ชีวิตของคนเรานี้ ผู้ถือทางไสยกล่าวว่ามีพรมลิขิตคือพระพรหมกำหนดเหมือนอย่างเขียนมาเสร็จว่าจะเป็นอย่างไร
แต่ผู้ถือทางพุทธมักใช้ว่ากรรมลิขิต คือกรรมกำหนดมา โดยผลก็เป็นอย่างเดียวกัน คือ มีสิ่งกำหนดให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้
น่าพิจารณาว่าทางพระพุทธศาสนาแสดงไว้จริงๆอย่างไร
ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า "มา กตเหตุ อย่าถือว่าเพราะเหตุแห่งกรรมที่ได้ทำไว้" คืออย่าถือว่าทุกๆอย่างที่
จะได้รับ มีเพราะเหตุแห่งกรรมที่ได้ทำไว้แล้ว เพราะถ้าถืออย่างนั้นก็จะไม่ต้องทำอะไรขึ้นใหม่ รออยู่เฉยๆอย่างเดียว
เพื่อให้กรรมเก่าสนองผลต่างๆ ขึ้นเอง ถือเอาความดังนี้ก็เท่ากับไม่ให้ถือกรรมลิขิตนั่นเอง
มีปัญหาว่าถ้าเช่นนั้นพระพุทธศาสนา แสดงเรื่องกรรมไว้ทำไม พิจารณาดูจะตอบได้ว่า แสดงเรื่องกรรมไว้เพื่อ
ให้รู้ว่า กรรมเป็นเหตุให้วิบากคือผลตั้งแต่ให้ถือกำเนิดเกิดมา และติดตามให้ผลต่างๆแก่ชีวิต ทำนองกรรมลิขิตนั้นแหละ
แต่กระบวนของกรรมที่ทำไว้มีสลับซับซ้อนมาก ทั้งเกี่ยวกับเวลาที่กรรมให้ผลและข้อที่สำคัญที่สุดคือ เกี่ยวกับความ
ประพฤติปฏิบัติของแต่ละบุคคลในปัจจุบัน คือทางพระพุทธศาสนาสอนให้ไม่เป็นทาสของกรรมเก่าเช่นเดียวกับให้
ไม่เป็นทาสของตัณหา แต่ให้ละกรรมชั่ว กระทำกรรมดี และ ชำระจิตใจของตนให้บริสุทธิ์สะอาดตามหลักพระโอวาท๓
หรือกล่าวโดยทั่วไป มีกิจอะไรที่ควรทำก็ทำโดยไม่ต้องนั่งรอนอนรอผลของกรรมเก่าอะไร
ความพิจารณาเพื่อให้รู้กรรมและผลของกรรมนั้น ก็เพื่อให้จิตเกิดอุเบกขา ในเวลาที่เกิดเหตุการณ์เหลือที่จะช่วยแก่ทั้งคนที่เป็นที่รัก
และที่ชัง กับเพื่อจะได้ปฏิบัติตนตามหลักพระโอวาท ๓ ข้อนั้น
ทั้งคนเรามีจิตใจที่เป็นต้นเดิมของกรรมทุกอย่าง ไม่ว่าเก่าหรือใหม่เพราะจะต้องมีจิตเจตนาขึ้นก่อนแล้วจึงทำกรรมอะไรออกไป
ฉะนั้นจึงสามารถจะทำอธิฐานคือ ตั้งใจว่าจะประสงค์ผลอันใด เมื่อประกอบกรรมให้เหมาะแก่ผลอันนั้น ก็จะได้รับความสำเร็จและจึง
สามารถตอบปัญหาว่า "เราเกิดมาทำไม" ได้อีกว่า "เราเกิดมาตามที่ตั้งใจไว้ว่าจะมาทำ" เป็นอันไม่พ้นไปจากคำตอบที่ว่า "เราเกิดมา
เพื่อสนองตัณหาและกรรมของตนเอง"
แค่คนดีๆ ย่อมมีอธิฐานใจที่ดี ดังพระโพธิสัตว์ทรงอธิฐานพระหทัยเพื่อบำเพ็ญพระบารมี ความเกิดมาของพระองค์ในชาติทั้งหลาย
จึงเพื่อบำเพ็ญบารมี คือ ความดีต่างๆ ให้บริบูรณ์
อันที่จริงทุกๆ คนมีสิทธิ์ที่จะถือว่าตนเกิดมาเพื่อบำเพ็ญความดีให้มากขึ้นและสามารถที่จะบำเพ็ญความดีได้
ขอบคุณที่มา จาก หนังสือ ชีวิต ลิขิตได้
พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก