเห็นพระพุทธเจ้าจึงเข้าไปถวายนมัสการเพราะรู้จัก พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสถามว่า "เธอจะไปไหน"
อุตตรมาณพจึงได้กราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าจะไปร้องเพลงแก้นางนาคมาณวิกา"
พระพุทธเจ้าทรงทราบแล้วว่าเขาเป็นเนื้อคู่กัน เขาจะต้องเป็นคู่ครองกันแน่ และอีกประการหนึ่ง เมื่อเป็นคู่ครองกันแล้วได้ฟังเทศน์ของพระองค์ เขาจะได้บรรลุพระโสดาปัตติผล องค์สมเด็จพระทศพลทรงต้องการอย่างเดียวคือพระโสดาปัตติผลให้เขาเจริญเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า พระองค์จึงตรัสถามอุตตรมาณพว่า "เพลงที่เธอจะไปร้องแก้ เธอจะร้องว่าอย่างไร" อุตตรมาณพจึงเล่าให้พระพุทธเจ้าฟัง พระองค์จึงได้บอกว่า "แก้แบบนี้ไม่ถูก ต้องแก้แบบนี้" แล้วพระองค์ก็ทรงผูกเพลงเป็นพุทธภาษิตไปให้ร้องเพลง และอุตตรมาณพก็ไปขอรับอาสาจะร้องเพลงแก้ นางนาคมาณวิกาก็ร้องเพลงคำถาม อุตตรมาณพก็ร้องเพลงแก้
พญาเอรกปัตตนาคราชตั้งใจฟังอยู่ พอได้ฟังการร้องเพลงแก้นี้ถูกต้องตามที่ตนตั้งใจไว้ ก็คิดในใจว่าเวลานี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารจะต้องอุบัติขึ้นแล้ว ก็ดีใจจึงได้เอาพังพานตีนํ้า นํ้าเป็นคลื่นทำเอาคนที่ยืนอยู่ริมแม่นํ้า หล่นลงไปในนํ้าตามๆ กันเพราะถูกคลื่น พญาเอรกปัตตนาคราชจึงค่อยๆ เอาหางประคองคนทั้งหมดขึ้นไปบนตลิ่ง แล้วตนเองก็แปลงเป็นมนุษย์ขึ้นไปถามอุตตรมาณพว่า "เพลงที่ท่านนำมาแก้นี้ ท่านคิดได้เองหรือว่าใครสอนท่าน" อุตตรมาณพจึงตอบว่า "เพลงนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้" ท่านจึงถามว่า "เวลานี้พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน" อุตตรมาณพบอกที่แล้วก็พากันไป
เมื่อไปถึง พระพุทธเจ้าก็เทศน์โปรด อุตตรมาณพเป็นพระโสดาบัน นางนาคมาณวิกาและพญาเอรกปัตตนาคราชเข้าถึงพระไตรสรณคมน์ แล้วยกลูกสาวพร้อมด้วยสมบัติอันเป็นทิพย์ให้อุตตรมาณพ คือนำสมบัติส่วนนั้นมาไว้เมืองมนุษย์ จะนำไปไว้บาดาลไม่ได้ อุตตรมาณพกลายเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่า การฟังพระธรรมเทศนาคราวนั้น ถ้าพญาเอรกปัตตนาคราชไม่เป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็จะได้บรรลุพระโสดาบันเป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้น ที่ฟังแล้วไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้ ก็เพราะว่าพญาเอรกปัตตนาคราชไม่ใช่คน เป็นสัตว์เดรัจฉาน จึงไม่มีโอกาสที่จะบรรลุมรรคผล
การที่นำเรื่องราวของพญาเอรกปัตตนาคราชมาเล่านี้ ก็เพื่อให้บรรดาพุทธบริษัทรู้จักลีลาของพระว่า พระองค์ใดท่านปฏิบัติไม่ดีเพียงแค่ความชั่วเพียงเล็กน้อยเท่านี้ ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ถ้าพระองค์มีนิสัยไม่ดี คือมีจิตอิจฉาริษยาบุคคลอื่นที่ทำตนได้ดีกว่าก็ตาม หรือเรี่ยไรทรัพย์สินทั้งหลายมาแล้ว ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์กลับเอาไปประกอบกิจเป็นประโยชน์ของตนก็ตาม ให้เป็นประโยชน์แก่พวกพ้องก็ตาม เหล่านี้เป็นปัจจัยให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นลง อเวจีมหานรก ถ้าท่านทั้งหลายไปเคารพ ปฏิบัติตามพระพวกนี้เข้า พระไปนรกท่านก็ไปนรกด้วย พระไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานท่านก็ไปเกิดด้วย เพราะนิยมตามแบบฉบับเดียวกัน.."

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บพลังจิต

198
ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นเปรต..(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


เรื่องที่ ๑๕๒

พระสารีบุตรช่วยมารดาในอดีตที่ผ่านมาแล้ว ๑๐๐ ชาติได้ตายจากคนไปเกิดเป็นเปรต

"..เรื่องพระสารีบุตร จากพระไตรปิฎกเล่ม ๒๖ หน้า ๑๖๑ เมื่อพระสารีบุตรท่านเจริญพระกรรมฐานเป็นที่สบายอารมณ์แล้ว ท่านไปแดนเปรตพบหญิงเปรตคนหนึ่งผอมมีแต่ซี่โครง เปลือยกายมีเส้นเอ็นสะพรั่ง ท่านจึงถามว่า "เธอเป็นใคร" การถามแบบนี้แสดงว่าท่านทราบว่าเปรตนั้นเป็นใคร แต่ระเบียบของพระรู้แล้วต้องทำเป็นไม่รู้ ระเบียบนี้พระพุทธเจ้าทรงใช้เป็นปกติ เปรตตอบว่า "เมื่อก่อนในชาติที่ผ่านมาแล้ว ๑๐๐ ชาติ ฉันเป็นมารดาของท่าน เวลานี้ฉันหิวมาก มีความกระหายในอาหาร เมื่อความหิวเกิดขึ้นก็กินนํ้าลาย เสมหะ นํ้ามูก ที่เขาถ่มทิ้ง กินไขมันเหลวจากซากศพที่เขาเผา กินโลหิตของหญิงทั้งหลายที่คลอดบุตร เป็นต้น ลูกเอ๋ย ลูกจงให้ทานอุทิศส่วนกุศลให้แม่บ้าง แม่จะได้เลิกหิวเสียที
พระสารีบุตรท่านตั้งใจจะช่วยมารดา เมื่อท่านรับรองว่าจะช่วยแล้วท่านก็มาปรึกษากับ พระโมคคัลลาน์ พระอนุรุทธ พระกับปินะ หรือที่ชาวบ้านหรือพระนักเทศน์เรียกว่า "พระกบิน" ท่านทั้งหมดช่วยกันสร้างกุฏิ ๔ หลังใน ๔ ทิศ (สร้างกุฏิเพิงหมาแหงน) และถวายข้าวหยิบมือหนึ่ง กับข้าวหยิบมือหนึ่ง ใส่ใบไม้ และนํ้าหนึ่งฝาบาตร ผ้ากว้างคืบ ยาวคืบ หนึ่งผืน ถวายพระสงฆ์เป็นสังฆทานและวิหารทาน แล้วร่วมกันอุทิศส่วนกุศลให้มารดาพระสารีบุตร (มารดาคนนี้เคยเป็นมารดาพระสารีบุตรเมื่อ ๑๐๐ ชาติที่แล้วมา ไม่ใช่มารดาในชาติปัจจุบันของท่านซึ่งก่อนตายท่านเป็นพระโสดาบัน)
เมื่ออุทิศส่วนกุศลให้แล้ว อานิสงส์บังเกิดดังนี้
ถวายข้าวและนํ้า ทำให้เธอได้ร่างกายที่เป็นทิพย์ถวายผ้าคืบยาวคืบ เป็นเหตุให้เธอได้เครื่องประดับที่เป็นทิพย์
ถวายกุฏิเพิงหมาแหงน เป็นเหตุให้เธอได้วิมานที่สวยงามมาก
ถวายนํ้า ๑ ฝาบาตร เป็นเหตุให้เธอได้สระโบกขรณี
เมื่อยามราตรีเธอก็ปรากฏกายพร้อมทั้งวิมานและสระโบกขรณีให้พระโมคคัลลาน์เห็น
ท่านก็ถามว่า "เป็นใคร"
เธอตอบว่า "ฉันคือมารดาพระสารีบุตรที่เป็นเปรต ที่พระสารีบุตรถวายสังฆทานและพระคุณเจ้าช่วยกันสร้างกุฏิถวายสงฆ์แล้วอุทิศส่วนกุศลให้"
แสดงว่าคนฉลาดรู้จักทำบุญไม่ต้องสิ้นเปลืองมาก ก็ได้รับอานิสงส์สูง เมื่อให้เขา เขาได้รับ เราผู้ทำก็มีผลเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อให้ใครก็ตามผู้รับก็มีผลไม่บกพร่อง..

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

201
ขอบคุณครับที่เป็นห่วง

202
ยินดีด้วยขอรับ ได้ของดีมาอย่างนี้รักษาให้ดีละ :016: :015:

203
พี่ช่วยดูให้หน่อยครับว่าเป็น หลวงพ่ออะไร ปีไหน ราคาตอนนี้เท่าไหร่ (ไม่ได้ทำการซื้อขายนะครับ แค่อยากรู้ราคา)




ถ้ารูปไม่ชัดก็ขออภัยด้วยครับ

204
ขอให้มีความสุขมากๆนะครับ ขอให้ชีวิตสมบูรณ์แบบนะ  :053:

205
วิธีอยู่เหนือดวงชะตา (ดวงตก)
หลวงพ่อโต (ซำปอกง) วัดพนัญเชิงวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา


วิธีอยู่เหนือดวงชะตา (ดวงตก)



1. ถือศีล 5 ตลอดชีวิต

2. ถวายสังฆทานให้มาก ๆ (บ่อย)ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าดวงกำลังตก มีเคราะห์ ภายในสามวันต้องไม่ต่ำกว่า 7 วัด ถ้าได้ 9 วัดจะยิ่งดี ถ้าได้มากกว่านั้นจะดีเลิศ

3. ปล่อยนก ปลา เต่า หอยขม หอยโข่ง โค กระบือ ฯลฯ หรือสัตว์ที่กำลังถูกฆ่าโดยด่วน

4. ทำบุญใส่บาตรทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 รูป ได้มากยิ่งดี

5. สงเคราะห์คนชราที่เร่ร่อน ขาดคนอุปถัมเลี้ยงดู เด็กกำพร้า เด็กพิการ ผู้ด้อยโอกาสอย่างสม่ำเสมอ

6. ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ปู่ย่าตายาย และผู้มีพระคุณ ให้ท่านชื่นใจ ทุกวิถีทางเท่าที่สามารถจะทำได้ เพราะพรของท่านจะให้ผลมาก

7. สวดมนต์ท่องชินบัญชร พาหุง อุณหิส กรณีเมตยสูตร ยอดพระกัณฑ์ให้ได้



8. ให้ทานขอทาน คนยากจน คนตกยาก โดยเต็มใจ และเมตตาสงสารอย่างแท้จริง ฝึกเป็นผู้ให้จนติดเป็นนิสัย


9. มีความจริงใจ บริสุทธิ์ใจกับทุก ๆ คน ให้อภัยผู้อื่นเสมอ มองหาแต่ความผิด ความบกพร่องของตนเอง และพยายามแก้ไขจนสำเร็จ (ข้อนี้สำคัญที่สุด) เพราะคนเลวคนชั่ว จะมองหาแต่ความเลวของผู้อื่น



10. สวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็นเสมอเป็นประจำ (อานิสงส์ที่เห็นได้ชัดคือ จะมีความอุดมสมบูรณ์ในเครื่องบริโภค)


11. ไม่นินทาว่าร้าย อิจฉาริษยาผู้อื่นเมื่อเขาผิดพลาด หรือได้ดีกว่าตน มองแต่ความผิดพลาดบกพร่องตนเอง และพยายามแก้ไข การกล่าวโทษว่าร้ายผู้อื่น ถึงแม้จะจริงก็ตาม เราก็จะได้รับผลตามมา ถูกตำหนิติเตียน หรือถูกกล่าวร้ายหนักยิ่งกว่าเขาหลายเท่า


12. ไม่ถือสา โกรธเคืองผู้ใด หรือผูกอาฆาตพยาบาท จองเวรใคร เพราะผู้ที่ทำให้เราโกรธ ไม่พอใจ เป็นการทำบาป ทำผิด หรือโง่อยู่แล้วที่ทำเช่นนั้น ถ้าเราโกรธตอบ แสดงว่าเราก็เลวเช่นเดียวกับเขาเช่นกัน และยิ่งเลวกว่า 2 เท่า เพราะรู้แล้วยังทำอีก ให้แผ่เมตตาหรือวางเฉย


13. พยายามทำใจให้รักเมตตา สงสารคนและสัตว์ทุก ๆ คน เพราะเขาเกิดมาก็เป็นทุกข์เช่นเดียวกับเรา คือ ทุกข์เพราะการเกิด ความแก่ ความเจ็บป่วย ความตาย ความพลัดพรากจากของรัก ความไม่สมหวัง ในทุก ๆ สิ่งที่ปรารถนา (ได้มาแล้วย่อมเสียไป) ในที่สุด เพราะความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง อยู่กับเราชั่วขณะหนึ่ง แล้วแปรเปลี่ยนไปในที่สุด เช่นนี้ทุก ๆ สรรพสิ่งในโลกนี้


14. ทุกครั้งที่ทำความดี จะรู้สึกมีความสุขใจ อิ่มใจ สดชื่นแจ่มใส ขณะนั้นบุญกุศลเกิดเต็มเปี่ยม จงแบ่งความสุขเหล่านั้น คือผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร โดยการไม่ลืมอุทิศผลบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ทุก ๆ ครั้งด้วย และแถมท้ายด้วยการขออโหสิกรรมกับเขาด้วย เสร็จแล้วแผ่เมตตาอุทิศผลบุญกุศลให้กับพ่อแม่ ผู้มีพระคุณต่อเราทุก ๆ คนด้วย


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต และ http://www.geocities.com/skychicus/p..._nuedueng.html

206
มาเป็นกองเชียร์ครับ แต่ที่รู้ๆผมรู้คำตอบแล้วขอรับ คำตอบนั้น อย่ที่ใกล้ๆตัวพวกคุณเองแหละครับ

207
...ทรัพย์เคลื่อนที่ได้...(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)


...ความสุขที่แน่นอน ความสุขที่ผ่องใส ความสุขที่ไม่เจือปน
เงินทองช่วยไม่ได้ ต้องสร้างต้องทำของตนเอง
จิตใจเบิกบาน จิตใจดี เงินทองเรื่องเล็ก สมบัติก็เรื่องเล็ก
ในเมื่อเรามีจิตใจ เป็นอริยทรัพย์อันประเสริฐแล้ว
สมบัติภายนอก ก็จะถูกดึง ถูกดูดให้เคลื่อนย้ายเข้ามาหาเรา
จะเป็นสังหาริมทรัพย์ (ทรัพย์เคลื่อนที่ได้)
อสังหาริมทรัพย์ (ทรัพย์เคลื่อนที่ไม่ได้)
มันจะหลั่งไหลเข้ามาหาเรา ทำให้เรามีที่ดินที่อยู่ที่อาศัยมากมาย

ทรัพย์เคลื่อนที่ได้ ในเมื่อจิตเป็นกุศล
มันก็เคลื่อนเข้ามาบ้านเรา ยิ่งรวยเงินยิ่งเข้า
ส่วนบ้านคนจน เงินไม่ค่อยไปหาหรอก
เพราะมันจนจิตจนใจจนสติปัญญา จนทั้งอริยทรัพย์ภายใน
ทรัพย์ไม่ค่อยเข้าไป
มันเข้าไปหาคนรวยจิตใจรวยทรัพย์
คุณสมบัติ มีกรรมฐานดี สติปัญญาดี
เงินมันก็วิ่งไปรวมที่บ้านคนรวยอย่างนั้น
คนจนไม่ทำบุญสุนทาน
บุญจะเข้าไปหรือเงินจะไหลเข้าไปไม่ได้
เขามักจะพูดว่า “เรามันจน เงินหนีหมด” ก็ใช่แล้ว

บางทีมีทรัพย์สมบัติที่พ่อแม่ยกให้
มันจนจิตจนใจ จนสติปัญญา ทรัพย์สิน ก็อันตรธานสูญ
มันก็ไปรวมอยู่ที่บ้านคนรวย
เพราะคนรวยเขารวยสมบัติ รวยคุณสมบัติ
มีอริยทรัพย์อันประเสริฐ มันก็ดูดเงินจากที่อื่นไปหมด
เอาไปอยู่บ้านนั้นรวยมหาศาล
บ้านไหนจนมันไม่มีไหลไปหรอก มันจนนี่
มันจนจิตจนใจ จนปัญญา จนธรรมะ จนคุณสมบัติ
ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยทำบุญเลย
จนอย่างนี้ทรัพย์สมบัติจะเข้าไปไม่ได้

ทรัพย์ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
ทรัพย์ คือ ตัวศรัทธา
ทรัพย์ คือ ตัววิริยะ
ทรัพย์ คือ ตัวความมั่นหมายของตน ได้กุศลภาวนาอย่างนี้
เรียกว่า ทรัพย์มีอยู่ภายใน
มันก็ดึงดูดเข้าไปรวม สิริมิ่งขวัญมงคล
ก็ไปอยู่บ้านคนรวยทรัพย์ รวยน้ำใจ
ทำบุญตักบาตรไม่พัก ทรัพย์มันก็เข้าไปพักอยู่บ้านนั้น
มันไปอาศัยอยู่บ้านนั้น เพราะบ้านนั้นมีความสุข
ทรัพย์นั้นก็ไปรวมเป็นก้อนเป็นกำ
บ้านไหนมีความทุกข์ จิตใจสกปรกลามก
ของดีมันก็เคลื่อนย้ายไป ที่โบราณเรียกว่า ทองลุก
อาตมาเคยเห็นกับตา ถึงได้เชื่อ
ทองลุกเหมือนไฟพะเนียง และเคลื่อนย้ายออกไป
นี่ทรัพย์มันเคลื่อนที่ได้
คนไหนมีบุญวาสนา มันก็เคลื่อนไปอยู่บ้านนั้นแหละ…


ขอฝากลูกหลานไว้ด้วย เป็นเด็กอย่าคิดไม่ดีต่อพ่อแม่ปู่ย่าตายาย
อย่าลักทรัพย์ ถ้าทรัพย์มีคุณสมบัติมันหนีได้จริงๆ
บางบ้านจนทรัพย์ก็หนีไปอยู่บ้านคนรวย
คนรวยน้ำใจ รวยบุญรวยกุศล ทรัพย์เข้าบ้านนั้นหมด นี่ปู่โสมเฝ้าทรัพย์
อาตมาถึงได้ว่า ทองมันลุก ลุกจริงๆ นะ
ลุกหนีไปเลยมันไม่อยู่หรอก
บ้านไหนอัปรีย์จัญไร ด่ากันไม่พัก ทะเลาะไม่พัก ทรัพย์หนีหมด
ลองดูนะ อาตมาขึ้นเรือนต้องล้างเท้าทุกครั้ง
และต้องเดินค่อยๆ ยายบอกอย่าเดินเรือนดัง กระทืบเท้า
ทรัพย์มันจะหนี คุณสมบัติจะไม่มี
อาตมาจำได้มาตั้งแต่เป็นเด็กๆ
ขอฝากญาติโยมไว้ด้วย ทรัพย์หนีได้จริงๆ ขอยืนยัน

คัดลอกจาก...
http://www.jarun.org
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14992


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

208

แสดงธรรมที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย


วิถีจิตสู่การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
แสดงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๘




ณ สถานที่แห่งนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ภายหลังจากที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยามาทุกแบบทุกรูป และได้ไปศึกษาในสำนักอาจารย์ต่าง ๆ สำนักอาจารย์ใด ฤาษีตนใดที่มีชื่อเสียงโด่งดังและเก่งที่สุดในสมัยนั้น พระองค์ทรงไปศึกษาหมดทุกแห่ง จนจบหลักสูตรของคณาจารย์นั้น ๆ สมัยนั้นนิยมการบำเพ็ญสมาธิเพื่อให้ได้ฌาน ได้อภิญญา คือบำเพ็ญสมาธิแบบฌานสมาบัติมุ่งให้จิตสงบนิ่ง รู้ ตื่น เบิกบาน อยู่ภายในจิตเพียงอย่างเดียว แล้วจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติก็เพื่อสร้างชื่อเสียง เป็นอันว่าคณาจารย์หรือนัก ปฎิบัติในสมัยนั้นยังถูกโลกธรรมหรือเอาโลกธรรมเทิดไว้บนศีรษะเพราะยังติด อยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข การปฏิบัติก็มุ่งที่จะสร้างบารมีให้มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เป็นที่นิยมนับถือของปวงชนในยุคสมัยนั้น จึงอยู่ในลักษณะการปฏิบัติเพื่อแสวงหาลาภ ผล แสวงหาบริวาร ไม่ได้มุ่งเพื่อความหลุดพ้นโดยตรง

แต่จะด้วยประการใดก็ตาม การปฏิบัติของท่านเหล่านั้นก็เป็นการสร้างบารมี เพราะความเข้าใจของคนในยุคนั้นความสำเร็จที่เขาพึงประสงค์อยู่ตรงที่ว่า ในเมื่อปฏิบัติเคร่งครัด บำเพ็ญตบะแก่กล้า พระพรหม พระศิวะ พระนารายณ์ หรือพระเจ้าที่เขานับถือจะประทานพรให้เขาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งสุดแท้แต่เขาจะตั้งปณิธานความปรารถนาไว้อย่างไร ก็เป็นอันว่าการปฏิบัติก็เพื่อมุ่งลาภ ผล ชื่อเสียง ให้เป็นที่ประทับใจของคนในยุคนั้นสมัยนั้น การปฏิบัติของท่านเหล่านั้นจึงได้ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อสร้างกิเลส เขาเอาโลกธรรมเทิดไว้บนศีรษะ

แต่เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราได้ทรงศึกษาในสำนักของคณาจารย์นั้น ๆ เข้าไปศึกษาในสำนักอาจารย์ใด อาจารย์นั้นก็หมดภูมิ คือหมดภูมิที่จะสอนพระองค์อีกต่อไป เช่นอย่างไปศึกษาในสำนักของอาฬารดาบส อุทกดาบส ก็สอนพระองค์ได้เพียงฌาน ๔ คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เท่านั้น เมื่อถึงฌานขั้นนี้แล้ว อาจารย์ทั้งสองก็บอกว่าหมดภูมิแล้ว ไม่มีอะไรจะสอนท่านอีกต่อไป ขอให้ท่านอยู่ในสำนักเพื่อช่วยสั่งสอนประชาชนอบรมศิษยานุศิษย์ต่อไปเถิด

เมื่อพระองค์ได้พิจารณาดูโดยรอบคอบแล้ว คือพระองค์สังเกตอย่างนี้ ในขณะที่จิตของพระองค์อยู่ในสมาธิ ฌานขั้นที่ ๔ ร่างกายตัวตนหายไปหมด มีแต่จิตดวงเดียว นิ่ง สว่าง ลอยเด่นอยู่ในท่ามกลางแห่งความว่าง มีจิตอาศัยความสว่างเป็นอารมณ์ ความรู้สึกยินดีไม่มี ความรู้สึกยินร้ายไม่มี คณาจารย์เหล่านั้นจึงถือว่าเขาหมดกิเลสแล้ว แต่เมื่อพระพุทธองค์ได้ไปศึกษาจนจบหลักสูตรของอาจารย์ดังกล่าว ในขณะที่จิตอยู่ในสมาธิ มองหากิเลสตัวใดไม่มี เป็นจิตบริสุทธิ์สะอาดแท้จริง แต่ยังไม่เป็นอมตะ เพราะเมื่ออกจากสมาธิแล้ว เมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ได้สัมผัสกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ความยินดียินร้ายมันยังมีปรากฏอยู่ในจิต พระองค์จึงพิจารณาอย่างรอบคอบว่ามันยังไม่ถึงที่สุด ถ้าหากว่าเราหมดกิเลสอย่างแท้จริง อยู่ในสมาธิเป็นอย่างไร กิเลสไม่มี เมื่ออกจากสมาธิแล้ว กิเลสก็ต้องหมดไป สิ่งที่ส่อแสดงให้พระองค์รู้ว่าพระองค์ยังมีกิเลสอยู่ก็คือ พระองค์ยังมีความยินดียินร้ายพอใจ ไม่พอใจ แล้วก็ยังยึดมั่นอยู่ในสังขารร่างกายว่าเป็นเรา เป็นเขา เป็นของเรา ของเขา ดังนั้นพระองค์จึงตัดสินพระทัยอย่างแน่วแน่ว่ายังทรงไม่สำเร็จ
ภายหลังจากที่พระองค์ทรงรับหญ้าคา ๘ กำ ของโสตถิยพราหมณ์ กุสะ แปลว่า หญ้าคา คา แปลว่าข้อง ติด มาตอนนี้พระองค์ทรงเอาหญ้าคา ๘ กำ มาขดเป็นบรรลังก์ประทับนั่ง มุ่งหน้าประพฤติปฏิบัติโดยไม่มุ่งผลประโยชน์อันใดในด้านวัตถุธรรม มุ่งแต่เพียงจะดำเนินไปสู่การตรัสรู้ คือความหมดกิเลส สู่ความเป็นพระอรหันต์เท่านั้น จึงได้ชื่อว่าเอาโลกธรรม ๘ มารองนั่ง แทนที่จะเอาเทิดไว้บนศีรษะดังก่อน คราวนี้เอาโลกธรรมมารองนั่ง

พระองค์ประทับนั่งอย่างไร เราเคยเห็นพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิอย่างไร พระองค์ก็ประทับนั่งอย่างนั้น อันนี้ไม่ต้องอธิบาย ทีนี้เมื่อพระองค์ประทับนั่งขัดสมาธิเป็นที่เรียบร้อย พระองค์ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น คือกำหนดรู้ที่จิตของพระองค์เพียงถ่ายเดียว ไม่ได้สนใจกับสิ่งใด ๆ แต่ในช่วงขณะจิตนั้นเอง พอพระองค์มาวิตกว่าเราจะเริ่มกันที่จุดไหน อตีตารมณ์คืออารมณ์ในอดีตได้ผุดขึ้นมาในพระทัยของพระองค์ ทำให้พระองค์ทรงรำลึกถึงเมื่อสมัยยังเป็นพระกุมาร พระบิดาทำพิธีแรกนาขวัญ พระพี่เลี้ยงนางนมผูกพระอู่ให้บรรทมอยู่ใต้ต้นหว้า ในช่วงที่พี่เลี้ยงนางนมหรือคนทั้งหลายเขาเพลิดเพลินในการดูมหรสพ ดูพิธีแรกนาขวัญ พระองค์ถูกปล่อยให้บรรทมในพระอู่ใต้ต้นหว้าแต่เดียวดาย
ณ โอกาสที่ว่างจากการคลุกคลีจากผู้คนนั้นเอง พระองค์ผู้เป็นพระกุมารน้อย ๆ ทรงวิตกถึงลมหายใจ กำหนดรู้ลมหายใจเป็นอารมณ์ นับว่าพระองค์ได้สำเร็จปฐมฌานตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เมื่อพระองค์มารำลึกถึงที่ตรงนี้ พระองค์ก็ได้ความรู้ตัวขึ้นมาว่า จุดเริ่มของการปฏิบัติอยู่ตรงนี้ คือการกำหนดลมหายใจเป็นอารมณ์เพื่อกำหนดให้รู้ความเป็นจริงของร่างกาย แล้วพระองค์ก็มีพระสติกำหนดรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก

วิธีการของพระองค์นั้น เพียงแต่มีพระสติกำหนดรู้อยู่เท่านั้น แต่เพราะอาศัยที่กายกับจิตของพระองค์ยังมีความสัมพันธ์กันอยู่ เมื่อจิตอยู่ว่าง ๆ สิ่งที่จะปรากฏเด่นชัดก็คือลมหายใจ เพราะอาศัยที่พระองค์เคยบรรลุปฐมฌานมาแล้ว จิตของพระองค์จึงจับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก แต่พระองค์เพียงมีพระสติกำหนดรู้ลมหายใจ ไม่ได้บังคับลมหายใจ ไม่ได้บังคับจิตให้สงบ ปล่อยไปตามธรรมชาติ แต่พระองค์กำหนดเอาพระสติอย่างเดียวรู้ที่จิต บางครั้งลมหายใจก็ปรากฏว่าหยาบ คือหายใจแรงขึ้น พระองค์ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติ ในบางครั้งลมหายใจค่อย ๆ ละเอียดขึ้น ๆ คล้าย ๆ กับจะหยุดหายใจ พระองค์กลัวว่ามันจะเลยเถิดเมื่อกระตุ้นเตือนจิตให้มีความหยาบขึ้น ลมหายใจก็เด่นชัดชัดขึ้น เมื่อกำหนดรู้ลมหายใจอย่างไม่ลดละแล้วพระองค์ไม่ได้นึกว่า ลมหายใจสั้น ลมหายใจยาว ลมหายใจหยาบ ลมหายใจละเอียด เพียงแต่กำหนดรู้เฉยอยู่เท่านั้น ปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติของจิต เมื่อหนัก ๆ เข้า จิตยึดลมหายใจอย่างเหนียวแน่น ในบางครั้งพระองค์จะมองเห็นลมหายใจวิ่งออกวิ่งเข้าเป็นท่อยาว สว่างเหมือนหลอดไฟนีออน หนัก ๆ เข้า พอจิตสงบละเอียดไปในระหว่างอุปจารสมาธิ จิตของพระองค์วิ่งเข้าไปสว่างนิ่งอยู่ในท่ามกลางของร่างกายไปรวมตัวอยู่ใน ท่ามกลางระหว่างทรวงอก ความสว่างไสวแผ่ซ่านออกมาทั่วร่างกาย พระองค์มีความรู้สึกประหนึ่งว่าความสว่างได้ครอบคลุมพระกายของพระองค์อยู่ ในช่วงนั้น พระองค์เกิดความรู้ความเห็น เห็นอาการ ๓๒ ที่เรายึดมาเป็นบทสวดมนต์ในปัจจุบันนี้

อะยัง โข เม กาโย กายของเรานี้แล
อุทธัง ปาทะตะลา เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา
อะโธ เกสะมัตถะกา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป
ตะจะปะริยันโต มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ
ปูโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ
อัตถิ อิมัสมิง กาเย มีอยู่ในกายนี้
เกสา คือผมทั้งหลาย โลมา คือขนทั้งหลาย
นะขา คือเล็บทั้งหลาย ทันตา คือฟันทั้งหลาย
ตะโจ คือหนัง มังสัง คือ เนื้อ
นะหารู คือเอ็นทั้งหลาย อัฏฐิ คือกระดูกทั้งหลาย
อัฏฐิมิญชัง เยื่อในกระดูก วักกัง ม้าม
หะทะยัง หัวใจ ยะกะนัง ตับ
กิโลมะกัง พังผืด ปิหะกัง ไต
ปัปผาสัง ปอด อันตัง ไส้ใหญ่
อันตะคุณัง ไส้น้อย อุทะริยัง อาหารใหม่
กะรีสัง อาหารเก่า มัตถะเก มัตถะลุงคัง เยื่อในสมอง
ปิตตัง น้ำดี เสมหัง น้ำเสลด
ปุพโพ น้ำเหลือง โลหิตัง น้ำเลือด
เสโท น้ำเหงื่อ เมโท น้ำมันข้น
อัสสุ น้ำตา วะสา น้ำมันเหลว
เขโฬ น้ำลาย สิงฆานิกา น้ำมูก
ละสิกา น้ำไขข้อ มุตตัง น้ำมูตร
เอวะมะยัง เม กาโย กายของเรามีอย่างนี้
อุทธัง ปาทะตะลา เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา
อะโธ เกสะมัตถะกา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป
ตะจะปะริยันโต มีหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ
ปูโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ อย่างนี้แล


ความรู้อันนี้พระพุทธองค์ได้รู้เห็นก่อนการตรัสรู้ แล้วกลายเป็นกายคตาสติสูตร ที่เราผู้ปฏิบัติยึดเป็นแนวทางแห่งการพิจารณาอสุภกรรมฐาน เมื่อจิตของพระพุทธองค์ไปสงบนิ่งสว่างอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย ทำให้พระองค์รู้ความเป็นจริงของร่างกายทั่วหมดในขณะจิตเดียว คือพระองค์มองเห็นหัวใจกำลังเต้น ฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย มองเห็นปอดกำลังสูดอากาศเข้าไปเลี้ยงร่างกาย มองเห็นตับกำลังแยกเก็บอาหารส่วนละเอียดไว้ไปเลี้ยงร่างกาย มองเห็นตับอ่อนกำลังทำหน้าที่ช่วยย่อยอาหารและนำเอากรดมาช่วยย่อยอาหาร ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ พระองค์รู้ทั่วถ้วนหมดทุกสิ่งทุกอย่างในขณะจิตเดียว แล้วพระจิตของพระองค์ก็วิตกอยู่กับสิ่งเหล่านี้ กำหนดรู้อยู่กับสิ่งเหล่านี้จนกระทั่งจิตละเอียดลงไป ๆ กายจางหายไป ยังเหลือแต่จิตนิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในจักวาลนี้รู้สึกว่ามีแต่จิตของพระองค์ดวงเดียวเท่านั้นสว่างไสวอยู่

ในตอนนี้จิตของพระองค์เป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตเป็น อัตตาทีปะ มีตนเป็นเกาะ เป็น อัตตสรณา มีตนเป็นที่ระลึก คือ ระลึกอยู่ที่ตน รู้อยู่ที่จิต อัตตาหิ อัตตโน นาโถ จิตมีตนเป็นตนของตน เมื่อจิตของพระองค์ไปดำรงอยู่ในสมาธิขั้นจตุตถฌานนานพอสมควร ต่อไปนี้จะได้ลำดับองค์ฌาน
ปฐมฌาน มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา วิตก หมายถึง จิตไปรู้อยู่กับสิ่ง ๆ หนึ่ง หรือบางทีไปรู้เฉพาะในจิตเพียงอย่างเดียวแล้วก็มีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง คือจิตรู้อยู่ที่จิต อันนี้เป็นปฐมฌาน
ทุติยฌาน จิตไม่ได้ยึดสิ่งรู้ แต่รู้อยู่ที่ตัวเอง แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีปีติ มีสุข แล้วก็มีเอกัคคตา
เมื่อจิตสงบละเอียดลงไป ปล่อยวางปีติ ยังเหลือแต่ความสุขก็อยู่ในฌานที่ ๓ ตอนนี้จะรู้สึกว่ากายละเอียด ค่อย ๆ จางไป แต่ยังปรากฏอยู่ จิตจะเสวยสุขในปีติอย่างล้นพ้น ซึ่งจะหาความสุขใดเปรียบเทียบไม่ได้
แล้วในที่สุดกายก็หายไป ความสุขก็พลอยหายไปด้วย ยังเหลือแต่จิตนิ่งสว่างไสวอยู่อย่างนั้น จิตเป็นหนึ่งคือ เอกัคคตา แล้วก็เป็นกลางโดยเที่ยงธรรม ซึ่งเรียกว่า อุเบกขา ขอย้ำอีกที่หนึ่งว่า
ฌานที่ ๑ ประกอบไปด้วยองค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
ฌานที่ ๒ ประกอบไปด้วยองค์ ๓ คือ ปีติ สุข เอกัคคตา
ฌานที่ ๓ ประกอบไปด้วยองค์ ๒ คือ สุข กับเอกัคคตา
ฌานที่ ๔ ประกอบไปด้วยองค์ ๒ คือ เอกัคคตา กับอุเบกขา
เป็นอันว่าในช่วงนั้นจิตของพระองค์ดำรงอยู่ในจตุตถฌาน เมื่อเข้าถึงจตุตถฌานแล้ว แทนที่จะก้าวหน้าไปอากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตะนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ แต่พอขยับจะเคลื่อนจากฌานที่ ๔ วกเข้าไปสู่สัญญาเวทยิตนิโรธ คือเข้านิโรธสมาบัติ จิตอยู่ในนิโรธสมาบัติ ดับความสว่าง จิตรู้อยู่ในจิตอย่างละเอียด สัญญาเวทนาดับไปหมด แต่ก็ยังมีเหลือรู้อยู่เพียงนิดเดียวเท่านั้น สัญญาเวทยิตนิโรธเป็นฐานสร้างพลังจิต คือพลังสมาธิ พลังสติปัญญา เพื่อเตรียมก้าวขึ้นไปสู่ภูมิธรรมขั้นโลกุตตระ
เมื่อจิตของพระองค์ดำรงอยู่ในสัญญาเวทยิตนิโรธ สร้างพลังเพียงพอแล้ว จิตเบ่งบานออกมาทีหนึ่งสามารถแผ่รัศมีสว่างไสวครอบคลุมจักวาลทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดจะปิดบังจิตดวงนี้ พระจันทร์ พระอาทิตย์ แม้จะส่องแสงลงมาสู่โลก ก็ส่องไปได้เฉพาะที่ไม่มีสิ่งกำบัง แต่จิตของพระพุทธองค์นั้นส่องสว่างไปทั่วหมดทุกหนทุกแห่ง ไม่มีสิ่งกำบัง ไม่มีอะไรที่จะปิดบังดวงจิตดวงนี้ได้ มองทะลุจนกระทั่งบาดาลถึงพิภพพญานาค มองทะลุจนกระทั่งผืนแผ่นดิน พระองค์สามารถกำหนดความหนาของแผ่นดินได้ ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ในช่วงนั้นทำให้พระองค์ตรัสรู้เป็นโลกวิทู ผู้รู้แจ้งโลก
โลก ตามความหมายในทางธรรมะ มีอยู่ ๓ โลก
ยมโลก ได้แก่โลกเบื้องต่ำ คือต่ำกว่าภูมิมนุษย์และภูมิสัตว์เดรัจฉาน
ลงไป ได้แก่ภพของภูตผีปีศาจ เปรต อสุรกาย สัตว์นรก อันนั้น
เรียกว่า ยมโลก
มนุสสโลก ได้แก่ แดนเป็นที่อยู่ของมนุษย์และสัตว์ผู้มีกายมีใจ
เทวโลก ได้แก่ แดนเป็นที่อยู่ของเทวดา ตั้งแต่เทวดาชั้นจาตุ ฯ สูงสุด
จนกระทั่งพรหมโลกชั้นอกนิษฐาพรหม
พระองค์รู้พร้อมในขณะจิตเดียว ทั้งยมโลก มนุสสโลก เทวโลก แล้วเกิดความรู้ต่อไปอีก ทำไมสัตว์ทั้งหลายจึงมีประเภทต่าง ๆ กัน อันนี้พระองค์ยังไม่ได้คิดเช่นนั้น เป็นแต่มองเห็นความแตกต่างของสัตว์และมนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ภูตผีปีศาจ เปรต อสุรกายทั้งหลายเท่านั้น แล้วก็รู้กฎของกรรมเป็นสิ่งจำแนกสัตว์ให้มีประเภทต่าง ๆ รู้กิเลสคืออวิชชาที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สัตว์ทั้งหลายต้องทำกรรม แต่ในขณะที่รู้นั้น พระองค์รู้นิ่งอยู่เฉย ๆ ทรงรู้จนกระทั่งเหตุ รู้ทั้งปัจจัย รู้ความเป็นไปของมวลหมู่สัตว์ทั้งหลายในจักวาลนี้ แต่จิตดวงนี้คิดไม่เป็น พูดไม่เป็น สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น รู้เห็นแล้วก็สามารถบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เอาไว้พร้อมหมดทั้งเรื่องของปุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ บันทึกไว้พร้อมไม่มีขาดตกบกพร่อง ตามนิสัยของพระสัพพัญญู
อันนี้เป็นการตรัสรู้ของพระองค์ พระองค์ตรัสรู้ในขณะที่จิตไม่มีร่างกายตัวตน ซึ่งแม้ไม่มีร่างกายตัวตน จิตสามารถรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่ว่าพูดไม่เป็น คิดไม่เป็น ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น จิตของเรานี่จะคิดได้ต่อเมื่อยังสัมพันธ์อยู่กับร่างกาย เมื่อแยกจากร่างกายออกไปแล้วไม่มีเครื่องมือจึงคิดไม่เป็น ความคิดมันเกิดจากประสาทสมอง จิตไม่มีร่างกายตัวตน ไม่มีรูป ไม่มีร่าง จึงไม่มีมันสมองที่จะใช้ความคิด เพราะฉนั้นรู้เห็นอะไรก็ได้แต่นิ่ง แต่สามารถบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ไว้พร้อมหมดไม่มีขาดตกบกพร่อง
เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นโลกวิทูละเอียดถี่ถ้วนดีแล้ว จิตของพระองค์ถอนจากสมาธิขั้นนี้มา พอมารู้สึกว่ามีกาย ตอนนี้ได้เครื่องมือแล้ว จิตของพระองค์จึงมาพิจารณาทบทวนถึงสิ่งที่รู้เห็นนั้นซ้ำอีกทีหนึ่ง เรียกว่าเจริญวิปัสสนา ทรงพิจารณาเรื่องปุพเพนิวาสานุสสติญาณ การระลึกชาติหนหลังได้ ตั้งแต่ชาติหนึ่ง ชาติสอง ชาติร้อย ชาติพัน ชาติหมื่น ชาติแสน ชาติล้าน....ไม่มีที่สิ้นสุด ว่าพระองค์เคยเกิดเป็นอะไรมาบ้างกว่าจะได้มาถึงการตรัสรู้นี่
นอกจากพระองค์จะรู้เรื่องของพระองค์เองแล้ว ยังสามารถรู้เรื่องของคนอื่นสัตว์อื่นได้ด้วยว่ามวลสัตว์ทั้งหลายในจักวาล นี้ได้เกิดมาแล้วกี่ภพกี่ชาติ เคยเป็นอะไรมาบ้าง อันนี้เป็นความรู้เรื่องปุพเพนิวาสานุสสติญาณ จิตของพระองค์คิดพิจารณาเรื่องปุพเพนิวาสานุสสติญาณในปฐมยาม และในมัชฌิมยามพระองค์ได้พิจารณาเรื่องการจุติและเกิดของสัตว์ทั้งหลาย จุติก็คือตาย เกิดก็คือเกิดนั่นแหละ ทำไมสัตว์ทั้งหลายจึงมีประเภทต่าง ๆ กัน อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย เพราะกรรมเป็นเหตุเป็นปัจจัย จึงเป็นสุภาษิตขึ้นมาว่า กมฺมํ สตฺเต วิภชฺชติ กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้มีประเภทต่าง ๆ กัน เกิดขึ้นตั้งแต่ในสมัยนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อพระองค์มาสอนธรรมแก่มวลสัตว์ทั้งหลาย พระองค์จึงสอนให้พิจารณากรรมเป็นส่วนใหญ่ว่า เรามีกรรมเป็นของ ๆ ตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กฎของกรรมนี่เกิดจากการทำ การพูด โดยอาศัยความคิดเป็นผู้ตั้งเจตนาว่าจะทำจะพูดจะคิด ในเมื่อทำอะไรลงไปโดยเจตนา สิ่งนั้นสำเร็จเป็นกรรม เรื่องนี้พระองค์พิจารณาจบลงในมัชฌิมยาม
แล้วก็ทรงคำนึงต่อไปอีกว่า อะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้สัตว์ทั้งหลายต้องทำกรรม ก็มาได้ความเป็นภาษาสมมติบัญญัติว่าอวิชชาความไม่รู้จริง ความรู้ไม่จริงนี่เป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายทำกรรมตามที่ตนเข้าใจว่ามันถูก ต้อง แต่สิ่งที่สัตว์เข้าใจและมีความเห็นว่าถูกต้องนั้น บางอย่างมันก็ถูกต้องตามใจของตนเอง แต่ขัดกับกฎธรรมชาติ บางอย่างมันก็ถูกต้องตามใจของตนเอง และถูกกับกฎธรรมชาติ ดังนั้นสัตว์ทั้งหลายผู้รู้ไม่จริง จึงทำกรรมดีทำกรรมชั่วคละเคล้ากันไป หมายถึงทำกรรมที่เป็นบาป ทำกรรมที่เป็นบุญ ทำกรรมที่เป็นชั่ว ทำกรรมที่ดี ภาษาบาลีว่า กุศลกรรมคือกรรมดี อกุศลกรรมคือกรรมชั่ว ทำไปตามความเข้าใจของตนเอง ในเมื่อทำแล้วก็ย่อมได้รับผลของกรรม ได้รับผลของกรรมแล้วก็ต้องเกิดอีก เกิดมาอีกก็ต้องอาศัยกิเลสคืออวิชชาตัวเดียวนั่นแหละ ทำกรรมแล้วทำกรรมเล่า เกิดแล้วเกิดเล่าไม่รู้จักจบจักสิ้น เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสาร เรื่องนี้พระองค์พิจารณาจบลงในปัจฉิมยาม

ในเมื่อพระองค์ได้พิจารณา ๓ เรื่อง ตามลำดับยามทั้ง ๓ จบลงแล้ว จิตของพระองค์ยอมรับสภาพความเป็นจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ตรัสรู้นี้ เป็นความจริงแท้ไม่แปรผัน ในช่วงขณะจิตนั้น อรหัตตมัคคญาณจึงบังเกิดขึ้น ตัดกิเลสอาสวะขาดสะบั้นไปในปัจฉิมยาม จึงได้พระนามว่า อรหัง สัมมาสัมพุทโธ ภควา พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ด้วยประการฉะนี้ อันนี้คือลักษณะการตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก ธรรมะจักร และ เว็บบอร์ดพลังจิต

209
สวัสดีครับ ผมก็เป็นเด็กหน้าใหม่เหมือนกัน ชื่อ ไอซ์ครับ แต่เรียกว่า น้องธรรมะ ก็ได้ครับ

210
ก่อนสวดมนต์ควร สวดอาราธนาศีล 5 สมาทานศีล 5 ซะก่อน

ขอแนะนำวิธีสวดมนต์ไหว้พระที่ถูกต้องและให้เชิญให้เพื่อนๆ ปฏิบัติตามอานิสงส์อันยิ่งใหญ่จะให้ของเพื่อนๆได้ปฏิบัติตามนะครับ

วิธีการปฏิบัติก่อนที่จะสวดพุทธมนต์บทอื่นๆ และนั่งสมาธิ ต้องสวดอาราธนาศีล ๕  สมาทานศีล ๕ ทุกครั้ง

 
**  คำบูชาพระ  **


อิมินา  สักกาเรนะ  ตัง   พุทธัง   อะภิปูชะยามิ


อิมินา  สักกาเรนะ  ตัง   ธัมมัง   อะภิปูชะยามิ


อิมินา  สักกาเรนะ  ตัง   สังฆัง   อะภิปูชะยามิ


** คำนมัสการพระรัตนตรัย **


อะระหัง  สัมมาสัมพุทโธ  ภะคะวา  พุทธังภะคะวันตัง  อภิวาเทมิ (กราบ)


สะวากขาโต  ภะคะวะตา  ธัมโม  ธัมมัง  นะมัสสามิ   (กราบ)


 
สุปะฏิปันโน  ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ  สังฆัง  นะมามิ   (กราบ)



** คำนมัสการพระพุทธเจ้า **


นะโม  ตัสสะ  ภะคะวะโต  อะระหะโต  สัมมาสัมพุทธัสสะ ( สวด  ๓  จบ )


                 คำอาราธนาศีล  ๕
มะยังภันเต  วิสุง   วิสุง  รักขะนัตถายะ   ติสะระเณนะสะหะ    ปัญจะศีลานิยาจามะ

ทุติยัมปิ   มะยังภันเต  วิสุง   วิสุง  รักขะนัตถายะ   ติสะระเณนะสะหะ    ปัญจะศีลานิยาจามะ


 ตะติยัมปิ มะยังภันเต  วิสุง   วิสุง  รักขะนัตถายะ   ติสะระเณนะสะหะ    ปัญจะศีลานิยาจามะ   


ข้อห้ามศีลทั้ง 5 ข้อนั้น  ถ้าวันนี้เราทำได้เพียง 2 , 3 ,4 ข้อก็ไม่เป็นไร เพราะเราได้สวดคำว่า วิสุง วิสุง ซึ่งแปลว่า ข้อใดข้อหนึ่ง


คำนมัสการไตรสรณคมน์

พุทธัง  สะระณัง  คัจฉามิ  ธัมมัง  สะระณัง  คัจฉามิ  สังฆัง  สะระณัง  คัจฉามิ


ทุติยัมปิ       พุทธัง  สะระณัง  คัจฉามิ  ทุติยัมปิ  ธัมมัง  สะระณัง  คัจฉามิ  ทุติยัมปิ  สังฆัง สะระณัง  คัจฉามิ


ตะติยัมปิ     พุทธัง  สะระณัง  คัจฉามิ  ตะติยัมปิ  ธัมมัง  สะระณัง  คัจฉามิ  ตะติยัมปิ  สังฆัง  สะระณัง  คัจฉามิ



( คำสมาทาน ศีล ๕ )


๑.  ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทังสะมาทิยามิ  ( เว้นจากการฆ่าสัตว์ , ไม่ทำให้พ่อแม่เป็นทุกข์กาย ทุกข์ใจ ( ตายทั้งเป็น )  , ไม่ทำให้ผู้อื่นเกิดความทุกข์กายทุกข์ใจ เหมือนตกนรกทั้งเป็น )


๒.  อะทินนาทานา เวระมณี สิกขาปะทังสะมาทิยามิ  ( เว้นจากการลักทรัพย์ ,ไม่ขโมยเวลา เข้างานสายกลับก่อน , ไม่เขียนเบิกสิ่งของ หรือ เงินทอง เกินความเป็นจริง , ไม่เอาของที่ทำงานกลับบ้านใช้ )


๓.  กาเมสุมิจฉาจารา เวระมณี สิกขาปะทังสะมาทิยามิ  ( เว้นจากการประพฤติผิดในกาม , มีชู้ , มีกิ๊ก ตอนแต่งงานพ่อแม่ทั้ง ฝ่ายหญิงและชาย จะต้องเห็นดีด้วยกันทั้ง 2 ฝ่ายถึงเรียกว่าไม่ผิดศีล )

๔.  มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทังสะมาทิยามิ  ( เว้นจากการพูดปด  / พูดใส่ร้าย / คำพูดล่อลวงอำพรางผู้อื่น )


๕.  สุราเมระยะมัจฉะปะมาทะถานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ  ( เว้นจากการดื่มสุราเมรัยเครื่องดองของเมาที่ทำให้ใจคลั่งไคล้มัวเมาต่าง ๆ จนทำให้มัวเมาตัวเอง , มัวเมา อำนาจ , ลาภยศ ,  เงินทอง และอบายมุข  )



** คำนมัสการ ถวายพรพระ ( อิติปิโส )  พระพุทธคุณ  ธรรมคุณ  สังฆคุณ


      อิติปิ   โส   ภะคะวา   อะระหัง   สัมมาสัมพุทโธ   วิชาชาจะระณะสัมปันโน   สุคะโต   โลกะวิทู   อะนุตตะโร   ปุริสะทัมมะสาระถิ   สัตถา   เทวะมะนุสสานัง   พุทโธ   ภะคะวาติ    ( พุทธคุณ )


       สวากขาโต   ภะคะวะตา   ธัมโม   สันทิฏฐิโก   อะกาลิโก   เอหิปัสสิโก   โอปะนะยิโก   ปัจจัตตัง   เวทิตัพโพ  วิญญู***ติ   ( ธรรมคุณ )


        สุปะฏิปันโน   ภะคะวะโต   สาวะกะสังโฆ   อุชุปะฏิปันโน   ภะคะวะโต   สาวะกะสังโฆ   ญายะปะฏิปันโน  ภะคะวะโต   สาวะกะสังโฆ   สามีจิปะฏิปันโน   ภะคะวะโต   สาวะกะสังโฆ   ยะทิทัง   จัตตาริ   ปุริสะยุคานิ   อัฏฐะ  ปุริสะปุคคะลา   เอสะภะคะวะโต    สาวะกะสังโฆ    อาหุเนยโย   ปาหุเนยโย   ทักขิเณยโย   อัญชะลีกะระณีโย   อะนุตตะรัง  ปุญญักเขตตัง   โลกัส   สาติ   (สังฆคุณ)

            หลังจากสวดมนต์ปฏิบัติตามขั้นตอนจนเสร็จ ก็สวดมนต์บทต่างๆ ที่ท่านตั้งใจไว้  เช่น คาถาชินบัญชร  คาถาชัยมงคลคาถา พาหุงมหากา  ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้น หลังจากสวดมนต์เสร็จ ต้องสวดบทแผ่เมตตา ทุกครั้ง เป็นอันเสร็จสิ้นพิธี


          เหตุผลที่จะต้อง สวดอาราธนาศีล 5  สมาทานศีล 5 ก่อนนั้นเป็นเพราะพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ต้องมี ศีล 5  จึงจะได้ผลดี ไม่ใช่ว่าสวดมนต์ทุกวัน แต่ไม่มีศีล 5  ในใจ การสวดมนต์ก็เป็นเพียงการท่องจำไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นเราควรที่จะ  มีศีล 5 อยู่ในใจเสียก่อน เพราะศีล 5  จะทำให้เราไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ประพฤติผิดศีลธรรม  กรรมชั่วก็จะเกิดได้ยาก รักษาศีลเท่ากับรักษาตัว  ครอบครัวมีความสุข ค้าขายเจริญรุ่งเรือง  ท่านที่สวดมนต์ก่อนหน้านี้ทุกวัน  อานิสงส์ผลบุญยังไม่หายไปไหน รอวันที่ท่านเริ่มสวดอาราธนาศีล 5 สมาทานศีล 5 ผลบุญเดิมที่ท่านสวดมนต์ไว้จะกลับคืนมาให้ท่านทันที


          การที่เรา มีใช้ มีกิน ทุกวันนี้ เกิดจากสัมมาอาชีพของเรา ดังนั้นเราจึงต้องแผ่เมตตาให้กับอาชีพของเรา เพื่อเราจะได้ไม่มีปัญหาเรื่องการงาน  ส่วนอาหารที่เรากินก็ได้มาจากเนื้อสัตว์ต่างๆ  ดังนั้นเราจึงต้องแผ่เมตตาให้สัตว์เหล่านี้ด้วย เพราะวิญญาณสัตว์เหล่านี้ จะได้ไปสู่สุคติ ไม่อาศัยอยู่ในตัวเรา  เราจึงไม่มีโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากโรคเวรโรคกรรม ที่เราไม่สามารถรักษาได้  


บทแผ่เมตตาให้กับตัวเอง                 

อะหัง   สุขิโต   โหมิ      ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข


อะหัง   นิททุกโข   โหมิ  ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากความทุกข์


อะหัง   อะเวโร   โหมิ    ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากเวรและกรรม

อะหัง   อัพยาปัชโฌ   โหมิ  ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากความลำบาก

อะหัง   อะนีโฆ   โหมิ     ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากอุปสรรค  อันตราย


สุขี   อัตตานัง   ปะริหะรามิ    ขอให้ข้าพเจ้าจงมีสติสัมปะชัญญะอยู่ทุกเมื่อ  รักษากาย  วาจา ใจ  ให้พ้นจากความทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด



บทแผ่เมตตาทั่วไป             

สัพเพ  สัตตา        สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

อะเวรา  โหนตุ   จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด  อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย

อัพะยาปัชฌา  โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด  อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

อะนีฆา  โหนตุ    จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด  อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย

สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ          จงมีความสุขกายสุขใจ  รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัย  ทั้งสิ้นเทอญฯ



ขอผลบุญและอานิสงส์ครั้งนี้จงสำเร็จแก่ข้าพเจ้า สัมมาอาชีพของข้าพเจ้า ครอบครัวของข้าพเจ้า ชื่อ...........บุคคลที่ท่านรัก เช่น  พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อนฝูง เป็นต้น สัมภเวสีต่างๆ  เจ้ากรรมนายเวร และ ทรัพย์ของแผ่นดินทั้งในอดีตชาติ และ ปัจจุบันชาติ

นายธรรมะ
ขอขอบคุณที่มาจากเว็บ โอเคเนชั่น

211
พระเจดีย์วัดเฉลิมพระเกียรติเป็นแบบพระเจดีย์แบบลังกาองค์เจดีย์เป็นรูปทรงกลมมีฐานแปดเหลี่ยมสองชั้น ฐานกว้างทั้งหมด 30 เมตรสูงจากพื้นถึงยอดประมาณ 45 เมตร พระเจดีย์นี้อยู่ทางด้านหลัง (ทิศตะวันตก) ในเขตแนวกำแพงแก้วเดียวกันกับพระอุโบสถตามหลักฐานที่ปรากฎเข้าใจว่าพระเจดีย์องค์นี้สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังปรากฎในพระราชพงศวดาร รัชกาลที่ 4 ว่า "ครั้นสิ้นแผ่นดิน วัดนั้นยังค้าง อยู่บ้างเล็กน้อย จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี จ้างช่างไปเขียนผนัง พระอุโบสถ วิหารการเปรียญและเขียนเพดานประตูหน้าต่าง เขียนเป็นลายรถน้ำมีปราสาทตราแผ่นดินและเขียนเป็นดวงจันทร์เต็มบริบูรณ์ คือ พระชนกชนนีของสมเด็จพระศรีสุลาไลน์ท่านทรง พระนามว่า เพ็งองค์ 1 จันทร์องค์1 เบื้องต่ำเขียนเป็นเครื่องยศหญิงบาน 1ชายบาน 1 ตือ ท่านผู้ได้เป็นผู้ว่าราชการเมืองนนทบุรี แล้วให้แก้ไขพระเจดีย์เสียใหม่ให้ต้องตามแบบอย่างกรุงเก่า แล้วถวยพระนามประทานว่า พระพุทธไตรรัตนโลกภินันทปฎิมาหรือพระพุทธมหาโลกาภินันทปฏิมา"  

จังหวัดนนทบุรี (สงสัยผมคงไม่ทันแล้วละ)


213
ว่างๆไม่มีไรทำถามคำถามดีกว่า วันนี้วันจันทร์ วันอังคารวันอะไรเอ่ย  :005: (นี่ไม่ใช่กิจกรรมในครับ สนุกๆ ไม่มีอะไรทำ)

214
ทำบุญมามากมาย ทำไมไม่ได้เจอคนดีสักที?


ถาม – ผมอายุก็ไม่น้อยแล้ว แต่ยังไม่เคยเจอกับคนที่ถูกใจและเหมาะสมกันเลย ความจริงก็เจอนะครับ ที่ถูกใจ แต่ตอนเจอจะมีแฟนกันอยู่แล้วทุกครั้งเลย ตอนแรกๆก็คิดว่าคงบังเอิญ แต่พอบ่อยเข้าก็ชักเชื่อว่าไม่บังเอิญ คือเหมือนชะตาแกล้งจงใจซ้ำๆว่าต้องเป็นอย่างนี้เสมอ ผมไม่เคยแย่งแฟนใครเลย บางทีก็คิดว่าความซื่อของเราคือการปิดโอกาสให้ตัวเอง อีกอย่างหนึ่ง ผมไม่ใช่คนขี้ริ้วขี้เหร่ แล้วก็ทำบุญช่วยเหลือคนมาไม่น้อย ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นเหตุดึงดูดคนเหมาะๆมาคู่กันสักที อย่างนี้แปลว่าผมทำกรรมอะไรมาในอดีตชาติ กลายเป็นอุปสรรคขวางทางคู่บุญหรือเปล่าครับ?


กรณีของคุณ เราอาจต้องคุยกันในมุมมองใหม่ครับ คืออย่าถามว่า ‘ทำกรรมอะไรมา’ แต่ควรถามว่า ‘ไม่ได้ทำกรรมอะไรมา’ มากกว่า

ที่กล่าวว่าเป็น ‘กรณีของคุณ’ โดยเฉพาะ ก็เพราะคุณบอกว่าตัวเองชอบช่วยเหลือคน หน้าตาไม่ขี้ริ้ว ก็แสดงว่าต้องมีเสน่ห์อันเกิดจากหน้าตาดีๆและจิตที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อยู่ ไม่น้อย อย่างไรก็ต้องมีผู้หญิงมาชอบอยู่บ้าง และอาจจะเยอะด้วย แต่เรื่องของเรื่องก็คือคุณไม่ถูกใจ หรือคิดว่ายังไม่ใช่คนที่เหมาะสมสำหรับคุณ อันนี้คุณจะทราบอยู่กับตนเองถึงเหตุผลแท้จริง

บุญกรรมในเรื่องคู่ นั้น คุณทำคนเดียวไม่ได้ ต้องมีใครอีกคนหนึ่งทำมาด้วยกัน เป็นไปในทางเดียวกัน และลงรอยกันสนิท จึงจะเรียกได้ว่าเป็นคู่บุญกันจริงๆ คู่บุญจะได้พบกันด้วยแรงดึงดูดอันลึกลับ และสนิทใจกันด้วยแรงดึงดูดที่ลึกซึ้ง

หันกลับมาดูความคิดของคุณ คุณคิดว่าถ้าทำบุญ แม้จะทำอยู่เดี่ยวๆในชาตินี้ อย่างไรบุญก็คงดึงดูดผู้หญิงดีๆที่คู่ควรกับคุณมาหา ซึ่งก็อาจจะดึงดูดจริงๆ แต่ถ้าคุณไม่ชอบล่ะ? นั่นแหละปัญหาของการ ‘ไม่ได้ร่วมกรรมกันมา’ หาใช่เป็นปัญหาของตัวบุญแต่อย่างใด

หน้าที่ของบุญคือเป็นปัจจัยให้ สุขสมยินดีที่ได้ทำเรื่องน่าสบายใจ และเป็นแรงหนุนให้สมปรารถนาในขอบเขตที่พึงมีพึงได้ ปัญหาอยู่ที่ใจคนครับ คือทำบุญอยู่ในขอบเขตหนึ่ง แต่จะตั้งความปรารถนาไว้เกินขอบเขตกันอยู่เรื่อย ของคุณยังดีที่บ่นเรื่องแฟน ผมเคยเจอยิ่งกว่านี้ ลงทุนทำบุญไม่กี่สิบกี่ร้อย แต่บ่นว่าไม่เห็นรวย ไม่เห็นถูกหวยสักที เลยท้อถอยไม่อยากทำบุญอีกแล้ว

กฎแห่งกรรมวิบากมีจริง แต่ถ้าเราไม่เข้าใจกฎอย่างแท้จริง ก็จะต้องเสียกำลังใจเพราะรอสิ่งที่ไม่มีวันมาถึงเรื่อยไป

อีกประการ หนึ่ง จากที่เห็นกับตามาหลายคู่ในช่วงระยะเวลาหลายปีที่มีโอกาสรู้จักชายหญิงใจบุญ ใจกุศลทั้งหลาย ผมพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าการชอบธรรมะด้วยกันยังไม่ใช่ใบรับประกันความสุขใน การครองคู่เสมอไป คู่รักที่มีใจฝักใฝ่ธรรมะแค่โน้มเอียงที่จะอยู่ด้วยกันอย่างผาสุกมากกว่าคู่ ที่ฝักใฝ่อธรรม

นี่เป็นการให้ข้อมูล ให้ทราบข้อเท็จจริง คือว่ากันตามเนื้อผ้าจากสิ่งที่มีอยู่ให้เห็นนะครับ มีหญิงชายจำนวนหนึ่งพอใจเรียกตนเองว่าผู้ประพฤติธรรม แต่ไม่ได้มีความเต็มใจเปิดรับธรรมเข้าไปอยู่ในใจอย่างแท้จริง ผลที่ปรากฏออกมาจริงๆก็เลยไม่แตกต่างจากหญิงชายอื่นซึ่งจับคู่กันด้วยกิเลส อยู่ร่วมกันอย่างมีกิเลส มีทิฐิมานะ มีอัตตาใหญ่โต และมีช่องว่างที่กว้างขวางถมไม่เต็มทั้งหลาย

หากคุณผ่านการมีแฟนที่ ใจบุญด้วยกันมา ก็ย่อมเห็นความจริงได้ว่าแค่ ‘ทำบุญตามมาตรฐาน’ อย่างเดียวยังไม่พอ คุณต้องต่อยอดขึ้นไปอีก ทำให้เกินมาตรฐาน คือช่วยเหลือกัน เกื้อกูลกันทั้งทางโลกทางธรรมกับใครก็ตามที่โคจรเข้ามา จนกระทั่งเกิดความซึ้งใจกัน ผูกพันกัน และสนิทใจกัน หากคุณรอคนรักสำเร็จรูป คุณอาจจะไม่ได้เจอเธอตลอดไป แต่หากคุณกำหนดใจไว้ว่าเอาแค่พอเข้ากันได้โดยพื้นฐาน แล้วค่อยๆเติมสายใยความสัมพันธ์ด้านดีเข้าไปทีละน้อย กระทั่งเกิดความผูกพันเหนียวแน่น นั่นแหละคุณอาจจะพบว่าตัวเองเจอแล้ว แต่ลืมสร้างเหตุปัจจัยให้ถูกใจกันและกัน

กรณีของคุณมีอีกจุดหนึ่งที่ น่าสนใจ ถ้าเป็นไปตามที่คุณเล่าเป๊ะๆ คือพบคนถูกใจก็มีแฟนแล้วนั่นแหละ หากไม่มองในแง่ที่ว่านี่คือผลกรรมจากอดีตชาติ แต่มองในแง่ที่ว่านี่เป็นบทพิสูจน์ ว่าคนมีบุญจะ ‘รักบุญ’ สักแค่ไหน ของรักของหวงของคนอื่น คุณห้ามใจไม่แย่งมาได้ไหม คุณไม่ตามใจตัวเอง ไม่ยอมมีความสุขบนบาดแผลของคนอื่นไหม การเป็นชายผู้โชคดีที่อาจหมายถึงการยัดเยียดความเป็นชายผู้โชคร้ายให้คนอื่น นั้น จะทำให้คนที่รักบุญไม่อาจรักหญิงด้วยความภาคภูมิใจแต่อย่างใดเลย

พูด แยกมาอีกทางให้ครอบคลุมนะครับ ต้องยอมรับว่าคนบางคนก็เกิดมาเพื่อที่จะอยู่คนเดียว นับจากอุปนิสัยใจคอ นับจากความปรารถนาเช่นมีจิตฝักใฝ่ในการพ้นทุกข์อย่างเด็ดขาด ถ้าส่วนลึกของคุณรักอิสระ ไม่ชอบตัดสินใจร่วมกับใคร กับทั้งทำบุญฟังเทศน์ฟังธรรมแล้วเกิดความซาบซึ้ง อยากรู้จักพระนิพพานอันพระพุทธองค์ทรงตรัสว่าเป็นรสที่เหนือรสทั้งปวง ความปรารถนาในส่วนลึกนั้นของคุณอาจก่อร่างสร้างตัวเป็นกำแพงหรือสนามพลังไร้ ตน กั้นขวางไม่ให้ผู้หญิงคนไหนเข้าถึงตัวคุณได้

นี่ก็เป็นสิ่งที่ ต้องสำรวจใจตัวเอง ขุดค้นให้พบส่วนลึก ว่าจิตของคุณติดอยู่กับภาวะแบบไหนกันแน่ อยากมีคู่หรืออยากเป็นอิสระ ติดใจภาวะแบบไหน จิตคุณก็เสวยภพแบบนั้น หลายคนที่ชอบทำบุญจะสับสนนะครับ นับเป็นเรื่องน่าเห็นใจเหมือนกัน เพียงคุณติดใจความเป็นอิสระอย่างมาก ก็จะเหมือนมีช่องว่างเกิดขึ้นระหว่างคุณกับผู้หญิงที่จะเข้ามา คือต่อให้กายสนิทใกล้ชิดอย่างไร ต่าง ใจของแต่ละฝ่ายก็จะสำเหนียกรู้สึกถึงช่องว่างนี้ได้

ขอขอบคุณ บทความธรรมะดี ๆ
โดย ดังตฤณ

ที่มา : ทำบุญมามากมาย ทำไมไม่ได้เจอคนดีสักที?

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลๆดีจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

215
มาแล้วครับ
๑๑. น้ำขุ่นที่ใส่สารส้มลงไป น้ำที่ขุ่นนั้นก็ใสได้เหมือนกัน

ใจขุ่นหากใส่สารแห่งความรู้สึกตัวลงไป

ไม่นานเท่าไรใจนั้นก็แจ่มกระจ่างเหมือนกัน

น้ำขุ่นแก้ได้ฉันใด ใจขุ่นก็แก้ได้ฉันนั้น

๑๒. คนที่ทำงานผิดพลาด แล้วป่าวประกาศว่าเป็นความผิดของคนอื่น

คือคนที่มีแต่จะผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ส่วนคนที่ทำงานผิดพลาด แล้วลุกขึ้นมายอมรับอย่างองอาจเปิดเผย

คือคนที่ไม่มีโอกาสผิดพลาดซ้ำอีกเลยในชีวิต

๑๓. ความไม่ประมาทเป็นทางแห่งความไม่ตาย

ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย

ผู้ไม่ประมาทไม่มีวันตาย ผู้ประมาทไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายแล้ว

กวีบทนี้ทำให้พระเจ้าอโศกเปลี่ยนจากกษัตริย์ที่ดุร้ายมาเป็นชาวพุทธชั้นนำ

๑๔. คนไทยไปงานศพแทบทุกเย็น

โดยไม่เคยรู้สักนิดว่าวันหนึ่งตัวเราจะเป็นศพ

ดังนั้นเราควรฝึกไปงานศพตัวเองทุกวัน

ด้วยการบอกกับตัวเองว่า ความตายอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก

๑๕. อยากโชคดี ไม่ใช่ไปหาวิธีลอดท้องช้าง

แต่อยากโชคดี เริ่มกันที่การมีสติปัญญาในการดำเนินชีวิตประจำวัน

ขอเพียงมีปัญญา โชคดีก็ไหลเข้ามาไม่ขาดสาย

แต่ถ้าไร้ปัญญา โชคร้ายจะไหลเข้ามาเหมือนห่าฝน






๑๖. อ่านหนังสือเล่มนอกมากมาย
อาจทำให้รู้จักใครทั่วทั้งโลก แต่ไม่รู้วิธีดับทุกข์ในใจตัวเอง

ส่วนการอ่านหนังสือเล่มใน แม้ทำให้ไม่รู้จักใครอย่างกว้างขวาง

แต่นำไปสู่การรู้จักตนอย่างลึกซึ้ง ดับทุกข์ได้อย่างเด็ดขาด

๑๗. ในตัวเรามีทั้ง ๓ ฤดู

เมื่อความโกรธเข้าครอบงำจิต ใจร้อนเป็นไฟดั่งฤดูร้อน

เมื่อใดความโลภเข้าครอบงำอยากได้ จิตใจก็เพลิดเพลินเหมือนฤดูฝนเย็นฉ่ำ

เมื่อใดความหลงเข้าครอบงำจิตใจ ก็มืดมนไหวสะท้านเหมือนเดินอยู่กลางฤดูหนาว

๑๘. แม้ประตูคุกปิดล็อกอย่างแน่นหนา แต่คนพาลมากมายทยอยสู่ที่คุมขัง

ความเลวร้ายประดาในชีวิตเรา ไม่ได้เกิดจากมือที่มองไม่เห็นดลบันดาลให้เป็นไป

แต่เกิดจากตัวเราพาตัวเข้าไปแส่หาด้วยความขลาดเขลาเบาปัญญาทั้งสิ้น

๑๙. ชีวิตแสนสั้นอยู่กันไม่นานก็ลาจาก

ชีวิตเหมือนน้ำค้างสดใสในยามเช้า พอยามสายก็หายไป

ชีวิตเหมือนพยับแดด มองไกล ๆ เหมือนมีตัวตนน่าสนใจ

แต่พอเข้าไปใกล้กลับเหมือนแต่ความว่างเปล่า

๒๐. นิ้วทั้ง ๕ ไม่เท่ากันฉันใด ความสามารถของแต่ละคนมีไม่เท่ากันฉันนั้น

ธรรมชาติต้องการสอนให้เราอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย

บางสิ่งที่เขาขาด เราอาจมี บางสิ่งที่เขาดี เราอาจด้อย

เราเกิดมาเพื่อเติมเต็มกันและกัน

๒๑. ในใจเรามีทั้งตัวสร้างและตัวเสื่อม
ตัวสร้างคือธรรมมะ ตัวเสื่อมคือกิเลส

เวลาอยากทำอะไรดี ๆ นั่นคือบทบาทของตัวสร้าง

แต่ในขณะที่เราอยากทำดีกลับรู้สึกว่าไม่ควรจะทำ นั่นคือบทบาทของตัวเสื่อม

๒๒. วิกฤตมีเพื่อพิสูจน์ปัญญา ปัญหามีเพื่อพิสูจน์ความสามารถ

สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเราล้วนมีความหมาย ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นมาอย่างว่างเปล่า

ถ้าใช้ปัญญาพิจารณาอย่างลึกซึ้ง จะเห็นคุณค่าของทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิต

๒๓. น้ำที่ไหลแรงที่สุดคือน้ำใจ

น้ำใจที่ปรารถนาจะช่วยคน ทำให้คนจำนวนมาก

ข้ามน้ำข้ามทะเลไปช่วยเพื่อนมนุษย์ที่ตกยากได้อย่างไม่กลัวเหนื่อยล้า

พรมแดนของประเทศก็ไม่สามารถขัดขวางน้ำใจคน

๒๔. ไฟจากเตาเผาไหม้มีแค่บางเวลา แต่ไฟกิเลสเผาไหม้อยู่ในใจตลอดเวลา

ไฟที่ร้ายแรงที่สุดจึงเป็นไฟแห่งกิเลส

กล้องที่ส่องได้ไกลที่สุดคือ กล้องปัญญา

ที่ส่องทะลุทะลวงไปถึงอดีต ปัจจุบัน และ อนาคต

๒๕. นัยอันลึกล้ำของคำว่าขอบคุณ

ขอบคุณความไม่มี ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้

ขอบคุณความยากจน ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ

ขอบคุณความล้มเหลว ที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ




๒๖. คนที่ปล่อยตัวปล่อยใจให้ตกเป็นทาสของความโกรธ
ต่อให้นอนบนเตียงราคาแพงลิบลิ่ว ปูด้วยพรมขนสัตว์ที่มีลวดลายบุปผชาติประดับไปทั้งผืน

ก็ไม่อาจทำให้หลับตาลงอย่างเป็นสุขได้เลย ตลอดรัตติกาลอันยาวนาน

๒๗. นัยอันลึกล้ำของคำว่าขอบคุณ

ขอบคุณความผิดพลาด ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม

ขอบคุณความริษยา ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่

ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ

๒๘. แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝน ต่อให้ฝนตกกระหน่ำทั้งคืนก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำ

คนที่ไม่ยอมเปิดใจเรียนรู้ ต่อให้คลุกคลีอยู่กับนักปราชญ์ทั้งคืน ก็ยังคงโง่เท่าเดิม

๒๙. นัยอันลึกล้ำของคำว่าขอบคุณ

ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้จักครูที่ชื่อประสบการณ์

ขอบคุณความผิดหวัง ที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นใหม่

ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า ที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ

๓๐. อยู่ให้คนเขารัก จากไปให้คนเขาอาลัย ล่วงลับไปให้คนเอ่ยอ้างถึง

อยู่ให้คนรัก คืออยู่อย่างผู้ให้

จากไปให้คนอาลัย คือก่อนจาก สร้างสรรค์แต่สิ่งมีคุณค่า

ล่วงลับไปให้คนระลึกถึง คือเวลามีชีวิต ทำแต่คุณงามความดีจนเป็นที่จดจำ



ที่มา www.mornor.com

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

216
๓๐ คำคมจากธรรมะโมบาย โดย ว.วชิรเมธี


๑. หนึ่งครั้งที่แม่ตบลงไปบนหน้าลูก
อาจก่อให้เกิดความสั่นสะเทือนลึกลงไปสุดใจของลูก ทั้งชีวิต

หนึ่งอ้อมกอดที่แม่บรรจงหยิบยื่นให้ลูก อาจก่อให้เกิดความพันผูกข้ามกาลเวลา

ทุก ๆ ปฏิสัมพันธ์เป็นได้ทั้งบาดแผล และ ดอกไม้สำหรับลูก

๒. คนใกล้ชิดเป็นศัตรู แม้กำแพง ๗ ชั้น ก็ป้องกันไม่ได้

ศัตรูที่มาจากภายนอกต่อให้ยกมาถึง ๙ ทัพ เราก็มองเห็นและเตรียมตัวทัน

แต่ศัตรูที่มาจากคนในด้วยกัน คือศัตรูที่อันตรายที่สุด

เพราะเรามักมองไม่เห็น และไหวตัวไม่ทัน

๓. เวลาเรือเอียงเรามักจะมองเห็นและแก้ไขได้ทันท่วงที

แต่ความลำเอียงในใจคนมักถูกปกปิดอย่างมิดชิดและแสดงออกอย่างแยบยล

กว่าจะรู้ว่าคนที่เรารักมากด้วยความลำเอียง

บางครั้งมันก็สายเกินไป

๔. ไม่มีแรงใดเสมอด้วยแรงกรรม

แรงฟ้ามนุษย์แก้ได้ด้วยสายล่อฟ้า

แรงน้ำมนุษย์แก้ด้วยการเปลี่ยนเส้นทาง หรือสร้างกำแพงกั้นน้ำ

แรงพายุมนุษย์แก้ได้ด้วยการปลูกป่า

แต่แรงกรรมมีแต่ต้องก้มหน้ารับโดยส่วนเดียว

๕. อยู่คนเดียวจงระวังความคิด อยู่กับมิตรจงระวังวาจา

อยู่กับมารดาบิดาจงระวังการปฏิบัติตน

ถ้าคิดไม่ระวังจะกลายเป็นคิดฟุ้งซ่าน

ถ้าพูดไม่ระวังมิตรจะเข้าใจผิด

ถ้าปฏิบัติไม่ดีต่อมารดาบิดาจะเป็นการสร้างบาปให้ตนเอง

๖. ทำบาตรแตก ถ้วยแตก ชามแตก แก้วแตก ยังดีกว่าทำให้คนแตกกัน

เนื่องเพราะวัตถุที่แตกแล้วสามารถประสานให้ดีดังเดิม ได้อย่างง่ายดาย

แต่ถ้าคนแตกสามัคคีกันเป็นฝักฝ่ายแล้ว

บางทีทั้งชีวิตก็ไม่สามารถสนิทสนมกันได้อีก

๗. สิ่งที่เราให้คนอื่น แท้จริงแล้วคือของที่เราฝากให้แก่ตนเองในวันข้างหน้า

เช่น วันนี้เราด่าเขา วันข้างหน้าเราจะถูกเขาด่า

วันนี้เราโกงเขา วันข้างหน้าเราจะถูกเขาโกง

วันนี้เราเนรคุณเขา วันข้างหน้าเราจะถูกเขาเนรคุณ

๘. ความดีที่ทำไว้ในหมู่คนพาล ถึงมากมายมหาศาลก็สูญเปล่า

การทำสิ่งดี ๆ ให้แก่คนที่ไม่เห็นคุณค่า ก็ไม่ต่างอะไรกับการเทน้ำลงกองทราย

ถึงเทอย่างไรก็ซึมหายหมด ดังนั้นจะทำดีกับใคร ควรใช้ปัญญาคิดให้รอบคอบ

๙. การมีความสุขที่ก่อความทุกข์ให้คนอื่นนั้น ไม่ใช่ความสุขที่แท้

มันเป็นได้แค่ความสุขจากการเกาขอบแผลที่กำลังคัน

ยิ่งเกาดูเหมือนยิ่งสุข แต่แท้ที่จริงมันคือความทุกข์ที่แฝงมาอย่างแนบเนียน

๑๐. ดูข่าวการเมือง ยิ่งดูยิ่งวุ่นวาย ยิ่งดูยิ่งฟุ้งซ่าน

แต่หากกลับมาดูใจของตนอย่างมีสติ

รู้เท่าทันทุกเรื่องที่คิด ทุกจิตที่ทำ ทุกคำที่พูด ทุกครั้งที่เคลื่อนไหว

ความทุกข์มากมายจะดับลง ดูจิตวันละนิดจิตแจ่มใส


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

217
อยากเห็นภาพ ของ ยันต์ ทุกๆยันต์ของหลวงพ่อเปิ่น ครับ และ พุทธคุณ ด้วยครับ

218

เจ็บป่วยบ่อย..เพราะชอบฆ่าสัตว์


การฆ่าสัตว์เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมามีอายุสั้น การเบียดเบียนสัตว์เป็นสาเหตุทำให้เกิดมามีโรคภัยไข้เจ็บมาก สิ่งเหล่านี้เป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ที่หากผู้ใด ล่วงเกินลงไป ย่อมได้รับผลเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องรอ ให้ศาลมาตัดสิน กฎเกณฑ์ของธรรมชาติย่อมให้ผลเอง และเท่าเทียมกันกับทุกคน ไม่มีคำว่าสองมาตรฐานอย่างแน่นอน ผู้ใดทำกรรมใดไว้ ผู้นั้นย่อมได้รับผลกรรมนั้น

ต่อไปนี้เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของหนุ่มผู้หลงผิด ชอบฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์ เพราะความมัวเมาสนุกสนานของตน จนเป็นเหตุให้ต้องประสบกับชะตากรรมอันน่าสะพรึงกลัว และยากที่จะลืมเลือนไปตลอดชีวิต

“นฤพน” เป็นลูกชาวนา อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ บ้านของเขามีป่าอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านมากนัก เขาชอบเข้าป่าล่าสัตว์ อาวุธสำคัญที่นฤพนชอบเป็นชีวิตจิตใจ ก็คือปืน และเขาเป็นคนที่ยิงปืนแม่นมาก ถึงขั้นที่ว่าสามารถยิงถูกหัวนกที่จับอยู่ปลายไม้ได้อย่างไม่พลาดในแต่ละวัน ชายหนุ่มจึงเข้าป่าล่าสัตว์ แต่บางครั้งก็ไม่ได้ล่ามาทำอาหาร แต่เพื่อฝึกซ้อมฝีมือยิงปืนเท่านั้นเอง

ความสุขของนฤพนจึงกลายเป็นความทุกข์ของสัตว์จำนวนมากในป่า ทุกครั้งที่เขาเข้าป่า บรรดาสัตว์เล็กสัตว์น้อยเหมือนจะรู้ว่าเพชฌฆาตกำลังเดินเข้ามาหา มันจะพากันวิ่งหนีทันที แม้แต่นกทั้งหลายก็บินหนีไปหมด แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะนั่นเป็นปกติธรรมดาของสัตว์ ทั้งหลายอยู่แล้ว เมื่อรู้ว่าภัยมาถึงตัวก็ต้องรีบหาทางเอาตัวรอดไว้ก่อน

ถึงแม้ว่าสัตว์น้อยใหญ่จะพยายามหลบหลีกอย่างไร แต่ก็ไม่พ้นเงื้อมมือของนฤพนไปได้ เขาเป็นคนมีพรสวรรค์ ในการล่าสัตว์มาก ทุกครั้งที่แบกปืนเข้าป่า จะต้องได้สัตว์กลับออกมา ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ทุกครั้งที่ชาวบ้านเห็นเขาแบกสัตว์ป่ากลับมา ทุกคนก็จะยกย่องชมเชย ว่าเขาเป็นคนเก่ง ที่สามารถล่าสัตว์ได้เยอะกว่าคนอื่น นฤพนจึงหลงยินดีไปกับคำยกยอสรรเสริญนั้น ทำให้เขายิ่งมีความขยันและฝึกฝนกลยุทธ์ต่างๆ ในการล่าสัตว์ให้ได้มากขึ้นทุกวัน

สัตว์ที่เขาล่ามาได้นั้น บางครั้งก็เอามาแจกจ่ายให้กับชาวบ้านได้ปรุงเป็นอาหารบ้าง บางครั้งก็ชวนเพื่อนๆ วัยรุ่น มาร่วมวงกินเหล้าและกับแกล้มกันอย่างสนุกสนาน นฤพนหลงผิดอยู่กับการกระทำความชั่วอย่างนั้นอยู่นานหลายปีทีเดียว โดยที่เขาไม่เคยรู้เลยว่า สิ่งที่ตนได้กระทำลงไปนั้นมันจะย้อนกลับมาหาตัวเองอย่างไร เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เขามีแต่ได้รับคำชมว่า เป็นคนเก่ง คนมีฝีมือ การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจึงเป็นสิ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขา

ด้วยความที่อวิชชาได้ปิดบังดวงตาของชายหนุ่มอย่าง แนบสนิทนี้ ทำให้เขาได้ทำกรรมจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไว้มากมาย หากนับรวมๆแล้ว สัตว์ที่ถูกเขาฆ่าคงไม่น้อยกว่าพันๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็นกระรอก กระต่าย นก งู และอีก สารพัด เรียกว่าหากไปพบสัตว์ชนิดใดเข้า เขาก็จะยิงทันที โดยไม่เคยคิดสงสารและไม่เคยคิดเลยว่า สิ่งนั้นเป็นกรรม ที่จะย้อนกลับมาหาตัวเอง

ต่อมานฤพนถูกสลัดรักจากหญิงสาวคนหนึ่งในหมู่บ้าน ความอกหักทำให้เขาอยากหนีจากชีวิตที่เต็มไปด้วยความทุกข์ จึงขอแม่มาหางานทำที่กรุงเทพ นั่นนับว่าเป็นครั้งแรกที่นฤพนได้วางมือจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

หลังจากนฤพนมาอยู่กรุงเทพฯได้สองปี ผลแห่งกรรมที่เขากระทำไว้ ก็เริ่มจะแสดงฤทธิ์ออกมาทีละเล็กละน้อย เขาเริ่มเจ็บป่วยเป็นโน่นเป็นนี่อยู่ตลอดเวลา ไม่เคยหายสักที เดี๋ยวก็ป่วยเป็นโรคนั้น ป่วยเป็นโรคนี้ ทำให้ต้องเข้ารับการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นประจำ

ทุกครั้งที่นฤพนนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล เขาจะนึกถึงกรรมชั่วที่ตนเคยกระทำไว้ตลอด นึกถึงภาพแห่งความ เจ็บปวดทุกข์ทรมานของสัตว์ทั้งหลายเวลาถูกเขายิง ภาพเหล่านี้ทำให้ชายหนุ่มน้ำตาไหล และรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็รู้สึกหวาดกลัว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่สัตว์เหล่านั้นจะมาทวงคืนสิ่งที่เขาทำกับพวกมัน ทุกวินาทีของนฤพนจึงเต็มไปด้วยความหวาดผวา กลัวว่ากรรมเหล่านั้นจะตามมาให้ผลกับเขาในชาตินี้

แต่สิ่งที่เขากลัวก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะเป็น การกระทำที่เขาก่อขึ้นเอง ย่อมให้ผลเองตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ

วันหนึ่ง..ในระหว่างที่เขาเดินออกไปจากโรงพยาบาลนั้น เขารู้สึกหน้ามืดเหมือนกับว่าจะเป็นลม แต่เขาก็พยายามประคองตัวเดินต่อไป แต่เดินไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็ล้มลงจนร่างไปเสียบเข้ากับเหล็กชิ้นหนึ่ง แถวบริเวณที่ก่อสร้างริมถนน แต่นับว่ายังโชคดีที่ยังไม่โดนหัวใจ!!

เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลหลายวัน ชายหนุ่มนอนมองบาดแผลที่เกิดขึ้น ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่า การที่เขาล้มลงถูกเหล็กเสียบนั้น ก็คงเป็นเพราะกรรมที่เขาเคยยิงสัตว์ไว้มากนั่นเอง ตัวแล้วตัวเล่าที่เขายิงที่ลำตัวของมัน กรรมนั้นคงตามให้ผลแล้ว

ทุกครั้งที่นฤพนหลับตาลง ภาพกรรมเก่าที่เคยทำไว้ ก็มาปรากฎหลอกหลอนอยู่ตลอดเวลา จิตใจของเขาไม่มีช่วงเวลาแห่งความสุขเลย กรรมชั่วนั้นช่างมีผลมากมายเสียจริงๆ ชาตินี้เขาได้เผชิญกับกรรมชั่วของตนเองทั้งทางกายและทางใจ จึงประจักษ์ชัดแล้วว่า กรรมชั่วนั้น หากใครหลงผิดไปทำแล้ว ย่อมได้รับผลเป็นความทุกข์อย่างแน่นอน

นฤพนได้ประสบกับความทุกข์ด้วยตนเองอย่างนั้นแล้ว จึงตั้งใจที่จะทำความดีและอุทิศบุญกุศลไปให้กับเจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้น หลังจากเขาออกจากโรงพยาบาล ก็ได้ไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ๗ วัน และทำบุญตักบาตรอย่างสม่ำเสมอ เพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรม นายเวรที่เขาได้กระทำไว้ เพราะเขาชื่อว่า ผลบุญนี้ จะทำให้ผลแห่งกรรมชั่วของเขาเบาบางลงไปได้

ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน นฤพนยังคงมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้เขาสบายใจขึ้น ที่ได้ทำความดีอยู่ทุกวัน เพื่อชดเชยกับความชั่วที่เขาสั่งสมมานานหลายปี หากเขาไม่พบแสงแห่งธรรมเลย ชีวิตของเขาคงจะพบกับความทุกข์ทรมานมากกว่านี้อีกหลายเท่า

ทุกวันนี้ยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่ตกอยู่ในความมืดของอวิชชา ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าได้จุดแสงสว่างแห่งธรรมขึ้นมาบนโลกนี้หลายพันปีแล้ว คนที่ได้รับแสงสว่างแห่งธรรม ย่อมดำเนินชีวิตไปอย่างราบรื่น บนเส้นทางแห่งความสุข ส่วนคนที่อยู่ในความมืด ย่อมดำเนินชีวิตไปบนคราบน้ำตา

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 119 ตุลาคม 2553 โดย มาลาวชิโร)

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต และ  ASTV ผู้จัดการออนไลน์

219
ขอขอบคุณสำหรับ บทความดีๆ

220
โห สวยจังอย่างนี้ต้อง จัดกิจกรรม 555+  :005:

221
ขอให้พระอาจารย์ญาเจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ นะครับ กราบนมัสการครับ :054:

222
ผมก็เป็นสมาชิกมาตั้งนานแล้ว ไม่ได้แนะนำตัวเลย ผมนายธรรมะ ครับ 30; ชื่อเล่นว่าไอซ์ครับ เรียกน้องธรรมะ ก็ได้ครับ  03;  ฝากตัวด้วยครับ

223
วิธีห้ามจิตไม่ให้คิดอกุศล


ธรรมชาติของจิต ไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบนึกคิดไปต่างๆ นานาเช่น นึกคิดไปในทางกามบ้าง นึกคิดไปในทางอาฆาตพยาบาทบ้าง
การนึกคิดในทางที่ไม่ดีเช่นนี้เรียกว่าอกุศลวิตกการห้ามจิตไม่ให้นึกคิดในทางอกุศลนั้น ทำได้ยาก

บุคคลส่วนมากไม่ต้องการคิดในทางอกุศล แต่มักจะอดคิดไม่ได้คิดจนนอนไม่หลับหรือเป็นโรคประสาทก็มี
ตรงกันข้ามเมื่อต้องการคิดเรื่องที่เป็นบุญเป็นกุศล มักจะคิดในทางกุศลไม่ได้นานการห้ามจิตไม่ให้คิดอกุศลจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

ในที่นี้จะได้กล่าวถึงวิธีห้ามจิตไม่ให้คิดอกุศล 5 วิธีด้วยกัน

(1) เมื่อใส่ใจในอารมณ์ใดอยู่ อกุศลวิตกเกิดขึ้น ก็ให้ใส่ใจอารมณ์อื่นที่เป็นกุศลและเป็นคู่ปรับกันเช่น เมื่อนึกคิดไปในทางราคะ ก็ให้หันมาเจริญอสุภสัญญา พิจารณาว่าร่างกายนี้เป็นของเน่าเปื่อยไม่สะอาด มีของโสโครกไหลออกอยู่เนืองๆจะหาสิ่งที่เป็นแก่นสาร หรือสิ่งประเสริฐในกายนี้ไม่ได้เลยเมื่อมาใส่ใจอารมณ์อื่นที่เป็นกุศล คือ อสุภสัญญา ย่อมละราคะนี้ได้ถ้าโลภอยากได้ข้าวของเงินทองต่างๆก็ให้พิจารณาว่าทรัพย์สมบัติเหล่านั้นเป็นของกลางสำหรับแผ่นดินไม่มีใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง เป็นเพียงของยืมมาใช้ชั่วคราวตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ ต้องทิ้งไว้ในโลกให้คนอื่นใช้ต่อไปเมื่อมาใส่ใจเรื่องอื่นที่เป็นกุศล คือความไม่มีเจ้าของและเป็นของชั่วคราว ย่อมละความโลภในทรัพย์สมบัติได้ถ้านึกคิดไปในทางเบียดเบียนด้วยอำนาจโทสะก็พึงเจริญเมตตาด้วยการระลึกถึงพุทธพจน์ ที่เป็นไปเพื่อคลายความอาฆาต เช่นพุทธพจน์ในกกจูปมสูตร (12/272) ที่ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลายหากจะมีพวกโจรผู้มีความประพฤติต่ำช้าเอาเลื่อยที่มีที่จับทั้งสองข้างเลื่อยอวัยวะใหญ่น้อยของพวกเธอ แม้ในเหตุนั้นภิกษุมีใจคิดร้ายต่อโจรเหล่านั้นภิกษุนั้นไม่ชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสอนของเราเพราะเหตุที่อดกลั้นไม่ได้นั้น ภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้นพวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาลามกเราจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์ เราจักมีจิตเมตตาไม่มีโทสะภายในเราจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ ใหญ่ยิ่ง หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทาง ซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้นเมื่อมาใส่ใจอารมณ์อื่นอันเป็นกุศล คือ เจริญเมตตา ย่อมละโทสะได้เหมือนช่างไม้ผู้ฉลาด ใช้ลิ่มอันเล็กตอก โยก ถอน ลิ่มอันใหญ่ออก ฉะนั้น

(2) เมื่อใส่ใจอารมณ์อื่นอันเป็นกุศล อกุศลวิตกยังเกิดขึ้นเรื่อยๆก็ควรพิจารณาโทษของอกุศลวิตกว่า ย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้างเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เบียดเบียนทั้งตนและผู้อื่นบ้าง ทำให้ปัญญาดับก่อให้เกิดความคับแค้น ให้ผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนไม่เป็นไปเพื่อพระนิพพาน เมื่อพิจารณาโทษอยู่อย่างนี้ย่อมละอกุศลวิตกนั้นได้ เหมือนชายหนุ่มหญิงสาวรู้ว่ามีซากศพซึ่งเป็นของปฏิกูลน่ารังเกียจผูกอยู่ที่คอย่อมรีบทิ้งซากศพนั้นโดยเร็ว

(3) เมื่อพิจารณาโทษของอกุศลวิตกนั้นอยู่ อกุศลวิตกยังเกิดขึ้นเรื่อยๆก็อย่าใส่ใจ อย่านึกถึงอกุศลวิตกนั้นเมื่อไม่นึกไม่ใส่ใจก็ย่อมละอกุศลวิตกนั้นได้ เหมือนบุรุษผู้มีจักษุไม่ต้องการเห็นรูปที่ผ่านมา เขาพึงหลับตาเสีย หรือเหลียวไปทางอื่นเสีย

พระโบราณาจารย์ก็เคยใช้วิธีนี้ แก้ความกระวนกระวายของติสสสามเณรที่ต้องการลาสิกขา

เรื่องมีอยู่ว่าติสสสามเณรคิดจะลาสิกขา จึงแจ้งให้พระอุปัชฌาย์ทราบพระเถระจึงหาวิธีเบนความสนใจของสามเณร โดยกล่าวว่า ในวิหารนี้หาน้ำได้ยากเธอจงพาเราไปที่จิตตลดาบรรพต สามเณรก็กระทำตามพระเถระกล่าวกับสามเณรอีกว่าเธอจงสร้างที่อยู่ใหม่ให้เป็นที่อยู่อาศัยเฉพาะบุคคลหนึ่ง สามเณรก็รับคำแล้วสามเณรก็เริ่มสิ่งทั้งสามพร้อมๆ กัน คือเรียนคัมภีร์สังยุตตนิกายตั้งแต่ต้น การชำระพื้นที่ที่เงื้อมเขาและการบริกรรมเตโชกสิณจนถึงอัปปนา เมื่อเรียนสังยุตตนิกายจบลงแล้วก็เริ่มทำอยู่ในถ้ำ เมื่อทำกิจทั้งปวงเสร็จแล้ว ก็แจ้งให้พระอุปัชฌาย์ทราบพระอุปัชฌาย์กล่าวว่า สามเณร ที่อยู่เฉพาะบุคคล ที่เธอทำเสร็จนั้นทำได้ยากเธอนั่นแหละจงอยู่ สามเณรนั้น เมื่ออยู่ในถ้ำตลอดราตรี ได้อุตุสัปปายะจึงยังวิปัสสนาให้เจริญ แล้วบรรลุพระอรหัต ปรินิพพานในถ้ำนั่นแหละชนทั้งหลายจึงเอาธาตุของสามเณรก่อสร้างพระเจดีย์ไว้นี่คือเรื่องของติสสสามเณรที่ถูกพระอุปัชฌาย์เบนความสนใจให้ไปกระทำสิ่งอื่นที่เป็นกุศล จนลืมความคิดที่จะลาสิกขา เมื่อไม่ใส่ใจไม่นึกถึง ความคิดที่จะลาสิกขาก็ดับไปเอง

(4) เมื่อไม่นึกถึงไม่ใส่ใจในอกุศลวิตกนั้น อกุศลวิตกก็ยังเกิดขึ้นเรื่อยๆก็ควรใส่ใจถึงเหตุ ของอกุศลวิตกนั้นว่า อกุศลวิตกนั้นมีอะไรเป็นเหตุมีอะไรเป็นปัจจัยเพราะเหตุไรจึงเกิดขึ้น เมื่อค้นพบเหตุปัจจัยอันเป็นมูลรากแล้ว อกุศลวิตกนั้นย่อมจะเบาบางลง แล้วถึงความดับไปโดยประการทั้งปวง

(5) เมื่อใส่ใจถึงเหตุแห่งอกุศลวิตกนั้นอยู่ อกุศลวิตกยังเกิดขึ้นเรื่อยๆก็พึงกัดฟันด้วยฟัน ดุนเพดานด้วยลิ้น ข่ม บีบคั้น บังคับจิตด้วยจิตเมื่อข่มจิตอย่างนี้ ย่อมละอกุศลวิตกนั้นเสียได้เหมือนบุรุษผู้มีกำลังมากจับบุรุษผู้มีกำลังน้อยไว้ได้ แล้วบีบกดเค้นที่ศรีษะ คอหรือก้านคอไว้ให้แน่น ทำบุรุษนั้นให้เร่าร้อน ให้ลำบากให้สยบ ฉะนั้น (วิตักกสัณฐานสูตร 12/ 256 )

วิธีควบคุมอกุศลวิตกทั้ง 5 วิธีนี้ อาจย่อให้สั้น เพื่อให้จำได้ง่ายดังนี้คือ

1. เปลี่ยนนิมิต หันมาคิดเรื่องที่เป็นกุศลและเป็นคู่ปรับกัน
2. พิจารณาโทษา พิจารณาโทษของความคิดฝ่ายชั่ว
3. อย่าไปสน อย่าสนใจความคิดฝ่ายชั่ว หางานอื่นทำ
4. ค้นเหตุที่คิด หาสาเหตุของความคิดฝ่ายชั่ว
5. ข่มจิต เอาฟันกัดฟัน เอาลิ้นกดเพดาน เพื่อข่มจิต

ผู้ที่ฝึกหัดตามวิธีทั้ง 5 นี้จนชำนาญย่อมควบคุมความคิดของตนได้ เมื่อต้องการความคิดเรื่องใดก็คิดเรื่องนั้นได้ไม่ต้องการคิดเรื่องใดก็เลิกคิดเรื่อ
งนั้นได้การควบคุมความคิดได้ดังใจนึกเช่นนี้เป็นประโยชน์อย่างมากทั้งทางโลกและทางธรรม


.................................................................

คัดลอกมาจาก
http://www.geocities.com/wat_thaton/index1.html

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

224
ขอใบ้สักข้อนะพี่ แปป เห็นพี่ๆน้องๆยังตอบกันไม่ค่อยได้ครับ ขอใบ้ข้อ1 นะ

ข้อ 1 คือ พระเจดีย์หนองหล่ม หรือ พระธาตุหนองหล่ม แห่ง วัดร้างไม่ทราบนาม อ.เมือง จ.เชียงใหม่

ช่วยแล้วน่า ที่เหลือหาเองนะ ผมให้กำลังใจอยู่ข้างหลัง นะ สู้ๆๆ  :045:

225
ธรรมะ / วิธีทำความดีหนีกรรม
« เมื่อ: 06 ต.ค. 2553, 07:10:51 »
วิธีทำความดีหนีกรรม


ถาม : จะทำอย่างไรเกี่ยวกับการชดใช้กรรมที่ส่งผลมาชาตินี้คะ ?

ตอบ : ไม่มีใครใช้หมดจ้ะ ควรทำความดีหนีกรรม การทำความดีที่มีกุศลมาก ๓ อย่างคือ

ทาน คือ การให้ อันนี้เสียของเสียเงิน

ศีล คือ การรักษาศีล มีอานิสงส์มากกว่าให้ทาน เป็น ๑๐๐ เท่า

ภาวนา คือ การหัดทำสมาธิ มีอานิสงส์มากกว่าการรักษาศีล เป็น ๑๐๐ เท่า

เพราะฉะนั้นถ้าหากจะชดใช้กรรม มันเป็นความคิดที่ดี คือ ให้มันหมดหนี้หมดสินไปเลย มันเป็นไปไม่ได้ เพราะทำไว้เยอะเหลือเกิน

ถาม : ถ้าเป็นพ่อถ้าเป็นลูก ช่วยได้ไหมคะ ?

ตอบ : ก็ช่วยตรงที่ ต้องแนะนำให้ท่านทำ จ้ะ เรื่องของกรรมที่ว่าดีหรือชั่วก็ตาม ใครทำใครได้ ไม่ใช่ว่าพ่อทำแล้วถึงลูก หรือลูกทำแล้วจะไปถึงพ่อ แต่ว่ามีอยู่อย่างหนึ่ง คือ ถ้าทำแล้วบอกท่านๆ พลอยยินดีด้วยท่านจะมีส่วนในผลบุญอันนั้น

ถาม : แล้วถ้าหากผลบุญมากว่า จะพอช่วยได้ไหมคะ ?

ตอบ : ถ้าหากผลบุญมากกว่ามันจะหนีห่างไปได้ชั่วคราว เหมือนกับหมาไล่กัดแล้วเราวิ่งหนี แต่ถ้าหากว่าเราประมาทชะลอฝีเท้าลง มันอาจจะไล่ทันอีก เพราะฉะนั้นเราทำความดีเราต้องเสริมมันให้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ หยุดไม่ได้ ต้องเป็นคนบ้าในสายตาขของเพื่อน สมัยนี้ถ้าหากเข้าวัดเข้าวาทำบุญใส่บาตรส่วนใหญ่เขาว่าบ้า ไปห้างเดินแฟชั่นดีกว่า

ถาม : อาจหนักเป็นเบาใช่ไหมคะ ?

ตอบ : จากหนักจะเป็นเบา จากเบาจะเป็นหาย แต่ว่าไม่สามารถจะชดเชยแก้กันได้ เพียงแต่ว่ามันหนีห่างออกไปได้ พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าที่เข้านิพพานไปแล้วจนนับไม่ได้ ไม่มีใครใช้หนี้กรรมเก่าหมด มีแต่ทำดีจนถึงที่สุดแล้วหลุดพ้นไป ในเมื่อหลุดพ้นไปเจ้าหนี้เขาอยู่ที่นี่ ท่านอยู่ที่โน่น ตามทวงท่านไม่ได้ ก็จบแค่นั้น

ถาม : เคยสวดมนต์ แล้วรู้สึกไม่ค่อยดีกำลังจะใช้กรรม แล้วสักพักหนึ่งก็รู้สึกเกิดเหตุร้ายๆ ค่ะ

ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ นั่นคือโชคดีที่เราสวดมนต์ไหว้พระ ถ้าหากว่าส่วนของความดีเราไม่ได้ทำอยู่ มันจะร้ายกว่านั้นอีก เมื่อกี้บอกแล้วมันผ่อนหนักเป็นเบานะจ้ะ ถ้าเราไม่ได้ทำมันจะหนักกว่านั้นอีก

ถาม : พอสักระยะหนึ่งมันก็จะดีขึ้นค่ะ

ตอบ : เพียงแต่ว่าของเราไม่ค่อยทำต่อเนื่อง พอรู้สึกตัวก้าวไปถึงไม่ดีก็เลิก ดีก็เลิกเหมือนกัน ตกลงจะดีหรือไม่ดีตูก็ไม่ทำต่อทั้งนั้น แย่ล่ะสิ เหมือนกับเราหิวข้าววันละ ๓ มื้อ แต่เราไปกินทีแล้วเราก็พอแล้ว ไหวไหมล่ะ อีก ๓ วันก็ไส้แขวนขึ้นมาบนคอหอย

การสวดมนต์ถ้าทำเป็นอานิสงส์มหาศาล เพราะว่าเป็นทานได้ เช่น เราตั้งใจจะไม่โกรธไม่เคืองใคร ไม่ฆ่าใคร ไม่ลักขโมยใคร ไม่ผิดลูกผิดเมียใคร เราเป็นผู้หญิงก็ไม่ผิดลูกผิดผัวใคร ไม่โกหกใคร ไม่กินเหล้า อันนี้เขาเรียกว่า อภัยทาน เราตั้งใจทำทานตรงจุดนี้ด้วยการนั่งสวดมนต์ คุณนั่งสวดมนต์อยู่ก็ได้แค่คิดเท่านั้น ไปทำไม่ได้ เป็นอันว่าส่วนนี้ได้

คราวนี้พอเราอยู่ตรงนั้นให้เราตั้งใจว่า ส่วนของอภัยทานทุกข้อที่เราว่ามาก็คือ ศีล เราตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ส่วนของศีลเราก็ได้ ขณะเดียวกันถ้าเราสวดด้วยความตั้งอกตั้งใจจริงๆ ใจจะตั้งมั่นเป็นสมาธิ ส่วนของสมาธิเราก็ได้ ตกลงบุญใหญ่ ๓ ตัวเราได้ครบเลย

ดังนั้นว่าเราทำเป็นไหม ? ถ้าเราทำเป็นไม่ใช่แค่สวดมนต์ไหว้พระ แต่เป็นเรื่องทาน ศีล ภาวนา ไปในตัว พอเราทำแล้วหาจังหวะดีๆ บอกคุณพ่อคุณแม่ บอกอย่างไรอย่าให้ท่านคิดว่าเราเพี้ยนไปแล้ว บอกท่านว่า เราได้ทำความดีตรงนี้ ขอให้ท่านโมทนาด้วย โมทนาคือพลอยยินดี ถ้าท่านไม่ด่าคืนมาก็เป็นอันว่าโอเคล่ะ ท่านจะได้มีส่วนในผลบุญนั้นด้วย

แต่คนที่คอยโมทนาผลบุญของคนอื่นถึงเวลาเขาทำเราก็สาธุ มันมีจุดอ่อนอยู่นิดหนึ่งที่ว่า ตัวคนทำต้องได้ผลก่อน คนๆ นั้นถึงจะได้รับเพราะว่าไปอาศัยเขา ดังนั้น หากคนนั้นยังไม่ได้รับผลเมื่อไหร่ ตัวของคนที่คอยโมทนาบุญเขาก็จะไม่ได้รับผลตามนั้น สู้ทำเองไม่ได้

ดังนั้น มีวิธีไหนบ้างที่จะแนะนำให้ท่านทำเป็นต้นว่า อาจจะเปิดเทปธรรมะ วีซีดีธรรมะ หรือว่าหนังสือธรรมะเอาวางๆ ทิ้งๆ ให้มันเกะกะลูกตาท่านเล่น ถ้าวันไหนท่านหยิบขึ้นมา เออ! ค่อยยังชั่วหน่อย ถ้าวันไหนท่านไม่หยิบขึ้นมาอ่านก็ไม่ต้องไปเคี่ยวเข็ญท่าน แต่ใช้วิธีทำที่ตัวเรา ถ้าตัวเขาตั้งใจปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนา แล้วมีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเห็นได้ชัดเจน เป็นอันว่าไม่กลับบ้านดึก มากเอาแค่ตี ๒ ก็พอ ถึงเวลาท่านว่าก็ไม่เถียง รู้จักเก็บออมถนอมคำ ไม่โกรธใคร ไม่ว่าใครง่ายๆ พอมันมีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเห็นได้ชัด เดี๋ยวท่านสนใจถามขึ้นมา ถ้าท่านสนใจแล้วถามขึ้นมา อีตอนนั้นเสร็จเราแน่ๆ เลยจะจูงไปทางไหนก็ไปแล้ว

แต่คราวนี้ตัวเราสามารถทำได้ไหมว่า ให้มันมีผลที่ดีที่ท่านเห็นอย่างชัดเจน ตรงจุดนั้นมันต้องอาศัยความอดทน แล้วก็ให้ทำสม่ำเสมอ ถ้าเป็นภาษาพระต้องมี ขันติบารมี คืออดทนพอ มี สัจจบารมี คือความตั้งใจจริงมากพอ ไหวไหมล่ะ ?

ถาม : ทำก่อนนอนได้ไหมคะ ?

