แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - umpawan

หน้า: [1]
1



'หลวงพ่อเงิน'วัดถ้ำน้ำ จ.ราชบุรีพระเกจิอาคมขลังมรณภาพแล้ว

          พระครูใบฎีกา เงิน ขันติโก สกุลเดิม “รุ่งสว่าง” เจ้าอาวาสวัดถ้ำน้ำ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ได้มรณภาพด้วยอาการสงบ เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๔ ขณะนี้สรีระของท่าน คณะศิษย์ได้ประกอบพิธีสวดพระอภิธรรม ณ วัดถ้ำน้ำ เป็นเวลา ๑๕ วัน หลังจากนั้นจะจัดเก็บไว้ในหีบแก้ว เพื่อให้ศิษยานุศิษย์ และผู้ที่เคารพนับถือได้กราบไหว้ต่อไป   

          หลวงพ่อเงิน เกิดเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๔๗๕ ที่ จ.นครปฐม เมื่ออยู่ในวัยรุ่น ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อน้อย วัดท่ามอญ นครชัยศรี โดยเรียนวิชาจากหลวงพ่อน้อยหลายอย่าง แม้จะอยู่ในวัยรุ่น ท่านก็ถือคาถาได้ขลังมาก 

          ต่อมาท่านสมัครเข้าเป็นตำรวจประจำการ อยู่สายหาข่าว และปราบปราม พล.ต.ท.ประชา บูรณธนิต นายตำรวจใหญ่ (ฉายา สิงห์เหนือ คู่กับ เสือใต้ คือ พล.ต.ตรี.ขุนพันธรักษ์ราชเดช) ได้ให้ลูกน้องซึ่งเป็นมือปราบชื่อดัง มาตามท่านให้ประจำอยู่ที่ จ.นครปฐม เพื่อช่วยหาข่าว ปราบก๊กโจรต่างๆ หรือพวกผู้มีอิทธิพลในทางผิดกฎหมาย ซึ่งในสมัยนั้นมีอยู่มาก

          ท่านรับราชการเป็นตำรวจประมาณ ๑๒ ปี ได้ช่วยงานของราชการมากมาย โดยเฉพาะการปลอมตัวเข้าไปหาข่าวในชุมโจร ก๊กโจร หลายครั้งหลายหนได้อยู่รอดปลอดภัยตลอดมา เพราะมีวิชาดี แถมยังได้วิชาใหม่ๆ จากชุมโจร ทุกที่ที่ไปสืบข่าว เป็นวิชาในแนวของโจรเวท เริ่มตั้งแต่แต่งทัพ จับพล  เสกกุมารทอง ไว้ใช้งาน เสกหุ่นพยนต์ไว้เฝ้าทรัพย์สิน ระวังภัย วิชาส่งข่าว คงกระพัน แคล้วคลาด และเมตตามหาเสน่ห์ ต่อมาท่านเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตการเป็นตำรวจ จึงได้บวชเป็นพระ เพื่อแสวงหาความสงบ และเพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่พ่อแม่ครูบาอาจารย์

          โดยบวชกับหลวงพ่อน้อย วัดท่ามอญ จากนั้นได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อน้อย และเรียนวิชาการทำผงรอดกระดาน ปัถมัง กับหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม วิชาเสกตุ๊กตาทอง กับหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม

          ต่อมาท่านได้ถือธุดงควัตรขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ จนได้เรียนวิชาจากครูเฒ่าฆราวาสท่านหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ของท่านครูบาศรีวิชัย จนถึงปี ๒๕๒๒ ท่านได้ธุดงค์มาถึง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ได้บังเกิดนิมิตเป็นแสงสว่าง นำพาท่านให้เดินตามเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งก็คือถ้ำน้ำ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม ท่านจึงตกลงใจสร้างวัดถ้ำน้ำ และพัฒนามาจนถึงทุกวันนี้

          ที่ผ่านมาท่านได้สร้างวัตถุมงคลหลายอย่าง อาทิ พระสมเด็จบรรจุพระธาตุ เหรียญ รูปหล่อ ตะกรุดแบบต่างๆ วัวธนู นางกวักมะรุมเงิน-มะรุมทอง, ตุ๊กแกมหาลาภ ฯลฯ ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ลูกศิษย์อย่างกว้างขวาง 
 
           หลวงพ่อเงิน เป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ผู้มั่นในศีลานุวัตร มีปฏิปทาเป็นผู้ให้โดยแท้ ท่านมุ่งปฏิบัติ และเพียรฝึกฝนทางจิตอย่างเข้มแข็ง เป็นพระสงฆ์ผู้มีเมตตาอย่างที่สุด ไม่เคยบ่นว่าศิษย์ ไม่เคยแสดงอาการเหนื่อยหน่าย หรือรำคาญ ใครจะให้ท่านทำอะไร ท่านจะสงเคราะห์ให้ทั้งหมด นับเป็นพระแท้ที่น่ากราบไหว้อย่างยิ่ง

ขอบคุณข้อมูลจาก คมชัดลึกครับ กราบนมัสการหลวงพ่อเงินด้วยครับ  :054: :054:

2
[/url]

[/url]

[/url]

[/url]

สวัสดีครับ วันนี้นำวัตถุมงคลของหลวงพ่อเชิญ วัดโคกทอง อยุธยามาให้ชมกันครับ
พอดีไปค้นเจอครับ น่าจะมีอีกหลายรายการ เดี๋ยววันหลังจะค้นหาดูใหม่ครับ ขอบคุณครับ...........  :114:  :089: :114: ..............

3




สวัสดีครับ วันนี้ผมขอนำพระผงหลวงพ่อเปิ่น หลังยันต์แม่ทัพมาให้พี่ๆได้ชมกันนะครับ
ส่วนตัวไม่มีบุญได้เหรียญรุ่นแรกครอบครองอย่างแน่แท้ แต่อนาคตไม่แน่ครับ
องค์นี้คุณอาเช่ามาตั้งแต่หลวงพ่อยังทรงสังขารอยู่ครับ ผมว่าใช่แทนรุ่นแรกๆได้สบายเลยครับ............  :114: :114: :114: ..............

4
บรรยายด้วยภาพครับ ขออนุญาตเจ้าของรูปภาพด้วยครับ ขอบคุณครับ.........  :114:  :114: :114: ...........


5
สวัสดีครับ วันนี้นั่งเล่นอินเตอร์เน็ตไปเรื่อยๆเจอรูปๆนึงครับ บางคนอาจดูเป็นเรื่องตลก แต่สำหรับผมนั้นคือสิ่งเตือนใจครับ ว่าชีวิตเรามันสั้น รีบทำความดี และตอบแทนผู้มีพระคุณ และทำตามสิ่งต่างๆที่ใจตนเองอยากทำ ก่อนที่คุณจะไม่มีโอกาศแบบนี้ ขออนุญาตเจ้าของรูปภาพนี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ........  :114: :114: :114: ..........



6
....สวัสดีครับ วันนี้เป็นวันสำคัญอีกวันนึงครับ เป็นวันคล้ายวันมรณะภาพของ "พระพุทธวิริยากร (หลวงพ่อตัด ปวโร)" ครบ2ปีแล้วที่หลวงพ่อจากพวกเราไปไม่มีวันกลับ ขอกราบนมัสการหลวงพ่อตัด วัดชายนาด้วยครับ.....  :054: :054: :054:


7
รูปหล่อรุ่นแรกหลวงพ่อมี วัดมารวิชัย อยุธยา ปี2528 + รูปหล่อหลวงพ่อประเทือง วัดหนองย่างทอย เพชรบูรณ์ แจกงานกฐิน   


เหรียญรุ่น 4 หรือเหรียญเสมาหลังสิงห์ หลวงปู่มี วัดมารวิชัย อยุธยา



เดี๋ยวจะมาลงต่อนะครับ
เป็นบางส่วนที่ผมมีนะครับ
พี่ๆท่านใดมีก็ร่วมแจมกันเลยนะครับ
ขอขอบพระคุณครับ


8
เหรียญเสมาหลังยันต์ครูหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ ปี2535 ครับ ...




อยากทราบว่าออกพิธีไหนครับ ขอขอบคุณพี่ๆทุกท่านครับ ...

9




ประวัติ พระนอนวัดขุนอินทประมูล วัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง

พระนอนวัดขุนอินทประมูล ประดิษฐานอยู่ ณ วัดขุนอินทประมูล ซึ่งปัจจุบันเป็นวัดร้าง ตำบลอินทประมูล อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง อยู่ห่างจากตัวเมืองอ่างทองประมาณ 7 กิโลเมตร องค์พระยาว 2 เส้น 5 วา ซึ่งนับเป็นพระนอนหรือพระพุทธไสยาสน์ที่ยาวเป็นอันดับที่สอง รองจากพระนอนจักรสีห์

จากตำนานกล่าวว่า ขุนอินทประมูล ได้ยักยอกเงินหลวงมาสร้าง ครั้งถูกสอบถามว่าเอาเงินจากใหนมาสร้างพระ ขุนอินทประมูลก็ไม่ยอมบอกความจริง จึงถูกลงโทษจนตาย คงมีความชื่อที่ว่า ถ้าบอกแหล่งที่มาของเงินแล้ว ตนจะไม่ได้กุศลตามที่ปราถนา

พระนอนวัดขุนอินทประมูล จากการสันนิฐานมีความเห็นว่าได้สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา พระพักตรหันไปทางทิศเหนือ พระเศียรหันไปทางทิศตะวันออก เมื่อมองตลอดทั้งองค์มีความสง่างามมาก พระพักตรงดงามได้สัดส่วน แสดงออกถึงความมีเมตตา

ปัจจุบัน องค์พระนอนอยู่กลางแจ้งไม่มีวิหารคลุมเช่นพระนอนองค์อื่น เนื่องจากวิหารเดิมคงหักพังไปนานแล้ว ดังจะเห็นได้จาก เสาพระวิหารที่ยังปรากฎอยู่รอบองค์พระนอนวัดขุนอินทประมูล รอบ ๆ องค์พระมีต้นไม้ขนาดใหญ่หลายต้นขึ้นอยู่โดยรอบ ทำให้มีความสงบร่มเย็น เหมาะแก่การไปนมัสการให้เกิดความสุข สงบ ตามธรรมชาติ ซึ่งแปลกออกไปจากบรรยากาศในพระวิหาร


ได้มีโอกาศไปกราบท่านเมื่อปีใหม่ครับ เลยเก็บภาพมาฝากกันนิดหน่อย
ขอบคุณข้อมูลจาก ตั้มศรีวิชัย ขอขอบคุณครับ  :001: :001: :001:

10
สวัสดีครับพี่ๆทุกท่าน วันนี้จะนำลอยสักหลวงปู่หน่าย วัดบ้านแจ้ง  หลวงปู่เทียมวัดกษัตรา อยุธยา (ของลุงที่รู้จักกัน) คุยกันถูกคอเลยขอถ่ายรูปมาครับ 

1.ลายยันต์หลวงปู่หน่าย วัดบ้านแจ้ง




2.ลายยันต์ 4 สมิง(เรียกผิดขออภัยด้วยครับ) หลวงปู่เทียม วัดกษัตรา ขออภัยด้วยครับถ่ายรูปไม่เก่ง



ขอบคุณที่ติดตามชมครับ หากผิดกฏก็ลบไปได้เลยครับพี่ๆ

            

11
อธิบายด้วยภาพครับ วันนี้ไปวัดสามง่าม วัดท้องไทร วัดศีรษะทอง ด้วยครับ แต่ไม่ได้เก้บภาพมาครับ 















ขออภัยด้วยกล้องไม่ชัดครับ

12
หลวงพ่อตี๋ วัดบางคณฑีใน สมุทรสงคราม มรณภาพแล้ว โดยมีการแจ้งข่าวจากทางโรงพยาบาลมาเมื่อประมาณ 05.00 น. ของวันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2553

กำหนดการคร่าวๆ อย่างไม่เป็นทางการที่ได้รับแจ้งมาคือ

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2553
- เคลื่อนศพออกจากโรงพยาบาลไปยังวัดบางคณฑีใน และรดน้ำศพในเวลาประมาณ 14.00-16.00 น.
- บรรจุศพเวลาประมาณ 17.00 น.

จึงเรียนมาเพื่อแจ้งให้ทุกท่านได้ทราบโดยทั่วกันครับ


 

13














** อนุญาติให้เผยแพร่ครับ **


ใครอยากชมเพิ่มเติมเชิญที่วัดสวนแก้วเลยครับ

14
สอบถามหน่อยครับพี่ๆ นครปฐม หรือ วัดบางพระ น้ำท่วมหรือยังครับ
ที่นนทบุรีบางใหญ่ท่วมแล้ว ห่วงใยครับ  :026:

15

เลี่ยมขึ้นคอแ้ล้วครับ พระที่พี่เป็ปซี่ส่งมาจากการตอบรางวัล
ราคาไม่แรง พุทธคุณนั่นโคตะระแรงครับ  :015:



หลวงพ่อประเทืองวัดหนองย่างทอยครับ โดยรวมครับ

ฝนตกอย่าออกข้างนอกนะครับ เดี๋ยวโดนฝนแล้วจะเป็นไข้เอานะครับ ห่วงใยครับ  :026:


ศึกษาและสะสม    

16


สวัสดีครับพี่ๆสมาชิกวัดบางพระที่รักทุกท่าน
วันนี้นำเหรียญของหลวงพ่อแพ รุ่นm16 ปี2513
ตอนนี้ใครจะเล่นหาต้องระวังด้วยนะครับ เหรียญรุ่นนี้ปลอมเยอะเหลือเกินครับ
ศึกษาและสะสมครับ


ปล. พี่เป็ปซี่ครับ ผมได้รับของรางวัลที่พี่ส่งให้แล้วครับ
ตอนนี้อัดกรอบขึ้นคอแล้วครับ
ส่งเร็วทันใจจริงๆ ขอขอบคุณมากครับ



ผิดพลาดขออภัยครับ

17


แถมๆ
ตะกรุดคอหมา หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน รุ่นสุดท้าย(ทิ้งทวน) ปลุกเสกพร้อมเสือรุ่น 3


ขอบคุณพี่ๆ ที่เข้ามาชมนะครับ ขอบคุณมากๆ้เลยครับ

 :054: :054: :054: :054: :054: :054:

18

ขอบคุณพี่ๆ ที่เข้ามาชมกันนะครับ ขอบคุณครับ ..  :054: :054: :054:

19


สวัสดีครับพี่ๆ วันนี้นำสามเสือมาให้ชมกัน ภาพไม่ชัดก็ต้องขออภัยครับ
องค์แรก เสืปเดือนเก้า หลวงพ่อแม้น วัดหน้าต่างนอก (เห็นที่วัดให้บูชา พันกว่าบาท ตอนนั้นเช่ามาที่วัดองค์ละ100 เอง น่าจะบูชาสัก 4-5องค์)
องค์กลาง เสือจิ๋วหลวงพ่อเพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน บ้านหมี่ ลพบุรี วัดเข้าไปลึกมาก แต่เข้าไปในวัดแล้วตกใจครับ คนเพียบเลย ทั้งๆที่ทางเข้ามาลึกมาก นี้แหละครับ แรงศรัทธาในตัวหลวงพ่อเพี้ยน
องค์ที่สาม เสือไม้เกะ หลวงพ่อชาญ วัดบางบ่อ สมุทรปราการ
เคยเลี่ยมกรอบทั้งหมดครับ เลี่ยมแล้วกรอบแตก ทุกครั้ง ไม่รู้ว่าของแรง เหรอว่าผมมันอยู่ไม่นิ่งกันแน่ เหอะๆ  :001: ตอนนี้เลยนำมาขังในกรอบพลาสติก บูชาอย่างเดียวแล้วครับเจ้านาย  :026: :026:

20
องค์แรกพระหลวงพ่อโสธร เป็นพระประธานประจำบ้านครับ


พระหลวงพ่อโสธร องค์ขวาใช้แบงค์ 20 บาท ทำครับ สวยงามมาก

ขออภัยด้วยครับถ้ารูปภาพไม่ชัดครับ

 :054: :054: :054:

21



































กราบสวัสดีพี่ๆทุกท่านนะครับที่เข้ามาชม วันนี้ได้มีโอกาศไปบ้านที่นนทบุรี อยู่บางใหญ่ติดคลอง
เลยเก็บภาพมาให้ชมกัน  วัดที่นำรถไปจอดวัดอัมพวัน แล้วก็เริ่มเดินดูรอบๆวัด น้ำตาแทบไหลครับ คิดถึงเหลือเกิน
พอมาดูหอไตรกลางน้ำรู้สึกเสียดายมากๆ ที่จริงน่าจะให้มีคนทำความสะอาดดูแลมากกว่านี้ น่าเสียดาย มองข้ามไปได้ยังไง
แล้วก็ข้ามสะพานเดินไปตรงบ้านผมที่อยู่นนทบุรี เลยเก็บภาพชีวิตชาวคลอง ก๋วยเตี๋ยวที่ขายตามเรือ ของที่ขายตามเรือ อร่อยมาก ขอบอก
เห็นบ่อยแล้วครับ ชีวิตชาวคลองบางใหญ่ เป็นวิถีชีวิตคนกับสายน้ำยังไม่เลือนหายไปจากกัน  รูปกระดาษษาเกะรูป เป็นของบ้านผมเองครับ
เป็นไงบ้างครับ ฝีมือคนบางใหญ่ทำเอง มีความสุขมากๆ ครับวันนี้ เลยเก็บภาพมาให้พี่ๆชมเท่านี้ก่อน
พอตกบ่ายแก่ๆ ฟ้าเริ่มครึ้ม ฝนเริ่มลงเม็ด ดูแล้วชิล ชิลเลยครับ  อยากไปอีก อยากไปอีก  :001: :001:
ขอบคุณพี่ๆ ที่ติดตามชมนะครับ ภาพอาจไม่ชัดก็ขออภัยด้วย
รักพี่ๆ สมาชิกทุกท่านครับ ขอบคุณครับ ..

NoCopy picture .. [/b][/color]

22


นำมาให้พี่สมาชิกได้ชมกันนะครับ

ตะกรุดของหลวงพ่อประสิทธิ์  วัดไทรน้อย นนทบุรี  ดอกนี้ได้มาจากคุณอาครับ อาได้มาประมาณ เกือบ 20 ปีแล้ว
เพราะพื้นเพอยู่นนทบุรีบางใหญ่ มีอยู่สามดอกในบ้าน แต่ก่อนอาบอกว่าดอกละ 100 บาทเอง แช่น้ำมนต์ ก็คือแต่ก่อนหลวงพ่อประสิทธิ์ยังไม่มีชื่อเสียง แต่พอตะกรุดท่านดังก็ดังดั่งพุแตก คนแน่นวัดมาก แต่เดี๋ยวนี้สิ ถึงจะมีข่าวยังไง ผมยังรักและเคารพหลวงพ่อประสิทธิ์เสมอ

ปลัดขิกมีจาร  ไม่รู้ว่าของที่ไหนครับ ได้มาจากคุณอา เมตตาดี ขิกๆ ขักๆ  :005:

ปลัดขิก(เลี่ยมพลาสติก) ของหลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร ฉะเฉิงเทรา

ปิดท้าย เสือเหลียวหลัง ไม่ทราบ่วาของที่ไหนอีกเช่นกัน เพราะว่าได้มาจากคุณอาครับ

ขอบคุณพี่ๆที่รับชมนะครับ รักพี่ๆ ทุกคนนะครับ

ขอเชิญพี่ๆ ร่วมแจมด้วยนะครับ เพื่อเป็นวิทยาทานความรู้กันต่อไป สวัสดีครับ

23



นำมาให้พี่ๆ สมาชิกให้ชมกันครับ ได้มาจากการไปไหว้พระ 9 วัด ขสมก. ที่จังหวัดเพชรบุรี เมืองมือปืนครับ อิอิ

ขอบคุณพี่ที่รับชมนะครับ รักพี่ๆ ทุกคนครับ  :001: :001: :001:

24
มีหลายองค์เลยทีเดียว

ด้านหลังมีลายเซ็นของคุณอาสรพงษ์ ชาตรี


ขอบคุณพี่ๆที่เข้ามาชมกันนะครับ รักพี่ๆทุกคนครับ

 :054: :054: :054: :054: :054: :054:

25


นำมาให้พี่ๆชมกันครับ พระตั้งหน้ารถก็ได้ บูชาในบ้านก็ดี แต่องค์นี้ไว้ในบ้านครับ

หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี

 :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054:

ขอบคุณพี่ๆ ทุกท่านที่เข้ามาชมนะครับ รักพี่ๆทุกคนครับ

26


นำมาให้พี่ๆได้ชมกัน คู่ฝั่งซ้ายของหลวงพ่อเงิน วัดถ้ำน้ำ ราชบุรีครับ
ฝั่งขวาตัวเดียว ของหลวงปู่หล่ำ วัดสามัคคีธรรม ลาดพร้าว กรุงเทพมหานครครับ
รูปไม่ัชัดก็ขออภัยด้วยนะครับ  :054: รักพี่ๆทุกคนครับ

27
สวัสดีพี่ๆ สมาชิกทุกท่านครับ วันนี้จะมาร้องแสดงคอนเสริตเอ้ย จะพามาชมบางมุม วัดบางพระ สวยๆงามๆ กันครับ
ภาพอาจน้อยไปหน่อย เพราะแบตหมดแต่หัววัน

1. สวยงามมาก วัวธนู ความธนู จำไม่ผิดอยู่ตรงทางลงไปริมน้ำวัดบางพระ


2.กวางเหลียวหลัง สวยงามมาก อยู่ไกล้ๆ วันธนู


3.รูปปั้นหลวงปู่เปิ่นนั่งเสือ สาธุๆๆๆ



4.หน้ากุฏิหลวงปู่เปิ่น คนเยอะเป็นพิเศษ สาธุๆๆๆ


5.รูปหล่อหลวงปู่เปิ่น องค์ใหญ่ สาธุๆๆๆ ขออภัยด้วยครับภาพไม่ชัดนะครับ ถ่ายแบตหมดพอดี


6.บ๊าย บายวัดบางพระ เดินทางโดยสวัสดิภาพ บารมีหลวงปู่เปิ่น ครูบาอาจารย์ทุกท่านคุ้มครอง สาธุๆๆๆ




วัตถุมงคลที่ได้ อิอิ พญาเสือฯไหว้ครู ปี43  และก็สร้อยข้อมือเสือ






ขอบคุณพี่ๆสมาชิกที่ทุกท่านที่เข้ามาชม ภาพอาจไม่ชัด ต้องขออภัยด้วยครับ

รักพี่ๆ ทุกคนนะครับ ขอบคุณครับ

 :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054:



28
กระผมขออภัยเรื่องที่ผ่านมาที่หลอกลวงพี่ๆมาตลอด ขออภัยจริงๆครับ  รูปที่ถ่ายนั่นพี่ชายผมเองครับ

ผมขอโทษที่ต้องทำแบบนี้ ขอโทษจริงๆครับ ผมแค่อยากให้คนนับถือเท่านั้นเอง

ผมขออภัยจากใจจริงครับ จะไม่ให้เกิดครั้งที่สามอีก ขอสัญญาด้วยเกียรติลูกผู้ชายครับ

ขออภัยนะครับพี่ๆ

ขอโทษจริงๆ ครับ ผมมันช่างน่าอับอายยิ่งนัก  ขอโทษขออภัยพี่ๆ ในบอร์ดด้วยครับ ...




29



สวัสดีครับ นำมาให้ชมกัน รูปหลวงพ่อเทียม วัดกษัตติราษ

ได้มาตอนไปวัดกษัตติราษเมื่อปีที่แล้ว

ขอกราบนมัสการหลวงพ่อเทียมด้วยครับ  ..  :054: :054: :054:

30


ถ่ายมาให้ชมครับ เป็นที่นิยมจริงๆ รูปพ่อท่านคล้ายไหว้ข้าง

ขอกราบนมัสการพ่อท่านคล้ายด้วยครับ  :054:

31



สวัสดีครับวันนี้นำบรรยากาศมาให้ชม เครดิตของน้องชายที่รู้จักกัน ถ่ายมาให้ ผมติดธุระเลยไม่ไปด้วย  รูปน้อยขออภัยด้วยครับ แบตจะหมดเลยไม่ได้ถ้่ายทุกช๊อด..


วัดแรกเลยครับ วัดโบสถ์ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี วัดนี้พิเศษตรงสมเด็จโตองค์ใหญ่มากมาย ปางปฐมเทศนา ที่วัดอากาศร้อน

มากเลยครับ แล้วก็เข้าไปไหว้หลวงพ่อเหลือก่อน แล้วเดินไปไหว้สมเด็จโต ..








ที่ๆ 2 ตลาดน้ำวัดศาลเจ้า ของอร่อยมากครับ ถ่ายมาน้อยเพราะหาของกินอย่างเดียว  :001:

บรรยากาศดีครับ ริมแม่น้ำเลย






วัดบางกุฏิทอง หลวงพ่อชำนาญ วันนี้หลวงพ่อไม่อยู่ครับ เลยมาไหว้พระเฉยๆ


ยังมีพระพรหมที่ยังสร้างไม่เสร็จอยู่ข้างประตูทางเข้าวัด องต์ใหญ่มากครับ


วัตถุมงคลราคาสูงไปหน่อย ราคาไม่สูงหมดเกลี้ยงเลยครับ




ถ่ายมาให้ชมกันแค่นี้นะครับ สวัสดีครับ ..  :054: รูปไม่ชัดเท่าที่ควรขออภัยด้วยครับ




32
เครื่องรางสายพราย คือเครื่องรางที่ใช้อำนาจของพรายหรือถ้าจะเรียกกันให้รู้แบบเข้าใจง่ายๆคือ ใช้ผีเครื่องรางประเภทนี้ผู้สร้างจะใช้ส่วนผสมที่นำมาจากศพหรือชิ้นส่วนของ ผู้ที่ตายแล้วโดยจะมีกรรมวิธีต่างๆตามวิชาอาคมของอาจารย์นั้นๆ แล้วทำการปลุกเสกตามตำราโดยจะเป็นลักษณะของการนำจิตวิญญานของผู้ที่ตายแล้ว มาเสกชุบด้วยอำนาจของคาถาอาคม ให้มีฤทธิ์เดชตามที่ตนต้องการ เช่นทางเสน่ห์ ลุ่มหลงรักใคร่เสน่หา พิศวาสหลงใหล หรือทางเรียกโชคลาภ ค้าขายโดยพรายนั้นจะขลังไม่ขลังขึ้นอยู่กับพลังจิตและวิชาอาคมของผู้ปลุกเสก เป็นสำคัญและจะเฮี้ยนไม่เฮี้ยนก็ขึ้นอยู่กับจิตวิญญาญนั้นว่าสั่งสมบุญบารมี มาสักเท่าใด
เมื่อเสร็จสิ้นการปลุกเสกมักจะเรียกจิตวิญญานนั้นว่าพราย อาทิเช่นน้ำมันพราย ผงพราย ...ฯลฯ แต่ก็จะมีอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ได้นำชิ้นส่วนมาจากศพหรือคนที่ตายแต่จะเป็น การเรียกเชิญจิตวิญญาญล่องลอยอยู่ ที่มีมีอยู่มากมายมหาศาลในโลกนี้มาอยู่รักษาวัตถุเครื่องราง ด้วยคาถาอาคม แบบนี้ก็มี
เมื่ออาจารย์ที่สร้างต้องการจะสร้างเครื่องรางใดๆก็จะนำมวล สารพรายที่ทำไว้แล้วผสมลงไปในเครื่องรางของขลังที่สร้างนั้นเพื่อเพิ่มเป็น ตัวช่วยที่จะทำให้เครื่องรางของขลังนั้นมีความขลังมีผลต่อผู้นำไปใช้มากยิ่ง ขึ้นด้วยอำนาจของพรายถ้าเป็นเครื่องรางของขลังที่ไม่ใช้ภูติพรายก็จะเป็นการ เสกด้วยอำนาจของคาถาอาคมด้วยพลังจิตเพียงอย่างเดียวซึ่งจริงๆแล้วถ้าอาจารย์ ที่ปลุกเสกนั้นมีพลังจิตแก่กล้ามีวิชาอาคมที่เข้มขลังเครื่องรางนั้นก็จะมี พลังอำนาจความศักดิ์สิทธิ์มากโดยไม่ต้องอาศัยพรายก็ได้
 
ข้อควรรู้ใน การนำเครื่องรางของขลังที่มีพรายไปใช้

1.การที่นำเครื่องรางประเภท สายพรายไปใช้ท่านจะต้องคิดไว้เสมอว่าท่านมีพราย คือมีจิตวิญญาญหรือที่เรียกกันว่าผีไปอยู่กับท่านด้วยการนำเข้าบ้านก็ ต้องบอกเจ้าที่เจ้าทางให้รับทราบและหากนำเข้าไปในบ้านแล้วให้จัดวางตำแหน่ง ที่เหมาะสมคือห้ามนำไปไว้ใกล้กับพระเด็ดขาด ให้วางไว้ที่ธรรมดาที่ไม่มี พระหรือวัตถุมงคลอื่นใดจะจัดวางรวมไว้กับประเภทพรายเหมือนกันได้

2.พราย เขาก็มีจิตวิญญานมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนคนเราทุกอย่างคุณลืมคิดอะไรไปหรือ เปล่าว่าเขาต่างกับคุณแต่เขาไม่มีร่างกายที่เป็นเนื้อเท่านั้นความรู้สึกนึก คิดต่างๆก็ไม่ต่างอะไรคนๆหนึ่งแต่เขาอยู่คนละมิติกับเราไม่สามารถจะบอกเรา ได้เมื่อนำเขาเข้าบ้านแล้วไม่ว่าพรายของสำนักไหนอาจารย์ผู้สร้างเขาจะบอกไว้ หรือไม่ได้บอกท่านก็ต้องจัดอาหารให้เขาได้กินบ้างตามสมควร เช่นอาจจะเป็นวันพระหรือเดือนละครั้งหรือแล้วแต่สะดวก ไม่จำเป็นต้องให้ทุกวันจะให้ดีเวลานำเข้าบ้านครั้งแรกก็จัดอาหารให้เขาสัก ครั้งหนึ่งเขาจะดีใจมากเพราะตามประสบการณ์ที่ได้ยินมา พวกนี้เขาต้องการอาหารทั้งนั้นแม้แต่หุ่นพยนต์เองบางคนที่เขาสามารถสื่อกับ เรื่องพวกนี้ได้เขาก็ออกมาบอกเลยว่าไม่ได้กินอาหารมานานมากแล้วขอข้าวให้เขา กินบ้าง

3.ท่านใดที่ปกติแล้วชอบสวดมนต์ไหว้พระทุกวันสวดพระคาถาที่ เกี่ยวกับพระพุทธคุณต่างๆ ทุกวันเช่นพระคาถาชินบัญชร หรือ พาหุงหากต้องการใช้เครื่องรางของขลังสายพรายท่านจงคำนึงไว้เสมอว่าสิ่งนี้ เป็นไสยศาสตร์ซึ่งเป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ท่านปฏิบัติอยู่เมื่อ ท่านจะสวดมนต์ไหว้พระท่านต้องเอาของพวกนี้ไว้ไกลๆที่ท่านสวดและเวลาท่านจะนำ เครื่องรางสายพรายติดตัว ให้คำนึงถึงการสวดคาถาที่เกี่ยวกับบทพระพุทธคุณต่างๆ อาทิเช่นพระคาถาชินบัญชร พาหุงยอดพระกัญฯ...ฯลฯ เพราะคาถาเหล่านี้เป็นคาถาอันเชิญพระพุทธบารมีหากสวดแล้วนำเครื่องรางเหล่า นี้ติดไปจะสร้างความลำบากร้อนรนให้กับพราย(พรายที่เป็นสายดำถ้าสายขาวไม่ เป็นไร)เป็นอย่างมาก(เฉพาะผู้ที่มีจิตเป็นสมาธิมีพลังจิตดี ถ้าจิตไม่เป็นสมาธิก็ไม่มีผลเท่าไหร่)และเขาจะไม่สามารถช่วยอะไรท่านได้เลย และต้องอยู่ห่างๆจะต้องเลือกเอาเองว่าจะให้ภูติพรายไสยศาสตร์ช่วย หรือจะเอาทางพระพุทธบารมีคุ้มครองหากมั่วสวดรวมกันไปทั้งหมด ท่านจะใช้เครื่องรางของขลังสายนี้ไม่ได้ผลเลยเพราะพรายก็เดือดร้อนครูบา อาจารย์ไสยศาสตร์ที่เขาเป็นเจ้าของวิชาอยู่ก็ช่วยให้ผลอะไรไม่ได้

นี่ เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่หลายคนใช้เครื่องรางแล้วไม่ได้ผล เรื่องนี้สำคัญและไม่ค่อยรู้กันส่วนใหญ่คิดปนกัน
ท่านจะต้องแยกให้ออกว่า อันไหนเป็นไสยศาสตร์ อันไหนเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนถ้าไม่ใช่เรื่องการปฏิบัติให้เป็นไป เพื่อการพ้นทุกข์หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดก็ถือเป็นไสยศาสตร์หมด แต่ไสยศาสตร์ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เลวร้ายทั้งหมดพระอริยเจ้าหลวงปู่หลวง พ่อครูบาอาจารย์ท่านก็ใช้ไสยศาสตร์เพื่อช่วยเหลือสงเคาระห์ชาวบ้านในทางโลก

4.ใช้ เครื่องรางของขลังสายพรายอย่าแขวนรวมกับพระ(พระพุทธคุณ พระเครื่องบางองค์เป็นรูปพระพุทธแต่บางทีการปลุกเสกก็ไม่ได้มีพลังพระ พุทธคุณ) แต่ถ้าเป็นพลังอื่นๆเช่นเมตตามหานิยมแคล้วคลาดกันภัย อันนี้ก็พอไปด้วยกันได้
 
5.ผู้ใช้ของขลังสายพรายต้องทำบุญอุทิศส่วน กุศลให้กับพรายที่อยู่ด้วยบ้างเพราะว่าการที่จะเป็นพรายถูกเขากักให้ใช้ งาน(ที่เป็นพรายที่ถูกกักมาถ้าเต็มใจมาก็อีกอย่าง) เขาก็น่าสงสารพรายบางตนดูแล้วบางตนก็นิ่งเฉยเซ็งๆ ดังนั้นเมื่อเราใช้เขาเราก็ต้องมีน้ำใจช่วยเหลือเขาบ้างไม่ใช่ใช้ดะอย่าง เดียวไม่สนใจอะไรไม่ลืมหูลืมตาไม่รู้เรื่องรู้ราวเขาว่าสายพรายดีเอามาใช้ แล้วก็แรงดีใช้อย่างเดียวอย่างนี้ก็แย่ ลองคิดดูถ้าเราไปเป็นอย่างเขาบ้างเราจะเซ็งแค่ไหนควรจะทำบุญถวายสังฆทาน ใส่บาตร ...ฯลฯ แล้วอุทิศบุญกุศลให้เขาบ้างตัวคุณก็ได้บุญพรายก็ได้บุญเขาจะมีความสุขมาก ขึ้นหมดกรรมแล้วก็จะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีขึ้น

6.เวลานำพรายไปใช้ แล้วเจอเหตุการณ์แปลกๆ เช่นเสียงก็อกแก๊กได้ยินเป็นเสียง เห็นเป็นเงาต่างๆนาๆอย่าไปสวดคาถาอะไรไล่เขาบางทีเขาอาจจะแค่บอกให้รู้ว่า อยู่ด้วยหรืออยากจะได้บุญให้ลองแผ่บุญให้เขาโดยบอกว่า "ขอบุญบารมีของ พระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ ขอให้ผลบุญของข้าพเจ้าที่ได้ทำมาทั้งหมดขออุทิศบุญกุศลนี้ให้กับภูติพรายที่ อยู่ด้วยนี้ "ถ้าเจอเหตุการณ์ที่เขามารบกวนก็บอกเขาได้ว่าอย่าทำอย่างนั้น

7.ใช้ เครื่องรางสายพรายให้หมั่นสวดมนต์ไหว้พระเจริญพระกรรมฐาน(ก่อนนอนถ้ามีเวลา ก็ตอนเช้าด้วย) ให้ตัวคนใช้เครื่องรางสายนี้มีบุญบารมีเพียงพอ และหมั่นอุทิศบุญกุศลที่ทำนั้นให้กับครูบาอาจารย์และภูติพรายด้วยจะเป็นการ สร้างบุญบารมีให้ดียิ่งๆขึ้นไป


**ข้อควรระวังและคำเตือนสำหรับ ผู้ที่ใช้เครื่องรางสายพราย**
ขึ้นชื่อว่าเครื่องรางของขลังสายพรายใช่ ว่าจะเหมือนกันหมด หรือมีลักษณะอย่างเดียวกันหมด มีหลายอย่างหลายกรรมวิธีในการสร้าง ถ้าเป็นพรายที่อาจารย์ผู้สร้างเป็นหมอมนต์ดำ พรายจะมีจิตใจหยาบและข่อนข้างจะหนักไปทางโลกีย์วิสัยมาก เช่นชอบกินพวกเนื้อสัตว์ กินเหล้า เที่ยวกลางคืน รักโลภโกรธหลงรุนแรง ถ้าผู้ใช้เจอแบบนี้ก็จะมีจิตใจแบบนั้นด้วยเพราะใช้เครื่องรางสายพรายถ้าคน ใช้ไม่มีบารมีพอหรือมีจิตอ่อนกว่าพราย พรายก็จะครอบงำได้ และมีพรายบางสายที่อาจารย์ทำไม่เป็นแค่กักผีลงของเท่านั้นไม่ได้ทำอะไรเพิ่ม เติมเลย เวลาเอาไปบูชาพรายประเภทนี้ก็ไม่ทำอะไรกินๆนอนๆไปเป็นวันไม่สร้างประโยชน์ ช่วยเหลือคนที่ใช้เลยก็มี หรือบางประเภทที่หลายคนคงเคยเจอคือเอาไปใช้ช่วงแรกๆดูเหมือนจะดีพอใช้ไปซัก พักเริ่มไม่ดีอย่างนี้ก็มีเป็นประเภทถอนทุนคืน

แต่ถ้าเป็นพรายที่ อาจารย์เขาทำเป็นเขาจะสร้างมาดีเช่นพรายที่สร้างจากอาจารย์สายขาว เขาจะอบรมสั่งสอนพรายให้มีนิสัยดี ให้คุณไม่ให้โทษ ช่วยเหลือคนบูชา เป็นจิตวิญญานที่ดี ชอบทำบุญกุศล อาจจะมีไม่ดีบ้างแต่ก็จะดีเป็นส่วนใหญ่ ถ้าได้พรายประเภทนี้ไปก็โชคดี

ดังนั้นหากคิดจะเล่นสายพรายกรุณา ศึกษาให้ละเอียดให้ดี ว่าอาจารย์ไหนเป็นยังไง แต่ก็อย่างว่าแหละนะใครจะเจอกับแบบไหนก็เป็นเวรกรรมของคนๆนั้นมีวิบากกรรมมา กับสายไหนก็เจอสายนั้น


ขอบคุณที่มาจาก ศูนย์พระเครื่องออนไลน์สยามมงคล  หากซ้ำก็ขออภัยด้วยครับ ..



ปล. picnicza ลองศึกษาให้ลึกกว่านี้นะครับ สายพรายมีคุณมากกว่าโทษอีก เล่นสายพระพระพุทธคุณดีกว่าครับ ไม่มีผลเสีย ..  :001:

33



สวัสดีครับ วันนี้นำมาให้ชมกัน

ภาพไม่ชัดขออภัยด้วยครับ รองบอีกหน่อยจะซื้อกล้องดิจิตอลครับ ..

34


ได้ครั้งเมื่อไปกราบเมื่อต้นสงการณ์ ร่างหลวงพ่อแดง เป็นหินจริงๆครับ  ดูสังขารหลวงพ่อใกล้มากเลย สุดยอดจริงๆ ..

สติ๊กเกอร์แผ่นนี้ได้มาจากน้องชายครับ หลวงลุงที่วัดเขาถามว่าใครขับรถ เขาเลยเมตตาให้มา  :089:
 

35


นำมาให้ชมกันนะครับ เหรียญหลวงพ่อคูณ เสาร์๕ คูณพันล้าน หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่


ภาพไม่ชัดเท่าที่ควร ก็ขออภัยด้วยนะครับ  :089:

36







นำมาให้ชมกันครับ องค์แรกฝังตะกรุดทองคำ และ มีเกศาหลวงปู่มี ครับ


ภาพไม่ชัดก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ  :089:

37



นำมาให้ชมกันนะครับ สมเด็จหลังยันต์ครู รุ่นเทพประทานพร หลวงพ่อประเทือง วัดหนองย่างทอย สมทบทุนสร้างเจดีย์ 9 ชั้น


ภาพไม่ชัดก็ขออภัยด้วยครับ  :089:

38


วันนี้เข้ากุเกิ้ลอีกแล้ว ดูนู้นดูนี้ แล้วค้นหาไปเรื่อยเปื่อย เจอภาพนี้

ดูแล้วแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เป็นภาพหลวงพ่อเพิ่มวัดกลางบางแก้ว รดน้ำศพหลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา

ถึงแม้ท่านทั้ง 2 จะจากเราไปนานแล้ว แต่คุณงามความดีของท่าน อยู่ในใจเราตลอดไปครับ

ขอกราบนมัสการหลวงพ่อเพิ่ม หลวงพ่อน้อย เกจิเมืองนครปฐมครับ

 :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054:



ขอขอบคุณที่มาจาก ท่านเด็กบ้านโป่ง จากเว็บวัดท่าโขลง ขอขอบคุณมากครับ  :114:

39



สวัสดีครับ พอดีวันนี้นั่งเล่นเว็บ กุเกิ้ลไปเรื่อยๆ ดูนู้นดูนี้ สดุดตาภาพนี้หลายครั้งแล้ว เลยนำมาให้ชม


ขอกราบนมัสการหลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจ้า หลวงปู่ทิม วัดพระขาว หลวงพ่อมีวัด มารวิชัย อยุธยา ครับ


หากลงซ้ำก็ขออภัยด้วยนะครับ ..  :114:

40





จากกระทู้ http://www.bp.or.th/webboard/index.php/topic,16239.html ( ## หนีร้อนเที่ยวนนทบุรี .. เก็บภาพมาฝากกัน )

นี้เป็นวัตถุมงคลที่เช่ามาครับ พระปิดตาวัดบางจาก หลังฝันตะกรุดเงิน ตอกโค๊ด605 

และเสือขี่ปลัด เนื้อทองเหลือง วัดตะเคียน นนทบุรี



41



ด้วยความเคารพ พอดีวันนี้ว่างๆ พาคุณลุงไปเี่ที่ยวไหว้พระที่นนทบุรี ออกจากบางใหญ่ 10 โมงกว่า


ไปวัดแรกคือวัดบางจาก และต่อมาด้วยวัดสะพานสูง ขออภัยที่ถ่ายมาได้รูปเดียว เพราะว่าไหว้พระ มีที่ไหว้เยอะพอสมควร

แล้วไปวัดใหญ่สว่างอารมณ์ (หลวงพ่ออ่าง) ไม่ได้เก็บภาพมาให้ชมครับ และวัดบางไกลนอก (บ้านเกิดไกรทอง)

และก็มาวัดตะเคียน เจอพี่คนอัศจรรย์คนเดียวนั่งอยู่แถบๆ บูชาวัตถุมงคล วัดคนเยอะมากๆเลยครับ

แต่ไม่เห็นท่าน rastafa เลยครับ หาไม่เจอ 



มีบางภาพที่ตกหล่น ก็ขออภัยด้วยนะครับ  :054:


กล้องอาจจะไม่ชัด แต่ตั้งใจเก็บภาพมาให้ชมกัน




42



นำมาให้ชมครับ พอดีนึกถึงท่าน  :054:

ขอกราบนมัสการหลวงพ่อด้วยครับ

43




สวัสดีครับ นำมาให้ชมกัน พระราคาบูชาที่วัดไม่สูงครับ แต่องค์นี้พิเศษตรงที่ว่าหลวงท่านเมตตามาให้มาครับ รับกับมือหลวงปู่เลย เมื่อกลางๆปีที่แล้ว ครั้งที่ผมมาช่วยงานที่วัด
ถ้าจำไม่ผิดรุ่นนี้หลวงปู่ปลุกเสกพร้อมเสือปืนแตกรุ่นที่  3 ปลื้มใจมากๆครับ

แต่เห็นหลวงปู่ในวันนี้เห็นแล้วหดหู่มากๆครับ สังขารท่านร่วงโรยไปมาก ไม่เหมือนแต่ก่อน

อยากให้ท่านอยู่กับเราไปนานๆ ครับ  ขอกราบนมัสการหลวงปู่แย้มครับ



44


นำมาให้ชมกันนะครับ  หลายท่านอาจจะเคยเห็นโดยเฉพาะท่านที่คนไทยเชื่อชาติจีน  :001: ติดไว้หน้าบ้าน รถ ดีนักแล


45




วันนี้ขุ้ยถุงเจอไม่กี่เหรียญ รุ่น๑ หาไม่เจอ  เจอเท่านี้ครับ นำมาให้ชมกันก่อนครับ   

ขอบคุณทุกๆท่านที่รับชมนะครับ  ขอขอบคุณครับ 

46




พอดีวันนี้ไปหยุด เขาไปเอาของไม่ได้เพราะของอยู่กรุงเทพ แย่เลยครับขาดทุนหมด พอดีที่ๆจะไปเอาของอยู่แถววงเวียนใหญ่พอดี

เขาไปเอาของไม่ได้เลยให้หยุด และ วันนี้จะขุ้ยดูในถุงไปเรื่อยๆ สะดุดตากับเหรียญหลวงพ่อเปิ่น แท้หรือปลอมผมไม่สนใจครับ

นับถือมากๆเลย  :015:



ภาพไม่ชัดนะครับ ขออภัยด้วยครับ

47





พอดีวันนี้ว่างๆ งานน้อยเลยถ่ายมาให้ชม ขออภัยด้วยหากภาพไม่ชัด

48
สวัสดีครับวันนี้ไม่ไ้ด้ไปงานไหว้ครูวัดบางพระเสียดายครับ แต่วันนี้ไปสระบุรีมา  :001: เก็บภาพมาฝากกัน  :015:


ที่แรกโรงเจพุทโธบูชา และ โรงเจเก่า โรงเจใหม่ รวมๆกันไปครับ



ต่อมาเดินไปหน่อยก็วัดพระพุทธบาทแล้ว ชมกันต่อครับ วันนี้จะมีขบวนเสด็จ ต้องรีบหน่อย  :001: และตลาดครับขายดีจริงๆ





ต่อมาศาลเจ้าพ่อเขาตก รูปเริ่มน้อย เพราะแบตเริ่มจะหมดครับ





ชมกันต่อถ้ำประทุนครับ รูปน้อยแบตใกล้จะหมดเต็มที  :016: ไม่กล้าเข้าถ้ำครับ น่ากลัว  :005:







ที่สุดท้ายบ่อพรานล้างเนื้อครับ ถ่ายได้เท่านี้ วันนี้ล้วงแล้ว บ่อพานปักหอก :048:  ไม่เจออะไรเลย
 




ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชมนะครับ ขออภัยด้วยหากรูปภาพไม่ชัด เหนื่อยครับวันนี้  :001: แต่เต็มใจเสนอให้สมาชิกได้ชมกัน




 




 

49



นำมาให้ชมกันครับ ย่ามหลวงพ่อเงิน ตอนนั้นไปกับน้องที่ทำงาน ได้มาคนละชุด ชุดละ100บาทครับ  :001: :001:

หลวงพ่อท่านเมตตามากๆครับ  แต่เสียดายไม่ได้เอาตะกรุดมา เดี๋ยววันหลังถ้าไปจะถ่ายภาพบรรยากาศมาให้ชมนะครับ

ขอบคุณทุกท่านนะครับ ที่รับชม ขอขอบคุณครับ  :054:

50






นำมาให้ชมกันครับ รุ่นแรกเลย ของศาลพระพิฆเนศ ห้วยขวาง แต่ก่อนแวะไปแถวนั้นบ่อย เก่าแล้วครับ ปลวกขึ้นหมดเลย  :001: :001:


ขอบคุณทุกท่านที่รับชมนะครับ ขอบคุณคร๊าบบบ  :054:

51
...สวัสดีครับสมาชิกที่รักทุกท่าน วันนี้นำพระเครื่องของหลวงพ่อแพมาให้ชมกัน เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นนะครับ  :005: นำมาให้ชมเป็นวิทยาืทานนะครับ...










เพื่อเป็นวิทยาทานความรู้  สมาชิกท่านใดมีก็ช่วยลงให้ชมบ้างนะครับ  :080:  รักสมาชิกทุกคนครับ  :077:  :026:  :089:






52













นำมาให้ชมกันครับ ถ่ายไว้เมื่อ 2 - 3 วันที่แล้ว ไม่ได้เอาลง ไม่มีเวลาเลยครับ



ขออภัยด้วย หากภาพไม่ชัด ครับ  :075:


ขอบคุณทุกท่านที่รับชมนะครับ  :054:

53





นำมาให้ชมกันนะครับ ลอยสัก ของลุงถ่ายมา ผมนำมาให้ชมแล้วนะท่านโจ!

เหนื่อยเลย ออกจากบ้านเช้าด้วย


ขอบคุณทุกท่านที่รับชมนะครับ

54
สวัสดีครับสมาชิกทุกท่าน วันนี้ว่างๆเลยกลับบ้านที่นนทบุรี ไปหาลุงด้วยครับ ท่านโจรอยากเห็นลอยสักหลวงพ่อประเทือง

เลยหาเวลาไปถ่ายมาให้ ออกจากบ้านตี 5 ไปถึงที่วัดมีงานฝังลูกนิมิต พอดีเลยมาชมรูปและคำอธิบายกันเลยครับ


1.บริเวณจุดดอกไม้ธูปเทียน วันนี้ไปถึง 6 เช้า ฟ้าสางๆครับ



2.ผ้าป่าลอยฟ้า






3.มาไหว้พระกัน ขออภัยด้วยที่ถ่ายหลังองค์พระมานะครับ คนเยอะ



4.


5.ฝังลูกนิมิตมี9ลูก ถ่ายมาไม่ครบขออภัยด้วยครับ  :054:



6.ขึ้นโบสถ์กัน  ข้างๆโบสถ์ครับ สวยมากๆเลยตอนเช้าๆ  :016:



7.หลวงพ่อดิษฐ์ อดีตเจ้าอาวาสเจ้าตำหรับปิดตาแร่บางม่วงครับ



8.ในโบสถ์



9.ปู่ชูชก กำลังมาแรง



วันนี้ลืมถ่ายรูปหลวงพ่อย้อย มาครับได้แค่กราบท่าน แต่ไม่ได้ขอถ่ายรูปท่าน เสียดายจริงๆ

แุถมๆ อารยธรรมเก่าตั้งแต่เล็กจนโตผมไม่ลืมครับ คลองบางใหญ่ที่เลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เด็ก

เห็นแล้วปลื้มใจครับ ข้ามสะพานเดินไปหน่อยก็บ้านผมครับ 




วันนี้กะจะเข้าวัดตะเคียน  แต่เวลารวบรัด เลยไม่ได้เข้าวัดตะเคียน 


ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชมนะครับ มือใหม่ กล้องใหม่ ไม่ชัดด้วย  :075:


ขออภัยหากทำให้ท่านไม่พอใจในภาพครับ แต่ผมเต็มใจเสนอครับ ขอบคุณครับ

55





นำมาให้ชมกันนะครับ ตะกรุดหลวงพ่อประเทือง เดี๋ยววันหลังจะถ่ายรอยสักของลุงผมมาให้ชมกันนะครับ ช่วงนี้งานยุ่ง ครับ  :054:



56


ครูบาอาจารย์ของอาตมาองค์หนึ่ง คือ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อยุธยา ท่านบอกว่าถ้า ติดในวัตถุมงคลก็ดีกว่าติดในวัตถุอัปมงคล โบราณาจารย์ท่านมีปัญญา ท่านฉลาดมาก ท่านสอนให้เรายึดในพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ คือ ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยการสร้างวัตถุมงคลพระเครื่องขึ้นมา ให้เราปฏิบัติกรรมฐานใหญ่โดยที่เราไม่รู้ตัว ท่านให้เราอาราธนาทุกวัน โดยระลึกถึงทุกวันเป็นอนุสสติอยู่ แล้วมีข้อกำกับว่า ถ้าหากว่าศีลบริสุทธิ์ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ก็จะมีอานุภาพคุ้มครองเราได้ระดับหนึ่ง ที่ไม่เกินกฎของกรรม

ดังนั้นที่อาตมายอมเสียสตางค์ทีละมากๆ หามาให้แก่ญาติโยมทั้งหลายก็เพื่อเป็นอนุสสติ เพื่อเป็นการปฏิบัติ เพราะไม่ว่าการเดินทางไปในที่ใดก็ตาม ถ้ามีสิ่งให้ยึดให้เกาะมันจะปลอดภัยมากกว่า

การปีนเขาก็ดี การขึ้นบันไดก็ดี ถ้ามีที่ให้ยึดให้เกาะมันก็จะปลอดภัยกว่าคนที่ไม่ยอมยึดไม่ยอมเกาะ จำไว้ว่าเราต้องยึดก่อน เราถึงจะมีสิ่งที่ปล่อยวางได้ ถ้าเราไม่ยึดก่อนจะเอาอะไรมาวาง ทุกคนที่บอกว่าอนัตตาๆ ไม่เอาอะไรๆ นั้น ไม่เอาอะไรแล้ว มันยึดถือตัวไม่เอาอะไรนั้นแหละ ยึดคำว่าอนัตตานั้นแหละ

จำไว้ว่า ถ้ายังไม่มีอัตตาก็จะหาอนัตตาไม่ได้ มันต้องมีอัตตาขึ้นมาก่อนมันถึงจะวางลงเป็นอนัตตาได้ เหมือนกับที่เราขึ้นมาบนห้องนี้ เราเดินขึ้นบันได เราเกาะบันไดมาด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาทตามคำที่พระพุทธเจ้าท่านสอน พอเราเดินมาถึงหน้าประตู เปิดประตูเข้ามา เราได้แบกราวบันไดเข้ามาหรือไม่ ? เราก็ไม่ได้แบกราวบันไดมาด้วย...ฉันใดก็ฉันนั้น

เราไม่สามารถปล่อยวางได้ ถ้าไม่มีสิ่งให้ยึดเกาะ มันต้องรู้จักยึดก่อนมันถึงจะรู้จักวาง พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเอาไว้ว่า เหมือนกับแม่ลูกลงไปงมจับปลา ลูกชายจับได้หัวงูกำไว้แน่นเลย “แม่ๆ ได้ปลาตัวเบ้อเร่อเลย” แม่ คือครูบาอาจารย์เห็นเข้าก็ “เออ...ดีไอ้หนูลูกกำให้แน่นๆ เดี๋ยวมันจะหลุดไป” เพื่อไม่ให้ลูกตกใจ แล้วพอเสร็จแล้วลูกกำแน่นดีแล้ว “ไอ้หนูขึ้นฝั่งไปลูก เสร็จแล้วดึงหางมันออกมาสลัดมันไปไกลๆ เลยลูก” พอลูกเหวี่ยงทิ้งไปเสร็จเรียบร้อยแล้วบอก “นั่นงู พิษนะลูกคราวหน้าอย่าไปจับมัน” ถ้าไม่กำให้แน่นตายไหมตอนนั้นน่ะ ?...ตาย...ไม่เหลือหรอก...ประมาณลักษณะเดียวกัน เพราะฉะนั้นเราต้องยึดก่อน



สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ วันเสาร์ที่ ๓๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓


ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...ead.php?t=1108


57
วันนี้นำขุนแผน ปี 40 วัดซำปอกง มาให้ชมกันครับ

ไปไหว้พระวัดซำปอกงครับ  :075: ได้ยินเสียงประกาศที่วัดพนัญเชิงถึงเรื่องวัตถุมงคล

สดุดหูตรงพระขุนแผน ที่สำคัญราคาไม่สูง หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระมาปลุกเสก และหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง ด้วยครับ

จากนั้นเดินไปมุมวัตถุมงคลเลย ไม่รอช้าเช่าเลยครับ   ขออภัยด้วยครับ ภาพอาจจะไม่ชัด  :054:



58
สวัสดีครับสมาชิกทุกท่าน วันนี้กล้องชัดขึ้นเพราะถ่ายเวลาเย็นๆ  :075:  มีแสงสว่างมาก


วันนี้นำตะกรุดหลวงปู่หลุย วัดราชโยธามาให้ชมกัน ดอกนี้ได้มาจากพระอาจารย์ที่ผมเคารพนับถือ (ขอไม่ออกนามนะครับ)


ได้มาเมื่อหลายปีที่แล้ว ตื้อพระอาจารย์ท่านอยู่นานกว่าท่านจะได้ ท่านบอกว่าอย่าไปให้ใคร เก็บไว้ดีๆ


ตามจริงจะเห็นรอยจารครับ แต่กล้องผมมันไม่ค่อยดี ไม่ชัด ต้องขออภัยด้วยครับ ดอกนี้จารมือเต็ม  :015:








ขอขอบคุณสมาชิกทุกท่านที่รับชมครับ ผิดถูกชี้แนะด้วยนะครับ  :080:

59




พอดีนำกล่องที่ใส่พระเครื่องมาทำความสะอาดครับ เก็บของหลวงพ่อเปิ่นได้นิดหน่อย

และนำตะกรุดมหารูดหลวงปู่แย้ม วัดสามง่าม นครปฐมมาให้ชมกันครับ

และตะกรุดหนังเสือหลวงพ่อมาลัย วัดบางหญ้าแพรกมาให้ชมกันครับ



ขออภัยด้วยครับ รูปภาพไม่ค่อยชัด กล้องโทรศัพย์มือถือผมแพ้กลางคืนครับ   :058:

60




ช่วงนี้ไม่ว่างครับ กลับบ้าน 3ทุ่ม 4ทุ่มตลอด ลงช้าไปหน่อย ขออภัยด้วยครับ

รูปภาพไม่ชัดเช่นเคย  :075:


เหรียญนั่งพานแจกเขาไปเยอะครับ  เหลือเท่านี้ครับ เราก็พอเก็บไว้บ้าง  :015:  :053:


ยังเหลือตะกรุด 9 ชั้นและ 3 ชั้นครับ  และรูปหล่อรุ่นแรก เดี๋ยวผมจะถ่ายมาให้ชม


อาจจะช้าหน่อยนะครับ ช่วงนี้ยุ่งจริงๆ หลับตรุษจีนมานี้  :001:



หากไม่ชอบก็ขออภัยด้วยนะครับ  มือใหม่  :058:







61








นำมาให้ชมกันครับ ดอกนี้ไ้ด้มาตั้ง 20 กว่าปีที่แล้ว ได้มาจากคุณอาครับ   


สมัยหลวงพ่อท่านยังไม่ดัง  บูชา100บาท แช่น้ำมนต์ด้วยครับ


ขออภัยด้วยนะครับ รูปภาพไม่ชัดเท่าไหร่ ใช้ภาพจากกล้องมือถือถ่ายครับ  :058: 

62


ช่วงตรุษจีนของทุกปีเทพองค์หนึ่งที่ ผู้คนนิยมไปกราบไหว้ขอพรกันอย่างเนืองแน่น เพื่อให้มีโชคมีชัยตลอดทั้งปี ก็คือ "ตั่ว เหล่าเอี๊ย หรือเฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่" ณ ศาลเจ้าพ่อเสือ ซึ่งชาวจีนถือเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องอภิบาล และปราบปรามศัตรู

มี ตำนานเล่าขานมากมายเกี่ยวกับตั่วเหล่าเอี๊ย อาทิ ในเทวปกรณัมของจีนกล่าวว�เมื่อครั้งบรรพกาลล่วงมาแล้ว เมืองลกฮง กึงตัง ประเทศจีน มีชายหนุ่มรูปร่างกำยำใหญ่ผู้หนึ่งประกอบอาชีพฆ่าหมูและวัวเพื่อส่งขาย คืนหนึ่งเกิดนิมิตเห็นนักพรตลัทธิเต๋ามาบอกให้เลิกฆ่าสัตว์ เพราะเขามิได้เกิดมาเพื่อการนี้ แต่เกิดมาเพื่อสร้างบารมี ควรหันมาบำเพ็ญธรรมแล้วจะสำเร็จ เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาชายหนุ่มจึงเล่าให้มารดาฟัง ซึ่งมารดาก็เห็นด้วย ทั้งสองจึงตกลงยุติการฆ่าสัตว์และตั้งใจบำเพ็ญปฏิบัติธรรม

เวลาล่วง ไป 3-4 วัน นักพรตในนิมิตก็มาปรากฏกายที่หน้าบ้าน แล้วถามเขาว่า "ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวที่จะบำเพ็ญพรตให้สำเร็จหรือยัง" ชายหนุ่มตอบตกลงทันที จากนั้นจึงรวบรวมทรัพย์สินก้อนหนึ่งไว้สำหรับมารดาผู้ชรา แล้วเก็บข้าวของออกเดินทางตามนักพรตขึ้นเขาไปบำเพ็ญพรต แต่ไม่ว่าจะมานะและตั้งใจปฏิบัติบำเพ็ญมากแค่ไหน ก็หาประสบผลสำเร็จไม่ ทำ ให้ชายหนุ่มรู้สึกท้อแท้ใจมาก วันหนึ่งจึงถามนัก พรตว่า "เขาจะมีวันสำเร็จธรรมไหม" อาจารย์ตอบว่า "ตราบใดที่ภายในของเจ้ายังเป็นสีดำ ก็อย่าถามถึงความสำเร็จ" เขาทั้งเสียใจและข้องใจในคำพูดของอาจารย์ว่าหมายความว่าอย่างไร

เขา ตั้งใจมุ่งมั่นบำเพ็ญธรรมเพื่อความสำเร็จ แต่ภายในกลับเป็นอุปสรรค ถ้าเป็นเช่นนี้เขาก็ยินดีพลีชีพเพื่อบูชาธรรม จึงคว้ามีดขึ้นมาคว้านท้องลากไส้และกระเพาะออกมา เมื่อเครื่องในเหล่านั้นหลุดพ้นจากร่างเขาเกิดความรู้สึกตัวเบาและบรรลุธรรม ในทันที ด้วยได้เอาชีวิตของตนแลกธรรมเพื่อทดแทนบาปกรรมที่ได้ฆ่าสัตว์มามาก

เมื่อ นักพรตทราบความจึงรีบมารักษาจนหายเป็นปกติ ชายหนุ่มยังสามารถดำรงชีพอยู่โดยปราศจากลำไส้และกระเพาะ เพราะฌานสมาบัติแห่งธรรม เมื่อสำเร็จธรรมแล้วนักพรตจึงให้ชายหนุ่มลงจากเขาไปโปรดผู้คน โดยมอบธงสีขาวให้ 1 ผืน ชายหนุ่มจัดเตรียมสัมภาระลงเขา พร้อมเอากระเพาะและลำไส้ที่ตากแห้งติดตัวไปด้วย ครั้นเดินทางถึงเชิงเขาได้พบหญิงท้องแก่กำลังจะคลอดบุตร จึงมอบธงผืนนั้นเพื่อให้หญิงคนนั้นใช้รองรับเด็กทารก

หลังจากนั้น เขาได้เอาธงเปื้อนเลือดไปล้างที่ชายคลอง พอธงจุ่มลงน้ำน้ำในคลองพลันเปลี่ยนเป็นสีดำทันที รวมทั้งธงของเขาก็กลายเป็นสีดำด้วย อีกทั้งกระเพาะและลำไส้ก็พลัดหล่นลงน้ำไป จากนั้นชายหนุ่มก็ลงเขาโปรดผู้คนจวบจนสิ้นวาระขัยจากมนุษย์โลก ไปเสวยทิพย์สมบัติ องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ เจ้าแห่งสวรรค์ โปรดประทานยศให้เป็นผู้ตรวจการภพสาม ตำแหน่ง "เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่" ผู้พิชิตมาร โดยมีธงเทพโองการสีดำเป็นอาญาสิทธิ์ และเป็นสัญลักษณ์ ต่อมาเง็กเซียนฮ่องเต้มีพระบัญชาให้ไปปราบสัตว์ประหลาด 2 ตน พอพบสัตว์ประหลาดทั้งสอง เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่ทราบทันทีว่าเป็นกระเพาะและลำไส้ของตนที่ปีศาจร้ายเข้า ไปสิงสถิตอยู่ กระเพาะกลายเป็น "เต่า" และลำไส้กลายเป็น "งู" ท่านจึงเอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบเต่า และเท้าอีกข้างเหยียบงูไว้ สยบสัตว์ปีศาจร้ายทั้งสองจนหมดฤทธิ์

ชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธาจึงจัด สร้างศาลเจ้าและรูปปั้นท่านขึ้นบูชา โดยใช้สัญลักษณ์เท้าเหยียบเต่า เหยียบงู และธงสีดำ โดยมี "เสือ" เป็นบริวารพาหนะ

นี่คือตำนานแห่ง ตั่วเหล่าเอี๊ย หรือเฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่ เทพศักดิ์สิทธิ์ ประจำกลุ่มดาวด้านทิศเหนือ ผู้พิชิตมาร ในรูปลักษณ์ขุนพลเคราดำยาว เท้าเหยียบบนหลังงูและเต่าซึ่งถือเป็นสัตว์ประจำกาย มือขวาถือดาบชิดแชเกี่ยม มือซ้ายยกชี้ระดับหน้าอกไปยังท้องฟ้า อันแสดงความหมายถึงการบรรลุธรรมสำเร็จเต๋า ที่ผู้คนกราบไหว้นับถือมาจนถึงทุกวันนี้ครับผม


ที่มาข่าวสด ออนไลน์ ขอขอบคุณครับ

63



ตื่นอีกทั้งอำเภอ! งูเหลือมเพศผู้ยาวกว่า 3 เมตร ตายพันร่างรอบงูตัวเมีย ท้องแก่คล้ายโอบกอดงูเหลือมงูเมีย ที่ตายพันร่างรอบจอมปลวกก่อนหน้านี้ เผยมีคนเห็นงูเหลือมเพศเมีย และเพศผู้ สองตัวนี้ก่อนตายอยู่ด้วย คาดเป็นคู่ผัวตัวเมีย หลังจากงูเพศเมียตายไม่กี่วัน งูเหลือมเพศผู้ก็ถูกรถทับเช่นเดียวกันกับงูตัวเมีย ก่อนจะกระเสือกกระสนมาตายด้วยการพันร่างงูตัวเมียไว้ ชาวบ้านนำสร้อยคอทองคำมาคล้องงูตัวเมีย แก้บนที่ขายที่ดินได้ คณะกรรมการชุมนุมบอกจะเก็บสร้อยคอไว้เป็นค่าใช้จ่ายดูแลสถานที่ ล่าสุด!ตั้งศาลเจ้าที่ให้งูทั้งสองตัวแล้ว

เวลา 11.00 น.วันที่ 11 ก.พ. 53 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีเมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา มีชาวบ้าน ต.ทรายขาว อ.สอยดาว จ.จันทบุรี พบเห็นงูเหลือมเพศเมีย ท้องแก่ ลำตัวยาว 2 เมตร 90 เซนติเมตร ตายด้วยการพันร่างกายไว้รอบจอมปลวกสูงกว่า 1 เมตร ในป่าละเมาะ บริเวณด้านหน้าชุมชุมทหารผ่านศึก หมู่บ้านตามูลล่าง หมู่ 3 ต.ทรายขาว อ.สอยดาว ระหว่างหลัก กม.ที่ 61 - 62 ถนนจันทบุรี - สระแก้ว โดยชาวบ้านจากในอำเภอต่างพากันมาดูความแปลกประหลาดดังกล่าวอย่างไม่ขาดระยะ ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า ได้เกิดความแตกตื่นกับชาวบ้านอีกครั้ง เมื่อปรากฏว่า มีงูเหลือมเพศผู้อีก 1 ตัว นอนตายในลักษณะพันร่างไว้รอบงูเหลือมเพศเมียท้องแก่ตัวดังกล่าว

ภายหลังรับแจ้งผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังป่าละเมาะ ที่งูเหลือมท้องแก่ตายรอบจอมปลวก พบชาวบ้านจำนวนมาก ทยอยเดินทางมายังสถานที่ดังกล่าวไม่ขาดสาย นอกจากนั้นได้มีพ่อค้า แม่ค้า นำล็อตเตอร์รี่มาขายกันหลายเจ้า และต่างขายดีไปตาม ๆ กัน โดยเลขที่ขายได้ดีคือเลขที่ลงท้ายด้วยเลข 0 มีทั้ง 90 และ 80 รวมทั้งมีพ่อค้า แม่ค้าหลายเจ้า นำสินค้าพวกอาหารและน้ำดื่ม น้ำอัดลม ดอกไม้ ธูปเทียน ทองเปลวมาขายกันอย่างคึกคัก

ขณะที่บริเวณจอมปลวก พบว่ามีการตั้งศาลเจ้าที่ โดยนำขันธ์ห้า ประกอบด้วย ดอกไม้ ธูป เทียน หมาก พลู บุหรี่ เครื่องเซ่นไหว้ต่าง ๆ ตุ๊กตายาย ตา มาตั้งไว้ในศาลเจ้าที่ด้วย ท่ามกลางการเดินทางมากราบไหว้ซากงู ศาลเจ้าที่ของชาวบ้านอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้บริเวณรอบจอมปลวก นอกเหนือไปจากมีงูเหลือมเพศเมีย ท้องแก่ตายด้วยการพันร่างรอบจอมปลวกตามที่ผู้พบเห็นไปก่อนหน้านี้แล้ว ยังพบงูเหลือมเพศผู้ ลำตัวยาว 3 เมตร 20 เซนติเมตร ตายในลักษณะพันร่างกายไว้รอบงูเหลือมตัวเมีย คล้ายการโอบกอดงูเหลือมงูเมียไว้ ซึ่งได้สร้างความรันทดปนความประหลาดใจแก่ผู้พบเห็น โดยต่างวิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นา ๆ รวมทั้งการตีความหมายเป็นตัวเลขด้วย

ทั้งนี้ นอกเหนือไปชาวบ้านจะพากันดูลักษณะการตายของงูเพศเมีย และเพศผู้แล้ว ชาวบ้านยังพากันมุงดูน้ำมนต์ในขันธ์เงินที่อยู่ใต้ศาลเจ้าหน้าที่ โดยบางรายลงทุนมุดเข้าไปใต้ศาลเจ้าที่ พยายามก้มหน้าเข้าไปใกล้ขันธ์น้ำมนต์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อมองหาเลขเด็ดในขันธ์น้ำมนต์ และหยดน้ำมนต์เป็นเลข 90

นายภานุวัฒน์ พันอ่อน อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 59 / 3 หมู่บ้านปะตง หมู่ 1 ต.ปะตง อ.สอยดาว ผู้จัดการตลาดนัดในชุมชนทหารผ่านศึกษา ที่ตั้งอยู่ใกล้กับป่าละเมาะที่งูเหลือมเพศผู้ เพศเมียตาย เปิดเผยว่า เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีผู้พบเห็นงูเหลือมเพศผู้นอนตายพันร่างไว้รอบงูเหลือมเพศเมีย ตายในลักษณะโอบกอดงูเหลือมตัวเมีย ตนและ เพื่อน ๆ ได้พยายามเสาะหาที่มาของงูตัวผู้ ว่ามาจากไหน มาตายที่เดียวกันกับตัวเหลือมเพศเมียได้อย่างไร จนกระทั่งทราบว่า เคยมีผู้พบเห็นงูทั้งสองตัวในบริเวณจอมปลวกแห่งนี้ในขณะที่มันทั้งคู่ยังมี ชีวิต คาดว่าน่าจะเป็นงูเหลือคู่ผัวตัวเมียกัน หลังจากงูเหลือมเพศเมียตายได้ไม่กี่วัน อยู่ ๆ งูเหลือมเพศผู้ก็มาตายในรอบจอมปลวกที่เดียวกันกับงูเหลือมตัวเมีย ตนและ เพื่อน ๆ ได้ช่วยกันตรวจสอบสภาพร่างกายงูเหลือมเพศผู้อย่างละเอียด ปรากฏว่า พบร่องรอยการถูกรถยนต์ทับ แล้วก็เห็นมันมาตายในที่เดียวกันกับงูเหลือมเพศเมีย คาดว่า หลังจากถูกรถทับแล้วคงจะกระเสือกระสนมาตายกับคู่ของมัน

นายภานุวัฒน์ เปิดเผยต่อไปว่า เมื่อวานนี้ (10 ก.พ.) มีผู้นำสร้อยคอทองคำ หนัก 1 สลึงมาคล้องงูตัวเมีย โดยบอกงูเหลือมว่า มาแก้บนที่ช่วยให้ขายที่ดินได้สำเร็จ ตนและคณะกรรมชุมชนทหารผ่านศึก ได้เก็บทองเส้นดังกล่าวไว้ ตกลงกันว่าจะไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการดูเรื่องต่าง ๆ ในสถานที่งูเหลือมตาย และล่าสุดได้รวบรวมเงินกัน และเงินบริจาคของชาวบ้านนำมาสร้างเจ้าศาลเจ้าที่ไว้ใกล้กับจอมปลวก




ข้อมูลข่าวจากhttp://www.krobkruakao.com/

64



ครื่องรางของขลังที่คนโบราณนิยมกันว่าเป็นมงคลอีก อย่างหนึ่งก็คือ "แหวนพิรอด" ในปัจจุบันนี้ค่อนข้างหายาก และอาจารย์ที่ทำดูจะหายากตามไปด้วย นับเป็นวัฒนธรรมเครื่องรางโบราณอีกชนิดหนึ่งที่กำลังจะหายไปกับยุคโลกาภิวัฒ น์ หรือยุคเทคโนโลยี ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะนำพาสังคมไทยไปในรูปแบบใดจะเป็นการสร้างชาติ หรือสิ้นชาติที่หมาย

ถึงการสูญเสียวัฒนธรรมเก่า ๆ ไปแลกกับวัฒนธรรมขยะยุค ไอ.ที. (I.T.) ที่วัยรุ่นปัจจุบันมักมีพฤติกรรมแปลกให้เห็นอยู่เสมอ ๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์ ฝากข้อคิดไว้นิดว่าชาติจะมีความหมายอะไร ถ้าหากเราไม่สามารถรักษาเอกลักษณ์ คือ วัฒนธรรมเอาไว้ได้

แหวนพิรอดว่ามี สองชนิด

ตามตำราไสยศาสตร์นั้นบอกเล่าเรื่องราวของ แหวนพิรอดว่ามีสองชนิด คือชนิดเล็กใช้สวมนิ้ว ชนิดใหญ่ใช้สวมแขน ซึ่งมักเรียกว่า "สนับแขนพิรอด" (ชนิดนี้บางทีทำด้วยโลหะผสมก็มี ตรงหัวทำเป็นเหมือนหัวแหวนพิรอด) ซึ่งสนับแขนนี้เดิมยังใช้เป็นอาวุธของนักมวยในการกอดปล้ำที่เข้าวงใน เพราะแหวนแขนที่ทำจากด้ายดิบหากลงรักจะแข็ง และคมซึ่งใช้ถูกับผิวหนังนักมวยฝ่ายตรงข้ามทำให้เจ็บ และไม่อยากเข้าต่อสู้ด้วยการกอดปล้ำ เป็นการจำกัดรูปมวยฝ่ายตรงข้ามเรียกว่าพาให้เขาเข้าทางมวยฝ่ายเรา ซึ่งทำให้ได้เปรียบในเชิงการต่อสู้ ในปัจจุบันจะพบเห็นในการแข่งขันชกมวยไทย แต่ปัจจุบันคงเป็นแค่เครื่องรางอย่างหนึ่งเท่านั้น

วัสดุที่ใช้ทำแหวนพิรอด

วัสดุที่ใช้ทำ แหวนพิรอดโดยมากทำด้วยกระดาษว่าวกับถักด้วยเชือก ตำนานแหวนพิรอดเมื่อย้อนยุคไปเมื่อสักเกือบศตวรรษนั้น แหวนพิรอดของหลวงพ่อม่วง วัดประดู่ทรงธรรม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีชื่อมากขนาด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ (รัชกาลที่ ๕) ได้ทรงกล่าวถึงอาจารย์ที่สร้างแหวนพิรอดที่ขึ้นชื่อลือชาในสมัยที่พระองค์ ประสพพบเห็น โดยทรงพระราชนิพนธ์บันทึกไว้นี้สองท่านคือ รูปหนึ่งคือเจ้าอธิการเฮง วัดเขาดิน เป็นอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ได้นำแหวนพิรอดมาถวายพระเจ้าลูกเธอที่ตามเสด็จ ได้ทรงวิจารณ์ไว้ว่า "เอาแหวนถักพิรอดมาแจกแหวนนั้นทำนองเดียวกับขรัวม่วงวัดประดู่ แต่ขรัวม่วงถักด้วยกระดาษลงรักนี่ถักด้วยด้ายทำเรียบร้อยดี" ซึ่งพอจะคะเนได้ว่าพระเถระทั้งสองรูปน่าจะเป็นเกจิอาจารย์ของเมืองกรุงเก่า (อยุธยา) แหวนพิรอดเดิมทีนั้นใช้วัสดุที่หาได้จากใกล้ ๆ ตัวตามวิถีชีวิตคนในสมัยนั้นคือมักทำด้วยกระดาษว่าว ก็เพราะเป็นกระดาษที่เหนียวแน่นดีกว่ากระดาษชนิดอื่น

ลงยันต์แหวนพิรอด

เมื่อจะต้องทำลง ยันต์แหวนพิรอดในกระดาษยันต์นี้ประกอบด้วยรูปพระภควัม หรือเลขยันต์ตามแต่พระเกจิอาจารย์แต่ละสายจะกำหนดขึ้น ซึ่งเรื่องนี้จะเห็นว่าเป็นกลเม็ดเด็ดพรายตามแต่สำนักใดจะสร้างขึ้น โดยมีความเชื่อกันอยู่อย่างหนึ่งถึงวิธีการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องรางแหวน พิรอด ที่สร้างขึ้นว่ามีอิทธิคุณถึงขั้นหรือยัง คือ เมื่อทำแล้วให้ทดลองเอาไฟเผาดู ถ้าไม่ไหม้ก็ใช้ได้ พระอาจารย์ผู้สร้างจึงจะนำมาตกแต่งเพื่อความมั่นคงทนทานและสวยงาม อันแหวนพิรอดนั้นโดยมากมักจะลงรักเพื่อป้องกันความชื้นซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้แหวนผุง่ายไม่คงทน

ลอร์ดออฟเด อะริงค์ อย่างไทย


ในตำราไสยศาสตร์นั้นยังระบุอธิบาย วิธีใช้ไว้ว่า ถ้าจะเข้าสู้รบทำสงคราม ให้ถือแหวนกระดาษนี้แล้วบริกรรมด้วย "มะอะอุฯ" และถ้าจะให้เป็นตบะเดชะในสงคราม ทำให้ข้าศึกครั่นคร้าม ให้บริกรรมด้วยคาถา "โอม ยาวะ พะกาสะตรีนิสิเหฯ" ว่ากันว่าไม่แต่เพียงศึกมนุษย์ถึงศึกเทวดามาก็ไม่ต้องกลัว ซึ่งคงเป็นแบบเรื่องราวของ "ลอร์ดออฟเดอะริงค์" อย่างไทย

ความเป็นมาของเงื่อน

เคยได้ยินคนรุ่น เก่าเล่ากันว่า แหวนหลวงพิรอด เรื่องนี้เห็นจะเป็นเพราะลากเข้าความกันมากกว่า เท่าที่อ่านพบจากการสันนิษฐานของนักปราชญ์ชาวตะวันตก (อิตาลี) ที่เข้ามารับราชการ จนเป็นถึงเจ้ากรมยุทธศึกษาของกองทัพบกไทยคนแรกในการทหารยุคใหม่คือ ยี. อี.เยรินี (พันเอกพระสารสารขันธ์) กล่าวว่า "ชื่อ พิรอด มาจากภาษาสันสกฤตว่า วิรุทธ หรือ พิรุทธ แปลว่า อันขัดกันอยู่ อันได้รับการต่อต้านหรือขัดขวาง อันตรงกันข้ามเมื่อพิจารณาจากลายที่ถัก ก็ใช้ขัดกันแบบเงื่อนลูกเสือที่เรียกกันว่า เงื่อนพิรอด ก็ดูจะสมกับชื่อในภาษาสันสกฤตอยู่มาก เงื่อนพิรอดนั้นเป็นเงื่อนที่ใช้กันมาแต่โบราณนานมาก หลักฐานที่พอจะชี้ให้เห็นเป็นตัวอย่างได้ก็คือรูปสลักหินโบราณของพวกขอม จะเห็นว่าผ้าคาดเอวตรงด้านหน้าทำเป็นเชือกผูกเป็นเงื่อนพิรอดอย่างนี้เหมือน กัน เงื่อนชนิดนี้ยิ่งดึงยิ่งแน่น"

คาถา อาคม ที่ใช้กับเงื่อน ของเกจิอาจารย์

เงื่อนพิรอดนั้น จัดเป็นเงื่อนสำคัญที่ใช้ในการต่อเชือกหรือการผูกโยงเพื่อความมั่นคง แน่นหนาอย่างวิชาเชือกคาดสายหลวงปู่ขัน วัดนกกระจาบ ที่ต่อยุคมายังหลวงปู่ธูปวัดแค นางเลิ้ง กทม. ซึ่งพระเกจิอาจารย์ท่านนี้เป็นผู้ทรงคุณวิทยาสูงส่งเฉพาะด้านมหานิยมก็เข้ม ขลังขนาดอมตะ ดาราอย่าง คุณ มิตร ชัยบัญชายังนับถือเป็นลูกศิษย์ซึ่งวงการผู้นิยมเครื่องรางก็ทราบกันดี โดยเชือกคาดสายหลวงปู่ขันนั้นเวลาคาดต้องขัดเป็นเงื่อนพิรอด มีคาถากำกับว่า "พระพิรอดขอดพระพินัย" และเวลาแก้เชือกก็มีคาถาว่า "พระพินัยคลายพระพิรอด" อันจะเห็นได้ว่าศาสตร์การใช้เงื่อนพิรอดนั้นยังสืบมาถึงเครื่องคาดอย่าง เชือกหรือการ ผูกตะกรุด พิสมรซึ่งต้องรวมถึงเครื่องรางโบราณอีกชนิดที่ปัจจุบันไม่ค่อยมีเกจิอาจารย์ สร้างก็คือ "ผ้าขอด" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องพิรอดด้วยโดยผ้าขอดนั้นจะเป็นการขัด "พิรอดเดี่ยว" เกจิอาจารย์ที่มีชื่อเรื่องผ้าขอดในยุคเก่า ๆ เช่น หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา, หลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา, หลวงพ่อกวย ชุตินธโร จังหวัดชัยนาท เป็นต้น ในส่วนเครื่องรางผ้าขอดสายวัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็มีชื่อเช่นกันแต่เป็นฆารวาส ที่ชื่อว่า เฮง ไพรวัลย์ ลอยเรืออยู่ท่าน้ำวัดสะแกบางคนเรียก ว่า อาจารย์เฮงเรือลอยก็มี

(ความรู้เพิ่มเติมเรื่องเงื่อนศักดิ์สิทธิ์นี้อ่านที่คอลัมมายิกไท-เทศ; อุณมิลิต เล่มที่ 10 - 11)



ขอบคุณข้อมูลจากกระดานผีสิง - คลังหลอนสยองขวัญ กับตำนานและความเชื่อ

65


ฮือฮาพบต้นไม้เป็นรูป หลวงปู่ทวด โผล่บนยอดเขาใกล้เจดีย์โบราณ กลางเมืองพังงา

เผย ชาวบ้านไปทำธุระที่สถานีตำรวจเมืองพังงา พากลับออกมา เงยหน้ามองไปบนเขา ก็เจอต้นไม้ต้นนี้เข้า มีลักษณะลำต้น กิ่ง ก้าน ใบ ประกอบ กันเป็นรูปคล้ายพระพุทธรูป ในท่านั่งขัดสมาธิ อย่างเหมาะเจาะ ดูคล้ายหลวงปู่ทวด ลือเป็นนิมิตหมายที่ดีต่อบ้านเมืองและพี่น้องชาวพังงา

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 8 ก.พ. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า มีชาวบ้านพบต้นไม้ใหญ่ลักษณะคล้ายกับรูปหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ งอกอยู่บนยอดเขาล้างบาศ

หลังโรงเรียนสตรีพังงา อ.เมือง จ.พังงา จึงรุดไปพิสูจน์ เมื่อไปถึงพบต้นไม้ ใหญ่จำนวนหลายต้น มีกิ่ง ก้าน ใบรวมกัน ตั้งสูงตระหง่านโดดเด่นอยู่เหนือต้นไม้ต้นอื่นที่ขึ้นอยู่รอบข้าง โดยงอกอยู่บนยอดภูเขาขนาดเล็ก ชื่อ "เขาล้างบาศ" ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญใน จ.พังงา โดยกลุ่ม ต้นไม้ดังกล่าวมีลักษณะลำต้น กิ่ง ก้าน และใบ ประกอบกันเป็นรูปทรงลักษณะคล้ายกับพระพุทธรูปในท่านั่งขัดสมาธิอย่างเหมาะ เจาะ สร้างความตื่นตาตื่นใจกับผู้ที่พบเห็นยิ่งนัก ยิ่งมีการพูดกันไปปากต่อปาก ก็ยิ่งมีชาวบ้านเดินทางมาดูกันเนืองแน่น ส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่าคล้ายหลวงปู่ทวด วัดช้างให้

นางอัญชลี นิจผล อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 48 ถนนศิริราษฎร์ (อู่เรือ) อ.เมือง จ.พังงา ผู้พบต้นไม้ดังกล่าว กล่าวว่า ตนมาติดต่อราชการที่สถานีตำรวจภูธรจังหวัดพังงา

ภาย หลังจากเสร็จธุระกลับออกมา บังเอิญหันไปมองทางยอดเขาที่อยู่เบื้องหน้า สังเกตเห็นต้นไม้บนยอดเขาล้างบาศ มีลักษณะรูปทรงคล้ายกับรูปหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ ซึ่งเป็นพระที่ตนเองมีความศรัทธาและนับถือกราบไหว้อยู่ตลอดเวลา นับว่าเป็นเรื่องที่บังเอิญและแปลกประหลาดมาก ที่ต้นไม้งอกขึ้นมาเป็นรูปคล้ายหลวงปู่ทวด ซึ่ง ปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้ ตนคิดว่าคงเป็นนิมิตหมายที่ดีต่อบ้านเมืองและพี่น้องชาวจังหวัดพังงาต่อ จากนี้ไปจังหวัดพังงาคงจะมีความเจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่กันด้วยความสงบร่มเย็นตลอดไป

ผู้สื่อข่าว รายงานเพิ่มเติมว่า นอกจากเขาล้างบาศที่พบต้นไม้หลวงปู่ทวดแล้ว ยังมีเจดีย์เขา ล้างบาศ ซึ่งเป็นเจดีย์โบราณ ซึ่งในสมัยพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เคยเสด็จฯ ทอดพระเนตรครั้งเสด็จประพาสจังหวัดพังงา ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชัน


: หนังสือพิมพ์ ข่าวสด



66
“เสือ” ตามคติความเชื่อของคนเล่นของ เชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจราชศักดิ์ สำแดงฤทธิ์ ทำให้เป็นที่คร้ามเกรง นับถือแก่ปวงชนทั้งหลาย ผู้ที่พกหรือใช้เครื่องรางประเภทเสือ ไม่ว่าจะเป็นเขี้ยวเสือแกะ ตะกรุดหนังเสือ ผ้ายันต์รูปเสือ รวมทั้งการสักยันต์ลายเสือ จะมีพุทธคุณเด่นด้านคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด รวมทั้งมหาอุด


ในขณะที่ผู้เกิดปีขาล หรือปีเสือ โหราจารย์ท่านมักจะทำนายว่า เป็นผู้กล้าแข็ง เวลาไปหาผู้ใดมักไม่เกรงใจผู้อื่น คนปีขาลมักได้ดีเพราะรับราชการ ทำงานเมืองจะก้าวหน้า มีอำนาจวาสนาสูง  อาสาเจ้านายดี มักสำเร็จ นำเกียรติมาสู่วงศ์ตระกูล มักได้ลาภจากคนผิวขาวเหลือง

 ผ้ายันต์รูปเสือของพระเกจิอาจารย์ในอดีต ซึ่งได้รับความนิยมมาถึงปัจจุบัน มีอยู่หลายรูป เช่น  หลวงพ่อปาน วัดมงคลโคธาวาส (วัดบางเหี้ย) จ.สมุทรปราการ หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ จ.นครปฐม หลวงพ่อแล วัดพระทรง จ.เพชรบุรี หลวงพ่อวงศ์ วัดปริวาส ยานนาวา กทม. หลวงพ่อสุด วัดกาหลง จ.สมุทรสาคร ฯลฯ เป็นต้น

 ยุคปัจจุบัน แม้ผ้ายันต์เสือของพระครูปิยนนทคุณ หรือหลวงปู่แย้ม ปิยวณฺโณ เจ้าอาวาสวัดตะเคียน ถนนนครอินทร์ (พระราม ๕) ต.บางคูเวียง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ผู้สร้างตะกรุดคอหมา และ ตะกรุดเสือปืนแตก อันโด่งดัง ในยุคปัจจุบันจะมีชื่อเสียงไม่เท่าพระเกจิอาจารย์ยุคก่อน แต่ผ้ายันต์ของหลวงปู่แย้มก็ได้รับความนิยมจากลูกศิษย์อยู่ไม่น้อย

 ก่อนจะอธิบายผ้ายันต์เสือของหลวงปู่แย้ม ขออธิบายความเข้าใจว่า การวาดหรือทำผ้ายันต์ที่มีภาพ เสือ สิงห์ หนุมาน รวมทั้งภาพเทพต่างๆ พระเกจิอาจารย์จะนำเอาอักขระ เลขยันต์ มาประกอบเขียนกำกับ เพื่อให้ดูแล้วดี มีสง่า มีความขลังขึ้น พร้อมด้วยตัวคาถาอาคม เสริมเข้าไปในรูปภาพนั้น ทำให้เกิดความขลัง เป็นความเชื่อของแต่ละบุคคล

 หากมีความศรัทธา มีความเชื่อมั่นจริง พลังจิตต่างๆ ที่ได้รับการบรรจุ เจริญภาวนาด้วยสมาธิจิตชั้นสูง ย่อมมีผลพุทธคุณปรากฏ ดังที่พระเกจิอาจารย์ดังๆ ได้สร้างภาพหรือผ้ายันต์ที่เป็นรูปภาพต่างๆ

 จุดประสงค์การทำผ้ายันต์ ซึ่งเดิมจะสร้างโดยใช้อักขระเลขยันต์ ไปประกอบกับภาพองค์เทพต่างๆ ที่มีความเชื่อว่า จะบันดาลความสมบูรณ์พูนสุขแก่เราได้ เช่น ภาพพระพรหม อิศวร นารายณ์ หนุมาน นางกวัก และภาพสัตว์ที่มีพลังอำนาจในตัวของมัน เช่น เสือ ราชสีห์ ลิง กระทิง ฯลฯ

 ในผ้ายันต์ของหลวงปู่แย้ม มียันต์ที่น่าสนใจอยู่หลายตัว แต่ในที่นี้ขอยกยันต์ที่เกี่ยวกับเสือและมหาอำนาจมาเขียน ซึ่งมีอยู่ ๒ บท คือ ๑.คาถาพญาเสือ (เขียนไว้ด้านบนเหนือหลังเสือที่ติดกับเส้นรูปสี่เหลี่ยม) ที่ว่า “พยัคโฆ พยัคฆา สูญญา ลัพภะติ อิ ติ ฮิ่ม ฮั่ม ฮึ่ม ฮึ่ม ฮั่ม ฮั่ม ฮะ ทุ สะ มะ นิ (หัวใจปะถะมัง) ทุ สะ นิ มะ (หัวใจอริยสัจ ๔) ทุ สะ นะ โส (หัวใจพระธรรมบท)”

 คาถาบทนี้ ใช้ภาวนาเพื่อบังเกิดมีสง่าราศี มีตบะเดชะ เป็นที่ครั่นคร้ามของคนทั้งปวงให้เกรงกลัว เราอาจใช้กำกับเสือในเวลาไปพบผู้ใหญ่เจ้านาย หรือเผชิญศัตรู

 และ ๒.คาถาหัวใจสิงห์ (ตัวยันต์ที่เขียนไว้บนหลังเสือ) ที่ว่า “สิง หะ นะ ทัง ยัน ตัง สัน ตัน วิ กรึง คะ เร” นอกจากนี้ยังมีคาถาอีกบทหนึ่งที่ใช้ด้านเมตตา (ใต้ตัวเสือแถวล่างสุดที่อยู่ติดกับเส้น) คือ คาถาเมตตาเรียกคนเรียกทรัพย์ ที่ว่า "พรหมมาจิตตัง มานิมามะมะ ติติอุนิ" (ติติอุนิ เป็นคาถาใจอริยสัจ ๔)

 ความเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องรางของขลัง ประเภทเสือ ของสายหลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน คือ เสือทุกรุ่นตั้งแต่รุ่น ๑ ถึงรุ่น ๕ ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดของวัด และถือว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือ "ยันต์มหาเบา" ซึ่งถือว่าเป็นยันต์ประจำตัวของหลวงพ่อ ไม่ว่าท่านจะสร้างวัตถุมงคลประเภทใด จะปรากฏยันต์ตัวนี้เสมอ

 ในการเขียนยันต์ตัว "อัง" (ยันต์ที่เขียนเป็นรูปทรงกลม) จะบริกรรมว่า "นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออนออะ นะอะกะอัง" ซึ่งเป็นคาถาหัวใจพระเจ้า ๑๖ พระองค์ หรือ บางตำราก็บริกรรมว่า "อะระหัง ปูชาสักการัง อะระโหปาปะการะยัง อะระหัตตะถะสัมปัตโต อะระโหนามะเตนะโม"

 ส่วนวงกลมที่เขียนล้อมรอบเรียกว่า "ยันต์มหาสูญ" การเขียนยันต์ตัวนี้ จะใช้คาถามหาอุดในการเรียกสูตร โดยแต่ละวงเรียกสูตรต่างกัน คือ วงกลมชั้นที่ ๑ เรียกสูตรว่า "อะระหัง พุทธังปิด อุดทะวารัง" วงกลมชั้นที่ ๒ เรียกสูตรว่า "อะระหัง ธัมมังปิด อุดทะวารัง" และวงกลมชั้นที่ ๓ เรียกสูตรว่า "อะระหัง สังฆังปิด อุดทะวารัง"

 การเขียนวงกลมล้อมรอบตัวยันต์ตัวหนึ่งตัวใดนั้น พระเกจิอาจารย์ต้องการเน้นพุทธคุณเด่นด้านมหาอุด

 ส่วนของการทำผ้ายันต์รูปเสือของสายเขาอ้อ จ.พัทลุง สำนักตักศิลาในเมืองไทย นับเนื่องมาแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน จะใช้คาถาปลุกเสกเสือที่ว่า “พยัคฆะ โลหลัง ราชะสิงโห โลกัสสมิง สังคัตตะ มานิอิ”

 แต่ถ้าเป็นคาถาพญาเสือ ของอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ซึ่งเป็นผู้รวบรวมตำราอักขระเลขยันต์ที่มีชื่อเสียง และเป็นแม่แบบของการเขียนยันต์ จะใช้คาถาพญาเสือที่ว่า “โอมนะมะพะยัคคะ พุทธโคนาคม ไทยยะวา ไทยยะวา ปะไลยยะวา ปะไลยยะวา ภูภิภาภา พาชะเน เพชะนา มุกขังปะวะรัง กะทายะ อะทายะ”

 นอกจากนี้แล้วยังมีคาถามหาอำนาจ ซึ่งใช้ลงในยันต์สัตว์มหาอำนาจทุกชนิดจะใช้ โดยให้เริ่มด้วยการตั้งนะโม ๓ จบ แล้วปริกรรมว่า "ตะมัตถัง ปะกาเสนโต สัตถาอาหะ ไกรสรราชสีห์ วิยะ อิมังคาถา มะหะ อิติ”

 อุปเท่ห์การใช้คาถาอาคมขลัง สิทธิการิยะท่านว่า สาธุชนใดบูชา เขี้ยวเสือ ตะกรุดหนังเสือ ผ้ายันต์เสือ ติดตัว ห่อใส่ผ้าเช็ดหน้า รวมทั้งใส่ไว้ในรถยนต์ ย่อมเป็นที่ครั่นคร้ามเกรงอำนาจดีนัก

 ถ้าหากนำติดตัวไปหนทางใกล้ไกล หรือเดินทางเข้าพงพี เผชิญฝูงสัตว์ร้าย และภูตผีจะมิกล้าทำอันตรายใดๆ เป็นคงกระพันมหาอุด รวมทั้งแคล้วคลาดเป็นที่สุด

 สำหรับผู้ที่สนใจเครื่องรางประเภท "เสือ" ในปีเสือนี้ หลายวัดหลายสำนัก ได้สร้างออกมาให้เช่าบูชา เพื่อหาปัจจัยไปบูรณะก่อสร้างศาสนสถานต่างๆ

 แต่ถ้าอยากได้ของ "ฟรี" ต้องไปที่วัดตะเคียน ในช่วงตรุษจีนปีนี้ พระครูสมุห์สงบ กิตฺติญาโณ หรือ หลวงพี่สงบ พระเลขาฯ หลวงปู่แย้ม ปิยวณฺโณ ในพิธีสมโภชรูปหล่อหลวงปู่แย้มนั่งเสือองค์ใหญ่ ได้จัดสร้างเสือปืนแตก รุ่น ๕ แจกฟรีเป็นที่ระลึกสำหรับผู้ที่เข้าร่วมพิธีสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาเสริมบ ารมี ตามตำราของหลวงปู่แย้มทุกท่าน ในวันเสาร์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เวลา ๑๖.๐๐ น. สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่วัดตะเคียน โทร.xxxxxxxxxxxx[/
size]




ตัวอย่างเสือที่จะแจกครับ  (ขอบคุณพี่คนอัศจรรย์ เว็บคนนนท์ด้วยนะครับ)









67


นามพระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งนครศรี ธรรมราช คงไม่มีใครไม่รู้จัก "พ่อท่านบุญให้ ปทุโม" หรือ "พระครูพิศาลวิหารวัตร" วัดท่าม่วง

ถือเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอีกรูป และได้รับการยกย่องว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ระดับแนวหน้า

ที่ผ่านมา ท่านได้จัดสร้างวัตถุมงคลที่มีพุทธคุณด้านคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด เมตตามหานิยม หลายต่อหลายรุ่น มอบให้แก่คณะศิษยานุศิษย์และสาธุชนที่เลื่อมใสศรัทธา จนเป็นที่เลื่องลือว่าเป็นผู้มีวิทยาคมทรงพุทธคุณเข้มขลัง

ท่านมักจะได้รับกิจนิมนต์จากวัดวาอารามทั่วประเทศ ให้ร่วมในพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลมาโดยตลอด อาทิ จตุคามรามเทพรุ่น ปี 2530, ปี 2545 และวัตถุมงคลต่างๆ เกือบทุกรุ่นที่จัดสร้างเรื่อยมา

ปัจจุบัน พ่อท่านบุญให้ สิริอายุ 82 พรรษา 62 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าม่วง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช

อัตโนประวัติ เกิดในสกุล สุขขนาน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม 2471 ณ หมู่บ้านบางทองคำ ต.บ้านเนิน อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช

โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายสงฆ์ และนางทองนวล สุขขนาน ครอบครัวมีพี่น้อง 9 คน ท่านเป็นคนที่ 6

ในช่วงวัยเยาว์ ท่านมีอุปนิสัยเรียบร้อย เป็นเด็กดี ไม่ชอบเที่ยวเตร่ ตั้งแต่เริ่มเข้าวัยรุ่นมีความประพฤติเรียบร้อย จิตใจฝักใฝ่สนใจหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เป็นคนขยันขันแข็ง มีจิตใจเมตตากรุณามาตั้งแต่วัยเยาว์ แม้กระทั่งวัวที่เลี้ยงไว้ไถนา ท่านให้ความรักดูแลเป็นอย่างดี จะคอยตัดหญ้าให้กินมาโดยตลอด

กระทั่งอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบททดแทนคุณบุพการี เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2491 ณ วัดพระหอม ต.บ้านกลาง อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช มีพระธรรมปาลาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระปลัดฝาก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมหาทอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ได้รับฉายาว่า ปทุโม มีความหมายว่า ดอกบัว

เมื่อได้อุปสมบท ท่านได้มุ่งมั่นศึกษาพระปริยัติธรรม รวมทั้งได้ศึกษาร่ำเรียนสรรพวิชาจากพระครูทักษิณธรรมสาร ตลอดเวลา 3 พรรษา ท่านได้คอยปรนนิบัติรับใช้พระครูทักษิณธรรมสาร ซึ่งเป็นลูกศิษย์พ่อท่านจับ วัดท่าลิพง อย่างใกล้ชิด ได้รับเมตตาถ่ายทอดสรรพวิชาคาถาอาคมต่างๆ ให้อย่างครบถ้วน

พ่อท่านได้หมั่นฝึกฝนปฏิบัติวิทยาคมต่างๆ ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจนเชี่ยวชาญ เกิดพลังสมาธิอย่างน่าอัศจรรย์ สรรพวิทยาคมที่ได้ร่ำเรียนจากพระครูทักษิณธรรมสารแห่งวัดพระหอม เป็นวิชาสายเดียวกับพ่อท่านเอื้อม แห่งวัดบางเนียน อ.เชียรใหญ่

ต่อมา พ.ศ.2494 ท่านได้เดินทางมายังภาคกลาง แถบเมืองหลวง ได้อยู่จำพรรษาที่วัดเขมาภิรตาราม อ.เมือง จ.นนทบุรี เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยเป็นเวลา 13 พรรษา

หลังจากนั้น อาจารย์ก็ให้พ่อท่านบุญให้ เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าบันเทิงธรรม เขตบางกอกน้อย ซึ่งที่นั้นท่านได้บูรณะซ่อมแซมกุฏิ สร้างศาลา โรงธรรม เสนาสนะต่างๆ ครบ 3 พรรษา

กระทั่งปี พ.ศ.2508 ท่านได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดพระหอมเป็นเวลา 1 พรรษา ก่อนย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่ามะเดื่อ อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง เป็นเวลา 6 พรรษา

ณ ที่แห่งนี้เอง ที่พ่อท่านได้มีโอกาสศึกษาวิชาต่างๆ กับพระอาจารย์สำนักเขาอ้อ หลายๆ ท่าน เช่น พระสมุห์สงฆ์ วัดตะโหมด, พระครูกาชาด วัดดอนศาลา, พ่อท่านนำ, พ่อท่านทอง เป็นต้น

จวบจนปี 2513 พ่อท่านบุญให้ ได้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าม่วง ซึ่งในตอนที่ท่านเข้ามาอยู่ใหม่นั้น มีเพียงพระหลวงตาอายุ 80 ปี อยู่เพียงรูปเดียว กับวัดที่มีสภาพชำรุดทรุดโทรม มีเพียงโบสถ์เก่ากับกุฏิผุพังเท่านั้น

ด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ในปีรุ่งขึ้น พ่อท่านบุญให้สามารถชักชวนให้ชาวบ้านมาบูรณะซ่อมแซมวัด เปลี่ยนเสาโบสถ์ หลังคาและสร้างผนังโบสถ์ พร้อมกันนี้ ยังเป็นองค์อุปถัมภ์ในการสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ของโรงเรียนวัดท่าม่วง ในปี พ.ศ.2514 สร้างหอระฆัง พ.ศ.2515 สร้างเมรุ พ.ศ.2517 สร้างกุฏิและศาลาการเปรียญ

พ.ศ.2528 ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลปากพูน

พ่อท่านบุญให้ เป็นพระที่บำเพ็ญเพียรตั้งมั่นอยู่ในสมณธรรมอย่างเคร่งครัด มีวัตรปฏิบัติเรียบง่าย ปฏิปทางดงาม เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้ได้พบเห็น เป็นที่นับถือศรัทธาของชาวนครศรีธรรมราช เป็นที่ยอมรับและศรัทธาของลูกศิษย์ซึ่งเป็นทหารกล้าของกองทัพภาคที่ 4 ค่ายวชิราวุธ ต่างล้วนเคยเข้ากราบนมัสการพ่อท่านบุญให้ และท่านได้มอบตะกรุดให้พกติดตัวไปปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ทหารหาญรายหลาย ต่างมีประสบการณ์แคล้วคลาดกันมาหลายหน จนเป็นที่เลื่องลือว่า ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งวิทยาคมด้านคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด ผู้ที่มีวัตถุมงคลของท่านไว้บูชาจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองทั้งในหน้าที่การ งาน ค้าขาย และโชคลาภ ผู้ที่ได้บูชาพระเครื่องของหลวงพ่อบุญให้ไปต่างร่ำลือในเรื่องพุทธคุณในด้าน คงกระพันชาตรี เมตตา ค้าขาย โชคลาภ กันอยู่เนืองๆ

ในปี พ.ศ.2553 พ่อท่านบุญให้ ได้ดำริจัดสร้างวัตถุมงคล รุ่นสรงน้ำ เพื่อนำปัจจัยที่ได้ไปจัดสร้างกุฏิสงฆ์ ด้วยกุฏิของวัดท่าม่วงยังไม่เพียงพอให้พระอยู่จำพรรษา วัตถุมงคลที่ท่านจัดสร้าง ประกอบด้วย พระพุทธสิหิงค์หน้าตัก 14 นิ้ว พระรูปเหมือนขนาดบูชา หน้าตัก 5 นิ้ว พระกริ่งบุญให้ เหรียญรูปไข่พ่อท่านบุญให้ เป็นต้น ซึ่งท่านได้นำชนวนมวลสารศักดิ์สิทธิ์มากมาย จัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นนี้ ด้วยท่านตั้งใจให้วัตถุมงคลรุ่นสรงน้ำ เป็นวัตถุที่เข้มขลังกว่าทุกรุ่นที่ท่านเคยจัดสร้างมา

พ่อท่านบุญให้ เป็นพระเกจิอาจารย์อาวุโสของเมืองนครศรีธรรมราช ได้สืบทอดวิชาและวัตรปฏิบัติตามแนวทางที่ครูบาอาจารย์ได้สั่งสอนเอาไว้ได้ เป็นอย่างดี เป็นที่เจริญศรัทธาของสาธุชน

พ่อท่านบุญให้ ได้นำวิชาความรู้ด้านวิทยาคม เป็นกุศโลบายสำคัญในการอบรมสั่งสอนศีลธรรมให้ประชาชนทั่วไป ได้ยึดหลักธรรมคำสอนตามแนวทางของพระพุทธศาสนาเป็นวิถีสำคัญในการประพฤติ ปฏิบัติธรรมและเข้าถึงธรรมะได้อย่างง่าย

ปัจจุบัน ท่านมีความเป็นอยู่อย่างสงบเรียบง่าย

ทุกวันนี้การเดินทางไปกราบนมัสการหลวงพ่อบุญให้ ที่วัดท่าม่วง มีความสะดวกสบาย เนื่องจากวัดท่าม่วงตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง เส้นทางคมนาคมสะดวก

กราบไหว้พระดีเปี่ยมด้วยเมตตาถือเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต


ที่มาข่าวสด ออนไลน์ ขอขอบคุณครับ  :001: :001: :001:


68


มรณภาพแล้ว 'หลวงปู่ครูบาดวงดี' เจ้าอาวาสวัดท่าจำปี นักบุญล้านนา ด้วยโรคปอดติดเชื้อไตวายฉับพลันอายุได้ 103 ปี
วันนี้ (6 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ พระครูสุภัทรสีลคุณ (หลวงปู่ครูบาดวงดี สุภัทโท) เจ้าอาวาสวัดท่าจำปี อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ นักบุญผู้เจริญรอยตามครูบาเจ้าศรีวิชัย ผู้เป็นพระอาจารย์ได้มรณภาพอย่างสงบ หลังเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล 14 วัน จากโรคปอดติดเชื้อ และเกิดไตวายฉับพลัน อายุได้ 103 ปี 83 พรรษา

สำหรับ หลวงปู่ครูบาดวงดี ถือกำเนิดที่บ้านท่าจำปี ต.ทุ่งสะโตก อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ เป็นคนพื้นเพบ้านท่าจำปีมาแต่กำเนิด บิดามารดา เป็นชาวไร่ชาวนา หลวงปู่มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 8 คน เป็นชาย 4 คน เป็นหญิง 4 คน หลวงปู่เป็นลำดับที่ 7 และมีน้องสุดท้องชื่อแม่นิน เมื่อหลวงปู่อายุได้ 11 ปี ได้ติดตามพ่อแม่ไปทำบุญตักบาตรถวายภัตตาหารแด่ท่านครูบาเจ้าศรีวิชัย ซึ่งขณะนั้นท่านครูบาถูกทางการจังหวัดลำพูน นำตัวมากักขังบริเวณที่วัดพระธาตุเจ้าหริภุญชัย (วัดหลวงลำพูน) ในข้อหาเป็นพระอุปัชฌาย์เถื่อนไม่มีหนังสืออนุญาตบวชพระ เมื่อท่านครูบาเจ้าฯได้เห็นเด็กชายดวงดี ท่านก็มีเมตตาอย่างสูงเรียกเข้าไปหาพร้อมกับบอกพ่อแม่ว่า "กลับไปให้เอาไปเข้าวัดเข้าวา ต่อไปภายหน้าจะได้พึ่งพาไหว้สามัน" นับเป็นพรอันประเสริฐ ยิ่งในการที่ท่านครูบาเจ้าฯได้พยากรณ์พร้อมกับประสาทพรให้หลวงปู่ตั้งแต่ยัง เด็ก.


