ผู้เขียน หัวข้อ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (4)  (อ่าน 2296 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ต่อจากตอนที่ 3
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23314
======================

การบูชาบุคคลที่ควรบูชา เป็นมงคลอันสูงสุด

      พระเทวทัตปีนขึ้นไปยอดเขาคิชกูฏ ไปกลิ้งก้อนหินลงมาหวังจะให้ทับพระพุทธเจ้าตาย ทีนี้พระองค์รู้วาระจิต ถ้าเทวทัตไม่ได้ทำร้ายเรานิดหนึ่ง วันนี้จะอกแตกตายก่อนที่จะสำนึกผิดได้ พอก้อนแง่หินมันแตกกระเด็นมาท่านก็ยื่นหลังพระบาทไปรับ เทวทัตก็ดีอกดีใจว่าได้ทำร้ายพระพุทธเจ้านิดหนึ่ง แล้วก็ไม่อกแตกตายเพราะฉะนั้นคติของพระองค์นี่ พระองค์ทรงเมตตาสงสารทั้งคนทำดีและทำชั่ว คนทำดีเป็นบุคคลที่น่าอนุโมทนา คนทำชั่วเป็นบุคคลที่น่าสงสาร ถ้าหากว่าเราว่ากล่าวตักเตือนเขาไม่ได้ เราก็แผ่เมตตาให้เขา มันจะเป็นเพราะยังนี้ละมั๊งคนที่คิดไม่ดีกล่าวไม่ดีกับหลวงพ่อ มันถึงมีอันเป็นไปเป็นแถบ ๆ เลย มันไม่ใช่รายหนึ่งรายเดียวนะ ๑๐ กว่ารายมาแล้ว

เพราะฉะนั้น หลวงพ่อจึงว่า ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง บุคคลผู้ควรบูชาอันดับหนึ่งพระราชามหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ เพราะท่านเหล่านี้เป็นผู้มีบุญจึงไปเกิดในตระกูลซึ่งเป็นสมมติเทวดา ทีนี้รองลงมาก็ปู่ย่าตายาย บิดามารดา ครูบาอาจารย์ บุคคลเหล่านี้เป็นบุคคลที่ควรเคารพบูชา ใครจะลบหลู่ดูหมิ่นไม่ได้ ถ้าขืนลบหลู่ดูหมิ่นคนทั้งหลายเหล่านี้ มีแต่วิบัติท่าเดียว ไม่มีความเจริญ
พยายามดูคนในแง่ดีไว้ อย่าไปดูแต่ในแง่ร้าย เผื่อว่าเราดูคนในแง่ดี ไม่เพ่งโทษในแง่ร้าย มันเป็นผลดีสำหรับเรา

มหาอำนาจอเมริกากับลัทธิไสยศาสตร์

     ที่พระไทยไปถูกฆ่าตายอยู่รัฐแอริโซนา ทำไมพระไทยจึงถูกฆ่า ทีนี้พอรู้ประวัติความเป็นมาของเจ้าสำนักนั้น มันเล่นเอาหมอดูไปเผยแพร่ ไสยศาสตร์ไปเผยแพร่ แถมทรงวิญญาณเข้าไปด้วย ทีนี้อเมริกามันเป็นประเทศมหาอำนาจ มันจะไปรับได้อย่างไรของอย่างนี้ แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกคลั่งศาสนาก็มี เขาป้องกันทุกอย่าง เขาก็จับฆ่าทิ้ง ทีนี้ทางเราหนังสือพิมพ์ก็วิจัยไปอย่างนั้น วิจารณ์ไปอย่างนี้ เอาลัทธิบ้าบอไปนี่ ไม่ว่าแต่เขา ถ้าหลวงพ่อเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองก็ฆ่าทิ้งจริงๆ นี่ปัจจุบันนี่ยังอยากจะฆ่าพระไทยทิ้งอยู่หลายองค์ มีอย่างที่ไหนโฆษณาตั้งแต่เมืองแปดริ้วจนถึงเมืองโคราชเรื่องมักลีผล มันไม่ใช่เรื่องของพระพุทธศาสนาซักหน่อย ปัญหาหนักอยู่เวลานี้สำหรับความคิดของหลวงพ่อเนี่ย