ตอบ : ก่อนนอนได้จ้ะ และตื่นนอนเอาอีกนิดหนึ่ง ตั้งใจว่าตอนนี้เราจะนอนแล้ว ถ้าเหตุร้ายใดๆ จะพึงมีพึงเกิดขึ้น ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ช่วยปกปักษ์รักษาปัดเป่าให้ผ่านพ้นไป ขอให้ครอบครัวของเรามีความสุข ขอให้คุณพ่อคุณแม่มีความสุข ก้าวเข้ามาในทางธรรมะเร็วๆ

พอตื่นนอนก่อนจะไปทำงานก็เหมือนกัน สวดมนต์ไหว้พระเสียหน่อย เราจะไปทำการทำงานแล้วอันตรายใดๆ ที่จะพึงมีพึงเกิดก็อย่าให้เกิดขึ้นเลย ด้วยอำนาจของพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ขอให้ปัดเป่ามันพ้นจากเราไป ขอให้ประสบแต่สิ่งที่ดีๆ ขอได้จ้ะ เพียงแต่ว่าต้องทำให้พอ ถ้าทำพอเมื่อไร สิ่งที่เราขอมันจะได้ ถ้าทำไม่พอยังไม่ได้หรอกจ้ะ หาสตางค์ได้ ๒,๐๐๐ แล้วไปซื้อเบนซ์ไม่ได้หรอก ต้องรอให้ครบล้านแปดก่อน ต้องขยันสะสมความดีไว้เรื่อยๆ จ้ะ


สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

226
ว้าวๆๆ อยากได้จัง  15; แต่ผมจะให้คนที่ไม่ได้ทีแล้วกันครับ ผมจะช่วยใบ้สักข้อนะครับ  :005:

227
พิทักษ์วัด พิทักษ์พระ ๑ ใน ๑๐ ภารกิจหลักของ...'ทหารหาญแดนใต้'

คุ้มครองพระสงฆ์บิณฑบาต


รักษาความปลอดภัยให้พระสงฆ์ในวัดอย่างเข้มแข็ง

“พระและวัด” ถือเป็นหนึ่งใน “เป้าหมายเชิงสัญลักษณ์” ที่กลุ่มก่อความไม่สงบพยายามใช้เป็นเงื่อนไขในการโหมกระพือสถานการณ์ และบรรยากาศความรุนแรงในพื้นที่ดินแดนปลายด้ามขวาน เพราะทุกครั้งที่ปรากฏเหตุการณ์เกิดขึ้นกับพระภิกษุสงฆ์ สามเณร รวมถึงสร้างความปั่นป่วนต่อศาสนสถานในช่วงที่ผ่านมา มักจะก่อเกิดแรงกระเพื่อมทางความรู้สึกอย่างมหาศาล โดยเฉพาะกับกลุ่มคนไทยพุทธที่หลงเหลือและยังอาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีไม่กี่สิบเปอร์เซ็นต์ ณ เวลานี้

“พล.ท.กสิกร คีรีศรี” ผู้บัญชาการกองกำลังผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.) ระบุว่า กว่า ๖ ปี ในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ได้มีแค่เพียงงบประมาณจำนวนมาก และยุทธศาสตร์จากภาครัฐ ที่ทุ่มลงไปในพื้นที่เพื่อเร่งคืนสันติภาพกลับคืนสู่ดินแดนด้ามขวานโดยเร็วเท่านั้น แต่ยังมีการส่งสรรพกำลังจากหน่วยความมั่นคง โดยเฉพาะทหารจากทุกเหล่าทัพ ที่เคลื่อนพลลงสู่พื้นที่แห่งนี้ เพื่อร่วมสนับสนุนแนวทางแก้ไขปัญหา และสร้างสันติสุขให้ยั่งยืน

ปัจจุบันมีกำลังพลประมาณ ๓๐,๐๐๐ นาย ได้กระจายประจำการทั่วพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน ๗๐๐ ฐาน เพื่อออกดูแลความสงบเรียบร้อยแก่พี่น้องประชาชนครอบคลุมทั่วพื้นที่ ภายใต้การทำหน้าที่จำนวน ๒,๖๐๐ ภารกิจต่อวัน ที่แยกย่อยออกเป็นภารกิจหลัก ๑๐ ประการ ไล่เรียงตั้งแต่การรักษาความปลอดภัย ครู โรงเรียน รถไฟ เส้นทาง ระบบไฟฟ้า เขื่อน ชุมชนเมือง ชุมชนไทยพุทธ และที่ขาดไม่ได้คือ การรักษาความปลอดภัยพระและวัด ทั้งนี้ ทหารต้องคอยคุ้มกันและระแวดระวังภัยแก่พระภิกษุสงฆ์ ไม่ต่างไปจากไข่ในหิน หรือจงอางหวงไข่ เท่าใดนัก

"ด้วยปัจจัยแวดล้อมที่เลี่ยงไม่ได้ ทำให้พระที่วัดในพื้นที่ไม่สามารถทำกิจของสงฆ์ หรือกิจนิมนต์เหมือนพื้นที่อื่นๆ ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ทำเลย เพราะยิ่งเกิดสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของชาวบ้าน หรือขณะที่ชาวบ้านต้องการกำลังใจและที่พึ่งทางใจ ภารกิจของสงฆ์ก็ยังจำเป็นต้องดำเนินต่อไป เพียงแค่อาจต้องปรับประยุกต์เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์ ดังนั้นทหารจึงต้องทำหน้าที่พิทักษ์พระ เพื่อให้สามารถทำกิจของสงฆ์อย่างดีที่สุด" พล.ท.กสิกร กล่าว

ในขณะที่ "นาวาโทนฤมิตร ศุขสมิติ" ผบ.ฉก.๓๒ นราธิวาส ระบุว่า ภารกิจปกป้องพระและวัดแล้วจะพบว่า ในพื้นที่ ๒ อำเภอ มีวัดอยู่ ๔ แห่ง โดย อ.บาเจาะ มี ๒ แห่ง คือ วัดอุไร และวัดเชิงเขา ส่วน อ.ยี่งอ มี ๒ แห่ง คือ วัดยี่งอ และวัดทุ่งคา ทั้งนี้ ภารกิจของทหารในปัจจุบัน หากจะเรียกว่าเป็นการทำหน้าที่รั้วแห่งศาสนาก็คงไม่ผิดนัก แต่ละวันทหารชุดที่ประจำฐานที่มั่นชั่วคราวภายในวัด จะปฏิบัติเสมือนเป็นเด็กวัดก็ไม่ปาน โดยเฉพาะวันพระ ต้องเป็นโต้โผใหญ่ในการทำหน้าที่พุทธศาสนิกชนในการนำมวลชนร่วมทำนุบำรุงศาสนา

อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจัยที่สุ่มเสี่ยงต่อการสร้างความขัดแย้งในระดับพื้นที่ ทำให้กรอบการทำงานของทหารต้องเพิ่มความระมัดระวังในการป้องกันการสร้างสถานการณ์ที่นำเรื่องศาสนามาเกี่ยวโยง ส่งผลให้วันนี้ทหารจำเป็นต้องเข้าไปตั้งฐานทหารอยู่ภายในวัดทั้ง ๔ แห่ง เพื่อดูแลความปลอดภัยวัดและพระสงฆ์ เนื่องจากลำพังจำนวนคนไทยพุทธที่มีน้อยอยู่แล้ว ทำให้จำนวนพระสงฆ์น้อยตามไปด้วย โดยวัดแต่ละแห่งมีพระมากที่สุด ๕ รูป และน้อยที่สุดคือ รูปเดียว มีเฉพาะเจ้าอาวาสเท่านั้น ทีไม่สามารถละทิ้งวัดไปได้

"วัดอุไรเป็นวัดที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากสภาพแวดล้อมผนวกกับจำนวนพุทธศาสนิกชนเหลืออยู่จำนวนน้อยมาก ประมาณ ๒๐ คน ไม่รวมทหารที่เข้าไปตั้งฐานปฏิบัติการ ขณะที่วัดทุ่งคาเป็นจุดที่ค่อนข้างปลอดภัย เมื่อเทียบกับ ๓ วัดที่เหลือ เนื่องจากมีพุทธศาสนิกชนอยู่ประมาณ ๘๐๐ คน ตามทะเบียนราษฎร์ซึ่งหากมีการนับตามจำนวนคนจริงๆ อาจไม่ถึง แต่อย่างน้อยก็รู้สึกอุ่นใจว่ามีผู้ที่ร่วมทำนุบำรุงศาสนานับพันคน" นาวาโทนฤมิตร กล่าว

พระกริ่งชินบัญชร ญสส.เพื่อขวัญทหารหาญ
"พระกริ่งชินบัญชร ญสส.รุ่น เพชรกลับ" เป็นพระกริ่งที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระเมตตาประทานพระอนุญาต ให้คณะกรรมการดำเนินงานจัดสร้างวัตถุมงคลสักการะ หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ ๔๖ สำนักงานพัฒนาภาค ๔ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมทั้งให้อัญเชิญพระนามย่อ ญสส. ประดิษฐาน ณ วัตถุมงคลสักการะอีกด้วย ทั้งนี้ เพื่อนำวัตถุมงคลสักการะนี้ไปแจกทหาร ตำรวจ และข้าราชการ ที่ปฏิบัติงานใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้สามารถปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติอย่างไม่หวั่นเกรง ตลอดจนสมทบทุนการดำเนินการต่างๆ ตามวัตถุประสงค์ อันจะเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนสืบไป

พิธีเททองหล่อพระกริ่งชินบัญชร ญสส. รุ่น "เพชรกลับ" จัดขึ้น ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๓ และประกอบพิธีพุทธาภิเษก ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) โดยพระครูสังฆกิจบูรพา หรือพระอาจารย์บัว อายุ ๘๒ ปี เจ้าอาวาสวัดศรีบูรพาราม หรือวัดเกาะตะเคียน หมู่ ๑ ต.วังกะแจะ อ.เมือง จ.ตราด เททองหล่อพระ กดพิมพ์นำฤกษ์ และปลุกเสกเดี่ยว
ในการจัดสร้างพระรุ่นนี้ ประกอบด้วย พระกริ่งชินบัญชร ญสส. พระชัยวัฒน์ชินบัญชร ญสส. พระสังกัจจายน์ชินบัญชร ญสส. พระปิดตาชินบัญชร ญสส. และเหรียญไพรีพินาศมงคลจักรวาล ญสส. มีทั้งเนื้อทองคำ เนื้อเงิน รวมทั้งเนื้อนวโลหะ

วัดศรีบูรพาราม เป็นอีกหนึ่งสถานที่น่าเลื่อมใส ในดินแดนภาคตะวันออกของประเทศไทย หากเอ่ยชื่อวัดในภาคอื่นๆ น้อยคนนักที่จะเคยได้ยินชื่อหรือรู้จัก แต่หากเป็นคนพื้นเพใกล้เคียง แม้แต่ประเทศเพื่อนบ้าน ล้วนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ใน “ของดี” ของวัดแห่งนี้ เลื่องลือไปทั่วแดนตะวันออก พุทธศาสนิกชนร่วมทำบุญได้ที่ วัดศรีบูรพาราม

“ภารกิจของทหารในปัจจุบัน หากจะเรียกว่าเป็นการทำหน้าที่รั้วแห่งศาสนาก็คงไม่ผิดนัก แต่ละวันทหารชุดที่ประจำฐานที่มั่นชั่วคราวภายในวัด จะปฏิบัติเสมือนเป็นเด็กวัดก็ไม่ปาน โดยเฉพาะวันพระ ต้องเป็นโต้โผใหญ่ในการทำหน้าที่พุทธศาสนิกชน"

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต และ คม ชัด ลึก

228
กรรมหนัก 4 ประเภท ที่กรรมอื่นจะมาแทรกแซงให้ผลก่อนไม่ได้

มีกรรมอยู่บางประเภท ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหยั่งทราบ ด้วยพระปัญญาตรัสรู้ของพระองค์ เองว่า กรรมบางพวกให้ผลไปตกนรกทันที กรรมบางพวกให้ผลเป็นเศรษฐีภายใน ๗ วัน กรรมบางพวกให้ ผลไปเกิดในสวรรค์ชั้นพรหมทันทีเมื่อตายลง กรรมบางพวกให้ผลทันทีโดยไม่รอเวลาเลย กรรมทั้ง ๔ ประเภทนี้ ล้วนเป็นครุกรรม คือกรรมหนักทั้งสิ้น กรรมเหล่านี้ชื่อว่าเที่ยงต่อการให้ผลตามเวลาที่กล่าวแล้ว หมายความว่าบุคคลใดทำกรรมทั้ง ๔ ชนิดนี้ไปแล้ว เมื่อถึงกำหนดเวลาให้ผล กรรมอื่นจะมาแทรกแซงให้ผลก่อนไม่ได้ กล่าวคือ

๑ คนที่ทำ อนันตริยกรรม ๕ อย่างคือ
1.มาตุฆาต - ฆ่ามารดา
2.ปิตุฆาต - ฆ่าบิดา
3.อรหันตฆาต - ฆ่าพระอรหันต์
4.โลหิตุปบาท - ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงพระโลหิตห้อ ขึ้นไป เช่น พระเทวทัตได้ทำร้ายพระพุทธองค์ ในสมัยพุทธกาล
5.สังฆเภท - ยังสงฆ์ให้แตกกัน ทำลายสงฆ์

ผล
- เมื่อตายลง กรรมที่ทำนั้นจะให้ผลนำเกิดใน อเวจีมหานรกทันที ไม่มีกรรมอื่นจะมาแทรกให้ผลก่อนได้ หรือถ้าในชาตินั้นทำอนันตริยกรรมหลายอย่าง อนันตริยกรรมที่หนักที่สุดจะให้ผลนำเกิด
- ในบรรดากรรม ๕ อย่างนั้น สังฆเภทเป็นกรรมหนักที่สุด

ตัวอย่าง
-- พระเทวทัตทำอนันตริยกรรมถึง ๒ อย่าง คือ ทำพระโลหิตพระพุทธเจ้าให้ห้อขึ้นในคราวที่กลิ้งศิลาลงมาจากเขาคิชฌกูฏเพื่อหวังจะปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า แต่ก่อนที่ศิลากลิ้งลงมากระทบชะง่อนหินแตกเสียก่อน สะเก็ดหินกระเด็นมาถูกนิ้วพระบาทห้อพระโลหิต และทำสังฆเภท คือทำลายสงฆ์ให้แตกกันในคราวที่คิดจะ ตั้งตนเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง ก่อนตายถูกธรณีสูบ ตายแล้วเกิดในอเวจีมหานรกทันที่ ด้วยอำนาจของกรรม คือสังฆเภท
-- พระเจ้าอชาตศัตรูที่รับสั่งให้ทรมานพระเจ้าพิมพิสารพระราชบิดา จนในที่สุดพระราชบิดาสิ้นพระชนม์ เพราะการทรมานนั้น แม้ในภายหลังพระเจ้าอชาตศัตรูจะทรงสำนึกผิด และได้บำเพ็ญพระราชกุศล ในพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกอย่างมหาศาลเพียงใด ก็ไม่อาจจะลบล้างกรรมคือปิตุฆาต ซึ่งเป็นอนันตริยกรรมได้ แม้จะไม่ได้ทรงปลงพระชนม์พระราชบิดาเอง แต่ก็ใช้ให้ผู้อื่นทำแทน จัดเป็นปิตุฆาตเช่นเดียวกัน และด้วยปิตุฆาตกรรมนี้ เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ลง จึงต้องเกิดในนรกทันที กุศลมหาศาลที่ทรงกระทำไว้ก็ไม่อาจช่วยได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากุศลมหาศาลที่ทรงกระทำไว้จะไม่ให้ผล เพียงแต่ว่ายังไม่ถึงเวลาจะ
ให้ผลเท่านั้น

นอกจากอนันตริยกรรม นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม ก็ให้ผลบังเกิดในนรกทันทีเมื่อตายลงเช่นเดียวกัน บุคคลใดมีความยึดมั่นว่า กรรมดีไม่มีผล กรรมชั่วไม่มีผล การกระทำทุกอย่างสักว่ากระทำทั้งสิ้น การกระทำบุญ การกระทำบาปต่อบิดามารดา ไม่มีผล ดังนี้เป็นต้น บุคคลนั้นยึดมั่นในความเห็นผิดอย่างนี้ไม่เปลี่ยนแปลงจนตลอดชีวิต บุคคลนั้นตายลงไปจะต้องเกิดในนรกทันทีด้วยอำนาจของกรรมคือ นิยตมิจฉาทิฏฐิกรรม นี้แหละ

สรุป
ในส่วนของโทษหนักเบา และลำดับการให้ผลก่อนหลัง ของอนันตริยกรรม เรียงลำดับจากแรงที่สุดลงไป ได้ดังนี้

1. สังฆเภทอนันตริยกรรม
2. โลหิตุปบาทอนันตริยกรรม
3. อรหันตฆาตอนันตริยกรรม
4. มาตุฆาตปิตุฆาตอนันตริยกรรม



๒. บุคคลใดได้ถวายทานในพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์หรือพระอนาคามี ผู้ออกจากนิโรธสมาบัติมาใหม่ๆ ยังมิได้รับทานจากผู้ได้เลย ด้วยจิตใจที่เลื่อมใส โสมนัสยินดีทั้งเวลาก่อนถวาย กำลังถวาย และถวายแล้ว บุคคลนั้นจะได้เป็นเศรษฐีภายใน ๗ วัน ดังเช่น นายปุณณะและภริยาที่ได้ถวายทานที่เป็นส่วนของตนโดยชอบธรรมแก่ท่านพระสารีบุตรผู้ออกจากนิโรธสมาบัติมาใหม่ๆ



๓. บุคคลใดเจริญสมถภาวนาจนได้ฌานตั้งแต่ปฐมฌานไปจนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ฌานใดฌานหนึ่ง และฌานนั้นไม่เสื่อม ตายลงจะต้องเกิดในสุคติภูมิเป็นพรหมทันที หรือถ้าได้ฌานครบทุกฌาน ที่เรียกว่าได้สมาบัติ ๘ ฌานที่สูงที่สุด คือ เนวสัญญานาสัญญายตนฌานจะให้ผลนำเกิดในเนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ ฌานที่ต่ำกว่าจัดเป็นอโหสิกรรม คือไม่ให้ผล



๔. บุคคลใดเจริญวิปัสสนาภาวนา คือเจริญมรรคมีองค์ ๘ จนบรรลุอริยมรรค อริยผล เป็นพระอริยบุคคลในขณะที่มรรคจิตเกิดขึ้นแล้วดับลง ผลจิตซึ่งเป็นผลของมรรคจะเกิดติดต่อทันทีโดยไม่มีจิตอื่นมาคั่น เพราะฉะนั้น มรรคจิต จึงชื่อว่า อกาลิโก คือให้ผลทันทีโดยไม่รอกาลเวลาถ้าจะกล่าวโดยบัญญัติโวหาร ก็กล่าวได้ว่า มรรคกรรมนี้จะทำให้ปุถุชนเปลี่ยนเป็นพระโสดาบันบุคคลในทันทีทันใดหลังจากโสดาปัตติมรรคดับลงแล้วและทำให้พระอริยบุคคลเบื้องต่ำเปลี่ยนเป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงตางลำดับ

กล่าวคือ

พระโสดาบันบุคคล เปลี่ยนเป็น พระสกทาคามีบุคคลทันทีที่สกทาคามีมรรคดับลง
พระสกทาคามีบุคคล เปลี่ยนเป็นพระอนาคามีบุคคลทันทีที่อนาคามิมรรคดับลง
พระอนาคามีบุคคล เปลี่ยนเป็น พระอรหันต์ทันทีที่อรหัตตมรรคดับลง


อ้างอิง:
- พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). "พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม".
- พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร). "กรรมทีปนี".
- จาก อ.ประณีต ก้องสมุทร

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

229
พระคาถา สายหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า


พระคาถาพุทธ นะฤาชา
ให้ตั้งนะโม 3จบ

นะฤาชา กุติยะ ปัญจะลือ โสภะกัญจะ สะวะรัง วะรัง ฤามะหันตา นะมามิหัง
กรีนิ อักขรานิ ชาตานิ อุณาโลนาถัง เพชรตังโหติ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ สัตถุโน
พุทโธ. (จบ)

พระคาถานี้ใช้ภาวนา เป็นเมตตามหานิยม ก็ได้ ใช้ทางคงกระพัน ก็ได้ กันภูติผีปีศาจก็ได้ เป็นทั้งมหาอำนาจ ก็ได้ ใช้ได้ 108 ประการ แล้วแต่อธิฐานเอา
พระคาถานี้หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ได้ถ่ายทอดให้หลวงพ่อสำเนียง อยู่สถาพร ซึ่งหลวงพ่อเป็นโอรส ของพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตุอุดมศักดิ์ หรือเสด็จเตี่ย ซึ่งเป็นรู้จักและเคารพนับถือกันมานาน
ข้าพเจ้าลูกศิษย์หลวงพ่อสำเนียง เห็นว่าเป็นประโยชน์แก่คนรุ่นหลัง ไว้ใช้ไว้ป้องกันตัว ยามคับขัน
จึงขออนุญาตนำมาเผยแผ่ และให้ช่วยกันรักษาสืบต่อไป



พระคาถากันตัวกันกระทำย่ำยีจากคุณไสย์ทั้งปวง


ตั้งนะโม 3 จบ


พุทธังกันตัง ธัมมังกันไป สังฆังกันอยู่ ปิตตะระ ปิตตะรัง กันสัง กันเว กันอุดกันปิด
กันนะ กันใน กันคุณ กันไสย์ กันเสน่ห์เล่ห์ลม กันผีทั้งกลม กันลมพระพาย กันคนฉิบหาย คนตายไม่ดี
กูจะกันฝูงผี มายีมายา กันคุณกันยา อักขระอักษรสามสิบสองตัว อะระหัง สวัสดีมีชัย สิทธิสวาหะ..(จบ)


ใช้ภาวนากันตัวเองหรือ เสกข้าวกินเสกน้ำกินป้องกัน หรือภาวนาก่อนนอนเวลาต้องไปพักตามสถานที่ต่างๆ ป้องกันการรบกวนของวิญญาณร้าย หรือเสนียดจัญไร ป้องกันภูติผีปีศาจ และการกระทำทุกชนิด ทีใช้อำนาจอวิชา และวิญญาณร้ายมาทำร้ายเรา บ่ มิได้เลย

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

230
ขอขอบคุณนะครับ ที่ของดีมาให้ชมครับ

231
กรรมของคนโกงผู้มีพระคุณต่อตน

กรรมของคนโกงผู้มีพระคุณต่อตน

ยายมี เขาเป็นคนยากจนเนื่องจากทรัพย์สินถูกยึดเพราะไปกู้ยืมเงินมาแล้วไม่มีจ่าย(ยืมเงินแม่ค้าคนจีนในตลาด)

ต่อมาเมื่อยี่สิบปีก่อน เขาได้กู้ยืมเงินจากโยมน้อยซึ่งเป็นญาติของเขาเองเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงานที่ประเทศไต้หวัน

โยมน้อยเป็นคนขี้สงสารคนอื่นเป็นทุนเดิมอยู่ก่อนแล้วพอได้รับการร้องขอ เห็นเป็นญาติของตนและเห็นยายมีท่านมีฐานะยากจนกว่าญาติคนอื่นๆ จึงได้ช่วยเหลือแบ่งเงินก้อนหนึ่งให้ยายมีเอาไปให้ลูกสาวตนเอง

หลังจากที่ลูกสาวของยายมีได้ไปทำงานที่ไต้หวันได้ไปพบบรักกับหนุ่มชาวไต้หวัน ซึ่งทำอาชีพค้าขายพวกเครื่องไฟฟ้านานาชนิด จึงได้แต่งงานอยู่กินกันฉันสามีภรรยา

ลูกสาวของยายมีหลังจากที่แต่งงานแล้ว ได้ขยายกิจการของตนเอง เปิดร้านอาหารไทย จนฐานะดีขึ้นกว่าเดิมมากมาย ส่งเงินส่งทองกลับมาให้ยายมีและน้องๆได้ใช้กันอย่างสบาย ซื้อบ้านหลังใหญ่ราคาหลายล้าน ซื้อที่หลายสิบไร่ เอาไว้ และอะไรๆอีกมากมาย

แต่สิ่งที่ยายมีไม่เคยสนใจเลยนั่นก็คือ หนี้ที่เคยยืมโยมน้อยไป โยมน้อยไปถามเรื่องหนี้เขาก็มักจะบ่ายเบี่ยง หนักเข้าๆยังกล่าวหาโยมน้อยว่าขี้โกง โกงได้แม้กระทั่งญาติพี่น้องของตนเอง เที่ยวโพทนาว่ากล่าวโยมน้อยเสียๆหายๆ

ระยะนั้น โยมน้อยและสามีอดทนอดกลั้นต่อน้ำคำของยายมีและสามีของยายมีเอาไว้ไม่เคยจะโต้แย้งใดๆ เวลาผ่านไปเกือบสิบปีที่ยายมีหยิบยืมเงินไป

โยมน้อยและสามี มีลูกชายคนหนึ่งท่านออกบวชตั้งแต่เป็นสามเณร เวลาลูกชายกลับไปเยี่ยมท่านก็มักจะเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆให้ฟังเป็นประจำ รู้สึกถึงความน้อยเนื้อต่ำใจต่อการกระทำของยายมีและครอบครัวอยู่ภายในลึกๆ

ท่านเล่าถึงวันที่ยายมีมาขอยืมตังค์ มาด้วยท่าทางชวนให้สงสาร ก้มหน้าก้มตาใช้วาจาอ่อนน้อมยอมให้หมดทุกๆอย่าง แต่พอเขาตั้งตัวได้กลับเฉยเมย แถมแสดงกิริยาดั่งว่าโยมน้อยและสามีเป็นตัวจัญไรไปเสียนั่น

ลูกพระของโยมน้อยได้แต่รับฟัง ต่อมาลูกสาวของยายมีคิดอย่างไรไม่ทราบได้ มารับอาสาทำผ้าป่าไปถวายวัดที่ลูกชายโยมน้อยอยู่จำพรรษา หรืออาจจะเป็นเพียงแค่อุบายกลบเกลื่อนทำให้คนอื่นๆมองเขาในด้านบวกก็มิทราบได้

แต่ลูกพระของโยมน้อยท่านก็รับไม่ขัดศรัทธานั้น ครานั้นลูกสาวของโยมน้อยพิมพ์ซองเป็นการใหญ่โตหลักพันซองเลยทีเดียว แต่พอถึงเวลาถวายผ้าป่าตัวเขาก็โอนปัจจัยนั้นมาแทน ครอบครัวไม่มีใครมาร่วมงานเลย แถมยอดปัจจัยก็น้อยผิดปกติ ไม่สมกับซองที่แจกๆไปตั้งหลักพัน

ลูกพระของโยมน้อยก็ได้แต่เพียงปลงธรรมสังเวชลงแล้ววางอุเบกขาเสีย อยู่มาไม่นาน เกิดเหตุการณ์พลิกผลัน ร้านอาหารขายไม่ได้ จนต้องปิดกิจการลง ทั้งๆที่ตอนนั้นเตรียมการจะขยายกิจการออกไปอีกแต่ต้องสะดุด

แถมยายมีเองก็ล้มป่วยลงเป็นโรคมะเร็งตับ ท้องโตซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด
สามีของยายมีก็ไปหลงเด็ก เอาเด็กมาทำเป็นภรรยาหมดสิ้นทรัพย์สิ้นไป ที่ทางที่เคยซื้อไว้ก็ได้ขายจนหมดตัว บ้านหลังใหญ่หลายล้านก็หายวูบไป ต้องกลับมาอาสัยบ้านหลังเก่าที่อยู่ตรงกันข้ามกับบ้านโยมน้อยพอได้ซุกหัวนอน

ต่อมายายมีก็สิ้นลมลง ลูกหลานแตกแยกอาสัยไม่ได้แม้สักคนเดียว หาดีไม่ได้เลย สามียายมีตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ แต่อยู่เหมือนคนไร้วิญญาณ แถมป่วยมีโรคเบียดเบียนนอนรอพญามัจจุราชที่จะมาพรากชีวิตไปในอีกไม่นาน

ที่เล่ามาทั้งหมดเป็นผลของกรรมของคนโกง โกงคนที่รักตนเองช่วยด้วยความเมตตาสงสาร แต่กลับมาคดโกงกันได้ ขอฝากไว้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นมา อาตมารับรู้เหตุการณ์นี้มาตลอด

สาธุ เอวังก็มีด้วยประการฉนี้

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บพลังจิต

233
ค้นหาตัวตนที่แท้จริงจากชื่อและนามสกุลของคุณ

คุณต้องเคยได้ยินมาแล้วแน่ๆ ว่าชื่อและนามสกุลส่งผลต่อดวงชะตาของคนแต่ละคนอย่างน่ามหัศจรรย์ ดังนั้นเรามาลองดูดีกว่าว่าชื่อและนามสกุลของคุณ จะบ่งบอกความเป็นตัวคุณว่าอย่างไร

วิธีการ

1.นำพยัญชนะ-สระของชื่อและนามสกุลของคุณเทียบกับ
ตารางที่อยู่ด้านล่าง แล้วนำคะแนนมาบวกรวมกัน

2.พอรวมคะแนนเสร็จแล้ว ให้นำคะแนนมาเทียบหาช่วง
คะแนนที่คุณได้ เท่านี้คุณก็สามารถจะทราบนิสัยของตัว
เองแล้ว


คะแนน/พยัญชนะ/สระ/วรรณยุกต์

1/ก, ด, ถ ,ท ,ภ ,ฤ/ สระอา, สระอำ, สระอุ/ไม้เอก

2/ข, ง, ช, บ, ป / เ, แ / ไม้โท

3/ฑ, ฒ, ต/สระอู/ไม้จัตวา

4/ค, ธ, ร, ญ, ษ/ะ, โ, สระอิ /ไม้หันอา-
กาศ

5/ฉ, ฌ, ฎ, ณ, น, ม, ห, ฬ, ฮ /สระอึ/ไม้ตรี

6/จ, ล, ว, อ/ ใ / ไม้ไต่คู้

7/ซ, ศ, ส/สระอี, สระอือ

8/ ผ, ฝ, พ, ฟ, ย

9/ฏ, ฐ/ ไ / ตัวการันต์

คะแนน 11-20

คุณเป็นคนมีเสน่ห์ ดูเป็นคนเก๋ไก๋ ว่องไว เป็นคนฉลาดลึก
ซ่อนคมเอาไว้ ชอบช่วยเหลือผู้ที่ด้อยกว่า ความสำเร็จ
ของคุณอยู่ที่การทำงานและความสามารถของตัวคุณเอง
ในด้านความรัก คุณช่างโชคดีมีคนเข้ามาให้เลือกมาก
มายและคุณเองก็ช่างเลือกสุดๆ ข้อเสียของคุณคือเป็นคน
ซับซ้อนซ่อนเงื่อน คิดมาก ขี้ระแวง หูเบา ส่วนข้อดีคือ มี
ความรอบคอบ ละเอียดอ่อนสูง

คะแนน 21-30

คุณเป็นคนดื้อเงียบ อ่อนนอกแข็งใน อารมณ์รุนแรง แต่ก็มี
มนุษยสัมพันธ์ดี มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ด้านความรักอาจ
มีรักซ้อน รักสามเส้าบ้าง แอบรักเขาบ้าง ไม่ชอบให้ใคร
มาคอยชี้นิ้วบงการ เพราะยึดติดในความคิดของตัวเอง
เป็นใหญ่ จนอาจจะทำให้คนแอบหมั่นไส้ แต่ก็ยังโชคดีที่
มีคนคอยให้การสนับสนุนคุณอยู่เสมอ

คะแนน 31-40

คุณติดสบาย ชอบแต่งตัวเป็นชีวิตจิตใจและด้วยความร่า
เริงของคุณ คุณจึงเป็นที่รักของคนรอบข้าง เป็นคนชอบแสวงหาความรู้ รักความท้าทาย แต่มักจะหงุดหงิดใส่คน
อื่นเสมอ ในด้านความรัก แฟนคุณนั้นจะต้องเป็นคนที่ทำให้คุณสบายได้ สามารถคอยให้ความช่วยเหลือคุณได้ทุกอย่าง ข้อเสียของคุณคือแอบเจ้าชู้และยังอารมณ์ร้ายบ่อยอีกด้วย

คะแนน 41-50

คุณเป็นคนดวงแข็ง มีคนคอยช่วยเหลือตลอด คุณเปี่ยม
ไปด้วยความทะเยอทะยาน ทำอะไรทำจริง ในด้านความ
รักมักจะรักแบบสุดโต่งไป จึงควรเพลาๆ หน่อย หันมารัก
ตัวเองบ้าง ข้อเสียของคุณคือ ถ้าเมื่อไรอารมณ์ไม่ดี คุณ
จะกลายเป็นขาวีนจนวงแตกเลยล่ะ

คะแนน 51-60

คุณอาจจะทำให้ตัวเองลำบากจากความโลเลและความ
รักสบายของคุณ ความติดสบายนี้ทำให้คุณทำอะไรไม่
เต็มที่ ต่อให้ทำได้ก็ไม่ทำ ข้อดีคือ คุณเป็นนักปลอบใจ
คนที่ดี ส่วนข้อเสียคืออารมณ์ร้อน ด้านความรักนั้นมักออก
แนวผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เพราะคุณชอบป๊อด แต่ถ้าใคร
ได้คุณเป็นแฟนก็โชคดี เพราะคุณเป็นคนรักเดียวใจเดียว

คะแนน 61-70

คุณเป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ดี แต่กับตัวเองกลับให้คำแนะนำ
ไม่ค่อยดีเท่าไร อารมณ์คุณขึ้นๆ ลงๆ จนตามยาก เดี๋ยวดี
เดี๋ยวร้าย แต่คุณเป็นคนมีความสามารถสูง และมีเสน่ห์ไม่
น้อย ด้านความรักคุณช่างเลือกไม่แพ้ใคร แต่พอได้รัก
แล้วก็สวีตจนน้ำตาลเรียกพี่เลยล่ะ

คะแนน 71-80

คุณเป็นคนที่เซลฟ์สูงจนอาจขาดเหตุผลในบางครั้ง และ
พลอยจะพาลคนอื่นไปทั่ว แถมบางทีก็ชอบหลงตัวเอง
มากเกินไป จนทำให้คนหมั่นไส้ ความใจร้อนของคุณยัง
เป็นเหตุทำให้งานผิดพลาดได้บ่อยๆ ด้วย ในด้านความ
รักนั้นมีคนให้เลือกมาก แต่คุณไม่ค่อยจริงจังกับใคร
เพราะคิดว่าสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องง้อใคร
ประมาณว่าอยากให้คนรักแต่ก็ไม่รักตอบ

คะแนน 81-90

คุณเป็นคนที่ไม่หลงกับคำพูดของคนอื่น ไม่หวั่นไหวง่าย
เป็นคนมีเสน่ห์ มีความพยายาม แต่ค่อนข้างขี้เกียจ เมื่อมี
สิ่งดีๆ เข้ามา คุณก็ปล่อยให้หลุดลอยไปง่ายๆ ด้านความ
รักก็พอไปได้ มีทั้งที่สมหวังและไม่สมหวัง ซึ่งมักจะมีเหตุ
มาจากความไม่ใส่ใจของคุณเองนั่นแหละ

ข้อมูลอ้างอิงจากนิตยสาร Spicy ฉบับที่
137 ประจำวันที่ 12 - 18 พ.ค.2007


นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

234
ขอบคุณครับ สำหรับการนำเสนอครับ  :054:

235
ธรรมะ / วาจาพิฆาต
« เมื่อ: 04 ต.ค. 2553, 01:27:24 »
วาจาพิฆาต


คำพูดนั้นสามารถฆ่าคนได้โดยไม่ต้องใช้อาวุธ

“ไปให้พ้น!”


“เลิกยุ่งสักทีได้ไหม!” ประโยคสั้นๆ ที่ตะโกนออกมาจากปากของลูกรักที่แม่ทุ่มเทหัวใจ
เลี้ยงดูตลอดชีวิตของแม่ คำสั้นๆคำนี้ ทำให้เกิดรอยแผลในหัวใจได้ โดยไม่ต้องใช้มีดเฉือน

“ผมหมดรักคุณแล้ว!” ผู้ฟังแทบล้มทั้งยืน กลายเป็นคนที่ไม่มีกำลังใจที่จะอยู่บนโลกนี้ต่อไป
คำรักที่เคยบอกแก่กันไว้ว่า ชีวิตนี้ขาดคุณไม่ได้ ถูกแทนที่ด้วยคำๆนี้ แล้วชีวิตต่อจากนี้
จะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร

“ไอ้คนชั้นต่ำ!” สงครามระหว่างชนชั้นลามขึ้นเร็วยิ่งกว่าไฟลามป่า ด้วยคำดูหมิ่นคนยากจน
หนึ่งคนโดยคนที่มาจากสกุลสูงเพียงคนเดียว

“คนไร้ค่า!” คำด่าทอคำนี้อาจเป็นเงาติดตัวใครบางคนไปจนตาย และเป็นแรงกดที่ทำให้เขา
ไม่เคยประสบความสำเร็จใดๆ ในชีวิต เป็นคนที่ไม่มีที่ยืนอยู่ในสังคม เพราะคนอย่างเขา
เป็นแค่คนไร้ค่า

คำโกหกคำน้อย คำโต คำดูหมิ่น คำส่อเสียด และคำพูดเบียดเบียน
สร้างพลังร้ายกาจมากกว่าที่ใครจะคาดถึง

มีดที่รับคมดีแล้ว ถึงจะเหมือนยาพิษที่ร้ายแรง
ก็ไม่ทำให้ตายสนิททันใด เหมือนกับคำพูดของคนชั่ว
( พระพุทธเจ้า )



* ที่มา : โกกาลิกชาดก ขุ.ขา. 27/ 623 คัดจากหนังสือขุมปัญญาชาดก
* ที่มา : หนังสือมีศีล…ก่อนสาย หน้า 153-155

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

236
ธรรมะ / บัวสี่เหล่า
« เมื่อ: 04 ต.ค. 2553, 01:20:35 »
บัวสี่เหล่า


บัวสี่เหล่า คือ สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของคนที่เรียนรู้เรื่องต่างๆ เป็น 4 ระดับ คือ...

1.พวกมีสติปัญญา ฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือน ดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงพระอาทิตย์ก็จะเบ่งบานทันที (อุคฆฏิตัญญู)

2.พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจราณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม ก็จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาไม่ช้า เปรียบเสมือน ดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำ ซึ่งจะบานในวันถัดไป (วิปัจจิตัญญู)

3.พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่ เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอบด้วยศรัทธาปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือน ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆโผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง (เนยยะ)

4.พวกที่ไร้สติปัญญาและยังเป็น มิจฉาทิฏฐิ แม้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียรเปรียบเสมือน ดอกบัวที่จมอยู่โคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลาอีกด้วย ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบานได้อีก (ปทปรมะ)


บุคคลสี่จำพวก
มืด............ หมกมุ่นหม่นไหม้.....อวิชชา
มา............ อุปกิเลส มา.....ปิดไว้
มืด............ จิตอัปภัสรา.....ขันธา ทุกโข
ไป............ สู่ทุกข์คติไซร้.....เร่าร้อน รานตน...

มืด............แบกทุกข์ท่วมท้น.....อาตมัน
มา............ผ่านกี่กัปกัลป์.....ล่วงแล้ว
สว่าง.......ณ ปัจจุปปัน.....สัมปชัญโญ
ไป............สู่ที่ เพริศแพร้ว.....แจ่มแจ้ง ปัญญา....

สว่าง.......จวนดีเลิศแล้ว.....มานมน
มา............จ่อมจมธราดล.....โลกหล้า
มืด...........มิอาจ ยินยล.....สำเนียง เสียงธรรม
ไป...........ใฝ่ต่ำไขว่คว้า.....แทะทึ้ง โลกีย์...

สว่าง.......เบิกบานจิตพร้อม.....วิชชา
มา............พึ่งพระปัญญา.....แนบเกล้า
สว่าง........ว่างเหตุปัจจยา....ใน-นอก พิสุทธิ์
ไป............ปราศทุกข์รอนร้าว.....จบสิ้น สังสาร....

นายธรรมะ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

237
ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

องค์หลวงปู่สังข์ (พระครูสังวรสมณวัตร)
สิริอายุ 92 ปี พรรษา 72


หลวงปู่สังข์ (พระครูสังวรสมณวัตร) อายุ 92 ปี พรรษา 72
วัดนิวาสถาน บ้านกุดก้อม ต.ไร่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร ซึ่งท่านเป็นศิษย์ที่เคยร่วมฟังธรรมปฏิบัติโดยตรงจากหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้มรณภาพ แล้ว ที่โรงพยาบาลสกลนคร เวลาประมาณ ๐๔.๐๐ น.เมื่อเช้ามืด
หลวงปู่สังข์ นั้นท่านเป็นพระเถระผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีปฏิปทาโดยปฏิบัติตามแนวทางของพระกรรมฐานแบบฉบับองค์หลวงปู่มั่นอย่างเคร่งครัด สหธรรมมิกที่ร่วมเดินทางไปปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่มั่น ก็มีหลวงปู่กง โฆสโก หลวงตาแตงอ่อน กัลยาณธัมโม เป็นต้น ศิษย์หลวงปู่สังข์ ที่เด่นๆก็มี หลวงปู่บุญหนา ธัมมทินโน (วัดป่าโสตถิผล จ.สกลนคร)

แม้ท่านจะเป็นพระที่ไม่ค่อยรู้จักกันในหมู่ชาวพุทธมากนัก แต่ครูบาอาจารย์ฝ่ายปฏิบัตินั้นท่านย่อมรู้ภูมิจิตภูมิธรรมชึ่งกันและกัน หลวงปู่เป็นพระที่มีปฏิปทามักน้อยสันโดษ ชอบความวิเวกสงัด ไม่เจือด้วยลาภยศสรรเสริญ ในการครั้งนี้นับว่าประเทศไทยวงการพระป่ากรรมฐานในสายพระอาจารย์มั่น เราได้สูญเสียพระมหาเถระฝ่ายปฏิบัติไปอีกรูปแล้ว เชื่อแน่ว่าบางท่านก็คงจะพึ่งรู้จักหลวงปู่ก็วันที่ท่านมรณภาพแล้ว น่าเสียดายจริงๆ เพราะท่านเป็นเนื้อนาบุญอันไพศาล เป็นพระแท้ พระทองคำ ล้ำค่า เหมาะแก่การกราบไหว้บูชา

สำหรับกำหนดการวันนี้ เวลาประมาณ บ่ายโมง เคลื่อนสรีระสังขารหลวงปู่ออกจากโรงพยาบาลสกลนคร มายังวัดนิวาสสถาน และจะมีพิธีสรงน้ำศพช่วงค่ำๆ


ปีนี้พระอริยสงฆ์นิพพานหลายรูปแล้วในสายหลวงปู่มั่นเรา
น่าใจหาย นับตั้งแต่
- หลวงปู่ฟัก สันติธัมโม
- หลวงปู่กูด รักขิตสีโล
- ท่านพระอาจารย์สมัย สมาหิโต (ประชุมเพลิงแล้ว 2 ต.ค.53 ณ วัดถ้ำขาม)
- หลวงปู่สังข์ (พระครูสังวรสมณวัตร)


ด้วยความเคารพและอาลัยองค์หลวงปู่อย่างสุดซึ้ง

นะโมวิมุตตานัง นะโมวิมุตติยา....
ขอกราบนอบน้อมหลวงปู่สังข์ ด้วยเศียรเกล้า.... 
น้อมกราบหลวงปู่สู่แดนนิพพานครับ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

238
ตัดเล็บอย่างไรให้มีโชค


อันความเชื่อในครั้งบรรพกาล ของคนรุ่นผู้เฒ่าผู้แก่ ที่ถือปฏิบัติมาเพื่อเสริมมงคลและโชคลาถให้แก่ชีวิต"ขออนุญาตินำมาเล่าสู้กันฟังในวันว่างค่ะ "เล็บ" เป็น สิ่งที่ต่อจากกระดูก โดยงอกแทรกออกมาจากเนื้อ และหนังของเรา นับเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของคนเรา การจะตัดทิ้งหรือตัดออก ย่อมมีผลกระทบต่อเราโดยตรง

หากเราตัดเล็บในวันไม่ดี บ่อยๆครั้งเข้าอาจทำให้ชีวิตเรามีเรื่องเกิดขึ้น ซึ่งบางครั้งเรามักไม่เคย
สังเกตุว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้าง ทั้งด้านดีและไม่ดี ดังนั้นเวลาจะตัดเล็บ ควรจะดูวันที่ควรจะตัดสัก
หน่อย อย่างน้อยๆ ไม่ได้ทำให้เราเสียเงินหรือเสียเวลาอะไรมากมาย เป็นการเดินตามผู้ใหญ่ไม่มีโทษ
อะไร ท่านว่าไว้:

1. ควรตัดเล็บวันอาทิตย์ - ท่านว่าจะทำให้มีโชคดี ได้โชคลาภอย่างนึกไม่ถึงและมีเรื่องดีๆมาถึงตนเอง

2. ควรตัดเล็บวันจันทร์ - ผู้ใดตัดเล็บในวันนี้ นับเป็นเรื่องดีจะได้ลาภใหญ่ เกิดขึ้นกับตนเอง

3. ห้ามตัดเล็บวันอังคาร - คนโบราณมักจะห้ามตัดเล็บในวันอังคาร (เพราะถือว่าเป็นวันดุ) ดังนั้นหาก
ใครตัดเล็บในวันนี้จะทำให้หมดราศี และอาจต้องมี เรื่องให้เสียทรัพย์สินเงินทอง

4. ควรตัดเล็บวันพุธ - หากใครตัดเล็บในวันนี้จะเป็นมงคลแก่ตน ในด้านคุ้มครอง- ปกป้องจากสิ่งชั่ว
ร้าย สิ่งไม่ดีต่างๆ ไม่ให้มากล้ำกรายได้

5. ห้ามตัดเล็บวันพฤหัสฯ - โบราณว่าวันนี้เป็นวันครู ท่านห้ามตัดเล็บ ผู้ใดตัดเล็บในวันนี้ จะได้รับความ
เดือดร้อนมีเรื่องยุ่งยากเข้ามาเป็นอุปสรรค

6. ควรตัดเล็บวันศุกร์ - ผู้ตัดเล็บในวันนี้ ตำราว่าจะได้ลาภ มีมงคล อุดมสมบูรณ์

7. ห้ามตัดเล็บวันเสาร์ - ใครก็ตามที่ตัดเล็บในวันนี้ จะส่งผลด้านสุขภาพ ล้มป่วยไม่ สบาย เป็นโรคภัย
ต่างๆ

8. ห้ามตัดเล็บวันพระ - คนที่ตัดเล็บวันนี้ มักจะอายุสั้น ล้มป่วยไม่สบายง่าย และมีเรื่อง เดือดร้อน มัก
เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายๆ


ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail
ภาพประกอบจาก Photos.com

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บพลังจิต

239


ท่าถือปากกา พาให้รู้นิสัย
เพราะการจับปากกาหรือดินสอที่ถูกวิธีใน
การเขียนหนังสือต้องใช้สามนิ้วช่วยกัน
ได้แก่ นิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลาง ถึงจะ
เรียกว่ามีลักษณะปกติเหมือนคนทั่วไป แต่
ระหว่างที่ถือปากกาไว้ยังไม่ได้เขียนหนัง-
สือนี่สิ ถึงแม้คุณจะเป็นคนจับปากกาถูกวิธี
เหมือนกัน แต่คุณแต่ละคนก็อาจถือปาก-
กาไว้ไม่เหมือนกัน ความแตกต่างของการ
จับปากกาดินสอนี่แหละจะสามารถบอก
ความแตกต่างของคุณและคุณได้อย่างไม่
น่าเชื่อเลยทีเดียว

ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จับไว้

ยังคงจับปากกาไว้ในท่าที่ง่ายต่อการจะนำมาเขียนอย่าง
ถูกวิธี คุณจึงเป็นคนธรรมดาทั่วไปที่มีความเรียบง่าย ต้อง
การครอบครัวและสามารถเป็นที่พึ่งพิงของคนอื่นได้ ทั้งนี้
เพราะคุณเป็นคนขยันและเอาจริงเอาจัง แต่ก็เป็นคนขาด
ความละเอียดอ่อนและความรอบคอบ ชีวิตของคุณจึงมัก
โฟกัสไปที่ประเด็นใหญ่ๆ เท่านั้น คนรอบข้างจึงมิอาจคาด
หวังความสุนทรีย์ ความรื่นรมย์และความโรแมนติกจาก
คุณได้

ใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางคีบไว้

ไม่ได้ถือบุหรี่อยู่นะ แต่ถือปากกาอยู่จ้ะ คุณเป็นคนมีอุดม-
การณ์และจุดยืนเป็นของตัวเองมาก จึงไม่แปลกที่คุณจะ
ทำตามความคิดของตัวเองมากกว่าจะแปรผันไปตามแรง
ดึงดูดของเงิน แม้ภายนอกจะดูเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจ แต่ใน
ที่สุดแล้วคุณก็จะทำตามสิ่งที่ตัวเองคิดไว้ ข้อดีอีกอย่าง
ของคุณก็คือจริงใจและเข้าใจผู้อื่น

สอดไว้ระหว่างนิ้วกลางกับนิ้วนาง

บางคนสอดไปก็ควงปากกาไปด้วย ถืออย่างเพลิดเพลิน
แต่พร้อมจะเปลี่ยนนิ้วมาเขียนอย่างถูกวิธี แม้จะดูลำบาก
กว่าคนอื่นไปสักหน่อยแต่ก็บ่ยั่น เพราะคุณเป็นคนพร้อม
จะทำงานหนักเพื่อตัวเองและคนที่คุณรัก ถ้าใครไม่มี
ความสำคัญกับชีวิตของคุณ คุณก็จะไม่สนใจเขาเลย
มองเงินทองเป็นของมีค่าที่ได้มาด้วยความยากลำบาก
คุณเลยค่อนข้างเค็มแถมยังชอบจู้จี้จุกจิกด้วย

จับชิดหัวปากกา/ดินสอ

ดูแปลกๆ เหมือนกันสำหรับคนที่ชอบจับปากกาท่านี้
ความต่างของคุณที่ไม่เหมือนคนอื่นก็คือเป็นคนประเดี๋ยว
ประด๋าว เปลี่ยนใจง่าย ไม่ชอบความซ้ำซากจำเจ คุณเลย
อยู่นิ่งไม่ค่อยได้ ถ้านำไปใช้กับการทำงานคุณก็จะเป็นคน
กระตือรือร้นและชอบหางานใหม่ๆ ที่ท้าทายอยู่เรื่อยๆ แต่
ก็ต้องพยายามหน่อยนะ เพราะคุณค่อนข้างมีความอดทน
น้อยกว่าคนอื่น และก็จะไม่คลิกกับการทำงานแบบรูทีนที่
มีแต่ความแน่นอนของเรื่องงานและเวลา

จับปลายปากกา/ดินสอ

เป็นอีกคนที่จับปากกาในท่าที่แปลก แต่ก็มีความเด่นใน
ด้านของการเป็นคนมีอารมณ์ขันและช่างฝัน แต่ก็พยายาม
ทำฝันให้กลายเป็นความจริงให้ได้ แม้ภายนอกจะดู
เหมือนไม่ใส่ใจอะไร แต่จริงๆ แล้วมุ่งมั่นตั้งใจและทุ่มเท
ไม่มีถอย

จับไปกัดไป

อืม...คุณเป็นคนชอบเรียนรู้สิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน แต่จะ
หมกมุ่นสนใจอยู่ได้ไม่นานก็เปลี่ยนความสนใจอีกแล้ว
เรียกว่ามีนิสัยมาไวไปไว ไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไร แต่ก็สา-
มารถเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย ไม่มีปัญหาในด้านสังคมแต่อย่าง
ใด

แล้วมองตัวเองออกหรือยังล่ะว่าคุณชอบ
จับปากกาท่าไหน

ข้อมูลอ้างอิงจากนิตยสาร Spicy ฉบับที่
305 ประจำวันที่ 31 ก.ค.-6 ส.ค.2010

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บพลังจิต

240
อืมครับยังไงครั้งนี้ผมก็เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เพราะเหรียญหน้าเสือที่ตอบราลวัลได้ครั้งที่แล้ว น้าผมบอกว่าขอเหรียญหน้าเสือผมเลยให้ไป แล้วตะกรุดที่พี่แป็ปเช่ามาให้ผมก็ให้พี่ที่ไปปัตตานีเพราะเก็บไว้เองก็ไม่ได้เอาไปใช้อะไรให้พี่ดีกว่าเพราะเขาไปรับใช้ชาติครับ ครั้งนี้จะขอเป็นครั้งสุดท้ายขอรับ ครั้งหน้าถ้าพี่แป็ปมีกิจกรรมอีกผมจะช่วยใบ้คำตอบสำหรับคนที่ยังไม่ได้ของรางวัลทีครับ   :016: :015:


เอาเถอะคุณ ธรรมะ ยังงัยก็มาช่วยผมก็ได้แอบกระซิบคำตอบให้น้องๆบ้างสิครับ :095:

ขอรับข้อไหนที่ผมรู้ผมจะใบ้ให้สักข้อในกิจกรรมครับขอรับ

241
อืมครับยังไงครั้งนี้ผมก็เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เพราะเหรียญหน้าเสือที่ตอบราลวัลได้ครั้งที่แล้ว น้าผมบอกว่าขอเหรียญหน้าเสือผมเลยให้ไป แล้วตะกรุดที่พี่แป็ปเช่ามาให้ผมก็ให้พี่ที่ไปปัตตานีเพราะเก็บไว้เองก็ไม่ได้เอาไปใช้อะไรให้พี่ดีกว่าเพราะเขาไปรับใช้ชาติครับ ครั้งนี้จะขอเป็นครั้งสุดท้ายขอรับ ครั้งหน้าถ้าพี่แป็ปมีกิจกรรมอีกผมจะช่วยใบ้คำตอบสำหรับคนที่ยังไม่ได้ของรางวัลทีครับ   :016: :015:


242
กลับจากอีสานแล้วค่อยส่งให้แล้วกันครับ ขอบคุณสำหรับกิจกรรมนะพี่แป็ป

243
ขอแก้หน่อยนะ
1 มั่วตามพี่เอ็มแล้วกัน ปลาฉลามประหลาดที่มีชื่อว่าปลาโรนัน


2 ภาพนี้ได้รับความเอื้อเฟื้อจากคุณพรเลิศ ละออสุวรรณครับ
เข้าใจว่าถ่ายบริเวณแยกนครนอก-นครใน ที่มีประตูเมืองสงขลาจำลองในปัจจุบัน
ชมภาพใหญ่ได้ที่นี่ครับ จ.สงขลา

3 ประตูเมืองเชียงใหม่
ประตูสวนดอก สร้างในรัชสมัย พญามังราย เมื่อแรกตั้งเมืองเชียงใหม่ พ.ศ. 1839 ด้านนอกของประตูนี้เดิมเป็นสวนดอกไม้ของพญากือนาเมื่อ พ.ศ. 1914 พระองค์สร้างวัดขึ้นในบริเวณสวนดอกไม้เรียกว่าวัดสวนดอก ประตูนี้จึงชื่อว่าประตูสวนดอก ซึ่งได้บูรณะขึ้นใหม่ ในสมัยพระเจ้ากาวิละประมาณพ.ศ. 2344 และสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งระหว่าง พ.ศ. 2509 - 2512 ที่จ.เชียงใหม่

4 ลองเปรียบเทียบดูสิครับ
ซ้ายมือเป็นป้ายในภาพปริศนาของ ดร.บอม พ.ศ.๒๔๗๒
ขวามือ เป็นป้ายในภาพ พ.ศ. ๒๔๖๗
ห่างกัน ๕ ปี

ป้ายชื่อเดียวกันครับ คือ โรงแรมหน่ำแซนั่นเอง

ถ่ายคนละทิศกันแค่นั้นครับ
ดร.บอม ถ่ายไปทางทิศตะวันตก (สถานี) ส่วนภาพปี ๒๔๖๗ ถ่ายไปทางตะวันออก(เขาคอหงส์)
รูปร่างอาคารก็สอดคล้องกัน เสาไฟฟ้า(ในภาพถ่ายปี ๒๔๘๐) ก็เป็นแบบเดียวกันครับ  จังหวัดสงขลา

ขอบคุณสำหรับกิจกรรมดีๆครับ

244
1 มั่วตามพี่เอ็มแล้วกัน ปลาฉลามประหลาดที่มีชื่อว่าปลาโรนัน


2 ภาพย่านคนจีนในเมืองสงขลาครับ ถ่ายโดย Dr J Baum and R Baumovou  เมื่อปี 1929 จ.สงขลา

คราวนี้อยากได้ท่านที่เชี่ยวชาญภาษาจีนครับมาช่วยอ่านป้ายต่างๆ ที่พอจะมองเห็นกันหน่อยครับ
เพราะเราจะพอเดาได้คร่าวๆว่า น่าจะอยู่ย่านไหนในตัวเมืองสงขลา นครนอก-นครใน-นางงาม-หรือ ย่านอื่นๆ
รวมจนถึธุรกิจที่ทำกันในเขตนั้น ดูคร่าวๆน่าจะมีร้านนาฬิกาแล้วหละร้านนึง  ภาพจังหวัดสงขลา

3 ประตูเมืองเชียงใหม่
ประตูสวนดอก สร้างในรัชสมัย พญามังราย เมื่อแรกตั้งเมืองเชียงใหม่ พ.ศ. 1839 ด้านนอกของประตูนี้เดิมเป็นสวนดอกไม้ของพญากือนาเมื่อ พ.ศ. 1914 พระองค์สร้างวัดขึ้นในบริเวณสวนดอกไม้เรียกว่าวัดสวนดอก ประตูนี้จึงชื่อว่าประตูสวนดอก ซึ่งได้บูรณะขึ้นใหม่ ในสมัยพระเจ้ากาวิละประมาณพ.ศ. 2344 และสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งระหว่าง พ.ศ. 2509 - 2512 ที่จ.เชียงใหม่

4 โรงแรมเคียวนำจั่น ภาพถ่ายของ Dr. Baum นี้ ว่ากันว่าถ่ายเมื่อ พ.ศ. 2472 โน่นแน่ะครับ จังหวัดสงขลา1

2 ภาพย่านคนจีนในเมืองสงขลาครับ ถ่ายโดย Dr J Baum and R Baumovou  เมื่อปี 1929

คราวนี้อยากได้ท่านที่เชี่ยวชาญภาษาจีนครับมาช่วยอ่านป้ายต่างๆ ที่พอจะมองเห็นกันหน่อยครับ
เพราะเราจะพอเดาได้คร่าวๆว่า น่าจะอยู่ย่านไหนในตัวเมืองสงขลา นครนอก-นครใน-นางงาม-หรือ ย่านอื่นๆ
รวมจนถึธุรกิจที่ทำกันในเขตนั้น ดูคร่าวๆน่าจะมีร้านนาฬิกาแล้วหละร้านนึง  ภาพจังหวัดสงขลา

3 ประตูเมืองเชียงใหม่
ประตูสวนดอก สร้างในรัชสมัย พญามังราย เมื่อแรกตั้งเมืองเชียงใหม่ พ.ศ. 1839 ด้านนอกของประตูนี้เดิมเป็นสวนดอกไม้ของพญากือนาเมื่อ พ.ศ. 1914 พระองค์สร้างวัดขึ้นในบริเวณสวนดอกไม้เรียกว่าวัดสวนดอก ประตูนี้จึงชื่อว่าประตูสวนดอก ซึ่งได้บูรณะขึ้นใหม่ ในสมัยพระเจ้ากาวิละประมาณพ.ศ. 2344 และสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งระหว่าง พ.ศ. 2509 - 2512

4 โรงแรมเคียวนำจั่น ภาพถ่ายของ Dr. Baum นี้ ว่ากันว่าถ่ายเมื่อ พ.ศ. 2472 โน่นแน่ะครับ จังหวัดสงขลา

ไม่รู้ถูกรึป่าว  :075:

245
พี่ๆๆ ใบ้ขอ ที่ 1 หน่อยได้ไหม ไม่รู้เลยว่าเป็นอะไร

246
ว้าวๆ มาแล้วขอรับพี่น้อง สิ่งที่ทุกท่านรอคอยมานาน   :016: :015:

247
ขอบคุณครับที่แบ่งบัน สิ่งดีๆมาให้ชมครับ

248
วิธีแก้อาการง่วงขณะทำสมาธิ


ถาม : เวลานั่งสมาธิ ทำอย่างไรถึงไม่ง่วง?

ตอบ : มีหลายวิธี อันดับแรก เปลี่ยนอิริยาบถ ถ้านั่งแล้วง่วง ก็เดิน ถ้าเดิน แล้วง่วง ก็ไปยืนอยู่โน้น ขอบระเบียง เผลอให้หัวทิ่มลงไปเลย แก้แบบ หลวงปู่ฝั้น ก็ได้ หลวงปู่ฝั้นเป็นครูบาอาจารย์องค์แรกที่เป็นครูกรรมฐานของอาตมา ที่เป็นพระไม่ใช่ฆราวาส

ฆราวาสคนแรกที่เป็นครูกรรมฐาน ท่านเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ หลวงปู่ฝั้นท่านบอก ท่านภาวนาเมื่อไหร่ ก็โงก ภาวนาเมื่อไหร่ก็ง่วง ท่านก็เลยให้ลูกศิษย์หาปีบมาใบหนึ่ง แล้วท่านไปตั้งไว้ข้างขอบเหวเลย นั่งภาวนาอยู่บนปีบ ตั้งใจว่าถ้ามันโงก ก็ให้หัวทิ่มลงเหวตายไปเลย คราวนี้กลัวตาย ตาสว่างไม่ยอมง่วง ท่านบอกภาวนา สำเร็จก็ตรงนั้นแหละ

พระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า

ถ้าหากว่าง่วง ให้เปลี่ยน อิริยาบถ

ถ้าเปลี่ยนอิริยาบถไม่หาย เอาไม้ขนไก่มาปั่นหู

ปั่นหูไม่หาย เอามือลูบเนื้อลูบตัวลูบหน้า

ถ้ายังไม่หายอีก หาน้ำมาล้างหน้า

ถ้าไม่หาย ให้ทำกายบริหาร

ถ้าไม่หาย ให้ตั้งใจสวดมนต์ดังๆ

ถ้ายังไม่หายอีก ให้ กำหนดแสงสว่าง นึกถึงว่ามันสว่าง

ถ้าหากว่ายังไม่หายอีก แก้อย่างไร ก็ไม่ได้แล้ว ไปไม่รอดแล้ว ท่านบอกให้นอนไปเลย

แสดงว่าร่างกาย ต้องการพักผ่อนจริงๆ ถ้าหากว่าเราไปบังคับ จะเครียดมาก เดี๋ยวจะเกิดอาการที่เรียกว่า กรรมฐานแตก


ถาม : เรานั่งสมาธิ ลืมตาได้หรือไม่ครับ?

ตอบ : ได้ สมาธิลืมตาเก่งกว่านะ เพราะว่าจิตของเราต้องจดจ่ออยู่กับ ภายใน ถ้าจะทรงตัวจริงๆ อย่างน้อยต้องเป็นปฐมฌาน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะแวบไปดูนั่น แวบไปดูนี่ เห็นเขาเคลื่อนไหวอะไร ก็ไปสนใจ ถ้าคุณทำได้ แสดงว่ากำลังของคุณอย่างน้อยต้องเป็นปฐมฌานแล้ว

ถาม : (ไม่ชัด)

ตอบ : คุณลืมตาธรรมดาอย่างนี้แหละ แต่คุณนึกว่ามีพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่ง ครอบคุณอยู่อย่างนี้ แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่ง นึกถึงภาพพระองค์นั้นเสมอ ความรู้สึกส่วนนั้นแค่สัก ๒๐-๓๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้นแหละ อีกความรู้สึก ๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ของเรานั้น ก็ทำงานทำการของเราไปนั่นแหละ ลืมตาทำง่ายดีถึงเวลาต้องการเห็นผี เห็นเทวดา ก็แค่ว่า ขอให้ภาพพระนี้หายไป ภาพเทวดาจงปรากฏขึ้น เราเห็นภาพพระชัดแค่ไหน? เราก็เห็นผีเห็นเทวดาชัดแค่นั้น


สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


ขอขอบคุณสิ่งดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

ขอให้เจริญสมาธิกันนะครับ ขอเป็นกำลังใจ

249
นมัสการหลวงพี่ครับ ผมนั้นด้อยความรู้สิ่งไหนที่ผมนั้นยังรู้ไม่กระจ่างแจ่มแจ้ง หลวงพี่ชี้แนะด้วยครับ   :054:

250
ถ้าเกิดไปพักต่างที่ต่างจังหวัดเช่น โรงแรม ป่าช้า เข้าค่าย เราควรจะขอเจ้าที่เจ้าทาง แล้วควรสวดมนต์ก่อนนอน แผ่เมตตา รับรองว่าหลับฝันหวานครับ

251
ขอบคุณครับพี่แป็ปที่นำมาเล่าสู่กันฟัง  :053:

252
สวยทุกยันต์เลยครับ

253
ขอบคุณครับ รู้สึกโล่งไปเลยครับ  :005:

254
เรียนคุณธรรมะ  ผมเป็นสมาชิกใหม่จึงเปิดดูกระทู้เก่าๆ  พบกระทูเรื่องคาถาผีรัก  ที่ให้ว่า  "ออแอ  อออา  เมตตาพุทโธ"  ผมไม่เข้าใจคำที่ว่าถ้าไปสถานที่ใดก่อนบอกกล่าวเจ้าที่ควรใช้คาถานี้  ตามความเข้าใจของผมคือ  เมื่อเข้าที่พักเราจะสวดมนต์บอกเจ้าที่ว่าจะพักที่นี่ก็ใช้คาถานี้แล้วจึงบอกจ้าที่ใช่หรือไม่รบกวนช่วยชี้แนะด้วยครับ  ขอบคุณ

จาก คาถา "ออแอ  อออา  เมตตาพุทโธ" นั้นเป็นคาถาที่เวลาเราเจอผีดุๆ นั้นพอท่องคาถาอันนี้ไปผีที่เฮี้ยนก็จะไม่เฮี้ยนกับเรา เช่นถ้าไปพักกลางป่าควรท่องนะโม 3 จบ แล้วตามด้วยคาถา "ออแอ  อออา  เมตตาพุทโธ" แล้วก็ขอเจ้าที่เจ้าทาง ครับ ทางที่ดีควรแผ่เมตตาให้ด้วยครับ ป.ล เวลาถูกผีอำคาถานี้อาจจะช่วยได้ครับ  :001:

ผมก็รู้เท่านี้แหละครับ

255
คติธรรมดีๆจากหลวงปู่ตื้อ "มงคลของหมา"


เรื่องที่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ชอบพูดประกอบในเวลาที่ท่านสั่งสอนศิษย์
หรือบางครั้งในการแสดงพระธรรมเทศนา ท่านมักจะยกเรื่องความดีของสุนัข ซึ่งท่านเรียกว่า มงคลหมา

บางคนอาจเข้าใจว่าเป็นเรื่องชวนขำ แต่ว่านำไปพิจารณาแล้ว จะเห็นว่า หลวงปู่ ได้พิจารณาเกี่ยวกับสัตว์ ซึ่งเป็นสายของสัตว์โลก มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันหมด การนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตของคนก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องเสียหาย

หลวงปู่บอกว่าบางครั้งสัตว์ยังดีกว่าคนบางคนเลยอีก
สัตว์ทุกจำพวกมันมีดีประจำอยู่ในตัวของมัน ตามภูมิของมัน
การพิจารณาชีวิตของสัตว์อันเป็นเครือของวัฎฏสงสารเหมือนกันนี้ เป็นการหาอุปมาเครื่องเปรียบเทียบ


ดังนั้น เวลามีโลกธรรมครอบงำ เราก็สามารถพิจารณาหาเหตุผลมายับยั้งชั่งใจได้ เช่น ถ้าใครเขาด่าเปรียบเปรย ว่าเราเป็นหมา ก็ไม่น่าจะโกรธ เพราะหมาก็มีความดีหลายอย่าง

หลวงปู่ดื้อท่านบอกว่า ลองพิจารณาดูให้ดี จะเห็นว่าหมาก็มีมงคล คือ ความดีประจำตัว อย่างน้อยก็ ๒๐ ประการ คือ

๑. หมาวิ่งได้เร็ว คนวิ่งตามไม่ทัน
๒. หมาเดินกลางคืนได้ ไม่ต้องจุดไฟ
๓. หมาเข้าป่าหนามไม่ปักตีน
๔.. หมามีจมูกเป็นทิพย์
๕. หมากินอาหารได้ไม่เลือก
๖. เวลาเยี่ยวมันยกขาไหว้ธรณี
๗. ก่อนนอนหมาเดินเวียนสามรอบ
๘. เวลาสืบพันธุ์ หมาไม่รู้จักอาย
๙. หมารู้จักเจ้าของดี
๑๐. ถ้ามีแขกแปลกหน้ามา หมามันเห่า
๑๑. หมาออกลูกไม่ต้องมีแม่หมอ
๑๒. หมากินอาหารก้างไม่ติดคอ
๑๓. หมาไม่เคยห่มผ้า
๑๔. เวลานอนหมาไม่หนุนหมอน
๑๕. หมาไม่ต้องปูที่นอน
๑๖. หมากินข้าวแล้วไม่ต้องกินน้ำ
๑๗. หมาไม่ต้องคิดบุญคิดบาป
๑๘. หมานอนตากแดดได้นานถึง ๓ ชั่วโมง
๑๙. ไม่ถึงฤดูกาลไม่มีการสืบพันธุ์
๒๐. หมาตกน้ำไม่ตาย ว่ายน้ำได้เร็วกว่าคน



หลวงปู่ท่านบอกว่า คนเราหากไม่มีดี ก็สู้สัตว์ไม่ได้ และจะถูกตราหน้าว่า เป็นคนประพฤติถอยหลัง ไม่สมกับที่เกิดมาเป็นมนุษย์ หมาบางตัวที่เขาเลี้ยงไว้ มียศถึงนายพันเอกมีเงินเดือนหลายพันบาท ใครจะว่าหมาไม่ดีก็ว่าไม่ได้

ลูกสาวคุณนายเลี้ยงมาแต่เล็กๆ หมดเงินเป็นแสนเวลาโตขึ้นมาทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ ต้องลำบาก
เดือดร้อน
เนรคุณก็มี เรื่องเช่นนี้ไม่มีในหมา

หลวงปู่ยกมงคลหมาขึ้นมาแสดง เพื่อให้เราเห็นเป็นเครื่องเปรียบเทียบว่า คนเราถ้าไม่มีศีลธรรมก็ไม่ต่างอะไรจากสัตว์เพราะ มีการกิน การนอน การสืบพันธุ์ เหมือนกัน ก็เท่านั้น



ข้อมูลจาก: Watthummuangna วัดถ้ำเมืองนะ

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

256
เดี๋ยวกลับจากอีสาน..
คงต้องลง ใต้อีก...จะแวะไปเยี่ยมน้อง ธรรมะ ที่ ทุ่งสง จ้าๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ
นครศรีฯ ไปทุ่งสง แค่ 30 กว่าโล..อีกอย่างผมต้องแวะทุ่งสงอยู่แล้ว..


ว้าวๆๆ มาเลยจะเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวเป็นค่าตอบแทนขอรับ  :053:

257
ขอบคุณครับที่แป็ป สำหรับการนำเสนอครับ ใช้ได้มากเลยนะเนี่ย เวลาไปเที่ยวภาคอีสานอะ   :054:

258
ไอหย่าไปเล่นบอล ครับพี่แป็ป ฮือฮือฮือ ไม่ทันง่า แม่จ๋ามาไม่ทัน  :070:

259
เยี่ยม สาระ ดีครับ

260
กินเพื่อเป็นอาหารยังชีพก็ไม่ได้เหรอครับ
เพราะทุกวันนี้บ้านผมก็ซื้อเนื้อจากตลาด
มาทำอาหาร..(ไม่ได้ลงมือฆ่าเอง)
พอได้อ่านแล้วรู้สึกบาปมากๆเลย
ทุกวันนี้บ้านผมไม่มีใครฆ่าสัตว์เพื่อนำเป็น
อาหารเลยครับ...แม้แต่ปลายังไม่กล้าฆ่า
ในใจผมไม่เคยคิดอยากให้
สัตว์ตัวไหนต้องจบชีวิตเพราะเรา..แต่คิดว่าที่เรา
กินเข้าไปเพื่อเป็นอาหารยังชีพเท่านั้น

ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงครับ เพราะวัวนั้นเป็นสัตว์ใหญ่ คนบางเติบโตได้เพราะ นมวัว ครับ เราจีงไม่ควรที่จะฆ่าวัว แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ เวลาทานเสร็จก็ แผ่เมตตา ให้วัวที่เรารับประทานก็ดีครับ   :017:

261
นมัสการพระอาจารย์ครับ ขอบคุณสิ่งดีๆครับ :054:

262
หยุดกินเนื้อวัวได้ เป็นกุศล เพราะวัวนั้นได้ทำหน้าที่แทนผู้เป็นแม่


วัวตัวหนึ่งร้องไห้น้ำตาไหลพราก เมื่อรู้ว่าจะต้องถูกฆ่าสังเวยงานบุญ
วัวตัวนี้ถูกผูกไว้ที่ใต้ถุนบ้าน คนที่เดินผ่านไปมาก็เล็งกันว่า
ฉันจะกินตับ ฉันจะกินไส้ ฉันจะกินเลือด ฉันจะกินเนื้อ


วัวได้ยินเสียงปรารภของมนุษย์ จิตวิญญาณก็ห่อเหี่ยวเศร้าหมอง
เมื่อรู้ว่าไม่รอดแน่แล้ว ตกกลางคืนจิตจึงมุ่งไปหาท่านผู้ทรงศีล ที่มีภูมิธรรมสูง
ไปบอกท่านทางจิตว่า หากมีคนเอาเนื้อของตัวมาให้ท่านกิน ก็ช่วยกินเถิด
แล้วก็ช่วยแผ่เมตตาให้เขาได้หลุดพ้นจากบ่วงกรรมด้วยเถิด
อย่าได้เกิดมาเป็นสัตว์ให้เขาฆ่าแกงอีก

หยุดกินเนื้อวัวได้ เป็นกุศลเพราะวัวนั้นได้ทำหน้าที่แทนผู้เป็นแม่


ในบรรดาเนื้อสัตว์ที่ให้คุณมากที่สุด เนื้อวัวเป็นสัตว์ที่มนุษย์ควรยกเว้น
ไม่ว่าจะอยู่ในเชื้อชาติใด ศาสนาใด เพราะวัวนั้นได้ทำหน้าที่แทนผู้เป็นแม่ด้วยการผลิตนมให้ลูกกิน
นมวัวเป็นส่วนสำคัญในการสร้างมนุษย์ สิ่งใดให้คุณต่อเรา เราย่อมสำนึกถึงคุณนั้น


เราจึงต้องนึกถึงเสมอว่า วัวเป็นสัตว์มีบุญคุณ อย่าได้โหดร้ายถึงขนาดกินทั้งนมกินทั้งเนื้อ
กินทุกอย่างโดยขาดความเมตตาต่อเขา วัวเหมือนเป็นสัตว์เทพ ด้วยไม่มีสัญชาติญาณที่โหดร้าย
เพราะกินแต่หญ้า หากเราคิดว่าเหตุที่วัวกินหญ้านั้นเป็นธรรมชาติของมัน
นั่นก็แสดงว่าฐานะเดิมทางจิตของวัวนั้นเป็นจิตกุศล


“เมนูเนื้อลูกวัวย่าง”


เคยได้ยินเพื่อนสนทนากันเรื่องเมนูเลิศรสที่อร่อยนักหนา หนึ่งในเมนูรสเด็ดนั้นคือ เนื้อลูกวัวย่าง
ที่แสนอ่อนนุ่มและอร่อยเพราะเนื้อยังอ่อนนัก เกิดมาไม่ถึง ๒ ปีดีก็ถูกปิ้งเสียแล้ว
คำว่า “ลูก” ฟังเมื่อใดใจก็อ่อนโยนเมื่อนั้น พอลูกถูกไปอยู่ในเมนู ฟังแล้วก็สลดด้วยสงสาร
เมนูอาหารรสเด็ดสามารถสร้างดัชนีทดสอบความอ่อนโยนในจิตใจมนุษย์ได้
ไม่เชื่อก็ลองฝึกสังเกตอ่านเมนูให้ละเอียดแล้วจะรู้ว่า



* เมนูเนื้อกระต่ายทอดกรอบหรือ เนื้อม้าอบซอสมะเขือเทศ “น่าอร่อยหรือน่าเวทนา”

* การกินเนื้อกระต่ายและเนื้อม้า มีอยู่จริงในประเทศฝรั่งเศส


หลวงปู่เทสก์ เทสรังสีท่านเทศน์ไว้ว่า
** ตัวเราของเราก็เป็นป่าช้าที่ฝังผีของสัตว์ต่างๆ มีหมู วัว เป็ด ไก่ เป็นต้น ซึ่งเราขนมาฝังอยู่ทุกๆ วัน


การตายของสัตว์ที่ถูกฆ่ากินเป็นอาหาร เป็นการตายก่อนอายุขัย หมายถึงตายก่อนวัยอันควร เช่น
วัวมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ ๒๕ ปี เมื่อถูกฆ่าตายเสียก่อน จิตวิญญาณก็ไม่มีที่ไป ต้องวนเวียนอยูในสภาวะก่อนตาย
คือ วนเวียนอยู่กับคนที่ฆ่าและคนที่กินตัวเอง โดยเฉพาะหากปลงไม่ได้ที่ต้องกลายมาเป็นอาหารอันโอชะ
จิตก็จะเกิดเป็นแรงแค้น และส่งกระแสจิตที่คับแค้นมาแทรกกระแสจิตของคนที่เกี่ยวข้องทำให้เกิดเป็น
ความหม่นหมอง สับสน หดหู่ นอนไม่หลับ ร่างกายก็อึดอัดไม่สบาย กลายเป็นที่มาของการ
สะสมโรคภัย ต่างจากการบริโภคผักหรือสลัด ผู้บริโภคจะรู้สึกโปร่ง เบาสบายทั้งกายและใจ
เพราะไม่มีกระแสจิตมาแทรก

ที่มา : หนังสือโอวาทจากดวงวิญญาณบริสุทธิ์ สมเด็จโต โอวาท ๔
ที่มา : หนังสืออ่านก่อนตาย ๒
ที่มา : หนังสือมีศีล…ก่อนจะสาย

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

263
เคยเห็นเพื่อนใส่พระไว้ในลังใหญ่(พระเยอะมาก)แล้ววางไว้ที่พื้นล่ะ่ครับ เพราะที่วางบนหิ้งเต็มและบ้านแคบหาที่เดินก็ไม่ค่อยได้ เป็นอะไรรึเปล่า

พี่ก็ให้เพื่อนพี่อะ หาชั้นที่เหนือจากพื้นสักหน่อย หรือ ชั้นตรงไหนก็ได้สูงๆครับ เอาลังที่ใส่พระอะครับ ไปตั้ง ของสูงไม่ควรต่ำ ของต่ำไม่ควรสูง    :045:

264
ว้าวๆๆๆๆ สวยมากขอครับ อยากมีแบบนี้มั้งจังเลย  05;

265
ว้า ไม่ทันซะแล้ว งายยกให้พี่ Chotipat  แล้วกัน  :005:

267
แม่ครับ ผมรักแม่  15;

268
ขอบคุณครับที่แจ้งข่าว ครับ  :001:

269
โฮ่งแสนรู้ คาบถังร่วมขบวนบิณฑบาต


เมื่อ 28 ก.ย. ผู้สื่อข่าวจ.ปทุมธานี รายงานเรื่องราวความน่ารักของสุนัขแสนรู้ที่คาบถังพลาสติกเดินบิณฑบาตกับพระ ที่วัดทองสะอาด หมู่ 2 ต.คลองพระอุดม อ.ลาดหลุมแก้ว

พระณรงค์ คุณวีโร เลี้ยงสุนัขแสนรู้ พันธุ์ลาบราดอร์ ชื่อเจ้าจังโก้ วัย 5 ปี สีดำ เจ้าของเป็นเจ้าของโรงงานที่นอนขนาดใหญ่ มีอยู่มีกินสะดวกสบาย แต่เจ้าจังโก้กลับชอบอยู่กับพระที่วัด เช้ามืดจะตื่นมาเรียกพระและเด็กวัด ออกเดินบิณฑบาตในหมู่บ้าน โดยคาบถังพลาสติก 1 ใบ เดินบิณฑบาตพร้อมกับพระและเด็กวัด สร้างความน่ารัก น่าเอ็นดูให้แก่ผู้ที่พบเห็น ชาวบ้านที่ทำบุญใส่บาตรก็รู้สึกได้ทำบุญกับพระและได้ทำทานให้อาหารสุนัขด้วย



พระณรงค์ กล่าวว่า ดูแลเจ้าจังโก้มาตลอดกว่า 1 ปีแล้ว เวลาจะทำอะไรเจ้าจังโก้ก็จะคอยเข้ามาช่วยงานวัดตลอด รดน้ำต้นไม้ ซ่อมแซมวัด กวาดลานวัด ฯลฯ ทุกอย่างที่อาตมาทำงานวัด เจ้าจังโก้ก็จะคอยเข้ามาช่วยคาบสิ่งของหรืออุปกรณ์ช่วยทำงานตลอด อย่างบิณฑบาตแต่เช้ามืด เจ้าจังโก้ก็จะมาเรียกเด็กวัดให้ตื่นออกบิณฑบาต โดยมีกระป๋องพลาสติกคู่ใจ คาบหิ้วออกไปบิณฑบาตทุกเช้า ชาวบ้านที่ใส่บาตรก็เอ็นดู นำอาหารมาเป็นทานใส่ให้เจ้าจังโก้ด้วย ชาวบ้านบอกว่าเหมือนได้ทำบุญด้วยและทำทานด้วย ได้บุญหลายต่อ


http://www.khaosod.co.th/view_newson...WTJPVGsyTXc9PQ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บพลังจิต

270
ตาลปุตตะสูตร !! บรรดานักแสดงทั้งหลายถ้าไม่มีบุญส่วนอื่นมาช่วย ลงอเวจีมหานรกหมด


พอไมเคิล แจ็กสัน เสียชีวิต คนอื่นก็ฆ่าตัวตายตาม เรื่องของความหลงว่ากันไม่ได้ เพราะถ้าหากหลง แปลว่าไม่รู้ ในเมื่อไม่รู้ การยึดมั่นถือมั่นจึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่คนที่รู้เขาจะเห็นว่า เขาทั้งหลายน่าสงสารมาก วันนี้เห็นหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า มีตั๋วผีสำหรับเข้างานไมเคิล แจ็กสัน ใบละหนึ่งแสนดอลลาร์ มีใครจะซื้อบ้างไหม สามล้านเศษ ๆ เท่านั้น คาดว่าเข้าไป ภาพที่เห็นก็คงประมาณหัวไม้ขีดเท่านั้น แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนยอมซื้อ

ในเรื่องของบรรดาดาราและนักร้อง ต้องดูในตาลปุตตะสูตร พระตาลปุตตคามิณี เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงมาก มีคนตามดูเป็นจำนวนมหาศาล เรียกง่าย ๆ ว่าแม่ยกเยอะ พระตาลปุตตคามิณีไปเปิดการแสดงที่เมืองสาวัตถี ได้ข่าวว่าพระสมณโคดม คือ พระพุทธเจ้า เป็นสัพพัญญู รู้ทุกเรื่อง ทีนี้บรรดานักแสดงของอินเดียเขามีความเชื่อว่า บุคคลที่สร้างความสนุกสนานให้แก่ผู้อื่น เมื่อตายไปจะได้เป็นสหายของเทวดาในชั้นดาวดึงส์ ก็คือ ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระตาลปุตตคามิณีสงสัยว่าเรื่องที่กล่าวมาจะกลายเป็นจริงหรือไม่ เมื่อทราบว่าพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญูรู้ทุกเรื่อง จึงขอเข้าเฝ้าแล้วทูลถามปัญหานี้

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า มาณเว ดูกรมาณพ ปัญาหานี้เธออย่าได้ถามเลย พระตาลปุตตคามิณีในสมัยนั้นก็ยังคงทูลถามถึงสามวาระด้วยกัน พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า บรรดานักแสดงทั้งหลายถ้าไม่มีบุญส่วนอื่นมาช่วย ลงอเวจีมหานรกหมด พระตาลปุตตคามิณีเชื่อพระพุทธเจ้า จึงนั่งร้องไห้ ถามว่าทำอย่างไรจึงจะพ้นได้ พระพุทธเจ้าบอกว่า เข้ามาบวชแล้วปฏิบัติธรรม ภายหลังพระตาลปุตตคามิณีเถระสำเร็จอรหันต์

เหตุที่น้องร้องนักแสดงตายแล้วลงนรก เพราะว่าสิ่งที่เขาทำเป็นมายาการ ทำให้คนหลงยึดติดมาก อย่างเช่นว่า พอพระเอกนางเอกมาก็กรี๊ด จนกระทั่งบ้านแทบพัง ถ้าเป็นลูกเป็นหลานอาตมา จะฟาดให้หลังลาย หรือไม่ก็พวกบรรดานางร้ายเข้าตลาดไปจะโดนเปลือกทุเรียนตบเอา ก็เพราะเขาไปยึดมั่นถือมั่นว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ไปหลงอยู่กับบทบาทการแสดงของเขา

พระพุทธเจ้าสอนให้เราละรัก โลภ โกรธ หลง แต่บรรดานักร้องนักแสดงสร้างรัก โลภ โกรธ หลง ให้เกิดขึ้นในจิตใจของคน แถมยังยึดมั่นแน่นแฟ้นมาก ดังนั้นบรรดานักร้องนักแสดงต่าง ๆ ถ้าไม่ได้ทำบุญอื่นเอาไว้ ไม่มีกุศลอื่นหนุนช่วย ตายเมื่อไหร่ลงนรกหมด เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ๆ เราจะเห็นตัวอย่างนักร้องนักแสดงพอถึงเวลาตายแล้ว มีคนร้องไห้หา ยิ่งกว่าพ่อตายแม่ตาย บางทีก็เป็นหมื่นเป็นแสนเลย อย่างไมเคิล แจ็กสันตาย ก็มีคนจะฆ่าตัวตายตามไปหลายคน ก็แปลว่าทั้งหมดพร้อมที่จะลงนรกไปด้วยกัน

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พึงสังวรไว้ โดยเฉพาะนักร้องนักแสดง จำเป็นต้องสร้างกุศลให้มากเข้าไว้ เพื่อที่กำลังจะได้สูงพอ ถ้าหากกุศลบารมีมีความสูงพอ ก็จะพาตนให้หลุดพ้นจากอบายภูมิได้ เรื่องนี้ไม่ค่อยมีใครกล้าพูด ทั้ง ๆ ที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจน เพราะเกรงว่าจะมีผลผลกระทบเป็นวงกว้าง แต่อาตมาเองไม่กลัว อยากให้ทุกคนตาสว่างได้รู้อะไรมากขึ้น จึงนำมาบอกกล่าวให้ทราบโดยทั่วกัน


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์โปรดญาติโยม บนศาลาวัดท่าขนุน
วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (วันเข้าพรรษา)

ที่มา http://www.bloggang.com/mainblog.php...9]Bloggang.com

http://www.buddha-dhamma.com/index.p...=10&No=1299638

ปล. เพื่อเป็นอนุสติเตือนใจ การแสดงทุกประเภท รวมถึงการแสดงธรรม หากมี
เจตนาไม่บริสุทธิ์ เป็นไปเพื่อความยึดมั่นถือมั่นในตัวผู้แสดง...เพื่อชื่อเสียง เกียรติยศของ
ตนเอง เพื่อลาภสักการะ เพื่อโลกธรรม8 ย่อมไม่เป็นผลดีกับตนเอง แต่หาก
เป็นเจตนาบริสุทธิ์ ผู้รู้ย่อมสรรเสริญ เกิดเป็นผลกุศลแก่ตัวเอง ขออนุโมทนาธรรม ของพระผู้ปฏิบัติดี
ปฏิบัติชอบ ทุกๆท่าน สาธุ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บพลังจิต

271

วิบากในการวางของสูงในที่ต่ำ โดย ดังตฤณ



ถาม  เห็นพวกขายหนังสือเอานิตยสารธรรมะไปวางคละกันกับหนังสือโป๊แล้วไม่สบายใจเลย อยากทราบว่าการทำอะไรไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงแบบนี้จะมีผลอย่างไรกับตัวคนจัดวางหรือไม่? เผื่อจะเอาไปบอกเจ้าของร้านที่พอรู้จักและพอพูดๆกันได้บ้าง

ตอบ ทั้งพวกที่ขายพระพุทธรูปแล้วนำไปวางบนพื้น และทั้งเจ้าของบ้านหรือเจ้าของสำนักทรงเจ้าต่าง ๆ ที่พระพุทธรูปนำไปวางระดับต่ำกว่า
หรือนำไปวางระดับเดียวกับเทวรูปอย่างถาวร เหล่านี้มีกรรมดำติดตัวไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ทั้งนั้นครับ วิบากของการวางของสูงไว้ในที่ต่ำ
คือ จะทำให้เป็นผู้ต่ำต้อย ทำให้เป็นผู้ได้รับการดูถูกเหยียดหยาม และทำให้เป็นผู้มียศต่ำในสถานทั้งปวง วิบากจะเกิดขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมด ขึ้นอยู่กับน้ำหนักเจตนาไปในทางหนึ่ง ๆ มากน้อยเพียงใด

เป็นผู้ต่ำต้อยหมายถึงเกิดในตระกูลต่ำ ไม่มีหน้าตา หรือมีแต่เรื่องควรอับอายขายหน้า แค่ใครรู้นามสกุลเข้าก็แอบหัวเราะเยาะกัน
อะไรทำนองนั้น ส่วนการเป็นผู้ได้รับการดูถูกเหยียดหยาม หมายถึงเกิดมามีลักษณะบางอย่างที่ชวนให้นึกดูถูก เช่นตัวเตี้ยไม่สมส่วน
หรือดูโง่ทึบทั้งๆที่อาจคิดอ่านได้ไม่ต่างจากคนอื่น แต่กลับไม่มีใครเชื่อถือ

แม้ออกความเห็นในที่ประชุม คนก็มองเป็นความเห็นอันไม่ควรแก่การพิจารณา และการเป็นผู้มียศต่ำในสถานทั้งปวง หมายถึงการทำดีไม่ขึ้น ทำนานเท่าไหร่ก็แป้กอยู่ที่ขั้นนั้น ไม่มีใครอยากเหลียวแลส่งเสริมสนับสนุนให้เจริญก้าวหน้าในการงาน หรือมักโดนจัดไปอยู่ท้ายแถวตอนคัดตัวเสมอ ๆ

หากในชาติที่วางของสูงไว้ในที่ต่ำ มีใจคิดหมิ่นแถมท้ายเข้าไปด้วย ก็จะยิ่งเคราะห์ร้ายหนักเข้าไปใหญ่ เช่นเจ้าของร้านหนังสือบางราย รับนิตยสารธรรมะมาช่วยวางขายอย่างเสียไม่ได้ จงใจยัดๆไว้ด้านล่างๆให้ลูกค้ามองเห็นลำบาก เขาเกิดเมื่อใดจะติดกรรมประเภททำดีไม่มีใครเห็น แต่ในทางตรงข้าม ถ้าใครส่งเสริม ผลักดัน หรือใช้อำนาจหน้าที่ในการทำสื่อธรรมะหรือพระพุทธรูปให้อยู่ในที่สูง ในที่งดงามเจริญหูเจริญตา ก็จะได้อานิสงส์ในทางตรงกันข้ามรุนแรงปานกัน คือจะเป็นผู้เกิดในตระกูลที่มีเกียรติ เป็นผู้ได้รับการยกย่องกว้างขวาง และเป็นผู้ขึ้นสูงง่ายในสถานทั้งปวงครับ

บางลัทธิของบางศาสนา หรือบางท้องถิ่นในบางกาล จะไม่อนุญาตให้มีรูปเคารพ ส่วนหนึ่งก็อาจจะมีเหตุผลง่ายๆทำนองนี้เอง
คือ พอใจรู้เข้าไปแล้วว่าเป็นของสูง แต่ถ้าตนไม่นับถือ ก็อาจปฏิบัติในทางลบหลู่หรือดูหมิ่นถิ่นแคลนในทางใดทางหนึ่ง
เป็นบาปเป็นกรรม เป็นภาพบาดตาไม่ชวนทัศนานัก

ที่มา ดังตฤณวิสัชนา

ขอขอบคุณที่มาจาก เว็บพลังจิต

272
ในความคิดของผิดคือ ผิดศีลข้อ3 ครับ

อธิบาย การผิดศีลข้อ3 ประพฤติผิดในกาม

เพิ่มเติม ในเรื่องความเข้าใจของผิดลูก ผิดเมีย

คนยังไม่มีคู่ พ่อแม่ผู้ปกครอง เป็นเจ้าของ

คนมีคู่ คู่ตัวเองเป็นเจ้าของ

ถ้าเจ้าของอนุญาติ ถือว่าไม่ผิด

แต่ถ้าไม่ ถือว่าผิด

ความผิดนั้น ดูจากความรู้สึกของผู้เป็นเจ้าของเป็นหลัก
ว่ามีความหวงคนรักแค่ไหน ยิ่งมากยิ่งรุนแรงมากตามลำดับ

กรณี ผิดลูก

ฝรั่ง มองว่า ลูกจะไปคบอะไร ไปทำอะไรกับใคร แล้วแต่ลูก เป็นอิสระ จึงไม่ค่อยผิดลูก ยกเว้นการข่มขืน ไม่มีใครชอบ แน่ๆ

คนไทย ในสมัยก่อน ต้องมาขอก่อน ห้ามชิงสุกก่อนห่าม
ดังนั้น ถ้าไปมีอะไรก่อนแต่ง ผิดลูก
แต่ในปัจจุบัน แล้วแต่ครอบครัว ดังนั้น จึงแล้วแต่การอนุญาติของพ่อแม่เป็นหลัก
คนไทย จึงสอนให้เข้าตามตรอก ออกตามประตู อยู่ใน สายตาผู้ใหญ่ อย่างนี้ โอกาสผิดศีลมีน้อย

แต่ถ้าแอบๆกันอย่างที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ทั้งแอบเป็นแฟน แอบอยู่กินด้วยกัน ความผิดนั้นก็ผิดตั้งแต่ต้นแล้ว รอเพียงผู้ใหญ่รับรู้เท่านั้นก็จะผิดลูกเต็มประตู ซึ่งการแก้ไขก็คงต้องรับผิดชอบกัน ถึงจะทำให้ความผิดเบาบางลงไปได้

แล้วประเภท มีแฟนหลายคน กิ๊กเพียบ อันนี้ หนัก เพราะผิดทั้งลูก ไปส่วนหนึ่ง แล้วยังผิดเมีย อีกส่วนหนึ่ง ไม่นับผิดศีลข้ออื่น อีกเพียบ ไม่ให้รถไฟชนกัน

กรณีผิดผัวผิดเมีย

คนไทยสมัยก่อน มีอนุภรรยาได้ตามกฎหมาย โสเภณีเองก็เป็นอาชีพ ไม่มีการแอบขาย ไซด์ไลน์ การเที่ยวจึงไม่ผิดเพราะเป็นการอนุญาติปกติ

แต่ปัจจุบัน เราถือตามฝรั่ง ว่ามีเมียเดียว ความเห็นของภรรยาเอง จึงถือว่าต้องมีคนเดียวส่วนใหญ่ ทำให้เมียน้อย ถือเป็นการผิดศีลไปด้วย เพราะเมียไม่อนุญาติ แต่ถ้าเมียหลวงอนุญาติ ก็ไม่ผิดศีล

และเพราะการถือว่าต้องมีเมียเดียว การไปเที่ยวผู้หญิงเอง ก็เลยเหมือนกับการนอกใจภรรยาไปด้วย ดังนั้นก็แล้วแต่ว่า เมียนั้นจะยอมให้ไปไม๊ แล้วแต่ครอบครัวๆไป

ที่ว่ามาเราจึงไม่อาจชี้เฉพาะได้ตรงๆ เลยว่าผิดหรือไม่ผิด
เพราะผู้ที่เป็นเจ้าของเท่านั้น ที่จะเป็นผู้ที่อนุญาติ พูดง่ายๆ แล้วแต่ครอบครัวใครครอบครัวมัน

แต่คนภายนอกครอบครัว อย่างเราๆท่านๆ จะรู้สึกอย่างไร ก็เป็นไปตามสังคม
ถ้าเราเกิดมาสมัยก่อน เราก็เห็นเป็นปกติ ของเมียน้อยและโสเภณี
แต่สมัยนี้ เราก็เห็นเป็นปกติเหมือนกัน แต่ไม่ปกติตรงที่ ไม่ถูกกฎหมาย และไม่มีคนยอมรับเหมือนสมัยก่อน

จึงทำให้มีการผิดศีลข้ออื่นๆ ตามมาเพียบ

สามี จะไปมีเมียน้อย ก็ต้องแอบ กลัวเมียรู้
เมียรู้ อาจจะทะเลาะ ตบตี หรืออาจจะฆ่าแกงกัน
จะไปเที่ยว ก็ต้องแอบ ภรรยา แบบไม่กลัวแต่เกรงใจ
ไม่มีความซื่อสัตย์ในครอบครัวเหมือนเดิม

นี่ยกเฉพาะฝ่ายชายเป็นหลัก ฝ่ายหญิงส่วนใหญ่สมัยไหน ชายก็ไม่ยอม ทุกๆประเทศก็คล้ายๆกัน ดังนั้นฝ่ายหญิงไปมีใคร จึงถูกเรียกว่าชู้ ซึ่งความผิดรุนแรงกว่า เพราะมีความรู้สึกรุนแรงกว่าฝ่ายชายไปมีเมียน้อย สังคมก็ไม่ยอมรับมากกว่า ผู้หญิงจึงน่าสงสารที่สุดทุกกรณี

สรุปว่ากาเมสุมิจฉานั้น ลึกซึ้งกว่าที่เราคิดๆกันมาก ลองความเห็นผม ไปประกอบการพิจารณานะครับ

ผมหาใน Google มาให้

273

....... เรื่อง/ภาพ วาดจากเหตุการณ์จริง ของผู้เขียนครับ.....



ขอบคุณสิ่งดีๆจาก http://ployd-napat.exteen.com

274
ขอบคุณครับสำหรับสิ่งดีๆครับ เอามาอีกนะครับ

275
ไม่เคยทันเลย หุหุ สงสัยต้องปล้นน้องธรรมมะ อิอิ

ไอหย่า   :049: สงสัยต้องเอาระบบเซ็นเซอร์กับระบบป้องกันภัยติดตั้งที่บ้านแล้วละ  :093:

276

กุศลที่ทำให้มีโภคทรัพย์ ไม่อดอยาก


ถาม : ทำกุศลอย่างไร จึงจะทำให้มีโภคทรัพย์ ไม่อดอยาก

ตอบ ปัญหานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่สุภมาณพ บุตรของโตเทยยพราหมณ์ในจูฬกัมมวิภังคสูตร ม.อุปริ. ว่า

บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นหญิงก็ตาม เป็นชายก็ตาม เป็นผู้ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อาศัย เครื่องตามประทีปแก่สมณะพราหมณ์ เขาตายไปจะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพรากรรมคือการให้ข้าวน้ำเป็นต้นนั้น หากตายไปไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นผู้มีโภคะมาก นี้เป็นผลของทานคือการให้ข้าวให้น้ำเป็นต้นนั้น

สรุปได้จากพระพุทธดำรัสนี้ว่า ทานคือการให้ปันสิ่งของที่เป็นประโยชน์แก่ผู้รับ มีข้าวน้ำเป็นต้นนั่นเอง ทำให้เขาเป็นคนมีโภคะมากในชาติต่อไป ความจริงในชาตินี้ ถ้าเราเป็นผู้มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่มิตรสหาย หรือคนบ้านใกล้เรือนเคียง มีอะไรแบ่งปันให้กัน มิตรสหายหรือคนบ้านใกล้เรือนเคียงนั้น เขาก็แบ่งปันของของเขาให้แก่เราเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เวลาให้เราก็ไม่เคยหวังผลตอบแทนเลย คือให้ด้วยน้ำใจ ให้ด้วยความนับถือ มิได้คิดที่จะได้สิ่งตอบแทน แต่เพราะความมีน้ำใจของเรา เราก็ได้รับความมีน้ำใจจากผู้อื่นเช่นกัน ทั้งนี้เพราะการให้เป็นการผูกไมตรีต่อกัน ทั้งผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้รับเสมอ

ในทางตรงข้าม ถ้าเรามีแต่ความตระหนี่ ให้อะไรใครก็ไม่ได้ เสียดายหวงแหนไปหมด ผลที่ได้รับก็คือความอดอยากยากจน ไม่มีใครต้องการคบหาสมาคมด้วย เราไม่เคยมีของไปให้ใครเลยแล้วจะมีใครเขาเอาของมาให้เราเล่า ในเมื่อเราไม่เคยผูกมิตรไมตรีกับใครเลย เพราะฉะนั้นผู้ที่ตระหนี่หวงแหน ตายไปแล้วจะมักเกิดเป็นเปรตได้รับความลำบาก อดอยาก หิวโหยอยู่เสมอ ต้องรอเวลาที่มีผู้ทำบุญอุทิศไปให้จากโลกมนุษย์นี้เท่านั้น จึงจะบรรเทาความหิวโหย ได้อิ่มหนำกันทีหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ต้องการอดอยาก ก็ไม่ควรตระหนี่หวงแหน

อีกประการหนึ่ง นอกจากทานจะให้ผลทำให้เป็นผู้มีโภคะมากแล้ว แม้ศีลคือการรักษาศีลก็สามารถให้โภคสมบัติเช่นเดียวกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ผู้มีศีลย่อมได้รับโภคทรัพย์ใหญ่ เพราะความไม่ประมาทเป็นเหตุ การรักษาศีลด้วยความสำรวมระวังไม่ล่วงละเมิด ชื่อว่ารักษาศีลด้วยความไม่ประมาท การรักษาศีลด้วยความไม่ประมาท นี่แหละเป็นเหตุให้ได้รับโภคทรัพย์ใหญ่ ทั้งนี้เพราะผู้มีศีลตายแล้วย่อมเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ก็สมบัติในสวรรค์นั้นเมื่อเทียบกับสมบัติในเมืองมนุษย์แล้ว ย่อมเทียบกันไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ผู้มีศีลย่อมได้รับโภคทรัพย์ใหญ่ ซึ่งหมายถึงสมบัติอันมโหฬารในสวรรค์นั่นเอง นั่นเป็นเรื่องของการได้รับผลในชาติหน้า ส่วนผลในชาตินี้ของผู้มีศีลในข้อนี้ก็มีอยู่ แต่ไม่อาจเทียบกับผลที่ได้รับในชาติหน้าได้เท่านั้นเอง

ไม่ต้องดูอื่นไกล ลองสังเกตุดูพระภิกษุทั้งหลายที่ท่านมีลาภสักการะมาก แล้วจะเห็นว่า ท่านเป็นผู้มีศีลทั้งสิ้น ไม่มีใครที่ต้องการทำบุญกับพระทุศีล

สรุปว่า ทั้งทานและศีลเป็นเหตุให้ร่ำรวยไม่อดอยาก


ที่มา อ้างอิง และแนะนำ :
- พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ จูฬกัมมวิภังคสูตร

- พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
อานิสงส์แห่งศีลสมบัติของคนมีศีล ๕ ประการ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บพลังจิต

277

หลวงพ่อจรัญเล่าเรื่องสมเด็จย่า


หลังจากการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ “สมเด็จย่าของปวงพสกนิกรชาวไทย” เมื่อวันอังคารที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ เวลา ๒๑ นาฬิกา ๑๗ นาที รวมพระชนมายุได้ ๙๔ พรรษา ๘ เดือน ๗๒ วัน ในวันรุ่งขึ้นหลวงพ่อได้รีบสั่งทันที (ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงที่พระภิกษุกำลังเข้าพรรษา) ว่าให้รีบตั้งโต๊ะถวายเครื่องสักการะ แด่สมเด็จย่า ตามที่ต่าง ๆ ของวัด โดยเฉพาะภายในพระอุโบสถ ท่านได้สั่งโต๊ะถวายเครื่องสักการะชุดใหม่ พร้อมทั้งสั่งพระภิกษุสามเณร และอุบาสกอุบาสิกาภายในวัดว่า “เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะขอนำพุทธศาสนิกชนทั้งฝ่ายบรรพชิต และคฤหัสถ์ของวัดอัมพวัน สวดมนต์ ปฏิบัติธรรม เพื่ออุทิศถวายเป็นพระราชกุศลให้สมเด็จย่า ไม่จำเป็นจริง ๆ แล้ว เราจะไม่ขาดการลงโบสถ์ เราตั้งใจนำเอาความดีถวายเป็นพระราชกุศลให้กับท่านให้จงได้”

ซึ่งความเป็นจริงแล้ว การทำวัตรสวดมนต์ และการปฏิบัติธรรมถวายเป็นพระราชกุศลนั้น หลวงพ่อได้เริ่มทำมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๗ แล้ว เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในโอกาสที่พระองค์ทรงครองราชย์ครบรอบ ๕๐ ปี และนอกจากนั้นทุกวันที่ ๙ ของทุกเดือน หลวงพ่อจัดทำบุญใหญ่ สวดบทพระธรรมจักรถวายเป็นพระราชกุศล

เริ่มตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา หลวงพ่อลงนำพระภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกา ผู้ปฏิบัติธรรมวัดอัมพวัน ทำวัตรสวดมนต์ นั่งเจริญสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน สวดมนต์ถวายพระพร และอุทิศพระราชกุศลถวายสมเด็จย่าทุกวัน โดยแทบไม่มีวันไหนที่หลวงพ่อไม่ลงนำบำเพ็ญกุศลเพื่ออุทิศส่วนกุศลเลย นอกเสียจากว่าวันนั้น ท่านมีภารกิจที่ต้องเดินทางไปที่ไกล ๆ กลับไม่ทันจริง ๆ หรือเกิดเหตุสุดวิสัยจริง ๆ เท่านั้น


นอกจากนั้น ในวาระทำบุญครบ ๗ วัน ๕๐ วัน และ ๑๐๐ วันของสมเด็จย่า หลวงพ่อได้นิมนต์พระภิกษุสงฆ์สวดสดับปกรณ์ พร้อมทั้งเลี้ยงอาหารพระภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกาภายในวัดทั้งหมด และเลี้ยงอาหารแก่ผู้ต้องหาในเรือนจำกลางจังหวัดสิงห์บุรีตลอดทั้งวัน พร้อมทั้งถวายปัจจัยแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เพื่อถวายเข้ามูลนิธิสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชินี อีก ๑๐๐,๐๐๐ บาท


หลวงพ่อท่านมักนำธรรมะ และ ความดีของสมเด็จย่ามาเทศน์เป็นตัวอย่าง ให้พุทธ ศาสนิกชนทั้งหลายที่มาฟังธรรม และมักมีผู้มาสอบถามหลวงพ่อ ถึงการปฏิบัติธรรมของสมเด็จย่า เมื่อครั้งทรงปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ จ.กรุงเทพมหานคร โดยมีพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ป.ธ.๙) เป็นพระอาจารย์ผู้ถวายกรรมฐาน เนื่องจากหลวงพ่อได้มีโอกาสร่วมอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย

เมื่อท่านพระมหาสุภาพ เขมรํสี เจ้าคณะ ๕ และท่านพระมหาไสว ญาณวีโร วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ได้เข้าขอสัมภาษณ์หลวงพ่อ เพื่อสอบถามหลวงพ่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ และหลวงพ่อได้เล่าถวาย ตามคำสัมภาษณ์ดังนี้


ผู้ให้สัมภาษณ์ พระราชสุทธิญาณมงคล
ผู้สัมภาษณ์ พระมหาสุภาพ เขมรํสี
พระมหาไสว ญาณวีโร

ถาม: สมเด็จย่าทรงเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วัดมหาธาตุเป็นเวลาเท่าไร?

ตอบ :พระองค์ทรงเข้าปฏิบัติและประทับอยู่เป็นเวลา ๑๕ วัน ในระหว่างการปฏิบัติ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเสด็จทรงเยี่ยมเป็นประจำ

ถาม :ครั้งนั้น พระเดชพระคุณฯ เข้าปฏิบัติอยู่ก่อนแล้วใช่หรือไม่?

ตอบ :ผมไปปฏิบัติก่อนแล้ว คือ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๕ ก็อยู่ไปเรื่อย ๆ ๑ เดือนผมยังไม่ได้ฟังเทศน์ลำดับญาณเลย

ถาม :คำว่า “หนอ” เป็นของพม่าใช่หรือไม่ คนไทยจึงไม่นิยมปฏิบัติ?


ตอบเรื่องนี้มีคนถามมาก ท่านเจ้าคุณอุดมวิชชาญาณ อธิบายว่า คำว่า “หนอ” ไม่ใช่ของพม่า เป็นคำของพระพุทธเจ้า ชาวมคธรัฐใช้พูดกันเรียกว่า วต ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อญฺญา สิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ หรือ ดังที่พระยสกุลบุตรกล่าวว่าที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ “หนอ” เป็นภาษาไทย แปลมาจากบาลีว่า วต เป็นภาษาธรรม สมเด็จพระศรีนครินทราฯ ทรงถามว่า ไม่ใช้หนอได้ไหม กำหนดเพียง พอง-ยุบ อย่างเดียวหรือใช้พุทโธได้ไหม ท่านเจ้าคุณอาจารย์อธิบายว่า หนอ หรือ วต สามารถตัดกิเลสได้ เพราะเป็นการยึดเหนี่ยวใจให้อยู่กับสติ จึงใส่หนอไว้ ถ้าไม่ใส่หนอไว้จิตมันไม่ค่อยอยู่ มันวิ่งออกไปข้างนอกมากมาย หมายความว่า เพื่อต้องการให้จิตช้าลง ถ้าไม่มี “หนอ” แล้วกำหนดไม่ได้ มคธที่ว่า หนอ นี้ไม่ได้หมายความ พอทำได้แล้วราคาวิเศษหลายล้านจริง ๆ ผมรับรองได้ “หนอ” นี่แหละเป็นการกระตุ้นเตือนให้จิตเข้าไปผนวกบวกกับสติได้ง่าย ถ้ากำหนดเพียง พอง-ยุบ มีแต่จะทำให้จิตใจร้อยรน “หนอ” เป็นการล้างจิตให้เยือกเย็น โดยมีสติสัมปชัญญะ เป็นการดึงจิตให้อยู่กับที่ได้

ถาม :การปฏิบัติของสมเด็จย่า ได้ผลเป็นประการใด?

ตอบ :การเดินจงกรมนี้ กระผมได้คติมาจากหลวงพ่อในป่า การเดินจงกรมโดยภาวนาว่า “พุทโธ” อย่างนี้ท่านกล่าวว่า เอาพระพุทธเจ้าไปภาวนาไว้ที่เท้าได้อย่างไร “พุทโธ” ต้องอยู่ที่จิต เท้าย่าง เท้าเหยียบ มีสติในการเดิน ทำไมเอาพระพุทโธเหยียบที่เท้า ตรงนี้ต้องไปช่วยกันแก้เสีย


ทีนี้สมเด็จย่าทรงเล่าว่า เดินจงกรมตั้งแต่ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ เดินได้ทุกระยะ เลื่อนระยะขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่ใช่เลื่อนให้วันนี้ ระยะที่ ๑ ขวา ย่าง หนอ ซ้าย ย่าง หนอ พรุ่งนี้ระยะที่ ๒ ยกหนอ เหยียบหนอ ไม่ใช่อย่างนั้น ต้องเพิ่มระยะให้ตามสภาวะของญาณ
เวลาส่งอารมณ์ ท่านเจ้าคุณอุดมวิชชาญาณถวายพระพรว่า การกำหนดพอง ยุบ เป็นอย่างไร พระองค์ทรงเล่าว่า จิตกำหนดพองหนอมันหายไป จิตตั้งใหม่กำหนด ยุบหนอ ขณะได้ยินเสียงสติรู้เสียงมันอยู่ที่โน่น หูมันอยู่ที่นี่ เวลาเดินขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ดีเหลือเกิน พอเดินไปหวิวโซเซ พอตั้งหลักปุ๊บเดินได้ตรงชัดมาก พระองค์ทรงเล่าเอง ผมจดไว้และพระองค์ทรงได้สดับเทศน์ลำดับญาณด้วย ในโบสถ์วัดมหาธาตุ ซึ่งมีพระพิมลธรรม (อาสภมหาเถระ) เป็นองค์ประธาน


ถาม :พระเดชพระคุณฯ มีโอกาสได้สนทนากับสมเด็จย่าเป็นการส่วนตัวหรือไม่?

ตอบ :ไม่มี ได้แต่ฟังอย่างเดียว ในการสนทนาระหว่างสมเด็จย่ากับท่านเจ้าคุณอาจารย์นั้น ยังมีพระครูประกาศสมาธิคุณ อีกรูปหนึ่งที่เข้าฟังด้วย

ถาม: มีบางท่านกล่าวว่า ญาณไม่มี แม้แต่ประโยค ๙ ก็กล่าว พระเดชพระคุณฯ มีความเห็นอย่างไร?

ตอบ :คำว่า “ญาณ” ตัวนี้ แปลว่า รู้รอบ รู้ซึ้งในจิตใจเองอย่างแจ้งชัด ของจริงทุกสิ่งเป็นพระไตรลักษณ์ “ญาณ” ต้องรู้จริง รู้แจ้ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป รู้เหตุการณ์ รู้ข้างขึ้น ข้างแรม รู้เด็ก รู้ผู้ใหญ่ รู้กาลเทศะ รู้บุญรู้บาป รู้คุณ รู้โทษ รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ จึงเรียกว่า “ญาณ”

ถ้านั่งแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น ไม่ได้ผล เดี๋ยวเกิดอันนี้ขึ้นได้ผลแล้ว เหมือนท่านมหานั่ง ไม่มีใครมาสอน ปวดก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี แปลว่าครูไม่มา นั่งสบาย หลับสบาย ชื่นใจบ้าง เย็นใจบ้าง นั้นแหละ ถ้าครูมาสอนต้องเรียนเลย ปวดหนอ ที่ว่าญาณหอบเสื่อมันมีตำราที่ไหน หอบหนีไปเอง นั่งกำหนด พองหนอ กลุ้มใจ มารมาแล้ว มารไม่มี บารมีไม่เกิด มารมาแล้วต้องสู้ แต่สู้มารไม่ได้ หนีเลย


ถาม:ท่านผู้หญิงดิฐการภักดีมีความประสงค์ที่จะเขียนหนังสือเกี่ยวกับวิปัสสนากับสมเด็จย่า อย่างที่พระคุณท่านได้กล่าวไปนี้?