"หนังสือพิมพ์เดลินิวส์"วันเสาร์ ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 10:10 น

69



...ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้...


ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนพาล ทั้งบัณฑิต ล้วนไปสู่อำนาจแห่งความตาย
ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า นี้เป็น พุทธศาสนภาษิตอีกบทหนึ่ง
ที่แสดงสัจจะซึ่งไม่มีผู้ใดจะอาจคัดค้าน
หรือเกิดความเคลือบแคลงสงสัยได้แม้แต่น้อย
ทุกชีวิตมีความแตกดับ มีความตายรออยู่เบื้องหน้า
ไม่มีชีวิตใดเลยที่จะพ้นความตายไปได้

ดัง ที่พุทธศาสนภาษิต กล่าวไว้นั่นแหละ คือ ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่
ทั้งคนดี ทั้งคนไม่ดี ล้วนต้องตาย จะเร็วหรือช้าก็ต้องตาย
อำนาจของความตายไม่มีผู้ใดจะหนีพ้น
เพียงหนีความตายไม่ได้ ทุกคนต้องตาย นี้ก็ยังไม่สมบูรณ์นัก
ถ้าจะไม่นำพุทธภาษิตอีกบทหนึ่งมากล่าวไว้เสียในทีนี้ด้วย
คือบทที่ว่า ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้

ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้
พุทธศาสนภาษิตบทนี้ก็เช่นเดียวกัน
แสดงสัจจะที่ไม่มีผู้ใดจะอาจคัดค้าน
หรือเกิดความเคลือบแคลงสงสัยได้แม้แต่น้อย
ทุกคนได้รู้ได้เห็นประจักษ์ชัดแก่ตนเองอยู่ด้วยกันแล้วในความจริงนี้
ไม่มีผู้ใดจะนำทรัพย์แม้สักนิดของตนติดตัวไปด้วยได้ยามต้องตาย
ผู้ที่เมื่อดำรงชีวิตอยู่ มีความสุขเพราะได้สั่งสมทรัพย์
หรือเพราะมีทรัพย์มากมาย
เมื่อถึงเวลาตายจะนำความสุขเพราะทรัพย์ติดตัวไปด้วยไม่ได้
ในเวลาสิ้นชีวิตสิ่งเดียวที่จะนำความสุขมาให้ คือ บุญ

มีพุทธศาสนภาษิตกล่าวไว้ด้วยว่า บุญนำสุขมาให้ในเวลาสิ้นชีวิต
จึงควรทำบุญอันนำสุขมาให้และความสุข
อันเกิดแต่บุญนี้มีอยู่แก่ผู้สั่งสมบุญ ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
คือ ทั้งเมื่อยังไม่ตายก็เป็นสุข เมื่อตายแล้วก็เป็นสุข

ดังที่มีกล่าวไว้ว่า ผู้ทำบุญแล้วย่อมยินดีในโลกนี้ ละไปแล้วย่อมยินดี
ชื่อว่ายินดีในโลกทั้งสอง เขาย่อมยินดีว่า เราทำบุญไว้แล้ว
ไปสู่สุคติย่อมยินดียิ่งขึ้น
ตรงกันข้ามกับผู้ทำบาปเพราะ ผู้ทำบาปย่อมเศร้าโศกในโลกนี้
ละโลกนี้ไปแล้วก็เศร้าโศก ชื่อว่าเศร้าโศกในโลกทั้งสอง
เขาเห็นกรรมอันเศร้าหมองของตน จึงเศร้าโศกและเดือดร้อน

ด้วยเหตุนี้คนจึงไม่ควรทำบาป ควรทำแต่บุญ
และควรทำบุญบ่อยๆ เรียกว่า ควรสั่งสมบุญ
ถ้ากล่าวว่าควรสั่งสมความสุขอันเกิดแต่สั่งสมบุญก็ได้
เพราะการสั่งสมอย่างอื่นหาอาจนำความสุขมาให้ได้ยั่งยืนหรือแท้จริงไม่
การสั่งสมบุญเท่านั้นที่จะนำความสุขมาให้ยั่งยืนและแท้จริง
แม้ความตายก็หาอาจพรากไปจากบุญ
หรือความสุขที่เกิดแต่บุญอันสั่งสมไว้แล้วได้ไม่

ทุกคนต้องตาย และทุกคนก็ต้องการความสุข
แม้คิดถึงความจริงนี้ให้ลึกซึ้งพอสมควรทุกคน
ก็น่าจะยินดีทำบุญคือ ทำความดี
น่าจะยินดีสั่งสมบุญคือสั่งสมความ ดี
ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะสมปรารถนาไม่ได้ คือจะมีความสุขไม่ได้
ในทางตรงกันข้ามจะกลับมีความทุกข์
เพราะธรรมดานั้นผู้ที่จะอยู่โดยไม่ทำกรรมใดเลยไม่มี
คือ ไม่ทำทั้งกรรมดีคือบุญและไม่ทำทั้งกรรมไม่ดีคือบาปไม่มี
จะต้องทำกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง มักเป็นปรกติเช่นนี้

ดังนั้นผู้ไม่ทำบุญในเวลาใดจึงมักจะทำบาปในเวลานั้น ไม่มากก็น้อย
ผลของบาปเป็นความทุกข์ ผู้ไม่ทำบุญจึงมักทำบาป จึงไม่มีความสุข
ไม่เป็นสุข ดังกล่าวว่าจะสมปรารถนาไม่ได้ในเมื่อทุกคนปรารถนาความสุข

ทุกคนต้องตาย ท่านก็ตาย เราก็ตาย ไม่มีผู้ใดหนีความตายพ้น
ไม่ช้าก็เร็วทุกคนจะต้องตาย นึกถึงความจริงนี้ไว้ให้เสมอ
พร้อมๆ กับที่นึกด้วยว่า ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้
บุญหรือบาปเท่านั้นที่จะติดตามทุกคนไป
ให้ ความสุขให้ความทุกข์แก่ทุกคนผู้กระทำบุญหรือบาปไว้
นึกไว้เช่นนี้เสมอๆ นั่นแหละจะเป็นการบริหารจิต
ห้ามจิตเสียจากความโลภได้ มากน้อยตามควรแก่ความปฏิบัติ



คัดลอกจาก... คุณ I am
ที่มา : การบริหารทางจิต สำหรับผู้ใหญ่ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)



ขอบคุณบทความจากธรรมจักรดอทเน็ต

คัดจาก http://www.teenee.com

70


ถาม :  เวลาคิดกำหนดระยะเวลานานๆ ถ้า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีการสัมผัส แล้วทีนี้เวลาใจมันออกมา มันออกมาทางไหนคะ จับไม่ทันเลย

ตอบ : จับไม่ทัน ? เขาระวังตรงใจ อย่าไประวังตรงตา หู จมูก ลิ้น กาย

ถาม : มันขึ้นมาเองคะ ไม่ทันระวัง มันขึ้นมาเอง

ตอบ : กำหนดใจเหมือนกับตัวเรานั่งอยู่ในห้องว่างๆ ประตูอยู่ตรงหน้าของเรา อะไรเข้ามาเราจะรู้ นึกออกไหม ? เหมือนอาคันตุกะมาเยี่ยม โผล่หน้ามาก็รู้แล้ว นี่มาทางตานะ..ต้องระวังไว้ เดี๋ยวมันจะเข้ามาในใจเราได้ นี่มาทางหู..ต้องระวังไว้ เดี๋ยวจะเข้ามาในใจเราได้ หูกับตาจะมาเร็วที่สุด

ถาม : ยังพอทัน หูกับตา แต่ใจนั้นไม่ชัด

ตอบ : นั่นแหละ คือ ระวังใจตัวเดียว หกตัว ระวังใจตัวเดียว อย่าให้เข้ามาในใจของเรา

แล้วจะไป เสียเวลากำหนดไปทำไม ภาวนาให้จิตทรงเป็นฌาน มันก็รู้รอบแล้ว ถ้าเราจับลมหายใจเข้าออกได้ สังเกตไหมว่ามันจะกินเราไม่ได้เลย มันปิดหมด

ถาม : ช่วงจับบางทีมันแน่น แน่นหน้าอก จนจุก

ตอบ : อาการอย่างนั้น บางทีเป็นขั้นตอนของการบอกให้รู้ว่า ตอนนี้อารมณ์ใจทรงตัวแล้ว เราเองเราก็จับอาการนั้นเอาไว้ ถึงเวลาถ้าอาการนั้นมันแน่นขึ้นมา เราก็รู้ว่าตอนนี้อารมณ์อยู่ในระดับที่จะพึ่งตัวเองได้ แล้วเราก็ระวังได้

บางทีอาการบางอย่างในร่างกายไม่เหมือนเขา เมื่อเกิดขึ้นเราก็ต้องรู้ไว้ จริงๆ แล้วอาการที่แน่นเข้ามา บางทีเย็นเหมือนกับซุกน้ำแข็งในอกก็มี คอยสังเกตตัวเองว่า ของเราต่างกับของเขานิดหน่อย พอ อารมณ์ใจถึงตรงนั้น แล้วดูซิว่าสติพร้อมไหม ถ้าสติพร้อม คือ อาการของการทรงฌาน อย่างน้อยๆ เป็นอาการของอุปจารฌาน



สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๔


ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...ead.php?t=1413




.


71


การพัฒนา วัดมิใช่มุ่งเน้นการบูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการพัฒนาแบบบูรณาการ เชื่อมโยงประสานกันทุกด้าน ครบทั้ง 6 องค์กร กล่าวคือ ด้านการปก ครอง การศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การ เผยแผ่พระพุทธศาสนา การสาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะห์ เพื่อให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะความพร้อมเรื่อง สถานที่ บุคลากร สื่อการสอน การนำเสนอ และ การประชาสัมพันธ์ ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์และมีความสำคัญมากในยุคปัจจุบัน

เมื่อเร็วๆ นี้ คณะสงฆ์พระนักศึกษา หลักสูตร ประกาศนียบัตรการบริหารกิจการคณะสงฆ์ หน่วยวิทยบริการจังหวัดจันทบุรี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้เดินทางมาศึกษาดูงานพัฒนาวัดเทวราชกุญชรราชวรวิหาร กรุงเทพฯ โดยมี "พระเทพคุณาภรณ์" เจ้าอาวาส วัดเทวราชกุญชร และรองเจ้าคณะภาค 13 เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการในโอกาสที่พระนักศึกษาทั้งหลายพร้อมใจกันจัด โครงการศึกษาดูงานการพัฒนาวัดเทวราชกุญชร และเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว




"พระเทพคุณาภรณ์" เจ้าอาวาส ได้กล่าวโอวาทว่า "เริ่มต้นพัฒนาวัดเทวราชกุญชรเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2544 ขณะนั้นเสนาสนะ ถาวรวัตถุ มีสภาพชำรุดทรุดโทรมหลายรายการ ตามที่ท่านทั้งหลายได้ชมวีดิทัศน์ซึ่งมีทั้งภาพเก่าและภาพใหม่เปรียบเทียบ ให้เห็นแล้วนั้น อาตมาตั้งใจบูรณปฏิสังขรณ์วัดตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา โดยมีอุดมคติในการทำงานว่า วัดนี้ต้องสะอาด สว่าง สงบ ปัจจุบันเสนาสนะ ถาวรวัตถุ มีความงดงาม เป็นไปตามความต้องการประโยชน์ใช้สอย อีกทั้งเป็นสมบัติอันล้ำค่าของพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ ซึ่งปรากฏแก่สายตาของท่านทั้งหลาย พระนักศึกษาทั้งหลายจะได้รับประโยชน์ที่เกิดจากการศึกษาดูงาน การพัฒนาวัดเทวราชกุญชร โดยสรุป 2 ประการ คือ 1.ได้ความสามัคคี พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกันปฏิบัติตามโครงการด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย 2.ได้รับความรู้ความเข้าใจในการบริหารกิจการคณะสงฆ์มากยิ่งขึ้น"




เมื่อประธานกล่าวโอวาทจบแล้ว คณะสงฆ์พระนักศึกษาได้พร้อมใจกันประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระอุโบสถวัดเทวราชกุญชร กรุงเทพฯ

จากนั้นทีมงานพระวิทยากรของวัดเท วราชกุญชรได้นำคณะสงฆ์พระนักศึกษา และผู้เข้าร่วมกิจกรรม ประมาณ 200 รูป/คน ศึกษา ดูงานพัฒนาวัดเทวราชกุญชร ตามสถานที่จริง ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความสนใจใฝ่เรียนรู้ คู่กับได้รับแนวคิดในการออกแบบการก่อสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุต่างๆ ที่มีความงดงามสมกับเป็นพระอารามหลวง เสริมด้วยวิธีการบริหารเวลาแต่ละวันอย่างมีคุณค่า การจัดบุคลากรให้เหมาะสมกับหน้าที่การงาน ได้เห็นแบบอย่างพระภิกษุสามเณร ที่มีความเป็นอยู่เรียบง่าย ครองจีวรเรียบร้อย เป็นที่เคารพศรัทธาของสาธุชน

เป็นผลเบื้องต้นของการพัฒนาวัดแบบบูรณาการ


ที่มา ข่าวสดออนไลน์ ขอขอบคุณครับ


72
ปีใหม่นี้ ผมได้ของขวัญเป็นหนังสือธรรมะหลายเล่มเลย จากอาจารย์กฤษณา พรพิบูลย์ หรืออาจารย์จ้อย แห่งโรงเรียนปัญญาประทีป ที่ปากช่อง

ผมชอบเรียกอาจารย์จนติด ปากว่า น้องจ้อย เนื่องจากเธอเป็นรุ่นน้องที่รู้จักกันมานานเกือบ 20 ปีแล้ว

น้องจ้อย นี่ถือเป็นกัลยาณมิตร ฝ่ายธรรมะของผมเลยทีเดียว นอกจากจะให้หนังสือธรรมะผมมาอ่านอยู่บ่อย ๆ แล้ว ยังแนะนำให้ผมรู้จักเรือนธรรม สถานที่ที่ฝึกสมาธิในเมืองกรุง อยู่แถว ๆ ราชวัตร

ผมได้ไปเรียนนั่งสมาธิเป็น ครั้งแรกในชีวิตก็เพราะน้องจ้อยนี่แหละครับ

เนื่องจากน้องจ้อยเป็นคนรุ่นใหม่ไฮเทคมากกว่าผม แถมยังเคยป็นอาจารย์สอนหนังสือที่ธรรมศาสตร์อีกต่างหาก สมัยก่อนเวลาจะซื้อโน้ตบุ๊ก ผมต้องโทรให้น้องจ้อยไปช่วยดู ช่วยเลือกโน้ตบุ๊กให้หน่อย ตัวผมใช้เป็นอย่างเดียว แต่เรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่อง รู้น้อยมาก
พอมาปีนี้ไปเจอน้องจ้อยที่บ้าน ก็ได้หนังสือธรรมะเป็นของขวัญปีใหม่จากน้องจ้อยอีก ผมรีบอ่านเล่มที่ใหญ่ที่สุดก่อนชื่อหนังสือว่า “เรื่องท่านเล่า”





โดย คุณศรีวรา อิสสระ เป็นผู้รวบรวมจากนิทานเรื่องเล่าต่าง ๆ ของท่านอาจารย์ชยสาโร พระชื่อดัง แห่งวัดป่านานชาติ ที่ญาติโยมผู้ใฝ่ธรรมในเมืองไทยน่าจะรู้จักท่านเป็นอย่างดี

นอกจากนี้ท่านอาจารย์ชยสาโร ยังเป็นองค์ประธานที่ปรึกษาของมูลนิธิปัญญาประทีป ซึ่งทางมูลนิธินี้ได้ร่วมกับกองทุนสื่อธรรมะทอสี จัดทำหนังสือ “เรื่องท่านเล่า” เล่มนี้ขึ้นมา พิมพ์แจกเพื่อเป็นธรรมทาน
นี่เป็นหนังสือธรรมะอีกเล่มหนึ่ง ที่ผมอ่านไปยิ้มไป บางช่วงก็หัวเราะจนน้ำตาไหล ได้มุก ได้แก๊ก ได้เรื่องเล่าและสาระธรรมมากมาย เป็นประโยชน์กับอาชีพวิทยากรของผมจริง ๆ ครับ
แต่สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดกลับเป็น ส่วนประกอบเล็ก ๆ ในหนังสือเล่มนี้

คืออย่างงี้ครับ เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ประมาณ 90% จะเป็นเรื่องเล่าและนิทานของท่านอาจารย์ชยสาโร

แต่มีอีก 10% จะแป็นคำถามคำตอบสั้น ๆ พร้อมรูปการ์ตูนประกอบเล็ก ๆ 2 รูป ซึ่งตัวการ์ตูนหลักก็จะเป็นท่านอาจารย์ชยสาโร จะเป็นผู้ตอบ ส่วนการ์ตูน อีกตัวหนึ่งก็จะเป็นญาติโยมที่จะคอยถามคำถาม นาน ๆ ก็จะมีคำถามคำตอบแทรกเข้ามาทีละข้อ สลับกับเรื่องเล่า

10% นี้แหละครับที่เป็นชูรสชั้นเลิศ ที่ผมชอบมากเป็นพิเศษ อ่านแล้วได้อารมณ์คล้าย ๆ กับอ่านข้อความกับการ์ตูนตัวเล็ก ๆ ที่หน้าปกมติชนรายสัปดาห์ ต่างกันที่ของมติชนมักจะเป็นเรื่องชวนหัวในแง่การเมือง
แต่การ์ตูนคำถามคำตอบในหนังสือเล่มนี้ เป็นแง่มุมธรรมะ ที่ท่านอาจารย์ตอบได้ชัดเจน

ผม อ่านส่วนของภาพการ์ตูนคำถามคำตอบครบหมดทุกข้อก่อนที่จะได้อ่านส่วนของเรื่อง เล่าซะอีก สนุกมากครับ นึกไม่ถึงว่าท่านอาจารย์ชยสาโร จะตอบคำถามได้เก่ง บางคำตอบผมคาดไม่ถึงเลยจริง ๆ
เอาละครับ ช่วงนี้ผมจะยกตัวอย่างคำถามคำตอบบางข้อมาให้พวกเราอ่านกัน เพื่อให้เห็นภาพการ์ตูนด้วย ผมเลยให้เลขาฯ ช่วยสแกนมาทั้งข้อความและภาพการ์ตูน เริ่มกันเลยนะครับ






























เป็นยังไงกันบ้างครับ ถูกใจกันบ้างหรือเปล่า ถ้าอยากอ่านทั้งเล่ม ก็ลองติดต่อขอไปที่ กองทุนสื่อธรรมะทอสี (www.thawsrischool.com) หรือ  มูลนิธิปัญญาประทีป (www.panyaprateep.org) เล่มนี้ ไม่มีขาย เขาพิมพ์แจกเป็นธรรมทานครับ

ที่มา  : www.atcloud.com
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=543802] 



73


"หอ ไตรกลางน้ำวัดคูยาง" เมืองกำแพง เพชร มีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี อยู่คู่วัดคูยางแห่งนี้มาช้านาน อายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี

เชื่อว่า มีอีกหลายๆ ท่าน ที่เดินทางมาเที่ยวในจังหวัดกำแพงเพชรหรือแม้กระทั่งชาวเมืองกำแพงเพชรเองก็ ตาม อาจจะยังไม่ทราบและไม่รู้ถึงความเป็นมาของหอไตรกลางน้ำวัดคูยาง

หาก ใครได้เดินทางไปที่วัดคูยาง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร จะได้พบกับหอไตรกลางน้ำวัดคูยาง อยู่ในสภาพที่กำลังถูกดำเนินการบูรณะซ่อมแซม

พระเทพปริยัติ เจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร ในฐานะเจ้าอาวาสวัดคูยาง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร กล่าวถึงที่มาที่ไปของหอไตรแห่งนี้ ว่า ในช่วงนี้หอไตรอยู่ในช่วงบูรณะปรับปรุง เมื่อแล้วเสร็จจะเปิดให้เข้าชม เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ทางวัดและทำตามนโยบายของจังหวัด ในเรื่องของการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม โบราณสถานและธรรมชาติ โดยเฉพาะในหอไตรแห่งนี้มีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี ซึ่งมีการปรับปรุงมาเรื่อยๆ ภายในมีตู้พระธรรมลายรดน้ำ มีเอกสารโบราณอยู่เป็นจำนวนมาก คาดว่าน่าจะแล้วเสร็จทันวันวิสาขบูชา หรือวันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือนหก

หอไตร เป็นสิ่งก่อสร้างสำคัญอย่างหนึ่งภายในวัด นิยมสร้างอยู่ในเขตพุทธาวาส (สถานที่ประ กอบสังฆกรรม) มากกว่าในเขตสังฆาวาส (ที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์) ใช้เป็นที่เก็บรักษาพระไตรปิฎก หรือพระธรรมคัมภีร์ จึงเรียกกันโดยย่อว่า "หอไตร" ในอดีตมักสร้างหอไตรไว้กลางสระน้ำ เพื่อป้องกันแมลง เช่น ปลวก แมลงสาบ มด มากัดกินทำลายคัมภีร์ เมื่อประสงค์จะนำคัมภีร์ธรรมต่างๆ ออกไปใช้นอกหอไตร ก็จะชักสะพานและบันไดเชื่อมข้ามไป เมื่อเลิกใช้ก็จะดึงสะพานและบันไดออก




โดยทั่วไปรูปแบบหรือรูปทรงของหอไตร มักมีลักษณะเป็นทรงไทยตามแบบประเพณีนิยมของแต่ละจังหวัดหรือแต่ละภาค เช่น หอไตรวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี หอไตรวัดทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบล ราชธานี หอไตรวัดหน้าพระธาตุ (วัดตะคุ) จังหวัดนครราชสีมา และหอ ไตรวัดสันกำแพง จังหวัดลำพูน เป็นต้น

ลักษณะหอไตรวัดคูยาง เป็นอาคารทรงไทยพื้นถิ่นกำแพงเพชร สร้างด้วยไม้ หลังคามุงกระเบื้องเกล็ด ใต้ถุนสูง กว้าง 6 ม. ยาว 12 ม. ตั้งอยู่กลาง คูน้ำเดิม ภายในอาคารเป็นโถงโล่ง โถงกลางมีเสากลมรองรับด้านละ 3 ต้น

หลังคา โถงกลางเป็นทรงจั่ว มีช่อฟ้าหางหงส์ทำด้วยปูนปั้น ประดับอยู่รอบจั่วทั้งสองด้าน มีหลังคาปีกนกคลุมฝาผนังทั้ง 4 ด้าน ฝาผนังเป็นแบบฝาปะกน ฝาผนังด้านข้างมีหน้าต่างข้างละ 4 ช่อง ฝาผนังด้านหน้าและหลังมีประตูด้านละ 1 ช่อง และมีหน้าต่างด้านละ 2 ช่อง มีพาไล (มุขที่มีชายคาคลุมและมีเสารองรับ) ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง พาไลเป็นชั้นลดลงมาจากโถง มีบันไดขนาด 3 ขั้นพาดขึ้นไปสู่โถงใน ทั้งด้านหน้าและหลัง เฉพาะพาไลด้านหน้ามีนอกชานยื่นออกไปตรงกลางใช้เป็นที่พาดบันไดขนาด 7 ขั้น เชื่อมต่อกับสะพานไปยังพื้นดิน

ภายในหอไตรแห่งนี้ มีโบราณศิลปวัตถุที่สำคัญ และทรงคุณค่ายิ่ง ประกอบไปด้วย ตู้พระธรรมลายรดน้ำลงรักปิดทองโดยรอบ เขียนเป็นภาพต่างๆ ด้วยฝีมือช่างราวสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ประมาณรัชกาลที่ 3 ถึง 5 ที่ประณีตงดงามมาก จำนวน 5 หลัง หีบพระธรรม มีลายรดน้ำลงรักปิดทอง และเป็นแบบเหล็ก อยู่ในสมัยรัชกาลที่ 3 ถึง 5 ธรรมาสน์เท้าสิงห์ ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ ทำด้วยไม้ลงรักปิดทอง เป็นเครื่องสังเค็ด หรือ ทานวัตถุที่ถวายแด่สงฆ์เมื่อเวลาปลงศพหรือมีงานศพ เอกสารโบราณ บรรจุอยู่ในตู้และหีบ มีทั้งที่เป็นใบลานและสมุดข่อย ผ้าห่อคัมภีร์ เป็นผ้าพิมพ์ลายอย่างลายไทย พระบฏ เป็นแผ่นผ้าฝ้ายสีขาว เขียนสีเป็นภาพเล่าเรื่องเวสสันดรชาดก จำนวน 13 กัณฑ์ ใช้ในงานเทศกาลเทศน์มหาชาติกลางเดือน 10 ของวัดคูยาง แต่ขณะนี้มีเหลืออยู่เพียง 9 กัณฑ์เท่านั้น

ด้วยหลักฐาน ความสำคัญ และเหตุผลต่างๆ หอไตรวัดคูยาง จึงนับว่าเป็นโบราณสถานที่มีค่าหายากและมีเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวในจังหวัด กำแพงเพชร

จึงอยากให้ทุกคนใส่ใจในการอนุรักษ์โบราณสถานสำคัญใน ท้องถิ่น ให้เป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติสืบไป


ที่มา หนังสือพิมพ์ข่าวสดออนไลน์

74
ธรรมะ / คำอธิษฐานข้ามภพข้ามชาติ
« เมื่อ: 02 ก.พ. 2553, 04:36:49 »


ถาม : เรื่องอธิษฐานเจ้าค่ะ เรามีคู่ในปัจจุบันชาตินี้เจ้าค่ะ แล้วเราเคยอธิษฐานว่าเราจะไม่เป็นคู่กับอีกคนหนึ่ง แล้วเราจะหยุดอธิษฐานนั้น ...คือมันต่อเนื่องมาหลายภพหลายชาติแล้ว

ตอบ : คำอธิษฐานเปลี่ยนได้จ้ะ อธิษฐานแปลว่า ความตั้งใจ ถ้าเราเปลี่ยนความตั้งใจเสียก็เป็นอันว่าจบกัน

ถาม : ทีนี้ถ้าเราเปลี่ยนโดยยกเลิกคำอธิษฐานว่าจะไม่เป็นคู่กับอีกคนหนึ่ง เราจะมีปัญหากับคนปัจจุบัน

ตอบ : อ๋อ...ของเราเองเกิดมาก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเจอแต่คนเดิมตลอดไปหรอกจ้ะ เพราะว่าเราเกิดมาหลายชาติ แต่ละชาติถ้าทำความดีความชั่วไม่ได้เสมอกัน ก็จะต้องมีว่าเราเกิดบ้างเขาเกิดบ้างสลับกันไป ช่วงที่ไม่ได้เกิดพร้อมกันก็ไปเจอคนอื่น ถ้าเกิดพร้อมกันแต่ว่าเจอคนที่เกิดมากกว่าเราก็จะไปกับคนที่เกิดด้วยกัน มากกว่า บางชาติคนที่เราเกิดร่วมกันไม่ได้โผล่มาสักคนหนึ่งเลย ก็จะไปเจอที่เกื้อกูลกันในปัจจุบันชาตินั้นขึ้นมาอีก ดังนั้นก็จะมีมากขึ้นไปเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้น เราจะสังเกตอารมณ์ใจตัวเราเองว่า บางทีเราเองแต่งงานกับคนนี้แท้ๆ แต่พอไปเจอกับอีกคนหนึ่ง ทำไมรู้สึกรักรู้สึกชอบเขาเหมือนกัน นั่นก็อาจจะเคยติดตามกันมา แต่ว่าเราต้องอยู่ในขอบเขตของศีลของธรรม

เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ ตามถ้าอยู่ในเขตของศีลของธรรม เราจะอธิษฐานอย่างไร เราจะยกเลิกอย่างไรก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยอย่าให้ศีล ๕ ขาด คำอธิษฐานมีผลแต่เพียงว่า ถ้าหากว่าเรายกเลิกแล้ว อธิษฐานใหม่ ก็จะเป็นไปตามของใหม่

ถาม : ยกเลิกได้ใช่ไหมเจ้าคะ ?

ตอบ : ได้จ้ะ แค่เปลี่ยนความตั้งใจเท่านั้นเอง นี่เหมือนอย่างกับนอกตำราเลย จริงๆ ไม่ใช่นอกตำรานะจ๊ะ คำอธิษฐานเปลี่ยนกันได้ ขอเพียงความตั้งใจของเราให้ตั้งมั่นจริงๆ เท่านั้น

ถาม : คำอธิษฐานนี่ข้ามชาติได้ ?

ตอบ : จ้ะให้ผลข้ามชาติเยอะเลย

ถาม : แล้วอย่างที่แบบว่าชาตินี้เขาเคยเป็นบิดามารดาและลูกอย่างนี้ พอชาติถัดไปเขาก็เปลี่ยนความสัมพันธ์ แล้วเวลาเราจะ...อย่างไร ?

ตอบ : กรรมที่เนื่องกันไปเนื่องกันมา แต่ละคนมันสามารถเปลี่ยนสัมพันธ์เปลี่ยนตำแหน่ง เปลี่ยนไปได้อยู่ตลอด ชาตินี้คนเขาเป็นพ่อเป็นแม่เรา ชาติต่อไปอาจจะเกิดมาเป็นลูกเราหรือคนใช้เราก็ได้ ชาตินี้เป็นสามีเราชาติต่อไปอาจจะเป็นพ่อเราก็ได้

ถาม : ถ้าสมมุติว่า คนที่เขาเคยเกิดเป็นพ่อเราแล้ว มาเกิดเป็นลูกเรานี่ เราจะทำอย่างไรกับเขาคะ ?

ตอบ :ทำหน้าที่ของเราตอนนั้นให้ ดีที่สุด อย่างเช่นว่าเราเป็นแม่ เราก็ทำหน้าที่ของแม่ให้ดีที่สุด นับในปัจจุบันอย่าไปคิดเอาอดีต ถ้าหากว่าคิดเอาอดีตนี่จะยุ่งมากเลย

ถาม : ...(ไม่ชัด)...

ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วนักปฏิบัติจะต้องเอาปัจจุบันเป็นใหญ่ ไม่ใช่ส่วนใหญ่ต้องใช้คำว่าทั้งหมด นักปฏิบัติทั้งหมด ต้องเอาปัจจุบันเป็นใหญ่ อดีตรู้ไว้เป็นบทเรียนเท่านั้นรู้ว่าอะไร เป็นอะไรแล้วก็วาง เพราะว่าทุกชาติก็ทุกข์เหมือนกัน ปัจจุบันทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด อนาคตจะเป็นอย่างไรไม่ต้องนึกถึง แค่นั้นก็พอ เขาเป็นพ่อแม่ก็ให้เป็นพ่อแม่ไป

ถาม : ที่พูดเมื่อครู่นี้ว่า เราทำปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด ทีนี้เรามีความรู้สึกว่าเราทำแล้วเราไม่ดีที่สุด

ตอบ : คำว่าดีที่สุดไม่ได้หมายความว่าจะต้องรวยเท่าคุณทักษิณ ชินวัตร แต่หมายความว่าดีเต็มกำลังที่เราทำได้

ถาม : แม้กระทั่งคนอื่นมองว่าเราทำน้อย ?

ตอบ : จ้ะ นั่นแหละ คือ เต็มที่ เต็มกำลังกาย กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์ ของเราแล้ว ทำได้ดีที่สุดแค่ไหนก็คือแค่นั้นของเรา

แต่ว่าคนที่มีกำลังกาย กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์ เขาเหนือกว่าเรา เขาจะทำได้ดีกว่าเรา เพราะฉะนั้น..ได้ดีที่สุดนั้นไม่มีมาตรฐานว่าต้อง ๑๐๐ เปอร์เซนต์ ไม่มี แค่เต็มกำลังของเรา ของเราเต็มที่แค่ไหนก็แค่นั้น


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๔


ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...ead.php?t=1563







75
ชีปะขาวผู้ให้นิมิต




คืนหนึ่ง ขณะที่ท่านจำวัดอยู่ที่ที่ท่านได้ทำการก่อสร้างสะพาน ท่านก็ได้เกิดนิมิตประหลาด ท่านนิมิตไปว่า มีชีปะขาว หน้าตามีบุญ มีแสงสว่างออกจากตัว คล้ายมีแสงไฟกระจายอยู่ด้านหลัง ชีปะขาวมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าท่าน แล้วกล่าวกับท่านว่า

“เมื่อสะพานเสร็จแล้ว ท่านพึงจะละทิ้งเอาไว้ระยะหนึ่งก่อน ออกธุดงค์ไปยังโคราชก่อน แล้วตัดทางออกไปอุบลราชธานี อย่าพึงรีบร้อนและลังเล เมื่อพักผ่อนอิริยาบถพอสมควรแล้ว ท่านก็ข้ามไปฝั่งลาวเลย....”

เส้นทางที่ชีปะขาวบอก คือข้ามจากอุบลราชธานีทางช่องเม็ก สู่แขวงจำปาศักดิ์ ประเทศลาว เดินตามเส้นทางป่าที่เชื่อมจำปาศักดิ์กับเมืองปากเซ ด้วยเป็นเส้นทางที่วิเวกและสามารถหลีกพ้นการรบกวนของผู้คนที่อาจจะทำให้หลวง ปู่ต้องพักช่วยชาวบ้านเป็นระยะ ๆ หมดโอกาสจะไปยังสถานที่ที่ต้องการจะไปได้ หลวงปู่สุภาเดินทางพร้อมเครื่องบริขารธุดงค์ ตรงไปยังปากเซ สอบถามเส้นทางไปยังเมืองเซโปน ซึ่งได้ใช้เส้นทางป่าเหมือนที่มาจากนครจำปาศักดิ์ ผจญความยากลำบากและเภทภัยต่าง ๆ ตลอดเส้นทาง
เพราะตอนนั้น ป่าแถบนั้นชุกชุมไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บและภูตผีปีศาจ จากเซโปน สอบถามเส้นทางไปยังเมืองวัง เส้นทางช่วงนี้วิบากยิ่ง แต่หลวงปู่สุภาก็ไม่ย่อท้อ เพราะมีชีปะขาวมานิมิตของเหตุอยู่เสมอตลอดทางชีปะขาวมาปรากฏในนิมิตอยู่เสมอ ว่า ถ้ำจุงจิง คือสถานที่ที่ท่านจะต้องเดินทางไปให้ถึง ไปให้ตลอด ที่นั่นคือจุดหมายปลายทาง
หลวงปู่สุภาจึงมีพลังใจและรุดหน้าเดินทางไปยังเมืองวัง และเดินทางต่อไปยังเมืองอ่างคำ อันป่าแถบนั้นยากที่จะมีผู้ใดบุกเข้าไปได้ ชาวบ้านบอกชัดเจนว่า พระธุดงค์หลายต่อหลายรูป ถามหาทางแล้วไม่เคยกลับออกมาอีกเลย และหลายคนห้ามหลวงปู่สุภาด้วยคำชาวบ้านง่าย ๆ ว่า“อย่าเอาร่างกายไปเป็นเหยื่อสัตว์ร้ายและไข้ป่า ตลอดจนภูตผีปีศาจเลย แม้พรานที่ว่าแก่วิชา ก็ยังต้องตามไปเอาศพกลับมาเผาเพื่อส่งวิญญาณ เมื่อไปพบสภาพศพดูทุเรศเป็นที่สุด”

จากเมืองวังไปยังเมืองอ่างคำ หลวงปู่สุภาต้องผจญกับอาถรรพ์ต่าง ๆ นานาประการ หากแต่ได้วิชาที่เล่าเรียนมาแต่ต้น หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และธุดงควัตรอันบริสุทธิ์ของท่าน แก้ไขสถานการณ์จนรอดออกมาจากป่า บรรลุถึงเมืองอัตปือแสนปาง ที่นั่นหลวงปู่สุภามิอาจหาเส้นทางที่เข้าไปยังจุดที่จะถึงถ้ำจุงจิงได้ ที่สุดชีปะขาวต้องมานิมิตบอกท่านว่า มีคนพวกเดียวเท่านั้นที่จะพาหลวงปู่สุภาไปได้คือ “พวกข่า”

พวก “ข่า” เป็นพวกพรานป่าที่ชำนาญไพร และชำนาญด้านเส้นทางที่จะไปยังถ้ำจุงจิง หลวงปู่สุภาเดินทางมาจนถึงบ้านหนองไก่โห่ อันเป็นชุมชนของชาวข่าที่น้อยคนนักจะมาถึงได้ พวกข่าพบหลวงปู่สุภาแล้วรู้สึกแปลกใจ ถามว่ารอดชีวิตจากป่าดงดิบ ดงดิบดำได้อย่างไร หลวงปู่สุภาจึงบอกวัตถุประสงค์ที่จะไปถ้ำจุงจิงแก่ชาวข่า เมื่อได้ยินดังนั้น ชาวข่าก็บอกกับท่านว่า
“ถ้ำแห่งนั้นเป็นถ้ำอาถรรพ์ ไม่มีใครอยู่ได้ แม้แต่เฉียดเข้าไป ก็ถูกอาถรรพ์เล่นงานเอาจนตาย หรือเฉียดตาย แต่หากว่าท่านจะไป ก็จะนำทางให้ จะนำทางเพียงขึ้นไปที่ปากถ้ำเท่านั้น หลัวจากนั้น ให้หลวงปู่ให้ค่าจ้างเขาด้วยหน่อทองคำ”หลวงปู่สุภาจึงบอกกับพวกข่า

“เราเป็นพระธุดงค์ ไม่มีทองคำหรือหน่อไม้ทองแต่ประการใดที่จะให้เป็นค่าแรง บอกทางด้วยปากเปล่าก็ได้ จะเดินไปเอง”
พวกข่าจึงบอกกับหลวงปู่สุภาว่า

“สะพานที่ทอดข้ามจากหนองไก่โห่ ไปยังเส้นทางเขาจุงจิง มีต้นไม้สีทองอุไรขึ้นอยู่มากมาย หากมีวิชาอาคมเด็ดยอดให้ขาดลงมา ทันทีที่ขาดใส่มือ ก็จะกลายสภาพเป็นหน่อทองคำทันที ขอหน่อนั้นให้พวกกระผม จะได้รอจนท่านกลับมา”

หลวงปู่สุภาจึงรับปาก เขาจุงจิงนั้นเป็นเขตแดนติดต่อกันระหว่าพระราชอาณาจักรลาวกับดินแดนของ เวียดนาม หลวงปู่สุภาจึงข้ามสะพานไปอีกฟากหนึ่งจึงพบต้นไม้ที่ชาวข่าบอกให้ฟัง ความจริงนั้นหลวงปู่สุภาเล่าว่า
“ไม่ใช่ต้นไม้ต้นไร่อะไรหรอก เป็นหน่องอกจากดิน สูงคืบหนึ่งบ้าง หนึ่งศอกบ้าง สองศอกบ้าง มีสีเหลืองเหมือนทอง เวลาต้องแสงแดดก็จะเปล่งประกายงดงามจับตายิ่งนัก พวกข่าต้องการมากทีเดียว”

เมื่อเดินผ่านเข้าไป ท่านได้ระลึกอยู่ ๒ อย่าง คือ

-ประการแรก ได้รับปากกับชาวข่าไว้แล้วเรื่องให้หน่อไม้ทองเป็นรางวัล
-ประการที่สอง การจะหักหน่อทองคำเป็นอาบัติ ธุดงควัตรจะขาด และจะเกิดอันตราย จะต้องรักษาสองอย่างนี้ไว้ในเวลาเดียวกันหลวงปู่เล่าว่า“เพ่งมองดูด้วยจิต อันเป็นอุเบกขา ไม่มีความโลภอยากได้ เมื่อจิตเป็นเอกคตาแล้ว จึงนึกอธิษฐานจิตอย่างแน่วแน่ว่า ขอเทพยดาอารักษ์ที่รักษาสถานที่นี้อยู่ ด้วย

อาตมาเดินทางมาด้วยนิมิตจิต ต้องการเพียงเล่าเรียนศึกษาแสวงหาทางนิพพาน แต่ได้รับปากชาวบ้านว่าจะให้หน่อไม้ทอง หากมิมีของให้พวกเขา ธุดงควัตรของอาตมาก็จะบกพร่องและเกิดอันตราย ขอเทพยดาได้เมตตาให้หน่อทองแก่อาตมาด้วยเถิด”ทันใดนั้นก็มีเสียงซู่ซ่า ต้นไม้ทองคำก็สั่นไหวไปมา และหลายต้นโน้มยอดเข้ามาทางที่ท่านเดินไปและหักกระเด็นออกมาเรี่ยรายอยู่กับ พื้นเป็นจำนวนมาก โดยที่ท่านไม่ต้องออกแรงเด็ดหรือทำการอย่างใดให้ต้องอาบัติ และเมื่อยอดตกหักถึงพื้น ก็กลายเป็นหน่อทองคำจริง ๆ เหมือนที่พวกข่าเล่าให้ฟัง เมื่อเห็นว่าได้หน่อทองคำพอสมควรแล้ว หลวงปู่สุภาจึงบอกกับชาวข่าว่า บัดนี้เราได้หน่อทองแล้ว ขอให้พากันไปเก็บ แต่ต้องนำท่านไปส่งที่ถ้ำจุงจิงก่อน หาไม่แล้ว อาจไม่ได้ทอง เพราะเป็นจิตอธิษฐานของท่านเอง พวกข่าจึงตามท่านไปเก็บหน่อทอง และจึงช่วยกันนำหลวงปู่สุภาไปส่งยังถ้ำจุงจิง และลากลับไปหมู่บ้านของเขา หลวงปู่สุภาปักกลดอยู่ทางขึ้นถ้ำ ชีปะขาวก็มานิมิตอีก คราวนี้มาบอกชัดเจนเลยว่า

“บนถ้ำจุงจิง มีพระอรหันต์หลายรูป แต่ละรูปเจริญอิทธิบาท ๔ ประการ ดำรงสังขารมานับเป็นพันปี และจะดำรงต่อไปจนกว่าจะพบพระศรีอาริยเมตตรัยมาตรัสรู้ และเมื่อได้รับฟังพระธรรมจากท่านพระศรีอาริยเมตตรัยแล้วจึงจะละสังขารไป ท่านจะได้พบด้วยตัวของท่านเองนั่นแหละ”

หลวงปู่สุภาได้ขึ้นไปจำวัดอยู่บนถ้ำจุงจิงเป็นคืนแรก การขึ้นสู่ถ้ำจุงจิงนั้นยากลำบาก ต้องป่ายปีนไปตามซอกหิน จนได้ขึ้นไปสู่ปากถ้ำ ซึ่งมีแต่หมอกควันปกคลุมอยู่ แสงสว่างจากภายในไม่มี จากภายนอกก็เข้าไปไม่ได้ ต้องอาศัยเทียนนำทาง เมื่อเข้าไปแล้ว เหมือนตนเองอยู่ในเมืองลับแล คือไม่รู้ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน เข้าวันใหม่ หลวงปู่สุภาจึงออกมานอกถ้ำ ที่หน้าถ้ำ หมอกได้สลายไปหมดแล้ว เห็นภูมิทัศน์ได้ถนัดตา มองขึ้นไปด้านบน จะเห็นมียอดเขาและถ้ำอีกมากมาย แต่ไร้เส้นทางขึ้น เป็นหน้าผาล้วน ๆ ไม่มีก้อนหินและทางขึ้นไปได้ จึงได้แต่คิดว่า เราจะได้พบพระอาจารย์หรือพระอรหันต์ได้อย่างไร พอคิดแวบขึ้นมา มองขึ้นไปข้างบนก็เห็นสีเหลืองคล้ายจีวร เลื่อนลงมาจากปากถ้ำด้านบน รวดเร็วมากจนมองแทบไม่ทัน มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อสีเหลือง ๆ นั้น มายืนอยู่ตรงหน้า เป็นพระภิกษุที่มีผิดพรรณวรรณะผิดกับคนธรรมดาทั่วไป ครองผ้าแปลกไปกว่าที่หลวงปู่สุภาครองอยู่ แต่มีลักษณะคล้ายพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ให้สังเกตได้หลายประการ แล้วพระสงฆ์รูปนั้นก็กล่าวขึ้นว่า

“ไม่ต้องแปลกใจหรอก การลงมาเมื่อกี้นี้เป็นเพียงการอธิษฐานจิตเท่านั้นแหละ เอาเป็นว่า มาได้อย่างไร และทำไมจึงต้องมาที่นี่ บอกมาให้ละเอียด”
หลวงปู่สุภาเล่าให้ศิษย์ฟังว่า พระอรหันต์จริง ๆ จะไม่กล่าวพาดพิงถึงการสำแดงปาฏิหาริย์หรือปรากฏการณ์มหัศจรรย์ แต่จะพูดเลี่ยงไปมา ด้วยพระอรหันต์นั้น หากแม้แสดงตัวหรืออะไรก็ตามที่ให้บุคคลที่สองรู้ว่าตนเป็นอรหันต์ ต้องปาราชิก ฐานอวดอุตริมนุสธรรม แม้จะมีภูมิธรรมก็ตามที หลวงปู่สุภาจึงได้ตอบไปว่า
“กระผมมาตามนิมิตที่ได้จากชีปะขาว จึงเดินทางมาจนถึงที่นี่ด้วยต้องการจะเล่าเรียนทางด้านวิปัสสนากรรมฐานที่ สูงขึ้นกว่าที่ได้เรียนมา หากท่านมีเมตตาแล้ว ก็ช่วยสอนให้กับกระผมด้วยเถิด”

พระรูปนั้นจึงกล่าวว่า ไม่ยากหรอก แต่ต้องเริ่มกันที่ การกำจัดสิ่งปฏิกูลออกจากตัวท่านก่อน อย่าลืมว่าท่านฉันภัตตาหารที่มีเนื้อสัตว์ปะปนอยู่ สิ่งเหล่านั้นปะปนอยู่ในตัวท่านมากมาย ต้องนอนลงบนใบตอง ทำจิตให้มั่นคง และต่อไปเราจะสวดเพื่อขัยไล่สิ่งที่เป็นคาวออกจากตัวท่านให้หมด เมื่อน้ำคาวออกหมดแล้วจึงจะสวมจีวรได้อีกครั้ง ระหว่างที่สวด จะต้องสวมแต่สบงเท่านั้น จีวรและอังสะต้องแยกออกไป ชำระล้างตัวแล้วจึงไปเรียนชีปะขาวหรือฤๅษีที่ไปนิมิตบอกท่านนั่นแหละ เรียนกับเขาด้านสมถะและด้านญาณโลกียะ ซึ่งสามารถแสดงฤทธิ์อภิญญา แต่นั่นไม่ใช่ทางหลุดพ้น แต่จะสามารถแสดงฤทธิ์ขึ้นไปข้างบนที่เห็นอยู่ได้ เพื่อพบพวกเรา พวกเราอยู่กันบนนั้น มีอายุวัฒนะด้วยอิทธิบาท ๔ ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทางสำแดงว่า จะสามารถดำรงขันธ์อยู่ได้นานตามที่ต้องการ เราจะอยู่จนพระศรีอาริยเมตตรัยลงมาตรัสรู้ และได้ฟังธรรมะจากท่านแล้วจึงจะละสังขารไปสู่นิพพานอันเป็นบรมสุข แต่ เอ๊ะ...
“คุณยังมีภาระอยู่นี่ ยังทำอะไรไม่ได้หรอก ต้องกลับไปทำให้สำเร็จก่อนจะมาศึกษาเล่าเรียนได้ มันเป็นห่วงที่คอยขัดขวางการเล่าเรียนของคุณ กลับไปทำให้เรียบร้อยก่อน”

หลวงปู่สุภาจึงบอกกับพระภิกษุรูปนั้นว่า สะพานผมสร้างสำเร็จแล้ว ศาลาการเปรียญก็สำเร็จแล้ว ผมยังมีอะไรเป็นห่วงอีก พระภิกษุรูปนั้นจึงบอกว่า
“สำเร็จแล้ว แต่คุณยังค้างชาวบ้านเขา ก็คุณบอกว่า จะทำการฉลองไง แล้วคุณไม่กลับไปฉลอง ก็เท่ากับคุณไม่ทำตามปากพูด เป็นมุสาวาท คุณกลับไปทำให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยกลับมาใหม่ก็แล้วกัน”พอสิ้นคำพูดนั้น ร่างของภิกษุรูปนั้นก็เลื่อนขึ้นสู่เบื้องบนเหมือนตอนที่ลงมาไม่มีผิด ท่านจึงต้องเดินทางย้อนกลับมาทางเดิม มาทำพิธีฉลองสะพานและสิ่งก่อสร้างในวัดเกาะสีคิ้ว ครั้นเตรียมตัวกลับไปใหม่ก็ไม่อาจทำได้ เพราะมีพระมหาสมาน อยู่คณะ ๕ วัดหงส์รัตนาราม นิมนต์ให้ไปช่วยเป็นประธานปฏิสังขรณ์หมู่กุฏิและเสนาสนะในคณะ ๕ กว่าจะเสร็จกินเวลานาน และชีปะขาวก็มิได้มานิมิตอีกเลย เป็นอันว่าท่านไม่ได้กลับไปถ้ำจุงจิงอีกเลย ท่านเล่ามาถึงตอนนี้ก็บอกกับศิษย์ว่าจำไว้เลยว่า ทุกอย่างจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จอยู่ที่วาสนาบารมีแต่ละคน สำหรับท่าน ไม่มีวาสนาบารมีจะได้เล่าเรียนกับพระอาจารย์ที่ถ้ำจุงจิงเป็นแน่ จึงได้กลับไป”






76



"พระบัวเข็ม" ลักษณะสำคัญนั้น เป็นพระที่แกะขึ้นจากกิ่งไม้พระศรีมหาโพธิ์ ลงรักปิดทองเป็นรูปพระเถระนั่งก้มหน้ามีใบบัวคลุมศีรษะ และมีเข็มหมุดปักอยู่ตามตัวหลายแห่ง นั่งอยู่บนฐานดอกบัวหงาย ดอกบัวคว่ำรองรับ เมื่อหงายใต้ฐานดูจะพบลายลักษณ์ปั้นทรงนูนต่ำรูปดอกบัวใบบัวและรูปปลา

ที่เรียกว่า "พระบัวเข็ม" คือ รูปพระอุปคุตเถระเรื่องราวของพระบัวเข็มไม่ค่อยปรากฏเป็นที่ทราบกันโดยทั่ว ไปในเมืองไทย เหมือนพระพุทธรูปองค์อื่นๆ เพราะพระบัวเข็มเข้ามาแพร่หลายในประเทศไทยเมื่อปลายสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งนี้ เพราะเหตุที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะทรงผนวช ทรงสนิทสนมกับพระภิกษุชาวมอญมาก โดยทรงศึกษาประวัติพระพุทธศาสนา และพระธรรมวินัย จากพระภิกษุชาวมอญทรงแตกฉานในพระธรรมวินัยทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก และด้วยการที่ทรงติดต่อคุ้นเคยกับพระภิกษุชาวมอญมาโดยตลอด



เมื่อพระภิกษุชาวมอญเข้าเฝ้าที่วัดบวรนิเวศฯ ครั้งใด ก็มักนำพระบัวเข็มเข้ามาถวายอยู่เนืองๆ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบประวัติความเป็นมาของพระบัวเข็ม มากกว่าบุคคลใดในสมัยนั้น จนถึงทรงยอมรับพระบัวเข็มเข้าในพระราชพิธีพิรุณศาสตร์ (พิธีขอฝน) พระบัวเข็มนี้ถือกันว่าเป็นพระที่มีความศักดิ์สิทธิ์ อภินิหาร ในทางชนะศัตรูหมู่มาร และในทางบังเกิดความอุดมสมบูรณ์ ลาภสักการะ ความร่ำรวยอย่างยิ่งแก่ผู้เคารพบูชาซึ่งรูปลักษณะการปฏิบัติบูชาก็แปลกแตก ต่างจากพระอื่น





การสร้างรูปเคารพของพระบัวเข็มนั้นมี รูปลักษณะที่แตกต่างกันอยู่มากตามแต่ผู้สร้างจะคิดประดิษฐ์รูปลักษณะตาม ประวัติแล้ว จัดสร้างขึ้นในอากัปกิริยาตามอิทธิปาฏิหาริย์ของพระอุปคุตเหลือที่จะพรรณนา ได้ เช่นเดียวกับการสร้างพระพุทธรูปปางต่างๆ ทั่วไปเหมือนกัน เท่าที่สังเกตพระบัวเข็มในประเทศไทย แบ่งออกได้ 2 แบบ คือแบบมอญแบบหนึ่ง และแบบพม่าแบบหนึ่ง พระบัวเข็มทั้งสองแบบนี้คงอาศัยรูปแบบของพระบัวเข็มในอินเดียเป็นหลักสำคัญ แต่มาแก้ไขเปลี่ยนแปลงขึ้นตามความนิยมในประเทศมอญและพม่า

"พระบัวเข็ม" เป็นหนึ่งในห้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวพม่าที่ชาวพุทธนิยมเดินทางไปกราบไหว้ ขอพร ประดิษฐานอยู่ที่วัดผ่องดออู บริเวณริมทะเลสาบอินเล ประเทศพม่า ชาวพุทธไทยไปกราบไหว้ขอพรแล้วประสบความสำเร็จ จึงขออนุญาตทางวัดนี้ เพื่อสร้างองค์พระบัวเข็มจำลองมาประดิษฐานที่เมืองไทย

ตามความเชื่อของชาวพม่า การสร้างพระบัวเข็มจำลอง จะต้องทำจากต้นโพธิ์ที่มีอายุ 100 ปี ขึ้นไป ซึ่งยืนต้นแห้งเองไปตามธรรมชาติ เมื่อสร้างเสร็จจะนำพระบัวเข็ม ประดิษฐานบนเรือการะเวก ซึ่งมีรูปร่างเหมือนนกการะเวก ล่องเรือไปกลางทะเลสาบอินเล โดยเลือกวันพระขึ้น 15 ค่ำ ประกอบพิธีบวงสรวงเทพยดา พุทธาภิเษก ซึ่งมีทั้งพระสงฆ์พม่าและพระสงฆ์ไทย เจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา

ไพศาล คุนผลิน และญาติธรรม พร้อมผู้บริหาร บริษัทไทยพัฒนาประกันภัย จำกัด เดินทางไปประเทศพม่า มีจิตศรัทธาสร้าง "พระบัวเข็ม ชนะมาร บันดาลโชค" พร้อมประกอบพิธีพุทธาภิเษก แล้วนำมาถวายวัดเทวราชกุญชร กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2552 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 โดย พระเทพคุณาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร พร้อมด้วยคณะสงฆ์ ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา พุทธาภิเษกใหญ่อีกครั้ง และนำพระบัวเข็มประดิษฐานถาวรไว้ที่มณฑปจัตุรมุข วัดเทวราชกุญชร ให้สาธุชนได้สักการบูชา เพื่อความสิริมงคล มีชัยชนะศัตรูหมู่มาร และบังเกิดความอุดมสมบูรณ์ร่ำรวยด้วยลาภสักการะสืบไป

ที่มา ข่าวสดออนไลน์ ขอขอบคุณครับ  :015:

77


วัดโกรกกราก ต.โกรกกราก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เป็นหนึ่งในวัดเก่าแก่ที่มีทั้งพระพุทธรูปชื่อดัง และพระเกจิอาจารย์ทรงวิทยาคม โดยพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ก็คือ "หลวงพ่อปู่" ซึ่งประดิษฐานเป็นมิ่งขวัญของชาวลุ่มน้ำมหาชัยและใกล้เคียงมาอย่างยาวนาน ซึ่งมีเอกลักษณ์เด่นเป็นที่กล่าวขวัญด้วยการสวมแว่นตาดำ ส่วนพระเกจิอาจารย์ชื่อดังก็คือ พระครูธรรมสาคร หรือหลวงปู่กรับ ญาณวัฑฒโน อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 5 และอดีตเจ้าคณะตำบลมหาชัย เขต 2 พระสงฆ์ทรงวิทยาอาคม เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวมหาชัยในยุคสมัยหนึ่ง

ท่านมีนามเดิมว่า "กรับ" นามสกุล "เจริญสุข" เกิดเมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2436 ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 2 ปีมะเส็ง จุลศักราช 1255 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่บ้านบางปิ้ง ต.นาดี อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เป็นบุตรนายไข่ นางลอย ไข่ม่วง มีพี่น้องต่างมารดา 2 คน ร่วมมารดาเดียวกัน 11 คน

เมื่ออายุครบบวชได้บรรพชาอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดราษฎร์รังสรรค์ ต.คอกกระบือ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ตรงกับวันที่ 12 มี.ค. 2456 โดยมี พระครูสมุทรคุณากร วัดตึกมหาชยาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการโต วัดโกรกกราก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการชิด วัดราษฎร์รังสรรค์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "ญาณวัฑฒโน"




ครั้นอุปสมบทแล้วได้จำพรรษาศึกษาเล่า เรียนพระธรรมวินัยอยู่ที่วัดราษฎร์รังสรรค์ จนมีความรู้ความสามารถพอที่จะรักษาตัวได้ จึงย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดโกรกกราก จนกระทั่งในปี พ.ศ.2463 จึงได้รับการแต่งตั้งจากทางคณะสงฆ์ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโกรกกราก

เมื่อดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสแล้ว ท่านได้ริเริ่มพัฒนาวัดให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง และในปี พ.ศ.2485 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลมหาชัย เขต 2 ต่อมาในปี พ.ศ.2513 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูชั้นเอกในราชทินนาม "พระครูธรรมสาคร"

หลวงปู่กรับ เป็นพระที่ทรงวิทยาคมสูง จนมีผู้กล่าวขวัญกันว่า "ถ้ามีเหรียญหลวงปู่กรับแขวนคอแล้ว จะแคล้วคลาดจากภยันอันตรายทั้งปวง ถึงจะตกระกำลำบากอยู่ที่ใด ก็จะได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย" ท่านประกอบคุณงามความดีและประพฤติพรตพรหมจรรย์มั่นคงตลอดมา ตั้งแต่ได้รับบรรพชาอุปสมบท จนถึงกาลอวสานแห่งชีวิต เมื่อวันเสาร์ที่ 7 ก.ย. พ.ศ 2517 สิริอายุ 81 ปี

ทางวัดได้หล่อรูปเหมือนของท่านไว้ให้ลูกศิษย์ และผู้เลื่อมใสศรัทธาได้กราบไหว้สักการะ โดยมีผู้นำแผ่นทองมาปิดองค์ท่านจนเหลืองอร่าม และนำแว่นตามาถวายท่านเช่นเดียวกับหลวงพ่อปู่ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องตา มีความเชื่อว่าจะช่วยให้ดีขึ้นด้วยบารมีของท่านทั้งสอง

สำหรับวัตถุมงคลที่สร้างขึ้นในสมัยหลวงปู่กรับ อาทิ เหรียญหลวงพ่อปู่ พิมพ์เสมา รุ่นแรกปี 2502 เนื้อเงินและทองแดงกะไหล่ทอง, เหรียญรูปไข่หลวงปู่กรับ รุ่นแรก ปี 2510 เหรียญหลวงปู่กรับพิมพ์อาร์ม และพิมพ์เสมา หันข้างปี พ.ศ. 2515 นอกจากนี้ ยังมีพระสมเด็จรุ่นวัวชน ปี 2505 พระสมเด็จ ปี 2515 ซึ่งพระเครื่องของท่านมีบรรจุอยู่ในรายการประกวดพระเครื่อง พระบูชา เหรียญคณาจารย์

ในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ ถ้ามีโอกาสก็อย่าพลาดไปกราบสักการะบนบานขอความเป็นสิริมงคลจากหลวงพ่อปู่ และหลวงปู่กรับสักครั้ง สิ่งที่มุ่งหวังอาจจะสมปรารถนา รวมทั้งร่วมบุญสร้างฌาปนสถานหลังใหม่ การเดินทางไปมาสะดวกสบาย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากพระครูวิสุทธิ์สิทธิคุณ (พระมหาสัมฤทธิ์ วิสุทฺธสีโล) เจ้าอาวาสรูปปัจุบัน พระสงฆ์นักพัฒนาที่ทำให้วัดโกรกกรากจนเจริญรุดหน้า


ที่มา ข่าวสดออนไลน์ ขอขอบคุณครับ  :002:  :001: 


78


คณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชน ถึงวาระกาลสูญเสียอีกครั้ง เมื่อ "สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์" เจ้าอาวาสวัดสุวรรณารามราชวรวิหาร ได้ละสังขารอย่างสงบ ด้วยวัยวุฒิ 103 ปี พรรษา 82 เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2553

ก่อนหน้านี้สุขภาพของท่านเจ้าประคุณสมเด็จไม่แข็งแรงนัก อีกทั้งมีโรคเบาหวานเป็นโรคประจำตัว ประกอบกับวัยที่ชราภาพ ทำให้ท่านต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเป็นประจำ จนเมื่อ 2 ปีก่อน คณะสงฆ์วัดสุวรรณารามได้นำเข้ารับการรักษาและพักฟื้นอาการอาพาธที่โรงพยาบาล สงฆ์ โดยจัดให้มีเจ้าหน้าที่พยาบาลและพระอุปัฏฐากคอยดูแลท่านอย่างใกล้ชิด

กระทั่งเมื่อเวลาประมาณ 24.00 น. คืนวันที่ 26 ม.ค. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เกิดอาการแน่นหน้าอกและหายใจไม่สะดวก โดยอาการทรงและทรุดมาตลอด จนสุดความสามารถเยียวยาของคณะแพทย์ สร้างความเศร้าสลดอาลัยเป็นอย่างยิ่ง

"สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์" (พุฒ สุวัฑฒโน) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสุวรรณาราม ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 2 และกรรมการมหาเถรสมาคม

ท่านเป็นพระเถระที่มีวัยวุฒิสูงที่สุดในบรรดาคณะกรรมการมหาเถรสมาคม



อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า พุฒ สุวัฒนกุล เกิดเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2450 ที่บ้านมะขามเรียง ต.จำปา อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายเพชร และนางคำ สุวรรณฉาย

ในช่วงวัยเยาว์ได้มีโอกาสเรียนหนังสือไทย และหนังสือขอมกับหลวงอาน้อย วัดธรรมเสนา อ.บ้านหมอ และเรียนที่วัดตะลุง จนครูใหญ่บอกว่าเรียนจบภาษาไทยและเลข ก่อนมาเรียนหนังสือขอมกับหลวงพ่อเพชร ซึ่งบวชเป็นพระอยู่ที่วัดสะพานช้าง

ครั้นถึงพ.ศ.2467 จึงเข้าพิธีบรรพชา มีหลวงพ่อเพชร วัดตะลุง เป็นพระอุปัชฌาย์ ณ พัทธสีมาวัดตะลุง ต.งิ้วราย อ.เมือง จ.ลพบุรี และเริ่มเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรมด้วย โดยหลวงพ่อเพชรได้นำท่านไปฝากไว้ที่คณะ 4 วัดสุทัศนเทพวราราม

พ.ศ.2469 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ตามลำดับ ที่สำนักเรียนวัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพฯ

กระทั่งอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงเข้าพิธีอุปสมบท เมื่อปี พ.ศ.2471 ณ วัดบัวงาม อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีพระญาณไตรโลก (ฉาย) วัดพนัญเชิงวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์บัตร วัดสะตือ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการอุ่น วัดหนองแห้ว เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ได้นามฉายา "สุวัฑฒโน" แปลว่าผู้มีความเจริญ

หลังอุปสมบทท่านได้กลับมาอยู่ที่วัดสุทัศน์ มุ่งมั่นศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลี พ.ศ.2479 สามารถสอบได้เปรียญธรรม 7 ประโยค

ท่านเจ้าประคุณได้สร้างคุณูปการแด่คณะสงฆ์อย่างมากมาย อาทิ ก่อตั้งสหภูมิอยุธยาขึ้นเมื่อปี 2496 ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่พระพุทธญาณมุนี เพื่อสงเคราะห์พระภิกษุสามเณรที่มาศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรมบาลี สามัญศึกษา และอุดมศึกษา ที่กรุงเทพมหานคร พระภิกษุ-สามเณรซึ่งเป็นชาวอยุธยาทุกวัดที่มาสมัครเป็นสมาชิกไม่เสียค่าใช้ จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

ท่านดำรงตำแหน่งองค์ประธานการรวมตัวกันของสหภูมิอยุธยา ถือเป็นแบบอย่างที่ดีในการสร้างสรรค์และช่วยเหลือพระภิกษุ-สามเณรที่ขาดแคลน ทุนการศึกษา และเป็นการให้คำปรึกษาสนับสนุนระดมทุนสร้างเสถียรภาพให้พระพุทธศาสนา

อีกทั้งยังเป็นประธานการประชุมสัมมนาพระสังฆาธิการทั่วภูมิภาคทั่วประเทศ ครั้งที่ 1 นอกเหนือจากการประชุมแล้วท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังได้น้อมนำธรรมะเข้ามาใช้ด้วยเสมอ ทั้งนี้ ยังฝาก ทำยังไงจึงจะชอบ ก็ขอให้ไปดูคำสั่งครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้า ยึดหลักความไม่ประมาทไว้ให้ดี ยังประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวมให้ถึงพร้อม ย่อรวมมาจากสาม ละเว้นบาป ทั้งปวง ทำความดีให้ถึงพร้อม และทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส ซึ่งย่อมาจากพระสูตร 21,000 พระธรรมขันธ์ พระวินัย 21,000 และพระอภิธรรม 42,000 รวมเป็น 84,000 พระธรรมขันธ์

ตลอดชีวิตของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ได้ทุ่มเทเวลาให้กับการศึกษามาโดยตลอด

นอกจากนี้ ท่านยังเป็นผู้ที่มีความรู้แตกฉานในการแสดงธรรมเทศนา การบรรยายธรรมและในการสอน กล่าวได้ว่าท่านเป็นพระธรรมกถึกเอกองค์หนึ่งของประเทศไทย

ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์ วันที่ 10 กรกฎาคม 2502 ย้ายมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสุวรรณาราม พ.ศ.2503 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ประเภทวิสามัญ

พ.ศ.2504 เป็นผู้ช่วยแม่กองธรรมสนามหลวง และเป็นผู้อำนวยการตรวจธรรมหลวงชั้นโททั่วประเทศ พ.ศ.2508 เป็นเจ้าคณะอำเภอบางกอกน้อย

พ.ศ.2512 ได้เป็นรองเจ้าคณะภาค 2 มีเขตปกครอง 3 จังหวัด คือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง และสระบุรี

ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2493 ได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่พระพุทธิญาณมุนี พ.ศ.2502 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่พระราชพุทธิญาณ

พ.ศ.2509 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่พระเทพญาณสุธี พ.ศ.2515 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่พระธรรมราชานุวัตร

พ.ศ.2521 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นหิรัญบัฏ ที่พระอุบาลีคุณูปมาจารย์

พ.ศ.2539 ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะชั้นสุพรรณบัฏ ที่สมเด็จพระพุทธโฆษจารย์

ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ผู้เป็นแบบอย่างแห่งพระแท้ ตั้งมั่นในความเป็นพุทธบุตร มุ่งฝึกฝนอบรมตน รับภารธุระงานพระศาสนาด้วยวิริยะ จากภาระหน้าที่ในด้านต่างๆ ของสังฆมณฑล อย่างเรียบร้อยเป็นแบบแผน

เมตตาธรรมของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ที่แผ่ความชุ่มเย็นสู่ใจผู้มีโอกาสได้พบ ได้รับกระแสแห่งพระธรรม ที่สั่งสอนให้พุทธศาสนิกชนเกิดความรู้ ความซาบซึ้ง และน้อมนำไปคิดและปฏิบัติตามอย่างมีสติและปัญญา

อย่างไรก็ตาม ด้วยอายุขัยที่ล่วงเลยเข้าสู่วัยชราภาพ บ่อยครั้งทำให้ท่านอ่อนแรง สุขภาพไม่แข็งแรงดังเดิม กระทั่งเกิดล้มป่วยอาพาธเป็นประจำ ต้องเข้าออกโรงพยาบาลหลายครั้ง

ท้ายที่สุดสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ได้มรณภาพอย่างสงบ

ทันทีที่คณะ สงฆ์และคณะศิษยานุศิษย์ของสมเด็จฯ ทราบข่าว ต่างมารอกราบศพและสรงน้ำศพท่าน

ทั้งนี้ วัดสุวรรณารามได้ตั้งศพบำเพ็ญกุศล ณ ศาลากาญจนาภิเษก ประกอบพิธีพระราชทานสรงน้ำศพและประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลในพระบรมราชานุเคราะห์ โดยพิธีดังกล่าวได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ เป็นเวลา 7 วัน พร้อมด้วยเครื่องประดับยศชั้นสมเด็จพระราชาคณะ และโกศไม้สิบสองพระราชทานเป็นพิเศษ

เพื่อแสดงความอาลัยต่อการจากไปของเจ้าประคุณสมเด็จฯ




ที่มา ข่าวสดออนไลน์ ขอขอบคุณครับ  :089:

79


วัดศาลพันท้ายนรสิงห์

ตั้งอยู่ที่ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมือง สมุทรสาคร ห่างจากตัวเมืองประมาณ 7 กม. จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2532 มีเนื้อที่ทั้งหมด15 ไร่ โดยประมาณ ภายในวัดมีอุโบสถพระราชพรหมยาน และพระยืนที่งดงาม มีรูปหล่อเกจิอาจารย์ชื่อดังหลายรูป อาทิเช่น หลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นต้น





บริเวณโดยรอบของวัดศาลพันท้ายนรสิงห์ล้อมรอบไปด้วยคูคลอง วังกุ้ง วังปลา และยังเป็นแหล่งธรรมชาติที่มีนกแวะเวียนมาแต่ละฤดู และยังเป็นแหล่งอนุรักษ์ธรรมชาติอยู่ เส้นทางเข้าสู่วัดพันท้ายนรสิงห์ จากทางหลวงจังหวัด (ถนนเอกชัย) เข้าถนนสายวัดสหกรณ์-ศาลพันท้ายนรสิงห์หมายเลข 3423 ระยะทาง 15 กิโลเมตร ซึ่งทางเข้าออกวัดศาลพันท้ายนรสิงห์ เข้าออกได้ทางเดียวคือ เข้า-ออก ทางเดียวกับศาลพันท้ายนรสิงห์ และวัดศาลพันท้ายนรสิงห์ จะมีพื้นที่ติดกับพื้นที่ของศาลพันท้ายนรสิงห์




ส่วนของวัด กับส่วนที่เป็นศาลของพันท้ายนรสิงห์อยู่แยกกัน ห่างกันไม่มาก โดยจะถึงที่ศาลก่อนถึงวัด แต่เมื่อไปถึงแล้วก็ควรจะไปกราบพระเพื่อความเป็นศิริมงคลกันก่อนนะ..

จากนั้นก็จะพาไปที่ศาลพันท้ายฯ กันต่อ





ภาพศาลใหม่ที่สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว




รูปปั้นของพันท้ายนรสิงห์ที่ตั้งอยู่ภายในศาลหลังใหม่





เมื่อออกจากศาลหลังใหม่ได้เพียงไม่กี่ก้าวก็จะพบ ป้ายนี้..เลือกเอาว่าจะไปทางไหน??.











พันท้ายนรสิงห์ มีนามเดิมว่า สิงห์ แต่ก่อนท่านก็เป็นนักมวยที่เก่งมาก และก็เคยขึ้นชกกับพระเจ้าเสือมาแล้ว แต่ว่าเสมอกัน พระเจ้าเสือรู้สึกประทับใจจึงให้เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก แล้วเลื่อนขึ้นมาเป็นราชองครักษ์

พันท้ายนรสิงห์ เป็นนายท้ายเรือพระที่นั่งเอกไชยอยู่ในรัชสมัยสมเด็จพระสรรเพชญ์ ที่ ๘ (พระเจ้าเสือ) ได้รับ ยกย่องว่าเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริต จงรักภักดี และรักษาระเบียบวินัยยิ่งชีวิต

เรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์ปรากฏ อยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับต่างๆ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ใน พ.ศ.๒๒๔๖ - ๒๒๕๒ สมเด็จพระสรรเพชญ์ ที่๘ ประพาสปากน้ำสาครบุรี (ปัจจุบันคือจังหวัดสมุทรสาคร) เพื่อทรงเบ็ด ด้วยเรือพระที่นั่งเอกไชย มีพันท้ายนรสิงห์เป็นนายท้าย พันท้ายนรสิงห์เป็นชาวบ้านนรสิงห์ แขวงเมืองอ่างทอง การเสด็จประพาสปากน้ำสาครบุรีในครั้งนี้ เมื่อเรือพระที่นั่งไปถึงตำบลโคกขามคลองบริเวณดังกล่าว มีความคดเคี้ยวมาก พันท้ายนรสิงห์พยายามคัดท้ายเรือพระที่นั่งอย่างระมัดระวัง แต่ไม่อาจหลบเลี่ยงอุบัติเหตุได้ หัวเรือพระที่นั่งชนกิ่งไม้ใหญ่หักตกลงไปในน้ำ

พันท้ายนรสิงห์รู้โทษดีว่า ความผิดครั้งนี้ถึงประหารชีวิต ตามโบราณราชประเพณี ซึ่งกำหนดว่าถ้าผู้ใดถือท้ายเรือพระที่นั่งให้หัวเรือพระที่นั่งหัก ผู้นั้นถึงมรณะโทษให้ตัดศีรษะเสีย จึงกราบทูลพระกรุณาน้อมรับโทษตามพระราชประเพณี สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ ทรงพิจารณาเห็นว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นการสุดวิสัยมิใช่ความประมาท จึงพระราชทานอภัยโทษให้ แต่พันท้ายนรสิงห์กราบบังคมยืนยันขอให้ตัดศีรษะตน เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมในพระราชกำหนดกฎหมาย เป็นการป้องกันมิให้ผู้ใดครหาติเตียนพระเจ้าอยู่หัวได้ว่าทรงละเลยพระราช กำหนดของแผ่นดิน และเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป พระองค์ทรงโปรดให้ฝีพายทั้งปวง ปั้นมูลดินเป็นรูปพันท้ายนรสิงห์ แล้วให้ตัดศีรษะรูปดินนั้นเพื่อเป็นการทดแทนกัน แต่พันท้ายนรสิงห์ยังบังคมกราบทูลยืนยันขอให้ประหารตน

แม้สมเด็จพระสรรเพชญ์ ที่ ๘ จะทรงอาลัยรักน้ำใจพันท้ายนรสิงห์เพียงใดก็ทรงจำพระทัยปฎิบัติตามพระราช กำหนด ดำรัสสั่งให้เพชฌฆาตประหารพันท้ายนรสิงห์ แล้วโปรดให้ตั้งศาลสูงประมาณเพียงตา นำศีรษะพันท้ายนรสิงห์กับหัวเรือพระที่นั่งเอกไชยซึ่งหักนั้น ขึ้นพลีกรรมไว้ด้วยกันบนศาล แล้วทรงพระราชดำริว่าคลองโคกขามคดเคี้ยวนักไม่สะดวกต่อการเดินเรือ บางครั้งชาวเมืองต้องเดินเรืออ้อมเป็นที่ลำบากยิ่ง สมควรจะขุดลัดตัดตรง เมื่อขุดเสร็จจึงได้รับพระราชทานนามว่า "คลองสนามไชย" ต่อมาเปลี่ยนเป็น "คลองมหาชัย" ทั้งนี้เพื่อเป็นการรำลึกถึงพันท้ายนรสิงห์ข้าหลวงเดิม ซึ่งเป็นคนซื่อสัตย์ มั่นคง ยอมเสียสละชีวิตโดยไม่ยอมเสียพระราชประเพณี กรมศิลปากรได้ดำเนินการจัดสร้างศาลพันท้ายนรสิงห์ขึ้น อยู่ถัดจากศาลเก่าที่พังลงไม่มากนัก โดยกันอาณาบริเวณรอบ ๆ ศาลไว้



เนื่องจากศาลเดิมที่อยู่ริมน้ำได้พังลงแม่น้ำไป ชาวบ้านจึงช่วยกันสร้างศาลหลังใหม่ (อีกหลัง) ขึ้นแทนศาลเดิมที่บริเวณริมแม่น้ำ



หลักประหาร (ใหม่)



ไม้ท่อนนี้อยู่ใกล้ ๆ กับหลักประหาร ซึ่งไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเป็นท่อนไม้ของหลักประหารเดิมหรือเปล่านะ.




ศาลเพียงตาหลังใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นแทนของเดิม แต่มองยังไง ๆ ก็ยังคงความขลัง.