ทำอย่างไรพระสงฆ์คณะเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะกรรมฐานเนี่ยะที่อยู่ในวัดกรรมฐานนี่มันจึงจะเคร่งต่อพระวินัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่วัดเรานี่มันเลอะเทอะหมดแล้ว ปิดกั้นไม่อยู่ มันไปเอาลัทธิของภายนอกเข้ามา ขนาดพระเถระที่เรานึกว่ามันจะเป็นผู้นำได้ มันยังละเมิดสิกขาบทวินัยกันอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาตะรูปะระชะตัง เวลานี้ไม่มีความหมายสำหรับพระวัดป่าสาลวัน พอว่าไปว่าไป มันว่าภาษาอะไร สำหรับพวกเรา หลวงพ่อท่านยิ่งรวยเป็นล้านๆ มันหาได้คิดไม่ว่าหลวงพ่อรวยนี่ มันรวยอะไร เขาให้เงินล้านมา เขาให้มาเพื่ออะไร มันไม่ได้คิด เพราะฉะนั้นที่ทางกระทรวงศึกษา เขามีนโยบายจะปราบพระอลัชชีนี่ โอ๊ย! ยกมือสุดศอก


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0944_2.html
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (4)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 10 มิ.ย. 2554, 07:34:31 »
สมัยก่อนมีคนใส่ร้ายพระสายป่า

    หลวงพ่อสร้างวัดสร้างวานี่ไม่เคยคิดที่จะสร้าง มีแต่คนอื่นมาชวนสร้าง "ทำไมหลวงพ่อไม่ทำอย่างงั้น" "โอ๊ย! ไม่มีปัญญาทำดอก" "จะทำให้เอามั๊ยละ" "เออ จะใส่บาตรพระทั้งทีอุตส่าห์มาถาม" วัตถุก่อสร้างที่มีอยู่นี่ มีแต่คนมาทำให้ทั้งนั้น จนกระทั่งระยะหนึ่ง เขาส่งเจ้าหน้าที่กองปราบมานอนเฝ้าหลวงพ่ออยู่ตั้ง ๓ เดือน มีคนฟ้องไปว่าหลวงพ่อค้าของเถื่อน ค้ายาเสพติด เฮโรอีน เอาเงินคอมมูนิสต์มาสร้างวัด สมัยนั้นคอมมูนิสต์มันกำลังฮิต เขามานอนเฝ้าอยู่ตั้ง ๓ เดือน เราก็แปลกใจว่าคน ๒ คนนี่มันไม่ทำมาหาเลี้ยงชีพหรือ มานั่งเฝ้าเราอยู่ทั้งวันนี่หว่า เราก็ชักสงสัยเหมือนกัน ทีนี้พอเขาจะกลับ เขาก็เข้ามากราบ เขาบอกว่า พวกผมเป็นตำรวจกองปราบมียศเป็นนายร้อยเอกทั้งสองคน "แล้วพวกคุณมาทำอะไรล่ะ" "มาเฝ้าสังเกตการณ์พระคุณเจ้า มีผู้ฟ้องไปว่าพระคุณเจ้าค้าของเถื่อน ค้ายาเสพติด" "เพราะอะไรเขาจึงว่าอย่างนั้น" "เขาว่างานการก็ไม่ได้จัด ทำบุญประจำปีอะไรก็ไม่ได้จัดงานหาเงินหาทอง แล้วเอาเงินที่ไหนมาสร้างวัด ถ้าไม่ค้าของเถื่อนก็เอาเงินคอมมูนิสต์มาสร้าง เขาว่าอย่างนี้"

