ผู้เขียน หัวข้อ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (3)  (อ่าน 2332 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ปฏิบัติไม่คุ้มค่า

ถ้าท่านลำพังแต่เพียงแค่นั่งสมาธิ 3-4 ชั่วโมง ออกมาแล้ว ปล่อยจิตปล่อยใจให้เป็นไปตามอำเภอใจ ไม่มีการทำสติกำหนดตามรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านประสบอยู่ มันก็ไม่คุ้มค่า จะไปสำรวมจิตเฉพาะในขณะหลับตานั้นไม่คุ้มเพราะแรงผลักดันที่จะทำจิตของเราให้ตกอยู่ในอำนาจฝ่ายต่ำนี้มันมีมากเหลือเกิน

เครื่องวัดผล

ถ้าท่านจะเป็นนักปฏิบัติอย่างแท้จริง
ท่านอย่าไปถือพวกถือพรรค
ถือคณะว่าหมู่เขา หมู่เรา อาจารย์เขา อาจารย์เรา
ขอให้ยึดถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่ง

ธรรม

สัมมาสมาธิ มุ่งให้จิตตั้งมั่นให้รู้จริง เห็นจริง
ภายในจิตใจของตนเอง อย่างน้อยก็ให้รู้ว่า
ใจของเราจิตของเรามันเป็นอย่างไร มันเป็นคนขี้โลภ
ขี้โกรธ ขี้หลง หรืออะไรก็แล้วแต่ อ่านตัวเองให้มันออก
นี้คือจุดที่ต้องการรู้


ศาสนาพุทธเป็นศาสนาวิทยาศาสตร์
หากใครว่าศาสนาพุทธไม่ใช่วิทยาศาสตร์
แสดงว่าผู้นั้นไม่รู้จักศาสนาพุทธจริง


เราเหงา เราหวังพึ่งคนอื่น สิ่งอื่น
ถ้าใจมันนึกว่า "อัตตาหิ อัตตโน นาโถ"
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ก็หายเหงา
ทำใจให้มีที่อยู่ ที่อยู่ของใจ คือ วิหารธรรม
ถ้าใจยึดมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
อย่างแน่วแน่ ก็หายเหงา


ปฏิบัติแล้วไม่ก้าวหน้า เพราะปฏิบัติไม่ถึง
ไม่ถึงขั้นสละชีวิตเพื่อข้อวัตรปฏิบัติ
เราขาดความอดทน
ทำไม่ถึง แล้วก็ทำไม่ถูกต้อง
เพราะฉะนั้นต้องทำให้มาก ๆ
อบรมให้มาก ๆ มันถึงจะก้าวหน้า


ท่านผู้ใดสำคัญตนว่าเป็นพระโสดาบัน คนนั้นไม่ใช่
ท่านผู้ใดสำคัญตนว่าเป็นพระสกทาคา อนาคามี อรหันต์
คนนั้นไม่ใช่…
เพราะความเป็นพระอรหันต์มันอยู่เหนือสมมติบัญญัติ
ผู้สำเร็จแล้วจะรู้สึกเพียงแค่ว่าตัวหมดกิเลสแล้วเท่านั้น


ในประเทศไทยนี่เรามีแต่เกจิอาจารย์เก่ง ๆ ทั้งนั้น
อาจารย์ไหนประกาศออกมาก็ของดีร่ำรวยอย่างนั้นอย่างนี้
แต่คนก็จนลงทุกที เพราะอะไร…
เพราะเขาไปคอยแต่ฟ้าดินจะบันดาลให้
คอยแต่เครื่องราง ของขลังของดิบของดีมาช่วย
แต่ตัวเองไม่ช่วยตัวเอง
จงพยายามหาที่พึ่งให้ตนเอง
คนที่หาพึ่งแต่คนอื่น จะพบแต่ความหลอกลวง
เดี๋ยวนี้คนทั้งหลายคิดหาพึ่งคนอื่น ซึ่งผิดหลักความจริง
จงสร้างสมรรถภาพของตัวเองให้มีจิตใจเข้มแข็ง


เรียนธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ เป็นหลักสูตรรักษาใจ
วิชาแพทย์เป็นสูตรสำหรับรักษาร่างกาย
เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจทั้งสองอย่างแล้วก็สบาย

ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0744_2.html
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (3)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 09 มิ.ย. 2554, 09:24:24 »
อโหสิกรรม