บรรยากาศร่มรื่น และเงียบสงบมาก ๆ












สังเกตุได้ว่าสีแป้งขาวตลอดทั้งลำแบบนี้..รับรองความ แม่น




กราบดวงจิตท่านผู้เต็มไปด้วยคุณธรรมความดีงาม
แสดงออก "ความกตัญญู" ประจักษ์เป็นเยี่ยงอย่างมิคลายตราบปัจจุบัน

ลูกหลานบริวารสืบโคตรตระกูลชูเกียรติ ร่มเย็นเป็นสุขสืบสกุล สาธุการ  :054: :054:





เห็นว่าน่าสนใจมากๆ เลยนำมาฝากกันครับ

ขอบคุณที่มาจากเว็บพลังจิต  ทั้งรูปภาพและข้อมูลครับ





80


กลายเป็นข่าวที่โด่งดังไปทั่วทั้ง ประเทศ อันเนื่องมาจากงานฌาปนกิจศพ "พระครูกมลวรการ" หรือ "หลวงปู่เงื่อม อังสุกาโร" พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง อดีตเจ้าอาวาสวัดกมลศรี ต.กะลาเส อ.สิเกา จ.ตรัง ซึ่งได้มรณภาพ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2552

แต่ปรากฏว่า ได้มีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นท่ามกลางคณะสงฆ์ ศิษยานุศิษย์ และประชาชน ที่กำลังร่วมงานจำนวนนับพันๆ คน

ทั้งนี้ ขณะที่กำลังจุดเพลิงศพ เมื่อเวลา 19.19 น. ของคืนวันที่ 4 สิงหาคม 2552 ณ เมรุพิเศษวัดกมลศรี โดยได้มีการราดน้ำมันเบนซินใส่ลงไปในโลงศพไว้จนเต็มแล้ว แต่ทันทีที่สิ้นเสียงระเบิดของลูกหนู ก็เกิดไฟขึ้นลุกท่วมเหนือโลงศพ จากนั้น ได้ลุกไหม้เป็นเวลานาน 10 นาที ก็ดับลง

ปรากฏว่า สังขารร่างกายของหลวงปู่เงื่อม มิได้ถูกไฟไหม้เลยแม้แต่นิดเดียว นอกจากผ้าขาวใช้คลุมร่างของท่านที่ถูกไหม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

อัต โนประวัติ หลวงปู่เงื่อม เกิดเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ หรือตรงกับวันที่ 8 พฤษภา คม 2470 ณ บ้านเลขที่ 37 หมู่ที่ 2 บ้านคลองใส ต.เขาไม้แก้ว อ.สิเกา จ.ตรัง โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายฤทธิ์และนางหม้ง สรรพจักร มีพี่น้องร่วมบิดา-มารดา 3 คน

ในช่วงวัยเยาว์หลังจากจบ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ได้ลาออกมาช่วยทางครอบครัวทำสวนยางพารา และได้แต่งงานอยู่กินกับนางพร้อม แสงวิสุทธิ์ จนมีบุตรด้วยกัน 4 คน

กระทั่ง เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2500 ขณะที่อายุได้ 31 ปี ท่านได้ตัดสินใจอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดไม้ฝาด ต.ไม้ฝาด อ.สิเกา จ.ตรัง มีพระครูสุตกิจวิจารณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายา อังสุกาโร

หลังอุปสมบท ท่านได้มุ่งมั่นในการศึกษาพระปริยัติธรรม และได้ส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา มีทั้งการสั่งสอนพระภิกษุ-สามเณร ให้ตั้งใจเรียนพระธรรมวินัย และอยู่ในสัมมาปฏิบัติตลอดมา อบรมสั่งสอนคุณภาพจริยธรรมให้กับนักเรียน และเยาวชน อบรมธรรมะและสั่งสอนศาสนพิธีให้กับพุทธศาสนิกชน ตลอดจนปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างของสมณเพศที่ดี ไม่บกพร่อง และไม่มีมลทิน

พร้อม กันนี้ หลวงปู่เงื่อม ยังได้ก่อสร้างศาสนสถาน-อาคารต่างๆ ภายในวัดกมลศรี เช่น กุฏิ เป็นที่พักของพระภิกษุ-สามเณร สร้างศาลาการเปรียญ เพื่อใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรม และศาสนกิจของพุทธศาสนิกชน รวมทั้งสร้างเมรุ ห้องน้ำ ห้อง ส้วม อาคารโรงครัว และศาลาที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพ รวมทั้งการก่อสร้างเจดีย์สำหรับบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

ขณะเดียว กัน ท่านยังให้การสงเคราะห์พระภิกษุ-สามเณร ได้ศึกษาพระธรรมวินัย ช่วยเหลือและอนุเคราะห์ชาวบ้านที่ยากไร้ สนับ สนุนทุนการศึกษาให้กับนักเรียนโรงเรียนกมลศรี ทุกปี ปีละ 4,000-5,000 บาท และยังเป็นพระอุปถัมภ์นักเรียนกำพร้าบิดา-มารดา 2 คน คนละ 2,000 บาทต่อปี ที่โรงเรียนกมลศรี กับโรงเรียนบ้านพรุเตย

ลำดับสมณศักดิ์ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2543 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ในราชทินนามว่า พระครูกมลวรการ

ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์ วันที่ 12 ตุลาคม 2523 ได้รับการแต่ง ตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดกมลศรี จนมรณภาพ

หลวงปู่เงื่ อม เป็นพระเถระที่มากด้วยเมตตา ชอบสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนทั่วไป รักความสะอาด ชอบความเป็นระเบียบ มีกตัญญูกตเวทิตาธรรมสูง ขณะเดียวกัน ท่านยังเป็นผู้รู้จักเหตุผล รู้จักประมาณตน และมีหลักมนุษยสัมพันธ์ดี

นอกจากจะเป็นพระเกจิ อาจารย์ชื่อดังแล้ว ท่านยังเป็นพระนักพัฒนาที่สร้างคุณูปการแก่ชุมชนสังคมและสร้างความเจริญให้ กับวัดและชุมชนมากมาย ซึ่งท่านได้สร้างและบูรณปฏิสังขรณ์ ศาสนสถานต่างๆ ภายในวัดมากมาย จนเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ

ในช่วงบั้นปลายชีวิต หลวงปู่เงื่อม ย่างเข้าสู่วัยชรา สังขารร่วงโรยไปเป็นธรรมดา และในที่สุดก็ล้มป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับตับ ผู้ใกล้ชิดได้พาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลหลายแห่ง

กระทั่งอาการ ทรุดหนักลงจนยากแก่การเยียวยา ลูกหลานและบรรดาคณะศิษย์ได้พาท่านกลับวัดกมลศรี และท่านได้มรณภาพด้วยอาการสงบในที่สุด สิริอายุ 82 ปี พรรษา 51

แม้ ว่าหลวงปู่เงื่อม จะละสังขารลาโลกไปแล้วก็ตาม แต่คุณงามความดีที่ได้ประกอบศาสนกิจมาตลอดชีวิต

จะเป็นเครื่อง ยึดเหนี่ยวให้พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนได้จดจำอย่างมิลืมเลือน


ที่มา ข่าวสดออนไลน์  คอลัมน์ อริยะโลกที่ 6 โดย เมธี เมืองแก้ว ขอขอบคุณครับ  :089:

81



วัด สว่างอารมณ์ เดิมประชาชนนิยมเรียก "วัดล่าง" สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่เลขที่ 40 หมู่ที่ 9 ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทร ปราการ มีเนื้อที่ 56 ไร่ 1 งาน 42 ตารางวา ปัจจุบันจัดส่วนให้ตั้งโรงเรียนวัดสว่างอารมณ์ เนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 80 ตารางวา และให้ชาวบ้าน ได้ปลูกเรือนอาศัย จำนวน 71 หลังคาเรือน เนื้อที่รวม 9 ไร่ 2 งาน 99 ตารางวา

วัดแห่งนี้สร้างขึ้นตรงบริเวณสุดปากอ่าวแม่ น้ำบางเหี้ย ในสมัยที่หลวงปู่ปาน (พระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ) อดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดังวัดบางเหี้ยนอก (วัดมงคลโคธาวาส) เจ้าตำรับเครื่องรางของขลังเสือมหาอำนาจ ในขณะนั้นท่านพอใจมาปักกลดบริเวณนี้เป็นประจำ ด้วยเห็นว่าอยู่ทะเล อากาศดี เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม ชาวบ้านโดยการนำของ นายเขียว นายนาค จึงติดตามหลวงปู่ปาน นำความประสงค์สร้างวัดขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้ารัชกาลที่ 5 และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 25 มกราคม รัตนโกสินทร์ศก 128 (พ.ศ.2452)

โดยมีเจ้า อาวาสดำรงตำแหน่งดังนี้ 1.พระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ (หลวงปู่ปาน) เจ้าอาวาสและท่านได้ก่อตั้งและสร้างอุโบสถ มรณภาพเมื่อปี 2453 2.ปี 2454 - 2460 ไม่ปรากฏนามเจ้าอาวาส 3.ปี 2460 - 2474 พระอธิการเหรียญ ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส 4.ปี 2475 - 2500 หลวงก๋งเลี้ยง โสรโย ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส 5.ปี 2500 - 2520 พระครูปลัดสมจิตร เปมิโย ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส 6.ปี 2521 - 2533 พระปลัด สุพจน์ คเวสโก ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส 7.ปี 2534 พระครูสถิตวราภรณ์ หรือ หลวงพ่อดำรง ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส จนถึงปัจจุบัน



"หลวง พ่อดำรง" เจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์ กล่าวว่า วัดสว่างอารมณ์ (ปากคลองบางเหี้ย) เป็นวัดที่ พระครูพิพัฒนิโรธกิจ หรือ หลวงพ่อปาน ได้รับตราพระราช ลัญจกรจากองค์สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดสร้างขึ้นที่ชายฝั่งทะเลตรงบริเวณปากแม่น้ำบางเหี้ย เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2452 บัดนี้เวลาล่วงเลยมาร้อยกว่าปี วัดได้สร้างอุโบสถหลังใหม่และได้ขุดพบเสือหินแกะโบราณ ซึ่งมีความเชื่อกันว่าน่าจะเป็นเสือต้นแบบของหลวงพ่อปาน

"เพื่อเป็น การเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระมหา กรุณาธิคุณอย่างอเนกอนันต์ต่อวัด และรำลึกนึกถึงคุณงามความดีของหลวงพ่อปานที่ท่านได้ก่อตั้งวัดแห่งนี้ ทางวัดจึงจัดสร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และเสือองค์ใหญ่ขนาดฐานกว้าง 100 นิ้ว ประดิษฐานวัดภายในวัด เสือเป็นเอกลักษณ์เครื่องรางของขลังอันโด่งดังของหลวงพ่อปาน"








เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 ม.ค. วัดสว่างอารมณ์ได้จัดพิธีเททองหล่อพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และเสือองค์ใหญ่ขนาดฐานกว้าง 100 นิ้ว โดยมี พระเทพภาวนาวิกรม (เจ้าคุณธงชัย) วัดไตรมิตรเป็นประธานในพิธี พระครูสถิตวราภรณ์ หรือ หลวงพ่อดำรง เจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์ เป็นประธานดำเนินงาน โดยมีเจ้าอาวาส 19 วัด ในเขตพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ พระคณาจารย์ พระเกจิอาจารย์กว่าร้อยรูปร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคล สำหรับบรรยากาศในพิธีเป็นไปอย่างคึกคัก ซึ่งมีพุทธศาสนิกชนและประชาชนทั่วไปจำนวนมากร่วมงานจนแน่นวัด

นายชัช วาลย์ นาไพศาล หนึ่งในผู้เข้าร่วมพิธี กล่าวว่า เมื่อรู้ข่าวตนได้เดินทางมาวัดตั้งแต่เช้า เพื่อที่จะได้ไปเข้าร่วมพิธีกรรมเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ ขณะพราหมณ์ประกอบพิธีบวงสรวง จากแสงแดดที่ร้อนจ้าได้มีสายลมพัดโชยมา เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทวดาฟ้าดินรับรู้ มีพระบางรูปที่ร่วมในพิธีบอกว่า เหมือนดวงวิญญาณของหลวงพ่อปานมาร่วมในพิธีด้วย เมื่อมองไปบนท้องฟ้าผู้ร่วมพิธีต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เห็นก้อนเมฆที่ลอยอยู่คล้ายเสือกำลังอ้าปากและแสงอาทิตย์สาดออกจากปากเป็น เวลานานหลายนาที หลังเสร็จพิธี หลวงพ่อดำรง เจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์ได้ให้ความเมตตาแจกเสือเนื้อผงฟรีแก่ผู้ที่มาร่วม พิธีทุกคนด้วย


ที่มา ข่าวสดรายวัน วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 7001 ขอขอบคุณครับ





82



"วัดปากอ่าว" เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งในเขต อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี ตั้งอยู่บริเวณฝั่งตะวันออกของแม่น้ำบางตะบูน จึงเรียกว่าวัดปากอ่าว

ส่วน ตำบลแห่งนี้ที่ชื่อว่าบางตะบูน ด้วยอยู่บริเวณป่าชายเลน ใกล้บริเวณปากอ่าว มีต้นตะบูนจำนวนมาก

วัดแห่งนี้เดิมชาวบ้านเรียกว่า "วัดนอก" คู่กับวัดปากลัด (ฝั่งตำบลบางตะบูน) ซึ่งเรียกว่า "วัดใน" มีหลักฐานการรับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2452 ซึ่งอยู่ในปลายรัชสมัยที่ 5

เจ้าอาวาสรูปแรก ชื่อ พระครูญาณสาคร (แฉ่ง สำเภาเงิน) เป็นพระที่มีความรู้ในการอ่าน เขียนภาษาไทยและภาษาขอมได้ดี

ชีวประวัติของหลวงพ่อแฉ่ง ได้อุปสมบทที่วัดปากลัด เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2442 มีพระอธิการคล้ำ วัดปากคลอง เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการทรัพย์ วัดเขาตะเครา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการวัด วัดปากลัด เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "ศีลปัญโญ"

หลวงพ่อแฉ่งได้ชักชวนชาวบ้านบางตะบูนให้ ร่วมกันสร้างวัดขึ้นใหม่ ที่ริมฝั่งชายทะเลด้านทิศตะวันออกของอ่าวบางตะบูน ซึ่งเป็นบริเวณป่าชายเลนที่มีน้ำท่วมถึง จนกลายเป็นวัดใหญ่ถาวร ใช้เวลาในการปรับปรุงถมที่ดินและก่อสร้างสิ่งต่างๆ เช่น อุโบสถ กุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ เป็นเวลานาน 5 ปี จึงแล้วเสร็จ ขนานนามว่า "วัดปากอ่าวบางตะบูน" และเป็นสถานที่ท่านจำพรรษา ตราบจนวาระสุดท้าย เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2506 สิริอายุได้ 86 พรรษา 64

ด้วยคุณงาม ความดีของหลวงพ่อแฉ่ง ทำให้เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้านในเมืองเพชรบุรี ดังนั้น พระครูสิริวัชรสาคร (บุญส่ง อตตทีโป) เจ้าอาวาสวัดปากอ่าวรูปปัจจุบัน ได้จัดสร้าง "เหรียญหลวงพ่อแฉ่ง รุ่นสร้างวิหาร" เพื่อให้ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาหลวงพ่อแฉ่ง ได้สักการบูชาติดตัวเป็นสิริมงคล

เหรียญหลวงพ่อแฉ่ง รุ่นสร้างวิหาร เป็นเหรียญรูปไข่ ไม่มีหูห่วง จำนวนการจัดสร้างไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน แต่มีจำนวนไม่มาก จัดสร้างเป็นเนื้อเงิน เนื้อนวโลหะ เนื้อทองแดงรมดำ และเนื้อทองแดง

ด้าน หน้าเหรียญ เป็นรูปหลวงพ่อแฉ่งครึ่งองค์ ด้านบนเขียนเป็นชื่อ "พระครูญาณสาคร(แฉ่ง สำเภาเงิน)" ด้านล่างใต้รูปเหมือน เขียนคำว่า "วัดปากอ่าวบางตะบูน" ด้านหลังเหรียญ เป็นยันต์เมตตา แคล้วคลาด ใต้ยันต์เขียนคำว่า "รุ่นสร้างวิหาร พ.ศ.๒๕๔๘"

เหรียญรุ่นดังกล่าว ประกอบพิธีพุทธาภิเษกใหญ่ นิมนต์พระเกจิอาจารย์ทั้งสายใต้และสายเหนือ เข้าร่วมพิธีจำนวนมาก โดยเฉพาะพระเกจิอาจารย์ในจังหวัดเพชรบุรี อาทิ หลวงพ่อตัด วัดชายนา, หลวงพ่ออุ้น วัดตาลกง เป็นต้น

หลังจากเสร็จ พิธี คณะศิษย์ได้มาจับจองเช่าบูชาไปเกินกว่าครึ่ง ทำให้เหรียญรุ่นนี้เหลืออยู่ไม่มากนัก รายได้ทั้งหมดทางวัดนำไปจัดสร้างวิหารหลวงพ่อแฉ่ง

ครั้งหนึ่ง มีชาวบ้านที่เป็นชาวประมงเรือใหญ่ ออกหาปลานอกน่านน้ำไทย ถูกโจรพม่าจับกุมและถูกยิง แต่ปืนยิงไม่ออก ชาวประมงคนนั้นรอดชีวิตมาได้ เพราะได้อมเหรียญหลวงพ่อแฉ่งไว้ในปาก จนเป็นที่กล่าวขานถึงความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน

ถือเป็นเหรียญพระ ใหม่อีกเหรียญที่มาแรง



ขอบคุณที่มาจาก ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ เปิดตลับพระใหม่


83



คนเราเลือกเกิดไม่ได้ หากเลือกเกิดได้ ทุกคนอยากเกิดกับครอบครัวที่อบอุ่นฐานะดี มีอาหารดี ๆ กิน มีโรงเรียนดี ๆ เรียน แต่เมื่อเกิดมาในครอบครัวที่ลำบากแล้ว จำเป็นต้องสู้ชีวิตจนถึงที่สุด เพราะชีวิตต้องดำเนินต่อไป และพยายามทิ้งอดีตไว้เบื้องหลัง ก้าวเดินไปข้างหน้าเพื่อแสวงหาอนาคตที่ดีกว่า บางคนประสบความสำเร็จในชีวิตมาก มายบางคนล้มเหลวตกเป็นทาสของขบวนการค้ามนุษย์เข้าสู่วงจรค้ายาเสพติด ขบวนการโสเภณีขายตัว เลวร้ายสุด ๆ ถูกฆ่าเอาชีวิตทั้งที่เจ้าตัวไม่เคยคิดจะมอบชีวิตให้ใคร

สำหรับปัญหาเด็กเร่ร่อนในปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสาเหตุของโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมไทยเปลี่ยนไป รวมทั้งเกิดจากความไม่เป็นธรรมในสังคม การกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม การขยายตัวตามเมืองใหญ่ ประชาชนละทิ้งถิ่นฐานเข้ามาหางานทำในเมือง ปัญหาแรงงานต่างด้าวหอบลูกจูงหลานลักลอบเข้ามาหางานทำ ปัญหาการแตกแยกในครอบครัว และปัญหาความยากจนของประชาชนในพื้นที่ ทั้งหมดนำมาสู่ปัญหาเด็กเร่ร่อน เด็กกำพร้า กลายเป็นปัญหาสังคมที่ต้องแก้อย่างไม่มีวันหมด

ปัจจุบันปัญหาเด็กเร่ร่อน เด็กกำพร้า และเด็กถูกทอดทิ้งกำลังกลายเป็นปัญหาของประเทศเข้าสู่เมืองใหญ่อย่างจังหวัด เชียงใหม่หลีกหนีไม่พ้น ตามแหล่งชุมชน ถนนหลายสายของแหล่งบันเทิง ไม่เว้นแม้แต่ตามสี่แยกไฟแดงหลายแห่งมักพบเห็นกลุ่มเด็กเร่ร่อน ออกมาขายดอกไม้ และพวงมาลัยอยู่เสมอ จนกลายเป็นภาพที่ชินตาเสียแล้วสำหรับผู้พบเห็น ซึ่งที่ผ่านมาหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชนได้พยายามแก้ไขปัญหา แต่ดูเหมือน ว่ายังไม่สามารถแก้ไขเด็กเร่ร่อนเด็กกำพร้าเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในทางกลับกันปัญหาที่เกิดขึ้นยังดูเหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ปัจจุบันมีหลายองค์กรในจังหวัดเชียงใหม่ที่ตั้งขึ้นเพื่อดูแลและรับเลี้ยงดู เด็กเหล่านี้ไม่เว้นแม้กระทั่งวัดซึ่งเป็นศาสนสถานศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้าน ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือด้วย ที่วัดดอนจั่น ต.ท่าศาลา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ได้รับอุปการะเลี้ยงดูเด็กเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

พระอธิการอานันท์ อานันโท เจ้าอาวาสวัดดอนจั่น หรือ “พ่อพระ” เปิดเผยว่า ทางวัดเล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าว จึงจัดตั้งโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กด้อยโอกาส เด็กกำพร้า และเด็กยากจนขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้อุปการะเด็กกำพร้า เร่ร่อน เด็กที่พ่อแม่ติดคุก เสียชีวิต ติดยาเสพติด และครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่สามารถส่งเสียให้เด็กเรียนหนังสือได้ ปัจจุบันทางวัดดอนจั่น รับเด็กอุปการะในโครงการ จำนวน 650 คน ด้วยกัน

พระอธิการอานันท์ กล่าวอีกว่า ทางวัดได้ทำโครงการนี้มานาน 25 ปีแล้ว โดยไม่ใช้งบประมาณของทางราชการแม้แต่บาทเดียวโดยโครงการดังกล่าวได้รับเด็ก ที่มีปัญหาในเขตจังหวัดภาคเหนือ เข้ามากินนอนและเรียนหนังสืออยู่ในวัด ซึ่งทางวัดมีที่พัก อาหาร ชุดนักเรียน รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ให้ทุกคนและส่งให้เรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดดอน จั่นนี้เลย โดยโรงเรียนเปิดสอนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงระดับการศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) เด็กที่นี่มีทั้งชาวไทยภูเขา เด็กพื้นราบ แยกเป็นชาย 210 คน และเด็กผู้หญิง 440 คน เด็กทั้งหมดเกิดจากปัญหาทางสังคมทั้งสิ้น มีทั้งกำพร้า ยากจน เร่ร่อน รวมทั้งติดเชื้อเอชไอวี โดยทางวัดทำโครงการนี้ด้วยใจ เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ด้อยโอกาสเหล่านี้ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีการศึกษา เมื่อจบออกไปแล้วสามารถทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง ไม่เป็นปัญหาสังคม ที่จบไปหลายรุ่นกลับบ้านไปแล้วส่วนใหญ่เป็น อบต. เป็นผู้นำหมู่บ้าน ก็มี ซึ่งทางวัดดีใจที่เด็กเหล่านี้ได้ดี กลับไปช่วยเหลือท้องถิ่นของตนเอง

“อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นการทำโครงการนี้ทางวัดร่วมกับคณะศรัทธารวมทั้งผู้ เกี่ยวข้องทำกันเอง ไม่ได้งบประมาณจากรัฐบาลแม้แต่บาทเดียว ที่ผ่านมาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร มีผู้อุปถัมภ์จำนวนมากยื่นมือเข้ามาช่วยด้านงบประมาณ โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าทั้งหมดตกเดือนละประมาณ 5 หมื่นบาท ค่าก๊าซหุงต้มเดือนละ 1 หมื่นบาท ส่วนค่าใช้จ่ายของเด็กทั้งหมด ตกวันละ 100 บาทต่อคน ซึ่ง ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเราสามารถยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้ไม่มีปัญหา และต้องขอขอบคุณผู้มีอุปการคุณที่สนับสนุนโครงการของวัดมาโดยตลอด เราต้องสร้างคนควบคู่ไปกับการสร้างชาตินอกจากบทเรียนทางวิชาการที่สั่งสอน เด็กเหล่านี้เพื่อให้เติบโตออกไปสู่สังคมภายนอก” พระอธิการอานันท์ กล่าว

นอกจากนี้ทางวัดยังปรับการเรียนการสอนสายธรรมะสอดแทรกเข้าไปในหลักสูตรด้วย ทุกวันนี้นักเรียนทุกคนจะถูกปลูกฝังให้มีความอดทน ทำแต่ความดีเลือกทำในสิ่งที่ดีที่สุด และสอนว่า คนทำดีย่อมได้ดี หลักธรรมะเบื้องต้นเหล่านี้ถูกสอดแทรกให้เด็กอยู่เสมอ

แน่นอนปัญหาที่เกิดขึ้นย่อมมีทางแก้ไขหากทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างจริงจังและ จริงใจ นี่เป็นอีกบทบาทหนึ่งของพระในบ้านเราที่เล็งเห็นความสำคัญของเด็กซึ่งเป็น อนาคตของชาติ และได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือภาครัฐอีกแรง แต่ปัจจุบันเงินทุนที่มีอยู่ย่อมหมดลงเรื่อย ๆ จึงต้องขอแรงผู้ใจบุญ สนับสนุนในเรื่องนี้ได้ที่ วัดดอนจั่น ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์เชียงใหม่-ลำปาง หมู่ 4 ต.ท่าศาลา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ หมายเลขโทรศัพท์ 0-5324-0184.




ที่มาเดลินิวส์ออนไลน์

84
ธรรมะ / นักบุญ
« เมื่อ: 27 ม.ค. 2553, 04:43:52 »


การทำบุญก็ดี การทำสิ่งใดก็ดี
ถ้าเป็นการทำตนให้ละทิฏฐิมานะ ทำเพื่อให้จิตเบิกบาน
ย่อมเสวยบุญนั้นในปรภพ มนุษย์ทุกวันนี้ทำแบบมีกิเลส
ดังนั้น บางคนนึกว่าเข้าสร้างโบสถ์เป็นหลังๆ
แล้วเขาจะไปสวรรค์หรือเปล่า
เขาตายไปอาจจะต้องตกนรก
เพราะอะไรเล่า เพราะถ้าเขาสร้างด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์
เป็นการทำเพื่อเอาบุญบังหน้าในการเสวยความสุขส่วนตัวก็มี
บางคนอาจเรียกได้ว่า หน้าเนื้อใจเสือ
คือ ข้างหน้าเป็นนักบุญ ข้างหลังเป็นนักปล้น


คัดลอกจาก...
หนังสือ เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน
เล่มของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)



การทำบุญนั้นไม่มีเงินเราก็สามารถทำได้   มีน้อยทำน้อย ทำด้วยจิตเป็นกุศล ก็ได้บุญมหาศาลแล้วครับ อย่างน้อย ตัวเราก็มีความสุขครับ

85



ฌาน แล สมาธิ มีลักษณะและคุณวิเศษผิดแปลกกันโดยย่ออย่างนี้ คือ

ฌาน ไม่ว่าหยาบและละเอียด จิตเข้าถึงภวังค์แล้วเพ่งหรือยินดีอยู่แต่เฉพาะความสุขเลิศอันเกิดจากเอ กัคคตารมณ์อย่างเดียว สติสัมปชัญญะหายไป ถึงมีอยู่บ้างก็ไม่สามารถจะทำองค์ปัญญาให้พิจารณาเห็นชัดในอริยสัจธรรมได้ เป็นแต่สักว่ามี ฉะนั้น กิเลสทั้งหลายมีนิวรณ์ ๕ เป็นต้น จึงยังละไม่ได้ เป็นแต่สงบอยู่

ส่วน สมาธิ ไม่ว่าหยาบแลละเอียด เมื่อเข้าถึงสมาธิแล้ว มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ตามชั้นแลฐานะของตน เพ่งพิจารณาธรรมทั้งหลายอยู่ มีกายเป็นต้น ค้นคว้าหาเหตุผลเฉพาะในตน จนเห็นชัดตระหนักแน่วแน่ตามเป็นจริงว่า สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี เป็นต้น ตามชั้นตามภูมิของตนๆ ฉะนั้น

สมาธิจึงสามารถละกิเลส มีสักกายทิฏฐิเสียได้ สมาธินี้ถ้าสติอ่อน ไม่สามารถรักษาฐานะของตนไว้ได้ ย่อมพลัดเข้าไปสู่ภวังค์เป็นฌานไป ฌานถ้ามีสติสัมปชัญญะแก่กล้าขึ้นเมื่อไร ย่อมกลายเป็นสมาธิได้เมื่อนั้น ในพระวิสุทธิมรรคท่านแสดงสมาธิเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับฌาน เช่นว่า สมาธิกอปรด้วยวิตก วิจาร ปีติ เป็นต้น ดังนี้ก็มี บางทีท่านแสดงสมาธิเป็นเหตุของฌาน เช่นว่าสมาธิเป็นเหตุให้ได้ฌานชั้นสูงขึ้นไป ดังนี้ก็มี บางทีท่านแสดงสมาธิเป็นฌานเลย เช่นว่าสมาธิเป็นกามาพจร รูปาพจร อรูปาพจร ดังนี้ก็มี แต่ข้าพเจ้าแสดงมานี้ก็มิได้ผิดออกจากนั้น เป็นแต่ว่าแยกแยะสมถะฌาน สมาธิ ออกให้รู้จักหน้าตามันในขณะที่มันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าเท่านั้น สำหรับผู้ฝึกหัดเป็นไปแล้วจะไม่งง ที่ท่านแสดงไว้แล้วนั้นเป็นการยืดยาว ยากที่ผู้มีความทรงจำน้อยจะเอามากำหนดรู้ได้

นิมิต เมื่ออธิบายมาถึง ฌาน สมาธิ ภวังค์ ดังนี้แล้ว จำเป็นจะลืมเสียไม่ได้ซึ่งรสชาติอันอร่อย (คือ นิมิต) ซึ่งเกิดขึ้นในระยะของสิ่งเหล่านั้น ผู้เจริญพระกรรมฐานย่อมปรารถนาเป็นอย่างยิ่งแทบทุกคนก็ว่าได้ ความจริงนิมิตมิใช่ของจริงทีเดียวทั้งหมด นิมิตเป็นแต่นโยบายให้พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงก็มี ถ้าพิจารณานิมิตนั้นไม่ถูกก็เลยเขวไปก็มี ถ้าพิจารณาถูกก็ดีมีปัญญาเกิดขึ้น นิมิตที่เป็นของจริงคือนิมิตเป็นหมอดูไม่ต้องใช้วิพากษ์วิจารณ์อย่างนี้ก็มี นิมิตนั้นเมื่อจะเกิดก็เกิดเอง เป็นของแต่งเอาไม่ได้ เมื่อจะเกิด เกิดจากเหตุ ๒ ประการ คือเกิดจากฌาน ๑ สมาธิ ๑ เมื่ออบรมและรักษาธรรม ๒ ประการนี้ไว้ไม่ให้เสื่อมแล้ว นิมิตทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นเองอุปมาดังต้นไม้ที่มีดอกและผล ปรนปรือปฏิบัติรักษาต้นมันไว้ให้ดีเถิด อย่ามัวขอแต่ดอกผลของมันเลย เมื่อต้นของมันแก่แล้ว มีวันหนึ่งข้างหน้าไม่ช้าคงได้รับดอกแลผลเป็นแน่นอน ดีกว่าจะไปมัวขอผลแลดอกเท่านั้น

นิมิต ที่เกิดจากฌานนั้น เมื่อจิตตกเข้าถึงฌานเมื่อไรแล้ว นิมิตทั้งหลายมีอสุภเป็นต้น ย่อมเกิดขึ้นในลำดับดังได้อธิบายมาแล้วในข้างต้นว่า จิตเมื่อเข้าจะเข้าถึงฌานได้ย่อมเป็นภวังค์เสียก่อน ภวังค์นี้เป็นเครื่องวัดของฌานโดยแท้ ถ้าเกิดขึ้นในลำดับของภวังคบาต เกิดแวบขึ้นครู่หนึ่งแล้วนิมิตนั้นก็หายไปพร้อมทั้งภวังค์ด้วย ถ้าเป็นภวังคจลนะ พอเกิดขึ้นแล้วภวังค์นั้นก็เร่ร่อนเพลินไปตามนิมิตที่น่าเพลิดเพลินนั้นโดย สำคัญว่าเป็นจริง ถ้านิมิตเป็นสิ่งที่น่ากลัว กลัวจนตัวสั่น เสียขวัญ บางทีก็รู้อยู่ว่านั่นเป็นนิมิตมิใช่ของจริง แต่ไม่ยอมทิ้งเพราะภวังค์ยังไม่เสื่อม ภวังคจลนะนี้เป็นที่ตั้งของวิปัสสนูปกิเลสทั้ง ๑๐ มีโอภาโส แสงสว่างเป็นต้น ถ้าไม่เข้าถึงภวังค์ มีสติสัมปชัญญะแก่กล้าเป็นที่ตั้งของปัญญาได้เป็นอย่างดี มีวิปัสสนาปัญญาเกิดขึ้นในที่นี้เอง นิมิตนั้นเลยกลายเป็นอุปจารสมาธินิมิตไป ส่วนภวังคุปัจเฉทะไม่มีนิมิตเป็นเครื่องปรากฏ ถ้ามีก็ต้องถอยออกมาตั้งอยู่ในภวังคจลนะเสียก่อน ตกลงว่านิมิตมีที่ภวังคจลนะอยู่นั่นเอง

นิมิตที่เกิดในสมาธิ เมื่อเกิดขึ้นในภูมิของขณิกสมาธิ วับแวบขึ้นครู่หนึ่งแล้วก็หายไป อุปมาเหมือนกันกับบุคคลผู้เป็นลมสันนิบาตมีแสงวูบวาบเกิดขึ้นในตา หาทันได้จำว่าเป็นอะไรต่ออะไรไม่ ถึงจะจำได้ก็อนุมานตามทีหลังคล้ายๆ กับภวังคบาตเหมือนกัน ถ้าเกิดในอุปจารสมาธินั้น นิมิตชัดเจนแจ่มแจ้งดี เป็นที่ตั้งขององค์วิปัสสนาปัญญา เช่นเมื่อพิจารณาขันธ์ ๕ อยู่ พอจิตตกลงเข้าถึงอุปจารสมาธิแล้ว หรือเข้าถึงอัปปนาสมาธิแล้วถอนออกมาอยู่ในอุปจารสมาธิ นิมิตปรากฏชัดเป็นตามจริงด้วยความชัดด้วยญาณทัสสนะในที่นั้น

เช่น เห็นรูปขันธ์เป็นเหมือนกับต่อมน้ำ ตั้งขึ้นแล้วก็ดับไป เห็นเวทนาเป็นเหมือนกับฟองแห่งน้ำ เป็นก้อนวิ่งเข้ามากระทบฝั่งแล้วก็สลายเป็นน้ำตามเดิม เห็นสัญญาเป็นเหมือนพยับแดด ดูไกลๆ คล้ายกับเป็นตัวจริง เมื่อเข้าไปถึงที่อยู่ของมันจริงๆ แล้ว พยับแดดนั้นก็หายไป เห็นสังขารเหมือนกับต้นกล้วยซึ่งหาแก่นสารในลำต้นสักนิดเดียวย่อมไม่มี เห็นวิญญาณเปรียบเหมือนมายาผู้หลอกให้จิตหลงเชื่อ แล้วตัวเจ้าของหายไปหลอกเรื่องอื่นอีก ดังนี้เป็นต้น เป็นพยานขององค์วิปัสสนาปัญญาให้เห็นแจ้งว่า สัตว์ที่มีขันธ์ ๕ ต้องเหมือนกันดังนี้ทั้งนั้น ขันธ์มีสภาวะเป็นอยู่อย่างนี้ทั้งนั้น ขันธ์มิใช่อะไรทั้งหมด เป็นของปรากฏอยู่เฉพาะของเขาเท่านั้น ความถือมั่นอุปาทานย่อมหายไป มิได้มีวิปลาสที่สำคัญว่าขันธ์เป็นตนเป็นตัว เป็นอาทิ


สมาธินี้ท่านจำแนกไว้เป็น ๓ ชั้นคือ

ขณิก สมาธิ สมาธิที่เพ่งพิจารณาพระกรรมฐานอยู่นั้น จิตรวมบ้าง ไม่รวมบ้าง เป็นครู่เป็นขณะ พระกรรมฐานที่เพ่งพิจารณาอยู่นั้นก็ชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง เปรียบเหมือนสายฟ้าแลบในเวลากลางคืนฉะนั้น เรียกว่า ขณิกสมาธิ

อุปจารสมาธิ นั้นจิตค่อยตั้งมั่นเข้าไปหน่อยไม่ยอมปล่อยไปตามอารมณ์จริงจัง แต่ตั้งมั่นก็ไม่ถึงกับแน่วแน่เป็นอารมณ์อันเดียว ถึงเที่ยวไปบ้างก็อยู่ในของเขตของจิต อุปมาเหมือนวอก เจ้าตัวกลับกลอกถูกโซ่ผูกไว้ที่หลัก หรือนกกระทาขังไว้ในกรงฉะนั้น เรียกว่าอุปจารสมาธิ

อัปปนาสมาธิ นั้นจิตตั้งมั่นจนเต็มขีด แม้ขณะจิตนิดหน่อยก็มิได้ปล่อยให้หลงเพลินไปตามอารมณ์ เอกัคคตารมณ์จมดิ่งนิ่งแน่ว ใจใสแจ๋วเฉพาะอันเดียว มิได้เกี่ยวเกาะเสาะแส่หาอัตตาแลอนัตตาอีกต่อไป สติสมาธิภายในนั้น หากพอดีสมสัดส่วน ไม่ต้องระวัง ไม่ต้องตั้งสติรักษา ตัวสติสัมปชัญญะสมาธิ มันหากรักษาตัวมันเอง อัปปนาสมาธินี้ละเอียดมาก เมื่อเข้าถึงที่แล้ว ลมหายใจแทบจะไม่ปรากฏ ขณะมันจะลง ทีแรกคล้ายกับว่าจะเคลิ้มไป แต่ว่าไม่ถึงกับเผลอสติเข้าสู่ภวังค์ ขณะสนธิกันนี้ท่านเรียกว่า โคตรภูจิต ถ้าลงถึงอัปปนาเต็มที่แล้วมีสติรู้อยู่ เรียกว่า อัปปนาสมาธิ ถ้าหาสติมิได้ ใจน้อมลงสู่ภวังค์เข้าถึงความสงบหน้าเดียว หรือมีสติอยู่บ้างแต่เพ่งหรือยินดีชมแต่ความสุขอันเกิดจากความสงบอันละเอียด อยู่เท่านั้น เรียกว่า อัปปนาฌาน

อัปปนาสมาธินี้มีลักษณะคล้ายกับผู้ที่เข้าอัปปนาฌานชำนาญแล้ว ย่อมเข้าหรือออกได้สมประสงค์ จะตั้งอยู่ตรงไหน ช้านานสักเท่าไรก็ได้ ซึ่งเรียกว่าโลกุตรฌาน อันเป็นวิหารธรรมของพระอริยเจ้า อัปปนาสมาธิเมื่อมันจะเข้าทีแรก หากสติไม่พอเผลอตัวเข้า กลายเป็นอัปปนาฌานไปเสีย


สมถะ สมถะเมื่อแยกออกไปแล้ว มี ๒ ประเภทคือ สมถะทำความสงบเฉยๆ ๑ สมถะที่ประกอบด้วยองค์ฌาน ๑

สมถะทำความสงบเฉยๆ นั้น จะกำหนดพระกรรมฐานหรือไม่ก็ตาม แล้วทำจิตให้สงบอยู่เฉยๆ ไม่เข้าถึงองค์ฌาน อย่างนี้เรียกว่า ตัตรมัชฌัตตุเปกขา ย่อมมีแก่ชนทั่วไปในบางกรณี ไม่จำกัดมีได้เฉพาะผู้เจริญพระกรรมฐานเท่านั้น

ส่วนสมถะที่ประกอบไปด้วยองค์ฌานนั้น มีได้แต่เฉพาะผู้เจริญพระกรรมฐานเท่านั้น เมื่อถึงซึ่งความสงบครบด้วยองค์ฌานแล้ว เรียกว่า ฌานุเปกขา ฌานุเปกขานี้ท่านจำแนกไว้เป็น ๒ ประเภท คือฌานุเปกขาที่ปรารภรูปเป็นอารมณ์ เอารูปเป็นนิมิต เรียกว่ารูปฌาน ๑ อรูปฌาน ปรารภนามนามเป็นอารมณ์ เอานามเป็นนิมิต ๑ แต่ละประเภทท่านจำแนกออกไว้เป็นประเภทละ ๔ รวมเรียกว่ารูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ จึงเป็นสมาบัติ ๘

ฌานนี้มีลักษณะอาการให้เพ่งเฉพาะในอารมณ์เดียว จะเป็นรูปหรือนามก็ตาม เพื่อน้อมจิตให้สงบปราศจากกังวลแล้วเข้าถึงเอกัคคตารมณ์ มีความสุขเป็นที่นิยมแลปรารถนา เมื่อสมประสงค์แล้วก็ไม่ต้องใช้ปัญญาวิพากษ์วิจารณ์ในสังขารทั้งหลายมีกาย เป็นต้น ดังแสดงมาแล้วนั้นก็ดี หรือจะพิจารณาใช้แต่พอเป็นวิถีทางเดินเข้าไปเท่านั้น เมื่อถึงองค์ฌานแล้วย่อมมีลักษณะแลรสชาติ สุข เอกัคคตา และเอกัคคตา อุเบกขา เสมอเหมือนกันหมด

ฉะนั้น ฌานนี้จึงเป็นของฝึกหัดได้ง่าย จะในพุทธกาลหรือนอกพุทธกาลก็ตาม ผู้ฝึกหัดฌานนี้ย่อมมีอยู่เสมอ แต่ในพุทธศาสนา ผู้ฝึกหัดฌานได้ช่ำชองแล้ว มีวิปัสสนาปัญญาเป็นเครื่องคุ้มครองฌานอยู่ เนื่องด้วยอุบายของพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเป็นเครื่องส่องสว่างให้ จึงไม่หลงในฌานนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นฌานของท่านเลยเป็นวิหารธรรม เครื่องอยู่ของท่านผู้ขีณาสพ เรียกว่า โลกุตรฌาน ส่วนฌานที่ไม่มีวิปัสสนาปัญญาเป็นเครื่องคุ้มครอง เรียกว่า โลกิยฌาน เสื่อมได้ และเป็นไปเพื่อก่อภพก่อชาติอีก ต่อไปนี้จะได้แสดงฌานเป็นลำดับไป

รูปฌาน ๔ เมื่อผู้มาเพ่งพิจารณาพระกรรมฐานบทใดบทหนึ่งอยู่ มีกายคตาเป็นต้น จนปรากฏพระกรรมฐานนั้นชัดแจ่มแจ้งกว่า อนุมานทิฏฐิ ซึ่งได้กำหนดเพ่งมาแต่เบื้องต้นนั้น ด้วยอำนาจของจิตที่เปลี่ยนจากสภาพเดิม อันระคนด้วยอารมณ์หลายอย่าง และเป็นของหยาบด้วย แล้วเข้าถึงซึ่งความผ่องใสในภายในอยู่เฉพาะอารมณ์อันเดียว เรียกง่ายๆ ว่า ขันธ์ทั้งห้าเข้าไปรวมอยู่ภายในเป็นก้อนเดียวกัน ฉะนั้น ความชัดอันนั้นจึงเป็นของแจ้งชัดกว่าความแจ้งชัดที่เห็นด้วยขันธ์ ๕ ภายนอก พร้อมกันนั้น จิตจะมีอาการวูบวาบรวมลงไป คล้ายกับจะเผลอสติแล้วลืมตัว บางทีก็เผลอสติแล้วลืมตัวเอาจริงๆ แล้วเข้าไปนิ่งเฉยอยู่คนเดียว

ถ้าหากผู้สติดีหมั่นเป็นบ่อยๆ จนชำนาญแล้ว ถึงจะมีลักษณะอาการอย่างนั้นก็ตามรู้ตามเห็นอยู่ทุกระยะ ลักษณะอย่างนี้เรียกว่า "จิตเข้าสู่ภวังค์" เป็นอย่างนั้นอยู่ขณะจิตหนึ่งเท่านั้น แล้วลักษณะอย่างนั้นหายไป ความรู้อยู่หรือจะส่งไปตามอาการต่างๆ ของอารมณ์ก็ตามเรื่อง บางทีจะแสดงภาพให้ปรากฏในที่นั้นด้วยอำนาจของสังขารขันธ์ภายใน ให้ปรากฏเห็นเป็นต่างๆ เช่น มันปรุงอยากจะให้กายนี้เป็นของเน่าเปื่อยปฏิกูล หรือสวยงามประการใดๆ ภาพก็จะปรากฏขึ้นมาในที่นั้นโดยไม่รู้ตัว ดังนี้เป็นต้น แล้วขันธ์ทั้งสี่มีเวทนาขันธ์เป็นอาทิก็เข้ารับทำหน้าที่ตามสมควรแก่ภาวะของ ตนๆ เรียกว่า ปฏิภาคนิมิต บางทีส่งจิตนั้นไปดูสิ่งต่างๆ ที่ตนต้องการแลปรารถนาอยากจะรู้ ก็ได้เห็นตามเป็นจริง บางทีสิ่งเหล่านั้นมาปรากฏขึ้นเฉยๆ ในที่นั้นเอง พร้อมทั้งอรรถแลบาลีก็มีได้ ลักษณะอย่างนี้เรียกว่าใช้ขันธ์ภายในได้

ยังอีก ขันธ์ภายในจะต้องหลอกลวงขันธ์ภายนอก เช่น บางคนซึ่งเป็นคนขี้ขลาดมาแล้วแต่ก่อน พอมาอบรมถึงจิตในขณะนี้เข้าแล้ว ภาพที่ตนเคยกลัวมาแล้วแต่ก่อนๆ นั้น ให้ปรากฏขึ้นในที่นั้นเอง สัญญาที่เคยจำไว้แต่ก่อนๆ ที่ว่าเป็นของน่ากลัวนั้นก็ยิ่งทำให้กลัวมากขึ้นจนขวัญหนีดีฝ่อ ด้วยสำคัญว่าเป็นของจริงจังอย่างนี้เรียกว่าสังขารภายในหลอกสังขารภายนอก เพราะธรรมเหล่านี้เป็นสังขตธรรม ด้วยอำนาจอุปาทานนั้นอาจทำผู้เห็นให้เสียสติไปได้ ผู้ฝึกหัดมาถึงขั้นนี้แล้วควรได้รับคำแนะนำจากท่านผู้รู้ผู้ชำนาญ

เมื่อผ่านพ้นในตอนนี้ไปได้แล้ว จะทำหลังมือให้เป็นฝ่ามือได้ดี เรื่องเหล่านี้ผู้เจริญพระกรรมฐานทั้งหลาย มีความมุ่งหมายเป็นส่วนมาก ผู้ที่ยังไม่เคยเป็น แต่เพียงได้ฟังเท่านั้น ตอนปลายนี้ชักให้กลัวเสียแล้วไม่กล้าจะทำต่อไปอีก ความจริงเรื่องเหล่านี้ผู้เจริญพระกรรมฐานทั้งหลาย เมื่อทำถูกทางเข้าแล้วย่อมได้ประสบทุกคนไป แลเป็นกำลังให้เกิดวิริยะได้อย่างดีอีกด้วย ภวังค์ชนิดนี้เป็นภวังค์ที่นำจิตให้ไปสู่ปฏิสนธิเป็นภพชาติ ไม่อาจสามารถจะพิจารณาวิปัสสนาชำระกิเลสละเอียดได้ ฉะนั้น ท่านจึงจัดเป็นอุปกิเลส

ฌานทั้งหลาย มีปฐมฌานเป็นต้น ท่านแสดงองค์ประกอบไว้เป็นชั้นๆ ดังจะแสดงต่อไปนี้ แต่เมื่อจะย่นย่อใจความเพื่อให้เข้าใจง่ายๆ แล้ว ฌานต้องมีภวังค์เป็นเครื่องหมาย ภวังค์นี้ท่านแสดงไว้มี ๓ คือ ภวังคบาต ๑ ภวังคจลนะ ๑ ภวังคุปัจเฉทะ ๑

ภวังคบาต เมื่อจิตตกลงสู่ภวังค์นั้นมาอาการให้วูบวาบลง ดังแสดงมาแล้วในข้างต้น แต่ว่าเป็นขณะจิตนิดหน่อย บางทีแทบจะจำไม่ได้เลย ถ้าหากผู้เจริญบริกรรมพระกรรมฐานนั้นอยู่ ทำให้ลืมพระกรรมฐานที่เจริญอยู่นั้น แลอารมณ์อื่นๆ ก็ไม่ส่งไปตามขณะจิตหนึ่ง แล้วก็เจริญบริกรรมพระกรรมฐานต่อไปอีกหรือส่งไปตามอารมณ์เดิม

ภวังคจลนะ เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ว่าเมื่อถึงภวังค์แล้ว เที่ยวหรือซ่านอยู่ในอารมณ์ของภวังค์นั้น ไม่ส่งออกไปนอกจากอารมณ์ของภวังค์นั้น ปฏิภาคนิมิตและนิมิตต่างๆ ความรู้ความเห็นทั้งหลายมีแสงสว่างเป็นต้น เกิดในภวังค์นี้ชัดมาก จิตเที่ยวอยู่ในอารมณ์นี้

ภวังคุปัจเฉทะ เมื่อจิตตกลงสู่ภวังค์แล้วขาดจากอารมณ์ภายนอกทั้งหมด แม้แต่อารมณ์ภายในของภวังค์ที่เป็นอยู่นั้น ถ้าเป็นทีแรกหรือยังไม่ชำนาญในภวังค์นั้นแล้วก็จะไม่รู้ตัวเลย เมื่อเป็นบ่อยหรือชำนาญในลักษณะของภวังค์นี้แล้วจะมีอาการให้มีสติรู้อยู่ แต่ขาดจากอารมณ์ใดๆ ทั้งหมด ภวังค์นี้จัดเป็นอัปปนาสมาธิได้ ฉะนั้นอัปปนานี้บางท่านเรียกว่าอัปปนาฌาน บางทีท่านเรียกว่า อัปปนาสมาธิ มีลักษณะผิดแปลกกันนิดหน่อยดังอธิบายมาแล้วนั้น เมื่อถอนออกจากอัปปนาสมาธิแล้ว มาอยู่ในอุปจารสมาธิ ไม่ได้เป็นภวังคจลนะ ในตอนนี้พิจารณาวิปัสสนาได้ ถ้าเป็นภวังคจลนะแล้วมีความรู้แลนิมิตเฉยๆ เรียกว่า อภิญญา ภวังค์ทั้งสามดังแสดงมานี้เป็นเครื่องหมายของฌาน


ความแปลกต่างของฌาน ภวังค์ สมาธิ จะได้แสดงตอนอรูปฌานต่อไป

รูปฌาน มี ๔ คือ ปฐมฌาน ๑ ทุติยฌาน ๑ ตติยฌาน ๑ จตุตฺถฌาน ๑

ปฐมฌาน นั้นประกอบด้วยองค์ ๕ คือ มีวิตก ยกเอาพระกรรมฐานบทใดบทหนึ่งขึ้นมาเพ่งพิจารณาให้เป็นอารมณ์ ๑ วิจารเพ่งคือพิจารณาเฉพาะอยู่แต่พระกรรมฐานนั้นอย่างเดียว ๑ เห็นชัดในพระกรรมฐานนั้นแล้วเกิดปีติ ๑ ปีติเกิดแล้วมีความเบากายโล่งใจเป็นสุข ๑ แล้วจิตนั้นก็แน่วอยู่ในเอกัคคตา ๑ เรียกว่าปฐมฌานมีองค์ ๕

ทุติยฌาน มีองค์ ๓ ด้วยอำนาจเอกัคคตา จิตนั้นยังไม่ถอนกิจ ซึ่งจะยกเอาพระกรรมฐานมาพิจารณาอีกย่อมไม่มี ฉะนั้นฌานชั้นนี้จึงคงยังปรากฏเหลืออยู่แต่ปีติ สุข เอกัคคตาเท่านั้น

ตติยฌาน มีองค์ ๒ ด้วยอำนาจเอกัคคตา จิตติดอยู่ในอารมณ์ของตนมาก เพ่งเอาแต่ความสุขอย่างเดียว จึงยังคงเหลืออยู่เพียง ๒ คือ สุขกับเอกัคคตา

จตุตฺถฌาน มีองค์ ๒ เหมือนกัน คือ เอกัคคตาที่เพ่งเอาแต่ความสุขนั้นเป็นของละเอียด จนสุขนั้นไม่ปรากฏ เพราะสุขนั้นยังเป็นของหยาบกว่าเอกัคคตา จึงวางสุขอันนั้นเสีย แล้วยังคงมีอยู่แต่เอกัคคตากับอุเบกขา

ฌานทั้งสี่นี้ละนิวรณ์ ๕ (คือสงบไป) ได้แล้วตั้งแต่ปฐมฌาน ส่วนฌานนอกนั้นกิจซึ่งจะต้องละอีกย่อมไม่มี ด้วยอำนาจการเพ่งเอาแต่จิตอย่างเดียวเป็นอารมณ์หนึ่ง จึงละองค์ของปฐมฌานทั้งสี่นั้นเป็นลำดับไป แล้วยังเหลืออยู่แต่ตัวฌานตัวเดียว คือ เอกัคคตา ส่วนอุเบกขา เป็นผลของฌานที่ ๔ นั้นเอง แต่ปฐมฌานปรารภพระกรรมฐานภายนอกมาเป็นเหตุจำเป็น จึงต้องมีหน้าที่พิเศษมากกว่าฌานทั้ง ๓ เบื้องปลายนั้น ฌานทั้ง ๔ นี้ปรารภรูปเป็นเหตุ คือ ยกเอารูปพระกรรมฐานขึ้นมาเพ่งพิจารณา แล้วจิตจึงเข้าถึงซึ่งองค์ฌาน ฉะนั้นจึงเรียกว่า รูปฌาน

อรูปฌาน ๔ อรูปฌานนี้ ในพระสูตรต่างๆ โดยส่วนมากท่านไม่ค่อยจะแสดงไว้ เช่น ในโอวาทปาฏิโมกข์ เป็นต้น พระองค์ทรงแสดงแต่รูปฌาน ๔ เท่านั้น ถึงพระองค์ทรงแสดงอานิสงส์ของการเจริญกายคตากรรมฐานไว้ว่ามีอานิสงส์ ๑๐ ข้อ ๑๐ ความว่า ได้ฌานโดยไม่ลำบาก ดังนี้ แต่เมื่อกล่าวถึงวิหารธรรมของท่านผู้ที่เข้าสมาบัติแล้ว ท่านแสดงอรูปฌานไว้ด้วย สมาบัติ ๘ ฌานทั้ง ๘ นี้ บางทีท่านเรียกว่า วิโมกข์ ๘ บ้าง แต่ท่านแสดงลักษณะผิดแปลกออกไปจากฌาน ๘ นี้บ้างเล็กน้อย อรรถรสแลอารมณ์ของวิโมกข์ ๓ เบื้องต้น ก็อันเดียวกันกับรูปฌาน ๓ นั่นเอง เช่น วิโมกข์ข้อที่ ๑ ว่า ผู้มีรูปเป็นอารมณ์แล้วเห็นรูปทั้งหลายดังนี้เป็นต้น แต่รูปฌานแสดงแต่เพียง ๓ รูปฌานที่ ๔ เลยแสดงเป็นรูปวิโมกข์เสีย อรูปวิโมกข์ที่ ๔ เอาสัญญาเวทยิตนิโรธมาเข้าใส่ฌานทั้ง ๘ รวมทั้งสัญญาเวทยิตนิโรธเข้าด้วยเป็น ๙

ฌานทั้งหมดนี้เป็นโลกีย์โดยแท้ แต่เมื่อท่านผู้เข้าฌานเป็นอริยบุคคล ฌานนั้นก็เป็นโลกุตตระไปตาม เปรียบเหมือนกับฉลองพระบาทของพระราชา เมื่อคนสามัญรับมาใช้แล้วก็เรียกว่ารองเท้าธรรมดา ฉะนั้น ข้อนี้จะเห็นได้ชัดทีเดียวดังในเรื่องวิโมกข์ ๘ นี้ พระองค์ทรงแสดงแก่พระอานนท์ว่า อานนท์ ภิกษุจะฆ่าวิโมกข์ ๘ นี้ได้ด้วยอาวุธ ๕ ประการ คือ เข้าวิโมกข์ได้โดยอนุโลมบ้าง ทั้งอนุโลมแลปฏิโลมบ้าง เข้าออกได้ในที่ตนประสงค์ เข้าออกได้ซึ่งวิโมกข์ที่ตนประสงค์ เข้าออกได้นานตามที่ตนประสงค์ จึงจะสำเร็จ เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ดังนี้

ฉะนั้น ต่อไปนี้จะนำเอาอรูปฌาน ๔ มาแสดงไว้ในที่นี้ด้วย เพื่อผู้ที่สนใจจะได้นำไปวิจารณ์ในโอกาสอันสมควร ผู้ได้รูปฌานที่ ๔ แล้วจิตตกลงเข้าถึงอัปปนาเต็มที่แล้ว ฌานนี้ท่านแสดงว่าเป็นบาทของอภิญญา คือเมื่อต้องการอยากจะรู้จะเห็นอะไรต่ออะไร แล้วน้อมจิตนั้นไปเพื่อความรู้ในสิ่งนั้นๆ (คือถอนจิตออกมาจากอัปปนามาหยุดในอุปจาระ) แล้วสิ่งที่ตนต้องการรู้นั้นก็จะปรากฏชัดขึ้นมาในที่นั้นเอง เมื่อไม่ทำเช่นนั้น จะเดินอรูปฌานต่อ ก็มาเพ่งเอาองค์ของรูปฌานที่ ๔ คือเอกัคคตากับอุเบกขามาเป็นอารมณ์ จนจิตนั้นนิ่งแน่วแน่แล้วไม่มีอะไร ไม่ใส่ใจในเอกัคคตาแลอุเบกขาแล้ว คงยังเหลือแต่ความว่างโล่งเป็นอากาศอยู่เฉยๆ

อรูปฌานที่ ๑ จึงได้ยัดเอามาเป็นอารมณ์ เรียกว่า อากาสานัญจายตนะ

อรูปฌานที่ ๒ ด้วยอำนาจจิตเชื่อน้อมไปในฌานกล้าหาญ ย่อมเห็นอาการของผู้รู้ว่าจิตไปยึดอากาศ อากาศเป็นของภายนอก วิญญาณนี้เป็นผู้ไปยึดถือเอาอากาศมาเป็นอารมณ์ แล้วมาชมว่าเป็นตนเป็นตัว วิญญาณนี้เป็นที่รับเอาอารมณ์มาจากอายตนะภายนอก วิญญาณจึงได้กลับกลอกแลหลอกลวง เวลานี้วิญญาณล่วงพ้นเสียได้แล้วจากอายตนะทั้งหลาย วิญญาณไม่มีอะไรเป็นเครื่องหมาย บริสุทธิ์เต็มที่ แล้วก็ยินดีในวิญญาณนั้น ถือเอาวิญญาณมาเป็นอารมณ์ข่มนิวรณธรรม อยู่ด้วยความบริสุทธิ์อันนั้น ดังนี้ เรียกว่าวิญญาณัญจายตนะ เป็นอรูปฌานที่ ๒

อรูปฌานที่ ๓ วิญญาณเป็นอรูปจิต เมื่อติดอยู่กับวิญญาณแล้ว นิมิตอันเป็นของภายนอกซึ่งจะส่งเข้าไปทางอายตนะทั้ง ๕ มันก็ไม่รับ เพ่งเอาแต่ความละเอียดแลความบริสุทธ์อันเป็นธรรมารมณ์ภายในอย่างเดียว จิตเพ่งผู้รู้ดูผู้ละเอียดก็ยิ่งเห็นแต่ความละเอียด ด้วยความน้อมจิตเข้าไปหาความละเอียดจิตก็ยิ่งละเอียดเข้าไปทุกที เกือบจะไม่มีอะไรเลยก็ว่าได้ ในที่นั้นถือว่าน้อยนิดเดียวก็ไม่มี (คืออารมณ์หยาบไม่มี) เรียกว่า อากิญจัญญายตนะ เป็นอรูปฌานที่ ๓


อรูปฌานที่ ๔ ด้วยอำนาจการเพ่งว่าน้อยหนึ่งในที่นี้ก็ไม่มีดังนี้อยู่ เมื่อจิตน้อมไปในความละเอียดอยู่อย่างนั้น ความสำคัญนั่นนี่อะไรต่ออะไรย่อมไม่มี แต่ว่าผู้ที่น้อมไปหาความละเอียดแลผู้รู้ว่าถึงความละเอียดนั้นยังมีอยู่ เป็นแต่ผู้รู้ไม่คำนึงถึง คำนึงเอาแต่ความละเอียดเป็นอารมณ์ ฉะนั้น ในที่นั้นจะเรียกว่าสัญญาความจำอารมณ์อันหยาบก็ไม่ใช่ เพราะไม่มีเสียแล้ว จะเรียกว่าไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ แต่ความจำว่าเป็นของละเอียดยังมีปรากฏอยู่ ฌานชั้นนี้ท่านจึงเรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นอรูปฌานที่ ๔
เมื่อแสดงมาถึงอรูปฌานที่ ๔ นี้ ท่านผู้อ่านทั้งหลายสมควรจะได้อ่านฌานวิเศษ คือ สัญญาเวทยิตนิโรธต่อไปอีกด้วย เพราะเป็นฌานแถวเดียวกัน แลเป็นที่สุดของฌานทั้งหลายเหล่านี้ คือผู้เข้าอรูปฌานที่ ๔ ชำนาญแล้ว เมื่อท่านจะเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ก็มายึดเอาอรูปฌานที่ ๔ นี้เองมาเป็นอารมณ์ ด้วยการไม่ยึดเอาความหมายอะไรมาเป็นนิมิตอารมณ์เสียก่อนเมื่อจะเข้า ตามนัยของนางธัมมทินนาเถรี ตอบปัญหานางวิสาขอุบาสก ดังนี้ ไม่ได้คิดว่าเราจักเข้า หรือเข้าอยู่ หรือเข้าแล้ว เป็นแต่น้อมจิตไปเพื่อจะเข้า ก็ได้อบรมจิตไว้อย่างนั้นแล้วก่อนแต่จะเข้า เมื่อเข้านั้นวจีสังขารคือความวิตกดับไปก่อน แล้วกายสังขารคือลมหายใจ แลจิตสังขารคือเวทนา จึงดับต่อภายหลัง

ส่วนการออกก็ไม่ได้คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เป็นแต่ได้กำหนดจิตไว้แล้วก่อนแต่จะเข้าเท่านั้น ว่าเราจะเข้าเท่านั้นวันแล้วจะออก เมื่อออกนั้นจิตสังขารเกิดก่อน แล้วกายสังขาร-วจีสังขารจึงเกิดตามๆ กันมา เมื่อออกมาทีแรก ผัสสะ ๓ คือ สุญญตผัสสะ ๑ อนิมิตตผัสสะ ๑ อัปปณิหิตผัสสะ ๑ ถูกต้องแล้ว ต่อนั้นไปจิตนั้นก็น้อมไปในวิเวกดังนี้




คัดลอกจากคู่มือส่องทางสมถวิปัสสนา ขอขอบคุณครับ

86
เรื่อง เล่าว่า.... มีคน ๒ คนเป็นเพื่อนซี้กัน..มากกกกกกกกกกกกกก..
ต่าง ร่วมเดินทางไปในทะเลทรายด้วยกัน...
ระหว่างทาง... เกิดโต้เถียงขัดแย้ง ไม่เข้าใจกัน
เพื่อนคนหนึ่ง ...พลั้งลงมือ...ตบหน้าอีกฝ่าย
คนถูกทำร้าย...

เจ็บ ปวด... แต่ไม่เอ่ยวาจา... กลับเขียนลงบนผืนทรายว่า
"วันนี้ ...ฉันถูกเพื่อนรักตบหน้า"
พวกเขายังคงเดินทางต่อ...

กระทั่ง ถึงแหล่งน้ำ
พวกเขาตัดสินใจอาบน้ำ...ชำระกาย...
พลันคน ที่ถูกตบหน้ากลับจมน้ำ...
เพื่อนอีกคนไม่รั้งรอ...เข้า ช่วยชีวิต
คนรอดตาย...ยังคงไม่เอ่ยวาจา...กลับสลักลง ไปบนหินใหญ่...
"วันนี้...เพื่อนรักช่วยชีวิตฉันไว้"

อีก คนไม่เข้าใจ...ถามว่า...
"เมื่อถูกฉันตบหน้า...เธอ เขียนลงทราย...แล้วทำไมเมื่อครู่...ต้องสลักบนหิน"

อีก คนยิ้มพราย... กล่าวตอบ


    "เมื่อถูก เพื่อนรักทำร้าย...เราควรเขียนมันไว้บนทราย
    ซึ่งสายลมแห่ง การให้อภัย...จะทำหน้าที่พัดผ่าน...ลบล้างไม่เหลือ
    แต่ เมื่อมีสิ่งที่ดีมากมาย... บังเกิด
    เราควรสลักไว้ บนก้อนหินแห่งความทรงจำในหัวใจ...
    ซึ่งจะไม่มีสาย ลมแรงเพียงใด... ลบล้างทำลาย...."






อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆ เลยนำมาฝากกันครับ

ขอบคุณที่มาจาก บุญญสิกขา เว็บพลังจิต ขอขอบคุณครับ 

87








หลวงปู่เพิ่ม วัดป้อมแก้ว อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา พระเกจิอาจารย์ผู้เพียบพร้อมด้วยจริวัตรอันงดงาม และปฏิปทาอันน่าเคารพศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในทางพุทธาคมสูง ได้เมตตาอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้พระมหาวรากร ฐิตญาโณ และคณะศิษย์วัดบรรลือธรรม จัดสร้างเหรียญรูปเหมือนพิมพ์กลม ขนาดเท่ากับเหรียญสตางค์สิบ หรือที่เรียกว่า "เหรียญสตางค์" ขอบสตางค์ เพื่อหาปัจจัยในการก่อสร้างหมู่กุฏิสงฆ์วัดบรรลือธรรม ที่สร้างค้างคาอยู่ให้แล้วเสร็จต่อไป

ในการจัดสร้างเหรียญ สตางค์ครั้งนี้ หลวงปู่เพิ่มได้เมตตาเจิมบล็อกพระ (แม่พิมพ์) เป็นปฐมฤกษ์ พร้อมทั้งปลุกเสกประจุพลังพุทธคุณให้อย่างเต็มที่ พร้อมกับวัตถุมงคล พระขุนแผน พระนางพญา และเสือ ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นแรกของท่านด้วย

 สำหรับเหรียญสตางค์ หลวงปู่เพิ่ม วัดป้อมแก้ว นั้น เซียนพระสายอยุธยา สายนครปฐม และส่วนกลาง รวมทั้งนักนิยมพระใหม่ พระเก่า จากหลายสำนัก ต่างเสาะแสวงหากันอย่างกว้างขวาง เพราะรูปแบบของเหรียญ ช่างแกะแม่พิมพ์ออกแบบเหรียญได้สวยงามมาก เรียบง่ายแต่สูงค่าด้านพุทธศิลป์เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเหรียญที่มีรูปเหมือนหลวงปู่เพิ่มมากที่สุด

 ที่สำคัญ เป็นเหรียญที่มีชื่อสื่อความหมายในทางสิริมงคลเป็นอย่างยิ่ง คือ เหรียญสตางค์ หลวงปู่เพิ่ม = สตางค์เพิ่ม หรือ เพิ่มสตางค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา

 เช่นเดียวกับ เหรียญสตางค์ หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม ที่ได้รับความนิยมสูง จนถึงกับมีการเช่าหากันที่หลักหมื่นปลายๆ ไปจนหลักแสนต้นๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา

 วงการนักสะสมเหรียญพระเกจิอาจารย์ จึงคาดกันว่า ในปีนี้ เหรียญสตางค์ หลวงปู่เพิ่ม วัดป้อมแก้ว น่าจะเป็นเหรียญดังยอดนิยมอีกเหรียญหนึ่ง เนื่องเพราะชื่อของท่านเหมือนกัน อีกทั้งพุทธาคมของหลวงปู่เพิ่ม วัดป้อมแก้ว ก็มีอยู่อย่างสมบูรณ์ในทุกด้านเช่นกัน

เหรียญรุ่นนี้สร้างด้วยเนื้อเงิน เนื้อนวโลหะ และเนื้อทองเหลือง มีทั้งพิมพ์หลังเรียบ และพิมพ์หลังยันต์ ทุกเหรียญตอกโค้ด และมีหมายเลขกำกับ (เนื้อทองเหลืองตอกเฉพาะโค้ด)

 ในส่วนของ พระขุนแผน และ พระนางพญา รุ่นแรก สร้างด้วยเนื้อชานหมาก เนื้อผงรังต่อ  และเนื้อผงธูป บรรจุตะกรุด ๓ ดอก ๒ ดอก ๑ ดอก ทุกองค์กดโค้ดเป็นสำคัญ

 พระขุนแผน และพระนางพญา ทั้ง ๓ เนื้อนี้ ถือเป็นพระเนื้อผงที่เป็นเอกลักษณ์แห่งยอดขุนพล และพระนางพญาเมืองกรุงเก่า สืบเนื่องมาจากหลวงปู่ทิม วัดพระขาว หลวงปู่เอียด วัดไผ่ล้อม ซึ่งล้วนแล้วแต่ได้รับความนิยมอย่างสูง โดยหลวงปู่เพิ่ม วัดป้อมแก้ว ได้เมตตาปลุกเสก พระขุนแผน เพื่อมอบให้สำหรับชายชาตรี และพระนางพญา เพื่อมอบให้สุภาพสตรี และเด็ก เพื่อเป็นสิ่งมงคลคุ้มครองให้เกิดโชคดี มีลาภ และแคล้วคลาดปลอดภัยตลอดไป

 ขณะเดียวกัน เสือ รุ่นแรก หลวงปู่เพิ่ม เป็นการสร้างแบบ ปั๊ม ด้วยเนื้อนวโลหะแก่เงิน (ตอก ๒ โค้ด) และเนื้อทองแดง (ตอกโค้ด) โดยนำรูปแบบมาจาก เสือหลวงพ่อวงศ์ วัดปริวาส ซึ่งเป็นเสือปั๊มโลหะที่มีราคาเช่าหาแพงที่สุดในยุคปัจจุบัน เป็นการปั๊มแบบตันทั้งตัวไม่เจาะรู เพื่อให้เป็นเอกลักษณ์เสือปั๊มของหลวงปู่เพิ่ม วัดป้อมแก้ว เป็นงานปั๊มโลหะแบบโบราณ ที่ดูแล้วเข้มขลังดี
ศรัทธาสนใจร่วมทำบุญได้ ที่วัดป้อมแก้ว อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา วัดบรรลือธรรม อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา พระครูสุวรรณ์ธรรมรังสี วัดเสนาสนาราม (หอไตร) ต.หัวรอ  อ.เมือง จ.พระนครศรีอยุธยา ๑๓๐๐๐


ที่มา ข่าวสด โดย บุญนำพา  ขอขอบคุณครับ


88



เมื่อกล่าวถึงพระปิด ตา หลายๆ คนคงนึกถึงพระขนาดเล็กๆ มีลักษณะเด่น คือ พระอ้วนลงพุง พระกรหรือมือปิดส่วนต่างๆ เช่น ใบหน้า หู สะดือ และทวาร ซึ่งพระเกจิอาจารย์ต่างๆ ทุกยุคทุกสมัยต่างนิยมสร้างขึ้นจากคำเล่าขานต่างๆ ในอดีต หรือความเชื่อในเรื่องคงกระพันมหาอุตม์ เมตตาค้าขาย เสริมสิริมงคลแก่ผู้บูชา

 จากหลักฐานและข้อมูลที่ มีการศึกษาในศาสนาพุทธ จากทั่วโลกที่มีการบันทึกของพระพุทธเจ้า เช่น ใบลาน เป็นต้น ต่างมีข้อมูลถึงที่มาเดียวกันว่า “พระภควัมบดี” หรือ "พระภควัมปติ" อันเป็นอีกนามหนึ่งของพระสังกัจจายน์ เป็นอัครสาวกพระองค์หนึ่งของพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง ว่าแล้วขอกล่าวถึงตำนานแห่งพระภควัมบดี หรือพระภควัมปติ ถึงความเป็นมา

 พระภควัมบดี เป็นพระอรหันต์สมัยพุทธกาล มีพุทธลักษณะงดงามละม้ายคล้ายสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอัครสาวกรูปหนึ่งที่เพียบพร้อมไปด้วยความเฉลียวฉลาด สามารถอธิบายธรรมได้เยี่ยมยอดกว่าพระสาวกองค์อื่นๆ




  พระภควัมบดี ถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์-ปุโรหิต แห่งเมืองอุเชนี เนื่องจากมีวรรณะงดงามดังทอง จึงได้รับการขนานนามว่า “กาญจน” ได้ศึกษาไตรเทพจนเจนจบ และเป็นพราหมณ์ปุโรหิตแทนบิดาในสมัยพระเจ้าจันทร์ปัตโชติ

 ต่อมาได้มีโอกาสได้ฟังธรรมในสำนักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใสและศึกษาธรรมจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ และอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุสัมปทา (พระพุทธเจ้าทำการบวชให้)

 พระภควัมบดีท่านมีความเป็นเลิศทางการย่อพระธรรมคัมภีร์ให้สั้นลง และอธิบายความหมายให้ผู้ฟังเข้าใจได้อย่างละเอียดแจ่มแจ้ง

 นอกจากนี้ ท่านยังมีรูปร่างและผิวกายงดงามมาก จนได้ชื่อว่า "พระภควัมปติ" อันมีความหมายว่า "ผู้มีความงามละม้ายเหมือนพระผู้มีพระภาคเจ้า"

 ด้วยเหตุที่ทำให้ผู้คนเข้าใจผิดอยู่เนืองๆ ไม่เว้นแม้เทวดายังสรรเสริญ ท่านเห็นว่า หากปล่อยไว้ต่อไปจะเป็นการไม่สมควร หรือเกิดความมัวหมองต่อองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้น พระภควัมบดีจึงอธิษฐานจิต ให้ร่างกลายเปลี่ยนเป็นอ้วน เตี้ย พุงพลุ้ย ดูน่าเกลียด จวบจนนิพพาน อันมีความหมายที่กล่าวถึง พระสังกัจจายน์ อันเป็นที่รักใคร่นิยมยินดี เต็มไปด้วยลาภสักการะสรรเสริญ

 จนเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าท่านทรงออกเดินทางเพื่อแสดงธรรม ซึ่งในครั้งนั้นมีพระสาวกเป็นจำนวนมากที่พร้อมเดินทางพร้อมกับพระพุทธองค์ ด้วยสถานที่จุดหมายที่จะเดินทางไกลนั้นใช้เวลาหลายพรรษา และประกอบกับต้องผ่านในสถานที่อันตรายต่างๆ

 จนเมื่อถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีความแห้งแล้งทุรกันดาร มีบรรดาภูตผีและวิญญาณที่มองไม่เห็นอยู่มากมาย ถึงขนาดเหล่าเทพเทวดาไม่อาจผ่านบริเวณที่แห่งนั้นได้





 ครั้งนั้น พระพุทธองค์ได้เรียกประชุมบรรดาพระสาวกที่ตามเสด็จในครั้งนั้น เพื่อหาทางออกของการเดินทางในครั้งนี้ ซึ่งการประชุมถูกแบ่งออกเป็น ๒ ทางเลือก คือ ๑.ใช้การเดินทางอ้อม ซึ่งจะทำให้ใช้ระยะเวลาหลายเดือน และเกิดความล่าช้ากว่ากำหนด

 ๒.เดินทางต่อโดยใช้เส้นทางเดิม ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีอันตรายตลอดการเดินทาง และมีปัญหาในการดำรงชีวิต

 แต่ในการประชุมครั้งนั้น ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ จนกระทั่งพระพุทธองค์ได้กล่าวสอบถามในการเดินทางครั้งนั้นว่า
 “พระ ภควัมบดี ได้ติดตามมาในขบวนนี้ด้วยหรือไม่”

 บรรดาเหล่าพระสาวกจึงตอบกลับไปว่า ในการเดินทางครั้งนี้ พระภควัมบดี ได้เดินทางมาด้วย  เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบ ก็ทรงพอพระทัยยิ่งนัก และได้ตอบกลับแก่บรรดาพระสาวกที่ติดตามว่า  เราจะเดินทางต่อไป และใช้เส้นทางเดิม ในการเสด็จครั้งนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี

 ต่อมา เมื่อพระภควัมบดี ได้ทราบถึงเหตุการณ์ของพระพุทธองค์ในการประชุมในครั้งนั้น ท่านได้คิดถึงเหตุผลต่างๆ ว่าเพราะอะไร พระพุทธองค์ถึงถามพระภควัมบดี แล้วมีความเกี่ยวข้องถึงการเดินทางได้อย่างไร

 พระภควัมบดีได้นั่งสมาธิทางใน โดยใช้มือทั้งสองปิดตา เพื่อหาสาเหตุ จนกระทั่งพบว่า ในอดีตชาติ ท่านได้เกิดเป็นชายผู้หนึ่ง ที่มีความรู้แตกฉานในการรักษาโรคต่างๆ และเป็นผู้เสียสละในการรักษาผู้ป่วย ไม่ยึดติดเงินทอง ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้ชาตินี้มีแต่ผู้รักใคร่ มีปัญญาที่เฉียบแหลม และมีผู้ที่คอยปกปักรักษาคุ้มครองอย่างต่อเนื่อง

 ด้วยสาเหตุที่พระภควัมบดีได้นั่งสมาธิทางใน จึงเป็นที่มาของ "ปางเข้านิโรธสมาบัติ" หรือ "พระปิดตา" ที่เห็นในปัจจุบัน  โบราณจารย์จึงได้จำลองลักษณะแห่งพระภควัมบดีในรูปพระเครื่องศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นเอกลักษณ์ไว้ ๓ ประเภท เพื่อแสดงความหมายถึงพระภควัมปติ อันเป็นผู้มีความละม้ายเหมือนพระผู้มีพระภาคเจ้านั่นเอง
 
  -พระสังกัจจายน์ อันเป็นที่รักใคร่นิยมยินดี เต็มไปด้วยลาภสักการะสรรเสริญ

     -พระปิดทวารทั้ง ๙ อันเป็นการปิดกั้นอาสวะกิเลสแห่งทวารเข้าออกทั้ง ๙ ของร่างกาย

     -พระปิดตามหาอุตม์ อันเป็นการป้องกันสรรพภยันตรายทั้งหลายทั้งปวง

 จากที่กล่าวมาในข้างต้น พระปิดตาเข้าใจกันว่า มาจากคติการสร้างพระเครื่องของเขมร เผยแพร่เข้าสู่การสร้างพระเครื่องไทย เท่าที่ค้นพบ มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา

 ส่วนพระสังกัจจายน์นั้น มีพบเห็นได้ชัดเจนในหลายๆ ประเทศ กล่าวถึงความนิยมพระปิดตาในเมืองไทย ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางว่า พระเกจิอาจารย์ผู้สร้างพระปิดตาที่ได้รับความนิยมได้แก่ หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ซึ่งถือว่าหายากมากๆ หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง เป็นหนึ่งในเรื่องประสบการณ์ หลวงปู่จีน วัดท่าลาด พุทธคุณไม่เป็นสองรองใคร หลวงปู่ไข่ วัดชิงเลน พระปิดตาในตำนานที่หายากเช่นกัน

 หลวงปู่จันทน์ วัดโมลี หรือพระปิดตาแร่บางไผ่ หลายท่านคงทราบดี หลวงพ่อทับ วัดทอง  เนื้อหามวลสารที่ไม่มีใครเหมือน มากด้วยประสบการณ์อันยาวนาน หลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ ถึงตอนนี้หาดูแทบไม่มีให้เห็นเช่นกัน

 หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ท่านสร้างพระปิดตาไว้หลายรุ่น ต่างมีประสบการณ์ทุกรุ่น คล้องพระปิดตารุ่นปลดหนี้ ต่างก็ใช้หนี้สินจนหมด หรือจะเป็นรุ่นเงินล้านของท่าน ในระยะเวลาไม่นานก็ต้องมีเงินล้านในกระเป๋า

 ถึงปัจจุบัน มีพระเกจิอาจารย์หลายท่านที่สร้างพระปิดตาขึ้นมาใหม่ ต่างก็ทำขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงพระสาวก ผู้เป็นตัวแทนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง










ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก ข่าวสด โดยป๋อง สุพรรณ ขอขอบคุณครับ


89



"วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม" เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราช วรวิหาร ที่มีความสวยงามเลื่องชื่อเป็นอันดับต้นของเมืองไทย จนเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลกว่า "The Marble Temple"

ด้วยความงดงามของพระอุโบสถ พระระเบียง ประดับด้วยหินอ่อนที่ดีที่สุดจากประเทศอิตาลี รังสรรค์ให้วัดเบญจมบพิตรฯ กลายเป็นอารามที่มีความวิจิตรงดงาม ด้วยศิลปะสถาปัตย กรรมไทยโบราณ มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศให้ความสนใจเข้าเยี่ยมชมจำนวนมาก ทุกวัน

วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ตั้งอยู่เลขที่ 69 ถ.พระราม 5 แขวงจิตรลดา เขตดุสิต กรุงเทพฯ มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 10,566 ตารางวา 14 ตารางศอก

เดิมวัดแห่งนี้เป็นวัดโบราณ มีชื่อว่า "วัดแหลม" หรือ "วัดไทรทอง" ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างในสมัยใด

ในสมัยรัชกาลที่ 4 ปรากฏความในพระราชพงศาวดารว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามวัดแห่งนี้ใหม่ว่า "วัดเบญจบพิตร" อันมีความหมายว่าเป็นวัดของเจ้านาย 5 พระองค์ หรือวัดที่เจ้านาย 5 พระองค์ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้น

ครั้นต่อมา รัชกาลที่ 5 ทรงสร้างพระราชวังสวนดุสิต ได้ทรงใช้พื้นที่วัด 2 แห่ง เป็นที่สร้างพลับพลาและตัดถนน ซึ่งตามประเพณีจะต้องสร้างวัดขึ้นทดแทน

แต่พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่าการสร้างวัดใหม่หลายแห่ง ยากต่อการบำรุงรักษา แต่ถ้าทำวัดใหญ่เพียงแห่งเดียว ด้วย ฝีมือประเพณีนั้นจะดีกว่า จึงทรงเลือกสถาปนาวัดเบญจบพิตรและโปรดเกล้าฯ ให้ "สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์" ออกแบบ

โปรดให้แก้ชื่อเป็น "วัดเบญจม- บพิตร" แปลว่า "วัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 5"

อาณาเขตที่ดินตั้งวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ตั้งอยู่ใจกลางสถานที่สำคัญมาก มาย อาทิ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ทำเนียบรัฐบาล พระบรมราชานุสาวรีย์ ร.5 ราชตฤณมัยสมาคมฯ เป็นต้น

สำหรับการเดินทางไปเยี่ยมชมวัดเบญจมบพิตรฯ เมื่อเดินเข้ามาภายในวัดเบญจมบพิตรฯ สิ่งแรกที่ได้สัมผัส คือ ความร่มรื่นสะอาดสวยงาม สิ่งที่เราจะพบเห็นต่อมา คือ มีพุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยว กำลังถ่ายภาพคู่กับพระอุโบสถหินอ่อนที่มีความงดงามน่าชม พร้อมไปกับการฟังบรรยายเรื่องราวของวัดจากไกด์นำเที่ยว

ด้วยศิลปะสถาปัตยกรรมไทยโบราณ และวางแบบแปลนแผนผังแยกสัดส่วนเป็นเขตพุทธาวาสสังฆาวาส และที่ธรณีสงฆ์ สำหรับผู้อุปัฏฐากภิกษุสามเณรอยู่อาศัย ในเขตพุทธาวาสและสังฆาวาส มีสนามหญ้าและปลูกต้นไม้ให้ร่มรื่น

กุฏิที่อยู่ของภิกษุสามเณรเป็นระเบียบ ปลอดโปร่ง ถือว่าเป็นวัดที่มีการวางแปลนแผนผังที่ดีที่สุดวัดหนึ่ง

จุดแรกที่ขอแนะนำให้เดินเข้าไปชม คือพระอุโบสถ ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่สมบูรณ์แบบของศิลปะไทย สร้างด้วยหินอ่อนจากประเทศอิตาลี เป็นทรงจัตุรมุข หลังคาซ้อน 4 ชั้น ประดิษฐานพระพุทธชินราชจำลอง เป็นพระประธานในพระอุโบสถ ใต้รัตนบัลลังก์บรรจุพระสรีรางคารรัชกาลที่ 5

เดินออกมาผ่านพระระเบียงรอบด้านหลัง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ จำนวน 52 องค์ ส่วนใหญ่เป็นพระพุทธรูปสำริด มีทั้งพระพุทธรูปโบราณ และหล่อขยายหรือย่อส่วนจากพระพุทธรูปโบราณจากต่างประเทศ อาทิ อินเดีย ญี่ปุ่น พม่า ลังกา เป็นต้น

แต่ที่สะดุดตาเป็นพิเศษ คือ "พระศากยสิงห์"

พระศากยสิงห์ เป็นพระพุทธปฏิมากร ปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร วัสดุสำริด ขนาดหน้าตักกว้าง 30 นิ้ว สูง 39 นิ้ว ศิลปะสมัยเชียงแสน กระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศเป็นพระพุทธรูปสำคัญ พ.ศ. 2520

มีพระพุทธลักษณะที่งดงาม ประดิษ ฐานเป็นองค์แรกที่พระระเบียงวัดเบญจม-บพิตรดุสิตวนาราม

เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงสร้างวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ครั้งนั้นทรงมีพระราชดำริให้สร้างพระระเบียงเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ฝีมือช่างยุคต่างๆ และได้โปรดให้สืบหาพระพุทธรูปโบราณตามหัวเมืองต่างๆ โดยมีหลักเกณฑ์ ดังนี้ ต้องมีความงดงามด้วยฝีมือช่าง พุทธลักษณะแตกต่างจากที่เคยปรากฏและมีขนาดไล่เลี่ยกับที่จัดแสดง

ดังนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จึงได้อัญเชิญพระศากยสิงห์ หรือ สักยสิงห์ จากวิหารหลวงเมืองเชียงแสน ล่องแพตามลำน้ำโขงเข้ามาแม่น้ำกก ขึ้นบกที่เชียงราย แล้วหามเข้าภูเขามาลงที่เมืองพะเยา จึงอัญเชิญลงแม่น้ำยมออกแม่น้ำเจ้าพระยา ส่งลงมากรุงเทพฯ

หากมีโอกาสได้มาเยี่ยมเยือนเดินชมวัดแห่งนี้ ลองเข้าไปกราบไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล



ที่มา ข่าวสด คอลัมน์ เดินสายไหว้พระ หน้า32  ขอขอบคุณครับ

90




"หลวงปู่ จันทา เตชธัมโม" อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าชัยศรี ต.เม็กดำ อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม เป็นพระเกจิอาจารย์เรืองวิทยาคมรุ่นเก่าอีกรูปหนึ่ง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วภาคอีสานเมื่อกว่าร้อยปีที่ผ่านมา

เป็น พระที่มีเมตตาธรรมสูงวิทยาคมแก่กล้าสืบทอดปฏิปทาอันงดงามและไสยเวทสายเขมรมา จากพระครูสีหราช วัดบ้านแก่นท้าว เป็นบูรพาจารย์รุ่นเก่า ผู้มีชื่อเสียงขจรไกลมาตั้งแต่ช่วงต้นรัชกาลที่ 5

อัตโนประวัติหลวง ปู่จันทา เกิดในสกุลทรภีสิงห์ ในปี พ.ศ.2422 ณ บ้านเม็กดำ อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหา สารคาม โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายทองดำ-นางดา ทรภีสิงห์ ครอบครัวประกอบอาชีพทำไร่ทำนา

ช่วงวัยเด็ก เป็นผู้มีจิตใจเอนเอียงเข้าหาพระธรรมชมชอบไปช่วยกิจการต่างๆ ที่วัดในหมู่บ้านเป็นประจำ จนอายุครบบวช 20 ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบ้านแก่นท้าว โดยมีพระครูสีหราช วัดบ้านแก่นท้าว เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการน้อย วัดบ้านเหล่า เป็นพระกรรมวาจาจารย์

หลังอุปสมบทแล้ว ได้จำพรรษาศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย ณ สำนักเรียนวัดบ้านแก่นท้าว ได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์เรียนไสยเวทกับพระครูสีหราช ควบคู่กับการศึกษามูลกัจจายน์ บาลี อักษรขอม ไทยน้อย อักษรลาว ทำให้ ท่านมีความรู้ทางด้านอักขระโบราณอีกแขนงหนึ่ง

หลังจำพรรษาอยู่วัด บ้านแก่นท้าวได้ 7 พรรษา ได้กราบลาพระครูสีหราช ออกธุดงควัตรไปหลายแห่ง

หลัง หลวงปู่จันทา จำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านเม็กดำ ระยะหนึ่งท่านเห็นทำเลที่ดินริมหนองน้ำ ที่ตั้งวัดท่าชัยศรีในปัจจุบันสงบเงียบ เหมาะกับการปฏิบัติธรรม และเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับญาติโยมคุ้มน้อยบ้านเม็กดำ จะได้ไม่ต้องลำบากเดินทางไปทำบุญที่วัดเม็กดำ ซึ่งตั้งอยู่ที่คุ้มใหญ่ ระยะทางไกล จึงขอบริจาคที่ดินจากญาติโยมสร้างวัดขึ้นในปี พ.ศ.2456 ครั้งแรกตั้งชื่อวัดว่า วัดหัวหนอง เพราะตั้งอยู่ริมหนองน้ำต่อมาในปี พ.ศ.2467 ทางราชการได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดท่าชัยศรี และหลวงปู่ก็จำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้มาโดยตลอด

ด้านการ ปกครองคณะสงฆ์ หลวงปู่จันทา ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าชัยศรี เป็นพระอุปัชฌาย์ และในปี พ.ศ.2482 เป็นเจ้าคณะตำบลเม็กดำ

นอกจาก หลวงปู่จะเป็นพระเกจิแล้วยังได้ชื่อว่าเป็นพระนักพัฒนา นักการศึกษา เนื่องเพราะท่านทราบดีว่าพระภิกษุสามเณรที่มาบวชเรียนล้วนมาจากครอบครัวที่ ยากจน ท่านจึงเปิดสำนักเรียนปริยัติธรรมขึ้น นำปัจจัยที่ได้จากการบริจาคมาสนับสนุนการเรียนของพระภิกษุ สามเณร หากรูปใดเรียนเก่ง มุมานะตั้งใจศึกษาเล่าเรียนท่านจะมีทุนการศึกษาให้ทุกปี ยุคนั้นสำนักเรียนวัดท่าชัยศรี มีชื่อเสียงโด่งดังมากแต่ละปีมีพระภิกษุ สามเณร มาจำพรรษาอยู่นับร้อยรูป หลวงปู่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยมากหากพระเณรรูปใดไม่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจะ ไม่ให้อยู่วัดโดยเด็ดขาด

นอกจากนี้ หลวงปู่จันทา ยังได้นำปัจจัยส่วนหนึ่งไปพัฒนาสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับวัดแห่งนี้ไม่ ว่าจะเป็นศาลาการเปรียญ อุโบสถ เป็นต้น ทำให้วัดท่าชัยศรีแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว รวมทั้งพัฒนาบรรยากาศภายในบริเวณวัดมีแต่ความสงบวิเวกเหมาะสมสำหรับการ ปฏิบัติธรรม

ในช่วงบั้นปลายของชีวิตหลวงปู่อาพาธบ่อยครั้งด้วยโรค ชรา แต่ท่านไม่เคยปริปากให้ศิษยานุศิษย์รวมทั้งญาติโยมทราบเพราะท่านเห็นว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นเป็นเรื่องปกติของสรรพสัตว์ในโลก หลายครั้งที่ญาติโยมจะนำท่านส่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาลแต่ท่านก็ปฏิเสธ สุดท้ายถึงแก่มรณภาพอย่างสงบในปี พ.ศ. 2505 สิริอายุ 83 พรรษา 61

ณ วันนี้ถึงแม้หลวงปู่จะละสังขารไปนานเกือบห้าสิบปีแล้ว แต่คุณงามความดีของท่านยังคงปรากฏอยู่ในใจของชาวอีสานไปตลอดกาลนาน




ที่มา คอลัมน์ อริยะโลกที่ 6

เชิด ขันตี ณ พล
ขอบคุณครับ  :054:

91
เคล็ดลับฮวงจุ้ย 128 ข้อ


1. บ้านพักที่ใหญ่โตเกินไป แต่ในบ้านมีคนพักน้อย ไม่เป็นมงคลจะทำกินไม่ขึ้น ในครอบครัวจะดีมาก ทำให้อบอุ่น ทำกินร่ำรวย

2. บ้านที่มีหลังบ้านข้างบ้านมีตึกสูงกว่าดี แต่อย่าชิดเกินไป

3. บ้านสองบ้านที่เล็งกัน บ้านฝั่งที่ต่ำกว่านับว่าไม่เป็นมงคล, บ้านที่สร้างขวางทางยาว แต่กินที่แคบไม่ลึกไม่เป็นมงคล

4. บ้านใดที่ปลูกต้นไผ่ แล้วคนภายนอกมองไม่เห็นคนในบ้าน จะทำให้คนอยู่อาศัยจะพบความเจริญ

5. บ้าน ของลูก ๆ ไม่ควรสร้างในลานบ้านของพ่อแม่ ครอบครัวจะยากจนลง แต่ลูกคนโตไม่เป็นไร ให้หันประตู6. บ้าน ตามรหัสราศีปีเกิด หรือตามทิศของโป้ยข่วย คือ ทิศตะวันออก

7. บ้านที่มีตึกสูงอยู่ใกล้ แสดงถึงมีผู้มาให้ความช่วยเหลือคุ้มครองและอย่านำต้นไม้ที่เป็นรากมาประดับ โดยแขวน รากชี ฟ้าจะไม่เป็นมงคล

8. บ้านที่มีลานโล่งห้ามล้อมรั้วกลางลานโล่งจะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ เช่น โรคตา หัวใจ

9. บ้านที่อยู่รวมกัน ห้ามเอาหลังคาชนกันจะไม่เป็นมงคล บ้านชั้นเดียว ถ้าคับแคบให้ปลูกเพิ่มเติม ต้องแก้เคล็ด

10. บ้านควรปลูกเป็นรูปสี่เหลี่ยม ไม่ควรปลูกส่วนเกิด ส่วนขาด จะเป็นอัปมงคล เสียหาย

11. บ้านอย่า แขวงเครื่องประดับมากเกินไป โดยเฉพาะนอแรด เขากระทิง หัวสัตว์ที่ดุร้ายไม่ควรแขวนเลย เพราะ วิญญาณมักจะตามมาทวงและรบกวนเจ้าของบ้าน

12. บ้านเล็กอย่าสร้างประตูใหญ่จะเกิดปากเสียงทำกินไม่ขึ้น

13. บ้านไม่ควรเจาะหลังคา นะไม่เป็นมงคล ถ้ากลัวว่าทึบก็ให้ใช้กระเบื้องใสแทน

14. บ้านหลังเดียว ควรมีประตูหลังบ้านถึงจะเป็นมงคล

15. บ้าน ผู้ดีมีเงินมักสร้างศาลาพักผ่อนยื่นออกมา ตามหลักฮวงจุ้ยห้ามสร้างบ้านยื่น ขาด เว้า แหว่ง จะมีอันเป็นไป ต้อง ปลุกต้นไม้รับตัวบ้านและศาลาที่สร้างต้องรวมกันให้เป็นรูปสี่เหลี่ยม

16. บ้านที่มีกำแพงเก่าควรทาสีให้ใหม่เสมอ เวลากลางคืนควรติดไฟให้สว่างจะพบแต่ความเจริญ

17. บ้าน ที่มีที่ดินด้านหลังบ้านแคบหน้าบ้านกว้างไม่เป็นมงคลให้แก้เคล็ดโดย การติดกระจก บริเวณที่แคบทั้งสองด้าน เพื่อเวลามองแล้วจะรู้สึกกว้าง ลึก

18. บ้านที่มีหน้าบ้านแคบแต่หลังบ้านกว้างเป็นถุงเงินถุงทองดี บ้านที่ปลูกแล้วดูเป็นรูป W, L ไม่เป็นมงคล

19. บ้านที่มีกำแพงสูงมากเกินไป เช่นสูงเกิน 2 เมตร ไม่เป็นมงคล (เหมือนคุก)

20. บ้านที่สร้างแล้วมีความลึกมากกว่าความกว้างงอยู่แล้วจะเจริญรุ่งเรือง, บ้านที่สร้างตามความลึกเป็นมงคล

21. บ้านที่มีการปลูกหน้าบ้านยาวแต่แคบไม่เป็นมงคล , บ้านหรือที่ดินบ้านเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสเป็นมงคลยิ่ง

22. บ้านสร้างบ้านอยู่บนเนินเขา ไม่ดี, บ้านสูงต่ำ เล่นระดับ ไม่ดี, บ้านมีห้องใต้ดินอยู่กลางบ้าน ไม่ดี

23. บ้านที่แหว่งบางส่วน คนในบ้านจะมีอันเป็นไป เช่น ถ้าแหว่งทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ หมายถึงแม่หรือหญิงเจ้าของ บ้าน ถ้าทิศตะวันตกเฉียงเหนือคือ พ่อ หรือชายเจ้าของบ้าน

24. บ้านที่แหว่งทิศตะวันออก และตะวันตกผลกระทบ คือลูกชายคนโต และลูกสาวคนเล็ก ไม่เป็นมงคล ต้องแก้เคล็ด

25. บ้าน หรือพื้นที่เว้าแหว่ง ทิศเหนือและใต้จะเสียหายแก่ลูกสาวงคนกลาง (ทิศใต้) ลูกชายคนกลาง (ทิศเหนือ) จะมีเรื่องคดีความ, บ้านด้านหนึ่งมีปล่องควันปล่องควันแทนก้านธูปไหว้คนตายไม่ดี

26. บ้านที่ตะวันออกเฉียงเหนือแหว่งจะเกิดเสียหายแก่ลูกชายคนเล็กและระบบย่อย อาหาร

27. บ้าน หรือที่ดินที่เว้า แหส่ง ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีผลกระทบกับพ่อ หรือชายเจ้าของบ้าน และผู้คนในครอบครัว บ้านที่เป็นรูปทรงหน้ากว้างหลังแคบจะเก็บเงินไม่อยู่ จะยากจน

28. บ้าน ที่แหว่งจะทำให้ครอบครัวไม่มีความเจริญรุ่งเรือง และถ้าแหว่งทางทิศตะวันออกจะมีผลกระทบเกี่ยวกับลูกชายคนโต บ้านที่มีหลังคาด้านซ้ายยาว ด้านขวาสั้น ภายในครอบครัวจะพบภัยพิบัติ

29. บ้านเวลาปลูกอย่าตั้งเสาข้างหนึ่งสูงข้าง ข้างหนึ่งเตี้ย จะแสดงถึงการทำกิน ธุรกิจง่อนแง่น

30. บ้านที่เก่าถ้าจะเข้าไปอยู่ใหม่ควรทาสีให้ใหม่ กลอนประตูควรจะเปลี่ยนใหม่ จะนำโชคลาภมาให้

31. บ้านถ้าอยู่ใกล้สุสานไม่ดี , บ้านที่มีสะพานพุ่งแทงเข้ามาให้แก้เคล็ดโดยปลูกต้นไม้ไผ่บังสายตา

32. บ้าน ที่มีบ่อน้ำที่มีมุมแหลมพุ่งตรงสู่หน้าบ้านไม่เป็นมงคล ควรแก้เคล็ดโดยปลูกต้นไม้บังบ่อตรงมุมแหลม จะพบความสุข , บ้านที่มีหลังคาเป็นรูปโค้งไม่ดี

33. บ้านที่มีบ่อน้ำอยู่หลังให้ระวังเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เช่น โรคท้อง

34. บ้านที่เพดานเฉียง ไม่ดี, บ้านมีคาน ไม่ดี, บ้านที่มีคานไม่เสมอกัน ไม่ดี, บ้านสร้างคล้ายรูปตัวยู ไม่ดี

35. บ้าน ที่มีถนนโค้งออก อยู่แล้วไม่เจริญ , บ้านที่มีถนนล้อมรอบทั้ง 4 ด้านไม่เป็นมงคล , บ้านที่มีทางโค้งออกอยู่ไปจะทำให้ยากจน, บ้านที่อยู่ใกล้สี่แยกให้ตั้งประตูใหญ่ให้ถูกรหัสราศีของเจ้าของบ้าน และอีกส่วนด้านให้ปลูกต้นไม้แทนภูเขาเพื่อแก้เคล็ด

36. บ้านที่อยู่ใกล้สี่แยกระวังขโมยขึ้นบ้านบ่อย และถ้าถนนตัดกับทิศตะวันตกเฉียงใต้ คนในบ้านมักจะมั่วกาม

37. บ้านมีสองบันได ไม่ดี , บ้านรูปทรงตัว H ถือว่าบ้านเว้าแหว่ง จะเสียทรัพย์ เสียชื่อเสียง

38. บ้านเว้าแหว่ง รูปทรงกากบาท หมายถึงป่วย ความตาม ไม่ดี

39. บ้านที่มีรูปทรงแปลก ๆ ผิดปกติ เฉียงเอียงเว้าแหว่งล้วนไม่ดี, บ้านมีคนพักอาศัยมากจะทำให้คนในบ้านอบอุ่น

40. บ้านที่มีลานหน้าบ้านกว้าง เป็นฮวงจุ้ยที่ดี, บ้านถูกทางแทง ไม่ดี ต้องแก้ไข

41. บ้านเป็นรูปสามเหลี่ยม เรียกว่าถังขยะ ธุรกิจเจ๊ง เป็นมะเร็ง อัมพาต

42. บ้านแตกร้าว ในบ้านจะเกิดปากเสียง ไม่ดี, บ้านตรงข้ามโบสถ์ จะมีแต่ความเสื่อมเสีย มีเรื่องชู้สาว

43. บ้านรูปแปดเหลี่ยมดี บ้านที่มีเหลี่ยมตึก หน้าจั่วแทงด้านหน้า หลัง ซ้าย ขวา ไม่ดี

44. บ้านที่อยู่ใกล้เสาไฟแรงสูง อันตรายเวลาฝนตก, บ้านอยู่ตรงข้ามโรงไฟฟ้าไม่ดี ต้องแก้ไข

45. บ้านติดโรงพยาบาลไม่ดี การค้าสะดุด การเงินเป็นหนี้ สุขภาพไม่ดี

46. บ้านร้างที่อยู่ใกล้บ้านใหม่ จะทำให้บ้านใหม่ไม่ดีไปด้วย, หน้าบ้านมีกองขยะ หรือสิ่งรก ๆ ไม่ดี

47. บ้านที่อยู่ระหว่างช่องว่างของตึกสูง เรียกว่าลมพิฆาต ไม่ดี วิบัติรุนแรง

48. บ้านมีต้นไม้เอียงเบนห่างออก ไม่ดี ขาดผู้สนับสนุน, บ้านถูกทางน้ำ หรือบันไดแทง ไม่ดี

49. หน้าบ้านที่มีบ้านมุมบ้านแหลม หันมาแทงบ้านของตัวเอง, หน้าบ้านมีบ่อรูปสามเหลี่ยม ไม่ดี

50. หน้าบ้านมีบ่อน้ำสองบ่อ เรียกว่าบ่อน้ำตา ไม่ดี, หน้าบ้านห้ามมีศาลเจ้า โบสถ์ วัด

51. หน้าบ้านทางด้านซ้ายมือมีสระน้ำอยู่มุมมังกรเขียว ผู้อยู่อาศัยจะเจริญรุ่งเรือง

52. หน้าบ้านถ้ามีต้นไม่ใหญ่ตายยืนควรจะโค่นตัดทิ้งเลย มิฉะนั้นจะพบความยากจน

53. หน้าบ้านมีรูปเหมือนรูปปืนที่ยิงใส่หน้าบ้านตลอด อยู่ใกล้ไปจะยากจน , หน้าบ้านมีท่อระบายน้ำหรือแทงค์น้ำอยู่ไม่ดี

54. หน้าบ้านมีเสาเครื่องหมายจราจรอยู่ไม่ดี,หน้าบ้านมีทางเข้าออกของรถ ของบ้านอยู่ตรงข้ามกัน ตรงกัน แทงกันเองไม่ดี

55. หน้า บ้านมีต้นไม้ใหญ่เหมือนมีมีดมาฟันบ้าน ไม่ดี, ประตูใหญ่อย่าสร้างประตูเล็กไว้ 2 ข้าง แต่ให้สร้างข้างเดียวคือ หันหน้าอกสร้างตรงซ้ายมือ (มุมมังกรเขียว) , ประตูตรงกันไม่เป็นมงคล,ประตู เสา และฝาบ้าน ต้องเลือกไม้ที่ไม่มีตามาก ๆ

56. ประตู หน้าบ้านห้ามตรงกับประตูห้องน้ำไม่ดี จะเกิดโรคฝีหรือโรคมะเร็งได้, ประตูบ้านที่มีซุ้มสูงกว่าหลังค่าไม่เป็นมงคล ให้แก้ไข จะได้พบแต่ความสุข, ประตูที่ทำซุ้มแบบซุ้มประตูของศาลเจ้าหรือมูลนิธิ บ้านคนธรรมดาห้ามสร้างจะไม่เป็นสิริมงคล, ประตูบ้านไม่ควรจะมีต้นไม้ใหญ่อยู่ตรงกลางประตู

