กระดานสนทนาวัดบางพระ
หมวด มิตรไมตรี => รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) => ข้อความที่เริ่มโดย: nsp8428 ที่ 19 ก.ย. 2553, 04:48:39
-
ชีวิตของคนเรานี้ ผู้ถือทางไสยกล่าวว่ามีพรมลิขิตคือพระพรหมกำหนดเหมือนอย่างเขียนมาเสร็จว่าจะเป็นอย่างไร
แต่ผู้ถือทางพุทธมักใช้ว่ากรรมลิขิต คือกรรมกำหนดมา โดยผลก็เป็นอย่างเดียวกัน คือ มีสิ่งกำหนดให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้
น่าพิจารณาว่าทางพระพุทธศาสนาแสดงไว้จริงๆอย่างไร
ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า "มา กตเหตุ อย่าถือว่าเพราะเหตุแห่งกรรมที่ได้ทำไว้" คืออย่าถือว่าทุกๆอย่างที่
จะได้รับ มีเพราะเหตุแห่งกรรมที่ได้ทำไว้แล้ว เพราะถ้าถืออย่างนั้นก็จะไม่ต้องทำอะไรขึ้นใหม่ รออยู่เฉยๆอย่างเดียว
เพื่อให้กรรมเก่าสนองผลต่างๆ ขึ้นเอง ถือเอาความดังนี้ก็เท่ากับไม่ให้ถือกรรมลิขิตนั่นเอง
มีปัญหาว่าถ้าเช่นนั้นพระพุทธศาสนา แสดงเรื่องกรรมไว้ทำไม พิจารณาดูจะตอบได้ว่า แสดงเรื่องกรรมไว้เพื่อ
ให้รู้ว่า กรรมเป็นเหตุให้วิบากคือผลตั้งแต่ให้ถือกำเนิดเกิดมา และติดตามให้ผลต่างๆแก่ชีวิต ทำนองกรรมลิขิตนั้นแหละ
แต่กระบวนของกรรมที่ทำไว้มีสลับซับซ้อนมาก ทั้งเกี่ยวกับเวลาที่กรรมให้ผลและข้อที่สำคัญที่สุดคือ เกี่ยวกับความ
ประพฤติปฏิบัติของแต่ละบุคคลในปัจจุบัน คือทางพระพุทธศาสนาสอนให้ไม่เป็นทาสของกรรมเก่าเช่นเดียวกับให้
ไม่เป็นทาสของตัณหา แต่ให้ละกรรมชั่ว กระทำกรรมดี และ ชำระจิตใจของตนให้บริสุทธิ์สะอาดตามหลักพระโอวาท๓
หรือกล่าวโดยทั่วไป มีกิจอะไรที่ควรทำก็ทำโดยไม่ต้องนั่งรอนอนรอผลของกรรมเก่าอะไร
ความพิจารณาเพื่อให้รู้กรรมและผลของกรรมนั้น ก็เพื่อให้จิตเกิดอุเบกขา ในเวลาที่เกิดเหตุการณ์เหลือที่จะช่วยแก่ทั้งคนที่เป็นที่รัก
และที่ชัง กับเพื่อจะได้ปฏิบัติตนตามหลักพระโอวาท ๓ ข้อนั้น
ทั้งคนเรามีจิตใจที่เป็นต้นเดิมของกรรมทุกอย่าง ไม่ว่าเก่าหรือใหม่เพราะจะต้องมีจิตเจตนาขึ้นก่อนแล้วจึงทำกรรมอะไรออกไป
ฉะนั้นจึงสามารถจะทำอธิฐานคือ ตั้งใจว่าจะประสงค์ผลอันใด เมื่อประกอบกรรมให้เหมาะแก่ผลอันนั้น ก็จะได้รับความสำเร็จและจึง