เมื่อทำกุศลคุณงามความดีให้แก่กล้ามากขึ้น มีกำลังเหนือบาปกุศลกรรมเหล่านั้น ก็บีบคั้นบาปที่ทำไว้ก่อนไม่ให้มีโอกาสที่จะให้ผลได้ ในที่สุดก็เลยกลายเป็นอโหสิกรรมนี่ท่านเรียกว่า "อุปปีฬกกรรม" ทีนี้ถ้าหากว่าบุคคลมาทำบุญกุศลไว้แต่พอสมควร เมื่อภายหลังมาเกิดความเห็นผิดไปทำบาปเสียหายเข้า อันนี้อำนาจของบาปนั้นมันก็บีบคั้นบุญกุศลที่ทำไว้ไม่ให้มีโอกาสได้มีผลแก่ผู้กระทำเลยเพราะว่ามันมีกำลังน้อย บาปมีกำลังมากกว่า บุคคลนั้นจึงต้องประสบแต่ความทุกข์เป็นส่วนมาก

วัตถุมงคล

ครั้งหนึ่ง…มีผู้นำพระบูชารูปหล่อของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
ไปให้ท่านอธิษฐานจิต หลวงพ่อท่านกล่าวว่า
"เอาไปทำไม เกะกะรกบ้าน ที่พูดอย่างนี้
ไม่ใช่ดูถูกวัตถุมงคลหรอกหนา
แต่อยากจะให้เข้าใจว่า วัตถุมงคลเป็นเครื่องจูงใจ
ทำกาย ทำวาจา ทำใจ ให้เป็นพระไม่ดีกว่าหรือ"


ทุกข์ 2 อย่าง

พระพุทธเจ้าไม่ได้สร้างของจริงมาไว้ให้เราศึกษา ไม่ได้มาสร้างของจริงไว้ให้เราเรียนรู้ แต่พระองค์รู้ของจริงอยู่โดยธรรมชาติแล้วก็มาบัญญัติชื่อไว้สำหรับให้พวกเราเรียกขาน และได้ดำเนินการปฏิบัติเพื่อให้เข้าไปรู้ของจริงอันนั้น ซึ่งเรียกว่า ทุกขอริยสัจ และอีกอย่างหนึ่ง คำว่าทุกข์ในอริยสัจ นั้น หมายถึงทุกข์ของสิ่งที่มีชีวิตจิตใจ   ซึ่งมีนัยแตกต่างกันกับทุกข์ในพระไตรลักษณ์ ทุกข์ในพระไตรลักษณ์นั้นเป็นทุกข์สาธารณะทั่วไปทั้งของสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต เช่น สิ่งธรรมชาติที่ไม่มีจิต ไม่มีใจ เขาก็ย่อมมีการปรากฏขึ้นในเบื้องต้น ทรงตัวอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ในที่สุดก็สลายตัว แม้ว่าตัวเขาเองจะรู้สึก ไม่รู้สึกก็ตาม แต่มันเป็นกฎธรรมชาติชนิดนั้น   และสิ่งที่มีชีวิตก็อยู่ในกฎแห่งความเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
คนเราที่เกิดมาแล้ว ทรงตัวอยู่ชั่วชีวิตหนึ่ง ในที่สุดก็ย่อมสลายตัวเหมือนกัน ความรู้สึกนึกคิดที่มีอยู่ในจิตในใจของเรา ก็มีปรากฎการณ์ขึ้นชั่วขณะหนึ่งแล้วก็ทรงตัวอยู่ ในที่สุดต้องสลายตัวเหมือนกัน ซึ่งได้ในกฎพระบัญญัติของพระพุทธเจ้าว่า อนิจจังไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หรือหาความเป็นตัวเป็นตนไม่มี ดังนั้น ความเป็นไปของคำว่า ทุกข์ในอริยสัจและ ทุกข์ในพระไตรลักษณ์ จึงมีนัยต่างกัน


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0844_1.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (3)
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 09 มิ.ย. 2554, 09:29:39 »
สภาวธรรม

มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ที่เกิดมา ตามกฎของบุญของกรรม แล้วก็จะต้องมีการแก่ การเจ็บ การตาย ไปโดยธรรมชาติ อันนี้เรียกว่าสภาวธรรมที่เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ    สภาวะอันเป็นคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติคือ ศีล สมาธิ ปัญญานั้น เป็นกฎหรือระเบียบ เป็นคำสอนสำหรับกล่อมเกลาสภาวธรรมคือกายกับใจของมนุษย์ให้มีสภาพดียิ่งขึ้น
ดังนั้น   หลักการปฏิบัติเพื่อดำเนินเข้าไปสู่ความเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ซึ่งเรียกว่า สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ   พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้วนั้น จึงไม่หนีไปจากหลัก คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล ก็ได้แก่ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ศีลแต่ละประเภทแต่ละชั้น แต่ละภูมินั้น ย่อมเป็นกฎอันหนึ่งสำหรับกล่อมเกลาสภาวธรรมให้มีสภาวธรรมดีขึ้นและอีกนัยหนึ่ง   การเป็นผู้มีศีลนั้นเป็นการตัดผลเพิ่มของบาปกรรมที่มันจะเพิ่มทวีคูณขึ้นทุกที ๆ


สมาธิที่ถูกต้อง

ลักษณะสังเกตการทำสมาธิ ถ้าหากเราทำสมาธิที่ถูกต้อง ภูมิจิตที่มันเป็นสมาธิที่ถูกต้องนั้นจะมีลักษณะบ่งบอกว่า สมาธิจะต้องทำกายให้เบา ทำจิตให้เบา เบาจนกระทั่งบางครั้งเรารู้สึกว่าไม่มีกายนี้ ลักษณะของสมาธิที่ถูกต้อง แล้วเมื่อเลิกปฏิบัติ คือออกจากสมาธิแล้ว ก็ทำให้กายเบาตลอดเวลา   แม้แต่จะลุกจากที่นั่งนี้   อาการเหน็บชาหรืออะไรต่างๆ   จะไม่ปรากฏ   พอจิตออกจากสมาธิลืมตาขึ้นโพลงก็ลุกขึ้นเดินไปได้เลย    ไม่ต้องดัดแข้งดัดขาอันนี้คือสมาธิที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง

ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0844_1.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 มิ.ย. 2554, 09:30:15 โดย ทรงกลด »

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (3)
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 09 มิ.ย. 2554, 09:33:08 »
เมตตาธรรม

เมื่อเรามีการเกี่ยวข้องกับคนอื่น เรามีความหวังดีต่อคนอื่นอยากจะให้เขาประพฤติดีปฏิบัติชอบ เมื่อเราให้คำแนะนำตักเตือนเขา ถ้าเขายอมรับ จิตของเราจะทำหน้าที่ให้การอบรมตักเตือนสั่งสอนเรื่อยไป ด้วยความเมตตาปรานี ด้วยความหวังดีที่จะช่วยพยุงการประพฤติกาย วาจา และใจให้มีระดับสูงขึ้น เป็นการสงเคราะห์กันด้วยธรรม เป็นการแสดงความเมตตากันโดยธรรมแต่ผู้ใดไม่ยอมรับฟังโอวาทคำสั่งสอน จิตของผู้รู้พิจารณาแล้วว่าทำไปก็ไม่เกิดประโยชน์ นอกจากจะทำให้เกิดมีการร้าวรานแตกความสามัคคีซึ่งกันและกันก็จะหยุดเสีย ผู้ที่มีสมาธิมีสติปัญญาจะต้องเป็นอย่างนั้นเพราะการประพฤติปฏิบัติธรรมนี่ขึ้นอยู่กับสมรรถภาพของผู้ปฏิบัติเอง


ธรรมคือธรรมชาติ

ท่านชายสิทธัตถะยึดอะไรเป็นหลักปฏิบัติที่ทำให้พระองค์ได้ตรัสรู้ พระองค์จับลมหายใจ เอาลมหายใจเป็นอารมณ์จิต เมื่อจิตอยู่กับลมหายใจพระองค์ก็ปล่อยให้อยู่ ถ้าจิตพาเกิดความคิดพระองค์กำหนดรู้ความคิด ถ้าจิตว่างกำหนดรู้ความว่าง พระองค์ให้จิตของพระองค์เดินอยู่ที่ลมหายใจ ความคิด ความว่าง… ลมหายใจ ความคิด ความว่าง เดินวนเวียนกันอยู่ที่ตรงนี้ จนกระทั่งจิตเกิดความแน่วแน่เข้าสมาธิแล้วดำเนินไปตามขั้นตอน
อันนี้คือวิถีทางที่ท่านชายสิทธัตถะได้ปฏิบัติมา พุทโธก็ไม่มี สัมมาอรหังก็ไม่มี ยุบหนอ-พองหนอก็ไม่มี เพราะพระพุทธเจ้ายังไม่เกิด คำพูด ๓ คำนี้เป็นคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่มีจะเอาคำพูด ๓ คำนี้จากไหนมาท่อง เพราะฉะนั้นพระองค์ก็ต้องอาศัยทำสมาธิตามหลักของธรรมชาติ


