ผู้เขียน หัวข้อ: พิษของกามคุณ ๕  (อ่าน 1714 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ NONGEAR44

  • นวมะ
  • ****
  • กระทู้: 669
  • เพศ: ชาย
    • MSN Messenger - en2005f@hotmail.com
    • ดูรายละเอียด
พิษของกามคุณ ๕
« เมื่อ: 30 ส.ค. 2553, 10:25:55 »
                                                            พิษของกามคุณ ๕

  ฉันใดพิษของ กามคุณ ๕ ที่เรียกว่ากามสุขก็เป็นเช่นนั้น กามคุณ ๕ เวลาได้เสพสัมผัส ก็จะมีความสุข เช่น เวลาไปดูหนังดูละคร ได้อยู่ใกล้กับคนที่เรารักเราชอบ เราก็จะมีความสุข แต่ยามที่ต้องห่างจากสิ่งเหล่านี้ ใจของเราก็จะมีความว้าวุ่นขุ่นมัว มีความว้าเหว่ มีความเศร้าสร้อยหงอยเหงา ก็ต้องสั่งให้ออกไปหาสิ่งเหล่านี้อยู่เรื่อยๆ เมื่อออกไปหาสิ่งเหล่านี้มากๆ เข้า ก็จะไม่มีเวลาทำมาหากิน เลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วยความสุจริต เมื่อไม่มีเงินทองที่จะเลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วยความสุจริตก็จะนำไปสู่การทุจริต ดังที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ สมัยนี้คนเราวิ่งหาเงินทองกันเหมือนกับเป็นพระเจ้า เพราะรู้สึกว่าถ้ามีเงินทองแล้ว จะสามารถบันดาลความสุขให้กับตนได้ จึงวิ่งหาเงินทองกัน แบบไม่คิดถึงว่าจะหามาด้วยวิธีใด ถ้าหามาได้ด้วยความสุจริตก็จะหามา ถ้าหาด้วยความสุจริตไม่ได้ ก็จะหาด้วยความทุจริต โดยไม่เกรงกลัวกับบาปกรรมที่จะตามมาต่อไป

 

              กามคุณ ๑ : กินอาหาร เสพเข้าไปเท่าไร ก็ยิ่งติดรสชาติมากเข้าไปมากขึ้นเป็นทวีคูณ เสพแล้วไม่มีวันไม่เบื่อ

  การกระทำย่อมมีผลตามมา สุจริตก็มีผลตามมา ทุจริตก็มีผลตามมา สุจริตทำไปแล้ว ไม่มีความเสียหาย มีแต่ความเจริญตามมาแต่ถ้าทำด้วยความทุจริต ก็จะมีแต่ความเสื่อมเสีย มีแต่ความทุกข์ตามมาแต่เมื่อคนเราคิดกับสิ่งต่างๆ ไม่สามารถจะเลิกได้ ก็จะไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะตามมาเพราะผลเสียตามมาทีหลัง ไม่ได้มาก่อน แต่ความสุขที่ได้จากการไปคดไปโกง ไปลัก ไปขโมย เพื่อจะได้เอาเงินไปซื้อความสุขนั้นมันมาก่อน เลยไม่คิดถึงความทุกข์ที่จะตามมาต่อไป เพราะคิดสั้นคิดแบบสุกเอาเผากิน ขอให้ได้เสียก่อน ส่วนผลเสียที่จะตามมาทีหลังจะเป็นอย่างไร ไม่ค่อยสนใจ แต่ในที่สุดผลก็ตามมา ทั้งในปัจจุบันชาติและในชาติหน้า ในปัจจุบัน เมื่อเริ่มประกอบการทุจริตแล้ว ใจก็จะมีความว้าวุ่นขุ่นมัว มีความวิตก มีความกังวล เพราะมีชนักติดหลังอยู่ไม่ทราบว่า จะต้องถูกจับไปเข้าคุกเข้าตะรางเมี่อไหร่ ก็จะไม่ได้อยู่ด้วยความสุขใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ มีแต่ความหวาดผวา เดินไปไหนมาไหนเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็เกิดความตกใจกลัวขึ้นมา ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ไมรู้เรื่องของเราเลยแม้แต่น้อยนิด

 

            กามคุณ ๒ : การนอน เสพเข้าไปเท่าไร ก็ยิ่งติดความสบายกายเป็นทวีคูณ เสพแล้วไม่มีวันไม่เบื่อ
 