ตอบ :ผมเป็นพยานได้ พระองค์ปฏิบัติจนได้ฟังเทศน์ลำดับญาณวันสุดท้าย ท่านเจ้าคุณอาจารย์บอกว่า ขอถวายพระพร ธรรมวิเศษเกิดขึ้นแล้ว ขอให้ธรรมวิเศษเกิดขึ้นภายใน ๕ นาที ๑๐ นาที ก่อนที่จะเป็นอย่างนี้ หลังจากสอบอารมณ์ ท่านเจ้าคุณอาจารย์หันมาบอกกระผมว่า “เธอจำไว้ สมเด็จย่าได้เข้าถึงญาณที่ ๑๕ จวนจะถึงญาณที่ ๑๖ แล้ว” คืออย่างนี้ ถวายพระพรขอพระองค์อย่าได้บรรทม ให้เดินจงกรม ๒ ชั่วโมง นั่ง ๒ ชั่วโมง เดินระยะที่ ๑ ถึงระยะที่ ๖ อย่างละ ๓๐ นาที ขณะนั้นผมนั่งฟังอยู่เวลาบ่าย ๓ โมง สอบอารมณ์วันต่อมา พระองค์เล่าว่า “วันนี้วูบไปไม่รู้สึก ข้างในรู้หมดเลยมีอะไรบ้าง มันจะไหวติงอย่างไร ข้างนอกไม่รู้ไม่ได้ยิน” พระองค์ท่านทรงเดินจงกรมแล้ว อธิษฐานนั่งกำหนดภายใน ๓ ชั่วโมง ผมรู้ว่าไปนั่งอยู่ตรงไหน พอครบ ๓ ชั่วโมงค่อย ๆ ออก ลืมตาแล้วก็ยังดึงมือไม่ออก ลืมตาเฉย ๆ สักพักใหญ่จึงคายมือออกมาแล้วกราบพระอาจารย์ ๓ หน แล้วพนมมือพูดกับพระอาจารย์ท่าเจ้าคุณอาจารย์บอกว่า “คนถึงธรรมอ่อนน้อมไปหมดเลย เห็นไหม...”

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

278
ผมนายธรรมะ ขอลงทะเบียนด้วยคนครับ

279
ท่านที่ชนะรางวัลนะครับ...

นายธรรมะ(เหรียญหน้าเสือลงยาหลวงพ่อเปิ่น)

Chotipat(เหรียญหน้าเสือลงยา หลวงพ่อเปิ่น)

ซาดุยฮุย(เหรียญหน้าเสือลงยาหลวงพ่อเปิ่น)

hangman69(เหรียญเสมาหลวงพ่อเปิ่นวัดบางพระ นะครับ)

กรุณาเมล์ ชื่อ ทีอยู่ให้ชัดเจนมาที่ผมนะครับ..
น้องธรรมะ ไม่ต้อง เพราะผมมีอยู่แล้วครับ...พี่จะส่งรางวัลไปให้พร้อมตะกรุดจ้าๆๆๆ


ไม่รู้จะขอบคุณยังไงแล้ว แต่ก็ ขอบคุณครับ  36;

281
ขอบคุณครับพี่แป็ป สำหรับการนำเสนอครับ  :052:

282

หลวงพ่อเล่าเรื่อง...นางมาคันทิยา(เราไม่สามารถห้ามใครไม่ให้ตกนรกได้)กฏของกรรม


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และบรรดาเพื่อนภิกษุสามเณร
ตอนนี้ก็มาฟังเรื่องราวท้องเรื่องของพระนางสามาวดี
แต่ตอนนี้พระนางสามาวดีพักเข้าฉากไปชั่วคราว
ก็มาถึงประวัติของพระนางคันทิยา ( ตัวร้ายในเรื่อง )

พระนางมาคันทิยา อยู่ในแคว้นกุรุ มีพ่อชื่อ มาคันทิยาพราหมณ์ มีแม่ชื่อ มาคันทิยพราหมณี
ตัวเธอเองก็ชื่อ มาคันทิยา เหมือนกัน และก็มีอาชื่อ มาคันทิยพราหมณ์ เหมือนกัน

ปรากฏว่า มาคันทิยานี้เป็นคนสวยมาก ( ตามบาลีท่านบอกว่า สวยมาก ) จะสวยขนาดไหนก็ไม่ทราบ
มีคนเขามาขอเรื่อยๆ แต่ว่าพ่อไม่ตกลง ว่า ลูกสาวของเราสวย ศักดิ์ศรีของคนที่มาขอไม่ดีพอ
จะรอคนที่มีศักดิ์ศรีดี สมกับความสวยของลูกสาว

ต่อมาวันหนึ่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรวจดูอุปนิสัยของสัตว์ ก็เห็นพราหมณี สองคนนี้จะมีวาสนาบารมี
บำเพ็ญบารมีเดิมดีแล้ว เมื่อฟังเทศน์จบย่อๆ จบเดียว เธอจะได้เป็นไพระอนาคามี
หลังจากนั้น บวชในสำนักขององค์สมเด็จพระชินสีห์พ่อกับแม่ คือคันทิยพราหมณ์ กับมาคันทิยาหมณี ก็จะได้เป็นพระอรหันต์

ฉะนั้น ในตอนเช้า องค์สมเด็จพระภควันต์ จึงเสด็จไปยืนอยู่แถวหลังบ้าน ใกล้ทางที่พราหมณ์จะออกไป
วันนั้นพอดีพราหมณ์ มีธุระออกนอกบ้าน ไปเจอะองค์สมเด็จพระพิชิตมารมีรูปร่างน่าตาสวย จึงคิดว่า
ชายคนนี้ควรที่จะเป็นลูกเขยของเรา สวยพอดิบพอดีกับลูกสาวของเราถ้าเป็นสามีของลูกสาวเรา
สวยพอดิบพอดีกับลูกสาวของเรา ถ้าเป็นสามีของลูกสาวเรา จะมีศักดิ์ศรีมาก
จึงเข้าไปหาองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค (เขาไม่รู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า ) ว่า

โภปุริสะ บุรุษผู้เจริญ เธอสวยงามสง่าจริงๆ ฉันมีลูกหญิงอยู่คนหนึ่ง สวยมาก ไม่คู่ควรกับคนอื่น
แต่ถ้ากับเธอคู่ควรกันจริงๆ รออยู่ตรงนี้นะ ฉันจะนำลูกหญิงมาเป็นภรรยาของเธอ

เมื่อฟังตรงนี้แล้ว บรรดาภิกษุหนุ่มทั้งหลาย และสามเณรและญาติโยมที่เป็นหนุ่ม
คิดแล้วเสียวใจนิดหนึ่งว่า ถ้าเราโดนกันแบบนั้นจะทำอย่างไร
สำหรับเณรทั้งหลาย น่ากลัวจีวรหายหมด ผลที่สุดก็จะถูกควายเขาอ่อนขวิดพังไป
ทีนี้บังเอิญเป็นองค์สมเด็จพระสมพระจอมไตร ซึ่งหมดกิเลสแล้ว

องค์สมเด็จพระประทีปแก้วฟังแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร ก็นิ่งเฉยไว้ หลังจากนั้นพราหมณ์ก็เข้าบ้าน
บอกว่านางพราหมณีว่า นี่ยาย แต่งตัวลูกสาวเร็วๆ นะ ฉันไปเจอะลูกเขยรูปหล่อแล้วมันสวยจริงๆ
สมกับลูกสาวของเรา เมื่อพราหมณณ์เดินกลับเข้ามา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทรงแสดง
รอยพระบาท ที่เขาเรียกว่ากันว่า เจดีย์ ซึ่งมีกงจัก รูปสิงห์ รูปอะไรเป็นต้น ให้ปรากฏรอยอยู่แล้ว
สมเด็จพระบรมครูก็หลีกไปอยู่ใกล้ๆ และบันดาลให้พราหมณ์ไม่เห็นตัว

เมื่อพราหมณีแต่งตัวลูกสาวแล้ว จะไปมอบให้หนุ่ม ออกมาแล้วท่านตาไม่เห็นหนุ่ม หาท่าไรๆ ก็มองไม่เห็น
พระพุทธเจ้าทรงอธิษฐานไม่ให้เห็นองค์ท่าน ในตอนนั้น นางพราหมณีมองดูรอยเท้า ดูแล้วพิจารณาเห็นว่า
เป็นรอยเท้าของคนที่ไม่มีกิเลส ไม่คู่ควรกับการครองเรือน จึงบอกกับท่านตาว่า ตา รอยเท้าคนนี้ไม่มีการครองเรืองแล้ว
คือว่า คนที่มีราคะจริต หนักในราคะ หนักในความรัก เขาจะมีอุ้งรอยเท้าด้านเส้นลึกลง หรือรอยเท้าของคนนี้ท้าโบ๋ขึ้น
ถ้าหนักในโทสะ จะมีรอยเท้าด้านส้นลึกลง หรือหนักในทางส้นเท้า คนที่มีโมหะจะหนักในด้านปลายเท้า
แต่รอยเท้าของคนนี้ เรียบเสมอกันหมด แสดงว่า เป็นคนไม่มีกิเลส

เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์เห็นว่า นางพราหมณีรู้เท่าทันอย่างนั้น ก็แสดงพระองค์ให้ปรากฏ
ตาพราหมณ์ก็บอกว่านี่อย่างไรล่ะ ๆ คนนี้อย่างไร ทีฉันบอกว่าจะเป็นลูกเขย
เขาจึงได้จูงมือของนางมาคันทิยา ลูกสาว จะมามอบให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเข้าบอกว่า
บุรุษผู้เจริญ ลูกสาวของฉันคนนี้ มันสวยแสนสวย พระราชา อำมาตย์ข้าราชบริพารเศรษฐี มหาเศรษฐี
ต่างคนต่างมาขอกันทุกคน แต่ว่าฉันไม่ให้ใคร เพราะมันมีศักดิ์ศรีสู้ลูกสาวฉันไม่ได้
แต่ในตอนนี้ เธอเป็นคนสวยจริงๆ ดูแล้วตั้งแต่เท้าถึงหัว ตั้งแต่หัวถึงเท้า ส่วนสัดดีมาก ผิวพรรณก็สวยงามผุดผ่อง
สมที่จะเป็นสามีของลูกสาวเรา ท่านจงรับลูกสาวของเรา ไปเป็นภรรยาตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา มีความปรารถนาจะสงเคราะห์พราหมณ์สองคนผัวเมีย จึงได้ตรัสกับพราหมณ์ว่า
พราหมณ์ ตถาคตเมื่ออกสู่ภิเนษกรมณ์ วันที่จะบรรลุอภิเษกสัมมาโพธิณาญ ลูกสาวของพระยามาราธิราชที่มีนามว่า
นางตัณหา นางราคา นางอรดี ซึ่งเป็นนางฟ้าสวรรค์ชั้นที่ ๖ มีความงามกว่าลูกสาวท่านมาก เรายังไม่มีความต้องการ
ก็ลูกสาวของท่านนี้ แม้จะงามในฐานะมนุษย์ ก็จริงแลแต่ทว่าความงามไม่ทนนาน อายุมากไปเท่าไร
ความแก่เฒ่าก็จะเข้าครอบงำเข้าไปมากเท่านั้น ความเศร้ามากก็จะปรากฏภายนอก ในที่สุดผิวพรรณที่ผ่องใสก็จะกลายเป็นผิวพรรณหม่นหมอง ร่างกายที่มีความสวยสดงดงาม ก็จะโทรมไปทีละน้อย ๆ ถึงวัยกลางคนความงามก็จะสลายไป เหลือมาเล็กน้อยถึงวัยแก่หนังก็จะย่น ความงามก็ไม่ปรากฏ ความที่เป็นคนสวยงดงามก็จะสลายตัวไป และยิ่งกว่านั้น

ร่างกายลูกสาวของท่านเธอเต็มไปด้วย มูตร และ กรีส ( มูตร คือ ปัสสาวะ กรีส คืออุจาระ )ฉะนั้น ในเมื่อร่างกายลูกสาวของเธอแตกต่างกับนางตัณหา นางราคา นางอรดี เพราะนางตัณหา นางราคา นางอรดี นั้น ร่างกายเต็มไปความสวยสดงดงาม เพราะเป็นนามธรรม ไม่มีเหงื่อ ไม่มีไคล ไม่มีน้ำเหลือ น้ำเหลือง น้ำหนอง ไม่มีอุจจาระ ไม่มีปัสสาวะในกาย ตถาคตยังไม่ต้องการ แล้วจะต้องการอะไรกับลูกสาวท่าน ที่ร่างกายเต็มไปด้วยอุจจาระ ปัสสาวะ ความจริงอย่าว่าแต่ให้ตถาคตเอามาประดับประคองเป็นภรรยาเลย เวลานี้ แม้แต่เท้าของตถาคตก็ยังไม่อยากจะแตะร่างกายลูกสาวของท่านเลย

พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเพียงเท่านี้ มาคันทิยามีความมีศักดิ์ศรีใหญ่ ถ้ามีสามีศักดิ์ศรี มีอำนาจวาสนาจะได้รู้จักว่า
วาจาที่ท่านกล่าวมันจะเป็นภัยกับท่านเพียงใด นางสร้างความเจ็บใจไว้ภายใน
แต่ทว่า เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสอย่างนั้น ท่านพราหมณ์ คือ พราหมณ์ผัวก็ดี พราหมณ์เมียก็ดี ฟังวาทะขององค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัสแต่เพียงโดยย่อ จิตก็นึก วิปฏิสาร หรือว่ามีความสลดใจว่า โอหนอ เรามีความหลงผิดอยู่มาก ที่ติดในสรีระกาย
คิดว่าร่างกายของเราก็ดีคิดว่าร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี การที่จะแต่งงานกันนี้ ก็เพราะอาศัยรูปกายภายในสมัยก่อนมีความสง่าผ่าเผย
มีความสวยสดงดงาม แต่ทว่าเวลานี้ เราทั้งสองกลายเป็นคนแก่ หูก็ฝ้า ตาก็ฟางหนังก็ย่น ฟันก็ทนจะไม่ไหว มันจะหักหมด ผมก็หงอก ร่างกายหรุดโทรม มองดูตรงไหนก็หาความดีไม่ได้ หาความสวยงดงามแม้แต่น้อยหนึ่งก็ไม่ได้

ตาคิดว่า ยายพราหมณีคนนี้ เมื่อเป็นสาว เรานั่ง ฝัน เรานอนฝันคิดถึงเธอเสมอ จึงได้แต่งงานกัน เพราะมีความคิดว่าเธอสวยสดงดงาม เป็นที่น่ารัก แต่เวลานี้ความสวยสดงดงามของยายไม่มีแล้ว ตรงตามที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วตรัสทุกประการ สำหรับยายก็เช่นเดี่ยวกัน คิดว่า ตาของเรานี้ สมัยหนุ่มๆ ร่างกายร่างกายสมาร์ท สวยงดงาม สง่าผ่าเผย เป็นคนมีความฉลาดเฉลียว เป็นที่ต้องตาของเรานี้เหมือนกับผีดิบเดินได้

แล้วทั้งสองก็คิดว่า ภายในร่างกาย ในเมื่อภายนอกมันเหี่ยวห่ออย่างนี้ หมดความดี ไม่น่าชม ความนิยมภายนอกไม่เหลือ มองเข้าไปดูภายใน นึกถึงตามถ้อยคำที่องค์พระจอมไตรตรัส ก็เห็นผลว่า ร่างกายของเราก็ดี ของเขาก็ดีภายในเต็มไปด้วยน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เต็มไปด้วยอุจจาระ และปัสสาวะ ความจริงสิ่งทั้งหลายเหล่านี้หลั่งไหลออกมาให้เราเห็นเป็นปกติ แต่เราไม่เคยคิดมัน อาหารที่เราจะกินเข้าไปนั้น เราเลือกแล้วเลือกอีกว่าเป็นของดีแต่ว่า เวลาอาหารถูกถ่ายออกมานี้ ที่เราเรียกว่า อุจจาระ และน้ำที่ถ่ายออกมานี้ เรียกว่า ปัสสาวะ เป็นน้ำที่เราเลือกแล้ว ว่าจะกิน เป็นน้ำสะอาดบริสุทธิ์ พอถ่ายออกมา เราเองก็มีความรังเกียจ อุจจาระออกมา เราก็มีความรังเกียจ

ความจริงเราเข้าใจผิดมานาน เวลานี้องค์สมเด็จพระพิชิตมาบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแนะนำให้เราเข้าใจ เหมือนกับองค์หงายของที่คว่ำขึ้นมารับน้ำค้างง ให้มีความชุ่มชื่นฉันใด เมื่อคิดอย่างนี้ กำลังของพราหมณ์ทั้งสอง คือ มาคันทิยพราหมณ์ กับมาคันทิยาพราหมณ์ ก็ได้บรรลุพระอนาคามีในขณะนั้น

แล้วภายหลัง เมื่อองค์สมเด็จพระภควันต์เสด็จกลับไปแล้ว เขาทั้งสองมีความปรารถนาจะติดตามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วเพื่อไปบวช แต่ว่าก่อนจะไป ก็ยังห่วงลุกสาวอยู่นิดหน่อย เพราะเธอต้องอยู่คนเดียว จึงไปมอบไว้ให้กับ น้องชายของมาคันทิยพราหมณ์ ก็ชื่อ มาคันทิยพราหมณ์ เหมือนกัน หรือตาม บาลีเรียกให้จำง่ายๆ ว่า จูฬมาคันทิยพราหมณ์ ผู้เป็นอา ก็บอกว่า ฉันทั้งสองจะไปบวชในสำนักขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ขอเธอมาคันมายาพราหมณ์ผู้เป็นน้องชาย จงปกครองหลานสาวไว้ให้ดี สมบัติทั้งหลายที่มี ก็ขอมอบให้ทั้งหมดเนื้อแท้จริงๆ มาคันทิยพราหมณ์ผู้เป็นน้อง หรืออาของพระนางมาคันทิยา เธอไม่มีภรรยา และเธอก็ไม่มีบุตร ก็รับภาระในการเลี้ยงดูหลานสาว ทั้งสองท่านตายาย คือ มาคันทิยพราหมณ์ กับมาคันทิยาพราหมณี ก็ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาที่เมืองโกสัมพี

หลังจากนั้น เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงเทศน์จบ ทั้งสองท่านก็บรรลุอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลสูงสุดในพุทธศาสนา และขออุปสมบทบรรพชา สมเด็จพระบรมศาสดาก็ตรัสว่า เอหิ ภิกขุ ซึ่งแปลว่า เจ้าจงมาเป็นภิกษุมาเถิด เพียงเท่านั้นในพระพุทธศาสนา จีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์ก็ลอยมาสวมร่างกายสำหรับพราหมณ์จบเกมส์กันแค่นี้ แต่ลูกสาวไม่จบ

เป็นอันว่า พ่อกับแม่ สองคน อย่างไร ๆ ก็ไปนิพพานแน่แต่ว่าลูกสาว อาศัยที่มีจิตใจโกรธองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผูกอาฆาตไว้ใจ วันนั้นเธอไม่พูด แต่ใจคิด ติดใจไว้เสมอว่าบุรุษนี้มีนามว่าพระสมณโคดม เป็นศัตรูร้ายสำหรับเรา เมื่อไรถ้าเรามีโอกาส เมื่อนั้นจะสั่งพิฆาตเข่นฆ่าให้อาสัญ เพราะวาจาที่กล่าวปรามาสเรา

บรรดาเพื่อนภิกษุสามเฌรทั้งหลาย และญาติโยมพุทธบริษัทตอนนี้ท่านอรรถกถาจารย์ ท่านกล่าวถามขึ้นมาภายในท้องเรื่อง ( ท่านถามกันขึ้นมาเอง ) ว่า ก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทำให้พราหมณ์สองคนตายายเป็นพระอนาคามี แล้งที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัสว่าอย่างนั้นว่า ลูกสาวแสนสวยของพราหมณ์ที่เขายกมาให้เป็นภรรยา ท่านบอกว่า ร่างกายสกปรกมากเต็มไปด้วยอุจจาระ เต็มไปด้วยปัสสาวะ แม้เท้าของเรายังไม่ยอมจะแตะ เพราะเกรงว่าว่าเท้าจะสกปรกไปด้วย ท่านถามกันเองว่า อย่างนี้ ก่อนที่องค์สมเด็จพระชินสีห์จะตรัส ทรงทราบไหมว่าพระนางมาคันทิยานี้จะโกรธ จะผูกอาฆาต

ท่านก็ตอบกันเองในท้องเรื่องว่า องค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ ทรงทราบว่าพูดอย่างนี้นางมาคันทิยาจะต้องโกรธ จะต้องผูกอาฆาต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้หมดกิเลส องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ไม่คำนึงถึงอันตราย ก่อนที่จะสงเคราะห์บุคคลผู้ใด ต้องการอย่างเดียวว่า วาจาที่กล่าวไปแล้วด้วยความจริง ถ้าบรรดามนุษย์ชาย หญิง หรือภิกษุสามเฌร จะบรรลุธรรมพิเศษตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ท่านทรงปรารถอย่างนั้น วาจาประเภทนั้นทำให้เขาบรรลุมรรคผล องค์สมเด็จพระทศพลจะตรัสวาจานั้น (ใครจะโกรธ หรือใครจะไม่โกรธ ก็ช่าง ไม่คำนึงถึง ) องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบแล้วว่า พระนางคันทิยานี้ จะต้องจองล้างจองผลาญ และองค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ต้องทราบต่อไปว่า จะต้องจองล้างผลาญคนที่เป็นสาวกใกล้เคียง คนทั้งหลายเหล่านั้นจะมีอันตารายใหญ่ (ที่จะฟังกันในเบื้องหน้า ) แล้วนางก็พระนางคันทิยาเองก็จะต้องถูกฆ่าตายทั้งเป็น เชือดเนื้อ แล้วก็ทอดน้ำมัน บังคับให้กิน ต้องทรมานอย่างหนัก เมื่อพุทธเจ้าตายแล้วจะต้องลงอเวจีมหานรก อย่างนี้องค์สมเด็จพระสัมมสัมมาพุทธเจ้าทราบไหม ในฐานะที่องค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นสัพพัญญู ก็ต้องตอบว่า พระองค์ทรงทราบ

ถ้าจะถามว่า ถ้าทราบแล้ว ทำไมจึงพูดให้เขาเป็นอันตรายอย่างนี้ ข้อนี้เป็นอันเข้าใจว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทราบเหมือนกันว่า กฎของกรรมของพระนางคันทิยานี้อย่างไรๆ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น คือ อย่างไร ๆ เธอก็ต้องอิจฉาริษยา เพราะอกุศลบังคับ แล้วในที่สุด นางก็ต้องถูกฆ่าตาย ตายแล้วก็ต้องลงอเวจีมหานรก แต่ว่าเธอต้องไปอเวจีมหานรก ต้องถูกฆ่าตาย แต่ตายเปล่า พ่อและแม่ทั้งสองคนจะไม่ได้พระอริยเจ้าก็เห็นจะขาดความดีไป

ฉะนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาดาจึงได้ทรงดำริว่า เราจะพูดอย่างนี้หรือไม่พูดอย่างนี้ มาคันทิยาเธอก็ต้องแต่งงานกับพระราชา มีพระนามว่า พระเจ้าอุเทน แล้วในที่สุดเธอก็ทำความผิด ถูกฆ่า แล้วลงอเวจีมหานรก

ฉะนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจึงได้ทรงตัดสินใจว่า

กรรมของเธอต้องเป็นอย่างนั้นแล้วไซร้ ทางที่ดีก็ให้พ่อและแม่เป็นพระอริยเจ้าเสียก่อน เพราะเขามีบุญบารมีพอ ฉะนั้นจึงได้ตรัสอย่างนั้น

เมื่อพราหมณ์ทั้งสอง คือ มาคันทิยพราหมณ์ กับ มาคันทิยาพราหมณี เป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ท่านมาคันทิยาพราหมณ์ ผู้เป็นน้องชาย ( อาของมาคันทิยา ) จึงได้นำนางมาคันทิยาไปถวายพระเจ้าอุเทนบรมกษัตริย์ พระบาทท้าวจึงได้มอบหญิง ๕๐๐ เป็นบริวาร ( ตอนเรื่อง วาสุลทัตตา ก็เหมือนกันนะ ท่านมอบหญิง ๕๐๐ เป็นบริวาร ) และก็ตั้งพระนางมาคันทิยาเป็นอัครมเหสีเหมือนกัน มีหญิง ๕๐๐ เป็นบริวาร เรื่องราวในตอนต้นของนางมาคันทิยาก็จบเพียงเท่านี้ (เวลาก็ไม่ยอมจบทั้งนี้เพราะรีบพูด ถ้าจบเสียเลยมันก็เรื่อง )


รวมความว่า ขึ้นชื่อว่า กฎของกรรมที่เป็นอกุศล บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนโปรดทราบ ก็มีหลายคนมานั่งบ่นว่าชาตินี้ทำบุญ กฐินก็ทอด โบสถ์ก็สร้าง วิหารก็สร้าง ศาลก็สร้าง ผ้าป่าก็ทอด สังฆทานก็ถวาย ทำไมป่วยไข้ไม่สบายเป็นปกติ พระทำไมจึงไม่ช่วย ท่านอาจจะลืมไปว่า พระก็ป่วยเหมือนกัน อย่างอาตมาผู้พูด เวลานี้ที่พูดก็ป่วย ป่วยตลอดปี ไม่เคยเลิก ป่วยสักที การป่วยประเภทนี้ มันเป็นกรรมของเราเอง คือเนื่องจากปาณาติบาต ในชาติก่อน เราเป็นคนไร้เมตตาปรานี ฆ่าเขา ทำร้ายเขา กรรมนั้นก็มาสนองถึงเรา

ทางที่ดีมีอย่างเดียว คือ สร้างความดีหนีความชั่ว สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแนะนำไว้แล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงแนะนำว่า ทุกคนจงเข้าใจตามความเป็นจริง ไม่ว่าชายหรือหญิง ที่เกิดมาในโลกนี้ จะพบกับความทุกข์ ที่เราเรียกว่า อริยสัจ เรามีความทุกข์ ถ้าเราเกิดอีกกี่ชาติมันก็พบความทุกข์อย่างนี้ ความทุกข์ที่มันมีมา เพราะอาศัยความไม่เที่ยง ร่างกายมันทรุดโทรมทุกวัน เราคิดว่ามันไม่ทรุดโทรม ทรัพย์สมบัติหามาได้ มันต้องสลายตัวเพราะการใช้สอย เราคิดว่ามันจะไม่ไป พอมันโทรมเข้า มันไปเข้า เราก็เป็นทุกข์ เพราะยึดถือสิ่งที่ไม่ถูกไม่ต้อง


ฉะนั้น ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ผู้เป็นพี่ และน้อง คือในฐานะที่เป็นลูกของพระพุทธเจ้าเหมือนกัน จงตัดสินใจว่า การเกิดชาตินี้เราเกิดเป็นชาติสุดท้าย กรรมอะไรที่ทำไว้มันจะสนอง ก็ยอมรับมัน คือว่า
ยอมรับโทษแห่งปาณาติบาตทำให้เราป่วยไข้ไม่สบาย เราก็ยอมรับว่า ฉันใช้หนี้แกเท่านี้นะ
โทษแห่งอทินนาทาน ทำให้ของเสียหาย เราก็ยอมรับว่า ฉันใช้หนี้แกเป็นเท่านี้นะ
โทษกาเมสุมิจฉาจาร ทำให้คนในบังคับบัญชาดื้อด้าน เราก็ยอมรับว่า ฉันชำระหนี้แกชาติสุดท้ายเพียงเท่านี้นะโทษมุสาวาท ทำให้เราเป็นคนพูดดี พูดจริงใครก็ไม่เชื่อ ก็ยอมรับว่า เพราะความชั่วของเราให้ชาติก่อน ก็ชื่อว่าใช้หนี้เป็นชาติสุดท้าย โรคปวดหัว โรคเส้นประสาท โรคบ้า ที่มันเกิดขึ้นในกาล โรคบ้า ที่มันเกิดขึ้นมาในกาลใด ก็ทราบว่า เป็นกรรม ร้ายที่เราเคยดื่นสุรา และเมรัย ก็ยอมใช้มันเป็นชาติสุดท้าย

หลังจากนี้ เราจะไม่เกิดมาเป็นการชดใช้กรรมมันอีก เราจะหลีกกรรมประเภทนี้ คือ หลีกอบายภูมิทั้ง ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน โดยยึดองค์สมเด็จพระพิชิตมาร พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ยอมรับนับถือด้วยความจริงใจหลังจากนั้น ทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ และก็ตั้งใจคิดว่า การเกิดเป็นมนุษย์มีชาตินี้ชาติสุดท้าย ชาติต่อไปไม่มีสำหรับเราอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกบุคคลนั้นว่าเป็นพระโสดาบัน ถ้าทรงอารมณ์พระโสดาบันได้ แล้วก็คิดไปตามที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงสอนว่า มนุษย์โลกเป็นทุกข์ เราไม่ต้องการ เทวโลก กับพรหมโลก เป็นสุข ชั่วคราว เราไม่ต้องการ จุดที่ต้องการ คือ นิพพาน แล้วพยายามกำจัด โลภะ ความโลภ โทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง ให้พินาศลงด้วยกำลังความดีของเรา
เอา ละ บรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัญญาณบอกหมดเวลา ปรากฏแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสุขสวัสดิ์ พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนานิกชนทุกท่าน สวัสดี


ที่มา กฎของกรรมเล่มที ๑ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

283
1 พระนางสิริมหามายาทรงสุบิน


พระนางสิริมหามายากำลังบรรทมหลับสนิท
ในพระแท่นแก้วที่บรรทม ทรงสุบิน

ในคืนวันเดียวกันนั้น พระนางสิริมหามายากำลังบรรทมหลับสนิทในพระแท่นแก้วที่บรรทม ทรงสุบินนิมิตว่า “มีท้าวมหาพรหมทั้งสี่ มายกแท่นบรรทมของพระนาง ไปวางไว้ใต้ต้นรังใหญ่ ณ ป่าหิมพานต์ แล้วเหล่าเทพธิดานำพระนางไปสรงสนานใน สระอโนดาต เพื่อชำระล้างมลทิน แล้วมีช้างเผือกเชือกหนึ่งชูดอกบัวขาวลงมาจากภูเขาเงินภูเขาทอง ร้องบันลือลั่น เข้ามายังปราสาท ทำประทักษิณเวียนขวา3 รอบ แล้วเข้าสู่อุทรเบื้องขวาของพระนาง ”

2 เจ้าชายสิทธัตถะประทับนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นหว้า ก็เพราะพระราชบิดาทรงจัดให้มีพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เจ้าชายได้รับความวิ้วกก็เกิดสมาธิขั้นแรกที่เรียกว่า "ปฐมฌาน" พิธีแรกนาเสร็จตอนบ่าย พี่เลี้ยงวิ่งมาหาเจ้าชายได้เห็นเงาไม้ยังอยู่ที่เดิมเหมือนเวลาเที่ยงวันก็เกิดอัศจรรย์ใจ จึงไปกราบทูลพระเจ้าสุทโธทนะ พระราชบิดาเสด็จมาทอดพระเนตรก็เกิดอัศจรรย์ในพระทัย และได้ถวายอัญชลีเป็นครั้งที่สอง

3 หลังจากที่พระองค์ได้เสด็จออกบรรพชาแล้ว ได้ทรงศึกษาค้นคว้า
หาทางตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วยวิธีการต่าง ๆ อยู่ถึง 6 พรรษา วิธีหนึ่งที่ทรงปฏิบัติคือการบำเพ็ญทุกกรกิริยา
ทุกกรกิริยา เป็นการทรมานตนให้ลำบากด้วยประการต่าง ๆ เริ่มแต่ทรงกัดพระทนต์ด้วยพระทนต์
กดพระดาลด้วยพระชิวหา ผ่อนลมหายใจเข้าออกทีละน้อย เสวยพระกระยาหารแต่น้อยจนถึงไม่เสวยเลย จนร่างกายซูบผอม ยากที่ผู้ใดจะทำได้เท่าเทียมกับพระองค์ นับเป็นความเพียรอย่างอุกฤษฏ์ โดยมีพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 เป็นผู้อุปัฏฐากและเป็นพยาน แต่การปฏิบัติดังกล่าวไม่ใช่ทางแห่งความตรัสรู้ และพระองค์ได้ทรงเลิกในเวลาต่อมา

ศุภนิมิตแห่งพิณสามสาย
พระมหาบุรุษได้กระทำความเพียรอย่างแรงกล้าถึงขั้นอุกฤษฏ์ ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ในชมพูทวีป ถึงวาระที่ 3 คือ อดพระกระยาหารจนพระวรกายซูบผอม ซวนเซแทบจะทรงพระกายอยู่ไม่ได้นั้น อุปมาญาณก็ได้เกิดขึ้นในมโนธาตุของพระองค์ว่า "อันความเพียร ถ้าย่อหย่อนก็เสียผลที่หวัง ถ้าเคร่งครัดเกินไปก็ให้ผลเสียหาย" ต่อเมื่อกระทำได้พอดีทั้งกายและใจจึงจะเกิดผลต่อผู้บำเพ็ญ ดุจพิณสามสาย ถ้าหย่อนนักมักไม่ดัง ถ้าตึงนักมักขาด ต่อเมื่อพอดีจึงจะให้เสียงนิ่มนวลฟังได้ไพเราะ
ภาพนี้ พระโบราณาจารย์ได้แสดงเป็นบุคคลาธิษฐานว่า เมื่อพระมหาบุรุษบำเพ็ญเพียรอย่างอุกฤษฏ์ จวนเจียนพระชนม์จะแตกสลายอยู่นั้น ท้าวสักกะเทวราช ที่คอยให้ความช่วยเหลืออนุเคราะห์ แก่ธรรมจารีชนทั้งหลายอยู่เบื้องบน ได้เห็นความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวของพระมหาบุรุษ จะไร้ผลเสียเปล่า จึงได้ถือพิณสามสาย เสด็จลงมาดีดถวาย สายที่หย่อนยาน ดีดเข้าไม่ดัง สายที่ตึงนักดีดเข้าก็ขาด สายที่สามพอดีดีดเข้าประสานเสียงกลมกลืนไพเราะ พระมหาบุรุษได้สติ จึงยึดเอาพิณสายกลางที่พอดี มาเป็นแนวทางปฏิบัติ คือตั้งความเพียรทางใจ ให้เป็นไปพอดี ไม่หย่อน ไม่ตึง จึงเรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา จึงสำเร็จพระโพธิญาณสมประสงค์
บรรดาปัญจวัคคีย์ เมื่อเห็นพระองค์เลิกทุกกรกิริยา กลับมาเสวยพระกระยาหาร ก็คลายศรัทธา พากันหลีกไป


4 เมื่อพระมหาบุรุษทรงชนะมารแล้วนั้น   พระอาทิตย์กำลังจะอัสดง  ราตรีเริ่มย่างเข้ามา  พระมหาบุรุษยังคงประทับนั่งไม่หวั่นไหวที่โพธิบัลลังก์  ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์  ทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิให้เกิดในพระทัยด้วยวิธีที่เรียกว่าเข้าฌาน  แล้วทรงบรรลุญาณ พระมหาบุรุษได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเกิดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ทรงมีพระนามใหม่ว่า ว่า 'อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า' แปลว่าพระผู้ตรัสรู้ธรรมเครื่องหลุดพ้นจากกิเลสโดยชอบด้วยพระองค์เอง

5 ระหว่างที่พระพุทธเจ้ายังไม่ตัดสินใจพระทัยว่าจะทรงแสดงธรรมโปรดใครเพื่อประกาศพระศาสนา นับตั้งแต่ตรัสรู้เป็นต้นมานี้ ได้เสด็จแปรสถานที่ประทับแห่งละ 7 วัน

ขอบคุณครับพี่แป็ปสำหรับกิจกรรมดีๆครับ

284
อ้าวววน้องธรรมะใจร้อน..อยากดูตะกรุด..
พี่โพสให้เดูครับ..



ว้าว ๆๆๆ สวยๆๆครับ ขอบคุณพี่แป็ป

285
ขอบคุณครับพี่แป็ป สำหรับตะกรุดครับ และขอขอบคุณสิ่งดีๆนะครับ ขอให้พี่มีความสุขมากๆนะครับ  :054:

286
ใช่แล้วครับ นะมะพะธะ เป็นคาถาหัวใจธาตุครับ ขอบคุณสำหรับการนำเสนอครับ

287
ขอบคุณครับสำหรับสิ่งดีครับ ๆ

288
อุทิศบุญให้คนอื่นแล้ว บุญของตัวเองจะหมดไปหรือไม่

อุทิศบุญให้คนอื่นแล้ว บุญของตัวเองจะหมดหรือไม่

มีหลายคนยังไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมเราทำบุญ ทำทาน ทำกุศลอะไรก็ตาม ทำไมเราต้องโมทนาอุทิศ
ไปให้คนอื่น ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ครูบาอาจารย์ ฯลฯ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่สมควร
เป็นอย่างยิ่ง เป็นการตอบแทนพระคุณความดีของท่านเหล่านั้น และถือว่าเป็นการแสดงความกตัญญู
กตเวทีที่คนดีพึงกระทำ

แต่หลายคนยังไม่เข้าใจถึงขั้นเข้าใจผิด กลัวว่าเมื่อเราอุทิศบุญไปแล้ว อานิสงส์ผลบุญที่เราได้สร้าง
ที่เราได้ทำไปนั้นจะหมดลง เมื่อโมทนาอุทิศไปให้คนอื่น จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ มันคนละเรื่องกัน

ถ้าทำบุญแล้วไม่ได้อุทิศส่วนกุศล ผู้ทำก็จะเป็นผู้ที่ได้บุญเต็มที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะอุทิศให้
เขาหรือไม่ให้ ทีนี้ถ้าเราให้เขาบุญของเราก็ไม่หมด ส่วนที่เราให้ไปไม่ได้ยุบไปจากของเดิม

แต่ที่สำคัญการจะอุทิศบุญให้ใครก็ตาม ตัวของเราจะต้องมีบุญก่อน

เรื่องของพระอนุรุทธิ์ ในสมัยพุทธกาล ท่านเกิดในครอบครัวคนเกี่ยวหญ้าช้างของมหาเศรษฐี
เวลาที่ท่านทำบุญแล้ว เจ้านายมาขอแบ่งบุญ ท่านก็สงสัยว่าการแบ่งบุญ จะแบ่งได้ไหม จึงไปถามพระ
ปัจเจกพุทธเจ้าที่ท่านมารับบิณฑบาต ท่านก็เมตตาเปรียบให้ฟังว่า

“สมมุติว่าโยมมีคบและมีไฟด้วย แต่คนอื่นเขามีแต่คบไม่มีไฟ ทุกคนต้องการแสงสว่างก็มาขอต่อไฟ
ที่คบของโยม แล้วคบของทุกคนก็สว่างไสวหมด อยากทราบว่าไฟของโยมจะยุบไหม”




ท่านพระอนุรุทธิ์ ก็ตอบว่า “ไม่ยุบ”

แล้วท่านพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านก็ตอบกลับว่า

“การอุทิศส่วนกุศลก็เหมือนกัน เราให้เขาเขาก็โมทนา แต่บุญของเราก็ยังอยู่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้หายไป”


หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ หรือพระสุธรรมคณาจารย์ ท่านเป็นพระสุปฏิปันโนอีกรูปหนึ่งที่เราควรเคารพกราบไหว้
ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ได้เมตตาเล่าไว้ในหนังสือหลวงปู่เล่าเรื่อง เทวดา พญานาค
พระธาตุ จัดพิมพ์เป็นธรรมทานโดยชมรมกัลยาณธรรม ยืนยันในเรื่องการอุทิศบุญไว้อีกว่า



“บุญกุศลที่เราอุทิศไปให้ ถึงเขาจะไม่ได้รับ ก็ไม่ได้สูญหายไปไหน
บุญกุศลนี้ไม่มีวันสูญสลาย ถ้าไม่มีการเสวยสุขจากผลบุญนั้น
กล่าวคือ เราสร้างบุญกุศลมากเท่าไรก็ไม่ได้เป็นการแบ่งแยก หรือทำให้บุญกุศลที่เราสร้างนั้นถดถอยน้อยลง
แต่ประการใด คงสะสมส่งผลให้แก่เราเมื่อถึงกาลอันสมควร เมื่อส่งผลแล้วจึงเป็นการได้ใช้ไป หมดไปซึ่งบุญ
ในแต่ละส่วน แต่บุญมีผลอันยิ่งสามารถส่งผลให้แก่ผู้สร้าง ได้นานข้ามภพข้ามชาติได้หลายๆ ชาติทีเดียว”

และขอให้เราทุกคนเชื่ออย่างมั่นใจว่า เมื่อเราได้ทำบุญกุศลแล้วไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม เราทุกคนก็ยังคงได้ใช้บุญ
ของเราอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ได้ใช้บุญกุศลนั้นแน่นอน ซึ่งจะส่งผลเมื่อใดนั้นขึ้นอยู่กับวาระของบุญนั้นๆ
และกรรมจะเป็นผู้กำหนดเองทั้งสิ้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บพลังจิต

289

อุทิศส่วนกุศลให้คนที่มีชีวิตอยู่ ?


ถาม : เรื่องอุทิศส่วนกุศล จะอุทิศส่วนกุศลให้คนที่มีชีวิตอยู่ ?

ตอบ : ต้องให้เขาโมทนาด้วยจ้ะ ต้องบอกเขาโดยตรงเลย ถ้าไม่บอกเขาโดยตรงผลจะน้อยเต็มที

มีเหมือนกันนะ มีอยู่รายหนึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่า ตอนช่วงสงครามคอมมิวนิสต์เขาไปติดอยู่ที่ลาวหรือเขมรไม่รู้ จำไม่ได้ ญาติพี่น้องคิดว่าตายหมดแล้ว เขาเลยตั้งใจทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ปรากฏว่าหลังจากนั้นหลายปี เขาก็กลับมาบ้าน ญาติพี่น้องก็ตกใจ ไม่น่าจะรอดเลย กลับมาได้อย่างไร ? ปรากฏว่าพอเขาบอกว่าทำบุญไปให้วันนั้น เวลานั้น เขาบอกว่าแปลกมาก คนที่โดนขังอยู่ก็อดๆ อยากๆ กินไม่อิ่ม เขาบอกวันนั้นอยู่ๆ อิ่มบอกไม่ถูก อิ่มเฉยๆ ไม่อยากกินอะไรเลย ก็เพิ่งมารู้ตอนนี้เอง ทางบ้านทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้

ถาม : ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลไปให้คนที่เขาไม่ชอบเรา ศัตรูเราทำได้ไหม ?

ตอบ : ถ้าอย่างนั้นอยู่ในลักษณะ แผ่เมตตา ถ้าอุทิศส่วนกุศลให้อย่างไร เขาก็ไม่โมทนาอยู่แล้วจ้ะ แผ่เมตตาตั้งใจนึกถึงเขาด้วยความหวังดีปรารถนาดี ขอให้เขาพ้นจากความทุกข์ ขอให้เขามีความสุข แต่ว่าแรกๆ ถ้าอุทิศให้เขาลักษณะอย่างนั้น ตั้งใจแผ่เมตตาให้เขาลักษณะอย่างนั้น บางทีกำลังใจจะต้าน มันเป็นศัตรูเรา รู้สึกเป็นอย่างนั้น

ดังนั้นถ้าหากว่าอุทิศส่วนกุศล ต้องหัดให้คนที่เรารักให้ชิน พอชินแล้วก็ให้คนที่เราไม่รักไม่เกลียด คือสรรพสัตว์ทั้งหลาย จนกระทั่งชินสบาย ก็ให้คนที่เราเกลียดน้อย พอชินสบายใจแล้ว ค่อยให้คนที่เราเกลียดมาก ไม่อย่างนั้นอยู่ๆ ให้คนที่เราเกลียดมากเลย มันยันกลับมาเลยโทษใครไม่ได้ เพราะเรายังไม่ชินกับมัน ถาม : แล้วเราจะทำอย่างไรให้ผลออกมาดีที่สุด ?

ตอบ : ถ้าหากว่ากำลังใจเป็น อัปปมัญญา คือว่าไม่เลือกที่รักมักที่ชังจริงๆ เห็นทุกคนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายจริงๆ ถึงเราไม่เบียดเบียนเขา เขาก็ทุกข์อยู่แล้ว จิตใจมีแต่ความรัก ปรารถนาดีต่อเขา สงสารอยากให้เขาพ้นทุกข์ ถ้าสามารถทำได้อย่างนี้แล้ว ผลจะเกิดเร็วแล้วก็แรงด้วย ดีไม่ดีเขากลับมาดีกับเราไม่รู้ตัวหรอก ถ้าวันไหนเขาเซ็นโอนมรดกให้ ก็รีบรับไว้นะ


สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บพลังจิต

290
ว้าวๆๆๆ ใช่ขอรับ อยากได้ตะกรุดครับ เช่ามาฝากด้วยนะ ขอบคูณครับพี่แป็ป สงสัยไม่ใช่คนแล้วละ เทวดา ชัดๆ ใจดีจริงๆ 15;

291
ไปเลย ไปเลย อย่าลืมซื้อของมาฝากด้วยนะ พี่แป็ป   :095:

292


พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การขอในสิ่งที่เป็นไปได้ยาก หรือ ยากที่จะได้ดังใจหวังนั้นมีอยู่ 4 ประการ คือ

1. ขอให้ได้ร่ำรวยเป็นเศรษฐี

2. ขอให้ได้มียศถาบรรดาศักดิ์

3. ขอให้มีอายุยืนยาว

4. ขอให้ตายแล้วไปเกิดในคติโลกสวรรค์


แต่ก็โชคดีที่ว่า พระพุทธเจ้าทรงบอกวิธีที่จะทำให้ได้ตามคำขอทั้ง ๔ ประการนี้ว่า

1. ผู้ที่ขอต้องเป็นผู้ทีมีศรัทธาแน่วแน่

2. ผู้ที่ขอต้องเป็นผู้ที่ทำทานสม่ำเสมอ

3. ผู้ที่ขอต้องเป็นผู้ที่มีศีล

4. ผู้ที่ขอต้องเป็นผู้ที่มีภาวนามั่นคง

5. ผู้ที่ขอต้องเป็นผู้ที่มีปัญญา ละนิวรณ์ 5


ถ้าทุกคนทำได้ ก็จะต้องได้สิ่งที่ตนขอแน่นอน "

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บพลังจิต

293

ทำไมพระพุทธเจ้าจึงให้ถือว่าดื่มสุราเป็นศีลห้าม


สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี สิกฺขาปทํ สมาทิยามิ
( เว้นจากการดื่มสุราเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท )



เจ้าสุราน้ำเมาที่ว่านี้มันเป็นสิ่งเริ่มต้นของบาปกรรมทั้งปวง เมื่อเหล้าลงคอแล้วบาปกรรม
อื่น ๆ ย่อมตามมา เช่น ฆ่าสัตว์ ลักขโมย ผิดศีลกาเม พูดเท็จ เพราะเกิดจากจิตใจที่เมามัว ขาดสติ

เหล้าเป็นตัวเร่งของสิ่งชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่ในใจ ขณะเมาเหล้าธรรมจริยาทุกอย่างหายไปหมด บางคนออกจากบ้านแต่งตัวดูดี ภูมิฐาน น่าเชื่อถือ แต่เมื่อเหล้าเข้าปากผ่านไปสามแก้ว ก็จะเริ่มเมาไม่ได้สติ - ขาดมารยาท ปากเริ่มพ่นแต่คำหยาบ อาการน่าเกลียดน่าขยะแขยงเริ่มออก บ้างพวกเมาเหล้าขาดสติแล้ว ขับรถยนต์จนเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ผู้อื่นที่ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเดือดร้อนตามไปด้วย บางคนสูญเสียทรัพย์บางครั้งก็ถึงแก่ชีวิตมีให้เห็นเป็นตัวอย่างมากมาย อาจเกิดการต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งอะไรทุกอย่าง จนเกิดการทำร้าย เข่นฆ่า กามราคะลุกโชติช่วง หน้ามืดตามัวจนเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ทุกอย่างที่แสดง - ออกมาล้วนก่อปัญหาให้กับ ครอบครัวและสังคมมากมาย หลังสร่างเมาจึงจะเห็นความเป็นไปที่แน่นอน ที่ตัวเองได้ทำมาตอนขาดสติว่ามันช่างน่าสมเพศสิ้นดี


ดื่มสุรานี้ผิดอะไรด้วยหรือเพราะไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ? ความผิดย่อมหนีไม่พ้นอยู่ดี ถึงไม่เบียดเบียนผู้อื่น แต่ก็ยังเบียดเบียนตัวเองอยู่ดี โดยสิ่งที่ผิดตามมาก็คือ สิ้นเปลืองเงินทองโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรกลับคืนมา มีแต่จะเสียหายลงๆ นำเงินส่วนนี้ไปใช้ดูแลตัวเองหรือคนในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ ลูก เมีย หรือนำไปทำบุญจะ ดีกว่าไหม ยังมีประโยชน์มากกว่านำเสียกับค่าน้ำเมาอย่างมากมายมหาศาลนัก อีกทั้งบุญวาสนาในตัวเราที่เราหมั่นเพียรสั่งสมมาตลอดทั้งชาตินี้และอดีตชาติจะถูกลดทอนลงไปเรื่อยๆ เมื่อน้ำเหล้าเข้าปาก


ส่วนพวกที่ไม่ดื่มเหล้าแต่นำน้ำเมาเหล่านี้ไปเป็นของกำนัลแก่คนอื่นๆ รวมถึงพวกเจ้าของร้านเหล้า พวก ผับ บาร์ ต่างๆ ก็ถือว่าผิดศีลข้อ ๕ อย่างหนีไม่พ้นอยู่ดี บางกรณีบาปกรรมนี้อาจหนักหนาสาหัสมากกว่าที่คิด เพราะว่าเป็นตัวกลางในการ ซื้อขายหรือแจกจ่ายเพื่อให้คนอื่นๆ ลุ่มหลงมัวเมา เพราะฉะนั้นผู้ที่ยังคิดไม่ได้จงรีบคิดให้ถูกต้องซะโดยเร็ว เพราะยังไม่สายเกินไปที่จะกลับตัวกลับใจ โดยเฉพาะคนที่ไปต่างประเทศแล้วคิดจะซื้อเหล้ามาเป็นของกำนัลกลับมาฝากคนรู้จักละก็เข้าค่ายเลยทีเดียว


นักธุรกิจบางพวกนิยมคุยธุรกิจในวงสุรา เพราะทำให้คุยง่าย คุยคล่อง คุยลื่น คุยไม่มีสะดุด แต่คนพวกนี้คิดผิดถนัด เพราะในแวดวงการค้าเหมือนกับสนามรบ เมื่อเมาขาดสติ ความลับทางการค้าทุกอย่าง อาจถูกเปิดเผยจากปากของตัวเอง จนธุรกิจอาจประสบความล้มเหลวได้


การดื่มเหล้านั้นง่ายต่อการป่วยเป็นโรคตับ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไต โรคกระเพาะ ภูมิต้านทานต่ำ เจ็บป่วยบ่อยด้วยโรคแทรกซ้อนต่างๆ อีกมากมาย


ที่มา:สยามรัฐ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บพลังจิต

294

การถวายสังฆทานให้ได้บุญ และ สังฆทานที่มีอานิสงส์มากกว่าปกติ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

๏ สังฆทานคืออะไร

พจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสน์ ชุดคำวัด โดย พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ. 9 ราชบัณฑิต) วัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ ให้ความหมาย “สังฆทาน” ไว้ดังนี้

“สังฆทาน” คือ ทานที่ตั้งใจถวายแก่สงฆ์หรือผู้แทนของสงฆ์ ไม่จำเพาะเจาะจงรูปใดรูปหนึ่ง หากถวายโดยเจาะจง เรียกว่า ‘บุคลิกทาน’ ดังนั้น สังฆทานมีอานิสงส์มากกว่าบุคลิกทาน เพราะผู้ถวายมีจิตใจที่กว้างขวาง ไม่เจาะจงว่าจะเป็นภิกษุรูปใด เป็นการแสดงถึงความตั้งใจจะถวายด้วยศรัทธาอันเป็นสาธารณะ

ดังนั้น การทำบุญเลี้ยงพระในงานต่างๆ การไปทำบุญตักบาตรที่วัด การใส่บาตรพระที่เดินบิณฑบาต หากไม่จำเพาะเจาะจงพระรูปใดรูปหนึ่ง นับเป็นสังฆทานทั้งสิ้น

มีทานอีกรูปแบบหนึ่งที่คล้ายๆ สังฆทาน เป็นทานที่มีอาณาเขตกว้างขวางกว่าคือ ทานที่ให้แก่หมู่พวกที่ไม่เฉพาะกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่งเรียก สาธารณทาน เป็นทานที่ไม่จำกัดเฉพาะในรั้ววัด เป็นการให้ที่ไม่มีขอบเขต สังฆทานเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณทานเช่นนั้น


๏ จัดสังฆทานให้ได้ประโยชน์

เดี๋ยวนี้เวลาพูดถึง “สังฆทาน” พวกเราจะนึกถึงถังสีเหลืองๆ ภายในบรรจุข้าวของเครื่องใช้เยอะแยะมากมาย จนล้นออกมาปากถัง แล้วมีพลาสติกใสหุ้มทับอีกที

แท้จริงแล้วของที่จะถวายหมู่พระสงฆ์โดยไม่เจาะจงที่เรียกว่า สังฆทาน นั้น คืออะไรก็ได้ที่เหมาะกับชีวิตสมณะ ไม่จำเป็นต้องเป็นถังเหลืองๆ ที่วางขายตามหน้าร้านสังฆภัณฑ์เสมอไป

ข้าวของเครื่องใช้ที่บรรจุมักเป็นของที่พระภิกษุเก็บไว้ใช้ในช่วงวันเข้าพรรษา (ประมาณ 3 เดือน) ส่วนมากก็จะเป็นของที่ใช้ดำรงชีวิตทั่วไปเหมือนเราๆ ท่านๆ นี่แหละ เช่น ผงซักฟอก, ยาสีฟัน, แปรงสีฟัน, สบู่, ยาสระผม เป็นต้น จะมีเพิ่มมาหน่อยก็จะเป็นผ้าอาบน้ำฝน สบงจีวรเครื่องนุ่งห่ม ที่พระภิกษุจะต้องมีไว้ใช้

ถ้าเราไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรไปถวายพระสงฆ์ดี เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยเครื่องสังฆทานที่มีจำหน่ายตามร้านบรรจุให้สำเร็จรูป อีกทั้งการบรรจุกระป๋องก็ทำมาให้เรียบร้อยสวยงาม ซื้อปุ๊บก็ถือไปถวายปั๊บ เข้ากับยุคสมัยพอดี ไม่ต้องเสียเวลาไปซื้อหามาประกอบให้ลำบาก

ถึงเวลาที่ต้องมาทบทวนการทำสังฆทานกันเสียที สังฆทานที่ดีไม่จำเป็นต้องมีของถวายมากมาย ขอเพียงเป็นของที่จำเป็นและมีคุณภาพดีเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว และการเลือกซื้อของมาประกอบเป็นสังฆทานเอง จะได้ของดีมีคุณภาพกว่าการไปซื้อ “ถังเหลืองๆ” ตามร้านสังฆภัณฑ์ทั่วไป หากผ้าอาบน้ำฝนราคาผืนละ 60-80 บาท ราคาถังสังฆทานก็จะประมาณ 200-600 บาท แล้วแต่ของข้างในและขนาดถัง

“ถังเหลืองๆ” ที่มีวางขายตามร้านสังฆภัณฑ์นั้น บางร้านจะยัดหนังสือพิมพ์หรือกระดาษแข็งเข้าไว้เต็มกระป๋อง ส่วนที่เป็นสังฆทานหรือข้าวของเครื่องใช้จริงๆ จะถูกบรรจุไว้แถวขอบปากถัง เพื่อให้ดูว่ามีของใช้มากมายจนล้นปากถัง แล้วเอาพลาสติกใสหุ้มอีกทีเพื่อไม่ให้ของล้นจนหก แท้จริงแล้วมีของใช้ไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง


๏ ข้าวของเครื่องใช้ที่ึึควรซื้อหามาจัดเป็นสังฆทาน

- สบู่ จัดเป็นเครื่องประทินผิว แต่พระก็ใช้ได้เพื่อทำความสะอาดและระงับกลิ่นกาย

- ยาสีฟัน ชนิดผงหรือแบบหลอดก็ได้ ยาสีฟันสมุนไพรก็น่าสนใจ

- แปรงสีฟัน เลือกที่เป็นชนิดขนแปรงอ่อนๆ จะได้สบายเหงือก

- ยาสระผม (เน้นพวกแชมพูยา) เอาไว้ใช้เวลาโกนศีรษะจะได้โกนได้ง่ายขึ้น และ เมื่อพระท่านไม่มีผมมาปกป้องหนังศีรษะเนี่ย ทั้งความร้อน ฝุ่นละออง เชื้อโรคต่างๆ ก็จะเข้าถึงหนังศีรษะของท่านได้โดยตรง แถมการรักษาสมดุลความชุ่มชื้นของหนังศีรษะก็จะเสียไป เพราะไม่มีผมปกคลุม ทำให้หนังศีรษะของพระ มักจะแห้ง และเกิดโรคผิวหนังอยู่เสมอ เช่น ชันตุ เป็นต้น สิ่งที่จะช่วยบรรเทาได้ก็คือ แชมพูยา ที่มีส่วนผสมปกป้องหนังศีรษะ รักษาสมดุล

- ใบมีดโกน เป็นของจำเป็นมาก เพื่อใช้โกนศีรษะ -- พระส่วนมากใช้ด้ามยิลเลตต์รุ่นเก่า คู่กับใบมีดโกนตราขนนกของญี่ปุ่น (ตามรูปข้างล่าง)


- [ผลิตภัณฑ์ซักผ้า จะเป็นผงซักฟอก หรือ น้ำยาซักผ้า ก็มีประโยชน์ทั้งสิ้น แม้กระทั่งน้ำยาปรับผ้านุ่ม ผ้าจะได้ไม่เก่าเร็วช่วยถนอมผ้า ถัง หรือ กาละมัง สำหรับซักผ้าจีวรพระ และ ไม้หนีบผ้า

- เครื่องดื่มสมุนไพรพร้อมชง จำพวกขิงผง ชารางจืด มะตูม, นม UHT, น้ำผัก-น้ำผลไม้ 100 % , เครื่องดื่มผสมธัญพืช หรือจะเป็นเครื่องดื่มรสช็อกโกแลต ไมโลหรือโอวัลตินพร้อมดื่มก็ได้ ที่สำคัญอย่าลืมดูวันหมดอายุก่อนซื้อด้วย

- ผ้าไตรจีวร และ ผ้าอาบน้ำฝน เลือกที่เนื้อหนาๆ หรืออาจเลือกซื้อเป็นสบง (ผ้านุ่ง) หรือจะเป็นอังสะก็ได้ เพราะพระท่านมักจะมีผ้าอาบน้ำฝนอยู่มากแล้ว จะขาดแคลนก็คือสบงและอังสะ ถ้าถวายให้สามเณรก็จัดเหมือนพระเช่นกัน -- อันนี้แนะนำที่ มูลนิธิ พระอาจารย์ มั่น ภูริทัตโต ซ.ยิ่งอำนวย(จรัญฯ37) ค่ะ เพราะจะคุณภาพดีกว่าที่อื่น


- ถวายสังฆทานแม่ชี ก็เปลี่ยนจากผ้าเหลืองเป็นชุดแม่ชี ซึ่งหาซื้อได้จากวัดบวรนิเวศวิหาร, สถาบันแม่ชีไทย หรือร้านสังฆภัณฑ์ทั่วไป หากหาซื้อไม่ได้ก็เปลี่ยนเป็นผ้าขาวเนื้อดีตามร้านขนาด 2-4 เมตรแทน จากนั้นแม่ชีท่านจะนำไปตัดเย็บเป็นเสื้อ ผ้าถุง ผ้าครอง ตามสมควร

- ซีดีธรรมะ หนังสือธรรมะ หนังสือเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม หนังสือเกี่ยวกับสุขภาพ หรือหนังสือความรู้ต่างๆ ที่คิดว่าพระสงฆ์ควรรับรู้เพื่อนำไปบอกกล่าวแก่ญาติโยมได้

- ยาสมุนไพรต่างๆ รวมทั้งยาแผนปัจจุบัน เช่น พาราเซตามอล ยาแก้ปวดท้อง ท้องเสีย ยาลดกรด ในกระเพาะอาหาร แอลกอฮอล์ล้างแผล เบตาดีนสำหรับใส่แผลสด ยาบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และยาทาเมื่อถูกแมลงสัตว์กัดต่อย ฯลฯ

- เครื่องเขียน สมุด ปากกา ดินสอ รวมทั้ง ซองจดหมาย แสตมป์ เนื่องจากพระสมัยนี้ต้องเรียนพระปริยัติธรรม และจดกำหนดนัดหมายต่างๆ ช่วยจำ บางรูปท่านเป็นเหรัญญิกดูแลค่าใช้จ่าย ยิ่งต้องใช้มาก แต่ไม่ค่อยมีใครถวายเครื่องเขียนเหล่านี้ พระท่านจึงต้องไปเดินหาซื้อเองเสมอ หากเราถวายไป พระท่านจะได้ใช้อย่างแน่นอนค่ะ

- ไฟฉาย ถ่านไฟฉาย ซึ่งวัดตามชนบทและวัดป่าสิ่งนี้ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นมาก

- จาน ชาม ช้อน ส้อม อาจสอบถามดูว่าวัดนั้นๆ ต้องการจำนวนมากหรือไม่ จะได้จัดเป็นชุดใหญ่ถวายเป็นของสงฆ์ เพื่อให้ชาวบ้านหยิบยืมได้ด้วยในงานบุญประเพณีต่างๆ รวมทั้งเครื่องมืองานช่าง เช่น ค้อน ตะปู ไขควง หรืองานเกษตร เช่น จอบ เสียม พลั่ว และอุปกรณ์งานทำความสะอาด เช่น ไม้กวาดอ่อน ไม้กวาดแข็ง ถังขยะ ที่ตักผง ฯลฯ

- ร่ม สำหรับให้พระท่านได้ใช้ในช่วงฤดูฝน ควรหาซื้อสีที่เหมาะสม เช่น สีดำหรือสีน้ำตาล

- บาตร ควรหาซื้อบาตรที่มีความหนาพอสมควร เวลาที่ญาติโยมใส่ข้าวสุกร้อนๆ ลงไป มือท่านจะได้ไม่พอง ที่สำคัญไม่ควรมีน้ำหนักมาก เพราะท่านต้องใช้เดินบิณฑบาตเป็นระยะทางไกล


เทียนและหลอดไฟ เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เป็นของนิยมในการถวาย เพราะในสมัยก่อนพระสงฆ์ที่อยู่จำพรรษาในวัดต่างจังหวัดต้องใช้เทียนเพื่อเป็นแสงสว่างในวัด แต่ในปัจจุบันวัดในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้ากันแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าหากเราจะเปลี่ยนมาถวายหลอดไฟนีออนกันบ้าง ราคาเทียนที่ถวายกันก็จะประมาณ 150-1,600 บาท แล้วแต่ว่ามีสลักลายหรือไม่มี ถ้าขนาดเดียวกันก็จะต่างกันประมาณ 100 บาท

- ของอื่นๆ ที่มักนิยมใส่ก็มี กระดาษชำระ ข้าวสาร หัวหอม กระเทียม น้ำมันพืช น้ำตาล เกลือ น้ำปลา ฯลฯ ที่จัดว่าเป็นของแห้งเก็บไว้ได้นาน ของเหล่านี้ถ้าพระท่านใช้ไม่ทัน ท่านก็มักจะเก็บรวบรวมนำไปบริจาคต่างจังหวัดอีกที นับเป็นวงจรบุญไม่มีที่สิ้นสุด

จัดเรียงข้าวของที่ซื้อมาลงในภาชนะซักผ้าที่ซื้อมาต่างหาก อาจจะเป็นถังหรือกะละมังก็ได้ แล้วนำไปถวายได้ทันที



๏ ข้าวของบางอย่างที่ไม่ควรถวาย

- บุหรี่ กาแฟ สิ่งเสพติด เครื่องดื่มชูกำลังทุกประเภท

- ผลิตภัณฑ์อาหารที่บรรจุด้วยโฟม เพื่อหลีกเลี่ยงมลพิษทางสิ่งแวดล้อม

- อาหารกระป๋อง ผลไม้กระป๋อง เพราะเป็นอาหารที่มีสารกันบูด สารเคมี ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ ใส่เป็นผลไม้สดจะดีกว่า ถ้าในวัดมีครัวอาจซื้อผักสดเข้าครัวก็ได้

- ใบชาคุณภาพต่ำ พระไม่ค่อยได้ชงฉัน ควรเปลี่ยนเป็นเครื่องดื่มสมุนไพร ให้ประโยชน์กับสุขภาพมากกว่า

- กล่องสบู่ ปกติพระท่านมีอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องซื้อถวายอีก

- บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารบิณฑบาตในตอนเช้าเป็นอาหารสด และมีคุณค่ากว่า ไม่ควรส่งเสริมให้ท่านฉันอาหารที่มีคุณค่าน้อย

- น้ำอัดลมหรือน้ำที่ผ่านการปรุงแต่งกลิ่นและสี เช่น น้ำส้ม น้ำองุ่นที่แต่งกลิ่นและสี




๏ ลำดับพิธี

- จุดเทียนธูปบูชาพระรัตนตรัย แล้วกราบ ๓ ครั้ง
- อาราธนาศีล และรับศีล
- ว่าบท นะโม ๓ จบ แล้วกล่าวคำถวายสังฆทาน
- ประเคนเครื่องสังฆทาน
- พระสงฆ์อนุโมทนา เจ้าภาพกรวดน้ำ
- กราบ ๓ ครั้ง เป็นเสร็จพิธี



๏ คำถวายสังฆทาน ( สามัญ )

อิมานิ มะยัง ภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุโน ภันเต ภิกขุสังโฆ
อิมานิ ภัตตานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ
(ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายซึ่งภัตตาหารกับของที่เป็นบริวาร ทั้งหลายเหล่านี้แด่พระสงฆ์ ขอพระสงฆ์จงรับซึ่งภัตตาหารกับของที่เป็นบริวารทั้งหลาย เหล่านี้เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายสิ้นกาลนานเทอญ)( หลังเที่ยงให้เปลี่ยน ภัตตานิ เป็น ทานวัตถูนิ เปลี่ยน ภัตตาหาร เป็น ทานวัตถุ )


ข้อมูล: จากหนังสือพุทธศาสตร์ "ศาสนพิธี" ปีที่ ๔๓ อันดับที่ ๑/๒๕๔๓ และ DhamMaJak
ขอบคุณข้อมูลจาก เว็บพลังจิต

295

แม่ชีทศพร ให้ธรรมทานเรื่อง ทำไมจึงควรทำบุญกับพระพุทธศาสนา


มีคนเกี่ยงว่าทำไมต้องทำบุญกับพระพุทธศาสนาสัมมาอาชีพถึงจะดี ก็ขอตอบย้ำกันอีกครั้งว่า เพราะพระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญ เงินที่เราได้มาถ้ามีพระสงฆ์เป็นผู้รับ เมื่อเอาไปใส่ในตู้บริจาคของค่าน้ำค่าไฟ ไม่ว่าพระสงฆ์จะทำอะไรก็แล้วแต่ เดี๋ยวนี้มันใช้ไฟทั้งหมดอันนี้พระสงฆ์อยู่ในการปฏิบัติที่ครบองค์สงฆ์ วันหนึ่งท่านทำกิจของท่านสิบอย่าง คนที่ควายค่าน้ำค่าไฟไว้ก็จะประสบความสำเร็จในเรื่องของการประกอบสัมมาอาชีพและไม่มีกรรม ไม่มีเศษกรรมตกมาที่ตัวเอง ต้องบอกเลยว่าคนทั้งโลกไม่รู้ว่าเงินที่ทำมาหากินแล้วทำไมอยู่มาถึงจุดหนึ่ง คนทุกคนในบ้านมีเหตุให้เป็นไป คือ มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนโดยที่ว่าก็ทำบุญนะ สร้างพระ สร้างศาลา ทำอะไรทุกอย่าง แต่ทำไมกรรมมันถึงยังเป็นตะกอนกรรมอยู่อีก ทุกคนแน่ใจไหมว่าแหล่งที่มาของเงินนั้นได้มาอย่างบริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์

อ้าว…ยังมีคนไม่อยากทำบุญกับพระพุทธศาสนา อยากทำบุญสร้างโรงพยาบาล อยากทำบุญกับเด็กด้อยโอกาส อยากทำบุญกับคนที่ไม่มีจะกิน นั่นก็ถือว่าเงินของคุณยังไม่ถึงกับบุญที่เรียกว่าทำบุญกับผู้มีศีล
เพราะว่าทำบุญกับคนที่ไม่มีศีล 100 ครั้ง ไม่เท่ากับทำบุญกับคนที่มีศีลครั้งเดียว ทำบุญกับคนที่มีศีล 100 ครั้ง ก็ไม่เท่ากับทำกับสามเณรครั้งเดียว
ทำบุญกับสามเณร 100 ครั้งก็ไม่เท่ากับทำบุญกับพระสงฆ์ครั้งเดียว
ทำบุญกับพระสงฆ์ 100 ครั้ง ก็ไม่เท่ากับทำกับพระอรหันต์ครั้งเดียว
ทำบุญกับพระอรหันต์ 100 ครั้งก็ไม่เหมือนกับทำกับพระพุทธเจ้าครั้งเดียว
ทำบุญกับพระพุทธเจ้า 100 ครั้งก็ไม่เท่ากับทำสังฆทานครั้งเดียว

สังฆทานยิ่งใหญ่มากเหรอ ทำไมถึงทำบุญกับพระพุทธเจ้าถึง 100 ครั้ง ยังไม่เท่ากับ ทำสังฆทานเพียงครั้งเดียว มันใหญ่มากเพราะว่าสังฆทานเนี่ย พระทุกที่ทั้ง 4 ทิศสามารถใช้สังฆทานนี้ได้ จึงเรียกว่า “มหาสังฆทาน”

อย่างแม่ชีทำบุญที่สนามหลวงแม่ทำบุญกับคนที่ไม่มีศีล ถามว่าแม่เบิกบานใจไหมแม่ก็เบิกบานใจ แต่ถามว่าแม่ได้อะไรจากตรงนั้นไหม แม่ได้ความสุขใจแป๊บนึง แต่พอแม่มาทำบุญกับพระหลายๆ รูป เป็นพันๆ องค์ หมื่นๆ องค์ แม่รู้สึกเลยว่าแม่สัมผัสได้ว่าเราน้ำตาไหลไม่หยุด น้ำตาเราไหลไม่หยุด มันเหมือนกับเราปีติ เวลาพระให้พรทีนึงเรารู้ได้เลยว่าเราได้ แล้วการนั่งสมาธิหรือว่าการพูดหรือการรู้ มันก็แบบว่ากว้างไปอีก กว้างออกไปอีก ตัวรู้นะ ตัวปัญญานะ มันกว้างออกไปอีก ธรรมดาเราก็รู้อยู่แล้ว พอเราทำบุญกับพระ ปีหนึ่งทำบุญกับพระอย่างเช่น พุทธมณฑลอย่างนี้ จะมีพระรับปริญญาทั่วโลกที่มาที่พุทธมณฑล พอแม่ทำครั้งหนึ่ง 4 วัน เช้าเพล เช้าเพล เช้าเพล พอหลังจากทำเสร็จ แม่ก็มานั่งเจริญกรรมฐาน กรรมฐานแม่เปลี่ยนไปเลยนะ… กรรมฐานจากที่เรานั่งเราก็นิ่งอยู่แล้วเราก็ปรกติอยู่แล้ว แต่มันทำให้สมาธิเราคมชัดมากขึ้นอีก

ลูกศิษย์ที่รู้ว่าแม่ทำบุญเขาจะมาช่วยแม่ประมาณ 300-400 คน เพราะแม่ทำคนเดียวไม่ได้ ใน 300-400 คน ก็มีบุญร่วมกัน คนนี้เป็นหนี้มากแม่บอกว่าไปล้างหม้อ ล้างชามแล้วอธิษฐานไป เป็นหนี้กรรมกับใครเรื่องการเงิน เป็นหนี้เรื่องกรรมอะไรอย่างนี้ ขอล้างถ้วยล้างชาม ในการปฏิบัติกับพระสงฆ์ในครั้งนี้ ส่งผลเป็นบุญให้คนที่เคยเป็นหนี้รับบุญด้วย แล้วหลังจากที่ทำแล้วเขาประสบความสำเร็จนะ หนี้เขาก็หลุด ชีวิตเขาก็ดีขึ้น เขาทำงานแค่วันละ 200 นะ เขาทำงานแค่วันละ 200 แล้วมาเจอกันใหม่ เขาสดใสขึ้น ดีขึ้น ทุกคนก็จะจ้องมาว่า แม่จะมีอะไรให้ทำ คนนี้ปอกผลไม้ ปอกกันตั้งแต่ตี 2 เช้าขึ้นมาบุญที่เราทำ พระจะต้องมาฉันเช้าตอนประมาณ 7 โมง 6 โมงของทุกอย่างต้องขึ้นโต๊ะ 400 กว่าโต๊ะ ซึ่งแม่ทำคนเดียวไม่ได้ แล้วทุกคนไม่ง่วง ไม่ง่วงเพราะบุญ บุญของพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ไม่ง่วงไม่ต้องกินกาแฟ ไม่ต้องกินอะไร แต่ว่าเพราะบุญทำให้ไม่ง่วง

ส่วนคนที่เลือกทำกับอย่างอื่นก็ยังได้บุญอยู่ แต่ว่าผลของบุญนั้นมันน้อย เห็นเขามีกินแล้วสุขใจก็ถือว่าเป็นบุญ แต่บุญของพระพุทธศาสนา บุญของพระสงฆ์ที่เป็นเนื้อนาบุญ มันมากกว่าเพราะว่าพระท่านนุ่งห่มผ้าเหลือง ท่านเจริญวิปัสสนากรรมฐานอย่างนี้ ส่งผลเป็นบุญมหาศาล แม่เห็นในขณะที่พระนั่งฉันอยู่ แม่ก็นั่งอยู่ข้างล่างพระท่านนั่งอยู่ที่อาสน์สงฆ์ ก่อนที่ท่านจะฉันข้าว ท่านจะถวายข้าวพระพุทธก่อน พอถวายข้าวพระพุทธเสร็จแล้วท่านถึงจะลาข้าวพระพุทธเพื่อให้ท่านฉัน ถ้าแปลเป็นความหมายว่าอาหารที่ได้มาไม่ได้ฉันเพื่อความเมามันกำลัง ฉันไปเพื่อการประพฤติดีปฏิบัติชอบ พอท่านฉันเสร็จ พระรูปแรกที่อยู่หัวแถว จะพูดเป็นภาษาบาลีว่า “ยถา” พอ “ยถา” ตรงนี้ปุ๊บอาหารที่ท่านฉันไปเป็นเหมือนสายน้ำ เป็นแม่น้ำเลยนะ เป็นน้ำเป็นสายเลย แล้วใครที่ใส่บาตรไว้ บุญมันสำเร็จเลย

แต่คนที่ใส่บาตรมักจะไม่ค่อยกรวดน้ำ คนที่ใส่บาตรเสร็จแล้วมักจะไม่ค่อยกรวดน้ำ ถามว่าไม่กรวดน้ำแล้วโมฆะ ไม่โมฆะ กรวดวันนี้ก็ได้ ใส่บาตรมา 10 ปีไม่เคยกรวดน้ำ มันก็เหมือนว่า เอ๊..เราใส่บาตรทุกวันทำไมเราทำดีแล้วยังไม่มีคนเห็นในความดีของเรา ก็เพราะเราไม่ได้ยินดีในบุญที่เราทำ เราต้องยินดีในบุญที่ทำไม่ใช่ว่า ทำเพราะเขาทำกันมานานแล้ว ถ้าวันไหนไม่ใส่ก็รู้สึกว่าไม่สบายใจ อะไรอย่างนี้ มันเป็นกิจวัตรที่จะต้องทำ แต่ไม่ได้ใส่ใจในบุญ ต้องใส่ใจในบุญว่า บุญที่ใส่ไป เราต้องกรวดน้ำ แต่ว่าถ้าการนั่งกรรมฐานไม่ต้องใช้น้ำกรวด อ่านหนังสือเบิกบุญแม่แล้วเขาบอก กรวดน้ำตั้งหลายขวดกว่าจะหมดเพราะมันยาว ถ้าหนังสือแม่ไม่ต้องกรวดน้ำใช้อธิษฐานเอา แต่บุญที่ถวายสังฆทานหรือบุญที่ทำบุญกับพระสงฆ์ด้วยอาหาร ต้องกรวดน้ำบุญมันจะได้สำเร็จเลย
 
โดย ดร.แม่ชีทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม
จากหนังสือ ธรรมะ ค้าขายดี
คู่มือชีวิต ปิดทางจน สำหรับคนทุกอาชีพ

ขอบคุณข้อมูลจาก เว็บพลังจิต

296
เห้ยเซ็งเลยตอบผิด สงสัยได้พี่ เอ็มแล้วมั้ง แห้วอีกแล้ว  :065:

297
1โลกียธรรม
โลกียธรรมเป็นธรรมสำหรับปุถุชนชาวโลก ทั่วไป มีดังนี้

เบญจศีลและเบญจธรรม
 เบญจศีล
1.  เว้นจากการฆ่าสัตว์
2.  เว้นจากการลักทรัพย์
3.  เว้นจากการประพฤติผิดในกาม
4.  เว้นจากการพูดเท็จ
5.  เว้นจากการดื่มสุราเมรัย
เบญจธรรม
1.  มีเมตตากรุณา
2.  เลี้ยงชีพชอบในทางที่ถูกต้อง
3.  มีความสำรวมระวังในกาม
4.  พูดแต่คำสัตย์จริง
5.  มีสติระวังรักษาตนไว้เสมอ

2โลกุตรธรรม
โลกุตรธรรมเป็นธรรมชั้นสูงที่พระพุทธเจ้า ทรงสอนปัญจวัคคีย์เป็นครั้งแรก คือ "อริยสัจสี่" หรือความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค

                  1)  ทุกข์ คือ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ อันเกิดจาก การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย เช่น การพลัดพรากจากคนรัก ความไม่สมหวัง ความคับแค้น ใจต่าง ๆ การเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นต้น ที่ทุกชีวิตทุกคนในสังคมต้องประสบ

                  2)  สมุทัย คือ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา 3 ประการคือ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา

                      - กามตัณหา คือ ความอยากได้ในสิ่งที่น่ารักใคร่

                      - ภวตัณหา คือ ความอยากมีอยากเห็น

                      - วิภวตัณหา คือ ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น

                  3) นิโรธ คือ ความดับทุกข์หรือการดับตัณหาและ ความ ทะเยอทะยานต่าง ๆ ให้หมดสิ้นไป

                  4)  มรรค คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่ มรรค 8 หรือมัชฌิมาปฏิปทา (ทางสายกลาง) ได้แก่ ปัญญาชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ ทำการงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ ทำความเพียรชอบ ระลึกชอบ และตั้งใจชอบ

3 ความสงบให้เกิดขึ้นตั้งแต่ต้น คือ ขณิกสมาธิ จนถึงอัปปนาสมาธิ และสามารถทำความรู้พิเศษ คือ อภิญญาจิตให้เกิดขึ้นได้

4 สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเมื่อได้ทรงผนวชแล้ว ก็ได้ทรงไปศึกษากับ "อาฬารดาบสกาลามโคตร" เป็นคนแรก ทรงบรรลุอากิญจัญญายตนฌาน พระองค์เห็นว่าเป็นเพียงธรรมเครื่องอยู่อาศัยแห่งความสงบ จึงได้ไปทรงศึกษาต่อจาก "อุทุกดาบสรามยุส" ก็สามารถบรรลุฌานในขึ้นสูงสุดคือ "เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน" แต่พระองค์ก็ยังทรงเห็นว่า เป็นเพียงธรรมเครื่องอาศัยเพื่ออยู่เป็นสุขด้วยความสงบเท่านั้น จึงได้ทูลลาอาจารย์ทั้งสองเพื่อทรงแสวงหาทางหลุดพ้นจากวัฏฏะด้วยพระองค์เอง โดยในขั้นแรกได้ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา แต่ก็ไม่สามารถที่จะปหานกิเลสได้

5 บทสวดธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร

298
งั้นขอถามนะครับว่า ถ้าเกิดว่าสักยันต์ สวยจนบอกไม่ถูก แต่ไม่มีพุทธคุณ กับ ไม่ค่อยสวยเป๋ นิดหนึ่ง แต่พุทธคุณสุดยอด เหลือล้ำ คุณจะเลือกอันไหนครับ ของอย่างงี้นะอยู่ที่ความศรัทธา อยู่ที่ พูดทำดี ทำดี คิดดีครับ

299
ฮาฮาฮา ทีนี้ละข้าจะเอาที่ 1 มาให้ได้คอยดู หึหึหึหึหึ (ชั่วร้ายพอยัง) ขอบคุณสำหรับกิจกรรมครับ  :005:

300
ขอบคุณครับพี่ ประสบการณ์เพียบเลยนะครับ

302
ขอบคุณนะท่าน นัท ที่ให้ความรู้ผมว่าวิชาอย่างนี้อย่าเล่นเลยครับ มันเป็นสิ่งไม่ดี ปาบจะติดตัวไป จน วัน ตาย หึหึหึหึหึ (ชั่วร้ายเปล่า)  :006:

303
กราบนมัสการพระอาจารย์ ครับ ที่นำบทความดีๆมาให้อ่านครับ

304
1 เสาร์ ที่ 19 มีนาคม 2554

2 บันทึกธรรม...๑๓ ก.ย.๕๒...พิจารณา มหาพิจารณา...  ในหมวด สนทนาภาษาผู้ประพฤติ

3 ขอตอบว่า ~เสน่ห์โจรสลัด~  และ โองการยันนะรังสี

4 หลวงพ่อโด่ง หรือ พระอาจารย์เมสันต์ เมตตาสักยันต์ให้ศิษย์ถ้วนหน้า ณ.กุฎิชายน้ำนครชัยศรี

5 พระพุทธรูปนี้มีชื่อว่า (พระบาง) ตั้งอยู่ภายในเจดีย์พิพิธภัณฑ์หลวงปู่เทศน์  วัดถ้ำขาม อ. พรรณานิคม จ. สกลนคร ผู้สร้างพระองค์นี้คือ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

305
1 เสาร์ ที่ 19 มีนาคม 2554

2 บันทึกธรรม...๑๓ ก.ย.๕๒...พิจารณา มหาพิจารณา... 

3 ขอตอบว่า ~เสน่ห์โจรสลัด~  และ โองการยันนะรังสี

4 หลวงพ่อโด่ง หรือ พระอาจารย์เมสันต์ เมตตาสักยันต์ให้ศิษย์ถ้วนหน้า ณ.กุฎิชายน้ำนครชัยศรี

5 อันที่ 5 นิตันครับไม่รู้เลย

306

คนสวยอยู่ที่ไหน...>>หลวงพ่อจรัญวัดอัมพวัน<<


> ปัญญาเกิดทั้งทางโลกและทางธรรม ปัญญาในตัวสามารถช่วยตัวเองได้ ปัญญานอกตัวช่วยอะไรเราไม่ได้ทั้งนั้น ขอเจิรญพรอย่างนั้น อะไรจะมาช่วยเราได้ นอกจากเราจะช่วยตัวเองเท่านั้น

>ท่านทั้งหลายอย่าไปหมายพึ่งคนอื่น เราก็ไม่รู้ว่าใครจะตายก่อนกัน บางทีพ่อแม่ก็ต้องทำศพลูก ส่วนมากพ่อแม่ทำศพลูกแล้วเดี๋ยวนี้อายุสั้น ไม่ได้รับพร ไม่อ่อนน้องต่อพ่อแม่ ก้าวร้าวต่อพ่อแม่จึงต้องตายกลางถนน พ่อแม่ต้องเอาลูกมาทำศพ อย่างนี้ชัดเจนมาก

>เมื่อสมัยโบราณมีแต่ลูกทำศพให้พ่อแม่ ทำบุญแซยิดให้พ่อแม่ เดี๋ยวนี้พ่อแม่ทำให้ลูกแล้ว มันไม่ถึงแก่นพระศาสนาช่วยตัวเองไม่ได้คุณพระพุทธมี ๓ ประการอย่างนี้

>คุณพระธรรมมี๓ประการ สร้างความดีต้องละความชั่ว อย่าเอาความชั่วมามอมเมาในจิตใจ แยกแยะออกไป ต้องปฏิบัติธรรมถึงจะรู้ว่าความดี ความชั่วเป็นประการใด เราจะรู้ว่าที่ทำนี้นั้นไม่ดีต้องเลิก บอกตัวเองได้ สอนตัวเองได้อย่างนี้ ไม่ใช่คนอื่นมาบอกแล้วโมโหคนอื่นมาสอนเราได้หรือ

>เราต้องสอนตัวเองให้เห็นชัดแจ้งด้วยสัจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เราจะรู้บาป บุญ คุณ โทษ รู้ทางจิตภายใน แยกเอาความชั่วออก จิตท่านบริสุทธิ์แล้วความชั่วจะเข้ามาไหม น้ำท่านใสสะอาดแต่ท่านก็ไม่ได้หมายความว่าเอาน้ำสกปรกไปล้างชามสกปรกต้องเอาน้ำสะอาดไปล้างชามสกปรกมันถึงจะสะอาดหมด เหมือนเราบำบัดน้ำเสียจากหัวใจ นั่งภาวนาพองหนอ ยุบหนอเป็นต้น มันก็ขจัดน้ำเสียไปตลอดทำให้อารมณ์ดี

>หายใจเข้ายาวๆ หายใจออกยาวๆ กำจัดน้ำเสียออกทีละหยดๆ และน้ำที่เหลืออยู่ก็ใส นั่นแหละท่านจะรู้ตัวเองว่าท่านมีกรรมอะไร ท่านมีอะไรเป็นโรคประจำตัวบ้าง แยกแยะออกไป น้ำใสน้ำขุ่น ความชั่วเป็นความดี จึงไม่รู้ว่าตนเองทำชั่ว กลับมีทิฎฐิ ใครเตือนไม่ได้ต้องโกรธเขา เหมือนสามีภรรยาเตือนไม่ได้ โกรธ ทิฎฐิสูง

>คนที่เข้าถึงคุณพระรัตนตรัย ไม่มีทิฏฐิเลย จะรับฟังทุกคน จะพูดดีพูดชั่วรับฟังทั้งนั้น แต่รับฟังแล้วก็ถืออุเบกขาภาวนา เป็นผู้ใหญ่ที่ดี จะไม่ว่าใครเลย ใครเขาด่าเราก็ไม่กระทบกระทั่ง ไม่ฟื้นฝอยหาตะเข็บ หยิกเล็บเจ็บเนื้อ คนเข้าถึงธรรมะแล้วจะไม่โกรธ ใครว่าอะไรจะไม่โกรธ ถ้าเราโกรธแล้วไปชกต่อยกับเขาแล้วนั้นแพ้เขาเลย

>คนที่อารมณ์ดี กับคนที่อารมณ์ร้าย เมื่อเวลาชกต่อยกันอารมณ์ร้ายต่อยผิดต่อยถูก เขาหลบเราต่อยไปถูกเสาเข้าเสียหายไปเลยฉันใดก็ฉันนั้น ตรงนี้สำคัญมาก ไม่ได้ปฏิบัติจนถึงขั้น ปวดเมื่อยเลิกเลย ตายให้เป็นตายเดี๋ยวจะรู้ของจริง ถ้าเราไม่อดทนจะรู้แต่ของปลอม คนชอบสบายไม่ชอบลำบาก ลำบากหน่อยเลิกเลยแล้วท่านจะพบของดีไหม

>คุณค่าของพระสงฆ์ ก็มี ๓ ประการ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงคงวาคงศอก คือพระสงฆ์ ท่านทั้งหลายไม่ต้องไปหาพระที่เป็นสุปฏิปันโนมาใส่บาตรหน้าบ้าน ไม่มีหรอกหายาก ลูกชาวบ้านมาบวช แต่เราไม่ได้ใส่บาตรพระลูกใคร ข้าพเจ้าขอทำบุญกับพระสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้วก็ใส่บาตรไป แต่พระองค์นั้นจะดีหรือชั่วอย่าไปมอง จะไปหาพระที่ไหน เหมือนพวกทัวร์บุญไปหาพระสุปฏิปันโน วัดไหนมีบ้างไหม ขอเจริญพรให้ข้อคิด

>บางคนพูดให้อาตมาได้ยิน บอกว่าฉันไม่ใส่บาตรเพราะไม่เลื่อมใสพระองค์นั้น ถ้าพูดแบบนี้แสดงว่าไม่ถึงธรรมะ ไม่ถึงพระรัตนตรัย ถ้าปฏิบัติได้ท่านจะไม่มองพระในแง่ร้าย เห็นนุ่งเหลืองห่มเหลืองมาก็ไหว้ ข้าพเจ้าขอไหว้พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าผู้เป็นสุปฏิบัติถึงแน่นอน สุปฏิปันโนอยู่ตรงนี้เอามาไว้ที่รัตนตรัย อย่ามองพระในแง่ร้าย ที่กรุงเทพฯ เขาบอกไม่ใส่บาตรหลายวัด มาเล่าให้ฟัง

>อาตมาบอกขอบิณฑบาตรนะ ดีชั่วอยู่ที่ตัวท่าน ชั่ว ดี ถี่ ห่าง อยู่ที่ตัวท่าน ดีชั่วอยู่ที่ตัวเรา เราก็ใส่บาตรพระสุปฏิปันโนก็แล้วกัน เราก็ได้บุญ เพราะกรรมเป็นตัวกระทำที่เราได้บุญ ถ้ามองพระไม่ดีองค์นั้นไม่เลื่อมใส ท่านเลยไม่ต้องทำบุญไม่ต้องตักบาตรกระทั่งตาย แล้วจะไปหาพระที่ไหน

>พระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ที่เราต้องปฏิบัติธรรม ถ้าหากขาดการปฏิบัติธรรมแล้วไปดูพระดี พระชั่ว ท่านจะเสียใจตลอดชีวิต ขอฝากไว้ บางคนตักบาตรมาจนแก่ ตายไปแล้วไปตกนรก เพราะเจตนาไม่ดี ด้วยอำนาจโทสะลงนรกไป ไม่ชอบด้วยอำนาจโทสะก็ไปเป็นเปรต อำนาจโมหะไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่มีปัญญาเป็นผู้ไร้ปัญญา

>ถ้าเราเข้าถึงพระรัตนตรัย ขอเจริญพรว่าท่านจะรู้จริง ภาวนาอยู่ในคุณของพระพุทธเจ้า แต่บางคนไหว้พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ก็ไม่รู้อะไรเลย ไหว้กันส่งเดช ไม่มีเหตุผล ไม่มีศรัทธาเพราะไม่รู้ ถ้ารู้ท่านจะมีศรัทธา ปลูกศรัทธาให้ขึ้น มีฉันทะความพอใจในพระรัตนตรัย ท่านจะถึงรัตนตรัยแน่ เข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เข้าถึงแก่นแท้พระพุทธศาสนาด้วยการภาวนาอันนี้ จะมีประโยชน์โสตถิผลต่อท่านมิใช่น้อย

>ท่านจะรู้ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ตัวเรา พระธรรมเจ้าอยู่ที่ตัวเรา พระสงฆ์เจ้าอยู่ที่ตัวเรา เราจะรู้ตัวและแสดงออกเป็นผู้มีปัญญา การเจริญพระกรรมฐานเป็นการต่ออายุ ต่อรูปต่อนาม ขันธ์๕ เป็นอารมณ์ตรงนี้ ความดีของใครของมัน ไม่ใช่ให้กันได้ ถ้าความดีให้กันได้โยมก็ไม่ต้องมานั่งเจริญพระกรรมฐาน อาตมาจะเสกเอาความดีไปใส่กระเป๋าพอถึงบ้านก็หมดในกระเป๋าไม่มีแล้ว

>เพราะฉะนั้น การเจริญพระกรรมฐานนั้นเข้าถึงพระรัตนตรัยได้อย่างแน่นอน ๑๐๐% ขอยืนยัน ท่านจะรู้เลยว่าการฟังมีประโยชน์ไหม เราไม่พอใจในการฟังก็ไม่ได้ประโยชน์และจำไม่ได้ ถ้าศรัทธาฟัง สนใจฟังเหมือนเรียนวิชาเอก ท่านชอบวิชาภาษาอังกฤษมาก มันก็เป็นวิชาเอกของท่าน ท่านจะสันทัดกว่าคนอื่นเพราะท่านชอบ อาตมาถึงถามโยมว่าคนสวยอยู่ที่ไหน ก็ต้องตอบว่าอยู่ที่เราชอบ ถ้าเราไม่ชอบมันจะสวยไหม จะดีไหม เป็นวิชาเอกไหม ไม่ใช่พูดเหลวไหล โดยไม่มีเหตุผลไม่มีหลักฐาน

>อาตมาต้องมีหลักฐานถึงจะพูด คนสวยอยู่ที่เราชอบ ความดีอยู่ที่ละความชั่ว ถ้าเอาความชั่วใส่ตัวก็จะมีทิฏฐิ คนชั่วกับคนดีต้องทะเลาะกัน คนชั่วทำความดีไม่ได้ คนดีก็ทำชั่วไม่ได้ ดูตรงนี้อย่าไปว่าใคร การนินทานั้นเรื่องธรรมดามันเป็นเรื่องของคนที่ชอบ พระพุทธเจ้าใครจะด่าจะว่าท่าน ท่านไม่ถือเพราะคนเขาไม่รู้จริงเขาถึงด่าเรา เราสอนให้เขาเป็นคนดี เขากลับมาด่าเราเพราะไม่บริสุทธิ์ เพราะเขารู้ไม่จริง เป็นอย่างนี้ชัดเจนแล้วจะหาอะไรมาเป็นหลักก็หามิได้ ไม่ใช่ของง่ายเลย

>ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมต้องเข้าถึงศรัทธา ปลูกศรัทธา ปลูกความเชื่อ ปลูกความเลื่อมใสในคุณพระศรีรัตนตรัยชัดเจนแล้ว ถ้าท่านไม่มีศรัทธาอย่ามาปฏิบัติ จะไม่ได้อะไรเลยเพราะไม่มีศรัทธา ทำโดยเสียมิได้ ทำตามคนอื่นขอเจริญพรคนดีสนใจการปฏิบัติธรรมเพราะการปฏิบัติยากบางคนกระทั่งตายก็ยังไม่เคยปฏิบัติ ไม่เคยบำเพ็ญศีลภาวนาแต่ประการใด ไม่ใช่ของง่าย ไม่ใช่ปฏิบัติแล้วก็ได้ปุ๊ปปั๊ป

>เรียนม.๑ ถึง ม.๖ ต้องใช้เวลาถึง๖ปี ปฏิบัติธรรม ๓-๔วันจะได้อะไรหรือ ท่านต้องทำอย่างต่อเนื่อง เอาความดีใส่ เอาความชั่วออกไป ความดีมีมากความชั่วก็เข้ามาไม่ได้ เพราะความดีมันเต็มเปาเต็มกระเป๋าเต็มจิตใจเราแล้ว ความชั่วจะเข้ามาได้อย่างไร ตรงนี้เป็นที่เชื่อถือไว้ใจได้

>สำหรับผู้ที่เข้าถึงธรรมะจริงๆ จะไม่สร้างความชั่วอีกต่อไปแล้ว จะละทิฏฐิมานะได้ทุกประการ และจะไม่นินทาว่าร้าย ใส่ร้ายป้ายสีใครอีกต่อไปแล้ว จะไม่ผูกโกรธใคร จะมีแต่ใจกุศล มีแต่แผ่เมตตาตลอดรายการจะช่วยปลูกฝังตั้งศรัทธาให้เชื่อมัน เราเกิดมาเป็นมนุษย์แสนจะยากมาก โชคดีเกิดมาไม่เป็นใบ้ บ้า เสียจริตผิดมนุษย์ ตาก็ดี หูก็ดี อาการ ๓๒ ก็ดี เกิดมาไม่ใช่ง่ายเลย ยากมาก และกว่าพ่อแม่จะเลี้ยงดู กว่าจะโตแสนจะยาก กว่าจะได้มีความรู้คู่ความดีมีวิชาที่จะสร้างตัวเองได้ก็แสนจะยาก รักษาสมบัติมนุษย์ไว้บ้างไม่ได้หรือ อย่าประมาทนะ คิดว่าเรายังไม่ตาย กะมีอายุสัก๑๐๐ ปีเชียวหรือ ต้องตายแน่นอนจะเป็นวันนี้พรุ่งนี้ใครจะไปรู้ได้

>แต่ถ้าเราปฏิบัติธรรมให้สูงขึ้น จะรู้ได้เลยว่าตัวเองเป็นอย่างไร ไม่มีใครมาบอกเรา ต้องบอกตัวเองไม่ต้องไปหาหมอดู เราเป็นหมอดูเองคือสติ

>>>>>คนมีบุญถึงได้นั่งเจริญพระกรรมฐาน เจริญกุศลภาวนาได้ คนไร้บุญวาสนาคือคนชั่ว๘๐% จะไม่สนใจพระกรรมฐานอย่างแน่นอน อ้างว่า ห่วงโน่น ห่วงนี่ ยังไม่มีเวลา ตายก่อนเสมอ ถ้าเป็นผี ปีศาจ ราชทูต แล้วจะมานั่งเจริญพระกรรมฐานได้หรือ เวลาดีๆ ไม่ทำเวลามีกำลัง อินทรีย์กำลังเต่งตึง กำลังอยู่ในวัยกลางคนและอยู่ในปฐมวัย ไม่ได้สนใจความดี เมื่อถึงวัยเสื่อมแล้วหมดโอกาสสร้างความดีอย่างแน่นอน ขอฝากไว้...