    เพื่อนซึ่งเป็นเด็กๆ เล่นหัวร่วมกันมาอีกองค์หนึ่ง โดนในทำนองเดียวกัน อาจารย์วัน วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม ที่ อ.ส่องดาว จ.สกลนคร อันนั้นเจ้าหน้าที่ทหารส่งเจ้าพนักงานไปสอบสวนเอง สอบสวน ๒ ที ๓ ที ก็ไม่ได้ข้อมูล มันไม่ได้ความ พอเสร็จแล้วครั้งที่ ๔ นี่ เขาสั่งให้พันโท…… ซึ่งนับถือเป็นญาติๆ กันกับหลวงพ่อไปสอบ ทีนี้เขาก็เอาห่อเอกสารมาให้ดู มาพลิก ๆ ๆ อ่านดูแล้ว โอ๊ย! เอกสารแค่นี้ก็ยังไปถือเป็นเรื่องสำคัญ บัตรสนเท่ห์ที่ไม่มีชื่อ บางทีก็ลงชื่อปลอม ๆ นายนู่น นายนี่ เขียนไปแล้ว จะลงชื่อใครก็ได้ทั้งนั้น ทีนี้เขาก็บอกว่าสอบสวนมาแล้ว ๓ ครั้ง นี่เป็นครั้งที่ ๔ หลวงพ่อจะทำอย่างไรมันจึงจะยุติสักที โอ้หนอ พวกคุณนี่เป็นข้าราชการทหาร เป็นนายทหารระดับนายพันนายพล อันนี้เขาเรียกว่าความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด กินเงินเดือนรัฐบาลเสียเปล่า เราก็ด่าเอาในฐานะที่คุ้นเคยกัน มันไม่ยากหรอก เอ้า! ฉันจะให้เงินสัก ๕,๐๐๐ บาท เงิน ๕,๐๐๐ สมัยก่อนนี่มันมากมายก่ายกอง ไปแล้วจะให้ทำอย่างไร ไปแล้วก็ไปนอนอยู่นั่นแหละ นอนอยู่กับท่านนั่นแหละ กินข้าวก้นบาตรอยู่นั่น แล้วทีหลังก็ไปแสดงความจำนงว่าอยากจะทำบุญกับหลวงพ่อ ถ้าใครจะทำบุญกับท่าน ท่านจะโยนบัญชีมาให้ ให้ลงชื่อเอาเอง แล้วถ้าอยากได้ใบอนุโมทนาบัตร ท่านเซ็นเอาไว้แล้ว ก็เขียนเอาเอง ทีนี่ก็ไปนอนอยู่ ๔-๕ วัน วันสุดท้ายจะกลับ ลาครูบาอาจารย์กลับแล้ว อยากจะทำบุญร่วมกับครูบาอาจารย์ ท่านก็ชี้เอานั่นบัญชี ปัจจัยใส่ลงในตู้แล้วก็ลงชื่อเอาไว้ ถ้าเป็นข้าราชการมีตำแหน่งหน้าที่ลงไว้ด้วยก็ยิ่งดี พอไปเปิดบัญชี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานมา ๕๐๐,๐๐๐ สมเด็จพระราชินีทรงพระราชทานมา ๒๐๐,๐๐๐ พระบรมวงศานุวงศ์องค์ละแสนสองแสน นายพลนู่น พลนี่คนละสี่ห้าแสน อู๊ยตาย! ถ้าพระอาจารย์วันเป็นคอมมูนิสต์ เจ้านายเราก็เป็นคอมมูนิสต์หมดสิ เลยต้องทำหนังสือเป็นหนังสือราชการยืมบัญชีของท่านไปถ่ายเอกสาร แล้วก็ก่อนอื่นเอาทั้งบัญชีนั่นล่ะไปเสนอผู้บังคับการทหารกรมผสมที่ จ.สกลนคร ทีนี้พอพวกนั้นไปเปิดอ่านดู เอ้า ถ้า อ.วัน เป็นคอมมูนิสต์ เจ้านายเราก็คอมมูนิสต์หมดสิ เลยเรื่องมันก็เลยยุติ

    อันนี่ตำรวจที่มานอนเฝ้าหลวงพ่อนี่ พอเขาบอกความประสงค์ที่เขามา หลวงพ่อก็ถามว่า "พวกคุณได้หลักฐานอะไร พอที่จะเอาหลวงพ่อเข้าตะรางได้มั๊ย" ก็เราไม่มีความผิด เราก็ถามอย่างนี้ ทีนี้พอเสร็จแล้ว เขาก็ตอบในทำนองตลกเหมือนกัน "ได้หลักฐานเป็นที่แน่นอนที่สุด" "ทางดีหรือทางร้าย" "ทางดีขอรับ ผมเกิดมาผมไม่ได้เข้าใจเลยเรื่องปฏิบัติสมาธิภาวนา บางทีพวกผมฟังแล้วก็หลบไปนั่งสมาธิอยู่ในป่าหลังกุฏิของหลวงพ่อเนี่ย แล้วเพิ่งจะมารู้ว่าสมาธิคืออะไร ตอนที่มาอยู่กับหลวงพ่อนี่แหละ เมื่อไหร่เขาจะฟ้องหลวงพ่อไปอีก พวกเราจะได้มานอนเฝ้าอีก" "เออ! ไม่ต้องมาก็ได้หรอก กลับไปแล้วก็ไปนอนเฝ้าบ้านเฝ้าลูกเฝ้าเมีย ก็ภาวนาไป ก็ได้ผลดีทั้งนั้นแหละ"