   นี่แหละคือธรรมชาติของการทำบาปทำกรรม เมื่อทำผิดไปแล้วจะสร้างความวิตก ความกังวล ความหวาดกลัว ขึ้นมาในใจของผู้กระทำความสุขที่ได้จากการไปโกง ไปขโมยเงินทองมา ก็หมดไปแล้ว เงินทองที่ได้มา เอาไปใช้ไปเสพหมดแล้ว ต้องคอยหลบเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกจากนั้นแล้ว ความอยากที่มีอยู่ในใจก็ยังไม่หมดไป ก็ยังมีคาามอยากอยู่เหมือนเดิม ก็ยังต้องออกไปหาความสุขอีก ต้องมีแต่ความหวาดระแวงไม่รู้ว่าเมื่อออกไปแล้ว จะถูกเจ้าหน้าที่จับตัวเมื่อไร นั่นแหละคือความเห็นผิดเป็นชอบ คิดว่าความสุขอยู่กับกามสุข อยู่กับการได้เสพกามได้เสพรูป ได้ยินเสียง ได้ลิ้มรส ได้ดมกลิ่น ได้สัมผัสโผฏฐัพพะ ที่ถูกอกถูกใจ เวลาได้เสพก็มีความสุข แต่เวลาไม่ได้เสพ ก็มีความว้าเหว่มีความเศร้าสร้อยเหงาหงอย เป็นเครื่องผลักดันให้ต้องออกไปหามาเสพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

 

               กามคุณ ๓ : การสัมผัสระหว่างเพศ เสพเมถุนแล้วยิ่งลุ่มหลงเมามันจนยากกว่าจะถอนตัวขึ้น เสพแล้วไม่มีวันไม่เบื่อ
 
   พระพุทธเจ้าทรงเห็นแล้ว ในฐานะที่เป็นราชกุมาร พระราชบิดาผู้มีความปรารถนา ที่จะให้พระพุทธเจ้าในครั้งที่เป็นราชกุมาร อยู่สืบทอดพระราชสมบัติต่อไป จึงพยายามที่จะห้อมล้อมพระราชกุมารด้วยกามสุขชนิดต่างๆ เพื่อจะได้ไม่คิดหนีจากพระราชวัง เพื่อออกไปแสวงหาความสุขที่แท้จริง ถึงแม้จะมีความสุขห้อมล้อม แต่ในพระทัยของพระองค์ก็ทรงรู้ว่าเป็นความสุขชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เมื่อได้สัมผัสมาก ๆ เข้าก็เกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาได้ เหมือนกับเวลารับประทานอาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นอาหารที่ถูกอก ถูกใจ ถูกปาก ถูกลิ้น เป็นอาหารจานโปรด แต่ถ้ารับประทานไปทุกมื้อทุกวันแล้ว ไม่ช้าก็เร็วก็จะเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมา นี่ก็เป็นความทุกข์อีกแบบหนึ่ง ทั้งๆ ที่ได้เสพได้สัมผัสสิ่งที่ชอบ สิ่งที่อยาก แต่เมื่อเสพไปบ่อย ๆ ก็เกิดความจำเจเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาถ้าเป็นคนฉลาดก็จะเริ่มรู้แล้วว่านี่ไม่ใช่ความสุขเลย แต่ถ้าเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา พอจะหาวิธีใหม่ คือเมื่อเบื่อสิ่งนี้ก็ไปหาสิ่งอื่นมาทดแทน

 

              กามคุณ ๔ : อำนาจ เมื่อผู้ใดเสพแล้วยิ่งลุ่มหลงมัวเมา หวังเป็นใหญ่ตลอดกาลและมักถือยศศักดิ์เป็นใหญ่ เสพแล้วไม่มีวันไม่เบื่อ
 

  ถ้าเบื่อคนนี้ ก็หาคนอื่นมาแทน แต่มันก็เหมือนกันแหละ คนเรามันก็เหมือนๆ กัน สิ่งของต่างๆ มันก็เหมือนๆ กัน รูปก็รูปเหมือนกันเสียงก็เสียงเหมือนกัน กลิ่น รส โผฏฐัพพะก็เหมือนกัน ต่างที่รูปลักษณ์เท่านั้นเอง