จากหนังสือ: พุทโธโลยี มีธรรมะเป็นที่พึ่ง รวย สวย ดี มีปัญญา แก้ไขปัญหาได้ เคล็ด(ไม่)ลับ จากการปฏิบัติธรรม พระธรรสิงหบุราจารย์(หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน)

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

307


ผู้เกลียดชังพระสงฆ์...เกี่ยวกับหลวงพ่อชา สุภทฺโท ซึ้งมาก

พ่อของผมเป็นชาวจีนโพ้นทะเล จีนแคะ นั่งสำเภาจากซัวเถาหลบหนีความจน ที่มีมากมาย เหนือความมั่งคั่ง ในแผ่นดินเกิด สมัยนั้น สมัยคนจีนอพยพสู่ประเทศไทยเป็นว่าเล่น


ความจนยัดเงินติดกระเป๋าของพ่อเพียงเพื่อให้พ้นอดตาย ระหว่างเดินทางข้ามทะเล แต่ยัดความเด็ดเดี่ยวใส่จนเต็มหัวใจหนุ่มทรนง และเติมเชื้อความหวังอันเรืองรองสำหรับแผ่นดินใหม่ แผ่นดินไทย อย่างเต็มเปี่ยม
รางวัลที่ความยากจนข้นแค้นให้กับคนมีเสื่อผืนหมอนใบ คือความแข็งแกร่งทั้งกายและใจ เป็นอาวุธเล่มเดียวที่แหลมคมของหนุ่มจีนยากจนเช่นพ่อจะมีไว้สู้ชีวิต


แผ่นดินไทยได้ฟื้นกำลังให้กับพ่อด้วยข้าวล้วน ๆ โดยไม่มีเผือกหรือมันผสม น้ำตาพ่อปริ่มเมื่อรับกระแสอันอบอุ่นในอู่ข้าวอู่น้ำแห่งนี้ และไหลพรากทันทีที่ภาพคนข้างหลังในเมืองจีนกำลังขุดเผือกมันมาประหยัดข้าว พ่อแม่พี่น้องและภรรยากำลังล้างหัวมันเคล้าข้าวสาร หุงกิน เป็นภาพที่ลบออกไม่ได้ และเป็นเหตุแห่งกระแสน้ำตาสายนั้น


แต่เมื่อปั่นกระแสน้ำตาขาดหายด้วยมือหยาบกร้านสำเร็จแล้วมือเดียวนั้นไม่เคยยกขึ้นมา
ป้ายน้ำตาพ่ออีกเลยจนตลอดชีวิต มันเป็นมือที่กอดกำงานทุกอย่างโดยไม่พรั่นเพื่อเงินและชีวิตที่ดีขึ้น ไม่พิรี้พิไรกับความหลังอันแสนเข็ญ ไม่อุทธรณ์ต่อฟ้าดินขอปรานีมาผ่อนปรนความเหน็ดเหนื่อยอันสาหัส ไม่ตัดพ้อหรือเกี่ยงงอนในผลรับที่ดูคุ้มหรือไม่คุ้ม เพราะนั่นไม่ใช่วิสัยของคนพลัดถิ่น

ด้วยพรหมลิขิตหรืออะไรก็สุดแต่จะเรียน ได้กำหนดชีวิตของพ่อให้มีวิถีกลมกลืนอยู่ได้ในเมืองไทยและแม้บุพเพสันนิวาสสัญชาติจี
นจะพลัดพ่อจากภรรยาในเมืองจีนจนไกลสุดทะเลคั่น แต่บุพเพสันนิวาสสัญชาติไทยยังเอาธุระไม่วาง

แม่ในวัยสาวสะพรั่ง แม่ผู้เป็นหญิงสาวชาวบ้านนาป่าเขาแห่งเมืองนครนายก ซึ่งยายได้ฝึกอาชีพตัดกล้วยบนเขาชะโงกลงมาขาย และสอนบทบาทแม่เรือนด้วยการตักน้ำบ่อทรายริมคลองบ้านนามาใส่ตุ่ม และด้วยคุณสมบัติง่าย ๆ อย่างนี้ บุพเพสันนิวาสได้ส่งมอบแม่ให้กับพ่ออย่างเหมาะที่สุดโดยไม่ต้องเสี่ยงจับสลาก ชีวิตครอบครัวของหนุ่มจีนสาวไทย จึงยั่งยืนมาถึงวันแก่เฒ่าทั้งคู่ พร้อมกับลูกชายหญิงเต็มบ้านเต็มเรือน


หนุ่มจีนสาวไทยคู่นี้ได้ลงเรือลำเดียวกันอย่างแท้จริง
ไม่ได้ลงเรือโตยอุปมาอุปมัย

พ่อซื้อเรือสำปั้น 16 เหล็ก 1 ลำ ขนาดของซี่เหล็ก 16 ซี่ บอกขนาดน้อง ๆ เรือเอี้ยมจุ๊นได้อย่างชัดเจน ความใหญ่โตของมันให้ดูที่ใบเรือสำหรับกางแล่นลมมันเป็นเรือใบฉบับกระเป๋าในบางโอกาส ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่มีให้เห็นแล้วพ่อได้เรือใหม่และเปิดอาชีพใหม่คือเป็นพ่อค้าขายใบยาส
ูบ ล่องเรือทั่วไปตลอดทั้งฉะเชิงเทรา, นครนายก, ปราจีนบุรี, ปทุมธานี,กรุงเทพฯ นครชัยศรี และนครปฐมพื้นที่ทั้งหมดนี้มีแม่น้ำลำคลองเชื่อมโยงถึงกันอย่างน่าพิศวง มีเรือเป็นร้านค้าเคลื่อนที่และเป็นบ้านอันแสนอบอุ่นของพ่อแม่และลูกที่เพิ่งเกิดใหม่บนเรือนั้น


คนสองเชื้อชาติสองประเพณีมาอยู่ด้วยกันก็ดูจะเกิดปัญหาอยู่บ้าง พ่อแวะศาลเจ้าเพื่อทำบุญเป็นบางโอกาส แม่ขึ้นตลิ่งวัดริมน้ำบ้างเพื่อใส่บาตรอย่างที่เคยประพฤติมาตลอดในบ้านเกิดมันเป็นปัญหาที่คนทั้งสองอธิบายให้แก่กันไม่ถนัด แต่พ่อไม่ใช่หัวหน้าครอบครัวจอมเผด็จการ บุญในแบบไทย ๆ ของแม่จึงไม่เคยถูกพ่อห้ามทำ ถึงกระนั้นวันที่พ่อเป็นจอมเผด็จการก็มาถึง


ไม่อาจระบุสถานที่เกิดเหตุได้ชัดเจน แต่เรื่องนี้เกิดบนเรือของพ่อ
พระสงฆ์รูปหนึ่งลงเรือมาซื้อใบยาสูบ ขณะที่ลูกจ้างคนเดียวที่มีบนเรือของพ่อสาละวนหยิบใบยาให้ พระสงฆ์รูปนั้นแอบฉวยเอามีดพับของพ่อใส่ซ่อนในย่ามพ่อเห็นและปราดจากท้ายเรือมาจับแขนพระสงฆ์องค์นั้นไว้ล้วงลงไปในย่าม ควานหยิบเอมีดพับออกมาถือด้วยอาการโกรธสุดระงับ
พระสงฆ์หัวขโมยหน้าเสีย


เสียงพ่อด่าและตะโกนขับไล่ลั่นไปทั้งคุ้งน้ำ ชาวเรือลำอื่น ๆแย้มหน้าออกมาดูสลอน ทุกคนเห็นเหมือนกันไปหมดว่า จีนหนุ่มคนหนึ่งกำลังด่าพระขี้ขโมยซึ่งกำลังหนีขึ้นฝั่งจีวรปลิว
ตั้งแต่นั้น แม่หมดโอกาสทำบุญในพระพุทธศาสนาอย่างเปิดเผย


สิ่งที่พ่อเกลียดที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตคือความคดโกง พ่อรักความซื่อสัตย์สุจริตและประพฤติสุจริตอยู่จนตลอดชีวิต ไม่ใช่เพราะผมเห็นว่าเป็นพ่อจึงดั้นเมฆสรรเสริญ แต่พ่อของผมควรแก่การสรรเสริญอย่างแท้จริง ข้อนี้ไม่มีใครซาบซึ้งใจดีเท่าลูก ๆ ของพ่อทุกคน ความซื่อสัตย์สุจริตของพ่อแสดงตัวอย่างชัดเจนเมื่อหลังสงครามอินโดจีน ซึ่งขณะนั้นพ่ออยู่เมืองอุบลราชธานี แล้วพ่อไม่ฉวยโอกาสสร้างความร่ำรวยทั้งที่สามารถทำได้ เหมือนเพื่อน ๆ ของพ่อหลายคน ซึ่งในวันนี้เป็นเศรษฐีมั่งคั่งประจำเมือง
โอกาสของพ่อมีมากมายแต่พ่อมึงมันผ่านไปเสียเฉย ๆ ครั้นลูกขยับตัว พ่อห้ามทันที


“อย่านะ นั่นไม่ใช่วิธีหากินของคนดี เป็นคนมั่งคั่งด้วยวิธีของคนชั่ว อาจง่ายกว่าเป็นคนมั่งมีอย่างวิธีของคนดี แค่นี้เราก็อยู่ได้ เรายืดอกเดินไปที่ไหนก็ได้ไม่ลำบากใจ ราศีของคนดีเดินไปทางไหนก็มีคนต้อนรับ ผีสางเทวดาก็ช่วยระวังรักษาคุ้มภัย ถอยกลับมาอย่าไปสนใจมันอีก”


ดังนั้นสันดานอย่างนี้ สิ่งที่พ่อเกลียดอีกอย่างหนึ่งจึงเป็นพระสงฆ์และรวมไปถึงพระสงฆ์ทั้งโลก
เห็นพระบิณฑบาต พ่อจะสอนลูกเล็ก ๆ ว่าให้ขอทานดีกว่า
เห็นคนกราบไหว้พระ พ่อจะสอนลูก ๆ ว่ากราบขอทานดีกว่า
เพราะว่าพระสงฆ์เป็นพวกหัวขโมย เป็นคนขี้ฉ้อ เป็นคนเลวที่อาศัยผ้าเหลืองหากินอย่างแสนจะขี้เกียจ
กระดูกดำของพ่อมีแต่ความเกลียดชังพระสงฆ์


สงครามอินโดจีนหรือสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิด ญี่ปุ่นเดินทัพเข้าไทยทุกรูปแบบ เป็นพ่อค้ายาเร่ เป็นช่างถ่ายรูปจรดล เป็นสารพัดจะเป็นอย่างที่พรางตาคนไทยได้ และเมื่อถึงวันที่ทุกคราบถูกสลัดออกไป ซามูไรยาวเฟื้อยก็อยู่ในมือพวกเขา เครื่องแบบทหารญี่ปุ่นถูกสวมแทนอย่างอหังการ

ทหารญี่ปุ่นเหล่านี้คือคนต่างด้าวทั้งนั้น พวกเขาซ่อนตัวมาอย่างแยบยล จนถึงวันที่เผยตัวออกมาให้คนไทยขนลุกขนพอง
ภาพพจน์ของคนต่างด้าวช่างน่ากลัวเสียจริง
ต้องไล่คนต่างด้าวออกไปให้พ้นแผ่นดินไทย
พ่อเป็นคนต่างด้าวที่ไม่ถูกเว้นในสงครามไล่คนต่างด้วย พ่อทิ้งเรือหนีภัยขึ้นบก ที่หมายไม่มีแน่ชัดแต่ทิศทางที่พ่อเลือกมุ่งไปคือทิศอีสาน


อยู่บ้านแฮก เมืองขอนแก่น ระยะหนึ่ง เตลิดขึ้นหนองคายและล่องโขงมาขึ้นฝั่งเมืองอุบลฯ ลงหลักปักฐานที่นี่อย่างปลอดภัย พ่อมีเพื่อนอยู่ที่อุบลฯ มาก ญาติพี่น้องที่มาอยู่แน่นหนาก่อนหน้าก็เยอะ จีนแคะด้วยกันทั้งนั้น สมาคมจีนแคะที่นี่จึงใหญ่พอตัว ซึ่งเดี๋ยวนี้คือสมาคมฮากกา ที่มีสถานทีทำการเป็นตึกใหญ่


สังคมคนจีนที่นี่มีความอบอุ่นมากพอจะทำให้ลืมบ้านเกิดที่กวางจิวและชัวเถา และลืมทุกข์จากสงคราม ตกเย็นคนจีนรุ่นใหญ่จะนัดหมายกันมาพบที่ริมถนนที่นาน ๆ รถจะผ่านสักคัน แล้วเล่นซอเป่าปี่ตีขิม จิบน้ำชาคุยกันอย่าออกรส
กิจกรรมของสมาคมคนจีนเมืองอุบลฯ มีพ่อร่วมด้วยทุกประการทั้งชีวิตและวิญญาณที่พ่อมี
ลูกของพ่อเกิดที่เมืองอุบลหลายคน รวมทั้งผม


เมื่อเกิดแล้วก็หาได้สัมผัสพระพุทธศาสนาไม่ พระพุทธศาสนาของลูก ๆ มีอยู่ในโรงเรียนในข้อสอบที่จะต้องตอบให้ถูกเพื่อการสอบได้ พระพุทธศาสนาของครอบครัวผมไม่ได้อยู่ในวัดใดวัดหนึ่ง
นั่นเป็นผลที่เกิดจากความเกลียดชังพระสงฆ์ของพ่อ


จะเป็นด้วยกรรมที่เป็นบุญมาแต่ปางใดไม่ทราบ ลูกสาวคนแรกของพ่อ หรือพี่สาวคนโตของผมเกิดฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนาอย่างหมดหัวใจได้อย่างไรไม่รู้ แอบเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรมตั้งแต่ยังเป็นสาวรุ่นกระเตาะ โดยที่พ่อไหวตัวไม่ทัน
เมื่อความแตกพ่อก็ห้ามเธอไม่ไหวเสียแล้ว
อาจเป็นด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งพ่อจึงวางเฉยไม่ห้ามปราม และคงหวังจะเอาเหตุผลมาใช้เพื่อชนะ แทนการใช้อำนาจที่พ่อมีอย่างเหลือเฟือกับลูก


การแสดงเหตุผลเพื่อชี้ให้เห็นความเลวของพระสงฆ์ของพ่อกับการชี้แจงให้เห็นความดีของพระสงฆ์ของพี่สาวของผมได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ
ยังไม่มีใครได้ชัยชนะเด็ดขาด


แต่พี่สาวของผมก็ได้สิทธิที่จะเข้าวัดที่เธอรักและศรัทธาอย่างเปิดเผยยิ่งขึ้น แม้พ่อจะไม่เห็นดีเห็นงามด้วย
พ่อไม่ใช้อำนาจห้ามพี่สาวเข้าวัด แต่ใช้อำนาจเด็ดขาดห้ามไม่ให้นำสิ่งของเงินทองไปถวายพระ หรือแม้กระทั่งใส่บาตรยามเช้าที่หน้าบ้าน


ข้อนี้ไม่มีใครกล้าประพฤติต่อหน้าต่อตาพ่อ แต่กล้าพอจะให้ลับตาพ่อเสียก่อน
แม่จึงพลอยได้โอกาส เริ่มต้นกันใหม่ เริ่มเข้าวัดอีกครั้งหลังจากที่เกือบจะลืมวัดไปแล้วทั้งชีวิต
พี่สาวของผมคือใบเบิกทางของแม่และพลอยฉุดดึงน้อง ๆ ให้รู้จักพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับเธอบ้าง
ในสมัยผมเกิด จึงได้สัมผัสพระพุทธศาสนาตั้งแต่เล็ก ดูเหมือนจะเริ่มต้นรู้จักกราบพระครูวุฒิกรพิศาล หรือหลวงพ่อทุย ธมฺมทินโน เจ้าอาวาสวัดวารินทรารามเป็นครั้งแรก ต่อไปก็หลวงพ่อบุญมี ฉนฺโท วัดดอนกลาง และหลวงพ่อบุญมี โชติปาโล วัดคอนสาย ซึ่งเดี๋ยวนี้คือ วัดสระประสานสุข ต่อมาก็เป็นท่านพระครูพุธ ฐานิโย หรือพระภาวนาพิศาลเถร สมัยนั้นเป็นเจ้าอาวาสป่าแสนสำราญ พระสงฆ์เหล่านี้คือครูบาอาจารย์ที่พี่สาวเคารพศรัทธาอย่างแท้จริง


ส่วนหลวงพ่อชา สุภทฺโท ผมไม่ทราบชัดว่าพี่สาวของผมรู้จักไปกราบท่านตั้งแต่เมื่อไหร่
ชื่อของหลวงพ่อชาเข้ามาสู่เมมโมรี่ของครอบครัวผมเป็นครั้งแรก ในสมัยที่พ่อกำลังย่ำแย่ในธุรกิจ พ่อประสบภาวะวิบัติขาดทุนอย่างย่อยยับในกิจการค้าของป่าและพืชผลเกษตร ดูเหมือนจะเป็นระหว่าง 2504-2506 ผมกำลังเรียนชั้นประถมต้นในโรงเรียนสงเคราะห์ศึกษา ผมยังไม่อยู่ในฐานะจะซึมซับอาการภายนอกภายในที่บอบช้ำของพ่อได้อย่างซาบซึ้งตรึงใจ แต่บอกได้ว่าพ่อทรุดทั้งกายและใจอย่างเต็มที่


ถ้าพี่สาวของผมเป็นนักมวยผมจะขอตำแหน่งให้เธอเป็นยอดมวยเอกคนหนึ่งที่รู้จักหาจังหวะ
และโอกาสพิชิตคู่ต่อสู้ได้อย่างเหมาะเจาะที่สุด


เธอบอกกับพ่อว่า
“ไปหาหลวงพ่อชาเถอะพ่อ”
“ทำไมจะต้องไป” พ่อว่า
“หลวงพ่อชาบอกเลขแม่น คนอื่นรวยไปหลายคนแล้ว พ่อไปเถอะบางทีจะได้เลยมาแก็สถานการณ์ได้” เธอหลอก
พ่อพยักหน้าอย่างหมดท่าแม้ไม่เคยได้ยินชื่อหลวงพ่อชามาก่อนก็ตาม
คนที่กำลังร่วงติดดินมีความหวังได้แค่นี้


พี่สาวแอบไปกราบหลวงพ่อล่วงหน้า เล่าเรื่องของพ่อถวายท่านทุกอย่าง หัวใจของเรื่องคือพ่อเกลียดพระสงฆ์ แต่พี่สาวของผมอยากให้พ่อคลายความเกลียดนั้นออกไป


วัดหนองป่าพงปีสองพันห้าร้อยกว่า มีสภาพเป็นเพียงสำนักสงฆ์ อยู่ไกลออกไปจากหมู่บ้านของผู้คน มีความยากลำบากแสนสาหัสในการเดินทางไปที่นั่น ไม่มีถนน

แต่มีทางเกวียนเปลี่ยวลัดเลาะไปตามท้องนาป่าละเมาะ หน้าฝนจะไม่มีรถใด ๆ ไปถึงสำนักสงฆ์แห่งนี้ได้เลย เว้นแต่รถจี๊บกำลังสูงรถบรรทุกขนาดใหญ่ แต่ถึงงั้นหลายครั้งรถต้องติดหล่มนานเป็นชั่วโมงจึงจะผ่านไปได้แต่ละช่วง ถ้าไม่ใช่ด้วยศรัทธาที่แท้จริงหรือด้วยความหวังจะได้รับในสิ่งที่ปรารถนา จี๊บใหญ่เชพโรเล็ทของพ่อจะต้องเลี้ยวกลับ


สำนักสงฆ์หนองป่าพงสมัยนั้นมีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาประมาณ 14 รูป สามเณร 1 รูป ปะขาว 3 คน ชี 19 คน ทุกชีวิตพำนักอยู่ในกุฏิไม้หลังเล็กจิ๋วขนาดนอนสองคนคับ ดังนั้นกุฏิแต่ละหลังจึงมีผู้อาศัยดามลำพังคนเดียว และเป็นเช่นนี้มาจนปัจจุบัน
พี่สาวของผมแนะนำพ่อให้หลวงพ่อชารู้จัก และเปิดโอกาสให้พ่อได้สนทนากับหลวงพ่อชาตามลำพัง ด้วยการถอยหนีออกจนไกลเกินกว่าจะได้ยินถ้อยคำสนทนา นั่นเป็นวิธีการที่ฉลาดและเพื่อรักษาเหลี่ยมของพ่อเอาไว้ไม่ให้เสียแก่ลูกสาว


เสียงจักจั่นเรไรร้องระงมทั้งบริเวณป่ามืด ที่พระสงฆ์หมู่นี้เข้าเข้ามาอาศัยบำเพ็ญธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้าสิ้นสรรพสำเนียงของแมลงกลางคืนเหล่านี้แล้ว จะมีเพียงความเงียบสงัดที่สุดเท่าที่คนธรรมดาทั่วไปจะได้รู้จัก เงาจันทร์หรุบหรู่อยู่บนฟ้าไกล ดาวดาษดื่นแจ่มใสเป็นพิเศษ ในศาลาโรงฉันเล็ก ๆ ซึ่งเป็นทั้งที่ฉันอาหาร รับแขกชาวบ้าน ประชุมสงฆ์ ประกอบกิจสงฆ์ตามพระวินัย มีพ่อกับหลวงพ่อชาสนทนากัน กลางไฟเทียน


ขณะนั้นหลวงพ่อชาอายุได้ 43 ปี 23 พรรษา พ่ออายุ 59 ปี เป็นคนแก่ธรรมและคนแก่โลกสองคนสนทนากันในเรื่องที่ไม่มีใครรู้จนกระทั่งบัดนี้


พ่อกลับบ้านคืนนั้นโดยไม่ได้เลขสำหรับแทงหวย แต่ ดูเหมือนว่าพ่อจะได้สิ่งที่ใครๆ ก็ประเมินค่าไม่ถูกกลับบ้านแทน พ่อไม่เล่าให้ใครฟังว่าได้คุยกับหลวงพ่อชาอย่างไร คุยเรื่องอะไรและไม่มีใครกล้าถาม คงมีแต่ความเงียบตลอดเวลาที่นั่งรถข้ามท้องนาและปลักตมกลับบ้าน


พี่สาวของผมคาดหมายอะไรไม่ได้ เธอจะต้องใช้เวลาสำหรับลุ้นจิตใจของพ่ออีกหลายวัน
หลังจากพ่อได้พบหลวงพ่อชาครั้งแรกด้วยเล่ห์ของลูกสาวคนโต มีความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่โตเกิดขึ้นอย่างเหลือเชื่อ
ความทุกข์ที่แม่และลูกทุกคนเห็นมันอยู่ที่พ่ออย่างหนัก กลับหายไป ไม่มีรอยทุกข์เหลืออยู่ในสีหน้าแววตานั้นอีก คงมีแต่ความสงบเยือกเย็น ที่ลูกและแม่เห็นแล้วพลอยอบอุ่นไปได้อย่างบอกไม่ถูก

มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างทันทีหลังจากที่พ่อกลับจากวัดหนองป่าพง
คนที่รับรสแห่งความดีใจมากที่สุดคือพี่สาวของผม
หลวงพ่อชา ได้บอกกับเธอในวันหนึ่งว่า เถ้าแก่ (หมายถึงพ่อ) มีความรู้ในเรื่องพระพุทธศาสนาดีมาก เป็นความรู้เดิมที่มีมาแต่ครั้งอยู่เมืองจีน เถ้าแก่รู้เรื่องพระจีนเป็นอย่างดี
นั่นเป็นเรื่องที่พวกเราเพิ่งรู้เหมือนกัน


คนที่เกลียดพระสงฆ์เป็นบ้าเป็นหลังอย่างนั้นใครจะไปหมายได้ว่าเป็นผู้มีความรู้ในเรื่องของพระสงฆ์เป็นอย่างดี
บางทีอาจเพราะรู้มากนี่เองจึงเกลียดได้มากเท่า ๆ กับที่รู้จัก
ต่อไปความมหัศจรรย์ฉบับครอบครัวก็อุบัติขึ้น
พ่อเอ่ยปากชวนพี่สาวของผมไปวัดหนองป่าพง
เธอได้ชัยชนะเด็ดขาดในวินาทีนั้นเอง


การเดินทางไปสำนักสงฆ์หนองป่าพงหรือวัดหนองป่าพงมีอุปสรรคอยู่ที่ความยากลำบากของทาง
เกวียนสู่วัด เป็นความลำบากที่ให้กับผู้เดินทางไปที่นั่นได้ตลอดปี โดยเฉพาะฤดูฝนจะลำบากเป็นพิเศษ สมัยปีสองพันห้าร้อยกว่า ต้องใช้เวลาเดินทางไปถึงสำนักสงฆ์แห่งนี้อย่างน้อย ๆ สองชั่วโมงและอาจถึงสามชั่วโมงในฤดูฝนนั่นเป็นความจริงเมื่อสามสิบปีที่แล้ว เดี๋ยวนี้ใช้เวลาสำหรับไปที่นั่นเพียงไม่เกิน 15 นาที จากบ้านของเรา


อุปสรรคใด ๆ ก็คือเรื่องกระจ้อยร่อยสำหรับพ่อไปแล้ว หลายครั้งที่พ่อค้างที่วัดกับหลวงพ่อชา และเริ่มนำอาหารไปถวายที่วัดบ่อยขึ้น รวมทั้งกิจกรรมต่าง ๆ ของพระสงฆ์ที่นี่ หากจำเป็นต้องอาศัยพ่อหรือรถบรรทุกของพ่อ สามารถเรียกใช้ได้ตามต้องการ
รูปถ่ายของหลวงพ่อชาถูกนำขึ้นวางบนหิ้งบูชา เป็นกุญแจเปิดประตูพระพุทธศาสนาให้บ้านหลังนี้ในทันที
พ่อเลิกไหว้ผี เลิกไหว้เจ้า และเลิกไหว้พระจันทร์ เลิกมงคลตื่นข่าว
แต่รับเอาพระรัตนตรัยเข้าไว้เต็มหัวใจแห่งศรัทธาแทน
ขณะนั้นพ่อเป็นคนจีนนอกรีตไปแล้วอย่างเงียบเชียบ


ความศรัทธาของพ่อที่มีต่อหลวงพ่อชาแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในคราวหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นงานรับกฐินจากทางไกลของสำนักพุทธเจดีย์ ตำบลหนองไฮ อำเภอวารินชำราบ สำนักสาขาที่ 4 ของวัดหนองปาพง พ่อนำรถบรรทุกเชฟโรเล็ทรับหลวงพ่อชาจากวัดหนองป่าพงไปที่นั่น


ตำบลหนองไฮสมัยนั้น ถนนคือลูกรังแดงฉานตลอดระยะทางหลายสิบกิโลเมตร มันเป็นถนนคลุกฝุ่นอย่างแท้จริง ซึ่งพ่อเคยเดินทางไปซื้อสินค้าเกษตรแถบนั้นบ่อย ๆ รสของฝุ่นถนนที่แสนคุ้นนั้นพ่อซึมซับได้อย่างออกรสที่สุด
หลังเสร็จธุระทอดกฐินสำนักพุทธเจดีย์ และนำส่งหลวงพ่อชากลับถึงวัดหนองป่าพงเรียบร้อยแล้ว พ่อเอะอะกับทุกคนในครอบครัวเมื่อกลับถึงบ้านว่า


“หลวงพ่อชาอีเป็นเซียนแล้ว ไม่มีใครในรถของเราเปื้อนฝุ่นแม้แต่คนเดียว”


อาจกล่าวได้ว่าพ่อเป็นคนจีนในยุคแรกของสำนักสงฆ์หนองป่าพง ที่หลวงพ่อเมตตาเป็นพิเศษ ด้วยความซื่อสัตย์ จริงใจ ตรงไปตรงมา เป็นคุณสมบัติที่สะท้อนผลมาถึงทุกคนในครอบครัว ความเมตตาของหลวงพ่อแผ่กว้างออกมาสู่ครอบครัวของเราอย่างทั่วถึง ไม่มีใครเลยที่หลวงพ่อไม่รู้จัก หลวงพ่อได้กลายเป็นประดุจพ่ออีกคนหนึ่งของบ้านเรา


ต่อมาพี่สาวคนโตได้แต่งงานแยกครัวออกไป แต่ไม่มีปัญหาสำหรับพ่อในเรื่องวัด พ่อยังคงดำเนินศรัทธาของพ่อไปตามปกติ และเมื่อพี่สาวคนที่สามหันหน้าเข้าสู่วัดอย่างจริงจังอีกคนหนึ่ง พระพุทธศาสนาก็ไม่มีวันแยกออกจากครอบครัวของเราอีกต่อไป
อาจเป็นด้วยเหตุมีมาแต่เดิมคือทุกคนเคยถูกห้ามไม่ให้มีสัมพันธ์กับพระสงฆ์มาก่อน พระพุทธศาสนาจึงคลุมเครืออยู่บ้างสำหรับลูก ๆ บางคน แม้พี่สาวคนที่สามซึ่งเริ่มต้นเข้าสู่การปฏิบัติธรรมสมัยแรก ๆ ก็เปี่ยมด้วยวิจิกิจฉาอย่างช่วยไม่ได้
มีคำถามเกิดขึ้นว่า ธรรมะมีดีอย่างไรปฏิบัติแล้วจะได้อะไรบุญจากการถวายทานแะรักษาศีลภาวนาเกิดผลแบบไหน คนเรามีกรรมเป็นของ ๆ ตนจริงหรือ


และแม้แต่หลวงพ่อชาเองวิเศษจริงหรือ ???


ข้อสงสัยลามปามไปถึงผู้เป็นประธานสงฆ์แห่งสำนักหนองป่าพงที่พี่สาวคนที่สามเข้าไปปฏิบัติธรรมทุกวันพระ ข้อสงสัยนี้ทุก ๆ คนสามารถมีได้เป็นได้ขอเพียงให้สงสัยเท่านั้น
วันสิ้นสงสัยในหลวงพ่อชาได้มาถึง
หลวงพ่อตอบคำถามด้วยฤทธิ์


เรื่องมีอยู่ว่า หลวงพ่อจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ด้วยกิจนิมนต์ประการหนึ่ง ข่าวนี้มีมาถึงพี่สาวซึ่งนั่งเย็บผ้าเป็นกิจวัตรตรงหน้าบ้าน พี่สาวของผมเป็นห่วงว่า หลวงพ่อและพระที่จะเดินทางโดยรถด่วนเที่ยวเช้าตรู่จะมีอาหารหรือไม่ บางทีจะมีผู้ไม่เข้าใจทำถวาย แต่จะทำให้หลวงพ่อและพระสงฆ์ที่ติดตามรับอาหารไม่ได้ เพราะเหตุว่าท่านเคร่งในพระวินัย หากถวายผิดแล้วพระทั้งหมดต้องอดอาหารแน่ เธอจึงสั่งไว้กับทุกคนที่รู้จักว่าหากหลวงพ่อมีกำหนดจะเดินทางโดยรถขบวนไหน วันใดแน่ชัดแล้วให้บอกเธอล่วงหน้าด้วย เพื่อจะได้เตรียมอาหารสำหรับถวายท่านบนรถไฟ


เช้าตรู่ของวันหนึ่ง มีรถบรรทุกพระสงฆ์แล่นผ่านหน้าบ้านเราอย่างช้า ๆ หลวงพ่ออยู่ในนั้นด้วย
พี่สาวของผมตกใจ นั่นหลวงพ่อกำลังจะไปกรุงเทพฯ แล้ว แต่ไม่มีใครมาบอกเรื่องนี้ จะจัดเตรียมอาหารอย่างไรได้ทัน ดูไปที่นาฬิกาข้างฝาเหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรถจะออกจากสถานีวารินฯ เป็นอันหมดทางจะจัดทำและนำอาหารไปถวายหลวงพ่อและพระสงฆ์ได้


เสียงหวูดรถไฟกังวานมาให้ได้ยินถนัดเนื่องจากบ้านของเราอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเกินไ
ป ตามความเข้าใจของเธอรถไฟที่หลวงพ่ออาศัยเดินทางไปกรุงเทพฯได้ออกสถานีไปแล้ว


ครู่ต่อมา... ปรากฏมีแถวพระสงฆ์ของสำนักวัดหนองป่าพงจาริกออกบิณฑบาตย้อนกลับมาผ่านหน้าบ้านอีกครั้ง
เป็นหมู่พระสงฆ์ที่ไปส่งหลวงพ่อที่สถานีรถไฟ เมื่อส่งแล้วก็ถือโอกาสบิณฑบาตกลับ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเหมือนกัน
พี่สาวของผมได้แต่มองดูพระสงฆ์เดินแถวผ่านหน้าบ้านไปไม่สามารถจะใส่บาตรได้ทัน
พระสงฆ์พรรษามากอยู่หัวแถว เรียงลำดับลงมาหาพรรษาน้อยด้วยระบบอาวุโส ผ่านกลับไปทีละองค์จนกระทั่งถึงปลายแถวซึ่งเป็นสามเณรองค์น้อยแต่หมดสามเณรแล้วสิ่งไม่คาดหมายก็เกิดขึ้น


หลวงพ่อชาอุ้มบาตรเดินต่อจากสามเณรและมีพระสงฆ์เดินตามอีกสามรูป
หลวงพ่อไม่ได้ไปกรงเทพฯ หรอกรึ ?


เวลานั้นพี่สาวของผมยังคิดไม่ออกในสิ่งที่เธอได้เห็นและไม่ฉุกใจคิดว่าทำไมหลวงพ่อเดินต่อท้ายสามเณร


ต่อมาอีกราว ๆ ครึ่งชั่วโมงพี่เขยซึ่งเป็นนายสถานีรถไฟได้มาถึงภายหลังจากได้เวลาออกเวรแล้ว


“หลวงพ่อไปกรุงเทพ” พี่เขยรายงานกับน้องภรรยา
“ไปยังไง” พี่ของผมเถียง “หลวงพ่อเพิ่งบิณฑบาตผ่านไปเมื่อกี้นี้เอง ”


“หลวงพ่อไปกรุงเทพฯ จริง ๆ เฮียเพิ่งไปส่งมาเดี๋ยวนี้” พี่เขยว่า “มีพระตามไปด้วยสามองค์”


พี่สาวของผมได้แต่งง
ในที่สุดก็ขนลุกซู่ สิ้นสงสัยในหลวงพ่ออย่างทันที
สิ้นสงสัยตลอดกาล


ตั้งแต่นั้นมาเธอโหมปฏิบัติธรรมอย่างหนัก ถ้าหากเป็นผู้ชายเธอคงบวชไปแล้วอย่างแน่นอน บทบาทของพ่อของผมที่เคยขัดขวางลูกสาวกับพระพุทธศาสนา ตวัดกลับมาเป็นสนับสนุนการปฏิบัติของเธออย่างเท่าที่พ่อจะทำให้ได้
ตลอดระหว่างเข้าพรรษา ลูกคนที่สามของพ่อถือศีลอุโบสถ พ่อให้สิทธิพิเศษอย่างเงียบ ๆ ด้วยน้ำอัดลมทีละสองสามลังสำหรับเธอได้ดื่มเวลาบ่ายและค่ำ น้ำอัดลมสมัยนั้นเป็นเครื่องดื่มพิเศษที่ใคร ๆ นึกอยากจะดื่มก็ดื่มไม่ได้แม้แต่พ่อเอ็งจะดื่มก็ต่อเมื่อโอกาสพิเศษอย่างเช่นไปดูหนัง ลูก ๆ ก็จะได้กินของแปลกลิ้น ไปดูงิ้วลูก ๆ ก็จะได้กินดื่มอะไรก็ได้ตามปรารถนา แต่เวลาปกติจะถูกตี !


ผลจากการปฏิบัติและการสนับสนุนของพ่อ ทำให้พี่สาวคนที่สามเลือกจะอยู่เป็นโสดจนตลอดชีวิต แม้มีผู้ชายที่แสนดีมาสู่ขอพ่อไม่บังคับขืนใจ ออกจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับคนจีนที่จะยอมให้ลูกสาวไร้คู่ แต่กับพ่อไม่เป็นเรื่องอึดอัดขัดข้องอย่างไรเลย
นี่คือคนจีนนอกรีตที่เป็นพุทธศาสนิกชนเต็มตัว


ปัจจุบันพี่สาวคนนี้เป็นหญิงโสดอายุเกือบห้าสิบปีและอยู่ที่อเมริกาและยังรักษาศีลภาวนาอย่างที่เคยปฏิบัติมาโดยตลอด
ปลายปี 2511 พ่อป่วยหนักด้วยโรคถุงน้ำดีอักเสบ ถึงหามเข้าโรงพยาบาล หลวงพ่อชาทราบข่าวนี้ได้อย่างไรไม่ทราบและได้ส่งโยมวัดนำ “พระเกษ” มาให้พ่อถึงห้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล


พระเกษคือตะกั่วหุ้มเส้นเกษาและผงพุทธคุณ มีรูปร่างต่าง ๆ กันไป แล้วแต่มือผู้หุ้มบางอันคล้ายหัวลูกปืน บางอันคล้ายกรวยแหลม บางอันแท่งกลมหน้าตัด


วันรุ่งขึ้นหลวงพ่อก็เดินทางมาเยี่ยมพ่อด้วยตัวท่านเองสร้างความปีติให้แก่พ่อและลูก
ๆอย่างประมาณไม่ได้พ่อถึงกับมีอาการตาแดง ๆ ทำทีจะร้องไห้


“หายแล้วไปอยู่วัดอาตมานะ ไปถือศีลปฏิบัติธรรม เราแก่เฒ่าแล้ว ภาระการงานก็มอบหมายให้ลูกเต้าเสียเถอะ ลูก ๆ ก็โต ๆ กันจนพอจะทำแทนเถ้าแก่ได้หรอก เอาตัวเอาใจของเราให้สบายนะ”
ไม่กี่วันต่อมาพ่อก็หายป่วย หลวงพ่อชาซึ่งบางทีอาจจะมีกิจนิมนต์ในตัวเมืองพอดี ได้ไปเยี่ยมพ่อ และรับพ่อขึ้นรถกลับมาส่งถึงบ้านของเรา


“ไปอยู่วัดนะ” หลวงพ่อชากำชับ
แต่พ่อก็ไม่ไป พ่อห่วงใยในกิจการค้าจนทอดทิ้งธุระไม่ได้และเริ่มช่วยด้วยโรคเดิมอีกตอนต้นปี 2513 จนถึงปลายปีเดียวกัน พ่อต้องกลับเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง


หลวงพ่อก็มีเมตตามาเยี่ยมอีกครั้งหนึ่งและได้สนทนากันนานเป็นพิเศษ
ไม่กี่วันต่อมาพ่อได้กลับออกจากโรงพยาบาลเป็นครั้งที่สอง คราวนี้นอนซมอยู่กับที่นอนในบ้าน หมดสภาพที่เคยแข็งแกร่งอย่างสิ้นเชิง


ความได้เจ็บโหมร่างกายพ่อจนดูกระปลกกระเปลี้ยที่สุดเท่าที่จะเคยได้เห็น แต่จิตใจของพ่อดูเป็นตรงกันข้าม ไม่มีความวิตกกังวล ไม่มีความอ่อนแอ ไม่สะดุ้งกลัว แม้จะได้ฝันถึงแม่เมืองจีนนุ่งชุดดำมาหา อาจเพราะพ่อได้เรียนรู้เรื่องความตายมามากพอควรจากหลวงพ่อ ชา


อธุวํ ชีวิตํ - ชีวิตเป็นของไม่ยั่งยืน
ธุวํ มรณํ - ความตายเป็นของยั่งยืน
อวสฺ สํ มยา มริตพฺพํ - เราจะต้องตายแน่แท้
อปฺปมาทรตา โหถ - ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ยินดีในความไม่ประมาทเถิด


“เมื่อพ่อตาย” พ่อสั่งกับแม่และพี่สาว “ศพของพ่อหากว่าทางสมาคมจีนแคะจะรับธุระจัดพิธีให้ก็ปล่อยเขา แต่ไม่ต้องเอาไปฝัง ให้เผาเสียหมดเรื่องหมดราวไป เผาที่วัดหลวงพ่อนั่นแหละ”
ในที่สุดเช้าตรู่วันหนึ่งของกลางเดือนตุลาคม ปี 2513 พ่อถูกหามเข้าโรงพยาบาลอย่างฉุกเฉิน ตั้งแต่ผมไม่ตื่น เมื่อตื่นแล้วก็ได้เห็นรถบรรทุกนำศพพ่อกลับมาถึงบ้านพอดี


เป็นเช้าตรู่ที่แย่ที่สุดในชีวิตของผม
เป็นการตื่นรับอรุณที่ไม่สดชื่นเหมือนเคย
ศพพ่อจัดพิธีบำเพ็ญกุศลที่บ้าน คนจีนเพื่อนพ่อและญาติพี่น้องทางไกลฝ่ายจีนร่วมมือร่วมใจกันดูแลงานศพเป็นอย่างดี แต่ไม่มีกงเต็ก เพราะนั่นไม่ใช่ความประสงค์ของพ่อ พิธีศพจึงเป็นอย่างจีนครึ่งไทยครึ่งเหมือนสายเลือดลูกครึ่งจีนไทยโนตัวของพวกลูก ๆ
หลวงพ่อชาเมตตาต่อศพพ่อเหมือนครั้งพ่อยังมีชีวิตอยู่ ท่านนำพระสงฆ์มาสวดด้วยตัวท่านเองไม่น้อยกว่าสองคืน คืนอื่น ๆ ลูกศิษย์เก่าแก่ของหลวงพ่อจะนำพระสงฆ์มาแทน


หลวงพ่อได้บอกพวกเราเหมือนรู้ความปรารถนาของพ่อเป็นอย่างดี
“เสร็จงานแล้วให้เอาเถ้าแก่ไปวัดเรานะ”


ไม่เพียงเมตตาจากหลวงพ่อเท่านั้นที่มีให้ พระอาจารย์เที่ยง โชติธมฺโม ศิษย์รุ่นแรกของหลวงพ่อและเป็นเจ้าอาวาส วัดอรัญวาสี สาขาวัดหนองป่าพงที่ 1 ก็มีเมตตาแก่พ่อเช่นเดียวกัน


คืนที่พระอาจารย์เที่ยงได้มาที่บ้านงานศพในฐานะประธานสงฆ์นำสวด พระอาจารย์เที่ยงลงจากรถโดยไม่ทันขึ้นสู่อาสนะที่จัดเตรียมไว้ ท่านเดินตรงมาที่โลงศพพ่อ สั่งให้ลูกชายพ่อเปิดฝาโลงขึ้น ล้วงฝามือลงไปลูบใบหน้าพ่ออย่างแผ่วเบา ท่านพึมพำอะไรไม่ทราบในลำคอด้วยสำเนียงปรานีผมยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็ฟังไม่ถนัด แต่สัมผัสอย่างนั้นหากพ่อยังมีชีวิตอยู่จะรู้ว่ามันเป็นสัมผัสแห่งรักและเมตตาของผู้
ทรงศีลอย่าง
แท้จริง


ทำให้ผมได้เห็นและเชื่อมั่นอย่างจริงจังว่า ครูบาอาจารย์ทั้งหลายเมตตาพ่ออย่างเท่าที่จะมีให้ได้ และมันทำให้ผมน้ำตาคลอ
วันสุดท้ายของงานศพรถบรรทุกศพของพ่อไม่ได้เลี้ยวซ้ายไปสุสานคนจีน แต่เลี้ยวขวาไปสู่วัดหนองป่าพง คนจีนหลายคนดูจะมีอาการงุนงง แม้แต่ลุงซึ่งเดินทางมาร่วมงานศพจากกรุงเทพฯยังพูดอะไรไม่ออก
เป็นขบวนศพอย่างศพคนจีนแต่มุ่งเข้าวัดป่าแบบไทย


สมัยนั้นสำหรับอำเภอเล็ก ๆของจังหวัดอุบลฯ งานศพคนจีนที่ลงเอยด้วยการเผาจะต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก จีนคนยากเท่านั้นที่จะจะต้องเดินทางสู่เชิงตะกอน


หลายคนแสดงความประหลาดใจที่พ่อจะถูกเผา บางคนบอกว่าวิญญาณพ่อจะไม่ได้ไปสวรรค์ ลูกหลานบ้านนี้ทำอุตริ
อย่างไรก็ตามศพพ่อก็ได้เดินทางไปถึงวัดเวลาบ่ายแก่ ๆ หลวงพ่อนั่งเป็นประธานรับศพอยู่ในศาลาใหญ่ ท่านมีบัญชาให้ทุกคน ทั้งที่เป็นชาวบ้านปฏิบัติธรรม และคนที่มาพร้อมกับศพพ่อ ให้ไปเก็บไม้ฟืนมาคนละท่อนและนำไปวางไว้ในที่ซึ่งท่านกำหนดตรงชายป่าช้าท้ายวัด


ได้ไม้อย่างเหลือเฟือสำหรับทำเชิงตะกอนอย่างง่าย ๆ ตามธรรมชาติ ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะว่าวัดหนองป่าพงยังไม่มีเมรุเผาศพอย่างถาวร เมรุที่ทำขึ้นนี้จึงเผาได้เพียงครั้งเดียวศพเดียวเท่านั้น
ตะวันลับฟ้าจนมืดไปทั้งแผ่นฟ้า
ไฟถูกจุดขึ้น


หลวงพ่อนั่งดูอยู่อย่างใกล้ชิด พร้อมด้วยพระสงฆ์อีกหมู่หนึ่ง ผมนั่งคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ หลวงพ่อ ซึ่งผมไม่อาจอ่านความรู้สึกจากสายตาของหลวงพ่อที่มองมาสู่เด็กอย่างผมได้ถนัด แต่ความอบอุ่นที่แผ่ออกมานั้นผมสัมผัสได้อย่างถนัดถนี่ที่สุด
ไฟลามเลียศพทีละน้อย โลงไม้หายไป ร่างกายพ่อชัดเจนขึ้นทุกขณะ ถึงเวลาที่หลวงพ่อจะได้โบกมือไล่ทุกคนให้กลับบ้าน บางทีภาพต่อจากนี้ไปอาจไม่เหมาะสมสำหรับผู้เป็นภรรยาและลูกของพ่อจะได้เห็น


หลวงพ่อสั่งให้ทุกคนกลับมาที่นี่ใหม่ตอนรุ่งเช้าเพื่อเก็บกระดูก และทุกคนได้กลับออกมาจากที่นั่นโดยที่หลวงพ่อไม่ได้ลุกไปจากที่นั่งข้างกองไฟนั้น ผมเห็นว่าท่านนั่งมองไปที่กองไฟอย่างสงบแม้อยู่ในระยะไกลสุดตา
กระดูกพ่อถูกเก็บในตอนเช้า หลวงพ่อไม่อนุญาตให้ใครนำกระดูกแม้แต่ชิ้นเดียวกลับบ้านให้เอาไว้ที่วัดทั้งหมด
ทุกวันนี้กระดูกพ่อยังอยู่ที่นั่น คิดถึงพ่อเมื่อไหร่ ไปกราบได้เมื่อนั้น


คงต้องบอกว่าพ่อคือคนจีนคนแรกที่ถูกเผาในวัดหนองป่าพง
ในวัดของพระสงฆ์องค์แรกและองค์เดียวที่พ่อเคารพรักอย่างแท้จริง
นี่คือที่จบของพ่อผู้เคยเกลียดชังพระสงฆ์เข้ากระดูกดำ
http://xchange.teenee.com/index.php?showtopic=62157

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

308
พี่แป็ปครับ เป็นเทวดารึเปล่าเนี่ยใจดี จังครับ ขอบคุณสำหรับกิจกรรมดีๆนะครับ ขอให้ได้เมีย สวยๆนะ  :005:

309
กราบนมัสการพระอาจารย์ครับ สำหรับสิ่งดีๆ บทความดีๆ และกวีดีๆครับ  :054:

310
ฮาดีครับ อิอิ เอามาอีกนะครับพี่แป็ป

311
ฮือฮือฮือฮือ แม่ครับผมรักแม่ครับ  :070:

312
สวยครับ ขอบคุณครับที่นำมาให้ชม

313
สวยมากครับ เข้มขลังสุดๆครับ

314
 :074: ขอบคุณครับพี่ แป็ป สำหรับการนำเสนอครับ

315
รูปแบบเหมือนนะครับ เหมือนอยู่นะ

316
ขอบคุณครับสำหรับบทความดีๆ

317
โอ้ อยากไปเดินจังเลยครับจะเอาเงินไปให้มากๆแล้วจะกวาดซื้อให้หมดเลย  :006:

318
ขอบคุณครับพี่แป็ป สวยมากครับ

319
ตะกรุดขอท่านรู้สึกจะเปลี่ยนรูปแบบแล้วนะครับคือการถักแบบเดิมจะถักแบบเต็มดอก ส่วนที่เปลี่ยนจากแบบเดิมก็คือการถักจะถักแบบเหลือแค่หัวท้ายของตัวตะกรุด ณ ปัจจุบันท่านไม่ได้ทำแล้วครับแต่ท่านให้ลูกศิษย์เป็นคนทำแล้วท่านก็เป็นผู้ปลุกเสกตลอดไตรมาสคือช่วงเข้า-ออก พรรษาคับ ถึงท่านจะไม่ได้ทำเองแต่พุทธคุณยังสุดยอดเหมือนเดิมครับ ส่วนเวลา 2 เวลาครับ เช้าไม่แน่นใจเพราะญาติโยมชอบนิมนต์ท่านเยอะมาก หลังเที่ยง-บ่าย 3 โมงน่าจะได้ ส่วน 4 โมงเย็นท่านจำวัตรครับ ส่วนตะกรุดขอให้รับกับมือหลวงพ่อท่านจะดีกว่าเพราะท่านจะกำกับคาถาให้แก่ผู้ที่ไปเช่าและรับกับมือท่านบนกุฏิ เรื่องลงครูผมไม่แน่ใจสมัยก่อนท่านลงให้ทุกคน แต่ตอนนี้อายุท่านมากแล้วให้ส่งตัวแทนมา1คนเป็นผู้รับการลงครูแทน ท่านเป็นคนพูดตรงๆครับไม่อวดสรรพคุณถ้ากล้าท่านก็กล้าให้เมตตาและใจดีครับ(เห็นมากับตาแล้วคับพี่น้อง)

   หากข้อมูลผิดเพี้ยนขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
ผมไปหาจากกระทู้เก่าๆเลตเจอครับ เห็นเขาบอกว่าเหลือส่วนหัวอะครับ

321

1. ธรรมะปฏิสันถาร


เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2522 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีราถ
เสด็จเยี่ยมหลวงปู่เป็นการส่วนพระองค์ เมื่อทั้งสองพระองค์ ทรงถึงสุขภาพอนามัยและการอยู่สำราญแห่งอริยะบท
ของหลวงปู่ ตลอดจนทรงสนทนาธรรมกับหลวงปู่แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปุจฉาว่า
'' หลวงปู่ การละกิเลสนั้น ควรละอะไรก่อน " ฯ
            หลวงปู่ถวายวิสัชนาว่า

กิเลสนั้นทั้งหมดเกิดรวมอยู่ที่จิต ให้เพ่งดูที่จิต อันไหนเกิดก่อน ให้ละอันนั้นก่อน.


2. หลวงปู่ไม้ฝืนสังขาร

ทุกครั้งที่ล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์เสด็จเยี่ยมหลวงปู่หลัง จากเสด็จพระราชกรณียกิจในการเยี่ยมแล้วเมื่อจะเสด็จกลับ
ทรงมีพระดำรัสคำสุดท้ายว่า " ขออาราธนาหลวงปู่ได้ดำรงขันธ์อยู่เกินร้อยปี เพื่อเป็นที่เคารพของปวงชนทั่วไป หลวงปู่
รับได้ไหม " ฯ
     ทั้ง ๆ ที่พระราชดำรัสนี้เป็นสัมมาวจีกรรม ทรงประทานพร แก่หลวงปู่โดยพระอัธยาศัย หลวงปู่ไม่กล้ารับ และไม่อาจ
ฝืนสังขาร ถึงถวายพระพรว่า
      อาตมาภาพรับไม่ได้หรอก แล้วแต่สังขารจะเป็นไปของเขาเอง
                                                                                                 
            นายธรรมะ
ขอขอบคุณสิ่งดีๆจากหนังสือ หลวงปู่ฝากไว้

322
ขอบคุณครับท่าน เสือพุทธคุณ สวยมากครับ

323
ขอบคุณครับที่เล่าสู่กันฟังครับ

324

คนเรารู้จักแต่ผูกแต่ไม่รู้จักแก้

พระพุทธเจ้าผู้เลิศ ด้วยพระปัญญาพิจารณาเห็นแจ้งชัดด้วยความจริงว่า โลกทั้งโลกเป็นเครื่องห่อหุ้มด้วยอวิชชา โมหะ มีภูมิทั้งสามเป็นเสมือนเรือนจำเป็นเครื่องอยู่ มีตัณหา อุปทานเป็นเครื่องสัญจรไปมา มีกามารมณ์ รูปารมณ์และอรูปารมณ์เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง

พระองค์ทรงรู้อย่างนี้แล้ว จึงทรงเบื่อหน่ายคลายความใคร่ความยินดีในภูมิทั้งสามนั้นด้วยวิปัสนาญาณ เห็นภูมิทั้งสามนั้นเป็นเรื่องส่งนอกด้วยจิตของพระองค์เอง (ส่งนอกในที่นี้หมายถึงส่งนอกด้วยกามารมณ์ รูปารมณ์ และอรูปารมณ์) มีแต่ไหลไปในอนาคตไม่เข้าถึงปัจจุบันสักที

พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งชัดอย่างนี้แล้ว จึงทรงสละปล่อยวางจิตที่เป็นอดีตและอนาคตที่ปรุงแต่งภพทั้งสามเข้ามาอยู่ เป็นกลางๆ คือตัวใจ และรู้อยู่ว่าเป็นกลางๆ ภพชาติก็หมดไป

การประพฤติกิจในพระพุทธศาสนานี้ทั้งหมด
มีการรักษาศีล ฝึกหัดทำสมาธิและวิปัสสนา เป็นต้น

ก็คือ ต้องการค้นคว้าหาเหตุและผล สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ ดีและชั่ว สิ่งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมในสิ่งนั้นๆ ให้เห็นรู้เห็นตามเป็นจริงของสิ่งนั้นๆ เท่านั้น แต่สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดมันก็ไม่เป็นจริงสักที เพราะเราพิจารณาส่งออกไปข้างนอก เห็นของไม่จริงจังแปรปรวนอยู่ร่ำไป

การค้นคว้าส่งออกไปภายนอกพิจารณาของไม่เที่ยงแปรปรวนนี้แล จึงต้องเป็นทุกข์ไม่รู้จักจบจักสิ้นสักที การพิจารณาของภายนอกนอกจากตัวของเราจึงไม่ใช่ตัวของเราและไม่เห็นตัวของเรา จึงรักษาตัวของเราให้อยู่ในอำนาจไม่ได้

ปราชญ์ผู้ฉลาดจึงปล่อยวางทิ้งสิ่งที่มิใช่ของตัวไม่มีแก่นสาร วางสิ่งที่เป็นอดีตและอนาคตเสีย แล้วเข้าอยู่ตรงกลาง วางเฉย แล้วรู้ตัวอยู่ว่าเราวางเฉย เมื่อใจเข้ามาอยู่ตรงกลาง วางเฉยและรู้ตัวว่าวางเฉยแล้ว มันจะมีอะไรเหลือหลอ ภารกิจในพระพุทธศาสนาที่กระทำมาแต่ต้นก็เห็นจะสิ้นสุดลงเท่านี้

ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10373
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บบอร์ดพลังจิตครับ

325
ถาม : คนที่เจอผีหรือโดนผีอำ แสดงว่าศีลไม่บริสุทธิ์ใช่หรือไม่ เพราะมีคนเคยบอกว่าถ้ามีศีลบริสุทธิ์แล้ว อมนุษย์จะเข้าใกล้ไม่ได้ในระยะ ๑ วา ?

ตอบ : ฮะฮ่า ใครบอกวะ อาตมาโดนมันนั่งทับอกบีบคอแทบตาย ถ้าหากว่าเราเจริญภาวนาสมาธิทรงตัวเขาจะเข้าไม่ได้ในรัศมีวาหนึ่ง ไม่ใช่ศีลบริสุทธิ์ อาตมาเป็นพระสงฆ์ศีลมากกว่าโยมตั้งเยอะ มันนั่งทับอกบีบคอแทบขาดใจเลย เอาปัญหานี้ทวนอีกทีหนึ่ง ซ้ำอีกทีปัญหานี้

ถาม : คนที่เจอผีหรือโดนผีอำแสดงว่าศีลไม่บริสุทธิ์ ?

ตอบ : เออ เอาแค่นี้ คนที่เจอผีส่วนใหญ่แล้วเพราะผีเขาลำบากเขาต้องการความช่วยเหลือ บุคคลที่เจอมี ๒ ประเภท



ประเภทแรก คือ บุคคลที่เคยมีกรรมอันเนื่องกันมา เขาสามารถไปขอความสงเคราะห์ได้ อย่างเช่นว่าเปรตพระญาติของพระเจ้าพิมพิสารอย่างนี้ ให้คนอื่นสงเคราะห์ กระทั่งพระพุทธเจ้าก็สงเคราะห์ไม่ได้ ต้องเป็นญาติของเขาเองโดยตรง เพราะสร้างบุญสร้างบาปร่วมกันมา

อีกประเภทหนึ่ง ก็คือว่า เป็นบุคคลที่สร้างบุญใหญ่เอาไว้ แล้วบรรดาผีนั้นท่านฉลาด ท่านรู้ว่าใครบุญมากบุญน้อยยังไง ท่านก็ไปปรากฏตัวเพื่ออยากให้ช่วยเหลือ

อาตมาเคยเจอ มันมีบ้านอยู่หลังหนึ่งที่ เกริงกระเวีย ผีมันหลอกจนเจ้าของบ้านอยู่ไม่ได้ พอรู้ว่าพระไปอยู่นี่ มันพาลูกน้องมาเป็นสิบเกาะเอวกันมาตอนเที่ยงๆ ขณะเที่ยงๆ นะ เพราะว่าตอนเขาสร้างบ้านขุดกระดูกได้ ๒ โอ่งใหญ่ๆ แค่เขาฝังเสาขุดกระดูกได้ ๒ โอ่งใหญ่ๆ มันหลอกจนไม่มีใครอยู่ได้

ปกติบ้านทิ้งร้างนี่ ไม่ต้องห่วงหรอกพวกแงะไม้ขายหมดแหละ แต่ไอ้หลังนั้นไม่มีใครกล้าแตะสักชิ้น พอไปอยู่เขาก็มา ถามเขาว่า ทำไมไปหลอกคนดุเดือดขนาดนั้นเล่า เขาบอกว่า ผมไม่ได้หลอกนะครับ ผมอยากจะมาบอกว่า ผมต้องการความช่วยเหลือยังไง แต่เขาวิ่งหนีผมทุกที

บรรดาผีน่ะเขาเป็นผู้ที่มีบุญน้อยศักดานุภาพน้อยมันเหมือนกับคนจน มันแต่งตัวมาสวยสุดขีดแล้ว ไอ้ที่เราเห็นแล้ววิ่งน่ะ สงสารมันบ้างเถอะ คราวหน้าเจออย่าไปกลัว เขามาขอความช่วยเหลือ ท่านที่เจอแสดงว่าบุญมากพอไม่ใช่ดวงตกหรือศีลขาดอะไรทั้งนั้น ถ้าเจอให้ตั้งใจเลยว่าผลบุญที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ขออุทิศให้กับเธอ ถ้าเขายืนอยู่ตรงหน้าเห็นรูปก็คือเจ้าของรูปนั้น ถ้ามาแต่เสียงบอกว่าอุทิศให้เจ้าของเสียงนั้น ถ้ามาแต่กลิ่นอุทิศให้เจ้าของกลิ่นนั้น ขอให้เขาโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าใดขอให้เขาได้รับด้วย

แค่นั้นแหละเขาจะไม่กวนอีก เขาโมทนาแล้วจะไปเลย แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามันไม่รู้ พอถึงเวลามาก็คลุมโปง กลัวจัดๆ ขึ้นมาด่ามันส่งไปอีก แทนที่จะได้อานิสงส์ก็เลยกลายเป็นโดนด่าฟรี นั่งร้องไห้ไม่รู้เท่าไหร่แล้วผี

ถาม : ทำไมต้องมาเละๆ ด้วยครับ ?

ตอบ : ก็มันสวยสุดของเขาแล้ว อย่าลืมว่าขอทานมันแต่งตัวสวยสุดเรายังรู้ว่าขอทาน แล้วทำไมมันไม่ใส่สูทมา

ถาม : มีดีสุดแค่นั้นครับ ?

ตอบ : เออ ก็เหมือนกันนั่นแหละ



สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

326
ขอบคุณท่านชาญมากนะครับ ที่แจ้งข่าว

327
ขอให้แผลหายเร็วๆนะ เป็นกำลังใจครับ แผลหายแล้วค่อยไปสักก็ได้ครับ

328
กราบนมัสการพระอาจารย์ครับ สำหรับบทความและบทกวี ดีๆนะครับ

329
ไอ้ที่ยื้นออกมามีโค๊ดนั้น ท่าน แกะออกมา หรือมันยื้นออกมาอยู่แล้วครับ

ส่วนตัวไม่เคยเห็น แบบไส้ยื้นออกมานะครับ

เป็นอย่างงี้ตั้งแต่เช่ามาครับ ผมเคยเห็นรูปในอินเตอร์หลายดอกก็เป็นเหมือนของผมนะมีไส้ยื่นออกมานะ

แล้วเช่าทางไหนหละ  วัด หรือเช่าตามเว็บ  ถ้าเช่าที่วัดสบายใจได้เลยครับ

ทางเว็บอ่ะ ระวังหน่อย ตะกรุดหลวงพ่อจำลองจะมีโค๊ด เลข 9  (ผิดถูกขออภัย ลุงที่เลี่ยมหน้าวัดบอกผมมาอีกที)

ใส้ยื่นก็เคยเห็นตรงศาลาบูชาวัตถุมงคลวัดเจดีย์แดงเหมือนกันเห็นวางโชวไว้  :001: :001:





อ๋อเช่ามาจาก ร้านขายพระครับ

330
ไอ้ที่ยื้นออกมามีโค๊ดนั้น ท่าน แกะออกมา หรือมันยื้นออกมาอยู่แล้วครับ

ส่วนตัวไม่เคยเห็น แบบไส้ยื้นออกมานะครับ

เป็นอย่างงี้ตั้งแต่เช่ามาครับ ผมเคยเห็นรูปในอินเตอร์หลายดอกก็เป็นเหมือนของผมนะมีไส้ยื่นออกมานะ

331
ขอคุณอีกครั้งสำหรับบทความครับ

332
พระคาถาประสบความสำเร็จทุกประการ
หลวงพ่อสมคิด ปโยคจิตโต วัดเขาวงศ์ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี



ตั้งนะโม 3 จบ
โอม อุอะมะ นะโมพุทธายะ
ยะชะสุมัง โสธายะ นะมะพะทะ



ภาวนา เช้า 9 จบ
เย็น 9 จบ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

333
~~ในสมัยพุทธกาล~~

นางสิริมา เป็นสตรีชาวเมืองราชคฤห์ และเป็นน้องสาวของหมอชีวกโกมาร-ภัจจ์ผู้เป็นแพทย์หลวงประจำพระองค์พระพุทธเจ้า นางสิริมา มีรูปร่างสวยงามจนเป็นรู้จักกันไปทั่ว โดยนางสิริมา ได้ประกอบอาชีพเป็นโสเภณีผู้มีค่าตัวรับจ้างเป็นภรรยาชั่วคราว ในคราวละ 1000 เหรียญ

อยู่มาวันหนึ่ง นางได้ถูกว่าจ้างไปปรนนิบัติสามีของนางอุตตราผู้เคร่งครัดในศาสนาพุทธ โดยนางอุตตราได้ขออนุญาตสามีซึ่งนับถือศาสนาอื่น ไปถือศีลทำบุญเลี้ยงพระถวายพระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์เป็นเวลา 15 วัน เมื่อนางไม่มีเวลาที่จะอยู่ปรนิบัติสามี บิดาของนางอุตตราจึงได้จ้างนางสิริมาให้มาเป็นภริยาชั่วคราวในอัตราค่าจ้าง 15000 เหรียญ

ในระหว่างที่นางสิริมารับจ้างเป็นภรรยาชั่วคราวอยู่นั้น นางสิริมาเกิดนึกลืมตัวว่าตนเองเป็นภรรยาจริงๆของสามีนางอุตตรา ครั้นเมื่อนางอุตตราถือศีลได้ครบ 15 วันแล้ว จึงกลับมาควบคุมบ่าวไพร่ให้ช่วยกันทำอาหารเพื่อถวายทานตามปกติ ขณะนั้นเอง ผู้เป็นสามีได้เดินเข้ามาใกล้นางอุตตรา พร้อมทั้งยิ้มให้นางด้วยความเอ็นดู นางสิริมาเห็นเข้า จึงเกิดความหึงหวง มิได้เจียมตนว่าเป็นเพียงนางบำเรอ จึงได้ตรงเข้าตักเนยใสที่กำลังเดือดพล่านสาดใส่นางอุตตรา บ่าวไพร่ของนางอุตตราเห็นดังนั้นจึงตรงเข้ารุมทำร้ายนางสิริมา

อย่างไรก็ดี นางอุตตราไม่ถือโทษ และทำแผลให้นางสิริมาจนหายดี ด้วยความดีของนางอุตตรา นางสิริมาได้สำนึกผิดและกล่าวขอโทษต่อนางอุตตรา นางอุตตราได้ยินเช่นนั้น จึงเกิดความคิดให้นางสิริมาได้พบกับพระพุทธเจ้า เมื่อได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านได้ตรัสเทศนาเรื่องของความดีว่า

"พึงชำนะคนโกรธ ด้วยความไม่โกรธ
พึงชำนะคนไม่ดี ด้วยความดี
พึงชำนะคนตระหนี่ ด้วยความให้ปัน
พึงชำนะคนพูดพล่อยๆ ด้วยคำจริง "


เมื่อนางสิริมาได้ฟังดังนั้น จึงเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และทูลขอขมาพระบรมศาสดาในสิ่งที่จนได้กระทำไป จากนั้นจิตใจของนางก็เป็นจิตกุศลสงบเยือกเย็น และได้บรรลุโสดาปัตติผลในที่สุด นับแต่นั้นมา นางสิริมาก็ทำบุญถวายภัตตาหาร แด่พระพระสงฆ์วันละ 8 รูปที่เรือนของตนเป็นประจำมิได้ขาด

อยู่มาวันหนึ่ง พระภิกษุรูปหนึ่งได้ฉันภัตตาหารที่เรือนของนางสิริมาแล้ว เมื่อได้กลับไปยังวิหารที่พัก จึงได้เล่าให้พระภิกษุรูปอื่นๆฟังในความงดงามแห่งรูปโฉมของนางสิริมา

ยังมีพระภิกษุรูปหนึ่งได้ฟังความตามนั้น จึงประสงค์จะได้เห็นนางสิริมา ครั้นรุ่งเช้าจึงได้รีบครองจีวร และถือบาตรเดินไปยังเรือนของนาง เมื่อไปถึง นางสิริมาเป็นไข้ ไม่สามารถถวายอาหารได้ด้วยตนเอง จึงได้สั่งพวกคนรับใช้ทำข้าวยาคู และอาหารอันโอชารสอื่นๆถวายแทนนาง เมื่อพระภิกษุได้ฉันอาหารเสร็จแล้ว บ่าวไพร่ก็พยุงนางสิริมาที่กำลังจับไข้ออกมาไหว้พระเพื่อขอรับพร พระภิกษุรูปที่มารับบาตรแต่เช้า เมื่อได้เห็นนางก็รำพึงว่า "นางผู้กำลังเป็นไข้นี้ สวยงามนัก หากเวลาที่สบายดี และตกแต่งด้วยอาภรณ์ทุกอย่างจะสวยงามสักเพียงไหน"

เมื่อภิกษุรูปนั้นได้กลับไปยังวิหารแล้ว กิเลสในใจที่สั่งสมไว้ทำให้ ไม่สามารถฉันอาหารได้ มีความทุกข์ใจเป็นอย่างมาก เอาแต่นอนซมไม่ยอมทำกิจอันใด เฝ้าคิดถึงแต่จะได้กลับไปยลโฉมนางสิริมาอีกครั้ง

ในเย็นวันนั้นเอง นางสิริมาได้ถึงแก่กรรม เมื่อพระพุทธเจ้าทราบเรื่องจึงแจ้งข่าวไปยังพระราชาแห่งกรุงราชคฤห์ ให้นำศพนางสิริมาวางนอนไว้เป็นเวลา 8 วัน เมื่อนั้น ศพนางก็ขึ้นอืดเน่าเฟะ มีหนอนไต่ออกจากปาก ดูเป็นที่น่าสมเพชยิ่งนัก ลำดับนั้น พระองค์จึงได้บอกกล่าวแก่พระภิกษุทั้งหลายว่า พระองค์จะเสด็จไปทอดพระเนตรนางสิริมา พระภิกษุที่หลงใหลนางเมื่อทราบข่าวดังนั้น ก็ดีใจ และขอติดตามไปด้วย

เมื่อไปถึง พระพุทธเจ้าได้ประทับอยู่ข้างศพของนางสิริมา และประกาศว่า "ผู้ใดต้องการรับเอานางสิริมาไปอยู่ด้วย ให้บริจากทรัพย์พันหนึ่ง" ประกาศเท่าใดก็ไม่มีผู้ได้สนใจ แม้จะลดราคาลงเหลือ 1 กะหาปนะ หรือ แม้ให้เปล่าๆก็ไม่มีใครอยากได้ไป พระภิกษุที่เคยชื่มชมความงามของนางก็เกิดความสังเวชใจ กิเลสที่คุกรุ่นอยู่จนจิตเศร้างหมอง ก็สะอาดขึ้น จนมองเห็นถึงความไม่เที่ยงแท้ของรูปภายนอก

เมื่อนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนว่า
"เธอทั้งหลายจงดูอัตภาพนี้ ที่ไม่มีความยั่งยืน หรือความมั่นคงเลย มีแต่ความแตกสลายไปเป็นธรรมดา"

คติเตือนใจ: คุณค่าที่แท้จริงของการเป็นมนุษย์อยู่ที่ความดี หรือคุณธรรมภายในใจ ส่วนรูปกายภายนอกเป็นสิ่งปรุงแต่ง ที่เปลี่ยนแปลงไปและเสื่อมสลายไปในที่สุด

เราจึงต้องหัด แต่งใจ ให้มากกว่าแต่งรูปกาย
เราจึงต้องสนใจ ผู้ที่มีใจงาม มากกว่าผู้ที่มีเพียงรูปงาม
ความดี จึงเป็นความงามที่ยั่งยืนโดยแท้

จากหนังสือประวัติอุบาสิกา

ขอขอบคุณที่มากจาก เว็บบอร์ดพลังจิต

334
บทความ บทกวี / ตอบ: @@พระคุณ...พ่อ@@
« เมื่อ: 17 ก.ย. 2553, 09:22:20 »
ขอบคุณครับสำหรับสิ่งดีๆ

335
ขอแยกแยะ ‘บุญที่ทำให้รวย’ เป็นข้อๆ ดังนี้ (ดังตฤณ)


ส่วนกรรมหลักๆ ที่ทำให้ ‘ร่ำรวยมาก’ ได้แก่


๑) ความมีนิสัยใจคอเผื่อแผ่ คือเอาแต่คิดให้ ผูกใจอยู่กับการให้ เคยชินกับการเป็นผู้ให้ ขนาดไม่มีให้ก็ขวนขวายกระวนกระวายอยากหามาช่วยเหลือคนกำลังตกทุกข์ได้ยาก ตลอดชีวิตมีแต่ใจอยากเจือจาน กลัวแต่ว่าคนอื่นจะมีไม่พอ กระทั่งลืมๆว่าตัวเองจะมีพอไหม ผลแห่งการใจดีเกินธรรมดา คือการเป็นผู้มีทรัพย์มากเกินกว่าชาวโลกทั่วไปเขา

๒) การละอายต่อบาปอย่างยิ่งยวด คือขนาดยอมอดตายดีกว่าคิดคดโกง ผู้ไม่คิดเพ่งเล็งเอาทรัพย์ผู้อื่นโดยมิชอบ ย่อมรับผลเป็นความสวัสดีแห่งทรัพย์ แม้ความตระหนี่ในอดีตอาจก่อให้เกิดทรัพย์เพียงน้อย ทว่าทรัพย์นั้นก็จะอยู่ทน ไม่วิบัติไปด้วยภัยธรรมชาติหรือภัยจากมือโจร

นอกจากนี้ ยังมีกรรมปลีกย่อยที่ทำให้ร่ำรวยได้อีกมากมายนับไม่ถ้วน ยกตัวอย่างพอให้เห็นภาพชัดๆ เช่น ชี้ช่องคนอื่นรู้จักทำมาหากิน ช่วยให้เขาเป็นผู้ฉลาดในธุรกิจ กับทั้งมีใจใหญ่คิดเผื่อแผ่กลยุทธ์ให้กับคนทั้งประเทศ หรือทั้งโลก หากการเผื่อแผ่ของเขาเป็นไปโดยบริสุทธิ์และปรารถนาให้คนทั้งแผ่นดินอยู่ดีกินดี มีชีวิตที่เป็นสุขขึ้น บุญที่ทำนี้ก็มีสิทธิ์นำให้ไปเกิดในถิ่นฐานอุดมสมบูรณ์ หรืออย่างน้อยแม้เกิดในถิ่นฐานแห้งแล้งด้วยบาปบางประการ เขาก็จะมีกินมีใช้เหนือกว่าคนที่อยู่แวดล้อมทั้งหมดตั้งแต่เกิด กับทั้งฉลาดในการหา ฉลาดในการเก็บ และฉลาดในการใช้เป็นอย่างยิ่ง

เมื่อแยกให้เห็นเป็นเรื่องๆเช่นนี้ คุณคงพอมองออกว่าในชีวิตเดียว คนเราอาจสร้างทั้งเหตุที่ทำให้ยากจน และเหตุที่ทำให้ร่ำรวยได้ ไม่ใช่ว่าทำทานมากแล้วเป็นประกันว่าเกิดใหม่จะได้สบายตั้งแต่ต้น ต้องดูด้วยว่าทุ่มเททำแค่ไหน ตลอดไปหรือเปล่า และเคยก่อบาปไว้ถ่วงความเจริญเพียงใดด้วย

เพื่อให้เห็นชัดเจน ขอแยกแยะ ‘บุญที่ทำให้รวย’ เป็นข้อๆดังนี้

บุญเก่าที่ส่งไปเข้าท้องคนรวย

๑) เคยงดเว้นบาปชนิดที่ให้ผลเป็นความอัตคัดขณะเกิด เช่นชาติใกล้ไม่เผาบ้านไล่ที่ใคร ทั้งที่มีสิทธิ์ทำด้วยอำนาจบาตรใหญ่

๒) เคยผูกพันกับพ่อแม่ที่กำลังอยู่ในฐานะร่ำรวย เช่นชาติใกล้ให้การอุปถัมภ์และมีความเอ็นดูกันมา แต่ก็อาจเคยเป็นศัตรูกันมาก็ได้ โดยเฉพาะถ้าเคยสาปแช่งอาฆาตว่าจะจองเวรกันอย่างเหนียวแน่น พอมาเกิดเป็นลูก ก็เป็นลูกทรพี เหี้ยมเกรียมขนาดจ้างฆ่าพ่อแม่เพื่อแย่งสมบัติได้

๓) มีบุญพอจะเสวยสุขล้นหลามตั้งแต่แรกเกิด เช่นเป็นผู้ให้ก่อนโดยผู้รับไม่จำเป็นต้องเคยมีบุญคุณกับตน เป็นผู้คิดอุปถัมภ์สมณะซึ่งไม่อยู่ในฐานะเลี้ยงดูตนเองได้ ผลที่ได้ตอบแทนจากธรรมชาติ จึงเป็นการมีผู้เลี้ยงดูอย่างดี เมื่ออยู่ในฐานะที่ไม่อาจเลี้ยงดูตนเองได้เช่นกัน

บุญเก่าที่ทำให้ได้รับมรดกมาก

๑) เคยเป็นผู้ยกผลประโยชน์ใหญ่ของตนให้คนอื่นด้วยน้ำใจการุณย์ ไม่ใช่เพราะถูกบีบบังคับ

๒) เคยเป็นผู้เคยมอบสมบัติให้แก่ผู้สมควรได้รับ หรือมอบวัตถุอย่างใหญ่ มอบที่ดินให้เป็นประโยชน์แด่สงฆ์ ขอให้คำนึงว่าสงฆ์เป็นนาบุญอันยิ่ง เมื่อมอบให้สงฆ์จึงสมควรแก่การรับมรดกใหญ่ในอนาคตเช่นกัน

บุญเก่าที่ทำให้ได้ลาภก้อนใหญ่

๑) เคยเป็นผู้ให้ลาภลอยแก่คนอื่น โดยที่เขาไม่คาดฝัน หรือโดยที่ตนเองก็ไม่ได้คาดหมายไว้ก่อน เมื่อพบเห็นใครน่าช่วยเหลือก็ช่วยเลยทันที เมื่อทำให้คนอื่นได้รับลาภ ก็ย่อมสมควรแก่การเป็นผู้รับลาภในอนาคต ลาภที่ให้ผู้อื่นไม่จำเป็นต้องมากมาย แต่อย่างน้อยต้องทำให้เขายินดีปรีดา หรือทำให้เขารอดจากภาวะยากลำบากแบบฉับพลันทันที (ลาภที่ได้รับอาจมาจากหลายทางโดยไม่คาดฝัน อย่าแค่ไปคิดถึงการถูกล็อตเตอรี่อย่างเดียวนะครับ ประเภทอยู่ดีๆมีเงินโอนเข้าบัญชีหลายแสนแบบสืบหาต้นตอไม่ได้ แจ้งธนาคารตรวจสอบแล้วก็ไม่รู้ความเป็นมา อันนี้เคยเกิดกรณีพิลึกพรรค์นี้มาแล้วจริงๆ)

๒) เคยเป็นผู้ตั้งใจให้คนอื่นดีใจกับการได้รับของขวัญ ของกำนัลโดยไม่คาดฝัน มีมากครับพวกชอบเซอร์ไพรส์ชาวบ้านโดยไม่เปิดโอกาสให้รู้เนื้อรู้ตัว หวังจะเห็นเขาตื่นเต้นยินดีสุดขีด ความหวังชนิดนั้น ถ้าทำสำเร็จก็ให้ผลเป็นลาภลอยก้อนใหญ่ได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารู้ว่าใครอยากได้อะไรมานาน รู้ว่าชีวิตเขาจะเปลี่ยนไปในทางดีขึ้นหากได้สิ่งนั้น นั่นแหละตรงเป้าอย่างจังทีเดียว

บุญเก่าที่ทำให้ค้าขายได้กำไรเสมอ

๑) เคยให้ความหวังแก่สมณะว่าจะถวายสิ่งโน้นสิ่งนี้ ตกปากรับคำแล้วภายหลังนำมาถวายตามสัญญาเสมอ แต่ให้ยิ่งขึ้นกว่านั้นคือท่านต้องการเพียงหนึ่ง แต่นำของที่ท่านประสงค์มาถวายเป็นสิบ อย่างนี้ถ้าเก็งไว้ว่าจะทำยอดให้ถึงเป้าสักล้าน ก็อาจพุ่งพรวดทะลุเป้าไปเป็นหลายสิบล้าน เป็นต้น พูดง่ายๆ คือโชคช่วยตลอด แม้ฝีมือไม่ได้ดี เล่ห์เหลี่ยมธุรกิจไม่ได้มากกว่าพ่อค้าใกล้ละแวกก็ตาม ข้อนี้พระพุทธเจ้าเคยตรัสแนะนำไว้เป็นกรณีพิเศษ จะทดลองก็ไม่เสียหาย สำหรับหลายคนที่ไม่มีบาปเก่ามาเป็นอุปสรรค ก็น่าจะได้เห็นผลทันตาในชาตินี้ได้

๒) เคยเป็นผู้คืนกำไรให้กับสังคม คือเมื่อสังคมช่วยให้ตนรวยแล้ว ก็แบ่งความรวยนั้นให้สังคมได้ประโยชน์สุขบ้าง พวกบริษัทใหญ่ๆ ที่คิดโครงการเพื่อสาธารณประโยชน์นั้นมาถูกทางแล้ว หากใจไม่เล็งอยู่แต่ว่าจะได้มีส่วนลดหย่อนภาษี ก็จะได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย เห็นผลอย่างรวดเร็วแทบไม่ต้องรอเกิดชาติหน้า เพราะการทำคุณกับมหาชน จะให้ผลขยายใหญ่ เห็นง่าย เห็นเร็วกว่าการทำคุณแบบเจาะจงกับกลุ่มคนเล็กๆ

บุญเก่าที่ทำให้ได้ผลตอบแทนคุ้มกับความรู้ความสามารถหรือฝีไม้ลายมือ

๑) เคยให้ผลประโยชน์กับคนอื่นอย่างตรงไปตรงมา สมน้ำสมเนื้อแล้วกับความรู้ความสามารถของพวกเขา อันนี้ต้องขอแสดงความเสียใจกับชาวไทยจำนวนหนึ่ง ที่นิยมซื้อซอฟต์แวร์เถื่อนเป็นประจำ ไม่เห็นแก่ค่าสมอง ค่าแรงงานของคนทำบ้างเลย กรรมนี้ต่อไปก็ยากจะเป็นผู้ได้รับผลตอบแทนคุ้มค่า แต่ถ้ามีเงินซื้อของจริงแล้วยอมจ่าย โดยคิดว่าเงินจะได้ไปเข้ากระเป๋าคนผลิตตัวจริง ถ้าทำเป็นประจำก็ส่งผลให้อนาคตเป็นผู้รับค่าตอบแทนคุ้มกับงาน ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบหรือถูกกดค่าผลงาน

๒) เคยเป็นผู้ทำงานโดยเล็งประโยชน์สุขแก่คนอื่น คือตั้งต้นไม่ได้คิดเรื่องกำไรหรือรายได้เป็นหลัก เช่นอยากทำยาสีฟัน ก็เฝ้าครุ่นคิด หรือให้ทุนนักวิจัยว่าทำอย่างไรจะได้ยาสีฟันดีๆ มีคุณภาพสูง รักษาเหงือกและฟันได้จริง กับทั้งมีราคาไม่แพงเกินกำลังผู้บริโภคส่วนใหญ่ เรียกว่ามอบสินค้าที่เกินคุ้มให้กับสังคม ประโยชน์สุขของผู้บริโภคจะย้อนกลับมาเป็นกำลังหนุนให้ได้รับผลตอบแทนเกินกว่าที่คาดฝันเช่นกัน

จากที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด แม้ยังไม่ตอบคำถามของคุณตรงๆ อย่างน้อยก็น่าจะทำให้เริ่มเห็นได้ว่าการเป็นคนรวยล้นฟ้านั้น แน่นอนว่าจะต้องมีทานในอดีตเป็นบุญเก่าหนุนส่งอยู่ แต่ยังต้องอาศัยปัจจัยอีกหลายต่อหลายข้อประกอบร่วมเข้าไปด้วย


 

Credit : ดังตฤน
 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บพลังจิต

336

ผู้ใดฝึกตนให้เป็นคนอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่นได้ จัดว่าเป็นผู้ประเสริฐสุด



"อานนท์...เราจะอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่น เหมือนช้างศึกก้าวลงสู่สงคราม
ต้องทนต่อลูกศรซึ่งมาจากทิศทั้ง ๔ เพราะคนในโลกนี้ส่วนมากเป็นคนชั่ว คอยแส่หาแต่โทษของผู้อื่น
เธอจงดูเถิด...พระราชาทั้งหลายย่อมทรงราชพาหนะตัวที่ฝึกแล้วไปสู่ที่ชุมนุมชน เป็นสัตว์ที่ออกชุมนุมชนได้
อานนท์เอยในหมู่มนุษย์นี้ ผู้ใดฝึกตนให้เป็นคนอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่นได้ จัดว่าเป็นผู้ประเสริฐสุด
ม้าอัสดร ม้าสินธพ พญาช้างตระกูลมหานาคที่ได้รับฝึกแล้ว จัดเป็นสัตว์อาชาไนย สัตว์อาชาไนยเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ
แต่คนที่ฝึกตนดีแล้วยังประเสริฐกว่าสัตว์เหล่านั้น"


“ดูก่อน อานนท์ ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูงกว่าก็เพราะความกลัว
อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอกัน เพราะเห็นว่าพอสู้กันได้(ยังถือว่าธรรมดาๆ)
แต่ ผู้ใดอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้ซึ่งด้อยกว่าตน เราเรียกความอดทนนั้นว่าสูงสุด
ผู้มีความอดทน มีเมตตา ยอมเป็นผู้มีลาภ มียศ อยู่เป็นสุข เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เปิดประตูแห่งความสุขความสงบได้โดยง่าย สามารถขุดมูลเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทเสียได้
คุณธรรมทั้งมวล มีศีล สมาธิ เป็นต้น ยอมเจริญงอกงามแก่ผู้มีความอดทนทั้งสิ้น”

“ภูเขาศิลาล้วนยอมไม่หวั่นไหวด้วยลมจากทิศทั้ง ๔ ฉันใด
บัณฑิตยอมไม่หวั่นไหว เพราะคำนินทาและคำสรรเสริญฉันนั้น”

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บพลังจิต

337
ขอบคุณนะพี่แป็ป ที่เล่าสู่กันฟัง

338
ขอแสดงความยินดีด้วยครับคุณพี่นายธรรมมะ
อย่าเรียกพี่ครับผม ปีนี้ผมพึ่งจะ 16 ขวบ เองครับ อิอิยังเด็กอยู่

339
ธรรมะ / โอวาทพระอริยสงฆ์
« เมื่อ: 17 ก.ย. 2553, 07:06:51 »
คำสอนพระพุทธเจ้า


พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงช้อนเอาฝุ่นเล็กน้อยไว้ที่ปลายเล็บ
แล้วทรงถามเหล่าภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายเข้าใจอย่างไร
ฝุ่นที่เราช้อนขึ้นมากับฝุ่นบนแผ่นดินนี้อย่างไหนมากกว่ากัน"


ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า "ฝุ่นเล็กน้อยที่พระองค์ทรงช้อนไว้ในปลายเล็บ
มีประมาณน้อยอย่างนับไม่ได้ เมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่พระเจ้าข้า"


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เช่นเดียวกัน สัตว์ที่กลับมาเกิดในหมู่มนุษย์มีน้อย
โดยที่กลับมาเกิดเป็นอย่างอื่นมีมากกว่า.."


"..ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ที่จุติ(เคลื่อนจากภพ-ตาย)ในมนุษย์แล้ว
กลับมาเกิดในพวกมนุษย์มีน้อย โดยที่แท้สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว
ไปเกิดในนรก ในกำเนิดเดรัจฉาน เป็นเปรตมีมากกว่า
สัตว์ที่จุติจากนรก หรือกำเนิดจากเดรัจฉานหรือเปรต
จะกลับไปเกิดในพวกมนุษย์ หรือในพวกเทวดามีน้อย
ไปเกิดในนรกเป็นเดรัจฉานเป็นเปรตมีมากกว่า.."

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร


ไม่มีอะไร "

"มาไม่มีอะไร ไปไม่มีอะไร มีอยู่ก็แต่จิตใจและวิญญาณ
ท่านทำดีก็เสวยกรรมดี ทำไม่ดีก็ตกนรกไป
ท่านอย่านึกว่าท่านตายแล้วสูญเปล่า
ท่านทั้งหลายจะพบกันในโลกวิญญาณอีก


หนี้สินที่ท่านสร้างขึ้นในโลกมนุษย์ ก็จะชดใช้กันในโลกวิญญาณ
ใช้ไม่หมดก็ต้องไปเกิด ไม่อย่างนั้น
จะไม่เรียกว่า เวียนว่ายตายเกิด โลกนี้กลมไม่มีสิ้นภพสิ้นชาติ
โปรดพิจารณาตัวท่านเมื่อไม่มีสิ่งใดปกปิดเถิด"


หลวงปู่ทวด (เหยียบน้ำทะเลจืด)
วัดช้างให้ จ.ปัตตานี



พูดมาก เสียมาก
พูดน้อย เสียน้อย
ไม่พูด ไม่เสีย
นิ่งเสีย โพธิสัตว์


"มนุษย์ผู้ใดเห็นแก่งานส่วนตัว
…มนุษย์ผู้นั้นจะไม่มีงานทำในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใดเห็นแก่ทรัพย์ส่วนตัว
…มนุษย์ผู้นั้นจะไม่มีทรัพย์ครองในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใดเห็นแก่นอนมาก
…มนุษย์ผู้นั้นจะไม่ได้นอนในไม่ช้า"


“นะโมโพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา” (๓จบ)

หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ
วัดหิรัญญาราม (วัดวังตะโก) จ.พิจิตร



"การศึกษากรรมฐานควรทำให้แจ้งและถูกต้องตามหลักธรรมวินัย
เพราะเมื่อคิดผิดสอนผิด พิจารณาด้วยสัญญาผิดๆก็จะทำให้เสียเวลา
ทั้งยังเป็นผู้ทำลายคำสอนของพระพุทธเจ้าอีกด้วย"


"กรรมเก่าของเราเคยทำไว้อย่างไร ก็ตายด้วยโรคเก่านั้น"


ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บพลังจิต

340
กราบมนัสการพระอาจารย์ที่เคารพ ขอขอบคุณสำหรับบทความนะครับ  :054:

341
เย้ๆๆ ได้รางวัลด้วย ขอบคุณครับสำหรับกิจกรรมดีๆ

342


คาถาคงกระพันชาตรี

พุทธังคงหนัง ธัมมังคงเนื้อ สังฆังคงกระดูก

หลวงพ่อให้แก่ทหารนาวิกโยธิน อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี คราวไปเยี่ยมเยียนเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙

***********************************
พระคาถาของสมเด็จพระพุทธกัสสป

หลวงพ่อบอกคาถาบทนี้ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๒๐ คาถาบทนี้ ท้าว เวสสุวัณ มาให้ ท่านบอกว่าให้สวดมนต์ไว้ทุกคืน ก่อนอื่นให้ระลึกถึงบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ อันมี สมเด็จ พระพุทธกัสสป ทรงเป็นประธาน เพราะท่านเป็นเจ้าของพระคาถานี้

พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ ศัตรูทั้งหลาย จงวินาศสันติ
พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ โรคภัยทั้งหลาย จงวินาศสันติ

บทในบรรทัดที่ ๒ นี้รักษาโรค ท่านบอกว่าเสกน้ำให้กิน เสกอะไรให้กิน เสกข้าวให้กินก็ได้นะ แม้แต่ยาพิษมันก็สลายตัว

***********************************

อีกบทหนึ่งของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

ฆะเตสิ ฆะเตสิ กิงกะระณัง ฆะเตสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ

ทั้ง ๓ บทนี้ ท่านให้สวดพร้อมกันเลย เวลาฉันข้าวก็เสก กลางคืนก็ให้ภาวนาไว้นะ ภาวนาไว้สักครู่ เช้าเย็นอะไรนี่นะ ท่านบอกว่าศัตรูจะพินาศไปเอง
สำหรับบทหลังศัตรูทำอะไรไม่ได้ จะทำอะไรแล้วเราจะต้องรู้อยู่เสมอ
บทกลางนะทำลายโรค ไอ้ทำลายโรคนี่ดีใช่ไหม เสกข้าวนะ ข้าวที่เราจะฉัน เสกซะหมด และคนอื่นกินก็เป็นยาไปหมด ให้เป็นยาสำหรับคนอื่นด้วยนะ ดีไหม ถ้าเห็นว่าดี ถ้าคุณจะให้ศึกษานี่นะ ถ้าจะใช้รักษาโรค คุณจะต้องหาดอกบัวมา ๓ ดอก ธูป ๕ ดอก เทียน ๑ เล่ม บูชาขอท่านต่อพระพุทธรูป

ถ้าใครต้องการจะให้เรารักษา ต้องบังคับให้เขาเอาดอกบัวมา ๓ ดอกนะ ธูป ๕ เทียน ๑ เล่ม เสกน้ำมนต์ เสกอะไรๆ ให้กินได้ นั่งทำก็ได้ นอนก็ได้ ภาวนาให้เป็นฌาน เป็นฌานในกรรมฐานภายในตัวเสร็จ อย่าลืมนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกาะก็ได้ผลเท่ากันเป็นฌาน

***********************************
คาถาเสกน้ำล้างหน้าเพื่อเห็นอมนุษย์

ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วว่า "พุทธาโมยะ นะ"

เมื่อเสกน้ำล้างหน้าแล้ว ท่านให้นั่งภาวนาคาถาว่า ดังนี้
อะสูญ มะสูญ สูญทิพย์สูญ อะพุทธัง ปัจจักขามิ เตติปิภาวัง อุทาสะ โกติมัง ทาเรจะ
อะสูญ มะสูญ สูญทิพย์สูญ อะธัมมัง ปัจจักขามิ เตติปิภาวัง อุทาสะ โกติมัง ทาเรจะ
อะสูญ มะสูญ สูญทิพย์สูญ อะสังฆัง ปัจจักขามิ เตติปิภาวัง อุทาสะ โกติมัง ทาเรจะ
ต้องอธิษฐานขอเห็นก่อนว่าจะพบใคร แล้วจึงจะภาวนา จนจิตถึงอุปจารสมาธิ จึงจะเห็นภาพได้ ท่านให้ไว้เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ (ท่านให้ก่อนที่จะมีการฝึกสอนวิชามโนมยิทธิ ปัจจุบันได้มโนมยิทธิกันแล้ว จึงไม่ได้ใช้คาถากันอีกเลย)

***********************************
คาถาของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค
คาถากันฟ้าผ่า

อากาเสจะ พุทธทีปังกะโร นะโมพุทธายะ

คาถากันไฟไหม้ และคาถากันฟ้าผ่านี้ ท่านพิมพ์เป็นใบปลิวแจกในขณะที่อยู่วัดสะพาน ท่านพิมพ์ไว้ว่า คาถานี้ของหลวงพ่อปาน ท่านให้บูชาไว้ทุกวันๆ ละ ๓-๕-๗-๙ จบ ท่องทุกเช้าค่ำ จะปลอดภัยจากไฟไหม้และฟ้าผ่า

ต่อมาเมื่อหลวงพ่อมาอยู่ที่วัดท่าซุงแล้ว ท่านให้ใช้เฉพาะ “โส นามะ ยักโข” เท่านั้น โดยกล่าวว่า “ให้เขียนเป็นภาษาไทยไว้บนหัวนอน สวดมนต์กราบไหว้อยู่เสมอ ไฟไม่ไหม้ ฟ้าไม่ผ่า และกันนิวเคลียร์นิวตรอนได้ด้วย”

***********************************

คาถากันไฟไหม้

พะระโส นามะยักโข เมตตะทันตะ ปะริวาสะโก อสุนีหะเต โหตุ เต ชะยะมังคะลานิ


***********************************

คาถามหาอำนาจ

(ใช้เสกน้ำล้างหน้าทุกวันตอนเช้า แล้วจะมีอำนาจเป็นที่ยำเกรงของคนทั้งปวง)

เอวัง ราชะสีงโห มะหานาทัง สีหะนาทะกัง
สีหะนะ เม สีละเตเชนะ นามะ ราชะสีงโห
อิทธิฤทธิ พระพุทธังรักษา สารพัดศัตรู อะปะราชะยัง
อิทธิฤทธิ พระธัมมังรักษา สารพัดศัตรู อะปะราชะยัง
อิทธิฤทธิ พระสังฆังรักษา สารพัดศัตรู อะปะราชะยัง

***********************************
คาถาเสกผ้าเช็ดหน้า

คาถาสำหรับเสกผ้าเช็ดหน้า เสกเช้ามืด ๓ เที่ยว ๗ เที่ยว ๓ คืน อธิษฐานใช้ได้ต่างๆ ผู้ที่เอาไปใช้ห้ามไม่ให้ลัก ไม่ให้ปล้น ไม่ให้กินเหล้า จึงจะมีคุณต่างๆ

๑. "วิวีพุทโธอิติ" ภาวนาเวลาหลงทาง เอาหลังพิงต้นไม้ จะเห็นหนทางโดยเทวดานำทางให้
๒. "เจจะตัง" ทำไส้เทียนจุดกลางฝนไม่ดับ (เป็นคาถาแคล้วคลาด)

***********************************

คาถามหาประสานใหญ่ (ของครูผึ้ง อายุ ๑๐๐ ปี)

วะโรวะรัญญู วาระโท วะราหะโร อะนุตตะโร ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ

(ว่า ๓ เที่ยว ๗ เที่ยว)
เมื่อจะประสานให้เอาใบตองปิดบนแผลเสียก่อน แล้วจึงว่าคาถาหลับตาเป่าลงไปในใบตอง (เวลาว่าให้กลั้นใจ) แก้กลิ่นตัวไม่มีอีกด้วย ให้สวดมนต์ไว้ทุกวัน

***********************************

คาถาทำน้ำมนต์แก้เวทมนต์คาถา

นะ คังคัง ปัญจะมัง มะหาสมุททัง สัพพะสิทธัง ภะวันตุ เม
โม คังคัง ปัญจะมัง มะหาสมุททัง สัพพะสิทธัง ภะวันตุ เม
พุท คังคัง ปัญจะมัง มะหาสมุททัง สัพพะสิทธัง ภะวันตุ เม
ธา คังคัง ปัญจะมัง มะหาสมุททัง สัพพะสิทธัง ภะวันตุ เม
ยะ คังคัง ปัญจะมัง มะหาสมุททัง สัพพะสิทธัง ภะวันตุ เม

สำหรับทำน้ำมันต์แก้เวทมนต์คาถาที่ร้อนรุ่ม ถ้าจะทำให้สำหรับตัวของเราเองให้ว่า "เม" เป็น "เต"

***********************************
คาถาอาราธนาพระเครื่องของหลวงพ่อวัดท่าซุง

อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งของ มะอะอุ ณ กาลบัดนี้เถิด
(ว่า ๓ จบ)

(ก่อนจะว่าคาถาให้ ตั้งนะโม ๓ จบก่อน แล้วยกพระเครื่องขึ้นพนมมือ อาราธนาคาถาตามที่กล่าวแล้ว ก่อนจะออกจากบ้านทุกครั้ง)

***********************************

คาถาอาราธนาผ้าธงมหาพิชัยสงคราม

พุทธะ สังมิ (ว่า ๓ จบ)

(เป็นคาถาที่ท่านพิมพ์แจกมานานแล้ว ภายหลังท่านให้ใช้ "อิทธิฤทธิ" แทน แต่ผู้เขียนยังใช้ "พุทธะ สังมิ" ทุกครั้งก่อนเดินทาง โดยเสกน้ำลายกลืนทุกครั้งที่ภาวนาคาถานี้)

***********************************

คาถาโรยทรายเสก (ของวัดท่าซุง)

นะโมพุทธายะ

(ขณะโรย "ทรายเสก" รอบบริเวณบ้าน ให้ภาวนาคาถานี้ไปตลอด โดยก่อนที่จะโรยให้อธิษฐานก่อนว่า "ขอให้ผู้มีคุณทั้งหลายที่อยู่ในเขตนี้ จงอยู่เป็นสุขปราศจากทุกข์ภัย ส่วนผู้ที่มีภัยก็ขอให้จงออกไปจากบริเวณนี้เถิด")
(มีคาถาเพิ่มมาจากหนังสือ "สมบัติพ่อให้" โดยนำมาจากหนังสือประวัติของวัดบางนมโค ปี ๒๕๒๓)

******************************
คาถาป้องกันอันตราย

รูปพระพุทโธ โหหิ

คาถาบทนี้ หลวงพ่อให้พระในพระอุโบสถ หลังจากทำพิธีพุทธาภิเษกแล้ว วิธีใช้คือให้ภาวนาคาถานี้ เสกน้ำลายกลืนลงไปก่อนออกจากบ้าน ท่านกล่าวว่า แม้แต่ปืนก็ยิงไม่ออก

***********************************
คาถานวด

อิมัสมิง มาเล อิมังเต มาสัง วัสสัง อุเปมิ

หลวงพ่อให้ที่บ้านสายลม (ห้ามแปล) ให้ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยก่อนว่าคาถา แล้วให้ภาวนาเรื่อยไปขณะนวด

******************************
คาถาป้องกันคุณไสย

เมสัมมุขา สัพพาหะระติ เตสัมมุขา

ท่านให้เสกของทุกอย่างก่อนที่จะกิน ท่านบอกไว้ในขณะที่วัดกำลังมีภัย ถ้าศัตรูทำคุณไสย เราว่าคาถานี้ คุณไสยนั้นจะย้อนกลับเข้าตัวผู้ทำ ถ้าทำเป็นตะกรุด ห้ามนำตะกรุดเข้าห้องคนคลอดบุตร ท่านห้ามทำแจกเด็ก ด้วยจะเป็นอันตรายกับเด็ก

******************************

คาถาเรียกจิตคน

จิตตะ มหาจิตตัง ปิยัง มะมะ

เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๐๖ พระขีณาสพ หมายถึงพระอรหันต์ คือเป็นผู้มีกิเลสสิ้นไปแล้ว หมดไปแล้ว ได้มาบอกคาถาเรียกจิตคนสำหรับเทศน์ สำหรับอบรม สำหรับสนทนา ทำให้ใจคนน้อมมาหา คาถาว่าอย่างนี้ จิต ตะ มหาจิตตัง ปิยัง มะมะ ท่านว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตแล้ว นี่ท่านอนุญาตแล้วก็ใช้ได้


******************************
คาถารวมอภิญญา

โสตัตตะภิญญา

ที่มาของพระคาถานี้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯท่านเล่าว่า ได้พบองค์สมเด็จพระจอมไตรที่พระจุฬามุนีเจดีย์สถาน องค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสว่า
“สัมพเกสี ..สำหรับอภิญญาที่เธอได้ เวลาที่เธอจะใช้ก็ต้องจับกสิณนั้นกสิณนี้ ใช้จิตอย่างนี้ช้าไปหน่อย ความจริงเขาใช้อภิญญากันจริงๆ เขาใช้จับอภิญญารวม คำว่า "อภิญญารวม" นี่นึกถึงอภิญญาสมาบัติ คือนึกถึงอารมณ์กสิณทั้งหมดว่าเราต้องการอะไร แล้วก็ใช้บทภาวนา ภาวนาย่อๆ ว่า "โสตัตตะภิญญา"ให้ทำเพียงเท่านี้
เวลาภาวนาให้กำหนดลมหายใจเข้าออก แล้วก็ทิ้งนิมิตเสีย ไม่ต้องไปใช้นิมิตในกสิณ ใช้ "โสตัตตะภิญญา" อย่างเดียว คือกำหนดลมหายใจเข้าออกให้ถึงที่สุดเป็นฌานสี่เท่านี้ อภิญญาทุกอย่างก็จะรวมตัว เราจะใช้ได้ทันทีทันใดโดยไม่ต้องเลือกกสิณอะไรทั้งหมด” ก็มาทำๆ แล้วก็สบายใจ อภิญญาทุกอย่างมันก็รวมตัว เวลาจะใช้อภิญญาก็ใช้ โสตัตตะ ภิญญาเป็นคำภาวนาเท่านี้ ทุกคนก็สามารถจะทำได้

******************************
คาถาเรียกจิตตนเอง

อิติ สัมมา สัมพุทธัสสะ มะมะ จิตตัง

เวลาที่เจริญพระกรรมฐานในคืนวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๐๖ เวลา ๒๐.๓๐ น. องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มาโปรดเมตตาบอก ท่านบอกว่าให้ทำให้แจ้งด้วย ทำทุกขณะจิตที่จิตพล่าน หมายความว่า ถ้าเวลาใดที่จิตเกิดอาการฟุ้งซ่านขึ้นมา ให้ทิ้งคำภาวนาอย่างอื่นเสียให้หมด กำหนดลมหายใจเข้าออก ว่าคาถานี้ตามสบายๆ กำลังของสมาธิจะรวมตัวได้รวดเร็ว จำเข้าไว้ให้ดีก็แล้วกันนะ
คาถามีว่า "อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ มะมะ จิตตัง" แล้วอย่าย่องเอาคาถานี้ไปเรียกผู้หญิงเรียกผู้ชายเข้านะ เขาไม่มาหรอก เรียกจิตของเรา ท่านบอกว่าที่จิตมันพล่านนี่ไม่ใช่เพราะผู้หญิงเข้ามายั่ว มันพล่านเพราะโรคทางกระเพาะมันกำเริบ ร่างกายถ้าหากว่ามีโรคเบียดเบียน ประสาทมันก็ไม่ทรงตัว จิตมันก็พล่านได้ จงอย่าสงสัยในตัวเอง คิดว่าไปหลงใหลใฝ่ฝันในบรรดาสตรีทั้งหลายเหล่านั้น เธอมายั่วมาเย้าเป็นจริยาของมาร
แต่คำว่ามารในที่นี้ จงอย่าคิดว่าพวกนั้นเป็นพวกมาร ความจริงพวกนั้นเขามาตามหน้าที่ แต่ถ้าอารมณ์ของเราไม่ทรงตัว ก็จงคิดว่าจิตของเรานี่แหละเป็นมาร มันมีสันดานหยาบ รู้อะไรไม่ดี ทำไมจึงไปหลงใหลใฝ่ฝัน นี่ท่านว่าอย่างนั้น

******************************

คาถา "ปราโมทย์"

องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ให้คาถาปราโมทย์โดยตรง ทรงปรารภว่าต่อไปเมื่อเธอภาวนา "คาถาปราโมทย์" นี่แล้ว อะไรทุกอย่างจะเห็นชัดเจนแจ่มใส ทั้งนี้เพราะว่าเธอเวลานี้เห็นนิมิตอะไรก็ตามมันคลุมเครือไปหมด ถ้าใช้คาถาบทนี้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะสว่างแจ่มใสเหมือนกับพระอาทิตย์ในเวลาเที่ยง แต่ความจริงอารมณ์แจ่มใสประเภทนี้ ตามแบบจะต้องมีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
แต่ทว่าในตอนนี้พระพุทธเจ้าท่านสอนมาอย่างนั้น ถ้าใครทำได้ก็ได้ ไม่ได้ก็แล้วไป ใครได้มโนมยิทธิก็ลองสอบเอา เพราะมโนมยิทธิเป็นเครื่องทดสอบความรู้ทางพระพุทธศาสนา การปฏิบัติความจริงนี่ก็เรื่องของใครของมันเหมือนกัน จะทำให้เหมือนกันทุกอย่างไม่ได้
คาถาปราโมทย์ที่ทำให้สมาธิจิตมีทิพจักขุญาณแจ่มใส จะจำภาพเห็นภาพ นิมิตทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยชัดเจนแจ่มใสเหมือนกลางวัน คือพระอาทิตย์เวลาเที่ยง ท่านว่าโดยสร้างนิมิตเปรียบเทียบ ปรากฏผลว่าภาพนิมิตและตรวจสอบใดๆจะชัดเจนขึ้น และมีภาพแจ่มใส ท่านว่าอย่างนั้น สำหรับคาถาภาวนาให้ภาวนาว่า "ปราโมทย์" เฉยๆ จับลมหายใจเข้าออกเหมือนกัน แล้วก็ภาวนาว่า

"ปราโมทย์ ๆ"

******************************
คาถาพระนิพพานนิมิต

นิมิตจิตติ นิมิตจิตตา นิพพานะจิตติ นิพพานะจิตตา

พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านเล่าถึงที่มาของพระคาถานี้ว่า เมื่อเข้าไปในพระจุฬามณีเจดีย์สถาน พบองค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสว่า

“เธอนี่ควรจะเอา จิตจับพระนิพพานได้แล้ว และควรจะถือนิพพานนิมิตเป็นสำคัญ” ท่านบอกว่าใช้นิพพานนิมิต ท่านให้ภาวนาอย่างนี้ "นิมิตจิตติ นิมิตจิตตา นิพพานจิตติ นิพพานจิตตา" (นิ-มิต-จิต-ติ นิ-มิต-จิต-ตา นิพ-พา-นะ-จิต-ติ นิพ-พา-นะ-จิต-ตา) ให้ภาวนาถือพระนิพพานเป็นอารมณ์

อย่างนี้จิตจะมีความผูกพันพระนิพพาน เป็นอารมณ์มากขึ้น แล้วก็กำลังใจของเธอจะไม่คลาดจากนิพพานเมื่อกำลังใจของเธอไม่คลาดจากนิพพาน เมื่อเธอตัดพุทธภูมิมาแล้วต้องการเป็นพระสาวก ความสำเร็จของเธอจะไม่ก้าวล่วงปีนี้ไป จงกลับไปจับเอาอารมณ์นี้ให้เป็นฌานสมาบัติ”

เมื่อจำคาถามาแล้ว ในขณะนั้นก็ตั้งจิตภาวนา คือทำอารมณ์ไว้ตั้งแต่ยังไม่เอาจิตเข้าร่าง เมื่ออทิสมานกายมันยังลอยไปสู่ภพต่างๆ ก็ใช้อารมณ์นี้เรื่อยไป จิตใจก็จับพระนิพพานเห็นภาพพระนิพพานใสแจ๋ว มีความมั่นใจว่านั่นแล้วคือพระนิพพาน อย่างไรๆเราตายชาตินี้เราต้องไปนิพพานให้
ได้ เรื่องร่างกายเรื่องทรัพย์สินไม่มีความหมายกับเรา นี่เป็นอารมณ์

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://board.palungjit.com/

343
ผลบุญของผู้มีสัจจะมั่นในสามี
ไม่ประพฤตินอกใจ มีความจงรักต่อสามี


พระมหาโมคคัลลานะถามว่า "ดูกรนางเทพธิดาผู้มีอานุภาพอันยิ่งใหญ่ท่านได้วิมานอันมีนกกระเรียน นกยูงทอง นกดุเหว่าดำ และนกดุเหว่าขาวซึ่งมีทิพยานุภาพเที่ยวส่งเสียง อย่างไพเราะอยู่รอบด้านในวิมานนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้หอมชื่นใจ วิจิตร ไปด้วยนานาประการแวดล้อมไปด้วยเทพบุตรและเทพธิดา

อนึ่ง หมู่ นางเทพอัปสรเหล่านี้มีฤทธิ์นิรมิตรูปร่างขึ้นแปลกๆ กันเป็นอันมาก ฟ้อนรำขับร้องอยู่รอบข้างให้ท่านมีความร่าเริงอยู่

ดูกรนางเทพธิดาผู้มี อานุภาพอันยิ่งใหญ่ครั้งท่านยังเป็นมนุษย์ได้ทำบุญสิ่งใดไว้ จึงบรรลุ ความสำเร็จท่านมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และรัศมีกายของท่านสว่างไสวไปทั่วทิศเพราะบุญอะไร?"

นางเทพธิดานั้น อันพระมหาโมคคัลลานะซักถามแล้ว มีใจยินดี ได้พยากรณ์ปัญหาแห่งผลกรรมที่ถูกซักถามว่า ...