สามารถตอบปัญหาว่า "เราเกิดมาทำไม" ได้อีกว่า "เราเกิดมาตามที่ตั้งใจไว้ว่าจะมาทำ" เป็นอันไม่พ้นไปจากคำตอบที่ว่า "เราเกิดมา
เพื่อสนองตัณหาและกรรมของตนเอง"
แค่คนดีๆ ย่อมมีอธิฐานใจที่ดี ดังพระโพธิสัตว์ทรงอธิฐานพระหทัยเพื่อบำเพ็ญพระบารมี ความเกิดมาของพระองค์ในชาติทั้งหลาย
จึงเพื่อบำเพ็ญบารมี คือ ความดีต่างๆ ให้บริบูรณ์
อันที่จริงทุกๆ คนมีสิทธิ์ที่จะถือว่าตนเกิดมาเพื่อบำเพ็ญความดีให้มากขึ้นและสามารถที่จะบำเพ็ญความดีได้
ขอบคุณที่มา จาก หนังสือ ชีวิต ลิขิตได้
พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก
-
การเปลี่ยนชื่อ ก็เหมือนการเปลี่ยน ดาวประจำชีวิตเรา เหมือนเปลี่ยนบุคลิกภาพและ ตัวตนนิสัย ปัจจัยที่มากระทบเรา รวามถึงกลุ่มเพื่อนและความชอบด้วย
การเปลี่ยนชื่อไม่ไช่เรื่องสนุก ไม่มีสิ่งใด ที่จะได้มาโดยไม่เสียไป เช่นตอนแรก ไม่รวย อยากรวยเปลี่ยนชื่อ
มันคงไม่สนุกถ้าเราเปลี่ยนมาแล้วมันแย่กวาเดิม หรือไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรหลังเปลี่ยนชื่อมาจึงไม่เจอสารพัด
วิบากกรม
ถ้าใครคิดจะเปลี่ยนต้องคำนวนหลายอย่าง - พิธีกรรม และฤกษ์ยามให้ถูกต้อง แล้วยังต้องทำดวงด้วย
จึงจะเห็นผล - ยากและเสียเวลาและเสียเงิน
นามสกุลยิ่งแล้วใหญ่ นามสกุลใหม่คือต้นตระกูล ต้องรับสารพัดกรรม ต้อง สร้างสารพัดสร้างเพื่อเสริมวาสนาตระกูลในอณาคต
เขาจึงต้องเปลี่ยน นามสกุลรุ่นพ่อแม่ เพื่อให้ลูกหลาน ไม่ต้องแบกภาระการสร้างบารมีวาสนาของนามสกุล
- นามสกุลคือผลกระทบเฉลี่ยนของทุกคนในตระกูลนั้นๆ เฉลี่ยกันไป ไม่จำเป็นจึงไม่ควรเปลี่ยนสุ่มสี่สุ่มห้า
หลังจากเปลี่ยนแล้ว เราต้องพบกับช่วง รอผล อาจจะ1-2ปี ก็จะเริ่มเห็นผล [[ดี]] ระหว่างนั้น
ก็จะต้องรับผลกรรม ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี กว่าจะไปถึงจุดนั้นเช่นเดียวกับการจารเส้นลายมือ
ศิษย์อย่างเราๆ รับของเยอะ ถือของเยอะ มากไป ก็จะพาให้หนัก - รับแต่พอดี ถือพอประมาณ เราก็จะมีชีวิตที่ดี
"เหนื่อยกายแต่สบายใจ ดีกว่าเหนื่อยใจ แต่สบายกาย"
>>-คนที่ดีที่รักเราจริง เขาจะไม่แอบคุยกับเราหลังจากแผนเขาเผลอ - << คนดี กับ คนสวยจึงต่างกัน
ครูรักษาครับพี่น้องทุกท่าน
ปล.รูปหลวงพ่อเปิ่น ไม่ต้องผ่านพิธีก็มีพุทธคุณครับ เจอหล่นที่ไหนเก็บขึ้นโลด