    สมัยตอนนั้น พระเถระผู้ใหญ่ที่อยู่ตามป่าตามดงถูกเขามองกันทั้งนั้น ทีนี้เรามาสบายต่อเมื่อ ดร.เชาวน์ เข้าไปอยู่ในวัง ดร.เชาวน์ลาออกจากรองผู้ว่าการรถไฟ แล้วก็ในหลวงก็มีพระบัญชาเรียกดร.เชาวน์นี่ไปเป็นที่ปรึกษา จนตั้งให้เป็นคณะผู้สำเร็จราชการ พอท่านได้จังหวะแล้วภายหลังมานี่ ก่อนอื่นไปเป็นรมต.ช่วยกระทรวงคมนาคมก่อน ทีนี้พอเป็นรมต.ช่วยกระทรวงคมนาคมนี่ ท่านก็สั่งทางเข้าวัดป่าที่ไหนที่มันขรุขระ ให้พวกกรมทางไปทำหมด ทีนี้พอเสร็จแล้วก็มีโอกาสได้เข้าเฝ้าในหลวง แล้วก็เล่าเรื่องถวายในหลวงจนกระทั่งพระองค์ทรงโปรดพระป่า ทีนี่มาภายหลังก็เสด็จไปเยี่ยมหลวงปู่ฝั้นบ้าง อาจารย์วันบ้างเรื่องราวต่างๆ มันก็ค่อยสงบไป


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0944_2.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (4)
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 10 มิ.ย. 2554, 07:37:19 »
อาจาริโยวาท

    หลวงปู่ดูลย์ท่านเทศน์เอาไว้ว่า เพ่งเข้ามาดูข้างในรู้ข้างใน เป็นมรรค รู้นอกเป็นสมุทัย รู้ในแล้วมันมายกโทษตัวเอง เพ่งโทษตัวเอง แก้ไขแต่ตัวเอง ถ้ามองออกไปข้างนอก ไปมองเห็นความประพฤติคนอื่น ที่ไม่ถูกหูถูกตาเกะกะ ก็ยกโทษแต่คนอื่น
หลวงปู่ตื้อนี่ไปเห็นต้นมะขามป้อม เอาตีนถีบ ต้นขนาดแขน ลูกมันดก ตีนถีบมันหล่นลงมาแล้วเก็บมาฉันเลย แต่หลวงปู่มั่นบอกว่า ใครอย่าไปดูถูกท่านตื้อนะ "ท่านตื้อเป็นพระเถระ" อย่างนี้เป็นต้น

    หัวใจโอวาทของพระอาจารย์ฝั้น ท่านว่า "อย่าปล่อยให้จิตอยู่ว่าง" ความหมายของท่านคือ ๑. อย่าให้ว่างจากการกำหนดรู้ ๒. อย่าให้ว่างจากอารมณ์อันเป็นกุศล ส่วนของท่านอาจารย์มั่น "อย่าไปว่าให้เขา ทัศนะของเขาเป็นอย่างนั้น" วิสัยของพระโสดาบัน ใครพูดมาฉันฟังได้หมด ดีฉันฟังได้ ชั่วฉันฟังได้ ฉันจะเอาหรือไม่เอานั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

หัดเป็นพระโสดาบัน

    เราจะทำอะไร จะพูดอะไร จะคิดอะไร พยายามอย่าให้มันมีความรู้สึกลบหลู่ดูหมิ่นครูบาอาจารย์และคน อื่น มานะความถือตนถือตัวนี่ ภูมิของอรหัตมรรค เป็นตัวตัดขาด มานะความถือตนถือตัวมันเป็นกิเลสละเอียด พอสมควร พระอนาคามีก็ละไม่ขาด โน่น! ต้องภูมิอรหัตมรรคจึงละได้ขาด
พยายามหัดเป็นพระโสดาบัน โส-ตะ-ปัน-นะ แปลว่าผู้ถึงซึ่งการฟัง ใครพูดดีฉันก็ฟังได้ พูดเสียฉันก็ฟังได้ แต่ฉันจะเอาหรือไม่เอาเป็นหน้าที่ของฉันจะพิจารณาโดยเหตุผล โส-ตะ แปลว่า ผู้ฟัง ปัน-นะ แปลว่า ถึงแล้ว ซึ่ง การฟัง รวมความว่า ผู้รับฟัง ไปตรงกับมารยาทของสังคมว่า เคารพมติของผู้พูด
ท่านอาจารย์วัน เพื่อนหลวงพ่อ ลูกศิษย์ท่านวิพากษ์วิจารณ์กรรมฐานคณะนั้นกรรมฐานคณะนี้ ท่าน นั่งฟังเฉย พอท่านจะพูดท่านก็ว่า "ทัศนะของเขาเป็นอย่างนั้น ความเห็นของเขาเป็นอย่างนั้น อย่าไปขัดคอ เขา" นี่แสดงว่าท่านผู้นี้รู้แจ้งเห็นจริงในธรรม ถ้าใครพูดมาไม่ถูกหูเรา เราเถียงคอเป็นเอ็น นั่นยังใช้ไม่ได้