"ครั้งดิฉันยังเป็นมนุษย์อยู่ในหมู่มนุษย์ได้เป็นผู้มีสัจจะมั่นในสามี ไม่ ประพฤตินอกใจ มีความจงรักต่อสามีเหมือนกับมารดารักบุตร แม้ดิฉัน จะโกรธเคืองก็ไม่กล่าวถ้อยคำอันหยาบคายละทิ้งการพูดเท็จเสีย ดำรง มั่นอยู่ในความสัตย์ ยินดีในการให้ทานตามปกติชอบสงเคราะห์ผู้อื่น เช่นกับสงเคราะห์ตน มีใจเลื่อมใสได้ให้ข้าวและน้ำอย่างดีเป็นทาน โดยความเคารพ

ด้วยความเป็นผู้ถือสัจจะมั่น เหตุนั้นดิฉันจึงมีผิวพรรณ ถึงเช่นนี้ อิฐผลจึงสำเร็จแก่ดิฉันในวิมานนี้และโภคทรัพย์ทั้งหลายอัน เป็นที่รักแห่งใจทุกสิ่งทุกอย่างบังเกิดแก่ดิฉันก็เพราะความเป็นผู้ถือ สัจจะมั่นในสามีเป็นเหตุนั้นข้าแต่ภิกษุผู้มีอานุภาพอันยิ่งใหญ่ ดิฉันขอ บอกแก่ท่าน ครั้งดิฉันยังเป็นมนุษย์ได้ทำบุญสิ่งใดไว้
เพราะบุญอันนั้น ดิฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองถึงเช่นนี้และรัศมีกายของดิฉัน จึงสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ"

จากปติพพตาวิมานที่ ๑ ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในปติพพตาวิมาน

ขอขอบคุณเว็บ : เว็บพลังจิต

344
หลวงพ่อสุพจน์นี่แหละครับ สุดยอดผมยกนิ้วให้เลยครับ มีข่าวหลายครั้งแล้วครับ ขอบคุณครับสำหรับประวัติของท่าน

345


หนุมาน พบ 7 ยอดมนุษย์  13;

ตามลิ้งด้านล่างเลยครับ

http://www.clipmass.com/movie/หนุมานพบ-7-ยอดมนุษย์-1---202017394238965

http://www.clipmass.com/movie/หนุมานพบ-7-ยอดมนุษย์-2---1580111596238977

http://www.clipmass.com/movie/หนุมานพบ-7-ยอดมนุษย์-3---1336014009238981

 :109: :039: 09;




โหวๆ สุดยอดเหมือนได้ดู ขบวนการ โอเลนเจอร์ ตอนเด็กๆเลย คิคิคิ

346
1. หลวงพ่อกลั่น

2. หลวงปู่บุญ

3. หลวงพ่อวัดมะขามเฒ่า

4. หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง

5. หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน

6. หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก

7.หลวงพ่อทอง วัดเขากบทวาศรี นครสวรรค์

8.หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย

9.หลวงปู่ยิ้ม หนองบัว

10. หลวงพ่อจอน วัดดอนรวบ ชุมพร

ก็รู้เท่านี่แหละครับ

347
สวยมากครับ ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับถ้าเกิดเราได้ตะกรุดมาแล้ว แล้วทองที่ตะกรุดนั้นจะหลุด เราเอาแล็กเกอร์ เคลือบตะกรุดเลยได้ไหมครับเพื่อกันไม่ให้ทองที่ตะกรุดหลุดครับ ขอคำแนะนำด้วยครับ
เคลือบได้ไม่ผิดอะไรและไม่ทำให้พลังที่ประจุในตะกรุดนั้นเสื่อมลง แต่จะมีผลในเชิงพานิชญ์
คือราคาค่าเช่าบูชาจะลดลง ตะกรุดสายวัดสาลีโขนั้น จะโดดเด่นเรื่องความสวยงามของตัวอักขระ
และรูปแบบที่สวยงามพิถีพิถันในการสร้าง มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สืบต่อจากหลวงพ่อจำปาและ
พระอาจารย์สมภพมา จัดได้ว่าเป็นต้นแบบของตะกรุดคลุกผงเคลือบรักลงอักขระรอบนอกตะกรุด
เคลือบแล็กเกอร์ทับ ที่จัดสร้างกันอยู่ในปัจจุบันนี้ ตะกรุดสายนี้ต้องเขียนด้วยอารมณ์สมาธิคือต้อง
ฝึกจิตให้ได้สมาธิเสียก่อน หลวงพ่อสมภพท่านจึงจะให้เขียนอักขระเลขยันต์ทำตะกรุดและของที่สำคัญ
ที่สุดก็คือมวลสารที่เอามาทำผงพอกตะกรุด เพราะเป็นของดีที่หาได้ยากเป็นเอกลักษณ์ของวัดสาลีโข
ขอบคุณมากนะครับ พระอาจารย์ สำหรับข้อมูล  :054:

348
พ้อท้านเขี่ยว ไอ่บ่าวคนนี้ไม่ด่ายหลบบ้านมาหล่ายปีแล่ว 
กร่าบนมั่สก่ารครับ พ้อหล่วง :054: :054: :054:

คนใต้เหมือนกันเหรอครับ

349
ประวัติโดยย่อของพระพุทธเจ้า28พระองค์

๑.. พระพุทธเจ้าตัณหังกร - ผู้กล้าหาญ

๒. พระพุทธเจ้าเมธังกร - ยศใหญ่

๓. พระพุทธเจ้าสรณังกร - ผู้เกื้อกูลแก่โลก

๔. พระพุทธเจ้าทีปังกร - ผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาอันรุ่งเรือง

๕. พระพุทธเจ้าโกณฑัญญะ - ผู้เป็นประมุขแห่งหมู่ชน

๖. พระพุทธเจ้าสุมังคละ - ผู้เป็นบุรุษประเสริฐ

๗. พระพุทธเจ้าสมุนะ - ผู้เป็นธรีบุรุษมีพระหทัยงาม

๘. พระพุทธเจ้าเรวัต - ผู้เพิ่มพูนความยินดี

๙. พระพุทธเจ้าโสภิตะ - ผู้สมบูรณ์ด้วยพระคุณ

๑๐. พระพุทธเจ้าอโนมัทสส - ผู้อุดมอยู่ในหมู่ชน

๑๑. พระพุทธเจ้าปทุมะ - ผู้ทำให้โลกสว่าง

๑๒. พระพุทธเจ้านารทะ - ผู้เป็นสารถีประเสริฐ

๑๓. พระพุทธเจ้าปทุมุตตระ - ผู้เป็นที่พึ่งแก่หมู่สัตว์

๑๔. พระพุทธเจ้าสุเมธะ - ผู้หาบุคคลเปรียบมิได้

๑๕. พระพุทธเจ้าสุชาติ - ผู้เลิศกว่าสัตว์โลกทั้งปวง

๑๖. พระพุทธเจ้าปิยทัสสี - ผู้ประเสริฐกว่าหมู่นรชน

๑๗. พระพุทธเจ้าอัตถทัสสี - ผู้มีพระกรุณา

๑๘. พระพุทธเจ้าธัมมทัสสี - ผู้บรรเท่ามืด

๑๙. พระพุทธเจ้าสิทธัตถะ - ผู้หาบุคคลเสมอมิได้ในโลก

๒๐. พระพุทธเจ้าติสสะ - ผู้ประเสริฐกว่านักปราชญ์ทั้งหลาย

๒๑. พระพุทธเจ้าปุสสะ - ผู้ประทานธรรมอันประเสริฐ

๒๒. พระพุทธเจ้าวิปัสสี - ผู้หาที่เปรียบมิได้

๒๓. พระพุทธเจ้าสิขี - ผู้เป็นศาสดาเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์

๒๔. พระพุทธเจ้าเวสสภู - ผู้ประทานความสุข

๒๕. พระพุทธเจ้ากกุสันธะ - ผู้นำสัตว์ออกจากกันดาร คือ กิเลส

๒๖. พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ - ผู้หักเสียซึ่งข้าศึก คือ กิเลส

๒๗. พระพุทธเจ้ากัสสปะ - ผู้สมบูรณ์ด้วยสิริ

๒๘. พระพุทธเจ้าโคตมะ (พระสมณะโคดม) - ผู้ประเสริฐแห่งหมู่ศากย

1. องค์สมเด็จพระพุทธตัณหังกร - ผู้กล้าหาญ

ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้านันทราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุนันทราชาเทวี
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 10,000 ปี
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน
พระวรกายสูง 18 ศอก
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 20,000 ปี


2. องค์สมเด็จพระพุทธเมธังกร – ผู้มียศใหญ่

ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า เทโว
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนาง ยะสุนทราชาเทวี
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 80,000 ปี
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 15 วัน
พระวรกายสูง 18 ศอก
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี


3. องค์สมเด็จพระพุทธสรณังกร – ผู้เกื้อกูลแก่โลก

ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า สุมาเลราชา
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนาง ยสะเทวี
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 10,000 ปี
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 2 เดือน กับ 20 วัน
พระวรกายสูง 18 ศอก
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 60,000 ปี


4. องค์สมเด็จพระพุทธทีปังกร – ผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาอันรุ่งเรือง

สถานที่ประสูติ กรุงรัมมวดีมหานคร
ประสูติเมื่อ วันเพ็ญ เดือน 8 อาสาฬหนักขัตฤกษ์
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า นรเทวราช(พระเจ้าสุเทพ)
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางเจ้า สุเมธา
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง ปทุมาราชเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระอสุภขันธกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุ 10,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 9 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นปิปผลิ
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 10 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระสุมังคลเถร และพระติสสเถร
พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระสาคตเถร
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระนันทาเถรี และพระสุนันทาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า ตปุสสะ และภัลลิกะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฎฐายิกา ชื่อว่า นางสิริมา และนางโสณา มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 400,000 องค์
พระวรกายสูง 80 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 10 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี
อายุพระศาสนา 100,000 ปี


5. องค์สมเด็จพระพุทธพระโกณฑัญญะ – ผู้เป็นประมุขแห่งหมู่ชน

สถานที่ประสูติ กรุงรัมมวดีมหานคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า สุนันทราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนาง สุชาดาราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง รุจิราชเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระวิชิตเสนกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุได้ 10,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถพระที่นั่งเทียมม้าอาชาไนยคู่
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งในวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 58 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นพญารัง
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 10 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระภัททเถร และพระสุภัททเถร
พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระอนุรุทธเถร
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระติสสาเถรี และพระอุปัสสนาเถรี
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน แสนโกฏิ องค์
พระวรกายสูง 18 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 200,000 (แก้ว่าน่าจะเป็น100,000) ปี
อายุพระศาสนา 100,000 ปี


6. องค์สมเด็จพระพุทธพระสุมังคละ – ผู้เป็นบุรุษประเสริฐ

สถานที่ประสูติ อุตตรนคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า อุตตรมหาราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางอุตตรราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง ยสาวดี
พระราชโอรส พระนามว่า พระสีวระราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุ 70,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ม้าพระที่นั่ง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งในวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 57 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นนาคพฤกษ์(กากะทิง)
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระเทวเถร และพระธรรมเสนเถร
พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระปาลิตเถร
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระสีวราเถรี และพระอโสกาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นันทะ และวิสาขะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า อนุฬา และสุมนา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 80 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 10,00 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี


7. องค์สมเด็จพระพุทธสุมนะ – ผู้เป็นธีรบุรุษมีพระหทัยงาม
สถานที่ประสูติ เมขละนคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า สุทัตตมหาราชา
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางเจ้า สิริมา
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง ฏังสกี
พระราชโอรส พระนามว่า พระอนุปมราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ อยู่นาน 9,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งในวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 60 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นนาคพฤกษ์(กากะทิง)
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 10 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระสรณเถร และพระภาวิตัตตเถร
พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระอุเทนเถร
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระโสณาเถรี และพระอุปโสณาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า วรุณะ และสรณะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า จารา และอุปจารา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 90 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี
อายุพระศาสนา 90,000 ปี



8. องค์สมเด็จพระพุทธเรวตะ – ผู้เพิ่มพูนความยินดี

สถานที่ประสูติ สุธัญญวดีนคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าวิปุลราชา
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางวิปุลาราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง สุทัสนา
พระราชโอรส พระนามว่า พระวรุณราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ 6,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถพระที่นั่งเทียบม้าอาชาไนย
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งในวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 53 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า นาคพฤกษ์
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระวรุณเถร และพรหมเทวะเถร
พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระสัมภวะเถร
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระภัททราเถรี และพระสุภัททราเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า วรุณ และสรภะมหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า ปาลา และอุปปาลา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 80 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 1 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 60,000 ปี



9. องค์สมเด็จพระพุทธโสภิตะ – ผู้สมบูรณ์ด้วยพระคุณ

สถานที่ประสูติ สุธรรมนคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสุธรรมราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนาง สุธรรมาเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง มจิลาราชเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระสีหราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ 9,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ปราสาทที่ลอยไปในอากาศ
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 38 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า นาคพฤกษ์ (ไม้กากะทิง)
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระอสมเถร และ สุเมธเถร
พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระอโนมเถร
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระนกุฬาเถรี และพระสุชาตาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นายรัมมะ และ นายสุเนตตะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางนกุฬา และนางสุชาตา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 58 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี

10. องค์สมเด็จพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า – ผู้อุดมสูงสุดในหมู่ชน
สถานที่ประสูติ จันทวดีนคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า ยศวราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางยโสธรา
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง สิริมา
พระราชโอรส พระนามว่า พระอุปสารราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ เมื่อพระชนมายุ 10,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา สีวิกากาญจนมาศ (วอทอง)
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 38 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นอชุนะ (ไม้รกฟ้า)
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 10 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระนิสภเถร และอโนมเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระวรุณเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระสุนทราเถรี และพระสุมนาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นายนันทิวัฒนะ และสิริวัฑฒะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางอุปรา และนางปทุมา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 58 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 80 ศอก
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี



11.องค์สมเด็จพระพุทธปทุมะ – ผู้ทำให้โลกสว่าง
สถานที่ประสูติ จัมปานคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า อสมราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางอสมาราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง อุตตราเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระรัมมราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาส อยู่ 10,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถพระที่นั่งเทียมม้าอาชาไนย
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งในวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 38 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า มหาโสณพฤกษ์
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระสาลเถร และพระอุปสาลเถร
พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระวรุณเถร
พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระราธาเถรี และพระสุราธาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นายสภิยะ และนายอสมะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางรุจิ และนางนันทิมาลา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 58 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี

12. องค์สมเด็จพระพุทธนารทะ – ผู้เป็นสารถีประเสริฐ

สถานที่ประสูติ ธัญญวดีมหานคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า สุเมธราชา
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางอโนมาเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง ว ิชิตเสนาเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระยันทุตรราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 9,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ทรงดำเนินไปด้วยพระองค์เอง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 57 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า มหาโสณพฤกษ์
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน ตรง
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระภัททสาลเถร และพระพิชิตมิตตเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระวาเสฏฐเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระอุตตราเถรี และพระผักขุนีเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อุตรินท์ และวสะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางอินทอรี และนางคัณฑี มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 100,000 องค์
พระวรกายสูง 88 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 1 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี
อายุพระศาสนา 1 อสงไขย

13. องค์สมเด็จพระพุทธปทุมุตระ – ผู้เป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์

สถานที่ประสูติ หงสวดีนคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า อานันทมหาราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุชาดาราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง สุละทัคคเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระอุตตรราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ 90,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ปราสาทที่ลอยไปในอากาศ
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 38 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นสาละ หรือต้นรัง
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระเทวลเถร และพระสุชาตเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระสุมนเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระอมิตตาเถรี และพระอสมาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อมิตตะ และติสสะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางหัตถา และนางสุจิตตา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 58 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 12 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี
อายุพระศาสนา 30,000 กัลป์

14. องค์สมเด็จพระพุทธสุเมธะ – ผู้หาบุคคลเปรียบมิได้

สถานที่ประสูติ สุทัสสนนคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า สุทัสสนมหาราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุทัตตาราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง สุมนาเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระปุนัพพราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ได้ 9,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 20 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้มหานิมพะ (ไม้สะเดา)
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระสุมนเถร และพระสัพพกามเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระสาครเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระรามาเถรี และพระสุรมาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อุรุเวฬ และยสวา มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางยสา และนางสิริมา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 88 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 1 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี

15. องค์สมเด็จพระพุทธสุชาตะ - ผู้เลิศกว่าสัตว์โลกทั้งปวง

สถานที่ประสูติ สุมังคลนคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าอุคคตราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางปภาวดีราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสิรินันทาเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระอุปเสนราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุ 9,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ม้าพระที่นั่ง ชื่อ หังสวาสภราชา
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 33 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้มหาเวฬุ (ไม้ไผ่ใหญ่)
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 9 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระสุสุทัสสนเถร และพระสุเทวเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระนารทเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระนาคาเถรี และพระนาคสมาราเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สุทัตต และจิตต มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางสุภัททา และนางปทุมา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 50 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลกาประมาณมิได้
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี


16. องค์สมเด็จพระพุทธปิยทัสสี – ผู้ประเสริฐกว่าหมู่นรชน

สถานที่ประสูติ สุธัญญราชธานี
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสุทัตตราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางจันทราราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางวิมาลาเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระกัญจนเวฬกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุ 9,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถพระที่นั่ง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 53 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้กุ่ม
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 6 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระปาลิตเถร และพระสัพพทัสสีเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระโสภิตเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระสุชาดาเถรี และพระธัมมทินนาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สันตกะ และธัมมิก มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางวิสาขา และนางธัมมทินนา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 80 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี

17. องค์สมเด็จพระพุทธอัตถทัสสี – ผู้มีพระกรุณา

สถานที่ประสูติ สุจิรัตถราชอุทยานแห่งสาครราชธานี
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสาครราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุทัสสนาราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางวิสาขาราชเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระเสลราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 10,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ม้าพระที่นั่ง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 53 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้จำปา
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระสันตเถร และพระอุปสันตเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระอภัยเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระธรรมาเถรี และพระสุธรรมาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นกุละ และนิสภะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางมจิลา และนางสุนันทา มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 9 โกฏิ
พระวรกายสูง 80 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 100 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี


18. องค์สมเด็จพระพุทธธรรมทัสสี – ผู้บรรเทามืด

สถานที่ประสูติ สรณราชอุทยานแห่งสรณราชธานี
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสรณราชา
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุนันทาราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางวิจิโกลี
พระราชโอรส พระนามว่า พระวัฒนราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 8,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ปราสาทที่ลอยไปในอากาศ
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 50 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้ไทรย้อย
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 วัน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระปทุมเถร และปุสสเทวเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระสุเนตตเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระเขมาเถรี และพระสัจจนามาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สุภัททะ และกฏิสหะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางสาฬสา และนางกฬิสสา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 80 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 10,000 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี


19. องค์สมเด็จพระพุทธสิทธัตถะ – ผู้หาบุคคลเสมอมิได้ในโลก

สถานที่ประสูติ เวภารนคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าอุเทน
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสุผัสสาเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสุมนาราชเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระอนุปนราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 10,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา สีวิกากาญจมาศ (วอทอง)
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 40 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นกรรณิการ์
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 10 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระสัมพลเถร และพระสุมิตตเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระเรวตเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระสิวลาเถรี และพระสุรามาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สุปิยะ และสัมพุทธะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางรัมมา และนางสุรัมมา มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 100,000 โกฏิ
พระวรกายสูง 60 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 10,000 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี


20. องค์สมเด็จพระพุทธติสสะ – ผู้ประเสริฐกว่านักปราชญ์ทั้งหลาย

สถานที่ประสูติ อโนมราชอุทยานแห่งเขมราชธานี
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าชนสันธราช
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางปทุมาเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสุภัทราเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระอานนทราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 8,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ม้าพระที่นั่ง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 40 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้อาสนะ (ต้นประดู่)
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 15 วัน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระพรหมเทพเถร และพระอุทัยเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระสัมภวเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระปุสสาเถรี และพระสุทัตตาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สัมภระ และสิริ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางกีสาโคตมี และนางอุปเสนา มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 100,000 องค์
พระวรกายสูง 60 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี


21. องค์สมเด็จพระพุทธปุสสะ – ผู้ประทานธรรมอันประเสริฐ

สถานที่ประสูติ กาสีราชธานี
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าชัยเสน
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสิริมาราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางกีสาโคตมีราชเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระอานนทราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 9,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 38 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้มลกะ (ไม้มะขามป้อม)
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระสุรักขิตเถร และพระธัมมเสนเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระโสภิยเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระจาลาเถรี และพระอุปจาลาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า นายธนัญชัย และนายวิสาข มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางปทุมา และนางสิรินาคา มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 400,000 องค์
พระวรกายสูง 58 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 90,000 ปี
อายุพระศาสนา 91 กัลป์

22. องค์สมเด็จพระพุทธวิปัสสี – ผู้หาที่เปรียบมิได้

สถานที่ประสูติ พันธุมดีราชธานี
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าพันธุมหาราชา
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางพันธุมดีราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสุทัสสนาราชเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระสมวัตตขันธราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 8,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถพระที่นั่ง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 50 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้แคฝอย
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระขันธเถร และพระติสสเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระอโสกเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระจันทราเถรี และพระจันทมิตตาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า ปุณณสุมิตต และนาคะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางสิริมา และนางอุตตรา มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 84,000 องค์
พระวรกายสูง 80 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 7 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 80,000 ปี
อายุพระศาสนา 49 กัลป์


23. องค์สมเด็จพระพุทธสิขี – ผู้เป็นศาสดาเกื้อกูลแก่สัตว์

สถานที่ประสูติ มิสกราชอุทยานแห่งอรุณวดีนคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าอรุณราชา
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางปภาวดีราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสัพพกามาเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระอตุลราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสได้ 7,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 24 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นปุณฑริกะ (ไม้ซึก) คล้ายกับไม้ปาตลี
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระอภิภูเถร และพระสัมภวเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระเขมังกรเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระเขมาเถรี และพระประทุมเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สิริวัฒนะ และนันทะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางจิตรา และนางสุจิตรา มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 70,000 องค์
พระวรกายสูง 70 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 3 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 70,000 ปี


24. องค์สมเด็จพระพุทธเวสสภู – ผู้ประทานความสุข

สถานที่ประสูติ อโนมนคร
ประสูติในตระกูล กษัตริย์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสุปตีตราชา
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางยสวดีราชเทวี
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสุจิตราเทวี
พระราชโอรส พระนามว่า พระสุปปพุทธราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุ 6,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา สีวิกากาญจนมาศ (วอทอง)
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 40 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้รัง
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 6 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระโสณเถร และพระอุตตรเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระอุปสันตเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระรามาเถรี และพระสุมาลาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า โสตถิกะ และรัมมะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางโคตมี และนางสิริมา มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 40,000 องค์
พระวรกายสูง 60 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลประมาณมิได้
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 60,000 ปี
อายุพระศาสนา 70,000 ปี



25. องค์สมเด็จพระพุทธกุกกุสันธะ – ผู้นำสัตว์ออกจากกันดาร คือ กิเลส

สถานที่ประสูติ เขมวันราชอุทยานแห่งเขมนคร
ประสูติในตระกูล พราหมณ์
พระพุทธบิดา พระนามว่า อัคคิทัตตพราหมณ์
พระพุทธมารดา พระนามว่า วิสาขาพราหมณี
พระอัครมเหสี พระนามว่า โสภิณีพราหมณี
พระราชโอรส พระนามว่า อุตตรกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ 4,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถเทียมม้าอาชาไนย
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 80 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้ซึกใหญ่
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระวิธูรเถร และพระสัญชีวเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระพุทธิยะเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระสามาเถรี และพระจัมปนามาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อัจจุคาตะ และสุมนะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางนันทา และนางสุนันทา มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป

25. องค์สมเด็จพระพุทธกุกกุสันธะ – ผู้นำสัตว์ออกจากกันดาร คือ กิเลส

สถานที่ประสูติ เขมวันราชอุทยานแห่งเขมนคร
ประสูติในตระกูล พราหมณ์
พระพุทธบิดา พระนามว่า อัคคิทัตตพราหมณ์
พระพุทธมารดา พระนามว่า วิสาขาพราหมณี
พระอัครมเหสี พระนามว่า โสภิณีพราหมณี
พระราชโอรส พระนามว่า อุตตรกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ 4,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา รถเทียมม้าอาชาไนย
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 80 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้ซึกใหญ่
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 8 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระวิธูรเถร และพระสัญชีวเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระพุทธิยะเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระสามาเถรี และพระจัมปนามาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อัจจุคาตะ และสุมนะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางนันทา และนางสุนันทา มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 40,000 องค์
พระวรกายสูง 40 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 11 โยชน์
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 40,000 ปี

26. องค์สมเด็จพระพุทธโกนาคมนะ – ผู้หักเสียซึ่งข้าศึก คือ กิเลส

สถานที่ประสูติ โสภวดีราชอุทยานแห่งโสภวดีนคร
ประสูติในตระกูล พราหมณ์
พระพุทธบิดา พระนามว่า ยัญญทัตตพราหมณ์
พระพุทธมารดา พระนามว่า อุตตราพราหมณี
พระอัครมเหสี พระนามว่า รุจิคัตตาพราหมณี
พระราชโอรส พระนามว่า สัททวาหกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ได้ 3,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 20 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้อุทุมพร (ไม้มะเดื่อ)
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 6 เดือน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระภิโยสเถร และพระอุตตรเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระโสทิชเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระสมุทาเถรี และพระอุตตราเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า อุคคะ และโสมเทว มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางวรา และนางสามา มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 30,000 องค์
พระวรกายสูง 30 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลประมาณมิได้
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 30,000 ปี


27. องค์สมเด็จพระพุทธกัสสปะ – ผู้สมบูรณ์ด้วยสิริ

สถานที่ประสูติ อิสิปตนมิคทายวันแห่งนครพาราณสี
ประสูติในตระกูล พราหมณ์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พรหมทัตตพราหมณ์
พระพุทธมารดา พระนามว่า ธนวดีพราหมณี
พระอัครมเหสี พระนามว่า สุนันทาพราหมณี
พระราชโอรส พระนามว่า วิชิตเสนกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ได้ 2,000 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ปราสาทที่ลอยไปในอากาศ
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 15 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้นิโครธ
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 7 วัน
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระติสสเถร และพระภารทวาชเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระสัพพมิตตเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระอนุฬาเถรี และพระอุรุเวลาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า สุมังคละ และฆฏิการะ มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางวิชิตเสนา และนางภัตรา มหาอุบาสิกา
มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 1 โกฏิ
พระวรกายสูง 20 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกลหาประมาณมิได้
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 20,000 ปี


28. องค์สมเด็จพระพุทธโคตมะ – ผู้ประเสริฐแห่งหมู่ศากยราช
สถานที่ประสูติ กรุงกบิลพัสดุ์
ประสูติเมื่อ วันเพ็ญ เดือน 6
ประสูติในตระกูล กษัตริย์ แห่งศากยวงศ์
พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสุทโธทน
พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสิริมหามายา
พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางยโสธรา
พระราชโอรส พระนามว่า พระราหุลราชกุมาร
เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ได้ 29 ปี
พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ม้าอัศวราช
รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 14 ศอก
ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้อัสสัตถะ (ไม้ปาเป้ง)
ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 6 ปี
วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
พระอัครสาวก ได้แก่ พระติสสเถร และพระโกลิตเถร
พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระอานนทเถร
พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระเขมาเถรี และพระอุบลวัณณาเถรี
อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า จิตตะ และหัตถอาฬวก มหาอุบาสก
อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางนันทมาตา และนางอุตตรา มหาอุบาสิกา
พระวรกายสูง 16 ศอก
พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 1 วา
ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 80 ปี
อายุพระศาสนา 5,000 ปี

ขอขอบคุณที่มา Apinya.com และเว็บพลังจิต

350
ขอบคุณมากครับ...ในบทความและบทสอนดีๆ
ผมทุกวันนี้ก็ยังปฏิบัติ วิปัสสนา กรรมฐาน..ไปได้แค่ อัปปนาสมาธิ ยังไปไม่ถึงขั้นวิปัสสนาเลย. แย่จังครับ

อย่ากังวลครับ คนเราต้องเริ่มจาก 1 ทุกคนแหละครับ ขอเป็นกำลังใจครับ

351
สวยมากครับ ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับถ้าเกิดเราได้ตะกรุดมาแล้ว แล้วทองที่ตะกรุดนั้นจะหลุด เราเอาแล็กเกอร์ เคลือบตะกรุดเลยได้ไหมครับเพื่อกันไม่ให้ทองที่ตะกรุดหลุดครับ ขอคำแนะนำด้วยครับ

352
การนั่งสมาธินั้น ถ้าไม่มีการภาวนา พุท โธ ก็เหมือนกับการ ขับรถไม่มีล้อนั่นแหละครับ การจะเจริญสมาธินั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายครับ ต้องอดทน ต้องทำจิตใจให้สะอาด ถือศีลห้า ละจากกิเลส และการนั่งสมาธินั้น ได้ทั้งฌาน ทั้งได้บุญกุศล ครับ ขอให้เจริญสมาธินะครับ อนุโมทนา ครับ                                                                    
                                                               ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยครับผมมีความรู้เท่านี้ครับ

353
หลวงพ่อเขียวท่านน่านับถือมากครับ ของคุณครับสำหรับประวัติของท่าน

354
ขอบคุณครับท่าน NONGEAR44 ผมติดตามงานธรรมะทุกชิ้นเลยนะครับ อิอิ

355
9 วิธี ทำดี ได้บุญโดยไม่ต้องใช้เงิน


9 วิธี ทำดี ได้บุญโดยไม่ต้องใช้เงิน

คนไทยเรานั้น ได้ชื่อว่าเป็นพวกที่ชอบทำบุญสุนทานอยู่เสมอ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความเชื่อที่ว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว"ซึ่งแม้ปัจจุบัน หลายคนจะรู้สึกกังขาว่า ทำไม คนที่เรารู้สึกว่าชั่วยังคงได้ดิบได้ดี เช่น ยังมีเงินทองและใช้ชีวิตที่สุขสบายกว่าเราแต่นั่นก็ยังอธิบายได้ว่า เขาทำกรรมเก่าดี หรือยังกินบุญเก่าอยู่ซึ่งที่เราเห็นด้วยตาว่า เขาสุขสบายก็อาจไม่จริง บางทีเขาอาจกำลังทุกข์ใจเพราะต้องคอยระแวง ปกปิดความผิดของตน กลัวคนไปล่วงรู้อยู่ก็ได้

อย่างไรก็ดี โดยพื้นฐานแล้ว คนส่วนใหญ่ก็มักจะชอบทำบุญเพราะเชื่อว่าเป็นการทำความดี และเป็นการสะสมผลบุญที่จะสนองให้เราได้รับสิ่งที่ดีในอนาคต หรือในชาติหน้าซึ่งโดยแท้จริงการทำบุญนั้น ทันทีที่ทำก็เป็นความสุขแล้ว เพราะ บุญ คือการทำความดีด้วยวิธีการต่างๆ ที่ทำให้อิ่มเอิบเบิกบานใจ

โดยทั่วไป คนมักทำบุญกุศลด้วยการบริจาคทรัพย์ สิ่งของหรือให้ทานเป็นโอกาสๆ เช่น บริจาคช่วยผู้ประสบภัยธรรมชาติร่วมสร้างศาสนสถาน ทอดกฐินผ้าป่า ช่วยเด็กกำพร้า หรือช่วยซื้อโลงศพเป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่เชื่อไหมว่าในชีวิตประจำวันของคนเรานั้น เรามีโอกาสทำความดี หรือทำบุญได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องใช้เงินทองหรือสิ่งของ

ถึงแม้เราจะไม่ได้มีอาชีพเป็นแพทย์พยาบาลที่ต้องช่วยเหลือคนเป็นประจำอยู่แล้วก็ตาม จะทำได้อย่างไรนั้นกลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรมขอเสนอแนะ 9 วิธีทำดี ได้บุญ แบบไม่ต้องใช้เงินเพื่อเป็นแนวทางให้ท่านได้สะสมกุศลให้เพิ่มพูนขึ้น ดังต่อไปนี้


1.ตื่นเช้าขึ้นมาก็คิดแต่สิ่งดีๆ ทันทีที่ตื่นนอนหากเราคิดถึงแต่สิ่งที่ดีที่งาม ก็จะทำให้จิตใจเราสดชื่น กระตือรือร้นพร้อมที่จะรับมือ กับชีวิตประจำวันด้วยความรื่นเริง ไม่หงุดหงิด โมโหแค่นี้ นอกจากเราจะมีความสุขแล้ว คนรอบข้างเราก็มีความสุขไปด้วยถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง

2.ยิ้มแย้มแจ่มใส ในแต่ละวันหากเราจะรู้จักยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าจะยิ้มกับคนรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตามหน้าตาของเราก็จะดูเป็นมิตร ทำให้คนอยากเข้าใกล้ ถ้าเราเป็นพ่อแม่ยิ้มกับลูกก่อนไปทำงาน ลูกก็ดีใจ ลูกยิ้มกับพ่อแม่ๆก็สบายใจว่าต่างคนต่างไม่มีเรื่องเดือนร้อนใจแน่หรือหากมีก็กล้าจะมาปรึกษาหารือ หรือหากเป็นเจ้านาย ยิ้มกับลูกน้องๆก็รู้ว่าวันนี้นายอารมณ์ดี ทำให้ทำงานด้วยความมั่นใจไม่ต้องระแวงว่าจะถูกเรียกไปต่อว่า และถ้าเรียกก็ดูน่าจะมีเมตตากว่าเวลาที่นายทำหน้ายักษ์

3.ทักทาย โอปราศรัย คนบางคนนอกจากจะไม่ยิ้มกับใครแล้ว ยังชอบทำหน้าบึ้งตึงไม่คิดจะพูดจาทักทายใครด้วย ซึ่งถ้าเกิดทำงานด้านบริการคนมาติดต่อคงรู้สึกเกร็ง และกังวลตลอดว่าจะถูกเอ็ดตะโรเมื่อไรก็ไม่รู้ดังนั้น นอกจากยิ้มแย้มแจ่มใสแล้วเราก็ควรจะเอื้อนเอ่ยวาจาทักทายผู้มารับบริการก่อนการทักทายปราศรัยกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้มาขอรับบริการเพื่อนฝูงคนรู้จัก ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา หรือแม้แต่คนที่มาทำงานให้เราเช่น แม่บ้าน ยาม ฯลฯ จะทำให้เขารู้สึกเป็นมิตร และอบอุ่นใจทำให้บรรยากาศในที่นั้นๆ ดีขึ้น

4.แบ่งปันน้ำใจไมตรี สามารถทำได้ทุกที่และทุกเวลาเช่น ช่วยพ่อแม่จัดโต๊ะอาหาร ล้างถ้วยชาม ลุกให้เด็ก ผู้หญิงท้องหรือคนแก่นั่ง ช่วยถือของหนักให้คนในรถเมล์ หยุดรถให้คนข้ามถนนหรือรถอื่นไปก่อน ช่วยแบ่งเบาภาระงาน ให้เพื่อนในที่ทำงาน เป็นต้นการให้ความช่วยเหลือเช่นนี้ เป็นการทำบุญด้วยการลดความเห็นแก่ตัวของเราลงและทำให้เราได้รับมิตรไมตรีสนองตอบกลับมาด้วย

5.ปลุกปลอบให้กำลังใจ ช่วยแก้ไขปัญหาหลายๆครั้งที่เพื่อนฝูงญาติมิตรอาจประสบปัญหาชีวิตและเกิดความทุกข์ใจแสนสาหัส สิ่งที่ดีที่สุดคือความเป็นมิตรและถ้อยคำที่ปลุกปลอบให้กำลังใจ คำพูดดีๆ ที่มาจากใจจะทำให้ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์รู้สึกดีขึ้นและมีพลังที่ต่อสู้ชีวิตต่อไปได้

6.ให้คำชมด้วยความนิยมยินดีการกล่าวคำชื่นชมต่อผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆย่อมจะทำให้ผู้รับคำชมรู้สึกปลาบปลื้มยินดี และมีความสุขได้โดยเฉพาะในเรื่องที่เขาทำสำเร็จแต่ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และจริงใจด้วยดูอย่างตัวเราเองแค่วันไหน แต่งตัวสวย แล้วมีคนชมเราก็หน้าบานไปทั้งวันแล้ว เช่นเดียวกันคนทุกคนล้วนอยากได้การยอมรับและคำชมทั้งนั้นเพราะคำชมจะเป็นการเสริมเพิ่มกำลังใจให้อยากทำดียิ่งๆ ขึ้นไป

7.แนะนำให้คำสอนที่ดี มีคุณค่าไม่ว่าจะเราจะอยู่ในสถานภาพใด เช่น เป็นลูก เป็นพ่อแม่ ลูกน้อง เจ้านายเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมอาชีพ ฯลฯ หากเราจะมีเมตตา แนะนำในสิ่งที่ดีมีประโยชน์และคุณค่าต่อผู้อื่น หรือสอนในสิ่งที่เราชำนาญให้แก่ผู้อื่นก็จะเป็นการช่วยเกื้อกูลสังคมให้ดียิ่งขึ้นและผลก็จะย้อนมาสู่ตัวเราผู้ทำด้วย เช่น สอนงานให้ลูกน้อง ต่อไปเมื่อเขาทำงานเป็น เราก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก และเขาก็จะรู้สึกขอบคุณเราแนะวิธีออกกำลังกายให้พ่อแม่ ท่านก็แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่ายเราก็สบายใจ หรือแม้แต่การแนะนำให้ความรู้ที่เรามีหรือทราบมาแก่คนไม่รู้จัก อย่างแนะนำหมอ ยาดีๆ หรือธรรมะที่ดีแก่คนอื่นทำให้เขาหายป่วยหรือรู้สึกดีขึ้น เขาก็จะอธิษฐานหรือให้พรเราทำให้เราพบแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต

8.การให้อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่นโดยทั่วไปคนเรามักจะให้อภัยตัวเองง่าย และมีข้อแก้ตัวให้ตนต่างๆ นานาแต่ถ้าผู้อื่นผิดพลาดแล้ว เรามักเห็นเป็นเรื่องใหญ่และตำหนิติเตียนไม่รู้จักแล้วจบ ดังนั้น เราจะต้องหัดมีเมตตารู้จักให้อภัยต่อผู้อื่นให้ง่าย เหมือนให้อภัยแก่ตัวเราเองเพราะการให้อภัย จะทำให้เราไม่ผูกใจเจ็บ ไม่อาฆาตมาดร้าย ไม่ก่อศัตรูแต่ทำให้จิตใจเราสงบเย็น เป็นฝึกจิตพื้นฐานอย่างหนึ่งที่จะนำไปสู่กุศลขั้นสูงอื่นๆ ต่อไป

9.ฝึกจิตให้สงบและสบาย ด้วยการทำสมาธิหรือสวดมนต์การทำสมาธิ ฟังดูเหมือนยาก แต่จริงๆ เราทำได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรอยู่ เช่น กินข้าว อาบน้ำ ทำการบ้าน ทำงานบ้าน อ่านหนังสืออยู่ที่ทำงาน หัวใจหลักคือให้เอาใจไปจดจ่อ ในสิ่งที่ทำเพียงอย่างเดียวจะทำให้เราทำทุกอย่างได้ดีขึ้น เพราะไม่พะวักพะวนคิดหรือทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันอันทำให้ขาดสติ และทุกๆ คืนก่อนนอนก็ควรสวดมนต์ไหว้พระที่เรานับถือ โดยอาจเลือกบทสวดสั้นๆ ที่เราชอบเสร็จแล้วก็อย่าลืมแผ่เมตตาให้กับตัวเราเอง และผู้อื่นตามสมควร

ที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าเป็นการทำความดีที่ไม่ต้องใช้เงินเลยแต่สามารถปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเราได้ โดยไม่ยากเย็นเข็ญใจจนเกินไปอีกทั้งปฏิบัติแล้วก็เป็นบุญกุศลที่จะเกื้อหนุนให้เราและคนรอบตัวมีความสุข เพราะ"บุญ" ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เครื่องชำระกายใจให้บริสุทธิ์ เป็นการทำประโยชน์ให้แก่ตัวเราเอง และผู้อื่นและยังช่วยลดกิเลส ความเศร้าหมองต่างๆ ได้ เริ่มทำแต่วันนี้เลยนะคะเพราะมีคนบอกว่า "ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง"

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บพลังจิต

356
ขอบคุณครับสำหรับข่าว ขอให้พระอาจารย์ต้อยหายอาพาธโดยเร็วนะครับ

357
ในพุทธศาสนา อานิสงค์ของความ เมตตามีกล่าวไว้หลายแห่งในพระไตรปิฎก
โดยมีผลถึง ๑๑ ประการคือ

๑. หลับเป็นสุข

๒. ตื่นเป็นสุข

๓. ไม่ฝันร้าย

๔. เป็นที่รักของมนุษย์

๕. เป็นที่รักของอมนุษย์

๖. เทวดาย่อมรักษา

๗. ไฟ ยาพิษ ศาสตรา ย่อมไม่กล้ำกลาย

๘. จิตตั้งมั่นได้รวดเร็ว

๙. ผิวหน้าผ่องใส

๑๐. ไม่หลงตาย( มีสติ เมื่อตอนตาย )

๑๑. เมื่อล่วงลับไปแล้ว ถ้ายังมิได้บรรลุธรรมอันยิ่งขึ้นไป
ย่อมเข้าถึงพรหมโลก


พระวินัยปิฎก ๘/๑๐๐๔



เมตตา แปลว่า ความปรารถนาให้เป็นสุข เป็นธรรมมะที่ทำลายความโกรธได้โดยตรง
จัดเป็นธรรมมะอยู่ใน พรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา ( ปรารถนาให้เป็นสุข )
กรุณา ( ความปรารถนาให้พ้นทุกข์ ) มุทิตา ( พลอยยินดี )
และ อุเบกขา ( วางใจเป็นกลาง )



ศาสนาพุทธสอนว่า ธรรมมะหมวดนี้ เป็นคุณธรรมที่มีอยู่ในพรหม
และเมื่อทำให้มาก ก็จะนำไปสู่การเป็นพระพรหม
อานิสงค์ของการเจริญเมตตา เป็นประจำมีอยู่มากมาย
และความเมตตาทำให้เราชนะความโกรธ
ทำให้มีการให้ทาน และทำให้มีการให้อภัยทาน คือยกโทษให้กันได้อีกด้วย
ผู้ที่มีเมตตา จะเสมือน มีศีล อยู่ในตนเอง
เพราะเขาจะไม่ทำร้ายใครอื่นเลย
เนื่องจาก ปรารถนาให้ทุกคนมีความสุขนั่นเอง

ขอบขอบคุณข้อมูลดีๆจากเว็บพลังจิต

358
พระสวยมากครับ มีเกสาหลวงพ่อเปิ่นด้วย ขลังน่าดูนะครับ

359
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับผม ควรพร้อม ทั้งร่างกาย และ จิตใจครับ

361
สวยครับสวย ขอบคุณครับที่นำมาให้ชม

363
ตะกรุด สั่งจองได้ที่ไหนมั้งเหรอครับ อยากได้จัง อิอิ  :095:

365
กฎแห่งกรรม (รู้แล้วอย่าทำกรรม)

อ่านให้จบน่ะจุดเด่นอยู่ที่ข้อ 19
กฏแห่งกรรม
1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย
เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์
2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอยู่เสมอ
เพราะชาติก่อนคุณเคยทำทานอาหารแก่คนยากจนในชาติก่อน
3. เหตุใดชาตินี้คุณอดอยากยากจน ไม่มีเสื้อผ้าดีดีสวมใส่
เพราะคุณตระหนี่ขี้เหนียวไม่ยอมทำทานคนจน ในชาติก่อน
4. เหตุใดชาตินี้คุณมีบ้านเรือนใหญ่โต
เพราะคุณเคยถวายข้าวสารเข้าวัดในชาติก่อน
5. เหตุใดชาตินี้คุณมีความเจริญรุ่งเรืองและมีความสุขมาก
เพราะคุณเคยถวายเงินสร้างวัดในชาติก่อน
6. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนสวย และรูปงาม
เพราะคุณเคยถวายดอกไม้สดบูชาพระด้วยความเคารพในชาติก่อน
7. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีปัญญาดี
เพราะคุณเคยเป็นพุทธมามกะและทานมังสวิรัติในชาติก่อน
8. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นที่รักของทุกๆ คนและมีเพื่อนมากมาย
เพราะคุณเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคนในชาติก่อน
9. เหตุใดชาตินี้คุณมีพ่อ แม่อยู่พร้อมหน้า
เพราะคุณเคารพและให้ความช่วยเหลือ ไม่ดูแคลนคนไร้ญาติในชาติก่อน
10. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นเด็กกำพร้า
เพราะคุณเคยยิงนก ตกปลา และพรากสัตว์ในชาติก่อน
11. เหตุใดชาตินี้คุณมีอายุยืนแข็งแรง
เพราะคุณเคยปล่อยนก ปล่อยปลา สิ่งมีชีวิตในชาติก่อน
12. เหตุใดชาตินี้คุณอายุสั้น
เพราะชาติก่อนคุณเคยฆ่าสัตว์มากมาย
13. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนรับใช้
เพราะชาติก่อนคุณเคยดูถูกเหยียดหยามคนจน
14. เหตุใดชาตินี้คุณมีดวงตาสดใส
เพราะชาติก่อนคุณเคยเติมน้ำมันตะเกียงและจุดไฟบูชาพระ
15. เหตุใดชาตินี้คุณโง่ปัญญาอ่อนและหูหนวก
เพราะชาติก่อนคุณเคยด่าว่าและหยาบคายต่อหน้าพ่อแม่
16. เหตุใดชาตินี้คุณต้องตายเพราะยาพิษ
เพราะชาติก่อนคุณเจตนาวางยาในต้นน้ำลำธารให้เป็นพิษ
17. เหตุใดชาตินี้คุณจึงแขวนคอตาย
เพราะชาติก่อนคุณใช้ตะข่ายล่าและดักสัตว์
18. ถ้าชาตินี้คุณฆ่าเขา
ชาติหน้าเขาก็จะฆ่าคุณ และจะฆ่ากันไป-มาไม่มีสิ้นสุด
19. ถ้าชาตินี้คุณบอกเล่ากฏแห่งกรรม
คุณจะเป็นที่เคารพนับถือมากมายในชาติหน้า

**อ่านเสร็จแล้วถ้าส่งต่อ ก็ขอบคุณมากเลยนะครับ อนุโมทนา สาธุครับ **

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://board.palungjit.com/

366
ไม่เป็นไรครับ ถ้าไม่บ้วนลงโถก็ไม่เป็นไร งั้นเวลาอาบน้ำห้ามบ้วนลงห้องน้ำ ก็ไม่ต้องแปรงฟันกันพอดีสิครับ อย่าคิดมาก
ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ใจ  ศรัทธา ด้วย ปัญญา นะครับ

367
จุดธูปบอกครูบาร์อาจารย์ว่า สิ่งที่ลูกศิษย์ทำไปนั้น ลูกศิษย์ รู้เท่าไม่ถึงการ ลูกศิษย์ขอขมาครูบาร์อาจารย์ ครับ คราวหน้า ถ้าไม่แน่ใจข้อห้ามอะไร ให้เข้าไปมาถามในบอร์ดก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวจะพลาดเหมือนครั้งที่แล้วอีกครับ
ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ใจ  ศรัทธา ด้วย ปัญญา นะครับ

368
ทางที่ดีอย่าให้นั่งทับ หรือ ข้าม จะดีกว่าครับ แต่ถ้าเป็น บิดา มารดา คงไม่เป็นอะไรครับ :005:

369
ขอบคุณครับสำหรับข่าวครับ ขอให้ พระ อจ.ตั๊ก หายเร็วๆนะครับ

370
ใส่ร้ายคนดี ได้รับโทษทันตา

พระพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี
พระโกกาลก "ริษยา" พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ
ได้ทูลพระพุทธเจ้าให้ร้ายพระเถระทั้งสอง พระพุทธองค์ทรงห้ามถึง ๓ ครั้งก็ไม่ฟัง
ได้รับอกุศลกรรมสนองทันตา ได้เกิดฝีหัวใหญ่ขึ้นทั่วตัว ฝีแตกน้ำเหลืองไหล
ได้รับทุกขเวทนากล้า จนขาดใจตายไปเกิดในปทุมนรก
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหานรกอเวจี ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส

พระพุทธองค์ทรงแสดงโทษ แห่งการใส่ร้ายผู้ทำความดี เพื่อเป็นเครื่องสังวรของชาวพุทธไว้ดังนี้

• “คนพาลเมื่อพูดคำชั่วร้ายออกไป ได้ชื่อว่าฆ่าตัวเองด้วยอาวุธ

• ผู้ใดสรรเสริญผู้ที่ควรถูกติ หรือติผู้ที่ควรได้รับความสรรเสริญ ผู้นั้นชื่อว่าสะสมความชั่วด้วยปาก เขาย่อมไม่ได้รับความสุข

• ความพินาศแห่งทรัพย์สินเพราะการพนันก็ดี พร้อมด้วยสิ่งของทั้งหมดก็ดี พร้อมด้วยตนเองก็ดี ยังนับว่ามีโทษเพียงเล็กน้อย ส่วนบุคคลใด ทำใจคิดร้ายในท่านผู้ทำดีทั้งหลาย มีโทษยิ่งใหญ่กว่า

• ผู้พูดจาด้วยจิตอันลามก ชอบติเตียนพระอริยเจ้า ย่อมเข้าถึงนรก”

โกกาลิกสูตร ๑๕/๒๐๙

การใส่ร้ายคนดีมีโทษหนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอรหันต์ด้วย
โทษก็จะยิ่งมากเป็นทวีคูณ
เพราะท่านหมดกิเลสแล้ว
จัดว่าเป็น “ปาปมุต” คือ ไม่มีใครถือโทษ หรือพ้นจากโทษแล้ว

กรณีของพระโกกาลิกในเรื่องนี้

ถ้าเราไม่ยกให้เป็นอกุศลกรรมของพระโกกาลิกบันดาลให้เป็นไป แล้วจะเกิดจากอะไร?
เพราะทั้งพระสารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะ ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว
ไม่มีให้โทษใครมีแต่ให้คุณ ก็แล้วเหตุไฉนพระโกกาลิกจึงไปริษยาท่านเล่า?

ก็ไม่ใช่กรรมฝ่ายชั่วมาบันดาลให้ท่านคิดผิดไป
เหมือนการซัดฝุ่นที่ละเอียดทวนลม มันก็ต้องถูกฝุ่นย้อนกลับมาเข้าตาตนเอง ฉะนี้แล

ที่มา : www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=dokgaew&topic=6502

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://board.palungjit.com

371
ยันต์สวยมากครับ อักขระคมชัดมากครับ

372
คนชอบจับผิดผู้อื่นไม่เจริญในธรรม




อรรถกถาธรรมบท : มลวรรควรรณนา
เรื่องพระอุชฌานสัญญีเถระ

ข้อความเบื้องต้น

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเถระรูปหนึ่งชื่อ อุชฌานสัญญี ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ปรวชฺชานุปสฺสิสฺส" เป็นต้น.


คุณวิเศษให้เกิดแก่ผู้เพ่งโทษผู้อื่น
(น่าจะเป็น "คุณวิเศษไม่เกิดแก่ผู้เพ่งโทษผู้อื่น " มากกว่านะครับ - ธัมมโชติ)


ได้ยินว่า พระเถระนั้นเที่ยวแส่หาแต่โทษของภิกษุทั้งหลายเท่านั้น ว่า " ภิกษุนี้ ย่อมนุ่งอย่างนี้, ภิกษุนี้ ย่อมห่มอย่างนี้." (คือคอยจับผิด และกล่าวติเตียนผู้อื่น - ธัมมโชติ) พวกภิกษุกราบทูลแด่พระศาสดาว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเถระชื่อโน้น ย่อมกระทำอย่างนี้."


พระศาสดาตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ตั้งอยู่ในข้อวัตร กล่าวสอนอยู่อย่างนี้ ใครๆ ไม่ควรติเตียน, (หมายถึงผู้ที่กล่าวสอนผู้อื่นด้วยความเมตตา เพื่อให้เขาปฏิบัติตนได้ถูกต้อง เหมาะสม - ธัมมโชติ) ส่วนภิกษุใด แสวงหาโทษของชนเหล่าอื่น เพราะความมุ่งหมายในอันยกโทษ (คำว่า "ยกโทษ" ในสำนวนบาลี หมายถึงการกล่าวโทษ ไม่ได้หมายถึงการให้อภัยอย่างในสำนวนไทย - ธัมมโชติ) กล่าวอย่างนี้แล้วเที่ยวไปอยู่, บรรดาคุณวิเศษมีฌานเป็นต้น คุณวิเศษแม้อย่างหนึ่ง ย่อมไม่เกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น. อาสวะทั้งหลายเท่านั้นย่อมเจริญอย่างเดียว"
(อาสวะ คือกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน - ธัมมโชติ)


ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า:-



๑๑. ปรวชฺชานุปสฺสิสฺส


นิจฺจํ อุชฺฌานสญฺญิโน
อาสวา ตสฺส วฑฺฒนฺติ
อารา โส อาสวกฺขยา.


"อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น
ผู้คอยดูโทษของบุคคลอื่น
ผู้มีความมุ่งหมายในอันยกโทษเป็นนิตย์,
บุคคลนั้นเป็นผู้ไกลจากความสิ้นไปแห่งอาสวะ."


ผู้ที่คอยจ้องจับผิดผู้อื่นนั้น จิตใจจะหยาบกระด้าง จึงเป็นอุปสรรคต่อความเจริญก้าวหน้าในธรรม


เพราะผู้ที่มีความเจริญก้าวหน้าในธรรมนั้น จิตใจจะประณีต ละเอียดอ่อนขึ้นไปเรื่อยๆ ตามขั้นของความเจริญก้าวหน้านั้น

ผู้รวบรวม


ธัมมโชติ
31 สิงหาคม 2545



ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บพลังจิต
_____________________________________________________________________________________

373
อานิสงส์ของการรักษาศีล 5 ขององค์ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร

--------------------------------------------------------------------------------

อานิสงส์ของการรักษาศีล 5

1. ทำให้อายุยืน ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน
2. ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในความปกครอง มีความปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายมาราวี เบียดเบียนทำลาย
3. ระหว่างลูก หลาน สามี ภริยา อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ไม่มีผู้คอยล่วงล้ำกล้ำกรายต่างครองกันอยู่ด้วยความเป็นสุข
4. พูดอะไร มีผู้เคารพเชื่อถือ คำพูดมีเสน่ห์เป็นที่จับใจไพเราะ ด้วยสัตย์ด้วยศีล
5. เป็นผู้มีสติปัญญาดีและเฉลียวฉลาด ไม่หลงหน้าหลงหลัง จับโน่นชนนี่เหมือนคนบ้าคนบอหาสติไม่ได้ ผู้มีศีล เป็นผู้ปลูกและส่งเสริมสุขบนหัวใจคนและสัตว์ทั่วโลกให้ มีแต่ความอบอุ่นไม่เป็นระแวงสงสัย ผู้ไม่มีศีลเป็นผู้ทำลายหัวใจคนและสัตว์ ให้ได้รับความทุกข์เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า

ศีล นั้นอยู่ที่ไหน มีตัวตนเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้รักษาแล้วก็รู้ว่า ผู้นั้นเป็นตัวศีล ศีลก็อยู่ที่ตนนี้ เจตนาเป็นตัวศีล เจตนา คือ จิตใจ คนเราถ้าจิตไม่มี ก็ไม่เรียกว่าตน มีแต่กายจะทำอะไรได้ ร่างกายกับจิตต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อจิตไม่เป็นศีล กายก็ประพฤติไปต่าง ๆ ผู้มีศีลแล้วไม่มีโทษ จะเป็นปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหว ไม่มีเรื่องหลงหาหลงขอคนที่หา คนที่ขอ ต้องเป็นทุกข์ ขอเท่าไรยิ่งไม่มี ยิ่งอดอยาก ยากเข็ญยิ่งไม่มี

กายกับจิต เราได้มาแล้ว มีอยู่แล้ว ได้จากบิดามารดาพร้อมบริบูรณ์แล้ว จะทำให้เป็นศีลก็รีบทำ ศีลมีอยู่ที่เรานี้แล้ว รักษาได้ไม่มีกาล ได้ผลไม่มีกาล

ผู้มีศีล ย่อมเป็นผู้องอาจกล้าหาญ ผู้มีศีล ย่อมมีความสุข ผู้จักมั่งคั่งบริบูรณ์ สมบูรณ์ ไม่อด ไม่อยาก ไม่จน ก็เพราะรักษาศีลได้สมบูรณ์ จิตดวงเดียว เป็นศีลเป็นสมาธิ เป็นปัญญา

ผู้มีศีลแท้ เป็นผู้หมดเวรหมดภัย



ที่มา : คติธรรม คำสอน ของ องค์ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร

ขอบคุณข้อมูลดีๆจากเว็บพลังจิต

374

นี่แหละกรรม! กรรม..ของอาจารย์เถรผู้กระทำอวิชชา

นี่แหละกรรม! อาจารย์เถร.. ผู้มีกรรม จาก หนังสือ แปลกรายสัปดาห์

ชาวพุทธเรานั้น.. ปฏิบัติตามคำสั่งสอนแห่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่ว่า.. “..กรรมอันมนุษย์.. ได้ประกอบขึ้นนั้น คือ เครื่องบ่งชี้ว่า บุคคลผู้นั้นเป็นคนอย่างไร.. ผู้ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว.. ดุจล้อเกวียนหมุนทับรอยโคกระนั้น.. กรรมย่อมส่งผลทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ดังนั้น.. จึงพึงหมั่นสร้างแต่กุศลกรรมหรือกรรมดี เพื่อให้เกิดความเจริญผาสุกแก่ตนเองและสังคม..”


นายพลับ.. หรืออดีตหลวงตาพลับ ที่ชาวบ้านกุดเจ้าเรียกกันว่า “ตาเถร” เพราะแม้ครองผ้าเหลือง แต่ละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาจิณ.. โดยเฉพาะการฉันสุรา แม้ท่านพระครูเจ้าอาวาสจะเรียกไปตักเตือน แต่หลวงตาพลับกลับไม่เชื่อฟัง..
“ท่านพลับ.. ฉันในฐานะเจ้าอาวาสวัดกุดเจ้า.. ขอร้องให้ท่านพลับหยุดฉันเหล้า เพราะนอกจากจะผิดศีลแล้ว ยังเสียสมณสารูปอีกด้วย ชาวบ้านติเตียน..ทำให้พระสงฆ์ส่วนใหญ่พลอยเสียหายไปด้วย..”

“ท่านเจ้าอาวาส.. ท่านก็รู้นี่ครับว่า การฉันสุราเป็นเพียงผิดศีลปาจิตตีย์.. ปลงอาบัติได้ แม้ชาวบ้านจะติเตียนก็ชั่งหัวชาวบ้านปะไรเล่า.. ป่วยการมาบอกผม เพราะผมเลิกไม่ได้..”

“ชาวบ้านติเตียนก็ถูกของเขา.. เพราะเราอาศัยภัตตาหารจากชาวบ้านเขาดำรงชีวิตอยู่ เราเป็นภิกษุผู้ขอภัตตาหารจากชาวบ้าน จึงไม่ควรทำตัวเป็นขี้ปากชาวบ้าน..”

“ผมไม่ได้บิณฑบาต.. ลูกผมมันทำภัตตาหารมาถวายทุกวัน ดังนั้น.. ผมจึงไม่ได้อาศัยชาวบ้านแบบที่ท่านพูดมา.. ผมไม่เลิกฉันสุรา.. ท่านจะทำอะไรผมได้..”

ท่านเจ้าอาวาส.. พยายามขอร้อง แต่แล้วในที่สุด.. ก็ต้องตัดสินใจแจ้งเรื่องให้ท่านเจ้าคณะจังหวัดส่งตำรวจพระมาจัดการ ตำรวจพระที่เป็นพระหนุ่มอาศัยอำนาจที่ได้รับตาม พ.ร.บ. การปกครองคณะสงฆ์ กุมตัวมาให้ท่านเจ้าอาวาสทำการสึก.. หลังจากสึกแล้ว หลวงตาพลับได้กลับเป็นฆราวาส ตั้งสำนักทำเสน่ห์ รู้จักกันในชื่อ “สำนักตาเถร”

อดีตพระพลับหรืออาจารย์เถร.. ในเบื้องลึกแล้ว แค้นเคืองท่านเจ้าอาวาสเป็นอย่างยิ่ง หลังจากถูกสึกได้กล่าวคำอาฆาต ท่านเจ้าอาวาสไว้ว่า..


“มึงระวังตัวไว้เถิด.. ไอ้มานพ (ชื่อท่านเจ้าอาวาสเมื่อยังเป็นฆราวาส) วันหนึ่ง.. มึงต้องเจอกับกู กูจะทำให้มึงรู้จักไอ้พลับว่า.. เป็นศิษย์มีครูเหมือนกัน..”

กิตติศัพท์อาจารย์เถรเป็นที่รู้จักของคนที่เป็นเมียน้อยได้เป็นอย่างดี เพราะอาจารย์เถรนิยมทำเสน่ห์ให้กับบรรดาเมียน้อย เพื่อให้ผัวหลง.. และเปลี่ยนฐานะเป็นเมียหลวง เมื่อผัวอเปหิเมียหลวงออกจากตำแหน่ง.. อาจารย์เถรลงนะหน้าทองเป็นยอด แต่การลงของอาจารย์เถร.. ต้องลงแบบสองต่อสอง และเล่าลือกันวงในว่า เมียน้อยรายไหนได้ลงนะหน้าทองจากอาจารย์เถรแล้ว.. เป็นสำเร็จทุกราย ซึ่งก็ต้องยอมเปลืองตัวให้อาจารย์เถร..

มันเหมือนสวรรค์เล่นตลก.. หลวงพ่อมานพเจ้าอาวาสวัดกุดเจ้า ท่านมีวิชาทางถอดถอนคุณไสยที่พวกมนต์ดำทำมา.. หลายครั้งคนที่ถูกอาจารย์เถรทำเสน่ห์ใส่.. ถูกนำตัวมาให้หลวงพ่อมานพช่วยถอดถอน ท่านก็ทำให้จนหาย.. ทำให้อาจารย์เถรเกิดความเคียดแค้นหนักขึ้นไปอีก..

“ไอ้มานพนะไอ้มานพ.. จับกูสึกจนกูต้องมาเป็นฆราวาสแล้ว ยังจะตามมาราวีกู.. ด้วยการถอดถอนคุณไสยเสน่ห์ยาแฝดที่กูทำเสียอีก.. รู้ก็รู้ว่าเป็นอาชีพของกู แต่มันก็ยังรับทำให้ มึงกับกูอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้..”

อาจารย์เถร.. เดินทางไปหาอาจารย์เขมร ที่เป็นผู้สอนวิชาให้ถึงเมืองศรีโสภณ ไปเล่าเรื่องให้กับอาจารย์ตัวเองฟัง.. อาจารย์เขมรจึงให้ทำพิธีครอบ เพื่อให้เรียนวิชาปล่อยคุณไสยทำร้ายหลวงพ่อมานพ จนในที่สุด.. อาจารย์เถรก็สำเร็จวิชา เดินทางกลับมาบ้านกุดเจ้าอย่างเงียบ ๆ

“ไอ้มานพ.. คราวนี้แหละ.. มึงไม่รอดแน่ ! ”

อาจารย์เถร.. เร่งทำคุณไสยใส่หลวงพ่อมานพ แต่มิอาจทำอันตรายหลวงพ่อมานพได้.. หลายครั้งที่หลวงพ่อมานพถามผีที่อาจารย์เถรปล่อยมาว่า มาจากไหน.. ใครทำ.. ผีก็บอกให้ว่า มาจากอาจารย์เถร.. ถ้าเป็นอาจารย์ฆราวาสด้วยกัน เมื่อรู้ว่าของมาจากไหน ก็จะส่งของกลับคืนเจ้าของแบบดาบนั้นคืนสนอง.. แต่หลวงพ่อมานพกลับไม่ทำ แต่จับวิญญาณนั้นใส่กระบอกไม้ไผ่ ปิดปากกระบอกด้วยผ้ายันต์ ทำพิธีเผาส่งวิญญาณไปผุดไปเกิดตามยถากรรม..

แทนที่อาจารย์เถรจะรามือ แต่กลับเร่งมือหนักขึ้น.. ในที่สุดวันสำคัญก็มาถึง.. วันแรม 15 ค่ำวันเดือนดับ.. อาจารย์เถรทำพิธีเสกหนังควายให้เข้าไปในท้องของหลวงพ่อมานพ.. เมื่อเสกจนเหลือเท่ากับเม็ดถั่วเขียวแล้ว จึงปล่อยออกไปหาหลวงพ่อมานพ..>
ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา และเมตตาธรรม แห่งหลวงพ่อมานพ.. คุณไสยที่ปล่อยออกไปใส่หลวงพ่อมานพ.. มิอาจทำอันตรายหลวงพ่อมานพได้ แต่กลับย้อนมายังอาจารย์เถร.. แต่อาจารย์เถรก็ส่งกลับไปอีกจนครบ 3 วาระในคืนเดียว สุดท้าย.. ของกลับอย่างแรง! ทำให้แม้รับได้แต่ก็เล่นเอาป่วยไปหลายวัน ทำให้อาจารย์เถรเคียดแค้นหลวงพ่อมานพเพิ่มพูนขึ้น.. จนประกาศไม่อยู่ร่วมโลกกับหลวงพ่อมานพ..

หลวงพ่อมานพ.. ท่านเคยให้นายประยูรที่มีศักดิ์เป็นลุงแท้ ๆ ของอาจารย์เถร ไปบอกสิ่งที่หลวงพ่อมานพต้องการพูดกับอาจารย์เถร..

“พลับ.. ในฐานะที่เอ็งเป็นหลานคนเดียวของข้า.. ข้าจะขอบอกกับเอ็งว่า.. ที่หลวงพ่อมานพรับถอดถอนคุณไสย มิได้เลือกว่าเป็นใครทำ และทำด้วยเมตตา เมื่อมีคนมาขอความเมตตา มิได้ทำเพื่อชื่อเสียงหรือความดัง.. แต่ทุกอย่างทำด้วยเมตตาเป็นที่ตั้ง และไม่เคยคิดส่งของกลับคืนเจ้าของ.. เพียงแต่บางครั้งช่วยปล่อยดวงวิญญาณที่ถูกใช้มาด้วยอำนาจของผู้เป็นนาย ให้ไปผุดไปเกิด.. การที่เอ็งเล่นคุณไสยเป็นของไม่ดี.. วันหนึ่งเอ็งจะถูกหมอคุณไสยด้วยเล่นงาน ยังไม่สายหากจะยุติการกระทำกรรม..”

“ลุงไม่ต้องมาแก้ตัวแทนมัน.. ข้าไม่มีวันเลิกล้ม.. ไปบอกมันเถิดว่า วันใดมันพลาด มันเผลอ วันนั้นมันตายแน่.. แม้ข้าจะตกนรกหมกไหม้.. ข้าก็ยอม!..”

อาจารย์เถร.. เป็นที่รู้จักไปทั่ว และท้าทายทุกสำนัก เพราะอาจารย์เถรทระนงในฝีมือตัวเอง โดยไม่คิดว่า.. จะมีวันพลาดพลั้ง.. ผู้เขียนเอง ตอนนั้น..เป็นเด็กวัดเดินตามหลังหลวงพ่อมานพออกบิณฑบาต ยังจำได้ว่า หลวงพ่อมานพสั่งว่า..
“ตอนกลางคืน.. หากได้ยินเสียงประหลาด อาทิ เสียงวัตถุกระทบหลังคา หรือฝากุฏิ แม้แต่ เสียงนกร้องก็อย่าได้ออกปากทัก เพราะคุณไสยที่เขาส่งจะเข้าตัว หากแก้ไขไม่ทันอาจถึงตายได้ อย่าประมาท..”

คนเล่นคุณไสยนั้น.. เป็นผู้ที่มีบาป แต่ละคนจะไม่ยอดลดละให้สำนักที่เป็นคู่แข่ง หรือแม้ไม่เป็นคู่แข่ง แต่มีชื่อเสียงขึ้นมา ก็ต้องมีการสกัดดาวรุ่ง อาจารย์เถรต้องระวังตัวแจ ที่สี่มุมสำนักของแกจะมีการติดเฉลว เพื่อดักคุณไสยให้กระเด็นลงน้ำ..

ผู้เขียน.. เคยแอบไปที่บ้านอาจารย์เถร เพื่อไปดูก้นกะละมังตอนเช้าก่อนที่อาจารย์เถรจะลงมา จากบ้าน เห็นว่า.. ก้นกะละมังมีของประหลาด เช่น ตะปู 4 นิ้ว ผูกด้วยสายสิญจน์เป็นกากบาท หนามพุงดอสารทท่อนมัดด้วยสายสิญจน์ กระดูกผี หลาวไม้รวกขนาดเล็ก เชื่อว่าเป็นคุณไสยที่ถูกปล่อยมากระทบกับเฉลวแล้วตกลงใส่กะละมัง..

เกิดอะไรขึ้นกับอาจารย์เถร.. ผมไม่รู้ แต่ขณะที่หลวงพ่อฉันเช้าแล้ว ผมกำลังยกสำรับคาวหวานออกมา เพื่อจะได้นำไปรับประทานกับศิษย์วัดด้วยกัน ตาประยูรก็หน้าตาตื่นนำหน้าศิษย์อาจารย์เถร ที่ช่วยกันหามอาจารย์เถรขึ้นมาบนกุฏิหลวงพ่อมานพ..

“ช่วยมันหน่อยหลวงพ่อ.. ไอ้พลับมันถูกคุณไสยอย่างแรงตั้งแต่เช้ามืด.. กว่าลูกศิษย์มันจะไปตามผมอาการก็เพียบแล้ว..”

ผู้เขียนวิ่งมาดู.. เห็นอาจารย์เถรท้องป่องเหมือนคนตั้งท้อง หน้าดำเหมือนถ่าน ตาแดงเหมือนนกกะปูด อ้าปากหอบฟืดฟาดพูดอะไรไม่ได้ หลวงพ่อมานพเดินมาดูอาการ แล้วบอกกับตาประยูร..

“หนังมันคลี่เต็มผืนแล้วละ.. โยมประยูร..”
“หลวงพ่อช่วยมันหน่อยเถอะ นึกว่าเมตตามัน..”
“ช่วยได้.. แต่ไม่รับปากนะว่าจะรอด แต่เอ้อ..”
หลวงพ่อมานพหันไปทางอาจารย์เถร แล้วพูดว่า..

“โยมพลับพนมมือแล้วระลึกในใจว่า.. หากรอดชีวิตคราวนี้ จะไม่ดำรงชีพแบบเก่าอีก จะอุปสมบทหนึ่งพรรษาถวายเป็นพุทธบูชา..”
อาจารย์เถรพนมมือ.. ทำตามที่หลวงพ่อมานพบอก.. สะอึกเอาน้ำที่มีกลิ่นเหม็นเน่าเหมือนศพออกมา หลวงพ่อมานพตักน้ำมนต์ในที่บูชาพระของท่านเสก.. ให้งัดปากอาจารย์เถรกรอกน้ำมนต์ แต่งัดไม่ขึ้น.. จนหลวงพ่อมานพต้องเดินไปยืนที่ด้านบนหัวของอาจารย์เถร.. ใช้หวายจี้บงไปบนกระหม่อม นั่นแหละจึงงัดปากอาจารย์เถรกรอกน้ำมนต์ลงไปได้ ท้องยุบลงทันที.. มีเสียงห้าว ๆ ดังผ่านปากอาจารย์เถรออกมา..

“ไอ้โล้น.. มึงเก่งนักเรอะ! จะลองกับกูก็ได้..”

ร่างของอาจารย์เถรทะลึ่งขึ้น.. แต่หลวงพ่อมานพใช้หวายหวดสกัดลงไปเป็นกากบาทที่หน้าอกอาจารย์เถร.. ทำให้ร่างอาจารย์เถรหงายตึงฟากพื้น..

“โอ้ยย.. โอ้ย.. โอย.. อ้อก..”

ร่างของอาจารย์เถรบิดเป็นเกลียวแล้วสงบนิ่ง หลวงพ่อมานพบอกกับตาประยูร..
“ให้ลูกศิษย์ดึงม้วนแผ่นหนังออกมาจากรูทวารหนักของโยมพลับ.. เดี๋ยวก็ได้สติ..”

ลูกศิษย์อาจารย์เถร.. รีบช่วยกันล้วงแล้วดึงม้วนแผ่นหนังออกมาวางให้ทุกคนเห็น.. หลวงพ่อมานพเอาน้ำมนต์พรมลงไปบนม้วนหนัง มันคลี่ออกเป็นแผ่นหนังวัวหรือควายดูไม่ออก.. ขนาดหนึ่งตารางฟุตเห็นจะได้ อาจารย์เถรได้สติ.. คลานมากราบแทบเท้าหลวงพ่อมานพ..

อาจารย์เถร.. บวชตามที่ได้รับปากหลวงพ่อมานพ ผมเดินตามหลังหลวงพ่อมานพและหลวงตาพลับไปบิณฑบาต หลวงตาพลับมรณภาพในระหว่างพรรษา หลวงพ่อมานพเป็นเจ้าภาพให้ นี่แหละ..เป็นกรรมที่ผู้เขียนได้รู้เห็นมาด้วยตัวเอง.. การเล่นคุณไสยนั้นเป็นของต่ำ หากเข้าตัวแบบอาจารย์เถรแล้วแก้ไม่ทันจะตายโหงเอาง่าย ๆ ...



วิช.ชา อุป.ปตตํ เสฏฐา
( วิชชา อุปปะตะตัง เสฏฐา )
บรรดาสิ่งที่งอกงามขึ้นมา วิชชาประเสริฐสุด

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://board.palungjit.com/

375
บทความ บทกวี / ตอบ: คนตัดไม้
« เมื่อ: 09 ก.ย. 2553, 06:54:55 »
เนื้อหาสาระดีครับ เหนื่อยได้ แต่ อย่าท้อ

376
ขอบคุณครับที่นำมาให้ชมครับ สวยมาก

377
เมื่อเวลาโดนผีอำให้ ท่องคาถาของหลวงพ่อจำเนียรว่า ออแอ อออา เมตตาพุทโธ  ครับ :005:

378
ขอบคุณครับ อยากนั่ง ทาร์แมซชีน ของ โดเรมอน ไปสั่งจองจังเลยครับ

379
ยินดีต้อนรับครับผมไม่ใช่ พี่ๆในเว็บหรอกนะครับ พึ่งจะ 16 เอง แต่ก็เล่นบอร์ดนี้ทุกวันครับ

380
ขอบคุณครับที่บอกวันและเวลาครับ

381
กรรมของหมาที่อ่านดูแล้วน่าสงสารที่สุด

--------------------------------------------------------------------------------


เลือดของสุนัขที่ถูกฆ่าไหลรวมเป็นเหมือนคูเล็กๆ



“บางทีก็รู้สึกว่าสุนัขมันก็รู้ความนะเวลาที่เห็นคนหยิบคีมออกมา ตัวที่กลัวจนถึงกับร้องไห้เลยก็มี”



หนังสือพิมพ์สากล – ฉายา“หมู่บ้านประหารสุนัขอันดับหนึ่ง”คือฉายาของหมู่บ้านจี้ว์ลู่ในมณฑทลเหอเป่ย ที่ในแต่ละวันจะมีการเชือดสุนัขมากกว่า 2,000 ชีวิต จนกระทั่งเลือดไหลนองคล้ายแม่น้ำสายเล็กๆไปทั่วทั้งในและนอกหมู่บ้านหัวสุนัขที่ไม่ต้องการ ก็จะถูกทิ้งระเกะระกะไปทั่ว จนหลายคนดูแล้วรู้สึกว่ามันคือ“นรกของสุนัข”ดีๆนี่เอง



ครอบครัวหนึ่งที่อาศัยในหมู่บ้านดังกล่าวและมีอาชีพฆ่าสุนัขได้เลาว่า “สุนัขที่ฆ่าส่วนใหญ่จะส่งไปขายที่อื่นโดยจะมีการแปรรูปเนื้อสุนัข กับหนังสุนัขก่อนส่งออกไปขาย”



เมื่อย่างก้าวเข้าสู่หมู่บ้านนี้ ก็จะมองเห็นหัวสุนัข กระดูกหรือเครื่องในที่เน่าแล้วอยู่เต็มไปหมด แถมที่สุดจะรับก็คือกลิ่นที่รวยระรินมาตามอากาศหลังจากถูกแสงแดดแผดเผา





“ธุรกิจการเชือดสุนัขเริ่มต้นได้ราว 2 ปีสุนัขในละแวกนี้ถูกจับมาฆ่าจนเกือบไม่เหลือแล้วตอนนี้สุนัขส่วนใหญ่จะถูกซื้อมาจากข้างนอก หรือบางทีคนที่สั่งซื้อหากต้องการจะซื้อเยอะ ก็อาจจะหาสุนัขเป็นๆมาส่งให้ด้วย”

เอ้อเสี่ยวนักเชือดสุนัขในหมู่บ้านได้เล่าขั้นตอนให้ฟังว่า “การเชือดสุนัขต้องมีอุปกรณ์เฉพาะคือต้องใช้เหล็กเส้นทำเป็นคีมที่มีความยาวเมตรกว่าๆ เพื่อใช้หนีบคอสุนัขแล้วลากมันไปยังโรงเชือด”


“บางทีก็รู้สึกว่าสุนัขมันก็รู้ความนะเวลาที่เห็นคนหยิบคีมออกมา ตัวที่กลัวจนถึงกับร้องไห้เลยก็มี”



“หลังจากที่คีบ พอสุนัขมันอ้าหากทำท่าเหมือนจะกัดคนฆ่าก็จะเอาขวานที่ถืออยู่ในมือ เฉาะลงไปที่หัวของมันจากนั้นก็ปล่อยให้ดิ้นพราดๆอยู่กับพื้น สักพักก็จะตายไปเอง พอถึงตอนนี้คนฆ่าก็จะเอาที่ฉีดน้ำแรงดันสูงฉีดเข้าไป”

หลังจากที่ฆ่าและฉีดน้ำเสร็จก็จะนำเนื้อสุนัขไปขายให้กับร้านห้องแช่แข็งในหมู่บ้านด้วยราคากิโลกรัมละ 8.6 หยวน (ราว 38 บาท) เพื่อส่งขายออกไปนอกหมู่บ้านพร้อมๆกัน

ในหมู่บ้านนี้ มีครอบครัวที่ประกอบอาชีพเชือดสุนัข 10 กว่าครอบครัว หากคำนวณตัวเลขเฉลี่ยคร่าวๆที่สังหารสุนัข ตกราวครอบครัวละ 200 ตัวต่อวัน แต่ละวันจะมีสุนัขที่ถูกเชือดทั้งสิ้นราว 2,000 ตัวนี่ยังไมนับรวมร้านเชือดเล็กๆที่อยู่นอกหมู่บ้าน ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก



ขอบขอบคุณข้อมูลจาก http://board.palungjit.com

382
ขอบคุณมากครับ สำหรับแง่คิดดีๆอย่างงี้นะครับจะกลับไปคิดครับ

383
ขอบคุณครับที่นำมาให้ชมนะครับ ( สวยมากๆ )

384
วิธีเพิ่มพลังบุญทวีคูณให้กับชีวิตอย่างง่ายๆ

--------------------------------------------------------------------------------

ได้รับเมล์จากกัลยาณมิตร เห็นว่ามีประโยชน์ครับ เลยนำมาเผยแพร่

วิธีเพิ่มพลังบุญทวีคูณให้กับชีวิตอย่างง่ายๆ
1. การเพิ่มพลังบุญแบบไม่เสียเงินแม้แต่บาทเดียว
เคล็ดวิชานี้ เป็นของท่านหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านสอนไว้ว่า
-เวลาตื่นเช้ามาขณะล้างหน้าหรือดื่มน้ำให้ท่องว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อชีวิตในวันใหม่
-ก่อนกินข้าว ก็ให้นึกถวายข้าวแด่พระพุทธเจ้า
-ออกจากบ้าน เห็นคนอื่นเค้ากระทำความดี เป็นต้นว่าเห็นเค้าใส่บาตรพระ จูงคนแก่ขามถนน ก็ให้นึกอนุโมทนากับเขาด้วย
-เดินผ่านเห็นดอกไม้บูชาพระวางขายอยู่ ก็ให้เอาจิตนึกอธิฐานขอถวายดอกไม้เหล่านั้นเป็นเครื่องบูชาพระรัตนตรัย โดยระลึกว่า พุทธัสสะ ธัมมัสสะ สังฆัสสะ ปูเชมิ แล้วอย่าลืมอุทิศบุญให้พ่อค้า แม่ค้าดอกไม้นั้นด้วย
-เวลาไปไหนมาไหน เห็นไฟข้างทางก็ให้นึกน้อมถวายไฟเหล่านั้นบูชาพระรัตนตรัย โดยระลึกว่า โอม อัคคีไฟฟ้า พุทธบูชา ธัมมะบูชา สังฆบูชา
2. การเพิ่มพลังบุญด้วยเงินน้อย แต่ได้อานิสงส์ยิ่งใหญ่
การสร้างบุญที่เป็นมหากุศล อาทิเช่น การสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ พระมหาเจดีย์ สร้างยอดฉัตรหรือสร้างศาสนสถานอื่นใดก็ตาม รวมถึงธรรมทานด้วย เพื่อลดวิบากกรรมหนักๆ สามารถทำได้ แม้แต่ผู้ที่มีเงินน้อย การทำบุญนี้ ไม่จำเป็นจะต้องใช้เงินมาก เหมือนที่หลายๆคนในปัจจุบันเข้าใจและติดเป็นค่านิยมกัน การทำบุญทุกอย่าง ไม่ว่าจะบุญเล็ก บุญใหญ่ ให้ทำตามแต่กำลังของเราที่สามารถจะทำได้ และต้องไม่เดือดร้อนตัวเอง แม้แต่เงินสลึงเดียวก็สามารถสร้างมหากุศลได้ ขอให้เพียงเงินนั้นบริสุทธิ์ ไม่ได้ไปเบียดเบียนของใครมาก็พอ และที่สำคัญเจตนาตอนที่ทำ ต้องบริสุทธิ์ มีความยินดีในบุญที่ทำ เกิดความสุขและความอิ่มเอมใจ นั่นแหละมหากุศลทั้งสิ้น

แต่ถ้าไม่มีเงินจริงๆ ก็ยังสร้างมหากุศลได้ โดยการมใช้แรงกายแรงใจในการช่วยก่อสร้าง หรือแม้แต่การไปชักชวน ป่าวประกาศให้คนมาร่วมสร้างบุญ และขออนุโมทนาบุญกับคนเหล่านั้นด้วยทุกครั้ง ก็จะได้บุญมากเช่นเดียวกัน อยู่ที่เจตนาและความตั้งใจเป็นที่ตั้ง สรุปสั้นๆ ว่า การทำบุญนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงินเท่าใดก็ได้บุญเช่นกัน ยิ่งการทำบุญใดๆที่เป็นประโยชน์ต่อคนจำนวนมากมากหรือสังคม บุญนั้นก็จะมากขึ้นทวีคูณ ไม่มีวันหมด อาทิเช่น สังฆทาน สร้าง โรงทาน วิหาร อุโบสถ ถนน เป็นต้น จนกว่าสิ่งก่อสร้างหรือศาสนสถานนั้นๆที่ร่วมสร้างจะพังทลายไป
3. การสวดภาวนา ให้ได้บุญมากขึ้น
การสวดภาวนา คาถาศักดิ์สิทธิ์ หรือมนตราอันศักดิ์สิทธิ์นั้น ถ้าได้ทำอย่างถูกวิธีนั้น จะเป็นการเพิ่มบุญให้กับตัวเอง เพราะพลังบุญ พลังอำนาจของพระคาถาและมนตรานั้น จะถูกดึงเข้าสู่ตัวผู้สวดด้วย

เคล็ดวิธีมีอยู่ว่า โดยก่อนสวดนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิที่พร้อมจะสวดแล้ว ขอให้ตั้งจิตให้มั่นแล้วอุทิศบุญทั้งหมดที่ตนเคยทำมานั้น ส่งให้แด่ครูบาอาจารย์ ผู้เป็นเจ้าของคาถาหรือมนตรานั้นๆด้วย ซึ่งเป็นการเชื่อมบุญรูปแบบหนึ่ง และหลังจากนั้น ก็อธิฐานขอมีส่วนร่วมในบุญของท่าน และขอมีส่วนร่วมในบุญของผู้อื่นที่ได้สวดคาถาและมนตราศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วย เมื่อใดตามที่มีคนอื่นสวดและกระทำเหมือนกับเรา เราก็ได้บุญเพิ่มทุกครั้ง
4.การทำบุญด้วยการต่อชีวิตสัตว์ ให้ได้บุญมากขึ้น

การทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์หรือต่อชีวิตสัตว์นั้น หลายคนเรียกว่า เป็นการสะเดาะเคราะห์ ซึ่งก็แล้วแต่จิตจะพาไป แต่ในความเป็นจริงก็คือ เป็นการทำบุญใหญ่ เป็นการช่วยต่อชีวิต ต่อโชคชะตา ให้เวลากับสัตว์ที่กำลังจะถึงตายให้ได้มีชีวิตอีกครั้ง และเคล็ดลับสำคัญก็คือ ก่อนที่จะปล่อยสัตว์นั้นๆ เมื่อได้ซื้อมาหรือเจอ ณ ที่ใดก็ตาม ให้นำไปถวายกับพระสงฆ์เสียก่อน เพื่อเพิ่มบุญให้มากขึ้น เหตุเพราะว่าพระสงฆ์ที่รับนั้นท่านบริสุทธิ์ และมีศีลมากกว่าเรา ท่านย่อมมีบุญมากกว่าเรา ยิ่งเป็นพระสงฆ์ที่มีเนื้อนาบุญมากแล้ว บุญนั้นจะเพิ่มเป็นหลายเท่า จากนั้นก็ขอผาติกรรมชำระหนี้สงฆ์ซื้อคืนมาจากท่าน ด้วยเงินเท่ากับจำนวนที่เราซื้อสัตว์นั้นๆมา วิธีนี้เป็นการเพิ่มบุญอีกเท่าตัว ได้ทั้งทำบุญต่อชีวิตสัตว์ และชำระหนี้สงฆ์ด้วย หลังจากนั้นก็นำไปปล่อยในที่อันสมควร
อานิสงส์ของการทำบุญด้วยวิธีนี้ ถ้าใครที่ทำได้ตามนี้ บุญที่ได้จะเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่า จากการที่ไปซื้อมาแล้วก็ไปปล่อยตามยถากรรม วิธีนี้นอกจากได้บุญน้อยแล้ว แถมยังได้บาปกลับมาด้วย ดังนั้นจะทำบุญทั้งที ควรฉลาดในการทำบุญด้วย

5. การทำสังฆทานให้ได้อานิสงส์บุญมากขึ้น
การทำสังฆทานควรทำให้ครบทั้งปัจจัยสี่ มีอาหาร( คาว-หวาน-ผลไม้-น้ำ ) ,เครื่องนุ่งห่ม ( ผ้าไตรจีวร หรือ ผ้าขนหนูสีสุภาพ ) , ยารักษาโรค และควรเพิ่มหนังสือธรรมะเข้าไปด้วยเพื่อให้จิตใจของเจ้ากรรมนายเวรซึ้งในรสพระธรรม มีจิตใจที่เย็นสบายพ้นทุกข์

เคล็ดลับสำคัญ เครื่องสังฆทานและอาหารเหล่านี้ เราควรที่จะต้องไปถวายแด่พระสงฆ์ที่มีเนื้อนาบุญสูง แต่ถ้าหาไม่ได้หรือไม่ทราบ ให้เรานั้นตั้งจิตอธิฐานถวายแด่พระพุทธเจ้าโดยตรงและ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือครูบาอาจารย์ที่เรานับถือ เพื่อให้อานิสงส์ของบุญจะได้มากขึ้นทบทวี และหลังจากนั้นก็ให้อุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งหมด และควรกรวดน้ำหลังทำบุญทุกครั้งเพื่อให้พระแม่ธรณีและเทพเทวาทั้งปวงท่านเป็นพยานในการทำบุญครั้งนี้

สรุป

เมื่อท่านได้ทราบว่า ทำบุญอะไร แล้วได้รับอานิสงส์ของการทำบุญเป็นอย่างไร สมควรช่วยประชาสัมพันธ์ให้ผู้อื่นได้ทราบด้วย เพราะเป็นการให้คนได้รู้ถึงอานิสงส์ของทำบุญในแต่ละอย่าง จะได้จำสืบต่อกันไปอย่างถูกต้อง

ดังนั้น จึงสรุปว่า การทำบุญอะไรก็ตาม เมื่อได้ทำบุญแล้ว ก็ได้รับผลบุญในทันที กล่าวคือ ขณะที่ทำบุญนั้น สภาพจิตของเราตรงนั้นเป็นอย่างไร สุขใจไหม สบายใจไหม ภูมิใจไหม ตรงนี้ไม่ต้องถาม หวังว่า ท่านที่เคยทำบุญมาแล้วก็จะตอบตนเองได้อย่างแจ่มแจ้งทีเดียว

เมื่อเราได้ทำบุญ ผลของการทำบุญ จะให้อานิสงส์ไม่เหมือนกัน บุญบางอย่าง ก็ให้ผลโดยตรง แต่บุญบางอย่าง ก็ให้ผลโดยอ้อมไม่ตรงทีเดียว ในเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่า อานิสงส์แห่งการทำบุญนั้นไม่เหมือนกัน และผลบุญที่เราได้ทำนั้น รอให้ผลอยู่ตลอดเวลาแก่ผู้ที่ได้ทำบุญไว้ ตราบเท่าที่ยังมีผลบุญอยู่ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำบุญไว้ ถ้าไม่ประมาท ถึงแม้ไม่มีอะไรจะทำบุญ เพียงแต่เห็นคนอื่นเขาทำบุญ แล้วทำใจให้เลื่อมใส ก็เป็นอันได้ทำบุญเหมือนกัน บุญชนิดนี้ เรียกว่า บุญด้านปัตตานุโมทนามัย ( บุญจากการอนุโมทนาบุญ )
__________________

http://www.fungdham.com/ http://www.d.igetweb.com/
www.morgangaiyasit.com/forum/viewtopic.phpid=160

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากเว็บพลังจิต

385
ฝากไว้คิด
ถ้าพรุ่งโลกจะแตก คุณ จะเป็นอะไร
   1. คนที่สามารถ....เปลี่ยนแปลงโลกได้
   2. คนขาย....น้ำหวาน(สมมุติว่าเป็นอาชีพที่คุณกำลังทำอยู่)



[youtube=425,350]CXNEZrP-rw8[/youtube]
ผมขอเป็นที่1 แล้วกันครับ

386
สวยครับ ขอบคุณครับ

387


งูจงอางยักษ์พันคอรูปเหมือนสมเด็จพุฒาจารย์โต


งูจงอางขนาดใหญ่ เลื้อยพันคอ รูปเหมือน สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ที่วัดชื่อดังลำปาง ไม่ยอมหนีไหน พร้อมชูหัว แผ่แม่เบี้ย บนศรีษะรูปเหมือน สร้างความประหลาดใจแก่เชื่อเป็นบารมีสมเด็จพุฒาจารย์โต ที่สร้างปาฏิหการแก่ผู้พบเห็น

ผู้สื่อข่าวรับแจ้งจาก พระวิศาล ถาวโร อายุ 47 ปี เจ้าอาวาสวัดถ้ำผางาม 3 พระโพธิสัตว์ ซึ่งตั้งอยู่สำนักปฎิบัติธรรม พรหมรังสี เขตป่า ต.พระบาทวังตวง อ.แม่พริก จ.ลำปาง ติดถนนพหลโยธินสายลำปาง-ตาก กลางดึก วันที่ 27 สิงหาคม ว่า ได้เกิดสิ่งปฏิหารและมหัศจรรย์ขึ้นภายในวัด โดยมี งูจงอางขนาดใหญ่ เลื้อยอยู่ที่เหมือนขนาดใหญ่ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และรูปเหมือนของสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหม รังสี และแผ่แม่เบี้ย บนศรีษะรูปเหมือน และไม่ยอมไปไหน จากนั้นผู้สื้อข่าวจึงเดินทางไปยังวัดถ้ำผางาม 3 พระโพธิสัตว์ เพื่อพิสูจน์ ทันที
เมื่อไปถึงบริเวณรูปเหมือน ก็พบงูจงอางขนาดใหญ่สีดำ ลายปล่องสีน้ำตาลเข้ม ความยาวกว่า 3 เมตร เลื้อยอยู่บริเวณรูปเหมือนขนาดใหญ่ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และรูปเหมือนของสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหม รังสี ซึ่งเลื้อยและพันลำคอรูปเหมือนไม่ยอมไปไหน นอกจากนี้งูตัวดังกล่าว ได้แผ่แม่เบี้ย อยู่บนศรีษะรูปเหมือน ตลอดเวลา ซึ่งสร้างความแปลกใจอย่างมาก
พระวิศาล กล่าวว่า ก่อนที่จะพบงูตัวดังกล่าวกำลังเดินจงกลมบริเวณรูปเหมือนขนาดใหญ่ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และรูปเหมือนของสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหม รังสี รูปเหมือนหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ และรูปเหมือนครูบาเจ้าศรีวิจัย ซึ่งรูปเหมือนทั้งหมดมีขนาดใหญ่สูงกว่า 3 เมตร ประดิษฐานอยู่บริเวณหน้าวัด ก็พบงูได้เลี้อยวนไปมา และพยายามจะเลื้อยขึ้นไปบนรูปเหมือนขนาดใหญ่ของสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหม รังสี แต่เนื่องจากอยู่สูงกว่าระดับพื้นดิน จึงทำให้งูตัวดังกล่าวไม่สามารถขึ้นไปได้ สร้างความแตกตื่นแก่พระสงฆ์ และแม่ชี ที่กำลังปฎิบัติธรรม นั่งสมาธิ และเดินจงกลม


จากนั้นงูได้เลี้อยขึ้นรูปเหมือนสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหม รังสี องค์เล็ก ที่อยู่บริเวณรูปเหมือนองค์ใหญ่ ซึ่งเป็นที่กราบไหว้ และสักการะของประชาชน ก่อนจะพันบริเวณลำคอของรูปเหมือนองค์เล็กสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหม รังสี และที่สำคัญได้แผ่แม่เบี้ย ที่บนศรีษะ ยิ่งสร้างความแตกตื่นอย่างมาก และไม่เคยเห็นงูตัวดังกล่าวมากก่อน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งประหลาดใจแก่ผู้พบเห็นอย่างมาก พอข่าวแพร่สะพัดออกไป ทำให้ประชาชนที่บ้านเรือนตั้งอยู่ใกล้วัด ได้เดินทางมาดูอย่างไม่ขาดสาย
นอกจากนี้ยังมีคน นำไม้มาไล่งูให้ออกไปจากคอรูปเหมือนองค์เล็กสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหม รังสี แต่งูจงอางตัวดังกล่าว ก็ไม่ยอมหนีไป และ ไม่ทำอันตรายใด ๆ เพียงแต่เลี้อยพันคออยู่ไปมา พร้อมแผ่แม่เบี้ย ยิ่งทำให้ผู้พบเห็นเกิดขนลุกในความน่าอัศจจรย์ใจ และเป็นปฎิหารในสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมาก ว่าเป็นงูศักดิ์สิทธิ์ ที่มาแสดงปฎิหารให้ประชาชนได้พบเห็น

พระวิศาล ถาวโร กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนได้บุกเบิกตั้งสำนักปฎิบัติธรรมแห่งนี้มานานตั้งแต่ปี 2547 ยังไม่เคยเห็นงูจงอางตัวดังกล่าวมาก่อน โดยเฉพาะการเลี้อยมาพันคอรูปเหมือนสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหม รังสี และพื้นที่ป่าแห่งนี้ ก็ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยของงูจงอาง จึงเกิดความประหลาดใจอย่างมาก อาจจะเป็นงูศักดิ์สิทธิ์ ที่มาโปรดให้ประชาชนได้เห็น รวมถึงความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ปฎิบัติธรรม โดยเฉพาะรูปเหมือนองค์เล็กสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
สำหรับสำนักปฎิบัติธรรมแห่งนี้ เป็นสถานที่ เพื่อเผยแพร่พระคาถาชินบัญชรในภาคเหนือ โดยในอดีต ตนเป็นพระในคณะ 9 วัดระฆัง มาก่อน กระทั่งเกิดความเลื่อมใส จึงได้เดินทางมายังจังหวัดลำปาง เพื่อตั้งสำนักปฎิบัติธรรม พรหมรังสี ขึ้น เพื่อให้ประชาชนได้มาศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และศึกษาพระคาถาชินบัญชร กระทั่งมาเกิดความน่าอัศจจรย์ และปฎิหารในครั้งนี้


ส่วนงูจงอางตัวนี้ ได้เลื้อยพันคออยู่นานประมาณ 7 ชั่วโมงตลอดทั้งคืน และช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา งูตัวดังกล่าว จะได้เลี้อยลง แล้วเลื้อยเข้าไปในต้นโพธิ์ใหญ่ บริเวณหน้าวัด แล้วหายไป โดยที่ไม่มีใครพบเห็นอีกเลย หลังจาก ข่าวยิ่งแพร่สะพัด ออกไป ทำให้มีประชาชน และคณะศรัทธาเดินทางมาที่วัดเป็นจำนวนมาก เพื่อสอบถามถึงสิ่งมหัศจจรรย์ และปฎิหารที่เกิดขึ้นนี้ ซึ่งทางวัดก็ได้มีการบันทึกภาพไว้ได้ จึงได้นำมาให้ประชาชนได้ชม โดยที่ทางวัด จะได้ขยายภาพให้ใหญ่มากขึ้น เพื่อติดให้ประชาชนได้รับชมภาพสำคัญนี้ ซึ่งตรงกับวันแรม 1 ขั้น เดือน 9 ที่ผ่านวันพระใหญ่ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 9 เพียงวันเดียว

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บพลังจิต

388
ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร 37; ผ่านมาแล้วชั่งมันเหอะครับ อย่าฝังใจเลย

389
ผ้ายันต์หนุมานสะบัดธงสวยมากครับ ขอบคุณครับที่นำมาให้ชมครับ

390
ขอบคุณครับสำหรับสิ่งดีๆครับ

391
ทุกสิ่งอยู่ที่เจตนานะถ้าคุณลืมหรือ ไม่ได้ตั้งใจยันต์ที่สักและพระนั้นก็จะไม่เสื่อม แต่ถ้าคุณรู้ทั้งรู้ว่าพระอยู่ในกางเกงคุณก็ยังก็ซักคุณไม่ยอมเอาพระออกอย่างนี้เรียกว่าเจตนา เสื่อมครับ ทีนี่สบายใจขึ้นรึยังครับ จงจำไว้ว่า ศรัทธาอย่างมีปัญญา นะครับ

392
ธรรมะ / ตอบ: ยึดติด
« เมื่อ: 27 ส.ค. 2553, 06:33:54 »
ชอบมากเลยครับ โดนๆๆๆ

394
โอ้ตะกรุดมากจังเลยครับ อยากมีอย่างงี้มั้งจังเลย (สวยมากกว่าครับ)

395
ไม่มีในข้อห้ามนะจ๊ะ 02; ศรัทธาสิครับเชื่อผมแต่ศรัทธาอย่างมีปัญญานะครับ  13;

396
อสุรกายในเมืองมนุษย์

--------------------------------------------------------------------------------

อสุรกายในเมืองมนุษย์

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

มนุษย์เราเกิดมาในโลกนี้มีอิสระ ทั้งการสร้างกรรมดี และกรรมชั่ว อย่าคิดว่าเราต้องมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์เป็นประจำตลอดไป ไม่รู้แก่ ไม่รู้เจ็บ ไม่รู้ตาย อย่าคิดว่ากรรมนั้นไม่มีจริง หรือไม่สามารถจะติดตามมาสนองเราเมื่อปลายมือ

ดังจะนำตัวอย่างชีวิตเกิดขึ้นสมัยก่อนของผู้หญิงผู้หนึ่ง ต้องชดใช้หนี้กรรม นอนทนทุกข์ทรมาน หญิงผู้นี้ไม่มีอาหารตกท้องเป็นเวลาประมาณ ๖ เดือนแล้วไม่รู้ว่าชีวิตรอดอยู่ได้อย่างไร เมื่อก่อนที่หญิงผู้นี้จะล้มหมอนนอนเสื่อ รูปร่างอ้วนเจ้าเนื้อ แต่อยู่ ๆ ก็เป็นโรคอยากกินอะไรอยากกินจนใจจะขาด แต่ก็กินไม่ได้ ของดี ๆ ก็กลืนไม่เข้า กลืนไม่ลงคอมันตีบน้ำก็หยอดไม่ลง หญิงผู้นี้ได้เริ่มป่วย ญาติพี่น้องก็รีบหาหมอที่มีชื่อมารักษา แต่หมอก็ไม่สามารถจะชี้ให้แจ้งชัดลงไปได้ว่าเป็นโรคอะไร เพราะไม่พบสาเหตุของโรค

หมอตรวจดูทุกส่วนทางร่างกายอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็ปกติ ผิดแต่อยากกินอาหารแต่กินไม่ได้ เมื่อไม่มีอาหารตกถึงท้อง แม้หมอพยายามรักษาก็ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้ ระยะป่วยร่างกายก็ยุบลง รูปร่างที่เคยอ้วนใหญ่เจ้าเนื้อสมบูรณ์ก็ค่อย ๆ ผอมลง เพราะอาหารไม่ได้ตกถึงท้องเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายน้ำหนักตัวก็ลดลง ในระยะ ๖ เดือน รูปร่างก็เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก มันทรมานชีวิตหญิงผู้นี้อย่างสาหัส บางคนก็บอกว่าเป็นโรคประสาท ผู้รู้เรื่องดีก็ว่าโรคบาปกรรม รักษายาก ถ้าปัจจุบันนี้หมอคงให้อาหารทางร่างกาย คงจะต้องทรมานอีกนาน

ท่านผู้ให้เรื่องเรื่องนี้กับข้าพเจ้า ท่านอาจารย์คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต ท่านเป็นผู้รู้เรื่องนี้ดีนับแต่เริ่มต้นจนอวสาน แม้จะเป็นเรื่องเก่าแต่ก็มีสิ่งน่าคิดท่านได้กรุณาเล่าว่า หญิงผู้นี้สมัยก่อนยากจน เป็นแม่ครัวอยู่กับหญิงสูงอายุ มั่งคั่ง และสูงศักดิ์ท่านหนึ่ง เป็นผู้ใจบุญ มีความศรัทธา สร้างกุศลได้ใส่บาตรพระสงฆ์ทุกเช้าจำนวนร้อยรูป และได้มอบเงินให้แม่ครัวจับจ่ายอาหารมาทำกำชับว่าต้องการอาหารชั้นดีมาใส่บาตรเช้า ถูกแพงเท่าไหรเท่ากัน หวังจะให้พระได้ฉันอาหารดี ๆ ทุกวันคอยเปลี่ยนอย่าให้ซ้ำ พระท่านจะเบื่อ ไม่สนใจเรื่องเงินทองค่าใช้จ่าย แม่ครัวก็ตกปากรับคำ ว่าจะจัดอาหารดี จะไม่ซ้ำให้พระท่านเบื่อ ที่สุดนายจ้างก็ไว้เนื้อเชื่อใจ แม่ครัวจะเบิกเงินค่าอาหารใส่บาตรวันละเท่าไหร่ก็มอบให้ไปไม่เคยทักท้วง แรก ๆ แม่ครัวก็จัดการเป็นที่เรียบร้อย แต่ก็ยักยอกเบียดบังค่าอาหารใส่บาตรพระบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก

ต่อมาเมื่อชิน นานเข้าก็ได้ใจ เท่าที่ยักยอกไว้ได้ยังน้อยไป ก็นึกว่าของอยู่ในห่อไม่มีใครรู้เราจะทำอะไรก็ได้ จิตใจอกุศลก็เพิ่มขึ้น เริ่มทำอาหารถูก ๆ แล้วก็เบิกเงินนายจ้างว่าอาหารดีราคาแพง ๆ มาใส่บาตร นายจ้างพาซื่อ คิดว่าตัวเป็นคนซื่อ ใจบุญ คนอื่นก็คงจะเหมือนตนก็หลงไว้วางโจ ก็มอบเงินทองค่าอาหารให้ตามคำเรียกร้อง และสิ่งอื่น ๆ เวลาผ่านไปเป็นปี ๆ จนหญิงผู้นี้ยักยอกเงินทองจนเกิดมังคั่งขื้นมา มีที่ดินปลูกบ้าน ลูกหลานมีเพชรมีทองใส่ร่ำรวย เพราะส่วนมากก็เบียดบังค่าอาหารใส่บาตรทุกเช้าประจำ สิ่งที่ใส่บาตรห่อเรียบร้อย เช้า ๆ ทุกวัน ก็คือถั่วงอกผัดน้ำมันราคาถูก ๆ จะมีสามสี่ห่อที่ไว้แก้หน้า เมื่อนายจ้างสงสัย ทำให้เหลือไว้ให้นายจ้างดูได้รู้ได้เห็นว่าอาหารชั้นดีราคาแพง เพื่อให้ถูกอกถูกใจ แม้คนในบ้านจะรู้ ก็ไม่กล้าว่ากล่าวฟ้องร้องนายแต่อย่างใด

นี่ก็เป็นเหตุที่ทำให้หญิงแม่ครัวมั่งคั่งขึ้น แต่บัดนี้กำลังได้รับทุกข์ทรมาน ไม่รู้เมื่อใดจะสิ้นสุดลงในโลกมนุษย์ และทั้งต้องไปรับใช้หนี้กรรมความโลภอีกภพหนึ่ง จนกว่าจะสิ้นกรรม โรคบาปกรรมในปัจจุบันก็คืออยากกินแต่ก็กินไม่ได้ บางครั้งอยากกินเหลือเกิน จนร้องไห้แต่เหมือนเป็นโรคคอตัน แม้แต่น้ำก็หยอดไม่ลง คิดว่าอาหารใส่บาตรเช้า ๆ ที่พระมารับบาตรประจำวันก็มีถั่วงอกผัดน้ำมัน และจากนั้นก็น้ำเปล่าผัดถั่วงอก ความจริงก็อย่างเดียวกันเป็นประจำวัน พระท่านจะชอบ หรือไม่ชอบ เมื่อเขาศรัทธาก็ต้องรับไว้ฉันทั้งผัดเอาไว้มาก ๆ ค้างคืนค้างวันจนถั่วงอกบูดเสียก็ยังใส่บาตร และไม่สนใจว่าพระจะฉันได้หรือไม่

พระที่ท่านบรรลุธรรมชั้นสูงแล้ว ท่านก็ไม่สนใจในอาหาร เพราะท่านฉันไม่ได้ติดรสอาหาร ท่านฉันเพื่อให้สังขารอยู่เท่านั้น หรือเรียกว่า ท่านกินเพื่ออยู่ แต่พระที่ท่านยังปลงไม่ได้ ที่ท่านยังมีความรู้สึกในรสอาหาร เพราะท่านอยู่เพื่อฉัน ยังมีกิเลสท่านก็คงฉันอาหารบูดไม่ลง และฉันทุกวัน ก็เหม็นเบื่อ นี่แหละกรรมที่ได้เบียดบังยักยอกเงินที่มีอำนาจจิตศรัทธา เพื่อสร้างกุศลทำของดี ๆ ถวายพระกลับเป็นของเลว ๆ ผิดความเจตนาของผู้ศรัทธาตั้งใจจริง ก็นับว่าบาปหนัก ฉะนั้น ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า เพียงชาตินี้กรรมก็ตามสนองเห็นทันตาแล้ว อาจารย์หญิงท่านบอกว่า ยังไม่ทันตายก็เป็นอสุรกาย หรือเปรตในร่างมนุษย์ พระอรหันต์โปรดไม่ถึง แม้แต่อยากน้ำก็ดื่มไม่ได้ เพราะกรรมชั่วที่ตัวได้สร้างไว้ตามสนอง

เมื่อข้าพเจ้าได้รับเรื่องนี้จากท่านอาจารย์ คุณหญิงที่เคารพนับถือแล้วมาพิจารณาดูก็จะเห็นได้ว่า ชีวิตแต่ละบุคคลไม่ว่าชายหญิงเมื่อสร้างกรรมไว้แล้ว หากมีผู้รู้เห็นใกล้ชิดตลอดมาในชีวประวัติแล้ว จะเห็นได้ว่ากรรมใดผู้นั้นสร้างไว้ก็จะติดตามมาสนอง เมื่อใกล้จะจากโลกนี้ไปต้องทนทุกข์ทรมาน เมื่อรู้ตัวว่าผิดบางครั้งก็สายเกินไป บางครั้งก็ยังมีเวลากลับใจหญิงผู้นี้กำลังรับกรรม และแม้จะมั่งมีเงินทองเพียงใด ก็ไม่สามารถจะหาผู้ที่รักษาโรคบาปกรรมให้หายได้

เงินทองที่ได้มาโดยไม่สุจริต เบียดเบียน หรือเบียดบังทางทุจริต จิตโลภ ทำให้พระสงฆ์ได้รับความเดือดร้อน เป็นต้นเหตุ แห่งกรรมตามสนอง เมื่อตัวจะตายแม้จะมีทรัพย์สินมากมายเพียงใดก็ขนเอาไปไม่ได้ ซ้ำกลับเป็นโทษหากมีนรกก็ต้องไปเสวยทุกข์อยู่ในขุมนรก เป็นเปรต อสุรกาย ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างสาหัส อยากกินอะไรก็กินไม่ได้ เพราะกรรมชั่วตามที่ตนได้สร้างไว้ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ในเมืองมนุษย์กว่าจะสิ้นสุดกรรม

ฉะนั้น ผู้มีปัญญามีสติจึงไม่คิดประมาท ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ออกนอกขอบเขตของวงศีลธรรม ถือศีล ปฎิบัติธรรม ไม่ใช้เวลาชีวิตปัจจุบันอย่างสุรุ่ยสุร่ายไปในทางผิดคิดมิชอบ อย่าอยู่นอกเขตของวงศีลธรรม จะทำให้จิตใจห่อหุ้มไปด้วยกิเลสตัณหา มัวเมา มืดมน แสงสว่างของธรรมไม่สามารถส่องเข้าไปถึง ชีวิตจิตใจก็มีแต่ความเศร้าหมอง หวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา กรรมตามสนองย่อมทำลายอนาคตตนเอง ทำลายชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล และเป็นตัวอย่างชั่วให้อนุชนรุ่นหลัง ทำลาย ความดีงามของชาติ และศาสนา ดังตัวอย่างของหญิงผู้เป็นโรคบาปกรรม ที่มองเห็นไดัชัดเจนอย่างเงาบนกระจก

ฉะนั้น หากท่านได้พิจารณามิใช่อ่านแล้วผ่านไป คิดว่าไม่เป็นเรื่องไร้สาระก็คงจะได้ประโยชน์ทางใจบ้าง ระยะ ๖ เดือนก่อนจะตาย อยากกินอาหาร อยากดื่มน้ำ แต่ตนเองได้กลายเป็นเปรตอสุรกายไปแล้ว อย่างโบราณบอกว่าปากเท่ารูเข็ม พอจิตดับก็ดึงไปสู่นรก คงจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วกัลป์กว่าจะสิ้นสุด

กรรมครั้งนี้...ร้ายนัก...กรรมหนักยิ่ง
เรื่องของหญิง...แม่ครัว...ใจชั่วช้า
เธอเบียดบัง...ค่าอาหาร...ตลอดมา
ไม่นำพา...บาปบุญ...มาสู่ตน
ยิ่งอาหาร...ถวายพระ...พิสุทธิ์ยิ่ง
ของทุกสิ่ง...เขาอธิษฐาน...การกุศล
ต้องเจ็บป่วย...เป็นโรคร้าย...ผิดผู้คน
กรรมส่งผล...รับเวร...เห็นทันตา

โดย ท.เลียงพิบูลย์ : จากหนังสือกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี-ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๓

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจากเว็บ http://board.palungjit.com/

397
แงแงแง คิดถึงครูอะครับ

398
บอกต่อด้วยนะครับ ได้บุญครับ

399
การบอกบุญคนอื่นให้ได้เต็มพลานิสงส์ (หลวงปู่ครูบาชัยวงศา)

คนประเภทหนึ่ง เจตนาเอง ศรัทธาเอง หาทรัพย์ได้ด้วยตนเอง
ไปทำบุญเอง ประเคนเอง นี่ก็จำพวกหนึ่ง ได้บุญเต็ม

อีกพวกหนึ่งอยากทำบุญ รอเขามาบอกก่อนถ้าเขาไม่บอกก็ไม่ไป
รอให้เขามาบอก บังคับให้ไปเมื่อไรก็เมื่อนั้น
ถ้าไปอย่างนั้นได้แก่คนบอกบุญครึ่งหนึ่ง คนไปได้ครึ่งหนึ่ง

อีกพวก บอกก็ไม่ไป ไม่บอกก็ไม่ไป
อย่างนั้นหาผลบุญมิได้ได้เต็มแก่คนบอกเพียงผู้เดียว

ทำบุญด้วยตนเอง สร้างด้วยตนเอง ไม่บอกให้ใครรู้ เราได้บุญโขก็จริง
แต่ไร้ข้าบริวารเพื่อนมิตร อยู่แต่ตนเอง อย่างคนปัจจุบัน เวลาทำบุญไม่ยอมบอกใคร
อยู่ด้วยตนเองไม่มีเพื่อน

ถ้าหากเราอยากทำเองจริงหมด ให้ประกาศนะว่า
พี่น้องทั้งหลายทุกคนจงโมทนาในบุญข้าเจ้า ด้วยนะ ใครอยากทำไรเสริมร่วมกะข้าเจ้าก็ทำ
ในที่สุดมาก็ขอโมทนาด้วยกันนะ เราก็เป็นใหญ่มีบริวารมากมายเยี่ยงต๋าป๊ะอิน
(พระอินทร์หมายว่าในอดีตพระอินทร์ทำบุญเดียวแต่ประกาศให้มิตรสหาย
มาร่วมมาโมทนาตายไปเลยได้เป็นเทวราชาเหนือเทพองค์อื่น)
พูดไหนก็ได้นั่น หากเขาไม่ทำไม่เป็นไร เราบอกเขาแล้ว อานิสงส์มันเกิดแล้วเน้อ

ที่มา ธรรมสวนีย์ ครูบาเจ้าชัยวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ลำพูน

ขอบคุณครับสำหรับสิ่งดีๆอย่างนี้จากเว็บ http://board.palungjit.com อนุโมทนาครับ

400
งดงามมากครับ ชัดเจนมากเลยครับ

402
ธรรมะ / ตอบ: ชนะตนนั่นแลดีกว่า
« เมื่อ: 21 ส.ค. 2553, 04:14:32 »
ขอบคุณครับสำหรับสิ่งดีๆ

403
น่าจะใช่นะครับ จิตอ่อนก็ขึ้นง่าย เพราะควบคุมสติสมาธิไม่ได้ และจิตแข็งก็ขึ้นยาก หนุมานทำไมมีหลายแบบคือ หนุมาน มีหลาย สถานะการณ์ ก็เลยมีหลายแบบครับ

404
ขอให้มีความสุขมากๆนะครับ ขอให้มีแต่แฟน สวยๆ หล่อๆ การงานก้าวหน้านะครับ แล้ววันเกิดทั้งทีอย่าลืมไปกราบผู้ให้กำเนิดนะครับ ขอให้บารมีหลวงพ่อเปิ่น คุ้มครองครับ

405
ในความคิดของผมนะครับ 100 เปอร์เซ็นต์เลยครับไม่น่าจะเกี่ยวกับการสัก แน่นอนครับ เพราะคนที่สักยันต์ต่างๆไปจะถือศีลห้านะครับ ไม่ด่าบิดา มารดาผู้ให้กำเนิด

406
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: ไทเป
« เมื่อ: 18 ส.ค. 2553, 06:21:42 »
Go Inter เลยนะเนี่ย อาจารย์ หนวดเก่งมากครับ

407
ยันต์นี้พุทธคุณอะไรเหรอ (ยันต์สวยครับ)

410
ขอบคุณครับที่บอก

411
ถ้าเกิดว่าคุณเห็นอยู่แล้วว่า เขาเอามือท้าวประตูอยู่ คุณรู้ทุกอย่างแล้วคุณยังจะไปลอด อย่างงี้เรียกว่าหลบหลู่ ครูบาอาจารย์ที่ปลุกเสกตะกรุด แต่ถ้าคุณไม่รู้หรือลืมตัวอย่างงี้ไม่เป็นอะไรครับไม่สื่อมครับสบายใจได้ (จงจำไว้ว่าศรัทธาอย่างมีปัญญา)

412
โอ้โดน

413
การขออโหสิกรรมกับพ่อแม่ช่วยให้เจริญสมาธิง่ายขึ้น

--------------------------------------------------------------------------------

ถ้าแม่ฟังอยู่ไม่ว่าแม่อยู่ไหน ไม่ว่าแม่เป็นใคร ช่วยส่งรักกลับมา
ถ้าแม่ฟังอยู่คิดถึงหนูหน่อยหนา หนูขอสัญญาว่า หนูจะเป็นเด็กดี

ดังเนื้อเพลงที่กล่าวไว้ข้างต้น สะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดีว่า ชีวิตเด็กกำพร้านั้น
น่าสงสารเพียงใด ในโลกนี้นั้น ไม่รู้ว่ามีเด็กกำพร้าอยู่กี่ล้านคน
อยากจะได้ความรักจากท่านก็ทำไม่ได้ อยากจะให้ความรักแก่ท่านก็ทำไม่ได้

เพราะฉะนั้น คนที่มีพ่อมีแม่ อยู่กับพ่อแม่ จงรู้ไว้ว่าตัวเรานั้น โชคดีที่สุด
ที่ได้เกิดมาบนโลกนี้แล้วยังมีพ่อแม่อยู่ และมีโอกาสได้ทดแทนพระคุณท่าน

สำหรับผู้ที่ฝึกปฎิบัติสมาธินั้น การขออโหสิกรรมแก่พ่อและแม่
จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ในการบวชนาค ก็จะมีพิธีการขออโหสิกรรมกับพ่อแม่นี้ด้วย
แต่สำหรับผู้หญิงหรือผู้ชายที่ยังไม่เคยได้บวช แต่สนใจฝึกหรือกำลังปฎิบัติสมาธิอยู่ จึงควรอย่างยิ่งที่จะกราบขออโหสิกรรมท่าน
เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้การฝึกสมาธิดีขึ้น แต่จะทำให้ชีวิตท่านเจริญรุ่งเรืองขึ้นด้วย

การขออโหสิกรรมพ่อแม่นั้น วิธีการปฎิบัติคือ
ให้ท่านนั่งบนเก้าอี้พร้อมกัน นำขันน้ำหรือเหยือกน้ำก็ได้ใส่น้ำมาค่อนใบ
ใส่ดอกมะลิลงใปในขันพอประมาณ จากนั้นก้มลงกราบท่านก่อน และกราบที่เท้าท่าน แล้วตั้งใจพูดว่า

กรรมใดที่ลูกได้เคยล่วงเกินคุณพ่อคุณแม่ไว้ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง

ขอคุณพ่อคุณแม่โปรดอโหสิกรรมให้แก่ลูกด้วยเถิด


แล้วนำน้ำในขันหรือเหยือก รดลงไปที่มือท่านพร้อมกับล้างทำความสะอาดมือท่านไปด้วย แล้วจึงรดลงไปที่เท้าท่าน พร้อมกับขัดถูเท้าท่านไปด้วย
เสร็จแล้วก็ก้มลงกราบที่เท้าท่าน3ครั้ง แล้วค้างไว้ที่เท้าท่าน
รอท่านกล่าวอโหสิกรรมให้แก่เรา รอท่านกล่าวให้พรเรา

เพียงเท่านี้ก็เป็นการล้างกรรมที่เคยทำกับท่านไว้
เพียงแค่เราหยิกท่านหรือพลักท่านเบาๆตอนที่เราหยอกท่าน
ก็ถือว่าเป็นบาปที่เราได้ทำกับท่านแล้ว

และยังมีอีกหลายอย่างที่เราอาจทำบาปไว้กับท่าน โดยที่เราไม่รู้หรือไม่ได้ตั้งใจ เพราะฉะนั้น
กราบขออโหสิกรรมกับพ่อแม่หรือผู้มีพระคุณกันเถอะครับ

ทำทุกปีก็ได้ ปีละ1ครั้งก็ดี นอกจากจะเป็นการนำความสุขความเจริญมาสู่ตัวเราแล้ว
ยังเป็นการนำความปลื้มปิติแก่บิดามารดาและผู้มีพระคุณอีกด้วย : )

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เว็บพลังจิต

414
อย่าคิดมาก เงินเป็นของนอกกาย เดี๋ยวก็หาใหม่ได้ นะ ฮิฮิฮิ (เหรียญงดงามมากครับ)

415
โดนครับ บอกอีกครั้งเลยว่า ขอบคุณครับ

417
ไม่เยอะหรอกถ้า สักน้ำมันอะ แต่ถ้าเป็นหมึกนี่ก็น่าคิดนะ คิคิคิ

418
ทางที่ดี อย่าไปทำครับ พระทุกองค์แหละครับท่านไม่ชอบให้ ฆ่าสัตว์ ลักขโมย เล่นการพนัน ผิดลูกผิดเมีย และ ดื่มหรือเสพของมึนเมาครับ หลีกเหลี่ยงได้ก็ดีครับ

419
ขอบคุณครับสำหรับ คลิปวีดีโอ ดีๆแบบนี้นะครับ

420
แม่ตอนเกิดเรานั้นเจ็บแทบตาย แต่เราคิดได้ว่าเอาแม่ไปทิ้ง แม่ให้ชีวติแก่เรามา แม่ยังไม่คิดจะทิ้งเราเลย แต่เรากลับจะทิ้งแม่ (ขอบคุณสำหรับข้อตวามดีๆนะครับ)

421
ขอบคุณครับ ที่นำรูปมาให้ชม

422
ขอบคุณครับ

425
ขอบคุณครับ

426
ขอให้มีความสุขมากๆนะครับ

428
ซึ้งมากทั้งรูปทั้งเนื้อหาเลยครับ  :053:

429
แงแงแงแง คิดถึงแม่อ่า ฮือฮือ   23;

430
ขอบคุณครับ อยากได้มั้งจัง แบ่งให้มั้งดิ 555+  :077:

431
ฝันดีนะเนี่ย

432
ขอบพระคุณครับ สำหรับสิ่งๆดีครับ

433
ขอบคุณครับ

434
ได้ครับ ปกติผมจะให้หลวงพ่อสำอางค์ หลวงพี่ญา หลวงลุงต้อย เป่าให้ครับ

สายเดียวกัน วัดบางพระเหมือนกันไม่มีปัญหาครับ

ตามนั้นเลยครับ

435
หลวงตา"เมืองอ่างทองสุดไฮเทค ขี่"รถจักรยานไฟฟ้า"ออกบิณฑบาต เลขานุการเจ้าคณะติงไม่เหมาะสม







ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 06.00 น. ได้รับแจ้งว่า พบพระภิกษุสงฆ์ขับขี่รถจักรยานไฟฟ้าออกบิณฑบาตในช่วงเช้าของทุกวัน โดยขับไปตามถนนสายโพธิ์พระยา-ท่าเรือ ตั้งแต่สี่แยกสัญญาณไฟแดง ต.ป่างิ้ว อ.เมืองอ่างทองไปจนถึงตลาดสดเทศบาลเมืองอ่างทอง รวมระยะทางไปกลับประมาณ 15 กม. ทั้งนี้ การบิณฑบาตดังกล่าวเป็นภาพที่คุ้นตาและแปลกตาของชาวบ้าน

จากการตรวจสอบพบพระภิกษุชราภาพทราบว่าชื่อ พระเสียม ปัญญาวโร อายุ 83 ปี พรรษาที่ 11 จำพรรษาอยู่ที่วัดดอนกระดี หมู่ 4 ต.ป่างิ้ว อ.เมืองอ่างทอง ขับรถจักรยานไฟฟ้า 3 ล้อ บิณฑบาตตามเส้นทางดังกล่าว และพบว่าพุทธศาสนิกชนรอใส่บาตรเป็นระยะตามประเพณีนิยมของชาวพุทธที่ทำบุญประจำวันตักบาตรในตอนเช้า

พระเสียม เปิดเผยว่า ตั้งแต่บวชออกบิณฑบาตไม่เคยขาด การโปรดสัตว์เป็นกิจอันประเสริฐที่พระพุทธเจ้ากำหนดถือปฏิบัติมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ต้องเลี้ยงชีพด้วยการบิณฑบาต เพื่อปฏิบัติและศึกษาพระธรรมวินัย

"เดิมนั้นตนเดินบิณฑบาต ครั้นต่อมาต้องการไปโปรดญาติโยมลูกหลานในตลาดสดเทศบาลซึ่งตนเคยอยู่อาศัยและเคยทำงานที่สำนักงานเทศบาลเมืองอ่างทอง แต่ระยะทางไกล เดินไปไม่ไหวจึงต้องใช้บริการรถประจำทาง แต่พอขากลับวัดต้องจ้างรถสามล้อให้ไปส่งเนื่องจากของทำบุญมีมาก และต้องเสียเงินค่ารถสามล้อวันละ 40 บาท ส่วนของที่ญาติโยมทำบุญจะนำกลับมาวัดถวายพระ 9 รูป เลี้ยงชีพ หรือแจกเป็นทานแก่ชาวบ้านใกล้เคียง" พระเสียม กล่าว