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0844_2.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (3)
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 09 มิ.ย. 2554, 09:35:28 »
ศีล ๕ เครื่องควบคุม

     วิชาความรู้ทางคดีโลกนั้น ถ้าหากขาดธรรมะหรือศีลธรรมเป็นเครื่องควบคุม เราก็สามารถจะใช้วิชาการนั้นให้เป็นไปในทางที่ไม่ค่อยจะถูกต้อง ซึ่งอาจจะยังผลให้สังคมต้องเดือดร้อน วุ่นวายแต่ถ้าเรามีศีลธรรมเป็นเครื่องธรรมเป็นเครื่องควบคุม หรือเป็นแนวทางปฏิบัติเราก็สามารถจะใช้วิชาการนั้น ๆ ให้เป็นไปในทางที่มีคุณมีประโยชน์

     ทุกคนที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้มีความจำเป็นต้องเกี่ยวเนื่องด้วยสมาธิทั้งนั้น สมาธิเป็นเรื่องของชีวิตประจำวัน ไม่ใช่อื่นไกล การปฏิบัติสมาธิเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์เพราะชีวิตมนุษย์เป็นไปด้วยกำลังของสมาธิ คือความมั่นใจ


     เราจะเอาดีกับพระพุทธเจ้า เอาดีกับพระพุทธศาสนา เราต้องทำจิตของเราให้แน่วแน่ต่อคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ คุณของพระพุทธเจ้า จุดเริ่มอยู่ที่ความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี ทุกคนที่มีความรู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี มีคุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ ถ้าใครสามารถมาปฏิบัติสมาธิทำจิตให้สงบ นิ่ง รู้ ตื่น เบิกบานได้ เป็นจิตพุทธะอย่างแท้จริง

     ความชั่วที่จะละอยู่ที่ตรงไหนกันแน่ ถ้าตามหลักของศีลก็ละตามศีล ๕ นั่นเอง ถ้าตามหลักของการทำงานหรือการเรียน ความเกียจคร้าน ความมักง่าย ความไม่เอาไหน ความไม่จริงใจ ละสิ่งเหล่านี้ สร้างความมั่นใจ หรือตั้งใจมั่น ให้ใจมีสัจจะ สัจจะความจริงใจ ประพฤติสิ่งใดให้ได้สิ่งนั้น


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0844_2.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (3)
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 09 มิ.ย. 2554, 09:41:48 »
สร้างบุญบารมี

     เมื่อก่อนนี้หลวงพ่อนี่มีแต่นั่งกินบุญของคนอื่น อยากจะทำบุญอย่างเขาบ้างก็ไม่ได้ทำเพราะมันไม่เต็ม เวลานี้มันเต็มแล้ว ถึงไม่ใช่มหาเศรษฐีแต่มันก็เต็มแล้ว เต็มทั้งคุณธรรม เต็มทั้งวัตถุธรรม ในเมื่อมันเต็มแล้วมันก็ล้นออกมา ล้นออกมาเป็นทุนการศึกษาเด็กยากจนบ้าง เป็นโรงพยาบาลบ้าง เป็นโรงเรียนบ้างอย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ถ้ามันพร้อมแล้วมันก็ทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่เพียงเอาชื่อไปลงในใบประกาศทอดผ้าป่าเท่านั้นก็ยังได้เงินแสนเงินล้าน นี่ถ้ามันพร้อมแล้วมันก็ล้นออกมาเป็นประโยชน์สังคมอย่างนี้ แม้แต่เรานั่งอยู่เฉย ๆ มันก็ยังมีประโยชน์ ถ้าหากว่าคนรู้จักเอาประโยชน์จากเรา

ขนาดผีมันไปเข้าสิงคนอยู่จังหวัดภูเก็ต มันยังบอกว่าให้ไปทำสังฆทานกับหลวงพ่อพุธที่โคราชจึงจะหมดเคราะห์ ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อไม่ค่อยได้ไปภูเก็ตเท่าไรนัก ปีละหนก็ยังไม่เคย ไปแล้วมันไปเข้าสิงคน โอ๊ย เจ้านี่เคราะห์หนัก พวกที่เขาตั้งสำนักทรงนี่แหละ นายคนนี้เคราะห์ร้ายหนักต้องไปทำสังฆทานกับหลวงพ่อพุธที่วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา อุตส่าห์นั่งเครื่องบินมา มาสังฆทานที่นี่

หลวงพ่อสร้างอะไรต่ออะไรนี่ ไม่ต้องไปเที่ยวหาเรี่ยไรใคร เพียงแต่ปรารภก็มีผู้หยิบยื่นให้ นี่เมื่อสองสามวันนี่สร้างอนามัยอยู่ที่วัดวะภูแก้วแห่งหนึ่ง ที่นี่ (วัดป่าสาลวัน) แห่งหนึ่ง หลวงเขาให้ทุนมาแต่มันก็ไม่พอเราก็ต้องช่วยเขา เมื่อสองสามวันผ่านมานี่ขึ้นไปภูแก้ว คุณเปี๊ยกคุณกอบชัยเขานัดพบ เขาถามว่าอนามัยท่านขาดอะไร ขาดแต่รถยนต์รับส่งคนไข้ จะเอามาถวาย แน่ะ..เราบอกว่าคันเดียวไม่พอนะ ต้อง ๒ คัน เพราะว่าอนามัยมี ๒ แห่ง เขาบอกว่าเขาจะไปขอคุณแม่เขาคันหนึ่ง เขาจะให้คันหนึ่ง

    ทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นอานิสงส์ของการปฏิบัติศีลปฏิบัติธรรมที่ถูกต้อง ทีนี้บางทีความดีเราทำไม่ถึงและทำไม่จริงไม่จัง แต่เราต้องการผลประโยชน์ มันก็เหมือน ๆ กับชิงสุกก่อนห่าม ความดีไม่ทำแต่ว่าอยากได้ดี เหมือนคนไปทำงานในโรงงานต่าง ๆ อยากได้ค่าแรงสูง ๆ แต่ทำงานไม่เต็มที่ เบี้ยวงานอยู่เรื่อย ผลประโยชน์ของบริษัทมันลดน้อยลง รายจ่ายมันเพิ่มขึ้น เสร็จแล้วเขาจะเอาอะไรมาเฉลี่ยแบ่งปันให้เรา เพราะเราก็โกงแรงงานเขา โกงเวลาทำงานเขา อะไรทำนองนี้

    เพราะฉะนั้นความจริง ทำจริง ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ขยันไหว้พระสวดมนตร์ เราจะได้ภาคภูมิในคุณงามความดีของเรา อย่างน้อยก็ได้ความสบายใจ เคารพบูชาพ่อแม่ปู่ย่าตายาย มีพ่อมีแม่เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ มันมีอยู่แค่นี้แหละหลักปฏิบัติ


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0944_1.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (3)
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 09 มิ.ย. 2554, 09:50:31 »
สอนธรรม

แนวทางปฏิบัติกรรมฐานที่หลวงพ่อสอน บางเรื่องก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับของผู้ปฏิบัติแนวอื่น เช่น