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0743.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (4)
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 10 มิ.ย. 2554, 08:02:31 »
พระพ่อ - พระแม่

พระท่านสอนให้เราบำเพ็ญทาน เราก็ทำ แต่ส่วนใหญ่ท่านจะสอนให้เราไปทำทานกับวัด หลวงพ่อจะสอน ให้คนทำทานกับพ่อกับแม่ ถ้าเราไหว้พ่อไหว้แม่ไม่ได้ อย่าไปไหว้พระ มันไม่มีประโยชน์ เราต้องกราบพ่อกราบแม่ เราได้เราจึงไปกราบพระ ถ้าพ่อแม่ของเรายังไม่อิ่ม อย่าไปเที่ยวหาเลี้ยงพระให้อิ่ม ถ้าเราจะเลี้ยงพระให้อิ่มเราต้อง เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ให้อิ่มด้วย ของดีๆ ขนไปให้พระกินหมด ให้พ่อแม่อดอยากนี่ตกนรกกันหมด เพราะฉะนั้นต้องเลี้ยง พ่อเลี้ยงแม่

ศีลแม่บท

ลัทธิธรรมเนียมประเพณีของสังคมก็เป็นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม ศาสนาพุทธในประเทศไทยทรงอยู่ได้ เพราะศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพุทธเป็นปรัชญาชั้นสูง มีแต่ปรมัตถธรรม ระเบียบและวิธีการต่างๆ แม้แต่วินัย ก็ เป็นจารีตประเพณีสืบเนื่องมาจากศาสนาพราหมณ์ ศีลที่พระพุทธเจ้ายอมรับเอามาเป็นข้อปฎิบัติของพุทธบริษัทที่ เป็นไปตามกฎความจริงและกฎของธรรมชาติ มีแต่ศีล ๕ ข้อเท่านั้น ทีนี้ถ้าใครละเมิดศีล ๕ ข้อแล้วตกนรกทันที คฤหัสถ์กินข้าวเย็นไม่บาป แต่เมื่อพระไปกินข้าวเย็นบาปทันที ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะศีล ๘, ๑๐, ๒๒๗ พระ พุทธเจ้าทรงบัญญัติเอาไว้เ พื่ออบรมนิสัยของผู้ปฎิบัติให้ละเอียดยิ่งๆ ขึ้นไป ผู้มาปฏิญาณตนอยู่ในระดั้บนี้ ต้อง ปฏิบัติ ตามระเบียบนี้ มันจึงจะเป็นอย่างนี้ แต่คฤหัสถ์จะปฎิบัติก็ได้ไม่ปฏิบัติก็ได้ แต่ต้องปฏิบัติ ตามหลักของศีล ๕

เรานึกว่าเรามีศีลมากๆ (๒๒๗) เราตบยุงตายไปตัวหนึ่งเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ถ้าเรานึกว่าเราฆ่าสัตว์ เดรัจฉานแล้วแสดงอาบัติ เอาได้... มันก็อยู่ไม่ได้.... เพราะปาณาติบาต มันอยู่ในกฎของศีล ๕ ศีล ๕ ขาดแล้วมัน ขาดความเป็นมนุษย์ ผู้ที่จะเป็นมนุษย์สมบูรณ์สมควรแก่มรรคผลนิพพาน ควรแก่คุณธรรมสูงขึ้นไป ตั้งแต่ศีล ๘, ๑๐, ๒๒๗ ต้องมีศีล ๕ เป็นพื้นฐาน ผู้ปฏิญาณตนเป็นเพศสมณะ แต่ไม่มี ศีล ๕ ศีล ๒๒๗ มันก็พังอยู่ไม่ได้ เพราะศีลที่เป็นแม่บทมันขาดแล้ว