 แต่โดยธรรมชาติของกามคุณ ๕ แล้ว ย่อมสร้างความเบื่อหน่ายให้กับทุกคน เมื่อได้สัมผัสอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเกิดความชินชาขึ้นมา ทำไมเราจึงต้องไปเที่ยวกัน เพราะเบื่อความจำเจ เห็นบ้านเราเห็นสถานที่ของเราทุก ๆ วัน ก็เกิดความเบื่อหน่าย ก็เลยอยากจะไปสถานที่อื่นๆ จึงเกิดมีการท่องเที่ยวขึ้นมา เราเบื่อบ้าน เบื่อเมืองของเราเราก็ไปท่องเที่ยวเมืองนอกเมืองนากัน พวกที่อยู่เมืองนอกเมืองนาเขาก็เบื่อบ้านของเขา เขาก็มาเที่ยวบ้านเรา ทั้งๆ ที่เราเบื่อแสนเบื่อไม่เห็นจะมีอะไรดี แต่เขากลับเห็นว่า บ้านเรามีอะไรดีเยอะแยะไปหมดในทางตรงกันข้ามเขาก็เบื่อบ้านเขา เขาก็ไม่เห็นว่าบ้านเขามีอะไรดีแต่เรากลับไปเห็นว่ามีอะไรดี นั่นแหละคืออำนาจของความหลงที่ครอบงำจิตใจ แล้วก็สร้างความรู้สึกว่า จะต้องมีอะไรดีกว่าที่มีอยู่ เป็นอยู่จึงทำให้ต้องดิ้นรนขวนขวาย เปลี่ยนที่อยู่เรื่อยๆ ไป เปลี่ยนสิ่งนั้นเปลี่ยนสิ่งนี้ไปเรื่อยๆ ใส่เสี้อผ้าชุดไหนจำเจ ก็เบื่อ ก็ต้องหาเสื้อผ้าชุดใหม่มาใส่ มีทรงผมแบบไหน อยู่ไปสักพักก็เบื่อ ก็ต้องเปลี่ยนทรงผมใหม่

 

            กามคุณ ๕ : อบายมุข เมื่อผู้ใดเสพแล้วยิ่งยากกว่าจะถอนตัวขึ้น เมื่อเสพยาแล้วจะรู้สึกว่า โลกทั้งใบเป็นของฉันคนเดียวมันมีความสุขมาก  เสพแล้วไม่มีวันไม่เบื่อ
 
   นี่แหละคือลักษณะของกามคุณ ๕ ไม่ได้สร้างความอิ่ม สร้างความพอ มีแต่จะสร้างความเบื่อหน่าย ถ้าได้สัมผัสมากเกินไป ถ้าสัมผัสน้อยไป ก็จะไม่พอ ก็เกิดความหิว เกิดความกระหาย อยากจะเสพเพิ่มขึ้นไปอีก ก็เลยหาจุดอิ่มจุดพอไม่เจอ เพราะความอิ่มความพอ ไม่มีอยู่ในกามคุณ ๕ พระพุทธเจ้าผู้มีปัญญา ทรงรู้จักคิด เมื่อคิดแล้วก็ทรงเห็นว่า กามคุณ ๕ เป็นอย่างนี้เอง จะไปเอาความสุขที่แท้จริงจากเขาย่อมเป็นไปไม่ได้ มีแต่จะให้ความทุกข์กับผู้ไปหลง ไปยึด ไปติด ไปเสพเมื่อเป็นเช่นนั้น พระพุทธเจ้าจึงแสวงหาความสุขอีกชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่าสันติสุข ความสุขที่เกิดจากความสงบของใจ ใจจะสงบได้ ใจจะต้องสลัดกามคุณทั้ง ๕ คือต้องไม่ไปแสวงหา ต้องงด ต้องระงับ เคยดูหนังดูละคร ก็ต้องหยุดดู เคยไปเที่ยวก็ต้องหยุดเที่ยว เคยกินเหล้าเมายาก็ต้องหยุดกิน เคยมีคู่ครองก็จะต้องละเว้นจากการมีคู่ครอง ชึ่งเป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับคนทั่วๆ ไป เพราะยังถูกอำนาจของความหลงครอบงำอยู่ ยังคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีอยู่ หรือถ้ารู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ก็ไม่มีกำลังพอที่จะสลัดให้หลุดพ้นไปจากใจของตนได้
   
    มีคนเพียงไม่กี่คน ที่มีความสามารถ มีขันติความอดทน มีวิริยะความพากเพียรพอที่จะต่อสู้กับการยึดติดในกามคุณ ๕ เมื่อทำได้แล้วจะประสบกับสิ่งที่ไม่เคยพบ เคยสัมผัสมาก่อน คือความสุขที่แท้จริงความสุขที่ประเสริฐ ความสุขที่เลิศ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ไม่มีความสุขอันใดในโลกนี้ ที่จะประเสริฐ จะดีเลิศ เท่ากับความสุข ที่เกิดจากความสงบของใจ ก็คือสันติสุขนั่นเอง สันติสุขจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องละกามสุขก่อน พยายามลดละกามสุขไปเท่าที่จะทำได้ ไม่จำเป็นต้องเลิกไปเลยในทีเดียวเพราะเป็นสิ่งที่ยาก เหมือนกับการตัดต้นไม้ จะไม่สามารถฟันต้นไม้ให้ขาดด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว แต่ต้องค่อยๆ ฟันไปเรื่อยๆฟันไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่ช้าก็เร็ว ต้นไม้นั้น ก็จะต้องถูกตัดขาดอย่างแน่นอน ถ้ามีความอดทน มีความขยันหมั่นเพียร

 

   ที่มา ขอบคุณครับ  http://tevisho.com