๑. การปฏิบัติสมาธิแบบธรรมชาติ

     พวกชาวบ้านทั้งหลายเท่าที่ฟัง ๆ อยู่นี่ เอาเฉพาะชั่วเวลาหลังวันเกิดหลวงพ่อมาถึงวันนี้ (ปี ๒๕๓๙) มีคนที่ภาวนาเป็นนี่จำนวนหลายสิบคนที่มานั่งถามปัญหาอยู่นี่ แต่ในเมื่อเขามาถามแล้วอธิบายให้เขาฟัง เขามักจะพูดว่าทีอาจารย์อื่นทำไมเขาไม่ว่าเหมือนอย่างหลวงพ่อ อาจารย์อื่นเขาบังคับแต่ให้จิตหยุดนิ่งอย่างเดียว หลวงพ่อบอกเวลาจิตมันนิ่งปล่อยให้มันนิ่งไป เวลามันคิดปล่อยให้มันคิดไป เราเอาสติตัวเดียวเท่านั้น ถ้าเราปล่อยให้มันคิดปรุงแต่งไป เรากำหนดรู้ไป ๆ ๆ ธรรมชาติของจิต ถ้ามีสิ่งรู้สติมีสิ่งระลึก เขาจะเพิ่มพลังงานมากขึ้น ๆ พอได้พลังพร้อมเขาจะไปหยุดกึ๊กลงนิ่งปั๊บสว่างไสว สภาวะทั้งหลายมันจะมาวิ่งวนอยู่ที่จิตตลอดเวลา จิตหาได้หวั่นไหวต่อเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ ยืนหยัดอยู่ในความเป็นกลางโดยเที่ยงธรรม ไม่มีคติลำเอียงต่อสิ่งรู้สิ่งเห็น ความยินดีไม่มี ความยินร้ายไม่มี มีแต่จิตนิ่งสว่างเที่ยงตรงอยู่อย่างนั้น อันนี้แหละคือ ฐีติ ภูตัง ที่หลวงปู่มั่นท่านเทศน์ให้ลูกศิษย์ฟัง

…ความรู้เรื่องสมาธิในปัจจุบันนี้ที่พระท่านเถียงกันอยู่นี่ สมาธิมีหนึ่งเดียว ใครภาวนาแบบไหนอย่างไร เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิมีแนวโน้มเป็นอย่างเดียวกันหมด คือจิตจะต้องสงบนิ่ง สว่าง รู้ตื่น เบิกบาน ไม่มีอารมณ์อะไรที่จะมาคิด มีแต่นิ่ง สว่าง อันนี้เป็นสมาธิขั้นสมถะ…

๒. การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คนทั่วไปเข้าใจกันว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ในยามแรก จุตูปปาตญาณ ในยามที่ ๒ และอาสวักขยญาณในยามสุดท้าย แต่หลวงพ่อจะเทศน์ว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นโลกวิทูในขณะจิตเดียว แล้วจึงย้อนมาพิจารณาทีละเรื่องจนถึงยามสุดท้ายจึงตัดกิเลส เรื่องนี้หลวงพ่อเริ่มเทศน์ในราวปี ๒๕๓๕

หลวงพ่อไปเทศน์สนามหลวงเมื่อสามสี่ปีก่อน ไปเทศน์เรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า (ดูรายละเอียดเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า)…ทีนี้พอเทศน์จบเจ้าคุณมหาระแบบกับเจ้าคุณอะไรที่ไปอยู่ประเทศอินเดีย ท่านเดินเข้ามาคุยด้วย เออ..ความเข้าใจเรื่องธรรมะของนักปฏิบัติกับนักปริยัติไม่เหมือนกันนะ หลวงพ่อก็เลยบอกว่า ความเป็นจริงนั่นมันเหมือนกันหมด แต่ว่าเรารู้ขาดกับรู้เกินมันจึงไม่เหมือนกัน ความรู้พอดีมันไม่มีมันจึงแตกต่างกัน

๓. การสอนสมาธิให้สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน

         วันนี้ไปเทศน์ที่วิทยาลัยครู มีนักศึกษามาฟังประมาณ ๒ พันคน รู้สึกว่าสนใจดี พวกที่เคยไปอบรมสมาธิวัดวะภูแก้วก็มี..พวกเด็ก ๆ เขาสนใจอยู่ แต่ว่าบางทีผู้ให้การอบรมนี่มันไม่สัมพันธ์กับการศึกษาของเขา มีแต่มีแนวโน้มให้เขาทิ้งงานการในหน้าที่ แล้วไปเข้าวัดนั่งสมาธิภาวนา แต่พวกเรา ทำอย่างไรนักศึกษามันจึงจะรู้ตัวว่าเขากำลังฝึกสมาธิอยู่ในห้องเรียน เวลาเขาเรียนนั่นแหละ ทำอย่างไรเขาจึงจะเข้าใจว่าเขากำลังฝึกสมาธิอยู่ นี่ปัญหาใหญ่ของพวกเราอยู่ที่จุดนี้ แล้วอันดับต่อไป ผู้ใหญ่ ทำอย่างไรจึงจะเข้าใจหรือยอมรับว่าการทำงานคือการฝึกสมาธิ นี่ถ้าหากว่าเราสามารถทำความเข้าใจในสองจุดนี้ได้ คนทั้งหลายจะไม่เบื่อหน่ายต่อการฝึกสมาธิ เพราะว่ามันมีแนวโน้มไปในทางที่ว่าสร้างพลังจิต สร้างพลังสมาธิ สร้างพลังสติปัญญาเพื่อสนับสนุนธุรกิจอันเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0944_1.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (3)
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 09 มิ.ย. 2554, 09:56:52 »
คำสันนิษฐานเรื่องอดีตชาติ