พระเสียม กล่าวว่า รถจักรยานไฟฟ้าดังกล่าวมีหมอจากโรงพยาบาลเสนา จ.พระนครศรีอยุธยา ถวายให้ เพราะเห็นว่าตนชราภาพเดินปฏิบัติกิจของสงฆ์ไม่ไหว หรือจะเดินจากวัดไปปฏิบัติกิจด้านนอกต้องเดินเท้าในระยะทางร่วม 2 กม.ถึงจะออกไปยังถนนใหญ่ จึงขออนุโมทนาบุญแก่ผู้ที่ถวายให้ ซึ่งได้ใช้ประโยชน์คุ้มค่า ส่วนการที่มองว่าใช้พาหนะในการบิณฑบาตไม่เหมาะสม ตรงนี้ควรละเว้นพระภิกษุที่มีอายุมากเดินไม่ไหว ส่วนความห่วงใยในเรื่องอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ อาตมาก็ไม่ประมาทระวังอยู่ทุกขณะ เพราะอายุมากประกอบกับพิการทางหูและต้องใส่แว่นสายตา

นายสมพงษ์ เพิ่มพูน หนึ่งในชาวบ้านที่ใส่บาตร กล่าวว่า ไม่น่าจะขัดต่อพระธรรมวินัย หรือมองว่าเป็นอาบัติโลกวัชชะที่หมายความว่าชาวโลกติเตียน น่าจะมีข้อยกเว้น ยกตัวอย่างพระสงฆ์ที่พายเรือบิณฑบาตมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ เรือก็เป็นพาหนะเช่นกัน หรือพระสงฆ์ที่อาพาธก็มีข้อยกเว้นให้ฉันอาหารได้ เราทำบุญตักบาตรตามวัฒนธรรมประเพณี สืบทอดอายุพระพุทธศาสนา หลวงตาย่อมมีความจำเป็นต้องใช้ตามยุคสมัย อย่าไปติติงว่าหลวงตาขับรถจักรยานไฟฟ้าซิ่งบิณฑบาต แต่เรื่องที่น่ากังวลคืออุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้

พระครูสรกิจจาทร เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดอ่างทอง กล่าวว่า พฤติกรรมดังกล่าวไม่เหมาะสม เนื่องจากชาวบ้านติเตียนได้ ทั้งนี้ คำจำกัดความของคำว่าบิณฑบาตคือ การเดินจาริกไปอย่างสงบ ไม่ออกปากร้องขอ เมื่อรับบิณฑบาตได้พอเพียงก็เดินทางกลับ คณะสงฆ์จะดูเจตนาและพิจารณาต่อไป

นายเดชา ก่อเกิด นักวิชาการชำนาญการ สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.อ่างทอง กล่าวว่า กรณีดังกล่าวไม่น่าจะมีข้อบัญญัติไว้ในพระธรรมวินัย แต่เป็นเพียงไม่เหมาะสมเท่านั้น แต่เราก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่า การที่พระสงฆ์ใช้พาหนะในการบิณฑบาต เช่น ช้าง ม้า เรือ ตามภาคต่างๆ และมีภาพผ่านสื่อให้ได้ดูก็ไม่เห็นว่ามีความผิด เนื่องจากมีเหตุจำเป็น ในขณะที่พระสงฆ์สูงอายุอาพาธขับรถจักรยานไฟฟ้าบิณฑบาต ก็น่าจะมีเหตุผลสมควร และด้วยยุคนี้เป็นยุคเทคโนโลยีจึงมองว่าแปลกตาและไม่เหมาะสมอยู่บ้าง แต่ท่านก็คงไม่ได้ซิ่งจนสร้างความเดือดร้อนรำคาญ

ขอบคุณข้อมูลดีๆที่ http://board.palungjit.com

436
พุทธคุณ คือ บู้ คงกะพัน แคล้วคลาด ทำนองนี้ครับ

437
นำมาให้อ่านครับ ซึ้งมาก ใกล้วันแม่แล้วด้วย


นี้ขอถามหน่อยนะครับ นี้ผิดกิจของสงฆ์ไหมอะครับ ไม่รู้อะครับ


ขอร่วมอนุโมทนา กับทุกท่านด้วยนะครับ
-------------------


ผู้สื่อข่าวของไทยทีวีสีช่อง 3 พบกับครอบครัวของ คุณยายทองมี ศรีสันงาม อายุ 63 ปี บ้านเลขที่ 91 หมู่ที่ 5 บ้านอาคุณ ต.กระโพ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ กำลังทำนาอยู่ใกล้กับหมู่บ้าน และมีพระสงฆ์มาช่วยไถนา และช่วยดำนา เมื่อสอบถามคุณยายทองมี ทราบว่า พระ ชื่อ ว่าพระดับ ศรีสันงาม เป็นลูกชายคนสุดท้องของคุณยายในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 6 คน ซึ่งออกไปมีครอบครัวกันหมดแล้ว มีพระดับ ลูกชายบวชมาได้ 3 ปี และจำพรรษาอยู่ที่วัดใกล้กับหมู่บ้าน เวลาทำนาทุกปี พระลูกชายจะมาช่วยแม่ไถนา ดำนา ถอนกล้าดำนา ทำมาตั้งแต่บวชได้ปีแรก เพราะว่าสงสารแม่ แม้จะอายุ 63 ปี ก็ยังมาขุดดิน ดำนา แม่ก็จะทำอาหารเพลไว้คอยพระมาช่วยไถ่นา ดำนาเสร็จก็ฉันเพล เมื่อฉันอาหารเพลแล้วพระจะกลับวัดเพื่อไปเรียนหนังสือ คุณยายทองมี บอกว่าดีใจมาก ภูมิใจมาก ที่ลูกมีความกตัญญูสงสารแม่ มาช่วยแม่ทำนาทุกปีแม้จะบวชแล้วก็ตาม
ส่วนพระดับ ลูกชายบอกว่า สงสารแม่ เห็นแม่ทำงานหนัก ก็เป็นห่วงสุขภาพเพราะแม่แก่แล้ว เมื่อลูกๆคนอื่นๆ แยกย้ายกันไปมีครอบครัวหมด ต่างคนต่างทำนา พระอยู่ใกล้แม่จึงตัดสินใจมาช่วยแม่ทำนา ทำมาตั้งแต่บวชปีแรก จนถึงปีนี้ เป็นเวลา 3 ปี ดีใจที่ได้ช่วยผ่อนแรงให้แม่ได้บ้างจะได้ไม่ทำงานหนักจนเกินไป

credit : www.sanook.com และ http://board.palungjit.com/

438
ขอบคุณมากนะครับ สำหรับสิ่งดีๆ

439
คาถาอาคม / ตอบ: การเรียนคาถาอาคม
« เมื่อ: 05 ส.ค. 2553, 06:29:55 »
ขอบคุณครับ

440
อีกมุมหนึ่งนะครับ เป็นเพราะว่า ยันต์นั้นยังขลังอยู่ครับ เมื่อก่อนผมเคยเห็นของเพื่อนผมเหมือนกันครับ ไปเล่นน้ำคลองอยู่ดีๆ ยันต์โผล่ครับ และ คันมาก

442
ธรรมะ / ตอบ: +++ กิเลส +++
« เมื่อ: 01 ส.ค. 2553, 02:22:06 »
ขอบคุณสำหรับ สิ่งดีๆ ครับ  :054:

443
ทำใจให้สบายครับ พูดตรงๆนะครับ คนที่สักยันต์ ยันต์จะติดตัวไปจนหมดลมหายใจครับ ทีนี้ สบายใจยัง

445
คาถาศักดิ์สิทธิ์ อานุภาพครอบจักรวาล
สวัสดี ค่ะ ดิฉันมีคาถาอีกคาถานึงที่น่าสนใจ คาถานี้อาจจะเคยมีผู้มาเผยแพร่แล้ว แต่หากยังไม่มีขอนำเสนอให้กับญาติมิตรทุกท่านนะคะ ลองอ่านดูจากบทความตามนี้ค่ะ
ผมได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับกฎแห่งกรรมเล่มหนึ่ง
เรื่องของคนตายแล้วไปถูกนำตัวไปนรก แต่ เผอิญว่าเมื่อท่านพญายมบาล

ตรวจสอบแล้ว ปรากฎว่า เจ้าพนักงานได้จับผิดตัวมา
ชายผู้นี้ยังไมถึงที่ตาย แต่เผอิญชื่อเขา เหมือนกับคนที่ต้องตายอีกคนหนึ่ง
ท่านพญายมบาล จึงให้เจ้าพนักงานนำตัวชายผู้นั้นไปส่ง


ก่อนที่ชายผู้นั้นจะถูกส่งตัวกลับ ท่านพญายมบาล
ได้แนะนำคาถาบทหนึ่ง ซึ่งเป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ ที่สามารถช่วยคุ้มครองภยันตราย และช่วยลดเคราะห์กรรมต่างๆในชีวิตได้ เพราะท่านบอกว่า
ต่อไปโลกมนุษย์จะต้องเจอความยากลำบากมากมายในการดำเนินชีวิต

แต่คาถาบทนี้จะช่วยให้ชีวิตของผู้สวด ที่เจอเคราะห์กรรมใดๆ
ต้องทุกข์ร้อนเรื่องความเป็นอยู่ จะได้ดีขึ้น แล้วท่านบอกให้ชายผู้นั้น
ได้บอกต่อกับคนที่อยู่ในโลกมนุษย์
ด้วยเพื่อเอาบุญ

ซึ่งตอนนั้น ที่ผมได้อ่านหนังสือเล่มนั้น
ผมก็มีวิบากกรรมเล่นงาน ทั้งการการงาน การเงิน ย่ำแย่เลย
ผมก็ได้สวดคาถาบทนี้ หลังจากนั้นไม่นาน ชีวิตผมก็ดีขึ้นจริงๆ ครับ
เรื่องงาน เรื่องเงิน ดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้

ขอให้ทุกท่านได้สวดคาถานี้บ่อยๆ เป็นประจำ ก่อนนอน หรือตอนเช้า
หรือยามที่จิตสงบ และคาถาบทนี้ เป็นคาถาสั้นๆ
จำได้ง่าย ท่องบ่อยๆจะทำให้จำได้ขึ้นใจ

แล้วอย่าลืมอุทิศส่วนบุญนี้ให้แด่ท่านพญายมบาล
ที่บอกคาถานี้ด้วยนะครับ

ท่านบอกว่า

ก่อนสวด ให้ ตั้ง นะโม 3 จบ

แล้วสวดพระคาถาดังนี้

ปะโตเมตัง ปะระชิ วินัง สุขะโต จุติ
จิตตะ เมตะ นิพพานัง สุขะโต จุติ


เมื่อท่านได้อ่านกระทู้นี้แล้ว หากมีศรัทธาในพระคาถานี้
ขอให้แนะนำบอกต่อๆกันไป ซึ่งจะเป็นผลบุญกับท่านให้
ได้พบความเจริญยิ่งๆขึ้น

ขอขอบพระคุณข้อมูลดีๆจาก http://board.palungjit.com/

446
สุขสันต์วันเกิดครับ ขอให้มีความสุขนะครับ  :048:

447
ธรรมะ / ตอบ: บุญ กับ กุศล
« เมื่อ: 30 ก.ค. 2553, 06:00:43 »
ขอบคุณครับ สำหรับสิ่งดีๆ

448
หมาขี้เรื้อนเปลี่ยนคนใจดำ

--------------------------------------------------------------------------------

เรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง
หมาขี้เรื้อน เปลื่ยนคนใจดำ

เรื่อง มีอยู่ว่า.. พี่ชิตแกเป็นคนใจดำครับ ชอบยิงนกตกปลาไปเรื่อย
แต่ที่หนักก็คงเป็นเนื้อหมา แกกินแหลกครับแต่ แม่แกบอกมันบาปนะลูก(ไม่สนโว้ย)

เมื่อราว 15 ปีก่อน มีเหตุการณ์ที่ทำให้แกเปลี่ยนไป
ครั้งนั้นมีหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งครับมันมักวิ่งไปหาของกินแถวๆบ้านแกบ่อย
เพราะบ้านแกติดตลาด พี่แกกินหมาอยู่บ่อย ๆ แต่กรณีหมาขี้เรื้อนแกบอก 'กินไม่ ลงว่ะ'
แกทำอย่างเดียวคือไล่ฆ่า แต่มันรอดได้ทุกครั้ง (สงสัยมีของ)
มันไปหาของกินบางทีก็ได้บางทีก็ไม่ได้ คราวนั้นเนื้อแห้งที่แกตากไว้หายไป



พอมองไปก็เห็นแม่หมาขี้เรื้อนวิ่งหลุน ๆ ไปแกเดือดทันทีครับวิ่งตามไป
คราวนี้ทันครับเพราะหมาขี้เรื้อนวิ่งช้ามาก แกทุบไปทีเดียวหมานั่นล้มลงชักทันที
(แกบอกว่าหากตีตรงจุด แค่ใช้ไม้บรรทัดก็ตาย)
แกทิ้งไว้ตรงนั้นไม่อยากจับแต่จะทำกินตรงนั้น
จึงกลับบ้านไปเตรียมของ (แค้นจัดอยากกินหมาขี้เรื้อน) ให้ผมเฝ้าไว้
ผมก็มัวแต่เก็บตะขบจนลืมดู (ในใจอยากให้มันรีบไปจะได้ไม่ตาย)
มันไปจริงครับหายวับไป พี่ชิตแกโกรธมากคงอยากเตะผมเต็มแก่
แต่ลุงผม แกเป็นนักเลงใหญ่และเป็นคนสอนวิธีฆ่าหมาให้
ก็ต้องวิ่งตามอย่างเดียวพร้อม บ่น ' ทำไมมันไม่ตายวะ '



พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงหมาเห่าแกตามทันทีพอไปถึง ภาพที่เห็น ..............................................
หมาขี้เรื้อนกำลังจะตายมันมีลูกที่ต้องเลี้ยง 5 ตัวครับ วัยกำลังหย่านมบางตัวยังกินนมอยู่
บางตัวก็วิ่งไปคาบเนื้อที่แม่หมาขี้เรื้อนคาบไปฝาก (เห็นกับตา)
ที่มันยังไม่ยอมตายเพราะต้องกลับไปให้นมลูก
แม้น้ำนมแห้งกรัง เอาอาหารไปให้ลูกมัน เรียกลูกๆเพื่อให้นม
ให้อาหารเป็นครั้งสุดท้าย แม่หมาพยายามอย่างดี ที่สุด



มันมองผมกับพี่ชิตอย่างขอร้อง ขอให้มัน ให้นมลูกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย
ไม่อยากเชื่อนั่นคือน้ำตาของหมาขี้เรื้อน มันแค่ต้องการให้นมลูกก่อนตาย
พี่ชิตไม้หล่นลงกับพื้น เดินเข้าไปดูแม่หมานั่น

ในยามนั้นสิ่งที่แกเห็นไม่ใช่หมาขี้เรื้อน แต่แกเห็นแม่ที่ยิ่งใหญ่ที่ทนเจ็บกลับไปหาลูก
แกไม่พูดอะไรทุกอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ สายตาอ่อนโยนลง ลูกหมาตัวหนึ่งวิ่งไปหาแกกระดิกหางให้



แกอุ้มลูกหมาขึ้นพร้อมพูดว่า ' ขอโทษ ' พูดได้แค่นั้นแม่หมาก็ตาย
เราช่วยกันฝังแม่หมา แกรับเลี้ยงหมานั่นไว้ ทั้ง 5 ตัว
ตั้งแต่นั้นแกกลายเป็นคนใจดีไม่ไล่ยิงนกยิงหมายิงแมวอีก
แกบอก ' มันอาจมี ลูกรออยู่ก็ใด้ '




เมื่อ 12 สิงหา 2 ปีที่แล้ว แกเอามะลิร้อยเป็นพวงไปให้แม่ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยทำ พูดกับแม่ว่า

' แม่ตอนผมอายุ16 แม่สอนผมยังไงนะสอนอีกหนใด้ไหมครับ '

แม่แกน้ำตาคลอพูดไม่ออก

ไม่อยากเชื่อแม่หมาขี้เรื้อนตายไป 1 ตัว
กลับทำให้คนใจดำอย่างแกเปลี่ยนไปขนาดนี้.....รักแม่

ใกล้ถึงวันแม่แล้วนะครับ หาสิ่งดีๆไปหาและกราบท่านบ้างนะครับ
รักท่านตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นะครับ อย่าไปรักท่านตอนที่ท่านไม่ได้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้นะครับ......ผมรักแม่มากๆนะครับ

ขอขอบพระคุณข้อมูลดีจาก เว็บพลังจิต

449
พระคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า (พร้อมสรรพคุณ)
พระคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า

ขึ้นต้นด้วย พระคาถา ควรตั้ง นะโม3 ก่อนทุกครั้งไป

อิ ติ ปิ โส วิ เส เส อิ

อิ เส เส พุท ธะ นา เม อิ

อิ เม นา พุท ธะ ตัง โส อิ

อิ โส ตัง พุท ธะ ปิ ติ อิ


สวดมนต์กันโรคภัย เสกมะกรูดส้มป่อยใส่น้ำมนต์

เสดาะเคราะ = ภาวนาทุกวัน
ไม่ตกนรก = ภาวนาทุกวัน
กันคุณไสย = ภาวนาทุกวัน
มีตะบะเดชะ = ภาวนาทุกวัน
เมตตามหานิยม = ภาวนาไปแผ่เมตตาไป
คนคิดร้ายแพ้ไปเอง = ภาวนาทุกวัน
ปรารถนาสิ่งใด = ภาวนา 18 จบ
มหาจังงัง = ภาวนา 8 จบ
มหาละลวย = ภาวนา 9 จบ
สัตว์ใจอ่อนรักเรา = เสกหญ้าให้กิน
ผีเข้า = เสกข้าวให้กิน
เสียงเพราะ = เสกขี้ผึ้งทาปาก
คนรัก = เสกแป้งผักหน้า เสกผ้าโพกหัว
กันศาตราวุธ = เสกด้ายคล้องคอ
ชนะความ = เขียนชื่อคู่ความ จุ่มน้ำ ยกเท้าไหนชนะ
หายตัวได้ = ยึดต้นหญ้า ต้นไม้ถาวนา

ฯลฯ...

ใช้ได้หลางอย่าง แล้วแต่ท่านจะเลือกใช้เองเถิดประเสริฐ นักแล!!

ขอบพระคุณข้อมูลดีๆจากเว็บ http://board.palungjit.com

450
ตะกรุดพระคุณมารดา ของดีที่คาดไม่ถึง

เมื่อปี พ.ศ. 2532 ข้าพเจ้าได้นั่งคุยกับท่านพระครูสุจิณธรรมวิมล (ม่น ธัมมจิณโณ) วัดเนินตามาก ต.โคกเพลาะ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ไปเรื่อยเปื่อยด้วยเรื่องต่าง ๆ จู่ ๆ ท่านก็พูดขึ้นมาเองถึงพระคุณของบิดามารดาว่ามีคุณเหลือจะกล่าวถึงรำพันหมด

แต่ดูเหมือนแม่จะมีภาษีกว่าหน่อยตรงที่ต้องเป็นผู้อุ้มท้องเรามา ตอนคลอดก็แลกชีวิตกันเลย บางทีเรารอดแม่ตาย บางทีเราตายแม่รอด ถ้าโชคดีก็รอดทั้งคู่ ถ้าโชคร้ายก็ตายคู่เป็นตายทั้งกลมก็มี แต่พ่อไม่ต้องเสี่ยงถึงเพียงนี้ พระคุณของแม่จึงเหนือกว่าพ่อด้วยประการฉะนี้ ซึ่งความดังกล่าวก็ไปตรงกับที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตตมหาเถระ เคยกล่าวตอบพระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ว่าพระคุณแห่งมารดายิ่งใหญ่กว่าพระบิดานัก

เล่ากันมาถึงตรงนี้หลวงปู่ม่นก็ถามข้าพเจ้าว่า "แกอยากได้วัตถุมงคลที่เหนือกว่าของฉันไหม ?"

แหม ถามได้นะ ใคร ๆ ก็อยากจะได้ทั้งนั้น จึงรีบกราบเรียนท่านว่า อยากได้ครับ นึกว่าท่านจะให้เหล็กไหล ไพลดำ คดมะพร้าว ตับเหล็ก ฯลฯ อะไรประมาณนี้

แต่ท่านยิ้มอย่างใจดี แล้วบรรยายว่า...

" แกกลับไปบ้านนะ แล้วหาแผ่นโลหะจะเป็นอะไรก็ได้นะ แล้วเอาเส้นผมของแม่กับชายผ้าซิ่นของแม่วางลงบนแผ่นโลหะนั้นแล้วม้วนเข้า ด้วยกันเป็นตะกรุด แล้วแกก็เอาไปให้แม่อธิษฐานให้ ถ้าแม่แกยังแข็งแรง จะให้วางของให้ม้วนให้เลยก็ได้ ตอนแม่อธิษฐานให้พรแก แกลองฟังดูซิว่าเขาจะว่าให้แกตายแกเสื่อมไหม ถ้าทุกคำพูดมีแต่เรื่องดีไม่มีแช่งล่ะก็ ตะกรุดนั้นไม่มีเสื่อมหรอก ดียิ่งกว่าใคร ๆ ทำให้นะ ตะกรุดของฉันก็ไม่สู้ตะกรุดของแม่แกหรอก เพราะฉันรักแกไม่เท่าแม่แก"

ข้าพเจ้าแทบน้ำตาร่วงแน่ะ

และท่านก็ยังเมตตาเล่าถึงคนที่เคยทำไปแล้วถูกยิง ถูกแทงไม่เข้าเพราะมีตะกรุดพระคุณมารดานี่แหละ ท่านเล่าบ่อยมาก ๆ เหมือนจะยืนยันว่าพ่อแม่เป็นสิ่งสูงสุดในชีวิตลูกถ้าไม่นับธรรม เพราะความกตัญญูต่อพ่อแม่ ก็คือคุณธรรมอันหนึ่งด้วยนั่นเอง

ขอขอบพระคุณ - ท่านอาจารย์ รณธรรม ธาราพันธ์

ขอขอบพระคุณข้อมูลดีๆจากเว็บ http://board.palungjit.com/

451
เท่าที่ผมรู้นะครับ

เหรียญที่หนึ่งคือ ออกวัดบางพระครับ

เหรียญที่สอง คือ เหรียญหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ อ.นครชัยศรี นครปฐม ปี ๒๕๔๒

เหรียญที่สาม คือ เป็นเหรียญหลวงพ่อเปิ่น ครบรอบ 60 ปี โรงเรียนวัดบางพระ พ.ศ.2525

453
ดวงชะตาของคนที่เกิดมาเพื่อสร้างบารมี !!

ดีคับทุกคน งวดนี้ รักไร้พ่าย เอาดวงมาฝากอีกแล้ว

อะแอ้ม แต่ก่อนอื่นขอชี้แจงอะไรนิดนึง

เรื่องดวงต่างๆที่ผมนำมาลง ไม่ว่าจะเป็นคู่รวย คู่หน้าตาดี หรือ
ดวงกระทู้นี้ ผมไม่ได้ไปเปิดหนังสือดูดวง หรือ ไปก๊อปลิงค์ดูดวง
แล้วมาโพสนะครับ แต่เกิดจากวิชาดูดวงที่ผมได้ศึกษากับ
อาจารย์ของผมมา จึงชี้แจงแถลงไขให้เข้าใจกันนะ

เอ๊า !!


งวดนี้ มาดูดวงของคนที่เกิดมาเพื่อสร้างบารมี

อันที่จริงคนเราทุกคนที่มีโอกาสเกิดมาเป็นคนก็ต้อง
สร้างบารมีทุกคน จะมากบ้างน้อยบ้างก็สุด
แล้วแต่กิเลสและความหลงในใจคนมีมากแค่ไหน

แต่มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่เกิดใน วัน เดือน ปีดังต่อไปนี้
คือผู้ที่มาสร้างบารมีโดยตรง
คนที่เกิดวัน เดือนปี ที่จะบอกนี้

มาเกิดในชาตินี้ เพื่อ จุดหมาย 3 ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง
คือ

1 ในชาติที่แล้วตัวเองเกิดบนสวรรค์และอยู่สุขสบายด้วยว่า
สวรรค์นั้นมีแต่สิ่งรื่นเริงบันเทิงใจ จนตัวเองลิมไปเลยว่า
ความทุกข์นั้นเป็นยังไง

และอยากจะมาเกิดบนโลกเพื่อจะลิ้มลองรสชาติความทุกข์ดูบ้าง

เปรียบเทียบเหมือนตัวเองเป็นลุกเศรษฐี ชีวิตมีแต่ความสุขสบาย
อยากได้อะไรมีคนรับใช้หามาให้ ชีวิตไม่ได้รับความลำบากเลย
แต่วันหนึ่งได้ไปเปิดดูทีวี เห็นชาวบ้าในถิ่นธุรกันดาร ต้องทำงานเหน้ดเหนื่อย
ทำไร่ไถนา ตัวเองก็อยากรู้ว่า ชีวิตแบบนั้นเป็นยังไง จึงอยากไปมีประสบการณ์แบบนั้นบ้าง
รู้สึกว่าน่าสนุกดี จึงออกไปใช้ชีวิตแบบนั้น จนได้เรียนรู้ว่าเป็นแบบไหน แล้วค่อยกลับบ้าน

2 เกิดมาเพื่อสร้างบุญบารมี เก็บกักตุนไว้ เพื่อต่อยอดอายุตัวเอง
เผื่อว่า หากอยู่บนสรรค์ต่อไป ไม่ลงมาสร้างบุญในโลกซึ่งสร้างง่ายกว่าอยู่บนโน้น
ถึงคราวหมดบุญจริงๆ อาจต้องไปลงอบายหรือไม่ก็ต้องมาเกิดในยุคที่สังคมเสื่อมทราม
หรือ ยุคมิคสัญญ๊ ยากแก่การก่อบุญได้

ดังน้นพวกเขาเหล่านี้จึงอธิษฐานมาขอเกิดในโลกนี้

3 ได้รับโองการจากเทพเบื้องบนให้มา
ทำหน้าที่ทางธรรม หรือทางจิตวิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อช่วยเหลือผู้คน
และอาจได้รับคุณวิเศษ ต่างๆติดตัวมาด้วย เป็นเครื่องมือทำงานให้เบิ้องบน
เช่น อาจมีญาณหยั่งรู้ กรรมของคน เพื่อช่วยเหลือคนให้พันทุกข์ หรือ
เป็นตัวกลางในการติดต่อเทพเบื้องบนให้มาป่าวประกาศโองการสวรรค์หรือสิ่งที่จะเกิดกับ
โลกมนุษย์ หรือ มีพรสวรรค์ในการคิดค้นในศาสตร์ต่างๆเพื่อช่วยเหลือคน
เช่นเป็นนักวิทยาศาสตร์คิดค้น ยารักษาโรคใหม่


ซึ่งคนที่ต้องมาสร้างบุญเหล่านี้ทั้ง 3 กรณีนี้ จะต้องพบกับความทุกข์ใจมากมาย
ได้รับความกดดัน
ไม่เหมือนคนปรกติ และที่สำคัญ พวกเขาจะสนใจในหลักธรรมะ
เป็นอย่างยิ่งไม่ว่าจะเริ่มสนใจตั้งแต่เด็ก หรือ มาสนใจตอนโตแล้ว
ต่างกรรมต่างวาระกันไป

แต่เมื่อเขาเข้าหาธรรม เขาจะรู้จักตัวเองจากส่วนลึกในจิตใจ
และตระหนึกว่าตัวเองคือคนที่ต้องมาสร้างบุญบารมี โดยไม่ต้องมีใครบอกเลย
เพราะสัญญาเก่าตอนเป็นเทวดา นางฟ้า ย้ำเตือนเสมอ แต่แรกๆอาจไม่แน่ใจ
เพราะยังลังเลด้วยจิตปัจจุบันชาติ แต่ด้วยต้องเจอวิบากกรรมเก่าตามรุมเร้า
เหมือนเร่งให้ตัวองมาเข้าสู่ทางธรรมะให้ได้

และที่สำคัญอีกประการ

คนเหล่านี้ จะไม่มีใครทำอันตรายได้เลย !

เพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองอยู่เบื้องหลัง หากถึงคราวเคราะห์หามยามร้าย
จะรอดพ้นอย่างหวุดหวิดทุกครั้ง

และใครที่คิดร้ายต่อคนเหล่านี้จะต้องมีอันเป็นไป !!

( สิ่งที่ผมโพสนี้ ขอให้ใช้วิจารณญาณด้วยนะครับ เป็นเพียงแค่ personal opinion )

เอาหละ ก็มาถึงคราวลุ้นกันว่า ใครจะโดนแจ๊กพอต


คนที่ต้องเกิดมาสร้างบุญบารมีในชาตินี้จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม

กลุ่มที่1 คือ ดูจากเดือน และ ปีเกิด

กลุ่มที่2 คือ ดูจาก วัน และ ปีเกิด


เอาจากกลุ่มที่ 1 ก่อน

คนที่เกิดมาเพื่อสร้างบารมีในชาตินี้คือ

คนที่เกิด เดือน และ ปี ดังต่อไปนี้

1 เกิดเดือนมีนาคม ปี ฉลู

2 เกิดเดือนเมษา ปี ขาล

3 เกิดเดือนพฤษภา ปี เถาะ

4 เกิดเดือน มิถุนา ปี มะโรง

5 เกิดเดือนกรกฎา ปี มะเส็ง

6 เกิดเดือนสิงหา ปี มะเมีย

7 เกิดเดือนกันยา ปี มะแม

8 เกิดเดือน ตุลา ปี วอก

9 เกิดเดือน พฤศจิกา ปี ระกา

10 เกิดเดือน ธันวา ปี จอ

11 เกิดเดือนมกรา ปี กุน

......
กลุ่มที่ 2 คือคนที่ เกิด วัน และ ปี ดังนี้

1 เกิดวันอาทิตย์ ปี ฉลู หรือ ปีวอก

2 เกิดวันจันทร์ ปี ขาล หรือ ปี ระกา

3 เกิดวันอังคาร ปี เถาะ หรือ ปี จอ

4 เกิดวันพุธ ปี มะโรง หรือ ปี กุน

5 เกิดวันพฤหัส ปี มะเส็ง

6 เกิดวันศุกร์ ปี มะเมีย

7 เกิดวันเสาร์ ปี มะแม หรือ ปี ชวด


โดยกลุ่มที่ 1 จะเกิดศรัทธาในทางธรรมได้ง่ายกว่า กลุ่มที่ 2
กลุ่มที่ 2 ต้องเจออะไรหนักๆ หรือ เจออะไรหลอนๆ ก่อนจะเชื่อในธรรมะ

คน 2 กลุ่มนี้จะสนใจธรรมะ และฝักใฝ่บุญกุศลมาก และหลายคนก็สนใจดูดวง
และสนเรื่องคนมีญาณด้วย และจะก้าวหน้าในการปฎิบัติธรรมตามจริตของตัวเองที่ได้สั่งสมมา

ขอขอบพระคุณเว็บ http://board.palungjit.com ที่ให้ข้อมูลแก่พวกเรา

454
ธรรมะ / เรื่อง พระในบ้าน...
« เมื่อ: 23 ก.ค. 2553, 05:34:57 »
พระในบ้าน...

มีคุณนายคนหนึ่ง…..
ใจบุญสุนทาน…ตักบาตรทุกเช้า
ตักบาตรเสร็จ.. ก็แต่งสำรับกับข้าว…อย่างบรรจงประณีต ..
เพื่อเอาไปถวาย…..ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ…ผู้เป็นเจ้าอาวาส
ด้วยความเคารพนับถือ..ในจริยวัตรของท่าน
และชอบฟังท่านคุย….เล่าเรื่องต่าง ๆ…
เรียกว่า….ตักบาตรเสร็จ…
คุณนายต้องมาวัดทุกวัน…
ถวายอาหารเสร็จ…ก็คุยกับพระสมเด็จ…

วันหนึ่ง…
หลังจากคุณนายกลับแล้ว….
พระหนุ่มรูปหนึ่ง….ซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฏิของสมเด็จ
เข้าไปกราบเรียนว่า…
คุณนายคนนี้…ใจบุญสุนทานจริง ๆ….
แต่เคยได้ยินว่า…เป็นคนใจแคบ…
เหลือแม่อยู่คนเดียว..
ปล่อยให้อดๆ..อยากๆ…ไม่เอาใจใส่…..
ปล่อยให้อยู่ห้องแคบ ๆ…หลังบ้าน
ส่วนตัวเองและลูก ๆ ..
อยู่ตึกใหญ่โต…สะดวกสบาย….

เวลาพูดจากับแม่…ก็ฟังไม่ได้..
หยาบคาย….ขู่ตะคอก…กระแทกกระทั้น…
ผิดกับตอนมาคุยกับสมเด็จที่วัด…
ชนิดหน้ามือ..เป็นหลังมือ…
แม่…จะออกมาเดินเล่นหน้าบ้าน..ก็ไม่ได้…
ไม่ยอมให้ออก…
มีแม่แก่…หลงๆ ลืม ๆ..สติไม่สมประกอบ..
อายเขา…
มีคนเขาเล่าให้ฟัง…หลายรายแล้ว…
เท็จจริงอย่างไร….ไม่ทราบได้…

สมเด็จ….นั่งฟังเฉย…ไม่พูดว่าอะไร
วันหนึ่งมีกิจนิมนต์…ไปทำบุญบ้าน
ขากลับ….เดินผ่านหน้าบ้านคุณนาย…
ท่านก็แวะบ้านคุณนายก่อน…
คุณนายดีใจมาก…ที่สมเด็จมาเยี่ยมถึงบ้าน..
ถือเป็นมงคลอย่างสูง…
ที่พระขั้นสมเด็จ…มาเยี่ยมบ้าน…
จึงเรียกลูกหลาน…มากราบเท้าท่าน…เป็นการใหญ่..
แล้วก็คุยกันเรื่องต่างๆ ..มากมาย..

ในตอนหนึ่ง…
สมเด็จท่าน…ถามคุณนายว่า..
พระในบ้าน…มีไหม…?
มีเจ้าค่ะ…
พระในบ้าน..มีหลายองค์…
เป็นพระเก่า ๆ ทั้งนั้น
สมัยสุโขทัยก็มี…เชียงแสนก็มี…
อาราธนาท่านสมเด็จ….ขึ้นไปดูข้างบน…..
สมเด็จท่าน….เฉย….แล้วถามต่อว่า
ได้ทราบข่าวว่า…
คุณนายมีแม่อีกคน….เดี๋ยวนี้อยู่เสียที่ไหน…?
คุณนายสะอึก…เสียวแปลบเข้าไปในหัวใจ…

จะตอบตามตรง…ก็กลัวว่า..
สมเด็จจะเดินไปดู…
เห็นสภาพความเป็นอยู่ของแม่…
แล้วท่านจะติเตียน…
อึกๆ …อักๆ …อยู่ครู่หนึ่ง….แล้วจึงตอบว่า…..
ตอนนี้ท่านไม่อยู่เจ้าค่ะ….
ออกไปเยี่ยมญาติ…อีกนานจึงจะกลับ….
สมเด็จท่านนั่งนิ่งอยู่สักครู่….แล้วจึงลากลับ…
คุณนายก็ยังคงไปวัด…เป็นปกติ……

วันหนึ่ง….
สมเด็จ….ท่านเห็นว่า..วันนี้…
คุณนายยิ้มแย้มแจ่มใส…พูดจาร่าเริง…
อารมณ์ดีหลังการทำบุญทำทาน…
สมเด็จจึงถามว่า…
พระในบ้านของโยม….โยมดูแลเรียบร้อยแล้วหรือยัง…?
เรียบร้อยเจ้าค่ะ….
ดิฉันจุดธูปเทียน…ถวายอาหาร….
บูชาเสร็จแล้ว…จึงมาที่วัด…
ท่านไม่ต้องเป็นห่วง….

อาตมา..ไม่ได้หมายถึง…พระพุทธรูป…
พระในบ้านที่อาตมาถามถึงนี่…
เป็นพระที่ยังมีลมหายใจ….
คือ…แม่พระ….ผู้มีพระคุณสูงสุดแก่โยม…
แม่..ให้ชีวิตเรามา…โดยเอาชีวิตตัวเองเขาแลก…
เลี้ยงดูเรามา..ตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย….จนได้ดิบได้ดีทุกวันนี้…

แม่เหน็ดเหนื่อย….ทุกข์ทรมาน…แสนสาหัส…
แม่…ทนหิว…เพื่อให้ลูกอิ่ม….
แม่…ทนหนาว..เพื่อให้ลูกอุ่น…
แม่..ไม่เคยนอน..ถ้าลูกของแม่…ยังไม่หลับ…
ยามลูกเจ็บป่วย…..ร้องไห้
หัวใจแม่ก็เจ็บปวด…และร้องไห้พร้อมกับลูกด้วย…..
แม่อยากเอาความเจ็บปวดทั้งหมด…ของลูก…มาไว้ที่แม่…
ถ้าทำได้……
แม่…ยอมตายเพื่อลูกได้….

พระคุณของแม่นี้…..ใหญ่หลวงเกินกว่าจะคณานับ…..
เราต้องตอบแทนบุญคุณท่านบ้างน่ะโยม….
เอาตาดู…หูใส่….เอาใจใส่ท่านบ้าง….
ไม่ใช่ปล่อยให้ท่าน …อด ๆ…อยากๆ……
เจ็บไข้ได้ป่วย….ก็ดูแลท่านบ้าง….
อาตมาได้ข่าวว่า….
คุณโยมเหลือแม่อยู่คนเดียว……
และ…ไม่ค่อยสนใจความเป็นอยู่ของท่าน….
ปล่อยให้อยู่ในห้องแคบๆ อดๆ อยาก ๆ
ไม่สงสารท่านบ้างหรือ….โยม….?

โยมจัดอาหารมาถวายพระได้ทุกวัน….
แต่พระในบ้านอีกองค์…..โยมไม่เคยจัดให้….
และตอนที่โยมจัดมาให้อาตมา…..
สังเกตดู….โยมจัดมาให้อย่างดี…..ประณีตบรรจง…
แต่ก่อน…..
อาตมาไม่รู้ว่า…อะไรเป็นอะไร…
ก็ฉันของโยมตามปกติ….
แต่ตอนนี้…บอกตรงๆ…เลยว่า…
กลืนไม่ค่อยลง…มาหลายวันแล้ว…..
อาตมาเป็นพระในวัด…
ไม่ควรเอาเปรียบพระในบ้าน….ของโยมเกินไป….

ถ้าพระในบ้าน…ยังอด…
พระในวัด…ก็…กลืนไม่ลง…
การทำบุญให้ได้บุญมากนะโยม…
เลี้ยงพ่อแม่…ให้อิ่มหนำสำราญเสียก่อน…
แล้วจึงถวายพระ……
คุณนาย….ไม่พูดอะไร…. นั่งน้ำตาไหล….
ลูกๆที่รักทุกคน…
ได้ดูแลพระในบ้านของลูกๆ…แล้วหรือยัง…?
ถึงแม้ว่า…จะเพียงเล็กน้อย….ก็ยังดี….
บางคน…..
กว่าจะรู้…พ่อแม่เป็นพระในบ้านผู้ประเสริฐ…
ก็สายเสียแล้ว…
คือ..รู้เมื่อท่านทั้งสอง…..ไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้แล้ว…....

**********************************
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=5319 และ เว็บพลังจิต
__________________

456
ฮาดีครับ ถ้ามีอีกเอามาอีกนะ

457
น่าเอาเป็นตัวอย่างครับ ดูซิครับ ฝรั่งมังค่ายังรู้จักเข้าวัดเลย ยกนิ้วเลย  :054:

458
จิตสุดท้ายเป็นตัวกำหนดว่าจะไปสู่สุคติภูมิหรือทุคติภูมิ


ถาม : คนที่กล่าวว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงกล้าตอบว่าตายแล้วไปไหน ถึงแม้จะเป็นสัพพัญญูรู้ทุกอย่าง คนๆ นี้ตายแล้วไปไหนครับ ?

ตอบ : โทษปรามาสพระพุทธเจ้าไปไหน เขาก็ไปตรงนั้นแหละ ...(หัวเราะ)... จริงๆ แล้วเขาเก่งกว่านะ เขาคงกล้าตอบ ...(หัวเราะ)...

ที่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ระบุชัดเพราะว่า จิตสุดท้ายของแต่ละคนเกาะไม่เหมือนกัน

พระองค์ท่านกล่าวไว้ชัดเลยใน มหากัมมวิภังคสูตรว่า บุคคลผู้ตั้งใจเจริญสมาธิภาวนา ทรงฌาน ๔ และได้ทิพยจักขุญาน ได้ไปรู้เห็นนรกสวรรค์แล้วกล่าวว่า "บุคคลที่ทำความชั่วลงนรกทั้งหมด บุคคลที่ทำความดีขึ้นสวรรค์ทั้งหมด ตถาคตขอกล่าวว่าไม่ใช่" ที่พระองค์ท่านกล่าวเช่นนั้น เพราะว่าจิตสุดท้ายของแต่ละคนเกาะอารมณ์ต่างกัน

ตัวอย่างชัดเลยก็มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ทำความชั่วตลอดชีวิตก่อนตายคิดถึงพระพุทธเจ้านิดเดียวไปสวรรค์ก่อน ส่วนพระนางมัลลิกาเทวี ทำความดีตลอดชีวิต ก่อนตายจิตเศร้าหมองหน่อยเดียวไปนรกก่อน..!

ถามว่ายุติธรรมไหม ? ก็ยุติธรรมอยู่ เพราะว่าท่านทำความดีนิดเดียวท่านก็ได้อยู่ข้างบนแค่นิดเดียว ทำความความชั่วนิดเดียวก็อยู่ข้างล่างนิดเดียวเหมือนกัน

แต่ของมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรนั่น ท่านโชคดีมหาศาลที่ว่า ในอดีตท่านเคยสร้างพระพุทธรูปมาก่อน จึงประจวบกับพระพุทธเจ้าขึ้นไปโปรดพุทธมารดาพอดี แล้วได้เพื่อนดีคือ อากาสจารีเทพบุตร อุตสาห์มาฉุดลากให้ไปเฝ้า ถึงได้รู้ว่าตัวเองจะหมดบุญอยู่แล้ว

พอได้ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์ได้เป็นพระโสดาบัน จุติเดี๋ยวนั้นแล้วเกิดใหม่ มีทิพย์สมบัติเป็นของพระอริยเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว ไม่อย่างนั้นเสร็จแน่..!

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า

"บุคคลผู้ทำชั่วในอดีต ทำชั่วในปัจจุบัน ไปทุคติแน่นอน

บุคคลผู้ทำดีในอดีต ทำดีในปัจจุบัน ไปสุคติแน่นอน

บุคคลผู้ทำดีในอดีต ทำชั่วในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะไปทุคติ

บุคคลผู้ทำชั่วในอดีต ทำดีในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะไปสุคติ"

เมื่อเป็นดังนี้ เราที่เห็นแค่ปัจจุบันของเขา และเราไม่รู้ว่าจิตสุดท้ายของเขาเกาะความดีหรือความชั่ว ขืนไประบุชัดโอกาสผิดก็มีมาก


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๔


ที่มา : เว็บพลังจิต

459
ในความคิดของผมนะ ต้องเป็นหัวใจคาถา อะไรสักอย่างแน่นอนครับ

460
ยังไงมันก็ เป็นตะกรุดยังวันยังค่ำ อะครับ คุณหมดความศรัทธา นั่นแหละ ตะกรุดจะไม่มีพุทธคุณครับ เมื่อก่อนผมก็เป็นแบบคุณนี่แหละ แต่นี่รู้แล้วว่ามันอยู่ที่ใจ และ ความศรัทธา ครับ

461
สำหรับพี่น้องที่เพิ่งเข้ามาใหม่แล้วยังไม่แน่ใจว่า จริงเหรอ
ผมขอแนะนำว่า สติ๊กเกอร์หลวงพ่อเปิ่นหรือแม้แต่รูปหรือเหรียญท่าน ก็เหมือน มีหลวงพ่อไปด้วยแน่ๆครับ
ตอนแรกทำท่าจะบานปลายแต่พอสวดบทบูชาหลวงพ่อ แล้ว คุยใหม่ อีกฝ่ายไม่กล้าทำอะไรเลยครับ
บทเรียนหนึ่งในชีวิต
ด้วยความแค้นที่กฎหมายไม่สามาถทำอะไรได้ (เขาค่อนข้างจะเบ่งคับซอย)
เราเลยจะต้องดักตีมัน (เพราะมันไล่กัดแฟนผมด้วยเวลามาดึกๆ)

ผมกลับปกติ แอบรถไว้แล้วรอดึกๆ ย่องๆ ผ่านหน้าบ้าน
เจ้าของไม่มีหมานั่งเกลื่อนทั้งฝูง
(เจ้าของ หรือผู้เลี้ยง หรือผู้ให้อาหารกิน
หมายถึงคนเดียวกันครับ พรบ กทมเกี่ยวกับสุนัขปี48.ระบุ )
เราเดินเข้าไป เอาไม้ตี ..วืดครับ แต่สภาพการล้มกลิ้งเหมือนมันโดนตี ร้องลั่น
(เจ้าของหยุดกวนทันทีปิดบ้านหนีเลยครับ แต่ผมตีไม่โดน มันวืดเฉยๆ)
ผมยังไม่หยุด ไปจอดรถหลบ  คราวนี้ไม้2ท่อน รอดึกๆ ย่องมา ผ่านหน้า ปา พัวะ.. 2ท่อน หมาร้องลั่น วิ่งป่าราบ
(แปลกจริงๆระยะแค่เดินเฉียดแต่ผมปาไม่โดน)
กลับมาบ้าน
ค้นหา กฏหมาย ไปเล่นงาน ดันไปเจอบทความ เรื่อง
"ชะตากรรมสุนัขจรจัด กรรมที่วางยาเบื่อหมา
กรรมที่ทำให้โดนวางยาเบื่อ " โอ้ว

แรงๆทั้งนั้น สรุปเลย มาย้อนนึก
นี่ถ้าฉันทำไป แล้วโดน นี้คงบาป สุดๆ  

ผมเชื่อ1ข้อ หลวงพ่อท่านไม่ชอบเห็นศิษย์โดนรังแกแน่นอน
แต่เหนืออื่นใดท่านชอบการสั่งสอนให้หลาบจำ
มิไช่ทำบาปกรรมเพิ่ม เพราะในสายตา เจ้าของหมา สภาพของหมา
ที่กระเด็นตามไม้เกมือนลูกขนุนแล้วร้องลั่น
(เพราะมันวิ่งหนีแล้วล้มกลิ้งด้วยตัวมันเอง
มิไช่โดนไม้ผมแต่เหมือนมันโดนตีปลิวมากๆเรายังตกใจ
เอ้ย..ฉันยังไม่ทันทำอะไรเลยนะ) เจ้าของหมาไม่กล้าออกมานักเลงเลยครับ
เลยฝากเพื่อนๆว่า ถ้าผ่านซอยนาวีเจริญทรัพย์ ให้ระวังหมาที่หางตก กับตัวใหญ่สีขาวน้ำตาลครับ
วันใดเจ้าของจะปล่อยมากัดคนอีกยังไม่ทราบ แต่เชื่อมั่นเลยว่าบารมีหลวงพ่อคุ้มครองครับ

*** กฎหมายน่ารู้ กรณีหมากัด
ถึงจะโดนกัดในที่คืนอื่น แต่ถ้าที่นั้นๆ ไม่มีรั้วแล้วเราต้องเดินผ่าน เจ้าของผิด
ปล่อยหมาเดินไปมา หมามาคนกัดบอกว่า ไม่ไช่หมาตน แต่ถ้าคนนั้นให้ข้าวปลาบ่อยๆ คนนั้นคือผู้เลี้ยงหรือเจ้าของ ผิดแน่นอนครับ (หมาเราไปกัดเขาเราก็ผิด หมาเราไปอึหน้าบ้านเขาเราก็ผิด พรบ สุนัข ของกทม ปี48)
บุกรุกยามวิกาล ใช้กับ ถนนหลวงไม่ได้ หรือถนนที่ยกให้ หลวงและเทราดยางแล้วมิไช่ถนนหลวง
กรณี โดนเจ้าของ ดูหมิ่นไม่รับรู้ความสูญเสียหรือเสียหาย สามารถแจ้งกทม มาจับสุนัขไปได้ครับ
ใครเอาขี้หมามาทิ้ง หน้าบ้านเรา เจ้าของต้องรับผิดชอบ ปฏิเสธไม่ได้
หมาใครมาขี้หน้าบ้านเรา เจ้าของต้องเก็บ
และเจ้าของต้องดูแลหมาในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มีอาหารการกิน ที่อยู่อาศัยตามสมควร
ในสถานที่มีรั้วรอบขอบชิด มีการฉีดยา และไม่ปล่อยปละละเลย สุนัข ห้ามเลี้ยงสุนัขในที่สาธารณะ
เช่นปล่อยหมามาเดิน เพ่นพ่าน

หมามี หมาปกติ กับพันธ์พิเศษ เช่น หมาพิตบู และ ร๊อตไวเลอร์ สุนัขเฝ้าระวังพิเศษ เช่นสุนัขที่มีประวัติทำร้ายคน

(วางยาเบื่อเอง-กรรมคือ กินของที่มีพิษโดยที่เราไม่รู้และเสียชีวิต )
ตีหมา -โดนเขาตีบ้าง
แจ้งกทมจับ- ลุ้นว่ารอด หรือ ไปเลี้ยงต่อ หรือทำลูกชิ้น แต่ที่แน่ๆ มันจะหายไปตลอดไม่มากัด คนที่เรารัก
รอให้มัน -หรือเรา ตายกันไปเอง ใครตายก่อนคนนั้นแพ้ - -
ปลงและยอมโดนมันกัด

ปล.ถ้าไม่มี ครูอาจารย์คุ้มครอง ผมเชื่อว่าด้วยความเร็วบิดหนี
และแรงขี้ของเขี้ยวหมาที่รุม
และแรงกระแทกดังลั่นจนคนต้องออกมาดู ผมเชื่อว่า
คนเละ รถไม่ต้องพูดถึงสภาพเลยครับ บารมีครูอาจารย์รักษาแท้ๆ  

(กฎหมายด้านบนใช้ได้ในเขต กทมนะครับ กรณีโดนสุนัขกัดแล้วเจ้าของไม่ยอมรับ)

ครูรักษาครับพี่น้อง


ไม่ต้องไปทำมันหรอก ให้สุนัขตัวนั้นรับกรรมของมันเองครับ

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมครับ

462
ขอบคุณมากครับ สำหรับผ้ายันต์ของหลวงปู่ตอนท่านสมัยยังเป็นพระหนุ่ม

463
ผมได้แล้วครับแต่ได้อย่างเดียวคือ สติ๊กเกอร์ ครับ อยากได้อีกจัง  :010:

464
ธรรมะ / เป็นคนดี..ยังไม่พ้นนรก
« เมื่อ: 19 ก.ค. 2553, 07:48:46 »
เป็นคนดี..ยังไม่พ้นนรก
การที่คิดว่าเราเองก็เป็นคนดีคนหนึ่งนั้น ยังไม่ขึ้นชื่อว่าพ้นนรกเรื่องนี้มีประเด็นให้เรา พิจารณาดังนี้ครับ

   1. บุคคล ที่ถือว่าพ้นนรกแน่แล้ว มีเพียงพระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันเป็นต้นไปเท่านั้นครับ ไม่ว่าท่านเหล่านั้นจะเคยทำบาปกรรมอะไรไว้มากแค่ไหนบาปกรรมเหล่านั้นก็ไม่ สามารถดึงลงนรกได้ และพระโสดาบันนี้จะเกิดได้เฉพาะในภูมิมนุษย์ สวรรค์ พรหม อีกไม่เกิน 7 ชาติก็จะถึงซึ่งพระนิพพานครับ ส่วนจะกี่ชาตินั้นก็แล้วแต่ประเภทของพระโสดาบันด้วยครับ ดังนั้น ทางที่เราจะปิดอบายภูมิได้ 100% คือบรรลุโสดาบันให้ได้ก่อนตายครับ
   2. ตัวอย่างบุคคลที่พ้นนรกได้แม้จะทำ ชั่วไว้มาก ที่เห็นได้ชัดคือ เรื่องเพชรฆาตเคราแดง ที่ผมเคยนำมาเล่าให้ฟัง และอีกตัวอย่างคือ องคุลีมาล ที่ท่านฆ่าคนมาถึง 999 คนแต่ก็พ้นนรกได้เพราะสำเร็จอรหันต์ สำหรับตัวอย่างเรื่องคนดีที่ต้องลงนรกที่เห็นได้ชัดเจนคือ พระนาง มัลลิกาเทวี พระมเหสีของพระเจ้าปเสนทิโกศล ที่พระนางทำดีตลอดชีวิต เรียกได้ว่าเป็นผ้าขาวที่บริสุทธิ์ ในชีวิตไม่เคยทำกรรมชั่วเลย แต่พระนางมีเรื่องที่เป็นเหมือนรอยด่างพร้อยในชีวิตพระนางเรื่องเดียว คือ พระนางทรงยินดีในสันถวะกับสุนัขและโกหกพระสวามีแค่ครั้งเดียวในชีวิต (อ่านรายละเอียดเรื่องพระนางมัลลิกา) ด้วยเหตุนี้เองเมื่อพระนางเสียชีวิต พระนางทรงคิดว่าตัวเองเลวนักที่ได้ทำความชั่วนั้นไว้ จิตใจเป็นทุกข์ก่อนตาย ด้วยเหตุนี้จึงตกอเวจีมหานรก เป็นเวลานาน 7 วันแล้วค่อยได้ไปอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต ทั้งๆ ที่พระนางควรจะได้ไปสวรรค์ตั้งแต่แรก เพราะได้ทำบุญใหญ่อย่าง อสติ สทาน ซึ่งเป็นทานใหญ่ที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแต่ละพระองค์จะมีคนทำทานนี้ได้แค่ หนึ่งครั้งเท่านั้น
   3. ทีนี้ก็คงมีบางท่านอาจสงสัยว่า การบรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลนี่ สามารถปิดกรรมชั่วได้ทุกอย่างเลยมั้ย แล้วคนที่ทำบาปหนักที่เรียกว่า อนันตริยกรรม (ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงห้อพระโลหิต และทำสังฆเภทคือ ทำสงฆ์ให้แตกแยก) จะปิดอบายได้มั้ย… ก็คงต้องตอบว่า กรรมหนักพวกนี้จะเป็นตัวปิดกั้นมรรคผลครับ คือ คนที่ทำอนันตริยกรรม จะไม่สามารถบรรลุธรรมได้แม้แต่เป็นพระโสดาบันก็ไม่ได้ และไม่ว่าจะกลับตัวมาทำดีแค่ไหนก็ต้องลงนรก 100% ครับ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ พระเจ้าอชาตศัตรู บุตรของพระเจ้าพิมพิสาร ที่ถูกพระเทวทัตหลอกให้เป็นมิจฉาทิฏฐิ จนทำ อนันตริยกรรม คือ ฆ่าพ่อตัวเอง… เรื่องพระเจ้าอชาตศัตรูนี้ พระพุทธองค์เคยทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า ถ้าพระเจ้าอชาตศัตรูไม่ได้ทำอนันตริยกรรมแล้ว หากได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าจะบรรลุอรหันต์ทันที แต่ก็สายไป แต่เมื่อพระองค์สำนึกผิดก็ได้เร่งทำกรรมดี ทรงเป็นศาสนูปถัมภก ค้ำจุนพระพุทธศาสนา ทั้งยังเป็นประธานในการทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 1 ด้วย ด้วยกรรมดีเหล่านี้ส่งผลให้พระองค์ไม่ต้องไปอยู่อเวจีมหานรก แต่ก็ต้องเสวยผลแห่ง อนันตริยกรรม ไปบังเกิดในพื้นเบื้องล่างของนรกขุมบริวารชื่อ โลหกุมภี (ซึ่ง เป็นนรกที่โทษเบา ที่สุดแล้ว) ถึง ๓ หมื่นปีนรก แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ไว้ว่า เมื่อพ้นทัณฑกรรมในเบื้องล่างของโลหกุมภีนั้นแล้ว พระเจ้าอชาตศัตรูจะไปบังเกิดในพื้นเบื้องบนของโลหกุมภี อีก ๓ หมื่นปีนรก หลังจากนั้นแล้วจะได้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระนามว่า “ชีวิต วิเสส” แล้วบรรลุนิพพานในที่สุด นี่ละครับคือตัวอย่างบุคคล ในสมัยพุทธกาลที่สอนให้เรารู้ว่าชีวิตไม่แน่ไม่นอน คนชั่วก็ไปสวรรค์ได้หากกลับตัวทันแม้ช่วงเสี้ยวเวลาสุดท้ายของชีวิต ส่วนคนที่ดีมากๆ ก็ใช่ว่าจะพ้นนรกได้
   4. ว่าด้วยเรื่องการให้ผลของกรรม กฎ แห่งกรรม ก็คือ บุคคลทำกรรมอันใดไว้(กรรมต้องเกิดจากเจตนา ดังนั้นแม้คิดชั่วก็ถือว่าเป็นกรรมชั่วแล้ว) ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว ย่อมได้รับผลแห่งกรรมนั้น แต่ลำดับแห่งการให้ผลของกรรมนั้น เราไม่อาจรู้ได้ และไม่อาจใช้หลักตรรกะมาอธิบายได้ว่า กรรมใดจะให้ผลก่อนหลัง สำหรับปุถุชนธรรมดา การพยายามทำความเข้าใจเรื่องกรรมให้เข้าใจทั้งหมด อาจทำให้บ้าได้ เพราะพระพุทธองค์ตรัสว่า เรื่องกรรม เป็นหนึ่งในสี่ อจินไตย คือ เรื่องที่ไม่ควรไปทำความเข้าใจเพราะเกินปัญญาของปุถุชน
      อจินไตย ประกอบไปด้วย
      1. พุทธวิสัย วิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
      2. ฌาน วิสัย วิสัยแห่ง อิทธิฤทธิ์ของฌาน
      3. โลกวิสัย วิสัยการมีอยู่ ของโลก
      4. กรรมวิสัย วิสัยของกฎแห่งกรรม ที่สามารถติดตามไปได้ทุกชาติ รวมถึงการให้ผล และการรับวิบากกรรม อ่านเพิ่มเติมเรื่องของกรรมประเภทต่างๆ

      เรื่องลำดับของการให้ผลของกรรม
      มีคนอุปมาอุปไมยไว้ เข้าใจได้ง่ายดีมากครับ ผมเลยอยากนำมาเล่าสู่ทุกท่านฟังครับ
      ท่านให้เปรียบว่า ตัวเรานี้เปรียบเสมือนคอกวัวขนาดใหญ่ ข้างในบรรจุวัวคือกรรมไว้ โดยกรรมดีเปรียบเสมือนวัวขาว ส่วนกรรมชั่วเปรียบเสมือนวัวดำ เวลาทำกรรมดีก็คือเรามีวัวขาวเพิ่มมากขึ้น จะมากน้อยก็แล้วแต่อานิสงส์ของบุญนั้น ส่วนเวลาทำชั่วก็เหมือนเป็นการเติมวัวดำเพิ่มเข้าไปในคอกวัว ทีนี้คนเราก็มีทั้งทำดีทำชั่ว ในคอกวัวก็มีทั้งวัวดำวัวขาวปนกันมั่วไปหมด ไม่เพียงเท่านั้น เราเวียนตายเวียนเกิดกันมานับชาติไม่ถ้วน ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้หรอกครับว่า วัวดำมีเท่าไหร่ วัวขาวมีเท่าไหร่ ทีนี้คอกวัวนี้มีลักษณะพิเศษอย่างนี้ครับ คือว่า ทางออกจะมีทางเดียว และเวลาจะออกวัวจะสามารถออกได้ทีละตัวครับเพราะทางออกแคบมาก และวัวที่อยากออกมาจะเข้าคิวได้ครั้งละไม่กี่ตัว วัวที่อยู่ใกล้ทางออกมากที่สุด ก็มีโอกาสได้ออกก่อน การที่วัวออกมาจากคอกก็คือ การที่กรรมส่งผลนั่นเองครับ ถ้าเป็นวัวขาวหรือกรรมดี ก็ทำให้เราได้รับสุขเวทนา แต่ถ้าเป็นวัวดำหรือกรรมชั่วออกมาเราก็ได้รับทุกขเวทนาตามแต่ผลกรรมนั้นๆจะ ให้ผล
      จากตัวอย่างที่กล่าวไปแล้ว ก็คือ เราไม่รู้หรอกครับว่าลำดับต่อไปวัวดำหรือวัวขาวจะออกมาจากคอกกันแน่ วิธีที่เราพอทำได้ คือเติมวัวขาวเข้าไปให้มากๆๆๆ โดยการทำความดีให้มากๆ และเลิกใส่วัวดำหรือเลิกทำความชั่ว เพื่อเพิ่มโอกาสที่วัวขาวจะออกจากคอกมากกว่าวัวดำนั่นเอง หรือที่นิยมเรียกกันว่า การทำบุญหนีบาป หรือ การแก้กรรม ฯลฯ จะเรียกอะไรก็แล้วแต่ กรรมชั่วมันก็ไม่ได้หายไปหรอกครับ เพียงแต่กรรมดีเราทำไว้มาก กรรมชั่วเลยยังไม่มีโอกาสได้เล่นงานเรา จนสุดท้าย เราก็หนีไปนิพพานซะก่อน กรรมทั้งหลายที่เหลืออยู่และยังไม่ได้แสดงผล (วัวที่เหลืออยู่ในคอก) ก็ถือเป็น อโหสิกรรม คือ กรรมไม่ต้องให้ผลอีก เพราะเจ้าตัวไม่อยู่แล้ว…
   5. บท สรุปนะครับ การเป็นคนดียังไม่พ้นนรก เว้นเสียแต่เราสามารถบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันให้ได้ หลวงพ่อท่านบอกว่าการเป็นพระโสดาบันไม่ใช่เรื่องยาก ใครอยากเป็นก็ลองไปอ่านหัวข้อนี้นะครับทาง ไปนิพพานที่ตรงและลัดสั้นที่สุด

ขอขอบคุณเว็บ เว็บพลังจิต

465
ผมยังไม่ได้ทีครับ สงสัยมาพรุ่งนี้

466
พระคาถามหาวิเศษ ของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี

คาถามหาวิเศษ

--------------------------------------------------------------------------------

นโม พุทธายะ นะมะพะทะ จะภะกะสะ มะอะอุ อิสวาสุอาปามะจุปะ ทีมะสังอังคุ สังวิธาปุกะยะปะ สะทะวิปิปปะสะอุ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออนออะ นะอะกะ อัง อิติอะระหังพุทธังสรณังคัจฉามิ อิติอะระหังธัมมังสะระณังคัจฉามิ อิติอะระอังสังฆังสะระณังคัจฉามิ ติติอุนิ จิเจรุนิจิตตัง เจตะสิกัง รูปังนิพพานัง นามะรูปังทุกขัง นามะรูปังอนิจจัง นามะรูปังอนัตตา อะยังอัตตะพาโว อสุจิ อสุภัง อะระหังหะรินังหัคคะตา สัมมาสัมพุทโธ พุทธสังมิ มังคะลังโวเจติ อิติอะระหัง อะระหังพุทโธ นโมพุทธายะ

เป็น คาถาที่เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต ใช้เสกผงทำพระสมเด็จ คาถานี้แก้คุณไสย ได้ทุกประการและสวดบ่อยๆยังเป็นการอาราธนาคุณพระเข้าตัวอีกด้วย คาถานี้ สมเด็จโตได้ถ่ายทอดให้กับ หลวงพ่อเงินบางคลาน และพระอาจารย์ทางพิจิตรทั้งหลายได้สืบต่อคาถานี้มาจนถึง พระครูพิมลธรรมานุดิษฐ์ (หลวงพ่อขวัญ ปวโร วัดบ้านใร่ จ.พิจิตร)ท่านใด้ใช้เสกตะกั่วในการทำตะกร้อปรากฏว่าคงกระพันแคล้วคลาดดีมาก ท่านจึงได้ถ่ายทอดให้สาธุชนได้ท่องสาธยายสืบมา

ขอขอบคุณเว็บ http://board.palungjit.com

467
คุณไม่ต้องไปเล่นหรอก คนเราถ้าจะเป็นคู่กันยังไงต้องได้เป็นเนื้อคู่ กันอยู่แล้วต่อให้เนื้อคู่คุณอยู่ไกลเท่าไหนก็เหอะ ได้พบกันอยู่แล้วเชื่อผม อย่าไปเล่นปาบ นะ คุณลองสมมุตินะว่าถ้าคุณมีลูกแล้วมีคนทำอย่างนั้นกับลูกคุณ คุณรู้สึกยังไงครับ อย่าเล่นเลยครับ น้ำมันพรายอะครับ ผมไม่ได่ด่านะ แต่ ผมพูดให้ฟังครับ เพราะ หวังดีครับ  :048:

468
ขอต้อนรับกลับบ้านครับ ท่านเซอร์ดอน

469
สุดยอดมากครับ กินใจและโดนมากครับ

470
ผมแนะนำให้เอา จิ้งจกปี้ ครับ

471
เข้าใจคิดนะครับ แต่ก็ขอบคุณสำหรับภาพครับ ได้ความสนุกดี  :005:

472
หนุมานทุกตัว เหมือนกันครับ ใช้หัวใจเดียวกันคือ หะนุมานะ ครับป๋ม ตัววัดบางพระไม่เรียกหนุมานเป็นตัวนะมีชื่อเรียกอยู่

473
ตำนานพระพุทธเจ้า 5 พระองค์

--------------------------------------------------------------------------------

ในสมัยต้นปฐมกัป มีพญากาเผือก 2 ตัวผัวเมียทำรังอยู่ที่ต้นมะเดื่อริมฝั่งแม่น้ำคงคา
อันเป็นธรรมชาติสถานที่รื่นรมย์ ในเวลาต่อมาพระโพธิสัตว์ได้ทรงปฏิสนธิเกิดในครรภ์
์แม่พญากาเผือกพร้อมกันถึง 5 พระองค์ เมื่อครบทศมาสแม่กาเผือกก็เกิดออกไข่ ณ ที่รัง
ต้นมะเดื่อจำนวน 5 ฟอง (สถานที่นี่ในกาลต่อมาเรียกชื่อว่า วัดพระเกิด ) แม่กาเผือก
คอยเฝ้าฟักดูแลรักษาไข่ด้วยความทะนุถนอมเป็นอย่างดี ครั้นอยู่มาวันหนึ่งพญากาเผือก
ได้ออกไปหากิน ถิ่นแดนไกล ได้ไปถึงสถานที่ หนึ่งอันอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพรรณธรรมชาติ
พืชพรรณธัญญาหาร แม่กาเผือกได้เพลิดหากินอาหาร ชื่นชม ธรรมชาติอันรื่นรมย์จนมืดค่ำ
พอดีฝนตกฟ้าคะนองพายุใหญ่พัดกระหน่ำทำให้มืดครึ้มทั่วไปหมด ทำให้พญากาเผือก
หาหนทางออกไม่ถูกจึงหลงในบริเวณสถานที่นั้นๆ ( สถานที่นั้นต่อมา จึงได้ชื่อว่า เวียงกาหลง )
แม่กาเผือกได้พักอยู่ที่เวียงกาหลงคืนหนึ่ง รุ่งอรุณเบิกฟ้า แม่กาเผือกจึงรีบถลาบินกลับสถาน
ที่พัก ณ ที่รังต้นมะเดื่อริมฝั่งแม่น้ำ แต่ปรากฏว่ากิ่งไม้มะเดื่อ ที่ทำรังอยู่ได้ถูกลมพายุใหญ่
พัดหักล้มลงไปในแม่น้ำ
แม่กาเผือกตกใจรีบบินถลาหาลูกไข่ทั้ง ๕ ในแม่น้ำ แต่ อนิจจาหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ
แม่กาเผือกพยามหาไข่ลูกของตนไปในทุกสถานที่ ตามลำน้ำจนเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้า ด้วยความ
โศกเศร้าเสียใจในความรักลูกอย่างสุดซึ้ง จึงไม่สามารถระงับความอาลัยทุกข์ได้ในที่สุดก็สิ้นใจ
ไปอย่างน่าสงสาร ด้วยอานิสงส์ที่มีความเมตตารักลูกอันบริสุทธิ์ กับทั้งทิ่ลูกของแม่กาเผือก
เป็นโพธิ์สัตว์ถึง ๕ พระองค์ จึงเป็นบุญกุศลหนุนส่งให้แม่กาเผือกตายไปเกิดอยู่แดนพรหมโลก
ชั้นสุธาวาสมีวิมานทองคำสดใสบริสุทธิ์ งดงามตระการตา ได้พระนามชื่อว่า “ ฆติกามหาพรหม”
จักได้เป็นผู้ถวายอัฏฐะบริขารบวชแก่ลูกทั้ง ๕ พระองค์ เมื่อได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ส่วนไข่ทั้ง ๕ ได้ถูกลมพัดตกน้ำไหลไปในสถานที่ต่างๆ
ไข่ฟองที่ ๑ มีไก่เก็บไปดูแลรักษา
ไข่ฟองที่ ๒ แม่นาคราชเก็บไปดูแลรักษา
ไข่ฟองที่ ๓ แม่เต่าเก็บไปดูแลรักษา
ไข่ฟองที่ ๔ แม่โคเก็บไปดูแลรักษา
ไข่ฟองที่ ๕ แม่ราชสีห์เก็บไปดูแลรักษา
ครั้งในกาลเวลาต่อมา พระโพธิสัตว์ ทั้ง ๕ ก็ประสูติออกจากไข่ทั้ง ๕ ปรากฏเป็นมนุษย์
์รูปร่างสวยสดงดงาม ทั้ง ๕ พระองค์ ในเวลาเดียวกันตามลำดับของแม่เลี้ยงทั้ง ๕ ที่นำไข่ไปเก็บ
ดูแลรักษา พระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ ได้เจริญเติบโตอยู่กับแม่เลี้ยงดัวยความกตัญญู จึงรู้ทำหน้าที่
ี่ทุกอย่างทดแทนบุญคุณแม่เลี้ยงเป็นอย่างดีจนถึงอายุได้ ๑๒ ปี ด้วยบุญกุศลเก่าหนุนส่ง ก็มีจิตคิด
ที่จะออกบวชเนกขัมบารมี เป็นฤาษีอยู่ในป่าจึงได้อำลาแม่เลี้ยงของตนเหมือนกันทั่ง ๕ พระองค์
ฝ่ายแม่เลี้ยงถึงจะมีความรักความอาลัยในลูกสักเพียงใด แต่ก็ไม่ขัดความประสงค์์เจตนาที่เป็น
บุญกุศลอันยิ่งใหญ่ของลูกจึงได้ อนุญาตให้ลูกไปบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญบารมีอยู่ในป่าด้วยความ
อนุโมทนา ด้วยปณิธานอันแน่วแน่ของพระโพธิ สัตว์ทั้ง ๕ พระองค์ ที่มุ่งมั่นจะบำเพ็ญบานมี
พระโพธิญาณ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าโปรดสัตว์โลก ให้พ้นจากกองทุกข์ภัยในวัฏฏะสงสาร
แม่เลี้ยง ทั้ง ๕ เห็นปณิธาน อย่างนั้นจึงฝากนามของแม่เลี้ยง ไว้กับลูกเพื่อเป็นอนุสรณ์
ตำนานไว้แก่โลกต่อไปในภาคหน้าเมื่อลูกได้ตรัสรู้เป็นพุทธเจ้าโปรดโลกแล้วตามลำดับ
พระนามดังนี้
1. องค์ที่ ๑ มีพระนามว่า พระกกุสันโธ เพราะตามนามแม่เลี้ยงที่เป็นไก่
2. องค์ที่ ๒ มีพระนามว่า พระโกนาคมโน เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นนาค
3. องค์ที่ ๓ มีพระนามว่า พระกัสสโป เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นเต่า
4. องค์ที่ ๔ มีพระนามว่า พระโคตโม เพราะตามนามแม่เลี้ยงเป็นโค
5. องค์ที่ ๕ มีพระนามว่า พระศรีอริยเมตไตรโย เพราะตามนามแม่เลี้ยงที่ เป็นราชสีห์
ในกัปป์นี้ได้ชื่อว่าภัทรกัปเป็นกัปที่เจริญที่สุดเพราะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกนี้ถึง๕ พระองค์
มีพระนามตามที่กล่าวมาแล้วนั้นทั้ง ๕ พระองค์ จึงเป็นที่มาของคำว่า “ นโมพุทธายะ”

ในกัปป์นี้ได้ชื่อว่าภัทรกัปเป็นกัปที่เจริญที่สุดเพราะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกนี้ถึง๕ พระองค์
มีพระนามตามที่กล่าวมาแล้วนั้นทั้ง ๕ พระองค์ จึงเป็นที่มาของคำว่า “ นโมพุทธายะ” นะ คือ พระกกุสันโธ
โม คือ พระโกนาคมโน
พุทธ คือ พระกัสสะโป
ธา คือ พระโคตโม
ยะ คือ พระศรีอริยเมตไตยโย

จนเป็นคาถาสืบต่อกันมาเป็นพุทธบูชาแก่พระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์

ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ พระองค์ เมื่อออกบวชเป็นฤาษีได้บำเพ็ญเพียรพระกัมมัฏฐาน
จนสำเร็จญาณ อภิญญาสมบัติ จึงสามารถเหาะไปหาอาหาร ผลไม้ด้วยฤทธิ์ทุกพระองค
์ อยู่มาวันหนึ่งได้เหาะไปหาอาหารผลไม้ และ บำเพ็ญเพียรธรรมที่ป่าดอยสิงกุตตระ
ณ ใต้ต้นนิโครธอันร่มเย็นด้วยกิ่งไม้สาขาใหญ่ด้วยเหตุปัจจัยในกุศลบารมีธรรม ฤาทั้ง ๕
ได้มาพบกัน ณ ที่ นี้ โดยไม่ได้นัดหมาย รู้จักกันมาก่อน จึงสอบถามความเป็นมาของกันและกัน
จึงได้รู้แต่ว่า แต่ละองค์มีแต่แม่เลี้ยง แม่ที่แท้จริวอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ฤาษีทั้ง ๕ จึงได้ร่วมกันตั้ง
สัจจะอธิฐาน ขอให้ได้พบแม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริง ด้วยอำนาจสัจจะอธิฐาน ธรรมอันบริสุทธิ์ของ
ฤาษีทั้ง ๕ จึงดังก้องไปถึงพรหมโลกเป็นเหตุให้ท้าวฆติกามหาพรหมซึ่งเป็นแม่กาเผือกตาย
และได้มาเกิดเป็นพรหม ทราบเหตุการณ์ทั้งหมด จึงจำแลงเพศเป็นแม่กาเผือกขนสวยงาม
ยิ่งนัก มาปรากฏอยู่ข้างหน้าฤาษีทั้ง ๕ ฝ่าย ฤาษีทั้ง ๕ ก็รู้ด้วยญาณ ทัศนะทันทีว่า นี่แหละ
เป็นแม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริง จึงสอบถามแม่กาเผือกถึงความเป็นมาตั้งแต่ต้นว่า เรื่องเป็นมาอย่างไร
แม่กาเผือกจึงเล่าความเป็นมาแต่หนหลังครั้งทำรังอยู่ต้นมะเดื่อฝั่งแม่น้ำคงคา อยู่มาวันหนึ่ง
ได้ออกมาหาอาหารกินถิ่นแดนไกลถึงสถานที่ที่หนึ่ง ซึ่งอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธ์ธัญญาหาร
เป็นธรรมชาติอันสวยงามสงบร่มเย็น บังเกิดพายุใหญ่ ได้พัดกิ่งไม้ฝนตกฟ้าคะนอง
จนมือค่ำจึงหลงทางอยู่หาทางออกไม่ถูก จนกระทั่งอรุณรุ่งวันใหม่ฝนฟ้าพายุสงบลง
จึงรีบบินกลับมาที่พักมาหาลูกที่รังด้วยความเป็นห่วง แต่ปรากฎว่าคืนที่ผ่านมาฝนตกหนัก
พายุใหญ่ได้พัดกิ่งไม้มะเดื่อหักทำให้รังไข่ทั้ง ๕ ลูกแม่กาเผือกตกลงไปในน้ำและได้ถูกน้ำพัด
ไหลไปในที่ต่างๆ หาเท่าไหร่ก็ไม่พบจนหมดความสามารถ ในที่สุดด้วยความรักความอาลัย
อันบริสุทธิ์ที่มีต่อลูกก็สิ้นใจตาย ได้เกิดเป็นพระพรหมแดนพรหมโลกชั้นสุธาวาส
มีวิมารทองคำเป็นที่อยู่ ด้วยอานิสงส์ความรักอันเมตตาอันบริสุทธิ์กับทั้งลูกเป็นพระโพธิญาณ
มีบุญญาธิมาก จึงได้เกิดมาเป็นพรหมและได้จำแลงเพศเป็นแม่กาเผือกให้ลูกฤาษีทั้ง ๕
ได้ทราบถึงความเป็นมาทั้งหมด

เมื่อลูกฤาษีได้ทราบเหตุ เช่นนั้นแล้้วก็รู้สึกสลดสังเวชใจเป็นอย่างยิ่งและสำนึก
ในบุญสร้างคุณอันใหญ่หลวง ของแม่กาเผือก จึงน้อมกราบนมัสการ ฆติกามหาพรหม
ผู้เป็นแม่ที่ให้กำเนิดชีวิตลูกได้สร้างบุญบารมีพระโพธิญาณ จึงกราบขอสัญลักษณ์อนุสรณ์
ของแม่กาเผือกผู้บังเกิดเกล้าอาไว้บูชา พระแม่กาเผือกจึงประทานผ้าฝ้ายเป็นด้ายฟั่น เป็นตีนกา
สัญญาลักษณ์อนุสรณ์ของแม่กาเผือก ประทานให้ลูกฤาษีทั้ง 5 ไว้ใช้เป็นไส้ประทีปจุดบูชาทุก
วันพระ และต่อมาเป็นประเพณีจุดประทีปตีนกาบูชาแม่กาเผือก ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12
ลอยกระทง เป็นตำนานสืบไว้ในโลกาตลอดกาลนาน เมื่อแม่กาเผือกฆติกามหาพรหมประทาน
สัญลักษณ์ ไว้ให้ลูกฤาษีโพธิสัตว์ทั้ง 5 แล้วก็อาลูกกลับเทวสถาน วิมานของตนบนพรหมโลก
ตามเดิม

ฤาษีโพธิสัตว์ทั้ง 5 ต่างก็พากันตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรรักษาศีลธรรมภาวนามิได้ขาด
ทุกวันพระก็จุดประทีบตีนกาบูชา พระแม่กาเผือกฆติกามหาพรหมผู้เป็นแม่อยู่เสมอ เป็นเวลา
นานหลายปีชีวีฤาษีทั้ง 5 ก็ดับขันธ์ได้ไปเกิดบนเทวโลกชั้นดุสิตพิภพอันเป็นที่อยู่ขององค์เทพ
พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ได้เสวยทิพยสมบัติอยู่ในที่นั้น และในกาลต่อมาก็วนเวียนบำเพ็ญบารมี
ีทุกภพชาติที่กำเนิดเกิดในสังสารวัฏฏ์นี้ จนบารมีเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ทั้ง 30 ทัศแล้ว ก็จะได้ตรัสรู้
เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ไหนจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ฆติกามหาพรหมผู้เป็นแม
่ ต้นกัปโลกาก็จะนำเอาบริขารคือ บาตรไตรจีวร มาถวายลูกโพธิสัตว์ทั้ง 5 พระองค์ในชาติสุดท้าย
ที่จะได้เป็น พระพุทธเจ้าโปรดโลกทุกพระองค์ กาลเวลาอันยาวนานผ่านไปจนถึงปัจจุบันนี้
พระโพธิสัตว์ลูกแม่กาเผือกต้นปฐมกัปป์ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า โปรดโลกไปแล้วถึง 5 พระองค์
์ ตามลำดับดังนี้คือ

1. พระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ 4 หมื่นปี มีเขมวตีนคร ของพระเจ้าเขมะเป็นราชธานี
2. พระโกนาคมโนสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ 3 หมื่นปี มีโสภวตีนครของพระเจ้าโสภะเป็นราชธานี
3. พระกัสสโปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ 2 หมื่นปี มีพาราณสีนครของพระเจ้ากิงกิเป็นราชธานี
4. พระโคตโมสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอายุ 80 ปี มีกบิลพัสดุ์นครของพระเจ้า สุทโธทนะเป็น ราชธานี

ส่วนพระโพธิสัตว์องค์ที่ 5 อันเป็นลูกองค์สุดท้ายของแม่กาเผือกคือ พระศรีอริยเมตไตรย
์ จักเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 ในภัททกัปนี้จะมีอายุถึง 8 หมื่นปี ในยุคของพระศรีอริยเมตไตรย์นั้น
สภาพสังคมมนุษย์โลกจะอุดมสมบูรณ์พูนสุขมาก เพราะผู้คนมีศีลธรรมอยู่ด้วยกันได้เมตตาธรรม
มีศีล 5 บริสุทธิ์ ทุกคน จึงมีทรัพย์สมบัติมาก มีอายุ ยืนยาว ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีรูปร่างสวยสดงดงาม
หน้าตาผ่องใสเบิกบานด้วยกันหมด เพราะผู้คนในยุคนั้นได้สร้างบุญบารมี ให้ทาน รักษาศีล ภาวนา
กันมาสมบูรณ์ดีหมดและเพราะพระบารมีของพระพุทธเจ้าศรีอริยเมตไตรยที่สั่งสมบารมี ีเพื่อ ความ
สันติสุขของโลกซึ่งมีพระเจ้าสังขจักรพรรดิทรงปกครองบ้านเมืองโดยชอบธรรมในเมืองเกตุมวดีนคร
แผ่ธรรมจักรพรรดิให้คนรักษาศีล 5 ทั้งโลก เมื่อพระศรีอริยเมตไตรยได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
ผู้คนจึงได้ฟังพระธรรมจักรได้ดื่มรส อมตธรรมแห่งพระศรีอริยเมตไตรย์ ได้บรรลุเข้าถึงสวรรค
์นิพพานโดยแท้ ผู้คนในยุคนั้นจึงโชคดีที่สุดที่เกิดมาเพื่อสันติสุข เข้าถึง ศีลธรรมอันดีงามทั้งหมด

ขอให้ทุกคนจงพากเพียร ให้ทาน รักษาศีล ภาวนา จะได้ไปเกิดในพระศาสนาพระศรีอาริย์
หากเข้าสู่นิพพานยุคนี้ยังไม่ได้ ท่านก็ยังมีโอกาสได้พบพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งอย่างแน่นอน
คือพระศรีอริยเมตไตรย์ลูกแม่กาเผือกองค์สุดท้าย การเกิดมาพบพระพุทธศาสนาเป็นของหายาก
การเกิดมาพบพระพุทธเจ้าก็แสนยาก บางครั้งโลกนี้ว่าง จากพระพุทธเจ้าเป็นล้านปีสัตว์โลกไม่ม
ีโอกาสเห็น หนทางพระนิพพานเลย ขอให้พวกเราอย่าได้ประมาท จงหมั่นขยันสร้างบุญบารมี
ด้วยการให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ทำนุบำรุง รักษาพระพุทธศาสนา ก็จะเข้าถึงศีลธรรม สันติสุข
ได้ทุกคนและได้ร่วมสายบุญบารมีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์

พระอาจารย์ธรรมสาธิต เวียงกาหลง
(นายพชร พรรธนประเทศ) และผม นายธรรมะ ขอเป็นธรรมทาน

ขอขอบคุณเว็บ http://board.palungjit.com/f125/ตำนานพระพุทธเจ้า-5-พระองค์-207891.html

474
คาถา •ปิดนรก เปิดสวรรค์•

--------------------------------------------------------------------------------

กะขะคะฆะงะ นะมะพะทะ กะระมะถะ อิกะวิติ จิปิเสขิ นะชาลิติ จะภะกะสะ สะสิมิระ ทุสะนะโส กะนะนิมา ทุสะมะนิ สังวิทาปุกะยะปะ อะวังวิสุโลปุสะพุภะ มะอะอุสิวังพรหมา ขะเขยยะ อิสวาสุ นะโมพุธายะ พุทธะคุณณัง สังฆะคุณณัง ธัมมะคุณณัง สังฆะคุณณัง อิติพระเทยยะ...
พระคาถานี้ถือเป็นหัวใจทั้ง16บท ถ้าผู้ใดหมั่นภาวนาไว้ทุกวันมิได้ไปนรก ครั้นจุติแล้วก็ได้ไปสวรรค์แลทั้งจะให้อยู่คงทั้งหลายทั้งปวงให้เสกแป้งหอม น้ำมันหอมทาคงทนดีนัก เสกลดไข้ก็ได้ ใช้ได้ทุกประการ ถ้าผู้ใดพบให้เล่าเรียนไว้พระคาถานี้สุดที่จะพรรณาของท่านอาจารย์พลายแก้ว(ขุนแผน)

ขอขอบคุณเว็บ http://board.palungjit.com/f17/คาถา-•ปิดนรก-เปิดสวรรค์•-247819.html
--------------------------------------------------------------------------------


475
เคล็ดลับในการปักธูป และอานุภาพที่ได้

--------------------------------------------------------------------------------

 

เป็นความเชื่อส่วนบุคคล กรุณาใช้วิจารณญานในการเชื่อครับ


ทุก ท่านที่มีจิตใจน้อมนำในการปฎิบัติบูชา ย่อมเกิดอานิสงฆ์ของทางด้านจิตใจย่อมทำให้สงบลง ฟุ่งซ่านอะไรมาเวลาเราสวดมนต์ไหว้พระขอพรจะทำให้จิตใจเราที่กำลังร้อนรุ่ม กลุ้มใจอะไรอยู่ย่อมสงบลงได้ไม่มากก็ น้อยขึ้นแต่ละบุคคลไปว่าทำได้มากน้อยแค่ไหนจึงมีกลบายวิธีที่จะทำให้เราจิต ใจสงบ ท่านไม่ต้องเชื่อแต่ลองปฎิบัติดูว่าจิตใจเราจะสงบและเย็นลงไหมนั้นย่อมขึ้น กับบุญบารมีที่สะสมมาแต่ชาติไหน

สังเกตุไหมว่า บางคนบุญทานไม่เท่ากัน บางคนก็รวย บางคนก็จน บางคนก็กลาง ๆ พอกินพอใช้ไปเรือยๆ อันนี้ส่งผลของบุญและทานแต่ชาติปางก่อนหรือชาติปัจจุบันก็ว่าได้ ฉะนั้นคนที่รวยมาก ๆ ก็เป็นอานิสงฆ์ของบุญเก่าที่เขาสะสมมามาก

แต่ที่นี้ก็ไม่ได้หมายความ ว่า เวลาทำบุญทำทานก็อธิษฐานให้รวยถูกหวยรวยเบอร์ดังที่ต้องการเช่นกันไม่ เพียงแต่ทำบุญเพื่อหยั่งผลประโยชน์พุทธศาสนาสืบทอดต่อไปอย่าไปหวังบุญเพื่อ ให้ร่ำรวยถูกหวยรวยเบอร์รางวัลใหญ่ไม่ การประกอบผลบุญก็คือ.ให้จิตเราสงบเย็น และละความทิฐิมานะในกมลสันดานที่ขี้เหนียวในจิตใจให้มีแต่ให้ รวมไปถึงทานทีเราบริจาคไปย่อมได้อานิสงฆ์ที่ก่อเกิดขึ้นให้จิตเราสงบได้โดย มหัศจรรย์

มนุษย์เราถ้าจิตสงบแล้วอะไร ทุกอย่างในปัญหาความรัก,การงาน,ความวุ่นวายในสังคมก็ย่อมจะสงบตามไม่แบ่ง ชั้นวรรณะ รูปธรรม นามธรรมต่างๆ ให้เกิดการขัดแย้งกันขึ้นในสังคมทุกวันนี้

ฉะนั้น ขอท่านทั้งหลายน้อมจิตน้อมใจในปัญหาที่เกิด ขึ้นทั้งที่ไม่ดีที่เข้ามาในดวงชะตาชีวิตของเรา ที่นำพาให้เกิดทุกข์อันใหญ่หลวงนี้ ให้สงบและระงับไปในที่สุดโดยการหมั่นสร้างบุญ และ ทาน ทานศิล ภาวนา เช่นจิตเราไม่สงบก็หาอะไรที่เป็นทางออกที่ดีให้สงบเพื่อไปเป็นยาโอสถธรรมไป ระงับให้สงบลงได้

ก็คือการหันมาสวดมนต์ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสงฆ์คุณ เพื่อจิตของเราที่กำลังทุกข์อยู่ให้สงบระงับลงไปบ้าง ต้องลองปฎิบัติดู ฉะนั้นการที่จะให้ถึงจิตถึงใจและสงบระงับจริงๆ ทุกรูปทุกนามย่อมต้องมีการสัมผัสรูป รส กลิ่น เสียง ซึ่งเป็นหลักของกิเลสมนุษย์
โดยเฉพาะการจุดธูปหอมๆ เมื่อเราได้กลิ่นของธูปแล้วจิตใจบางคนก็เกิดความสดชื่นแจ่มใส่ ขึ้นก็มี บางคนก็รู้สึกโล่งสบายใจก็มี (ยกเว้นคนที่ไม่ชอบกลิ่นอะไรฉุน ๆ มีอาการแพ้) ก็มีอันนั้นก็อีกเรื่องหนึ่งของธาตุแต่ละคนไป

เมื่อ จุดธูปแล้วจะปักธูปให้ปักดังนี้.. ถ้าจุดธูป 3 ดอก ก็ให้ปักที่ละดอก ดอกละ 1 ปักตรงกลางกระถางธูป แล้วอีกสองดอกปักขวามือของเราและซ้ายตามเป็นสามดอก (ไม่ใช้ปักที่เดียวกำที่เดียว)ตรงกระถางธูปเลย ไม่ใช้.. ถ้าจุดธูป 5 ดอก ก็ปฎิบัติเดียวกับ 3 ดอก ที่เหลือ 2 ดอกก็ปักด้านบนและด้านล่าง ของกระถางธูป ..ถ้าจุดธูป 9 ดอก ก็ปฎิบัติเช่นเดียวกันกับ 5 ดอก ที่เหลือก็ปักมุมแต่ละมุมให้ครบ 9 ดอกโดยวนจากขวามาหาซ้ายภายในกระถางธูป

เหตุผลและอานุภาพปักธูปตามทิศ (กระถางธูป)

1.ธูปที่ปักตรงกลางกระถางธูปก่อน เทียมเท่ากับบูชาดวงชะตาทั่วไปของตนเอง

2.ธูปที่ปักขวาตรงกระถางธูปเทียมเท่ากับป้องกันอันตรายอาถรรพณ์เพศไม่ให้เกิดกับดวงชะตาตนเอง

3.ธูปที่ปักซ้ายตรงกระถางธูปเทียมเท่ากับให้เป็นเมตตามหาเสน่ห์กับดวงชะตาทั่วไป

4.ธูปที่ปักด้านบนกระถางธูปเทียมเท่ากับบูชาทิศเหนือเพื่อเป็นศิริมงคลกับดวงชะตาตนเอง

5.ธูปที่ปักด้านล่างกระถางธูปเทียมเท่ากับบูชาทิศใต้เพื่อเป็นศิริมงคลกับดวงชะตาตนเอง

6.ธูปที่ปักด้านเฉียงกระถางธูปเทียมเท่ากับบูชาทิศตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อเป็นศิริมงคลดวงชะตาตนเอง

7.ธูปที่ปักด้านเฉียงกระถางธูปเทียมเท่ากับบูชาทิศตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเป็นศิริมงคลดวงชะตาตนเอง

8.ธูปที่ปักด้านเฉียงกระถางธูปเทียมเท่ากับบูชาทิศตะวันตกเฉียงใต้เพื่อเป็นศิริมงคลกับดวงชะตาตนเอง

9.ธูปที่ปักด้านเฉียงถระถางธูปเทียมเท่ากับบูชาทิศตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อเป็นศิริมงคลกับดวงชะตาตนเอง
 
ขอขอบคุณเว็บ http://board.palungjit.com/f17/เคล็ดลับในการปักธูป-และอานุภาพที่ได้-134769.html

477
รวมปัญหา จากการปฏิบัติ ๑

--------------------------------------------------------------------------------


เพื่อประโยชน์ ของตัวท่านเอง โปรดอ่าน ช้า ๆ โดยเอาความเข้าใจ เป็นหลัก
หน้า ๒ เป็นปัญหา จากการปฏิบัติ ๒
หน้า ๓ เป็นปัญหา เด็ด ๆ ด้วยคำถาม ลึก ๆ
หน้า ๔ เป็นปัญหา คำถาม ยอดฮิต ติดอันดับ
หน้า ๕ การปฏิบัติตนเพื่อความพ้นทุกข์แบบย่อๆ


วิธีกราบพระได้อานิสงส์มาก ๆ
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าลูกจะขอทราบเกี่ยวกับเรื่องอานิสงส์สักเรื่องหนึ่งว่า วิธีที่จะกราบพระให้ถูกต้องตามแบบฉบับ เพื่อจะมีผลานิสงส์มาก ๆ นั้น จะต้องกราบแบบไหน ขอแบบฉบับวัดท่าซุงเป็นตัวอย่างด้วยเจ้าค่ะ?
หลวงพ่อ ให้กราบด้วยความเคารพอย่างเดียวพอ ให้จิตเคารพนะ ก่อนที่จะกราบพระพุทธเจ้า นึกถึง พระพุทธเจ้า นึกถึงพระพุทธรูปก่อน กราบครั้งที่ ๒ กราบพระธรรม นึกถึงดอกมะลิแก้ว ให้ไหลจาพระโอษฐ์ พระพุทธเจ้าลงหัวเรา กราบครั้งที่ ๓ นึกถึงพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งที่เราเคารพ... พอ เอาใจสำคัญกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ถ้าใจไม่เคารพ ไม่มีความหมาย



สมาทานพระกรรมฐาน
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าคำสมาทานกรรมฐานของหลวงพ่อ ปรากฏว่าลูกท่องไม่ได้เลย ลูกใช้อย่างนี้เจ้าค่ะ พอหลับตาปุ๊บ ลูกบอกว่า กรรมฐานทั้งหลายที่หลวงพ่อให้ลูก ขอสมาทานทั้งหมด ณ กาลบัดนี้แล้วก็หลับตาเลย
หลวงพ่อ ใช้ได้เลย ๆ อ้าว นี่ได้จริง ๆ แต่ว่าอย่าลืมนึกถึง พระพุทธเจ้า อย่าเอาแค่หลวงพ่อนะ ว่ากรรมฐานที่หลวงพ่อเรียนมานี่ เป็นของพระพุทธเจ้า ขอยอมรับกรรมฐานทั้งหมด ที่พระพุทธเจ้าสอนทุกสิกขาบท แล้วนอนภาวนา “พุทโธ” หลับไปเลย... ใช้ได้



พื้นฐานการเจริญพระกรรมฐาน
ผู้ถาม หลวงพ่อครับ การเจริญพระกรรมฐาน ต้องมีพื้นฐานอะไรบ้างครับ?
หลวงพ่อ พื้นฐานเหรอ... ถ้าเป็นชายต้องมีกางเกง... พื้นฐานจริง ๆ ก็มี ศรัทธา ความเชื่อ ตัวนี้ตัวเดียว พระศาสนาเรา ถ้าไม่มีความเชื่อเสียอย่างเดียว ไม่มีอะไรเป็นผล และต้องใช้ ปัญญา ร่วมด้วยนะ เขาแนะนำกันมาเราคิดดู มันควรหรือไม่ควร แต่อีกสิ่งที่เป็นฤทธิ์ มันเกินวิสัยที่เราจะคิด อย่างฤทธิ์ของวิชชา ๓ ฤทธิ์ของอภิญญา ฤทธิ์ของปฏิสัมภิทาญาณ นี่เราคิดไม่ได้ เพราะขืนคิดบ้า คิดยังไงมันก็ไม่ลงตัว มันจะเหมือนกับที่เราคิดไม่ได้ เราจะตัดความสามารถของฤทธิ์ก็ตัดไม่ลง

อย่าง วิชชา ๓ มีทิพจักขุญาณ ถือว่ามีฤทธิ์ทางใจ ตามธรรมดาเราไม่สามารถเห็นสิ่งของที่ลี้ลับได้ใช่ไหม... แต่ถ้าเขาได้ ทิพจักขุญาณ..คุณ! ไม่มีอะไรหนาเขาเลย อย่าว่าแต่วางข้างหน้าเลย วางมุมรูปไหนเขาก็รู้ วางโลกไหนก็ได้ทุกโลก นี่ถ้าเขารู้จักใช้นะ ที่ฝึกไปแล้วไม่รู้จักใช้นี่เยอะ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ เศษ ๆ หน่อย ๆ เอาไปแล้วไม่รู้จะใช้อะไรดี บางทีก็ปล่อยบูดไปเลยมีเยอะแยะจริง ๆ แล้วถ้าได้แล้วเขาต้องฝึกซ้อม ทำอยู่เสมอๆ ได้ง่ายเกินไปเลยปล่อยหายง่าย อย่างนี้มีเยอะแยะ





ทำสมาธิจิตว่าง
ผู้ถาม กระผมทำสมาธิจนรู้สึกว่ามีสติอย่างเดียว แล้วเห็นเงาดำแอบเข้ามา ขอถามหลวงพ่อว่า อย่างนี้จิตว่างหรือเปล่า ทำถูกต้องหรือไม่สำหรับแนวกรรมฐาน?

หลวงพ่อ จิตไม่ว่าง ยังมีความรู้สึกอยู่ ทำน่ะ ทำถูก แต่จิตไม่ว่าง การทำให้จิตว่างนะ ไม่มีนะ คนถามเข้าใจด้วยนะ จิตว่างนี่ไม่มี จิตมันมีสภาพเกาอยู่ ๓ อย่าง คือ ๑.เกาะชั่ว ๒.เกาะดี ๓.อยู่เฉย ๆ ไม่เกาะชั่วไม่เกาะดี ตัวนี้ว่าง คือจิตมีอารมณ์ของพระนิพพาน ถ้าคำว่า “ว่าง” ในที่นี้ ก็ว่างเฉพาะอารมณ์ที่เป็นกิเลส ส่วนอารมณ์ที่เป็นกุศลมันก็ไม่ว่างเหมือนกัน
เป็นอันว่า จิตจริงๆ มีสภาพไม่ว่างนะ ถ้าจะถามว่า เวลานั้นจิตว่างจากความชั่วหรือไม่อย่างนี้ควรถาม อย่างนั้นต้องตอบว่า ตอนนั้นจิตว่างจากความชั่ว ๕ อย่าง ที่เรียกกันว่า นิวรณ์ คือ

1. กามฉันทะ ความพอใจในรูปสวย เสียเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ
2. ปฏิฆะ อารมณ์ไม่พอใจ
3. ความง่วง
4. ความฟุ้งซ่าน
5. สงสัย


สมาธิเล็กน้อย
ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา ลูกอยากจะกราบเรียนถามเกี่ยวกับ เรื่องสมาธิเล็กน้อย คือว่าสมาธิของลูกนี่ จะได้แค่ ประมาณ ๒-๓ นาที หลังจากนั้นไปอารมณ์จะฟุ้ง แล้วก็ทุกวันเป็นอย่างนี้ ไม่สามารถจะแก้ได้ ขอบารมีหลวงพ่อช่วยแก้เรื่องการปฏิบัติของลูก ให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปด้วยเถิดเจ้าค่ะ

หลวงพ่อ พอแล้ว ๒ นาทีพอแล้ว อย่าลืมนะวันละ ๒ นาที ๑๐ วันเท่าไหร่ ๑๐๐ ปีเท่าไหร่ วิธีที่ทรงสมาธิให้ทรงตัว จับ อานาปานุสสติ โดยเฉพาะ ฝึกลมหายใจเข้าออกหายใจเข้าหายใจออกนับเป็น ๑ ถึง ๑๐ ใช่ไหม... ตั้งใจคิดว่าถ้ายังไม่ถึง ๑๐ จิตมันวอกแวกนะ เริ่มต้นใหม่เอาให้ถึง ๑๐ ให้ได้ วิธีดีที่สุดเอาตามนี้นะ เอาดีอย่างพระพุทธเจ้าทรงตรัสกับ พระสารีบุตร ซิว่า

“สารีปุตตะ ดูก่อนสารีบุตร บุคคลใดทำจิตให้ว่างกิเลสวันหนึ่งชั่วขณะจิตหนึ่ง ตถาคตขอกล่าวว่า บุคคลนั้นมีจิตไม่ว่างจากฌาน” สองนาทีนี่ มันว่างจากกิเลสนะ ... ใช้ได้



ทำสมาธิรำคาญเสียง
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง บ้านของลูกอยู่ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช มีความข้องใจเกี่ยวกับเรื่องประหลาดที่บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือว่า เวลาสวดมนต์ทำกรรมฐาน จะมีเสียงสวดมนต์บ่นพึมพำ ๆ เป็นผู้ชายบ้าง เป็น ผู้หญิงบ้าง เป็น เด็กบ้าง แล้วก็ทำความรำคาญให้กับลูก ในขณะเจริญพระกรรมฐานเสมอ ๆ ขอเรียนถามหลวงพ่อว่า จะมีวิธีกำจัดพวกเหล่านี้ได้อย่างไร จะได้ไม่รบกวนในการเจริญกรรมฐานต่อไปเจ้าคะ?
หลวงพ่อ เอาแล้ว... หากินพลาดบทแล้ว

ผู้ถาม ก็รำคาญนี่ครับ... หลวงพ่อ!
หลวงพ่อ ถ้ารำคาญแสดงว่าสมาธิไม่พอ ถ้าหากว่าจิตเข้าถึงปฐมฌาน จะไม่รำคาญในเสียง แต่ความจริงนะ ถือว่าเป็นคนมีโชค สามารถได้ยินเสียงของพวกอมนุษย์ได้ อย่างนี้มีโชคนะถือว่าดี เขาสงเคราะห์ แต่บังเอิญถ้าผู้นั้นใช้กำลังใจไม่พอกับความดีที่เขาให้
เอาใหม่ ตั้งใจใหม่ ถ้ามันมาบ่นให้ฟังเพลินไปเลย คือต้องฝึกนะ ต้องฝึกสู้กับเสียง เพราะฌานขั้นต้น จะไม่รำคาญในเสียง เสียงได้ยินเขาพูดทุกอย่าง ร้องรำทำเพลง แต่เราจะไม่รำคาญในเสียงเขาคุย แสดงว่าคนนี้ยังมีจิตไม่ถึงฌานที่ ๑ ยังไม่เต็มปีติเลย แต่ความจริงตัวที่ได้ยินมันมาจากปีติ อันดับแรกถึงปีติ ได้ยินใช่ไหม ต่อไปจิตตก ตกจากปีติ ยังไม่ถึง ฌาน ๑




นั่งกรรมฐานมีคนดึง
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เวลาลูกนั่งพระกรรมฐานที่บ้านก็ตาม ที่ห้องพระก็ตาม ส่วนใหญ่ก็ถนัดเรื่องพุทโธ ที่ประหลาดใจก็คือว่า เวลานั่งภาวนาไปคล้าย ๆ จะมีใครก็ไม่ทราบ ดึงไปข้างหน้าหงายไปข้างหลัง เอียงไปข้าง ๆ ตัวโยกเยก เขาเรียกกรรมฐานโยกเยกเป็นเพราะอะไรครับ?

หลวงพ่อ อย่างนี้เขาเรียก โอกกันติกาปีติ ปีติตัวที่ ๓ จิตเริ่มดีแล้ว แต่ทว่าเทวดาประจำบ้านท่านบอกว่า อารมณ์หยาบไปเวลาขึ้นต้น อาจารย์อ่านฉันก็ถามเทวดาท่าน...ไม่ยาก
ท่านบอกเวลาเริ่มต้นอารมณ์หยาบไป ใช้อย่างนี้นะ ก่อนเริ่มต้น พอนั่งปั๊บ หายใจยาว ๆ แรง ๆ สัก ๕-๖ ครั้ง เป็นการระบายอารมณ์หยาบ ต่อไปอาการอย่างนั้นจะคลายตัว พออาจารย์ถามฉันก็ถามท่านเหมือนกัน ท่านก็เลยบอก... ใช้ได้

ผู้ถาม อ้อ... ที่หลวงพ่อตอบเก่ง เพราะมีถามตอบอย่างนั้นหรือครับ?
หลวงพ่อ ใช่... อีกหลายต่อ อย่างเมื่อคืนนี้อุทิศเจ๊งจั๊ง หลายต่อยุ่งเลย
ผู้ถาม ผมจะขอต่ออีกนิดคือว่า บางครั้งจะเห็นเป็นคล้าย ๆ ดวงสีขาว ๆ คล้าย ๆ แก้ว ลูกไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรครับ?

หลวงพ่อ นั่นละถูกแล้ว ปีติ พออารมณ์ใจเข้าถึงปีติ อารมณ์เริ่มเป็นทิพย์ เมื่ออารมณ์เริ่มเป็นทิพย์ เริ่มเห็นนิมิตที่ไม่มีภาพจริง ๆ นะ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นเป็นของธรรมดา
ผู้ถาม ครับ ๆ ที่เห็นนั่นก็เป็นของดีนะ
หลวงพ่อ ดีแล้ว แต่ว่าใช้อามรณ์ให้ละเอียดกว่านั้นนะ อย่าลืมเอาแบบเกณฑ์ทหาร เขาทำอย่างไร หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกแรง ๆ ใช่ไหม... สัก ๕-๖ ครั้งระบายอารมณ์หยาบ
ผู้ถาม แล้วก็บอกว่า สมัยก่อนลูกเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคโน่นโรคนี่ บัดนี้ลูกหายพอสมควรแล้ว จึงขอกราบขอบพระคุณที่หลวงพ่อเมตตาให้กรรมฐานปฏิบัติ แล้วลูกหายจากโรคภัยไข้เจ็บเจ้าค่ะ
หลวงพ่อ ยังหายไม่หมดนะ
ผู้ถาม เหลืออะไรครับ
หลวงพ่อ โรคสงสัย


ทำสมาธิตัวโยก
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เวลาที่ลูกสวดมนต์ก็ดี ฟังเทปก็ดี ตัวโยกไปเยกมาระงับไม่อยู่ แต่ก็แปลกนะครับ สบายใจดีมาก อย่างนี้เป็นเพราะอะไรครับ ถ้าจะแก้ไขให้ดีไปกว่านี้อีก หลวงพ่อจะแก้ไขอย่างไรครับ?

หลวงพ่อ รู้แค่เฉพาะโยกไปนะ แต่เยกมาไม่รู้นะ อย่างนั้นเขาเรียก โอกกันติกาปีติ เร่งรัดมันจะเสีย อยากจะโยกก็เชิญมันโยกไปตามชอบใจ ถ้าปีติตัวนี้เต็มอารมณ์เมื่อไร ก็เลิกโยก มีอารมณ์ดิ่งเป็นฌาน


ทำสมาธิง่วงนอน
ผู้ถาม หลวงพ่อขอรับ กระผมนั่งกรรมฐานทีไรแล้วเกิดนิวรณ์ตัวที่ ๓ คือง่วงนอนมากเหลือเกิน กระผมทำตามหลวงพ่อแนะนำทุกอย่าง อาบน้ำ ล้างหน้า แหงนดูฟ้า ปรากฏว่าแก้ไม่ตกเลยสักที เลยกลุ้มใจ อยากจะพึ่งบารมีหลวงพ่อให้หาวิธีแบบใหม่ที่ไม่ง่วงนอนด้วยเถิดขอรับ?

หลวงพ่อ มีอีกวิธีไม่ทำนี่ ถ้าง่วงก็นอนหลับไปเลย อันนี้ได้ผลนะ ดีกว่าทรมาน เพราะว่าภาวนาไป ถ้าเวลานั้นจิตไม่ถึงฌานมันจะหลับไม่ได้ ถ้านอนแล้วภาวนา ถ้าจิตถึงฌานจะตัดหลับทันที ช่วงเวลาหลับกี่ชั่วโมงก็ตาม ยังทรงฌานนั้นอยู่ ควรทำแบบนี้นะ อย่าทรมาน ง่าย ๆ หากินสะดวก ๆ เรียนกับพระขี้เกียจ... สบายมาก เพราะฉันหากินแบบขี้เกียจมาตลอดเวลาแบบไหนที่ได้ง่ายลงทุนน้อยเอาเลย



นั่งสมาธิศีรษะสั่น
ผู้ถาม กระผมฝึกสมาธิอยู่ที่บ้าน พอถึงระดับหนึ่งเกิดศีรษะสั่นอย่างรุนแรง พอตอนเช้าคอระบมไปหมด ทำยอย่างไรดีขอรับ?

หลวงพ่อ ความจริงก็ดีเหมือนกันนะ ก็ต้องสั่นให้มันหายระบมต้องแก้กัน ความจริงไม่เป็นไรปล่อยไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกันนะ เวลานั้นก็ถือว่าขณะนั้นจิตเข้าถึง อุเพงคาปีติ ว่าหยาบไปหน่อยคอจึงระบม ถ้าจิตละเอียดนี่จะไม่เป็นอย่างนั้น จะไม่มีอาการอื่น คงจะมีจิตกระสับกระส่ายกังวลนะ พอถึง อาการสั่นหัวละก็...จิตหยาบ





ทำสมาธิตกใจ
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกได้เจริญพระกรรมฐานเป็นเวลาช้านานแล้ว มีปัญหาอยู่ที่ตรงที่ว่า พอจิตของลูกใกล้ ๆ จะเป็นสมาธิ จะมีสิ่งประหลาด ๆ ทำให้ลูกตกใจอยู่เสมอ จึงทำให้การเจริญกรรมฐานของลูกไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร อยากจะปรึกษาหลวงพ่อว่า วิธีที่จะแก้ปัญหาแบบนี้ ควรจะแนะนำให้ลูกปฏิบัติอย่างไรเจ้าคะ?

หลวงพ่อ นั่นเป็นของธรรมดานะ ได้ยินเสียง ปึงปัง ๆ ๆ คล้าย ๆ ใครยิงปืนใกล้ ๆ ก็มี เป็นของธรรมดาเขาลอง ๆ ตอนนั้นจิตเป็นอุปจารสมาธิ เขาลองดูว่าเราจะตกใจไหม ส่วนใหญ่เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช

ผู้ถาม อ้อ ... นี่เกี่ยวกับเรื่องเทวดาเขาทดสอบ
หลวงพ่อ ใช่ ๆ ๆ



ทำสมาธิรู้เรื่องในอดีต
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกนั่งทำสมาธิอยู่เพียงแป๊บเดียว เรื่องราวในอดีตมันปรากฏเหมือนในจอโทรทัศน์ แวบมา ๆ อย่างนั้นแหละ ลูกก็มาเกิดความสงสัยว่า อย่างนี้จิตของลูกฟุ้งซ่านอยู่หรือเปล่าเจ้าคะ?

หลวงพ่อ เป็นเรื่องธรรมดานะ เมื่อจิตสงบเรื่องราวในอดีตก็เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดานะ แต่ว่าถ้าจะทรงอารมณ์ให้รักษาอานาปา มันต้องมาแน่ มาก็ช่างมัน มันแล้วไปแล้ว


นั่งสมาธิลมออกหู
ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา นั่งสมาธิแล้วปรากฏว่าลมออกทางใบหู เสียงดัง ปี๊ด...ปี๊ด
หลวงพ่อ ก็ยังดี ดีกว่าออกต่ำ ดังปุ๋ง ปุ๋ง (หัวเราะ)
ผู้ถาม แต่ทีนี้เวลาจิตรวมเป็นสมาธิแล้ว ได้เห็นเป็นดวง ๆ มีกลมบ้าง บางทีก็ดำ บางทีก็ขาว ลอยเข้ามาจะชนลูกตา ลูกก็ต้องผงะ ลืมตาแล้วก็นั่งสมาธิใหม่ แล้วก็ลอยมาแล้วก็ชนอยู่อย่างนี้เป็นประจำ ใช้ทั้ง พุทโธ ใช้ทั้ง นะมะพะธะ แต่ไม่สมารถจะแก้ปัญหานี้ได้ ขอความเมตตาหลวงพ่อช่วยแนะนำหรือแก้ไขครั้งนี้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ

หลวงพ่อ จะแก้ทำไม เขาไม่แก้กันหรอก นั่นเป็น นิมิต ของ อานาปานุสสติ ใครเขาแก้กันละ เวลานั้นอานาปานุสสติกำลังเข้าถึงปีติ จึงเกิดภาพนี้ขึ้น เขียวบ้าง แดงบ้าง ขาวบ้างตามใจ แล้วแต่เขาจะเกิดของเขา ก็ไปกลัวของดี กลัวสวรรค์





นั่งสมาธิปวดขา
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกปฏิบัติพระกรรมฐานตามแนวของหลวงพ่อทุกประการ ที่แก้ไม่ตกมีอยู่อย่างเดียวนั่นคือ นั่งไปไม่ถึง ๒-๓ นาที จะมีความรู้สึกปวดที่ขาทันที ลองเปลี่ยนแล้วมันก็เป็นอย่างนี้อีก ลูกอยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า การกำหนดจิตไม่ให้ปวด การกำหนดจิตไม่ให้มีเวทนา เพื่อจะได้นั่งนาน ๆ เหมือนหลวงพ่อ จะทำอย่างไรดีขอรับ?