เมื่อเร็วๆ นื้ มีอุบาสิกาสาวคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนนี้หนูภาวนาแล้วจิตสงบ สว่าง รู้ ตื่น เบิกบานดี อยู่มาวันหนึ่ง ภาวนาจิตมันสว่างขึ้นมา มันมองเห็นเลขหวยเบอร์ เลยไปซื้อ แล้วก็ถูก ภายหลังมาภาวนาแล้วไม่ เป็นอย่างนั้นอีก ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น เขาถามอย่างนั้น หลวงพ่อก็เลยบอกว่ามันผิดศีล ๕ ข้ออทินนาทาน เพราะการเล่น หวยเบอร์นี้ตำรวจเห็นเขาจับ อันใดมันผิดกฎหมาย เราไปทำเข้า มันผิดศีล มันผิดศีลข้ออทินนาทาน ไปลักเล่นหวยเบอร์ เป็นอาการแห่งขโมย


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0743.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (4)
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 10 มิ.ย. 2554, 08:05:40 »
ศีล ๕

ศีล ๕ เป็นแม่บทและเป็นเค้ามูลให้เกิดความดี ทำไปแล้วมันเป็นบาปตามกฎธรรมชาติ ใครทำก็เป็นบาปโดยธรรมชาติ จะรู้ก็ตามไม่รู้ก็ตาม นับถือศาสนาก็ตาม ไม่นับถือก็ตาม
ศีล ๕ เป็นมนุษยธรรมที่มีอยู่ตลอดกาล ศาสนาจะมีก็ตาม ไม่มีก็ตาม ก็จะมีคนรักษาโดยตลอด
บาปที่จะถ่วงให้จิตตกต่ำ มีแค่ศีล ๕ เท่านั้น


เจิมรถ

งานหนึ่งซึ่งมีผู้มาขอความกรุณาให้หลวงพ่อทำให้อยู่เนือง ๆ คือ การเจิมรถ มีทั้งรถเก่านำมาเจิมใหม่ รถออกจากอู่ใหม่ ๆ รถส่วนตัว รถโดยสาร หลวงพ่อท่านก็เมตตาทำให้ทุกครั้ง แต่ท่านมักจะพูดเสมอว่า "มาให้หลวงพ่อเจิมให้น่ะ คนเจิมก็รถคว่ำมาหลายครั้งแล้ว" หวัง "เจิมรถน่ะมันไม่ถูกหรอก ต้องเจิมคนจึงจะถูก"

มุมมอง

หมอนี่ไปว่าคนนั้นโลภ คนนี้โลภ ก็เพราะตัวเองมีความโลภอยู่จึงไปเห็นความโลภของคนอื่น คนที่ไปว่าคนโน้นไม่ดี ก็เพราะตัวเองยังไม่ดีจึงมองเห็นความไม่ดีของคนอื่นธรรมวินัยนี้ ถ้าจิตมันถึงแล้วมันไม่อยากจะไปคิดตำหนิใคร ธรรมะนี่ถ้าตั้งใจจะปฏิบัติกันจริง ๆ แล้วมันไม่มีที่ไหนจะไปวัดกัน


ผู้มีบุญ

โยมผู้หญิงคนหนึ่งปรารภเวลาโกรธแล้วดับไม่ได้สักที หลวงพ่อแนะนำว่าถึงดับไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแต่ว่าเมื่อโกรธแล้ว อย่าไปด่าว่าหรือทำร้ายเขา นอกจากนี้ยังให้อุบายกำจัดความอิจฉาริษยาว่า "พอเห็นคนเขานั่งรถเก๋งคันงาม สาธุ ท่านมีบุญ ท่านจึงมีรถเก๋งงาม ๆ นั่ง เห็นเขามีบ้านสวย สาธุ ท่านมีบุญ ท่านจึงมีบ้านสวย ๆ อยู่ เห็นเขาร่ำรวย สาธุ ท่านมีบุญ ท่านจึงร่ำรวย ถ้าเขารวยเพราะโกงมา จะยังสาธุอยู่ไหม.. ก็สาธุซิ เขามีบุญเขาจึงโกงแล้วรวย เราโกงทีเดียวติดตารางจ้อย นี่ที่จริงเขารวยเพราะบุญเก่าของเขา"

ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0743.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (4)
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 10 มิ.ย. 2554, 09:53:20 »
หลวงพ่อกับเหล็กไหล

      มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งเป็นลูกศิษย์อาจารย์องค์หนึ่งอยู่แถวชลบุรี มานั่งเฝ้านอนเฝ้าหลวงพ่ออยู่หลายวัน หลวงพ่อก็ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร จนวันหนึ่งเขาบอกว่าที่เขามาเฝ้าอยู่นี่เพราะมีคนบอกว่าหลวงพ่อมีเหล็กไหลอยากจะมาขอ หลวงพ่อจึงบอกว่าท่านไม่มีหรอก "แต่มีอยู่แห่งหนึ่ง ทราบว่ามีเหล็กไหลมากมายถ้าคุณอยากได้จะบอกที่ให้ อยากรู้ไหมล่ะ" เมื่อโยมต้องการจะรู้แหล่ง ท่านจึงบอกว่า "ไปที่หัวรถไฟแน่ะ ทุกวันจะมีเหล็กไหลจากโคราชไปกรุงเทพฯ วันละหลาย ๆ เที่ยว"   ไม่ทราบว่าพอโยมได้คำตอบอย่างนี้แล้วมีปฏิกิริยาอย่างไร :004:

     อีกครั้งหนึ่ง มีโยมมาจากศรีสะเกษ มาเสนอขายเหล็กไหลให้หลวงพ่อในราคา ๖๐,๐๐๐ บาท โดยบรรยายสรรพคุณว่ามีแล้วจะทำให้ร่ำรวย หลวงพ่อตอบข้อเสนอว่า "ก่อนคุณจะมา ทำไมไม่สืบประวัติฉันก่อนว่าฉันเป็นพระนักค้าหรือเปล่า คุณไปรวยคนเดียวซะ ถ้าฉันอยากจะรวย ฉันไม่มาห่มผ้าเหลืองอยู่อย่างนี้หรอก" :069:

คติธรรมจากนักมวย

    ถ้าดูมวยได้ความคิดเพียงแค่ว่าไอ้หมอนี้มันอยากได้เงินมันลงแรง ลงเงินของมัน ให้เขาต่อย ดีกว่าพวกที่เอาไก่ไปชน ไก่ชนไม่เก่งก็เอาไปต้ม ไปแกง ดูแล้วมันสลดใจ พ่อแม่อุสาหะเลี้ยงอย่างทะนุถนอม ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม พองั้นมันโตแล้วมันก็เอาสมบัติของแม่มาชกมาต่อย มาตีกัน


เคยฝึกเรื่องอยู่ยงคงกระพัน

    สมัยหลวงพ่อเป็นพระหนุ่ม ใครพูดเรื่องอยู่ยงคงกระพันหนังเหนียวเป็นไม่ได้ อยากจะลองก็เลยไปฝึกกับ พอ.ชม สุคนธรัตน์ เขาสอนให้เสกใบพลู ๗ ใบแล้วภาวนา ตอนบริกรรมอยู่ลองเอามีดแทงเนื้อจนทะลุหนังสือที่รองแขนอยู่ ยกแขนขึ้นมาหนังสือยังติดมีดติดแขนมาด้วย โดยไม่มีบาดแผลสักนิด แต่พอไม่บริกรรม ยังไม่ทันออกแรงแทงเลือดก็สาดแล้ว


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0743.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (4)
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 10 มิ.ย. 2554, 09:58:32 »
ของขลัง

พระลูกศิษย์องค์หนึ่งมากราบเรียนของวัตถุมงคล (เหรียญ) ของหลวงพ่อ หลวงพ่อจึงสอนว่า "เครื่องรางของขลังนี่อย่าไปสอนให้ผู้คนเขาเชื่อจนงมงายมากนัก การแจกเหรียญก็เหมือนกับการถ่ายรูปแจก กันไปเป็นของที่ระลึก ที่พูดนี่ไม่ใช่ผมไม่เชื่อนะ ผมนี่แหละทดลองเอาเนื้อหนังไปทดสอบมาแล้ว สุดท้ายมันก็ ไม่มีความเป็นอมตะ ทหารออกรบแบกเครื่องรางกันเป็นกิโล ๆ แต่ก็คุ้มครองไม่ได้ เวลาแบกศพทหารนี่น้ำหนักตัวพอ ๆ กับน้ำหนักเครื่องราง เครื่องรางที่ดีที่สุดคือ ศีลธรรม เครื่องรางของผมน่ะ คืออะไรรู้ไหม คือ ความกตัญญู ใครทำบุญกับผมเท่าขี้เล็บ ผมจะตอบแทนเขาเป็นสิบเท่าร้อยเท่า"

อยู่ที่ไหนก็ได้ถ้าทำความดี

    หลวงพ่อเล่าว่าบางครั้งท่านก็เกิดความเบื่อหน่ายสภาพแวดล้อมจนอยากจะย้ายไปที่โน่นที่นี่ตามประสา ครั้งหนึ่งเคยบ่นอยากย้ายที่ เจ้าคุณอริยคุณาธารได้ยินเข้าก็ให้แง่คิดว่า "อย่าไปหาย้ายให้มันยุ่งยาก คนเราจะไปไหนกรรมมันพาไป เอาเป็นว่าอยู่ที่ไหนก็ขอให้ทำความดีตรงนั้นให้มาก ๆ"