57. ประตู หน้าบ้านมีสะพานพุ่งเข้าหน้าบ้านไม่ดี, ประตูห้องนอนตรงกับเตียงนอนไม่ดี, ประตูใหญ่ตรงประตูห้องน้ำไม่ดีจะทำให้เงินเข้าบ้านไม่ดี สุขภาพไม่ดี, ประตูห้องนอนตรงกับประตูห้องน้ำไม่ดี จะเกิดโรคภัย ธุรกิจสะดุด

58. ประตูใหญ่ตรงกับประตูห้องนอน จะเกิบเงินไม่อยู่ มีปากเสียง ไม่ดี, ประตูรั้วบ้านฝั่งตรงข้ามใหญ่กว่าบ้านเราไม่ดี

59. ประตูตรงกันหลายบาน ตรงกับเตา ทำให้ร้อนเงิน มีปากเสียง ไม่ดี, ประตูตรงห้องนอนห้ามตรงกับบันได ไม่ดี

60. ประตูห้องส้วมตรงกับเตียงนอนไม่ดี, ประตูห้องนอนตรงกับประตูครัว ทำให้เกิดปากเสียงเงินเก็บไม่อยู่

61. ประตูด้านซ้ายควรใหญ่กว่าด้านขวา, ประตูรั้วสูงกว่ากำแพงไม่ดี

62. บันไดตรงกับประตูห้องนอน ไม่ดี, บันไดตรงประตู ไม่ดี, บันไดตรงห้องน้ำ ไม่ดี, บันไดอยู่กลางบ้านตรงประตูเข้าออก ไม่ดี

63. ห้องนอนติดกับเตา หรือห้องครัวไม่ดี, ห้องนอนของคนชราควรอยู่ชั้นล่าง เพราะอายุมากกระดูกไขข้อเริ่มเสื่อม

64. ห้องนอนควรที่จะเก็บแต่เสื้อผ้าใหม่และข้องใหม่ จะเป็นมงคล, ห้องนอนควรอยู่ให้ถูกกับรหัสราศีของตัวเอง

65. ห้องนอน ผ้าห่ม หมอน ควรที่จะแห้ง สะอาดอยู่เสมอ, ห้องนอนอยู่ใต้ห้องน้ำจะเจ็บป่วย

66. ในห้องนอนเจ้าบ้านควรอยู่ทิศในรหัสราศีของตัวเองถึงจะเป็นมงคล

67. ห้องนอนประตูห้องนอนไม่ควรตรงกับประตูหน้าบ้าน, ห้องนอน เตียงนอนไม่ควรจะตรงกับประตูห้องหนอและไม่ควรเป็นห้องเก็บของ จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ

68. กระจกอย่าวางไว้ที่หัวนอน เพราะจะทำให้เสียสุขภาพ

69. เตียงนอนอยู่บนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ดี ไม่เป็นมงคล

70. ใต้เตียงนอนไม่เหมาะที่จะเก็บถ้วยชามที่ร้าว จะทำให้มีผลกระทบต่อสุขภาพ

71. เตียงนอนตรงกับประตู ไม่ดี, เตียงนอนห้ามตั้งอยู่บนเตาไฟ จะทำให้คนนอนสุขภาพไม่ดี

72. เตียงนอนห้ามอยู่ใต้บันได เพราะจะมีคนขึ้นลงอยู่ประจำ, การตั้งเตียงเป็นมุมทะแยง ไม่ดี จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ

73. ด้านหัวนอนของเตียงและปลายเท้าห้ามตั้งกระจก, ห้ามนอนเอาเท้าหันไปสู่ประตู

74. หิ้งลอย ตู้ลอย ไม่ควรอยู่บนหัวนอน จะทำให้เครียด เกิดโรคทางสมอง

75. สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ควรตั้งตรงบันได หรือใต้บันได ไม่เป็นมงคล, การตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ห้ามเอาหลังอิงห้องน้ำ ไม่เป็นมงคล

76. ตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ควรตั้งในห้องนอนถ้าเป็นคนโสดไม่เป็นไร ถ้ามีคู่แล้วห้าม

77. สิ่งศักดิ์สิทธ์ตั้งอยู่บนห้องน้ำ เป็นสิ่งไม่สมควร ควรแก้ไข

78. สิ่งศักดิ์สิทธิ์ห้ามตั้งอยู่ใต้คาน รวมทั้งคนด้วยเช่นกันก็ห้ามอยู่ใต้คาน

79. ห้องพระไม่ควรรวมกับห้องนอน ถ้าที่คับแคบจำเป็นต้องรวมให้กั้นฉากเป็นสัดส่วน ห้องนอนอย่าอยู่หน้าห้องรับแขก

80. บ่อน้ำไม่ควรเป็นที่ทิ้งขยะ ไม่ดี, บ่อน้ำอยู่หลังบ้าน หรือหลังเตียงนอน ไม่ดี

81. คานอยู่หน้าประตูไม่ดีจะส่งพลังกดทับทำให้เงินหรือพลังไม่คล่อง คานต่ำ เพดานต่ำ จะทำให้ชี่ (เงิน) เข้าบ้านไม่สะดวก

82. คานห้ามอยู่บนหัวนอน จะเป็นมะเร็งในสมอง เส้นโลหิตในสมองแตก, คานทับเตาไฟ ทำให้เงินขาดมือ

83. ห้องน้ำอยู่บนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่เป็นมงคล, ห้องน้ำอยู่บนประตูใหญ่ไม่ดี ทำให้เงินไม่ไหลเข้า, ห้องน้ำอยู่เหนือเตาไฟ ไม่ดี

84. ด้านหลังของเตียงเป็นห้องน้ำไม่ดี

85. ห้องน้ำกลางบ้านไม่ดี, เครื่องซักผ้าตรงกับเตาไม่ดี, ห้องครัวถ้ามีขื่อพาดอยู่ ไม่ดีจะเจ็บป่วย ยากจน

86. ห้องครัวห้ามอยู่ติดกับห้องนอน ถ้าจำเป็นจะตั้องกั้นผนังห้องครัวและห้องนอนอย่าให่มีอากาศเข้าถึงกันได้

87. เตาตรงกับประตู เท้ากับชักนำเพื่อนเข้ามากิน แล้วก็จากไป แต่ตัวเราจะจนลง ไม่ดี

88. เตาแก๊สห้ามตั้งติดกับก๊อกน้ำหรืออ่างล้างชาม ไม่ดี

89. การตั้งเตาควรหันที่ปิดเปิดให้ถูกโฉลกและเป็นมงคลกับเจ้าบ้าน

90. หัวเตาแก๊สควรมี 3, 5, 7 เตาดีที่สุด, ไม่ควรสร้างเตาไฟเล็งไปที่ประตู

91. ไม่ควรวางเตาไว้บนท่อระบายน้ำหรือท่อ น้ำประปา, ด้านหลังเตาแก๊สห้ามมีบ่อน้ำ

92. ด้านหลังเตาอย่าให้ห่างผนังมากเกินไป

93. ครัวเตาไฟไม่ควรจัดไว้หน้าบ้าน จะไม่มีทรัพย์สินเก็บจะมีคนในบ้านตายทุก 3 ปี

94. ตัวเตาในบ้านอย่าให้คนนอกบ้านเห็นจะไม่เหลือเงินเก็บ, การตั้งเตาอย่าใกล้สระน้ำ หรือน้ำประปา

95. หน้าเตาไฟหันไปสู่ทิศตะวันออก หรือทิศตะวันออกเฉียงใต้ดี เป็นมงคล แต่ถ้าจะให้ดีต้องถูกรหัสราศีทิศของเจ้าของบ้านด้วย

96. ไม่ควรสร้างเตาในทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้าน แต่ควรหันหัวเตาให้ถูกโฉลกรหัสราศีของเจ้าของบ้าน

97. ห้องนั่งเล่นโซฟารูปสามเหลี่ยมไม่ดี, ข้างบ้านมีเครื่องระบายความร้อนพุ่งมาหาบ้านอีกฝ่ายหนึ่งไม่ดี

98. ต้นไม้ชิดบ้านเกินไปไม่ดี แต่ถ้าห่างประมาณสิบเมตรดี จะมีผู้สนับสนุน, หลังบ้านมีบ่อน้ำตรงกับเตา ไม่ดี

99. ห้องนั่งเล่นเป็นหลุมเป็นแอ่งกระทะ ไม่ดี, ท่อน้ำอยู่ใต้เตาไม่ดี เพราะน้ำกับไฟเป็นศัตรูกัน

100. การตั้งโต๊ะทำงาน ควรตั้งในมุมทรัพย์ จะร่ำรวยมาก, ถ้าด้านซ้ายมือของบ้านมีสะพานให้แก้เคล็ด

101. ถ้าสุสานอยู่ทางทิศตะวีนออกของบ้านให้แก้เคล็ด, หลังบ้านอย่าให้มีรอยแตกร้าว จะเป็นอัปมงคล

104. หลังคา เพดานบ้าน อย่าให้รั่ว ถ้ารั่วให้รีบซ่อมเสีย ถ้าไม่แก้ไขเงินทองจะเก็บไม่อยู่ยากจน

105. ขื่อบ้านถ้าร้าว หักควรรีบแก้ไข เพราะไม่เช่นนั้นในบ้าน จะเกิดขาดผู้ช่วยสนับสนุนเงิน ทองร่อยหรอลง เจ็บไข้ได้ป่วย

106. ในบ้านมีหญิงมีครรภ์ ไม่ควรต่อเติมบ้าน หรือย้ายเตียง ถ้าฝืนทำแล้วหญิงในบ้านอาจแท้งบุตรได้ หรือบุตรคลอดออกมาไม่สมประกอบ

107. พื้นที่นอกบ้านควรจะต่ำกว่าพื้นในบ้าน จึงเป็นมงคล, ห้ามทำราวตากผ้าผ่านเตาไฟ จะเป็นอัปมงคล

108. โรงรถควรจะมีความกว้างเสมอกับบ้านอย่าให้ยื่นเกินออกมา

109. ผู้ที่เกิดราศีทิศตะวันออก ธาตุไม้ ไม่ควรหันหน้าบ้านไปสู่ราศีตะวันตก ธาตุทอง เพราะเป็นศัตรูธาตุ

110. ผู้ที่เกิดราศีทิศเหนือ ธาตุน้ำ ห้ามหันเข้าสู่ทิศใต้ ธาตุไฟ เพราะเป็นสัตรูธาตุ

111. ผู้ที่เกิดราสีทิศตะวันตก ห้ามมีหน้าบ้านหันสู่ทิศตะวันออก เพราะเป็นคู่ศัตรูกัน

112. ผู้ที่เกิดราศีทิศใต้ ธาตุไฟ ห้ามมีหน้าบ้านหันสู่ทิศเหนือ เพราะเป็นทิศคู่ศัตรูกัน

113. จำนวนห้องที่กั้นในบ้าน ควรกั้นเป็นเลขที่เป็นมงคล คือ 1, 2, 5, 6, 7 ห้องดีเป็นมงคล

114. ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ไม่ควรสร้างห้องนั่งเล่นจะไม่เป็นมงคล, ห้องนั่งเล่น หรือรับแขกตั้งอยู่กลางบ้านถือว่าเป็นมงคล

115. การสร้างบันไดตรงดิ่งลงมาที่หน้าประตูอยู่กลางบ้านถือว่าเป็นมงคล

116. ตรงกลางบ้านห้ามทำเป็นห้องน้ำ หรือห้องส้วม ทำเป็นห้องนอนดีที่สุด

117. หน้าต่างมีได้ทุกทิศดีที่สุด แต่หน้าต่างและประตู ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ตรงกัน

118. วงกบ เสาบ้าน ไม่ควรคดงอ จะทำให้เกิดเรื่องอัปมงคล, หน้าต่างหรือประตูควรจะสร้างกันสาดถึง จุเจริญรุ่งเรือง

119. กำแพงบ้านอย่าสูงเกินไป (เกิน 2 เมตร) หรือต่ำเกินไป (1.40 เมตร)

120. ตำแหน่งกำแพงทางทิศตะวันออกเฉียงเหนืออย่าให้ชำรุดจะมีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล

121. สร้างบ้านไม่ควรสร้างกำแพงหรือภูเขาก่อนจะทำให้ยากจน หรือถูกคุมขัง

122. กำแพงบ้านไม่ควรเจาะเป็นหน้าต่าง จะไม่เป็นมงคล, กำแพงบ้านสร้างเป็นรูปโค้งดีกว่าสร้างกำแพงเป็นรูปสี่เหลี่ยม

123. ไม่ควรสร้างกำแพงบ้านให้ชิดบ้านเกินไป, ตัวที่ดิน หรือตัวบ้าน ข้างหน้าแคบข้างหลังกว้างไม่เป็นมงคล

124. ที่ดินที่เคยมีต้นไม้ใหญ่อยู่หนาแน่น ควรจุขุดรากถอนโคนให้หมดเสียก่อนค่อยปลูกบ้าน

125.ทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสะพานจะดีแต่แรก จะแย่ในภายหลัง

126. ร้านค้าหรือบ้านไม่ควรนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คนภายนอกเห็น เพราะจะมีคนแกล้งเอาของสกปรกมาทำลายสิ่งศักดิ์สิทธ์

127. ร้านค้าใดถ้าหากมีสะพานพุ่งตำเข้ามาหา จะเป็นทิศใดก็ตาม ควรประกอบอาชีพประเภท ขายอาวุธ ของมีคม ขายเนื้อ ซึ่งต้องใช้ของมีคมประจำ ถึงจะเจริญรุ่งเรือง

128. ร้านค้าใดก็ตามควรจะตั้งหน้าบ้านให้ถูกรหัสราศีกับเจ้าของบ้านและตั้งเตาให้ ถูกรหัสราศีของเจ้าของบ้านด้วย


หมายเหตุ
การแก้ไขฮวงจุ้ยควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพราะหากตกแต่งถูกทิศร้ายประจำปี เดือน วัน หรือ เวลาที่ไม่ดี จะนำเภทภัยเรื่องร้ายเข้ามาภายใน 1 วัน ถึง 3 เดือน



ที่ มา.......ขอบคุณข้อมูล .freesplans.com
[/b]

92



เจริญ พร สาธุชนทุกท่าน วันนี้ได้มีโอกาสเปิดคอลัมน์ “คิดทาง...ธรรม” ซึ่งจะมีประจำทุกวันศุกร์ โดยจะร่วมกันคิดพิจารณาเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของสังคมที่น่าสนใจ

เพื่อหาทางออกให้กับ สังคม โดยอ้างอิงหลักธรรมในพระพุทธศาสนาว่า เรื่องหรือปัญหาดังกล่าว ทางธรรมคิดอย่างไร มีมุมมองอย่างไร ซึ่งอาจจะแตกต่างไปจากการคิดทางโลก หรืออาจจะคล้ายกัน หรือเหมือนกันก็ได้

 โดยเฉพาะสาธุชนผู้สนใจในธรรม หรือมีความรู้ทางโลก สามารถที่จะนำเสนอแนววิธีคิด มุมมองที่อาจจะแตกต่างออกไป หรือเหมือนกัน มาที่คอลัมน์นี้ก็ได้ เพื่อการมีส่วนในการเรียนรู้ ซึ่งสามารถพัฒนาไปสู่องค์รวมของความรู้อันถูกต้องโดยธรรม อันร่วมกัน และจะนำไปสู่การแก้ไข  หรือพัฒนาการ ให้สังคม ประเทศชาติ ก้าวย่างไปสู่ความเจริญเติบโต เข้มแข็ง และทันสมัยดังนานาอารยประเทศ

 เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ให้บังเอิญไปตรงกับวันพระราชทานเพลิง หลวงปู่จันทร์ กุสโล หรือ พระพุทธพจนวราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของอาตมา โดย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นองค์ประธานในการพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุชั่วคราว วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จ.เชียงใหม่ ยังความซาบซึ้งแก่คณะศิษย์ศรัทธาพุทธศาสนิกชนในพระมหากรุณาเป็นอย่างยิ่ง





 หากจะกล่าวพรรณนาถึงเกียรติคุณ ความดี บุญบารมีของหลวงพ่อ (หลวงปู่จันทร์) คงยากที่จะกล่าวได้หมด ได้แต่ขอยกถ้อยวลีธรรมของท่านผู้ทรงคุณ-สูงค่า ในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นสังฆบิดาของคณะสงฆ์ไทย ได้แก่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ที่เคยทรงประทานกล่าวมุทิตากับหลวงพ่อว่า

 “ท่านเจ้าคุณ เป็นปราชญ์แห่งล้านนา”

 ซึ่งเป็นความจริง ที่ปรากฏมีผลงานทางธรรมมากมาย เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนมาโดยตลอดสมัยของการสืบเนื่องอยู่ในสมณะวิสัยของ หลวงพ่อ จนถึงกาลละสังขารเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๑ เวลา ๑๘.๓๓ น.

 โดยปฏิปทาของหลวงพ่อนั้น แม้มีวัตรปฏิบัติด้านคามวาสี แต่ก็ไม่ได้ทอดทิ้ง ส่งเสริมฝ่ายอรัญวาสี ทรงเห็นคุณค่าของการอบรมจิตตภาวนา ดังสมัยที่อาตมาไปเจริญธรรมอยู่วัดป่าบ้านเหล่า อ.เวียงชัย จ.เชียงราย กับ หลวงปู่ขาน (ละสังขารไปแล้ว) ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นใหญ่สายตรง หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ เป็นพระอาจารย์ที่อาตมาได้ถวายพานธูปเทียน ปวารณาตนเป็นศิษย์สายพระป่า และได้ให้นำพานธูปเทียนไปถวายบูชา หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ.อุดรธานี เพื่อจะได้ถึงความเป็นศิษย์สายพระป่ากรรมฐานอย่างแท้จริง

 โดยหลวงปู่ขานเป็นผู้พิจารณารับไว้เป็นศิษย์...และเมื่อกลับมากราบหลวงพ่อ (หลวงปู่จันทร์) ณ วัดป่าดาราภิรมย์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ในสมัยนั้น อาตมาได้กราบถวายผลการปฏิบัติ ซึ่งท่านได้กล่าวว่า

 “ขออนุโมทนาในปัญญา ที่เกิดจากการภาวนาอบรมจิต อันเป็นภาวนามยปัญญา”

 แสดงให้เห็นอัจฉริยภาพของหลวงพ่อ ที่มีจิตใจกว้างขวาง เห็นคุณประโยชน์ในทั้ง ๒ ด้าน ให้การสนับสนุนแด่คณะสงฆ์ทั้ง ๒ ฝ่าย อย่างเสมอกัน ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งฝ่ายปกครองสงฆ์ (ธรรมยุต) จนถึงความเป็นเจ้าคณะภาค ๔, ๕, ๖, ๗ ซึ่งตรงกับคำกล่าวของ หลวงตามหาบัว ที่ว่า   “พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ในภาคเหนือของเรานี่ ก็ได้อาศัยบารมีของท่านเจ้าคุณฯ นี่แหละ ที่ได้ช่วยเกื้อหนุนจุนเจือ เอื้อเฟื้อ ให้อยู่ได้ทั้งหมด นี่ถ้าไม่มีท่านเจ้าคุณฯ ช่วยเหลือ คงอยู่ไม่ได้จริงๆ ลัทธิอื่นมันคอยแทรกซึมอยู่นะ เป็นบุญของพระที่ได้มาอาศัยท่านนะ”

 อย่างไรก็ตาม คงจะไม่แปลกที่หลวงพ่อมีความยินดีสนับสนุนในสงฆ์ทั้ง ๒ ฝ่าย แม้ว่าหลวงพ่อจะมุ่งเน้นไปทางปริยัติธรรม หรือคามวาสี แต่ก็เป็นผู้มั่นคงในการปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง แม้จะมุ่งเพียรหนักอย่างครูบาอาจารย์สายพระป่า ด้วยภาระการสงเคราะห์-การปกครองสงฆ์เป็นสำคัญ  แต่ในทุกค่ำคืน เมื่ออาตมาได้ถวายการอุปัฏฐากเป็นส่วนตัว ในกาลที่มาพักอยู่ ณ วัดป่าพุทธพจน์หริภุญไชย อ.เมือง จ.ลำพูน โดยท่านจะกำหนดมาพักเดือนละ ๑ ครั้ง ครั้งละ ๒-๓ วัน หรือจะมากกว่านั้น ก็แล้วแต่ความประสงค์

 ทั้งนี้ เพราะในสมัยแรกที่รับการยกฐานะเป็นวัดป่าพุทธพจน์ฯ หลวงพ่อได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่-ลำพูน-แม่ฮ่องสอน (ธ) ให้ทำหน้าที่รักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าพุทธพจน์หริภุญไชย ซึ่งเป็นไปตามความประสงค์ของอาตมา เพื่อต้องการให้หลวงพ่อกลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดในบ้านเกิด (จ.ลำพูน) ของท่าน

 จึงเป็นโชควาสนาของอาตมาที่ได้รับการอบรมสั่งสอนโดยตรงจากหลวงพ่อ ไม่ว่าจะเป็นการเทศนาธรรม การสวดมนต์ แม้กระทั่งอุบายวิธีในการปฏิบัติกรรมฐาน และการเจริญสมาธิ ด้วยการนับลูกประคำ (ตกลูกประคำ) ซึ่งท่านจะกระทำเป็นปกติก่อนจำวัด

 สำคัญที่สุด คือ การถ่ายทอดนิสัยความเป็นเจ้าอาวาสให้โดยตรงว่า ควรประพฤติตน-พัฒนาตนอย่างไร โดยเฉพาะการถ่ายทอดความรู้ข้อวัตรปฏิบัติของครูบาอาจารย์ สายพระกรรมฐาน ได้แก่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ใหญ่ของหลวงพ่อ สมัยที่หลวงปู่มั่นดำรงฐานะเป็นเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ซึ่งหลวงตามหาบัวเคยกล่าวหยอกเย้าหลวงพ่อว่า

 “เรากับท่านเจ้าคุณนี่สนิทกันมาตั้งแต่เป็นมหาเปรียญ เป็นลูกศิษย์ในพระอาจารย์เดียวกัน คือ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต....”

 ในเรื่องดังกล่าว อาตมามีหลักฐานยืนยันถึงความผูกพันของหลวงพ่อต่อหลวงปู่มั่น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทิตา ต่อครูบาอาจารย์สายพระป่า






 เมื่อหลวงพ่อบัญชาให้ อาตมาสร้างวัดป่าพุทธพจน์ฯ ประดิษฐานไว้ในพระพุทธศาสนา และให้สืบทอดปฏิปทาสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งอาตมาก็ได้น้อมรับด้วยความรู้สึกยินดียิ่ง เพราะอาตมาเป็นพระป่ากรรมฐาน สายตรงทางหลวงปู่ขาน-หลวงปู่ขาว อยู่แล้ว จึงได้ก่อร่างสร้างวัด  อบรมพระเณร ถือข้อวัตรปฏิบัติสายพระป่ามาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน

 เมื่อหลวงพ่อได้ละสังขาร โดยเก็บสรีระไว้ในหีบศพ ณ พระวิหารวัดเจดีย์หลวง (พระอุโบสถ)  อาตมาจึงได้ขออนุญาต พระพุทธิสารโสภณ เจ้าคณะจังหวัด ประธานสงฆ์ พิจารณาผ้ามหาบังสุกุลจากร่างของท่านที่นอนนิ่งอยู่ในหีบศพ โดยนำผ้าไตรจีวรชุดใหม่ ที่ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ได้ประทานถวาย มาบูชาสักการะ

 และอาตมาได้นำผ้าห่อร่างของท่านทั้ง ๓ ผืน ไปกระทำพิธีซักผ้ามหาบังสุกุล ณ แม่น้ำกวง ใกล้บ้านเกิดของท่าน (อ.ป่าซาง จ.ลำพูน) ซึ่งบัดนี้ อาตมาได้นำมาอธิษฐาน เป็นผ้ามหาบังสุกุล  ใช้นุ่งห่มอยู่จนถึงปัจจุบัน เพื่ออุทิศบุญกุศลในการทรงผ้ามหาบังสุกุล เป็นวัตร อันเป็น ๑ ใน ๑๓ ข้อของธุดงควัตรของพระสงฆ์ ซึ่งทรงคุณเป็นอย่างยิ่ง ต่อการยกระดับจิตใจด้วยความหมาย ความเป็นอนุสติของมรณะ ที่มีอยู่ทุกขณะที่สัตว์ทั้งหลายไม่ควรประมาท เพราะเบื้องหน้า คือ ความตายที่จะต้องพบเสมอเหมือนกัน

 จึงขอบูชาพระสงฆ์ผู้ทรงคุณธรรม อันเป็นเลิศ มีเมตตากรุณาอย่างต่อเนื่อง มีวัตรปฏิบัติที่ทรงคุณค่า สมกับความเป็นพระสงฆ์สาวกในพระพุทธศาสนาที่แท้จริง เนื่องในวันพระราชทานเพลิงศพ  หลวงพ่อ พระพุทธพจนวราภรณ์ หรือ หลวงปู่จันทร์ กุสโล ของศิษยานุศิษย์ ตลอดจนถึงพุทธศาสนิกชนในทั่วทุกภาค อาตมาจึงขอกราบสักการะด้วยการน้อมนำมากล่าวบูชาใน คอลัมน์ “คิดทาง…ธรรม” เพื่อสืบสานเจตนาเผยแพร่ธรรมของหลวงพ่อสืบต่อไป

 ขอกล่าวบูชาด้วยบทธรรมตอนหนึ่ง ที่อาตมาลิขิตไว้ว่า...
 คุณความดี คุณธรรม  ไม่จางหาย
 ชนทั้งหลาย น้อมเคารพ ระลึกถึง
 แม้ตัวตาย  ดุจกายอยู่  ยังตราตรึง
 ชนคำนึง  น้อมกราบไหว้ คุณธรรม

       ขอเจริญพร

93



เขานินทาเรา ด่าเรา เขาแย่งของเราไป ฯลฯ

เราไม่พอใจ เรากำลังจะโกรธเขา ต้องรีบแก้ไขทันที
"เขา" ไม่สำคัญ สำคัญที่ใจเรากำลังจะเป็นทุกข์
เรากำลังจะผิดศีล กำลังจะผิดข้อวัตรของเรา

ระวังนะ..... ถ้าเราเป็นทุกข์ เราก็ผิดข้อวัตรของเราแล้ว
ผิดศีล เราก็บาปแล้ว
เราต้องมีหิริ โอตตัปปะ ละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป
ถ้าเราเป็นทุกข์ เราผิดศีล เราก็บาป



ใครเขานินทาเราก็ไม่สำคัญ เขาทำอะไรๆ เราก็ไม่สำคัญ สำคัญที่ใจเรา
สำคัญที่ใจเราอย่าเป็นทุกข์เท่านั้นก็พอแล้ว
ไม่ต้องดูใคร ไม่ต้องฟังใคร ดูกายกับใจของเรานี่แหละ
เราต้องเป็นที่พึ่งของเราเอง
อัตตา หิ อัตตโน นาโถ นะ


เราขึ้นอยู่กับคำพูดหรือการกระทำของคนอื่นไม่ได้หรอก


ระวังนะ….. คนโน้นคนนี้ก็ไม่สำคัญหรอก สำคัญที่จิตของเรานี่แหละ
ใครทุกข์ก็ไม่ต้องทุกข์ตามเขา ไม่ต้องโต้ตอบ ไม่ต้องชี้แจง ไม่ต้องกลัว


สำคัญที่ใจเราอย่าเป็นทุกข์นะ
ถ้าเราทุกข์เราผิดแล้วนะ ไม่ใช่เขาผิดหรอก
ต้องรีบพิจารณาแก้ไขทันที


ที่มา ธรรมจักร

94




ที่มา พลังจิต ขอขอบคุณครับ  :016:  :053:


95



เทพเจ้าแห่งตะกุดแห่งเมืองปทุมธานีสังขารแล้ว

21 ม.ค. 52 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลวงปู่รอด อินฺทวีโร วัดนพรัตนาราม ถนนเลียบคลองสิบสอง ต.นพรัตน์ อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี พระเกจิชื่อดังสายปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เจ้าของตำนานเทพเจ้าแห่งตะกุดแห่งเมืองปทุมธานี ได้ละสังขารอย่างสงบแล้ว ด้วยโรคชรา ที่วัดนพรัตนาราม รวมสิริรวมอายุ 85 ปี 50 พรรษา โดยจะมีพิธีสวดพระอภิธรรม 7 วัน และจะฌาปนกิจ ในวันที่ 28 ม.ค.ที่จะถึงนี้ ท่ามกลางความโศกเศร้าของคณะศิษย์ยานุศิษย์ ที่เดินทางมากราบเคารพศพเป็นจำนวนมาก.


ที่มาจาก Daily News Online




 :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054:

96
เบอร์มรณะ รับโทรศัพท์แล้วตาย มีจริงหรือ?



หนึ่ง ในฟอร์เวิร์ดเมล์ที่ยังคงส่งต่อถึงกันตั้งแต่หลายปีก่อน มาจนถึงวันนี้ก็ยังไม่หมดไป และสร้างความฉงนให้กับผู้รับเป็นอย่างมาก นั่นคือ เรื่อง เบอร์มรณะ รับโทรศัพท์แล้วตาย ที่มักจะมีคนเขียนข้อความทำนองว่า "อย่ารับเบอร์โทรศัพท์เบอร์นี้เป็นอันขาด เพราะคุณอาจเสียชีวิตได้" จนมีผู้เรียกขานเบอร์โทรศัพท์แปลก ๆ เหล่านั้นว่า เบอร์มรณะ แม้กระทั่งภาพยนตร์เรื่อง 999-9999 ต่อ - ติด - ตาย ก็ยังมีพล็อตกล่าวถึง เบอร์มรณะ เช่นกัน ทำให้หลายคนสงสัยว่า จริง ๆ แล้ว เบอร์มรณะ มีจริงหรือแกล้งกันเล่นแน่

ล่าสุด กระแสข่าว เบอร์มรณะ กำลังถูกกระพืออีกครั้งผ่านปากต่อปากในหลายจังหวัดของภาคเหนือ โดยมีเสียงโจษจันต่อ ๆ กันมาว่า "ระวัง! ห้ามรับโทรศัพท์เบอร์ 083336xxxx , 083336xxxx , 083333xxxx เด็ดขาด เพราะคุณจะจบชีวิตลงแน่นอน" พร้อมกับระบุว่า มีหลายคนที่เสียชีวิตอย่างปริศนาจาก เบอร์มรณะ รับโทรศัพท์แล้วตาย นี่มาแล้ว

นอก จากนี้ ข่าวลือยังระบุอีกว่า เบอร์มรณะ 083336xxxx , 083336xxxx , 083333xxxx ที่โทรศัพท์เข้ามาจะโชว์เป็นเบอร์สีแดง โดยทุกคนที่ได้รับโทรศัพท์จากเบอร์สีแดง จะเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งมีการอ้างว่า หลายจังหวัดในภาคเหนือมีผู้เสียชีวิตจาก เบอร์มรณะ 083336xxxx , 083336xxxx , 083333xxxx มาหลายคนแล้ว โดยมีอาการแก้วหูแตก เลือดคั่งในสมอง

ทั้งนี้เรื่องราว เบอร์มรณะ ดังกล่าว ได้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นตามเว็บบอร์ดจำนวนหนึ่ง โดยความคิดเห็นเรื่อง เบอร์มรณะ รับโทรศัพท์แล้วตาย แบ่งออกเป็น 3 ทาง คือ ฝ่ายหนึ่งค่อนข้างเชื่อกับเรื่อง เบอร์มรณะ เพราะมีคนรู้จักประสบเหตุมาแล้ว ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่ง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็เตือนให้ระวังกันไว้ ส่วนอีกฝ่ายมองว่า เรื่อง เบอร์มรณะ น่าจะเป็นการแกล้งกันเล่นมากกว่า

โดย ฝ่ายที่ไม่เชื่อเรื่อง เบอร์มรณะ นั้นได้ยกตัวอย่างเช่น สมมติบางคนไม่ชอบหน้าอีกคน หรืออยากจะแกล้งกันเล่น ก็อาจจะนำเบอร์โทรศัพท์ของคน ๆ นั้นมาโพสต์ในอินเทอร์เน็ต และสร้างกระแสว่าเป็น เบอร์มรณะ เพื่อให้คนใจกล้าลองโทรศัพท์เข้าไปพิสูจน์ดู ซึ่งแน่นอนว่าก็จะสร้างความเสียหายให้กับเจ้าของเบอร์โทรศัพท์เบอร์นั้นเป็น อย่างมาก

อย่างไรก็ตาม เรื่อง เบอร์มรณะ บางคนอาจมองว่าดูคล้ายกับ คิระ ในการ์ตูน Death Note มากเกินไป และอีกฝ่ายก็มองว่าไม่น่าทำให้หมายเลขโทรศัพท์ที่โทรเข้าเครื่องคนอื่น โชว์เป็นสีแดงได้ หรืออาจเป็นการโปรโมทอะไรบางอย่าง แต่ก็มีหลายคนที่ยืนยันว่า เคยมีญาติรับ เบอร์มรณะ แล้วเสียชีวิตจริง ๆ ซึ่งหากใครไม่เชื่อ ก็ไม่ควรไปลบหลู่

สุด ท้ายแล้วการจะพิสูจน์ว่า เบอร์มรณะ 083336xxxx , 083336xxxx , 083333xxxx รับโทรศัพท์แล้วตาย นั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือมั่วนิ่ม ก็คงต้องให้เจ้าของเบอร์โทรศัพท์ หรือเครือข่ายโทรศัพท์ ออกมาชี้แจง เพื่อไขปริศนานี้ให้กระจ่าง เพราะหากเป็นเรื่องล้อเล่น หรือแกล้งกัน ดีไม่ดี ผู้ส่งฟอร์เวิร์ดเมล์อาจจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ก็เป็นได้

อย่าง ไรก็ตาม จากกระแส เบอร์มรณะ ดังกล่าวทำให้ผู้สื่อข่าวไทยรัฐออนไลน์ ได้ทดลองโทรติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ดังกล่าวทั้ง 3 เบอร์ ปรากฏว่า เบอร์แรกที่ขึ้นต้นด้วย 08-333-6XXX ระบบปลายสายตอบกลับมาว่า "หมายเลขที่ท่านเรียกยังไม่ได้เปิดใช้บริการ"

ส่วน อีก 2 เบอร์ได้แก่ เบอร์ 08-3336-6XXX และ เบอร์ 0-83-3336XXX นั้น เมื่อลองกดไปปลายสายจะเงียบไปราว 1-3 วินาที หลังจากนั้นก็เป็นเสียงผู้หญิงระบุว่า "กรุณาฝากหมายเลยโทรกลับ" สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ที่โทรไปเป็นอย่างมาก แต่บางจังหวะของเบอร์ทั้ง 2 ที่ว่ากลับเป็นสัญญาณสายไม่ว่าง

โดย ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังนายธนา เธียรอัจฉริยะ ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจพรีเพด บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบดีแทค และ แฮปปี้ ซึ่งนายธนากล่าวว่า ที่มีข่าวลือว่าเมื่อรับโทรศัพท์อาถรรพ์เบอร์ใดเบอร์หนึ่งใน 3 เบอร์จะทำให้แก้วหูแตก เลือดคั่งในสมอง และเสียชีวิตตามข่าวนั้น ขอยืนยันว่าไม่จริงอย่างแน่นอน คิดว่ากอาจจะเป็นการกลั่นแกล้งกันมากกว่า

"ตั้งแต่ ผมทำงานมาผมเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งความจริงนั้นเป็นไปไม่ได้ ผมเคยเห็นแต่ในหนัง หนังสือการ์ตูน อย่างไรก็ดีจากที่ผมเช็คดูเบอร์ทั้งหมดเป็นโทรศัพท์ระบบเติมเงิน ของเครือข่ายหนึ่ง แต่ได้ยกเลิกหมายเลยดังกล่าวไปแล้ว ดังนั้นขอให้ทุก ๆ คน อย่าตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะคิดว่าเป็นแค่คนที่คึกคะนองเท่านั้น ส่วนประเด็นเรื่องการตลาดหรือการกลั่นแกล้งของคู่แข่งนั้น ไม่น่าจะมีความเป็นไปได้" นายธนา กล่าว

ด้าน นายปรัธนา ลีลพนัง ผู้อำนวยการสำนักบริการเสริม บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบเอไอเอส และวันทูคอล ยอมรับว่า เบอร์โทรศัพท์ ดังกล่าวเป็นของบริษัทฯ โดยใช้ระบบเติมเงิน ซึ่งขณะที่ปิดบริการไปแล้ว อย่างไรก็ดี เขายืนยันว่า การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่จะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างแน่นอน เนื่องจากทางระบบจะกำหนดว่าสามารถให้วอลุ่มของเสียงได้เท่าใด เพื่อไม่ให้ กระทบต่อสุขภาพของผู้ใช้บริการ

"ผม ไม่คิดว่าเป็นการทำลายชื่อเสียง น่าจะเป็นการส่งฟอร์เวิร์ดเมลของผู้ที่นึกสนุกเท่านั้น ส่วนถ้าหากเป็นการโปรโมตหนังหรือทำการตลาดขิงสินค้าใด โดยการมาใช้วิธีอย่างนี้ ผมคิดว่าไม่ดีนัก เพราะว่าเป็นการสร้างความตกใจให้กับประชาชน ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่สมควร" นายปรัธนา กล่าว

ขณะ ที่ นพ.เอาชัย กาญจนพิทักษ์ ศัลยแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องตา หู รพ.เวชธานี เปิดเผยว่า ข่าวลือดังกล่าวไม่น่าจะเป็นความจริง ตามหลักการแพทย์นั้นเสียงโทรศัพท์ไม่สามารถทำให้คนแก้วหูแตกได้ การฟังเอ็มพี 3 ยังมีโอกาสจะทำให้แก้วหูได้รับผลกระทบมากกว่า

ทั้ง นี้ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ เคยมีเบอร์โทรศัพท์อาถรรพ์ทำนี้ออกมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน โดยเบอร์ที่ระบุว่าเป็นเบอร์อาถรรพ์แต่ละเบอร์นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเบอร์ที่สวย เช่น เบอร์เรียง และเบอร์ตอง โดยเคสที่ถือว่าเป็นเคสแรก ๆ ของเบอร์อาถรรพ์ ก็คือเบอร์โทรศัพท์ของศูนย์นารายณ์ โดยเจ้าหน้าที่ศูนย์เก่าแก่คนหนึ่งกล่าวกับเราว่า เมื่อก่อนมีคนโทรศัพท์ที่เบอร์นี้มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความคึกคะนอง แต่ปัจจุบันไม่มีแล้ว

สำหรับ ผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือทุกระบบ หากมีความประสงค์จะเช็คเบอร์โทรศัพท์ว่าเป็นของระบบในเครือข่ายไหน สามารถเช็คได้ที่เว็บไซต์ www.checkber.com

97



หลวงปู่บุญมา สิริมาโย"
อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านหนองเรือ ต.หนองเรือ อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม พระเกจิอาจารย์ชื่อดังสืบสายธรรมจากหลวงปู่ซุน วัดบ้านเสือโก้ก อ.วาปี ปทุม

หลวง ปู่บุญมา เกิดปี พ.ศ.2442 ณ บ้านหนองบัวกุดอ้อ อ.วาปีปทุม จ. มหาสารคาม เมื่ออายุครบบวชได้เข้า พิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดบ้านหนองบัวกุดอ้อ มีหลวงปู่ซุน วัดบ้านเสือโก้ก เป็นพระอุปัชฌาย์

ท่านได้ศึกษา วิทยาคมจากหลวงปู่ซุน ไม่ว่าจะเป็นวิชาเมตตามหานิยม แคล้ว คลาด คงกระพันชาตรี กันบ้านกันเมือง รวมทั้งยังได้ศึกษาด้านการอ่านการเขียนอักษรธรรม และภาษาขอม

หลวงปู่บุญมามรณภาพในปี พ.ศ.2523 สิริอายุ 81 พรรษา 59

กล่าว สำหรับวัตถุมงคลของหลวงปู่บุญมา ในช่วงที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านได้จัดสร้างเป็นจำนวนน้อยมาก แต่ที่เป็นสุดยอดปรารถนาของนักสะสมนิยมพระเครื่อง คือเหรียญรูปไข่รูปเหมือนหลวงปู่บุญมา รุ่นแรก สร้างปี 2511 จัดสร้างขึ้นเพื่อบูชาครู เนื่องในวาระที่หลวงปู่ อายุครบ 69 ปี

วัด บ้านหนองเรือได้มอบให้คณะศิษย์และผู้ที่ได้บริจาคจตุปัจจัยสมทบทุนสร้าง สาธารณูปโภคสาธารณูปการในวัด เป็นเหรียญทองแดงรมดำ จำนวนการสร้างไม่เกิน 3,000 เหรียญ

ด้านหน้าเป็นเหรียญยกขอบมีหูห่วง จากด้านขวาของเหรียญวนขึ้นไปด้านบนโค้งลงไปทางขอบเหรียญด้านซ้ายเขียนว่า "หลวงปู่บุญมา ศิริมาโย" ตรงกลางเหรียญเป็นรูปเหมือนหลวงปู่บุญมานั่งเต็มองค์ มือขวาวางที่หัวเข่า มือซ้ายวางอยู่ที่หน้าตัก ด้านใต้รูปเหมือนเขียนว่า อายุ ๙๖ ทั้งนี้ แท้ที่จริงช่างแกะบล็อกผิด ที่ถูกต้องคือ 69 ด้านหลังเหรียญมีอักขระรอบเหรียญ ตรงกลางเหรียญจะเป็นยันต์น้ำเต้า อ่านว่า "อิ สวา สุ นะ มะ พะ ทะ นะ มะ พะ ทะ รัง" พร้อมกับอุณาโลม และอิติปิโส ใต้ยันต์เขียนคำว่า "วัดหนองเรือ อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม"

สำหรับ เหรียญรุ่นนี้หลวงปู่บุญมาได้ประ กอบพิธีพุทธาภิเษกเดี่ยวภายในอุโบสถตลอดพรรษา ทำให้มีพุทธคุณโดดเด่นรอบด้าน การันตีได้ในความเข้มขลัง

ร่ำลือกัน ว่า เคยมีผู้ที่ห้อยเหรียญหลวงปู่รุ่นนี้ถูกลอบยิงด้วยอาวุธปืนในระยะเผาขน แต่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สามารถผ่อนหนักเป็นเบา และมีบางรายประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ รถพังยับทั้งคัน แต่ปลอดภัยอย่างน่าอัศจรรย์

จัดเป็นเหรียญยอดนิยมในพื้นที่อีก เหรียญหนึ่งของอ.นาเชือก จ.มหาสารคาม ผู้ที่เก็บสะสมบูชาพระเครื่องวัตถุมงคลไม่ควรพลาดในการหามาไว้สักการบูชา เป็นเหรียญที่ราคาเช่าหายังไม่สูงเท่าใดนัก เหรียญสวยจะอยู่หลักพันต้น สวยน้อยราคาอยู่หลักร้อยปลาย

ยังพอหาได้ตามศูนย์พระเครื่องในอำเภอนาเชือกและในเมืองมหาสารคาม



ที่มา ข่าวสดรายวัน  เปิดตลับพระใหม่   หน้า 32  ขอบคุณครับ  :001:

98



วัด อัมพวัน ต.บางม่วง อ.บางใหญ่ จ.นนท บุรี เดิมชื่อ "วัดบางม่วง" เป็นแหล่งธรรมเก่าแก่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย ว่ากันว่าอยู่ในยุคพระเจ้าปราสาททอง

ปัจจุบันมีเสนาสนะเพียบพร้อมสมบูรณ์ อาทิ อุโบสถ กุฏิสงฆ์ หอระฆัง ศาลาที่จอดเรือสำหรับพระภิกษุ-สามเณรใช้ออกบิณฑบาตทางน้ำ เป็นต้น

สิ่ง ที่น่าสนใจของวัดแห่งนี้ "หอไตรกลางน้ำ" เป็นสถาปัตยกรรมไทยที่สมบูรณ์ที่สุด เป็นเรือนไม้ยกใต้ถุนสูง ตัวหอมีขนาด 2 ห้อง ช่วงล่างเป็นลูกฟักกระดานดุน ตอนบนเป็นซี่ลูกกรงไม้ กลึงเสา กรอบประตูเป็นเสาหัวเม็ด ประตูหูช้าง เครื่องลำยองเป็นไม้จำหลัก หลังคาซ้อน 2 ชั้น มีปีกนก 1 ชั้น มุงกระเบื้องดินเผาใต้เชิงชาย และหน้าบันประดับไม้สลักลายรดน้ำ หน้าบานประตูทางเข้าหอไตรเป็นบานไม้ลงรัก ปิดทอง ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ อกเลาเป็นไม้จำหลักลายดอกพุดตาน ลูกฟัก เหนือประตูเป็นภาพนกข้างละตัว เหนือขึ้นไปเป็นภาพพระอาทิตย์ พระ จันทร์ ในห้องสกัดท้ายหอไตรเป็นที่เก็บพาน ตะลุ่มและฐานพระพุทธรูปไม้จำหลักจำนวนมาก




จจุ บันวัดแห่งนี้มี "พระครูมงคลกิจจาทร หรือหลวงพ่อย้อย มังคโล" ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ท่านเป็นศิษย์พุทธาคมของ "หลวงพ่อดิษฐ์ ติสโส" อดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง เจ้าตำรับการจัดสร้างพระปิดตาแร่บางม่วงอันโด่งดัง ซึ่งปัจจุบันสนนราคาเล่นหาสูงมาก

"พระปิดตาแร่บางม่วง" แห่งวัดอัมพวัน ถือเป็นสุดยอดพระเครื่องเมืองนนทบุรี ไม่แพ้ "พระปิดตาแร่บางไผ่ และพระปิดตาแร่บางเดื่อ" ซึ่งเป็นพระปิดตาที่นักสะสมต่างรู้จักกันดี พระปิดตาแร่บางม่วงของหลวงพ่อดิษฐ์มีจำนวนสร้างน้อยมาก พุทธคุณเลื่องลือทางด้านเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดปลอดภัย ค้าขายร่ำรวย

"หลวงพ่อย้อย" ท่านเป็นศิษย์พุทธาคมหลวงพ่อดิษฐ์ที่สำเร็จวิชาเล่นแร่แปรธาตุ และเป่ายันต์นะปัดตลอด เป็นที่เลื่องลือ "ยันต์นะปัด" คือการที่เอาผ้ามาตัดเป็นผืนสี่เหลี่ยมเพื่อที่จะทำผ้ายันต์ จากนั้นก็เขียนผ้ายันต์ที่ลงอักขระยันต์นะปัดตลอด และใช้ฝ่ามือตบลงไปที่ผ้ายันต์ทีเดียว ผ้ายันต์ทุกผืนจะติดอักขระทั้งหมด จึงเป็นที่มาของผ้ายันต์นะปัดตลอด



หลวง พ่อย้อยท่านเป็นพระที่มากเมตตา พูดคำไหนเป็นคำนั้น วาจาท่านศักดิ์สิทธิ์จึงมีลูกศิษย์ลูกหาเลื่อมใสศรัทธาเป็นจำนวนมาก ท่านได้สืบทอดเจตนารมณ์ สืบสานวิชาดังการจัดสร้างพระปิดตาของหลวงพ่อดิษฐ์ จัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นล่าสุดเปิดให้ประชาชนทั่วไปร่วมบุญบูชา ด้วยการรวบรวมแผ่นยันต์แผ่นจาร โลหะธาตุที่เป็นมงคล เครื่องใช้ทองคำ เงิน นาก สำริด ฐานพระบูชา พระกรุ พระเก่า ทั้งเนื้อโลหะ เนื้อผง เนื้อดิน เนื้อว่าน ตั้งแต่สมัยทวารวดีจนมาถึงสมัยปัจจุบัน รวมถึงแร่บางม่วงของเก่าของหลวงพ่อดิษฐ์ ซึ่งตกค้างอยู่ที่วัดอัมพวันนำมาเททองหล่อเป็นวัตถุมงคลขึ้น






วัตถุ มงคลที่จัดสร้างประกอบด้วย พระปิดตาแร่บางม่วง, พระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์, พระกริ่งอัมพวัน และพระชัยวัฒน์ บรรจุมวลสารร้อยแปด และพระอรหันตธาตุของกรุสุโขทัย, ตะกรุดมหาอุด ซึ่งสุดยอดของคงกระพัน, ชูชกเทพเจ้าแห่งทรัพย์และโชคลาภ และพระพิฆเนศ เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ

กำหนด นำเข้าพิธีมหาพุทธาภิเษก-เทวาภิเษก พร้อมพิธีสวดนพเคราะห์เสริมชะตาต่อชีวิตครั้งใหญ่ และงานปิดทองฝังลูกนิมิต ตั้งแต่วันที่ 12-20 กุมภาพันธ์ 2553 ณ มณฑลพิธีวัดอัมพวัน โดยมีพระเทพภาวนาวิกรม วัดไตรมิตรวิทยาราม กรุงเทพฯ เป็นประธานพิธีสวดนพเคราะห์ พระครูภาวนาโสภณ วัดป่าธรรมโสภณ จ.ลพบุรี เป็นเจ้าพิธีกรรม พระเกจิอาจารย์ชื่อดังร่วมนั่งปรกอธิษฐานจิตปลุกเสก อาทิหลวงพ่อพูนวัดบ้านแพน จ.พระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อเอียด วัดไผ่ล้อม จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น หลังเสร็จพิธีแจกฟรี! สมเด็จคะแนนปรกโพธิ์สะดุ้งกลับเนื้อผง ภายในงานมีมหรสพสมโภช สอบถามรายละเอียดสั่งจองวัตถุมงคลได้ที่วัดอัมพวัน ต.บางม่วง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี โทร. 0-2595-1531, 08-3979-9088 รายได้นำไปบำรุงพระพุทธศาสนา ถมเขื่อนหน้าวัดอัมพวัน

การเดินทาง ทางรถยนต์ใช้เส้นทางถนนวงแหวนรอบนอกบางบัวทอง-ตลิ่งชัน เลี้ยวแยกซ้ายมือที่ตำบลบางม่วง ทางน้ำโดยสารเรือหางยาวจากท่าเรือหน้าที่ว่าการอำเภอบางใหญ่ ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีเท่านั้น


วัดบางม่วงเป็นวัดไกล้บ้านผมครับ   นำมาออกหน่อยวันนี้  :001:


ที่มา ข่าวสดรายวัน หน้า32  :002:



99
เมื่อเวลาเรารู้สึกดวงไม่ดี มีเคราะห์ หรือเจ็บป่วย หากท่านใดมีพระกริ่ง(องค์แทนพระพุทธเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาสพุทธเจ้า)ก็ สามารถอาราธนาบารมีของพระองค์ท่านทำน้ำพระพุทธมนต์ ดื่ม รด อาบ กินเพื่อความสวัสดี มีชัยปราศจากเคราะห์ได้นะครับ วิธีการมีดังนี้



วิธีทำ ให้นำน้ำมาใส่ขันหรือภาชนะใดๆๆก็ได้ หน้าองค์พระประธาน โยงสายสิญจน์จากมือพระประธานแล้ววนมายังน้ำมนต์ ส่วนหนึ่งมาไว้กับเราแบบเวลาพระสงฆ์ทำน้ำมนต์ แล้วจุดธูปเทียน บูชาพระรัตนตรัย

ตั้งนโมสามจบแล้วกล่าวว่า

พุทธัง ชีวิตัง ยาวะ นิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ,อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ

วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสสะธัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ.

ธัมมัง ชีวิตัง ยาวะ นิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ ,สวากขาโต ภะคะวา ธัมโม

สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญู...ติ.

สังฆัง ชีวิตัง ยาวะ นิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ,ปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

ญายะปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

สามีจิปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสสะ ยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา

เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย

อัญชะลีกะระนีโย อะนุตตะรัง ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติ.

แล้วนำเอาธูปปักที่กระถางธูปแล้วสวดพระคาถา อุณหิสวิชัย ๓ จบ ดังนี้

อัตถิ อุณหิสสะ วิชะโย ธัมโมโลเก อะนุตะโร

สัพพะ สัตตะ หิตัตถายะ ตัง ตวัง คัณหาหิ เทวะเต

ปะริวัชเช ราชะทัณเฑ อะมะนุสเสหิ ปาวะเก

พยัคเฆ นาเค วิเสภูเต อะกาละ มะระ เณนะวา

สัพพัสมา มะระณา โหตุ เทโว สุขี สะทา สุทธะสีลัง

สะมาทายะ ธัมมัง สุจะริตัง จะเร ตัสเสวะ

อานุภา...ะ โหตุ เทโว สุขี สะทา ลิกขิตัง จินติตัง

ปูชัง ธาระณัง วาจะนังคะรุง ปะเรสัง เทสะนัง

สุตวา ตัสสะ อายุ ปะวัฑฒะ ตีติ


หากจะอาราธนาพระกริ่งทำน้ำมนต์อธิษฐานให้ใครก็เอ่ยชื่อคนนั้นครับ

เสร็จแล้วนำเอาพระกริ่งมาไว้ในมือตั้งนโม ๓จบแล้วสวดพระนามองค์พระไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาสพุทธเจ้าดังนี้

โอม นะโม ภะคะวะเต ไภษัชยะ คุรุ ไวฑูรยะ ประภา ราชายะ ตะถาคะตายะ อะระหะเต สัมมะยักกะ สัมพุทธายะ ตัถยะถา โอม ไภษัชเย ไภษัชเย ไภษัชเย สมุทะคะเต สะวาหะ(สะ-หวา-หะ) ๙จบ

แล้วนำเอาองค์พระกริ่งใส่ลงไปในน้ำมนต์ให้อยู่กึ่งกลางภาชนะ แล้วจับสายสิญจน์สวดดังนี้

ภัน เต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์พุทธเจ้า ผู้ทรงพรอันประเสริฐ พระผู้ประทานพรอันศักดิ์สิทธิ์ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมฉัน ขอพระราชทานให้องค์สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ดาญาณพุทธเจ้าผุ้ทรงมีพระมหา กรุณาธิคุณโปรดทรงปราณีแก่หม่อมฉัน ขอสมเด็จพระพุทธองค์ทรงแสดงพุทธานุภาพอันเรืองฤทธิ์ประสิทธิ์พร้อมไปด้วย พุทธฉัพพัณณรังสีพุทธรัศมีโอภาสสว่างไสว ใหญ่ยิ่งด้วยดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันดังดวงจันทร์วันเพ็ญยามเที่ยงคืน ให้เกิดปรากฏการณ์แก่เกล้าหม่อมฉัน ในวาสนาบารมีที่เกล้าหม่อมฉันสร้างมา ให้เกล้าหม่อมฉันประสพพบในพุทธโอภาส สว่างไสวในจักขุญาณ โสตญาณ มาณญาณ ชิวหาญาณ กายญาณ มโนญาณ ให้เกิดแก่เกล้าหม่อมฉัน และขอให้เกล้าหม่อฉันปราศจากทุกข์โศก โรคภัย และปราศจากอุปัททวัญตรายชนะศัตรูหมู่มารภัยพาลสันดานหยาบทั้งแปดทิศ ด้วยวาสนาบุญญฤทธิ์ที่เกล้าหม่อมฉันสร้างมา ตลอดทั้งทรัพย์สินเงินตราของเกล้าหม่อมฉันที่สูญหายไป มีโภคทรัพย์ภายนอกและอริยทรัพย์ภายใน สุขสรรเสริญ สันติสุขอันใดหายไป ขอพระบารมีให้ไหลคืนมาดังมหาสมุทรทั้ง๘ทิศ ด้วยวาสนาบุญญฤทธิ์ของหม่อมฉัน ที่ได้ตั้งจิตคิดขอพระพรมา โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมฉันด้วย นะอะหัง พุทโธนะ นะโลกะวิทู นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ นะมะอะอุ อิกะมะนะ
พุทธะชีวิตตัง นะมะพะทะ

เป็นอันเสร็จพิธีให้กล่าวนโม๓จบ

เสสัง มังคะลัง ยาจามิ ข้าพระพุทธเจ้าขอคืนเศษเหลือน้ำทิพย์อันเป็นมงคลนี้ แล้วอาราธาองค์พระกริ่งขึ้นจากน้ำแล้วนำน้ำนั้นไปใช้ผสมรด อาบ กิน สะเดาะเคราะห์ต่อชะตา รักษาโรคภัยไข้เจ็บ และเจริญด้วยสิริอายุ วรรณะพละแล้วแต่เราขอจากน้ำมนต์เถิด

หมาย เหตุ ตำรานี้สมเด็จพระสังฆราชแพได้รับถ่ายทอดจากสมเด็จพระปวเรศสมเด็จพระสังฆราช เจ้าได้อาราธนาพระกริ่งทำน้ำมนต์ให้สมเด็จพระวันรัตฉัน เพียงครั้งเดียว อหิวาตกโรคในสมเด็จพระวันรัตก็หายไปสิ้น ท่านอาจารย์อุรคินทร์ วิริยะบูรณะได้รับพระเมตตาจากสมเด็จพระสังฆราชแพบอกกล่าววิธีนี้ไว้และได้นำ มารวบรวมไว้ในตำรา จึงขอนำมาเผยแพร่ต่อครับ


ภาพต้นฉบับเดิมบางส่วน









ที่มาhttp://www.buddhakhun.org/main//index.php ขอขอบคุณครับ



100



The Leshan Giant Buddha พระพุทธรูปเล่อซาน คือ พระพุทธรูปแกะสลักหน้าผา ใหญ่ที่สุดในโลก และยังเป็น 1 ใน มรดกโลกภายใต้ชื่อ "ภูมิทัศน์แห่งเขาเอ๋อเหมยและพระพุทธรูปเล่อซาน"

ประวัติ และข้อมูล เกี่ยวกับ พระพุทธรูปเล่อซาน

    * พระ พุทธรูปเล่อซาน ประดิษฐานอยู่ที่เขาเอ๋อเหมยซาน (หรือที่รู้จักในชื่อ เขาง้อไบ๊ ) บริเวณด้านหน้าพระพุทธรูปคือ แม่น้ำ Qingyi ใน มณฑลเสฉวน(Sichuan) ประเทศจีน
    * เป็นที่น่าหลาดใจที่พระพุทธรูปเล่อซาน ไม่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวในเสฉวน เมื่อปี 2008 เลย
    * องค์พระมีความสูง 71 เมตร ไหล่กว้าง 28 เมตร ถือเป็นพระพุทธรูป แกะสลักหน้าผา ใหญ่ที่สุดในโลก
    * สร้างในช่วงราชวงศ์ถัง ( Tang Dynasty ) เริ่มก่อสร้างในปี 713 นำโดยหลวงจีน ชื่อว่า ไฮ่ถัง (Haithong)
    * เนื่อง จากคุ้งน้ำบริเวณนี้ได้ กลืนกินเรือไปเป็นจำนวนมาก หลวงจีนไฮ่ถัง จึงหวังว่าการก่อสร้าง พระพุทธรูปเล่อซาน จะช่วยปกปักษ์ เรือต่างๆที่ผ่านมาบริเวณนี้
    * หลวงจีนไฮ่ถัง พูดไว้ว่าหากก่อสร้างพระพุทธรูปนี้สำเร็จ จะควักลูกตาของตัวเอง เพื่อเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้า
    * แต่หลวงจีนไฮ่ถังได้มรณภาพลงก่อนที่การก่อสร้างจะแล้วเสร็จ งานก่อสร้างจึงหยุดไปกว่า 70 ปี
    * ต่อมาจึีงมีขุนนางใหญ่นามว่า Jiedushi ได้เข้ามสนับสนุนเรื่องงบประมาณจนก่อสร้างแล้วเสร็จ ในปี 803



รูปนี้ แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ เป็นอย่างมาก เมื่อเทียบขนาดกับนักท่องเที่ยว 2 คน

    หลัง จากการก่อสร้างพระพุทธรูปเล่อซานแล้วเสร็จ เป็นที่หน้าประหลาดใจว่า แม่น้ำ Qingyi ลดความรุนแรง และสงบลงอย่างน่าประหลาด ซึ่งในความเป็นจริง เป็นผลจากการแกะสลักพระพุทธรูป จะมีหินที่ต้องแกะสลักทิ้ง จะถูกทิ้งลงแม่น้ำทำให้กระแสน้ำ สงบลง




ที่มา http://wowboom.blogspot.com  ขอบคุณครับ  :089:

101


"หลวงปู่ปัญญา ปัญญธโร" เป็นพระสงฆ์ 5 แผ่นดิน

ท่านเกิดปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่อุบล ราชธานี

ท่าน ได้มีโอกาสพบหลวงปู่พรหมา แห่งภูเขาควาย จากนั้นพากันเดินธุดงค์ตัดป่าข้ามแม่น้ำโขงไปนครจำปาสัก ไปเรียนวิชากับสำเร็จลุน ก่อนขึ้นภูเขาควายไปเรียนวิชา เตโชกสิณกับฤๅษีทรงอภิญญาสมาบัติ

หลวงปู่ปัญญามีความเมตตาเป็นที่ ตั้ง ใครมีเรื่องเดือดร้อนหลวงปู่ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ด้วยท่านสำเร็จและเชี่ยวชาญเรื่องการเสริมต่อเส้นวาสนา ทำให้ประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ มากมาย

ปัจจุบันหลวงปู่ปัญญา แม้มีอายุเป็นร้อยกว่าปี แต่ท่านได้จัดสร้างเหรียญพิเศษ ชื่อว่า "เหรียญต่อเส้นวาสนาดี มีชัยขอบสตางค์ หลวงปู่ปัญญา 5 แผ่นดิน อายุ 104 ปี วัดหนองผักหนาม จ.ชลบุรี"

เหรียญดังกล่าวมีรูปเหมือนหลวงปู่ปัญญา ที่สำคัญที่ด้านหลังหลวงปู่ปัญญาได้เมตตาเขียนใส่ลายมือที่มีเส้นสมบูรณ์ที่ สุด ท่านเรียกว่า "ลายมือพระโพธิสัตว์" มีเส้นลายมือดี 8 ประการ

1.เส้นชีวิตยาวสุขภาพดี ราบรื่น ห่างไกลจากป่วยเจ็บไข้ ไม่สบาย

2.เส้นสมองยาว ปัญญาดี ตัดสินใจถูก

3.เส้นหัวใจยาวสวย สมหวังในความรัก อารมณ์ดี

4.เส้นวาสนาสูง การลงทุน การงานสำเร็จ มีวาสนาเป็นเจ้าคนนายคน

5.เส้นอาทิตย์ตำแหน่งสวย มีอำนาจ เกียรติยศชื่อเสียง คนดังคนรู้จัก

6.เส้นพุธยาวสวย ฐานะการเงินดี มีเครดิต

7.เส้นคู่ครองเป็นคู่สวย สมหวัง ได้คู่ดี อยู่กันมีความสุข

8.เส้นพฤหัสฯ ความสามารถสูง ชื่อเสียงผลงานเด่น



ที่มาข่าวสด เปิดตลับพระใหม่  ข่าวสด หน้า32   

102




ตรงกันบ้างไหมเอ่ย??


ผู้ที่เกิดเวลาตี 5 ถึง 7 โมงเช้า

ช่วง เวลานี้เป็นเวลากระต่าย จะทำให้คุณเป็นคนรักสวยรักงาม ทำอะไรละเอียดอ่อน สะอาดสะอ้าน ชอบแต่งตัวให้ดูดีเสมอ บุคลิกของคุณจะค่อนข้างสุภาพดูอ่อนโยน พูดจาหวานและนอบน้อมถ่อมตัว มีมารยาทเป็นเลิศ ดูแล้วผู้ดี้ผู้ดี สงบ เงียบ เรียบร้อย เป็นผู้ใหญ่ด้านนิสัยใจคอแม้จะดูเงียบนุ่มปานนั้น ลึกๆมั่นใจและทะเยอทะยานไม่น้อย เป็นคนเข้ม แข็งข้างใน รู้จักระมัดระวังรอบคอบ เป็นนักการทูต จิตวิทยาสูง มีความเข้าอกเข้าใจคนอื่นดี ใจกว้าง โกรธง่ายหายไว จิตใจดี ใจอ่อน ชอบทำบุญ ชอบช่วยเหลือ รสนิยมดี

ผู้ที่เกิดเวลา 7 โมงเช้าถึง 9 โมงเช้า

เวลา นี้เป็นเวลามังกร บุคลิกของคุณจะดูหยิ่งทะนงมาก ท่าทางสง่าผ่าเผย ดูหัวสูง ติดหรู ความทะเยอทะยานจะเห็นได้ชัด คุณดูน่าเกรงใจ เข้าถึงยาก มีความเป็นผู้นำสูง นิสัยของคุณจริงๆแล้วเป็นคนใจกว้างและเด็ดเดี่ยว รักศักดิ์ศรี โมโหร้าย บุ่มบ่าม มุทะลุ ทำอะไรต้องตรงไปตรงมา ไม่ชอบเรื่องเล่ห์หลี่ยม ในด้านดีอยู่ที่เป็นหลักพึ่งพิงได้รับผิดชอบสูงและขี้สงสาร เป็นคนที่มีประสิทธิภาพสูงทีเดียวนะ อนาคตของคุณค่อนข้างแจ่มแจ้งด้วยความมุ่งมั่นบากบั่นของคุณนั่นแหละ

ผู้ที่เกิดเวลา 9 โมงเช้าถึง 11 โมงเช้า

คน ที่เกิดสายเวลานี้ซึ่งเป็นเวลางู โดยมากจะหน้าตาดี แต่งตัวดีเสมอ ด้วยของหรูหราราคาแพงหรือมียี่ห้อ ภาพพจน์ของคุณต้องมาก่อนเสมอบุคลิกของคุณดูเงียบขรึม เรียบร้อยสุภาพนุ่มนวล มายาทดี พ ูดจาหวานหูชื่นใจ นิสัยข้างในค่อนข้างฉลาด เก็บความรู้สึกและค! วามต้องก ารได้นิ่งลึกมาก คุณรักการแข่งขันชิงดีชิงเด่น มีความทะเยอทะยานสูง ชอบทำตัวเด่น อยากมีชื่อเสียง เป็นนักวางแผนผู้ชาญฉลาดใจแข็งไม่หวั่นไหวอ่อนข้อให้ใครง่ายๆถ้าจะล้วงความ ลับจากตัวคุณคง ไม่ง่ายนักหรอก

ผู้ที่เกิดเวลา 11 โมงเช้าถึงบ่ายโมง


เวลา เกิดช่วงนี้เป็นเวลาม้า ทำให้คุณมีบุคลิกของนักกีฬา แข็งแรงอดทน ร่าเริงคึกคัก ชอบสนุกสนาน เรื่องตลกโปกฮาล่ะ ชอบนัก ความที่รักอิสระเสรีกับการเป็นนักผจญภัย ถือเป็นจุดเด่นในตัวคุณ มีความเป็นตัวของตัวเอง ชอบแหกกฎ นิสัยของคุณเป็นคนใจกว้าง กระตือรือร้นมากแต่รอบคอบไม่เป็น ใจร้อน ชอบทำก่อนคิด กล้าลุยไปข้างหน้า จิตใจเข้มแข็ง มานะบากบั่น มีความจริงใจสูง รักเพื่อนและครอบครัว เวลามีทิฐิจะเป็นคนหัวแข็ง ดื้อรั้นสุด ๆเวลาน่ารักจะมีชีวิตชีวาน่าตื่นเต้น เจอมรสุมก็ยังลุกขึ้นสู้ได้ยิ้มได้ทั้งน้ำตาเลยนะคุณน่ะ

ผู้ที่เกิดเวลาบ่ายโมงถึงบ่าย 3 โมง

คุณ ที่เกิดเวลานี้เป็นเวลาแพะ จะเป็นคนใจดีอ่อนโยนจนถึงขั้นขลาดเขิน บุคลิกท่าทางของคุณจะสุภาพอ่อนโยน นุ่มนวล มีมารยาท ดูสุขุมใจเย็น ไม่มีพิษไม่มีภัย ขี้อายแต่มีความคิดสร้างสรรค์ช่างฝัน มีไอเดียมันส์กับเรื่องตลกจี้เส้นที่ทำให้หัวเราะน้ำหูน้ำตาไหล บางเวลาดูเศร้าซึมเพราะชอบคิดมากเกินเหตุ จิตใจดีทำร้ายใครไม่เป็น ถ้าถูกรังแกจะสู้ยิบตา มีความมั่นใจซ่อนไว้ใต้ท่าทางอ่อนโลกคุณเป็นคนซื่อตรงรักสงบ เกลียดความรุนแรง อะไรๆ ก็ดีหมด ยกเว้นเรื่องดื้อรั้นของคุณ ครองแชมป์ ตลอดกาลเลย

ผู้ที่เกิดเวลาบ่าย 3 โมงถึง 5 โมงเย็น


คุณ ที่เกิดเวลาบ่าย ๆซึ่งเป็นเวลาของลิง จะมีอิทธิพลทำให้คุณค่อนข้างแอ็กทีฟไม่อยู่เฉย บุคลิกของคุณดูเปิดเผย ใจร้อน และซุ่มซ่ามนิสัยของคุณเหมือนเด็ก ๆชอบเล่นพิสดาร คุณเป็นคนฉลาดหัวไว มีไหวพริบกล้าพูดกล้าทำ ตรงไปตรงมา เป็นนักวางแผนและรู้จักเอาตัวรอด มีเล่ห์กล แต่ไม่ทำร้ายใครลับหลัง มีความสามารถรอบตัว ปรับตัวเข้ากับคนได้ทุกระดับ ทุ่มเทกับการงานมากงานดีเชื่อมือได้เสน่ห์ในตัวอยู่ที่ความ! ขี้เล่นม ีชีวิต ชีวาเฮฮา แม้ท่าทางจะดูคล้ายกะล่อนเล็กๆแต่ก็หนักแน่นจริงใจมากนะ

ผู้ที่เกิดเวลา 5 โมงเย็นถึง 1 ทุ่ม

ช่วง หัวค่ำเป็นเวลาไก่ส่งผลให้คุณเป็นคนเข้มแข็ง หยิ่งยโส หัวรุนแรง ขวางโลก และหัวโบราณ คุณเป็นคนที่ชอบแต่งตัว ใช้แต่ของดีมีราคา บุคลิกขี้อวดไม่ใช่เล่น ว่าฉันเนี่ยรสนิยมดีนะ ในส่วนลึกของจิตใจคุณเป็นนักอนุรักษ์นิยม เจ้าระเบียบ จู้จี้ขี้บ่นเก่ง หงุดหงิดง่ายดาย ไม่ยอมเสียเงินแบบไร้ค่า ยกเว้นเรื่องภาพพจนน์นะก็โอเค คุณมีหัวในการบริหาร ควบคุม มีความเด็ดขาดละเอียดถี่ถ้วน ต่อสู้กับอุปสรรคไม่มีถอย ยามอารมณ์จะเป็นคนสนุก ชอบล้อเล่น ใจกว้าง มีน้ำใจนักกีฬา ไม่ชอบการใช้อำนาจ เกลียดคนอวดเบ่งที่สุด

ผู้ที่เกิดเวลา 1 ทุ่มถึง 3 ทุ่ม

คุณ ทีเกิดช่วงเวลานี้เป็นเวลาของหมา ทำให้คุณเป็นคนรักคุณธรรม ความถูกต้องซื่อสัตย์จริงใจมาก จนถึงขั้นยึดมั่น ถือมั่นทีเดียว ยืดหยุ่นไม่ค่อยเป็น คิดและทำอะไรก็ตามตรงทื่อไปหมด ไม่กล้าแหกกฎระบบระเบียบจนเกินไป ชีวิตถึงไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่บางครั้งจึงดูน่าเบื่อและแสนเซ็ง มีความขยัน ฉลาด แต่พลิกแพลงไม่เป็น เอาตัวไม่ค่อยรอด คุณเกิดมาเป็นนักปกป้องคุ้มครองคนอื่นมองโลกแบบตรงไปตรงมา ไม่เพ้อฝัน ขาดอารมณ์ทรมานซะแต่ก็เป็นคนตลกจี้เส้น เพราะมองโลกในแง่ดี เรื่องเสียสละเพื่อคนอื่น คุณเป็นเจ้าชาย-เจ้าหญิงในเรื่องนี้เลยล่ะ ซื่อไปนิดเซ็งไปหน่อยแต่จริง ใจไม่มีใครเทียบได้เลย

ผู้ที่เกิดเวลา 3 ทุ่มถึง 5 ทุ่ม

คุณ ที่เกิดเวลาหมู อันเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน ทำให้คุณขี้เกียจนิดๆเฉื่อยหน่อย ๆ คุณรักความเรียบง่ายไม่มากเรื่อง สุภาพอ่อนโยน ใจดี และอบอุ่น บุคลิกออกจะนุ่ม ๆคุณมีจิตใจดี จริงใจ มีอารมณ์สุนทรีย์รักดนตรี ศิลปะสวยงาม มีความโรมานซ์ในหัวใจ แม้จะพูด น้อย แต่เอาอกเอาใจเป็นเลิศ คุณชอบแต่งตัวแบบผู้ดี้ผู้ดี รสนิยมดี ชอบทำอาหารและ ชอบกินด้วย รูปร่างจึงออกจะแข็งแรงและสมบูรณ์คุณเป็นคนใจกว้างและชอบให้อภัย หากถูกทำร้ายจะกลายเป็นหมูป่าสู้ถวายชีวิต ! ความคิดแ ละการกระทำจะเป็นแบบค่อยๆเป็นค่อย ๆไป รอบคอบใจเย็นจนกว่าจะมั่นใจนั่นแหล่ะถึงจะลุย ไม่ว่าคุณจะหญิงหรือชาย คุณจะเป็นแม่บ้านพ่อเรือน และรักครอบครัวมาก

ผู้ที่เกิดเวลา 5 ทุ่มถึงตี 1

เป็น เวลาของหนู คุณที่เกิดเวลานี้จะมีบุคลิกกระตือรือร้น ร่าเริงปราดเปรียวสดใส แต่มีความระแวดระวัง ฉลาดหัวไว ไหวพริบดี ตรงไปตรงมาไม่มีเล่ห์เหลี่ยม บุคลิกท่าทางดูขรึม พูดน้อย เฉยชาแต่มีมารยาท รักเพื่อน มีความสุขในหมู่เพื่อนๆชอบช่วยเหลือและมีน้ำใจ จุดเด่นคือความขยัน และสะสมเก่งคุณมักมีเงินสำรองช่อนไว้ไม่มีใครรู้หรอก ชอบวางแผนการเงิน ประหยัดไม่ฟุ่มเฟือย เป็นคนมีระเบียบ บากบั่นมุ่งมั่นสูง ปรับตัวเก่ง มีความรักแบบผู้ใหญ่รักบ้านรักครอบครัว แต่ก็รักอิสระ ไม่อยากถูกผูกมัด กว่าจะลงเอยกับใคร สักคน คิดนาน คิดลึก จนผมหงอกเลยเชียวล่ะ

ผู้ที่เกิดเวลาตี 1 ถึงตี 3

เวลา นี้เป็นเวลาของวัว ทำให้คุณทำอะไรช้ากว่าชาวบ้าน บุคลิกท่าทางแข็งแรงบึกบึน และอึดเป็นบ้าเลย เป็นคนเฉื่อย แบบใจเย็นๆโกรธยากแต่โกรธทีเหมือนระเบิดลง ข้อดีอยู่ที่มีความบากบั่นมีระเบียบ ขยันอดทนหนักแน่น อยู่ในจำพวกสมบูรณ์แบบนิยม ทำอะไรตรงไปตรงมา ไม่รู้จักปรับตัว ไม่มีเล่ห์เพทุบายกับใครเค้าหรอก คุณน่ะทื่อตรง จนไม่ค่อยทันใคร ขาดอารมณ์ขัน ตลกก็ตลกแบบฝืดๆโดยปกติเป็นคนอดทนมาก ไม่ชอบความรุนแรง การทะเลาะวิวาท เลี่ยงได้จะเลี่ยง ถ้าเลี่ยงไม่ได้คุณจะเปลี่ยนร่างเป็นวัวกระทิงขวิดสุดฤทธิ์ทีเดียว

ผู้ที่เกิดเวลาตี 3 ถึงตี 5

คุณ ที่เกิดเวลานี้จะเป็นคนดวงแข็ง เพราะนี่เป็นเวลาเสือ ส่งผลให้คุณหุนหันพลันแล่น ก้าวร้าวเข้มแข็งและดูมีอำนาจ คุณมีจิตใจที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว มั่นใจในตัวเ องสูง แต่ขาดความรอบคอบ เพราะอารมณ์อยู่เหนือหัวใจ แต่ก็เป็นคนใจดี ชอบเสียสละ ใจกว้างไม่จุกจิกกับเรื่องเล็ก ๆน้อยๆมีความรับผิดชอบ ชอบฉายเดี่ยวไม่อยู่ติดที่คุณมักจะมองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ขี้โม้โอ้อวด หลงใหลเรื่องรักใคร่โรแมนติก ชอบเผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปชั่ววูบ! มีความเ ซ็กซี่เป็นเสน่ห์ส่วนตัวที่น่าดึงดูดใจ ข้อเสียมีแค่ไม่รู้จักยอมออมชอมบ้างขาวเป็นขาว ดำเป็นดำ จะหาสีเทาจากคุณน่ะยากเหลือเกิน



ที่มา www.fwdder.com   ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ    :016:

103




เราตั้งเข็มทิศความคิดอย่างไร ชีวิตของเราจะเดินอย่างนั้น
ถ้าเราคิดผิด ทั้งชีวิตผิดหมด ถ้าเราคิดถูก ทั้งชีวิตถูกหมด
ชีวิตของเรานั้นจะรุ่งโรจน์หรือร่วงโรยตัดสินกันที่ความคิด
พระพุทธเจ้าของเราก็เช่นเดียวกัน


หลังจากเสด็จออกผนวชทรงใช้เวลาถึง 6 ปี ในการแสวงหาวิธีการที่จะตรัสรู้
พระองค์คิดผิดไปทดลองสารพัดวิธีการ
ทดลองเรื่องโน้น ทดลองเรื่องนี้ เป็นเวลา 6 ปีที่เกือบตาย
สุดท้ายบำเพ็ญทุกรกิริยา อดพระกระยาหาร กลั้นลมหายใจเกือบเอาชีวิตไม่รอด


ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พระองค์ได้นั่งถามตัวเองว่าที่ทำมาทั้งหมดไม่น่าจะถูก
ทรงย้อนนึกถึงประสบการณ์เก่าๆ ของพระองค์ตอนที่มีพระชนมายุได้ 7 พรรษา
ขณะที่เสด็จพ่อเสด็จเป็นประธานในพิธีแรกนาขวัญ
เจ้าชายน้อยของเราไปนั่งอยู่ที่ใต้ต้นหว้า
แล้วด้วยความที่ไม่มีใครสนใจ ผู้ใหญ่ก็ไปดูพิธีแรกนาขวัญกันหมด
เจ้าชายน้อยก็นับลมหายใจเล่นๆ จิตสงบมาก
จากบัดนั้นมาจนถึงพระชนมายุ 35 พรรษา
พระองค์ก็ถามตัวเองว่า ที่ฉันทดลองมาตั้ง 6 ปีนี่
บางทีคงจะผิด แล้วทางที่ถูกมันคืออะไร
ก็หลับพระเนตรนึกถึงประสบการณ์ตอนทรงพระเยาว์
ทรงมองเห็นพระองค์ทรงนั่งนับลมหายใจเล่นๆ แล้วมีความสุขมาก
จึงทรงเปลี่ยนความคิดว่าบางทีการนั่งดูลมหายใจอาจจะเป็นหนทางที่ถูก
เย็นวันนั้นทรงสรงสนานที่แม่น้ำเนรัญชรา ประทับนั่งใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์
กำหนดสติไว้ที่ลมหายใจ ไม่ถึง 5 ชั่วโมง พอประทับนั่งจิตนิ่งสงบ
ก่อนรุ่งสางของวันนั้นเองก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า


เห็นไหมว่าถ้าเราคิดถูก เวลาแค่ 1 หรือ 2 ชั่วโมง
หรือเวลาแค่พริบตาเดียวเท่านั้น เปลี่ยนชีวิตของคนทั้งคน
เช่นเดียวกันกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา
ทันทีที่คิดว่าการดูลมหายใจน่าจะถูก วินาทีเดียวที่เปลี่ยนความคิด
พระองค์ก็เปลี่ยนแปลงตัวเองจากปุถุชนเป็นอารยชนเป็นสัมมาสัมพุทธะ
พอเป็นสัมมาสัมพุทธะ เสด็จพระราชดำเนินเผยแผ่พุทธศาสนาไปทั่วอินเดีย
และบัดนี้ศาสนาของพระองค์กลายเป็นศาสนาสากลของโลกไปแล้ว


คนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของตัวเองจนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้
ในทำนองกลับกัน ถ้าคนคนหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงวิธีคิดของตัวเอง
ก็สามารถทำให้โลกทั้งโลกล่มสลายได้เช่นกัน


ในทางยุทธศาสตร์ทุกคนก็คงจะเคยเรียนประวัติศาสตร์มา
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีแม่ทัพใหญ่ๆ ของฝ่ายสัมพันธมิตรหลายคน
หนึ่งในนั้นก็คือ เซอร์วินสตัน เชอร์ชิลล์
ทันทีที่วางยุทธศาสตร์ว่าจะยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดีเสร็จแล้ว
ท่านไปไหน ว่ากันว่าท่านเข้ากระโจมที่พักเลย
เอานวนิยายของเชกสเปียร์ขึ้นมาอ่าน
มีคนไปเห็นก็ถามว่าท่านนายพลเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานท่านอ่านเชกสเปียร์อีกหรือ
นายพลบอกว่า สิ่งที่ควรทำผมทำเสร็จไปแล้ว
และวันรุ่งขึ้นท่านก็รอฟังผลแห่งชัยชนะของกองทัพสัมพันธมิตร
เห็นไหมว่าคนคนหนึ่งถ้าคิดถูกแล้ว อะไรมันจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
วันมะรืน หรือวันข้างหน้า ก็สามารถคาดคะเนได้ถูกต้องแม่นยำ


ฉะนั้น ความคิดถูกจึงเป็นปัจจัยสำคัญของการประสบความสำเร็จในชีวิตของคน
เช่นเดียวกันย้อนไปอีกประวัติศาสตร์สมัยสามก๊ก
ช่วงที่เล่าปี่ระหกระเหินออกจากบ้าน ทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ช่วงแรกของการออกจากบ้าน ใช้แซ่ลี้ตลอด จริงๆ ท่านแซ่เล่านะ เล่าปี่
แต่ขณะที่ยังไม่ได้เจอขงเบ้ง ท่านใช้แซ่ลี้มาหลายสิบปี จนอายุ 40 กว่า
พอมาเจอขงเบ้ง ตอนนั้นขงเบ้งอายุแค่ 26
ออกจากเขาโงลังกั๋งเพื่อไปวางยุทธศาสตร์สามก๊กให้ตามที่เล่าปี่ไปเชิญมา


ศึกแรกที่ขงเบ้งวางยุทธศาสตร์ให้กับเล่าปี่ คือ ใช้กวนอู เตียวหุย จูล่ง
ไปรับศึกใหญ่ทั้งหมด เล่าปี่หันมาถามขงเบ้งว่าแล้วตัวท่านกุนซือจะทำอะไร
ขงเบ้ง บอก ผมจะอยู่ที่กองบัญชาการทำหน้าที่เป็นแม่งานจัดงานเลี้ยงคืนนี้
กวนอูและเตียวหุยโกรธมาก วางแผนให้คนอื่นไปรบ ยังไม่รบชนะเลย
และการรบยังไม่เกิดขึ้น กุนซือเตรียมจัดงานเลี้ยง แต่เล่าปี่ก็เชื่อใจขงเบ้ง
ทันทีที่ออกรบ ขงเบ้งก็ใช้ยุทธศาสตร์ของซุนวู
ในการรบเอาชัยไม่สำคัญที่ปริมาณทหาร
แต่สำคัญที่ใครเป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์
ฉะนั้น ขงเบ้งเห็นชัยชนะก่อนที่จะส่งทหารไปรบ
และศึกครั้งนั้นก็ทำให้เล่าปี่ชนะด้วยการทลายทัพของโจโฉที่เนินพกบ๋อง
นี่คือตัวอย่างทั้งทางโลกและทางธรรม ที่สะท้อนให้เห็นว่า

ถ้าใครก็ตามมีวิธีคิดที่ถูกต้อง
จะเป็นผู้ประสบชัยชนะในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ



ที่มา variety.teenee.com

104



"พระอาจารย์สุริยันต์ โฆสปัญโญ" เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงรูปหนึ่ง

ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากสาธุชนในพื้นที่อำเภอเมืองและใกล้เคียงของ จังหวัดมหาสารคาม สืบ ทอดปฏิปทาและวิทยาคมจาก หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม พระเกจิชื่อดังของภาคอีสาน

ปัจจุบัน พระอาจารย์สุริยันต์ สิริอายุ 30 พรรษา 10 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบูรพาเทพนิมิต อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ และเจ้าอาวาสวัดป่าวังน้ำเย็น ต.เกิ้ง อ.เมือง จ.มหาสารคาม

แม้จะมีอายุและพรรษาน้อยแต่ท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มุ่งวิปัสสนากัมมัฏฐาน นอกจากเป็นพระเกจิแล้วท่านยังเป็นพระนักพัฒนาอีกด้วย ในเวลาเพียง 4 ปีวัดป่าวังน้ำเย็นแห่งนี้ มีถาวรวัตถุที่ใช้ปฏิบัติศาสนกิจมากมาย

สำหรับวัตถุมงคลของพระอาจารย์สุริยันต์ คณะศิษยานุศิษย์ รวมทั้งญาติโยมผู้เคารพศรัทธา ได้ร่วมใจกันจัดสร้างเพื่อบูชาครูและรำลึกถึงคุณงามความดีของท่าน คือ เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรกของท่าน จัดสร้างขึ้นเมื่อต้นปี 2552 จำนวน 10,000 เหรียญ เป็นเนื้อทองแดงชนิดเดียว ลักษณะเป็นเหรียญมีห่วง รูปทรงคล้ายพัดยศยกขอบ

ด้านหน้าเหรียญมีรูปเหมือนพระอาจารย์ สุริยันต์ครึ่งองค์ ที่คอคล้องลูกประคำ บริเวณหน้าอกด้านซ้ายมีเลข ๙ และจากบริเวณด้านขวาของเหรียญโค้งลงไปด้านล่างวนขึ้นไปทางด้านขวาเขียนว่า "พระอาจารย์สุริยันต์ โฆษปญฺโญ วัดป่าวังน้ำเย็น อ.เมือง จ.มหา สารคาม" และใต้ตัวอักษรเขียนว่า รุ่น ๑

ด้านหลังเหรียญเป็นยันต์มหาปรารถนา อ่านว่า "โน เย นะ เย โน ชิ นะ ยา ชิ มา นิ ทิ ปะ สิ วะ ภา ทิ ปะ สิ" เป็นยันต์ที่มีพุทธคุณครอบคลุมทุกด้าน

สำหรับพิธีพุทธาภิเษก พระอาจารย์สุริยันต์ได้อธิษฐานจิตนานถึง 1 พรรษา จากนั้นได้นำเหรียญทั้งหมดไปให้หลวงปู่เฉย วัดสระเกษ อ.แวงใหญ่ จ.ขอนแก่น พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของภาคอีสานอธิษฐานจิตซ้ำอีกครั้ง และยังได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษกใหญ่อีกที่สนามโรงเรียนสารคามพิทยาคม ซึ่งมีพระเกจิชื่อดังของภาคอีสานร่วมพิธีมากมาย อาทิ หลวงปู่คำบุ จ.อุบลราชธานี, หลวงปู่หนูอินทร์ กิตฺติสาโร จ.กาฬ สินธุ์, หลวงปู่เหรียญชัย มหาปัญโญ จ.อุดรธานี, หลวงปู่เฉย ญาณธโร จ.ขอนแก่น เป็นต้น

ภายหลังเสร็จพิธีได้นำออกให้ญาติโยมเช่าบูชาเหรียญละ 99 บาท รายได้สมทบทุนก่อสร้างสาธารณูปโภคสาธารณูปการภายในวัดป่าวังน้ำเย็น

เหรียญพระอาจารย์สุริยันต์นับเป็นเหรียญดีอีกเหรียญหนึ่งของจังหวัด มหาสารคามที่มีอนาคตไกล เนื่องจากได้รับการพุทธาภิเษกถึง 3 ครั้ง ขณะนี้ราคาเช่าหายังอยู่หลักร้อยต้นเท่านั้น

แม้เหรียญนี้เพิ่งจัดสร้างออกมาเพียงไม่นาน แต่ปรากฏว่าบรรดาเซียนพระและนักนิยมสะสมพระเครื่องต่างเริ่มเสาะหาแล้ว




ที่มาข่าวสด  เปิดตลับพระใหม่   ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ  :001:

105
ก่อนจะซื้อ "สังฆทานสำเร็จรูป" ทำบุญครั้งต่อไป ...ลองแวะอ่านก่อน มีไอเดียดีๆ มาแนะนำ !!!