หลวงพ่อ ก็ไม่เป็นไร บีบจมูกสักหนึ่งชั่วโมง หายเอง... ตาย... ไม่เจ็บไม่ป่วยถ้ามันมีเวทนาอย่างนั้น ก็ใช้วิปัสสนาญาณช่วยซิ เกิดมาเป็นทุกข์อย่างนี้ จะเล่นแต่สมถะ ที่ว่าทำตามทุกอย่างนั้นไม่จริง .... ไม่จริง ฉันเล่นทุกอย่าง ถ้าป่วยขึ้นมาฉันเล่น วิปัสสนาญาณช่วย ฉันว่าทั้งสองอย่างนะ แต่นี่ล่อสมถะอย่างเดียว ไม่ใช้ปัญญาเข้าช่วย ในเมื่อนั่งมันเมื่อยก็ลุกขึ้นยืน ยืนเหมื่อยก็เดิน เดินเมื่อยก็นอน นอนเมื่อยก็นั่ง นั่งเมื่อยก็เดิน นั่งเรียบ ๆ ไม่ดี ก็นั่งเก้าอี้ก็ได้

ผู้ถาม กรรมฐานนั่งเก้าอี้ได้หรือครับ...หลวงพ่อ?
หลวงพ่อ โอ้ย...นั่งบนตอไม้ยังได้เลย นั่งยอดไม้ก็ได้ ที่ไหนก็ได้ มันอยู่ที่ใจ ให้ร่างกายสบายก็แล้วกัน
ผู้ถาม ก็ตกลงว่าเปลี่ยนเสียนะ อิริยาบถใดมันไม่ไหวก็...อ๋อ...ต้องใช้วิปัสสนาญาณช่วยจะได้ประโยชน์มาก
หลวงพ่อ ใช่ ๆ ๆ มีความจำเป็น



นั่งสมาธิตัวร้อน
ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าคะ มีเด็กอายุประมาณ ๒๑-๒๒ ปีเจ้าค่ะ เขาเห็นพ่อเขานั่งสมาธิแล้วก็นั่งบ้าง พอถึงแค่นั้นเขาบอกทันทีว่า ตัวเขาร้อนไปหมดเลย ทนไม่ไหว เขาเลิกสาเหตุเพราะอะไรเจ้าคะ?

หลวงพ่อ เรื่องนี้ตอบไม่ได้ ไม่เคยปรากฏ
ผู้ถาม เขาบอกร้อนไปหมดเลย เขาไม่ทำเขากลัว
หลวงพ่อ ใช่ ๆ ต้องมีบาปอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเข้ามาขวางนะ
ผู้ถาม แล้วสมมุติว่าเขาพยายามจะทำต่อ
หลวงพ่อ เอ... ถ้าทำต่อไปได้ก็ดี ทำน้อย ๆ นะ
ผู้ถาม พอรู้สึกร้อนก็หยุดซะ

หลวงพ่อ ใช่ ๆ หยุดซะ ไม่ช้าก็หาย เอาอย่างนี้นะ ไอ้ตัวร้อน นี่ก็คือตัวบาปเก่า มันคงขวางทาง ถ้าการเจริญสมาธิอย่างน้อยจะขึ้นสวรรค์ ถ้าอย่างนั้นต่อไปก็เป็นพรหม ต่อไปก็ไปนิพพาน ขึ้นสูงหนีมัน มันก็ขวางตัว และถ้าเราสามารถหาทางต่อสู้ด้วยการพอรู้สึกตัวว่าร้อน จะร้อนมากเกินไปเราก็เลิก ไม่ยอมแพ้มันก็หมดเรื่องดีกว่า นั่ง ๆ หนัก ๆ เข้ามันจะหายร้อนเองนะ รู้สึกถ้าร้อนจิตกระสับกระส่ายก็เลิกซะ ถือเอาบุญเข้ามาผสมทีละหน่อยเหมือนน้ำนะ ไอ้ความร้อนเหมือนไฟใช่ไหม... น้ำค่อยๆใส่ไป ถ้าน้ำมากขึ้นมาไฟมันก็ดับ เอาอย่างนั้นก็แล้วกันนะ



ทำสมาธิไม่ได้ดี
ผู้ถาม หลวงพ่อขอรับ ผมทำสมาธิทุกวัน ๆ ละ หนึ่ง ชั่วโมง มาเป็นเวลา ๒๐ ปีแล้วครับ มันไม่ไปเหนือไปไม่ไปใต้เลย ไม่ทราบว่าติดขัดอะไร หรือมีกรรมเวรประเภทไหมมาปิดบัง ขอบารมีหลวงพ่อ ช่วยแก้ไขหน่อยเถิดขอรับ?

หลวงพ่อ สมาธินี่ถ้าทำเฉย ๆ ก็ไม่ไปไหนนะ มันก็อยู่แค่ ฌาน ถึงฌานหรือเปล่าก็ไม่รู้ น่ากลัวจะไม่ถึงฌาน น่ากลัว ตะเกียกตะกายอยู่ข้างฌาน มันขึ้นฌานไม่ไหว ไต่บันไดแกร๊ก ๆ แต่ความจรงิถ้าเรื่องสมาธิจริง ๆ นะ ถ้าหากว่าได้จริง ๆ ก็อยู่แค่ฌาน ๔ ฌาน ๔ แล้วก็ไม่ไปไหนละ ก็ทรงตัวบ้าง เดินหน้าบ้าง ถอยหลังบ้าง ไปข้างหน้า ๑ ก้าว ถอยหลัง ๕ ก้าว ทีนี้ผลการปฏิบัติจริง ๆ เขาไม่ได้มุ่งสมาธิ ต้องหวังตัด สังโยชน์ ถ้าจะบอกว่า วิปัสสนาญาณก็จะมากเกินไป ความจริงถ้ามุ่งตัดสังโยชน์ ก็ต้องดูอารมณ์ใจตัวตัด ไม่ใช่ดูสมาธิ
อันดับแรก ความโลภ อยากได้ทรัพย์สินของบุคคลอื่นมีในเราหรือเปล่า เบาลงไปไหม ประการที่ ๒ ความโกรธ เบาไหม ประการที่ ๓ ความหลง เบาลงไหม สิ่งที่มีความสำคัญคือ

1. ลืมความตายหรือเปล่า
2. เคารพพระไตรสรณคมน์จริงจังไหม
3. มีศีล ๕ บริสุทธิ์ไหม
4. หวังพระนิพพานจริงจังหรือเปล่า...?
เขาดูตรงนี้นะ มุ่งเอาสมาธิกลุ้มใจตาย มันไม่มีการทรงตัว เวลาใดร่างกายดีไม่มีอารมณ์กลุ้ม สมาธิก็ทรงตัวใช่ไหม... ร่างกายอ่อนเพลียหน่อย สมาธิก็ทรุดตัว เอาแต่สมาธิไปไม่รอด

ผู้ถาม เมื่อภาวนาไปไม่ได้ อย่างนี้จะมีโอกาสบรรลุธรรมเบื้องสูงหรือเปล่าครับ?
หลวงพ่อ ทะลุธรรมแน่ จุดหมายปลายทางเขาคือสังโยชน์
ผู้ถาม ทีนี้ถ้าหากว่าไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าตั้งใจว่าตายเมื่อไหร่ไปนิพพานเมื่อนั้น พอจะไปได้ไหมครับ... หลวงพ่อ?
หลวงพ่อ พอเห็นทาง...แต่ไม่เข้าทาง
ผู้ถาม ๒๐ ปีแล้วนะครับ
หลวงพ่อ ๑๐๐ ปีก็ไม่ได้ ถ้าเข้าทางจริงต้องคิดว่า ๑.ชีวิตนี้จะต้องตาย ตัวสักกายทิฏฐินะ ๒.วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ ๓.มีศีล ๕ บริสุทธิ์ และก็ ๔.มีจิตมุ่งเฉพาะพระนิพพาน อันนี้ถึงจะได้ อันนี้ถึงจะเข้าทางหรือเข้าเขตเลย





ฝึกสมาธิไม่ได้
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าเกี่ยวกับเรื่องสมาธินี่ผมโชคดี ทำมาด้วยตนเองเป็นเวลา ๒ ปีแล้ว โดยการอ่านหนังสือบ้าง ฟังวิทยุบ้าง ดูโทรทัศน์บ้าง โดยใช้คำภาวนาว่า พุทโธ แต่ว่าไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นอะไรเลย แม้แต่นิมิตเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่ได้ กระผมตั้งใจว่าจะมาฝึกมโนมยิทธิ เลิก พุทโธ โดยมาใช้ นะมะพะธะ จะมีทางเป็นไปได้ไหมครับ?
หลวงพ่อ เดี๋ยวก่อน...ขอตอบก่อน พวกที่ใช้ นะมะพะธะ เขาไม่ได้เลิก พุทโธ เวลาจะใช้มโนมยิทธิเขาก็ใช้ นะมะพะธะ คือ นะมะพะธะ เป็นของพระพุทธเจ้าท่าน อย่าไปเลิกนะ ถ้าเลิก “พุทโธ” ล่ะซวย พุทโธ ก็คือพระพุทธเจ้า นะมะพะธะ เป็นคาถาบทหนึ่งในธาตุ ๔ ของกรรมฐาน ๔๐ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนบอกคาถาบทนี้เอาไว้ใช้เป็นกำลังในการฝึกมโนมยิทธิ ถ้าลืมเจ้าของเก่า คือพระพุทธเจ้า ก็เจ๊ง!

ก็เป็นอันว่า จะมาฝึกมโนมยิทธิมาฝึกแต่อย่าทิ้ง “พุทโธ” ว่าง ๆ ก็ใช้ พุทโธ แบบสบาย ๆ เวลาจะใช้มโนมยิทธิเราก็ใช้ นะมะพะธะ ก็มีหลาย ๆ อย่าง มีทั้งขา มีทั้งรถ “พุทโธ” เหมือนมีขามีแขน “นะมะพะธะ” เหมือนมีรถนั่งอย่างดี เป็นเครื่องบินก็ได้



นะมะพะธะ
ผู้ถาม หลวงพ่อครับ อย่างคำภาวนาว่า “นะมะพะธะ” เป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน หรือครับ “นะมะพะธะ” แปลว่าอะไรครับ?

หลวงพ่อ “นะมะ” แปลว่า นมัสการ “พะธะ” แปลว่า ไหว้พระพุทธเจ้า เรื่องจริงนะ “นะมะพะธะ” ที่แปลว่า ธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เขาไม่ได้ภาวนา เขาพิจารณานะ คำว่า “นะมะพะธะ” ที่ท่านมาบอกจริง ๆ บอกว่า ไม่ใช่ธาตุ ๔ เป็นการนมัสการพระพุทธเจ้าเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน



ภาวนาแล้วจิตตกวูบไป
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกภาวนา พุทโธ กับ อานาปา ควบกันไปก็ปรากฏว่า จิตสงบมันก็ไม่ใช่ แต่ว่าเป็นอุปจารสมาธิก็ไม่เชิง มันจะมีจุด ๆ หนึ่งอย่างนี้ขอรับ จิตมันไปตกวูบ พอวูบไปปั๊บ ผมก็เกิดความกลัว ก็ภาวนาใหม่ เริ่มต้นใหม่ก็วูบอีก ลักษณะแบบนี้แก้ไม่ตก ไม่รู้จะแก้ยังไง ขอพึ่งบารมีหลวงพ่อแนะนำวิธีลูกหย่อยเถิดขอรับ?

หลวงพ่อ อาการแบบนี้นะ ขณะที่จิตสบาย ขณะนั้นจิตตั้งอยู่ในปฐมฌาน แต่ว่าสมาธิไม่ทรงตัว สมาธิตก ฌานเริ่มตก มีวูบเสียว ๆ คล้ายตกต้อนไม้ใหญ่ นั่นเขาเรียก จิตพลัดจากฌาน วิธีแก้ไม่ยาก เพราะว่าเริ่มต้นทีแรกลมหยาบเกินไป ให้ใช้หายใจยาว ๆ แบบเกณฑ์ทหารน่ะ ๕-๖ ครั้ง หายใจแรงๆ ยาว ๆ นะ ทำอย่างนี้ทุกวัน ๆ ไม่ช้า อาการจะหาย ขับลมหยาบทิ้งไปก่อน อันนี้ไม่ยาก



ภาวนาพุทโธไม่เห็นอะไร
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง คือว่าลูกได้ปฏิบัติภาวนาสมาธิกรรมฐานแบบ “พุทโธ” มาหลายปีแล้ว ปรากฏผลว่าไม่ได้เห็นอะไรเลยสักอย่าง ได้แต่เงียบกริบ อันนี้จะเกี่ยวกับว่า เป็นเพราะเวรกรรมชิตก่อนทำไว้อย่างไร ชาตินี้เวลาทำสมาธิจึงไม่ได้รู้ไม่ได้เห็น เหมือนกับคนอื่นเขาเจ้าค่ะ?

หลวงพ่อ ก็สมาธิเขาทำเพื่อเงียบ ตั้งใจสงัด จิตสงัดจากกิเลส ทีนี้การทำสมาธิเขาไม่ได้หมายถึงการเห็น ไอ้นั่นที่ปฏิบัติเป็น สุกขวิปัสสโก ถ้าต้องการเห็นต้องเป็น เตวิชโช หรือ ฉฬภิญโญ คนละหมวดนี่ ปฏิบัติให้ถูกหมวดซินะ ถ้าเป็นเตวิชโชก็สามารถเห็นได้ ระลึกชาติได้ ถ้าเป็นฉฬภิญโญเห็นได้ด้วย ไปถึงด้วย ใช่ไหม ต่างกัน มโนมยิทธินี่ก็มันบวกวิชชา ๓ กับอภิญญา คือว่าใหญ่กว่าวิชชา ๓ แต่เป็นอภิญญาขนาดเล็ก


 


อิริยาบถ
ผู้ถาม มีพระออกโทรทัศน์เมื่อสองวัน ท่านบอกว่าปฏิบัติอย่างนี้ได้ผลอะไรนะ ขวาหงาย ยกแล้วก็ย่าง แล้วก็ยก จำไม่ได้ ปิ๊ดปี้ปิ๊ด เหมือนจราจรนั่นแหละ ท่านบอกอย่างนี้นะ ของอาตมานี่ไม่นานหรอก แค่ ๓ ปีก็พอรู้ผล ๓ ปีนะ พอจะรู้ผลนะ หลวงพ่อ มโนมยิทธินี่ช้าไปนะ ปุ๊บปั๊บ ได้ไปเลย ยังกับปฏิบัติ “วิปัสสนาจราจร” แน่ะ เห็นว่าทำออกโทรทัศน์ขำดีนี่ก็แปลกดีเหมือนกัน ความจริงมีหรือเปล่าครับ?

หลวงพ่อ แบบนี้จะเป็น มหาสติปัฏฐาน อิริยาบถ แต่ว่ายาวไปมหาสติปัฏฐานก็เพียงว่า จะยกเท้าย่างเท้าให้รู้อยู่ ก้าวไปข้างหน้า ก้าวไปข้างหลัง จะกินจะกลืน ไอ้ตอนกินนี่รู้ ตอนกลืนไม่รู้ รู้ไม่ทันกลืนลงก่อน พอกินปั๊บก็เลยเข้าไปเลย เอาแค่ให้รู้ตัวอยู่เสมอ สติสัมปชัญญะใช่ไหม

ความจริงไม่มีอะไร เขาพร้อมแล้วนะ ถ้าได้แล้วไม่มีอะไร ต้องระวัง เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ อย่างตานี่กระพริบอยู่เสมอผงจะมายังไม่ทันรู้ ใช่ไหม... ตากระพริบแล้ว ข้อนี้ฉันใด พระอริยเจ้าตามขั้นเหมือนกัน ท่านทำตามหน้าที่ของท่าน จิตทำไปเอง



เจริญมหาสติปัฏฐาน
ผู้ถาม หลวงพ่อขา ลูกเจริญพระกรรมฐานโดยใช้องค์มหาสติปัฏฐานเป็นหลักใหญ่ บางครั้งจิตก็วูบ บางครั้งก็สว่าง บางครั้งก็คล้าย ๆ จะหมดความรู้สึก มีอาการปฏิบัติไปถึงจุดนี้ทีไร ก็มีอันจะต้องเลิก เพราะใจหนึ่งก็อยากได้ อีกใจหนึ่งก็กลัวตาย ขอให้หลวงพ่อช่วยแนะนำวิธีแก้ไขอารมณ์นี้ เพื่อการเจริญปฏิบัติของลูกได้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป สู่มรรคผลนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ?

หลวงพ่อ กลับไปอ่านใหม่
ผู้ถาม อ่านอะไรครับ?
หลวงพ่อ มหาสติปัฏฐานสูตรแต่ละข้อ สอนถึงอรหันต์ทั้งหมดทุกข้อ ไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมด ทำข้อใดข้อหนึ่งก็ถึงอรหันต์ อ่านให้จบตอนท้ายนะ “ไม่ยึดถือโน่นไม่ยึดถือนี่ ไม่ยึดถืออะไรทั้งหมด” เขาทำเพียงข้อเดียว ไอ้ที่ทำนั่นยึดสมถะมากกว่า วิปัสสนา สมถะ คืออารมณ์สมาธิให้ทรงตัว จิตทรงตัว วิปัสสนา คือหาความเป็นจริง กลับไปอ่านใหม่ อ่านไปใช้ปัญญาคิดตามด้วยนะ นิดเดียว
ผู้ถาม เป็นอันว่าไปไม่ยาก
หลวงพ่อ ไม่ยาก
ผู้ถาม ไปไม่ยากก็แสดงว่าเคยทำ
หลวงพ่อ ถูกแล้ว



มหาสติปัฏฐาน ๔ สั้น ๆ
ผู้ถาม หลวงพ่อขอรับ ผมไปพบมหาสติปัฏฐาน ๔ ในพระตรีปิฎก ท่านว่าไว้อย่างนี้ จะต้องปฏิบัตินานถึง ๗ ปี ถึงจะมีโอกาสได้มรรคผลนิพพานได้ กระผมไม่ชอบครับ นานเกินไป อยากจะมาขอพึ่งบารมีหลวงพ่อว่ามหาสติปัฏฐาน ๔ สั้น ๆ ไปนิพพานได้ง่ายของวัดท่าซุงน่ะ มีบ้างไหมครับ?

หลวงพ่อ มี ๆ ๆ ก็ตัวอย่างใช่ไหม ที่พระพุทธเจ้าเทศน์ให้ ท่านพาหิยะ ฟังว่า “พาหิยะ...เธอจงอย่าสนใจในรูป” เท่านี้ ท่านเป็นพระอรหันต์
ผู้ถาม อ๋อ เท่านี้ สั้นที่สุดเลยนะครับ
หลวงพ่อ ใช่ ๆ ๆ เท่านี้เอง เป็นอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ
ผู้ถาม แล้วที่ลูกหลานทั้งหลายกำลังฟังกถาอันนี้ เดี๋ยวเกิดบรรลุทีเดียวพร้อมกันหมดทำยังไงครับ?
หลวงพ่อ ก็ดีซิ ช่วยกันบิณฑบาต อย่าลืมนะ คนที่นั่งมีกี่คน ถ้ามีสักพันคน อย่าลืมว่าในประเทศไทยมี ตั้ง ๕๕ ล้านคน





ทำสมาธิปวดหัว
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง กระผมเป็นโรคประสาทประหลาดนิดหนึ่ง คือว่าโดยปรกติแล้ว ร่างกายสมบูรณ์แบบทุกอย่างทุกประการ แต่เวลาจะนั่งสมาธิเป็นเวลา ๑๐ ปีมาแล้ว มีอาการดังต่อไปนี้คือ พอนั่งปุ๊บ พอจิตสบายจะมีความรู้สึกทางที่ศีรษะ แล้วเหมือนมีอะไรเลื่อนไป เลื่อนมาอยู่บนศีรษะรอบ ๆ แต่พอเลิกนั่งแล้ว หายเหมือนปลิดทิ้ง นั่งทีไรก็เป็นอย่างนี้เป็นประจำ จึงขอคำแนะนำจากหลวงพ่อว่า อาการเช่นนี้จะมีวิธีแก้ไขอย่างไร ประการใดหรือไม่ขอรับ?

หลวงพ่อ แก้อิริยาบถดีกว่า ถ้านั่งไม่ดีแบบนั้นใช้นอน คือใช้ยืนหรือใช้เดินก็ได้ ถนัดนอนก็นอน ดีกว่า สบายกว่า
ผู้ถาม กรรมฐานนอนได้หรือครับ...หลวงพ่อ?
หลวงพ่อ นั่ง นอน ยืน เดิน มีผลเสมอกันจ้ะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อย่างฉันนี้นอนมา ๙๐ เปอร์เซ็นต์
ผู้ถาม นอนกรรมฐานหรือครับ?
หลวงพ่อ ใช่ สบายมาก เข้าทั้งตัวเลย
ผู้ถาม อ้อ นี่รับสารภาพเลย

หลวงพ่อ ทำไม โกหกทำไม พระ? อีตอนที่ฉันลาพุทธภูมินะ และพระท่านมาบอกว่า ถ้าคุณจะลาพุทธภูมิให้ลาได้ แต่ต้องมีเงื่อนไข ภายใน ๑๒ ปีนี่ตายไม่ได้ นักเรียนทุน ๑๒ ปีผ่านมาแล้ว ก็มาอีก ๑๐ ปียังไม่ตายไม่ได้ ผ่านไปแล้วตอนนี้กำหนด ฉันขี้เกียจกำหนด ถึงเวลาก็ไม่ตาย เตรียมตั้งท่าทุกทีก็ไม่ตายสักที
ผู้ถาม อ้อ ได้ทุนถาวร

หลวงพ่อ ได้ทุนถาวร ก็เป็นอันว่าตอนนั้นท่านบอกว่า เมื่อสัญญาตกลงนั้นน่ะ เราคิดว่ามีชีวิตช่วงนี้อยู่กี่ปีก็ช่างมัน ก็ดีกว่าเกิดอีก ๑ ชาติ มันมีทุกข์ไม่เท่ากับเกิดอีก ๑ ชาติ ใช่ไหม... ก็ตกลงกับท่าน เป็นอันว่าขอลาพุทธภูมิ ท่านก็อนุมัติพอท่านอนุมัติ ท่านก็สั่งว่านับตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป เวลา ๔ ทุ่มตรง ฉันจะมาสอนเธอ เวลา ๒-๓ ทุ่มครึ่งให้เลิกรับแขก
ทีนี้พอถึงเวลา ๓ ทุ่มครึ่ง ฉันก็บอกแขก ตอนนั้นคุยกับแขกกลางคืนด้วยนะ ทีนี้มันเคยคุยถึง ๕ ทุ่ม ๖ ทุ่ม ใช่ไหม... ก็มีบางคนบอกว่า ยังไม่ถึงเวลาครับ ก็เลยบอกยังไม่ถึงเลวลาของแกก็ช่าง เวลาของฉันมันถึงแล้ว ฉันเข้าห้อง แกนั่งอยู่ยามก็แล้วกัน ฉันก็เข้าห้องฉันซิ เรื่องอะไรงานต้องเป็นงาน งานเรามีใช่ไหม

พอเข้าไปในห้องก็เตรียมตัวบูชาพระ ล้างหน้าล้างตาบูชาพระพอ ๔ ทุ่มเป๋ง ท่านมาทันทีตามเวลาเลย เป๋ง...ถึงเลย ในห้องมีแสงสว่างคล้ายกับไฟหลายแสนแรงเทียน...สวยมาก มาถึงปั๊บแทนที่ท่านจะบอกนั่ง ท่านบอกเธอเหนื่อยมาตั้งแต่เช้า...เพลียนอนฟังและจงคิดตามฉันพูด ท่านสอนตั้งแต่ ๔ ทุ่ม ถึง ตี ๒ ถึง ๑ เดือน สอนวิชาอะไรรู้ไหม “ทุกข์” ทุกข์ตัวเดียว ฉันมีความรู้อริยสัจแค่ “ทุกข์” ตัวเดียวนะ
ผู้ถาม หนึ่งเดือนหรือครับ?

หลวงพ่อ ใช่ ๑ เดือนเต็ม ค่อย ๆ พูดไปทีละข้อ ท่านพูดละเอียดมาก พูดช้า ๆ ให้คิดตาม พอถึงตี ๒ ก็กลับ อย่างนี้ทุกคืน ๑ เดือน เป็นอันว่านอนดี ถ้านอนภาวนาทุกขเวทนามันไม่เครียดใช่ไหม ถ้ามันจะหลับให้ปล่อยหลับไปเลย อย่าฝืนไว้เพราะจิตถ้าเริ่มเป็นสมาธิ กำลังใจจะรวมตัว พอถึงฌานปั๊บ จะตัดหลับ เมื่อหลับแล้วหลับกี่ชั่วโมง ก็ถือว่าทรงฌานอยู่เท่าเวลานั้น เวลาหลับเขาถือว่า “ทรงฌาน” อันนี้ได้กำไรมาก

ถ้าจิตเริ่มเป็นสมาธิกำลังใจจะรวมตัวมาทีละน้อย พอสมาธิมั่นคงพอถึงฌานปั๊บ มันตัดหลับทันที ตัดหลับแบบนี้สังเกตเวลาตื่น ถ้าจิตทรงฌานก่อนหลับจริงเวลาตื่น พอรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่น มันจะภาวนามาเลย ไม่ต้องบังคับ เขาภาวนาเลย ภาวนาด้วยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออด้วย เวลานั้นจะเป็นไปตามนั้น

ผู้ถาม ถ้าปุ๊บปั๊บตายขณะนั้น ก็...
หลวงพ่อ ไปตามกำลังฌาน เขาถือว่าก่อนจะหลับอยู่ฌานไหน เวลาหลับก็ทรงฌานนั้น ถ้าหากว่าตายขณะหลับก็ไปตามกำลังของฌาน ถ้าเป็นฌานโลกีย์ธรรมดา ก็ไปเป็นพรหม แน่นอน ถ้าบังเอิญเวลาก่อนจะหลับ มันใช้วิปัสสนาญาณควบคิดว่าการเกิดเป็นมนุษย์มันเป็นทุกข์ เราไม่ต้องการมันอีก ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก เป็นทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการอีก คำว่า “ไม่ต้องการร่างกาย” นี้เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ ถ้าตายเวลานั้น จะไปนิพพานทันที

ผู้ถาม อย่างนี้ไม่ต้องลงทุนอะไรเลยนะครับ?
หลวงพ่อ ก็ต้องลงทุนนอนหน่อย (หัวเราะ) นั่ง นอน ยืน เดิน มีผลเสมอกัน
ผู้ถาม ขอถามอีกนิดหนึ่งครับ ตอนที่สมเด็จท่านสอนทุกข์นี่ใช้ภาษาอินเดียหรือภาษาอะไรครับ?

หลวงพ่อ ภาษาไทยชัดมาก เพราะมาก เสียงเพราะจริง ๆ เสียงกังวาล อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าคนภาษาไหน เวลาเทศน์จะเป็นภาษานั้นหมด เวลาฟัง ๑๐ ภาษาก็ต่างคนต่างรู้เป็นภาษาของตนเอง เป็นอัจฉริยะไง อัศจรรย์ยังไงล่ะ เทศนาปาฏิหาริย์ เทศน์เป็นปาฏิหาริย์ แต่ใครนั่งด้านไหนก็ตาม จะถือว่าพระพุทธเจ้าหันหน้าไปหาเสมอ ไม่มีคำว่า “หลัง” ไม่มีคำว่า “ข้าง” ดีไหม
ผู้ถาม เสียดายนะ เกิดทันตอนนั้นป่านี้ก็
หลวงพ่อ ป่านนี้ก็ลงอเวจีไปแล้ว (หัวเราะ)





นั่งสมาธิเวียนศีรษะ
ผู้ถาม คือว่าไม่ทราบเป็นเพราะเหตุไร เวลานั่งสมาธิคราวใดจะมีความรู้สึกเวียนศีรษะ มีความคลื่นเหียนเป็นอย่างมาก แต่เมื่อลูกตรวจดูแล้ว ก็ปรากฏว่าในอดีตชิตเคยมีแมวกัดลูก เมื่อนั่งทีไรก็มีอาการอย่างนี้เกิดขึ้นทุกครั้ง จึงอยากจะกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ก่อนนั่งควรจะทำอย่างไร... อาการอย่างนี้จึงจะไม่เกิดขึ้นอีกเจ่าคะ?

หลวงพ่อ ลำบากเหมือนกันนะ เอาอย่างนี้ซิ ก่อนจะนั่ง อุทิศส่วนกุศลให้ ขอให้แมวอโหสิกรรมเสียก่อน แล้วก็ทำจิตให้เป็นสุข อย่าให้เครียดเกินไป กรรมฐานทำใจให้สบาย ๆ ถ้าเครียดเกินไป มันก็เวียนหัวเหมือนกัน อาจจะเครียดเกินไปละมั้ง จะตั้งใจเอาดีมากไปนะ
ผู้ถาม อ๋อ ทำกรรมฐานนี่ ต้องใจสบาย ๆ หรือครับ?

หลวงพ่อ ก็ มัชฌิมาปฏิปทา ไงล่ะ เธอทั้งหลายจงละส่วนสุด ๒ อย่าง คือ ๑.กามสุขัลลิกานุโยค คืออย่าอยากได้เกินไป ๒.อัตตกิลมถานุโยค เคร่งครัดเกินไป ถ้าส่วนสุด ๒ อย่าง อย่างหนึ่งอย่างใดมีกับเธอ เธอจะไม่บรรลุมรรคผล ขอทุกคนจงตั้งอยู่ใน มัชฌิมาปฏิปทา คือ “พอสบาย ๆ”



ทำสมาธินิ่ง
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพ คือเวลาที่ลูกนั่งปฏิบัติพระกรรมฐาน เวลาจิตสงบแล้วจะนิ่งไปเลย นิ่งไปชนิดที่เรียกว่า ไม่รับรู้ไม่รับทราบ มันนิ่งไปเฉย ๆ ข้างล่างก็ไม่ไป ข้างบนก็ไม่ไป ลูกก็เกรงว่าถ้าหากตายไปในลักษณะนิ่งไม่รู้สึกอย่างนี้จะไปในที่ไม่ดีไม่ชอบเป็นแน่ จึงกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า มีคำแนะนำอย่างไรต่อไปจากนิ่งเจ้าคะ?

หลวงพ่อ มันนิ่ง ต่อไปก็นอน โธ่เอ๋ย เขาก็ต้องการกันแค่นิ่ง ไอ้นิ่งเป็นอารมณ์ของฌาน มันเป็นอุเบกขาใช่ไหมล่ะ ถ้าจิตเป็นอุเบกขาจัดว่าเป็นฌานสูง ต้องการกันแค่นั้น จะไปนิพพานหรือไม่ไปนิพพานอยู่ที่อารมณ์ต้น ก่อนที่เราจะภาวนาต้องพิจารณาใคร่ครวญก่อน ตัดสินใจว่าเราจะไปที่ไหนก่อน ถ้าตายแล้วจะไปไหน อย่างที่เคยบอกไว้นะ แล้วเราก็ภาวนา ถ้าจิตเป็นสมาธิถ้าตายเมื่อไร เราก็ไปตามที่เราต้องการเมื่อนั้น



อารมณ์ดิ่ง
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง หลวงพ่อ พูดถึงเรื่องอารมณ์ดิ่งในการทำสมาธินั้น หลวงพ่อบอกว่า เป็นอารมณ์ฌาน ทีนี้พอลูกมาทำบุญกับหลวงพ่อ พอเห็นหน้าหลวงพ่อปุ๊บ ก็มีอารมณ์ดิ่งอย่างนั้นปั๊บทันที อยากจะหลับตาทำสมาธิก็หลับไม่ได้ ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นเจ้าคะ?

หลวงพ่อ ความจริงไม่จำเป็นจะต้องนั่งหลับตาหรอก ถ้าดิ่งแบบนั้นก็มีสมาธิแบบนั้น ก็มีสมาธิ ๒ อย่าง สังฆานุสสติ กับ จาคานุสสติ นึกถึงพระเป็นสังฆานุสสติ อันนี้ดีมาก
ผู้ถาม พูดถึงว่าถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้ ตอนอารมณ์ดิ่งจะต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกเจ้าคะ?
หลวงพ่อ โดดขึ้นหลังคา เอาขาไปแขวนกับต้นไม้ หัวห้อยลงมา ไม่ต้องหรอก เอาแค่นั้นพอนะถ้าเลยไปต้องทำแบบนั้น



ภาวนาปนเป
ผู้ถาม กราบเท้านมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ขณะนี้ลูกใช้คาถาเงินล้านของหลวงพ่อผสมปนเปกันไป จนกระทั่งไม่แน่ใจเสียแล้ว กล่าวคือคาถาก็ว่าเต็มบท อานาปาก็จัก พิจารณาขันธ์ ๕ ก็คิด นิพพานก็จะไป ทำไปทำมาเดี๋ยวนี้ชักขลุกขลักเสียแล้ว ก็เลยเริ่มต้นแบบเดิมอีก ก็อยากกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า อันนี้เป็นเพราะอารมณ์ของจิตของลูกฟุ้งซ่านไปหรือเปล่า และจะแก้ไขอย่างไรครับ?

หลวงพ่อ ใช้เวลาซิ เวลาไหนจะใช้อะไร แต่ว่า อานาปานุสสติ ต้องใช้ประกอบเสมอไปนะ ทุกอย่างจะทำอะไรก็ตาม ต้องขึ้นต้นด้วยอานาปานุสสติ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ว่าช้า ๆ สบาย ๆ อักขระชัดเจน





ขณะภาวนามีอารมณ์ฟุ้งซ่าน
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ปัจจุบันนี้การปฏิบัติธรรมของกระผมชักจะแย่ลงไปเลยเกิดปัญหาขึ้นมาว่า ในขณะที่กำลังภาวนา “นะมะ” เข้า “พะธะ” ออก ปรากฏใจของลูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งอยู่กับองค์ภาวนา ส่วนหนึ่งฟุ้งซ่านออกไปข้านอก
ฟุ้งซ่านไร้สาระ อารมณ์แบบนี้เกิดขึ้น จึงทำให้ตัวเองต้องวิตกกังวลว่า หากตายในขณะที่จิตซีกหนึ่งฟุ้งซ่าน จะตกนรกเป็นอย่างแน่ ขอบารมีหลวงพ่อช่วยชี้แนะแก้ไขด้วยเถิดขอรับ
หลวงพ่อ ไม่เป็นไร...

แบ่งเป็นสองซีก ซีกที่ภาวนาอยู่เกิดเป็นนางฟ้าและพรหม อีกซีกหนึ่งเกิดในนรก เดี๋ยวก่อนที่เขาถามมานี่เป็นเรื่องธรรมดานะ ถ้ายังไม่ถึงอรหันต์เพียงใด ความฟุ้งซ่านย่อมมีกับคน แต่ให้ดูกำลังใจว่า เรามีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ไหม เอาแค่นี้พอ ถ้าจิตยังมีความเคารพอยู่ถือว่าไม่เหลวงไหล เรื่องคิดออกนอกทางเป็นของธรรมดา
ดูตัวอย่าง พระอัสสชิ พระอัสสชินี่เป็นพระอรหันต์รุ่นแรกรุ่น ๕ องค์ เวลาที่จะนิพพานเป็นโรคทางกระเพาะหนัก ปั่นป่วนมาก จิตใจก็ฟุ้งซ่าน ก็ให้พระไปนิมนต์พระพุทธเจ้ามา พอพระพุทธเจ้ามาก็กราบทูลว่า “บัดนี้ความดีของข้าพระพุทธเจ้าสบายตัวเสียแล้ว ความดีหมดไปเหลือแต่ความชั่ว ... จิตฟุ้งซ่าน

พระพุทธเจ้าถามว่า “อัสสชิ เธอระงับกายสังขารไม่ได้หรือ” (คืออานาปา) ท่านบอก “ระงับไม่อยู่ครับ มันฟุ้งใหญ่ มันเสียด” พระพุทธเจ้าถามว่า “อัสสชิ เธอเห็นว่าร่างกายเป็นของเธอหรือ” ท่านบอก “ไม่ใช่ พระเจ้าข้า” ในเมื่อมีความรู้สึกอย่างนี้ พระพุทธเจ้าบอกว่า “ความดีของเธอไม่เสื่อม ยังทรงตัวอยู่” พระอรหันต์ก็ฟุ้งซ่านเหมือนกันเวลาป่วยหนัก และที่คิดว่าร่างกายเป็นเราเป็นของเรามันไม่มี คือไม่ต้องการโลกต่อไป ใช่ไหม สำหรับญาติโยมที่ถามเมื่อกี้นี้ ไม่เป็นไรนะ จิตยังเคารพพระอยู่...เป็นใช้ได้



เคยเป็นมิจฉาทิฏฐิ
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง กระผมเคยเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ครั้งหนึ่ง คือคิดว่าพระอรหันต์ที่เหาะได้ แสดงว่ากิเลสยังไม่หมด เพียงแค่ปรามาสเท่านี้เอง ปรากฏว่าภายหลังผมเจริญพระกรรมฐานแล้ว สมาธิไม่เคยผ่องใสเลย กระผมขอกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า กระผมต้องการนิพพานในชาตินี้ เมื่อเป็นอย่างนี้อยู่ จะมีทางแก้ไขอย่างไรหรือไม่ขอรับ?

หลวงพ่อ ขอขมาโทษต่อพระพุทธเจ้า ปรามาสตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ขอขมาโทษเป็นส่วนตัวไม่หาย ต้องขอขมาโทษตรงต่อพระพุทธเจ้านะ



ครวญเพลงทำสมาธิได้ดี
ผู้ถาม เวลาปรกติแล้ว ลูกก็ปฏิบัติตามคำสั่งหลวงพ่อมาด้วยดีโดยตลอด แต่ที่จะออกนอกคอกอยู่สักนิด ก็คือว่า เวลาที่ลูกครวญเพลงเบา ๆ ทีไร อารมณ์จะเป็นสมาธิ เห็นอะไรต่ออะไร แบบชนิดที่ว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่พอจับคำภาวนานั่งสมาธิกลับไม่เห็นอะไรเลย ในลักษณะอย่างนี้ จึงทำให้กระผมมีความอึดอัดเป็นอย่างมาก เกรงว่าครวญเพลงเกิดสมาธิ ตายแล้วตกนรก

หลวงพ่อ อ้าว ๆ ที่นรกไม่มีเพลงนะ ถ้าพวกเพลงนี่ต้องไปอยู่ ดาวดึงส์ ทั้งรำทั้งเพลงเลย ความจริงการครวญเพลงของเขา จิตเป็นสมาธิขั้นอุปจารสมาธิ ครวญเพลงก็ดีหรือว่าสวดมนต์ก็ตาม หรือว่าฟังเทศน์ก็ตาม เวลานี้จิตอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ เวลานั้นอารมณ์เป็นทิพย์ เห็นอะไรได้ สำหรับคนนี้เวลานั่งทำสมาธิแน่นเกินไป เลยอุปจารสมาธิ ถ้าถอยกำลังใจตั้งอยู่อุปจารสมาธิจะเห็นชัดกว่ามาก
ผู้ถาม ครับ...!





การดูมหรสพ
ผู้ถาม ลูกชอบดูละคร โขน หนัง เรียกว่าติดเอามาก ๆ เลย มีความลุ่มหลงเป็นอย่างมาก ลูกอยากจะเรียนถามว่า การดูมหรสพเพื่อเป็นแนวทางพระกรรมฐานนั้น เราควรจะดูแบบไหน และใช้ปัญญาแบบไรเจ้าคะ?

หลวงพ่อ ใช้ปัญญาแบบ พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ เอาอย่างนี้ซิ ถ้าดูแบบวิปัสสนาญาณ ก็เห็นว่าผู้แสดงนี้เป็นทุกข์ ไม่ทุกข์เขาไม่มาแสดง เขาต้องการสตางค์เพราะเขาไม่มีเงิน ต่อมาแสดงเมื่อมันเหนื่อยก็ทุกข์ คนแสดงก็ดี คนดูก็ดี ไม่ช้าก็ตายเหมือนกันหมด ทุกคนต่างคนต่างตาย พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ คิดแบบนี้

ท่านบอกว่า คนที่แสดงมหรสพก็ตาม คนดูก็ตาม ทั้งหมดนี้มีอายุไม่ถึง ๑๐๐ ปีก็ตายหมด ไอ้เราก็ต้องก็ตาย ไอ้เราก็ต้องกตายเหมือนกัน ทีนี้ในโลกนี้มีของคู่กัน มีผู้หญิงก็ต้องมีผู้ชาย มีมืดก็ต้องมีสว่าง ฉะนั้น ธรรมที่ทำให้คนตายมีอยู่ ธรรมที่ทำให้คนไม่ตายก็ต้องมี



เบื่อวัฏฏจักร
ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา หนูไม่เคยปฏิบัติกรรมฐาน ไม่เคยฟังเทศน์เลย แต่มีความรู้สึกอย่างนี้เจ้าค่ะ คือเบื่อในวัฏฏะเจ้าค่ะ มันเกิดขึ้นเองโดยไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก่อน (เบื่อแบบนี้ไว้ใจได้หรือเปล่าก็ไม่รู้) ตอนนี้ลูกก็มีอายุแค่ ๓๔ ปี อยากจะอยู่สัก ๕๐-๖๐ ปี แล้วก็ตั้งใจจะไปไม่กลับเลย อารมณ์อย่างนี้ ลูกควรจะเพิ่มเติมอย่างไรอีกเจ้าคะ?

หลวงพ่อ อารมณ์นี้ดี ... เป็นนิพพิทาญาณ ไม่เคยเจริญกรรมฐานเลยนะ ไม่แน่หรอก เพราะว่าชาตินี้ไม่ได้เจริญ แต่ชาติก่อนเจริญ ผลของบุญนี่นะ ถ้าสนองขึ้นมาเมื่อใด สังเกตในสมัยพระพุทธเจ้า คนไม่เคยเรียนอะไรเลย ฟังเทศน์จบเดียวเป็นอรหันต์พร้อมไปด้วยปฏิสัมภิทาญาณ นั่นแสดงว่าบุญเก่าเขาเต็ม รายนี้ก็เหมือนกัน จะถือว่าไม่เคยเจริญกรรมฐานไม่ได้ ชาตินี้ไม่ได้ทำแต่ชาติก่อนทำ บุญอันนั้นมาสนอง แต่ระวังให้ดีนะ มันเป็นฌานโลกีย์ มันเสื่อมได้ ต้องระมัดระวังให้มาก



สมาธิเสื่อม
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกเชื่อคำแนะนำของหลวงพ่อทุกอย่าง แต่ว่าเรื่องสมาธินี่ ไม่ทราบว่าระยะนี้เป็นอย่างไร ชอบตกอยู่เรื่อย ๆ พยายามยกเอาจิตขึ้นสู่องค์ภวังค์ ขึ้นมาแป๊บเดียวมันก็หล่นลงไปอีก เบื่อเหลือเกินเจ้าค่ะ สมาธินึกขึ้นได้ว่าหลวงพ่อแก้ปัญหาเก่ง สามารถจะยกจิตขึ้นมาได้ ขอให้หลวงพ่อช่วยแนะนำอีกเถิดเจ้าค่ะ

หลวงพ่อ ขอยืมบุ้งกี๋เหล็กเขามา เอาตักจิตยกขึ้นมา (หัวเราะ) เอาอย่างนี้ซิ เรื่องนี้เป็นของธรรมดา ทำไป ๆ ต่อไปเมื่อกำลังจะดีบ้าง กิเลสมาร ก็เข้ากวนใจ ทุกคนเป็นเหมือนกัน ก็เกิดมีอารมณ์เบื่อบ้าง มีอารมณ์มืดบ้าง พอดีร่างกายไม่ค่อยสบายก็มีอารมณ์มืด ทีนี้การภาวนามันมีสองอย่าง อารมณ์ทรงตัว กับ อารมณ์คิด ถ้าทรงตัวไม่ไหวก็ใช้อารมณ์คิด คิดว่ายังไง

มันจะแก่ก็ช่างมัน มันจะตายก็ช่างมัน มันจะป่วยก็ช่างมันหวยจะกินก็ช่างมัน ฝึกไว้มันจะชิน คิดว่าทุกอย่างมันเป็นไปตามกฎของกรรม ขึ้นชื่อว่ากฎของกรรม ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ พระพุทธเจ้าเองยังโดน เราก็เหมือนกัน ขอทำชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายตายแล้วเลิกกัน... ไปนิพพาน



อารมณ์แทรกซ้อน
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เวลาลูกเริ่มไหว้พระสวดมนต์ อันดับแรกจะต้องหาวาจนน้ำตาไหลทั้ง ๆ ที่ไม่เคยง่วง อีกอย่างหนึ่งชอบมีอารมณ์แทรกซ้อน เวลาเจริญอานาปานุสสติกรรมฐาน คิดโน่นคิดนี่ เผลอ ๆ ก็เป็นฝ่ายอกุศลอารมณ์อย่างนี้จะมีวิธีแก้ไขอย่างไรหรือไม่ เพราะเป็นปรกติเลยขอรับ?

หลวงพ่อ เป็นของธรรมดา ทุกคนเป็นเหมือนกัน เขาเรียกว่า นิวรณ์ นิวรณ์ตัวที่ ๒ กับนิวรณ์ตัวที่ ๔ นิวรณ์ตัวที่ ๒ คืออารมณ์โกรธไม่พอใจ นิวรณ์ตัวที่ ๔ คือ อารมณ์ฟุ้งซ่าน เราก็ถอยหลังเสียใหม่ พักสักประเดี๋ยวหนึ่ง ดูอะไรให้มันเพลิน ๆ พอเริ่มใหม่ปั๊บ จับลมหายใจเข้าออก เอาจิตจับเฉพาะลมหายใจเข้าออกให้มันทรงตัว ทีสองทีก็เป็นที่พอใจแล้ว





ทำอารมณ์ก่อนผ่าตัด
ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม หมอจะผ่าตัดลูกด้วยเหตุที่เป็นเนื้องอก ลูกไม่อยากผ่าตัดเลยเพราะกลัวตาย แต่ก็ไม่เชิงกลัว (เอ๊ะ ยังไง) คือลูกอยากจะถามหลวงพ่อเดี๋ยวนี้ว่า ก่อนที่เขาจะลงมือผ่าตัด ลูกควรจะทำอารมณ์พระกรรมฐานแบบไหน เวลาตายตอนนั้นจะได้ตายสบาย?

หลวงพ่อ เอาอย่างนี้ซิ พุทโธ นึกถึงพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธรูปก็ได้ ไง ๆ ก็ยังไม่ตายวันนี้ เขายังไม่ถึงเวลาตาย ไอ้เวลาตายคือเวลาไม่หายใจ นี่ผ่าตัดอีกสัก ๓ ครั้งก็ยังไม่ตายคนนี้นะ แต่ว่า เขาต้องการอารมณ์กรรฐานนะ ... ดีแล้ว พุทโธ ก็แล้วกันสำคัญมาก ถ้าหากว่าได้มโนมยิทธิจับพระนิพพานเป็นอารมณ์พุ่งไปนิพพานเลย ไปนิพพานนี่ดีนะ คือว่าหมอไปทำฟันฉันทั้งหมดนี่ ๒๘ ครั้ง ขูดบ้าง เจาะบ้างอะไรบ้างนะ ฉันกลัวปวดกลัวเสียวฉันก็เปิดไปนิพพาน หมอต้องเรียกเวลาเลิก

ผู้ถาม ทำไมครับ หลวงพ่อ?
หลวงพ่อ ไม่รู้สึก เพลิน คราวหนึ่งเมื่อรู้สึกจะเสียว พอเริ่มเสียวนิด ฉันก็เปิดไปเลย หมอก็ทำไปตั้งแต่ ๒ โมงครึ่งเช้า ถึง ๕ โมง ๑๕ นาที หมอเรียกฉันรู้สึกตัว ถามหมอเสร็จแล้วหรือ หมอถามว่าเจ็บไหม พอแกถามว่าเจ็บไหม ทีนี้ไปเลย (หัวเราะ) ความจริงยังไม่เจ็บนะ ก็เลยคิดว่าน่ากลัวมันจะเจ็บจะเสียว ใช่ไหม... เขาถามว่าเจ็บไหม เสียวไหม หลวงพ่อ? ฉันก็ไม่พูด ไปเลย

ผู้ถาม จะผ่าตัดหรือจะทำอะไร เราจู๊ดไปเลย นี่
หลวงพ่อ นึกถึงนิพพานไว้เป็นอารมณ์ ถ้าบังเอิญมันตายเวลานั้น ก็ไปนิพพานเลย



ทำสมาธิชอบโกรธ
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกทำสมาธิทีไร กิเลสตัวหนึ่งที่ลูกแก้ไม่ได้ คืออารมณ์โกรธ เวลาปรกติก่อนนั่งสบาย หัวเราะร่าเริง พอเข้านั่งสมาธิทีไร เดี๋ยวไอ้โน่น เดี๋ยวไอ้นี่มารบกวน โดยสถานที่นั้นก็เงียสนิท ทีนี้ก่อนจะนั่งจะตั้งจิตอธิษฐานว่าอย่างไร เวลาทำกรรมฐานจึงจะไม่มีอารมณ์โกรธเจ้าคะ?

หลวงพ่อ เอาอย่างนี้ซิ ไม่โกรธหนอ ๆ ๆ (หัวเราะ)
ผู้ถาม หายไหมครับ
หลวงพ่อ อาจจะไม่หาย ก็ทำใจสบาย คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาเสียงที่อื่นจะเข้ามาก็เป็นเรื่องของเขา เพราะเสียงนี้เราไม่ต้องการ สิ่งที่เราต้องการคือคำภาวนากับรู้ลบมหายใจเข้าออกเท่านี้ก็พอแล้ว



ชอบถูกนินทา
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อเจ้าขา ลูกมีเวรมีกรรมอะไรก็แก้ไม่นาย ทำบุญสงเคราะห์อนุเคราะห์คนอื่นทีไร ทีแรกเขาก็ยกยอปอปั้นดี พอลับหลังก็นินทาแหลกเลย ในลักษณะอย่างนี้ทำให้ลูกมีอารมณ์ขุ่นหมอง จิตเศร้าหมองเป็นประจำ ขอกรรมฐานของหลวงพ่อช่วยแนะนำอารมณ์ประเภทนี้ด้วยเถิดเจ้าค่ะ?

หลวงพ่อ แก้อารมณ์เรอะ ฉันคิดว่าแก้อาการ
ผู้ถาม อารมณ์กับอาการไม่เหมือนกันหรือครับ?
หลวงพ่อ ไม่เหมือน... อาการคือถูกนินทา อารมณ์ก็ขุ่นมัวอาการอย่างนี้นะฉันเจอเป็นปรกติ พระเจ้าอยู่หัวท่านเคยตรัส สมัยก่อนเคยไปเฝ้าท่านนะ ท่านก็เล่าเรื่องคนนินทาท่านให้ทราบ ท่านเล่าหลายเรื่อง มาตอนหลังท่านบอกว่า เมื่อก่อนนี้เขาหาว่าผมฆ่าพี่ แต่เดี๋ยวนี้เขาหาว่าผมฆ่าพ่อตา เขาลือบอกว่า พ่อตาผมเป็นไข้ เอาเหล้ากรอกปากแล้วพาวิ่งตายไปเลย

ก็เลยบอกว่า พระองค์แบบไหน อาตมาก็แบบนั้นแหละ ให้เขาเขาก็ด่า ไม่ให้เขาเขาก็ด่า แต่เราให้เป็นการตัดกิเลสของเราเป็นของธรรมดา ท่านถามหลวงพ่อคิดยังไงครับ เลยบอกว่าใช้คาถาบทหนึ่งว่า “ช่างมัน ๆ” และถามว่าพระองค์ล่ะ ผมคิดว่า “เรื่อย ๆ ครับ” คือว่าของอย่างนี้เป็นธรรมดา แต่ว่าเราทำดีก็แล้วกัน

ผู้ถาม โอ นี่แสดงว่า พระทัยของพระองค์นี่ปลงตกเหมือนกันนะ
หลวงพ่อ ท่านเก่งมาก เรื่องปลงนี่เก่งมาก สมาธิก็เก่งจัด การเข้าฌานออกฌานก็เก่งมาก และใช้กำลังใจได้ด้วยนะ ท่านเป็นอัจฉริยะทุกอย่าง ถ้าไม่คุยกับท่านจะไม่รู้เรื่อง เรื่องธรรมะนี้ละเอียดลออมาก ทั้ง ๆ ที่มีเวลาน้อยนะ แต่ว่าละเอียดลออมาก





ช่วยเขาแต่ถูกด่า
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกเองก็ไม่รู้ว่าจะมีกรรมเก่ากรรมใหม่เป็นประการใด คือว่าลูกเป็นคนมีเมตตา ชอบช่วยเหลือเผื่อแผ่คนบ้านใกล้เรือนเคียง และคนเดือดร้อนทั่วไปเสมอ ติดใจอยู่นิดหนึ่งก็คือว่า ทุกคนที่ได้รับการช่วยเหลือไปแล้วนั้น เขาไม่เคยรู้บุญคุณของลูกเลย เขากลับมาเยาะเย้ย “เอ็งมันโง่ เสือกช่วยข้า” ลูกก็มานึกถึงหลวงพ่อว่าวิธีทำบุญให้เขานึกถึงบุญคุณของเรานี้ จะทำแบบไหนเจ้าคะ?

หลวงพ่อ ความจริงโรคเดียวกับฉันนะ ก็ถูกด่ามาเรื่อย ๆ
ผู้ถาม โอ หลวงพ่อเป็นเหมือนกันหรือครับ?
หลวงพ่อ สมัยก่อนหนัก หนักมาก ในเมื่อเราเป็นโรคเดียวกันรักษาหายนะ ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ทำบุญให้ถือว่าทำบุญ ถ้าทวงคุณอานิสงส์มันต่ำ เราถือว่าเราให้ไป เราสงเคราะห์เพื่อเป็นทานใช่ไหม ปล่อยไปเลย ถ้าเขาอกตัญญู ไม่รู้คุณมาสองเราแบบนั้น เขาลงนรกเป็นเรื่องเของเขา อย่าไปยุ่งกับเขา

ผู้ถาม โอ ขนาดหลวงพ่อยังเป็นเลยนะ
หลวงพ่อ พระพุทธเจ้ายังเป็น โดนเทวทัตล่อเห็นไหมล่ะ



โกรธแล้วถึงมีสติ
ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา ลูกเป็นคนนิสัยไม่ดีนิดเดียว คือเป็นคนที่โกรธแล้วจะมีสติในภายหลัง ทีนี้ก็อยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า ควรจะทำอย่างไร จึงจะมีสติก่อนที่เราจะโกรธเจ้าคะ?

หลวงพ่อ เอาอย่างนี้ซิ พอลุกมาตอนเข้าก็ตะโกน “สติโว้ย...มาพร้อมกันโว้ย” “สติโวย...มาบริบูรณ์โว้ย” “สติโว้ย...มาทั้งหมดโว้ย” ร้องอย่างนี้ทุกวันเลย สติไม่ไปไหนนะ หัดเจริญ อานาปานุสสติ ซิ



ชอบอาฆาตพยาบาทผู้อื่น
ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา ลูกมีกิเลสที่เลวร้ายอยู่หนึ่งตัว กล่าวคือ ความเคียดแค้นอาฆาต พยาบาทจองเวรกับผู้อื่นทั้ง ๆ ที่เมตตาก็แผ่แล้ว เทปหลวงพ่อก็ฟังแล้ว หนังสือหลวงพ่อก็อ่านแล้ว สมาธิก็ทำแล้ว แต่ปรากฏว่าแก้ไม่ตก วันนี้อยากจะขอทีเด็ดจากหลวงพ่อว่า จะมีทางแก้ไขอย่างไร เพราะเกรงว่าอาฆาตเคียดแค้น ตายแล้วจะลงนรกเจ้าค่ะ?

หลวงพ่อ ทีเด็ดก็คือว่า ไปหาถ้ำไกล ๆ จะได้ไม่โกรธคนอื่น ถ้าอย่างนี้เขาดีแล้วนี่ เขารู้ว่ามันไม่ดี แสดงว่าคนนี้เริ่มดีมากแล้ว ใช้อารมณ์เดิมก็แล้วกันนะ ค่อย ๆ ลดไปนะ อย่างนี้ดีมากแล้ว ไม่ใช่ไม่ดีนะ เขารู้ว่าเลวแสดงว่าดีขึ้นนะ ที่พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า “บุคคลรู้ตัวว่าเป็นพาล ท่านบอกว่าบุคคลนั้นคือบัณฑิต” ทีนี้คนที่เขาคิดว่าอารมณ์นี้มันเลว แต่ความจริงที่รู้ว่าเลวน่ะ ต้องเป็นคนดีแล้ว ถ้าไม่ดีไม่รู้ว่าเลว

และประการที่ ๒ ถ้ารู้ว่าเลวแล้ว ไม่กล้าเปิดเผย ยังลงอยู่นี่เขาเปิดเผยตัวเองก็ต้องถือว่าดีมาก ค่อย ๆ ทำก็แล้วกันจะหายไปเอง





ชอบทะเลาะกัน
ผู้ถาม กราบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกมีเรื่องจะขอคำแนะนำจากหลวงพ่อ คือว่าที่บ้าน ของลูกครอบครัวไม่รู้เป็นยังไง ทะเลาะวิวาทเสียดด่า มีอันจะต้องเดือดร้อนกันอยู่เสมอ

หลวงพ่อ ดี ๆ ๆ ๆ
ผู้ถาม อะไรครับ หลวงพ่อ แกด่ากันทะเลาะกัน
หลวงพ่อ ออกกำลังกาย ใช้ปัญญาบารมี (หัวเราะ) เอ๊ะ ด่าแบบไหนจะดีนะ ใช้ปัญญาเรื่อย ๆ นี่ล่ะ โลกธรรม
ผู้ถาม เขาบอกว่า แม่ก็ศาสนาหนึ่ง ลูกก็ศาสนาหนึ่ง คือในบ้านมีทั้ง ๓ ศาสนา มีพุทธ มีคริสต์ มีอิสลาม แต่ที่ร้ายที่สุดก็คือว่า ศาสนาอิส...นะ ชอบรังแกพุท และชอบว่าพระพุทธรูป ดิฉันก็โกรธก็บอก “นี่ของใครของมันซิวะ”
หลวงพ่อ เออ...เขาถูกต้องนะ
ผู้ถาม วะ...นี่ถูกต้องหรือครับ?
หลวงพ่อ ถูกต้อง วะ...นี่แปลว่าหนักแน่นนะ
ผู้ถาม ก็เลยเป็นอันเถียงกันไปเถียงกันมาแบบนี้ ที่จะกราบเรียนถามโดยสรุปก็คือว่า ลูกควรจะทำอารมณ์จิตแบบไหน ที่สามรถจะต้านอารมณ์ที่มายั่วเย้า หรือยุแหย่ ทำให้ลูกเดือดร้อนได้เจ้าคะ?

หลวงพ่อ ถือว่าเป็นกฎธรรมดาของชาวโลก ชาวโลกถ้าเกิดมาแล้วต้องถูกนินทา วันนี้แนะนำว่า นัตถิ โลเก อนินทโต คนที่ไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก นี่พระพุทธเจ้าพระพุทธรูปแท้นะ ท่านเป็นอิฐเป็นปูน พูดไม่ได้ยังถูกนินทาเลย ได้เราล่ะ
ผู้ถาม อย่างนั้นก็ให้มันนินทาให้มันด่าต่อไป

หลวงพ่อ ถ้านินทาด่าจริง ๆ ถ้าเก่งจริงนะ เขาต้องไม่เลิก ๒๔ ชั่วโมง ไม่กินข้าวไม่กินปลา ด่าเรื่อย...นินทาเรื่อย
ผู้ถาม แม้แต่จะปวดท้องขี้ปวดท้องเยี่ยว
หลวงพ่อ ไม่เลิก ไม่ไปขี้ด้วย
ผู้ถาม ไหวหรือครับ...หลวงพ่อ?
หลวงพ่อ ก็นั่นซิ เดี๋ยวแพ้เราเองแหละ เราเฉยไว้ก็หมดเรื่องกันนะ
ผู้ถาม ใช้ตำราหลวงพ่อ
หลวงพ่อ ใช่ ๆ ๆ ช่างมัน ๆ ๆ



ทุกข์เรื่องสามี
ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา สามีของลูกไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยอีเหละเขะขะ แบบสิบแปดมงกุฎ มีเพื่อนเขาแนะนำว่าให้ไปหาหมอแขก เขาสามารถจะทำผู้จิตผูกใจให้แน่นปึกเลยเจ้าค่ะ ลูกเกรงว่าถ้าทำไปแล้วจะเกิดบาปเกิดโทษ ลูกคิดไปอย่างนั้น คือลูกเกรงว่ามโนมยิทธิของลูกจะเสื่อมหาย ฉะนั้นลูกมาพึ่งบารมทีหลวงพ่อดีกว่า วิธีที่จะยึดจิตของผัวโดยธรรม วิธีนั้นขอหลวงพ่อช่วยแนะนำสักครั้งเถิดเจ้าค่ะ

หลวงพ่อ มีอย่างเดียว ยิ้มตลอดเวลา นี่ชนะจริง ๆ นะ มาเวลาไหนก็ยิ้ม มาดึกมาดื่นก็ยิ้ม ยิ้มไว้เถอะ ไมข้าเลิก
ผู้ถาม อย่างนี้ไม่ต้องว่าคาถาอะไรเลยหรือครับ?
หลวงพ่อ คาถาว่าให้มันเหนื่อย ถ้าหากว่าเราว่าคาถา ด่าเขา เขาไม่เข้ามาหรอก เห็นไหมล่ะนี่จริง ๆ นะ ได้ผลนะ จะมาดึกมาดื่นแล้วก็ตามใจ เห็นหน้าก็ยิ้มไปเถอะ พยายามยิ้มไว้ไม่ช้าเกรงใจ ถ้ายิ้มไว้เรื่อย ๆ ไม่หิ้ว เลิกหิ้ว เขามีตัวอย่างอยู่แล้ว เมื่อก่อนฉันเคยแนะนำวิธีนี้สมัยอยู่กรุงเทพฯ หลายคนนะ โดยมากพวกภรรยาจะไปเล่าให้ฟัง ใช่ไหม ว่าผัวกินเหล้าเมายาและก็เจ้าชู้ บอก “คุณกลับไปตั้งใจยิ้มอย่างเดียว...อย่าบ่น จะไปเวลาไหนก็เตรียมตัวไว้ได้เลย”

ถ้าเป็นนักเที่ยว ก่อนกลับมาจากทำงาน เราซักเสื้อรีดผ้าเสร็จ บอกเสี้อผ้ารีดให้แล้ว ไม่ช้าไม่กี่วัน...คุณ ไม่เกิน ๑๕ วันชักปลดจังหวะช้าลง...ไปน้อย ประมาณเดือนเศษ ๆ อยู่นั่นไม่ยาว... ไม่ยาก
ผู้ถาม ขนาดหลวงพ่ออยู่วัดยังรู้วิธีปราบ
หลวงพ่อ (หัวเราะ) ไม่ใช่อะไร ไอ้ทีแรกจริง ๆ นะ ฉันใช้วิธีนี้ วิธียิ้มนะ แต่ว่าต้องเอาแป้งมาให้กระป๋องหนึ่ง สตางค์ ๖ บาท ธูป ๕ ดอก เทียน ๑ เล่ม จะเสกให้ แต่ว่าจะเสกนี่ต้องเสก ๓ เดือน ให้ระหว่างที่ก่อนจะเสกนี่ ต้องยิ้มไว้เสมอ ๆ นะ ความจริงไม่เสกวางไง้เฉย ๆ (หัวเราะ) พอถึง ๓ เดือนแกก็มาเอาใช่ไหม สตางค์ก็คืนไปบอกว่า สตางค์นี่ไปซื้อของใส่บาตรบูชาครูก็ไปใช้ไม่กี่วันบอกกลับมาชนะแล้ว เพราะอะไร แกเลิกหยุดก่อน ๓ เดือน ใช่ไหม

ผู้ถาม โอ...ยังไม่ทันจะใช้แป้งเลยได้ผล
หลวงพ่อ ใช่ ๆ ๆ ที่แรกจะไม่ทำวิธีแบบนั้น เลยเกรงแกจะไม่เชื่อ ต้องทำหน่อย ต่อมา สมเด็จพุฒาจารย์ วัดอนงค์ ท่านเรียกไปถาม เห็นเล่ากันว่า แกมีคาถาเสน่ห์หรือ (หัวเราะ) บอกครับ ผมไม่มีคาถา แต่มีวิธีเสน่ห์ ถามว่าทำไง ก็เลยเล่าให้ฟังหัวเราะกิ๊ก ๆ บอก เออ... เข้าใจหากินโว้ย ทำต่อไป... ได้ผลนะ





ชอบทะเลาะกับสามี
ผู้ถาม ขอเรียนรบกวนหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกได้นับถือสักการบูชาหลวงพ่อมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ว่าอะไร ๆ ก็ดี หมด เสียอยู่อย่างเดียวเจ้าค่ะ ที่แก้ไม่ตก คือว่าสามีกับดิฉันนี่ ชอบทะเลาะกันเป็นประจำ ทั้ง ๆ ที่ต่างคนต่างก็อายุย่างเข้า ๗๐ กว่าแล้ว
หลวงพ่อ โอ้ย... ดีมาก ๆ ออกกำลังกาย

ผู้ถาม การทะเลาะเบาะแว้งนี่
หลวงพ่อ ออกกำลังกายใช้กำลังสมองด้วย ใช้ความคิดปราดเปรื่อง สรรหาวาจามาด่ากัน
ผู้ถาม ทั้ง ๆ ที่ต่างฝ่ายต่างก็ อายุ ๗๐ ปีกว่าแล้ว แกหึงฉันเหลือเกินเจ้าค่ะ ขนาดมาทำบุญแกยังให้คนมาเป็นเพื่อน ลูกก็เลยคิดว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่อยากแต่งกับมันอีกต่อไปแล้ว ขอให้หลวงพ่อช่วยลูกไปนิพพานเร็ว ๆ เถิดเจ้าค่ะ

หลวงพ่อ เออ... “อัตตา หิ อัตตโน นาโถ” ตนแลย่อมเป็นที่พึ่งของตน จะไปได้หรือไม่ได้ต้องตนทำเอง พระพุทธเจ้าบอกว่า “อักขาตาโร ตถาคตา” ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก ไม่ใช่นำไป บอกแล้วปฏิบัติตาม ของง่าย ๆ



รักพระนิพพาน
ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกรักพระนิพพานมาก ก่อนนอนชอบภาวนา “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” แต่ทำสมาธิไม่ดีเลย อย่างนี้ลูกจะไปนิพพานได้ไหมคะ?

หลวงพ่อ คำว่า “สมาธิ” นี่มันจำเป็น แต่คนถามไม่รู้จักสมาธิ ไอ้ตัวนึกถึงนิพพานมันเป็นสมาธิอยู่แล้ว “สมาธิ” เขาแปลว่า “ตามนึกถึง” ถ้านึกถึงนิพพานเขาเรียก อุปสมานุสสติกรรมฐาน ทีนี้ถ้าการนึกถึงนิพพานอย่างเดียว เรารักนิพพานภาวนาว่า “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” บ้าง “นิพพานะ สุขัง” บ้าง “นิพพานัง” บ้าง แต่ว่าก็ต้องดูอารมณ์ใจฝึกไว้อีกส่วนหนึ่ง คนที่จะไปนิพพานได้ต้องไม่ห่วงร่างกาย อันนี้ต้องฝึกไว้ด้วยนะ ต้องฝึกไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าร่างกายมันเป็นทุกข์ สภาพของความทุกข์ที่เรามีความทุกข์เกิดขึ้นทุกอย่าง

1. ความหิว ถ้าเราไม่มีร่างกายมันก็ไม่หิว มันหิวเพราะมีร่างกาย
2. หนาวเกินไป ร้อนเกินไป ก็เพราะร่างกาย
3. ป่วยไข้ไม่สบาย เพราะร่างกาย
4. ต้องมีงานหนัก ก็เพราะร่างกาย
5. การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ก็เพราะมีร่างกาย
6. ความตายมาถึง เพราะร่างกาย

ก็ใช้ปัญญาทบทวนไปว่า คนระดับชั้นไหนบ้าง ที่มีร่างกาย ไม่ทุกข์ ถ้าเราจะเกิดอีกกี่ชาติ ถ้าเรามีร่างกายอย่างนี้ มันก็ทุกข์อย่างนี้ แล้วขึ้นชื่อว่าร่างกายมีขันธ์ ๕ แบบนี้ เราจะไม่มีกับมันอีกเราต้องการจุดเดียวคือนิพพาน ทำใจแน่นอนแล้วภาวนาว่า “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” ก็ได้ “นิพพานัง” ก็ได้ ต้องคิดอย่างนี้ก่อนแล้วภาวนาคิดแล้วก็ภาวนาต่อไปอย่างนี้ใช้ได้

ถ้าเป็นอย่างนี้เวลาใกล้จะตายจริง ๆ อารมณ์จิตที่เราพิจารณามันจะรวามตัว มันจะมีความรู้สึกเบื่อหน่ายในร่างกาย และวางเฉยในร่างกาย จะมีความรู้สึกว่า การตายมีความสุขกว่านี้ ก็ไปนิพพาน

ผู้ถาม แล้วภาวนาอย่างนี้ละค่ะ มีอยู่คืนหนึ่งพิจารณาความไม่เที่ยง เลยฝันว่ามีคนจะมาเอาลูกไป ลูกหนีแทบแย่ ตื่นแล้วยังมีความรู้สึกว่า เหมือนมีตนจะมาเอาเราไปจริง ๆ ทำไม ภาวนาแล้วเกิดเป็นอย่างนี้เจ้าคะ?

หลวงพ่อ นี่แสดงว่ายังไปนิพพานไม่ได้แหง ๆ เพียงแค่เขาลอง เขาทดสอบหน่อยเดียว คนจะไปนิพพานคนเขาต้องทดสอบ เทวดาเขาต้องทดสอบว่า เรามีความมั่นคงพอไหมจะเอาไปหมายจะให้ตาย ความจริงบุคคลที่จะเข้าถึงนิพพาน เขามีความรู้สึกว่า ถ้าร่างกายตายเมื่อไร เขามีความสุข เขาไม่ได้ห่วงร่างกายนะ มันต่างกันเยอะ

ขอขอบคุณจากเว็บ http://board.palungjit.com/f4/รวมปัญหา-จากการปฏิบัติ-๑-244054.html

478
ทำอย่างไรจึงจะรักษาศีล ๕ ตลอดชีวิตได้

--------------------------------------------------------------------------------


 


ศีลส่งให้สูง ปรุงให้สวย ช่วยให้พ้น

 
ศีลห้า เป็นศีลของมนุษย์ ผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์จะต้องมีศีลห้าบริบูรณ์ ศีลห้าจึงเป็นศีลของมนุษย์
มีคำถามถามว่า “มีใครรักษาศีลห้าได้ครบถ้วนตลอดชีวิตบ้าง?”โปรดยกมือขึ้น จะเห็นได้ว่าไม่มีคนยกมือ นี่ก็แสดงว่าลำพังแต่ศีลเพียงห้าข้อก็รักษากันไว้ไม่ได้เสียแล้ว!

พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า “ให้รักษาใจตัวเดียว” ดังในสมัยพุทธกาล ภิกษุรูปหนึ่งในจำนวน ๕๐๐ รูปผู้บวชใหม่ เมื่อบวชแล้วได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเพื่อขอลาสิกขา โดยกล่าวว่า ศีลของภิกษุมากเหลือเกิน ปฏิบัติไม่ไหว จึงขอลาสิกขา พระพุทธองค์จึงให้ภิกษุรูปนั้นรักษาศีลเพียงข้อเดียว คือให้รักษาใจ พระภิกษุรูปนั้นจึงรับถือศีลข้อเดียวจนได้สำเร็จอริยบุคคล

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ตอบคำถามที่ว่า “ทราบว่าท่านรักษาศีลเพียงข้อเดียว มิได้รักษาทั้ง ๒๒๗ ข้อ เหมือนพระทั้งหลายที่รักษากันใช่ไหม?”

หลวงปู่ฯ ตอบว่า “ใช่ อาตมารักษาเพียงอันเดียว คือใจ อาตมารักษาใจ ไม่ให้คิดพูดทำในทางผิด อันเป็นการล่วงเกินข้อห้ามที่ทรงบัญญัติไว้จะเป็น๒๒๗ ข้อ หรือมากกว่านั้นก็ตาม บรรดาที่เป็นข้อทรงบัญญัติห้าม อาตมาก็ใจเย็นว่าตนมิได้ทำผิดต่อพุทธบัญญัติ ส่วนท่านผู้ใดจะว่าอาตมารักษาศีล ๒๒๗หรือไม่นั้น สุดแต่ผู้นั้นจะคิด จะพูดเอาตามความคิดของตน เฉพาะอาตมาได้รักษาใจอันเป็นประธานของกาย วาจา อย่างเข้มงวดกวดขันมาตลอด นับแต่เริ่มอุปสมบท ฯลฯ” กลิ่นศีลหอมทวนลม

หอมกลิ่นดอกไม้ที่ นับถือ
หอมแต่ตามลมลือ กลับย้อน
หอมแห่งกลิ่นกล่าวคือ ศีลสัตย์ นี้นา
หอมสุดหอมสะท้อน ทั่วใกล้ไกลถึง
โคลงโลกนิติ

ทำอย่างไรจึงจะรักษาศีล ๕ ตลอดชีวิตได้?
การรักษาศีล คือ การมีเจตนางดเว้นจากการทำความชั่ว ดังคำพุทธพจน์รับรองว่า “เจตนาหัง ภิกขะเว สีลัง วะทามิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเรากล่าวว่าเจตนาเป็นเครื่องงดเว้นนั่นแหละคือ ศีล”
การงดเว้นมีอยู่ ๓ ประการ คือ

๑. สมาทานวิรัติ คือ การงดเว้นด้วยการสมาทาน เช่น สมาทานศีลกับพระ
๒. สัมปัตตวิรัติ คือ การงดเว้นเมื่อมีเหตุบังเกิดขึ้นเฉพาะหน้าแม้ไม่สมาทาน แต่เมื่อมีเหตุการณ์อันใดอันหนึ่งที่จะผิดศีลและตั้งใจงดเว้นขึ้นในขณะนั้น ถือว่าเป็นศีลเพราะตั้งใจงดเว้นเอาเอง
๓. สมุจเฉทวิรัติ คือ การงดเว้นโดยเด็ดขาด นั่นคือศีลของพระอริยะบุคคลซึ่งเป็นโลกุตตระศีล เป็นศีลขั้นสูง เช่น พระโสดาบันรักษาสิกขาบท๕ หรือศีล ๕ นี้ได้ตลอดชีวิต เป็นศีลที่รักษาได้โดยอัตโนมัติคืองดเว้นโดยเด็ดขาด โดยไม่ต้องสมาทานและไม่ต้องตั้งเจตนา
ศีลนี้ หากใครรักษาดีแล้ว ย่อมอำนวยประโยชน์แก่ผู้นั้นมากมายเป็นประโยชน์ในชาตินี้ คือ มีความเย็นใจไม่เดือดร้อนเพราะเป็นผู้มีศีล ประโยชน์ในชาติหน้าพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงสรุปผลของศีลไว้ ๓ ประการว่า

“สีเลนะสุคะติง ยันติ บุคคลจะไปสู่สุคติได้ก็เพราะศีล
สีเลนะโภคะ สัมปะทา บุคคลจะมีโภคะได้ก็เพราะศีล
สีเลนะ นิพพุติง ยันติ บุคคลจะบรรลุพระนิพพานได้ก็เพราะศีล”

อริยทรัพย์ ๗ ประการสำคัญที่สุด ชาวพุทธควรมีไว้ประดับใจเป็น “ทรัพย์ภายใน” ได้แก่
๑. ทรัพย์คือศรัทธา ความเชื่อที่มีเหตุผล
๒. ทรัพย์คือศีล การรักษากาย วาจาให้เรียบร้อย
๓. ทรัพย์คือหิริ การละอายใจต่อการทำความชั่ว
๔. ทรัพย์คือโอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อความชั่ว
๕. ทรัพย์คือพาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก
๖. ทรัพย์คือจาคะ ความเสียสละเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
๗. ทรัพย์คือปัญญา ความรู้ความเข้าใจถ่องแท้ในเหตุผลอริยทรัพย์นี้เป็นทรัพย์อันประเสริฐอยู่ในจิตใจ

อานิสงส์ของการรักษาศีล
ชาดกนิทานเรื่อง นายติณปาลพราหมณ์ถือศีลตาย
ในสมัยพุทธกาล นายติณปาลเป็นคนใช้ทำไร่หญ้าของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เช้าก็ออกไปทำงานที่ไร่หญ้าทุกวัน เย็นวันหนึ่งหลังจากนายติณปาลกลับจากทำงานกลับเข้าบ้านเศรษฐีก็จะไปรับ ประทานอาหารเย็น แต่ไม่พบเห็นใคร เลยสงสัยว่าเขาไปทำอะไรที่ไหนกันหมด ก็ได้รับคำตอบจากคนครัวว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถศีลทุกคนรับศีลอุโบสถกันหมด จึงไม่มีใครรับประทานมื้อเย็น นายติณปาลจึงเข้าไปถามท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ขอถือศีลด้วยแม้จะไม่ได้สมาทานศีลตั้งแต่ตอนเช้าก็ตามเศรษฐีก็ว่า ตามแต่ติณปาลก็แล้วกัน ติณปาลตั้งใจถือศีลไม่รับประทานอาหารมื้อนั้น อยู่ต่อมาประมาณหนึ่งชั่วโมง นายติณปาลมีอาการเป็นลมเพราะอดข้าวเย็น เนื่องด้วยไม่เคยอดอาหารเศรษฐีขอร้องให้นายติณปาลเลิกล้มความตั้งใจและให้ รับประทานอาหารแต่นายติณปาลไม่เลิกล้มความตั้งใจเพราะทุกคนต่างถือศีลกันได้ ตั้งหลายชั่วโมงตนเองเพิ่งถือศีลได้เพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้นเอง ชั่วโมงต่อมานายติณปาลได้ถึงกาลกิริยา ได้ไปบังเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์

ชาดกนิทานเรื่อง นางวิสาขาถืออุโบสถศีล
พระพุทธองค์ได้ตรัสเรื่องนี้กับนางวิสาขาว่า “ดูก่อนวิสาขา อานิสงส์ที่บุคคลรักษาอุโบสถศีล ชั่ววันหนึ่งกับคืนหนึ่งนี้ เมื่อเอาอานิสงส์แห่งการรักษาศีลอุโบสถนี้มาแบ่งออกเป็น ๑๖ ส่วน เอาออกเสีย ๑๕ ส่วน เหลืออยู่อีกส่วนหนึ่ง เอามาแบ่งออกเป็น ๑๖ เสี้ยว แล้วเอาออกเสีย ๑๕ เสี้ยว เหลืออยู่ ๑เสี้ยว ยังมากกว่าสมบัติใน ๑๖ มหานคร” แล้วพระองค์ได้ทรงพรรณนาถึงสมบัติใน ๑๖ มหานคร ในชมพูทวีปนั้นว่า สมบัติของมนุษย์ทั้ง ๑๖ มหานครนั้นยังน้อยกว่าผลของอานิสงส์ของการรักษาศีลอุโบสถเพียงเสี้ยวหนึ่ง เท่านั้นเพราะอานิสงส์แห่งการรักษาศีลอุโบสถเพียงเสี้ยวหนึ่งนั้นเป็นเหตุ ให้ผู้นั้นได้รับทิพยสมบัติในสวรรค์ การไปเกิดบนสวรรค์ได้รับทิพยสมบัติแม้เพียงชั่ววันหนึ่ง คืนหนึ่งของสวรรค์ชั้นนั้นๆ ก็ยังประเสริฐกว่าสมบัติในเมืองมนุษย์ทั้ง ๑๖มหานคร เพราะว่าทิพยสมบัติเป็นของละเอียดอ่อน ประณีต ไปเกิดอยู่เพียงชั่ววันหนึ่ง คืนหนึ่งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็เท่ากับการเสวยมนุษยสมบัติในช่วงเวลาร้อยปีในเมืองมนุษย์เพราะว่าร้อยปีใน เมืองมนุษย์นี้เท่ากับวันหนึ่งคืนหนึ่งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์



กิริยาส่อเชื้อชาติมารยาทส่อสกุล
ก้านบัวบอกลึกตื้น ชลธาร
มารยาทส่อสันดาน ชาติเชื้อ
โฉดฉลาดเพราะคำขาน ควรทราบ
หย่อมหญ้าเหี่ยวแห้งเรื้อ บอกร้ายแสลงดิน
โคลงโลกนิติ
ศีลห้ากับกุศลกรรมบทสิบ
ศีลห้าข้อ เมื่อประมวลลงแล้วขยายความออกได้เป็นกุศลกรรมบท๑๐ คือ กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ และมโนกรรม ๓ ดังนี้
กายกรรม ๓ ได้แก่ ศีลข้อที่ ๑. ปาณาติปาตาเวรมณี
ศีลข้อที่ ๒. อทินนาทานาเวรมณี
ศีลข้อที่ ๓. กาเมสุมิฉาจาราเวรมณี
วจีกรรม ๔ ได้แก่ ศีลข้อที่ ๔. มุสาวาทาเวรมณี คือ ไม่พูดวจีกรรม ทุจริต ๔
ได้แก่
๑. มุสาวาทะ การไม่พูดปด
๒. สัมผัปลาปะวาทะ การไม่พูดเพ้อเจ้อไม่เป็นประโยชน์แม้จะเป็น
ความจริง
๓. ปิสุณวาทะ การไม่พูดส่อเสียดให้เสียหายให้เขาเจ็บใจ
๔. ผรุสวาจา การไม่พูดคำหยาบคาย
มโนกรรม ๓ ได้แก่ ศีลข้อที่ ๕. สุราเมรยะมัชชะปมาทัฏฐานา เวรมณี คือการเว้นจากการตั้งอยู่ในความไม่ประมาท มีสติสัมปชัญญะ มั่นคง ไม่เพ่งเล็งอยากได้ (อภิชฌาหรืออโลภะ) การไม่คิดพยาบาทปองร้าย (อพยาปาทะหรืออโทสะ) และการไม่หลงเห็นผิดทำนองคลองธรรม ละจากมิจฉาทิฏฐิเป็นสัมมาทิฏฐิ
พระไตรปิฎกกล่าวถึงเรื่องลักษณะของวาจาสุภาษิต
ลักษณะ ๕ ของวาจาสุภาษิต
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! วาจาที่ประกอบด้วยองค์ ๕ นับเป็นสุภาษิตไม่เป็นทุพภาษิต ไม่มีโทษ อันผู้รู้ติไม่ได้คือ:-
๑. วาจาที่กล่าว (ถูกต้อง) ตามกาล
๒. วาจาที่กล่าวเป็น ความจริง
๓. วาจาที่กล่าว อ่อนหวาน
๔. วาจาที่กล่าว ประกอบด้วยประโยชน์
๕. วาจาที่กล่าวด้วยจิตประกอบด้วยเมตตา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! วาจาที่ประกอบด้วยองค์ ๕ เหล่านี้แลนับเป็นสุภาษิต ไม่เป็นทุพภาษิต ไม่มีโทษ อันผู้รู้ติไม่ได้
(ปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย ๒๒/๒๗๑)
คนที่เกิดมีขวานเกิดมาในปากด้วย
“คนที่เกิดมาแล้ว มีขวานเกิดมาในปากด้วย คนพาลเมื่อกล่าวคำชั่วชื่อว่าใช้ขวานนั้นฟันตนเอง ผู้ใดสรรเสริญคนที่ควรติ ติคนที่ควรสรรเสริญผู้นั้นชื่อว่าใช้ปากเลือกเก็บความชั่วไว้ จะไม่ได้ประสบสุขเพราะความชั่วนั้น”
(จากหลักนิบาตอังคุตตรนิกาย ๒๔/๑๘๕)
พูดดี
หลักของการพูดดีมีอยู่สาม
หนึ่งพูดตามเป็นจริง ทุกสิ่งสรรพ์
สองพูดดีมีประโยชน์ไร้โทษทัณฑ์
สามสิ่งนั้นน่าฟังทั้งไพเราะ
แม้เรื่องจริงน่าฟังไม่ขวางโลก
แต่พูดไปไร้ประโยชน์ก็ไม่เหมาะ
แม้พูดเรื่องสัจจริงทั้งพริ้งเพราะ
มีประโยชน์เหมาะเจาะควรพูดเอย
อันรสปากหากหวานก็หวานเด็ด บรเพ็ดขมไม่มากเหมือนปากขม
ถึงคมมีดคมไม่มากเหมือนปากคม รสหวานขมก็ไม่มากเหมือนปากคนฯ
ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร ให้ชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจาฯ
พระสุนทรโวหาร (ภู่)
คิดก่อนพูด
เป็นคนคิดแล้วจึ่ง เจรจา
อย่านอนหลับตา แต่ได้
เลือกสรรหมั่นปัญญา ตรองตรึก
สติริรอบให้ ถูกแล้วจึงทำ
วาจาต่อหน้าชุมชน
ท่ามกลางกล่าวถ้อยแต่ พอควร
เห็นท่านสรวลอย่าสรวล ตอบเต้า
ใช้คำแต่น้ำนวล นฤโทษ
เห็นท่านเศร้าทำเศร้า โศกหน้าตาตรม
สุภาษิตา จะยาวาจา
 แม้โฉมเฉิดเฉกไท้ เทพา
อีกอิสริยยศถา กอรปด้วย
บุรุษถ่อยทุษฐวา จาพาก
นับว่าผู้นั้นม้วย หมดสิ้นสิ่งงาม
“สุภาษิตา จะยาวาจา เอตัมมังคลมุตตะมัง วาจาเป็นสุภาษิตเป็นมงคลยิ่ง”

คำพูดที่สมควร
ไป่ถามปราชญ์บ่พร้อง พาที
เปรียบดั่งเภรีตี จึ่งครื้น
คนพาลพวกอวดดี จักกล่าว
ถามบ่ถามมันฟื้น เฟื่องถ้อยเกินถาม
โคลงโลกนิติ

ปิดหูซ้ายขวา ปิดตาสองข้าง ปิดปากเสียบ้าง นอนนั่งสบาย
“อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด... อยู่กับมิตร ให้ระวังวาจา”

คำสอนเรื่องหน้าที่ ๑๒ สถานะของคนในเรื่องทิศทั้งหก ในส่วนของหน้าที่บ่าว (ลูกน้อง) ที่มีต่อนาย (ผู้บังคับบัญชา) มีอยู่ข้อหนึ่งว่า “บ่าวพึงพูดสรรเสริญนาย” หรือ “นำเกียรติคุณของนายไปเผยแพร่” ดังนี้ จะเห็นได้ว่าคำพูดของบ่าวหรือลูกน้อง ไม่พึงพูดนินทาว่าร้าย หรือกล่าวเรื่องไม่ดีของนาย ให้พึงระมัดระวังเพราะนั่นคือ “โอษฐภัย” นั่นเอง


ที่มา http://thai.mindcyber.com/buddha/why1/1143.php

479
ขอบคุณครับ

480
ความเชื่อทางด้าน "คงกระพันชาตรี เมตตา โชคลาภ แคล้วคลาด ความอดทนมีพละกำลังมาก"
-ขอบคุณค่ะ-

ตามนั้นเลยครับ ไม่ต้องพูดอะไรมาก

481
อีกแหละ อีกแหละ ท่าน รวี สัจจะ...  เอาอีกแล้วนะครับ อิอิอิ

482
โห เราก็นึกว่าผี ทีแท้ผีเสื้อ ท่าน รวี สัจจะ...  เหลือเกินจริงๆ
เคร่งเกินไปแล้วมันจะเครียด เป็นการเบียดเบียนตัวเอง
ไม่เกร็ง...ไม่เคร่ง...ไม่เครียด...ไม่เบียดเบียนตัวเอง
อยู่อย่างเรียบง่าย...แต่ไม่มักง่าย
อยู่แบบไร้รูปแบบ...แต่ไม่ไร้สาระ
อยู่แบบสมณะ...ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
(ผ่อนคลายยามที่ร่่างกายเหนื่อยล้าและรักษาสุขภาพจิต)

อืม ๆๆๆ กลอนนี้ สุดยอดมาก จะจำแล้วจะนำไปใช้ครับ

483
อนุโมทนา ครับ

485
ท่าน #DeKdOy# ครับ อยากจะบอกไว้แค่ 2 คำครับ ว่า ชัดเจน

486
ท่าน ปีระกา ก็อยู่ นครศรีธรรมราช หรือ ผมก็อยู่ นครศรีธรรมราช นะ ขอเมลคุยกันหน่อยดิครับ

487
สวยมากครับ ขอบคุณมากที่เอามาให้ชมนะครับ

488
เอาเลยครับว่างๆ ไปที่วัดแล้วก็เอาให้เต็มหลังไปเลยครับ

489
โห เราก็นึกว่าผี ทีแท้ผีเสื้อ ท่าน รวี สัจจะ...  เหลือเกินจริงๆ

490
ขอบคุณครับ สำหรับคลิปวีดิโอ

491
ขอบคุณครับ อ่านแล้ว ดีมากเลยครับ

493
ขอถามไรหน่อยว่า ของมาถึงวันไหนอะครับ แล้วข้างในเป็นวัตถุมงคลอะไรหรอ

494
ชอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ

495
บอกได้เลยว่า น้ำตาไหลครับ   :054:

496
บอกได้เลยว่า อ่านแล้วสุดยอดครับ ศรัทธา ใน หลวงปู่ดู่ มากครับ

497
ถ้าท่านไม่ถามก็แสดงว่าท่านรู้อยู่แล้ว ท่านมีวิชาอาคมนะครับ

498
คนมีครู ก็เหมือน งูมีพิษ ครับ จุดธูป ขอขมาครูบาอาจารย์ ครับแล้วถือ ศีล5 ทำความดี เว้นความชั่ว แล้วสิ่งที่คุณอยู่ในตัวจะขลังสุดๆ

501
ขอบคุณคับสำหรับคาถาดีๆ ที่ไม่ควรมองข้าม

502
ยินดีด้วยได้ของดีมาแล้ว

504
ไม่ว่าจะมือหนัก หรือ เบา พอสักเสร็จก็ศิษย์วัดบางพระเหมือนกัน สักไปเถอะครับ

505
คาถาอาคม / ตอบ: รอดตายเพราะคาถา...
« เมื่อ: 08 ก.ค. 2553, 09:54:58 »
ขอบคุณเดี๋ยวจะท่องคาถา พระเจ้า16องค์ มั้งครับ

506
ขอบคุณครับ

507
เกิดเป็นเปรตกินอุจจาระเพราะปากเสีย(มาลาวชิโร)

--------------------------------------------------------------------------------

 

สังคมปัจจุบันมีการใส่ร้ายป้ายสีกันมาก
ไม่ว่าจะเป็นผู้แทนของประชาชนก็ตาม
จนทำให้สังคมเกิดความสับสันว่าอะไรคือความจริง ความเท็จ
รวมทั้งผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่มักพูดคำหยาบ
คำส่อเสียด คำเพ้อเจ้อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดศีล
เพราะฉะนั้นทุกคนจึงต้องระมัดระวังคำพูดให้มาก
ผู้ไม่สำรวมระวังในการพูด ตายแล้วจะไปเกิดเป็นเปรต
ดังตัวอย่างในครั้งพุทธกาล เรื่องมีอยู่ว่า

ภิกษุประมาณ ๑๒ รูป หลังจากเรียนกรรมฐานกับพระพุทธเจ้าแล้ว
ก็เดินทางไปแสวงหาสถานที่ที่เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรม
ตอนช่วงใกล้จะเข้าพรรษา ได้พากันเดินทางไปถึงป่าแห่งหนึ่ง
ซึ่งน่ารื่นรมย์ และอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านเท่าใดนัก
จึงพากันปักกลดปฏิบัติธรรมอยู่ในป่านั้นหนึ่งคืน
รุ่งเช้าก็ออกไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน

ช่างหูก ๑๑ คน ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนั้น
เมื่อเห็นพระมาบิณฑบาตในหมู่บ้าน ก็เกิดความปีติยินดี
จึงนิมนต์เข้ามาที่บ้าน แล้วถวายภัตตาหารอันประณีต
และเรียนถามว่า พระคุณเจ้าจะไปที่ไหน
เมื่อบรรดาภิกษุบอกว่ากำลังแสวงหาที่เหมาะๆ สำหรับการปฏิบัติธรรม
พวกช่างหูกจึงได้นิมนต์ภิกษุทั้งหลายให้อยู่จำพรรษาในหมู่บ้าน
และพากันสร้างกระท่อมในป่าถวาย
พวกภิกษุทั้งหมดจึงได้จำพรรษาอยู่ ณ ที่นั้น

ในบรรดาช่างหูกเหล่านั้น หัวหน้าช่างหูกได้รับอุปัฏฐากภิกษุ ๒ รูป
ด้วยความยินดียิ่ง ส่วนช่างหูกคนอื่นๆ ได้ อุปัฏฐากภิกษุคนละรูป
ฝ่ายภรรยาหัวหน้าช่างหูก เป็นผู้ไม่มีศรัทธา
ไม่มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนา เป็นมิจฉาทิฏฐิ
มีความตระหนี่ ไม่สนใจ ที่จะอุปถัมภ์ภิกษุเลย
ดังนั้น หัวหน้าช่างหูกจึงได้พาน้องสาวของภรรยามาอยู่ด้วย
เพราะนางเป็นผู้มีศรัทธา มีความเลื่อมใส
นางได้ปรนนิบัติภิกษุทั้งหลายด้วยความยินดียิ่ง
ช่างหูกทุกคนพร้อมภรรยาได้ถวายผ้าสาฎกแก่ภิกษุ
ผู้อยู่จำพรรษารูปละผืน ยกเว้นภรรยาของหัวหน้าช่างหูก
ซึ่งได้ด่าสามีของตนว่า

“ทานที่ท่านถวายแก่พวกพระสงฆ์ จะเป็นข้าว เป็นน้ำก็ดี
จงบังเกิดเป็นอุจจาระ ปัสสาวะ เป็นหนองและเลือดแก่ท่านในโลกหน้า
ผ้าสาฎกก็จงเป็นแผ่นเหล็กร้อนลุกโพลงเถิด”

ต่อมาหัวหน้าช่างหูกตายลง และไปเกิดเป็นรุกขเทวดาในป่า
ที่พวกพระมาปฏิบัติธรรม แต่ภรรยาที่ปากพล่อย
เมื่อตายแล้วไปเกิดเป็นนางเปรต
อยู่ไม่ไกลจากที่อยู่ของรุกเทวดาเท่าใดนัก
นางเปรตนั้นอยู่ในสภาพเปลือยกาย รูปร่างขี้ริ้วขี้เหร่
มีความหิวกระหายอยู่ตลอดเวลา
นางเปรตได้เดินไปหารุกขเทวดาแล้วบอกว่า

“นาย.. ฉันไม่มีผ้านุ่งและหิวกระหายเหลือเกิน
ขอผ้านุ่ง ข้าว และน้ำให้ฉันหน่อยเถิด”

รุกขเทวดาจึงได้ให้ข้าวและน้ำอันเป็นทิพย์แก่นางเปรต
แต่สิ่งของต่างๆ อันเป็นทิพย์ที่รุกขเทวดาได้ให้แก่นางไปนั้น
ได้กลับกลายเป็นอุจจาระ เป็นหนอง และเลือด
ผ้านุ่งก็กลายเป็นแผ่นเหล็กร้อนลุกโพลงอยู่ตลอดเวลา !!
นางเปรตจึงร้องไห้คร่ำครวญด้วยทุกข์อย่างมหันต์

ขณะนั้นมีภิกษุรูปหนึ่ง หลังจากออกพรรษาแล้ว
ก็เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า โดยอาศัยไปกับหมู่เกวียนหมู่ใหญ่
พวกหมู่เกวียนได้เดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน
เมื่อไปถึงป่าแห่งนั้นตอนกลางวัน เห็นความอุดมสมบูรณ์ของป่า
มีร่มเงาเย็นสบาย จึงปลดเกวียนแล้วนั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้
ฝ่ายภิกษุก็แยกไปหาที่สงบ ปูผ้าลงที่ใต้ต้นไม้อันร่มรื่น
กะว่าจะนอนพักสักครู่ แต่จู่ๆ ก็ม่อยหลับไป
เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาตลอดทั้งคืน
ส่วนหมู่เกวียนพอพักจนหายเหนื่อยแล้วก็ออกเดินทางต่อ
โดยลืมภิกษุที่มาด้วยกัน ซึ่งหลับอยู่ใต้ร่มไม้

ภิกษุรูปนั้นหลับไปจนกระทั่งเย็น เมื่อตื่นขึ้นมาไม่เห็นใคร
จึงออกเดินทางต่อไปเรื่อยๆ เพียงลำพัง
จนกระทั่งไปถึงต้นไม้ที่เทวดาสิงสถิตอยู่
ฝ่ายรุกขเทวดาเห็นภิกษุเดินมุ่งหน้ามาที่ต้นไม้
ก็แปลงร่างเป็นคนธรรมดาเข้าไปไหว้
และนิมนต์ให้เข้าไปพักใต้ต้นไม้อันเป็นวิมานของตน
ถวายยาทาแก้ปวดเมื่อยแก่ท่าน

ขณะเดียวกันนั่นเอง นางเปรตผู้มีความหิวโหย
ก็เข้ามาขอข้าว น้ำ และเสื้อผ้า รุกขเทวดาก็ได้ให้ตามที่ขอ
แต่พอนางรับไป ทุกอย่างก็กลับกลายเป็นอุจจาระ ปัสสาวะ
หนอง เลือด และแผ่นเหล็กร้อนอันลุกโชน เหมือนที่เคยเป็นมา
ฝ่ายภิกษุเห็นเหตุการณ์นั้นจึงเกิดความสลดสังเวชใจเป็นยิ่งนัก
จึงถามรุกขเทวดาว่า

“หญิงเปรตนี้กินอุจจาระ ปัสสาวะ เลือด และหนองเช่นนี้
เพราะได้ทำกรรมอะไรไว้หรือ ?
ผ้าผืนใหม่ที่สวยงาม อ่อนนุ่ม บริสุทธิ์
มีขนอ่อนที่ท่านมอบให้แก่หญิงผู้นี้
ทำไมจึงกลายเป็น แผ่นเหล็กร้อนไปได้”

รุกขเทวดาได้เล่าให้ภิกษุรูปนั้นฟังว่า เมื่อก่อนหญิงเปรตนี้
เป็นภรรยาของตน นางเป็นคนตระหนี่ไม่รู้จักให้ทาน
และได้ด่าทอตอนที่ตนกำลังทำบุญอยู่
กรรมนี้เองทำให้นางมาเกิดเป็นเปรตกินแต่อุจจาระ
ปัสสาวะ เลือด และหนอง ทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้นานแสนนาน

พอรุกขเทวดาเล่าบุพกรรมของนางเปรต
ที่ได้กระทำไว้ในชาติก่อนให้พระภิกษุฟังแล้ว
จึงได้ถามว่าทำอย่างไรนางนี้จึงจะพ้นจากการเป็นเปรต
ภิกษุจึงได้บอกวิธีการที่จะทำให้กรรมชั่วของนางเปรตหมดไปว่า

“ถ้าท่านอยากให้นางเปรตนี้พ้นจากกรรมชั่ว
ท่านก็จงทำบุญถวายทานแก่พระพุทธเจ้า และแก่พระอริยสงฆ์
หรือแก่ภิกษุสักรูปหนึ่ง แล้วอุทิศให้แก่นางเปรตนี้
เมื่อนางเปรตนี้อนุโมทนากับบุญที่ท่านทำ
นางก็จะได้บุญและพ้นจากความทุกข์ทรมานได้”

เมื่อรุกขเทวดาทราบวิธีช่วยเหลือนางเปรตแล้ว
จึงได้ถวายภัตตาหารอันประณีตแก่ภิกษุรูปนั้น
แล้วอุทิศบุญให้แก่นางเปรตอดีตภรรยา
ทันทีที่นางเปรตอนุโมทนาบุญ จิตใจก็อิ่มเอิบ
ร่างกายกระปรี้กระเปร่า ท้องก็อิ่มด้วยอาหาร อันเป็นทิพย์
ต่อมารุกขเทวดาได้ถวายผ้าทิพย์
เพื่ออุทิศบุญกุศลให้แก่นางเปรตอีก
นางเปรตก็ได้นุ่งผ้าทิพย์
พร้อมเครื่องประดับอันเป็นทิพย์ในขณะนั้นนั่นเอง
เมื่อนางเปรตได้สิ่งที่อยากได้ทุกอย่างแล้ว
ร่างที่น่าเกลียดน่ากลัวก็กลายเป็นสวยงามประดุจนางเทพอัปสร
เพราะอานุภาพแห่งบุญ นั้นนั่นเอง

........

หากไม่มีบุญที่คนอื่นทำอุทิศไปให้
นางเปรตคงต้องทุกข์ทรมานไปอีกนานแสนนานกว่าจะพ้นจากความทุกข์
เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่ยังมีชีวิตอยู่จึงไม่ควรประมาท
ต้องรีบขวนขวายทำความดีให้มาก ไม่เช่นนั้นจะต้องไปชดใช้กรรม
ทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนางเปรตแน่นอน

ยุคปัจจุบันมีคนจำนวนมากที่ไม่กลัวบาปกรรม
เพราะคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่จริง จึงดำเนินชีวิตด้วยความประมาท
กล้าทำความชั่วอย่างไม่ละอาย มีจิตใจหยาบกระด้าง
คิด ไม่ถึงว่ากรรมชั่วนั้นจะย้อนกลับมาหาตนเอง
ทำให้ต้องเดือดร้อนในภายหลัง
ผู้มีปัญญาจึงควรมองถึงผลในระยะยาว
มองชีวิตทั้งระบบทั้งกระบวน ชีวิตของเราไม่ได้สิ้นสุดเพียงชาตินี้
แต่ต้องดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ความดีความชั่วที่ทำไว้แล้ว
ไม่มีสูญหาย ต้องตามให้ผลแก่ผู้ทำอย่างแน่นอน
แต่อย่างน้อยคนที่ทำความดี
ก็ย่อมจะได้ผลดีตอบแทนทันทีทันใดในขณะที่ทำ
นั่นก็คือทำให้เกิดความสุขใจขึ้นมาทันที ในทางตรงกันข้าม
คนที่ทำชั่วก็จะได้รับความกระวนกระวายใจ
ความทุกข์ใจในทันทีที่ทำความชั่ว
ผู้มีปัญญาจึงควรละกรรมชั่วทั้งหลายให้ได้อย่างสิ้นเชิง
เพราะจะทำให้ชีวิตมีแต่ความสุขความเจริญตลอดไป


http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?