หลวงพ่อนี่พวกนักรู้นักญาณทั้งหลายเขาก็มาว่าว่าหลวงพ่อคือรัชกาลที่ ๔ มาเกิด เอ้า..ใครจะมาเกิดมันไม่สำคัญ มันสำคัญว่าในปัจจุบันนี้เราจะเอาดีได้หรือเปล่า อยู่กันที่ตรงนี้ เอาชาตินี้แหละเป็นสำคัญ ชาติก่อนมันก็แล้วไปแล้ว ดีชั่วเราก็ทำไว้แต่ชาติก่อนแล้ว ทีนี้มาชาตินี้เราเกิดมาได้มามีความรู้อย่างนี้ความเห็นอย่างนี้ ทำอย่างไรมันจึงจะดีขึ้นกว่าชาติก่อน

พิจารณากาละเทศะ

     เรามาหาครูบาอาจารย์เราต้องสังเกตสังกาดูลูกศิษย์ลูกหาของครูบาอาจารย์ หรือญาติโยมที่ไปมาหาสู่ มันต้องศึกษาให้รู้เรื่อง ใครมาดี ใครมาร้าย ทีนี้คนที่มานี่จิตมันก็รู้ว่าใครมาดีหรือมาร้าย แต่มันบอกไม่ถูกว่าใครคนนี้มาดีหรือมาร้าย แต่มันคล้าย ๆ กับว่ามันรู้อยู่ในทีนั่นแหละ หลวงพ่อนี่กว่าจะคุยเป็นกันเองได้กับผู้คนนี่มันไม่ใช่ย่อยนะ ถ้าไม่ไว้วางใจกันจริง ๆ จ้างอีก เรื่องมารยาทผู้ดีผู้เลวนี่หลวงพ่อเรียนจบมาแล้ว สมัยที่หลวงพ่อไม่มีการศึกษา ไม่มีการสังคม หลวงพ่อมีแต่สันดานไพร่ พอไปคบค้าสมาคมกับเจ้ากับนาย รัฐมนตรี เขาสอน เพราะฉะนั้นหลวงพ่อจึงเป็นได้ทั้งผู้ร้ายและผู้ดี

    เราเข้าไปสังคมใดเรามองดูพั้บ สังคมนี้เขาแสดงกันอย่างไร เราดูระหว่างพระสงฆ์กับญาติโยมเขา เขาแสดงต่อกันอย่างไร เราก็จับได้แล้วว่าเขาแสดงอย่างนี้ เราก็แสดงตามเขา ทีนี้อย่างปกติอย่างนี้ใครเอาเครื่องของสังฆทานมาประเคนทั้งถัง อันนี้มันเป็นของของเรา เราก็บอกได้เต็มที่ แต่ในเมื่อไปอยู่ในสังคมนั่งเรียงแถวล่ะก็ หัวหน้าเขารับ ๆ ๆ เราจะปฏิเสธไม่ได้ เราต้องรับ นี่อย่างนี้เป็นต้น เขาจะเอาซองเงินมาใส่ย่าม เราทำเฉย เมื่อเขาคว้าย่ามไปใส่ เราก็ไม่ห้าม เราไม่สำคัญมั่นหมายว่าอะไรมันเป็นอะไร เขาใส่มา ถ้าหากว่าเราข้องใจ ทางพระวินัย เราดูคนขับรถฐานะมันแค่ไหน มันเป็นลูกจ้างเขาหรือเป็นนายทุน ถ้ามันเป็นลูกจ้างเขาเราก็จับยัดใส่กระเป๋าให้มัน ถ้าหากว่ามันเป็นเจ้าเป็นนายมันมั่งมีศรีสุข พอมันมาส่งเราแล้ว เอามาวางไว้ เอ้อ..อันนี้ เงินนี้พระถูกต้องแล้ว ใครจะเอาไปทำประโยชน์อะไรก็เอาไปซะ