"การทำบุญ คือ การสละอย่างฉลาด ไม่ใช่การซื้ออย่างตะบี้ตะบัน"


เมื่อเราจะทำบุญกันทั้งที อยากให้มีสติกันสักนิด หากจะเลือกการทำทานที่เรียกว่า "สังฆทาน" ขอ ให้ช่วยพิจารณาชุดสังฆทานและชุดไทยธรรม ที่เราไปลองหาซื้อกันมาจำนวน 15 ชุดเสียก่อน แล้วค่อยลองดูว่า ถ้าจะถวายสังฆทานครั้งต่อไป จะยังเลือกซื้อสังฆทานสำเร็จรูปกันอีกหรือไม่

จากการสำรวจชุดสังฆทานสำเร็จรูป ที่ซื้อมาพบว่า สิ่งของส่วนใหญ่ประกอบด้วย 5 หมวดหลัก ได้แก่

1.ภาชนะบรรจุ ส่วนใหญ่มักเป็นถังพลาสติดสีเหลือง กล่อง ตะกร้าพลาสติก กล่องกระดาษ แต่ที่แนวที่สุดในการสำรวจคือ ย่ามพระ
2. ผลิตภัณฑ์อาหาร ได้แก่ ใบชา เครื่องดื่มขิง เครื่องสมุนไพร น้ำดื่ม น้ำรสผลไม้ เครื่องดื่มมอลต์ นมพร้อมดื่ม นมถั่วเหลือง นมข้นหวาน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง ข้าวสาร ขนมอบ กาแฟและครีมเทียม
3. ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ ได้แก่ สบู่ กล่องสบู่ ขัน แก้วน้ำ ถาด ตะกร้า ไม้ขีดไฟ แปรงสีฟัน ไม้จิ้มฟัน ผ้าขนหนู มีโกน เข็มด้าย ธูปเทียน กระดาษทิชชู กรรไกรตัดเล็บ แหนบ ผงซักฟอก ก้านสำลี สมุด ปากกา ยากันยุง น้ำยาล้างจาน ฟองน้ำล้างจาน ร่ม ผ้าขนหนูขนาดเล็ก
4. ยารักษาโรค ได้แก่ ยาหอม ยาอม ยาหม่อง ยาลดกรดในกระเพาะ ยาธาตุน้ำแดง ยาแก้ปวดลดไข้
5. เครื่องไช้สำหรับพระ ได้แก่ ผ้าอาบน้ำ ผ้าอังสะ ผ้ากราบ

ข้าว ของเครื่องใช้ข้างต้น ซึ่งสำรวจเมื่อปลายปี 2552 พบว่าแทบไม่แตกต่างจากการสำรวจเมื่อปี 2546 จึงขอเสนอทางเลือกให้จัดสังฆทานกันเอง เพราะข้าวของส่วนใหญ่ในสังฆทานสำเร็จรูป พระไม่ค่อยได้ใช้หรือมักเป็นของไม่มีคุณภาพ รวมไปถึงพวกถังเหลือง กล่องสบู่และขันน้ำ ที่ถูกนำไปกองทับถมอยู่ล้นวัด

เพราะจากการลองนำรายการสินค้าข้างต้นไปสำรวจสอบถามความเห็นจากพระสงฆ์ พบว่า มีแต่ของที่ไม่จำเป็นและมีประโยชน์น้อย โดย 10 อันดับรายการสินค้าที่ไม่จำเป็นที่สุด คือ

1. ใบชา เพราะพระไม่ค่อยฉันท์แล้ว ควรเปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้แท้ (ไม่ใช่น้ำรสผลไม้) เนื่องจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพและไม่หวานเกินไป
2. ขิงผงสำเร็จรูป เป็นเครื่องดื่มที่ไม่ค่อยนิยม แค่คนกลับชอบถวาย
3. ยาจุดกันยุง สำหรับพระเมืองสินค้านี้ไม่ใช่สิ่งจำเป็น ขณะที่อาจจำเป็นสำหรับพระป่า
4. นมข้นหวาน เพราะพระไม่ทราบว่าจะได้ใช้ตอนไหน เนื่องจากถือว่าเป็นอาหาร ไม่สามารถฉันท์ได้หลังเวลาเพล
5. กาแฟ เพราะพระไม่ทราบว่าจะได้ฉันท์ตอนไหนเช่นกัน

6. ถัง กล่องสบู่ ขวดน้ำ ขัน เพราะมีล้นวัด
7. บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ถือเป็นของไม่มีประโยชน์ นอกจากนี้ พระฉันท์เพียง 2 มื้อเท่านั้น และมักหมดสภาพตั้งแต่อยู่ในถังสังฆทานแล้ว
8. น้ำดื่มบรรจุขวด เพราะมีสภาพไม่น่าดื่ม และแต่ละวัดมีระบะน้ำดื่มที่ดีกว่า
9. ขนมอบ เพราะไม่ดีต่อสุขภาพ
10. ธูปเทียน ไม้ขีดไฟ เพราะมีจำนวนมากเกินไปและอยู่ในสภาพไม่เหมาะกับการใช้งาน

ขณะที่สิ่งของ 10 อันดับที่ควรถวายในชุดสังฆทาน แต่เรานึกไม่ถึง ได้แก่

1. ยาสระผม แค่คงไม่ถึงขั้นต้องถวายครีมนวดด้วย เพราะพระใช้เพียงเพื่อให้โกนศรีษะได้ง่ายขึ้น และยังใช้ดูแลหนังศรีษะบ้างเท่านั้น
2. มีดโกน เพราะเป็นของจำเป็น พระต้องใช้บ่อยแต่ไม่ค่อยมีคนถวาย
3. เครื่องครัว เช่น จาน กระทะ หม้อ ช้อน แก้วน้ำที่คุณภาพดี เพราะแม้พระไม่ได้ใช่เอง แต่ชาวบ้านที่มาจัดงานบุญจะได้ใช้เสมอ
4. อุปกรณ์งานช่าง เช่น ค้อน ตะปู ไขควง สว่าน เพราะพระ โดยเฉพาะพระนอกเมืองคิดว่าเป็นสิ่งจำเป็น เพราะสามารถนำไปดูแลศาสนสถานภายในวัดได้
5. อุปกรณ์ทำความสะอาด เช่น ไม้กวาด ไม้ถูพื้น ไม้กวาดทางมะพร้าว ที่โกยขยะ เพราะจำเป็นต่อการรักษาความสะอาดภายในวัด

6. ข้าวสารและอาหารแห้ง แต่สินค้าที่ถูกบรรจุในสังฆทานมักไม่ได้คุณภาพ แต่หากเราเลือกของคุณภาพดี พระสามารถรวมไปบริจาคหรือดูแลคนด้อยโอกาสที่วัดอุปการะอยู่ได้
7. เครื่องเขียน เช่น สมุด ปากกา ดินสอ เพราะพระสามารถทำไปใช้ประโยชน์ในกิจการงานบุญได้
8. หนังสือธรรมะ หนังสือดูแลสุขภาพกายและใจ หนังสือที่น่าสนใจต่างๆ
9. สบง จีวร ผ้าอาบน้ำ แต่ควรเลือกที่มีคุณภาพดี แม้ราคาจะแพง เพราะสามารถใช้ประโยชน์ได้หลายปี อนึ่งการเลือกสี ขนาดและเนื้อผ้าควรศึกษาก่อนซื้อ เพราะแต่ละวัดมีระเบียบในการครองผ้าแตกต่างกัน
10. ยารักษาโรค ควรเลือกแบบที่คุณภาพดี พร้อมกับคู่มือการใช้งาน



ที่มา นิตยสาร "ฉลาดซื้อ" ฉบับที่ 105 เขียนโดย กองบรรณาธิการ


106



เมื่อวันที่ 16 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีชาวบ้านในพื้นที่ จ.ขอนแก่น และใกล้เคียงจำนวนมากเดินทางไปที่วัดป่าอภัยวัน ต.บ้านทุ่ม อ.เมือง จ.ขอนแก่น เพื่อกราบไหว้บูชาหลวงพ่อพันปีศรีตะเคียนทองปางไสยาสน์ ที่มีอายุกว่า 1,000 ปี

นายอภิชัย อุดมวรรธ์ นายกเทศมนตรีตำบลบ้านทุ่ม เปิดเผยว่า พระครูปลัดชาญ ธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดป่าเขาล้อม เป็นเพื่อนกับหลวงพ่อทองพูน ปุญญกาโม เจ้าอาวาสวัดป่าอภัยวัน หารือกันเกี่ยวกับพระพุทธรูปที่เรียกว่าหลวงพ่อพันปีศรีตะเคียนทอง โดยขอให้มาช่วยการก่อสร้างพระมหานวมินทรเจดีย์ศรีอีสาน เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา รัชกาลที่ 9 ที่วัดป่าอภัยวัน จึงนำหลวงพ่อพันปีศรีตะเคียนทองปางไสยาสน์ที่แกะสลักจากไม้ตะเคียนทอง พร้อมพระพุทธรูปปางประจำวัน เช่น ปางประสูติ ปางตรัสรู้ ซึ่งมีหน้าตักกว้างถึง 109 นิ้ว หลวงพ่อพุทธบูรพามหาบารมีซึ่งเป็นพระพุทธรูปแกะสลักจากไม้ตะเคียนทองขนาด ความสูง 3.70 เมตร หน้าตักกว้าง 3 เมตร พระนาคปรกที่แกะสลักอย่างงดงาม รูปแกะสลักสิทธัตถะราชกุมาร หรือพระพุทธรูปปางประสูติ มาประดิษฐานพร้อมกับหลวงพ่อพันปีศรีตะเคียนทองปางไสยาสน์ ที่ศาลาวัดป่าอภัยวันตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค.53 ในเทศกาลบุญกุ้มข้าวใหญ่ของชาวขอนแก่น พร้อมประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ ยกเสาร์เอก พระมหานวมินทรเจดีย์ศรีอีสาน เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา รัชกาลที่ 9

นายอภิชัยกล่าวต่อว่า หลวงพ่อพันปีศรีตะเคียนทองปางไสยาสน์แกะสลักจากไม้ตะเคียนทองที่ขุดพบนั้น จมอยู่ใต้ดินลึกกว่า 5 เมตร ขณะสร้างเขื่อนสียัด อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา และพบไม้จำนวนหนึ่งกลายเป็นหินไปแล้ว จึงสันนิษฐานว่าไม้ตะเคียนเหล่านี้มีอายุนับพันปี ชาวบ้านและผู้ขุดพบจึงนำมาถวายพระครูปลัดชาญ จึงให้สร้างเป็นพระพุทธรูปปางต่างๆ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้สักการบูชาพระพุทธรูปปางประจำวัน โดยเฉพาะองค์พระแกะสลักปางเสด็จดับขันธปรินิพพานที่มีความยาวถึง 10 เมตร สูงถึง 3 เมตร นับว่าเป็นพระพุทธรูปแกะสลักที่ใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งของประเทศไทย โดยได้รับการแกะสลักจากช่างฝีมือด้วยความวิจิตรบรรจง จึงทำให้องค์หลวงพ่อสวยงามเป็นที่น่าอัศจรรย์แก่ผู้พบเห็น



ที่มา ข่าวสด ขอบคุณครับ

107
ธรรมะ / การทำทาน
« เมื่อ: 17 ม.ค. 2553, 06:34:55 »
คํา ที่มักพูดติดกันเสมอ "ทำบุญ-ทำทาน" ความหมายของการทำบุญหลายคนคงพอนึกออก แต่การทำทานนั้นมีความหมายมากมายกว่าที่คิด รวมถึงอานิสงส์ของการให้ทานก็มีมากกว่าที่เข้าใจ

"ทาน" คือ การให้หรือบริจาคทั่วๆ ไป

การทำทาน คือ การทำความดีอย่างหนึ่ง เพื่อเป็นการชำระจิตใจของตนให้ดีขึ้น

ตามความเป็นจริงแล้วการทำบุญทำทานมิได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะการถวายอาหารหรือ ปัจจัย (เงิน) หรือบริขารต่างๆ ด้วยการตักบาตร การถวายสังฆทาน การทอดกฐินหรือผ้าป่า หรือการสร้างเสนาสนะ ฯลฯ ให้แก่ภิกษุหรือสามเณรเท่านั้น แต่รวมถึงการบริจาคกำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังความคิดและวิชาความรู้ให้แก่คนทั่วไปด้วย

แต่จะเกิดบุญกุศลได้จริง ต่อเมื่อเป็นการทำทานด้วยความบริสุทธิ์ใจและทำอย่างถูกต้อง กล่าวคือ ต้องมีหลักธรรมเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย ดังนี้

- ทำด้วยความเมตตา ด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม หรือแม้ในบางกรณีที่จะเป็นประโยชน์ส่วนบุคคลก็ตาม หากทำด้วยความเมตตาอย่างแท้จริงก็จะเกิดเป็นบุญกุศลทั้งนั้น

- ทำด้วยความศรัทธา และเห็นแก่ประโยชน์ที่จะเกิดจากทานนั้นจริงๆ มิใช่ทำตามกระแสหรือฝืนใจทำ การฝืนใจทำจะไม่เกิดอานิสงส์

- ทำด้วยความเสียสละ ไม่หวังอามิสเป็นสิ่งตอบแทน ไม่เอาหน้าหรืออยากมีชื่อเสียง ไม่เอาบุญคุณ และไม่มีอคติหรือเลือกปฏิบัติ

- ทำตามกำลังความสามารถของตน ไม่ทำจนเกินตัว และไม่ทำเพราะความโลภ

การทำทานเพราะความโลภมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ เช่น ตักบาตรด้วยอาหารเพียงชุดเดียว แต่อธิษฐานขอให้ได้โน่นได้นี่สารพัดอย่าง เป็นการลงทุนเพียงนิดเดียว แต่จะเอาคืนตั้งมากมาย อย่างนี้เรียกว่าค้ากำไรเกินควร

ทานเช่นนี้จะไม่มีอานิสงส์ การทำทานที่บริสุทธิ์ที่มีหลักธรรมกำกับดังกล่าวข้างต้น แม้เพียงน้อยนิดตามกำลังที่ตนจะพอมี ก็จะเกิดอานิสงส์และเป็นบารมีแก่ผู้ให้เป็นอันมาก เพราะนอกจากความสุขใจที่ได้รับขณะที่ให้ทานนั้นแล้ว ยังปลูกฝังให้เป็นคนที่รู้จักเสียสละอย่างแท้จริงด้วย

ผู้ที่เสียสละอะไรได้จริงๆ จะเป็นคนที่ปล่อยวาง ผู้ที่ปล่อยวางได้ง่าย คือ ผู้ที่มีอุเบกขา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติธรรมเป็นอันมากอีกอย่างหนึ่ง

ผู้ที่เสียสละและปล่อยวางอะไรได้ง่ายๆ ก็จะเป็นคนที่ไม่ยึดติดในเรื่องหยุมหยิม ไม่เป็นคนขี้อิจฉาริษยา ไม่ชอบเอารัดเอาเปรียบ ไม่มีอคติ มีความเที่ยงธรรม จิตใจก็จะสงบลงได้ง่าย อาจกล่าวได้ว่าทานบารมีมีส่วนในการเสริมสร้างเมตตาบารมีได้เป็นอย่างดี

นี่คืออานิสงส์ของการให้ทานที่ถูกต้อง


ที่มา ข่าวสด คอลัมน์ ศาลาวัด  :089:

108



"มอญ" เป็นชนชาติโบราณที่อาศัยอยู่ในแถบตอนล่างของพม่า เขตเมืองเมาะตะมะ เมาะลำเลิง พะสิม หงสาวดี แล้วก่อตั้งเป็นอาณาจักร "ศิริธรรมวดี" และรับพุทธศาสนาคติลังกาวงศ์เข้ามาประดิษฐาน

ศูนย์กลางของชาวมอญที่เรียกตัวเองว่า "รามัญ" หรือ "ตะเลง" นั้น จะอยู่ที่เมือง หงสาวดี ที่มีตำนานการสร้างเมืองเนื่องจากพบหงส์ทองสองตัวลงมาเล่นน้ำ ก่อนที่จะถูกพวก "พยู" หรือ "พม่า" แห่งอาณาจักรพุกามรุกราน จนต้องอพยพหลบหนีและกลายเป็นเมืองขึ้น หรือกระทั่งถูกกลืนชาติในที่สุด

แต่อาจกล่าวได้ว่าแม้มอญจะพ่ายแพ้ในการรบ หากแต่มีชัยชนะเหนือ "งานศิลปะ" ซึ่งได้เข้าไปปรากฏอิทธิพลในพม่า จนอาจกล่าวได้ว่าศิลปะของพม่านั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของงานศิลปะของชาวมอญนับ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน



ในขณะที่ไทยสยามเชื่อเรื่องการบูชาแม่น้ำคงคา และพระแม่คงคา ตลอดจนประเพณีการจองเปรียง หรือตำนานของนางพระยากาเผือก อันเป็นการผสมผสานระหว่างคติฮินดูกับพุทธศาสนา ชาวมอญกลับมีความเชื่อว่าประเพณีลอยกระทงผูกพันอยู่กับ "พระอุปคุตเถระ" ซึ่งเป็นพระมหาเถระซึ่งทรงอิทธิฤทธิ์ปรากฏเรื่องราวในพุทธศาสนาว่า ท่านบำเพ็ญธรรมอยู่กลางมหานทีอันกว้างใหญ่ในโลหะปราสาท

เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ที่ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในอินเดีย ทรงโปรดฯ ให้กระทำสังคายนาพระไตรปิฎกเป็นครั้งที่ 3 แต่ปรากฏว่าพญามารเข้ามาก่อกวนมณฑลพิธี จนต้องอาราธนาพระอุปคุปต์มาปราบ ด้วยการเนรมิตซากสุนัขเน่าเหม็นห้อยติดคอพญามาร และทำอย่างไรก็ไม่สามารถแก้หลุดได้ จนพญามารต้องยอมศิโรราบ ทำให้การสังคายนาพระไตรปิฎกสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี





ชาว มอญแห่งเมืองศิริธรรมวดี หรือเมืองสะเทิม ที่มีนิวาสสถานใกล้กับใจกลางมหานทีหรือมหาสมุทร อันเป็นที่บำเพ็ญธรรมขององค์พระอุปคุปต์ จึงพากันบูชาโดยการสร้างเป็นแพไม้ไผ่ขนาดใหญ่ มุงด้วยใบจาก ภายในบรรจุอาหารคาวหวาน ข้าวของเครื่องใช้ รูปจำลองขององค์พระอุปคุปต์ ซึ่งทุกเรือนชานบ้านช่องต่างพากันบริจาคข้าวของสิ่งละอันพันละน้อย เพื่อบูชาองค์พระอุปคุปต์ที่อยู่กลางมหานที และนำแพไม้ไผ่ไปลอยลงแม่น้ำใหญ่ หรือทะเล ในวันเพ็ญเดือนสิบสอง หากผู้ใดตกทุกข์ได้ยากขาดแคลน เมื่อพบเจอแพบูชาก็สามารถนำข้าวของต่างๆ ไปใช้ได้ ซึ่งก็นับเป็นการทำกุศลของชาวมอญอีกลักษณะหนึ่ง

ธรรมเนียมการบูชาพระอุปคุปต์นี้แพร่หลายในหมู่ชาวพม่า มีการสร้างรูปบูชาพระอุปคุปต์ในลักษณาการพระพุทธรูปไม้นั่งอยู่กลางน้ำ บนพระเศียรคลุมด้วยใบบัว และตามร่างกายมีเข็มปักติดอยู่ทั่วพระวรกาย รู้จักกันแพร่หลายว่า "พระบัวเข็ม" อันสื่อความหมายถึง "พระธรรม" ที่พระอุปคุปต์ทรงแสดงปราบพญามาร นอกจากนี้ ชนชาติเขมรยังรับคติความเชื่อเรื่องพระอุปคุปต์มาจำลองเป็นเทวประติมากรรม ขนาดเล็ก ทำด้วยสัมฤทธิ์ เป็นรูปองค์พระนั่งอยู่ในเปลือกหอยลักษณะต่างๆ สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันครับผม


ที่มา คอลัมน์ พันธุ์แท้พระเครื่อง โดย ราม วัชรประดิษฐ์


109




"หลวง ปู่จันทร์ เขมิโย" หรือ "พระเทพสิทธาจารย์" อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครพนม (ธ) อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีเทพประดิษฐาราม อ.เมือง จ.นครพนม อีกพระสงฆ์ชื่อดังรูปหนึ่งของเมืองไทย เป็นศิษย์หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ที่มีจริยวัตรศีลาจารวัตรเปี่ยมล้นด้วยเมตตาธรรม

ท่านมีนามเดิมว่า จันทร์ สุวรรณมาโจ ในวัยเยาว์ 7 ขวบ เริ่มอ่านอักษรสมัยเบื้องต้นคือ หนังสือไทยน้อย ขอม ไทยใหญ่ ก่อนเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ บรรพชาเป็นสามเณรตั้งแต่วัย 10 ขวบ

ในห้วงครองสมณศักดิ์จากพระครู สารภาณพนมเขต จนเป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่พระเทพสิทธาจารย์ ท่านได้ปกครองคณะ สงฆ์ในฐานะรองเจ้าคณะภาค 8-11 และเป็นที่ปรึกษาภาค 8-11 ตามลำดับ

จนกระทั่งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2516 ท่านได้ละสังขารอย่างสงบ ด้วยโรคชรา สิริอายุ 92 ปี พรรษา 72



กล่าว ขวัญกันว่า วัตถุมงคลของหลวงปู่จันทร์ในแต่ละรุ่น ถ้าได้แขวนห้อยคอติดตัวไว้ พร้อมกับประพฤติดีปฏิบัติชอบ รักษาศีล 5 จะมีพุทธคุณแคล้วคลาดปลอดภัย เปรียบเสมือนแก้วสารพัดนึก

สำหรับหนึ่งในวัตถุมงคลของหลวงปู่จันทร์ ที่โดดเด่นรุ่นยุคต้นๆ คือ พระพุทธชินราช หลวงปู่จันทร์ วัดศรีเทพประดิษฐาราม

เป็นเหรียญที่สร้างพร้อมกับเหรียญหลวงปู่จันทร์รูปไข่ รุ่นแรก พ.ศ.2500

ย้อน ไปขณะท่านมีสมณศักดิ์ที่พระสารภาณมุนี เดิมทีพระประธานในอุโบสถเป็นพระพุทธชินราช มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดในประเทศไทยองค์หนึ่ง องค์จริงประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก

ต่อ มาชาวบ้านไปพบพระพุทธรูปองค์หนึ่งอยู่ในโบสถ์วัดร้างแห่งหนึ่ง ปากใบหูถูกงัด หลวงปู่จันทร์จึงอัญเชิญมาประดิษฐานไว้เป็นพระประธานในอุโบสถ นามว่า "พระ แสง" คาดสร้างสมัยเดียวกันกับพระสุก พระเสริม และพระใส

เหรียญพระ พุทธชินราชจัดสร้างพร้อมเหรียญหลวงปู่จันทร์รุ่นแรก พ.ศ.2500 โดยนายสง่า จันทรสาขา อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม น้องชายต่างมารดาของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรี

สมัยนั้นไม่มีการเปิดให้บูชาอย่างเป็น ทางการ โดยมีวัตถุประสงค์ไว้แจกญาติโยมและลูกศิษย์ที่มาทำบุญเท่านั้น จัดสร้างเป็นเนื้อเงิน เนื้อทองแดงกะไหล่ทอง แต่ไม่ทราบจำนวนสร้างที่แน่ชัด

ด้านหน้าเหรียญ ประดิษฐานเป็นรูปพระพุทธชินราช ขอบซ้าย-ขวา เป็นลายกนก

ด้าน หลังเหรียญ แบนราบระบุ พ.ศ.สร้าง "๒๕๐๐" ถัดลงมาเป็นยันต์ของวัด ซึ่งเป็นยันต์ 8 ทิศ โครงสร้างของยันต์มีคาถาของพระเจ้า 5 พระองค์ "นะโมพุทธายะ" กำกับไว้ มีความหมายถึงความปลอดภัยทั้ง 8 ทิศ

เหรียญ ดังกล่าวหลวงปู่จันทร์ปลุกเสกเดี่ยวนาน 1 พรรษา มีพุทธคุณครบรอบด้าน ทั้งเมตตามหานิยม มหาโชคมหาลาภ แคล้ว คลาดปลอดภัยจากภยันตรายสูง

เป็น เหรียญที่ได้รับความนิยมที่บรรดาเซียนพระและนักนิยมสะสมพระเครื่องให้ความ สนใจ ราคาเช่าหาในปัจจุบันอยู่ที่ 30,000-80,000 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพความคมชัดของเหรียญพระ

แต่พบเห็นได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากจัดสร้างจำนวนน้อยมาก




ที่มา คอลัมน์ เปิดตลับพระใหม่ ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ  :054:

110




"พระ ครูพิทักษ์ประทุมเขต" อดีตเจ้าอาวาสวัดตระคลอง (วัดบ้านโคกไร่) และอดีตเจ้าคณะตำบลงัวบา อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม เป็นพระนักปฏิบัติที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัยอย่างสูง สืบทอดปฏิปทาและวิทยาคมจาก พระครูสุนทรสาธุกิจ หรือ หลวงปู่ซุน วัดบ้านเสือโก้ก อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม บูรพาจารย์รุ่นเก่ารูปหนึ่งของภาคอีสาน



อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า สุดใจ แสนโง เกิดในปี พ.ศ.2447 ณ บ้านหนองแวงต้อน อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม เป็นบุตรของพ่อศรีสมบัติ-แม่ทุม แสนโง ครอบครัวประกอบอาชีพทำไร่ทำนา

ด้วยฐานะทางบ้านค่อนข้างจะยากจน หลังจบการศึกษาระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนในหมู่บ้านแล้ว ได้ออกมาทำงานช่วยครอบครัวทำไร่ทำนา จนอายุย่าง 15 ปี โยมบิดา-มารดา ได้นำไปบรรพชาที่วัดในหมู่บ้าน

เมื่ออายุครบบวช 20 ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดบ้านหนองแวงต้อน ต.งัวบา อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม โดยมีพระครูสุนทรสาธุกิจ หรือหลวงปู่ซุน เจ้าอาวาสวัดบ้านเสือโก้ก เป็นพระอุปัชฌาย์





ภาย หลังอุปสมบทได้อยู่จำพรรษาที่วัดบ้านเกิด ทุกวันท่านจะเดินเท้าเข้าไปศึกษาพระปริยัติธรรมที่สำนักเรียนวัดโสมนัสฯ ในเขตอำเภอวาปีปทุม ซึ่งเป็นสำนักเรียนใหญ่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยนั้น ด้วยความขยันขันแข็งมุมานะจนสอบได้นักธรรมชั้นเอกและจบมูลกัจจายน์

นอก จากนี้ ท่านยังให้ความสนใจด้านวิทยาคม จึงเดินทางไปเรียนวิทยาคมกับหลวงปู่ซุน รวมทั้งได้เรียนการอ่านเขียนอักษรลาว ขอม และไทยน้อย

ต่อมา วัดตระคลอง หรือวัดบ้านโคกไร่ ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดว่างลง คณะสงฆ์จึงได้แต่งตั้งให้ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส

ท่าน ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจพัฒนาวัดในทุกด้านอย่างเต็มความสามารถ โดยเฉพาะการศึกษา ท่านให้ความสำคัญมาก เพราะผู้บวชเรียนส่วนใหญ่ล้วนมาจากครอบครัวที่ยากจน รวมทั้งสำนักเรียนใหญ่อยู่ไกลถึงในตัวอำเภอวาปีปทุม

ท่านจึงเปิด สำนักเรียนขึ้นและให้ความอุปถัมภ์จัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอนต่างๆ ให้กับสำนักเรียนวัดบ้านโคกไร่ อีกทั้งให้ทุนการศึกษากับพระภิกษุ-สามเณรที่เรียนดีทุกปี



ตำแหน่งงานด้านปกครอง พระครูพิทักษ์ประทุมเขต ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดตระคลอง เป็นเจ้าคณะตำบลงัวบา

ส่วนสมณศักดิ์ ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรเจ้าคณะตำบลชั้นเอก ในราชทินนามที่ พระครูพิทักษ์ประทุมเขต

เนื่อง จากเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีเมตตาธรรมสูง ครองตนอยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์อย่างสมถะเสมอต้นเสมอปลาย ทำให้ท่านมีชื่อเสียงอยู่ในศรัทธาของชาวอำเภอวาปีปทุม ในแต่ละวัน มีญาติโยมจากทั่วสารทิศเดินทางมากราบนมัสการรับฟังธรรมจากท่านอย่างล้นหลาม เพื่อขอประพรมน้ำพระพุทธมนต์ รวมทั้งปรารถนาในวัตถุมงคลเหรียญรูปเหมือนและตะกรุดโทนที่เข้มขลัง มีพุทธคุณรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นแคล้วคลาดปลอดภัย คงกระพัน และเมตตามหานิยม






สำหรับ ปัจจัยที่ได้รับการบริจาคจากศรัทธาญาติโยม ท่านได้นำไปพัฒนาสาธารณูป โภค สาธารณูปการ สร้างความเจริญให้กับวัดแห่งนี้ อาทิ พระอุโบสถ ประตูโขง กำแพงแก้ว กุฏิ เป็นต้น นอกจากนั้นหลวงปู่ยังร่วมพัฒนาชุมชนในทุกๆ ด้าน

ถึง แม้วิทยาคมของท่านจะเข้มขลังเพียงใด ท่านก็ไม่เคยโอ้อวด กลับพร่ำสอนญาติโยมให้ยึดคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อขณะยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ขอให้ทุกคนหมั่นประกอบแต่กรรมดี ละความชั่ว และอย่าดำรงชีวิตอยู่ด้วยความประมาท รู้จักตอบแทนบุญคุณบุพการี ครู อาจารย์ เพียงเท่านี้ชีวิตของตนเองและครอบครัวก็จะพานพบแต่ความสุขความเจริญตลอดไป ไม่มีตกต่ำ

ในช่วงบั้นปลายของชีวิต หลวงปู่อาพาธบ่อยครั้งด้วยโรคชรา สุดท้าย ได้มรณภาพอย่างสงบ ในปี พ.ศ.2529 สิริอายุ 82 พรรษา 62

ณ วันนี้ถึงแม้หลวงปู่จะละสังขารไปนานกว่ายี่สิบปีแล้ว แต่คุณงามความดีของท่านยังคงปรากฏอยู่ในใจของชาวมหาสารคาม


ขอบคุณที่มาจาก  คอลัมน์ อริยะโลกที่ 6 โดย เชิด ขันตี ณ พล ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ  :089:


111



วัด อรุณราชวรารามวรมหาวิหาร" ตั้งอยู่ที่ 34 ถ.อรุณอมรินทร์ แขวงวัดอรุณฯ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ มีพระปรางค์เป็นสัญลักษณ์โดดเด่นอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เหมาะสมเป็นวัดประจำรัชกาลแห่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงได้รับการยกย่องจากองค์กรศึกษาวัฒนธรรมแห่งสหประ ชาชาติ ให้ทรงเป็นบุคคลผู้สร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมของโลก

พระปรางค์ ที่สูงสง่าเป็นหน้าเป็นตาของกรุงเทพฯ องค์นี้ เดิมสูงเพียง 8 วา หรือประมาณ 16 เมตรเท่านั้น แต่พระปรางค์ที่เห็นกันในปัจจุบันนี้ได้มีการต่อเติมขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ 3 เมื่อคราวที่ทรงปฏิสังขรณ์วัดอรุณฯ ใหม่หมดทั้งวัด พระปรางค์องค์ที่บูรณะใหม่นี้มีขนาดความสูงถึง 1 เส้น 13 วา 1 ศอก 1 คืบ กับอีก 1 นิ้ว หรือประมาณ 67 เมตร ล้อมรอบด้วยปรางค์ทิศ และมณฑปทิศ องค์พระปรางค์ประดับด้วยกระเบื้องทำเป็นลวดลายต่างๆ สวยงามมาก

พระ ปรางค์วัดอรุณฯ ตั้งอยู่หน้าวัดทางทิศใต้ หลังโบสถ์น้อยและวิหารน้อย เดิมสูง 8 วา หรือประมาณ 16 เมตรเท่านั้น เป็นปูชนียวัตถุที่สร้างขึ้นพร้อมกับโบสถ์และวิหารน้อย ครั้นถึงรัชกาลที่ 3 โปรดให้เสริมสร้างพระปรางค์สูงถึง 1 เส้น 1 คืบ 1 นิ้ว และล้อมรอบด้วยปรางค์ทิศและมณฑปทิศ ปรางค์ทิศเป็นปรางค์องค์เล็กๆ อยู่ทิศละองค์ คือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้

ทั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า ฝีมือของช่างในสมัยก่อนไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ในการสร้างพระปรางค์องค์สูงใหญ่อยู่ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำ และยังคงแข็งแรงมาจนตราบถึงทุกวันนี้ได้

นอกจากความสวยงาม นักท่องเที่ยวยังสามารถเดินขึ้นไปชมบนยอดพระปรางค์ได้อีกด้วย สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์รอบวัด มองเห็นริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตลอดไปจนถึงฝั่งพระนคร อย่างไรก็ดี บันไดขึ้นยอดพระปรางค์มีความชันสูงมาก จำต้องระวังในการเดินให้ดี อาจพลัดตกลงมาได้รับบาดเจ็บ

นอกจากพระ ปรางค์วัดอรุณฯ ใครที่มาถึงวัดอรุณแล้วก็ควรต้องแวะไปกราบนมัสการพระพุทธรูปสำคัญ ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพกราบไหว้ของพุทธศาสนิกชน ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถวัดอรุณฯ มีความงดงาม ไม่แพ้พระอารามหลวงที่ไหนๆ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย มีนามว่า "พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก"

พระ พุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ วัสดุโลหะผสมทอง ขนาดหน้าตัก 3 ศอกคืบ หรือ 1.75 เมตร ศิลปกรรมสมัยรัตนโกสินทร์

พระประธานองค์นี้ เล่าขานกันว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงปั้นหุ่นพระพักตร์ด้วยพระองค์เอง

พระ พุทธรูปองค์นี้ เดิมยังไม่มีพระนาม ประดิษฐานบนฐานชุกชี โปรดให้หล่อพัดแฉกใหญ่ตั้งไว้เบื้องพระพักตร์เช่นเดียวกับพระพุทธเทวปฏิมากร วัดพระเชตุพนวิมลมังคลา ราม

ในรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย บรรจุในพระบรมอาสน์ ตก แต่งผ้าทิพย์ประดับลายพระราช ลัญจกรเป็นรูปครุฑ แล้วถวายพระนาม พระพุทธรูปองค์นี้ ว่า "พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก"

ในรัชกาลที่ 5 ไฟไหม้พระอุโบสถวัดอรุณฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปบัญชาการดับไฟด้วยพระองค์เอง อัญเชิญพระบรมอัฐิออก จากนั้นบูรณปฏิสังขรณ์ให้มั่นคงแข็งแรง แล้วอัญเชิญพระบรมอัฐิคืนดังเดิม

สิ่ง ที่น่าสนใจของวัดอรุณฯ ยังมีอีกมาก อาทิ ภายในพระอุโบสถยังมีจิตรกรรมฝาผนังฝีมือของครูคงแป๊ะและครูทองอยู่ ช่างเขียนจิตร กรรมฝีมือชั้นครู พระอรุณหรือพระแจ้ง พระพุทธรูปที่อัญเชิญมาจากเมืองเวียงจันทน์


ที่มาข่าวสด คอลัมน์ เดินสายไหว้พระพุทธ ขอบคุณครับ  :089:

112



หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา

หลวงปู่เมี้ยน พุทธสิริ หรือท่านพระครูพุทธสิริวัฒน์ อดีตเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ (กบเจา)

ตำบลกบเจา อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
 


ท่านเป็นพระที่สมควรเคารพกราบไหว้องค์หนึ่ง…หลวงปู่บวชเป็นสามเณรตั้งแต่ อายุ ๑๖ ปี ลาสึกเมื่ออายุ ๒๐ ปีเพื่อสมัครเข้ารับราชการทหาร..

แต่ เพราะเป็นคนรูปร่างเล็ก จึงไม่ได้เข้ารับราชการ ท่านจึงได้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุและได้ศึกษาวิชาอาคมต่างๆ ปฏิบัติกรรมฐานในป่าดงดิบมาโดยตลอด

จนมีอายุมากขึ้นจึงได้หยุดเดิน ธุดงค์ และด้วยความที่ท่านเป็นพระที่มีความเชี่ยวชาญในด้านคาถาอาคม ส่งผลให้ท่านก้าวขึ้นเป็น “ที่พึ่งทางใจ” ให้กับลูกศิษย์และญาติโยมได้ทุกเรื่อง..

“ฉันมีความรู้สึกว่า เราเป็นพระใครก็ว่าพระเป็นแต่ผู้รับของจากญาติโยมอย่างเดียว ไม่ได้ให้อะไรตอบแทนเป็นชิ้นเป็นอันที่เป็นรูปธรรมเลย....

ให้แต่ศีล ให้แต่ธรรม เป็นนามธรรมทั้งนั้น ฉันจึงต้องแสวงหาวิชาเพื่อตอบแทนญาติโยม อย่างเช่นการรักษาโรค การรักษาพวกขาหัก....”




หลวงปู่เมี้ยน ถือกำเนิด ณ บ้านหาดทราย (บ้านเจ๊ก) หมู่ ๙ ตำบลบางบาล อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อปีมะเส็ง วันพฤหัสบดี เดือนยี่ ข้างขึ้น พุทธศักราช ๒๔๖๐ ท่านเป็นบุตรคนที่สามของคุณพ่อแก้ว คุณแม่ทองม้วน นามสกุล เกิดโภคทรัพย์

บิดาของท่านเป็นหมอยากลางบ้าน ที่มีความเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรแผนโบราณ สามารถวินิจฉัยโรคและวางยาให้ตรงกับโรค เรียกได้ว่าหากใครหาหมอที่ไหนรักษาไม่ได้แต่ถ้าหามมาให้หมอแก้วแล้วเป็น หายกลับไปทุกราย

การรักษาโรคด้วยความรู้และมีความเมตตาเป็นที่ตั้ง และดำเนินชีวิตด้วยความอ้อนน้อมถ่อมตน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวบ้านจะเรียกท่านว่า ..”หมอแก้วเทวดา”

คำพังเพยโบราณกล่าวไว้อย่างชวนคิดว่า ...”ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น”....และ....”สิบปากว่าไม่เท่าหนึ่งตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าหนึ่งมือคลำ





ด้วยความที่เด็กชายเมี้ยน เห็นบิดาทำการรักษาโรคให้กับชาวบ้าน ทำให้ท่านได้ซึมซับความรู้สึกชอบในเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นเด็กชายเมี้ยนจึงอาสาเข้าเป็นผู้ช่วยบิดาในการหยิบจับสมุนไพรต่างๆ มาจัดยาให้

ด้วยความที่ท่านเป็นเด็กช่างจด ช่างจำและมีความกระตือรือร้น ทำให้ท่านสามารถจดจำตัวยาชนิดต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ เป็นที่เชื่อถือของชาวบ้านว่า ยาของหมอแก้ว ขอเพียงให้หมอแก้วได้สั่งเท่านั้น เด็กชายเมี้ยนสามารถจัดยาเข้าชุดได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง....

“พวกที่เข้าเฝือกปูนมาจากโรงพยาบาล ถ้าให้ฉันรักษา ต้องตัดเฝือกปูนออก..

เพราะการเข้าเฝือกปูนจะทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา ที่ร้ายแรงคือแผลเน่าข้างใน ทำให้บางคนกลายเป็นเนื้อร้าย อาจถึงกับต้องตัดขาก็มี..

ฉัน ต้องตัดเฝือกปูนออกแล้วใช้เฝือกไม้ไผ่ยึดกระดูกแทน มันก็แน่นดีไม่แพ้เฝือกปูนแต่รักษาง่ายกว่า เอาน้ำมันหยอดชโลมได้ แผลก็แห้งเร็ว ไม่อบ ไม่ร้อน จะคันตรงไหน ก็เกาพอให้บรรเทาได้...”




หลวงปู่เมี้ยน ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดโพธิ์(กบเจา) ในปีพ.ศ. ๒๔๘๑ โดยมี พระครูปุ้ย ธรรมโชติ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการหลิว วัดพิกุล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูหริ่ม จันทโชติ วัดโพธิ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ...ได้รับฉายาว่า “พุทธสิริ” และเข้าจำพรรษา ณ วัดโพธิ์ (กบเจา) ...


ถึงตรงนี้ขอแทรก”เกร็ดเรื่องคติความเชื่อ ”ของคนไทยนิดครับ....การบวชเรียนในสมัยก่อน สมัยโบราณท่านว่าการบวชนั้น ผู้ที่บวชจะต้องมีการศึกษาหาความรู้มาก่อน

กล่าวคือผู้ที่จะออกบวช จะต้องไปอยู่กับวัด ฝึกหัดปฏิบัติตามข้อวัตรของพระภิกษุสามเณรเสียก่อน มิใช่ว่าจะมาบวชกันตามประเพณีเหมือนในสมัยนี้...

ดังนั้นผู้ออกบวช จึงมักจะเป็นผู้ที่มีความเคารพศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างเป็นที่สุด การฝึกปฏิบัติ เช่นการกวาดลานวัด การออกบิณฑบาต การเช็ดถูศาลา การซ่อมแซมอารามที่ชำรุด สร้างทางเดิน ฯลฯ


จึงเป็นการหล่อหลอม จิตใจของผู้ที่จะบวชให้รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เกียจคร้าน ทำตัวว่านอนสอนง่าย รู้จักดำรงอยู่กับหมู่คณะ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ฝึกไว้เพื่อให้ไม่ปฏิบัติผิดพระธรรมวินัย...





เมื่อเขาเหล่านั้นได้ลาสึกจากการเป็นพระแล้ว จึงทำให้มีความรู้ ความชำนาญ ในวิชาการต่างๆ เช่นช่างไม้ ช่างปูน สามารถปลูกสร้างบ้านเรือนได้

ซึ่ง นั่นก็คือการฝึกหัดในลักษณะของการเป็นวิชาชีพ นอกจากนี้บางคนยังมีความสามารถรอบรู้ไปถึงการศึกษาวิชาอาคม รักษาโรคภัยไข้เจ็บ และด้วยเหตุนี้แหละครับ “วัด” จึงเป็นเหมือน “สถาบันชั้นสูง” ของคนไทยมาอย่างยาวนาน

หลวงปู่เมี้ยน เคยเล่าให้พวกผมฟังว่า ท่านชอบออกเดินธุดงค์เพราะว่าชอบความสงบของป่า อีกอย่างที่แปลกก็คือพอกลับมาอยู่วัดทีไร เป็นต้องออกอาการป่วยไข้ทันทีแต่พอออกเดินธุดงค์กลับไม่มีปัญหาด้านสุขภาพ เลย..

ผลพลอยได้จากการออกเดินธุดงค์ท่านได้พบครูบาอาจารย์องค์ หนึ่ง คือหลวงพ่ออินทร์ วัดเกาะหงส์ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “หลวงพ่ออินทร์ เทวดา”...

คำว่าเทวดาตามความเชื่อของชาวป่า ชาวเขา พวกเราสันนิษฐานว่าน่าจะมาจากการเป็นผู้ที่มิวิชาอาคมแก่กล้า..

ซึ่ง ก็ไม่ผิดนักเพราะหลวงปู่ท่านได้เล่าเหตุการณ์มหัศจรรย์เกี่ยวกับหลวงพ่อ อินทร์ และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้หลวงปู่เกิดความศรัทธา จนต้องขอปวารณาขอฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อขอเรียนสรรพวิชาจากหลวงพ่ออินทร์..



หลวงปู่เมี้ยน พุทธสิริ วัดโพธิ์ (กบเจา) ตอน น้ำมนต์ น้ำมัน มีดหมอ ชานหมาก ไม้ครู


“หลวงพ่ออินทร์ ท่านเก่งในด้านการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ที่เห็นกับตาคือช้างป่าตัวหนึ่งถูกพรานยิงแต่ได้หลบหนีเข้าไปกลางดง

หลวง พ่ออินทร์ไปพบจึงได้รักษาโดยใช้..”น้ำมันมนต์”....หยอดลงไปในบาดแผลที่ กระสุนฝังอยู่และเสกเป่าด้วยคาถาอาคม ไม่นานนักลูกปืนก็ไหลตามน้ำมนต์ออกมาอย่างน่าอัศจรรย์...”

ซึ่งใน เรื่องนี้หลวงปู่บอกกับพวกเราว่า “พลังเมตตาจิต” ของหลวงพ่ออินทร์ถือว่าเป็นเรื่องเหนือคนจริงๆ ไม่ต้องคิดถึงการมานั่งหยอดน้ำมันมนต์ให้ลูกปืนในตัวช้างไหลออกมาหรอก

เอา แค่ว่าช้างป่าที่ได้รับบาดเจ็บ ก็ต้องมีความดุร้ายมากกว่าเก่าแล้ว แต่การที่ช้างยอมสงบให้หลวงพ่ออินทร์รักษา นั่นก็พอจะแสดงถึงอำนาจจิตของท่านแล้ว..

ผมจำไม่ได้แล้วว่าตัวเอง เริ่มอ้าปากค้างตั้งแต่เมื่อไร แต่ก็คงจะใกล้ๆกับที่ความสนใจในเรื่องของช้างป่าจบลงนั่นแหละ...ดูเหมือนว่า พอพวกเราฟังจบ

ความวุ่นวายสาระวนในการขยับเข้าไปใกล้หลวงปู่จึงเกิดขึ้น อาจเป็นเพราะหลวงปู่เมี้ยนท่านกำลังขยับตัวเพื่อจะหยิบตะบันหมาก

จะ ว่าไปแล้วเชื่อว่าเพื่อนๆหลายคนที่เคยได้ยินกิติศัพท์ของหลวงปู่เมี้ยน ย่อมจะจำได้ว่าวัตถุมงคลขมังเวทย์เปี่ยมประสบการณ์ที่ขึ้นชื่อของท่านคือ “ชานหมาก..”







เมื่อเอ่ยถึง “ชานหมาก” บางคนอาจไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเราถึงให้ความสนใจกับมันมากนัก ขอเรียนว่าหากมันเป็นชานหมากธรรมดาของตาสีตาสา พวกเราก็คงจะเมินเฉย

แต่ชานหมากที่คายออกจากปากของพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอย่างหลวงปู่เมี้ยนมันคือ”ของวิเศษขนานดี..”สำหรับพวกเราทีเดียว

เอา เป็นว่าเมื่อยามที่ขุนอิน แห่งโหมโรง ขยับตีระนาด เสียงของระนาดช่างไพเราะจับใจ แต่ในบริบทแบบนี้ความไพเราะที่ว่านั้น ยังสู้เสียงของชานหมากที่หล่นลงกระทบกระโถนไม่ได้เลย...ว่ากันขนาดนั้น

ชาน หมากของหลวงปู่ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการมากที่สุด ผมเคยเห็นบางคนที่เขาศรัทธาหลวงปู่จริงๆ พอชานหมากของหลวงปู่คายออกจากปาก..

ผู้รับก็ใส่ปากกลืนลงไปเลยต่อ หน้าต่อตา เรียกว่าให้ซึมซาบลงไปในเนื้อหนังอยู่กับตัวเองตลอดไป ..ผมเคยถามเหตุผลกับคนเหล่านี้ ฟังแล้วรักหลวงปู่ขึ้นเยอะครับ...

“เพราะ หลวงปู่เป็นพระที่พูดแต่เรื่องดีๆ ไม่ด่าใคร ไม่นินทาใคร ทุกวันท่านก็จะเสก จะเป่าท่องมนต์ รักษาผู้ที่เข้ามาขอความช่วยเหลือ เคี้ยวไป เสกไป ไม่ขลังตอนนี้แล้วจะให้ขลังตอนไหน....”

จะว่าไป แล้วตามที่เขาเล่า นั่นคือเรื่องจริงครับ เพราะเท่าที่พวกผมเคยนั่งเสนอหน้านวดขาให้หลวงปู่ ยังไม่เคยเห็นว่าหลวงปู่ท่านจะบ่นว่าเบื่อเลย

กลับจะกุลีกุจอซะทุก ครั้งที่มีคนป่วยเดินขึ้นมาบนกุฏิ ไม่ว่าใครจะมาเรียกขอความช่วยเหลือดึกดื่นเพียงใด หลวงปู่ไม่เคยดุด่าว่าเลย กลับถามว่ามาอย่างไรกัน เป็นอะไร บางทีพวกเราก็อดห่วงในสุขภาพและความปลอดภัยของท่านเสียมิได้....

มีคำพูดชวนให้คิดว่า “ถ้าคุณเป็นชาวนา คุณจะปลูกข้าวอย่างเดียวไม่ได้ แต่คุณต้องเป็นศัตรูกับวัชพืชด้วย.....”





   


หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา

หลวงปู่เมี้ยน พุทธสิริ หรือท่านพระครูพุทธสิริวัฒน์ อดีตเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ (กบเจา)

ตำบลกบเจา อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
 

 

 
ท่าน เป็นพระที่สมควรเคารพกราบไหว้องค์หนึ่ง…หลวงปู่บวชเป็นสามเณรตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ลาสึกเมื่ออายุ ๒๐ ปีเพื่อสมัครเข้ารับราชการทหาร..

แต่ เพราะเป็นคนรูปร่างเล็ก จึงไม่ได้เข้ารับราชการ ท่านจึงได้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุและได้ศึกษาวิชาอาคมต่างๆ ปฏิบัติกรรมฐานในป่าดงดิบมาโดยตลอด

จนมีอายุมากขึ้นจึงได้หยุดเดิน ธุดงค์ และด้วยความที่ท่านเป็นพระที่มีความเชี่ยวชาญในด้านคาถาอาคม ส่งผลให้ท่านก้าวขึ้นเป็น “ที่พึ่งทางใจ” ให้กับลูกศิษย์และญาติโยมได้ทุกเรื่อง..

“ฉันมีความรู้สึกว่า เราเป็นพระใครก็ว่าพระเป็นแต่ผู้รับของจากญาติโยมอย่างเดียว ไม่ได้ให้อะไรตอบแทนเป็นชิ้นเป็นอันที่เป็นรูปธรรมเลย....

ให้แต่ศีล ให้แต่ธรรม เป็นนามธรรมทั้งนั้น ฉันจึงต้องแสวงหาวิชาเพื่อตอบแทนญาติโยม อย่างเช่นการรักษาโรค การรักษาพวกขาหัก....”

 
หลวงปู่เมี้ยน ถือกำเนิด ณ บ้านหาดทราย (บ้านเจ๊ก) หมู่ ๙ ตำบลบางบาล อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อปีมะเส็ง วันพฤหัสบดี เดือนยี่ ข้างขึ้น พุทธศักราช ๒๔๖๐ ท่านเป็นบุตรคนที่สามของคุณพ่อแก้ว คุณแม่ทองม้วน นามสกุล เกิดโภคทรัพย์

บิดา ของท่านเป็นหมอยากลางบ้าน ที่มีความเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรแผนโบราณ สามารถวินิจฉัยโรคและวางยาให้ตรงกับโรค เรียกได้ว่าหากใครหาหมอที่ไหนรักษาไม่ได้แต่ถ้าหามมาให้หมอแก้วแล้วเป็น หายกลับไปทุกราย

การรักษาโรคด้วยความรู้และมีความเมตตาเป็นที่ตั้ง และดำเนินชีวิตด้วยความอ้อนน้อมถ่อมตน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวบ้านจะเรียกท่านว่า ..”หมอแก้วเทวดา”

คำ พังเพยโบราณกล่าวไว้อย่างชวนคิดว่า ...”ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น”....และ....”สิบปากว่าไม่เท่าหนึ่งตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าหนึ่งมือคลำ”

 
 
ด้วยความที่เด็กชายเมี้ยน เห็นบิดาทำการรักษาโรคให้กับชาวบ้าน ทำให้ท่านได้ซึมซับความรู้สึกชอบในเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นเด็กชายเมี้ยนจึงอาสาเข้าเป็นผู้ช่วยบิดาในการหยิบจับสมุนไพรต่างๆ มาจัดยาให้

ด้วยความที่ท่านเป็นเด็กช่างจด ช่างจำและมีความกระตือรือร้น ทำให้ท่านสามารถจดจำตัวยาชนิดต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ เป็นที่เชื่อถือของชาวบ้านว่า ยาของหมอแก้ว ขอเพียงให้หมอแก้วได้สั่งเท่านั้น เด็กชายเมี้ยนสามารถจัดยาเข้าชุดได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง....

“พวกที่เข้าเฝือกปูนมาจากโรงพยาบาล ถ้าให้ฉันรักษา ต้องตัดเฝือกปูนออก..

เพราะการเข้าเฝือกปูนจะทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา ที่ร้ายแรงคือแผลเน่าข้างใน ทำให้บางคนกลายเป็นเนื้อร้าย อาจถึงกับต้องตัดขาก็มี..

ฉัน ต้องตัดเฝือกปูนออกแล้วใช้เฝือกไม้ไผ่ยึดกระดูกแทน มันก็แน่นดีไม่แพ้เฝือกปูนแต่รักษาง่ายกว่า เอาน้ำมันหยอดชโลมได้ แผลก็แห้งเร็ว ไม่อบ ไม่ร้อน จะคันตรงไหน ก็เกาพอให้บรรเทาได้...”

 
หลวงปู่เมี้ยน ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดโพธิ์(กบเจา) ในปีพ.ศ. ๒๔๘๑ โดยมี พระครูปุ้ย ธรรมโชติ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการหลิว วัดพิกุล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูหริ่ม จันทโชติ วัดโพธิ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ...ได้รับฉายาว่า “พุทธสิริ” และเข้าจำพรรษา ณ วัดโพธิ์ (กบเจา) ...


ถึง ตรงนี้ขอแทรก”เกร็ดเรื่องคติความเชื่อ”ของคนไทยนิดครับ....การบวชเรียนใน สมัยก่อน สมัยโบราณท่านว่าการบวชนั้น ผู้ที่บวชจะต้องมีการศึกษาหาความรู้มาก่อน

กล่าวคือผู้ที่จะออกบวช จะต้องไปอยู่กับวัด ฝึกหัดปฏิบัติตามข้อวัตรของพระภิกษุสามเณรเสียก่อน มิใช่ว่าจะมาบวชกันตามประเพณีเหมือนในสมัยนี้...

ดังนั้นผู้ออกบวช จึงมักจะเป็นผู้ที่มีความเคารพศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างเป็นที่สุด การฝึกปฏิบัติ เช่นการกวาดลานวัด การออกบิณฑบาต การเช็ดถูศาลา การซ่อมแซมอารามที่ชำรุด สร้างทางเดิน ฯลฯ


จึงเป็นการหล่อหลอม จิตใจของผู้ที่จะบวชให้รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เกียจคร้าน ทำตัวว่านอนสอนง่าย รู้จักดำรงอยู่กับหมู่คณะ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ฝึกไว้เพื่อให้ไม่ปฏิบัติผิดพระธรรมวินัย...

 
 
เมื่อเขาเหล่านั้นได้ลาสึกจากการเป็นพระแล้ว จึงทำให้มีความรู้ ความชำนาญ ในวิชาการต่างๆ เช่นช่างไม้ ช่างปูน สามารถปลูกสร้างบ้านเรือนได้

ซึ่งนั่นก็คือการฝึกหัดในลักษณะของ การเป็นวิชาชีพ นอกจากนี้บางคนยังมีความสามารถรอบรู้ไปถึงการศึกษาวิชาอาคม รักษาโรคภัยไข้เจ็บ และด้วยเหตุนี้แหละครับ “วัด” จึงเป็นเหมือน “สถาบันชั้นสูง” ของคนไทยมาอย่างยาวนาน

หลวงปู่เมี้ยน เคยเล่าให้พวกผมฟังว่า ท่านชอบออกเดินธุดงค์เพราะว่าชอบความสงบของป่า อีกอย่างที่แปลกก็คือพอกลับมาอยู่วัดทีไร เป็นต้องออกอาการป่วยไข้ทันทีแต่พอออกเดินธุดงค์กลับไม่มีปัญหาด้านสุขภาพ เลย..

ผลพลอยได้จากการออกเดินธุดงค์ท่านได้พบครูบาอาจารย์องค์ หนึ่ง คือหลวงพ่ออินทร์ วัดเกาะหงส์ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “หลวงพ่ออินทร์ เทวดา”...

คำว่าเทวดาตามความเชื่อของชาวป่า ชาวเขา พวกเราสันนิษฐานว่าน่าจะมาจากการเป็นผู้ที่มิวิชาอาคมแก่กล้า..

ซึ่ง ก็ไม่ผิดนักเพราะหลวงปู่ท่านได้เล่าเหตุการณ์มหัศจรรย์เกี่ยวกับหลวงพ่อ อินทร์ และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้หลวงปู่เกิดความศรัทธา จนต้องขอปวารณาขอฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อขอเรียนสรรพวิชาจากหลวงพ่ออินทร์..

 
 
หลวงปู่เมี้ยน พุทธสิริ วัดโพธิ์ (กบเจา) ตอน น้ำมนต์ น้ำมัน มีดหมอ ชานหมาก ไม้ครู


“หลวงพ่ออินทร์ ท่านเก่งในด้านการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ที่เห็นกับตาคือช้างป่าตัวหนึ่งถูกพรานยิงแต่ได้หลบหนีเข้าไปกลางดง

หลวง พ่ออินทร์ไปพบจึงได้รักษาโดยใช้..”น้ำมันมนต์”....หยอดลงไปในบาดแผลที่ กระสุนฝังอยู่และเสกเป่าด้วยคาถาอาคม ไม่นานนักลูกปืนก็ไหลตามน้ำมนต์ออกมาอย่างน่าอัศจรรย์...”

ซึ่งใน เรื่องนี้หลวงปู่บอกกับพวกเราว่า “พลังเมตตาจิต” ของหลวงพ่ออินทร์ถือว่าเป็นเรื่องเหนือคนจริงๆ ไม่ต้องคิดถึงการมานั่งหยอดน้ำมันมนต์ให้ลูกปืนในตัวช้างไหลออกมาหรอก

เอา แค่ว่าช้างป่าที่ได้รับบาดเจ็บ ก็ต้องมีความดุร้ายมากกว่าเก่าแล้ว แต่การที่ช้างยอมสงบให้หลวงพ่ออินทร์รักษา นั่นก็พอจะแสดงถึงอำนาจจิตของท่านแล้ว..

ผมจำไม่ได้แล้วว่าตัวเอง เริ่มอ้าปากค้างตั้งแต่เมื่อไร แต่ก็คงจะใกล้ๆกับที่ความสนใจในเรื่องของช้างป่าจบลงนั่นแหละ...ดูเหมือนว่า พอพวกเราฟังจบ

ความวุ่นวายสาระวนในการขยับเข้าไปใกล้หลวงปู่จึงเกิดขึ้น อาจเป็นเพราะหลวงปู่เมี้ยนท่านกำลังขยับตัวเพื่อจะหยิบตะบันหมาก

จะ ว่าไปแล้วเชื่อว่าเพื่อนๆหลายคนที่เคยได้ยินกิติศัพท์ของหลวงปู่เมี้ยน ย่อมจะจำได้ว่าวัตถุมงคลขมังเวทย์เปี่ยมประสบการณ์ที่ขึ้นชื่อของท่านคือ “ชานหมาก..”

 
เมื่อเอ่ยถึง “ชานหมาก” บางคนอาจไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเราถึงให้ความสนใจกับมันมากนัก ขอเรียนว่าหากมันเป็นชานหมากธรรมดาของตาสีตาสา พวกเราก็คงจะเมินเฉย

แต่ชานหมากที่คายออกจากปากของพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอย่างหลวงปู่เมี้ยนมันคือ”ของวิเศษขนานดี..”สำหรับพวกเราทีเดียว

เอา เป็นว่าเมื่อยามที่ขุนอิน แห่งโหมโรง ขยับตีระนาด เสียงของระนาดช่างไพเราะจับใจ แต่ในบริบทแบบนี้ความไพเราะที่ว่านั้น ยังสู้เสียงของชานหมากที่หล่นลงกระทบกระโถนไม่ได้เลย...ว่ากันขนาดนั้น

ชาน หมากของหลวงปู่ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการมากที่สุด ผมเคยเห็นบางคนที่เขาศรัทธาหลวงปู่จริงๆ พอชานหมากของหลวงปู่คายออกจากปาก..

ผู้รับก็ใส่ปากกลืนลงไปเลยต่อ หน้าต่อตา เรียกว่าให้ซึมซาบลงไปในเนื้อหนังอยู่กับตัวเองตลอดไป ..ผมเคยถามเหตุผลกับคนเหล่านี้ ฟังแล้วรักหลวงปู่ขึ้นเยอะครับ...

“เพราะ หลวงปู่เป็นพระที่พูดแต่เรื่องดีๆ ไม่ด่าใคร ไม่นินทาใคร ทุกวันท่านก็จะเสก จะเป่าท่องมนต์ รักษาผู้ที่เข้ามาขอความช่วยเหลือ เคี้ยวไป เสกไป ไม่ขลังตอนนี้แล้วจะให้ขลังตอนไหน....”

จะว่าไป แล้วตามที่เขาเล่า นั่นคือเรื่องจริงครับ เพราะเท่าที่พวกผมเคยนั่งเสนอหน้านวดขาให้หลวงปู่ ยังไม่เคยเห็นว่าหลวงปู่ท่านจะบ่นว่าเบื่อเลย

กลับจะกุลีกุจอซะทุก ครั้งที่มีคนป่วยเดินขึ้นมาบนกุฏิ ไม่ว่าใครจะมาเรียกขอความช่วยเหลือดึกดื่นเพียงใด หลวงปู่ไม่เคยดุด่าว่าเลย กลับถามว่ามาอย่างไรกัน เป็นอะไร บางทีพวกเราก็อดห่วงในสุขภาพและความปลอดภัยของท่านเสียมิได้....

มีคำพูดชวนให้คิดว่า “ถ้าคุณเป็นชาวนา คุณจะปลูกข้าวอย่างเดียวไม่ได้ แต่คุณต้องเป็นศัตรูกับวัชพืชด้วย.....”

 
แน่นอนครับเรื่องจำเป็นสำหรับผู้ที่ศึกษาวิชาไสยศาสตร์ อุปกรณ์สำคัญที่จะขาดเสียมิได้คือ “มีดหมอ” หากวิชาอาคมคือเสื้อผ้า มีดหมอก็คือกางเกงละครับ

ผมเคยได้ยินญาติโยมหลายท่านถามหลวงปู่อยู่บ่อยๆว่า

“หลวงปู่เรียนวิชาจากใคร และมีดที่ใช้อยู่นั้นเอามาจากไหน”

ซึ่ง เมื่อท่านฟังเสร็จมักจะหลับตาแล้วเงียบไปซะเฉยๆ และเป็นการนั่งที่ทำให้ผู้ถามต้องกราบลาท่านกลับเพราะรอคำตอบไม่ไหว...ถึง ตอนนี้ผมมีคำตอบให้ครับ...เป็นคำกล่าวที่เล่าขานกันเลยว่า

“ใครไปวัดโพธิ์ ไม่โดนมีดหมอหลวงพ่อเมี้ยน ก็เท่ากับว่าไม่ถึงวัดโพธิ์....”


“เราเรียนวิชารักษาโรคภัยไข้เจ็บ การใช้มีดหมอจากหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ...

การใช้มีดหมอต้องรู้เคล็ดวิชา คือการกำหนดรู้ว่าสมุฏฐานของโรคอยู่ที่ใด เคล็ดวิชาของหมอโบราณที่ต้องท่องจำให้ขึ้นใจก็คือ....”

“ทุกข์อยู่ที่หัว กลัวอยู่ที่ใจ ไข้อยู่ที่ท้อง...”

อธิบาย ความได้ว่า..ตามธรรมดาคนเรานั้นมีเรื่องราวมากมายให้ได้คิด เมื่อคิดมากเข้าก็จะเกิดอาการเครียด ทำให้ปวดหัว อารมณ์หงุดหงิด เป็นบ่อยๆก็จะก้าวเข้าสู่โรคประสาท นี่คือความหมายของ “ทุกข์อยู่ที่หัว...”

 

 
 
คำว่า “กลัวอยู่ที่ใจ” กล่าวกันว่าคนเรานั้น ใจย่อมเป็นใหญ่ ใจเป็นสภาพที่เกิดก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสำเร็จ เกิดจากใจทั้งสิ้น ว่ากันว่า คนเราจะกลัวหรือจะกล้าก็อยู่ที่ใจทั้งสิ้น..

อุปมา ให้ชัดเจนเหมือนนักมวยที่กำลังขึ้นชกบนเวทีล่ะครับ โดนเข้าไปสองสามดอก เกิดอาการถอดใจ โดนหนักๆ เข้าก็นอนซะเลย เรียกไม่ยอมตื่น...


และ สุดท้าย “ไข้อยู่ที่ท้อง..” ครับจะเห็นว่าโรคส่วนใหญ่ มีสมุฏฐานจากท้องซะเป็นส่วนมาก คิดมาก กรดแก๊สในกระเพาะก็มาก หนักๆเข้าเลยพาลปวดท้อง กลายเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ..

อีก อย่างอวัยวะส่วนใหญ่ก็อยู่บริเวณท้องทั้งนั้น ไล่เรียงดูได้ครับ ตับ ไต ไส้ ฯลฯ ว่ากันว่าคนเราจะอยู่จะตายก็อยู่ตรงส่วนนี้มากกว่าส่วนอื่น.....







สำหรับ”มีดหมอเล่มที่หลวงปู่ท่านใช้อยู่นั้น” ท่านได้รับจากโยมคนหนึ่ง ตั้งแต่สมัยหลวงปู่บวชได้สักห้าพรรษาครับ มีดหมอเล่มนี้เป็นสมบัติตกทอดกันมาหลายชั่วคน

เล่าลือกันว่าเป็น มีดที่แรงมาก คนที่ใช้ติดตัวมักจะมีเรื่องมีราว จนคนสุดท้ายที่ครอบครองได้สั่งไว้ก่อนตายให้นำมีดเล่มนี้ไปถวายให้ท่าน เมี้ยน วัดโพธิ์...นี่แหละครับคือที่มาที่ไปของมีดหมอเล่มนี้...


ขอ พูดถึง”หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค” สักนิดครับ หลวงพ่อปานองค์นี้เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ คุ้นหูคุ้นตากับบรรดาผู้นิยมวัตถุมงคล..

พระที่หลวงพ่อปานทำขึ้นก็ คือพระเนื้อดินเผา รูปทรงสี่เหลี่ยม รูปลักษณ์เป็นพระพุทธปางประทับบนสัตว์ประเภทต่างๆ เช่น ไก่ นก ปลา ฯลฯ เชื่อกันว่าหลวงพ่อปานท่านเป็นพระเถระที่ยิ่งด้วยบารมีเพราะท่านได้ตำรา เทวดามาจากสวรรคโลก

 
 
 
นอกจากนี้หลวงพ่อปาน ท่านยังได้ชื่อว่าเป็นพระหมอรักษาโลกและถอดถอนคุณไสยที่เก่งมากๆเลยครับ สำหรับวิชาที่สร้างชื่อเสียงให้หลวงพ่อปานอีกอย่างหนึ่งคือ “วิชายันต์เกราะเพชร”

ถึงตรงนี้คงขอล่ะเรื่องวิชายันต์เกราะเพชร ไว้ก่อน เพราะผมเองยังไม่มีความรู้พอที่จะอธิบายได้ชัดแจ้ง เนื่องจากวิชานี้มีกระบวนการและขั้นตอนมากมายเหลือเกิน แต่ที่สำคัญคือ

“การทำวิชานี้ให้สำเร็จต้องใช้จิตของผู้ทำเป็นสิ่งสำคัญ...”

หากวัด เอาจากวิชาอาคมที่หลวงปู่เมี้ยนได้ร่ำเรียนมา การผ่านครูบาอาจารย์ที่มีวิชาแกร่งกล้าก็น่าจะทำให้หลวงปู่หยุดที่จะเรียน รู้ได้แล้ว แต่ถ้าทำอย่างนั้นมันก็คงจะทำให้สมภารหนุ่มแห่งวัดโพธิ์กบเจา ดูจะหยาบเกินไป..

“มวยหลักคือมวยที่มีฝีมือ แต่ก็ใช่ว่ามวยรองจะไร้ความสามารถซะทีเดียว..”

 
 
 
หลวงพ่อขัน แห่งวัดนกกระจาบ ชื่อนี้คงคุ้นหูบรรดานักไสยศาสตร์อีกแน่นอน..มีคำบอกเล่าของชาวบ้านย่านบางบาลว่า

หลวง พ่อขันรูปนี้มีอาคมแก่กล้านัก เสกใบไม้ให้เป็นต่อเป็นแตน เสกกระต่ายจากหัวปลี สำคัญคือมีวิชาสักยันต์คงกระพันชาตรีชื่อว่า “สักบุตรลม..”

ตำราไสยศาสตร์บันทึกไว้ว่า วิชาสักบุตรลม เป็นการสักยันต์ที่ละสองคน สักแล้วให้สาบานกันว่า จะไม่ฆ่ากันเอง ใครผิดสัจจะให้ถึงแก่ความฉิบหาย ...

เล่าลือกันทั่วคุ้งลำน้ำน้อยว่า ...คำสาบานนี้รุนแรงยิ่งนัก เพราะเคยมีคนที่ได้รับการสักจากหลวงพ่อขันไปแล้วคิดร้ายต่อกัน ผลก็คือผู้นั้นมีอันเป็นไปทันที..

นอกจากหลวงปู่เมี้ยนจะได้รับการ ถ่ายทอดวิชาการสักยันต์จากหลวงพ่อขันแล้ว การทำเชือกสนตะพายควายธรรมดา ให้มีอานุภาพสูง คงกระพันเป็นยอด ขนาดลงน้ำปลิงไม่เกาะ หลวงปู่ก็ได้รับถ่ายทอดมาจนหมดสิ้น..

 
 
 
แต่วิชาสำคัญที่ผมจะพ่นถึงตอนนี้คือ “การทำน้ำมนต์” หลวงปู่เล่าให้พวกเราฟังว่าหลวงพ่อขันได้เสกน้ำมนต์ให้หมุนอยู่ในบาตรได้ อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ก่อนที่ท่านจะสอนวิชาการทำน้ำมนต์ดังกล่าวให้หลวงปู่เมี้ยนจนหมดสิ้น รวมไปถึงการทำ”น้ำมนต์สารพัดนึก” อีกด้วย ...

ครั้งหนึ่งผมเคยกราบ นมัสการ”พระมหาฉลอง วัดสุทัศน์ฯ กทม.” ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ ท่านเมตตาเล่าให้ผมฟังว่า สมัยตอนที่ท่านยังเป็นพระน้อยอยู่ที่อยุธยา เคยได้ไปนอนอยู่ในห้องเดียวกับหลวงปู่เมี้ยน

กิจวัตรประจำวันของหลวงปู่เมี้ยนคือตื่นแต่เช้า สวดมนต์เสร็จแล้ว ท่านจะมานั่งทำน้ำมนต์ให้กับญาติโยม...

เวลา ทีทำใบหน้าของหลวงปู่จะแดงกล้ำ จนได้ยินเสียง เจี๊ยบ ๆ นั่นแหละท่านจึงหยุดเสก ครั้นพอพระมหาฉลอง เข้าไปสอบถาม หลวงปู่ตอบติดตลกว่า “เลี้ยงลูกเจี๊ยบไว้ในโอ่งน้ำมนต์...”





สิ่งที่หลวงพ่อขัน มอบให้กับหลวงปู่เมี้ยนอีกอย่างก็คือ “ไม้ครู..” ซึ่งเป็นไม้ไผ่ตันลงอักขระจารด้วยมือเต็มไปหมด ซึ่งหลวงปู่ท่านมักจะใช้ไม้ครูอันนี้ควบคู่ไปกับการใช้มีดหมอ..

เวลา ท่านไล่ผีหรือรักษาคนเจ็บ หากรายใดทนไม่ไหวคิดจะหนี หลวงปู่มักจะใช้ไม้ครูดังกล่าวดึงเข้ามาอีก เช่นเดียวกันครับที่หลวงปู่ชอบสัพยอกกับบรรดาญาติโยมที่มากับคนไข้ว่า...

”นี่แหละมือวิเศษ เพราะมันสั้นได้ ยาวได้..”

 
 
 
มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากพอที่จะบอกให้พวกเราทราบได้ว่า

“มนุษย์ใม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่นิยมความรุนแรง...”

แต่ ถ้ากับสิ่งไม่มีชีวิตที่เราเรียกว่า “ผี” หากบังเอิญมีใครโชคดีได้เจอเข้า เพื่อนๆคิดที่จะปฏิบัติตัวหรือปฏิบัติต่อ “เพื่อนรักต่างมิติ” กลุ่มนี้อย่างไรครับ ถ้าคิดอะไรไม่ออกนอกจากความกลัว..ลองฟังความคิดของหลวงปู่เมี้ยนกันครับ...

หลวงปู่มีหลักปฏิบัติอยู่อย่างหนึ่ง...

ไม่ว่าจะเป็นคนหรือ วิญญาณร้ายใดๆก็ตาม ท่านจะใช้วิธีการเอาความอ่อนโยนเข้าหา ไม่นิยมความแข็ง หรือการเผชิญหน้า ให้คุณธรรมความดีลบล้างความอำมหิต เลวร้ายทั้งปวง...


“การ อ่อนเข้าหาเขา อย่างน้อยก็ลดความรุนแรงของเขาลงได้ครึ่งหนึ่งแล้ว แทนที่เขาจะเพิ่มความรุนแรงใส่ เราก็หยุดความรุนแรงนั้นซะ ด้วยวิธีพยายามพูดปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน...”

ต่อคำพูดสอนของหลวงปู่ ท่านได้เมตตายกตัวอย่าง “คนโกรธสองคนที่ประจันหน้ากัน..” ท่านว่า



“...คน หนึ่งระบายอารมณ์ร้อนด้วยคำพูดรุนแรง อารมณ์ฉุนเฉียว ขณะที่อีกคนพยายามหักห้ามใจ ไม่ตอบโต้ด้วยคำพูดหรือการกระทำที่รุนแรง ประเภทมึงด่าไปกูตอกกลับมา...

เมื่อต่างคนต่างแรง เหมือนกาน้ำที่อยู่บนเตาไฟ ยิ่งโหมไฟเข้าไป น้ำที่เดือดอยู่แล้วจะเดือดยิ่งขึ้น อาจอัดดันให้ระเบิดได้เมื่อควันหรือไอน้ำระบายออกมาไม่ทัน..

แต่ถ้า เห็นว่าน้ำเดือด เราลดไฟลงให้อ่อนหรือดับไฟในเตาเสียเลย ความร้อนของน้ำในกาก็จะค่อยๆลดลง ที่เดือดก็จะหายเดือด ทีสุดแล้วก็จะเย็นเมื่อความร้อนระเหยไปหมดแล้ว..”

จะว่าไปแล้ว เรื่องที่ใครๆคิดว่าจะร้ายก็กลายเป็นดีได้ หลวงปู่เมี้ยนท่านมักจะเลือกใช้วิธีนี้กับทุกคน และทุกปัญหาที่ท่านต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย..

แม้แต่กับบรรดา วิญญาณภูตผีปีศาจ ถึงท่านจะมีวิชาอาคมและพลังจิตที่เหนือกว่าสามารถหักล้างลงไปได้ หลวงปู่ท่านกลับเลือกใช้ “ไม้อ่อน” เข้าหา...

หลังจากที่ได้เสาะหาพระอาจารย์หรือหมอผีหลายท่านที่มีชื่อเสียง แต่ก็ไม่สามารถแก้ได้ กระทั่งมีญาติคนหนึ่งแนะนำให้ไปหาหลวงปู่เมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา...หลวงปู่ได้ตรวจสอบแล้วจึงรับอนุเคราะห์เป็นภาระให้ด้วยความ เมตตา..

หลวงปู่ได้ใช้วิธีนิ่มนวลชี้ให้วิญญาณอาฆาต ได้เห็นถึงบาปบุญคุณโทษ หากวิญญาณอาฆาตทำให้ผู้หญิงคนนี้ตายไป ก็ไม่ใช่ว่าวิญญาณนั้นจะได้ไปผุดไปเกิดในทันที ซ้ำยังต้องรับโทษทัณฑ์ทุกข์ทรมานสืบต่อไปอีก ดังนั้นการอโหสิกรรมต่อกันจะเป็นทางที่ดีที่สุด..

หลังจาก”วิญญาณ ภูตผี ปีศาจ” ที่ใครๆ คิดว่าไม่มีในโลก (แต่ ณ ขณะนั้นกลับมีอยู่ที่วัดโพธิ์กบเจา) ได้รับฟังคำสอนของหลวงปู่ที่ชี้แจงให้เห็นถึงบาปบุญคุณโทษนานพอสมควร จึงยอมออกจากร่างหญิงคนนั้นไป...


“คนเราเมื่อตายไปแล้ว ก็มีแต่กรรมดี กรรมชั่ว ที่ตนเองกระทำนั่นแหละ ที่จะติดตัวเราไป กรรมเป็นกำเนิด กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมของตัวเอง...”

พวกผมเคยนั่งล้อมวงถาม หลวงปู่ว่า ผี มีหน้าตาอย่างไร น่ากลัวไหม แทนคำตอบท่านกลับนั่งนิ่งๆ ตามแบบของท่าน ครั้นพอหนักๆเข้า ชะรอยท่านคงจะรำคาญเลยถามพวกเรากลับว่า

“พวกเอ็งกลัวผีไหม” แน่นอนคำตอบของทุกคนคือ “กลัว”

ทั้งๆที่ยังไม่เคยเห็นเลยว่าผีหน้าตาเป็นอย่างไร คำตอบของหลวงปู่ที่สวนออกมาทันที ทำให้พวกเราต้องรูดซิปปากทันทีคือ...



“ให้ไปคิดดูใหม่ ค่อยๆ คิดก็ได้ พวกเอ็งกลัวผี หรือ กลัวตาย..”

ถอนหายใจยาวๆ แล้วนั่งคิดครับ..

จำ ได้ว่าในวันนั้นพวกเราคำตอบแบ่งออกเป็นสองอย่าง แต่ก็ยังไม่มีการให้ธงคำตอบมาจากหลวงปู่ เพื่อแต่ท่านได้ให้ชิ้นส่วนจิ๊กซอร์ของความคิดไว้ชิ้นหนึ่งว่า “กลัวอยู่ที่ใจ..” เพื่อนๆ ละครับเคยลองคิดไหมครับว่า “เรากลัวอะไร กลัวผี หรือ กลัวตาย...”


สำหรับตัวผม ตอบใจตัวเองครับว่า เรื่องของความกลัวนี่เป็นอันตรายของจิตใจเสียจริงๆ ไม่ว่าจะกลัวอะไร สำหรับบางคนแล้วมีอาการกลัวผีเอามากๆ

ขนาดว่าเห็นอะไรวับๆแวมๆ หัวใจหยุดเดินเอาดื้อๆ ผมเชื่อว่ามีหลายคนอาจจะบอกว่าไปกลัวผีแต่ถ้าไม่หลอกตัวเองนัก คาดว่าภายในใจลึกๆ ก็ยังคงหวาดกลัวอยู่ดี จะว่าไปแล้วได้มีนักจิตวิทยาบางท่านเคยกล่าวไว้ว่า..

“ความคิดในเรื่องของความกลัว มันฝังอยู่ในสัญชาตญาณกลัวตายของคน..”

ผมเลยได้ข้อสรุปกับหัวใจว่า..

“ตราบใดที่เรากลัวผี ตราบนั้นเราก็ยังกลัวตาย และตราบใดที่เรากลัวตาย ตราบนั้นเราก็ยังคงกลัวผีอยู่นั้นเอง”

เหมือนกับภาษากฏหมายละครับ

“อุบัติเหตุ กับ เหตุสุดวิสัย..”

สองคำนี้ต่างกันอย่างไร ชาวบ้านรากหญ้าคงสั่นศรีษะพร้อมกับบอกว่า “แฟ๊ป กับ ผงซักฟอก” คือคำตอบสุดท้าย..





จริงๆแล้วเรื่องราวของหลวงปู่เมี้ยน พุทธสิริ ยังคงมีอีกมากมาย เช่นเรื่องของการออกแสวงหาครูบาอาจารย์ เช่นหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อห่วง วัดบางยี่โท ฯลฯ

ร่วมไปถึง ประสบการณ์ในวัตถุมงคลที่หลวงปู่ได้ปลุกเสก เคล็ดลับบูชาตะกรุด การรักษาคนไข้ การต่อกระดูก หรือคำสั่งสอนต่างๆ

ซึ่งผมคงจะนำมาพ่นในที่นี้ไม่ไหว ขอยกยอดสุทธิไปลงในงบบัญชีหน้าใหม่ละกันครับ ..

เพียงแต่ว่า”บันทึกน้อย”ของผมตอนนี้ เขียนขึ้นเนื่องจากใกล้วันสำคัญ วันหนึ่งของหลวงปู่เมี้ยน คือ ๑๙ ตุลาคม ของทุกปี



หลวงปู่เมี้ยน พุทธสิริ ท่านได้มรณภาพด้วยอาการสงบ ในเวลา ๑๖.๐๐ น.ของวันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๑ สิริอายุได้ ๘๑ ปี

ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของบรรดาลูกศิษย์ที่เฝ้าดูอาการ

“ร่มโพธิ์” ของวัดโพธิ์กบเจาแห่งนี้ล้มลงแล้ว สิ้นสุดหลวงปู่เมี้ยน ผู้โด่งดังจากวิชา ๕ ม. คือ

“น้ำมัน น้ำมนต์ ชานหมาก มีดหมอ และไม้ครู....”


เห็นว่าน่าสนใจครับ เลยนำเสนอให้อ่านกัน

ที่มา ..oknation.net  ทั้งภาพและข้อมูล ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ  :089:



113
ธรรมะ / ศีลนำให้รวย
« เมื่อ: 16 ม.ค. 2553, 06:11:42 »
ศีล หมายถึง การรักษากาย วาจา ให้เรียบร้อย สะอาดปราศจากโทษ เป็นข้อปฏิบัติที่พระพุทธเจ้ากำหนดไว้ เพื่อป้องกันความชั่วไม่ให้เกิดขึ้นครอบงำจิตใจ เป็นพื้นฐานรองรับคุณความดีที่ยิ่งใหญ่ เป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ เป็นคุณธรรมเบื้องต้นที่พุทธศาสนิกชนควรประพฤติปฏิบัติในการดำเนินชีวิต เพื่อสร้างสรรค์ความสุขให้เกิดขึ้นแก่ตนเอง ครอบครัวและสังคม

ศีลสำหรับประชาชนทั่วไป มี 5 ประการ คือ

1. เว้นจากการฆ่าสัตว์มีชีวิต 2. เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยการลักขโมย 3. เว้นจากการประพฤติผิดในกาม 4. เว้นจากการกล่าวคำเท็จ 5. เว้นจากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย

การที่จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์สะอาดได้ ต้องมีเบญจธรรมประจำใจควบคู่กันไป

เบญจธรรม หมายถึง ธรรมที่รักษาผู้ประพฤติไม่ให้ตกไปสู่ที่ชั่ว มี 5 ประการ คือ

1. เมตตากรุณา 2. สัมมาอาชีวะ 3. ความสำรวมในกาม 4. ความซื่อสัตย์ 5. ความมีสติรอบคอบ

ผล แห่งการรักษาศีล ที่เห็นได้ชัดคือไม่ต้องพบกับความทุกข์เดือดร้อนในภายหน้า ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีชื่อเสียงในสังคมคนดี เป็นคนองอาจไม่เก้อเขินเมื่อเข้าไปในหมู่ของคนดี มีสติ ปัญญาที่บริบูรณ์ จะศึกษาเล่าเรียนสิ่งใดเข้าใจง่ายแตกฉาน เป็นเหตุให้บรรลุธรรมชั้นสูงได้

ความ สุขที่เกิดจากการรักษาศีลและเบญจธรรม จะเริ่มต้นจากน้อยไปหามาก ผู้ที่สามารถดำเนินชีวิตให้มีปกติ ไม่ล่วงละเมิดศีล พร้อมมีเบญจธรรมสนับสนุน จะประสบแต่ความสุข ความเจริญก้าวหน้า

ศีลเป็นเบื้องต้นของความดี เป็นฐานรองรับความดีทุกอย่าง เหมือนพื้นแผ่นดินเป็นฐานรองรับสรรพสิ่งทั้งหลายที่อยู่เหนือแผ่นดินไว้

คือศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐสุด ประดับใจให้มนุษย์ทุกเพศวัยงดงามทุกกาลเวลา

ศีลจะส่งผลให้มีอาชีพมั่นคงก้าวหน้า โภคทรัพย์จะหลั่งไหลมาหาผู้มีศีล จะเป็นคนมีทรัพย์ไม่อับจน โดยเฉพาะทรัพย์ภายในคือจิตใจงดงาม

ศีล เป็นเกราะป้องกันภัยอันตราย ทำให้รอดพ้นจากศัตรู ช่วยลดปัญหาต่างๆ ของสังคมและประเทศชาติ ที่จะทำร้ายเบียดเบียนกันทางกายและวาจา ทำให้ดำรงชีวิตอยู่อย่างสันติสุขตลอดไป ดังคำกลอนที่ท่านผู้รู้ได้แต่งไว้ว่า "ศีลส่งทำให้สูง ศีลปรุงทำให้สวย ศีลนำให้รวย ศีลช่วยทำให้รอด"


ที่มา คอลัมน์ ธรรมะวันหยุด

โดย พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ. ๙) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร ขอบคุณคุณเป็นอย่างสูงครับ  :089:

114



คึกคัก ทั่วประเทศแห่ดูสุริยคราสแบบวงแหวน สภาพอากาศปลอดโปร่ง เห็นได้ชัดเจนที่ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ นักเรียนนักศึกษายกคณะมาดูกันแน่น ท้องฟ้าจำลองจัดเตรียมอุปกรณ์บริการ พร้อมบรรยายให้ความรู้ นราธิวาสบูชาราหูขอให้เหตุไฟใต้สงบ ชาวบ้านอยู่กันอย่างปลอดภัย "กัลยา โสภณพนิช"รมว.วิทยาศาสตร์ฯชี้เด็กไทยตื่นตัวปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ

-แห่ดูสุริยุปราคาวงแหวน

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 15 ม.ค. ที่ศูนย์วิทยา ศาสตร์เพื่อการศึกษา ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ ซึ่งเป็นอีกแห่งใน กทม.ที่มีการจัดกิจกรรมสังเกตปรากฏการณ์สุริยุปราคาวงแหวน โดยบรรยากาศภายในงาน มีการตั้งเต็นท์แบ่งเป็น 3 โซน คือโซนสังเกตโดยตรง โซนนี้สามารถชมปรากฏการณ์ด้วยตาเปล่า โดยการมองผ่านกล้องดูดาวที่มีแผ่นกรองแสงพิเศษไมลาร์ปิดหน้ากล้อง และมองผ่านหน้ากากช่างเชื่อมซึ่งเป็นหน้ากากสำหรับเชื่อมเหล็ก โซนที่สองคือโซนสังเกตโดยอ้อม โซนนี้จะเป็นการชมปรากฏการณ์ผ่านภาพตกฉากที่อยู่ปลายกล้องดูดาว โดยการใช้กระดาษดำเจาะช่องแสงประมาณ 1 นิ้ว ปิดหน้าเลนส์วัตถุ และใช้ฉากสีเทาอ่อนรับภาพ และโซนสุดท้ายคือโซนถ่ายภาพดวงอาทิตย์ โซนนี้จะเป็นการถ่ายภาพปรากฏการณ์สุริยุปราคา ทั้งนี้ทางท้องฟ้าจำลองจัดเตรียมทีวีที่ต่อภาพจากกล้องดูดาวเพื่อสังเกต ปรากฏการณ์ โดยมีประชาชน นักเรียน นักศึกษาที่ให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้อย่างคึกคักจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 14.20 น. เริ่มเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคา โดยดวงจันทร์เคลื่อนตัวเข้ามาบดบังดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดการเว้าแหว่งขึ้นด้านล่างขวาของดวงอาทิตย์เล็กน้อย ทำให้กลุ่มผู้ที่มาสังเกตการณ์ต่างตื่นเต้นอย่างมาก ส่วนมากจะต่อแถวดูปรากฏการณ์ผ่านกล้องดูดาวที่ทางเจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ ให้ และมีบางส่วนดูจากทีวี

สำหรับครั้งนี้ทั่วทุกภาคท้องฟ้าแจ่มใส สามารถเห็นสุริยุปราคาได้อย่างชัดเจน

-น.ร.ตื่นเต้น-ได้ความรู้มาก

ด.ญ.ชนัญญา พงษ์นาค นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนดาราคาม กล่าวว่า รู้สึกสนุกและตื่นเต้นมากๆ วันนี้ตนและเพื่อนๆ ได้รับความรู้มากยิ่งขึ้น เพราะก่อนมาทางโรงเรียนได้แนะแนวมาแล้ว แต่พอมาดูที่นี่ก็ได้รับความรู้จากวิทยากรอีก ถ้าครั้งหน้ามีโอกาสมาดูอีกแน่ๆ

"เงาของดวงจันทร์แม้จะเล็ก แต่เมื่ออยู่ในแนวตรงกับดวงอาทิตย์ที่มีขนาดใหญ่ สามารถทำให้เราเห็นปรากฏการณ์ที่เงาดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ได้ ทำให้เข้าใจถึงการโคจรของดวงดาว" ด.ญ. ชนัญญากล่าว

นายบุญชู ศิริลิขิตานนท์ อายุ 75 ปี ชาวกรุงเทพฯ กล่าวว่า ตอนอายุประมาณ 10 ขวบ ได้ดูปรากฏการณ์สุริยุปราคามาแล้วครั้งหนึ่ง จำได้ว่าตอนที่เกิดปรากฏการณ์ท้องฟ้ามืดไปหมด เหลือแค่แสงจากดวงอาทิตย์ออกมานิดเดียว บรรยากาศแทบจะเหมือนตอนโพล้เพล้ นกบินกลับรังหมด จึงอยากมาดูว่าครั้งนี้จะกินเต็มดวงเหมือนเมื่อก่อนหรือไม่





ายสิทธิชัย จันทรศิลปิน หัวหน้ากลุ่มดารา ศาสตร์ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา กล่าวถึงปรากฏการณ์สุริยุปราคาว่า ปกติสุริยุปราคาจะเกิดขึ้นและสังเกตได้บนพื้นโลก เฉลี่ยแล้วปีละ 2 ครั้ง โดยจะเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคาคู่กันอยู่เสมอ คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง ในอีก 15 วันก็จะเกิดอีกอย่างหนึ่ง ยกตัวอย่างวันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา มีการเกิดจันทรุปราคา ให้หลัง 15 วัน เกิดสุริยุปราคา เป็นต้น ทั้งนี้เพราะแนวระนาบของโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ ยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก เกิดการโคจรเพียงแต่เปลี่ยนด้านกันเท่านั้น ถ้าดวงจันทร์ไปอยู่ด้านตรงข้ามกับดวงอาทิตย์จะเกิดจันทรุปราคา แต่ตอนนี้ดวงจันทร์มาอยู่ด้านเดียวกับดวงอาทิตย์ ทำให้บังดวงอาทิตย์ จึงเกิดสุริยุปราคา

-เผยอีก 2 ปีเกิดสุริยุปราคา

"ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นทุกๆ ปี เฉลี่ยแล้ว 2 ครั้ง แต่ที่เข้าใจว่าสุริยุปราคาเกิดน้อยเพราะว่าเวลาเกิดจันทรุปราคาบนโลก ผู้คนมีโอกาสเห็นปรากฏการณ์ครึ่งโลก หมายความว่าคนที่อยู่ในช่วงเวลากลางคืน มีโอกาสเห็นหมดเลย แต่เวลาเกิดสุริยุปราคาพื้นที่ที่จะเห็นมีน้อย เพราะต้องขึ้นอยู่กับว่าเงาดวงจันทร์ตกส่วนไหนของโลก คนที่อยู่ใต้เงาดวงจันทร์ ถึงจะมีโอกาสเห็นปรากฏ การณ์ โดยเงาดวงจันทร์ที่ตกมาบนโลกมีด้วยกัน 2 แบบ คือเงามืด และเงามัว ถ้าเรานึกถึงวงกลมใหญ่ๆ วงหนึ่ง จุดศูนย์กลางของวงกลมมีพื้นที่เล็กๆ นั้นคือเงามืด และวงที่เหลือข้างนอกคือเงามัว ฉะนั้นถ้าเงานี้ไปตกบนพื้นที่โลกตรงไหน คนที่อยู่ใต้เงามืดจะมีโอกาสเห็นสุริยุปราคาแบบเต็มดวง แต่ถ้าอยู่ตรงขอบนอกก็จะเห็นเป็นบางส่วนเพราะอยู่ในเงามัว โดยประเทศไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะอยู่ในเงามัว เราจึงเห็นแค่บางส่วน" นายสิทธิชัย กล่าว

นายสิทธิชัย กล่าวต่อว่า การเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคา นอกจากจะเกิดแบบเต็มดวงและแบบบางส่วนแล้ว ยังมีสุริยุปราคาแบบวงแหวนอีก ซึ่งจะคล้ายกับการเกิดสุริยุปราคาแบบเต็มดวง คือดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ แตกต่างที่ขนาดของดวงจันทร์ โดยปกติดวงจันทร์จะโคจรรอบโลกเป็นวงรี จะมีระยะห่างจากโลกไม่เท่ากัน ทำให้บางช่วงดวงจันทร์ใกล้โลก บางช่วงดวงจันทร์ไกลโลก ช่วงที่ไกลโลกขนาดปรากฏจะเล็กลง และถ้าช่วงนั้นดวงอาทิตย์กับโลกโคจรเข้ามาใกล้กัน ขนาดปรากฏดวงอาทิตย์จะใหญ่ขึ้น และดวงจันทร์ขณะที่มีปรากฏเล็ก พอบังดวงอาทิตย์ จะไม่สามารถบังดวงอาทิตย์ได้มิด ทำให้ทิ้งขอบนอกเอาไว้ จึงเกิดสุริยุปราคาแบบวงแหวนขึ้น

"ถ้าเราสังเกตให้ดี การเกิดสุริยุปราคาช่วงต้นปีมักจะเป็นการเกิดสุริยุปราคาแบบวงแหวน เหตุผลเพราะว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี และมีตำแหน่งใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดในช่วงวันที่ 4 ม.ค.ของทุกปี ฉะนั้นช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่ พอดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์จึงบังได้ไม่มิด จึงทิ้งขอบนอกไว้เป็นวงแหวน ถ้านับต่อไปอีก 6 เดือน คือวันที่ 4 ก.ค. โลกจะมีตำแหน่งในวงโคจรไกลจากดวงอาทิตย์มากที่สุด ทำให้ช่วงนั้นเราจะเห็นดวงอาทิตย์มีขนาดปรากฏเล็กที่สุด เพราะฉะนั้นถ้าเกิดปรากฏการณ์สุริยุป- ราคาในช่วงนั้น ดวงจันทร์จะบังดวงอาทิตย์หมด โดยคนไทยสามารถเห็นปรากฏการณ์สุริยุปราคาได้อีกครั้งในอีก 2 ปีข้างหน้านี้คือปี พ.ศ.2555 แต่จะเห็นเป็นบางส่วนเท่านั้น ทั้งนี้เพราะประเทศไทยไม่ได้อยู่ใจกลางวงแหวน ช่วงเวลาที่เริ่มเกิดนั้น ตามเวลาประเทศไทยจะเป็นช่วง 04.00 น. และอีกครั้งในปี พ.ศ.2559 ซึ่งประเทศไทยสามารถเห็นปรากฏการณ์สุริยุปราคาได้ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้น"หัว หน้ากลุ่มดาราศาสตร์กล่าว

-300น.ร.สัตหีบดูปรากฏการณ์

เมื่อเวลา 15.00 น. นายทวี สุขแก้ว ผู้ช่วยผอ.โรงเรียนธัมมศิริศึกษาสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชล บุรี นำนักเรียนกว่า 300 คน พร้อมอุปกรณ์การ ส่องดูดาว ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์มาที่สนามกีฬาของโรงเรียน เพื่อให้นักเรียนเรียนรู้และวิเคราะห์ปรากฏการณ์สุริยุปราคาที่จะเกิดขึ้น โดยธรรมชาติสุริยุปราคาหรือสุริยคราสเป็นช่วงเวลาที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่ เข้าไปอยู่ระหว่างโลกและดวงอาทิตย์ วันที่เกิดสุริยุปราคานั้นเป็นเพราะระนาบวงโคจรของดวงจันทร์ไม่ได้อยู่ใน ระนาบเดียวกันกับระนาบวงโคจรของโลก แต่จะเอียงทำมุม 5 องศา ทำให้มีบางโอกาสที่โลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ จะมาอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกันพอดี ส่วนที่ประเทศไทยคงเหมือนกับอีกหลายประเทศ ที่จะได้เห็นปรากฏการณ์ดังกล่าว และสามารถจะเห็นได้ทั่วภูมิภาค โดยแต่ละที่อาจจะเห็นปรากฏ การณ์ที่เกิดขึ้นนี้แตกต่างกันไป เช่นที่ กทม. ดวงจันทร์จะเริ่มเข้าสู่ระบบสัมผัสที่ 1 ในเวลาประมาณ 14.00 น. และสิ้นสุดเวลา 16.58 น.

นายทวี กล่าวว่า วันนี้นำนักเรียนจำนวนกว่า 300 คน มาศึกษาปรากฏการณ์สุริยุปราคาที่เกิดขึ้น สำหรับการเกิดสุริยุปราคาวงแหวนเป็นสิ่งปกติของสุริยุปราคาที่เกิดในเดือน ม.ค. เนื่องจากเป็นเดือนที่ดวงอาทิตย์อยู่ใกล้โลกมากที่สุด ดังนั้นจึงเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงได้ยาก ครั้งนี้ไทยอยู่ใกล้แนวคราสวงแหวน จึงเห็นสุริยุปราคาบางส่วน ซึ่งแต่ละภาคจะเห็นการบดบังไม่เท่ากัน แต่ตลอดปรากฏการณ์สุริยุปราคาวงแหวนและสุริยุปราคาบางส่วน ไม่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า

-"คุณหญิงกัลยา"ชี้เด็กไทยตื่นตัว

เมื่อเวลา 16.00 น. คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เดินทางไปชมปรากฏการณ์สุริยุปราคา ที่ลานหน้าอาคารกรมประชาสัมพันธ์ ซ.อารีย์ พร้อมเปิดเผยว่า การเกิดสุริยุปราคาในวันที่ 15 ม.ค. นับเป็นครั้งสุดท้ายของรอบนี้ คงต้องรออีก 2 ปีที่จะมีปรากฏการณ์ธรรมชาติแบบนี้ขึ้นอีก อย่างไรก็ตามตลอดปี 2552 จนถึงต้นปี 2553 ที่ผ่านมาพบว่าประชาชนไทย โดยเฉพาะเยาวชนตื่นตัวกับการติดตามชมปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมาก ถือเป็นเรื่องที่ดี จะเห็นได้จากหลายคนเริ่มที่จะมีความอยากรู้อยากเห็น และตั้งข้อสังเกตมากขึ้น เช่นเมื่อปลายปีที่ผ่านมามีการพูดถึงเรื่องวัตถุประหลาดบนท้องฟ้า จนมีการสอบถามเข้ามาที่ตน และหน่วยงานในสังกัดเยอะมาก ทำให้มีการตรวจสอบและเผยแพร่ความรู้ที่เกี่ยวข้อง แม้ว่าต่อมาจะพบว่าเป็นเพียงบอลลูนที่ส่งขึ้นไปเพื่อโปรโมตงานของห้างสรรพ สินค้า แต่แสดงให้เห็นว่าคนไทยตื่นตัวมาก และกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ก็ยินดีตอบคำถามเหล่านี้โดยไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องเสียหน้าอะไร หากไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติขึ้นมาจริงๆ จึงอยากให้ทุกคนตั้งคำถามให้เยอะๆ

เมื่อถามว่ามีประชาชนบางส่วนยังเชื่อเรื่องของโชคลาง และโหราศาสตร์อยู่ คุณหญิงกัลยา กล่าวว่า การมีความเชื่อเหล่านี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิด เพราะเรื่องของโหราศาสตร์ หรือการทำนายทายทักต่างๆ เป็นเรื่องของตัวเลข สถิติ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของทุกคนว่าจะเชื่อมากน้อยแค่ไหน หากไม่ได้ทำให้ใครเสียหายก็ไม่เป็น เช่น หากจะไหว้พระจันทร์ หากทำให้สบายใจก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ควรจะกระทำทุกอย่างอย่างมีเหตุมีผล อย่าเชื่ออย่างงมงายเท่านั้น

-เด็กอนุบาลสนุกชมสุริยคราส

เมื่อเวลา 14.30 น. ที่โรงเรียนเทศบาล 3 (วัดแก้วพิจิตร) อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี นายปรีชา หงส์เจริญ ผอ.โรงเรียน พร้อมนางเกสร รัตนโมรา ครูชำนาญการพิเศษและคณะครูนำนักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาล ถึง ม.3 กว่า 200 คน ร่วมชมปรากฏการณ์สุริยุปราคาวงแหวน ซึ่งเห็นได้บางส่วนในประเทศไทย พร้อมมีการบรรยายให้ความรู้แก่นักเรียน และแจกแว่นตาที่ตัดจากแผ่นฟิล์มเอกซเรย์ที่ใหม่ไม่ผ่านการใช้ที่รับบริจาค จาก ร.พ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร เด็กนักเรียนต่างสนุกสนานที่ได้ชมจากท้องฟ้าจริง ทั้งนี้มี ด.ญ. นันทวรรณ ศรีชุมพล อายุ 7 ปี ชั้น ป.1 นักเรียนพิการหูหนวกเป็นใบ้ร่วมชมอย่างมีความสุขด้วย

นายปรีชากล่าวว่า ทางโรงเรียนเห็นว่าปรากฏ การณ์ที่เกิดขึ้น นักเรียนได้เห็นจริง เป็นการใช้สื่อการสอนจากธรรมชาติ สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ ที่เป็นศูนย์กลางการเรียนการสอนอย่างแท้จริงอีกรูปแบบหนึ่ง และในเร็วๆ นี้ จะร่วมเข้าเป็นโรงเรียนเครือข่ายสถาบันวิจัยดาราศาสตร์ด้วย


ที่มา ข่าวสด หน้า1  ขอบคุณครับ  :089:



115

'เชื่อทำเสน่ห์' ยุคไฮเทค 'ยังเกลื่อน'



แม้ปัจจุบันจะมีสารพัดสิ่งที่ใช้เสริม-เติม-แต่งให้ผู้หญิง ดูสวย-ดูดี-ดูมีความน่าสนใจ อีกทั้งสังคมไทยยุคนี้ก็เปิดกว้างมากขึ้น สำหรับการแต่งตัวโชว์เนื้อหนังมังสาของผู้หญิง แต่กระนั้น...กับความต้องการมี “เสน่ห์” ดึงดูดใจชายของ หญิงไทยจำนวนไม่น้อย ทั้งที่ต้องการให้ชายมารัก-มาเป็นสามี และที่ต้องการมิให้ชายอันเป็นคู่รัก-เป็นสามี ตีจากไปเป็นอื่น ก็ยังยึดโยงอยู่กับ “พิธีกรรมทางไสยศาสตร์” แม้ว่าปัจจุบันจะเป็นยุคไอที-ยุคไฮเทค ก็ตาม

“หมอเสน่ห์” อาชีพดึกดำบรรพ์...จึงยังคงมีอยู่

และ...บ่อยครั้งที่มีข่าว “ต้มตุ๋น-ละเมิดทางเพศ”

อย่างเมื่อไม่นานมานี้ก็มีข่าวว่าที่ จ.อ่างทอง ทางตำรวจได้เข้าจับกุมชายวัย 40 ปี รายหนึ่งที่ตั้งตนเป็น “หมอเสน่ห์” หลังจาก มีหญิงสาวรายหนึ่งเข้าแจ้งความว่าไปให้ชายผู้นี้ทำเสน่ห์แล้ว “ถูกลูบคลำหน้าอกและอวัยวะเพศ” โดยอ้างว่าเสน่ห์จะได้ขลัง ?!? อีกทั้งหญิงสาวรายนี้ยังเล่าให้ตำรวจฟังด้วยว่ามีเพื่อนหญิงที่เข้าทำเสน่ห์ ที่นี่บางรายถึงขั้นถูกบังคับร่วมเพศหรือ “ถูกข่มขืน” ซึ่งจากการตรวจค้นทางตำรวจพบรูปผู้หญิงที่บ้านชายผู้นี้เป็นลัง ๆ โดยผู้ต้องหาอ้างว่าเป็นรูปของผู้หญิงที่เคยมาให้ทำเสน่ห์ โดยลูกค้านั้นแม้แต่นางงาม-ดาราก็ยังมี ?!?