   ต่อมาหลวงพ่อก็ถูกย้ายจากเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ มาเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสาลวันตามธรรมดาของโลกที่มีคนรักเท่าผืนหนังคนชังเท่าผืนเสื่อ ในการย้ายครั้งนี้ก็มีผู้สมน้ำหน้า หลวงพ่อว่าถูกย้ายจากตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดมาเป็นแค่เจ้าอาวาส แต่หลวงพ่อก็ไม่สนใจตั้งหน้าตั้งตาทำความดีตามที่ครูบาอาจารย์สอนไว้ ความดีของหลวงพ่อค่อย ๆ เป็นที่รับรู้ของ คนทั่วไปจนกลายเป็นพระ "ดัง" องค์หนึ่ง ผู้คนรู้จักกันทั่วบ้านทั่วเมืองไปไหนมาไหนก็มักมีคนเข้ามากราบมาทักว่า "นี่เองหลวงพ่อพุธ ได้ยินชื่อมานานแล้ว เพิ่งได้เห็นตัวจริงวันนี้เอง" แล้วคนที่เคยสมน้ำหน้าหลวงพ่อก็ไปบอกกับคนอื่นว่า
อย่าไปเอาอย่างหลวงพ่อพุธนะ
ทำไมจะเอาอย่างไม่ได้ ไม่ดีอย่างไร
ไม่ใช่ไม่ดี มันดีเกินไปน่ะซี ไปเอาอย่างเดี๋ยวความดีมันจะทับตาย
ในที่สุดความดีของหลวงพ่อก็เอาชนะผู้ที่เคยคิดไม่ดีกับหลวงพ่อ


ไม่ติดอามิส

    ตำแหน่งอุปัชฌาย์เป็นตำแหน่งที่พระหลายองค์ใฝ่ฝัน เพราะนอกจากจะเป็นที่นับหน้าถือตามากแล้ว ยังมีโอกาสได้สิ่งตอบแทนเป็นอามิสไม่น้อย แต่ในสิ่งที่หลายคนแก่งแย่งแข่งขันเพื่อให้ได้ตำแหน่งนี้ หลวงพ่อกลับสละโอกาสนั้น โดยในต้นปี ๒๕๓๔ ท่านได้นิมนต์หลวงปู่บุญมี จากวัด… จ.กาฬสินธุ์ มาช่วยแบ่งเบาภาระการเป็นอุปัชฌาย์ แต่การแบ่งเบาภาระนี้เรียกได้ว่าหลวงพ่อพยายามสละโอกาสนั้นถวายหลวงปู่เสียเกือบทุกครั้ง ท่านเล่าว่าในช่วงเวลาเพียง ไม่กี่เดือนหลวงปู่ได้บัญชีเงินฝากซึ่งเป็นปัจจัยถวายอุปัชฌาย์มาให้หลวงพ่อดู ปรากฏว่ามีเงินฝากอยู่ถึง ๙๐,๐๐๐ บาทเศษ


--จบตอนที่ 4--
ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0743.html

ออฟไลน์ saken6009

  • อย่ากลัวคนจะมาตำหนิ แต่จงกลัวว่าตัวเองจะทำผิด อย่ากลัวที่จะรับรู้ความบกพร่องของตน แต่จงกลัวว่าตนจะเป็นคนที่ดีได้ไม่จริง
  • ก้นบาตร
  • *****
  • กระทู้: 893
  • เพศ: ชาย
  • ชีวิตของข้า เชื่อมั่นศรัทธา หลวงพ่อเปิ่น องค์เดียว
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เกร็ดธรรมะ....หลวงพ่อพุธ ฐานิโย (4)
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: 10 มิ.ย. 2554, 10:03:11 »
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ภาค4 36; 36;
 
ขอขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่นำบทความธรรมะดีมากๆมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :053: :053:
 
ติดตามอยู่ครับ อ่านแล้วเพลินดีมากๆครับ และ ได้สาระความรู้มากๆครับผม :016: :015:
 
(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน เพื่อเป็นความรู้ ขอบคุณครับผม) :054: :054:
   

กราบขอบารมีหลวงพ่อเปิ่น คุ้มครองศิษย์ทุกๆท่าน ให้แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง สาธุ สาธุ