   ในบางกรณีที่เราคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่เสียหายรุนแรงเกินไป พออนุโลมก็อนุโลม บางทีเขาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่จะไปว่าตักเตือนเขา บางทีเขาไม่พอใจ ก็พยายามให้เขารู้สึกสำนึกตัวเอง

ยินดีเพียงปัจจัย ๔

   ถ้าจะว่าโดยสภาพความเป็นจริงแล้วนี่ เงินนี่ไม่เห็นมีอะไรที่น่ายินดี ในความรู้สึกหลวงพ่อนี่ไม่เห็นมีอะไรที่น่ายินดี สิ่งที่ยินดีคือปัจจัย ๔ จีวร ที่อยู่อาศัย ยาแก้โรค แล้วก็อาหารบิณฑบาต เพราะฉะนั้นทางหลีกเลี่ยงอาบัติท่านจึงให้น้อมจิตยินดีในปัจจัย ๔ ในปวารณาจึงมีคำว่า ขอถวายจตุปัจจัยแด่พระคุณเจ้าจำนวนเท่านั้น จตุปัจจัยนี่หมายถึง จีวร อาหาร ที่อยู่อาศัย ยาแก้โรค ๔ อย่าง ถ้าไปยินดีในตัวเงินตัวทองก็ไม่พ้นอาบัติ
(เคยปรากฏให้เห็นหลายครั้ง ในกรณีที่มีผู้นำเงินใส่ซองมาถวาย หลวงพ่อรับมาโดยไม่ทราบ พอเปิดซองมาเห็นเป็นเงิน ท่านจะสละทันที เมื่อสละไปแล้วหลวงพ่อก็จะบอกว่าไม่ให้นำมาเป็นประโยชน์กับพระอีก)

     สละแบบชนิดที่ว่าทำพิธีสละตามพระวินัยแล้วเอาคืนนี่ มันไม่ใช่เรื่องสละ สละนี่มันต้องโยนทิ้งเลยใครจะเอาก็เอา นั่นมันจึงเสียสละแน่ จึงจะแสดงอาบัติตก สละไปแล้วยังเอาคืนอยู่ ก็แสดงว่ายังยินดีกับเงินทองที่เขาเก็บไว้เพื่อตนอยู่ มันก็ไม่พ้นอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์


==จบตอนที่ 3==
ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0944_1.html

ออฟไลน์ Nick_Charansarom

  • ฉัฏฐะ
  • *
  • กระทู้: 204
  • เพศ: ชาย
    • MSN Messenger - charansarom_tect@hotmail.com
    • Yahoo Instant Messenger - charansarom.tect@yahoo.com
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (3)
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: 09 มิ.ย. 2554, 10:01:24 »
ขอบคุณมากมายเลยนะครับ สำหรับสิ่งดีดีที่นำมาเผยแพร่

ขออนุญาตเข้ามาตอบนะครับ ผิดถูกประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)
อิติสุคคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ
ฐิตคุโณ อาจาริโย จะมหาเถโร มหาลาโภ
สัพพะสุขขัง จะมหาลาภัง สัพพะโภคัง สัพพะธะนัง ภะวันตุเม.

ออฟไลน์ saken6009

  • อย่ากลัวคนจะมาตำหนิ แต่จงกลัวว่าตัวเองจะทำผิด อย่ากลัวที่จะรับรู้ความบกพร่องของตน แต่จงกลัวว่าตนจะเป็นคนที่ดีได้ไม่จริง
  • ก้นบาตร
  • *****
  • กระทู้: 893
  • เพศ: ชาย
  • ชีวิตของข้า เชื่อมั่นศรัทธา หลวงพ่อเปิ่น องค์เดียว
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (3)
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: 09 มิ.ย. 2554, 10:05:23 »
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ภาค3 36; 36;
                                               
ขอขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่นำบทความธรรมะดีมากๆมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :053: :053:
 
ติดตามอยู่ครับ อ่านแล้วเพลินดีมากๆครับ และ ได้สาระความรู้มากๆครับผม :016: :015:
 
(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน เพื่อเป็นความรู้ ขอบคุณครับผม) :054: :054:

กราบขอบารมีหลวงพ่อเปิ่น คุ้มครองศิษย์ทุกๆท่าน ให้แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง สาธุ สาธุ