นี่ก็เป็นกรณีตัวอย่างว่าหมอเสน่ห์ยังคงมีอยู่ในสังคมไทย ยังคงมีหญิงไทยเชื่อเรื่องการ “ทำเสน่ห์” ทั้งนี้ ว่ากันถึงเรื่องเสน่ห์ที่เชื่อกันว่าทำให้เกิดได้ด้วยไสยศาสตร์นั้น ในการทำก็เชื่อกันหลายแบบ เช่น... ใช้วิธี “ลงนะหน้าทอง” ใช้แผ่นทองเปลว 3, 9, 12 หรือ 24 แผ่น แปะลงหน้าผากหรือจุดอื่น ๆ ของใบหน้า เชื่อว่าใครเห็นก็รักใคร่

ใช้ “สาลิกาลิ้นทอง” เป็นเครื่องราง เป็นยันต์ มีการใช้แผ่นทองเปลวที่จารึกอักขระสาลิกาลิ้นทองแปะลงบริเวณปลายลิ้น เชื่อว่าทำให้มีวาจาไพเราะเสนาะหูจนคนรักคนหลง, ใช้ “หุ่นทำเสน่ห์” วิธีการทำ-คาถาก็ต่างกันไปแต่ละแหล่ง แต่โดยรวมคือนำวัสดุต่าง ๆ เช่น เทียน ดินเหนียว ทำเป็นหุ่นชาย-หญิงแล้วมัดติดกันด้วยสายสิญจน์ บางแหล่งก็อาจจะใช้รูป ของใช้ เสื้อผ้า ของคนที่ทำร่วมด้วย แล้วก็บริกรรมคาถาใส่ นี่ก็เชื่อว่าทำให้เกิดรัก-หลง, ใช้ “น้ำมันพราย” นี่ออกแนวน่ากลัว เพราะเชื่อกันว่าต้องใช้น้ำมันพรายจากศพผู้หญิงตาย ทั้งกลม

เหล่านี้เป็นตัวอย่างวิธีทำเสน่ห์ที่เชื่อ ๆ กันมาในอดีต

แต่ในยุคนี้คนที่เชื่อมักจะถูกตุ๋น-ถูกละเมิดทางเพศ !!

ทั้งนี้ อุษา เลิศศรีสันทัด แห่งมูลนิธิผู้หญิง สะท้อนผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ว่า... การที่หญิงสาวเข้าทำพิธีต่าง ๆ นานา อาทิ ดูดวง สะเดาะเคราะห์ รวมไปถึงทำพิธี-ทำเสน่ห์ต่าง ๆ จนกลายเป็นเรื่องถูกหลอกลวง ถูกล่วงละเมิดทางเพศในรูปแบบต่าง ๆ นั้น น่าจะเป็นเพราะเชื่อคนง่าย และ ถูกโน้มน้าวด้วยกลวิธีต่าง ๆ จนเคลิบเคลิ้ม ซึ่งเมื่อคนที่ตั้งตนเป็นผู้ทำไม่ใช่คนที่ทำตามพิธีกรรมความเชื่อโดย บริสุทธิ์ใจ ก็ย่อมเข้าข่ายหลอกลวง

“แม้แต่ในกรุงเทพฯ.ก็เคยพบ 2 ราย ในพื้นที่ สน.สามเสน” ...อุษาระบุ พร้อมบอกต่อไปว่า... การถูกหลอกลวงในลักษณะนี้ไม่ได้เกี่ยวว่าผู้หญิงมีการศึกษาดีหรือไม่ดี ใคร ๆ ก็มีโอกาสตกเป็นเหยื่อถูกละเมิดสิทธิแบบนี้ เป็นเพราะการเชื่อคำโน้มน้าว คล้อยตามคำพูดที่ฟังดูน่าเชื่อถือ ซึ่งหากกำลังมีปัญหาด้านนี้อยู่ก็เสียท่าได้ง่าย ๆ

“เช่น สามีไม่กลับบ้านสักระยะ ก็มีวิธีการพูดว่าถ้าทำพิธีแล้วจะกลับใน 1-2 วัน รวมทั้งมีภาพของผู้หญิงคนอื่น ๆ ให้ดู ว่าเป็นคนนั้นคนนี้เคยมาทำ ซึ่งเป็นวิธีสร้างความน่าเชื่อถือกับเหยื่อ”

อุษาบอกอีกว่า... การทำเสน่ห์นั้นผู้หญิงมักถูกสั่งให้ต้องถอดเสื้อชั้นใน-กางเกงใน ให้ใส่ผ้าพันแทน และก็จะมีการจุดเทียน หรือมีการให้กินยาลูกกลอน กินน้ำมนต์ ซึ่งอาจมีการใส่ยานอนหลับ ทำให้ เคลิบเคลิ้ม จนเป็นเหยื่อ

“ถ้าไม่ระมัดระวังให้ดีผู้หญิงก็อาจตกเป็นเหยื่อ แต่เรื่องนี้ถือว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องสิทธิสตรีที่พัฒนาไประดับหนึ่งแล้ว เป็นเรื่องของผู้หญิงถูกกระตุ้นด้วยวิธีต่าง ๆ และเชื่อว่าจะสมหวังต่างหาก” ...อุษากล่าว

ด้าน ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยา บอกกับ “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ว่า... เพราะผู้ชายไม่เคยพอ ผู้หญิงแม้จะสวย แค่ไหนก็อาจถูกผู้ชายตีจากไปมีคนอื่นได้ เป็นปัญหาโลกแตก ผู้หญิงเมื่อเจอเรื่องนี้ แม้จะเป็นคนสวยแค่ไหน ก็สามารถจะเกิดการ “ขาดความมั่นใจในตัวเอง-ขาดความเชื่อมั่นเรื่องความรัก” ซึ่งทางจิตวิทยาผู้หญิงพวกนี้เป็นโรควิตกกังวลสูง ระแวง และกับบางคนก็อาจนำไปสู่การ “ต้องการเอาชนะผู้ชาย”

เมื่อผู้หญิงขาดความมั่นใจ ขาดความเชื่อมั่น ขาดที่พึ่ง และผู้หญิงอีกกลุ่มคือยังไม่มีคู่รักคู่ครอง ก็อาจจะคิดหวังพึ่งการทำเสน่ห์ อาจขาดสติคิดว่าจะทำให้ผู้ชายหลงรักได้ ก็จะไปเข้าทางพวกฉวยโอกาส ที่จะหาผลประโยชน์กับผู้หญิง ซึ่งก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก แม้แต่ในกรุงเทพฯ เมืองหลวงก็ยังมีพวกหมอทำเสน่ห์อยู่เป็นจำนวนมาก

“เมื่อเชื่อคล้อยตามคำพูดหมอเสน่ห์ ก็อาจเสียทั้งเงิน-เสีย ทั้งตัว พอรู้ตัวก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ซึ่งเสน่ห์นั้นไม่มีอะไรมาทำให้เกิดขึ้นได้ เสน่ห์นั้นอยู่ที่ตัวเอง ผู้หญิงจะมีเสน่ห์ก็อยู่ที่การมีจริตในความเป็นหญิง มีความอ่อนหวานอ่อนโยน นี่คือยาเสน่ห์ของผู้หญิงที่ใช้ดึงดูดผู้ชายที่ดีที่สุด” ...ดร.วัลลภ ระบุ

“หมอเสน่ห์” ยุคนี้ยังเกลื่อน...ซ้ำบางรายก็แฝงจีวร

จับเท่าไหร่ก็ไม่หมด...ถ้ายังมีคนเชื่อเรื่องทำเสน่ห์ !!.



ที่มา Daily News Online ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ  :089:


116



สืบสานตำนานพระเครื่องดังวัดห้วยเงาะ

วัดห้วยเงาะ หรือวัดหลวงพ่อศรีแก้ว เป็นวัดโบราณ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๒๐๐ สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของไทย ได้รับ       วิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๙ มีชื่อเป็นทางการว่า “วัดอรัญวาสิการาม” ตั้งอยู่หมู่ ๔ ตำบลทุ่งพลา อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ปัจจุบันมีพระปลัดอุดม อริโย เป็นเจ้าอาวาส
  
อย่างไรก็ดี หากกล่าวถึงวัดห้วยเงาะในยุคปัจจุบัน พุทธศาสนิกชนย่อมต้องนึกถึงนามของ “พระครูอนุศาสน์กิจจาทร” หรือ “พ่อท่านเขียว กิตติคุโณ” หนึ่งในพระเกจิอาจารย์ดัง ที่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้พุทธศาสนิกชนชาวใต้ได้กราบไหว้พึ่งพาบารมี ที่สำคัญ ท่านเป็นสหธรรมิกกับ “พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้” ได้ร่วมสังฆกรรม สนทนาธรรมร่วมพิธีกรรมต่าง ๆกันเสมอ โดยเฉพาะเมื่อคราวที่พระอาจารย์ทิม สร้างพระหลวงปู่ทวดเนื้อว่านปี ๒๔๙๗ เพื่อแจกแก่ผู้ที่ร่วมสร้างอุโบสถวัดช้างไห้ พ่อท่านเขียว เป็นผู้หนึ่งที่คลุกเนื้อผสมว่าน และร่วมอยู่ในพิธีกรรมเจริญพุทธมนต์ ในระหว่างที่พระอาจารย์ทิมอัญเชิญดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ทวดเพื่อ ปลุกเสกพระเครื่องเนื้อว่านในครั้งนั้น และร่วมพิธีกรรมปลุกเสกอีกหลายวาระ ๒๔๙๗  และร่วมพิธีกรรมปลุกเสกอีกหลายวาระ
  
พ่อท่านเขียว กิตติคุโณ ปัจจุบันท่านมีอายุ ๘๐ ปี พรรษา ๖๐ พื้นเพเป็นชาวจังหวัดยะลา เกิดเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ ณ ตำบลหน้าถ้ำ อ.เมือง จ.ยะลา เป็นบุตรคนที่ ๓ ในจำนวนพี่น้อง ๗ คนของนายทอง เพ็ชร ภักดี และ นางกิ๊ม นวลศรี ซึ่งประกอบอาชีพทำนาทำไร่  ช่วงชีวิตในวัยเด็กของ พ่อท่านเขียว ท่านก็เหมือนเด็กชาวบ้านในต่างจังหวัดทั่วไป หลังจากเรียนจบ ป.๔  บิดาได้ถึงแก่กรรม ท่านจึงต้องออกมาทำงานช่วยครอบครัว เพื่อเลี้ยงแม่และน้อง ๆ ซึ่งในเวลานั้นท่านก็สู้อดทนรับจ้างทำงานทุกอย่าง
  
 จนกระทั่งอายุได้ ๒๐ ปี จึงตัดสินใจบวชตามประเพณีนิยม ณ วัดนางโอ (ปัจจุบันคือวัดบุพนิมิตร) อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๒  โดยมี พระครูมนูญ   สมณการ วัดพลานุภาพ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการแดง ธมฺมโชโต วัดนาประดู่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการทอง จนฺทโชโต    วัดภมรคติวัน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระอธิการดำ ติสสโร เจ้าอาวาส วัดนางโอในขณะนั้น เป็นประธานสงฆ์ พระสงฆ์หัตถบาส เป็นพระอาจารย์ ผู้ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ ให้พ่อท่านเขียวมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นฆราวาส
  
หลังจากครองผ้าเหลือง พ่อท่านเขียวได้จำพรรษาอยู่วัดนางโอ ศึกษาพระปริยัติธรรมและนักธรรม รวมทั้งในด้านการสวดมนต์พิธี รวมถึงการสวดภาณยักษ์ แบบฉบับของภาคใต้ กระทั่งพรรษา ๒ ท่านได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดสุนทรบัญชาราม อ.รามัญ จ.ยะลา ครั้นถึงพรรษาที่ ๓ ท่านได้กลับมาจำพรรษาที่วัดนางโออีกครั้ง ได้ศึกษาวิชาอาคมต่าง ๆ กับ “ตาเลี่ยม” ฆราวาสที่เชี่ยวชาญ ด้านวิปัสสนา รวมทั้งศึกษาสรรพวิชาต่าง ๆ จากผู้เรืองพระเวทย์วิทยาคมอีกหลายท่าน นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาในทางธรรม ท่านปฏิบัติเคร่งครัด ศึกษาด้านปริยัติธรรมบาลีไวยากรณ์และนักธรรม รวมถึงการสวดมนต์ สาธยายธรรม จนกระทั่งสามารถสวดปาฏิโมกข์ได้ตั้งแต่ในพรรษาที่ ๕ และสอบได้นักธรรมโท ต่อมาก็ได้รับตำแหน่ง รักษาการเจ้าอาวาส วัดนางโอ จนกระทั่งได้เป็นเจ้าอาวาสในลำดับต่อมา ซึ่งในช่วงนี้เองที่ท่านได้รู้จักและสนิทสนมกับพระอาจารย์ทิม วัดช้างให้
    
ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ท่านได้ตรวจสอบธรณีสงฆ์รอบวัดนางโอ พบการรุกล้ำที่วัดของชาวบ้านละแวกวัด ทำให้ชาวบ้านเหล่านั้นไม่พอใจ เกิดกระทบกระทั่งกันหลายวาระ ในที่สุด ท่านจึงตัดสินใจออกไปจำพรรษาที่วัดภมรคติวัน ปรากฏว่าก็มีปัญหาเดียวกันกับวัดนางโออีก   จึงย้ายวัดไปจำพรรษาที่วัดนาประดู่อีกครั้งและ   ในระหว่างนี้ เจ้าอาวาส วัดห้วยเงาะ ในเวลานั้นได้มานิมนต์ให้ท่านไปอยู่ด้วย เนื่องด้วยพรรษาท่านมากจะได้ดูแลและไม่ต้องพบกับภาระเหนื่อยหนักอีก
  
พ่อท่านเขียว หรือที่ชาวบ้าน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ขนานนามว่า เทพ เจ้าฝ่ายบู๊แห่งเมืองลังกาสุกะ ท่านเป็นพระสมถะ ไม่สะสมทรัพย์ ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร ฉันก็ฉันง่าย ๆ บางทีก็แบ่งข้าวที่ท่านกำลังฉันให้สุนัขที่ท่านเลี้ยงกินด้วยกันท่าน มีเมตตากับทุก ๆ คน เดือดร้อนอะไรมาท่านก็ช่วยไม่เว้นแม้สุนัขที่ถูกทอดทิ้งท่าน  ก็รับมาเลี้ยงอย่างดี ท่านชอบสอนทุก ๆ คนที่ไปหาท่านให้ทำดี ละเว้นชั่ว ตั้งมั่นในความซื่อสัตย์กตัญญู อดออมทรัพย์สิน  ใช้จ่ายอย่างประหยัด  
  
สำหรับที่มาของฉายา “เทพเจ้าฝ่ายบู๊” นั้น เพราะท่านได้ทำนายเหตุการณ์ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ไว้ก่อนล่วงหน้า พร้อมกับสร้าง ตะกรุดพิศมรหลวงปู่ทวด แจกพี่น้อง ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อนมีเหตุการณ์ และตั้งแต่มีเหตุการณ์ยังไม่มีผู้ใดแขวน เครื่องรางของขลังของพ่อท่านเขียวแล้วสังเวยชีวิต ให้กับเหตุการณ์ความไม่สงบเลย จึงเป็นที่มาของ “เทพเจ้าฝ่ายบู๊แห่งเมืองลังกาสุกะ”
  
แม้เหตุการณ์ความไม่สงบใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้จะยังไม่น่าไว้วางใจ แต่ท่านตั้งปฏิปทามั่นในการอยู่ในพื้นที่อันตราย จ.ปัตตานีไม่คิดย้ายที่อยู่ไปแห่งใหม่ที่ปลอดภัยกว่า เพราะต้องการอยู่เป็นขวัญกำลังใจของทหารหาญ และพลเรือนในพื้นที่ รวมทั้งสั่งสอนธรรมะของพระพุทธองค์สืบไป
  
พ่อท่านเขียวท่านเป็นพระสงฆ์ที่มัธยัสถ์อดออมและรักสันโดษ ชอบการอ่านหมั่นศึกษาหาความรู้ในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎ หมายบ้านเมือง การเกษตรกรรม โหราศาสตร์ สมุนไพรกลางบ้าน รวมถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์  ในอันที่จะนำไปสงเคราะห์ผู้อื่นได้ ท่านมีเมตตาสูงกับเหล่าศิษย์ และผู้ที่ไปขอให้ท่านเสกเป่าบรรเทาทุกข์ แก้ไขสิ่งที่ขัดข้องในชีวิต โดยให้ความเมตตาเสมอเหมือนกันหมดโดยไม่แบ่งแยกไม่เคยเรียกร้องสิ่งใด ที่สำคัญ ท่านไม่จับ หรือรับเงินที่ถวาย
    
ผู้ที่ไปกราบ พ่อท่านเขียว มักจะได้รับวัตถุมงคล จากมือพ่อท่านเขียว ส่วนใหญ่จะเป็น ปลัดขิก ผ้ายันต์รับทรัพย์ ตะกรุดนิมิตพิสมร และหลวงพ่อทวดรุ่นต่าง ๆ รวมถึงข้าราชการ ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ปกครอง จะได้รับพร้อมกับคำสอนให้รักแผ่นดิน จากมือพ่อท่านเขียวนั่นคือ “วัตถุมงคล” ด้วยเหตุผลที่ต้องการให้ผู้รับได้มีกำลังใจ และเป็นเครื่องสร้างขวัญที่จะร่วมกันสู้ต่อเพื่อรอวันคืนอันเป็นปกติปรากฏ ขึ้นอีกครั้ง จึงมีคำกล่าวขานกันอย่างเซ็งแซ่ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ว่า “ใครก็ตามได้รับเมตตาจากมือท่าน หากพูดถึงเรื่องบู๊แมลงวันไม่ได้กินเลือด หากพูดถึงเสน่ห์ก็หายห่วงค้าขายทำมาหากินคล่อง”
    
ในส่วนของพระเครื่องนั้น ส่วนใหญ่จะไม่มีการเช่าหาแต่อย่างใด ๆ จะมีก็แต่พระเครื่องและวัตถุมงคลที่ทางวัดสร้าง หรือลูกศิษย์สร้างขึ้นให้เช่าบูชา ซึ่งพระเครื่องและวัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมของพ่อท่านเขียวก็คือ ผ้ายันต์รับทรัพย์ ยันต์รับทรัพย์ และ ยันต์เพิ่มทรัพย์, ขุนช้างเจ้าทรัพย์, พระราหู, ปลัดขิก, หน้ากากพรานบุญ



ที่มา Daily News Online ขอบคุณครับ  :089:

117






บันทึกอักษร 'ปัลลวะ' วัฒนธรรมจังหวัดเร่งคัดลอกอักษรส่งผู้เชี่ยวชาญ ไขปริศนาประวัติศาสตร์ 2 พันปีก่อน

วันนี้(10 ม.ค.) ที่บริเวณบ้านสว่าง ต.กมลาไสย  อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ นายไพโรจน์  เพชรสังหาร วัฒนธรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมทีมงาน ได้เข้าตรวจสอบใบเสมาโบราณหลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านบ้านสว่าง ทั้งนี้ยังเข้าทำการเก็บพิสูจน์ตัวอย่างเพื่อส่งผู้เชี่ยวชาญด้านอักษรปัล ลวะและอักษรโบราณ เพื่อเปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่จากการพบหลักฐานชิ้นสำคัญ โดยใบเสมาที่พบใหม่ครั้งนี้เป็นใบเสมาหินทราย อยู่ใต้ต้นไทรภายในสำนักสงฆ์ไม่มีชื่อ ซึ่งใบเสมาที่พบมีทั้งหมด 2 หลัก มีขนาดเท่ากันมีความกว้าง 80 ซม. ยาว 130  ซม. และหนา 20 ซม. ที่นอกจากนี้ใบเสมาใบที่ 2 ยังมีความแปลกไปกว่าหลักอื่น ๆ คือมีอักษรโบราณจารึกไว้ที่ด้านหนึ่ง ความยาวประมาณ 4 บรรทัด ซึ่งเจ้าหน้าที่วัฒนธรรมจังหวัดได้ทำการคัดลอกตัวอักษรบนใบสมาหินทรายเพื่อ ส่งพิสูจน์ว่าเป็นข้อความที่เขียนไว้เรื่องอะไร

นายไพโรจน์ เปิดเผยว่า ใบเสมาที่พบเบื้องต้นคาดว่าน่าจะมีอายุราว 1,000-2,000 ปี ถูกสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 1,500 – 1,700 ในสมัยทวาราวดี ซึ่งรูปร่างของใบเสมาที่พบมีรูปร่างคล้าย ๆ กับที่พบอยู่ในเขตบริเวณเมืองฟ้าแดดสงยาง ที่เป็นเมืองเก่าแก่โบราณและมีความรุ่งเรืองมากในยุคทวาราวดี แต่สิ่งที่มหัศจรรย์อยู่ที่ตัวอักษรที่จารึกอยู่ เนื่องจากเป็นอักษรอยู่ในช่วงยุคหลังของอักษรปัลวะโบราณ เป็นอักษรโบราณมีอายุกว่าพันปีทีเดียว โดยการค้นพบครั้งนี้ชาวบ้านได้พบและได้แจ้งมาทางสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด กาฬสินธุ์ประมาณปลายเดือน พ.ย. 52  ที่ผ่านมา.


ิที่มา Daily News Online ขอบคุณครับ


118








ในบรรดาพระเนื้อดินที่ว่าดังๆ จากทั่วทุกสารทิศในประเทศไทย ถ้าถามว่าพระอะไรที่มีอายุมากที่สุด คำตอบก็คือ พระรอด กรุวัดมหาวัน จ.ลำพูน และเช่นเดียวกันถ้าถามว่าพระอะไรที่ดูยากดูเย็นมากที่สุด ก็คงจะต้องตอบว่า พระรอด กรุวัดมหาวัน จ.ลำพูน อีกเช่นกัน เพราะสำหรับวงการนักนิยมสะสมพระเครื่องแล้วเป็นที่ทราบกันดีว่า "พระรอด" ซึ่งได้รับการยอมรับและยกย่องให้เป็นหนึ่งในพระยอดนิยมของเมืองไทย หรือที่เรียกว่า "พระชุดเบญจภาคี" นั้น นับเป็นพระเครื่องที่มีศิลปะ ชั้นสูง แสดงออกถึงความเป็นเอกลักษณ์อย่างชัดเจน เป็นที่ต้องการและเสาะแสวงหากันมากมาย ดังนั้น ถ้าคิดจะเข้าสู่วงการกับเขาบ้างก็ควรจะรู้วิธีการดูพระรอดขั้นต้นเอาไว้บ้าง ครับผม

พระรอด กรุวัดมหาวัน จ.ลำพูน นั้น จะมีอยู่ด้วยกันหลายพิมพ์ ตั้งแต่พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง พิมพ์เล็ก แถมยังมีพิมพ์ตื้น และพิมพ์ต้อ อีก ด้วย สำหรับวันนี้เราจะมาพูดถึง "พระรอด พิมพ์ต้อ" กันก่อน สาเหตุที่เรียกว่า "พิมพ์ต้อ" นั้น เนื่องด้วยองค์พระมีลักษณะต้อๆ สั้นๆ กว่าพระรอดพิมพ์อื่นนั่นเอง

พุทธ ลักษณะองค์พระของพระรอดทุกพิมพ์จะเหมือนกัน คือ ประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย ภายใต้โพธิบัลลังก์ มีฐานเขียงเป็นอาสนะสามชั้น ศิลปะของพระรอด พิมพ์ต้อ นั้น องค์พระจะเตี้ยล่ำ คล้ายๆ กับพระพุทธรูปเชียงแสนศิลปะขนมต้ม ส่วนเค้าพระพักตร์คนโบราณจะเรียกว่า "เป็นแบบเมล็ดพริกไทย" คล้ายกับพระรอด พิมพ์กลาง พระโอษฐ์สั้นเหมือนปลากัด และพระรอด พิมพ์ต้อนี้ให้สังเกตที่พระกรรณ ซึ่งจะสั้นกว่าพระรอดพิมพ์อื่น

พระ หัตถ์ข้างขวาขององค์พระที่วางพาดเข่าก็จะใหญ่ แลดูเป็นนิ้ว 6 นิ้ว และที่นิ้วหัวแม่มือดูคล้ายจะมีรอยตัด เหลือปลายนิ้วเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ ชี้ลงมาที่โคนน่องของขาขวา ที่โคนน่องให้สังเกตลอยขยัก 2 ขยัก อันนับเป็นจุดสำคัญในแม่พิมพ์

จุดสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ผ้ารองนั่ง จะเป็นขีดเหนือฐานชั้นล่างสุดหรือฐานชั้นที่หนึ่งเล็กน้อย และไม่ห่างกันมาก ถ้าห่างกันจะเป็นของเก๊ อีกประการหนึ่งคือ ในพิมพ์นี้จะไม่ปรากฏเนื้องอกหรือเนื้อปลิ้นที่เกิดจากการดันออกจากพิมพ์ใต้ ฐานองค์พระ

สำหรับผู้ที่เริ่มศึกษาในระยะแรก ควรจะหัด วาดและจัดกลุ่มใบโพธิ์เหนือองค์พระก่อน ซึ่งสามารถจัดได้ 6 กลุ่มโพธิ์ โดยจะมีโพธิ์ขีดยาวที่เรียกว่า "ก้านโพธิ์" เป็นตัวแบ่ง เพราะหัวใจของการดูพระรอดก็คือ การดูกลุ่มโพธิ์ ให้สังเกต "โพธิ์กลุ่มแรก" ซึ่งนับจากทางขวาขององค์พระจะปรากฏโพธิ์ 2 ใบที่ไม่เรียงเป็นแนวเดียวกันหากแต่วางขัดกัน ผิดกับ "โพธิ์กลุ่มที่ 6" ซึ่งอยู่สุดทางซ้ายขององค์พระใบโพธิ์จะวางเรียงตามกันทุกใบ และใน "กลุ่มโพธิ์ที่ 5" จะเห็นเป็นโพธิ์เขยื้อนในบางใบโพธิ์อย่างชัดเจน ครูเก่าๆ ท่านเคยสอนผมว่าพระรอดเป็นพระที่เนื้อละเอียดและแห้งมาก หากล้างมือให้สะอาดเช็ดมือให้แห้งแล้วนำพระรอดวางลงในอุ้งมือองค์พระจะดูด มือนิดๆ ก็ลองกันดู ค่อยเป็นค่อยไปจากหลักการเบื้องต้นนี้ก่อน และก็หวังว่า พระรอดแล้วคนก็จะรอดด้วยนะครับผม




ที่มา คอลัมน์ พันธุ์แท้พระเครื่อง โดย ราม วัชรประดิษฐ์ ขอบคุณครับ :089:


119
ผีกองปราบเฮี้ยนไม่เลิก! คราวนี้สาววัย 30 ผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์เจอดี อ้างเจอผู้ชายวัยกลางคนสวมเสื้อกล้ามสีแดงมาร้องช่วยให้พาออกจากห้องขัง แถมแนะวิธีปลดปล่อย ผู้ต้องหาถึงกับขนหัวลุก ต้องชวน ตร.นั่งคุยเป็นเพื่อนจนถึงเช้า รับไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์เรื่องผีกองปราบมาก่อน


วันนี้ (14 ม.ค.) ที่กองปราบปราม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลากลางดึกที่ผ่านมาขณะที่ ด.ต.บุญเยี่ยม ลอยแก้ว เจ้าหน้าที่สิบเวร ประจำหน้าห้องขังกองปราบปราม ได้ตรวจตราความเรียบร้อย พบนางอรุณรัตน์ พูนดิษฐ์ อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์ที่ถูกเพิ่งจับกุมตัวตามหมายจับศาลตลิ่งชั่น ที่ 877/2552 ลงวันที่ 20 ส.ค.2552 ข้อหายักยอกทรัพย์ มีพฤติการหลบหนีไม่มาศาลตามกำหนดนัด ยืนเกาะประตู ส่งเสียงร้องอยู่หน้าห้องขังขอให้ตำรวจช่วยมาอยู่เป็นเพื่อนเพราะถูกผีหลอก

นายฉลาด เสนารัตน์ วัย 40 ปี อาชีพขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง ผู้ต้องหาข่มขืนหลานสาวในไส้ ที่ผูกคอตายเสียชีวิตในห้องขังกองปราบ


เบื้องต้นจากการสอบถามนางอรุณรัตน์ ให้การด้วยสีหน้าตื่นตระหนกว่า หลังจากถูกจับกุมตัวมาแล้ว พนักงานสอบสวนก็นำตัวไปสอบปากคำก่อนที่จะนำลงมาขัง เนื่องจากจะต้องรอนำตัวส่งศาล ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสิบเวรที่หน้าห้องขังได้มอบผ้ายันต์ท้าวเวส สุวรรณสีแดงมาให้หนึ่งผืน ตอนแรกก็ไม่รู้สึกเอะใจอะไร หลังจากเข้าห้องขังก็พยายามจะนอนพักผ่อน จนเวลาประมาณตี 1 กว่าๆ ขณะนั้นรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นเหมือนกำลังฝัน ก็พบชายวัยกลางคนสวมใส่เสื้อกล้ามสีแดงมายืนเกาะที่บริเวณประตูห้องขัง แล้วบอกว่าเขา
ถูกขังอยู่นานแล้ว ขอให้ตนช่วยนำเขาออกจากห้องขังนี้เสียที พร้อมกับบอกพิธีก็คือให้อัญเชิญพระและตราของแผ่นดิน มาไว้ภายในห้องขังกองปราบปรามก็จะทำให้เขาเป็นอิสระทันที หากไม่ทำเขาก็จะถูกขังอยู่ในห้องขังของกองปราบปรามตลอดไป







นางอรุณรัตน์กล่าวต่อว่า ขณะนั้นได้มีเจ้าหน้าที่เดินมาตรวจดูความเรียบร้อยภายในห้องขัง จึงหันไปถามว่าผู้ต้องหาชายสวมเสื้อแดงที่ถูกขังอยู่ห้องใกล้กันหายไปไหน แล้ว จึงทราบความจริงว่ามีตนถูกขังอยู่เพียงคนเดียว ทำให้รู้สึกหวาดกลัว จึงขอร้องให้สิบเวรคนดังกล่าวมานั่งคุยเป็นเพื่อนจนสว่าง และเพิ่งจะทราบความจริง โดยก่อนหน้านี้ตนไม่เคยทราบข่าวผีเสื้อแดงมาก่อนเลย

ผู้ สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับความเฮี้ยนของผีเสื้อแดงนั้นเป็นที่ล่ำลือกันมานาน ที่ผ่านมาได้มีผู้ต้องขังพยายามผูกคอตายมาแล้วหลายครั้ง มีผู้เสียชีวิต 2 ราย คือ นายฉลาด เสนารัตน์ วัย 40 ปี อาชีพขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง ผู้ต้องหาข่มขืนหลานสาวในไส้ วัย 11 ขวบ จนตั้งท้องและคลอดลูก อีกรายคือ นายศักดิ์ชัย อุตตะละ วัย 50 ปี อาจารย์ประจำชั้น ป.4 โรงเรียนบ้านคำตานา อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ผู้ต้องหากระทำชำเราลูกศิษย์วัย 13 ปี ของตัวเอง แต่ในรายของ นายศักดิ์ชัย เจ้าหน้าที่ช่วยได้ทัน แต่ก็ไปผูกคอตายที่บ้านเกิด และที่ผ่านมาเคยมีการนิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธีสวดมนต์ปัดรังควาน และทำบุญมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ก็ยังเกิดเหตุสยองขวัญขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจากการบอกเล่าของผู้ประสบเหตุล่าสุดก็เชื่อว่าน่าจะเป็นการปรากฏตัว ให้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายของผีห้องขัง


ที่มาจาก www.manager.co.th ขอบคุณเป็นอย่างสูงนะครับ


120
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / วันครู
« เมื่อ: 15 ม.ค. 2553, 07:36:54 »

ความเป็นมา
          วัน ครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภาเป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความ เห็นเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษา ควบคุมจรรยาและวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครูและครอบครัวได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู ด้วยเหตุนี้ในทุก ๆ ปี คุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และซักถามปัญหาข้อข้องใจต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบ ข้อสงสัยสถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า“ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือ ว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมีสักวันหนึ่งสำหรับให้บันดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ได้แสดงความเคารพสักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับคนทั่วไปถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง” จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความคิดเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่น ๆ ที่ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึกถึงความสำคัญของครู ในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติ เห็นควรให้มีวันครูเพื่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูและเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างครู กันประชาชน ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ ให้วันที่ ๑๖ มกราคมของทุกปีเป็น “วันครู” โดยเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็นวันครูและให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดัง กล่าวได้
 
การจัดงานวันครู
          การจัดงานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงาน งานวันครูนี้ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญคือ หนังสือประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุ

          การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรม ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลา ในปัจจุบันได้จัดรูปแบบการจัดงานวันครู จะมีกิจกรรม ๓ ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้ 1. กิจกรรมทางศาสนา
2. พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์
3. กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู ส่วนมากเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริงในตอนเย็น

           ปัจจุบันการจัดงานวันครู ได้มีการกำหนดให้จัดพร้อมกันทั่งประเทศ สำหรับในส่วนกลางจัดที่หอประชุมคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการจัดงานวันครู ซึ่งมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ประกอบด้วยบุคคลหลายอาชีพร่วมกันเป็นผู้จัด สำหรับส่วนภูมิภาคมอบให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ โดยตั้งคณะกรรมการจัดงานวันครูขึ้นเช่นเดียวกับส่วนกลางจะจัดรวมกันที่ จังหวัดหรือแต่ละอำเภอก็ได้
          รูปแบบการจัดงานในส่วนกลาง (หอประชุมคุรุสภา) พิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการจัดงานวันครู พร้อมด้วยครูอาจารย์และประชาชนร่วมกันใส่บาตรพระสงฆ์ จำนวน ๑,๐๐๐ รูป หลังจากนั้นทุกคนที่มาร่วมงานจะเข้าร่วมพิธีในหอประชุมคุรุสภา นายกรัฐมนตรีเดินทางมาเป็นประธานในงาน ดนตรีบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ นายกรัฐมนตรีบูชาพระรัตนตรัย ประธานสงฆ์ให้ศีล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงานต่อนายกรัฐมนตรี เสร็จแล้วพิธีบูชาบูรพาจารย์โดยครูอาวุโสนอกประจำการจะเป็นผู้กล่าวนำพิธี สวดคำฉันท์รำลึกถึงประคุณบูรพาจารย์
 
มารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครู
1. เลื่อมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ
2. ยึดมั่นในศาสนาที่ตนนับถือ ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอื่น
3. ตั้งใจสั่งสอนศิษย์และปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เกิดผลดีด้วยความเอาใจใส่ อุทิศเวลาของตน ให้แก่ศิษย์ จะละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่การงานไม่ได้
4. รักษาชื่อเสียงของตนมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว ห้ามประพฤติการใด ๆ อันอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติและชื่อเสียงของครู
5. ถือปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมอันดีงามของสถานศึกษา และปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ซึ่งสั่งในหน้าที่การงานโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแบบแผนของสถานศึกษา
6. ถ่ายทอดวิชาความรู้โดยไม่บิดเบือนและปิดบังอำพราง ไม่นำหรือยอมให้นำผลงานทางวิชาการของตนไปใช้ในทางทุจริตหรือเป็นภัยต่อ มนุษย์ชาติ
7. ให้เกียรติแก่ผู้อื่นทางวิชาการ โดยไม่นำผลงานของผู้ใดมาแอบอ้างเป็นผลงานของตน และไม่เบียดบังใช้แรงงานหรือนำผลงานของผู้อื่นไป เพื่อประโยชน์ส่วนตน
8. ประพฤติตนอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความเที่ยงธรรมไม่แสวงหาประโยชน์สำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ
9. สุภาพเรียบร้อยประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ รักษาความลับของศิษย์ ของผู้ร่วมงานและของสถานศึกษา
10. รักษาความสามัคคีระหว่างครูและช่วยเหลือกันในหน้าที่การงาน
 
คำปฏิญาณตนของครู
ข้อ 1. ข้าจะบำเพ็ญตนให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นครู
ข้อ 2. ข้อจะตั้งใจฝึกสอนศิษย์ให้เป็นพลเมืองดีของชาติ
ข้อ 3. ข้าจะรักษาชื่อเสียงของคณะครูและบำเพ็ญตนให้เป็น
 
(สวดนำ) ปาเจราจริยา โหนติ (รับพร้อมกัน) คุณุตฺตรานุสาสกา

ปญญาวุฑฺฒิกเร เต เต ทินฺโนวาเท นมามิหํ

ข้าขอประณตน้อมสักการ บุรพคณาจารย์

ผู้ก่อประโยชน์ศึกษา

ทั้งท่านผู้ประสาทวิชา อบรมจริยา

แก่ข้าในกาลปัจจุบัน

ข้าขอเคารพอภิวันท์ ระลึกคุณอนันต์

ด้วยใจนิยมบูชา

ขอเดชกตเวทิตา อีกวิริยะพา

ปัญญาให้เกิดแตกฉาน

ศึกษาสำเร็จทุกประการ อายุยืนนาน

อยู่ในศีลธรรมอันดี

ให้ได้เป็นเกียรติเป็นศรี ประโยชน์ทวี

แก่ชาติและประเทศไทย เทอญฯ

    
คาถา ปาเจราจริยา โหนฺติ คุณุตฺตรานุสาสกา (วสันตดิลกฉันท์)

ข้าขอประนมกระพุ่ม
อภิวาทนาการ
กราบคุณอดุลคุรุประทาน
หิตเทิดทวีสรร
สิ่งสมอุดมคติประพฤติ
นรยึดประครองธรรม์
ครูชี้วิถีทุษอนันต์
อนุสาสน์ประภาษสอน
ให้เรืองและเปรื่องปริวิชาน
นะตระการสถาพร
ท่านแจ้งแสดงนิติบวร
ดนุยลยุบลสาร
โอบเอื้อและเจือคุณวิจิตร
ทะนุศิษย์นิรันดร์กาล
ไปเปื่อก็เพื่อดรุณชาญ
ลุฉลาดประสาทสรรพ์
บาปบุญก็สุนทรแถลง
ธุระแจงประจักษ์ครัน
เพื่อศิษย์สฤษฎ์คตจรัล
มนเทิดผดุงธรรม
ปวงข้าประดานิกรศิษ
(ษ) ยะคิดระลึกคำ
ด้วยสัตย์สะพัดกมลนำ
อนุสรณ์เผดียงคุณ
โปรดอวยพรสุพิธพรอเนก
อดิเรกเพราะแรงบุญ
ส่งเสริมเฉลิมพหุลสุน-
ทรศิษย์เสมอเทอญฯ






ที่มา http://www.zabzaa.com/event/teacher.htm  ขอฝากให้แก่ศิษย์มีครูทุกท่านครับ

121


อมตะ พระตระกูลสมเด็จที่ได้รับการยกย่องและยอมรับจากนักสะสม เป็นพระเนื้อผงเก่าแก่ที่ยังไม่ปรากฏหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าผู้ใดเป็นผู้ สร้าง แต่มีการยอมรับกันมาช้านานว่าเป็นพระเก่าพระแท้ และมีรูปทรงสี่เหลี่ยมแบบพระสมเด็จที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้จัดสร้างเอาไว้

"วัดทรงประมูล" มีเขตอยู่ใกล้กับวัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ ซึ่งจริงแล้วชื่อวัดนี้คือ "วัดวงศมูลวิหาร" แต่ชาวบ้านมักจะเรียกกันจนติดปากว่า "วัดทรงประมูล" ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่กรมอู่ทหารเรือหลังจากที่ถูกยุบวัดไปแล้ว แต่ยังไม่ได้ถอนวิสุงคามสีมา

วัด นี้สร้างขึ้นเมื่อต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเดิมทีก็ถือว่าอยู่ในเขตนิวาสสถานเดิมของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา โลกมหาราช รัชกาลที่ 1 เมื่อครั้งที่พระองค์ท่านยังเป็นขุนนางสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีด้วยซ้ำ





การ ค้นพบของพระวัดทรงประมูลนั้น หลักฐานยังสับสนโดยบางแห่งระบุว่า พบที่เพดานพระอุโบสถ แต่บางรายก็ระบุว่าพบในกรุพระเจดีย์ เนื้อหามวลสาร ผงพุทธคุณที่ใช้สร้างนั้น เก่าแก่มีอายุอานามไล่เลี่ยกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ

พระ พุทธลักษณะพิมพ์ทรงนั้น ทำเป็นทรงชิ้นฟัก มีรูปองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่งขัดสมาธิเพชร "เข่าบ่วง" บนฐาน 2 ชั้น แบบฐานเขียงบัวเม็ด มีฐานแซมตรงกลางอีก 1 ชั้น ภายใต้ซุ้มที่ทำเป็นรูปม่านประดับ จึงเป็นที่มาของชื่อพิมพ์ที่ว่า "แหวกม่าน" ด้านหลังเรียบ

เนื้อหามวลสารเป็น "ผงปูนขาวอมน้ำตาล" ที่เรียกว่า "เนื้อผงพระพุทธคุณ" ซึ่งตามหลักการสร้างของพระผงปูนทั่วไปนั้น ก็จะประกอบด้วยผงวิเศษ 5 ประการ ได้แก่ ผงปถมัง อิทธิเจ มหาราช ตรีนิสิงเห และพุทธคุณ นอกจากนี้บางท่านยังสันนิษฐานว่า "ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต" อาจจะมีส่วนร่วมสร้างด้วยหรือไม่ก็อาจจะมีผงวิเศษของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต เป็นส่วนผสมด้วยก็ได้

ด้านพุทธคุณ ผู้นำไปบูชาอาราธนาติดตัว ระบุตรงกันมีประสบการณ์เหมือนกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ คือด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด ตลอดจนค้าขายดี เจริญด้วยโภคทรัพย์สมบัตินานัปการ


ที่มาข่าวสด ชมรมพระเครื่อง หน้า32

122




"วัดโอกาส" ตั้งอยู่เลขที่ 552 ถนนสุนทรวิจิตร ริมฝั่งแม่น้ำโขง อ.เมือง จ.นครพนม สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.1994

แต่ เดิมมีชื่อว่า "วัดพระศรีบัวบานพระเจ้าติ้ว" ก่อนเปลี่ยนชื่อวัด เมื่อปี พ.ศ.2081 มีพระครูศรีปริยัติการ เป็นเจ้าอาวาสวัดรูปปัจจุบัน

อุโบสถวัดโอกาส เป็นที่ประดิษฐานพระ พุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง คือ "พระติ้ว- พระเทียม"

ตาม ตำนานเดิม มีเพียงพระติ้ว ซึ่งเป็นพระพุทธรูปไม้แกะสลักปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 39 เซนติเมตร สูง 60 เซนติเมตร สันนิษฐานว่าสร้างโดยพระเจ้าศรีโคตรบูร เจ้าผู้ครองอาณาจักรศรีโคตรบูร โดยพระองค์โปรดให้นายช่างสร้างพระติ้วจากไม้หมอนรองท้องเรือ ก่อนสมโภชเป็นพระพุทธรูปคู่บ้าน คู่เมือง

ส่วนพระเทียม ตามตำนานระบุว่าครั้งหนึ่งได้เกิดเพลิงไหม้หอพระธาตุ บ้านสำราญ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระติ้ว พระเจ้าขัตติยะวงศา เข้าใจว่าพระติ้วถูกเพลิงไหม้ไปแล้ว จึงมีพระบัญชาให้ชาวบ้านไปหาไม้มาแกะสลักให้มีพุทธลักษณะเหมือนดังพระติ้ว ทุกประการ ก่อนจัดสมโภชเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง

ต่อมา ชาวบ้านออกหาปลากลางแม่น้ำโขง ขณะมีพายุหมุนได้พบพระติ้วลอยโผล่ขึ้นเหนือน้ำ จึงนำไปถวายพระเจ้าขัตติยะวงษา

พระองค์ เกิดศรัทธาสละทองคำ 30 บาท ให้ช่างบุทองทั่วองค์พระ ก่อนจารึกอักษรที่แท่นฐานลานเงิน บอกวันเดือนปีและนามผู้สร้าง พร้อมถวายสมัญญานามพระพุทธรูปองค์เดิมว่า "พระติ้ว" ส่วนพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นใหม่ เพื่อใช้แทนพระติ้วว่า "พระเทียม"

ครั้น ถึงในสมัยราชบุตรพรหมา เจ้าผู้ครองเมืองนครบุรีศรีโคตรบูร ได้อัญเชิญพระติ้ว-พระเทียม ประดิษฐานที่วัดศรีบัวบานพระ เจ้าติ้ว ในปี พ.ศ. 2281 นับแต่นั้นมา

ในปี พ.ศ.2499 วัดโอกาส โดยพระครูสุนทรกัลยาณพจน์ อดีตเจ้าอาวาสวัดรูปที่ 8 ได้จัดสร้างเหรียญพระติ้ว-พระเทียม รุ่น 1 เพื่อฉลองวิหารประดิษฐานพระติ้ว-พระเทียม

เป็นเหรียญกลม ไม่มีหูห่วง เนื้อเมฆพัด (อ่านว่า เมก-คะ-พัด) เป็นโลหะที่ได้จากการเล่นแร่แปรธาตุ เชื่อว่าเป็นธาตุกายสิทธิ์มีฤทธานุภาพ ผสมระหว่างตะกั่วและทองแดง แต่ไม่ทราบจำนวนที่จัดสร้างแน่ชัด

ด้าน หน้าเหรียญ ซ้ายมือประดิษฐานพระติ้ว และด้านขวามือ พระเทียม ปางมารวิชัยประทับแท่นบนฐานดอกบัว ใต้ฐานสลักตัวหนังสือนูน พระติ้ว พระเทียม รอบวงรีขอบเหรียญเป็นยันต์อักขระ

ด้านหลังเหรียญ กลางเหรียญเป็นลายเส้นนูนภาพอุโบสถ ใกล้กันเป็นวิหารหอคู่ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระติ้ว-พระเทียม ขอบเหรียญจากซ้ายไปขวา ระบุคำว่า "วิหารพระติ้วพระเทียม วัดโอกาส (ศรีบัวบาน) ด้านล่างสลักชื่อจังหวัด "นครพนม"

เหรียญนี้มีพุทธคุณด้านแคล้วคลาด ทำมาค้าขายรุ่งเรือง ไม่มีราคาเป็นที่ตั้ง อยู่ที่ความพอใจระหว่างผู้ครอบครอง และผู้ขอเช่าบูชา

เหรียญนี้ ปัจจุบันมีแค่ 2 เหรียญเท่านั้น แต่ด้วยความเปราะบางแตกกะเทาะง่าย จึงต้องใส่กรอบไว้


ขอบคุณที่มาจาก ข่าวสด เปิดตลับพระใหม่ หน้า32  ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ  :054:

123



วัดถ้ำเสือ อยู่ห่างจากตัวเมืองกระบี่ประมาณ 9 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ บ้านถ้ำเสือ ต.กระบี่น้อย อ.เมือง จ.กระบี่ พื้นที่บริเวณวัดประมาณ 200 ไร่ ประกอบไปด้วยพื้นที่ราบ หุบเขาและยอดเขา

สำหรับชื่อวัดนั้นมี ข้อสันนิษฐานว่า เนื่องจากในอดีตเคยมีเสืออาศัยอยู่ และภายในถ้ำยังปรากฏหินธรรมชาติ เป็นรูปแบบของอุ้งเท้าเสือ ส่วนที่มาของวัดนี้น่าจะมาจากพระธุดงค์ที่เดินทางจาริกไป เพื่อหาสถานที่วิเวกในการปฏิบัติธรรม มาอาศัยอยู่ตามถ้ำ และมีชาวบ้านที่ศรัทธาตามมากราบไหว้เป็นจำนวนมาก จนกลายเป็นวัดในเวลาต่อมา

ปัจจุบันมี "พระครูภาวนาธิคุณ" ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส และ พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง "หลวงพ่อจำเนียร สีลเสฏโฐ" ประธานสงฆ์วัดถ้ำเสือ

สภาพ ทั่วไปของวัดถ้ำเสือมีลักษณะ เป็นสวนป่า เป็นโพรงถ้ำ มีเพิงผาและแหล่งถ้ำธรรมชาติ เช่น ถ้ำคนธรรพ์ ถ้ำลอด ถ้ำช้างแก้ว ถ้ำลูกธนู ถ้ำพระ เป็นต้น ถ้ำบางแห่งที่ตั้งอยู่ใกล้บริเวณวัด ยังสามารถใช้เป็นศูนย์กลางการนั่งฌานของพระภิกษุและเหล่าอุบาสก อุบาสิกาได้อีกด้วย ภายในบริเวณวัดทัศนียภาพร่มรื่น แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ อายุนับร้อยนับพันปี เนื่องจากมีเขาล้อมอยู่ทุกด้าน บริเวณนี้นอกจากเป็นสถานที่วิปัสสนาแล้ว ยังเป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญถึงสองสมัย คือ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ มีการขุดพบวัตถุโบราณหลายอย่าง เช่น เครื่องมือหิน เศษภาชนะดินเผา พระพิมพ์ดิบ





ริ เวณพื้นที่ราบด้านหน้าเป็นที่ตั้งของอุโบสถ พระธาตุเจดีย์ระฆังใหญ่ หอประชุม รูปปั้นพระโพธิสัตว์กวนอิม และสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ อีกมากมาย อาทิ พระพุทธรูปหยกขาว, ศาลาหลวงปู่ทวด, พระพุทธมงคล, พระสีวลี, พระพรหม, พระสังกัจจายน์, รอยพระพุทธบาท, พระธาตุเจดีย์, ยอดเขาแก้ว พระอรหันต์จี้กง เป็นต้น

พระธาตุเจดีย์ยอดเขาแก้ว ตั้งอยู่บนยอดเขาแก้ว มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 600 เมตร สามารถขึ้นไปสักการะได้โดยขึ้นบันได 1,200 ขั้น บนยอดเขาสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองกระบี่ได้รอบทิศ ทั้งยังเป็นที่ประดิษฐานของรอยพระพุทธบาทจำลองอีกด้วย พระธาตุเจดีย์ระฆังใหญ่ มีความสูง 90 เมตร ซึ่งอยู่ในช่วงดำเนินการก่อสร้าง หากแล้วเสร็จจะเป็นแหล่งที่ดึงดูดนักท่องแดนธรรมชาวต่างชาติได้เป็นอย่างดี

ธรรมชาติ น่าสนใจ "หุบเขาคีรีวงศ์" ภายในหุบเขาแวดล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่อายุนับร้อยปี และเนื่องจากมีเขาล้อมอยู่ทุกด้าน จึงมีถ้ำเล็กถ้ำน้อยอยู่มากมาย เช่น ถ้ำคนธรรพ์ ถ้ำลอด ถ้ำช้างแก้ว ถ้ำลูกธนู ถ้ำพระ ฯลฯ สามารถเดินทางเข้าชมได้โดยการขึ้นและลงบันไดบริเวณพระตำหนักเจ้าแม่กวนอิม พระโพธิสัตว์กวนอิม เป็นเอกลักษณ์และเป็นที่นิยมชื่นชอบของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่าง ชาติคือการที่ได้มาแวะสักการะขอพร พระพุทธรูปหยกขาว ศิลปะพม่าอายุนับร้อยปี

เนื่องจากวัดถ้ำเสือมีลักษณะเป็นสวน ป่า แวดล้อมด้วยแมกไม้ ถ้ำและต้นไม้น้อยใหญ่อายุนับร้อยปี จึงเป็นที่อยู่อาศัยของลิงป่าน้อยใหญ่เป็นจำนวนมาก ถือเป็นมนต์เสน่ห์อย่างหนึ่งของวัดถ้ำเสือ สามารถชมและสัมผัสความเป็นอยู่ของฝูงลิงป่าอย่างใกล้ชิด

การเดิน ทางจากตัวเมืองกระบี่ เลี้ยวซ้ายที่สี่แยกตลาดเก่า ใช้เส้นทางถนนเพชรเกษม (ทางหลวงหมายเลข 4) เส้นทางอำเภอเหนือคลอง เลี้ยวซ้ายที่สามแยกถ้ำเสือไปตามถนนราษฎรพัฒนา (ทางหลวงหมายเลข 4037) ไปประมาณ 2 กิโลเมตร จะมีป้ายบอกทางอย่างชัดเจน

ถือเป็นแหล่งธรรมที่น่าท่องเที่ยวมาก!!

ที่มา ข่าวสด หน้า32  ขอบคุณมากครับ  :054:

124
เปิดตัว"เจ้าเครา"ไก่ดุเฝ้าวัด..จิกกัดขโมยขึ้นกุฎิ




ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชนเดินทางไปกราบไหว้ขอพรจากพระที่วัดกล้วย ต.กะมัง อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ต่างสงสัยหลังพบต้นไม้มีป้ายระบุว่า "ระวังไก่ดุ" อย่างไรก็ตาม ระหว่างนายบุญชอบ จรวิเศษ อายุ 42 ปี อาชีพขับรถตุ๊กตุ๊ก พานักท่องเที่ยวมาไหว้พระได้เดินทางผ่านต้นไม้ปรากฏว่ามีไก่วิ่งออกมาจากใต้ ถุนกุฎิพระ ตรงเข้ามากระโดดจิกตีที่ขาของนายบุญชอบ สร้างความตกใจแก่ผู้พบเห้น

นาย บุญชอบ กล่าวว่า ได้พานักท่องเที่ยวมาที่วัดนี้และถูกไก่จิกเป็นประจำ รู้สึกเจ็บบางครั้งถึงกับมีเลือดออก มาระยะหลังจึงได้นุ่งกางเกงยีนส์อ สงสัยว่าไก่จะหวงพื้นที่ ไม่ให้เข้าไปในบริเวณกุฎิเจ้าอาวาสที่อยู่ใกล้กับทางเดินลงท่าน้ำ จึงต้องบอกกับนักท่องเที่ยวอยู่เสมอว่าให้ระวัง

พระ ครูประภัสรญาณสุนทร เจ้าอาวาสวัดกล้วย เปิดเผยว่า เดิมพระลูกวัดได้นำไข่มาให้ไก่แจ้ที่เลี้ยงไว้ฝักเป็นตัวและได้เลี้ยงดูมา ตลอดจนขณะนี้อายุได้ 4 ปี มีท่าทางดุร้าย เวลากลางคืนจะขึ้นมานอนอู่นกรงข้างกุฎิเป็นประจำ เป็นเรื่องที่แปลกเวลาที่พระเดินผ่านจะไม่ทำร้าย แต่ถ้าเป็นฆาราวาสไก่จะจิกตีทันที บางครั้งลืมใส่กุญแจกุฏิของไม่เคยหายเลย อาจจะเป็นได้ว่าไก่ป้องกันโจร หรือเฝ้าโขมย พระตั้งชื่อมันว่า "เจ้าเครา"

ที่มา : มติชนออนไลน์ 12 ม.ค.53


125
"หลวงพ่อปู่" เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานอยู่ในอุโบสถวัดโกรกกราก ถนนธรรมคุณากร ต.โกรกกราก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร



  ความพิเศษของพระพุทธรูปองค์นี้คือ "ใส่แว่นตา ทั้งแว่นดำ แว่นแฟชั่น รวมทั้งแว่นสายตา"
 ขณะ เดียวกัน รูปหล่อของพระครูธรรมสาคร ญาณวฒโน หรือหลวงปู่กรับ อดีตเจ้าอาวาสวัดโกรกกราก ก็มีคนนำแว่นตาทุกชนิดไปใส่ให้ท่านเช่นเดียวกับหลวงพ่อปู่ 

 สำหรับความเป็นมาของหลวงพ่อปู่นั้น เคยประดิษฐานอยู่ที่วัดช่องสะเดา เป็นวัดร้างเก่าแก่ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน ซึ่งสิ่งก่อสร้างต่างๆ ปรักหักพังหมดแล้ว

 ดังนั้นชาวรามัญบ้านกำพร้า จึงอัญเชิญมาทางเรือสององค์ องค์หนึ่งเนื้อสัมฤทธิ์ อีกองค์หนึ่งเนื้อศิลาแลง ล่องเรือมาตามแม่น้ำท่าจีน พอเรือใกล้ถึงหน้าวัดโกรกกราก ได้เกิดลมพายุฝนตกหนัก ล่องเรือต่อไปไม่ได้ จึงนำเรือมาจอดหลบลมฝนริมคลองข้างวัด พอจอดเรือเรียบร้อยก็ช่วยกันยกพระศิลาแลงขึ้นมาบนฝั่ง เพื่อไม่ให้ถูกน้ำฝนเซาะ

 เมื่อลมฝนสงบแล้ว จึงยกพระศิลาแลงลงเรือ เพื่อจะล่องต่อไป แต่ปรากฏว่ายกไม่ขึ้น ทำอย่างไรก็ยกไม่ขึ้น และหนึ่งในจำนวนชาวรามัญบ้านกำพร้าที่อยู่ในเหตุการณ์ ได้อธิษฐานว่า ถ้าพระศิลาแลงจะอยู่วัดโกรกกราก ก็ขออัญเชิญพระศิลาแลงไปประดิษฐานยังอุโบสถ ปรากฏว่ายกขึ้น

หลวงปู่กรับ



นับแต่นั้นมา วัดจึงมีพระศิลาแลงเป็นพระประธานในอุโบสถจนถึงปัจจุบัน
 ส่วน สาเหตุที่ต้องใส่แว่นดำนั้น พระครูวิสุทธิ์สิทธิคุณ หรือพระมหาสัมฤทธิ์ วิสุทฺธสีโล เจ้าคณะตำบลโกรกกราก และเจ้าอาวาสวัดโกรกกราก ในปัจจุบัน เล่าให้ฟังว่า

 เมื่อครั้งบวชพระใหม่ๆ เคยสอบถามผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีอายุ ๘๐-๙๐ ปี ต่างได้รับคำตอบในทำนองเดียวกันว่า "เห็นมาตั้งแต่เกิดเช่นกัน"

 ดังนั้นการถวายแว่นแก้บนน่าจะเกิดขึ้นเมื่อเกือบร้อยปีมาแล้ว ขณะเดียวกันก็มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า เนื่องจากครั้งหนึ่งได้เกิดโรคตาแดงระบาดไปทั่วบ้านโกรกกราก การแพทย์ยังไม่เจริญ รักษากันตามมีตามเกิด แต่ก็ไม่หาย ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาองค์พระศิลาแลงกันมานาน จึงได้พากันมาบนบานศาลกล่าว ถ้าตาหายเจ็บหายแดง จะนำแผ่นทองมาปิดที่ดวงตาขององค์พระศิลาแลง

 ผลปรากฏว่าตาหายแดงกันทั้งหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงได้นำแผ่นทองมาปิดที่ตาขององค์พระศิลาแลงเต็มไปหมด ครั้นหลวงปู่กรับได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส มาพบเห็นเข้า จึงหาอุบายเพื่อไม่ให้ญาติโยมปิดทองที่ดวงตาองค์พระศิลาแลง จึงได้นำแว่นตามาใส่ให้องค์พระศิลาแลง  หลังจากองค์พระศิลาแลงใส่แว่นตาแล้ว ชาวบ้านจึงได้นำแว่นตามาถวาย แทนการปิดทองที่ดวงตา จนถือปฏิบัติเป็นประเพณีตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

 "ทุกวันนี้คนที่เป็นโรคเกี่ยวกับตาทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นตาแดง ตากุ้งยิง ริดสีดวงตา ตาเจ็บ ตาอักเสบ สายตาสั้น ฯลฯ นอกจากรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุปันแล้ว ทั้งผู้ที่เป็นโรคและญาติๆ มักจะมาบนขอให้หายจากโรคตาที่เป็นอยู่ โดยมีคติความเชื่อว่าจะหายจากโรคตาที่เป็นอยู่ และเมื่อหายแล้วก็จะนำแว่นตามาถวายหลวงพ่อปู่ เมื่อมีการสร้างรูปหล่อหลวงปู่กรับ คนก็จะมาบนกับหลวงปู่กรับไปพร้อมๆ กัน แว่นตาที่คนนำมาบนนั้นมีทุกประเภท ทั้งนี้เมื่อนำแว่นใหม่มาใส่ให้ก็จะลาแว่นเก่าของหลวงพ่อปู่ และของหลวงปู่กรับ นำไปใส่เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยแต่ละวันมีคนนำแว่นมาถวาย ๕-๑๐ อัน ถ้าเป็นช่วงเทศกาลสำคัญ เพิ่มเป็นหลายสิบอัน" พระมหาสัมฤทธิ์กล่าว

 นอกจากความเชื่อดังกล่าวแล้ว พระครูวิสุทธิ์สิทธิคุณ ยังบอกด้วยว่า ในอดีตบ้านท่าฉลอมและบ้านท่าจีน เป็นเมืองทำมาค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าของชาวจีนโพ้นทะเล สมัยนั้นใช้เรือสำเภาใบสองเสาบรรทุกสินค้าเข้ามา พอเรือแลนผ่านหน้าวัดโกรกกราก ก็จุดประทัดไหว้หลวงพ่อปู่ เพื่อขอพรให้สินค้าขายดี พอสินค้าหมดเดินทางกลับก็จุดประทัดไหว้หลวงพ่อปู่ ขอให้เดินทางกลับถิ่นฐานด้วยความปลอดภัย ซึ่งชาวจีนถือปฏิบัติเช่นนี้ตลอดการติดต่อค้าขายทางเรือ

 ต่อมาเรือประมง เมื่อจะออกทะเลหาปลา ก็จุดประทัดไหว้หลวงพ่อปู่ตามแบบอย่างชาวจีนด้วย รวมถึงการค้าขายทางบก พ่อค้าแม่ค้าก็มักยึดถือตามๆ กันมา แม้แต่สาธุชนที่มาไหว้หลวงพ่อปู่ในปัจจุบัน ส่วนมากก็จุดประทัดถวายหลวงพ่อปู่เป็นประจำทุกๆ วันเช่นเดียวกัน

 ส่วนคนในพื้นที่ถ้าขับยวดยานพาหนะผ่านโบสถ์หลวงพ่อปู่ก็จะบีบแตรถวายสักการะทุกครั้ง
 โบสถ์ หลวงพ่อปู่จะเปิดให้ผู้มาสักการะกราบไหว้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา ๐๖.๐๐-๑๙.๐๐ น. พุทธศาสนิกชนท่านใดจะเดินทางไปกราบไหว้ขอพรสอบถามได้ที่โทร.๐-๓๔๔๒-๑๕๐๐ และ ๐๘-๑๖๕๘-๓๐๘๐ หรือที่ "www.watkrokkrak.com"


วันแซยิดหลวงพ่อปู่
 พระ มหาสัมฤทธิ์บอกว่า ครั้งหนึ่งมีหมอไสยศาสตร์จอมขมังเวท มองเห็นภายในองค์หลวงพ่อปู่เป็นทองคำเกิดความโลภอยากได้ทอง ในคืนหนึ่งได้เข้าไปลักลอบเจาะช่องท้องหลวงพ่อปู่ ปรากฏว่า ไม่พบทองแต่พบอะไรไม่ทราบ ถึงกับเสียสติบ้าคลั่ง และตายในเวลาต่อมา

 ในครั้งนั้นหลวงปู่กรับ ลงไปทำวัตรในโบสถ์ได้พบเข้า จึงนำทองคลุกรักอุดรอยเจาะนั้นไว้ และทำพิธีบวงสรวงสักการะ ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนอ้าย และในวันนี้ของทุกปีจึงเป็นที่มาของวันไหว้หลวงพ่อปู่ ในอดีตเรียกวันนี้ว่า “วันแซยิดหลวงพ่อปู่”

 ด้วยความอัศจรรย์ใจ และศรัทธาในพุทธาภินิหาร จึงพร้อมใจกันจัดงานนมัสการขึ้น ตรงกับวันกลางเดือนยี่ (ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๒) ของทุกปีตลอดมา




ที่มา "ไตรเทพ ไกรงู"


126
เมื่อ ผ่านพ้นเทศกาลเฉลิมฉลองในช่วงปีใหม่ ก็ถึงคิวของวันมหัศจรรย์ของเด็กๆ นั่นคือ "วันเด็กแห่งชาติ" ที่ถูกกำหนดให้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒ ของเดือนมกราคมของทุกปี โดยในปี ๒๕๕๓ นี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๓ ถนนทุกสาย เปิดพื้นที่ให้เด็กๆ หรือร่วมกันทำกิจกรรม ในแต่ละชุมชนเพื่อเด็กๆ จัดบรรยากาศเพื่อเด็ก ๆ เพลงเด็ก ๆ ของขวัญเพื่อเด็ก ๆ ฯลฯ



กิจกรรมต่าง ๆ ที่ปฏิบัติในวันเด็กแห่ง ชาติ  ล้วนมีจุดประสงค์ไปในทิศทางเดียวกัน คือ "เพื่อให้เด็กได้ตระหนักถึงคุณค่าบทบาท และความสำคัญของตนเอง โดยการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้น ในโรงเรียน หมู่บ้าน หรือหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน"

ภาพของสถานที่จัดงานวันเด็กที่คนคุ้นตา ส่วนใหญ่จะเป็นสถานที่ราชการและภาคเอกชน แต่ที่ อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม สถานที่จัดงานวันเด็กกลับกลายเป็นวัด  และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือ เจ้าอาวาสวัดแห่งนี้ได้จัดงานวันเด็กติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า ๑๐ ปี จนกลายเป็นว่า เมื่อวันเด็กมาถึง เด็กๆ ทุกคนในบางคนทีและอำเภอใกล้เคียง ก็จะไปรวมตัวกันที่วัดแห่งนี้
วัด ดังกล่าว คือ วัดปราโมทย์ หมู่ที่ ๒ บ้านบางสะแก ต.บ้านปราโมทย์ อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม ซึ่งมี พระครูปลัดปริยัติวรวัฒน์ หรือ หลวงพ่อเลิศ เจ้าคณะตำบลบ้านปราโมทย์ เป็นเจ้าอาวาส

ส่วนวัดอีกแห่งหนึ่ง คือ วัดแค ต.รั้วใหญ่ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี ซึ่งมี พระครูปลัดธรรมวงศานุวัตร (สมศักดิ์ กตวฑฺโน) หรือ พระครูโอ๋ เป็นเจ้าอาวาส แม้ว่าจะเป็นปีแรก แต่มีเด็กมาร่วมงานเกือบ ๑,๐๐๐ คน

  “ในจำนวนเด็กที่มาร่วมงานเกือบ ๔,๐๐๐ คน อาตมาไม่ได้หวังอะไรมาก เพียงแค่เด็กไปพูดต่อๆ กันว่า วันเด็กปีนี้ไปเที่ยววัดปราโมทย์ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ซึ่งเมื่อถึงวันเด็กก็ เป็นอย่างที่ตั้งไว้จริงๆ นอกจากนี้แล้ว พระไม่ให้แล้วใครจะให้ เรากินข้าวกินขนมของพ่อแม่เด็กและชาวบ้านมากว่า ๓๖๕ วัน น้ำ ไฟ จีวร รวมทั้งปัจจัยสี่ ล้วนได้มาจากศรัทธาของพ่อแม่เด็กทั้งสิ้น เมื่อทุกอย่างได้มาจากศรัทธาชาวบ้านปีหนึ่งๆ เราเลี้ยงอาหารเด็กซึ่งเป็นลูกของชาวบ้านไม่ได้เชียวหรือ เลี้ยงเพียงวันเดียวมันจะหนักหนาสาหัสอะไร ที่สำคัญคือ อย่างน้อยพระก็ได้ใจเด็ก ทำให้เด็กกล้าเข้าหาพระ กล้าเข้าวัด โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ”  นี่คือความตั้งใจและจุดประสงค์ของ หลวงพ่อเลิศ



ส่วนกิจกรรมบนเวที โดยเฉพาะการตอบปัญหาเกี่ยวกับวันเด็กของวัดปราโมทย์นั้น หลวงพ่อเลิศ บอกว่า ตั้งแต่จัดงานวันเด็กมา ไม่เคยตั้งคำถามเด็กว่า คำขวัญวันเด็กของ นายกรัฐมนตรีว่าอย่างไร เพราะคำขวัญของนายกรัฐมนตรีเปลี่ยนทุกปี ในปีถัดไปก็ต้องท่องใหม่และจำใหม่ แม้ว่าคำขวัญของนายกรัฐมนตรีจะเป็นคำขวัญที่ดี แต่ที่ดียิ่งกว่าและเทียบกันไม่ได้เลย คือ ธรรมของพระพุทธเจ้าที่ไม่เคยเปลี่ยนเลย ทั้งนี้ จะถามเด็กอยู่ ๓ อย่าง คือ ๑.ให้กล่าวคำแสดงตนเป็นพุทธมามกะ ๒.กล่าวคำอาราธนาศีล และ ๓.สวดมนต์บทอิติปิโส ทั้งนี้คนทั่วๆ ไปอาจจะมองเป็นเรื่องยาก แต่เด็กอนุบาลที่มาร่วมงานส่วนใหญ่ท่องได้ นอกจากแจกรถจักรยาน ของเล่น ขนม และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ แล้ว ยังมอบทุนการศึกษาอีกประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ให้กับโรงเรียน ๑๓ แห่ง

 พร้อมกันนี้ หลวงพ่อเลิศ  ยังบอกด้วยว่า  อยากให้แนวคิดการจัดงานวันเด็กของวัดและพระของวัดปราโมทย์เป็นต้นแบบของวัดต่างๆ ในการจัดงานวันเด็ก อาจจะเริ่มจากเล็กๆ ก่อน เช่น พระมาตักไอศกรีมแจกเด็กๆ หรือแจกสมุดเล็กๆ น้อยๆ หากมีกำลังก็จัดให้ใหญ่ขึ้น ถ้าเป็นไปได้อยากให้วัดจัดงานวันเด็กวัด ละ ๑ อำเภอ ทั้งนี้อยากให้แนวความคิดดังกล่าวขยายออกไป ได้นิมนต์พระสงฆ์ที่รู้จักกว่า ๑๐ วัด มาดูงาน เผื่อว่าในปีต่อๆ ไป ท่านจะไปเริ่มจัดงานวันเด็กที่วัดบ้าง ในปีแรกๆ พระอาจจะเหนื่อยหน่อย แต่เมื่อญาติโยมเห็นว่า พระทำจริง ทำเพื่อลูกหลาน ญาติโยมก็จะมาช่วยเอง ทั้งปัจจัยและกำลัง




อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปีนี้เป็นปีแรกของการจัดงานวันเด็ก ที่วัดแคแต่ก็มีพ่อแม่ผู้ปกครองพาเด็กมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก

 หลวงพี่โอ๋ บอกว่า ครั้งแรกเตรียมของขวัญไว้ให้เด็ก ๕๐๐ ชิ้น เช่น จักรยาน ๕๐ คัน ตุ๊กตาแบบต่างๆประมาณ ๑๐๐ ตัว พัดลม ๕๐ ตัว รวมทั้งขนมขบเคี้ยวต่างๆ แต่เมื่อถึงวันงานจริงๆ ปรากฏว่า มีเด็กมาร่วมงานเกือบ ๑,๐๐๐ คน จึงต้องเพิ่มของขวัญอีก แม้ว่าไม่ได้ตามจำนวนเด็กที่มาร่วมงาน แต่ก็เชื่อว่า อย่างน้อยก็สร้างรอยยิ้ม และความสุขให้เด็กๆ และผู้ปกครองได้ไม่น้อย

 ความสำเร็จในครั้งนี้ ในวันเด็กปีหน้าและต่อๆ ไป ก็จะจัดอีก ทั้งนี้จะเพิ่มกิจกรรมบนเวทีเกี่ยวกับพุทธศาสนา รวมทั้งให้พระในพื้นที่มีบทบาทในการจัดงานให้มากยิ่งขึ้น





สำหรับปัจจัยที่นำมาจัดงาน และซื้อของขวัญแจกเด็กๆ นั้น หลวงพี่โอ๋ พูดไว้อย่างน่าคิดว่า “ไม่ใช่ปัจจัยของอาตมาสักบาทเดี๋ยว หากเป็นปัจจัยของญาติโยมที่มาทำบุญที่วัดทั้งสิ้น โดยเฉพาะจากผู้ที่มาทำบุญถวายสังฆทานให้กับทารกที่คลอดก่อนกำหนด นอกจากเดินทางไปมอบเป็นทุนการศึกษาตามโรงเรียนต่างๆ แล้ว ส่วนหนึ่งจะแบ่งไว้จัดงานวันเด็กที่วัด เมื่อญาติโยมทำบุญมาอาตมาก็ไปสร้างบุญต่อ”



ขอบคุณที่มาจาก ๐ เรื่อง ไตรเทพ ไกรงู  ๐ ๐ ภาพ ประเสริฐ เทพศรี ๐  คมชัดลึก ขอบคุณครับ


127



"พระครูสุวรรณศาสนคุณ" พระเกจิอาจารย์ที่เรืองวิทยาคมแห่งเมืองสุพรรณบุรี มีพลังจิตเข้มขลัง วิทยาคมแก่กล้า ชาวบ้านต่างเรียกขานนามท่านว่า "หลวงปู่นาม" หรือ "พระอุปัชฌาย์นาม"

ปัจจุบัน พระครูสุวรรณศาสนคุณ สิริอายุ 88 พรรษา 67 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดน้อยชมภู่ ต.บ้านกร่าง อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี

ท่านมีนามเดิมว่า นาม ไม่ทราบนามสกุล เกิดเมื่อปีพ.ศ. 2464 เป็นชาวเมืองสุพรรณบุรีโดยกำเนิด สำหรับประวัติชื่อโยมบิดา-มารดา และประวัติในวัยเด็ก ไม่สามารถสืบค้นได้ แม้กระทั่งตัวหลวงปู่เองก็จำเหตุการณ์ในช่วงวัยเด็กไม่ค่อยได้

ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดบ้านกร่าง โดยมีพระเมธีธรรมสาร (ไสว) วัดบ้านกร่าง เป็นพระอุปัชฌาย์

หลวงปู่นาม ได้ปลุกเสกพระเครื่องเพื่อแจกลูกศิษย์ แต่ไม่ได้จัดพิธีใหญ่โต คนที่ได้รับไป ล้วนมีประสบการณ์ทุกคน หลวงปู่นาม เคยปรารภความหลังในกุฏิว่า "สมัยฉันหนุ่มๆ เสกพระงบน้ำอ้อยไว้ ไม่แน่ใจนะ ก็เอาใส่รถไปให้หลวงพ่อจวน วัดไก่เตี้ย ท่านเสกให้ พอเปิดกล่อง ท่านก็บอกว่า ผมเสกไม่เข้าแล้ว ท่านเสกจนจะบินแล้วนี้"

"ฉันก็ยังไม่แน่ใจอีก เอาไปให้หลวงพ่อดี วัดพระรูป ท่านเสก ท่านหยิบเท่านั้นแหละ ท่านกำพระไว้ ยกมือจบยกขึ้นเหนือหัวท่านเลย หาว่าเรามาล้อท่านเล่น ท่านว่า เสกจนหมุนได้แล้วนี่จะให้ผมทำอะไรอีก"

หลวงปู่นาม หรือ พระครูสุวรรณศาสนคุณ เป็นยอดพระเกจิที่ชาวเมืองสุพรรณบุรี ให้ความเลื่อมใสศรัทธา ท่านเป็นคนเงียบ ไม่พูด ไม่คุย แต่ชาวเมืองสุพรรณทราบดีว่า พระรูปนี้เป็นยอดพระเกจิที่เข้มขลังขนานแท้ ท่านสืบพุทธคุณสายลุ่มแม่น้ำท่าจีนและสายสุพรรณมาอย่างครบถ้วน

กล่าว สำหรับ "เหรียญรุ่นแรก หลวงปู่นาม วัดน้อยชมภู่" เป็นเหรียญที่ได้รับความนิยม เป็นสุดยอดปรารถนาของบรรดาเซียนพระและนักสะสมพระเครื่องเป็นอย่างมาก เหรียญรุ่นนี้ มีลักษณะรูปทรงคล้ายดอกไม้ มีหู เนื้อทองแดง

ด้านหน้า เหรียญ มีรูปหลวงปู่นามนั่งเต็มองค์ขัดสมาธิ ยกขอบเหรียญสูง ในพื้นที่ว่างสลักรูปยันต์โดยไม่มีที่ว่างเลย ยันต์ทั้งหมด เป็นยันต์ครูใน 5 สายวิชา ที่ท่านสืบทอดมา คือ

ด้านหลังเหรียญ มีอักขระยันต์กำกับไว้เต็มพื้นที่ ด้านล่างใต้ยันต์ เขียนข้อความว่า "วัดน้อยชมภู่"

ทั้งนี้ อักขระยันต์ที่ปรากฏทั้งด้านหน้า-หลังเหรียญ ประกอบด้วย

1.อักขระ ยันต์สายสมเด็จโต วัดระฆัง ลง ปถมัง อานุภาพของยันต์ปถมังหนักไปทางด้านอิทธิฤทธิ์ อยู่ยงคงกระพันชาตรี จังงังกำราบศัตรูหมู่ปัญจามิตร สะกดทั้งมนุษย์และสัตว์ให้ตกอยู่ในอำนาจ และเป็นกำบังล่องหนหายตัว

2.สายหลวงพ่อเนียม วัดน้อย "ยันต์ต่ออายุ" ให้ยืนยาว แก้โรคภัยเวรภัย

3.หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว "ยันต์ เฑาะว์ มหาพรหม"(พุทธคุณสำเร็จดังปรารถนา)

4.หลวงพ่อ เฒ่าวัดค้างคาว "ยันต์ค่ายกลถอดรูป" (จักรกรณี) ป้องกัน โชคลาภ ค้าขาย

5.หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า "ยันต์ปฐมองค์ 8" เรียกลาภเข้ามา 8 ทิศ

เหรียญรุ่นนี้ จัดสร้างเพียง 5,160 เหรียญ มีโค้ดกำกับ บูชาเหรียญละ 100 บาท

ถือเป็นเหรียญที่มีความงดงามและมีอนาคต

128
พระราชกรณียกิจของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว(ภูมิพโลภิกฺขุ) ธรรมราชา





ใน วโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมายุ 80 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2550 หากจะย้อนกลับไปเมื่อ 51 ปี ที่พระองค์ทรงผนวช เมื่อวัน จันทร์ที่ 22 ตุลาคม พุทธศักราช 2499 ซึ่งเป็นวันที่จะต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ไทยและจดจำในดวงใจของพสกนิกร ชาวไทยทุกคน ด้วยเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 แห่งบรมราชจักรีวงศ์ ได้ทรงสละราชสมบัติเสด็จออกทรงพระผนวชในบวรพระพุทธศาสนา


พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นพุทธมามกะ ดังจะเห็นได้จากการที่พระองค์ทรงผนวชในพระพุทธศาสนา ประพฤติปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งพิธีบรรพชาอุปสมบทนั้นได้มีบันทึกไว้อย่างละเอียดดังต่อไปนี้...

พ ร ะ ร า ช พิ ธี บ ร ร พ ช า อุ ป ส ม บ ท (ชมภาพยนตร์ส่วนพระองค์เนื่องในพระราชพิธีบรรพชาอุปสมบท )


ลุ ถึงวันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พุทธศักราช 2499 เป็นวันที่จะต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ไทย และจดจำในดวงใจของพสกนิกรชาวไทยทุกคน ด้วยเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ผู้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ จักได้ทรงสละราชสมบัติ เสด็จออกทรงพระผนวชในบวรพระพุทธศาสนา โดยทรงแต่งตั้งให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
พระราชพิธีบรรพชาอุปสมบทของสมเด็จพระมหา กษัตริยาธิ ราชเจ้า อันจัดเป็นพระราชพิธีมหามงคลอันยิ่งใหญ่ เริ่มขึ้นในวันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พุทธศักราช 2499 เวลา 14.00 น.




พระ บาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งมายังวัดพระศรี รัตนศาสดาราม ครั้นเมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึง ทรงพระดำเนินสู่ที่เปลื้องเครื่องหลังพระอุโบสถ เสร็จแล้ว สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงจรดพระกรรบิดเปลื้องพระเกศาเป็นพระฤกษ์ (ใช้กรรไกรขริบเส้นผมเป็นปฐมฤกษ์) จากนั้นเจ้าพนักงานภูษามาลาถวายต่อจนเสร็จ

ครั้น เวลา 15.00 น. ล่วงแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเศวตพัสตร์ตามแบบผู้แสวงอุปสมบท ทรงพระดำเนินเข้าสู่พระอุโบสถทางพระทวารหลังแล้วเสด็จออกหน้าพระฉาก ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระสัมพุทธพรรณี และพระพุทธรูปพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยแล้ว ทรงรับผ้าไตรและบาตรสำหรับทรงอุปสมบท จากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปประทับในท่ามลางสังฆสมาคมในพระอุโบสถ มีพระสงฆ์ผู้จะนั่งหัตถบาส จำนวน 30 รูป อยู่ด้านเหนือ โดยมีสมเด็จพระสังฆราชวัดบวรนิเวศวิหาร ทรงเป็นพระราชอุปัชฌายาจารย์ (อุปัชฌาย์) และถวายศีล สมเด็จพระวันรัต วัดเบญจมบพิตร เป็นพระราชอนุสาวนาจารย์

ภายในพระอุโบสถทางด้านใต้ มีพระบรมวงศานุวงศ์ คณะองคมมนตรี คณะรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท นอกจากนั้น เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ที่ชานพระอุโบสถทั้งหน้าหลัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงถวายเครื่องราชสักการะแด่สมเด็จพระสังฆราชผู้เป็นพระราชอุปัชฌายาจารย์ แล้วทรงขอบรรพชา

สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช ทรงถวายโอวาทสำหรับบรรพชาความว่า

“บัด นี้ สมเด็จพระบรมบพิตรทรงมีพระราชศรัทธาความเชื่อ พระราชปสาทะความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้ทรงขอบรรพชาอุปสมบท รวมความว่า บวชในพระพุทธศาสนาตามพระราชประเพณีของพระเจ้าแผ่นดินที่เป็นบรมราชจักรีวงศ์ และตามแบบของกษัตริย์ก่อนๆ เพราะฉะนั้น จึงควรน้อมพระราชหฤทัยระลึกถึงพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระบรมศาสดา ประกาศพระศาสนา และทรงระลึกถึงพระธรรม คำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งประกาศสัจจะความจริงอันไม่แปรปรวน

และระลึกถึงพระสงฆ์สาวกของพระ พุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วได้ความเชื่อความเลื่อมใส ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจนได้ดบรรลุถึงคุณพิเศษในพระพุทธศาสนา คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะฉะนั้น ในบัดนี้ จงตั้งพระราชหฤทัยระลึกถึงคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเรียกว่าศาสนธรรมอันประกาศสัจธรรม ธรรมะที่เป็นจริง และระลึกถึงพระสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้า เช่นนี้ จึงควรบวชในพระพุทธศาสนา




การ บวชในพระพุทธศาสนา ท่านสอนให้เรียน "ตจปัญจกกัมมัฏฐาน" กัมมัฏฐานที่มีหนังเป็นที่ 5 เพราะฉะนั้น จงตั้งพระทัยทรงว่าตามไปโดยบทพระบาลีก่อน เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกศา จงศึกษาให้รู้เนื้อความ เกศา ได้แก่ ผมที่งอกอยู่บนศีรษะ โลมา ได้แก่ขนที่งอกอยู่ทั่วตัว เว้นแต่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า นะขา ได้แก่เล็บที่งอกอยู่ตามปลายมือ ปลายเท้า ทันตา ได้แก่ฟันที่งอกอยู่ในกระดูกคางเบื้องล่าง เบื้องบน สำหรับบดเคี้ยวอาหาร ตะโจ ได้แก่หนังที่หุ้มอยู่ทั่ว ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เหล่านี้ ถ้าทิ้งอยู่ตามที่ของมันก็จะปฏิกูลโสโครก เพราะธุลีละอองที่จับบ้าง ออกมาจากร่างกายเดิมบ้าง เพราะฉะนั้น บุคคลจึงต้องชำระล้างขัดสีตกแต่งของหอมเข้าอบกลิ่นเพื่อแก้กันปฏิกูลโสโครก ถึงเช่นนั้นก็ไม่สามารถจะแก้กันให้เด็ดขาดไปได้ เพียงแต่ปะทะปะทังไว้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นของปฏิกูลโสโครกอย่างไรก็คงแสดงปฏิกูลโสโครก น่าเกลียดออกมาอย่างนั้น ให้เห็นอยู่เป็นธรรมดา แต่คนไม่พิจารณาให้เห็นตามเป็นจริง จะหลงรักหลงเกลียด แล้วก็ประทุษร้ายกัน เมื่อใช้พระปัญญาพิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ทั้ง 5 เป็นเป็นของปฏิกูลโสโครกน่าเกลียด ก็พึงยึดรักษาอารมณ์อันนั้นไว้ เพื่อเป็นที่ตั้งแห่งสมาธิและเป็นที่ตั้งแห่งปัญญาต่อไป ในบัดนี้ จะถวายผ้ากาสายะ เพื่อได้ครองอุปสมบท” แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินกลับเข้าในพระฉากเพื่อทรงผ้ากาสาวพัสตร์ จากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปทรงรับไตรสรณคมน์และศีลจากสมเด็จพระสังฆราช พระราชอุปัชฌายาจารย์ สำเร็จบรรพชากิจเป็นสามเณรแล้ว ทรงขอนิสัย สมเด็จพระสังฆราช พระราชอุปัชฌายาจารย์ ถวายพระสมณนามว่า “ภูมิพโล” ทรงขออุปสมบท พระสงฆ์ถวายการอุปสมบท โดยมีสมเด็จพระสังฆราช เป็นพระราชอุปัชฌายาจารย์ และพระศาสนโศภณ วัดมกุฏกษัตริยาราม เป็นพระราชกรรมวาจาจารย์


เมื่อ ทรงรับอุปสมบทเสร็จเป็นอันดำรงภิกษุภาวะโดยสมบูรณ์แล้ว สมเด็จพระวันรัต วัดเบญจมบพิตร พระราชอนุสาวนาจารย์ ถวายอนุศาสน์ จากนั้นพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถวายไทยธรรม ไตรแพร และย่าม แด่พระราชอุปัชฌายาจารย์ พระราชกรรมวาจาจารย์ พระราชอนุสาวนาจารย์ และพระหัตถบาส ทั้ง 30 รูป เสร็จแล้วทรงรับประเคนผ้าไตรและเครื่องบริขารของหลวงจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทรงรับประเคนผ้าไตรและเครื่องบริขารจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และทรงรับประเคนดอกไม้ ธูป เทียน จากสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ซึ่งทรงถวายในนามของพระบรมวงศานุวงศ์ และทรงรับจากพระวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ประธานองคมนตรี ในนามของคณะองคมนตรี จากจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ในนามของคณะรัฐมนตรีและข้าราชการทุกฝ่าย จากพลเอกพระประจนปัจจานึก ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในนามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและประชาชน เสร็จแล้วทรงหลั่งทักษิโณทก


จากนั้น พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินออกจากพระอุโบสถไปประทับรถยนต์พระที่นั่งที่ประตูเกยหลัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมด้วย พระโศภนคณาภรณ์ วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งทำหน้าที่เป็นพระพี่เลี้ยง (พระโศภนคณาภรณ์ ปัจจุบันคือ สมเด็จญาณสังญาณสัง สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก) เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระพุทธรัตนสถาน ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อทรงประกอบพิธีตามขัตติยราชประเพณี โดยมีพระเถระฝ่ายธรรมยุตนั่งหัตถบาส 15 รูป


เมื่อเสร็จพระราช พิธีอุปสมบทกรรม ในเวลา 17.43 น. แล้วพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหัว เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง พร้อมด้วยสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชพระราชอุปชฌายาจารย์ ไปยังวัดบวรนิเวศวิหาร ระหว่างทางมีพสกนิกรมาคอยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทชมพระบารมีแน่นขนัดทั้งสอง ฟากถนน จนรถยนต์พระที่นั่งต้องเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงเศษ จึงเสด็จถึงวัดบวรนิเวศวิหาร







ครั้น เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึงวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อเวลา 19.30 น. แล้วพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่พระอุโบสถทรงนมัสการพระพุทธชินสีห์ ทรงสักการะพระรูปสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ และพระรูปสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส แล้วทรงจุดธูปเทียนอุทิศพระราชกุศลถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่ หัว โดยมีพระเถรานุเถระทั้งในวัดบวรนิเวศวิหารและวัดอื่นๆ เฝ้ารับเสด็จ จากนั้น เสด็จขึ้นพระตำหนักจันทร์ ทรงสักการะพระอัฐิสมเด็จพระมหาสมณเจ้าทั้งสองพระองค์และเสด็จระราชดำเนิน เข้าสู่ที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูป เทียน อุทิศพระราชกุศลถวาย เสร็จแล้วเสด็จขึ้นพระตำหนักปั้นหย่า ทรงนมัสการ พระพุทธสมุทนินนาท และพระพุทธมหานาคชินนะ จากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระตำหนักทรงพรต ทรงทำพินทุกัปอธิษฐานและทรงวิกัปไตรจีวร แล้วเสด็จออก ให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ถวายดอกไม้ ธูป เทียน ส่วนพระองค์ แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินไปเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช ณ พระตำหนักปัญจบเบญจมา ทรงถวายดอกไม้ ธูป เทียน สมเด็จพระสังฆราช ในโอกาสนี้ สมเด็จพระสังฆราชประทานพระโอวาท ความว่า

“การทรง ผนวชวันนี้ เป็นประโยชน์มาก สำหรับคนผู้นับถือพระพุทธศาสนา เพราะเขายินดีกันมาก แต่ว่าที่จะได้เป็นประโยชน์สำหรับพระองค์เองนั้น ต้องประพฤติปฏิบัติธรรมวินัย คือ บวชด้วยกายอย่างหนึ่ง บวชด้วยใจอย่างหนึ่ง ถ้าทั้ง 2 อย่างผสมกันเข้าแล้ว จะเป็นกุศล




การ บวชด้วยกายนั้น ต้องทำพิธีในที่ประชุมสงฆ์ แต่การบวชด้วยใจ ต้องตั้งพระราชหฤทัยเรียนพระพุทธศาสนาในพระวินัย ทรงอ่านดูข้อบังคับที่จะไม่ประพฤติล่วงและในธรรมะ ทรงศึกษาเพื่อปฏิบัติตามฝึกหัดพระราชหฤทัยให้สงบระงับ

อีกอย่างหนึ่ง เมื่อทรงผนวชเสร็จแล้วมีพระออกไปบอกอนุศาสน์ อนุศาสน์ แปลว่า คำสอนในลำดับถึงเมื่อบวชเสร็จก็ต้องสอน แม้เป็นภาษาบาลี ก็ต้องสอนกัน พระพุทธบัญญัติ พระพุทธภาษิตก็สอนอย่างนั้น แต่การสอนอนุศาสน์ในครั้งพุทธกาล เมื่อพูดภาษาบาลี เขาก็รู้กันแต่มาสมัยนี้ พระพุทธศาสนาแพร่หลายมาถึงประเทศเรา ซึ่งไม่ใช้ภาษามคธ ผู้ไม่ได้เรียนภาษามคธก็ฟังไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้น ควรทรงศึกษาเสียให้เข้าพระทัย

ข้อต้นท่านสอนว่า ผู้บวชต้องอาศัยบิณฑบาตเขาเลี้ยงชีวิต แต่ว่าไม่บังคับ ถ้าจะมีอดิเรกลาภอื่น ๆ ที่เขาถวายก็ใช้ได้

ข้อ ที่ 2 ท่านสอนให้ใช้ผ้าบังสุกุล คือ ผ้าที่เขาทิ้งเปื้อนฝุ่นแล้วเก็บมาซัก มาย้อม มาเย็บ คือทำเป็นกระทง ๆ อย่างที่ใช้กันนี้ แต่ว่าไม่บังคับ ถ้าจะมีอดิเรกจีวรที่ได้มาโดยชอบธรรมก็ใช้ได้

ข้อที่ 3 ท่านสอนให้อาศัยยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า เพราะคนเราต้องเจ็บ เมื่อเจ็บแล้วก็ต้องกินยา ยาดองด้วยน้ำมูตรเน่าเป็นยาถ่ายด้วย และเป็นยาแก้ไข้ด้วย แต่ไม่บังคับโดยเด็ดขาด เป็นแต่ว่าถ้าไม่ได้อดิเรกลาภ คือยาอื่น ก็ให้ใช้ยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า

ข้อที่ 4 ท่านสอนให้อาศัยเรือนว่างเปล่าให้อาศัยโคนไม้เป็นที่อยู่ แต่ไม่ได้ห้ามเด็ดขาด ถ้ามีอดิเรกลาภคือกุฏิที่อยู่อย่างใดอย่างหนึ่งก็ใช้ได้ คือต้องรู้ว่าพระแต่ก่อนนั้นฝืดเคืองมาก ต้องอาศัยปัจจัยทั้ง 4 นี้เป็นอยู่
แลจงเว้นข้อห้าม 4 อย่างที่สำคัญล่วงเข้าแล้ว ทำให้ขาดจากความเป็นภิกษุเรียกว่าต้องปาราชิก

วันนี้ สอนแต่เพียงเท่านี้ก่อน ถวายหนังสือไป หนังสือนวโกวาท ถ้ามีเวลาควรทรงอ่าน ทรงอ่านวินัยให้จบเสียก่อน และอ่านให้เข้าพระทัย เพื่อจะได้ประพฤติตาม ถ้าไม่เข้าพระทัยก็รับสั่งถามพระพี่เลี้ยง

ส่วนธรรมะ อธิบายไว้ในโอวาทแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้ามีเวลาควรทรงอ่าน เพื่อฝึกหัดพระราชหฤทัยให้สงบระงับให้เป็นการบวชด้วยพระราชหฤทัยด้วย บวชด้วยพระกายด้วย วันนี้พอกันที ทรงเหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว”

ครั้ง ทรงสดับพระโอวาทสมเด็จพระสังฆราชแล้ว พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินกลับขึ้นพระตำหนักปั้นหย่า ในการพระราชกุศลขึ้นพระตำหนักนั้น หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งรับสนองพระมหากรุณาธิคุณทำหน้าที่ เป็นไวยาวัจกรประจำพระองค์เป็นผู้อาราธนาศีล พระราชาคณะวัดบวรนิเวศวิหาร คือพระพรหมมุนี พระรัตนธัชมุนี พระโศภนคณาจารย์ พระมหานายก พระจุลนายก พระสาธุศีลสังวร พระปัญญาภิมณฑมุนี เจริญพระพุทธมนต์ เสร็จแล้วเสด็จสู่ที่ประทับ และเข้าที่พระบรรทมในเวลา 24.30 น.

พ ร ะ ร า ช ก ร ณี ย กิ จ ใ น ข ณ ะ ท ร ง พ ร ะ ผ น ว ช


พระ ภิกษุ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจระหว่างทรงครองสมณเพศเช่นเดียวกันกับพระภิกษุสงฆ์ อื่น ๆ กล่าวคือ หลังจากเสวยพระกระยาหารเช้าแล้วก็เสด็จลงพระอุโบสถทรงทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็นร่วมกับพระภิกษุสงฆ์ในวัดบวรนิเวศวิหาร ทรงสดับพระธรรมวินัยและทรงศึกษาพระธรรมวินัยเช่นเดียวกับพระภิกษุรูปอื่น



พระราชกรณียกิจในวันที่ 2 แห่งการทรงพระผนวช (วันอังคารที่ 23 ตุลาคม 2499)

เมื่อ ทรง ตื่นพระบรรทมแล้ว เสวยพระกระยาหารเช้าเสร็จแล้ว เสด็จลงพระอุโบสถ ทรงทำวัตรเช้า จากนั้น ทรงสดับวินัยมุข เรื่อง “อุปสัมปทา” ซึ่งพระสาธุศีลสังวรอ่านถวาย จบแล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินไปทรงพระราชปฏิสันถารกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทรทิพยนิภา ซึ่งทรงจัดพระกระยาหารเพลมาถวาย จากนั้น ทรงพระอักษรจนถึงเวลา 10.45 น. จึงเสด็จขึ้นพระตำหนักปั้นหย่า ทรงฟังพระสวด ทรงถวายภัตตาหารเพลพระพรหมมุนี แล้วเสด็จพระราชดำเนินออกมาเสวยพระกระยาหารเพล ณ พระตำหนักข้างนอก เสวยพระกระยาหารเพลเสร็จแล้ว เสด็จพระราชดำเนินไปถวายของพระสงฆ์ที่ได้รับพระราชทานฉันถวายอดิเรก
ใน ตอนเย็น เวลา 17.05 น. เสด็จลงพระอุโบสถ ทรงทำวัตรเย็นแล้วทรงสดับอรรถศาสตร์ เรื่อง “หิตจรรยา” ซึ่งพระครูวิสุทธิธรรมภาณอ่านถวาย จบแล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับพระตำหนักที่ประทับ ทรงพระอักษร จนถึงเวลา 20.00 น. ทอดพระเนตรโทรทัศน์ซึ่งออกอากาศข่างทรงผนวช และข่าวงานถวายบังคมพระบรมรูปทรงม้า ระหว่างนั้น ทรงพระราชปฏิสันถารกับพระราชาคณะที่ทรงนิมนต์มาดูด้วย จนถึงเวลา 20.50 น. พระราชาคณะทูลลากลับ
จากนั้น เสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปทรงนมัสการพระบนพระตำหนักปั้นหย่าและเข้าที่พระบรรทมเมื่อเวลา 22.05 น.