508
ขอบคุณครับ สอนได้หลายอย่างเลย

510
เย้ๆๆ ในที่สุดก็ได้รางวัล เย้ๆๆ

511
สวยจัง อักขระชัดเจน

512
คุณ Ogofmayas ใช้ภาษาไทยให้ถูกหน่อย

513
ฉัตรเพชร กับ หนุมาน ของ อ. หนู กันภัย ใช่ไหมครับ

514
สุดยอดมากครับ เอาไปเลย 100 คะแนน

515
เป็นอะไรมากไหมครับ จากการโดนรถชนอะ

516
URL เดียวครับนั่นคือ http://www.bp.or.th

517
เอาเวลาเหงานี่ ไปลองนั่งสมาธิ น่าจะดีนะครับ

518
ขอตอบว่า 2 ปีแล้วครับ

519
ลองคิดดูอีกแง่หนึ่งสิครับ คุณได้ยันต์ไม่เหมือนคนอื่นนะ อาจจะเป็นคนพิเศษก็ได้ อิอิ

520
ประมาณว่า เมตตา ค้าขาย แคล้วคลาด อะครับ

521
สวยมากอักขระ ชัดเจนครับ สวยมากๆเลยครับ เต็ม 10 เอาไปเลย 100 ครับ

522
ธรรมะ / ตอบ: จิตคือพุทธะ
« เมื่อ: 29 มิ.ย. 2553, 04:27:21 »
ขอบคุณนะครับ

523
ขอให้มีความสุขมากๆนะครับ เกิดเดือนเดียวกับผมเหรอเนี่ย

525
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: 30 มิ.ย.53
« เมื่อ: 28 มิ.ย. 2553, 07:52:13 »
ถ้าไม่ได้ไป บ้านอยู่ไกล ทำยังไงดี

526
ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับรอผู้รู้ครับ เอาเป็นว่าคอยลุ้นเป็นเพื่อนแล้วกัน

527
มีอีกไหมท่านเอ็ม แบ่งให้ผมสักดอกดิไม่ได้อะไรเป็นของขวัญเลย (555+)

528
เรื่องของในหลวงที่เรา(อาจ)ไม่เคยรู้

--------------------------------------------------------------------------------

เรื่องของในหลวงที่เรา(อาจ)ไม่เคยรู้
1.ทรงพระราชสมภพเวลา 08.45น.
2.นายแพทย์ผู้ทำคลอดชื่อ ดับลิว สจ๊วต วิตมอร์ ทรงมีน้ำหนักแรกประสูติ 6 ปอนด์
3.พระนาม 'ภูมิพล' ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่7
4.พระยศเมื่อแรกประสูติ คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า ภูมิพลอดุลยเดช
5.ทรงมีชื่อเล่น ว่า เล็ก หรือ พระองค์เล็ก
6.ทรงเคยเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนมาแตร์เดอี เพราะช่วงพระชนมายุ 5 พรรษา ทรงเคยเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ 1 ปี มีพระนามในใบลงทะเบียนว่า 'H.H Bhummibol Mahidol'หมายเลขประจำตัว449
7.ทรงเรียกสมเด็จพระราชชนนีหรือสมเด็จย่า อย่างธรรมดาว่า 'แม่'
8.สมัยทรงพระเยาว์ ทรงได้ค่าขนม อาทิตย์ละครั้ง
9.แม้จะได้เงินค่าขนมทุกอาทิตย์ แต่ยังทรงรับจ้างเก็บผักผลไม้ไปขาย เมื่อได้เงินมาก็นำไปซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่ม
10.สมัยพระเยาว์ทรงเลี้ยงสัตว์หลายชนิดทั้งสุนัข กระต่าย ไก่ นกขุนทอง ลิง แม้แต่งูก็เคยเลี้ยง ครั้งหนึ่งงูตายไปก็มีพิธีฝังศพอย่างใหญ่โต
11.สุนัขตัวแรกที่ทรงเลี้ยงสมัยทรงพระเยาว์เป็นสุนัขไทย ทรงตั้งชื่อให้ว่า'บ๊อบบี้'
12.ทรงฉลองพระเนตร(แว่นสายตา)ตั้งแต่พระชันษายังไม่เต็ม 10 ขวบ เพราะครูประจำชั้นสังเกตเห็นว่าเวลาจะทรงจดอะไรจากกระดานดำพระองค์ต้องลุกขึ้นบ่อยๆ
13.สมัยพระเยาว์ทรงซนบ้าง หากสมเด็จย่าจะลงโทษ จะเจรจากันก่อนว่า โทษนี้ควรตีกี่ที ในหลวงจะทรงต่อรองว่า 3 ที มากเกินไป 2 ทีพอแล้ว
14.ระหว่างประทับอยู่ สวิตเซอร์แลนด์นั้นระหว่างพี่น้องจะทรงใช้ภาษาฝรั่งเศส แต่จะใช้ภาษาไทยกับสมเด็จย่าเสมอ
15.ทรงได้รับการอบรมให้รู้จัก 'การให้' โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า 'กระป๋องคนจน' เอาไว้ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก 'เก็บภาษี' หยอดใส่กระปุกนี้ 10% ทุกสิ้นเดือนสมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อถามว่าจะเอาเงินในกระป๋องนี้ไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน
16.ครั้งหนึ่ง ในหลวงกราบทูลสมเด็จย่าว่าอยากได้รถจักรยาน เพราะเพื่อนคนอื่นๆ เขามีจักรยานกัน สมเด็จย่าก็ตอบว่า 'ลูกอยากได้จักรยาน ลูกก็ต้องเก็บค่าขนมไว้สิ หยอดกระป๋องวันละเหรียญ ได้มาก ค่อยเอาไปซื้อจักรยาน'
17.กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง คือ Coconet Midget ทรงซื้อด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ เมื่อพระชนม์เพียง 8 พรรษา
18.ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทรงปั่นจักรยานไปโรงเรียนแทนรถพระที่นั่ง
19. พระอัจฉริยภาพของในหลวง มีพื้นฐานมาจาก 'การเล่น' สมัยทรงพระเยาว์ เพราะหากอยากได้ของเล่นอะไรต้องทรงเก็บสตางค์ซื้อเอง หรือ ประดิษฐ์เอง ทรงเคยหุ้นค่าขนมกับพระเชษฐา ซื้อชิ้นส่วนวิทยุทีละชิ้นๆ แล้วเอามาประกอบเองเป็นวิทยุ แล้วแบ่งกันฟัง
20.สมเด็จย่าทรงสอนให้ในหลวงรู้จักการใช้แผนที่และภูมิประเทศของไทย โดยโปรดเกล้าฯให้โรงเรียนเพาะช่างทำแผนที่ประเทศไทยเป็นรูปตัวต่อ เลื่อยเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆเพื่อให้ทรงเล่นเป็นจิ๊กซอว์
21.ในหลวงทรงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด เช่น เปียโน กีตาร์ แซกโซโฟน แต่รู้หรือไม่ว่าเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่ทรงหัดเล่นคือ หีบเพลง (แอกคอร์เดียน)
22.ทรงสนพระทัยดนตรีอย่างจริงจังราวพระชนม์ 14-15 พรรษา ทรงซื้อแซกโซโฟนมือสองราคา 300 ฟรังก์มาหัดเล่น โดยใช้เงินสะสมส่วนพระองค์ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งสมเด็จย่าออกให้
23.ครูสอนดนตรีให้ในหลวง ชื่อ เวย์เบรชท์ เป็นชาว อัลซาส
24.ทรงพระราชนิพนธ์พลงครั้งแรก เมื่อพระชนมพรรษา 18 พรรษา เพลงพระราชนิพนธ์แรกคือ 'แสงเทียน' จนถึงปัจจุบันพระราชนิพนธ์เพลงไว้ทั้งหมด 48 เพลง
25.ทรงพระราชนิพนธ์เพลงได้ทุกแห่ง บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดนตรีช่วย อย่างครั้งหนึ่งทรงเกิดแรงบันดาลพระทัย ทรงฉวยซองจดหมายตีเส้น 5 เส้นแล้วเขียนโน้ตทำนองเพลงขึ้นเดี๋ยวนั้น กลายเป็นเพลง 'เราสู้'
26. รู้ไหม...? ทรงมีพระอุปนิสัยสนใจการถ่ายภาพเหมือนใคร : เหมือนสมเด็จย่า และ รัชกาลที่5
27. นอกจากทรงโปรดการถ่ายภาพแล้ว ยังสนพระทัยการถ่ายภาพยนตร์ด้วย ทรงเคยนำภาพยนตร์ส่วนพระองค์ออกฉายแล้วนำเงินรายได้มาสร้างอาคารสภากาชาดไทย ที่ รพ.จุฬาฯ โรงพยาบาลภูมิพล รวมทั้งใช้ในโครงการโรคโปลิโอและโรคเรื้อนด้วย
28. ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง 'นายอินทร์' และ 'ติโต' ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์ แล้วให้เสมียนพิมพ์ แต่ 'พระมหาชนก' ทรงพิมพ์ลงในเครื่องคอมพิวเตอร์
29. ทรงเล่นกีฬาได้หลายชนิด แต่กีฬาที่ทรงโปรดเป็นพิเศษได้แก่ แบดมินตัน สกี และ เรือใบ ทรงเคยได้เหรียญทองจากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในกีฬาแหลมทอง(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น'กีฬาซีเกมส์') ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ.2510
30. ครั้งหนึ่ง ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นานก็ทรงแล่นกลับฝั่ง และตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯว่า เสด็จฯกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวส์ ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็น แสดงให้เห็นว่าทรงยึดกติกามากแค่ไหน
31. ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของโลกที่ได้รับสิทธิบัตรผลงานประดิษฐ ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่มลอย หรือ 'กังหันชัยพัฒนา' เมื่อปี2536
33. ทรงเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนาเชื้อเพลิงน้ำมันจากวัสดุการเกษตรเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น แก๊สโซฮอล์,ดีโซฮอลล์ และ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว
34. องค์การสหประชาชาติ ได้ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่ในหลวงเมื่อ วันที่ 26 พฤษภาคม 2549 เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทย โดยมี นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ เดินทางมาถวายรางวัลด้วยตนเอง
35. พระนามเต็มของในหลวง : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรา มหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
36. รักแรกพบ ของในหลวงและหม่อมสิริกิติ์เกิดขึ้นที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯทรงให้สัมภาษณ์ว่า'น่าจะเป็น เกลียดแรกพบ มากกว่ารักแรกพบ เนื่องเพราะรับสั่งว่าจะเสด็จถึงเวลาบ่าย 4 โมง แต่จริงๆแล้วเสด็จมาถึงหนึ่งทุ่ม ช้ากว่าเวลานัดหมายตั้งสามชั่วโมง
37. ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492 และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ที่วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 โดยทรงจดทะเบียนสมรสเหมือนคนทั่วไป ข้อความในสมุดทะเบียนก็เหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง ปิดอากรแสตมป์ 10 สตางค์ เสียค่าธรรมเนียม 10 บาท
37. หลังอภิเษกสมรส ทรง'ฮันนีมูน'ที่หัวหิน
38. ทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2499 และประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นเวลา 15 วัน
39. ระหว่างทรงผนวช พระอุปัชฌาย์และพระพี่เลี้ยง คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
40. ของใช้ส่วนพระองค์นั้นไม่จำเป็นต้องแพงหรือต้องแบรนด์เนม ดังนั้นการถวายของให้ในหลวงจึงไม่จำเป็นจะต้องเป็นของแพง อะไรที่มาจากน้ำใจจะทรงใช้ทั้งนั้น
41. เครื่องประดับ : ในหลวงไม่ทรงโปรดสวมเครื่องประดับ เช่น แหวน สร้อยคอ ของมีค่าต่างๆ ยกเว้น นาฬิกา
42. พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว : ส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพื่อมอบแก่ทหาร อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้สร้างวัตถุมงคล เพื่อมอบแก่ราษฎรที่ทำคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ
43. หลอดยาสีพระทนต์ ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด ยังปรากฏรอยบุ๋มลึกลงไปจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ช่วยรีด และ กดเป็นรอยบุ๋ม
44. วันที่ในหลวงเสียใจที่สุด คือวันที่สมเด็จย่าเสด็จสวรรคต มีหนังสือเล่าไว้ว่า วันนั้นในหลวงไปเฝ้า แม่ถึงตีสี่ตีห้า พอแม่หลับจึงเสด็จฯกลับ เมื่อถึงวัง ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งว่า สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์แล้ว ในหลวงรีบกลับไปที่โรงพยาบาล เห็นแม่นอนหลับตาอยุ่บนเตียง ในหลวงคุกเข่าเข้าไปกราบที่อกแม่ ซบหน้านิ่งอยู่นาน ค่อยๆเงยพระพักตร์ขึ้นมาน้ำพระเนตรไหลนอง
45. โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จนถึงปัจจุบนมีจำนวนกว่า 3,000 โครงการ
46. ทุกครั้งที่เสด็จฯไปยังสถานต่างๆจะทรงมีสิ่งของประจำพระองค์อยู่ 3 สิ่ง คือ แผนที่ซึ่งทรงทำขึ้นเอง(ตัดต่อเอง ปะกาวเอง) กล้องถ่ายรูป และดินสอที่มียางลบ
47.ในหลวงทรงงานด้วยพระองค์เองทุกอย่างแม้กระทั่งการโรเนียวกระดาษที่จะนำมาให้ข้าราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน
48. เก็บร่ม : ครั้งหนึ่งเมื่อในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงเยี่ยมข้าราชการและราษฎรทั้งกลางสายฝน
49. ทรงศึกษาลักษณะอากาศทุกวัน โดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯ ร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่หามาเอง เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจก่อความเสียหายแก่ประชาชน
50. โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866.73บาท ซึ่งได้จากการขายหนังสือดนตรีที่พระเจนดุริยางค์ จากการขายนมวัว ก็ค่อยๆเติบโตเป็นโครงการพัฒนามาจนเป็นอย่างที่เราเห้นกันทุกวันนี้
51. เวลามีพระราชอาคันตุกะเสด็จมาเยี่ยมชมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จฯลงมาอธิบายด้วยพระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด
52. ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามว่า เคยทรงเหนื่อยทรงท้อบ้างหรือไม่ ในหลวงตอบว่า 'ความจริงมันน่าท้อถอยอยู่หรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ
53. ทรงนึกถึงแต่ประชาชน แม้กระทั่งวันที่พระองค์ทรงกำลังจะเข้าห้องผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง (20 กรกฎาคม 2549) ยังทรงรับสั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ไว้ เพราะกำลังมีพายุเข้าประเทศ พระองค์จะได้มอนิเตอร์ เผื่อน้ำท่วมจะได้ช่วยเหลือทัน
54. อาหารทรงโปรด : โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา
55. ผักที่ไม่โปรด : ผักชี ต้นหอม และตังฉ่าย
56. ทรงเสวย ข้าวกล้อง เป็นพระกระยาหารหลัก
57. ไม่เสวยปลานิล เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้สระว่ายน้ำในพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง แล้วแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง
58. เครื่องดื่มทรงโปรด : โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งหลายครั้ง
59. ทีวีช่องโปรด ทรงโปรดข่าวช่องฝรั่งเศส ของยูบีซี เพื่อทรงรับฟังข่าวสารจากทั่วโลก
60. ทรงฟัง จส.100 และเคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม.ไปที ่ จส.100ด้วย โดยใช้พระนามแฝง
61. หนังสือที่ในหลวงอ่าน : ตอนเช้าตื่นบรรทม ในหลวงจะเปิดดูหนังสือพิมพ์รายวันทั้งไทยและเทศ ทุกฉบับ และก่อนเข้านอนจะทรงอ่านนิตยสารไทม์ส นิวสวีก เอเชียวีก ฯลฯ ที่มีข่าวทั่วทุกมุมโลก
62. ร้านตัดเสื้อของในหลวง คือ ร้านยูไลย เจ้าของชื่อ ยูไลย ลาภประเสริฐ ถวายงานตัดเสื้อในหลวงมาตั้งแต่ปี 2501 เมื่อนายยูไลยเสียชีวิต ก็มี ลูกชาย นายสมภพ ลาภประเสริฐ มาถวายงานต่อ จนถึงตอนนี้ก็เกือบ 50 ปีแล้ว
63. ห้องทรงงานของในหลวง อยู่ใกล้ห้องบรรทม บนชั้น 8 ของตำหนักจิตรลดาฯเป็นห้องเล็กๆ ขนาด 3x4 เมตร ภายในห้องมีวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ โทรสาร คอมพิวเตอร์ เครื่องบันทึกเสียง เครื่องพยากรณ์ แผนที่ ฯลฯ
64. สุนัขทรงเลี้ยง นอกจากคุณทองแดง สุวรรณชาด สุนัขประจำรัชกาล ที่ปัจจุบันอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล แล้ว ยังมีสุนัขทรงเลี้ยงอีก 33 ตัว
65. ในหลวง เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า 'นายหลวง' ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง
66. ทรงเชี่ยวชาญถึง 6 ภาษา คือ ไทย ละติน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน และ สเปน
67. อาชีพของในหลวง เมื่อผู้แทนพระองค์ไปติดต่อเอกสารสำคัญใดๆทรงโปรดให้กรอกในช่อง อาชีพ ของพระองค์ว่า 'ทำราชการ'
68. ในหลวงทรงพระเนตรเทียมข้างขวา เป็นผลจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่เมืองโลซานน์ สวิตเซอร์แลนด์ รถพระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกเข้าพระเนตรข้างขวา ตอนนั้นมีอายุเพียง 20 พรรษา และทรงใช้พระเนตรข้างซ้ายข้างเดียว ในการทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนชาวไทยมาตลอดกว่า 60 ปี
69. ครั้งหนึ่งหนังสือพิมพ์อเมริกันลงข่าวลือเกี่ยวกับในหลวงว่า แซกโซโฟนที่ทรงอยู่เป็นประจำนั้นเป็นแซกโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ ซึ่งได้มีพระราชดำรัสว่า'อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก'
70. ปีหนึ่งๆ ในหลวงทรงเบิกดินสอแค่ 12 แท่ง ใช้เดือนละแท่ง จนกระทั่งกุด
71. หัวใจทรงเต้นไม่ปรกติ ในหลวงเคยประชวรหนักจนหัวใจเต้นไม่ปกติ เนื่องจากติดเชื้อไมโครพลาสม่า ขณะขึ้นเยี่ยมราษฎรที่อำเภอสะเมิงติดต่อกันหลายปี
72. รู้หรือไม่ว่า ในหลวงเป็นคนประดิษฐ์รูปแบบฟอนต์ภาษาในคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่าง ฟอนต์จิตรลดา ฟอนต์ภูพิงค์
73. ในนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จัดขึ้นที่อิมแพ็ค มีประชาชนเข้าชมรวม 6ล้านคน
74. ในหลวงเริ่มพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2493 จน 29 ปีต่อมาจึงมีผู้คำนวณว่าเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน
75. ดอกไม้ประจำพระองค์ คือ ดอกดาวเรือง
76. สีประจำพระองค์คือ สีเหลือง
77. นั่งรถหารสอง : ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลือง จึงให้นั่งรวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียด

530
สุดยอดมากครับลุง รักษ์พระมากเลยนะเนี่ย

531
ของขึ้นครับ พยายามทำจืตให้แข็งแกร่ง โดยการนั่งสมาธิ

532
กฎแห่งกรรม / กรรมของการฆ่าตัวตาย..
« เมื่อ: 25 มิ.ย. 2553, 07:49:35 »
กรรมของการฆ่าตัวตาย..

--------------------------------------------------------------------------------

ความเกิดน่ากลัวนัก น่ากลัวกว่าความตายแน่นอน แต่ส่วนมากพากันกลัวความตาย โดยไม่ได้นึกถึงความเกิดเลย พากันไปเกิดลำบากยากเย็นก็เพราะเหตุนี้ เมื่อไม่นึกถึงความเกิดก็ย่อมไม่เตรียมสร้างภพภูมิใหม่ให้งดงามสำหรับความเกิดใหม่ ผู้ใจกล้าบางคนทำลายชีวิตได้ทั้งที่เป็นการกระทำที่น่ากลัวอย่างยิ่ง

คนฆ่าตัวตายนั้นท่านว่าไว้ว่าจะต้องไปฆ่าตัวตายอีกห้าร้อยชาติ
นั่นก็คือจะต้องไปมีสภาพที่ทุกข์ทรมานจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ถึง ๕๐๐ ชาติ
ถ้าชาตินี้จะเป็นการฆ่าตัวตายครั้งแรก

ถ้าเป็นการฆ่าตัวตายชาติที่ ๔๙๙ แล้วก็คงเหลือต้องลำบากยากเข็ญอีกเพียงชาติหน้าชาติเดียว อย่างไรก็ตามอย่าคิดว่าการฆ่าตัวตายชาตินี้เป็นชาติที่ ๔๙๙ จะดีกว่า

คิดว่าเป็นชาติแรกของการฆ่าตัวตายเถิด ขืนฆ่าตัวตายชาตินี้เพื่อหนีอะไรก็ตามที่รู้สึกว่ารับไม่ได้ ตายเสียดีกว่า จะสบายกว่า ขืนคิดผิด ก็จะเสี่ยงกับการต้องไปรับผลของบาปกรรม ต้องทุกข์ร้อนแสนสาหัสจนทนไม่ได้ ต้องฆ่าตัวตายอีกต่อไปและต่อไป จนครบ ๕๐๐ ชาติ

น่ากลัวที่สุด จะฆ่าตัวตายชาตินี้เพื่อหนีความทุกข์ ดูก็น่าทำเพราะดูเหมือนความตายจะพาให้หนีทุกข์ได้ แต่อย่าลืมความเกิดที่จะตามความตายมาทันที ดังที่กล่าวแล้ว จะเกิดพบผลแห่งกรรมของการฆ่าตัวตาย ต้องทุกข์ทรมานจนต้องคิดฆ่าตัวตายอีกจนได้

ตรงนี้ที่ว่าควรกลัวความเกิดมากกว่าความตาย ตายไม่ยาก วินาทีเดียวก็ตายได้ แต่ไม่ได้ตายอยู่นาน วินาทีเดียวก็ไปเกิดใหม่แล้ว ความตายจะมีประโยชน์อะไร มีแต่จะนำทุกข์โทษตามมาเท่านั้นแม้ไม่เตรียมการเกิดหลังการตายใจภพภูมินี้ให้ดี

****************************************
ที่มา
วิสาขบูชา ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๓
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=16286
__________________
คิดเท่าไรก็ไม่รู้ เมื่อหยุดคิดจึงรู้...

533
ความศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์

--------------------------------------------------------------------------------

‘ความศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์’

ข้อความที่ผู้เขียนจั่วหัวเอาไว้ อาจทำให้ท่านผู้อ่านหลายท่านขมวดคิ้ว

“มีด้วยหรือความศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์”
คำตอบก็คือ ‘มีจริง’ ความศักดิ์สิทธิ์นั้นคือ ‘กรรม’ ที่เกิดจากการกระทำของตัวเราเองนั่นแหละ ดังจะได้เห็นจากคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เคยได้รู้ได้ฟังมา ท่านจะเน้นลูกศิษย์ลูกหาให้รู้จักพึ่งพาตัวเองด้วยการประพฤติปฏิบัติตนให้อยู่ในกรอบแห่งคุณงามความดี ไม่ล่วงละเมิดศีลอันถือเป็นความปกติของมนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจประเสริฐกว่าสัตว์โลกอื่น ๆ

ในอดีตจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะมีเหล่าคณาจารย์ผู้เรืองเวทวิทยาคม ได้สร้างวัตถุมงคลอันวิเศษเอาไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ใช้ปกป้องและกันภัยจำนวนไม่น้อย หากผู้ทรงภูมิเหล่านั้นก็มักจะย้ำเตือนอยู่เสมอ

‘จงหมั่นสร้างบุญ รักษาศีล รักษาใจ อยู่ในไตรสรณคมน์อย่างมั่นคงอย่างไม่ประมาท’

ครั้งหนึ่งในอดีต ผู้เขียนเคยกราบนมัสการเรียนถามครูบาอาจารย์สายพระกรรมฐานทางภาคอีสานรูปหนึ่งด้วยความใคร่รู้ เพราะครั้งนั้นยังอยู่ในวัยรุ่นวัยเรียนที่ปรารถนาหาวัตถุมงคลมาป้องกันตัวตามประสาคนเกเรอยู่บ้าง
“พระของหลวงปู่ป้องกันภัยได้จริงหรือครับ”
คำถามตามประสาซื่อ ซึ่งท่านตอบแบบยิ้ม ๆ
“ได้อยู่”

จำว่ารับแจกวัตถุมงคลจากมือหลวงปู่ด้วยความยินดีปรีดา และคิดในใจว่า จากนี้ไป ตัวเองจะหนังเหนียวเที่ยวไปไหน ๆ ด้วยความปลอดภัย แต่หลวงปู่ก็กล่าวแบบยิ้มเหมือนรู้ใจ

“แต่ว่าพระของหลวงปู่ป้องกันภัยจากผลกรรมไม่ได้เด้อ!”

วันวานเหมือนเข้าใจ แต่เพราะวัยน้อยนิดจึงคาค้างในจิตอยู่บ้าง จะเอ่ยถามก็เกรงใจ ก็เลยนิ่งเงียบ จนมาวันหนึ่งได้อ่านประวัติของเกจิอาจารย์ในหนังสือเกี่ยวกับพระเครื่องเป็นเรื่องราวของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์

ว่ากันว่า วัตถุมงคลของท่านนั้นป้องกันภัยจากอาวุธชะงัดนัก จนเป็นที่เลื่องลือไปทุกสารทิศ

วันหนึ่งเกิดมีคนถูกยิงตายไม่ไกลจากวัดหนองโพนัก คนตายมีเหรียญของหลวงพ่อเดิมห้อยคออยู่ ผู้คนจึงเรียนถามท่าน

“ทำไมห้อยเหรียญหลวงพ่อจึงถูกยิงตาย”

ว่ากันว่า หลวงพ่อเดิมท่านเดินมาดูศพด้วยตัวท่านเอง พอมาถึงท่านยืนดูและพิจารณาอยู่ชั่วครู่ขณะก่อนสั่งให้ชาวบ้านยกศพชายดังกล่าวขยับออกห่างจากจุดที่เกิดเหตุเพียงแค่สองวา พร้อมกับบอกให้ชาวบ้านชักปืนออกมายิงศพอีกครั้ง ผลปรากฏว่ากระสุนด้านทุกนัด

“อะไรก็กั้นกรรมไม่ได้ กรรมของมันต้องตายตรงนั้น ตรงนั้นคือที่ตายของมัน” คือประโยคยืนยันของหลวงพ่อเดิมวัดหนองโพ ผู้เรืองเวท
นั่นคือคำกล่าวที่ว่า ‘กรรม’ มีอำนาจเหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง!


ถึงตรงนี้ผู้เขียนไม่แปลกใจอะไรเลย จะให้แปลกอย่างไรล่ะครับ ก็ในเมื่ออาจารย์ผู้สร้างเครื่องรางและวัตถุมงคลเหล่านั้นท่านยังมิอาจพ้นภัยจากมรณกรรมได้ ผู้นำมาใช้จะรอดตายได้อย่างไร

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ครูบาอาจารย์บางท่านก็กล่าวไว้ว่า วัตถุมงคลบางอย่างบางชนิดที่ผู้ทรงฤทธิ์ทรงอภิญญาท่านกำหนดจิตไว้ สามารถป้องกันภัยร้ายให้ได้ แต่มักจะเกิดกับผู้มีศีลธรรม หรือคนที่มีเคราะห์กรรมเบาบาง ในทำนองผ่อนหนักให้เป็นเบาเสียเป็นส่วนมาก

เกจิอาจารย์อีกองค์หนึ่งที่ผู้เขียนรู้จัก คือหลวงปู่ดู่วัดสะแก จ.อยุธยา ซึ่งในปัจจุบันท่านได้มรณภาพไปแล้ว ท่านเป็นครูบาอาจารย์อีกองค์หนึ่งที่อนุญาตให้ลูกศิษย์ช่วยจัดสร้างวัตถุมงคลและท่านอธิษฐานจิตให้จนโด่งดังไปทั่วในหมู่ผู้นิยมเครื่องรางของขลัง

แม้ท่านจะรับรองในความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่อง หรือวัตถุมงคลที่ท่านยกไว้เหนือกว่านั้นคือ ‘การปฏิบัติ’ ดังจะได้เห็นจากคำกล่าวของท่านที่ว่า

“เอาของจริงดีกว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ นี่แหละของแท้”

ประโยคของหลวงปู่คือคำยืนยันชัดเจนว่าการเข้าถึงไตรสรณคมน์คือการปลอดภัยในชีวิตและจิตวิญญาณ แม้หมดลมหายใจคือต้องตายก็ตายในจิตที่มีพระรัตนตรัยเป็นอารมณ์ นั่นหมายถึงจะมีสุคติภูมิเป็นที่หมายในภายหน้า


ฉะนั้นแม้หลายต่อหลายคนจะแขวนพระ ห้อยเครื่องรางของขลังเต็มตัวที่ผู้ทรงคุณวิเศษอธิษฐานจิตไว้ให้ ก็ใช่จะอยู่รอดปลอดภัย อยู่ดีมีสุขดังใจหมายได้ตลอดเวลา เพราะอย่างไรทุกคนก็ต้องมีวิบากกรรมของตัวเอง และมิอาจหนีพ้นวิบากกรรมที่ตนได้สร้างไว้ในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ ดังที่กล่าวไว้ว่า

‘ความศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงคือ กรรม!’

และท้ายสุดคือ พระสติ พระปัญญา ที่ตนได้ฝึกฝนศึกษามาแล้วในสมาธิ อันเป็นปัญญาภายในเท่านั้นจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติ ‘รู้เท่าทัน’ พร้อมเผชิญปัญหาทั้งปวงในชีวิตอย่างไม่ทุกข์ใจ

นั่นคือแก่นแห่งพุทธศาสนาที่ใช้ขจัด ใช้ป้องกันภัยให้กับชีวิตอย่างแท้จริง!

อ้างอิงจาก http://board.palungjit.com/f8/ความศักดิ์สิทธิ์ที่เหนือสิ่งศักดิ์สิทธิ์-74164.html

534
ผู้ประทุษร้ายเขาข้างเดียว เขาไม่ทำตอบ ได้รับโทษ ๑๐

--------------------------------------------------------------------------------

ผู้ประทุษร้ายเขาข้างเดียว เขาไม่ทำตอบ ได้รับโทษ ๑๐

๑. ประสบทุกขเวทนากล้าแข็ง
๒. ประสบหายนะความเสื่อม
๓. การแตกทำลายแห่งสรีระ (ตาย)
๔. อาพาธหนัก
๕. จิตฟุ้งซ่าน
๖. อุปสรรค เหตุขัดข้องจากผู้ใหญ่
๗. ถูกกล่าวหาร้ายแรง
๘. เสื่อมญาติ
๙. เสื่อมทรัพย์
๑๐. ไฟ หรือไฟป่าอาจไหม้บ้าน ผลที่ได้รับอันเป็นส่วนอนาคตคือ ตายแล้วย่อมเกิดในนรก


คัดลอกจากหนังสืออนุสรณ์งานบำเพ็ญกุศลศพ ครบ ๑ ปี
พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงพ่อสาย อคฺควํโส)
อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ต. ท่าขนุน อ. ทองผาภูมิ จ. กาญจนบุรี

ที่มา : www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?p=30312#post30312

535
สุดยอดมากถ้ามีอีกเอามาอีกนะ ขำดี เอาไปเลย +1

536
วิธีใช้หนี้พ่อแม่(เรื่องจริงที่ไม่คาดคิด)

--------------------------------------------------------------------------------

วิธีใช้หนี้พ่อแม่
บังเอิญได้อ่านบทความดี ๆ มาขอนำมาฝากครับ เพราะว่าเป็นการเสริมมงคลในชีวิตโดยไม่ต้องแสวงหามงคลหรือทำพิธี แต่สามารถทำได้ด้วยตัวเราเองกับพ่อแม่ของเราที่เลี้ยงเรามา


วิธีใช้หนี้พ่อแม่ โดย พระราชสุทธิญาณมงคล


วิธีใช้หนี้พ่อแม่ไม่ยากเลย จงสร้างความดีให้กับตัวเอง และนี่ก็เป็นการใช้หนี้ตัวเอง ตัวเราพ่อให้หัวใจ แม่ให้น้ำเลือดน้ำเหลืองอยู่ในตัวแล้ว จะไปแสวงหาพ่อที่ไหน จะไปแสวงหาแม่ที่ไหน บางคนรังเกียจแม่ ว่าแก่เฒ่าไม่สวยไม่งามพอตัวเองแก่ก็เลยถูกลูกหลานรังเกียจจึงเป็นกงกรรมกงเกวียนยืดเยื้อกันต่อไปอีก


ใครที่คุณแม่ล่วงลับไปแล้ว ก็ให้หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน และถ้าจะ ทำบุญด้วยการเจริญกรรมฐานแล้วอุทิศส่วนกุศลไปการทำเช่นนี้ถือว่าได้บุญมากที่สุดทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับผู้ใดก็ตาม ที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุขส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่าน ก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษ ฯ ขอฝากท่านไว้ไปสอนลูกหลาน อย่าคิดไม่ดีกับพ่อแม่เลย ไม่ต้องถึงกับฆ่าหรอก แค่คิดว่าพ่อแม่เราไม่ดี จะทำมาหากินไม่ขึ้น เจ๊ง ท่านต้องแก้ปัญหาก่อนคือ ถอนคำพูด ไปขอสมาลาโทษเสีย แล้วมาเจริญกรรมฐานรับรองสำเร็จแน่มรรคผลเกิดแน่ฯ



บางคนลืมพ่อลืมแม่ อย่าลืมนะการเถียงพ่อเถียงแม่ไม่ดี ขอบิณฑบาต สอนลูกหลานอย่าเถียงพ่อเถียงแม่ อย่าคิดไม่ดีกับพ่อกับแม่ ไม่อย่างนั้นจะก้าวหน้าได้อย่างไร ก้าวถอยหลังดำน้ำไม่โผล่ ฯ บ้านหนึ่งพ่อมีเมีย ๔ คน เมียหลวงบอกลูกว่าพ่อเจ้าไม่ดี ลูกก็ไปด่าพ่อว่าพ่อ แล้วมาบวชวัดนี้ บวชแล้วเดี๋ยวเป็นโน่นเป็นนี่ จนจะกลายเป็นโรคประสาท นี่แหละบวชก็ไม่ได้ผล หลวงพ่อก็ให้ไปถอนคำพูด และขอสมาลาโทษกับพ่อเขาก่อน แล้วกลับมานั่งกรรมฐานจึงได้ผล (กรณีนี้ หลวงพ่อจะเตือนผู้เป็นลูกบ่อยๆไม่ให้ว่าพ่อ แต่ให้เป็นเรื่องของแม่ที่จะแก้ปัญหานี้ ซึ่งหลวงพ่อสอนไว้แล้ว: ผู้รวบรวม) ฯ เมื่อเร็วๆนี้ฆ่าพ่อตาย แม่สงสารพามาเจริญกรรมฐาน พอเข้าวัดมันร้อนไปหมด ปวดหัวเข้าไม่ได้นี่เวรกรรมตามสนอง ปิตุฆาต มาตุฆาต ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ทำกรรมฐานไม่ได้แน่นอน ต้องหันรถกลับ นี่เรื่องจริงในวัดนี้ ฯ


คนที่มีบุญวาสนา จะกตัญญูกับพ่อแม่ คนเถียงพ่อเถียงแม่เอาดีไม่ได้

537
ระวังการขาดสติจะก่ออธิกรรม

--------------------------------------------------------------------------------

เรื่องของกรรมะหรือการกระทำที่กล่าวโดยรวมว่า ‘กรรม’ นั้น เป็นการครอบคลุมความหมายในวงกว้างทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว

เรื่องของกรรม ผู้เขียนเคยกล่าวถึงมาแล้วครั้งหนึ่งในหัวข้อกรรมสี่หมวดมาแล้ว ถ้าท่านใดยังไม่เคยอ่านก็สามารถค้นอ่านได้ในรวมเล่มชุดสองของ ‘ธรรมะ 5 นาที’ ชุด ‘หัวใจของชาวพุทธคือพุทโธ’

มีคำกล่าวอยู่ประโยคหนึ่งที่ทำให้ผู้เขียนสะกิดใจจนนึกถึงห้อข้อในวันนี้ขึ้นมาก็คือ...

‘ตราบใดที่ยังไม่สิ้นพระศาสนา ตราบนั้นพระอริยเจ้า และพระอรหันต์เจ้ายังอุบัติขึ้นตลอดไป...’

ตรงนี้แหละครับคือประเด็น ประเด็นที่ผู้เขียนนึกห่วงใยขึ้นมาในใจ เพราะไม่ว่าบุคคลใดก็ตามถ้าอุดมด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา บุคคลนั้นจักเปรียบเหมือนกระแสเย็นที่แผ่ออกสู่ส่ำสัตว์ทั้งปวง แลส่ำสัตว์นั้นจะรับทราบ มุ่งหน้าเข้าแสวงหาเพื่อได้กราบกรานขอธรรมปัญญาบารมีมาเป็นที่พึ่ง...

จึงไม่แปลกที่สาวกบุตรแห่งตถาคตผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งหลาย จึงมีผู้ศรัทธาในปฏิปทาและจริยาวัตรของท่านมุ่งหน้าไปขอพึ่งบารมีธรรม ดังได้กล่าวมาข้างต้น

สายธารของมนุษย์แม้มุ่งหน้าไปพบพระอริยเจ้าองค์เดียวกัน แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าความต้องการในจิตของแต่ละบุคคลแผกกันออกไป...

มีบ้างไปเพื่อเจตนาทำบุญกับท่าน ในฐานะท่านเป็นเนื้อนาบุญ
มีบ้างไปเพื่อขอในสิ่งที่ตนอยากได้ อยากมี อยากเป็นในโชคลาภทางโลก...

ด้วยการตัดเคราะห์สะเดาะโศก เพิ่มพูนยศเกียรติให้แก่ตน
หรือมีบางคนไปเพื่อขอธรรมะคำสั่งสอนมาปฏิบัติตนเพื่อความสุขสงบในชีวิต...

หากในสายธารของคนเหล่านั้นจะมีสักกี่คนที่เคยเตือนตนบ้างว่า การเข้าใกล้พระอริยเจ้าผู้ทรงภูมิจิตสูงส่งนั้น ควรระวังสิ่งใดบ้าง...

ท่านผู้ทราบแล้วก็อย่าหาว่าผู้เขียนเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนเลยครับ เพราะบางครั้งสิ่งที่มองดูคล้ายเอามะพร้าวห้าวไปขายสวน อาจมีประโยชน์สำหรับใครบางคนก็ได้ แม้จะเป็นหนึ่งในจำนวนล้าน...

ดังหลวงพ่อผู้มีพระคุณต่อภูเตศวรเคยกล่าวว่า...‘อย่าคิดเห็นว่าสิ่งอันเป็นประโยชน์น้อยนิด เป็นสิ่งที่ควรมองข้าม ประโยชน์น้อยนิดสำหรับบางคน แต่มีค่ามหาศาลสำหรับอีกบางคน’

ผู้เขียนจึงไม่อยากละเลยต่อสิ่งนี้ โดยเฉพาะความหมิ่นเหม่ของท่านผู้อ่านทั้งหลายที่จะทำให้ตน...

‘ก่ออธิกรรม!’ โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์...

‘อธิ’ แปลว่า มากกว่า หรือหนัก

‘กรรม’ มาจากการกระทำรวมความก็คือ กรรมหนักนั่นเอง!

ถึงตรงนี้บางท่านอาจจะมีข้อสงสัยว่า การไปพบหรือสนิทสนมกับพระอริยะทั้งหลาย จะเป็นการก่อกรรมหนักได้อย่างไร?

หากจะให้ตอบตรงนี้คงต้องอธิบายคุณลักษณะของมนุษย์ทั่วไปให้กระจ่างเสียก่อน โดยปกติแล้วสิ่งใดที่คนเรารู้จักมักคุ้นไปนาน ๆ ก็จะเกิดความรู้สึกประการหนึ่งขึ้น ประการนั้นคือ ‘ความเคยชิน’ ความเคยชินทำให้ขาดความระมัดระวังหรือเผลอสติง่าย...

ตรงนี้แหละครับคือประเด็นสำคัญ !

เหมือนกับเรารู้จักใครสักคนในสังคม ใหม่ ๆ เราจะระวังตัวในการพูดคุยและการคบหา แต่พอนาน ๆ ไปเราก็จะเริ่มคบหาด้วยความสบายใจขึ้น การระมัดระวังจะน้อยลงตามเงา...จนอาจมีการกระทบกระทั่งกันด้วยกาย วาจา ใจ ก็ได้ในวันหนึ่งข้างหน้า

ด้วยประการนี้สำหรับปุถุชนธรรมดา ๆ อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ก็มิใช่เป็นเรื่องแปลก เพราะระดับจิตหาได้ผิดแผกแตกต่างจากกันเท่าใดนัก

แต่กับพระอริยเจ้า ท่านเป็นผู้ทรงภูมิจิตสูง การพลั้งเผลอจนกลายเป็นการจาบจ้วงดูหมิ่นท่านเข้า ต่างกับการพลั้งเผลอจาบจ้วงดูหมิ่นคนธรรมดาสามัญหลายเท่านัก เพราะการกระทำเช่นนั้นต่อพระอริยบุคคลเป็นการก่อ ‘อธิกรรม’ทันที...

ขอยกตัวอย่างให้ฟังจะจะสักเรื่อง...ในสมัยที่ พระพุทธเจ้าของเรา ยังเสวยชาติเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ในศาสนาของพระกัสสปพุทธเจ้านั้น ท่านทรงแลเห็นพระกัสสปพุทธเจ้าทรงปฏิบัติธรรมและสั่งสอนผู้คนใต้โคนต้นไม้ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันได้พลั้งเผลอดูหมิ่นขึ้นในใจครั้งนั้น...

‘ถ้าการนั่งอยู่ใต้ต้นไม้แค่นั้นสามารถบรรลุธรรมชั้นสูงได้ ฉันก็ทำได้เหมือนกัน...’ นั่นคือคำกล่าวในความคิดที่ พระองค์ทรงรับสั่งให้สาวกทั้งหลายได้รับฟัง ภายหลังที่ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว

เหตุแห่งการหมิ่นแคลนพระกัสสปพระพุทธเจ้าในกาลนั้น มีผลเป็นอธิกรรมสืบเนื่องมาจนกาลที่พระองค์กำลังแสวงหาความหลุดพ้นบ้าง

ซึ่ง ‘อธิกรรม’ ดังกล่าวมีผลให้พระองค์ต้องเสวยเวทนากับการทรมานกายอยู่ในป่าใต้โคนต้นไม้นานหลายปีกว่าจะบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าได้...

ตัวอย่างตรงนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึง ‘อธิกรรม’ อันเกิดจาก ‘มโน’ คือความคิดในใจของพระสมณโคดม พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันต่อพระกัสสปพุทธเจ้าในอดีตกาล แม้ฐานะของพระองค์จะเป็นถึงพระโพธิสัตว์เจ้าผู้มีบุญญาธิการเตรียมเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ยังไม่สามารถพ้นกรรมตรงนี้ได้...

คำถามจึงมาตกที่ว่า... ‘ถ้าเป็นคนอย่างพวกเราล่ะหากพลาดพลั้งขึ้นมาจะสาหันแค่ไหน?’

สิ่งที่อยากเตือนท่านทั้งหลายอีกสักนิดก็คือเรื่อง ปฏิปทาของครูบาอาจารย์บางท่านบางรูปอาจจะผิดแผกแตกต่างกันออกไปตามลักษณะวาสนาบารมี ฉะนั้นพึงระมัดระวังกาย วาจา ใจของเราให้จงหนักเหมือนอย่างที่อาเตียเซียนสู เล่าให้คนใกล้ชิดฟังว่า...

ก่อนที่ท่านจะนับถือหลวงปู่เชยเป็นอาจารย์นั้น ท่านเคยคิดว่าหลวงปู่เชยเป็นบ้า เพราะหลวงปู่ท่านชอบนอนในโลงศพตามโกดังเก็บศพ แต่งตัวด้วยจีวรสกปรกมอมแมม จนผู้คนแถบนั้นหาว่าท่านเป็น ‘พระบ้า’ แต่ภายหลังอาเตียเซียนสู จึงพบว่าท่านเป็นพระอริยสงฆ์รูปหนึ่ง แสร้งทำเป็นวิกลจริตเพื่อไม่ต้องการให้ใครมารบกวนเวลาปฏิบัติธรรมของท่านเท่านั้น !

นั่นคือเหตุผลที่อาเตีย มักจะเตือนคนใกล้ชิดให้ระวังเสมอมา...

ครับ มาถึงตรงนี้ สำหรับเครื่องมือป้องกันการเผลอตัวจนเกิดมโนกรรม กายกรรม และวจีกรรมกับพระอริยเจ้าทั้งหลาย อันเป็นทางก้าวสู่อธิกรรมนั้นมีเพียงประการเดียวก็คือ...

ใช้ ‘ สติ’ ควบคุม!

ควบคุม ความคิด การกระทำอันเป็นการจาบจ้วงหมิ่นแคลนหรือกล้ำเกินท่านผู้เป็นอริยะตลอดเวลา....

ดังคำกล่าวของผู้รู้ท่านหนึ่งมีต่อภูเตศวรมานานแล้วว่า...

‘อยู่ใกล้พระอริยเจ้ามากเท่าไหร่ มีโอกาสขึ้นสวรรค์ กับตกนรกได้เท่า ๆ กันระหว่างมีสติกับขาดสติ!’

จริงหรือเท็จ ท่านทั้งหลายพึงแยกแยะด้วยเหตุผลเอาเถอะครับ เพราะศาสนาพุทธสอนให้เชื่อเหตุและผลมากกว่าคำว่า...

ความศรัทธาประการเดียว!


www.dhamma5minutes.com

538
คนพูดไม่จริงย่อมเข้าถึงนรก (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)

--------------------------------------------------------------------------------

 

คนพูดไม่จริงย่อมเข้าถึงนรก

ที่จริงโทษที่ได้รับในนรกน่าจะเป็นโทษที่เกิดจากการทำบาปที่หนักหนารุนแรง ไม่ควรเป็นโทษที่เกิดจากเพียงการพูดไม่จริง

น่าจะมีหลายคนคิดเช่นนี้ แต่ถ้าคิดให้ดี คิดให้ลึก คิดให้รอบ ก็จะได้ความเข้าใจที่ชัดเจน ว่าการพูดไม่จริงมีโทษหนักหนาเพียงไรก็ได้ ถึงตกนรกก็ได้ พระพุทธศาสนสุภาษิตที่กล่าวว่า “คนพูดไม่จริงย่อมเข้าถึงนรก” เป็นไปได้แน่นอน อยู่ที่ว่าความไม่จริงที่เกิดจากผู้พูดจะหนักหนาอันควรแก่การเกิดผลเป็นโทษ ถึงนรกหรือไม่ ผลย่อมเป็นไปตามเหตุทุกกรณี ไม่มีที่เหตุดีจะให้ผลไม่ดี และไม่มีเหตุไม่ดีที่จะให้ผลดี การพูดก็เช่นกัน

การพูดเป็นเหตุดีก็ให้ผลดี
ผู้พูดจริงย่อมเข้าถึงสวรรค์ได้
ผู้พูดไม่จริงย่อมเข้าถึงนรกได้
ตามพระพุทธศาสนสุภาษิตที่อัญเชิญมานั่นเอง

ท่านผู้พูดธัมมะอย่างถูกต้อง ก็น่าจะเป็นที่เข้าใจกัน เชื่อมั่นกันว่า ท่านย่อมเป็นผู้เข้าถึงสวรรค์ และพาผู้ได้ยินได้ฟังด้วยความสนใจ ให้เข้าถึงสวรรค์ได้ หรือแม้เข้าถึงเมืองพระนิพพานก็ย่อมได้ สำคัญ ที่ธัมมะที่ท่านนำมาพูดให้ได้ยินได้ฟังกันเป็นความถูกต้องตามที่สมเด็จพระ บรมศาสดาทรงแสดงไว้เป็นพระพุทธศาสนาเพียงใดหรือไม่ และผู้ได้ยินได้ฟังปฏิบัติตามเพียงใดหรือไม่

ทั้งผู้พูด และผู้ฟัง ธัมมะมีความตรงกันอย่างหนึ่ง คือธัมมะที่ได้พูดหรือได้ฟังนั้น ผู้พูดก็ตาม ผู้ฟังก็ตาม ต้องเข้าใจถูกต้อง และต้องปฏิบัติให้ถูกให้จริง จึงจะเกิดผล คือเข้าถึงสวรรค์ก็ได้ เข้าถึงเมืองพระนิพพานก็ได้

การพูดสำคัญจริงๆ เมื่อนึกถึงที่กล่าวมา ถ้าเป็นการพูดจริงเป็นธัมมะจริง แม้ผู้พูดจะยังไม่ถึงกับปฏิบัติได้จริงตามคำที่นำไปพูด แต่ถ้าพูดได้ตรงตามความจริง จะเป็นเพียงท่องจำมา ก็ย่อมยังประโยชน์ให้เกิดได้ ไม่มากก็น้อย

ผู้พูดจึงเป็นผู้มีบุญมีกุศลในระดับความตั้งใจที่เป็นบุญเป็นกุศล ที่มุ่งเผยแผ่พระพุทธธรรม มุ่งให้ผู้ได้ยินได้ฟังได้มีความรู้ ความเข้าใจในพระพุทธธรรม ที่นำออกพูดให้ใครๆ ทั้งหลายได้ยินได้ฟังได้รับรู้ด้วย

การพูดธัมมะสอนธัมมะในพระพุทธศาสนามีคุณได้ ก็มีโทษได้ เช่น เดียวกับการพูดเรื่องทั้งหลาย ที่มีได้ทั้งคุณ มีได้ทั้งโทษ คำพูดหรือวาจาของเราผู้เป็นมนุษย์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ควรที่จะให้ความสำคัญแก่วาจาของตนและวาจาของผู้อื่นทั้งหลายด้วย

คืออย่าสักแต่ว่าฟังแล้วก็เชื่อ หรือฟังแล้วก็ไม่เชื่อ หรือสักแต่ว่าอยากพูดอะไรแล้วก็พูดออกไป จะเกิดผลดีผลร้ายแก่ผู้ใดอย่างไรไม่คำนึงถึง พูดจริงก็เหมือนพูดไม่จริง คือที่อาจเข้าถึงนรกได้ การพูดมีโทษหนักหนาเพียงไรก็ได้ มีคุณหนักหนาเพียงไรก็ได้ เหตุก็เพราะการพูด สามารถเป็นมือนำคุณหรือโทษไปสู่ผู้ใดผู้หนึ่งได้ไปสู่หมู่คณะใหญ่โตเพียงไร ก็ได้

พระพุทธภาษิตสำคัญยิ่งองค์หนึ่ง มีว่า “ริษยาพาโลกให้ฉิบหาย”

ริษยาจะไม่สามารถพาโลกให้ฉิบหาย ได้เลย แม้ไม่มีมือคือคำพูด คือวาจาเข้าไปช่วย ความริษยาที่ไม่มีมือคือวาจา คือการแสดงออก ย่อมไม่อาจทำลายโลกได้ ไม่อาจทำโลกให้ฉิบหายได้ อย่างมากอาจทำตนให้เร่าร้อนในจิตใจ ไร้ความสงบสุขได้เท่านั้น นับว่ายังดี โทษของความริษยายังไม่รุนแรงเต็มที่ คือยังไม่อาจทำโลกให้ฉิบหายได้นั่นเอง

แต่ยากนักที่จะไม่ให้ความริษยาทีเกิดแล้วไม่มีมือส่งออกไปทำความฉิบหายให้แก่โลก ยากนักจริงๆ จะ มีหรือไม่ก็ยังไม่แน่ใจว่าความริษยาเกิดในใจผู้ใดแล้วจะมีขอบเขตอยู่ภายใน จิตใจผู้นั้นเท่านั้น จะไม่มีมือนำความริษยาที่เกิดแล้ว ให้ออกพ้นจากใจ ไปทำความฉิบหายให้เกิดขึ้น มากน้อยหนักเบาตามกำลังของความริษยาในใจ

: แสงส่องใจ วันคล้ายวันประสูติ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๐
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=15086
__________________
http://www.wimutti.net
"จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ"
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล

539
กฎแห่งกรรม ภพภูมิมนุษย์ ตอน ธนาคารบุญ โดยเรืองตะวัน

--------------------------------------------------------------------------------

กฎแห่งกรรม ภพภูมิมนุษย์ ตอน ธนาคารบุญ โดยเรืองตะวัน


มนุษย์เราเกิดมาบนโลกใบนี้ มีบุญสะสมมากันทุกท่านบ้างมีบุญสะสมมามากก็เกิดมามีความสุขอยู่บนกองเงินกองทอง บ้างบุญน้อยหน่อยก็เกิดมาพอได้อยู่ได้กินไม่ขัดสน สุดแล้วแต่บุญนำพาครับ นาๆการจุติของบุญ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์นั้นเกิดมาย่อมมีบุญและบาปติดตัวมากันทุกท่าน ภพภูมิมนุษย์ในสมัยเริ่มพระพุทธกาลมนุษย์นั้นมีบุญสะสมมาก สูง7ศอก7วา มีอายุอยู่ได้ประมาณ700-800 ปี แต่มายังปัจจุบันกึ่งพระพุทธกาล มนุษย์เริ่มถดถอย

ในบุญ สร้างบาปตัดบารมีตนเองจนเหลือส่วนสูงและอายุประมาณที่เห็นในปัจจุบัน ถ้ายังเป็นดังเช่นนี้อยู่มนุษย์สร้างแต่กรรมไม่ดี ตามที่คำโบราณได้กล่าวไว้ว่า ตัวแทนพระพุทธเจ้า พระสงค์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า จะเห็นเพียงแต่ชีวรสีเหลืองห้อยติ่งหู กล่าวได้ว่าถ้ามนุษย์มีความโลภเข้ามาครอบงำ มนุษย์ก็คงจะเหลือตัวเล็กเท่าชีวรที่ติดติ่งหู ตามโบราณที่เล่ากันสืบมาละครับ มนุษย์เกิดมาเพื่อต่อบุญ เกิดมาเพื่อชำระกรรมเก่า ขอเพียงอย่า

สร้างกรรมใหม่ หมั่นทำกรรมดีภพภูมมนุษย์ก็จะสูงขึ้นครับ การใช้มีวิตของมนุษย์นั้นใช่ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆก็หาไม่ วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมงคุณต้องใช้บุญตลอด กล่าวได้ว่าเกิดมาก็ต้องมีบุญติดตัวมา มีชีวิตอยู่ได้ก็ต้องอยู่ด้วยบุญ ถ้าคุณหมดบุญ ก็คือ อะไรก็คงไม่ต้องให้บรรยายนะครับมันจะยืดยาว ทุก วันนี้มนุษย์มนุษย์ส่วนมากอยู่กับการแก่งแย้งแข่งขัน เพื่อที่จะได้มาในผลประโยชน์ของตนเอง ใช้ชีวิตอยู่บนความประมาท สร้างแต่กรรมไม่สร้าง

บุญ ใช้บุญเก่าจนหมดไม่ มีบุญหนุนในตัวตน (ดวงไม่ดี) ก็ไม่มองตนเองว่าได้สะสมบุญหรือไม่ โทษสิ่งเร้นลับ สิ่งมองไม่เห็น ว่าเทวดาว่าไม่ช่วย คุณต้องมองพิจรนาตัวคุณว่า เราได้สร้างบุญเก็บไว้บ้างไหมที่กล่าวถึงเรื่องธนาคารบุญมนุษย์มีธนาคารบุญสะสมมา ตั่งแต่เกิดทุกคน และต้องเปิกใช้ทุกๆวันเพื่อให้ชีวิตนั้นดำรงอยู่ได้ กล่าวได้ว่า ทุกลมหายใจนั้นต้องใช้บุญก็ว่าได้ไม่ผิด ผู้เขียนจะเปรียบบุญดั่งปัจใจต่างๆ เช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษา

โรค การจับจ่ายใช้สอยก็ต้องเปิกเงินจากธนาคารที่เราทำและสร้างสะสมไว้(เบิกเพื่อ มาจับจ่าย) บุญก็เช่นกันเราก็ต้องเปิกมาใช้ จากธนาคารบุญที่เราสะสมมาใช้เช่นกัน สักแต่เบิกมาใช้และไม่สร้างใหม่บุญนั้นก็ต้องมีวันหมดครับ ให้หมั่นสร้างบุญ การสร้างบุญของศาสนาพุทธทำไม่ยากใครๆก็ทำได้ สวดมนต์ ภาวนา สมาธิกรรมฐาน ปฎิบัติ แต่กรรมดีถือ ว่าเป็นการสร้างบุญครับ หาช่องว่าง เวลาโอกาสสร้างบุญก่อนจะไม่มีเวาสร้างนะครับ กึ่ง

พระพุทธกาลนี้มนุษย์มีความเสื่อมมากถดถอยต่อศาสนา ละบุญสร้างแต่เวร เรามาเป็นผู้สร้างบุญกันเถิด คำสอนของพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว พระองค์ ท่านทรงตรังไว่ว่า ให้เดินสายกลาง อย่าได้ตึงเกินไปหรือหย่อนเกินไป ปฎิบัติตึงมากทำให้เหนื่อยล้า ปฎิบัติหย่อนมากเกินไปก็จะทำให้ขี้เกียจ ขาดความเพรียรในการปฎิบัติ

เดินสายกลางครับ ไม่ตึงเกินไป และไม่หย่อนจนเกินไปสุดท้ายนี้ขอให้ญาติธรรมทุกๆมีกองบุญสะสมติดตัวทุกๆภพชาติ เจริญบารมี ทั้งทางโลกและทางธรรม อนุโมทนาบุญ

บอล เรืองตะวัน คนปิดกรรม

540
กฏแห่งกรรมของผู้ทำแท้ง(แดนกาเม)

--------------------------------------------------------------------------------

คัดลอกจากหนังสือท่องนรกภูมิ

นรกขุม ๕ แดนกาเม
วันพุธที่ ๒๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๓

ผมเดินผ่านประตูนรกเข้าสู่แดนนรกขุม ๕ มียมทูต
สององค์เฝ้าอยู่ตรงทางเข้า บางองค์ก็ยืนอยู่ตามทาง บางองค์ก็นั่งอยู่ที่โต๊ะคอยรับประทับชื่อบุคคลเข้าออก ยมทูตองค์นี้กระทำตามหน้าที่ ๆ ได้รับมอบหมาย มาจากองค์พญายม
ผมบอกยมทูตว่า ผมต้องการที่จะสัมภาษณ์วิญญาณ
บาปที่ทำกรรมคดีทำแท้งในนรกขุมนี้ ยมทูตนำผมเดิน
ไปตามเส้นทางเดินจนถึง “แดนกาเม”



ที่นั่น มีผู้หญิงตนหนึ่งนอนหงายอยู่กับพื้น ร่างกาย
เปลือยเปล่าไร้สิ่งปิดบัง ที่ข้าง ๆ หญิงตนนั้น มียมทูตยืนอยู่หนึ่งองค์ และบนพื้นดินข้าง ๆ เธอนั้น มีขันเหล็กวางอยู่ใบหนึ่ง

ผมเห็นยมทูตที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หญิงตนนั้น เดินออกไป
ที่เตาไฟเผา มีเหล็กวางอยู่ในเตาไฟ และถูกเผาไฟจนร้อนแดงได้ที่ ท่อนเหล็กนั้นรูปร่างเหมือนอวัยวะเพศของชายแต่กลมและใหญ่กว่า มีด้ามจับยื่นยาวออกมาพอมองเห็นและยมทูตองค์นั้น ก็เลือกหยิบเหล็กนาบอันหนึ่งขึ้นมา แล้วเดินมาที่ผีตัวนั้น เมื่อผีตัวนั้นลุกขึ้นมองเห็นเหล็กนาบก็ตกใจกลัวมาก และพยายามดิ้นเพื่อที่จะหนี

“อีสัตว์เดรัจฉาน จะหนีไปไหน” ยมทูตร้องตวาด
ยมทูตก็ได้เอาเหล็กที่ถือมานั้น นาบลงไปตามตัวของหญิงตนนั้น รอยไฟที่นาบลงบนตัวของผู้หญิงตนนั้น เป็นแผลพุพองตามตัว เนื้อหนังที่ถูกไฟไหม้นั้นแดงฉานด้วยเลือดเสียงเนื้อที่ถูกไฟไหม้เสียงดังฉ่า…รอยไหม้ต่างๆ ปรากฏขึ้นมาบนร่างกายเสียงร้องของความเจ็บปวดดังขึ้นอย่างเจ็บปวด



“อีเหี้ย กรรมนี้มึงเป็นผู้ก่อ สมควรแล้วที่มึงต้องรับ
กรรมของมึง” ยมทูตด่าสาด


และยมทูตก็ได้เดินออกไป หยิบเอาเหล็กท่อนหนึ่งออกมา มีลักษณะเหมือนอวัยวะเพศชาย แต่ยาวและใหญ่กว่าปกติ ท่อนเหล็กนั้นถูกไฟเผาจนแดงจัด เรืองแสงอยู่บนท่อนเหล็กนั้น ใช้มือจับผ้าทับบนปลายเหล็กส่วนยาวสุด แล้วทะลวงท่อนเหล็กนั้นเข้าสู่อวัยวะเพศของหญิงตนนั้น


เสียงกรี๊ดสุดเสียงดังขึ้นอย่างเจ็บปวด เนื้อท่อนล่างของเธอถูกไฟไหม้จนเกรียม รอยแผลต่าง ๆ ตามร่างกายส่งให้เธอดูเหมือนเปรตสัตว์ (วิญญาณบาปที่ได้รับกรรมอย่างมากและทนเจ็บไม่ไหว) มากกว่าวิญญาณ (ในความคิดส่วนตัวผม มันเป็นความเจ็บปวดที่สุดทรมานอย่างยิ่ง ผมรู้สึกสงสารเธอขึ้นมาอย่างลึก ๆ ในดวงจิตด้วยกรรมที่เธอเป็นผู้ก่อ เธอจึงต้องได้รับผลกรรมเช่นนั้น)


อดีตกรรมของเธอนั้น หญิงผู้นี้เป็นหญิงขายบริการ
ทางเพศ และท้องขึ้นมาอย่างไม่มีพ่อ และได้ทำแท้งเด็กออก
ทำให้เธอต้องมารับกรรมอยู่เช่นนี้ในนรก


ผลกรรมดังกล่าว เธอเป็นผู้ก่อ สัตว์ตนใดกระทำ
กรรมเช่นนี้ ผลกรรมอันนี้จะได้รับสนองท่าน เมื่อสู่
ปรสัมภยภพ (ภพแห่งความตายเป็นที่ตั้ง)


__________________
ปรารถนา...ฉฬภิญโญ....

541
ธรรมมะง่ายๆ กับวิธีการทำชีวิตวันนี้ให้ดีที่สุด

--------------------------------------------------------------------------------

ตามหัวข้อนะครับ
ผมหวังว่าท่านที่ได้อ่าน จะนำไปใช้
ประโยชน์ได้นะครับ ^^

...............................

* นึกว่าเสมอว่าการโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับเธอ 3 ชั่วโมง

* ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รับรองว่าเค้าต้องยิ้มตอบกลับมาทุกครั้งแน่!

* หลับตานิ่งๆ ซัก 3 นาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรตรงหน้ามันช่างยากจัง

* ระหว่างแปรงฟันถ้าฮัมเพลงด้วยไปจนจบจะทำให้ฟันสะอาดขึ้น 2 เท่าแน่ะ

* เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง จากที่รสชาติธรรมดาก็จะอร่อยขึ้นเยอะ

* ควรหัดพูดคำว่า ไม่เป็นไร ให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า จะเอายังไง

* !เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้จึงเล่าให้มันฟังได้

* อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด

* เขียนชื่อคนที่เธอเกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้งความเกลียดจะเบาบางลงเรื่อยๆ

* ให้ปล่อยน้ำตาไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้ง จะดูไม่ออกว่าเพิ่งร้องไห้มา

* ก่อนจะซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมันให้ได้อย่างน้อย 3 ข้อก่อน

* ถึงเสื้อกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าสลับกันไปเรื่อยๆก็ดูเหมือนจะเยอะขึ้น

* เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ ดีกว่าคนได้เยอะจนจำชื่อคนให้ไม่หมด

* ในวันที่รู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ เดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองซักดอกแล้วจะดีขึ้น

* แอบรักใครซักคน ยังไงก็ดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สึก รัก เป็นยังไง

* ถึงจะไม่ได้ออกไปไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแต่งตัวสวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นี่

* พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบเล่มอาจไม่สนุกแต่มีประโยชน์แฝงอยู่

* วันที่ตื่นเช้าๆ ให้บิดขี้เกียจนานที่สุดเท่าที่จะทำนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกายน่ะ

* รู้รึเปล่าว่าดอกไม้ที่บานอยู่กับต้น ยังไงก็อยู่ได้นานกว่าบานในแจกัน

* ทะเลาะกับใครๆ พร้อมรอยยิ้ม เรื่องราวจะจบง่ายกว่าที่คิดเยอะ

* เอารูปตัวเองตอนเด็กๆ มาดูตอนเครียดอารมณ์จะดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

* พยายามหาข้อบกพร่องของคนที่เธออิจฉาอย่างน้อยก็มีข้อปลอบใจตัวเองบ้าง!

* โทรไปหาแฟนแล้วพูดแคคำเดียวว่า คิดถึง พอวางสายแล้วต้องยิ้มทั้งคู่

* ในวงสนทนาถ้ายังนึกไม่ออกว่าจะคุยอะไรรอยยิ้มช่วยแก้สถานการณ์ได้

* ค่อยๆ เดินทอดน่องแบบสบายๆ ในวันที่ไม่มีธุระให้ต้องไปสะสาง

* ซื้อของฝากทุกคนในบ้าน ก็เหมือนกับการซื้อของฝากตัวเองนั่นแหละ

* จะหน้าตายังไงก็แล้วแต่ ถ้าทิ้งขยะลงพื้นก็กลายเป็นขี้เหร่ได้ทันตาเห็น

* นั่งสมาธิให้นานๆ และบ่อยๆ ก็ทำให้ผิวสวยขึ้นได้เหมือนกัน

* นอกจากตอนที่เคี้ยวข้าวแล้ว ไม่ว่าก่อนหรือหลังกินก็หัวเราะได้อร่อย

* จินตนาการถึงเรื่องที่อยากมีหรืออยากเป็นคือยานอนหลับอย่างหนึ่ง

* อ่านหนังสือหรือการ์ตูนโปรดเป็นการเติมน้ำมันให้ตัวเองอย่างดี

* ยังไม่มีใครเคยแย้งว่า การอาบน้ำไม่สามารถคลายเครียดได้จริงๆ

* ก่อนจะด่าใครให้นับ 1 ถึง 50 เผลอๆ อาจจะไม่อยากด่าแล้วก็ได้

* ไม่ต้องทำยังไงกับเพื่อนที่หักหลังก็แค่อย่าเรียกเค้าว่าเพื่อนก็พอแล้ว

* รักครั้งแรกส่วนใหญ่ก็อกหักทั้งนั้น น่าจะดีใจที่ไม่แปลกกว่าชาวบ้านเค้า

* การที่ทำของหายอาจเป็นการใช้หนี้ของชาติที่แล้วให้คนอื่นที่เก็บมันได้

* ถึงจะไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าซักบาท ยังดีกว่าไม่มีเสื้อผ้าให้ใส่ตั้งเยอะ

* หนี้ที่โดนเบี้ยวไป ทำให้เรารู้จักใครบางคนดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้เวลามาก

* คนอื่นไม่เข้าใจเราไม่เห็นแปลก ในเมื่อเราก็ไม่เข้าใจคนอื่นเหมือนกัน

* ไม่ต้องช่วยใครๆ ด่าตัวเอง ถ้าสิ่งที่ทำไปแน่ใจว่าพยายามเต็มที่แล้ว

* วิ่งให้เหนื่อยมากๆ ความโกธรจะได้ถูกขับออกมาพร้อมกับเหงื่อ

* ถ้ากลัวจะนอนฝันร้าย สวดมนต์ก่อนนอนเหมือนตอนเด็กๆ ดูสิ

* ของฝากสำหรับคนห่างไกล คือการโผล่ไปเซอร์ไพรส์ด้วยตัวเอง

* เพลงจังหวะมันๆ ทำให้คนฟังกระปรี้กระเปร่าได้โดยอัตโนมัติ

* อย่าเดาว่าอะไรอยู่ในกล่องของขวัญ แล้วจะไม่รู้จักคำว่าผิดหวัง

542
บทความ บทกวี / กฏสรรค์ 108 บาปตัดบุญ
« เมื่อ: 22 มิ.ย. 2553, 07:38:54 »
กฏสรรค์ 108 บาปตัดบุญ

--------------------------------------------------------------------------------

กฏสรรค์ 108 บาปตัด
ผู้ใดสร้างสมบุญและบาป เมื่อหักลบกันแล้ว ถ้าจำนวนบาปมีมากกว่าจำนวนบุญ ให้ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานตามกรรมแห่งตน >>
ถ้าจำนวนบุญมีมากกว่าบาป ตั้งแต่ 3000 บุญขึ้นไป จักได้เป็นเทพชั้นล่าง >>
ถ้าจำนวนบุญมีมากกว่ากว่า 10000 บุญขึ้นไป จักได้เป็นเทพชั้นกลาง>>
ถ้าจำนวนบุญมากกว่า 15000 บุญขึ้นไป จักได้เป็นเทพชั้นสูง>>
ถ้าจำนวนบุญครบ 100000 บุญขึ้นไป จักได้เป็นพุทธะเทพเจ้า ณ. แดนสุขาวดีแสนสุขสันต์>>
ส่วนผู้สร้างบาปหนัก จักตกอเวจีตลอดกาล>>
>>

หน่วย บาป บุญ>>
- พูดเท็จ กล่าวคำหยาบ นินทาผู้อื่น 1 ครั้ง 1 บาป>>
- เสียสัจจะ ผิดนัด 1 ครั้ง 3 บาป>>
- เล่นการพนัน 1 ครั้ง 3 บาป>>
- ตั้งบ่อนการพนัน 1 ครั้ง 100 บาป>>
- เมาสุรา 1 ครั้ง 6 บาป>>
- กินเนื้อวัว เนื้อสุนัข 1 ครั้ง 1 บาป>>
- พิมพ์หนังสือธรรมะแจก 1 ครั้ง 3 บุญ>>
- ทำบุญให้ทาน 10 หยวน (ไต้หวัน) 1 บุญ>>
- ค้างหนี้ไม่ชำระ 10 หยวน 0.6 บาป>>
- ลักทรัพย์ ฉ้อโกง ทุจริต รับทรัพย์อันมิชอบ 10 หยวน 1 ปาป>>
- ขายของปลอม ของเสื่อมคุณภาพ 1 ครั้ง 5 บาป>>
- โกงตาชั่ง 1 ครั้ง 10 บาป>>
- เสียภาษีครบถ้วน 1 ครั้ง 8 บาป>>
- ทะเลาะวิวาท ฟ้องร้องกัน 1 ครั้ง 2 บาป>>
- ถอนคดี ถูกหมิ่นประมาท อดกลั้นไม่เอาเรื่อง 1 ครั้ง 50 บุญ>>
- การให้บำเหน็จ การลงโทษขาดความยุติธรรม 1 ครั้ง 3 บาป>>
- ลงโทษผู้ไร้ซึ่งความผิด 1 คน 100 บาป>>
- โยนความผิดให้ผู้อื่น 1 เรื่อง 100 บาป>>
- ทิ้งขยะลงถนน คู คลอง 1 ครั้ง 0.4 บาป>>
- ปิดกลั้นสัญจรทางน้ำ หรือทางบก 1 ครั้ง 400 บาป>>
- เที่ยวซ่อง 1 ครั้ง 100 บาป>>
- ข่มแหงรังแกผู้ที่อ่อนกว่า 1 ครั้ง 3 บาป>>
- ไม่ยอมรับสินบน ทำตามหน้าที่เคร่งครัด 1 ครั้ง 8 บุญ>>
- ช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัย 1 ครั้ง 10 บุญ>>
- พบเห็นคนประสบอุบัติเหตุไม่ช่วยเหลือ 1 ครั้ง 10 บาป>>
- ภรรยาบ่นว่าสามี 1 ครั้ง 3 บาป>>
- สามีภรรยาทะเลาะกัน 1 ครั้ง 3 บาป>>
- หญิงครองหม้าย ไม่ด่างพร้อยตลอดชีวิต 10000 บุญ>>
- คบชู้ 1 ครั้ง 100 บาป>>
- แย่งสามีหรือภรรยาผู้อื่น 1 คน 1000 บาป>>
- มีสามีเดียวหรือภรรยาเดียวตลอดชีพ 1000 บุญ>>
- ทิ้งลูก ทิ้งสามี หรือภรรยา 1 คน 1000 บาป>>
- เชื่อฟังบิดา มารดา 1 ครั้ง 5 บุญ>>
- เลี้ยงดูบิดา มารดา 1 ครั้ง 10 บาป>>
- ไม่เหลียวแลบิดา มารดา 1 ครั้ง 1 บุญ>>
- เนรคุณบิดา มารดา 1 ครั้ง 10 บาป>>
- ไม่เหลียวแลบิดา มารดา 1 วัน 0.5 บาป>>
- ปรนนิบัติบิดา มารดา ด้วยความกตัญญูตลอดชีพ 100000 บุญ>>
- โกรธเคืองพ่อแม่ 1 ครั้ง 1 บาป>>
- พี่น้องสามัคคีไม่แก่งแย่ง 100 บุญ>>
- พี่น้องโกรธเคืองกัน 100 บาป>>
- ถูกดูหมิ่น ไม่โกรธ 1 ครั้ง 1 บุญ>>
- โกรธไม่หาย 1 ครั้ง 3 บาป>>
- ดื่มสุรา 1 ชาติ 900 บาป>>
- คืนดีกัน ให้อภัย 1 ครั้ง 3 บุญ>>
- สวดมนต์ไหว้พระ 1 ครั้ง 1 บุญ>>
- กิริยาวาจาสุภาพ 1 ครั้ง 0.5 บุญ>>
- ผู้น้อยรับใช้ผู้อาวุโส 1 ครั้ง 3 บุญ>>
- ลบหลู่ครู อาจารย์ 1 ครั้ง 1 บาป>>
- ยกย่องครู อาจารย์ 1 ครั้ง 1 บุญ>>
- ประพฤติเกเรเป็นอันธพาลไม่กลับตัว 1 ชาติ 1000 บุญ>>
- ประพฤติตนเป็นคนดี 1 ชาติ 1000 บุญ>>
- ช่วยชีวิตคน 1 ชีวิต 100 บุญ>>
- ฆ่าตัวตาย 1 ชีวิต 1000 บาป>>
- ฆ่าข่มขืน 1000 บาป>>
- สละชีพเพื่อชาติ 1000 บุญ>>
- ก่อการจลาจลทำให้เกิดความวุ่นวายแก่บ้านเมือง 1 ครั้ง 1000บาป>>
- ใช้ไสยศาสตร์ทำร้ายคน 1 ครั้ง 80 บาป>>
- บำเพ็ญธรรมจริงจัง (ละชั่ว ทำดี) 10000 บุญ>>
- ทำแท้ง 1 ครั้ง 1000 บาป>>
- ทิ้งธัญญาหาร (ข้าว) 10 เม็ด 1 บาป>>
- บริการให้ความสะดวกแก่ผู้อื่น 1 ครั้ง 1 บุญ>>
- ปล่อยนกปล่อยปลา 1 ตัว 1 บาป>>
- พูดล้อเลียนคนอัปลักษณ์ มีปมด้อย 1 คำ 5 บาป>>
- พูดตำหนิศาสนาอื่น 1 ครั้ง 100 บาป>>
- บริจาคยารักษาโรค 1 ครั้ง 3 บุญ>>
- บริจาคยารักษาโรค 1 ครั้ง 3 บุญ>>
- ส่งเสริมคนทำชั่ว 1 ครั้ง 4 บาป>>
- พูดหยาบคายลามก 1 ครั้ง 10 บาป>>
- ทำหน้าที่แม่บ้าน ดูแลบ้านเรือนเรียบร้อย 1 วัน 3 บุญ>>
- สร้างหนังสือลามก 1 เรื่อง 3000 บาป>>
- แสดงหนัง - ละครลามก 1 เรื่อง 100 บาป>>
- อดกลั้นตัณหาราคะ 1 ครั้ง 10 บุญ>>
- ฆ่ากุ้ง หอย ปู ปลา ปรุงอาหาร 10 ตัว 1 บาป>>
> >
>------------------------------>
>มารไม่มี บารมีก็สร้างได้ >

543

--------------------------------------------------------------------------------




เหตุใดจึงมาเกิดเป็นมนุษย์
สาเหตุของการเกิดของมนุษย์นั้น มีเจตจำนงค์ในการปฏิสนธิแตกต่างกัน ดังนี้

1.เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม
ชาติก่อนทำบุญไว้มาก ทำบาปไม่เกิน 30 % ของกรรมทั้งหมด พอตายไปขึ้นสวรรค์ เสวยสุขไปชั่วระยะหนึ่ง เกิดความไม่สบายใจ จึงตัดสินใจลงมาใช้กรรมเก่าชั่วคราว คนผู้นี้เมื่อมาเกิดใหม่ จะได้รับความทุกข์ทรมาน แต่ความเดือดร้อนนั้นจะไม่มีพลังหักเหให้เขาหัน กลับไปทำความชั่วอีก เมื่อชดใช้กรรมหมดแล้ว ก็จะได้กลับไปเสวยสุขบนสวรรค์อีก

2.เกิดมาเพื่อสร้างบารมี
เมื่อโลกมนุษย์เกิดความระส่ำระสาย เทพเจ้าผู้ปกครองสวรรค์จะคัดเลือกเทพลงมาช่วยแก้สถานการณ์ เทพเหล่านี้เมื่อลงมาเกิดในโลกมนุษย์ ตลอดชีวิตจะต่อสู้เพื่อสังคม เพื่อความดีงาม เพื่อเสรีภาพไม่หยุดหย่อน แม้ภาวการณ์คลี่คลายลง เทพนั้นก็จะละร่างไปเสวยสุขในโลกเบื้องสูงต่อไป

3.เกิดมาเพื่อเป็นประมุข เป็นผู้นำ
เทพบางองค์ยอมเสียสละความสุขบนสวรรค์ลงมาเกิดเพื่อเป็นผู้นำหรือเป็นประมุขปกครองคนหมู่มากให้มีความสุข เป็นการสร้างบารมีไปในตัวด้วย

4.หนีนรกมาเกิด
สัตว์นรกบางตนใช้กรรมในนรกยังไม่ทันหมดก็หนีมาเกิดในโลกมนุษย์ ครั้นนายนิรยบาลทราบเรื่องก็จะให้ยมทูตมาเอาตัวกลับไปทรมานอีก สัตว์นรกในร่างมนุษย์นั้นจะอายุสั้นตายตั้งแต่อายุยังน้อย

5.หนีแดนโจรมาเกิด
สัตว์ในแดนโจรบางตน ทนทุกข์ทรมานในแดนโจรแต่ยังไม่หมดกรรม ก็หนีมาเกิดในโลกมนุษย์ ทำให้มาเกิดเป็นคนพิการแต่กำเนิดหรือมีอุบัติเหตุทำให้กลายเป็นคนพิการในที่สุด

6.หนีแดนเปรตมาเกิด
เปรตที่ยังไม่หมดกรรม หนีมาเกิดในโลกมนุษย์ จะเป็นผู้ที่อดอยากยากไร้หิวโหย หาได้ไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง อดมื้อกินมื้อ หรือกินแต่ของบูดเน่า ของเหลือเดน

7.หนีแดนปีศาจมาเกิด
ผู้ที่ชอบรีดนาทาเร้น คดโกงผู้อื่น ตายไปแล้วต้องไปต่อสู้ฟาดฟันกันเองในแดนปีศาจ บางตนใช้กรรมยังไม่หมดก็หนีมาเกิดในโลกมนุษย์ คนพวกนี้จะเป็นคนอาภัพ ได้รับการดูถูกเหยียดหยาม ถูกเอารัดเอาเปรียบจากสังคมและผู้เกี่ยวข้อง

8.เกิดมาเพื่อเสวยสุข
บางคนทำบุญไว้น้อย ทำบาปไว้มาก จึงต้องไปรับกรรมในอบายภูมิ เพื่อชดใช้กรรมหมด ก็ได้กลับมาเกิดในโลกมนุษย์เพื่อรับผลของบุญที่ทำไว้ คนพวกนี้จะมีนิสัยเลวร้ายชอบเอาเปรียบคดโกง แล้วร่ำรวยเพราะการกระทำดังกล่าว เขาจะเสวยสุขเพื่อรอวาระสุดท้ายในชีวิต ซึ่งยมทูตจะมารับกลับไปทรมานในอบายภูมิเช่นเดิม

9.เกิดมาเพื่อเพิ่มเติมบารมีให้เต็ม
เทพเจ้าบางองค์ ตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระปัจเจกโพธิเจ้า เป็นพระอรหันตสาวก ฯลฯ แม้ตัวท่านจะมีบุญบารมีมากมาย แต่เขายังบกพร่องในบารมีธรรมบางข้อ ท่านจึงได้อำลาพรหมโลก ละทิ้งป่าหิมพานต์ หนีจากแดนบาดาลมาเกิดเป็นมนุษย์ คนพวกนี้จะตั้งหน้าตั้งตากอบโกยเอาแต่บุญบารมี ไม่ยอมสะสมหลักฐานหรือทรัพย์สมบัติใดเพื่อตนเอง ท่านจะยอมลำบากลำบน ทำแต่ความดี สร้างบารมี บางครั้งคนทั่วไปเลยหาว่าโง่

10.เกิดมาเพื่อเสวยสุขและทุกข์ตามกรรมที่ทำไว้ในอดีตชาติ
บางคนไม่สนใจเรื่องบุญบาป นรก สวรรค์ คนพวกนี้ทำบุญไว้มากกว่าบาป แต่บุญไม่มากพอที่จะส่งขึ้นสวรรค์ บาปก็ไม่มากพอที่จะส่งลงนรก เมื่อตายไปแล้วจึงต้องกลับมาเป็นมนุษย์อีก เสวยผลกรรมตามที่ทำไว้ในอดีตชาติ เขาจะใช้ชีวิตเฉกเช่นสามัญชนทั่วไป แสวงหารักแท้ ดิ้นรนเพื่อหน้าที่การงาน ต่อสู้เพื่อให้มีหลักฐานความมั่นคง ทำดีเพราะเห็นว่าเป็นหน้าที่ที่ควรกระทำ

11.เกิดมาเพื่อทำลายล้าง
บางคนเป็นคนที่มากไปด้วยความแค้น ไม่ยอมใคร หากในอดีตชาติเขาถูกศัตรูกลั่นแกล้งทรมาน เขาจะต้องหาทางแก้แค้น หากไม่ทันได้แก้แค้นและศัตรูตายไปก่อน เขาก็จะยังไม่ยอมเลิกรา ด้วยอำนาจความแค้นจะทำให้เขาเกิดร่วมชาติกับศัตรู เพื่อตามทำลายล้างกันตั้งแต่ต้นจนจบ เช่น ลูกชายเจ้าสำราญ ล้างผลาญทรัพย์สินของพ่อแม่ที่อดออมมาเป็นเวลานาน , ภรรยา โขกสับสามี จิกหัวใช้สามีเยี่ยงทาส , อาจารย์กลั่นแกล้งนักศึกษาจนต้องลาออก ไม่ได้รับประกาศนียบัตร , ประกอบการค้าเล็กๆ แต่ก็ถูกนายทุนใหญ่กลั่นแกล้งจนตัวเองล่มจม

12.เกิดมาเพื่อปลดเปลื้องคำสาป
บางคนทำบุญไว้มาก แต่ไม่เคยประพฤติศีลในครบถ้วน เมื่อตายไปได้ขึ้นสวรรค์ แต่ไม่รู้จักประพฤติตนให้เหมาะสม เทพเจ้าผู้ปกครองสวรรค์จึงใช้อำนาจบันดาลให้เขามาลงรับบทเรียนบางอย่างในโลกมนุษย์ มนุษย์พวกนี้ลงมาเกิดด้วยฤทธิ์คำสาปของสวรรค์ และด้วยบุญที่ทำมามาก เขาจึงมาเสวยสุขในโลกมนุษย์ แต่เป็นแบบมีขอบเขต เช่น มีเงินทองมากมาย แต่คิดทำการใหญ่เมื่อใด ก็จะขาดทุนป่นปี้ มีอาการแพ้วัตถุบางอย่าง เช่น ขึ้นเครื่องบินไม่ได้ เพราะมีอาการแพ้รุนแรง หรือ ต้องบูชาเทพบางองค์ ถ้าขาดบูชาเมื่อใดมักมีเรื่องเดือดร้อนตามมา

13.เกิดมาเพื่อทดสอบอุดมคติ
บางคนทำความดีไว้มาก ตายไปได้ขึ้นสวรรค์ ได้รับความเมตตาจากเทพฝ่ายบริการ ครั้นสนิทสนมกันดีก็สงสัยว่าไฉนเทพฝ่ายบริการซึ่งบุญบารมีใกล้เคียงกับตนเองจึงมีฤทธิ์เหนือกว่า สามารถไปมาระหว่างโลกสวรรค์ โลกมนุษย์และโลกทิพย์ได้ จึงตั้งความปรารถนาที่จะมีฤทธิ์แบบเทพฝ่ายบริการบ้าง จึงขออนุญาติเทพเจ้าผู้ปกครองสวรรค์ลงมาสร้างฤทธิ์อำนาจในโลกมนุษย์ มนุษย์พวกนี้จะมาเกิดในหมู่โจร เกิดท่ามกลางคนชั่วคนเลว อันธพาล ผู้มีอิทธิพล นักการเมืองที่มีอำนาจ นี่คืออุปสรรคหรือบททดสอบสำหรับเขา ถ้าเขาปรับตัวเข้ากับบุคคลหล่านั้นได้ ยอมร่วมมือทำความชั่ว เขาจะมีความสุข มีอำนาจในโลกมนุษย์ แต่จะไม่มีฤทธิ์อำนาจตามที่ปรารถนาเอาไว้ ถ้าเขาเข้มแข็ง เป็นคนดีในหมู่โจร ไม่ยอมทำความชั่วแม้จะถูกบีบคั้น เมื่อเขาตาย ก็จะตายในขณะที่คุณความดียังอยู่ เมื่อเขาตาย สวรรค์จะต้อนรับเขา เขาคือ ครูญาณ ทูตสวรรค์ เขาจะมีฤทธิ์อำนาจไปมาข้ามห้วงเวลาได้ สามารถปรากฎตัวในโลกมนุษย์เพื่อรับวัตถุทานที่บุตรหลานบำเพ็ญกุศลไปให้ หรือปรากฎตัวในแดนสวรรค์เพื่อเสวยสุข หรือปรากฎตัวในอบายภูมิเพื่อศึกษาเรื่องผลของกรรม

14.เกิดมาเพื่อเปลี่ยนวงจรชีวิต
มนุษย์บางคนเกิดมาทำบุญน้อย ทำบาปมาก หลังจากตายแล้วต้องรับโทษ เมื่อรับโทษหมดไปประมาณ 90 % ก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ และดำเนินชีวิตแบบเดิมคือ ทำบุญน้อย ทำบาปมาก วงจรชีวิตจะหมุนเวียนระหว่างโลกมนุษย์กับอบายภูมิ จนก่อนละโลกครั้งหลัง เขาได้พบสมณชีพราหมณ์ เกิดความเลื่อมใส ทำให้เริ่มหันหน้าเข้าวัด แต่ผลบุญยังน้อยมิอาจต้านทานกระแสบาปได้ ตายไปจึงต้องไปรับทุกข์ในอบายภูมิตามเดิม ก่อนตายได้ตั้งสัตย์อธิษฐานว่าจะทำความดีเพื่อไม่ให้ตกต่ำไปกว่าเดิม ดังนั้น เมื่อเกิดมาก็ยังต้องทนทุกข์ทรมาน เป็นคนอาภัพ ทำคุณคนไม่ขึ้น ปิดทองหลังพระ แต่เขาจะฝืนทำความดี ถึงแม้ว่าจะกลายเป็นคนดีที่โลกไม่แยแส เมื่อจบชีวิตแล้ว ทูตสวรรค์จะมารับวิญญาณไปสู่สวรรค์เบื้องสูง วงจรชีวิตจะเปลี่ยนไป ได้เสวยสุขในสวรรค์

15.เกิดมาเพื่อก่อตั้งศาสนา
เมื่อใดที่ศาสนาเสื่อมทรามจนเหลือแต่หลักวิชา และพระโพธิสัตว์จะมาจุติในโลก เหล่าทวยเทพจะติดตามลงมาเพื่อช่วยกันประกาศหลักธรรม เพื่อให้ศาสนาดำรงอยู่เป็นที่พึ่งของคนทั่วไป

16.เกิดมาเพื่อรับพุทธพยากรณ์
ในโลกธาตุหนึ่ง จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้พร้อมกันสองพระองค์พร้อมกันมิได้เป็นอันขาด ในขณะที่หลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ายังอยู่ครบครันมั่นคง หากจะมีใครคนหนึ่งอ้างตัวเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ เขาผู้นั้นเป็นคนโกหกหลอกลวงอย่างหน้าด้านที่สุด ขณะที่พระโพธิสัตว์องค์หนึ่งจุติลงมาตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อประดิษฐานพระศาสนา พระโพธิสัตว์ผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปก็จะติดตามลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อรับพุทธพยากรณ์ เป้าหมายของพระโพธิสัตว์ คือ พุทธภูมิ ดังนั้นจะพร่ำสอนชี้แจงอย่างไร พระโพธิสัตว์ก็มิอาจบรรลุคุณวิเศษอันใดได้ พระโพธิสัตว์เกิดมาเพื่อรับพุทธพยากรณ์เท่านั้น

17.เกิดมาเพื่ออุปถัมภ์
บางคนเคยทำบุญร่วมกัน แต่ไม่ได้ทำบาปร่วมกัน คนหนึ่งตายแล้วไปสวรรค์ อีกคนหนึ่งเกิดบนโลกมนุษย์ คนที่เกิดบนโลกมนุษย์จะยิ่งได้รับผลบุญมากเต็มที่เมื่ออยู่ร่วมกับคนที่อยู่บนสวรรค์ หากคนที่อยู่บนสวรรค์ลงมาเกิดและอยู่ร่วมด้วย คนที่อยู่บนโลกมนุษย์ก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น ลูกบางคนเกิดมาทำให้พ่อแม่ร่ำรวย ค้าขายคล่อง การงานก้าวหน้า แต่ตัวลูกเองประพฤติตัวเกเร ถ้าพ่อแม่ไล่ออกจากบ้านก็จะทำให้ความเป็นอยู่ของพ่อแม่เดือดร้อนอีก

18.เกิดมาเพื่อรับใช้อุปัฎฐาก
เมื่อเทพเจ้าจุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเพิ่มเติมบารมีธรรมให้เต็มเปี่ยม เทพฝ่ายบริการ เทพผู้รับใช้ประจำตัวจะติดตามลงมาเกิด โดยทิ้งช่วงห่างประมาณ 10 ปีถึง 25 ปี เมื่อเทพเจ้าพระองค์นั้น (ในร่างมนุษย์) สร้างบารมีตนเอง เทพรับใช้ก็จะมามอบตัวเป็นลูกศิษย์คอยช่วยเหลือปฏิบัติดูแลเทพองค์นั้น เมื่อเทพองค์นั้นอำลาจากโลกมนุษย์ เทพรับใช้ก็จะอยู่ปฏิบัติงานจนเรียบร้อยแล้วก็จะติดตามกลับไปรับใช้ในโลกทิพย์ต่อไป

19.เกิดมาเพื่อทดสอบพรหมวิหารธรรม
เทพเจ้าผู้สละพรหมโลกมาเกิดในโลกมนุษย์เพื่อสร้างบารมีเลื่อนอันดับเป็นเทพเจ้าผู้ปกครอง ปกติจะเป็นนักบวช อุทิศชีวิตเพื่อความรุ่งเรืองของศาสนา เป็นนักปฏิบัติธรรมผู้ไม่หวังลาภยศ วางเฉยได้ทั้งต่อคำยกย่องและคำด่า เพราะในหัวใจของท่านอัดแน่นไปด้วยฮัมมตัณหา ไม่มีที่ว่างเหลือสำหรับกามตัณหา

20.เกิดมาเพื่ออนุรักษ์ประเพณีโบราณ
ยามใดที่โลกมีวิญญาณชั้นสูงมาเกิดน้อย วิญญาณชั้นต่ำมาเกิดมาก พวกเทพจะอาสามาเกิดเป็นมนุษย์เพื่ออนุรักษ์ประเพณีโบราณ เทพเหล่านี้จะได้รับความเจริญในชีวิต ได้รับความคุ้มครองจากสวรรค์เป็นการตอบแทน ประเพณีโบราณได้แก่ ศิลปะวิทยาการอันเก่าแก่ เช่น ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ ดนตรี การขับร้องฟ้อนรำ วรรณคดี จิตรกรรม ประติมากรรม วัฒนธรรม
จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะเกิดมาทำไม ทำไมถึงต้องเกิดมา สิ่งเหล่านี้ล้วนหนีไม่พ้นเรื่อง "บุญ และ บาป " แต่การที่เราเกิดมาแล้วเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอดีตได้ แต่สิ่งที่เราสามารถทำได้คือในชาตินี้ ว่าเราเลือกที่จะทำ บุญ หรือ บาป แล้วคุณล่ะ.......เลือกอะไร ?

ขอบคุณที่มา:ชำแหละกฎแห่งกรรม เขียนโดย ร.ต.เจ้าประเวศ ณ เชียงใหม่

544
ขอบคุณทุกๆท่านมากนะครับที่อวยพรให้ผมอะครับ

546
นั่งสมาธิทำจิตใจให้ว่าง ไม่ต้องคิดอะไร ท่องแค่ พุทโธ แล้วก็หายเอง

547
ผมก็เคยครับ มีความรู้สึก ร้อนๆหนาวๆ แล้วรู้สึกว่ามือชาๆครับเหมือนกัน

548
ระลึกถึงครูบาอาจารย์แล้ว จุดธูปขอขมาเลยครับ แล้วก็ทำจิตให้มีความศรัทธาเหมือนเดิมครับ

549
เอาเลยครับมีของดีก่อนไปรับใช้ชาติก็ดีนะครับ หรือถ้าเกิดว่าไปสักยันต์ไม่ได้นั้นผมมีของดีอีกหนึ่งอย่าง คือ ผ้าถุงแม่ครับคนสมัยก่อนที่จะออกไปรบกับข้าศึกเขาเอาผ้าถุงแม่นี่แหละครับ พันรอบหัวครับเขาเชื่อว่าถ้าเกิดเอาผ้าถุงแม่มาพันรอบหัวแล้วจะช่วยคุ้มครองอันตรายได้ครับ อย่าว่าแต่ กระสุนเลยครับ ถ้าใครโดนคุณไสย บางคนก็เอาผ้าถุงแม่ไปต้มแล้วเอามาน้ำที่ต้มในผ้าถุงแม่อะครับมากิน แล้วจะหายจากการโดนคุณไสย ทันทีทันใดนักแล ครับ

550
ผีจะรัก.หากคุณสวดคาถาของ.หลวงพ่อจำเนียรวัดถ้ำเสือ จ.กระบี่

--------------------------------------------------------------------------------

ถ้าผู้ใดได้อ่านเรื่องราวชีวประวัติของหลวงพ่อจำเนียรแห่งวัดถ้ำเสือ..จังหวัดกระบี่..แล้ว..จะเห็นว่าองค์ท่าน...ปราบผีมาตั้งแต่เยาว์วัย..อายุไม่กี่ขอบ..นะขอรับ....

วรรค...ก่อนจะเสนอพระคาถา..ขอเสนอเรื่องราว..เกี่ยวกับพระคาถาสักนิดหน่อยขอรับ

มีครั้งหนึ่งผีได้เข้าสิงคน...ชาวบ้านก็เลยไปตามหมอผีมาขับไล่....ซึ่งปรากฏว่า..ไล่ไม่สำเร็จ...ต่อจากนั้น...ท่านได้มาทำหน้าที่ขับไล่บ้าง...ท่านก็บริกรรมพระคาถาไม่กี่คำ...ท่านคุณผีก็ออกจากร่างคนที่สิงสู่

ซึ่งท่านเผยให้ฟังทีหลังว่า..ท่านไม่ได้ไล่ผีแต่อย่างไร..เพียงแต่ขอร้อง..ให้ออก...พูดดีๆ...ขอร้องถ้าผีไม่ออกท่านก็ไม่ได้ตังค์ไปเลี้ยงพ่อ...ท่านว่าอย่างนั้นขอรับ

หลังจากฟังเรื่องราวของพระคาถา..เกล้าฯก็จำใส่ใจ..มีอยู่ครั้งหนึ่งไปเป็นทหาร..ที่ลาดหญ้า...กาญจนบุรี(ทุ่งลาดหญ้าอดีตสมรภูมิรบในอดีต)...ขณะที่นอนอยู่ค่ายทหาร..เกล้าฯฝันว่าได้หลงไปเมืองผี...แต่ละตัวล้วนดุร้าย..กันทั้งนั้น...เกล้าฯก็เลยท่อง..คาถาขององค์ท่านหลวงพ่อจำเนียร..
พอสิ้นพระคาถา..ปรากฏว่า..ท่านผีทั้งหลาย..กลับไถ่ถามเกล้าฯว่า..กินข้าวหรือยัง...คือชักชวนต้อนรับ..จากปกติทำตาดุๆ...

วรรค...เกล้าฯตอบว่ายังไม่หิว...อันที่จริงกลัวขอรับ...ฟังต่อขอรับ

พร้อมบอกกับผีทั้งหลายว่าอยากกลับบ้าน...เขาเลยชี้บอกทาง....

จากประสบการณ์ครั้งนั้น..เกล้าฯก็ใช้ภาวนา..มาตลอด..แม้จะเคยไปใช้ชีวิตอยู่ในป่าช้าคนเดียว...(สมัยบวช)ก็ไม่เคยโดนผีหลอกนะขอรับ...

พระคาถาเมตตาบทนี้มีว่า

ออแอ อออา เมตตาพุทโธ
สั้นๆง่ายๆ...แต่เต็มเปรี่ยมไปด้วยอานุภาพขอรับ..ถ้าท่านจะไปสถานที่แห่งใดก่อนบอกกล่าวเจ้าที่ควรใช้พระคาถานี้เป็นตัวเสริมจะดีมากๆขอรับ

ป.ล....ความหมายของพระคาถา..คำว่า..ออแอ...อออา....สองคำนี้หมายความว่า..เป็นความรัก..ของเด็กหญิงเด็กชาย..ทั้งโลก...ท่านว่ามาอย่างนั้นขอรับ.....

(เกล้าฯเคยศึกษาชีวประวัติของท่านจากนิตยสารโลกทิพย์ขอรับ...เรื่องราวชีวิตของท่านน่าศึกษาอย่างยิ่งเต็มไปด้วย..แง่คิดกฎแห่งกรรม....เกล้าฯก็คือคนหนึ่งที่เป็นหนี้ธรรมของท่าน..เพราะเรื่องราวของท่านมีคติสอนใจ....)

551
+++ผลกรรมจากการเถียงพ่อแม่+++

--------------------------------------------------------------------------------

ในยุคสมัยใหม่ที่วิวัฒนาการทางวัตถุเจริญอย่างมาก แต่ในเรื่องจิตใจกลับกลายเป็นสิ่งที่สวนทางกับเทคโนโลยีทางวัตถุ การเคารพผู้ใหญ่ พ่อแม่ บุพการี ในสมัยนี้ต้องยอมรับว่า ลดน้อยถอยลงจากยุคก่อนๆมาก ส่วนหนึ่งอาจเนื่องมาจากค่านิยมจากโลกตะวันตกที่แพร่เข้ามา ทำให้เกิดความผ่อนปรนกันมากขึ้นในทุกๆส่วนของสังคม วัฒนธรรม ประเพณี รวมไปถึงในระดับครอบครัวขนาดถึงขั้นที่ว่า เด็กๆหรือลูกกับพ่อแม่ มีการถือวิสาสะกันมากขึ้น และจากการที่เด็กๆถูกตามใจมาแต่เล็กแต่น้อย ครั้นเติบโตขึ้นมา เมื่อใดที่พ่อแม่ไม่ทำตามใจ ก็เกิดโทสะ เถียงพ่อเถียงแม่ชนิดคำต่อคำอย่างไม่ละอายใจ เพียงชั่ววูบที่ลูกเถียงพ่อเถียงแม่ เพื่อให้สาแก่ใจตามโทสะที่ตนมี จนทำให้ลืมนึกไปว่าคนที่ตัวเองเถียง คนที่ตัวเองว่ากลับไปนั้น คือ บุคคลที่เคยอุ้มท้อง ทะนุถนอมตัวเองมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์และเฝ้าเลี้ยงดูคอยป้อนข้าว ป้อนน้ำ ป้อนนม ส่งเสียให้ได้รับการศึกษาเป็นอย่างดี แต่ครั้นเมื่อมีกำลัง ลูกก็กลับมาเถียง มาว่าพ่อว่าแม่ด้วยความอหังการ แม่ชีทสพร กล่าวว่า เป็น กรรมมหันต์ แม้ไม่ใช่อนันตริยกรรมก็ใกล้เคียง เพราะพ่อแม่ที่โดนลูกเถียง แม้ไม่ได้โดนลูกฆ่าหรือทำร้ายร่างกาย แต่ก็รู้สึกเหมือนกับตายทั้งเป็น

และแน่นอนว่า เมื่อคราวที่กฎแห่งกรรมส่งผล ลูกที่เคยเถียงพ่อเถียงแม่ ก็ย่อมโดนกรรมที่หนักหนาสาหัส จนสาสมแก่การที่ได้ทำกรรมไว้กับบุพการีของตนเช่นกัน แม่ชีทสพรกล่าวว่า เมื่อวาระกรรมมาถึง หากลูกคนนั้นเป็นลูกผู้หญิง เมื่อแต่งงานไป ก็จะโดนสามีดุด่า ว่ากล่าวอย่างเจ็บแสบ ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจอย่างที่สุด ทั้งนี้เพราะอำนาจกฎแห่งกรรมสนองให้รู้ว่า การที่คนที่เรารักมากที่สุดมาด่าว่าเรา มาทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจนั้น มันสาหัสสากรรจ์ขนาดไหน เหมือนครั้งที่พ่อแม่โดนเราว่าด่า เถียงคำไม่ตกฟาก พ่อแม่นั้นรักเรามากแต่เรากลับทำให้ท่านเจ็บช้ำน้ำใจ ดังนั้นเมื่อเราโตขึ้น พบกับคนที่เรารักที่สุด เราก็จะโดนคนรักของเรานั้นแหละดุด่าทุ่มเถียงต่อปากต่อคำ เช่นเดียวกับที่เราเคยทำไว้กับบิดามารดาของเราเอง

เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อเรามีลูก ตัวเราเองเป็นพ่อเป็นแม่คนเต็มตัว ด้วยกรรมที่เราเคยทำไว้ก็จะบันดาลให้เราพบกับกรรมเช่นนั้น ลูกที่เกิดมา ซึ่งเป็นบุคคลที่เรารักมาก ก็จะกลับมาเถียงเรา นั่นแหละจะทำให้เรานึกถึงย้อนถึงวันที่เราเคยเถียงพ่อเถียงแม่เราได้ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น เพื่อเตือนความจำ เพื่อให้เรารู้สำนึกว่า ความทุกข์จากการที่ถูกลูกเถียงหรือความทุกข์ที่พ่อแม่ของเรา ได้รับจากการกระทำของเรานั้นเป็นเช่นไร ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นทุกข์จากการกระทำที่เรากระทำไว้กับพ่อแม่สมัยเด็กๆหรือสมัยที่โตแล้วก็ตาม จะย้อนกลับมาหาเราทั้งหมด เป็นสิ่งที่เรียกว่า
__________________

553
ยันต์ 5 แถว ถือว่าเป็น ยันต์ครูอีก1ยันต์เช่นกันครับผม โดนน้ำได้แต่อย่าโดนสบู่

554
 9.ร้านขายเครื่องไฟฟ้าทุกชนิด ไม่งั้นจะย้ำมาทำไมว่า ไฟฟ้าทุกชนิดครับ

555
ไม่หรอกครับทำใจสบาย ถือศีล 5 ก็จริง บางข้อก็ทำยากนะครับต้องค่อยเป็นค่อยไป

556
สวยงามนะครับ ของอ.หนู กันภัย ไหมครับ หนุมาน กับ ฉัตรเพชรอะ

558
ได้นะครับไม่เห็นเป็นไรนิ

559
คาถาอาคม / ตอบ: คาถาถอนคุณไสย์+++
« เมื่อ: 11 มิ.ย. 2553, 08:34:39 »
ขอบคุณสำหรับคาถาดีๆ

560
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: อยากถาม
« เมื่อ: 11 มิ.ย. 2553, 07:24:39 »
ไม่เรียกว่างมงาย แต่ ศรัทธา มากกว่า
ศรัทธา ไม่ใช่ ไสยศาสตร์ ศรัทธา เพื่อ ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อมีความ ศักดิ์สิทธิ์ ย่อมเกิด ปาฏิหาริย์

561
บทความ บทกวี / ตอบ: พระคุณแม่
« เมื่อ: 08 มิ.ย. 2553, 11:43:28 »
จะร้องไห้ครับ

562
สุดยอดมากครับ ชอบทุกคำสอนเลยครับ

563
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ

564
ยายเปรียบเสมือนแม่นะครับ ถ้าไม่มียายเราคงไม่ได้เกิดนะ ผมพูดอย่างงี้ก็ลองคิดดูเอาเองนะ

565
ของผมคาถาบูชาหลวงพ่อเปิ่น และบทสวด บูชาหลวงปู่ทวด แล้ว ก็
บทสวดพุทธคาถา บทนี้ดีมาก
สัมมาสัมพุทธัสสะ พระอะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ

สวดทุกคืน คืนละ 7 จบ
อานุภาพคาถามีดังนี้

ศัตรูจะพินาศไปเองเมื่อคิดประทุษร้าย
จะเกิดผลในด้านมงคลทุกประการตามที่ปรารถนา
จะสามารถเห็นได้แจ่มแจ้งด้วยญาณ เห็นได้ชัดเจนทุกประการ และทุกขณะที่ประสงค์จะเห็น
เป่าให้ศิษย์ผู้เรียนทิพยจักขุญาณ และเรียนไปปรโลกได้ มีญาณเครื่องเห็นแจ่มใส

567
ขอบคุณ สำหรับข่าวสารดีๆครับ

569
น่าจะไม่ได้นะครับ อักขระของแต่ละยันต์อาจจะทับกันได้

570
ซึ้งมากเลยครับท่าน เซอร์ดอน สุดๆครับ

571
ซึ้งมากครับ ขอบคุณสำหรับคลิปดีๆอย่างนี้นะครับ :016: :015:

572
พ่อแม่นะครับ ไม่หรอกเสื่อมครับ ทำความดีนะครับ ทำความดีอะยันต์ไม่เสื่อมครับ

573
ขอบคุณมากๆครับสำหรับ ข้อมูลดี และ สำคัญ เอาไปเลยครับ บ้าน 1 หลัง

574
ไม่เป็นไร เมื่อก่อนผมก็คิดมากนะ เลยตั้งกระทู้ถามหลายกระทู้เหมือนกันเดี๋ยวนี่คิดได้แล้วว่ามันอยู่ที่ใจครับ ใจคิดว่าอยู่ก็อยู่ ใจคิดว่าก็ไม่อยู่ครับ  :054:

575
ยันเก้ายอดก็ เป็นยันต์ครูอะ แคล้วคลาดกันอาวุธ และภัยอันตราย แล้วก็ แปดทิศ ก็เป็นยันต์ครูเหมือนกันนะ กันได้ทั้ง 8 ทิศครับ

576
จัดให้ตามคำขอครับ มีไม่มากหรอกแค่พอมี
















คุณภาพอาจจะไม่ดีนะครับ ขออภัยไว้ด้วย

577
ใช่ครับถ้าไม่ใช่คนที่มีบุญญาธิการ หรือ คนที่ไม่ใช่คนที่ถูกเลือกก็ไม่ได้เป็นร่างทรงครับ

578
ถ้าเกิดสักยันต์ ไม่ต้องกลัวผีหรอกครับ สบายใจทำใจให้นิ่งของพวกนี้จะทำอะไรเราไม่ได้ครับ

579
บ้านผมก็มีนะครับส่วนมากเป็นเหรียญอะครับ พอดีผมอยู่ภาคใต้อะครับ เลยมีมากหน่อย

580
สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักผม dangerous ครับ อิอิอิ

581
ตอนแรกก็ทำจิตใจให้สงบ แล้วก็ นะโม3จบ ตามด้วยคาถาครับ

582
ไม่หรอกครับท่านคาถาออกรถใหม่อะครับ มีแต่ ฤกษ์ ครับว่า ออกรถอะไรดี วันอะไร สีอะไร เดือนไหน ครับ ส่วนข้อมูลเรื่องฤกษ์อะลองไปหาซินแซ เก่งๆดูครับ

583
เรื่องเทวดาประจำตัว

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเด็กน้อยที่กำลังจะเกิดมาเป็นมนุษย์

วันหนึ่งเด็กน้อยทูลถามพระเจ้าว่า

"พวกเขาพูดกันว่า พระองค์จะส่งลูกไปเกิดในโลกมนุษย์ในวันพรุ่งนี้ แต่ลูกจะมีชีวิตอยู่
อย่างไร ในเมื่อลูกก็ตัวเล็กนิดเดียวแถมยังช่วยตัวเองไม่ได้อีก?"

พระเจ้าทรงตอบว่า "ในท่ามกลางเทวดาทั้งหลาย เราจะเลือกเทวดาองค์หนึ่ง
ไว้สำหรับเจ้า
เธอผู้นั้น ... จะรอคอยเจ้าอยู ่และจะคอยช่วยเหลือเจ้าเอง"

เด็กน้อยถามต่อว่า "แต่โปรดบอกลูกเถิด ในสวรรค์นี้ ลูกไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่
ได้ขับร้องเพลงก็ทำให้ลูกมีรอยยิ้มได้ และลูกเองก็มีความสุขมากพออยู่แล้ว"

พระเจ้าทรงตอบว่า "เทวดาของเจ้า จะคอยร้องเพลงกล่อมเจ้าเอง และจะคอยส่งยิ้ม
ให้เจ้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตัวเจ้าจะได้รู้สึกถึงความรักที่เทวดาองค์นั้นมีต่อเจ้า
และก็จะเป็นสุขใจ"

เด็กน้อยยังถามต่อว่า "แล้วลูกจะเข้าใจเวลาที่พวกมนุษย์พูดกับลูกได้อย่างไรเล่า
ในเมื่อลูกไม่รู้จัก ภาษาที่พวกมนุษย์พูดกันเลย?"

พระเจ้าทรงตอบว่า"เทวดาของเจ้าจะสอนให้เจ้ารู้จักภาษาที่งดงามที่สุดที่เจ้าไม่เคย
ได้ยินจากที่ใดมาก่อน และด้วยความห่วงใยอย่างสุดซึ้ง และความอดทนเป็นเลิศ เธอจะ
ค่อยๆ สอนให้เจ้าพูดจนได้"

เด็กน้อยยังคงกังวลจึงถามว่า "ลูกได้ยินมาว่าบนโลกมนุษย์มีคนเลวมากมาย แล้วใคร
เล่าจะคอยปกป้องลูก?"

พระเจ้าก็ทรงตอบว่า "ก็เทวดาของเจ้าไงที่จะคอยปกป้องเจ้า แม้ว่าสิ่งนั้นจะมีอันตราย
จนต้องเอาชีวิตเข้าแลก"

ในเวลานั้น ถึงแม้ว่าในสวรรค์จะสงบสุขเพียงใด แต่เสียงเรียกจากโลกมนุษย์ก็สามารถ
ได้ยินกันไปทั่ว และเด็กน้อยก็รู้ว่าต้องรีบไปเกิดแล้ว จึงถามพระเจ้าเบาๆ ว่า

"ข้าแต่พระเป็นเจ้า นี่คงถึงเวลาที่ลูกจะต้องไปเกิดแล้ว ได้โปรดบอกลูกด้วยเถอะว่า
เทวดาของลูกนั้นมีชื่อว่าอะไร"

พระเจ้าทรงตอบอย่างใจดีว่า "เทวดาของเจ้านั้นเหรอ ชื่อของเธอไม่ใช่เรื่องสำคัญ
หรอก แต่เมื่อพบกันเจ้าจะเรียกเธอว่า ... แม่ "

584
หนุมาน 8 กร แผลงฤทธิ์ ครับ ผิดถูกยังไงขออภัยด้วย

585
เห็นด้วยกับท่านณัฐ ครับ

586
อย่าเลยครับ อย่าทับเลย ไม่สมควรครับ อักขระอาจจะทับกันดวยนะครับ

587
รักเดียวใจเดียว ไม่เคยเหลียวมองสาวใด ในใจมีแต่เธอผู้เดียว    นะจ๊ะจะบอกให้  :004:

588
ไม่ผิดหรอกทำใจให้สบาย อิอิ อย่าไปคิดมาก ว่างๆเก็บตังได้มากก็ไปขอพ่อแม่เขาซะ

590
ก็ หะ นุ มา นะ นั่นแหละครบ หรือไม่ก็ ยะ ตะ มะ อะ หรืออีกแบบ นะ สัง สะ ตัง

591
ขอประทาน ขอครับคราวนี้ข้าน้อยจะมีเถียงศิษย์พวกพี่อีกแล้วครับ อิอิอิ  :005:

592
14 เหตุผลที่ควรรักแม่มากกว่าแฟน

1. เราคงไม่ได้อยู่บนโลกนี้ถ้าไม่มีแม่

2. แม่ไม่เคยหลอกให้เราหลงรัก  เพราะเราเต็มใจรักแม่โดยไม่ต้องหลง

3. แม่อาจเคยตีเราให้เจ็บตัว  แต่ไม่เคยทำให้เราเจ็บหัวใจ

4. แม่ส่งเสียเราทุกอย่าง

5. แม่ไม่เคยบอกเลิก

6. แม่เป็นแบงค์ส่วนตัวที่เวลากู้ไม่เคยคิดดอกเบี้ยและไม่เคยทวงคืน

7. แม่เคยเห็นเราเดินแก้ผ้าตั้งแต่เล็ก  โดยไม่เคยติเรื่องรูปร่าง

8. แม่เป็นคนที่เห็นเราดีกว่าแฟนแม่เสมอ

9. ขอหอมแม่ไม่ยากเท่าขอหอมแฟน

10. แม่ยอมตัดสะดือตัวเองเพื่อให้เราเกิดมา

11. แม่สอนให้เราพูดได้ ....

12. แฟนไม่ได้มีนม (สดจากเต้า)

13. แม่ยอมเป็นยัยอ้วนลงพุงตั้ง 9 เดือน

14. ประเทศนี้ไม่มี"วันแฟนแห่งชาติ"

593
ไหนครับยังไม่ได้บอกทีครับเขาบอกว่า พุดซ้อน นะ ไม่ใช่ พุทธซ้อน นิครับ     จ๋อยไปเลยซิครับ

594
เก๋ามากครับ สวยๆขอแสดงความนับถือ เอาไปเลย +1

595
พุทธซ้อน นะจะดีกว่านะครับ เมตตาก็ได้เสน่ห์ก็ได้

596
แม่ทำกับข้าวไว้ แล้วคนในบ้านกินไปแล้ว แล้วเราจะกินต่อได้ไหม

597
หนุมานเชิญธง ทรงฤทธิ์ครับ ผิดถูกยังขออภัยด้วย

598
รายงานตัวครับ เด็กใต้ที่นับถือหลวงพ่อเปิ่นครับ

599
โอ้สุดยอดมากครับ เป็นขวัญตาจริงครับ +1 เอาไปเลยครับ

600
ได้ชมเหมือนกันครับ รายการบันทึกลึกลับอะครับ ตอนที่หลวงพ่อพูดอะครับ ผมตื้นตันใจมากเลย

601
ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ

602
โห พ่อพาสักเลยเหรอแจ่มดิ ก็ สักน้ำมันดีไปก่อนเถอะครับ เพราะไม่ว่า จะหมึก หรือ สักน้ำมัน พุทธคุณ เหมือนกันครับ อยู่ที่ ใจ และ ศรัทธา ครับผม

603
ความ สามัคคี และ ความศรัทธา และ คุณธรรม ครับ

604
เอ่อคือว่าพอดีวันนี่ไปเล่นน้ำมาแล้วเล่นน้ำอยู่สักพัก มีขี้ลอยมา อย่างงี้รอยสักที่สักมาจะเสื่อมไหมครับ

605
ขอบใจนาย กระทู้ข้างบนนะ

606
แล้วไม่ทราบว่าเพื่อนชู๊ตบาสข้ามหัวสิ่งที่สักมาเสื่อมไหมครับ แล้วถ้าเกิดสาว ป.จ.ด โยนลูกบาสข้ามหัว ของเสื่อมไหมครับสิ่งที่สักมาเสื่อมไหมครับ

607
ถ้าเกิดว่าสาวพรหฒจรรย์ หรือสาวมี ป.จ.ด. โยนลูกบาสข้ามหัวของที่สักมาเสื่อมมะ

608
ความคิดของผมนะครับ ให้รีบพาพี่สาวไปสักที่วัดบางพระเถอะครับ หรืออาจารย์ท่านไหนก็ได้ที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเปิ่นอะครับ ผมเคยมีประสบการณ์มาเล่าให้ฟังว่า
เพื่อนผมอะมันเคยสักกับอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ลูกพ่อเปิ่นครับ วันนั้นเป็นหยุดแล้วชวนกันเที่ยวแล้วเพื่อนผมที่สักอะมันบอกว่ามันเห็นดวงไฟคล้ายๆวิญญาณอะครับลอยมาใกล้ๆแล้วหลังจากนั้นของที่มันเคยสัก ลิงลมกับหนุมาน อะครับพอสักพักของขึ้นคล้ายๆกับปกป้องเพื่อนผมอะครับ แบบไม่ให้ผีตัวนั้นเข้าเพื่อนผมอะครับ แต่ถ้าไม่อยากสักละก็ไปหาหลวงพ่อเก่งๆ อะครับให้ท่านเป่าหัวให้หรือ ไปเช่าตะกรุดดีๆเก็บไว้ที่ตัวสัก ดอกสองดอก หรือไม่ก็แขวนพระครับ แล้ว ควรนั่งสมาธิให้จิตนิ่งครับ เคยมีพระองค์หนึ่งบอกว่า ถ้าจิตนิ่งภูตผีปีศาจก็ทำอะไรเราไม่ได้ครับ
ผมก็มีความคิดของผมเท่านี่แหละครับ ขอเป็นกำลังใจช่วยพี่คุณนะครับ

609
เอ่อพอดีตอนสักไม่ได้ดูภาพอะครับแค่บอกว่า เอาหนุมานเชิญธง กับเก้ายอด แล้วผมคนผิวคล้ำไงเลยมองไม่เห็น 3 วันแผลหายครับเลยไม่รุ้ว่ารูปเป็นยังไงอะงับ สักกับอ.ที่วัดบาพระนี่แหละครับแต่ท่านลงมาที่แถวบ้านเลยไปสัก เลยไม่รุ้ว่ารูปเป็นไงอะครับ

610
มีเรื่องจะถามหน่อยไม่ทราบว่า หนุมานเชิญธงที่อีกข้างถือพระขรรค์อะพี่ ใครมีรูปมั้ง แล้วก็ขอพุทธคุณด้วยครับพี่ขอบใจอย่างแรงเลยครับ

611
พอดีผมพึ่งไปสักยันต์ เก้ายอดกับหนุมานเชิญธงอะครับ พอดีเวลาไปเล่นบาส เล่นบอล เล่นแบดมินตันด้วย เวลาเพื่อนเตะลองบอลข้ามหัว เวลาชู๊ตบาส ข้ามหัวอะไรอย่างงี้อะคับของจะเสื่อมไหมครับ ขอคำตอบด้วยครับ สงสัยมากครับ

หน้า: [1]