เวลา 14.28 น. พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับรถยนต์พระที่นั่งจากวัดบวรนิเวศวิหาร เสด็จพระราชดำเนินไปยัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อทรงร่วมสังฆกรรมในพิธีผนวชและอุปสมบทนาคหลวงในพระบรมราชินูปถัมภ์ ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นประธานในพิธี ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในตอนกลางคืน เวลา 20.20 น. พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมพระ ภิกษุที่บวชใหม่ ซึ่งจำพรรษาอยู่ในวัดบวรนิเวศวิหารเช่นเดียวกัน จนถึงเวลา 20.45 น. จึงเสด็จพระราชดำเนินกลับ
หลังจากนั้น พระพรหมมุนี รองเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ได้นำพระภิกษุที่บวชใหม่ทั้ง 5 รูป เข้าเฝ้าพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถวายดอกไม้ ธูป เทียน

หลัง จากเสด็จลงพระอุโบสถเพื่อทรงทำวัตรเช้าร่วมกับ พระภิกษุอื่นๆ ของวัดบวรนิเวศวิหารแล้ว พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสดับวินัยมุข เรื่องสิกขาบทตอน “ปาราชิก” ซึ่งพระสาธุศีลสังวรอ่านถวาย จบแล้วเสด็จพระราชดำเนินไปทูลลาสมเด็จพระสังฆราช เสด็จพระราชดำเนินไปวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ในตอนบ่าย เพื่อทรงนมัสการพระอัฐิของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส และทรงมีพระราชปฏิสันถารกับ พระธรรมดิลก เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พระธรรมดิลกได้ทูลเรื่องพระตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส และการบูรณะซ่อมแซมอยู่ในขณะนี้ โอกานี้ได้มีประชาชนไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จเพื่อถวายดอกไม้ ธูป เทียน อยู่ในบริเวณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กันแน่นขนัด

ในตอน เย็น หลังจากทรงทำวัตรเย็นแล้วทรงสดับอรรถศาสตร์ เรื่อง “กรรม” ซึ่งพระมหานายก อ่านถวาย สำหรับในวันนี้ เป็นวันแรกที่เริ่มมีการถ่ายทอดเสียงทางวิทยุพิธีทำวัตรเช้าและทำวัตรเย็น และมีการถ่ายทอดเสียงเช่นนี้เป็นประจำระหว่างทรงพระผนวช
ในวันนี้ พระสงฆ์ของวัดบวรนิเวศวิหารได้มีการเตรียมซ้อมงานพระราชทานผ้าพระกฐินด้วย

พระราชกรณียกิจในวันที่ 5 แห่งการทรงพระผนวช (วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2499)

วันนี้ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ได้เสด็จฯ มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระตำหนักปั้นหย่า หลังจากเสวยพระกระยาหารเพลแล้ว พระพรหมมุนี รองเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ได้เข้าเฝ้าถวายธรรมะ เรื่อง “ว่าด้วยความเป็นภิกษุ” จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระตำหนักเพชรโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระ เจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริกกุลินี (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าคุณจอมมารดาสำลี) และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐาสารี เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายดอกไม้ ธูป เทียน ณ พระตำหนักเพชร วัดบวรนิเวศวิหาร แล้วเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมพระอาการสมเด็จพระสังฆราช
หลัง จากที่ทรงทำวัตรเย็นแล้ว พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสดับอรรถศาสตร์ เรื่อง “ความบริสุทธิ์” และเรื่อง “ภาวนา” ซึ่งพระมหานายก อ่านถวายจบแล้ว เสด็จขึ้นนมัสการพระแล้วเสด็จเข้าที่พระบรรทม


พระราชกรณียกิจในวันที่ 6 แห่งการทรงพระผนวชวันเสาร์ที 27 ตุลาคม 2499



วันนี้ เป็นวันธรรมสวนะ แรม 8 ค่ำ พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงพระอุโบสถเวลา 09.05 น. ทรงทำวัตรเช้า จบแล้วอุบาสกอุบาสิกาทำวัตรหลังจากนั้น พระโศภนคณาภรณ์แสดงพระธรรมเทศนา “อัคคกถา” ถวายในวันนี้ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทรทิพยนิภา เสด็จมาทรงฟังธรรมด้วย มีอุบาสกและอุบาสิกามาฟังธรรมเต็มทั้งในพระอุโบสถและภายนอกพระอุโบสถ และได้พากันซื้อดอกไม้ ธูป เทียน จากร้านขายดอกไม้ใกล้วัดบวรนิเวศวิหารเพื่อนำมาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายด้วย
เป็น ที่น่าสังเกตว่า ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระผนวชครั้งนี้ ทำให้มีร้านดอกไม้ ธูป เทียน และรานจำหน่ายพระบรมฉายาลักษณ์ในการทรงพระผนวชเกิดขึ้นแถวบางลำพูมากมาย

การ เสด็จลงฟังธรรม ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหารในวันนี้ มีการขยายเสียงและถ่ายทอดเสียงทางสถานีวิทยุ อส. ด้วยเพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้สดับพระธรรมเทศนาโดยทั่วกันกัน

หลังจากทรงสดับพระธรรมเทศนาแล้ว สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงถวายดอกไม้ ธูป เทียน พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว




ใน เวลา 15.45 น. เสด็จลงพระอุโบสถ ในงานพระราชพิธีพระราชทานผ้าพระกฐิน โดยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ผู้สำเร็จราชการแทนพรระองค์ เสด็จพระราชดำเนินมาถวาย สมเด็จพระสังฆราช ได้เสด็จลงพระอุโบสถเพื่อทรงรับผ้าพระกฐิน ในวันนี้พระพักตร์สมเด็จพระสังฆราชแจ่มใสมาก
หลังจากเสร็จพระราชพิธีพระ ราชทานผ้าพระกฐินแล้ว พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นที่ประทับทอดพระเนตรหนังสือพุทธประวัติที่นายแพทย์อรุณนำมาทูล เกล้าทูลกระหม่อมถวาย แล้วทรงหนังสือพิมพ์

ในตอนกลางคืน เวลา 21.10 น. เสด็จลงพระอุโบสถ แล้วทรงชักผ้าป่าที่จัดถวายที่เขาจำลอง หน้าพระตำหนักปั้นหย่า ตกแต่งโดยพระบรมวงศานุวงศ์ที่เสด็จมาจัดดอกไม้ มีชะนีร้อยด้วยดอกไม้แขวนไว้ เวลาเสด็จลงปิดไฟ และนำผ้าออกหมด เวลาเสด็จพระราชดำเนินกลับ จึงทอดพระเนตรเห็น ทรงชักผ้าป่าแล้วทรงมีพระราชปรารภว่า ทรงมีมากแล้ว จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นำไปพระราชทานแก่พระภิกษุชราในวัดบวรนิเวศวิหาร ที่ยังขาดแคลนอยู่ พระภิกษุชรารูปนั้นชื่อว่า "เดิม"


พระราชกรณียกิจในวันที่ 7 แห่งการทรงพระผนวช (วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม 2499)


วันนี้ หลังจากเสด็จลงพระอุโบสถ เพื่อทรงทำวัตรเช้าแล้ว ไม่มีการอ่านวินัยบัญญัติถวายให้ทรงสดับเหมือนปกติ เนื่องจากจะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงรับบิณฑบาต ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต

ภายหลังจากการทำวัตรเช้าแล้ว พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งพร้อมด้วยพระราชาคณะ วัดบวรนิเวศวิหาร 6 รูป พระนาคหลวง 3 รูป และพระสหจร 5 รูป ไปทรงรับบิณฑบาต ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน
พระสงฆ์ที่ได้รับนิมนต์ไปรับบาตรในวันนี้คือ

1. พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
2. พระพรหมมุนี
3. พระโศภนคณาภรณ์
4. พระมหานายก
5. พระจุลนายก
6. พระสาธุศีลสังวร
7. พระปัญญาภิมณฑมุนี
8. พระภิกษุหม่อมเจ้าวิมวาทิตย์ระพีพัฒน์
9. พระภิกษุหม่อมเจ้าฐิติพันธุ์ ยุคล
10. พระภิกษุหม่อมราชวงศ์นิตยศรี จรูญโรจน์
11. พระภิกษุหม่อมราชวงศ์พีระเดช จักรพันธ์
12. พระภิกษุพระราชญาติรักษา
13. พระภิกษุหม่อมหลวงเดช สนิทวงศ์
14. พระภิกษุ สุรทิน บุนนาค
15. พระภิกษุ ประถม บูรณะศิริ

ครั้น เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึง พระที่นั่งอัมพรสถานแล้ว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ องค์ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ กับสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตน์ฯ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรฯ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายอาหารบิณฑบาตแล้ว พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ ศาลาผกาภิรมย์ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ เสด็จไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทกราบถวายบังคมถึงที่ประทับ






พระ ภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับเสวยพระกระยาหารเพลอยู่ที่พระที่นั่ง อัมพรสถาน โดยมีสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระราชโอรสและพระราชธิดา และพระบรมวงศานุวงศ์ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่จนเสวยพระกระยาหารเพลเสร็จ แล้วพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมผู้ที่ มาจัดดอกไม้ ประกอบด้วยหม่อมเจ้าอาภัสราภา เทวกุล หม่อมเจ้าจงกลณี วัฒนวงศ์ ฯลฯ สมควรแก่เวลาแล้วจึงประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนิกลับวัดบวรนิเวศ วิหาร


ในตอนบ่าย เสด็จพระราชดำเนินไปทูลลาสมเด็จพระสังฆราช เพื่อเสด็จพระราชดำเนินไปวัดมกุฏกษัตริยารามและวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

เวลา 14.00 น. เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดมกุฏกษัตริยาราม ทรงนมัสการพระพุทธปฏิมาประธานในพระอุโบสถ และทรงถวายดอกไม้ ธูป เทียน พระศาสนโสภณ เจ้าอาวาสวัดมกุฏกษัตริยาราม ผู้ทำหน้าที่เป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ ในพระราชพิธีทรงพระผนวช พระศาสนโศภณถวายหนังสือ พระวินัยมุนี ถวายพระสีวลี ที่ได้จากพม่า พร้อมด้วยตะลุ่มมุกเล็ก ๆ จากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ทรงนมัสการพระพุทธชินราชในพระอุโบสถและทรงอุทิศพระราชกุศลถวายพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วทรงถวายดอกไม้ ธูป เทียน สมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ผู้ทำหน้าที่เป็นพระราชอนุสาวนาจารย์ ในพระราชพิธีทรงพิธีทรงพระผนวช สมเด็จพระวันรัตถวายหนังสือ สมควรแก่เวลาจึงประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินกลับวัดบวรนิเวศ วิหาร

เวลา 16.45 น. พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระตำหนักเพชร พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้อุปทูตพม่ากับคณะเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวาย เครื่องอัฐบริขารที่ประธานาธิบดีพม่าส่งมาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายในการที่ ทรงพระผนวช
ในตอนเย็น เสด็จลงพระอุโบสถ ทรงทำวัตรเย็น และทรงสดับพระธรรมเรื่อง “พละทั้ง 5“ ที่พระพรหมมุนีถวาย ในการนี้ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระภิกษุบวชใหม่ทั้ง 5 เข้าร่วมฟังด้วย จบแล้วทรงสนทนาธรรมกับพระพรหมมุนีในเรื่อง “ธรรมะ” พระพรหมมุนีอธิบายถวายว่า “ธรรมะ” แปลว่า “ทรง” เป็นทั้ง 1. กุศล 2. อกุศล 3. กลาง
ธรรมะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ


1. ธรรมะ ฝ่ายโลกิยะ คือไม่มีรู้ เช่น ก้อนหิน กรวด ทราย เป็นต้น เรียกว่า ธรรมอันอยู่ในโลก

2. ธรรมะ ที่เป็นโลกุตระ ธรรมอันอยู่เหนือโลก มีรู้อยู่ในตัว
ตัวอย่าง โลกิยะโลก คือ เหตุผลได้เสีย ชนะ ดี ชั่ว อารมณ์อยากได้ รักใคร่ ฯลฯ เป็นความรู้ที่เปลี่ยนแปลงได้

โลกุตระ รู้ว่าง รู้โปร่ง รู้หยุด รู้เงียบ รู้สงบ รู้นิ่ง รู้ของจริง แจ้งประจักษ์ชัดรู้อยู่กับตัว



จากนั้นเสด็จขึ้นนมัสการพระบนพระตำหนักปั้นหย่า แล้วเสด็จเข้าที่พระบรรทม

พระราชกรณียกิจในวันที่ 8 แห่งการทรงพระผนวช(วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม 2499)

รับ แขก ทรงยืนคอยพระสงฆ์อื่น ๆ แล้วจังเสด็จออกทรงรับบิณฑบาต วันนี้ฝนตกตั้งแต่เช้า และลงพรำ ๆ ไม่ขาดสาย จึงต้องรับบิณฑบาตภายในพระตำหนัก เมื่อทรงรับแล้วก็ทรงพระดำเนินเข้าไปประทับพระเก้าอี้ ทรงอุ้มบาตรไว้ เมื่อพระภิกษุสงฆ์รูปอื่นๆ รับบิณฑบาตหมดแล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินกลับ ระหว่างประทับพัก ที่บนพระเก้าอี้ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับสมเด็จพระราชชนนี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอด้วย


ในตอนเย็น เสด็จลงพระตำหนักเพชรโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระเถระ (ชั้นราชขึ้นไป) และบรรพชิตจีน ญวน เฝ้าถวายอนุโมทนา และถวายพระพร

พิธีการ มีดังนี้ เมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึงทรงคมพระรูปสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงคมพระเถระ แล้วประทับพระเก้าอี้หน้าพระแทนสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ สมเด็จพระวันรัต สังฆนายก อ่านคำถวายพระพรในนามพระเถรานุเถระแห่งคณะสงฆ์ไทย และบรรพชิตจีน ญวน ดังนี้




อพระราชทานพระบรมราชวโรกาสถวายพระพร

“พระ เถรานุเถระแห่งคณะสงฆ์ไทยกับ มีพระสงฆ์สมณศักดิ์อานัมนิกายและจีนนิกายมาร่วมสมทบด้วย ซึ่งพรั่งพร้อมอยู่ ณ ที่เฉพาะพระพักตร์ ณ บัดนี้ ต่างมีปีติยินดีซาบซึ้งในพระราชศรัทธาประสาทาธิคุณแห่งสมเด็จพระบรมบพิตรพระ ราชสมภารเจ้า ที่ได้ทรงลาพระราชกรณียกิจชั่วคราว ทรงบรรพชาอุปสมบทบำเพ็ญพระเนกขัมมบารมีในพระบวรพุทธศาสนา ด้วยทรงยืนยันความเชื่อมั่นในสัจธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศแล้ว สมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ไม่เป็นเพียงพระราชทานพระบรมราชูปถัมภ์ในภายนอกเท่านั้น ยังได้ทรงพระราชศรัทธาทรงบรรพชาอุปสมบท เพื่อได้ทรงปฏิบัติในพระธรรมวินัยอย่างใกล้ชิดเพื่อได้ทรงประจักษ์ด้วยพระ ปัญญา

อาตมภาพ พระสงฆ์ทั้งปวงมีกัลยาณจิตเป็นสมานฉันทะ ขอถวายอนุโมทนาสาธุการในพระราชกุศลนี้เป็นอย่างยิ่ง ขอพระเดชานุภาพคุณพระศรีรัตนตรัย พร้อมทั้งพระราชกุศลนี้ จงดลบันดาลอภิบาลรักษาสมเด็จพระบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า ให้เสด็จสถิตธำรงเป็นองค์เอกอัครพุทธศาสนูปถัมภกยืนยงตลอดกาลนาน เพื่อได้ทรงอภิบาลอุปถัมภ์บำรุงพระบวรพุทธศาสนาอันเป็นมิ่งขวัญของประเทศ ชาติให้วัฒนาสถาพร อำนวยสุขประโยชน์อันไพศาลในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ ขอถวายพระพร”

จบแล้วพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอบความว่าทรงขอบคุณในการที่ได้แสดงไมตรีจิต ครั้งนี้ แม้จะทรงได้อยู่ในสมณะเพศมาเป็นเวลาอันน้อยก็ตาม ก็ทรงรู้สึกว่าได้รับการต้อนรับจากสงฆ์ทั้งหลายเป็นอย่างดี ทั้งทรงได้รับความรู้ในพระธรรมวินัยและทรงปฏิบัติเท่าที่เวลาจะอำนวย ทั้งนี้ ทำให้ทรงเกิดความรู้สึกว่า พระพุทธศาสนาเป็นทางแห่งความเจริญแก่ผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด

จบแล้วเสด็จลงหน้าพระตำหนักเพชรประทับฉายพระบรมฉายาลักษณ์ร่วมกับพระเถรานุเถระ

เวลา 18.05 น. เสด็จลง ณ พระอุโบสถ ทรงทำวัตรเย็น แล้วทรงสดับบทความธรรมะ เรื่อง “ศาสนากับคน” ซึ่งพระมหาบุญธรรมอ่านถวาย
ต่อ จากนั้นพระพรหมมุนีขึ้นถวายบทความธรรมะ เรื่อง “การใช้ปัญญา” จบแล้วพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนทนาธรรมกับพระพรหมมุนี เรื่องสัจจะและเรื่องสังขาร

พระราชปุจฉา ขณะที่ทรงพระผนวชอยู่นี้ เรียกกันว่า “พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” โดยที่ทรงดำรงฐานะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ยังมีอยู่ เป็นเพียงแต่ทรงจีวรเช่นภิกษุเท่านั้น ขอความเห็นจากพระพรหมมุนี
พระพรหม มุนี ถวายวิสัชนาว่า เรื่องนี้ทางธรรมะเรียกว่า สมมติซ้อนสมมติ สัจจะซ้อนสัจจะ ความเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็เป็นสมมติอย่างหนึ่ง เรียกว่า “สมมติเทพ” ความเป็นภิกษุก็เป็นสมมติอีกอย่างหนึ่ง ซ้อนขึ้นในสมมติเทพนั้น ในการเช่นนี้ ผู้ปฏิบัติต้องปฏิบัติให้เหมาะสมกับสมมตินั้น ๆ เช่น เมื่อได้รับสมมติเป็นพระภิกษุแล้วก็ต้องปฏิบัติตามสิกขาบทของพระภิกษุโดย เคร่งครัด จักปฏิบัติแต่หน้าที่สมมติเทพอย่างเดียวไม่ได้ แต่ถ้าหน้าที่ของสมมติเทพไม่ขัดกับสิกขาบทวินัยก็อาศัยได้ เช่น คำที่เรียกว่า “เสวย สรง "บรรทม” เป็นต้น ยังใช้ได้

สัจจะ คือความจริงนั้น ตามที่ท่านอธิบายกันมีหลายอย่าง แต่เมื่อกล่าวโดยหลักธรรมก็มี 2 อย่าง คือ

1. สมมติสัจจะ จริงโดยสมมติยกย่องขึ้น ให้เป็นอย่างนั้นให้เป็นอย่างนี้ เช่น สมมติให้เป็นเทวดา สมมติให้เป็นพระอินทร์ พระพรหม ผู้นั้นก็เป็นตามเขาสมมติเพียงแต่ชื่อ แต่ไม่ได้เป็นจริงไปเช่นนั้นด้วย เช่น เขาสมมติให้เป็นพระอินทร์ ชื่อพระอินทร์ก็มีอยู่แก่ผู้นั้น แต่ผู้นั้นไม่ใช่พระอินทร์ตัวเขียวไปด้วย เขาสมมติให้เป็นพระนารายณ์ชื่อพระนารายณ์ก็มีอยู่แก่ผู้นั้น แต่ผู้นั้นก็หาได้เป็นพระนารายณ์ตัวจริงมี 4 กรไม่

2. สภาวะสัจจะ จริงตามสภาวะเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นดินก็เป็นดินจริง ๆ เป็นน้ำก็เป็นน้ำจริง เป็นทุกข์ก็เป็นทุกข์จริง เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์จริง เป็นความดับทุกข์ก็เป็นความดับทุกข์จริง เป็นทางให้ถึงความดับทุกข์ก็เป็นทางให้ถึงความดับทุกข์จริง อย่างนี้เป็นจริงตามสภาวะ

ท่านเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปรมัตถสัจจะ เมื่อพิจารณาดูแล้วเป็นชั้นของสัจจะไปแล้ว ไม่ใช่ตัวสัจจะ เพราะปรมัตถสัจจะแยกออกเป็นปรมะ แปลว่า อย่างยิ่ง อัตถะ แปลว่า ประโยชน์ สัจจะ แปลว่า ความจริง รวมกันแปลว่า ความจริงเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เมื่อมีความจริงที่เป็นประโยชน์ก็มี จังได้ชั้นดังนี้

1. ปรมัตถสัจจะ ความจริงที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
2. อัตถสัจจะ ความจริงที่เป็นประโยชน์อย่างสามัญ
3. อนัตถสัจจะ ความจริงที่ไม่เป็นประโยชน์

ญาณที่เห็นอริยสัจ 4 นั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่งของบุคคล เรียกว่า ปรมัตถสัจจะ
ญาณรู้เหตุรู้ผลสามัญ หลบจากเหตุที่เสื่อม บำเพ็ญเหตุที่เจริญ นี่เป็นอัตถสัจจะ
ญาณที่เห็นผิดจากความจริง นี้เป็นอนัตถสัจจะ
บุคคลผู้ปฏิบัติต้องละอนัตถสัจจะ บำเพ็ญแต่อัตถสัจจะ และปรมัตถสัจจะ

สังขาร สังขารแบ่งออกดังนี้ คือ
1. สังขารส่วนเหตุ ที่กำลังปรุง เรียกว่า สังขารขันธ์
2. สังขารส่วนผล ที่ปรุงแต่งเสร็จแล้ว เรียกว่า รูปขันธ์
ในทางที่ดีเราใช้สังขารให้เป็นประโยชน์ สังขารย่อมปรุงมรรค ปรุงผล
ในทางที่เลว สังขารใช้เรา เราเป็นทาสของสังขาร ย่อมเป็นอันตรายถึงความพินาศ
พระ ราชปุจฉา คนที่มีใจเหี้ยม ฆ่าคนแล้วไม่รู้สึกอะไรนั้น จัดเป็นบุคคลประเภทไหน ทำไมบางคนสร้างกรรมในชาตินี้ไว้มาก จึงไม่ได้รับผลของกรรมนั้น กลับเจริญมีความสุขอยู่ได้

พระพรหมมุนี ถวายวิสัชนาว่า ที่เขายังมีความเจริญและความสุขอยู่ ก็เพราะกรรมชั่วที่ทำนั้นยังไม่ให้ผล ถึงกระนั้น บุคคลผู้ทำกรรมชั่วย่อมจะได้รับความเดือดร้อนในใจภายหลัง ที่เรียกว่า “วิปฏิสาร”

บางกรณีก็อาศัยผลของกรรมที่สร้าง แต่ปางก่อน ประกอบการกระทำ ซึ่งประกอบด้วย สติ ปัญญา วิริยะ เมื่อดีก็ดีเลิศ เลวก็เลวที่สุด ก็เพราะปัญญาของเขาเหล่านั้น

พระราชปุจฉา ทำอย่างไรจะระลึกได้ซึ่งชาติก่อนและชาติหน้า
พระ พรหมมุนี ถวายวิสัชนาว่า จะต้องบำเพ็ญตนเองให้สูงขึ้นในการปฏิบัติธรรมและอบรมจิตใจของตนเองให้สูง ขึ้นเรื่อย ๆ เป็นลำดับไป เช่น เด็ก ๆ ระลึกหรือจำวันก่อนไปไม่ได้ ครั้นเจริญวัยก็จำเหตุการณ์ได้บ้าง และเห็นกาลในอนาคตบ้าง เมื่อเจริญเต็มที่แล้ว ก็เห็นทั้งเหตุในอดีตและอนาคตอันไกล
หลังจากทรงสนทนาธรรมกับพระพรหมมุนีเป็นเวลาอันสมควรแล้ว จึงเสด็จพระราชดำเนินไปทรงนมัสการพระ แล้วเสด็จเข้าที่พระบรรทม

พระราชกรณียกิจในวันที่ 9 แห่งการทรงพระผนวช(วันอังคารที่ 30 ตุลาคม 2499)



ใน วันนี้ พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดราชบพิธ สถิตมหาสีมาราม เพื่อทรงนมัสการพระอัฐิ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ อดีตสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ณ พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และทรงอุทิศพระราชกุศลถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
จากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปยังอนุสรณ์รังษีวัฒนา (สุสานหลวง) ภายในวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เพื่อทรงอุทิศพระราชกุศลถวายสมเด็จพระราชบิดากรมหลวงสงขลานครินทร์ แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับวัดบวรนิเวศวิหาร
ในตอนเย็น เสด็จขง ณ พระตำหนักเพชร พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ภริยาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายดอกไม้ ธูป เทียน เสร็จแล้วโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้าจอมในรัชกาลก่อน ๆ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายดอกไม้ ธูป เทียน


จากนั้นเสด็จลง ณ บริเวณหน้าพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ฉายพระบรมฉายาลักษณ์ร่วมกับสมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ผู้เป็นพระราชอนุสาวนาจารย์ และพระศาสนโศภณ เจ้าอาวาสวัดมกุฏกษัตริยารามผู้เป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ พร้อมด้วยพระภิกษุวัดบวรนิเวศวิหาร เสร็จแล้วฉายพระบรมฉายาลักษณ์เดี่ยว



ลัง จากเสร็จการฉายพระบรมฉายาลักษณ์แล้ว เสด็จเข้าระอุโบสถทรงทำวัตรเย็น แล้วทรงสดับพระนิพนธ์ของสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช เรื่อง “คนกับธรรม” ซึ่งพระมหาบุญธรรมอ่านถวาย จบแล้วเสด็จขึ้น
ในคืนวันนั้นพระพรหมมุนีขึ้นเฝ้าถวายธรรมะ เรื่อง “สังขาร” โดยละเอียด ทรงสนทนาธรรมกับพระพรหมมุนีดังนี้

พระ ราชปุจฉา การที่มีคนป่าวข่าวทำให้เสียชื่อเสีย และอาจจะได้รับผลสะท้อนถึงฐานะของครอบครัว ตลอดจนญาติพี่น้องตระกูล สมควรที่สมณเพศและคฤหัสถ์จะปฏิบัติเช่นไรเมื่อมีการเช่นนี้เกิดขึ้น

พระ พรหมมุนี ถวายวิสัชนาว่า ทางสมณเพศ จงกระทำความดีต่อไป ความจริงย่อมหนีความจริงไม่พ้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ประทานโอกาสให้แก้ตัว เช่น พระภิกษุที่ถูกใส่ความ ก็มีโอกาสแก้ตัวได้ ทางด้านคฤหัสถ์ ถ้าจะฟ้องร้องขอความเป็นธรรมจากศาลก็ไม่ผิด แต่ถ้าตั้งใจปฏิบัติชอบต่อไปโดยไม่สะทกสะท้านต่อการใส่ความ นานเข้าก็คงมีคนเห็นความดีความชอบของเรา จะถือเป็นกรรมก็ได้ เป็นเรื่องของสังขารส่วนเหตุ คือคนอื่นปรุงแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราว

พระราชกรณียกิจในวันที่ 10 แห่งการทรงพระผนวช(วันพุธที่ 31 ตุลาคม 2499)

วันนี้ หลังจากเสวยพระกระยาหารเช้า เสด็จลงพระอุโบสถทรงทำวัตรเช้าแล้วพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ พระราชดำเนินไปทรงรับบิณฑบาต ที่ทำเนียบรัฐบาล ณ ที่นั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายอาหารบิณฑบาต
ภายหลังจากเสด็จพระราชดำเนิน กลับมาถึงวัดบวรนิเวศ วิหารแล้ว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท หลังจากนั้นสมเด็จพระราชชนนีเสด็จพระราชดำเนินมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท

ใน ตอนเย็น เสด็จลงพระอุโบสถทรงทำวัตรเย็น เสร็จแล้วทรงสดับธรรมะ เรื่อง “คำสอนของพระพุทธเจ้าและการปฏิบัติธรรม” ซึ่งพระจมื่นมานิต ( สิริคุตฺโต ภิกฺขุ ) ถวายพระธรรม เรื่อง “ขันธ์ 5” แล้วทรงพระราชปฏิสันถารกับพระภิกษุในพระบรมราชินูปถัมภ์ จนถึงเวลา 21.00 น. จึงเสด็จเข้าที่พระบรรทม

พระราชกรณียกิจในวันที่ 11 แห่งการทรงพระผนวชวันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน 2499

พระราชกรณียกิจที่สำคัญในวันนี้คือ การเสด็จพระราชดำเนินไปถวายสักการะพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม
เวลา 13.30 น. เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากวัดบวรนิเวศวิหารมีพระศาสนโศภณ วัดมกุฏกษัตริยารามกับพระราชาคณะวัดบวรนิเวศวิหาร 7 รูป พระกรรมการวัด 6 รูป พระในพระบรมราชินูปถัมภ์ 5 รูป ตามเสด็จพระราชดำเนิน
ครั้งเมื่อ เสด็จพระราชดำเนินถึง ได้เสด็จพระราชดำเนินไปสักการะพระร่วงโรจนฤทธิ์ แล้วทรงอุทิศพระราชกุศลถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จากนั้นเสด็จเข้าพระวิหาร ทรงจุดธูป เทียน บนพระแท่นปฐมเทศนาถวายสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ทรงทำวัตร แล้วทรงกล่าวคำบูชาคุณพระรัตนตรัย

ต่อจากนั้นเสด็จพระราชดำเนินขึ้น สู่ลานประทักษิณชั้นบน ทรงกระทำประทักษิณรององค์พระปฐมเจดีย์ 3 รอบ โดยมีระยะทางรอบละ 300 เมตร การเสด็จพระราชดำเนินมาสักการบูชาพระปฐมเจดีย์นี้ ถือเป็นพระราชกรณียกิจสำคัญของพระมหากษัตริย์ในโอกาสที่ได้เสด็จออกทรงพระ ผนวช
เมื่อทรงกระทำประทักษิณพระเจดีย์รอบบน ครบ 3 รอบแล้ว เสด็จพระราชดำเนินลงมาทรงพักพระราชอิริยาบถที่พระวิหาร ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้นำผ้าไปเช็ดพระบาทถวาย และได้เขียนเล่าต่อมาในภายหลังว่า สังเกตเห็นที่ฝ่าพระบาทมีรอยแดงก่ำ เนื่องจากมิเคยทรงพระดำเนินด้วยพระบาทเปล่าท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุในยามบ่าย เช่นนี้มาก่อน แต่ก็ทรงพระดำเนินอย่างสงบ แสดงให้เห็นถึงพระวิริยะอดทนเป็นอย่างยิ่งของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว





จาก นั้นเสด็จพระราชดำเนินไปสักการระพระประธานในพระอุโบสถ ในระหว่างทางเสด็จพระราชดำเนินได้มีคณะครู นักเรียน พ่อค้า ประชาชน มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จมากมาย ตลอดระยะทางเสด็จพระราชดำเนินได้จัดโต๊ะหมู่เป็นระยะ ๆ ตามลำดับดังต่อไปนี้

1. สมาคมส่งเสริมวัฒนธรรมหญิง
2. พุทธสมาคมจังหวัดนครปฐม
3. โรงเรียนราชินีบูรณะ จังหวัดนครปฐม
4. โรงเรียนปฐมวิทยา
5. โรงเรียนเทศบาลวัดเสน่หา จังหวัดนครปฐม
6. โรงเรียนสมานวิทยาลัย จังหวัดนครปฐม
7. คณะพ่อค้าจังหวัดนครปฐม
8. โรงเรียนสว่างวิทยา จังหวัดนครปฐม
9. โรงเรียนเทศบาลวัดพระงาม จังหวัดนครปฐม
10. โรงเรียนวัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม

นอก จากนั้น ก็มี พลเอก เดช เดชปติยุทธ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และภริยา พระยารามราชภักดี ปลัดกระทรวงมหาดไทย หลวงวรยุทธ ผู้บัญชาการตำรวจภูธร พลตำรวจจัตวา ประชา บูรณธนิต รองผู้บัญชาการตำรวจภูธร และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อีกหลายท่านมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทับเสด็จด้วย

ในการนี้ สถานีวิทยุ อส. ได้ถ่ายทอดเสียงโดยตลอด

พระราชกรณียกิจในวันที่ 12 แห่งการทรงพระผนวช(วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2499)

เสด็จลงพระอุโบสถทรงทำวัตรเช้าแล้วทรงสดับวินัยมุข เรื่อง “อุโบสถ” ซึ่งพระครูวิสุทธิธรรมภาณอ่านถวาย

วันนี้ เป็นวันธรรมสวนะและภิกขุอุโบสถตามประเพณีที่ วัดบวรนิเวศวิหารถือวันธรรมสวนะและภิกขุอุโบสถตามปักขคณนา (วิธีคำนวณดิถีตามปักษ์) มีพุทธศาสนิกชนพากันมาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวกันคับคั่งมากมาย

ในตอนเย็น เสด็จลงพระตำหนักเพชรพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายทหารกรมราชองครักษ์เฝ้า ทูลละอองธุลีพระบาทถวายธูป เทียน และถวายจตุปัจจัยสมทบทุนอานันทมหิดล แล้วเสด็จลงพระอุโบสถทรงทำวัตรเย็น ทรงสดับเรื่อง “สัปปุริสบัญญัติ” คือข้อที่ท่านสัตบุรุษตั้งไว้ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าทรงตั้งขึ้น แต่เป็นท่านสัตบุรุษ ท่านบัณฑิตตั้งไว้ก่อนแล้วพระพุทธเจ้าทรงนำมาแสดงแจกแจงออกไปเป็น 3 ข้อ คือ ทาน บรรพชา และมาตาปิตุอุปัฏฐาน
ทาน คือการให้ มนุษย์เราจำเป็นที่จะต้องอาศัยปฏิบัติในสัปปุริสบัญญัติข้อนี้ ไม่เช่นนั้นก็อยู่ไม่ได้ เด็กอ่อนต้องอาศัยทานจากพ่อแม่หรือผู้ปกครองให้ คือการเลี้ยงดู หาไม่ก็อยู่ไม่ได้ ราษฎรหรือคนในปกครองต้องให้ทานแก่ผู้ปกครอง ซึ่งเรียกว่าภาษีหรืออากร หรือเงินอะไรต่างๆ ที่บัญญัติขึ้นและรับทานจากผู้ปกครอง คือผู้ปกครองจะต้องให้ความคุ้มครอง ป้องกันภัยอันตรายให้ราษฎร ช่วยเหลือ อุดหนุนราษฎร ในทางหนึ่งทางใด จึงเรียกว่า ต่างฝ่ายต่างให้กัน ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ให้ก็อยู่ด้วยกันเป็นหมวดหมู่ กลุ่มเหล่าประเทศชาติไม่ได้
เพราะฉะนั้น มนุษย์เราจึงเป็นอยู่ตำรงชีพได้ด้วยทานตั้งแต่เกิดมา บางคนเข้าใจว่า ทานคือการให้แก่ผู้ยากจนขัดสน อันนั้นเป็นการให้โดยจำเพาะ ถ้าว่าทั่วไปแล้ว สิ่งที่เขาให้มา สิ่งที่เราให้เขาเป็นทานทั้งหมด

ใน ทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงธรรมแก่เขา ก็เป็นการให้ทานเหมือนกัน คือธรรมทาน อาศัยการให้แก่กันและกันทั้งสองฝ่ายเช่นนี้ มนุษย์เราจึงอยู่ได้ ถ้าขาดทานแล้วเป็นอยู่ไม่ได้

บรรพชา แม้จะมีการให้ทานซึ่งกันและกันดังกล่าวแล้ว แต่ถ้าคนที่อยู่ด้วยกันเบียดเบียนกันและกันอยู่เสมอ ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะฉะนั้น จึงมีบัญญัติไว้ให้มีบรรพชา บรรพชาคือการถือบวช หมายความว่า เว้นจากการเบียดเบียนกันและกัน
เริ่มต้นตั้งแต่รักษาศีล 5 ก็ได้ชื่อว่าบรรพชาอย่างหนึ่ง เพราะเว้นจากการเบียดเบียนแก่กันและกัน ซึ่งมีความจำเป็นเพราะถ้าไม่มีการเว้นจากการเบียดเบียนซึ่งกันและกันแล้วก็ อยู่ด้วยกันไม่ได้
มาตาปิตุอุปัฏฐาน คือการบำรุงมารดาบิดา เพราะมารดาบิดาให้ทานแก่บุตรธิดามาก่อน มารดาบิดาให้ทานแก่บุตรธิดามาแล้ว เมื่อบุตรธิดาเติบโตขึ้นจะไม่ตอบแทนได้อย่างไร มารดาบิดาแก่เฒ่าแล้วจะทำอย่างไรก็ต้องอาศัยบุตรธิดาช่วยบำรุงอุปถัมภ์ ถ้าบุตรธิดารับทานของมารดาบิดามาแล้วไม่ตอบแทนท่านก็เป็นสัตว์เดรัจฉานไป เพราะสัตว์เดรัจฉานเลี้ยงลูกให้ทานมาจนเติบโตแล้วก็ปล่อยให้ไปหากินเอาเอง ไม่ต้องเกี่ยวข้องกัน ลูกสัตว์เดรัจฉานก็ไม่ต้องตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ส่วนมนุษย์เราจะเป็นเช่นนั้นก็ไม่สมควร





พระราชกรณียกิจในวันที่ 13 แห่งการทรงพระผนวช(วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2499)

หลัง จากเสวยพระกระยาหารเช้าแล้ว พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงพระอุโบสถ ทรงเททองหล่อพระชินสีห์จำลอง สำหรับงานบำเพ็ญกุศลฉลองพระชนมายุครบ 84 พรรษา ของสมเด็จพระสังฆราช
พระมหาราชครูศรีวิสุทธิคุณทำพิธีเจิม จากนั้นพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงวางแผ่นทองคำเปลว 84 แผ่นลงในเบ้า และทรงเททองหล่อพระพุทธรูปพระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับ
วันนี้ (3 พฤศจิกายน 2499) เป็นวันอุโบสถตามปักขคณนา (วันธรรมสวนะ) พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงพระอุโบสถทรงทำวัตรเช้าและทรงทำ อุโบสถสังฆกรรม จบแล้วอุบาสกอุบาสิกาทำวัตร แล้วพระจุลนายกแสดงพระธรรมเทศนา
เวลา 13.00 น. เสด็จลงพระอุโบสถทรงทำวัตร ทรงสดับพระปาติโมกข์หลังจากนั้นพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้อำนวยการ ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นำพนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เฝ้าทูล ละอองธุลีพระบาททูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายดอกไม้ ธูป เทียน จตุปัจจัยสมทบทุนอานันทมหิดล เสร็จแล้วเสด็จลงพระอุโบสถ ทรงสดับพระธรรมเทศนาเนื่องในวันธรรมสวนะ ซึ่งพระสาธุศีลสังวรแสดงถวาย





ใน ตอนเย็น เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระโศภนคณาภรณ์ (ปัจจุบันคือสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก) พระสาธุศีลสังวร และพระราชภัฏ ไปในการพระราชทานเพลิงศพ หม่อมเจ้าประสงค์สม บริพัตร ณ วัดเทพศิรินทราวาส
ในวันเดียวกันนี้ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปถวายดอกไม้ ธูป เทียน และทรงทูลลาพระผนวชต่อสมเด็จพระสังฆราช ณ ตำหนักปัญจบเบญจมา สมเด็จพระสังฆราชได้ทรงถวายโอวาท ดังนี้

“บุญกุศลใดที่อาตมภาพได้ ประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ ขอถวายส่วนบุญส่วนกุศลเหล่านั้นแด่สมเด็จบรมพิตรพระราชสมภารเจ้า ขอสมเด็จบรมพิตรพระราชสมภารเจ้า จงทรงอนุโมทนาส่วนกุศลที่ได้ถวายนั้นให้เหมือนกับทรงทำด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสถิตอยู่เป็นสุข ปราศจากทุกข์ทุกทิพาราตรีกาล ทรงเห็นแต่การที่เจริญทุกเมื่อ อย่าทรงเห็นการที่เสื่อมทรามแม้แต่น้อยหนึ่งเลย พร้อมทั้งความเจริญด้วยพระชนมายุ วรรณะ สุขะ พละ ลาภยศ สรรเสริญ สุข ตลอดสิ้นกาลนาน
ในการทรงผนวชคราวนี้ อาตมภาพไม่ชอบใจตัวเองอยู่ เพราะได้ทำอะไรถวายไม่ได้เต็มที่ เพราะต้องเจ็บเสีย จนบัดนี้ก็ยังไม่หาย แต่ส่วนสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้เต็ม ที่ ที่แสดงให้เห็นได้ก็คือคนที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้งในประเทศทั้งนอกประเทศ อนุโมทนาตลอดทั่วถึงกัน และหวังความเจริญ ความสุขแต่สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าให้ทรงเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อเป็นขวัญใจของบ้านเมืองและของผู้นับถือพระพุทธศาสนา

ว่าถึง บารมี น่าจะทรงทราบ ศัพท์ที่บารมี หมายความว่า เก็บความดีหรือทำความคุ้นเคยกับความดีให้เกิดขึ้น ตรงกันข้ามกับอาสวะ คือ เก็บความชั่วหรือทำความชั่วให้เกิดพอกพูนขึ้น บารมีไม่ใช่บุญกุศลโดยตรง บุญกุศลที่บุคคลได้ทำแล้ว ก็ให้ผลเป็นสุขตามคราวตามสมัย แต่ความคุ้นเคยหรือความเก็บความดีไว้นั้นเป็นบารมี ตรงกันข้ามกับการทำชั่วทำร้ายเสียหายที่เป็นบาปนั่นก็ให้ผลชั่วร้ายแก่ผู้ทำ ตามคราวตามสมัย แต่ว่าผู้ทำยังคุ้นเคยอยู่กับความชั่วหรือบาปนั้น นี่เป็นส่วนอาสวะ บารมีเกิดขึ้นได้เพราะรู้ดีรู้ชอบ อาสวะเกิดขึ้นได้เพราะรู้ชั่วรู้ผิด เพราะฉะนั้น ในที่สุดบารมีจึงชนะอาสวะ
ขอพระบารมีทั้งหลายจงเจริญยิ่งแต่สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า


พระราชกรณียกิจในวันที่ 14 แห่งการทรงพระผนวช(วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2499)

เช้า มืดวันนี้ เป็นวันที่ชาวบ้านร้านตลาดแถวบางลำพูต่างพากันตื่นเต้นงงงันอย่างไม่คาดฝัน แล้วก็พลันเปลี่ยนเป็นความปลื้มปีติโสมนัสอย่างล้นเหลือ เมื่อจู่ ๆ พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงรับบิณฑบาต อยู่เบื้องหน้าของพวกเขา เป็นครั้งแรกในชีวิตที่พวกเขาได้ถวายบิณฑบาตแด่พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว ผู้เป็นพระมหากษัตริย์ที่เคารพรักและเทิดทูนอยู่เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมพวก เขามาโดยตลอด
แน่ละ ภาพที่พระองค์ประทับยืนรอรับบิณฑบาตอยู่เบื้องหน้า ด้วยสีพระพักตร์ที่อ่อนโยน สงบสำรวมเยี่ยงพระภิกษุสงฆ์อื่น ๆ จะเป็นภาพที่ติดตาตรึงใจพวกเขาไปไม่มีวันลบเลือน

พระภิกษุพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราช ดำเนินออกรับบิณฑบาตครั้งนี้โดยไม่มีหมายกำหนดการ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้และคาดคิดมาก่อน พรพะองค์เสด็จพระราชดำเนินออกทางประตูหน้าวัดบวรนิเวศวิหาร ด้านพระตำหนักเพชร พร้อมด้วยพระโศภนคณาภรณ์ ซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยงและพระสหจรทั้ง 5 รูป แล้วทรงพระดำเนินด้วยพระบาทเปล่าเยี่ยงพระสงฆ์ธรรมดาไปตามถนนสายบางลำพู ทรงรับบิณฑบาตจากประชาชนที่ใส่บาตรอยู่เป็นประจำที่ถนนพระสเมรุ แล้วประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินต่อไปทางสะพานเฉลิมวันชาติ ผ่านไปทางหน้าวังสวนกุหลาบ ถนนราชวิถี ถนนเลียบคลองประปา อ้อมไปทางสะพานควาย แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับทางถนนพหลโยธิน เข้าถนนพญาไท ทรงแวะรับบิณฑบาตที่บริเวณใกล้ๆ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จากนั้นทรงแวะรับบิณฑบาตอีกครั้งที่สี่แยกราชเทวีถนนเพชรบุรี





ไม่ มีครั้ง ใดอีกแล้วในชีวิตที่ประชาชนทั้งชาย หญิง เด็ก คนชรา ผู้ซึ่งออกมาใส่บาตรวันนั้น จะรู้สึกตื่นเต้นและปลื้มปีติเท่าครั้งนี้ เพราะไม่มีใครคิดมาก่อนว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้ทำบุญใส่บาตรถวายพระสงฆ์ที่ เป็นถึง “พระเจ้าแผ่นดิน”

เล่ากันว่า บางคนก้มหน้าก้มตาใส่บาตรพระโดยไม่ได้มองหน้าว่าพระที่มายืนรับบิณฑบาตจากตน เป็นใคร แต่พอเงยหน้าขึ้นมองเห็นว่าเป็นพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็แทบ เป็นลมหมดสติไปด้วยความตื่นเต้นตกใจ มือไม้อ่อนแทบจะคอนทัพพีตักข้าวไม่ไหว พอรู้สึกตัวก็ทรุดลงกราบแทบพระบาทนิ่งอยู่อย่างนั้น จนเสด็จพระราชดำเนินผ่านไปแล้ว ยังลุกไม่ขึ้น คนอื่นต้องมาฉุดประคองให้ลุกขึ้นยืน

นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่าง ใหญ่หลวงล้นเกล้าล้น กระหม่อมพสกนิกรชาวไทยที่ได้เสด็จพระราชดำเนินออกรับบิณฑบาตในครั้งนี้ เพราะเป็นโอกาสแรก โอกาสเดียว และโอกาสสุดท้ายในชีวิตของพวกเขาเหล่านั้น ที่ได้มีโอกาสใส่บาตรถวายพระภิกษุที่เป็นพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าของพวกเขา
จาก นั้นจึงประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนิน กลับวัดบวรนิเวศวิหารแต่เมื่อถึงหน้าวัด ก็ทรงต้องเสด็จพระราชดำเนินลงจากรถยนต์พระที่นั่งอีกครั้งเพื่อทรงรับ บิณฑบาตจากประชาชนที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรออยู่ที่หน้าวัด
อาหารที่ ทรงรับบิณฑบาตในวันนั้น ก็เป็นอาหารที่ชาวบ้านใส่บาตรอยู่ตามปกติคือ ข้าวสุก เครื่องในไก่ผัดขิง ผัดถั่วฝักยาว กุนเชียง ผัดหอมหัวใหญ่กับหมู เนื้อทอด ปลาสลิดเค็มทอด ปลาทูทอด ส่วนของหวานก็ได้แก่ ขนมครก ขนมถั่วแปบ ขนมบ้าบิ่น ส้มเขียวหวาน กล้วยหอม กล้วยไข่ โรตี ขนมเค้ก และขนมปังทาเนย นอกจากนั้นก็มีดอกไม้ ธูป เทียน

พระองค์ทรงแบ่งอาหารที่ทรงรับบิณฑบาตมาออกถวายสมเด็จพระสังฆราชส่วนหนึ่ง นอกจากนั้นพระองค์ได้เสวยในมื้อพระกระยาหารเพล
หลัง จากเสด็จลงพระอุโบสถทรงทำวัตรเช้า และทรงสดับวินัยมุขเรื่อง “กาลิก 4” ซึ่งพระครูวิสุทธิธรรมภาณอ่านถวายแล้ว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงสักการะพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปสำคัญในวัด บวรนิเวศวิหาร
เวลา 16.00 น. พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ พระตำหนักปั้นหย่า ในการพระราชพิธีทรงลาพระผนวช

ทรง จุดธูปเทียนเครื่องนมัสการแล้ว ทรงประเคนผ้าไตรแก่พระราชาคณะ 7 รูป ซึ่งจะเจริญพระพุทธมนต์ พระสงฆ์ทั้งนั้นไปครองผ้า แล้วกลับมานั่งยังอาสนสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์จบแล้ว เสด็จพระราชดำเนินขึ้นพระตำหนักที่ประทับ
ในตอนเย็น เสด็จลงพระอุโบสถทรงทำวัตรเย็น อันเป็นกิจประจำของพระสงฆ์เสร็จแล้วทรงสดับพระธรรม เรื่อง “บุญกิริยาวัตถุ 3 บุญกิริยาวัตถุ 10” ซึ่งพระจมื่นมานิตฯ อ่านถวาย จากนั้นพระพรหมมุนีและพระโศภนคณาภรณ์ขึ้นเฝ้าถวายธรรม ณ พระตำหนักปั้นหย่า จบแล้วเสด็จพระราชดำเนินขึ้นนมัสการพระแล้วเสด็จเข้าที่พระบรรทม

ปัญหาเกี่ยวกับธรรมะที่พระพรหมมุนีและพระโศภนคณาภรณ์ ถวายในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2499 คือ
ขันธ์ 1 และขันธ์ 4 หมายถึงอะไร
ขันธ์ 1 คือ รูป
ขันธ์ 4 คือ นาม ซึ่งประกอบด้วย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
จิต คือธรรมะที่ให้สำเร็จความคิด แต่ความคิดกับจิตไม่ใช่อันเดียวกัน ความคิดจะมีขึ้นได้เพราะอาศัยจิต ถ้าไม่มีจิต ความคิดก็ไม่มี จิตไม่ใช่สังขาร ความคิดเป็นสังขาร ถ้าจิตเป็นสังขารแล้ว ความหลุดพ้นจากทุกข์ก็มีไม่ได้ เพราะความคิดเป็นทุกขสัจจะ

รู้ แบ่งออกดังนี้ คือ
1. รู้มีอาการ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น รู้ซึ่งอารมณ์ รู้คุณ รู้โทษ รู้เหตุ รู้ผล จิตเข้าสู่มโนทวาร
2. รู้ไม่มีอาการ รู้นิ่ง ไม่มีอารมณ์เลย รู้หยุด รู้วาง รู้โปร่ง รู้ปล่อย รู้อย่างนี้จิตไม่มาเกี่ยวกับทวาร เมื่อจิตไม่เข้าเกี่ยวกับทวารอารมณ์ตามไปไม่ถึง รู้ตัวเองทางธรรม โดยภาวะเรียกว่า อัญญา หรือไม่เป็นภาวะ ก็เรียกว่า มุนี คือ ผู้รู้ พุทโธ คือ ผู้ตื่น ตถาคโต คือ ผู้บรรลุสัจธรรม วิมุตติโต คือ ผู้หลุดพ้น
พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ ต่างกันอย่างไร
พระพุทธเจ้าละได้ซึ่งกิเลสและวาสนา
พระสาวกยังละวาสนาไม่ได้ ละได้แต่กิเลสอย่างเดียว
วาสนา ทางธรรมหมายเอาอาการความประพฤติที่เคยชินมาแล้ว แต่ไม่มีเจตนา คำว่าวาสนานี้ไม่ตรงกับภาษาที่ใช้กันซึ่งแปลว่ามีบุญ คำว่าพระอรหันต์ แปลว่า ผู้หมดข้อลี้ลับ ไม่มีข้อซ่อนเร้นอยู่ภายใน เป็นผู้ควรเคารพบูชา สรรเสริญ เป็นผู้ห่างไกลจากกิเลส (สันดานของมนุษย์)
พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วอยู่ที่ไหน
อยู่เหนือโลก จิตเข้าสู่นิพพาน คือจิตพ้นโลก
นิพพาน พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ไปรวมกันอยู่ที่ไหน หรือต่างองค์ต่างไป
ไม่ สามารถตอบได้ เพราะนิพพานพ้นโลกไปแล้ว หมดสมมุติไปแล้ว ไม่สามารถทราบได้ ความว่ารวมหรือแยกนั้นเป็นเรื่องของโลก ความไม่กังวล ความไม่ยึดถือ นี่คือนิพพานที่พระพุทธเจ้าสอนไว้


ท ร ง ล า พ ร ะ ผ น ว ช


วันจันทร์ ที่ 5 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2499 นับเป็นวันสุดท้ายที่พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจักทรงครองผ้า กาสาวพัสตร์อยู่ในเพศบรรพชิต

วันนั้น หลังจากทรงตื่นพระบรรทมและเสวยพระกระยาหารเช้าเสร็จแล้ว พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ณ พระตำหนักปั้นหย่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ฉายพระบรมฉายาลักษณ์พร้อมด้วยเครื่อง บริขาร จากนั้นเสด็จลพระอุโบสถทรงทำวัตรเช้า แล้วทรงสดับ เรื่อง “สรุปเรื่องพระธรรมวินัยบัญญัติ” ซึ่งพระครูวิสุทธิธรรมภาณอ่านถวาย ดังนี้


พวก ภิกษุเราเป็นหมู่ที่ตั้งโดย หลักฐานมีกฎหมายและขนบธรรมเนียมเป็นเครื่องปกครองเหมือนหมู่อันตั้งเป็นหลัก ฐานอื่น ๆ กฎหมายและขนบธรรมเนียมของภิกษุเรานี้เรียกว่า พระวินัย เป็นคู่กับพระธรรมอันเป็นปฏิบัติทางใจ รวมทั้ง 2 อย่างนี้ เป็นพระศาสนา เรียกโดยชื่อว่า พระธรรมวินัย พระวินัยนั้นมีตำนานว่า ท่านพระอุบาลีเข้าใจมาก ได้ศึกษามาแต่สำนักพระศาสดา พระองค์ทรงยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะ คือ เป็นยอดแห่งภิกษุผู้ทรงพระวินัย ไม่มีภิกษุอื่นเทียมถึง เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้วในพรรษานั้นเอง พระเถระทั้งหลายมีท่านพระมหากัสสปะเป็นประธาน ประชุมกันทำสังคายนา วางแบบแผนแห่งพระพุทธศาสนาไว้เป็นหลักฐาน ณ กรุงราชคฤห์พระนครหลวงแห่งแคว้นมคธ ในการสังคายนานั้น ท่านสังคายนาพระวินัยด้วยส่วนหนึ่ง ไต่ถามขอให้ท่านพระอุบาลีวิสัชนาแล้ววางเป็นแบบ ทรงจำเล่าเรียนสั่งสอนมาโดยปากหลายชั่วอายุ หรือล่วงหลายร้อยปีแต่พุทธปรินิพพานกว่าจะได้จารึกลงเป็นอักษร ในระหว่างนั้นเกิดความเข้าใจผิดกันขึ้นเป็นคราว ๆ

พระเถระทั้งหลายใน สมัยนั้นได้ ประชุมกันวินิจฉัยลงเป็นแบบนำสืบกันมา แบบอันพระธรรมสังคาหกะทั้งหลายได้วางไว้นั้น เรียกว่า บาลี นับถือกันว่าเป็นแบบดั้งเดิมจำมาไม่เคลื่อนคลาดทั้งท่านผู้จำในครั้งแรกก็ เป็นพระมหาสาวกในยุคพระศาสนา เป็นผู้มีปรีชาแตกฉานในพระศาสนา เป็นพระอรหันต์ผู้บริสุทธิ์ ปกรณ์ที่พระอาจารย์ทั้งหลายในภายหลังรจนาแก้อรรถแห่งบาลีนั้น เรียก อรรถกถา นับถือคลายลงมาจากบาลี เพราะเป็นปกรณ์ชั้นที่ 2 แต่ท่านผู้รจนาเป็นผู้รู้พระพุทธวจนะ จึงยังเป็นที่เชื่อฟัง ปกรณ์อันพระอาจารย์ทั้งหลายแต่งแก้ หรืออธิบายเพิ่มเติมอรรถกถาเรียก ฎีกา ที่เพิ่มเติมฎีกาเรียก อนุฎีกา นับถือน้อยลงมากว่าอรรถกถาถือเป็นเพียงมติของอาจารย์ผู้รจนาปกรณ์ที่แต่ง ขึ้นตามความปรารภของอาจารย์ทั้งหลายไม่อยู่ในสายนี้ ถือเป็นเพียงอาจาริยวาทอย่างหนึ่ง ๆ

โดยทางพิจารณาสอดส่องได้ความ เข้า ใจว่า ในสังคายนาครั้งแรก คงเป็นเพียงพระสงฆ์ประชุมกันไต่ถามสอบสวนกันถึงคำสอนของพระศาสดาทั้งในส่วน พระธรรม ทั้งในส่วนพระวินัย ข้อใดได้ความรับรองทั่วไปหรือโดยมาก ก็ถือเอาข้อนั้นเป็นที่เชื่อฟังได้นำกันสืบมาในคราวหลัง ๆ เมื่อเกิดความเข้าใจแผกกันขึ้นว่าอย่างไรถูกหรือต้องการอธิบายข้อความอันยัง ไม่แจ่มชัด พระเถระผู้เป็นประธานในครั้งนั้นก็ประชุมกันทำสังคายนาวินิจฉัยแล้ววางเป็น แบบสืบลงมาอีกเป็นคราว ๆ กว่าจะได้จารึกเป็นอักษร จึงเป็นทางรจนาและอธิบายได้กว้างขวาง กิริยาที่นำพระศาสนาสืบลงมาด้วยไม่ได้จารึกลงเป็นอักษรนั้น มีตัวอย่างที่แลเห็นอยู่ใกล้ ๆ ขนบธรรมเนียมของพวก (ธรรมยุตติกา) เรานี้เอง ตั้งแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงผนวช (จนบัดนี้ 100 ปีเศษล่วงไปแล้ว) นำสืบกันมาด้วยประพฤติตามกันไม่ได้จารึกลงเป็นอักษรเลยยกไว้แต่หนังสือพระ วินัยฯ





พระ วินัย นั้นภิกษุรักษาดีโดยถูกทางแล้ว ย่อมได้อานิสงส์ คือความไม่ต้องเดือดร้อนใจ ซึ่งเรียกว่าวิปฏิสาร ภิกษุผู้ประพฤติย่อหย่อนทางวินัยย่อมไม่ได้วิปฏิสาร เพราะอนาจารผิดกฎหมายบ้านเมือง ถูกจับกุม และถูกลงโทษบ้าง ถูกดูหมิ่นบ้าง ไม่มีคนนับถือ จะเข้าหมู่ภิกษุผู้มีศีลก็หวั่นหวานกลัวจะถูกโจทก์ท้วง แม้ไม่มีใครว่าอะไรก็ตะขิดตะขวางใจไปเอง ที่สุดนึกขึ้นมาถึงตน ก็ติเตียนตนเองได้ ไม่ได้ปีติปราโมทย์ ฝ่ายภิกษุผู้นิยมในพระวินัย แต่ขาดความเข้าใจเค้าเงื่อน พอใจจะถือให้ตรงตามตำรับให้เหมือนครั้งพุทธกาล แต่คนเกิดในกาลอื่น ๆ ในประเทศอื่น ย่อมได้พบความขัดข้อง ประพฤติไม่สะดวกใจเป็นธรรมดา และความประพฤตินั้น มักมัวไปหนักอยู่ในข้อที่เป็นธรรมเนียมที่ภิกษุเคยถือกันมา แต่ไม่เป็นสำคัญจริง ๆ นี้เรียกว่าประพฤติพระวินัยไม่ได้อานิสงส์ดังมุ่งหมาย กลับได้ความลำบากเสียอีก และผู้ประพฤติพระวินัยโดยไม่มีสติเช่นนั้น มักมีมานะถือตัวว่าตนประพฤติเคร่งครัดดีกว่าผู้อื่นและดูหมิ่นพระภิกษุอื่น ว่าเลวทราม นี้เป็นกิริยาที่น่าเกลียดน่าติอยู่แล้ว ครั้นจะต้องอยู่ร่วมสมาคมกับภิกษุอื่น ๆ ที่ตนเห็นว่าประพฤติบกพร่องในพระวินัย ย่อมรังเกียจและจำทำ กับได้ความเดือดร้อนซ้ำอีก ฝ่ายภิกษุผู้ประพฤติถูกทางย่อมได้ความแช่มชื่นเพราะรู้สึกว่าตนประพฤติดีงาม ไม่ต้องถูกจับกุมและลงโทษหรือติเตียน มีแต่จะได้ความสรรเสริญ จะเข้าหมู่ภิกษุผู้มีศีล ก็องอาจไม่ต้องสะทกสะท้าน

อันจะ ปฏิบัติพระวินัยให้สำเร็จประโยชน์ควรพิจารณาให้เข้าใจผลที่มุ่งหมายแห่งพระ วินัยนั้น พระพุทธบัญญัติบางข้อและอภิสมาจารบางหมวด พระศาสดาทรงตั้งไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นคนเหี้ยมโหดจนถึงต้องโทษอาชญาแผ่น ดินอย่างอุกฤษฏ์ก็มี เช่น ห้ามทำโจรกรรมและฆ่ามนุษย์เพื่อป้องกันความลวงโลกเลี้ยงชีพก็มี เช่น ห้ามไม่ให้อวดอุตริมนุสธรรม เพื่อป้องกันความดุร้ายก็มีเช่น ห้ามไม่ให้ด่ากัน ตีกัน เป็นต้น เพื่อป้องกันความประพฤติเลวทรามก็มีเช่น ห้ามพูดปด ห้ามพูดส่อเสียด ห้าเสพสุรา เป็นต้น เพื่อป้องกันความประพฤติเสียหายก็มีเช่น ห้ามแอบฟังความของเขา เพื่อป้องกันความเล่นซุกซนก็มี เช่น ห้ามไม่ให้เล่นจี้กัน ไม่ให้เล่นน้ำ ไม่ให้ซ่อนบริขารของกัน ทรงบัญญัติตามความนิยมของคนในครั้งนั้นก็มี เช่น ห้ามไม่ให้ขุดดิน ไม่ให้ฟันต้นไม้ที่เขาถือว่ามีชีวิต ทรงบัญญัติโดยเป็นธรรมเนียมของภิกษุตามความสะดวกบ้าง ตามนิยมของบรรพชิตบ้าง เช่น ห้ามไม่ให้ฉันอาหารในยามวิกาล จะฉันของอื่นนอกจากน้ำ ต้องรับประเคนก่อน นี้เป็นตัวอย่างแห่งผลที่มุ่งหมายของสิกขาบทนั้น ๆ อนึ่ง พึงใคร่ครวญถึงพระบัญญัติที่ทรงตั้งขึ้นแล้ว แต่ยังไม่เหมาะด้วยประการใดประการหนึ่ง จึงได้ทรงเพิ่มอนุบัญญัติดัดแปลงในหนหลังว่ายังให้สำเร็จผลที่มุ่งหมายเดิม หรือกลายเป็นอื่นไปแล้ว แต่ยังจะต้องถือเป็นตามธรรมเนียมของภิกษุ อนึ่ง พึงใส่ใจถึงพระบัญญัติ

ปรารภเฉพาะ กาลล่วงมานานและนำมาใช้ในประเทศอื่นเป็นไปไม่สะดวก ไม่มีใครจะแก้ไขได้ ภิกษุทั้งหลายในประเทศนั้น ในกาลนั้น จึงหันหาทางหลีกเลี่ยงประพฤติบ้าง เลิกเสียทีเดียวบ้าง เมื่อใคร่ครวญเห็นเช่นนี้แล้ว พึงนำความประพฤติไปให้สำเร็จผลที่มุ่งหมายของพระธรรมวินัย และให้สำเร็จอานิสงส์ คือ ได้ความชื่นบานว่าได้ประพฤตดีงาม ไม่ต้องได้ความเดือดร้อน เพราะเหตุประพฤติสะเพร่า หรือประพฤติไม่ถูกทางและไม่เกิดมานะความถือตัวและดูหมิ่นผู้อื่น ควรมีเมตตาอารี แนะนำเพื่อนสหธรรมิกที่ยังประพฤติบกพร่องให้ประพฤติบริบูรณ์






ก ประการ หนึ่ง พึงนึกว่าการบวชนั้นมีความสำคัญเป็นที่สุด เพราะทำในท่ามกลางสงฆ์ในโรงอุโบสถ และต่อหน้าพระพุทธปฏิมา เมื่อบวชแล้วปฏิบัติดี ย่อมได้อานิสงส์กล่าวโดยสรุปเป็น 3 ประเภท คือ แก่ตนเอง แก่ผู้อื่น และแก่พระพุทธศาสนา อานิสงส์แก่ตนเอง หมายความว่า ได้ฝึกหัดกาย วาจา ใจให้อยู่ในเหตุผลที่ชอบ อานิสงส์แก่ผู้อื่นหมายความว่า ได้นำความปลาบปลื้ม ได้ให้เขาชื่นชม ได้ให้เขาชมบุญบารมี คือเขาได้อนุโมทนา นับตั้งแต่บิดามารดา ญาติพี่น้อง และบรรดาผู้เกี่ยวข้องทั้งมวล ตลอดถึงเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่บุพการี อานิสงส์แก่พระพุทธศาสนา หมายความว่า ได้ช่วยสืบต่ออายุพระศาสนา ส่งเสริมผู้ครองผ้ากาสาวพัสตร์ อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ให้โบกสะบัดสืบไป สมกับพระบาลีที่ว่า “อปิ รชฺเชน ตํ วรํ” การบวชประเสริฐกว่าการเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ


จาก นั้นเสด็จพระราชดำเนินไปทรงปลูกต้นสัก 1 ต้น ที่บริเวณข้างพระตำหนักปั้นหย่า แล้วทรงปลูกต้นสนฉัตร 2 ต้น ที่บริเวณหน้าพระตำหนักทรงพรตหอสหจร

เวลา 10.15 น. เสด็จออก ณ พระตำหนักปั้นหย่า ในการพระราชพิธีทรงลาพระผนวช ทรงประกาศลาสิกขา ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการ แล้วทรงประกาศลาสิกขาต่อพระสงฆ์ เมื่อเวลา 10.23 น. จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปลื้องกาสาวพัสตร์ เปลี่ยนเป็นทรงเศวตพัสตร์ เมื่อทรงเศวตพัสตร์แล้ว เสด็จพระราชดำเนินไปทรงแสดงพระองค์เป็นอุบาสกทรงสมาทานเบญจศีล แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระตำหนักทรงพรตหอสหจร เสด็จเข้าที่สรง ทรงสรงน้ำพระพุทธมนต์เป็นการภายใน

เมื่อ ทรงสรงเสร็จ ทรงเศวตพัสตร์แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินไปทรงประเคนภัตตาหาร พระสงฆ์รับพระราชทานฉันจากนั้นเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระตำหนักจันทร์ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องสักการะทูลลาพระอัฐิสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์และพระอัฐิสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโร รส แล้วเสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่ห้องที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูป เทียน เครื่องสักการะ กราบถวายบังคมลา เสร็จแล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระตำหนักเพชร ขณะนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ คณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรีและประธานสภาผู้แทนราษฎร เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทอยู่พร้อมหน้า

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานกระแสพระราชดำรัสในการทรงลาพระผนวช ความว่า
ตาม ที่พระองค์ได้ทรงแจ้งพระราชดำริเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2499 ว่าจะทรงบรรพชาอุปสมบทในพุทธศาสนานั้น บัดนี้ พระองค์ได้ทรงบรรพชาอุปสมบท และได้ทรงลาสิกขาแล้ว ในวันนี้
พระองค์ทรงมีความยินดีที่ทรงได้รับความร่วมมือช่วยเหลือในการนี้โดยพร้อม เป็นที่เรียบร้อยทุกประการ

ทรงขอขอบพระทัยสมเด็จพระบรมราชินี และทรงขอบใจรัฐบาล ตลอดจนผุ้มีหน้าที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ที่ได้ช่วยกันบริหารแผ่นดินให้เป็นไปด้วยดี
ทรงขอให้ทุกคนจงมีส่วนได้รับกุศลอันพึงจะเกิดขึ้นแต่การทรงบรรพชาอุปสมบทของพระองค์นี้โดยทั่วกัน
ต่อ จากนั้นเสด็จขึ้นพระตำหนักปั้นหย่าทรงประเคน จตุปัจจัยไทยธรรม พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชดำเนินไปประทับ ณ พระตำหนักทรงพรตหอสหจร
เวลา 14.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปยงตำหนักปัญจบเบญจมา เพื่อทรงทูลลาสมเด็จพระสังฆราช พระราชอุปัชฌายาจารย์ สมเด็จพระสังฆราชถวายสรงน้ำพระพุทธมนต์ และถวายพระพร เสร็จแล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระอุโบสถ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องสักการะ พระรูปสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส และพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูป เทียน ถวายนมัสการพระพุทธชินสีห์ พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถาแล้วเสด็จพระราชดำเนินออกจากพระอุโบสถ มีประชาชนมาคอยเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อชมพระบารมีอยู่สองข้างที่เสด็จ พระราชดำเนินฝ่านอย่างคับคั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินขึ้นประทับรถยนต์พระที่นั่ง หน้าประตูอุโบสถ เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เป็นอันเสร็จสิ้นการพระราชพิธีทรงลาพระผนวช

เนื่อง ในการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทรงพระผนวชครั้งนี้ ได้ทรงพระราชอนุสรณ์คำนึงถึงพระคุณูปการอันอเนกของสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช ผู้ได้ทรงปฏิบัติหน้าที่พระราชอุปัชฌายาจารย์ทั้ง ๆ ที่มีพระอาการประชวร ทุพพลภาพ ได้เอาพระทัยใส่ในอันที่จะถวายความรู้ทางพุทธศาสนาและถวายโอกาสให้ได้ทรง ปฏิบัติสมณกิจให้ได้ผลเต็มตามภิกขุภาวะเป็นนานัปการ จึงได้มีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมให้ตั้งการพระราชพิธี สถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็นสมเด็จพระสังราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ขึ้น ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2499 ความแจ้งอยู่ในประกาศพระบรมราชโองการสถาปนาซึ่งได้ลงในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 74 ตอนที่ 6 ลงวันที่ 12 มกราคม 2500 แล้วนั้น
อนึ่งในโอกาสเดียวกันนี้ ยังมีพระเถรานุเถระที่ได้ปฏิบัติการสนองพระเดชพระคุณเป็นพิเศษ บางรูปอยู่ในฐานะสูงเต็มขีดขั้นแล้ว บางรูปทรงคุณวุฒิถึงคราวที่จะได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์อยู่แล้ว บางรูปได้โปรดให้ยกย่องขึ้นเป็นพิเศษ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา อาทิ

สมเด็จพระวันรัต สังฆนายก เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม พระราชกรรมวาจาจารย์โปรดให้เป็นสมเด็จพระมหาวีรวงศ์
พระพรหมมุนี วัดบวรนิเวศวิหาร ทำหน้าที่รับเสด็จดูแลแทนเจ้าอาวาสเป็นครั้งคราวที่เจ้าอาวาสประชวร แต่ดำรงสมณศักดิ์สูงอยู่แล้ว
พระโศภนคณาภรณ์ วัดบวรนิเวศวิหารพระพี่เลี้ยง ฉลองพระเดชพระคุณใกล้ชิดตลอดเวลา เป็นพระธรรมวราภรณ์ พระราชาคณะชั้นธรรม





ส่วน พระราชาคณะในวัดบวรนิเวศ วิหารรูปอื่น ๆ ก็ได้มีหน้าที่ถวายการสั่งสอนหรือสนองพระเดชพระคุณใกล้ชิดอย่างอื่น ๆ อีก ทุกรูปที่มีทางเลื่อนสมณศักดิ์ได้ก็โปรดพระราชทานเลื่อนขึ้นเป็นพิเศษในพระ ราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาศก 2499 แล้วเหมือนกัน


แหล่งข้อมูล : หนังสือทรงพระผนวช จัดพิมพ์โดยโครงการสืบสานมรดกวัฒนธรรมไทย ปี 2542
ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
รวบรวม/เรียบเรียง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ที่มา : มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย


อาจจะยาวไปหน่อยนะครับ แต่เนื้อหาสาระดีๆทั้งนั้น   ขอบคุณครับ






129
สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช จัดโครงการติดตั้งกล้องวงจรปิดวัดสำคัญทั่วประเทศ เชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเงินถวายวัดที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เริ่มนำร่องแล้ว 2 แห่งที่ลพบุรี หลังเกิดเหตุโจรขโมยวัตถุโบราณถี่ยิบ ขณะที่กรมศิลป์เสนอแนวคิดลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ใจบุญ ระบุขาดงบประมาณ





พระราชรัตนมงคล ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาเกิดเหตุโจรกรรมโบราณวัตถุโบราณสถานสำคัญทางพระพุทธศาสนา และลักขโมยทรัพย์สินล้ำค่าภายในวัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้วัดหลายแห่งต้องเร่งหาทางแก้ไข ทั้งการจัดหาเวรยามดูแลสอดส่อง และติดตั้งเครื่องมืออุปกรณ์สร้างความปลอดภัย แต่ยังไม่เพียงพอ ดังนั้น สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โปรดให้สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชจัดโครงการความปลอดภัยภายในวัดทั่ว ราชอาณาจักร เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว โดยจัดหากล้องวงจรปิดถวายวัดสำคัญทั่วประเทศ

พระราชรัตนมงคลกล่าวว่า ขณะนี้สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชอยู่ระหว่างติดตั้งกล้องวงจรปิดจำนวน 15 ตัวให้แก่วัดถ้ำตะโกพุทธโสภา ตำบลเขาสมอคอน อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี เพื่อนำร่องโครงการเป็นวัดแรก เนื่องจากวัดดังกล่าวเป็นวัดสำคัญทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยพ่อขุนราม คำแหงที่ได้ทรงมาศึกษาศิลปวิทยา และยังเป็นวัดที่มีโบราณวัตถุสำคัญเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังได้เตรียมถวายกล้องวงจรปิดให้แก่วัดไลย์ จังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นวัดที่เก่าแก่มากและประดิษฐานรูปหล่อพระศรีอาริยเมตไตร ซึ่งเป็นปูชนียวัตถุสำคัญของชาวลพบุรี

"โครงการนี้จะมีการจัดหากล้องวงจรปิดเพื่อถวายวัดทั่วราชอาณาจักร โดยวัดที่ได้รับการติดตั้งกล้องวงจรปิดนั้น สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชจะพิจารณาจากลำดับความสำคัญของโบราณวัตถุ โบราณสถาน ที่มีความจำเป็นที่ต้องรักษาความปลอดภัยเป็นการเร่งด่วน ขณะนี้มีวัดหลายแห่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแจ้งขอรับกล้องวงจรปิดแล้ว แต่ยังต้องรอเงินบริจาคเข้ามาก่อน" ผู้ช่วยเลขานุการสมเด็จพระสังฆราชกล่าว และว่า ต้องการให้ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินำเรื่องนี้ไปพิจารณาและเป็นเจ้า ภาพจัดหากล้องวงจรปิดในวัด ก็จะสะดวกรวดเร็วกว่า





สำหรับวัดที่มีความประสงค์ขอรับการติดตั้งกล้องวงจรปิด สามารถแจ้งมามาได้ที่สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ทั้งนี้ ขอบอกบุญมายังประชาชนทั่วไปหรือหน่วยงานต่างๆ ที่มีจิตศรัทธาจะร่วมบริจาคกล้องวงจรปิดเพื่อนำไปติดตั้งความปลอดภัยในวัด สามารถติดต่อมาได้ที่สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช

หรือโอนเงินผ่านธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (ทุกสาขา) ชื่อบัญชี "สำนักสมเด็จพระสังฆราช"

นายอำนาจ บัวศิริ ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ระบุว่า พศ.ไม่มีงบประมาณในการดูแลรักษาความปลอดภัยภายในวัด แต่ละวัดเองต้องช่วยกันจัดหาเวรยามมาเฝ้าระวัง แต่สามารถตั้งงบประมาณขึ้นมาเสนอรัฐบาล ซึ่งต้องใช้เงินมาก ไม่รู้ว่าจะได้รับหรือไม่ ดังนั้นจึงต้องประสานกับทางกรมศิลปากร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลโบราณวัตถุสำคัญของศาสนสถานโดยตรง คิดว่าจะต้องทำหนังสือไปถึงกรมศิลปากรเพื่อหารือและประสานงานกันระหว่าง หน่วยงานต่อไป

ด้านนายเกรียงไกร สัมปัชชลิต อธิบดีกรมศิลปากร บอกว่า มีแนวทางที่จะเสนอต่อรัฐบาลให้ดำเนินการลดหย่อนภาษี สร้างแรงจูงใจให้แก่หน่วยงานหรือองค์กรเอกชนที่บริจาคเงินสำหรับจัดซื้อ กล้องวงจรปิดและเครื่องมืออุปกรณ์อื่นๆ เพื่อช่วยเฝ้าระวังสมบัติล้ำค่าของประเทศชาติ เพราะกรมศิลปากรไม่สามารถจัดทำงบฉุกเฉินได้ อย่างไรก็ดี ขณะนี้ได้เร่งขึ้นทะเบียนศิลปวัตถุต่างๆ เป็นหลักฐานไว้เพื่อตรวจสอบในภายหลังหากเกิดการสูญหาย อีกทั้งยังระดมอาสาสมัครในท้องถิ่นทั่วประเทศเข้ามาช่วยดูแลสอดส่องเพิ่ม ขึ้นอีกด้วย.



ขอบคุณที่มาจากไทยโพส ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ  :001:

130


อย่างที่ทราบกันดีว่า หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก ต.ธนู อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านเป็นพระภิกษุที่ถึงพร้อมในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นวัตรปฏิบัติ หรือการเจริญภาวนา

กล่าวกันว่า การปฏิบัติธรรมของท่าน หวังผลในเรื่องของพุทธภูมิ สำหรับในส่วนของวัตถุมงคล ถึงแม้จะไม่ใช่สิ่งที่นำทางให้บรรลุผลตามหลักของพระพุทธศาสนา แต่ท่านก็ได้อนุโลมให้มี และรับรองถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องที่ท่านอธิษฐานจิตให้

 สำหรับสิ่งที่หลวงปู่ดู่ยกไว้เหนือยิ่งกว่าวัตถุมงคลก็คือ การปฏิบัติ คำสอนของท่านก็กล่าวยืนยันว่า การปฏิบัติภาวนาเหนือกว่าเครื่องรางของขลัง คือ

 “เอาของจริงดีกว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรนัง คัจฉามิ นี่แหละของแท้”

 คำถามจึงมีต่อไปว่า ในบริบทการอนุโลมของหลวงปู่ดู่ บรรดาพระเกจิอาจารย์ที่สร้างวัตถุมงคล รูปใดที่หลวงปู่ดู่ท่านรับรองว่า เก่งจริง

 คำตอบสำหรับคำถามนี้ กิจกรรมทางพุทธศาสนาของอดีตผู้บัญชาการเรือนจำกลาง จ.พระนครศรีอยุธยา นายเรียน นุ่มดี น่าจะอธิบายได้ดี เรื่องมีอยู่ว่า

 นายเรียน นุ่มดี ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นศิษย์ผู้ใกล้ชิดคนหนึ่งของ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ในสมัยนั้นท่านกำลังใกล้จะเกษียณอายุราชการ และจะกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านเกิดที่ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี

 แต่เนื่องด้วย วัดเขาใหญ่ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ ซึ่งเป็นวัดใกล้บ้านเกิดของท่าน   ขณะนั้นมีสภาพทรุดโทรม เสนาสนะต่างๆ ที่มีอยู่ก็ไม่ได้รับการบูรณะมานานมากแล้ว

 ด้วยจิตใจที่ตั้งมั่นในเรื่องของบุญกุศล นายเรียนจึงมีความตั้งใจที่จะหารายได้จำนวนหนึ่งเพื่อนำไปบูรณปฏิสังขรณ์วัด เขาใหญ่ให้สวยงาม พร้อมทั้งสร้างวิหารจตุรพิธพรชัยขึ้นใหม่ นายเรียนจึงได้นำความมาปรึกษากับหลวงปู่ดู่ว่า ตนเองจะทำอย่างไรดี

 หลวงปู่ดู่จึง ได้เมตตาแนะนำและให้คำปรึกษาในการจัดสร้างวัตถุมงคล  ขึ้นมารุ่นหนึ่ง โดยได้บอกกับนายเรียนว่า ให้ไปขอความเมตตาจากพระเกจิอาจารย์เหล่านั้น เพื่อขออนุญาตสร้างเหรียญรูปเหมือนของแต่ละท่าน ด้วยเหตุผลที่ว่าท่านเหล่านี้ล้วนเป็นพระเกจิอาจารย์ที่หลวงปู่ดู่บอกว่า เก่งจริง คือ


๑.หลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท
 ๒.พระครูประสาทวิทยาคม (หลวงพ่อนอ) วัดกลาง อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา
 ๓.พระครูประสาทวรคุณ (หลวงพ่อพริ้ง) วัดโบสถ์โก่งธนู อ.เมือง จ.ลพบุรี
 ๔.พระครูศรีพรหมโสภิต (หลวงพ่อแพ) วัดพิกุลทอง อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี
 ๕.พระรักขิตวันมุนี (หลวงพ่อถิร) วัดป่าเลไลยก์ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี
 ๖.พระราชสุวรรณโสภณ (หลวงพ่อโกย) วัดพนัญเชิง อ.พระนครศรีอยุธยา  จ.พระนครศรีอยุธยา
 ๗.หลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา
 ๘.พระครูสันทัดธรรมคุณ (หลวงพ่อออด) วัดบ้านช้าง อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา
 ๙.หลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุญนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์





พระเกจิอาจารย์แต่ละท่านได้เมตตาอนุญาตให้จัดสร้างขึ้นได้ ตามวัตถุประสงค์

 เมื่อเหรียญได้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว นายเรียนได้นำเหรียญของพระเกจิอาจารย์ที่กล่าวถึงข้างต้นนี้ ไปให้แต่ละท่านปลุกเสกตามอัธยาศัย เป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม

 หลังจากนั้น เหรียญทั้งหมด พร้อมกับพระผงรูปแบบต่างๆ เช่น พระปิดตา พระแก้วสามฤดู พระผงสามสมัย ฯลฯ ได้นำมาให้หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ปลุกเสกเดี่ยวอีกครั้ง เป็นหนึ่งเดือนเต็มเช่นกัน

 และขั้นตอนสุดท้าย วัตถุมงคลรุ่นนี้ที่มีชื่อว่า “จตุรพิธพรชัย ได้นำเข้าสู่พิธีพุทธาภิเษก ณ วัดรัตนชัย (วัดสามจีน) จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อปี ๒๕๑๘  เล่ากันว่า หลังจากพิธีเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ได้มีนักเลงในพื้นที่กล่าวดูหมิ่นว่า จะขลังสักแค่ไหน ซึ่งหลวงพ่อกวยได้ขออนุญาตพระเกจิอาจารย์ในพิธี  นำเหรียญของท่านออกมาชูขึ้นหน้าอุโบสถ แล้วบอกว่า

 “ใครจะลองบ้าง”

 คำถามดังกล่าวได้รับการตอบรับอย่างดี โดยมีนักเลงคนหนึ่ง อาสานำไปยิงที่หลังอุโบสถ ปรากฏว่า เหรียญของหลวงพ่อกวยยิงไม่ออก นักเลงคนนั้นจึงได้นำเหรียญมาคืนหลวงพ่อกวย และกราบขอขมา





ปัจจุบัน พระเกจิอาจารย์ที่หลวงปู่ดู่รับรอง ว่า เก่งจริง ได้มรณภาพไปหมดแล้ว ความเก่งจริงของพระเกจิอาจารย์เหล่านั้น ได้ปรากฏผลเป็นรูปธรรมชัดเจน ด้วยดัชนีของราคาค่านิยมที่วัดกันในตลาดพระเครื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหรียญหลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุญนาค และ เหรียญหลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม มีราคาค่อนข้างสูง และหายาก

 สำหรับท่านที่ไม่สามารถหาเหรียญหลวงปู่สี และเหรียญหลวงพ่อกวย รุ่นนี้ได้ ก็ไม่ต้องกังวลใจ เหรียญของหลวงพ่อท่านอื่นๆ ที่จัดสร้างขึ้นในคราวเดียวกันนี้ ก็สามารถอาราธนาแทนกันได้

 ขอเพียงแต่ขอให้ท่านมีจิตใจที่มั่นคง และน้อมนำขอความเมตตาไปถึงพระเกจิอาจารย์ท่านนั้นๆ ก็เป็นอันใช้ได้เหมือนๆ กัน

 ทั้งนี้ก็เพราะว่า เป็นพระเกจิอาจารย์ที่หลวงปู่ดู่ ท่านได้แนะนำให้ อีกทั้งยังได้เมตตาปลุกเสกให้ด้วย จึงรับรองได้ว่า "ดีแท้แน่นอน"





ที่มา ๐ สิทธิ ศิษย์กวง ๐ คมชัดลึก ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ  :054:

131



"หลวงปู่เพ็ง ฐิติโก" หรือ "พระครูสถิต ธรรมสุนทร" อดีตเจ้าคณะตำบลหนองเม็ก และอดีตเจ้าอาวาสวัดกุดน้ำใส ต.หนองเม็ก อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม

เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังสายวิปัสสนากัมมัฏฐานของอำเภอนาเชือก สืบสายธรรมจากหลวงปู่ทอง กัลยาณธัมโม วัดบ้านหนองเลา เป็นบูรพาจารย์รุ่นเก่าอีกรูปหนึ่งของเมืองมหาสารคาม

หลวงปู่เพ็ง จึงมีวิทยาคมที่แก่กล้าเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของสาธุชนในพื้นที่อำเภอนาเชือก

หลวงปู่เพ็ง เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2471 ณ บ้านแฮด ต.ดอนกอก อ.นาโพธิ์ จ.บุรีรัมย์ เมื่ออายุครบบวชได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดบ้านดอนดู่ อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์

หลังอุปสมบท ได้เดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่ทอง กัลยาณธัมโม วัดบ้านหนองเลา ศึกษาวิทยาคมไม่ว่าจะเป็นเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี กันบ้านกันเมือง

หลวงปู่เพ็ง มรณภาพอย่างสงบ ด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2541 สิริอายุ 70 พรรษา 50

สำหรับวัตถุมงคลหลวงปู่เพ็ง ท่านสร้างจำนวนน้อยมาก แต่กลายเป็นสุดยอดปรารถนาของคณะศิษยานุศิษย์เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ "เหรียญเสมารูปเหมือนหลวงปู่เพ็ง รุ่นแรกสร้างปี 2515"

เหรียญรุ่นนี้ วัดกุดน้ำใส จัดสร้างขึ้นเพื่อแจกศิษย์ รวมทั้งแจกให้กับญาติโยม เนื่องในวาระที่หลวงปู่เพ็งได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะ ตำบลหนองเม็ก และมอบให้กับผู้มีจิตศรัทธาบริจาคปัจจัย เพื่อพัฒนาสาธารณูปโภคภาย ในวัด เป็นเหรียญเนื้อทองแดง จำนวนการสร้างประมาณ 3,000 เหรียญ ลักษณะเป็นเหรียญเสมา มีห่วง

ด้านหน้าเหรียญ เป็นรูปเหมือนหลวงปู่เพ็งครึ่งองค์ มีตัวอักษรใต้รูปเขียนว่า "พระ ครูสถิตธรรมสุนทร(เพ็ง)"

ด้านหลังเหรียญ บริเวณใต้ห่วงเขียนว่า "รุ่น ๑" บริเวณกลางเหรียญเป็นยันต์ 4 เขียนอักขระ นะ มะ พะ ทะ ไว้ทุกมุมพร้อมยันต์อุณาโลมปิดไว้ทั้ง 4 ด้าน ภายในกรอบสี่เหลี่ยมแถวแรกอ่านว่า อิสะวาสุ แถวที่สองอ่านว่า สุสะวาอิ และบริเวณใต้กรอบสี่เหลี่ยมยังมีอักขระอีกหนึ่งแถวเขียนว่า นะโมพุทธายะ ถือเป็นยันต์ด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพัน ใต้ลงไปอีกมีอักษรภาษาไทยอีก 2 บรรทัดเขียนว่า "วัดกุดน้ำใส จ.มหาสารคาม"

เหรียญรุ่นนี้ หลวงปู่เพ็งได้ประกอบพิธีพุทธาภิเษกเดี่ยว ภายในอุโบสถตลอดพรรษา

ด้วยความที่หลวงปู่เพ็งมีพลัง จิตที่แก่กล้า เจตนาการจัดสร้างที่บริสุทธิ์ชัดเจน ทำให้เหรียญนี้มีพุทธคุณโดดเด่นรอบด้าน ด้วยเป็นไสยเวทวิทยาคมสายหลวงปู่ทอง วัดบ้านหนองเลา จึงการันตีได้ในความเข้มขลัง

กล่าวกันว่าผู้ที่ห้อยเหรียญหลวงปู่รุ่นนี้ ต่างมีประสบการณ์มากมาย เช่น เคยถูกยิงระยะเผาขน แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด

ผู้ที่นิยมสะสมเหรียญวัตถุมงคล ควรหามาไว้ในครอบครอง ด้วยเป็นเหรียญที่ราคาเช่าหายังไม่สูงเท่าใดนัก เหรียญสวยราคาเช่าหาจะอยู่ที่หลักพันต้น สวยน้อยราคาอยู่หลักร้อยกลาง

จัดเป็นเหรียญยอดนิยมอีกเหรียญหนึ่งของอำเภอนาเชือก จ.มหาสารคาม




ที่มาจากข่าวสด คอลัมน์ เปิดตลับพระใหม่ หน้า 32

 

132


หลวงพ่อสวนกุหลาบจำลอง
พระประจำโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย



    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร ศิลปะแบบเชียงแสน พร้อมด้วยพระสาวก เมื่อ พ.ศ. 2524 พระราชทานแก่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบเพื่อเป็นพระพุทธรูปประจำโรงเรียน พระราชทานนามว่า"หลวงพ่อสวนกุหลาบ"

    ครั้งเมื่อโรงเรียนได้ย้ายออกมาตั้งนอกพระบรมมหาราชวังได้อัญเชิญหลวงพ่อสวนกุหลาบไปประดิษฐานอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ

    ต่อมาปี พ.ศ. 2476 มีการประชุมศิษย์เก่า คณะกรรมการเห็นว่าควรอัญเชิญหลวงพ่อสวนกุหลาบ เป็นพระพุทธรูปประจำ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จึงขอพระบรมราชานุญาตอัญเชิญหลวงพ่อสวนกุหลาบพร้อมพระสาวกจากพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติมาประดิษฐฐานไว้ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และได้จัดขบวนแห่อัญเชิญหลวงพ่อสวนกุหลาบพร้อมพระสาวกจากพิพิธภัณฑสถานแห่ง ชาติมาประดิษฐาน ณ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2476 เพื่อเป็นพระพุทธรูปประจำโรงเรียน

    ในโอกาสที่โรงเรียนสวนกุหลาบ วิทยาลัย มีอายุครบ 100 ปี นายสำเริง นิลประดิษฐ์ผุ้อำนวยการโรงเรียน และ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกสมาคมศิษย์เก่าสวนกุหลาบวิทยาลัย ในพระบรมราชุปถัมภ์ ได้ขออนุญาตประกอบพิธีพุทธาภิเษก โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณสมเด็จพระสังฆราช เสด็จเททอง ณ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2524 และได้ร่วมกันจำลองพระพุทธรูปหลวงพ่อสวนกุหลาบขึ้นหลายขนาด รวมทั้งขนาดเท่าองค์จริงและเป็นเหรียญเพื่อให้ครู ศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน ผู้ปกครองและผู้มีเกียรติอื่น ๆ ได้มีโอกาสเช่าไปบูชาเพื่อเป็นสิริมงคล โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี ในฐานะโรงเรียน "น้อง" จึงได้มีโอกาสอัญเชิญหลวงพ่อสวนกุหลาบจำลองมาประดิษฐาน ณ โรงเรียน เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2525 ด้วยความอุปการะของคุณบุญมา และคุณไพเราะ พึ่งทอง และถือเป็นพระพุทธรูปประจำโรงเรียนนับแต่นั้นเป็นต้นมา

    พ.ศ. 2540 นายสุโข วุฑฒิโชติ ผู้อำนวยการโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรีในขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัยสมุทรปราการ ร่วมกับสมาคมผู้ปกครอง และครู โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัยสมุทรปราการ ได้ขออนุญาตผู้อำนวยการโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จัดพิธีหล่อหลวงพ่อสวนกุหลาบ ขนาดหน้าตักกว้าง 32 นิ้ว จำนวน 3 องค์ โดยประกอบพิธีพุทธาภิเษกขึ้นที่วัดศรีราชาและได้นำไปประดิษฐานเพื่อให้ครู และนักเรียนได้เคารพสักการะ 3 โรงเรียนคือ

    องค์ที่ 1 ประดิษฐานที่โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย สมุทรปราการ
    องค์ที่ 2 ประดิษฐานที่โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สวนกุหลาบวิทยาลัย ปทุมธานี
    องค์ที่ 3 ประดิษฐานที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต

    เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2542 คุณโอฬาร อัศวฤทธิกุล ร่วมกับโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ได้ทำพิธีพุทธาภิเษกเททองหล่อหลวงพ่อสวนกุหลาบ เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2542 โดยมีขนาดหน้าตักกว้าง 19 นิ้ว มอบให้กับโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยในเครือไว้เคารพสักการบูชา

    วันที่ 9 พฤศจิกายน 2543 นายสุโข วุฑฒิโชติ ผู้อำนวยการโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี พร้อมด้วยคณะครูและนักเรียน ได้จัดขบวนอัญเชิญหลวงพ่อสวนกุหลาบมาประดิษฐานไว้ที่หอพระด้านหน้าโรงเรียนเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2543

    ปัจจุบัน หลวงพ่อสวนกุหลาบเป็นที่เคารพสักการบูชาของครู นักเรียน ผู้ปกครองและชุมชนที่อยู่รอบบริเวณโรงเรียน นับเป็นมิ่งขวัญและเป็นสิริมงคลอย่างยิ่งแก่เราชาวสวนนนท์ตลอดไป


พอดีดูรายการทีวีแล้วเจอประวัติ น่าสนใจดีเลยนำเสนอครับ เพื่อวิทยาทานครับรู้ครับ

ที่มา http://www.skn.ac.th/skl/skl301.htm ขอบคุณครับ

133



หลัง จากข่าวการถึงแก่มรณภาพของ "หลวงปู่เจือ ปิยสีโล" เจ้าตำรับเบี้ยแก้สายวัดกลางบางแก้ว เกจิดังวัดกลางบางแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครชัยศรี เมื่อช่วงเช้าวันอังคารที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ สิริรวมอายุ ๘๔ ปี พรรษา ๕๘ แพร่สะพัดออกไป

ทำให้ภายในวัดบริเวณที่ จำหน่ายวัตถุมงคล ต่างคึกคักขึ้นผิดหูผิดตา ประชาชนต่างเดินทางมาเช่าหาวัตถุมงคล โดยเฉพาะเบี้ยแก้ที่หลวงปู่เจือสร้างขึ้นมานั้นราคาจำหน่ายเพิ่มขึ้นทันที แม้กระทั่งเช่าหาภายในวัดหรือบริเวณหน้ากุฏิของหลวงปู่เจือเอง จากราคา ๕๐๐ บาท กลายเป็น ๘๐๐-๑,๐๐๐ บาท คนก็ยังแย่งกันเช่าหากันอย่างไม่ขาดสาย



ขณะเดียวกันในวันที่หลวง ปู่เจือมรณภาพนักสร้างวัตถุมงคลตรวจสอบข่าวกันวุ่น ทั้งนี้ไม่มีใครเชื่อว่าท่านมรณภาพ ที่สำคัญ คือ ยังมีวัตถุมงคลหลายรุ่นที่หลวงปู่เชื่ออนุญาตให้นักสร้างไปแล้ว มีกาลงโฆษณาเปิดจองผ่านนิตยสารพระเครื่องไปแล้ว ทั้งนี้ “คม ชัด ลึก” ได้รวบรวมข้อมูลการสร้างวัตถุมงคลหลวงปู่เจือที่จะมีการปลุกเสกเฉพาะในเดือน มกราคมมีกว่า ๑๐ รุ่น ขณะเดียวกันมีวัดต่างๆ นิมนต์หลวงปู่เจือไปร่วมนั่งปรกวัตถุมงคลยาวถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๓ และทันทีที่หลวงปู่เจือมรณภาพ

 อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้   พระพุทธวิริยากร หรือ หลวงพ่อตัด ปวโร เกจิอาจารย์ดังเมืองเพชรบุรี และเจ้าอาวาสวัดชายนา ช่วงที่ท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์มีการเตรียมจัดสร้างวัตถุมงคลของท่านประมาณ ๒-๓ รุ่น แต่ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ ๓  พฤษภาคม ๒๕๕๒ ส่งผลให้นักสร้างวัตถุมงคลต้องขาดทุน แต่ไม่มากเท่ากับนักสร้างวัตถุมงคลสายหลวงปู่เจือ

 พ.อ.อ.โกวิท แย้มวงษ์ หรือจ่าโกวิท เจ้าของร้านและหนังสือพระเครื่องอภินิหาร บอกว่า พ.ศ.๒๕๕๒ ถือว่าเป็นปีทองของการจัดสร้างวัตถุมงคลและพระเครื่องสายหลวงปู่เจือ น่าจะมีมากกว่า ๕๐ รุ่น ถ้าเป็นการนิมนต์หลวงปู่เจือไปนั่งปรกน่าจะอยู่ในหลักร้อยรุ่น ส่วนรุ่นที่จะมีการปลุกเสกในเดือนมกราคมน่าจะไม่ต่ำกว่า ๑๐ รุ่น ส่วนจะเป็นรุ่นไหนบ้างนั้นสามารถตรวจสอบได้จากโบชัวร์และโฆษณาในนิตยสารพระ เครื่อง ซึ่งได้กำหนดวันที่ปลุกเสกไว้อย่างชัดเจน เมื่อหลวงปู่มรณภาพ วัตถุมงคลรุ่นนั้นหลวงปู่ก็ไม่ได้ปลุกเสก แน่นอนที่สุดว่าความเสียหายย่อมเกิดขึ้นกับผู้จัดสร้าง

 “ผมว่านักสร้างควรยอมขาดทุนบ้าง เพราะที่ผ่านมาผู้สร้างจำวนไม่น้อยได้ประโยชน์จากการสร้างและให้หลวงปู่เจือ ปลุกเสก  เมื่อหลวงปู่เจือไม่ได้เสกก็ไม่ควรออกมาให้ผู้ศรัทธาเช่าบูชาเพราะเท่ากับ ว่าหลอกลวงผู้เช่า สารมารถตรวจสอบว่ารุ่นไหนเสกไม่เสกจากโบชัวร์และโฆษณา ในรายที่ฝากหลวงปู่เจือเสกในกุฏินั้นอาจจะมีบ้างแต่คงไม่มาก โดยธรรมชาติของนักสร้างน้อยรายนักที่จะฝากให้ท่านเสกนานๆ ส่วนใหญ่มาให้ท่านเสกแล้วขนกลับเลย” จ่าโกวิทย์กล่าว

 ทางด้านนายฉัตรพิบูลย์ เทพประสิทธิ์ ลูกศิษย์คนสนิทของหลวงปู่เจือ บอกว่า ตนเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มากว่า ๑๐ ปี ติดตามหลวงปู่มาตลอด  วัตถุมงคลที่หลวงปู่สร้างมีเพียงอย่างเดียวก็คือเบี้ยแก้ ส่วนเหรียญที่หลวงปู่สร้างนั้นคือเหรียญหลวงปู่เพิ่ม ที่สร้างขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๒๔ ข้างหลังลงยันต์นะโมพุธธายะ ซึ่งหลวงปู่สร้างขึ้นเอง การสร้างวัตถุมงคลแต่ระรุ่นก็จะเป็นการสร้างสำหรับแจก แต่พอมาระยะหลังๆ ก็จะเป็นพุทธพาณิชย์เสียมากกว่า คือตอนเข้ามาหาหลวงปู่ก็บอกว่าจะสร้างเอาไว้เพื่อแจก แต่พอสร้างเสร็จทำพิธีเสร็จนำกลับไป เหลือไว้ให้หลวงปู่แจกเพียงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แล้วบางรายที่มาขอสร้างก็เพื่อไว้จำหน่าย พอได้เงินแล้วค่อยกลับมาทำบุญกับหลวงปู่ ก็ทำบุญนิดหน่อยเท่านั้น ส่วนใหญ่ที่สร้างไว้แจกนั้นจะมีไม่กี่คนแต่ที่สร้างแล้วนำมาให้หลวงปู่ปลุก เสกนั้นมีมากกว่า ๕๐๐ รุ่น เสียอีก




วัตถุมงคลในกุฏิหลวงพ่อ

 "ได้รับความเมตตาจาก หลวงปู่เจือ อธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวในกุฏิมาแล้วหลายสัปดาห์  หรือฝากให้หลวงปู่เจือเสกในกุฏิ" เป็นทางออกทางหนึ่งและคำกล่าวอ้างของนักสร้างว่ารุ่นที่ตนสร้างหลวงปู่เจือ ปลุกเสกแล้ว

 อย่างไรก็ตาม เมื่อวันจันทร์ ๔ มกราคม  ๒๕๕๓ เลา ๑๔.๐๐ พระครูสถิต บุญเขต เจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้ว พร้อมด้วยเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม เจ้าคณะอำเภอนครชัยศรี เจ้าคณะตำบล พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุนทรลาภ ผกก.สภ.นครชัยศรี คณะกรรมการวัด และเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย สาขานครชัยศรี ได้ทำการเปิดกุฏิหลวงปู่เจือเป็นครั้งแรก หลังจากที่มรณภาพ ท่ามกลางความสนใจของศิษย์ยานุศิษย์ และผู้นิยมพระเครื่อง โดยเฉพาะผู้ที่อ้างว่ามีวัตถุมงคลอีกจำนวนมากที่ฝากไว้กับหลวงปู่เจือเพื่อ ทำพิธีปลุกเสกและฝากไว้เพื่อจำหน่าย ปรากฏว่ามีวัตถุมงคลบางรุ่นอยู่ในกุฏิจริง แต่จำนวนที่พบไม่เท่ากับจำนวนที่โฆษณาไว้ในโบชัวร์ หรือไม่ได้นำมาให้ปลุกเสกทั้งหมดตามที่ขออนุญาตสร้าง





พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุนทรลาภ ผกก.สภ.นครชัยศรี หนึ่งในคณะกรรมการ กล่าวว่า หลวงปู่ฯ มีการเก็บเงินไว้หลายแห่งภายในห้อง เมื่อนำออกมานับรวมกันแล้ว พบว่ามีเงินเหลืออยู่ที่เก็บไว้ในกุฏิทั้งหมดจำนวน ๗,๒๔๓,๔๗๐ บาท และยังมีพระเครื่องสมัยหลวงปู่บุญ หลวงปู่เพิ่ม และวัตถุมงคลอีกมากมาย รวมทั้งเบี้ยแก้อีกประมาณ ๖,๐๐๐ ตัว ซึ่งทรัพย์สินทั้งหมดจะตกทอดเป็นทรัพย์สินของวัด ในส่วนวัตถุมงคลที่มีชื่อผู้ฝากไว้กับหลวงปู่ หากต้องการจะรับคืนก็ต้องมีการนำหลักฐานมาแสดงต่อคณะกรรมการ ซึ่งถ้าไม่มีหลักฐานมายืนยันก็จะตกเป็นของวัดอีกเช่นกัน

 นายศักดิ์ดา ตะโกพ่วง ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานและเป็นคนใกล้ชิดที่คอยรับใช้หลวงปู่เจือ บอกว่า วัตถุมงคลของหลวงปู่เจือที่สร้างมีเพียงเบี้ยแก้เพียงอย่างเดียว ส่วนอื่นๆ เป็นของลูกศิษย์และคนสนิทมาขออนุญาตสร้างทั้งนั้น โดยแต่ละรุ่นที่สร้างจะมีหลวงปู่เจือเป็นเจ้าพิธี ซึ่งผู้ที่สร้างพระเครื่องส่วนหนึ่งก็จะฝากจำหน่ายไว้ที่กุฏิหลวง และบางรายจะมีวัตถุมงคลฝากหลวงปู่เพื่อปลุกเสก ที่ตนจำได้ชัดเจนว่ามีฝากไว้กับหลวงปู่ ก็จะมีของนายวิศลย์ หรือเสี่ยเจ็ด ฉัตรเรืองชัย ที่สร้างท้าวเวสสุวรรณ รุ่นเจริญโชควัฒนา สร้างไว้กว่าหมื่นองค์ และนำมาให้หลวงปู่ทำพิธีและจารอักขระ ครั้งละประมาณ ๑,๐๐๐ องค์ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในกุฏิหลวงปู่อีกเพียง ๑,๑๕๐ องค์ เท่านั้น และปลัดขลิกอีกประมาณ ๙๐๐ ตัวเท่านั้น เมื่อหลวงปู่ทำพิธีเสร็จก็จะบอกให้ตนติดต่อเสี่ยเจ็ดให้มารับของเก่ากลับและ นำของใหม่มาทำพิธีต่อ ส่วนปัจจุบันนี้ที่มีการสร้างอยู่ก็จะมีเบี้ยแก้บรรจุเกศาหลวงปู่ รุ่นมหาเฮง ๙ วาระ หรือสมเด็จที่ผสมโลหิตหลวงปู่ ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้ายก่อนหลวงปู่มรณภาพ




ขอบคุณรูปภาพและข้อมูลจาก คมชัดลึก ขอบคุณเป็ยอย่างสูงครับ

134
ถาม : พวกไข่ไก่ ไข่เป็ด เวลาเกิดขึ้นมาแล้ว ดวงวิญญาณที่จะเข้าจับ เพื่อจะเกาะอยู่กับสัตว์ จะเกาะช่วงเวลาไหน ?
ตอบ : แล้วแต่วาระบุญวาระกรรมของเขา บางตัวพอเชื้อของตัวผู้ผสมตัวเมียก็จับเลย บางตัวโน่นแน่ะ..ฟักไปแล้วตั้งสามเดือน เอ๊ย..! ไม่ใช่..ฟักไปแล้วตั้งสามวัน สิบวัน แล้วค่อยจับ บางตัวออกมาเป็นตัวแล้วค่อยจับก็มี

มีเหมือนกันที่ตายแล้วค่อยลงไปจับ จนกระทั่งจิตเดิมเขาออกไป จิตใหม่ค่อยเข้าไปแทน ใช้ซากเดิมกลายเป็นตัวใหม่ กลายเป็นชีวิตดวงใหม่ กลายเป็นจิตดวงใหม่ก็มี เพราะวาระบุญวาระกรรมของแต่ละรายไม่เท่ากัน

ถาม : จะเหมือนกันทุกชนิดไหมเจ้าคะ ?
ตอบ : ทุกชนิดจ้ะ ถ้าต้องปฏิสนธิ ที่เรียกว่า อัณฑชะ หรือชลาพุชะ อัณฑชะ นี่คือเกิดในไข่ ชลาพุชะ เขาเรียกว่าชำแรกไส้เกิด ความจริงคือเกิดในมดลูก

ถาม : อ๋อ..! ที่เขาห้ามคนท้องไปงานศพ ก็เพราะอย่างนี้ด้วยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ใช่..ดีไม่ดี คนตายเขาจะมาแทน ...(หัวเราะ)...

ถาม : ถึงได้ห้ามไปงานศพใช่ไหมคะ ?
ตอบ : จ้ะ จริง ๆ ก็ไปได้ ก็ตั้งใจภาวนาเอาพระคลุมไปซิ ผีที่ไหนจะเข้าได้เล่า ? อย่างเมื่อกี้เขาเอา รัก-ยม มา ของเราอธิษฐานพระคลุมอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่ไม่ดีเข้ามาก็พังไปเอง ยิ่งเขาเห็นสว่างโร่มาแต่ไกล ไม่มีใครเขาเข้าใกล้กันหรอก เผ่นกันหมด เพราะเวลาพระมานี่ไม่ใช่ท่านมาอย่างเดียว พรหม เทวดา ท่านตามรักษาด้วย กลายเป็นนายใหญ่มาอีก ตัวเองเล็กมากก็ต้องหนีให้ห่างออกไป

สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔



ที่มาจาก http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1375 ขอบคุณเป็นอย่างสูงนะครับ ขอบคุณครับ

135




ถาม : เวลาไหว้พระที่หน้าหิ้งบูชา การไหว้ที่จุดธูปจุดเทียนและไม่ได้จุดธูปจุดเทียน จะมีความแตกต่างกันไหมคะ ?

ตอบ : ต่างกันอยู่ตรงอานิสงส์ที่ได้รับ การจุดธูปเทียนเป็นการบูชาด้วยของหอมและแสงสว่าง มีอานิสงส์เพิ่มขึ้น นอกจากการบูชาด้วยดอกไม้แล้ว ได้อานิสงส์การบูชาด้วยของหอมและแสงสว่างด้วย

แต่ถ้าว่าเราคิดว่าการจุดธูปเทียนจะทำให้การรักษาลำบากอาจจะทำให้เกิดไฟไหม้ได้ ของเราเองใช้วิธีปฏิบัติบูชา คือ การปฏิบัติถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา แทนอานิสงส์จะสูงกว่ามากมหาศาล อานิสงส์ของอามิสบูชา คือการบูชาด้วยสิ่งของ ส่วนใหญ่ก็จะกลายเป็นเรื่องลาภยศเงินทอง แต่การปฏิบัติบูชานี่จะเป็นเรื่องของปัญญาความฉลาดในการตัดกิเลส หรือในการทำมาหากิน เพราะฉะนั้นอานิสงส์ของปฏิบัติบูชาจะได้มากกว่า

หรือว่าถ้าหากว่ากลัวว่าไฟมันจะไหม้ ก็ใช้ธูปเทียนที่ทำด้วยไฟฟ้า อย่างเก่งก็ช็อตดับไปเฉย ๆ จะมีอานิสงส์ตรงบูชาด้วยแสงสว่างอยู่ แต่กลิ่นไม่มี

ถาม : แล้วอย่างนี้ก็ไปซื้อเทียนที่เขาทำหลอดก็ใช้ได้เหมือนกันไหมคะ ?

ตอบ : ใช้ได้เหมือนกัน ปลอดภัยกว่า เผลอแล้วไฟไม่ไหม้ด้วยอย่างเก่งหลอดขาดแล้วก็ดับ


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔



ที่มา http://www.watthakhanun.com/webboard...ead.php?t=1374



136


ในแต่ละพื้นที่หรือแต่ละจังหวัด ล้วนแต่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน รวมทั้งมักจะมีการสร้างพระเครื่อง ศิลปะและเอกลักษณ์ของแต่ละเมืองไว้เป็นพุทธานุสรณ์

ส่วนด้านชายฝั่งทะเลตะวันออก โดยเฉพาะจังหวัดจันทบุรี ดินแดนที่อุดมไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร แหล่งกำเนิดพลอยที่โด่งดังไปทั่วโลก และเป็นเมืองสำคัญที่มี บันทึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ของชาติไทย

มีพระเครื่องอันโด่งดังประจำจังหวัด ที่รู้จักกันดีในนาม "พระยอดธง พระเจ้าตาก วัดพลับบางกะจะ"

พระยอดธง วัดพลับบางกะจะ มีที่มาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การกู้ชาติของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อครั้งที่เสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 พระยาวชิรปราการ (พระ เจ้าตาก) ได้รวบรวมสมัครพรรคพวกรวม 500 คน ตีฝ่าทัพพม่าออกไปทางด้านทิศตะวันออก

ยกทัพลงไปถึงเมืองจันทบุรี แต่พระยาจันทบุรี ไม่ยอมอ่อนน้อม กลับปิดประตูเมืองสั่งทหารป้องกันอย่างเข้มแข็ง แต่ภายหลังจึงสามารถตีเมืองจันทบุรีได้

ณ ต.บางกะจะ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี อันเป็นบริเวณที่พระยาตาก ซ่องสุมรี้พลต่อเรือรบ ปัจจุบันยังปรากฏหลักฐานป้อมค่ายต่างๆ ใต้บริเวณดังกล่าว เป็นที่ตั้งวัดสำคัญ เรียกกันว่า วัดพลับ กล่าวกันว่า เป็นวัดที่พระยาตาก ได้สร้างพระเจดีย์และบรรจุพระเครื่องชนิดหนึ่งไว้เป็นพุทธานุสรณ์ ในการรบที่ได้รับชัยชนะ

พระเครื่องดังกล่าว นิยมเรียกว่า "พระยอดธงพระเจ้าตาก"

ทั้งนี้ พระยอดธงพระเจ้าตาก เป็นพระหล่อแบบโบราณ พุทธลักษณะองค์พระเป็นแบบลอยองค์ประทับนั่ง ไม่มีอาสนะหรือฐาน มีทั้งแบบปางมารวิชัยและปางสมาธิ ที่ใต้องค์พระจะปรากฏเดือย ลักษณะเป็นแท่งกลมยื่นออกมาพอประมาณ

รายละเอียดขององค์พระ ไม่ค่อยมีความประณีตงดงามนัก พระเนตร (ตา) พระนาสิก (จมูก) ไม่ค่อยติดชัดเจน พอเห็นเลือนรางเท่านั้น ส่วนพระโอษฐ์เป็นเหมือนรอยเส้นเว้าลึกลงไปในเนื้อ

ในด้านเนื้อหา ของพระยอดธงพระ เจ้าตาก เป็นพระที่สร้างด้วยเนื้อชินเงิน แต่ส่วนมากผิวพระจะเกิดสนิมขุมกัด กร่อน มีรอยร้าวระเบิดแตกปริ สนิมจัดที่เรียกกันว่า สนิมตีนกา

พระยอดธงวัดพลับ เป็นสุดยอดพระเครื่องวัตถุมงคล ใครมีไว้ในครอบครองจะมีโชคลาภ เมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด ภยันตราย

สำหรับพระยอดธงวัดพลับ รุ่นเก่า เรียกว่า รุ่นพระยาตาก จัดสร้าง 3 พิมพ์ คือ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง และพิมพ์เล็ก ส่วนเนื้อองค์พระยอดธง วัดพลับบางกะจะ มี 5 ชนิด คือ 1.เนื้อทองคำ 2.เนื้อทองดอกบวบ 3.เนื้อเงิน 4.เนื้อสามกษัตริย์ 5.เนื้อชินระเบิด

นับเป็นพระเครื่องที่น่าภาคภูมิใจ ของจังหวัดจันทบุรีอีกพิมพ์หนึ่ง




ที่มาจาก ข่าวสด  เปิดตลับพระใหม่ หน้า32  ขอบคุณทั้งรูปภาพและข้อมูลครับ

137

มีเรื่องเล่าสืบทอดกันมาถึงปาฏิหาริย์ของหลวงปู่เนียมมากมาย ประวัติและปาฏิหาริย์ของท่านได้ถูกเขียนลงในนิตยสารพระเครื่องดังๆ หลายฉบับ พระเครื่องที่ท่านทำขึ้นมาเพื่อแจกสานุศิษย์มีหลายพิมพ์ด้วยกัน ได้แก่ พิมพ์พระประธาน พิมพ์พระคง พิมพ์ปรุหนัง พิมพ์พุทธลีลา พิมพ์ขุนแผน และที่ดังมากก็คือพิมพ์งบน้ำอ้อย พิมพ์มารวิชัยเศียรโล้น และพิมพ์เศียรแหลม พระของหลวงปู่ทุกพิมพ์เป็นเนื้อชินตะกั่ว มีรูปทรงไม่สวยนัก แต่มีพุทธคุณสูงยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องคงกระพัน ขณะนี้ส่วนใหญ่ยังอยู่ในมือของคนรุ่นลูก หลาน เหลนของสานุศิษย์แท้ ๆ ของท่าน ในพื้นที่บางปลาม้า ซึ่งเห็นห้อยคอเดี่ยวๆ และไม่ค่อยจะมีใครยอมปล่อยให้หลุดจากคอ พระของหลวงปู่จึงไม่ค่อยมีให้เห็นในตลาดพระ ส่วนที่เล็ดลอดออกมาบ้างก็มีสนนราคาเป็นเรือนหมื่นทุกพิมพ์


นอกจากพระเครื่องแล้ว ที่กล่าวตรงกันว่าศักดิ์สิทธิ์นักคือน้ำมนต์ของท่านและการรักษาพิษงูและหมาบ้า



รักษาพิษงูและพิษหมาบ้า


สมัยก่อนไม่ว่าท้องไร่ท้องนาถิ่นไหนจะมีงูชุกชุมมาก แต่ละปีจะมีผู้ถูกงูพิษกัดตายหลายราย เพราะไม่มีเซรุ่มจะฉีด เช่นเดียวกับคนโดนหมาบ้ากัดจะต้องตายทุกรายไป คุณสมบัติ พัดขุนทด (มาลา) บุตรสาวของสมุห์เหลือ มาลาอดีตสรรพากรจังหวัดสุพรรณบุรี พี่สาวของคุณวิภาวัลย์ ต้นสายเพ็ชร (มาลา) ผู้ที่พาผู้เขียนไปรู้จักวัดน้อยเล่าว่า คุณยายของท่านเล่าให้ฟังว่าเมื่อครั้งเป็นเด็ก ได้ถูกหมาบ้ากัดแถวๆ บ้านหลังวัดกลาง พ่อแม่ต้องพานั่งเรือพาย พายไปตามลำน้ำท่าจีน ผ่านวัดสวนหงษ์ วัดรอเจริญ และวัดอะไรต่อมิอะไรอีกหลายวัดไปให้หลวงปู่รักษาให้

เมื่อไปถึงท่าน ท่านก็ทักว่า มึงโดนไอ้ดำมันกัดเอาใช่ไหม มันเพิ่งวิ่งผ่านหน้ากูไปเมื่อกี้นี้เอง แล้วท่านก็เป่าพรวดๆ ให้ แล้วว่า มึงไม่ตายแล้ว อายุยืนซะด้วยนะมึง (หมาไม่ได้วิ่งไปทางวัดน้อยดอก วัดของท่านอยู่ห่างที่เกิดเหตุไปหลายกิโลเมตร ท่านคงเห็นโดยญาณ) แล้วคุณยายก็อยู่มาจนถึงอายุ ๙๓ ปี

น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์


เล่ากันว่าครั้งหนึ่งมีคนจีนคนหนึ่ง ตั้งบ้านเรือนอยู่แถววัดโพธิ์คอย ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ ไกลวัดน้อยนัก ได้พายเรือมาหาท่านด้วยความร้อนรน เนื่องด้วยลูกสาวของแกป่วยหนัก รักษาทางยามาก็มากแล้วอาการก็ไม่ทุเลา ซ้ำทำท่าจะแย่ลงทุกที (บางคนเล่าว่าลูกสาวเจ็บท้องจะคลอดลูก แต่ลูกไม่ออก เจ็บปวดทุรนทุราย)


มาถึงวัดก็เห็นหลวงปู่อยู่บนหลังคาศาลาท่าน้ำ กำลังช่วยพระเณรมุงหลังคากันอยู่ ด้วยความรีบร้อนก็ตะโกนเรียกหลวงปู่ให้ลงมาช่วยทำน้ำมนต์ให้หน่อย แต่ท่านก็คงให้รอก่อนหรืออย่างไรไม่แจ้งเถ้าแก่คงร้อนใจและเซ้าซี้ท่านจนน่า รำคาญ และอาจจะเป็นด้วยท่านต้องการจะแสคงอภินิหารหรือรำคาญเถ้าแก่คนนั้น ไม่มีใครเดาได้ ท่านจึงตะโกนจากหลังคาศาลาท่าน้ำว่า มึงตักน้ำที่ตีนท่านั่นแหละไป กูเสกไว้แล้ว แล้วท่านก็มุงหลังคาต่อ เถ้าแก่คนนั้นไม่รู้จะทำท่าไหน คงโมโหไม่เบา นั่งมุงหลังคาอยู่เห็นชัดๆ เสกแสกอะไรกัน แต่ก็สิ้นท่าแล้ว ชีวิตลูกสาวแขวนอยู่บนเส้นด้าย จะพาไปโรงพยาบาลหลวงก็อยู่บางกอกโน่น แจวเรือไปสามวันสองคืนก็ยังไม่ถึง เมื่อร้อยปีก่อนโน้นเรือเมล์แดงก็ยังไม่มี ถึงมีก็เถอะก็ต้องวิ่งกันถึงค่อนวันกว่าจะถึง หมดท่าแล้ว หลวงปู่ให้ตักเอาน้ำที่หัวบันไดท่าน้ำไป ก็ต้องเอา ใจน่ะ ไม่ค่อยจะเชื่อเอาเสียเลยแต่ก็ไม่รู้จะทำท่าไหน เล่าว่าเถ้าแก่คนนั้นจ้วงตักเอาน้ำนั้นไปด้วยความโมโหและไม่เลี่อมใสว่าน้ำ ในแม่น้ำจะเป็นน้ำมนต์ได้อย่างไร ครั้นจะไม่เอาก็เกรงใจ เกรงว่าวันหน้าจะเข้าหน้ากันไม่ได้ พอพายเรือกลับ เลยหน้าวัด พ้นสายตาหลวงปู่ ก็หยิบเอาขวดหรือไหที่ใส่มา เททิ้งด้วยความโมโห และก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น คือน้ำนั้นเทไม่ออก และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา คนสุพรรณต่างก็รู้กันว่า น้ำในแม่น้ำหน้าวัดหลวงปู่เนียมศักดิ์สิทธิ์เท่ากับน้ำมนต์ที่ท่านทำขึ้นมา เพียงอธิษฐานจิตคิดถึงหลวงปู่ก็เอาไปใช้ได้เช่นกัน


ขุนดอน เขียนต่ออีกว่า พระยาศิริชัยบุรินทร์ ปลัดเทศาภิบาลมณฑลนครไชยศรี เมื่อครั้งมาตรวจราชการเมืองสุพรรณบุรี ก็มาแวะกราบขอพรจากหลวงปู่ และขอให้ท่านอาบน้ำมนต์ให้ หลวงปู่ท่านก็สั่งให้ไปอาบน้ำที่ท่าน้ำหน้าวัดรวมกับชาวบ้าน แม้ว่าท่านพระยาจะตะขิดตะขวงใจในเรื่องน้ำหน้าวัด ทั้งมีความเหนียมอายชาวบ้านและบริวารแต่ก็ยอมทำตาม และปรากฏว่าอีกไม่นาน ท่านเจ้าคุณพระยาก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเทศาเมืองนครสวรรค์


แม้หลายสิบปีหลังจากที่ท่านมรณภาพไปแล้ว พวกชาวเรือชาวแพที่ล่องผ่านหน้าวัด ก็ยังเชื่อว่าน้ำหน้าวัดใช้แทนน้ำมนต์ได้ คุณสำราญ แก้ววิชิต (อายุ ๖๘ ปี) ลูกหลานวัดน้อย และขณะนี้ก็เป็นกรรมการวัดได้เล่าว่า


ตอนที่แกเป็นเด็กมักจะมาเล่นกับเพื่อน ๆ ที่ศาลาท่านาหลังที่หลวงปู่สร้างไว้เป็นประจำ สมัยนั้นเรือแพยังล่องขึ้นลงไปมาเสมอ และมีเรือเมล์แดงวิ่งรับส่งคนโดยสารระหว่างสุพรรณกับบางกอกแล้ว เมื่อเรือแจวหรือเรือโยงมาถึงหน้าวัดพวกชาวเรือเหล่านั้น (ส่วนมากเป็นคนจีน) ก็จะเริ่มจุดธูปอาราธนาขอพร เอาธูปนั้นปักไว้ที่หัวเรือ เสร็จแล้วก็คว้ากระป๋อง ตักน้ำหน้าวัด สาดขึ้นหลังคาเรือ ส่วนพวกเรือเมล์ ก็จะลดความเร็วลง แล้วผู้โดยสารทั้งหนุ่มสาวเฒ่าชราจะเอื้อมมือลงไปวักเอาน้ำหน้าวัดขึ้นลูบ หัวลูบหน้าแทนน้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล
แม้ขณะนี้ก็ยังเห็นคนเฒ่าคนแก่ มาตักเอาน้ำมนต์ในตุ่มหน้าองค์ท่านไปใช้ ซึ่งก็เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์ เหมือนเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่



ญาณวิเศษรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า


ไตรภาคี กล่าวถึงหลวงปู่เนียมว่า หลวงปู่สำเร็จวาโยกสิณขั้นอภิญญา สามารถล่วงรู้อนาคตและรู้ความในใจของคนที่สนทนากับท่านได้ โดยเขียนว่าหลวงพ่อปานเคยเล่าให้ศิษย์ของท่านฟังว่า
วันหนึ่งแมวของหลวงปู่เนียมตาย ไป วันนั้นขณะที่หลวงปู่ฉันข้าวร่วมวงอยู่กับพระลูกวัดสองรูป อยู่ดีๆ หลวงปู่เนียมก็หัวเราะก๊ากขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยแล้วก็เอ่ยขึ้นว่า เออ อีไฝของกูมันดีเว้ย มันไปเกิดเป็นคนแล้ว แล้วก็เอ่ยต่อถึงชื่อของผัวเมียคู่หนึ่งที่ท้ายตลาดคอวัง


พระลูกวัดที่ร่วมวงได้ยินท่านพูดและจำไว้ด้วยความสงสัย อีกหนึ่งปีต่อมาพระสองรูปนั้นก็ลองไปที่ตลาดคอวังเพื่อพิสูจน์คำพูดของหลวง ปู่ โดยไปถามหาผัวเมียคู่ที่หลวงปู่เนียมพูดถึง ก็พบว่ามีลูกสาวเกิดมาแล้วอายุได้หนึ่งเดือน มีรูปพรรณตรงกับที่หลวงปู่บอกไว้ คือมีไฝที่ริมฝีปากเหมือนแมวตัวที่ตายไปเมื่อปีที่แล้วจริง พระทั้งสองรูปบอกความจริงให้สองผัวเมียทราบถึงการมาพิสูจน์ของท่าน


สองผัวเมียดีใจที่ลูกของตนคือแมวของหลวงปู่กลับชาติมาเกิด เมื่อเด็กอายุได้สามเดือน จึงพากันมาที่วัดแล้วเอาเด็กไปประเคนที่หน้าตัก บอกยกให้เป็นลูกหลวงปู่ หลวงปู่ทำท่าตกใจถามว่า พวกมึงเอาอีหนูนี่มาประเคนให้กูทำไม


ถามไปถามมาก็รู้เรื่องพระลูกวัดสองรูปที่ไปหาผัวเมียคู่นั้น หลวงปู่จึงให้พระทั้งวัดมายืนให้ผัวเมียคู่นั้นดูว่าเป็นพระรูปใดที่ไปหา แต่พระทั้งสองรูปได้หลบไปซ่อนตัว กลัวโดนด่าอยู่หลังวัด หลวงปู่ก็รู้ว่าไปแอบที่ไหน จึงให้พระรูปหนึ่งไปตาม แต่พระทั้งสองรูปขอให้มาโกหกว่าตามหาไม่พบ พระรูปนั้นก็กลับมาบอกหลวงปู่ตามที่สั่งกัน


ท่านก็สวนคำไปว่า มันจะพบได้ยังไงวะ ก็มันสั่งมึงให้มาบอกกูว่าหาไม่เจอนี่หว่า
เรื่องรู้เหตุการณ์ล่วงหน้านี้มีการเขียนถึงหลายคนด้วยกัน ขุนดอน เขียนว่า
วันหนึ่งมีพระหนุ่ม 4 รูป จากวัดสุวรรณภูมิ เข้ามากราบหลวงปู่ หลวงปู่ก็ทักว่าจะมาหาฤกษ์สึกใช่ไหมล่ะ ยังความแปลกใจให้กับพระทั้ง 4 รูปนั้นมาก หลวงปู่ก็ดูฤกษ์ให้ด้วยความเมตตา แต่สำหรับพระอีกรูปหนึ่งท่านได้ห้ามไว้ บอกว่าชะตาไม่ดี อย่างเพิงสึกตอนนี้ สึกออกไปก็ถึงตาย ท่านไม่ยอมให้ฤกษ์กับพระรูปนั้น ในที่สุดพระทั้ง 4 รูปก็ลากลับ


สามรูปที่ท่านดูฤกษ์ให้ ก็สึกออกไปตามฤกษ์ และพระรูปที่สี่นั้น ร้อนผ้าเหลือง ไม่ยอมฟังคำทัดทานของหลวงปู่ ก็พลอยสึกไปด้วย แล้วกลับไปอยู่บ้าน หัวค่ำคนหนึ่ง ไม่ทันที่ผมจะยาวถึงครึ่งองคุลี ขณะที่นั่งคุยกันกับพ่อแม่พี่น้องที่ชานบ้าน ได้มีคนร้ายแอบซุ่มอยู่ข้างล่างยิงปืนเข้ามาที่กลุ่มญาติ พอสิ้นเสียงปืน ท่ามกลางความตะลึงของคนทั้งบ้าน ปรากฏว่าทิดสึกใหม่หงายหลังลงสิ้นใจทันทีเพราะลูกปืนเจาะเข้าที่หัวพอดี


ตั้งแต่นั้นมา เมื่อหลวงปู่พูดว่ากล่าวทักท้วงสิ่งใด ชาวบ้านจะเชื่อถือ ไม่กล้าตะแบงกับท่านอีกเลย
มีเรื่องเล่าสืบทอดกันมาอีกเรื่องว่า ท่านสามารถสื่อความหมายรู้เรื่องกับสัตว์เลี้ยงของท่าน เขาเล่ากันว่าท่านเลี้ยงไก่ หมา กับแมวไว้มากมาย บนกุฏิของท่านยั้วเยี้ยไปด้วยแมว ชาวบ้านจะเห็นว่า วันๆ ถ้าว่างจากพูดคุยกับคนท่านก็จะพูดกับสัตว์พวกนี้เหมือนดังว่ามันรู้ภาษา พอมันร้องอี๊ดอ๊าดตอบ ท่านก็พูดต่อคำกับมันเป็นเรื่องเป็นราว คนในละแวกวัดน้อยหลายคนหาว่าท่านเป็นบ้า ร้อนวิชา ที่ใช้เวลาวัน ๆ ถ้าไม่พูดกับคน ก็พูดคุยกับแมว หมา กา ไก่ ในวัดและมีวัตรแปลก ๆ อยู่เสมอ
คุณมงคล วงษ์ลือ (อายุ ๖๑ ปี) ลูกหลานวัดน้อยอีกคน ที่ผู้เขียนไปพบขณะแวะไปกราบหลวงพ่อครั้งที่สามเล่าถึงอภินิหารของหลวงปู่ ให้ฟังอีกมากมาย น่าสนุกสนานคล้ายๆ กับที่เขียนลงในนิตยสารพระเครื่องหลายฉบับ ซึ่งถ้าคนรุ่นใหม่ได้ฟังก็คงไม่มีใครเชื่อ แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับตอนที่หลวงพ่อปานเดินทางมาฝากตัวเป็นศิษย์นั้นน่า สนใจ


ท่านเล่าว่า เมื่อหลวงพ่อปานธุดงค์มาถึงวัดน้อย เห็นพระแก่ๆ ครองสบงเก่า ๆ มอมแมมทำงานวัดอยู่กับพระเณร หลวงพ่อปานก็เดินตรงเข้าไปสนทนาด้วย แล้วถามหาหลวงปู่เนียม ท่านก็บอกว่าฉันนี่แหละชื่อเนียม ถึงได้รู้กัน ก็คงมีการกราบกรานขอโทษขอโพยกันตามธรรมเนียมที่จุดไต้ตำตอ เพราะไม่คาดว่าพระแก่มอมแมมจะเป็นพระเถราจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ จึงปวารณาตัวขอเป็นศิษย์ ครั้งแรกท่านก็ปฏิเสธท่าเดียว โดยถ่อมตนเองว่า เป็นลูกศิษย์ฉันจะได้อะไร คนแถวนี้เขาว่าฉันบ้ากันทั้งนั้น หลวงปู่ท่านทำไม่สนใจไล่กลับลูกเดียว แต่โดยคำแนะนำของพระลูกวัด บอกให้หลวงพ่อปานค้างคืนอยู่ที่วัดก่อน คงประกอบกับความอุตสาหะของหลวงพ่อปานด้วย ท่านก็ทำตามคำแนะนำ


ครั้นพอเวลากลางคืนยามดึกสงัด หลวงปู่ก็ให้พระไปตามหลวงพ่อเข้าไปพบที่กุฏิ เขาว่าหลวงพ่อปานตกใจมาก เพราะรูปร่างหน้าตาของหลวงปู่เนียมที่เห็นนั้น ผอมเกร็ง-ดำ-แก่และมอมแมม ตอนนี้ครองจีวรเรียบร้อยสะอาดสมบูรณ์ สดใส ผิดกับที่พบเมื่อตอนกลางวันเป็นคนละคนเลย นั่งอยู่เหมือนจะรอให้ท่านเข้าพบ ในที่สุดหลวงพ่อปานก็ได้เป็นศิษย์ดังที่เรารู้กัน


ถ่ายรูปไม่ติด


เล่าขานสืบกันมาอีกว่าตลอดระยะเวลาที่หลวงปู่มีชีวิตอยู่นั้น ไม่เคยมีใครถ่ายรูปท่านได้ -ขุนดอน เขียนไว้ว่าเมื่อครั้งพระประมาณฯ เจ้าหน้าที่กรมที่ดิน นำฝรั่งช่างรังวัด ๒ คนมารังวัดที่ ในเขตเมืองสุพรรณ เพื่อออกโฉนดให้ราษฎร์ เมื่อรังวัดมาถึงท้องที่วัดน้อย ก็ได้ถือโอกาสเข้าขอถ่ายรูปหลวงปู่ โดยให้ฝรั่งเอากล้องถ่ายรูปของทางราชการช่วยถ่ายให้ ตัวคุณพระประมาณฯ นั้น เคยรู้กิตติศัพท์มาแล้วว่ามีคนเคยมาขอถ่ายรูปหลวงปู่หลายรายแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จสักราย คราวนี้มีกล้องฝรั่งอย่างดีมาด้วย ก็อยากจะลองพิสูจน์สักหน่อย มันก็น่าจะติด


คุณพระฯ ได้นิมนต์หลวงปู่และพระทั้งวัดมานั่งเรียงลำดับแล้วถ่ายรูปหมู่และถ่าย เดี่ยวด้วย แต่จะเป็นกี่รูปไม่ทราบ ครั้นเมื่อนำฟิล์มไปล้างอัดเป็นรูปออกมา ความอัศจรรย์ก็ปรากฏคือ ในทุกภาพที่อัดออกมาไม่มีรูปของหลวงปู่ติดอยู่ด้วยเลย ที่ถ่ายเดี่ยวข้างโอ่งน้ำมนต์ก็ติดแต่ตัวโอ่ง เล่ากันว่าทั้งตัวคุณพระประมาณฯ และฝรั่งทั้งสองคนต่างก็เลื่อมใสศรัทธาในตัวหลวงปู่ยิ่งนัก และได้ปวารณาตัวฝากตัวขอเป็นศิษย์หลวงปู่


อย่างไรก็ตามท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่าแล้วรูปถ่ายที่ลูกศิษย์ลูกหาเอาใส่ กรอบบูชาและที่เอาลงหนังสือกันนั้นมาจากไหน จึงขอเรียนว่า รูปของหลวงปู่ที่ได้มามีเพียงรูปเดียว เป็นรูปที่ถ่ายได้หลังจากที่ท่านมรณภาพแล้ว คือท่าที่เขาจัดให้ท่านนอนตะแคงบนตั่งเตียง ส่วนรูปท่านั่งนั้นเล่ากันว่า ช่างได้เอารูปหน้าของท่านไปตัดต่อสวมกับส่วนลำตัวของพระภิกษุรูปอื่น โดยมีการตกแต่งส่วนใบหน้าที่ไม่ชัดขึ้นมาโหม่ ทำให้ดูเป็นหน้าค่อนข้างกลมและศีรษะล้านไปหน่อย


ทดสอบวิชากับหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย


ขุนดอน เล่าว่า วันหนึ่งท่านให้ชาวบ้านเตรียมภัตตาหารเลี้ยงพระไว้ ๕๐ สำรับ ซึ่งยังความแปลกใจให้ชาวบ้านมาก เพราะหลวงปู่ไม่เคยบอกว่าพรุ่งนี้จะมีงานอะไร วันที่ว่าก็ไม่ใช่วันพระ พระเณรในวัดก็มีแค่ไม่ถึงสิบรูป สงสัยเป็นหนักหนาก็พากันไปกามท่าน ท่านก็ยิ้มๆ แล้วบอกว่า พวกมึงทำมาเถอะน่า ชาวบ้านไม่กล้าซักไซ้มากกลัวท่านจะเอ็ดเอา


วันรุ่งขึ้นต่างก็พากันนำอาหารมาตามที่ท่านขอ ดูชุลมุนวุ่นวายราวกับมีงานใหญ่ ครั้นพอถึงเวลาเพล ก็ไม่เห็นมีพระเณรที่ไหนจะมาฉัน ต่างซุบซิบกันว่าท่านจะเล่นอะไรอีกละนี่ แต่เลยเพลมาครู่เดียวก็พากันตกตะลึงด้วยความอัศจรรย์ใจ เพราะเห็นพระเณรจำนวนมาก แบกกลดเดินตามพระแก่ ๆ รูปหนึ่งเป็นแถวเข้ามาในวัด ชาวบ้านเห็นหลวงปู่ออกไปปฏิสันฐานทักทายกับหลวงพ่อองค์นั้นแบบคนรู้จักกัน ทั้งๆ ที่ไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน แล้วหลวงปู่ก็นำพระเณรทั้งหมดขึ้นไปบนหอฉัน ภายหลังชาวบ้านก็ทราบว่าหลวงพ่อรูปนั้นคือ หลวงปู่ปานแห่งวัดบางเหี้ย คลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ เจ้าของเขี้ยวเสือที่ศักดิ์สิทธิ์ของนักเลงพระในปัจจุบัน ซึ่งท่านนำพระเณรสานุศิษย์เกือบร้อยรูปธุดงค์ลัดเลาะตามทางเกวียนผ่านมา เพื่อไปกราบนมัสการหลวงพ่อโตวัดป่าเลไลย์ เมื่อจวนเวลาเพลก็ธุดงค์มาใกล้วัดน้อย และพอได้ยินกลองเพลดังขึ้น ก็เกิดลมพายุขึ้นอย่างแรงจนพระเณรที่แบกกลดพะรุงพะรังแทบจะทรงตัวไม่อยู่ เล่ากันว่าหลวงปู่ปานแปลกใจในปรากฏการณ์นี้มาก ท่านยืนหลับตาสงบเงียบอยู่ชั่วครู่ แล้วก็บอกพระเณรลูกแถวของท่านว่า จะต้องแวะฉันเพลที่วัดน้อยซะแล้ว เพราะเจ้าวัดท่านนิมนต์ให้แวะ ไม่ควรขัดศรัทธา และทันใดนั้นเองพายุนั้นก็สงบลงทันที


ห้ามฝนตกในงานวัด

เล่ากันว่าเมื่อต้นฤดูฝนปีหนึ่ง ท่านมีอายุครบ ๖ รอบ (ราวๆ พ.ศ. ๒๔๔๔-๒๔๔๕) ชาวบ้านร่วมใจกันจัดงานทำบุญแซยิดให้ท่าน โดยจัดเป็นงานใหญ่ มีเทศน์หลายธรรมาสน์ มีการออกร้านมีการละเล่น ลิเก ลำตัด เพลงฉ่อย หนังตะลุง ฯลฯ สมโภชฉลองกันอย่างเอิกเกริกแบบงานประจำปี มีร้านขายดอกไม้ธูปเทียน และทองบูชาหลวงพ่อในโบสถ์ มีร้านรวงขายของเล่น จับรางวัลและขายอาหารเพียบพร้อม ซึ่งบังเอิญช่วงเวลานั้นเข้าหน้าฝนแล้ว


พอเวลาใกล้ค่ำผู้คนก็ทยอยเข้ามาเรื่อยๆ แต่ปรากฏว่ามีกลุ่มเมฆดำที่ก่อตัวมาจากที่อื่นถูกลมพัดพามาปกคลุมท้องฟ้า เหนือบริเวณวัดดูมืดครึ้มไปหมด แล้วฝนก็พรำๆ ลงมา ชาวบ้านเริ่มวิ่งหลบเข้าหาที่กำบังกัน ตามใต้ถุนกุฏิและศาลา ดูกลุ่มเมฆแล้วฝนต้องตกหนักแน่ ทุกคนคาดกันว่างานนี้ต้องพังแน่นอน พวกร้านรวงที่ไม่มีหลังคากำบัง ก็โกลาหลเริ่มขนย้ายข้าวของหาที่หลบฝน ขณะนั้นเองคนทั้งหลายก็เห็นหลวงปู่เดินออกมาจากกุฏิ ยืนแหงนมองดูท้องฟ้า สักพักใหญ่ๆ แล้วเดินวนไปมาแบบเดินจงกรม อีกชั่วครู่ท่านก็ตะโกนบอกชาวบ้านว่าไม่ต้องเก็บข้าวของแล้วเทวดาท่านช่วย ไล่ฝนไปแล้ว


ชาวบ้านต่างก็แหงนมองดูฟ้าก็เห็นปรากฏการณ์อัศจรรย์ขึ้น กล่าวคือเห็นกลุ่มเมฆหนาทึบนั้นแตกตัวลอยห่างออกไป แล้วท้องฟ้าเหนือวัดก็ค่อยแจ่มใสขึ้น เม็ดฝนที่พรำลงมาก็ขาดเม็ดไป ผู้คนก็เริ่มทยอยกันเข้ามาจนเต็มงาน เล่ากันว่าเมื่องานเลิกผู้คนที่อยู่ห่างวัดออกไปสักหน่อยก็ต้องเดินท่องน้ำ กลับบ้าน


ปราบคุณไสย


คุณป้าทรัพย์ เหลนชวดจาด พี่สาวของหลวงปู่ ที่ผู้เขียนไปหาเพื่อขอประวัติของหลวงปู่ เล่าว่าชวดจาดเคยคุยให้ฟังว่า หลังฤดูเก็บเกี่ยวของทุกปี จะมีคนกลุ่มหนึ่งรู้จักกันว่า เป็นพวกลาวข่าจากหมู่บ้านห่างไกล รวมกลุ่มตระเวนมาตามหมู่บ้านต่างๆ พวกนี้จะร่อนเร่มาขายเครื่องยาสมุนไพร-เครื่องรางของขลังของเผ่า หรือทั้งขาย แลก และขอข้าวสาร ข้าวเปลือก เสื้อผ้าและของอื่นใดที่เหลือกินเหลือใช้จากชาวบ้าน ตระเวนกันเป็นแรมเดือนและเข้าไปแทบจะทุกหมู่บ้านเลย ตกเย็นคนพวกนี้ก็จะมารวมพลค้างแรมกันตามวัด ซึ่งโดยทั่วไปค่อนข้างจะกว้างขวางโล่งเตียนปราศจากสัตว์ร้าย
วันหนึ่งที่วัดน้อยก็มีคนกลุ่มนี้มาอาศัยพักแรม รวมพลและรวมเสบียงที่ขอมาได้ ตกเย็นมีการหาปลาโดยการทอดแห วางข่ายกันแถวปากคลองข้างวัด มาประกอบอาหาร ส่วนที่เหลือก็ทำเค็มตากแห้งไว้เป็นเสบียง ที่ๆ ทำปลาและตากปลาก็คือพื้นสะพานศาลาท่าน้ำหน้าวัดหลังนั้นนั่นแหละ เป็นที่สกปรกเกะกะมาก


หลวงปู่มาเห็นเข้าขณะที่พวกมันกำลังทำปลาอยู่พอดี ท่านก็เอ็ดเอาว่าไอ้พวกนี้นรกจะกินหัว จับปลาหน้าวัดแล้วทำเลอะเทอะเกะกะไปหมด พระเณรจะอาบน้ำอาบท่าก็ไม่ได้ ขวางไปหมด ไปๆ พวกมึงไปทำกันที่อื่น


ท่านคงว่าไปมากกว่านี้ แล้วท่านก็หันหลังเดินกลับและแล้วท่านก็ต้องเหลียวขวับกลับมา เพราะมีเสียงแซกๆ มาข้างหลัง หัวปลาสดๆ ที่เจ้าพวกนั้นตัดแยกไว้เตรียมทำเค็ม กองไว้บนพื้นสะพานนั้นเอง กระดืบตามหลังท่านมาเป็นขบวน ท่านหันหลังกลับทันที ชี้มือไปที่กลุ่มลาวข่านั้นแล้วตวาดว่า พวกมึงจะทำอะไรกู หัวปลาเหล่านั้นก็หยุดอยู่กับที่ ท่านคงด่าต่อไปอีกเป็นแน่

เพียงครู่เดียวแล้วเจ้าลาวข่าคนสูงอายุที่เป็นจ่าฝูง ที่นั่งเฉยๆ ดูลูกเมียทำปลาอยู่ใกล้ๆ ก็ตัวงอหน้านิ่วคิ้วขมวด พวกลูกเมียและพวกบริวารทั้งหลายก็รู้ได้ทันทีว่า ไอ้ตัวจ่าฝูงโดนหลวงปู่เล่นงานกลับแล้ว ต้องกราบขอโทษขอให้หลวงปู่ถอนอาคมให้


ย่นระยะทาง


คุณป้าทรัพย์ เล่าแถมอีกสองเรื่อง เรื่องที่หนึ่งว่าแม่ของแกเล่าว่า ครั้งหนึ่งหลวงปู่ได้รับตราตั้งอะไรจำไม่ได้ ซึ่งต้องไปรับตาลปัตรที่เมืองบางกอก เมื่อถึงกำหนดแล้วก็ไม่เห็นหลวงปู่กระตือรือร้นที่จะไป พวกลูกหลานลูกศิษย์ลูกหาก็มาเตือนให้ไป ท่านก็ได้แต่เออๆ แต่ไม่ไปสักที เตือนแล้วเตือนอีกหลายหน เพราะกลัวว่าท่านจะลืมและเลยกำหนด มาวันหนึ่งก็มาเซ้าซี้ให้ท่านไปอีก ท่านก็บอกไปว่า กูไปรับมาแล้วโว้ย พวกลูกศิษย์ก็เถียงว่าหลวงพ่อไปเมื่อไหร่ ฉันเห็นหลวงพ่ออยู่วัดทุกวัน ท่านก็เถียงกลับว่า เออ กูไปรับมาแล้วซิวะ แล้วท่านก็เดินเข้ากุฏิถือตาลปัตรพัดยศออกมาให้ดู



ไปรับบิณฑบาตที่พระพุทธบาท สระบุรี


มีเรื่องเล่าถึงการย่นระยะทางไปมาตามที่ต่างๆ คล้ายกับที่คุณป้าทรัพย์เล่าเรื่องหลวงปู่ไปรับพัดที่เมืองบางกอก เรื่องมีอยู่ว่า ไม่ว่าฝนจะตกฟ้าจะร้องอย่างไร หลวงปู่ต้องนำขบวนพระลูกวัดออกรับบิณฑบาตเป็นกิจวัตร ถ้าหน้าแล้งก็อาจเดินไปตามทางหลังวัด หรือไม่ก็ทางน้ำโดยเรือพาย อยู่มาวันหนึ่งในเดือนสาม ซึ่งเป็นหน้าเทศกาลไหว้พระพุทธบาท สระบุรี ท่านให้พระลูกวัดออกไปบิณฑบาตกันเอง


ครั้นเมื่อพระลูกวัดกลับมาแล้ว และตั้งวงฉันเช้า หลวงปู่ก็เอาบาตรของท่านออกมาร่วมวงด้วย เมื่อท่านเปิดฝาบาตรเท่านั้น พวกพระลูกวัดต่างก็แปลกใจมาก เพราะในบาตรนั้นมีข้าวปลาอาหารและไข่เค็มเต็มบาตร จึงพากันถามท่านว่าไปรับบิณฑบาตบ้านไหน ท่านก็ตอบหน้าตาเฉยว่า ข้าไปบิณฑบาตที่พระพุทธบาท สระบุรี


ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-neam/lp-neam-hist-index.htm



138


การักษาศีลเป็นที่รู้สึกกันโดยมากว่า เหมือนเป็นการสร้างรั้วล้อมตนเอง

ศีลยิ่งมากข้อ ก็ยิ่งเหมือนรั้วที่แน่นหนาแข็งแรง และยิ่งมีวงแคบ จะทำอะไรจะไปไหนก็ล้วนแต่มีข้อห้ามทั้งนั้น


เมื่อรู้สึกดังนี้จึงไม่พอใจจะรักษาศีล ปรารถนาที่จะทำอะไรไปข้างไหนตามความพอใจ มีเรื่องเล่าในอรรถกถาธรรมบทว่า

ภิกษุรูปหนึ่งรู้สึกว่าวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้มีเป็นอันมาก ไม่อาจที่จะรักษาให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้ มีความเบื่อหน่ายหมดกำลังใจ

พระพุทธเจ้าได้ทรงเรียกภิกษุนั้น ไปตรัสถามว่า สามารถจะรักษาเพียงข้อหนึ่งได้หรือไม่

ภิกษุนั้นก็กราบทูลว่า ถ้าเพียงข้อเดียวก็สามารถ

พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า ถ้าอย่างนั้นก็ให้รักษาจิตของตน เมื่อสามารถรักษาจิตของตนได้เพียงข้อเดียว ก็สามารถรักษาข้ออื่น ๆได้ทั้งหมด

ภิกษุนั้นได้ปฏิบัติตามพระพุทธโอวาท ก็สิ้นความอึดอัดรำคาญ สามารถรักษาพระวินัยให้บริสุทธิ์บริบูรณ์

อันที่จริงจะเปรียบศีลเหมือนอย่างรั้วล้อมก็ได้ แต่หมายความว่าล้อมมิให้ความชั่วเข้ามา เหมือนอย่างรั้วล้อมบ้านป้องกันโจรผู้ร้าย และรั้วบ้านนั้นก็มีประตูสำหรับเข้าออก แม้ตัวบ้านเองก็มีประตูหน้าต่าง คนโดยปกติก็เข้าออกทางประตู ถ้าปีนรั้วหรือปีนหน้าต่างเข้าหรือออก ก็เป็นการผิดปกติ

ศีลก็เช่นเดียวกัน แม้เป็นข้อห้ามดังศีล ๕ เหมือนอย่างรั้วกั้น แต่นอกจากที่ห้ามไว้นั้นก็อาจทำได้ เท่ากับมีประตูสำหรับเข้าออกอยู่ด้วยบริบูรณ์ เพราะข้อที่พึงทำมีมาก จะแสดงไว้ก็คงไม่หมด จึงได้แสดงไว้แต่ข้อห้ามที่มีเพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น

เมื่อเข้าใจดังนี้ ก็เข้าใจต่อไปได้ว่า ผู้ที่เว้นจากข้อห้าม ทำในข้อที่ท่านไม่ห้าม
เรียกได้ว่าเป็นคนปกติ เหมือนอย่างเข้าออกทางประตูโดยปกติ เป็นอันเข้าใจความหมายของศีลโดยตรง

คัดลอกจาก...ชุดความร่วมรู้เรื่องพระพุทธศาสนา-ศีลในพระพุทธศาสนา
พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


ขอบคุณ : Dhammakjak.net



139
ความว่า สัตว์ทั้งหลาย ผู้มีความเห็นผิด เป็นผู้ใคร่ซึ่งความฉิบหายมิใช่ประโยชน์ กล่าวใส่ร้าย มีคำอธิบายว่า ด่าทอ ติเตียนพระอริยเจ้าทั้งหลาย คือพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกของพระพุทธเจ้า โดยที่สุด แม้คฤหัสถ์ผู้เป็นพระโสดาบัน ด้วยอันติมวัตถุ หรือด้วยการกำจัดเสียซึ่งคุณ.


ในการกล่าวใส่ร้าย ๒ อย่างนั้น บุคคลผู้กล่าวอยู่ว่า สมณธรรมของท่านเหล่านั้น ไม่มี, ท่านเหล่านั้น ไม่ใช่สมณะ ดังนี้ พึงทราบว่า ชื่อว่า กล่าวใส่ร้ายด้วยอันติมวัตถุ. บุคคลผู้กล่าวอยู่ว่า ฌานก็ดี วิโมกข์ก็ดี มรรคก็ดี ผลก็ดี ของท่านเหล่านั้น ไม่มี ดังนี้ พึงทราบว่า ชื่อว่ากล่าวใส่ร้าย ด้วยการกำจัดเสียซึ่งคุณ. ก็ผู้นั้นพึงกล่าวใส่ร้ายทั่งที่รู้ตัวอยู่ หรือไม่รู้ก็ตาม ย่อมชื่อว่า เป็นผู้กล่าวใส่ร้ายพระอริยเจ้าแท้ แม้โดยประการทั้งสอง. กรรม (คือการกล่าวใส่ร้ายพระอริยเจ้า) เป็นกรรมหนัก



เป็นทั้งสัคคาวรณ์ (ห้ามสวรรค์) ทั้งมัคคาวรณ์ (ห้ามมรรค)

ที่มาจาก หนังสือพระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 299

140
คุณคิดว่าศีล 5 ข้อ ข้อไหนรักษายากที่สุด......

ศีลห้า หรือ เบญจศีล เป็นศีลในลำดับเบื้องต้นในพุทธศาสนา ที่ศาสนิกชนพึงถือ ไม่เฉพาะแต่เหล่าสงฆ์เท่านั้น ศีลห้าจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า 'นิจศีล' นั่นคือ ศีลที่ยึดถือป็นนิจ (นิตย์) ด้วยเหตุนี้ ในพิธีกรรมทั้งปวงในพุทธศาสนา หลังจากกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัยแล้ว พุทธศาสนิกพึงอาราธนาศีล และรับศีลห้าก่อนเสมอ

1. ปาณาติปาตา เวรมณี (สิกฺขาปทํสมาทิยามิ) - เว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทั้งปวง รวมถึงการทำร้ายสัตว์ หรือมนุษย์ด้วย แม้แต่คิด หรือวางแผน ก็ถือว่าผิดศีลข้อนี้แล้ว

2. อทินฺนาทานา เวรมณี (สิกฺขาปทํสมาทิยามิ) - เว้นจากการลักทรัพย์ เอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ รวมถึงการเบียดบัง ฉ้อราษฎร์บังหลวง เอาเปรียบคนอื่นด้วย แม้แต่คิด หรือวางแผน ก็ถือว่าผิดศีลข้อนี้แล้ว

3. กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี (สิกฺขาปทํสมาทิยามิ) - เว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย ข้อนี้เพียงแค่คิดก็ผิดแล้ว

4. มุสาวาทา เวรมณี (สิกฺขาปทํสมาทิยามิ) - เว้นจากการพูดเท็จ คำหยาบ หรือพูดส่อเสียด รวมถึงการพูดให้คนแตกสามัคคีกันด้วย

5. สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี (สิกฺขาปทํสมาทิยามิ) - เว้นจากการดื่มน้ำเมา อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท




ขอบคุณที่มาจาก ลานธรรมจักร ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ  :054:

141



อานิสงส์การบวชพระ-บวชชีพราหมณ์

[บวชชั่วคราวเพื่อสร้างบุญ, อุทิศให้พ่อแม่-เจ้ากรรมนายเวร]



1. หน้าที่การงานจะเจริญรุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญตามปรารถนา

2. เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรม หนี้กรรมในอดีตจะคลี่คลาย

3. สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาแจ่มใส ปัญหาชีวิตคลี่คลาย

4. เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆ ไป

5. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง โพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา

6. จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต

7. เป็นที่รักที่เมตตามหานิยมของมวลมนุษย์มวลสัตว์และเหล่าเทวดา

8. ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจน การเงินไม่ขาดสายไม่ขาดมือ

9. โรคภัยของตนเอง ของพ่อแม่ และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและรักษาหาย

10. ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่ สำหรับผู้ที่บวชไม่ได้
เพราะติดภาระกิจต่างๆ ก็สามารถได้รับอานิสงส์เหล่านี้ได้
ด้วยการสร้างคนให้ได้บวชสนับสนุนส่งเสริมอาสาการให้คนได้บวช




ที่มาจากลานธรรมจักร ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ

 :054:  :054:  :054:   :054:  :054:  :054:

142


ในบรรดาวัตถุมงคลอาถรรพ์ทั้งหลาย มีวัตถุสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นจากสัตว์ตามตำราคณาจารย์แต่โบราณ ปรากฏเป็นการสร้างขึ้นเพื่อเป็นตัวอุดในการสร้างพระชัยวัฒน์ พระกริ่ง หรือการสร้างเบี้ยแก้ประเภทต่างๆ เรารู้จักกันในชื่อ "ชันโรง"

ความจริงชันโรงเป็นชื่อของแมลงชนิดหนึ่งที่อยู่ในตระกูลผึ้ง มีขนาดลำตัวเล็กกว่า และไม่มีเหล็กในในตัวเอง นิสัยเป็นมิตรไม่ดุร้าย มีวิถีชีวิตคล้ายคลึงกับผึ้ง เช่น มีนางพญา มีชันโรงงาน และมีชันโรงตัวผู้ สามารถผลิตน้ำหวาน และขยายเผ่าพันธุ์ในลักษณะเช่นเดียวกันกับผึ้ง ในสมัยโบราณเราสามารถพบตัวชันโรงได้ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ทางภาคเหนือจะเรียกว่า "แมลงขี้ตังนี" หรือ "แมลงขี้ตึง" แปลว่าแมลงที่ผลิตหรือเก็บน้ำยางได้ ทางภาคอีสานเรียก "แมลงขี้สูด" นิยมนำไปอุดแคน หรือถ่วงเครื่องดนตรีประเภทระนาด โปงลาง ทำให้เกิดเสียงไพเราะ ส่วนภาคใต้เรียกตัว "อุง" ถ้าตัวเท่าแมลงหวี่เรียกอุงแมงโลม เพราะชอมมาตอมไต่ผู้คนเวลาเดินป่า ถ้าตัวใหญ่เรียกอุงหมี นอกจากนี้ บางพื้นที่ยังรู้จักกันในชื่อ "ตัวชำมะโรง" อีกด้วย
 


ลักษณะของ "ชันโรง" ที่นำมาใช้ประกอบจัดสร้างวัตถุมงคลหรือวัตถุอาถรรพ์นั้น จะเป็นยางไม้เหนียวข้นคล้ายกับชันที่ยาเรือ ตัวชันโรงจะเก็บยางจากไม้ใหญ่ต่างๆ นำมาผสมกับมูลแล้วอุดรูร่องรอยสร้างขึ้นเป็นรัง เราจะสามารถพบเห็นรังของชันโรงได้ตามโคนต้นไม้ใหญ่ๆ ตามโพรงของกิ่งไม้ และบริเวณใต้ดิน โบราณาจารย์นิยมนำชันโรงมาอุดก้นพระชัยวัฒน์ พระกริ่ง หรืออุดปรอทในเบี้ยแก้ เบี้ยจั่น เนื่องจากคติความเชื่อว่าชันโรงเป็นตัวช่วยป้องกันไม่ให้วัตถุที่ลงอาคม เช่น เม็ดกริ่ง กระดาษสาเขียนยันต์ ผงใบลาน พระคาถา ที่คณาจารย์ทำพิธีและบรรจุไว้ในพระกริ่ง พระชัยวัฒน์ ตลอดจนวัตถุมงคลอื่นๆ หลุดออกไปจากวัตถุมงคล




การทำชันโรงประกอบขึ้นเป็นวัตถุมงคลนั้นถือว่าเป็นพิธีกรรมที่สืบทอดมาแต่โบราณ ผู้ทำจะต้องทรงวิทยาคุณแก่กล้า และรู้จักวิธีการ "หา" ชันโรง ที่นิยมใช้กันมาแต่โบร่ำโบราณจะเป็นชันโรงใต้พื้นดิน โดยจะต้องเริ่มสังเกตโพรงบนพื้นดินที่ยื่นขึ้นมาเป็นรูปกรวย ซึ่งตรงกลางจะกลวง กรวยดินนี้จะกระจัดกระจายอยู่ในละแวกเดียวกันหลายกรวย ซึ่งก็คือทางเข้าออกของตัวชันโรงที่อยู่ใต้ดิน ให้สังเกตบริเวณใกล้ๆ กันนั้นมักจะมีจอมปลวกขึ้นอยู่ด้วย เมื่อพบแล้วต้องทำพิธีกรรมตามตำรา แล้วขุดลงไป บางทีต้องขุดลึกถึง 1-2 เมตร จึงจะได้ชันโรงตามที่ต้องการ ส่วนชันโรงอีกชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาทำวัตถุอาถรรพ์ ก็คือ ชันโรงที่พบในโพรงไม้ที่ยืนตายซาก โบราณท่านว่าดีนักแล

ณ ปัจจุบันจะหาใครทำชันโรงประกอบขึ้นเป็นสิ่งมงคลได้ยากแล้ว คนที่รู้จักก็น้อยลง และรังชันโรงก็ถูกตึกรามบ้านช่องรุกราน ต้องอพยพย้ายถิ่นฐานไปอยู่ตามท่อน้ำประปา หรือรูตามเสาไฟฟ้า ต้นไม้ที่จะเก็บยางก็ไม่มี จนดูท่าชันโรงอาจจะสูญสลายหายไปในที่สุด คติโบราณท่านถือว่านอกจากชันโรงจะช่วยปกปักรักษาของดีแล้ว ด้วยความที่ชันโรงเป็นแมลงไม่ดุร้าย จึงมีเสน่ห์ทางเมตตามหานิยมอีกด้วย ดังนั้น หากผู้ใดได้ครอบครองวัตถุมงคลที่ประกอบขึ้นด้วยชันโรงก็นับได้ว่าผู้นั้นได้ครบถ้วนแล้วซึ่งของที่มีคุณวิเศษและเมตตามหานิยมครับผม


เห็นน่าสนใจดีครับ เลยนำเสนอให้ชมกัน   ทุกสิ่งที่นำเสนอไปเพื่อเป็นวิทยาทานความรู้


ที่มา คอลัมน์ พันธุ์แท้พระเครื่อง โดย ราม วัชรประดิษฐ์

143


"พระครูวิบูลเวชกิจ" หรือที่ชาวบ้านเรียกขานว่า "พ่อท่านพริ้ง ปุณณโก" พระเกจิชื่อดังแถบฝั่งทะเลอันดามัน เจ้าอาวาสวัดหลักแก่น ต.ลำแก่น อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ที่ชาวพังงาให้ความเลื่อมใสศรัทธา และรู้จักชื่อเสียงของท่านเป็นอย่างดี

มรณภาพลงอย่างสงบ ด้วยวัย 74 ปี ท่ามกลางความเศร้าสลดของบรรดาคณะศิษยานุศิษย์



อัตโนประวัติ เดิมชื่อ พริ้ง รักษ์ทอง เกิดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2478 ที่ ต.บ่อแสน อ.ทับปุด จ.พังงา โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายจันทร์และนางผัน รักษ์ทอง ครอบครัวมีพี่น้อง 4 คน

ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบท เมื่อปี พ.ศ.2499 ณ อุโบสถ วัดนิโครธาราม ต.ทับปุด อ.ทับปุด จ.พังงา มีพระราชปฏิภาณมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูประภัสสรธรรมสาร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมหาณพ ฐิตเตโช เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า ปุณณโก

พ.ศ.2517 ท่านได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดหลักแก่น ตั้งแต่นั้นมาได้เริ่มพัฒนาวัด พัฒนาถาวรวัตถุ พัฒนาจิตใจของญาติโยม โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยแต่ประการใด

พ่อท่านพริ้งได้ศึกษาต้มยาสมุนไพรและใช้คาถากำกับมาจาก พ่อท่านนุ้ย วัดห้วยเตย จ.สุราษฎร์ธานี นอกจากนี้ ยังได้เรียนสรรพวิทยาคมจากพ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ วัดสวนขัน จ.นครศรีธรรมราช อีกทั้งยังได้รักษาผู้ป่วยโรคผิวหนัง ด้วยการพ่นหมากและใช้เสกคาถาช่วย

มีเรื่องเล่ากันว่า ครั้งหนึ่งมีคนบาดเจ็บสาหัสถูกยิงลูกกระสุนฝังในได้รับความเจ็บปวดอย่างมาก จนหมอไม่สามารถผ่าตัดได้ แต่เมื่อมาขอให้พ่อท่านพริ้งรักษาปรากฏว่า ท่านได้เป่าพ่นหมากและใช้อาคมเสกกำกับอีกที พ่น 5 คำ กระสุนหายไปในทันใด นับเป็นเรื่องอัศจรรย์ยิ่ง จนเป็นที่ร่ำลือกันไปทั่วปักษ์ใต้

นอกจากเป็นพระเกจิชื่อดังแถบฝั่งทะเลอันดามัน พ่อท่านพริ้ง ยังเป็นพระนักพัฒนามีชื่อเสียง เป็นกำลังสำคัญในการสร้างโรงเรียนบ้านลำแก่นและโรงเรียนบ้านทับละมุ ท่านได้มอบทุนการศึกษาให้ทั้ง 2 โรงเรียน เป็นประจำทุกปี และเป็นกำลังสำคัญในการสร้างถนนเข้าไปสู่บ้านวังเคียงคู่ และซอยหมู่ 6 ต่อถนนเพชรเกษม จนสำเร็จลุล่วง

พ่อท่านพริ้ง ยังได้บำเพ็ญประโยชน์ด้านการศึกษาทั้งในวัดและนอกวัด กำหนดให้พระภิกษุ-สามเณรในวัดต้องเรียนหนังสือและศึกษาพระปริยัติธรรมทั้งแผนกธรรมและบาลีทุกรูป

กล่าวกันว่า วัตถุมงคลพ่อท่านพริ้ง มีพุทธคุณโดดเด่นในด้านอยู่ยงคงกระพัน สามารถเรียกกระสุนปืนออกจากร่าง รักษาโรคงูสวัด มีการสร้างวัตถุมงคลดังไว้หลายรุ่น เช่น รูปเหมือนพระบูชาพ่อท่านพริ้ง โดยเฉพาะเหรียญเนื้อทองแดงกะไหล่ทองรุ่นแรก สร้างขึ้นปีพ.ศ.2545 ชานหมาก แผ่นตะกรุดลงอักขระของพ่อท่านพริ้ง รุ่นฟ้าคำราม เป็นต้น

วันที่ 5 ธันวาคม 2548 มหาเถรสมาคมได้พิจารณาคัดเลือกพระครูสัญญาบัตร ที่ดำรงตำแหน่งพระสังฆาธิการ บริหารงานคณะสงฆ์ สมควรได้รับการเลื่อนชั้นให้ โดยพ่อท่านพริ้ง ได้รับเลื่อนเป็นพระครูสัญญาบัตร ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นโท เป็นพระครูสัญญาบัตรตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นเอกที่ พระครูวิบูลเวชกิจ จนวาระสุดท้าย เมื่อเวลาประมาณ 13.30 น. วันที่ 3 มกราคม 2553 พ่อท่านพริ้ง เกิดมีอาการเหนื่อยหอบ หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก คณะศิษย์ได้นำท่านส่งโรงพยาบาลทหารเรือ ฐานทัพเรือพังงา ก่อนส่งต่อไปยังโรงพยาบาลตะกั่วป่า

แต่ด้วยความชราภาพ ทำให้ไม่สามารถยื้ออาการเอาไว้ได้ พ่อท่านพริ้ง ได้ละสังขารอย่างสงบ สิริอายุ 73 พรรษา 51

คณะสงฆ์และคณะกรรมการวัดได้ร่วมกันบรรจุศพพระครูวิบูลเวชกิจ หรือพ่อท่านพริ้ง ในโลงแก้วอย่างสมเกียรติ

หลังจากข่าวแพร่สะพัดออกไป คณะะสงฆ์และประชาชนที่เลื่อมใสศรัทธาพ่อท่านพริ้ง ทั้งในพื้นที่จังหวัดพังงาและจังหวัดข้างเคียง ได้ทยอยเดินทางมารดน้ำศพกันอย่างเนืองแน่น ทำให้ศาลาเปรียญที่ตั้งบำเพ็ญกุศลคับแคบลงไปถนัดตา

กำหนดสวดพระอภิธรรมศพและแสดงพระธรรมเทศนาทุกวัน รวมระยะเวลา 15 วัน จนถึงวันที่ 17 มกราคม 2552 และเตรียมดำเนินการทำหนังสือขอรับพระราชทานเพลิงศพต่อไป


ที่มา ข่าวสด คอลัมน์

คอลัมน์ อริยะโลกที่ 6

กิตติ วงศรัตนาวุธ


144
การเข้าปฏิบัติธรรมนั้นเราจะต้องรักษาศีล 8 หรืออุโบสถศีล อันประกอบไปด้วยองค์แปดประการ คือ

ปานาติปาตา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการฆ่าสัตว์ คือไม่ทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป เป็นการลดการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน
อทินนาทานา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการลักทรัพย์ คือไม่ถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ เป็นการลดการเบียดเบียน ทรัพย์สินของผู้อื่น
อพรหมจริยา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการประพฤติอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ คือ ไม่เสพเมถุนล่วงมรรคใดมรรคหนึ่ง (ถ้าไม่แตะต้องกายเพศตรงข้าม และไม่จับของต่อมือกันจะช่วยให้การฝึกสติสัมปชัญญะดียิ่งขึ้น)
มุสาวาทา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการพูดปด คือ พูดไม่ตรงกับความจริง
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการดื่มสุราเมรัยของมึนเมาเสียสติ อันเป็นเหตุของความประมาทมัวเมา
วิกาลโภชนา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการดื่มกินอาหารในเวลาหลังเที่ยงไปแล้วจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น เป็นการลดราคะกำหนัด และลดความง่วงเหงาหาวนอน
นัจจคีตวา ทิตตะวิสูกะทัสสะนะ มาลาคันธวิเลปานะ ธารณะ มัณฑะนะ วิภูสะนัฏฐานา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการดูละครฟ้อนรำขับร้องประโคมดนตรี ทัดทรงดอกไม้ลูบไล้ของหอม เครื่องย้อมเครื่องทา เครื่องประดับตกแต่งต่างๆ อันปลุกเร้าราคะ กำหนัดให้กำเริบ
อุจจา สะยะนะ มะหาสะยะนา เวรมณี ข้าฯ จะเว้นจากการนั่งนอนเครื่องปูลาด อันสูงใหญ่ ภายในยัดด้วยนุ่นหรือสำลี และวิจิตรงดงามต่างๆ เป็นการลดการสัมผัสอันอ่อนนุ่มน่าหลงไหล อดความติดอกติดใจสิ่งสวยงาม มีกิริยาอันสำรวมระวังอยู่เสมอ
ผู้รักษาศีล 8 นั้น สามารถรับประทานบางอย่างหลังเวลาเที่ยงได้ดังนี้

น้ำปานะ คือ น้ำที่ทำจากผลไม้ ขนาดเล็กเท่าเล็บเหยี่ยว ขนาดใหญ่ไม่เกินส้มโอตำ หรือ คั้นผสมน้ำกรองด้วยผ้าขาวบางให้ดี 8 ครั้ง ผสมเกลือและน้ำตาล พอได้รส หรือ รับประทาน
เภสัช 5 อย่าง คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย(น้ำตาล)
สิ่งที่เป็นยาวชีวิก ได้โดยไม่จำกัดกาล คือ รับประทานเป็นยาได้แก่ รากไม้ เช่น ขมิ้น ขิง ข่า ตะใคร้ ว่านน้ำ แฝก แห้วหมู น้ำฝาด เช่น น้ำฝาดสะเดา ใบมูกมัน ใบกระดอม ใบกะเพราหรือแมงลัก ใบฝ้าย ใบชะพลู ใบบัวบก ใบส้มลม
ผลไม้ เช่น ลูกพิลังกาสา ดีปลี พริก สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม ผลแห่งโกฐ รวมยางไม้จากต้นหิงค์และเกลือต่างๆ
คำอาราธนาศีล 8

มะยัง ภันเต, ติสะระเณนะ สะหะ, อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ
ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต, ติสะระเณนะ สะหะ, อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ
ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต, ติสะระเณนะ สะหะ, อัฏฐะ สีลานิ ยาจามะ

คำสมาทานศีล 8

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะฯ (๓ จบ)

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

๑. ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๒. อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๓. อะพรัหมะจะริยา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๔. มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๕. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๖. วิกาละโภชะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๗. นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนะมาลาคันธะวิเลปะนะธาระณะมัณฑะนะวิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
๘. อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ

อิมานิ อัฏฐะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ

หมายเหตุ ท่อนที่ว่า เวระมะณี สิกขาปะทัง จะต้องเว้นระหว่าง เวระมะณี กับ สิกขาปะทัง ทุกครั้ง ห้ามพูดต่อกันเป็นประโยคเดียว


ที่มาหนังสือสวดมนต์ หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน สิงห์บุรี

145
อิติสุคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ ปะฐะวีคงคา พระภุมมะเทวา ขะมามิหัง
 

        (คาถานี้คือยอดพระภัณฑ์พระไตรปิฎกที่หลวงพ่อโอภาสีนำมาย่อและเรียบเรียงใหม่เพื่อให้ง่ายต่อการท่องจำของลูกศิษย์และผู้ศรัทธา สวดอยู่กับบ้านป้องกันอันตราย สวดก่อนออกจากบ้านคุ้มกันอันตรายตลอดการเดินทาง ไปต่างถิ่นสวดป้องกันภยันอันตรายต่าง ๆ จากเทวดา ภูติผีปีศาจ หรือเดินทางไปที่เปลี่ยวให้หยุดภาวนาที่ต้นไม้ใหญ่หรือศาลเจ้า ขอบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณนั้นช่วยปกปักษ์รักษาให้ปลอดภัย อนุภาพขอคาถานี้ครอบจักรวาลเลยทีเดียว)




146

พระธรรมมุนี (หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง)



หลวงพ่อแพ เขมังกโร เป็นชาวจังหวัดสิงห์บุรีโดยกำเนิด มีนามเดิมว่า “แพ ใจมั่นคง”  เกิดเมื่อวันจันทร์ ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2448 ตรงกับ ขึ้น 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเส็ง ณ บ้านสวนกล้วย เลขที่ 93/3 หมู่ที่ 3 ตำบลพิกุลทอง อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี บิดาชื่อ นายเทียน ใจมั่นคง มารดาชื่อ นางหน่าย ใจมั่นคง

เมื่ออายุได้ 8 เดือน มารดาผู้ให้กำเนิดได้ถึงแก่กรรม นายบุญ และนางเพียร ขำวิบูลย์ สามี ภรรยา ซึ่งมีศักดิ์เป็นอา ได้ขอเด็กชายแพ ที่มีอายุเพียง 8 เดือน จากนายเทียน ใจมั่นคง บิดาผู้บังเกิดเกล้าไปรับอุปการะเป็นบุตรบุญธรรม

เมื่ออายุได้ 11 ปี บิดามารดาบุญธรรม พาเด็กชายแพไปฝากอยู่วัด กับสำนักอาจารย์ป้อม เพื่อที่จะศึกษาเล่าเรียนตามแบบโบราณนิยม คือ การเรียนภาษาไทยภาษาขอม

นอกจากนั้น เด็กชายแพ ยังได้เรียนหนังสือ มูลบทบรรพกิจ ทางธรรมก็มีพระมาลัยสูตร และยังได้หัดอ่านพระธรรมเจ็ดคัมภีร์ เมื่ออายุได้ 14 ปี บิดามารดาบุญธรรมได้ส่งไปศึกษาต่อที่สำนักวัดอาจารย์ อาจารย์ สม ภิกษุชาวเขมร วัดชนะสงคราม กรุงเทพฯ การศึกษาในกรุงเทพฯขั้นแรกได้เริ่มเรียนหนังสือโบราณท่องสนธิ เรียนมูลกัจจายนสูตร เป็นเวลา 1 ปี ต่อมา ก็ไปเป็นนักเรียนบาลีไวยากรณ์ ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพฯ

เมื่อศึกษาหาความรู้จนอายุได้ 16 ปี ก็กลับบ้านเกิด เพื่อบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ.2463 ณ วัดพิกุลทอง ต.พิกุลทอง อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี โดยมีพระอธิการพันจันทสโร เจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง เป็นพระอุปัชฌาย์ครั้นเมื่อบวชเป็นสามเณรแล้วก็ได้เดินทางกลับไปอยู่วัดชนะสงครามตามเดิม และได้ศึกษาบาลีไวยากรณ์ต่อไปอีก จนสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค ตั้งแต่ยังเป็นสามเณร จนในปีพ.ศ. 2468 นายเทียน ใจมั่นคง บิดาผู้บังเกิดเกล้าก็ถึงแก่กรรม

โดยความมุมานะพยายามเด็กชายแพ โดยอาศัยแสงสว่างจากเทียนไขหรือตะเกียงอ่านหนังสือและทบทวนตำรา ด้วยสาเหตุนี้ นัยน์ตา อันเป็นส่วนสำคัญของสังขาร ก็เกิดอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง ทุกครั้งที่ตรากตรำอ่านหนังสือมากเกินไปในที่สุด นายแพทย์โรงพยาบาลจุฬาฯ ได้แนะนำ ไม่ให้อ่านหนังสืออีกต่อไป มิฉะนั้น นัยน์ตาอาจพิการได้ ดังนั้นหลังจากสอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยคแล้ว การศึกษาด้านพระปริยัติธรรมก็ต้องยุติลง แต่ด้วยความที่เป็นผู้มีใจใฝ่การศึกษา พระภิกษุแพ เขมังกะโร จึงได้ศึกษาปฏิบัติสมถกัมมัฎฐาน วิปัสสนากัมมัฎฐานในสำนักของพระครูภาวนา วัดเชตุพน

สามเณรเปรียญแพ ได้ทำการอุปสมบทเมื่ออายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ ในวันขึ้น 6 ค่ำ ปีขาล ตรงกับวันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ.2469 ณ พระอุโบสถวัดพิกุลทอง โดยมีพระมงคลทิพย์มุนี เจ้าอาวาสวัดจักรวรรดิ์ราชาวาส กรุงเทพฯ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระครูสิทธิเดช วัดชนะสงคราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่านเจ้าอธิการอ่อน วัดจำปาทอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “เขมังกะโร”(แปลว่า ผู้ทำความเกษม  ภายหลังจากอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์แพ เขมังกะโร หรือมหาแพ ก็ได้เดินทางกลับสู่วัดชนะสงคราม เพื่อตั้งใจศึกษาทางด้านพระปริยัติธรรมให้ได้สูงที่สุด จากนั้นไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ ปรมจารย์ชื่อดังยุคนั้นเพื่อเรียนวิชาอาคมจนเชี่ยวชาญไม่แพ้เกจิร่วมสำนักรูปอื่น ๆ เลย

ในปี พ.ศ. 2473 อาจารย์หยด พวงมะสิต เจ้าอาวาสวัดพิกุลทอง ได้ลาสิกขาบท ทำให้ตำแหน่งว่างลง ชาวบ้านพิกุลทอง และชาวบ้านจำปาทอง จึงนิมนต์ให้พระภิกษุแพมารับเป็นเจ้าอาวาสในเดือน เมษายน พ.ศ. 2474 ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุเพียง 26 ปี ต่อมาก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงค์ตำแหน่ง ตามหน้าที่การงานต่างๆ ดังนี้

พ.ศ.2482 ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะตำบลถอนสมอ

พ.ศ.2483 ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็น พระอุปัชฌายะ

พ.ศ.2484 ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะอำเภอท่าช้าง

พ.ศ. 2484 เป็นพระครูสัญญาบัตร ผู้ทำกิจปริยัติธรรมวินัยที่พระคณุศรีพรหมโสภิต

พ.ศ. 2515 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษ

พ.ศ. 2521 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่พระสุนทรธรรมภาณี

พ.ศ.2525 ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะจังหวัดสมณศักดิ์

พ.ศ. 2530 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่พระสิงหคณาจารย์

พ.ศ. 2535 ได้รับพระราชทานเลื่อนชั้นสมณศักดิ์ เป็นกรณีพิเศษ

วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2535 ในวาระทรงเจริญพระชนม์มายุครบ 60 พรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เลื่อนเป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพสิงหบุราจารย์

พ.ศ. 2539 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นกรณีพิเศษ วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2539ใน วโรกาสเสด็จครองราชย์ครบ 50 ปี เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่พระธรรมมุนี

นับตั้งแต่พระภิกษุแพ ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดพิกุลทอง ได้บำเพ็ญประโยชน์ และสาธารณประโยชน์ทั่วไป ได้แก่ สร้างพระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ หอสวดมนต์ หอประชุมกุฎิสงฆ์ หอไตร หอฉัน ศาลาวิปัสสนา โรงฟังธรรม ฌาปนสถาน ศาลาเอนกประสงค์ เขื่อนหน้าวัด ฯลฯ ดำเนินการก่อสร้างสารธรณประโยชน์ เพื่ออนุเคราะห์แก่ประชาชนทั่วไป

1. เป็นประธานก่อสร้างโรงพยาบาลอำเภอท่าช้าง

2. เป็นประธานก่อสร้างที่ว่าการอำเภอท่าช้าง

3. เป็นประธานก่อสร้างสถานีตำรวจภูธรอำเภอท่าช้าง

4. เป็นประธานก่อสร้างสถานีอนามัยตำบลพิกุลทอง

5. เป็นประธานก่อสร้างโรงเรียนประชาบาลวัดพิกุลทอง

6. เป็นประธานหาทุนสมทบในการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ที่อำเภอ อินทร์บุรีและสะพานข้ามแม่น้ำน้อย อำเภอท่าช้าง

7. ดำเนินการก่อสร้างสาธารณประโยชน์ ให้กับโรงพยาบาลสิงห์บุรี

พ.ศ. 2528 ก่อสร้างอาคารหลวงพ่อแพ 80 ปี เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กสูง 4 ชั้น มูลค่า 11,100,000 บาท (สิบเอ็ดล้านหนึ่งแสนบาทถ้วน) สามารถให้บริการผู้ป่วยได้ 89 เตียง พร้อมทั้งจัดตั้งกองทุนเพื่อใช้เป็นค่ายาและเวชภัณฑ์ สำหรับพระภิกษุสามเณรที่อาพาธในโรงพยาบาลสิงห์บุรี เป็นเงิน 200,000 บาท (สองแสนบาทถ้วน)

พ.ศ. 2532 ก่อสร้างอาคารเอ็กซเรย์ (อาคารหลวงพ่อแพ 86 ปี) เป็นอาคารคอนกรีต เสริมเหล็ก สูง 2 ชั้น มูลค่า 7,000,000  บาท (เจ็ดล้านบาทถ้วน) ก่อสร้างแล้วเสร็จ และทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2533-35

พ.ศ.2534 ก่อสร้างอาคารหลวงพ่อแพ 90ปี เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก สูง 6 ชั้น มูลค่า 35,095,555 บาท (สามสิบห้าล้านเก้าหมื่นห้าพันห้าร้อยห้าสิบห้าบาทถ้วน) อาคารหลังนี้ได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2534 เวลา 09.09 น. และเปิดให้บริการ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2537 โดยชั้นที่ 1 ถึงชั้นที่ 5 เป็นหอผู้ป่วยสามัญ ชั้นที่ 6 เป็นหอผู้ป่วยพิเศษ จำนวน15 ห้อง และทางโรงพยาบาลสิงห์บุรีได้กราบทูลเชิญ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคารหลวงพ่อแพ 90 ปี เมื่อวันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๙

พ.ศ. 2538 ก่อสร้างอาคารหลวงพ่อแพ เขมังกโร เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก สูง 9 ชั้น มูลค่า 120,000,000 บาท (หนึ่งร้อยยี่สิบล้านบาทถ้วน) ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์เมื่อ วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2539 ชั้นที่ 1-2 เป็นแผนกบริการผู้ป่วยนอก ชั้นที่ 3-4 เป็นฝ่ายอำนวยการ ชั้นที่ 5-9 เป็นห้องผู้ป่วย จำนวน 60 ห้อง ก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ตลอดชีวิตของหลวงพ่อได้บำเพ็ญสาธารณประโยชน์อย่างเอนกอนันต์ และได้อุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้แก่ประชาชนผู้เดือดร้อนหรือตกทุกข์ได้ยากตลอดมาหลวงพ่อแพ เปรียบเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทรของประชาชนทั่วไปได้แผ่บารมีช่วยเหลือกิจการต่าง ๆ จวบจนท่านมรณภาพเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 รวมสิริอายุ 94 ปี



ที่มาเว็บ ปาฏิหาริย์2009  ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ   

147


ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้
ขอบคุณความยากจน ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ
ขอบคุณความล้มเหลว ที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ
 
ขอบคุณความผิดพลาด ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม
ขอบคุณความริษยา ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ

ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้จักครูที่ชื่อประสบการณ์
ขอบคุณความผิดหวัง ที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นมาใหม่
ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า ที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ

ขอบคุณมหกรรมคอรัปชั่น ที่ทำให้เราอยากสร้างสรรค์การเมืองใหม่
ขอบคุณความป่วยไข้ ที่ทำให้เราตั้งใจดูแลสุขภาพ
ขอบคุณความทุกข์ที่ ทำให้เรารู้ว่าความสุขมีค่าแค่ไหน

ขอบคุณความพลัดพราก ที่ทำให้เราสละจากความยึดมั่น ถือมั่น
ขอบคุณเพลิงกิเลส ที่ทำให้เรามีเหตุอยากถึงพระนิพพาน
ขอบคุณความตาย ที่ทำให้ฉากสุดท้ายของชีวิตสมบูรณ์แบบ


เจริญพร
ว วชิรเมธี

ที่มา : FW

148
บทความ บทกวี / ไม่รู้ใจของตน
« เมื่อ: 09 ม.ค. 2553, 03:14:30 »


ตัวของเราทั้งหมดมีจิตอันเดียวเป็นของสำคัญอยู่ในตัวของเรา 
คนมากมายหมดทั้งโลกนี้ก็จิตตัวเดียว 
จิตคนละดวงๆเท่านั้นแหละ  มันวุ่นวายอยู่นี่แหละ 
แต่ละคนๆ รักษาจิตของเราไว้ได้แล้ว  มันจะวุ่นอะไร  มันก็สงบหมดเท่านั้น 
ต่างคนต่างรักษาใจของตน    ต่างคนมีสติรักษาใจเท่านั้นก็เป็นพอ 
ที่มันยุ่งมันวุ่นก็เพราะเหตุที่ไม่รู้ใจของตน  รักษาใจของตนไว้ไม่ได้ 

มีโลภโมโทสันสารพัดทุกอย่าง  วุ่นวี่วุ่นวายเกิดแต่ใจนี่ทั้งนั้น   
แล้วใจมันได้อะไรล่ะ   โลภมันได้อะไรไปใส่ใจ  โลภมันไปกองอยู่ที่ใจมันได้อะไร 
โทสะเอาไปไว้ที่ไหนล่ะ  ไปไว้ที่ใจมีไหมล่ะ    โมหะ ความหลงไปไว้ที่ใจมีไหม   
ใจไม่เห็นมียุ้งมีฉางใส่  ใจไม่เห็นมีตนมีตัว  มันได้อะไร  มีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย   
ผู้ที่ว่าได้ว่าดีนั้น มันดีตรงไหน  โลภโมโทสันได้มาแล้วว่าดีนั้น   โกรธ  โลภ หลง  คนนั้นคนนี้
เห็นตนว่าวิเศษวิโส  ว่าตนดี  มันดีอะไร  วิเศษอะไร  มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย


หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี  วัดหินหมากเป้ง  จ.หนองคาย

จากหนังสือ  เทสกานุสรณ์  หน้า ๑๕๙

149
ที่มาของบทสวดมนต์ชัยมงคลคาถา อาตมาได้ตำราเก่าแก่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นใบลานทองคำจารึกของ "สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว" ปัจจุบันเรียกว่า วัดใหญ่ชัยมงคล อยุธยา ได้รจนาถวายพระพรชัยมงคลคาถาแด่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระพนรัตน์เป็นอาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

อานิสงส์ของบทสวดมนต์ชัยมงคลคาถา หรือพาหุงมหากาฯ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชไม่เคยแพ้ทัพ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ไม่เคยแพ้ทัพ พระชัยหลังช้างของ ร.๑ นั้นมาจากบทพาหุงมหากาฯ

ผู้ใดสวดมนต์ชัยมงคลคาถา หรือพาหุงมหากาฯ เป็นประจำทุก ๆ วันแล้ว มีแต่ชัยชนะทุกประการ เรียนหนังสือก็เกิดปัญญา มีแต่ความเก่งกล้าสามารถ ผู้ใดสวดทุกเช้าค่ำ คิดสิ่งใดที่ดีเป็นมงคล จะสมความปรารถนาทุกประการ

150
บทความ บทกวี / โรคเบาหวานหายได้
« เมื่อ: 09 ม.ค. 2553, 12:32:59 »
ท่านนายกพุทธสมาคมและสมาชิกสภาจังหวัดอุทัยธานีท่านหนึ่ง มีธุระต้องนำหนังสือเชิญคณะกรรมการพุทธสมาคม จังหวัดอุทัยธานี มาประชุมประจำเดือน จึงขึ้นรถเครื่องตระเวนไปส่งหนังสือจนครบทุกคน แล้วรีบกลับบ้าน เพื่อเตรียมวานการประชุมต่อไป ครั้นรถเครื่องวิ่งมาถึงสี่แยกไฟแดงวัดสังกัสรัตนคีรี มีรถกะบะวิ่งสวนมาอย่างรีบร้อน หักพวงมาลัยเลี้ยวขวาอย่างรวดเร็ว เป็นจังหวะที่รถของท่านกำลังวิ่งสวนมา จึงเกิดเฉี่ยวชน ถูกขาขวาของท่านหัก และมีบาดแผลที่ขาอีกหลายแห่ง กระเด็นลงไปกลิ้งอยู่กับถนน แต่ไม่มีส่วนอื่นใดอีกที่ได้รับอันตราย รถเครื่องเสียหายเพียงเล็กน้อย รถกะบะไม่เสียหายอะไรเลย ปรากฎว่าผู้ขับขี่รถยนต์กะบะ เป็นผู้หญิงออกรถยนต์มาใหม่ ๆ คาดว่าชั่วโมงการขับคงยังมีน้อย เพราะก่อนหน้าสักวันหรือสองวันก็ปรากฎว่า ขับชนกับเสาไฟฟ้ามาแล้ว คนขับเขาไม่มีเจตนาที่จะขับชน แต่เป็นเพราะท่านขับรถช้าเอง มีผู้นำส่งโรงพยาบาลอุทัยธานี วันนั้นหมอกระดูกไม่อยู่ ต้องทรมานปวดอยู่อีก ๑ วัน วันรุ่งขึ้นจึงได้เข้าเฝือก คงจะเป็นกรรมที่ขับรถชนสุนัขขาหักกระมัง

ก่อนจะถูกรถชนครั้งนี้ เป็นเวลาหลายวันมาแล้วที่ท่านไม่มีความสบายใจ ใจคอห่อเหี่ยวและหดหู่ เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเป็นสิ่งที่ไม่น่าดู เห็นผู้คนแปลกหน้าไปหมด เบื่อสังคม ดูโลกไม่สดชื่นเลย นอนก็ไม่ค่อยจะหลับ ประเดี๋ยวก็ตื่น นอนหลับไม่ถึง ๓๐ นาทีก็ตื่นแล้ว ไม่ทราบว่าเป็นอะไร จึงต้องขอพึ่งพระรัตนตรัย เข้าห้องพระ สวดมนต์ ทำสมาธิ อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรและแผ่เมตตา ทำให้นอนหลับในห้องพระนั้นได้บ้าง เป็นที่กังขาของแม่บ้านยิ่งนัก

แต่ก็นับเป็นสิ่งที่แปลกมากอยู่เหมือนกัน เมื่อถูกรถชนแล้ว ใจกลับรู้สึกปลอดโปร่ง มีกำลังใจดี บอกกับบุตรภรรยาว่า อะไรจะเกิด ก็ให้มันเกิด ท่านไม่มีห่วงอะไรแล้ว แม้จะพิการหรือถึงแก่เสียชีวิตเพราะมีอายุที่ได้ใช้มาคุ้มทุนแล้ว อายุที่อยู่ในปัจจุบันเป็นส่วนของกำไร จึงขอให้ทุกคนทำใจให้ได้

อนึ่งท่านเป็นโรคเบาหวาน ตรวจพบหลายปีแล้ว มีค่าน้ำตาลในโลหิต ๒๐๕ มิลลิกรัม ต่อ ดีแอล หมอสั่งให้รับประทานยาเป็นประจำ แต่ก็ไม่ยอมลด เข้าโรงพยาบาลครั้งนี้ นอกจากรักษาโรคกระดูกหักแล้ว ยังต้องรักษาโรคเบาหวานอีกด้วย เข้าโรงพยาบาลรักษาแผลเป็นเวลาได้ ๑ เดือน บาดแผลที่ขาก็ไม่หายและมีทีท่าว่าจะติดเชื้อ ตรวจโลหิตเบาหวานก็ไม่ยอมลด ฉายเอ๊กซเรย์กระดูกปรากฎว่า ไม่ยอมติดกันเลย จึงสอบถามนายแพทย์ชยันตร์ ตันวัฒนกุล ซึ่งเป็นหมอประจำตัวว่าจะต้องถูกตัดขาหรือไม่ หมอตอบว่ามีทางเป็นไปได้ ในระหว่างนี้อยู่ในเกณฑ์ ๕๐ หมอจึงทำการผ่าตัดโดยนำเอาเนื้อที่สะโพกไปปะที่ขาทั้ง ๓ แผล

ในระหว่างพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลครั้งนี้ ท่านใช้เวลาให้หมดไป ด้วยการอ่านหนังสือธรรมะ มีหนังสือของหลวงพ่อที่รวบรวมไว้ หนังสือวิปัสสนากรรมฐาน ของพระธรรมธีราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ป.ธ.๙) วัดมหาธาตุ และของท่านอื่น ๆ อีกมาก เมื่อทราบว่ามีโอกาสที่จะถูกตัดข้าทิ้งกลายเป็นคนพิการในไม่ช้านี้ ก็รำลึกถึงหลวงพ่อขอให้ท่านช่วยด้วย บังเกิดแรงดลใจ นำหนังสืออานิสงส์ของการสวดพระพุทธคุณของหลวงพ่อมาทบทวน และปฏิบัติตามทันที

ตามปกติก่อนนอน ท่านก็สวดมนต์เป็นนิตย์ ตั้งจิตภาวนาเป็นประจำ อโหสิกรรมทุกวันอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ เพิ่มการสวดมนต์บทพาหุงมหากาฯ คาถาชินบัญชร และสวดพุทธคุณเท่าอายุเพิ่มเข้าไปอีก ตอนนั้นท่านอายุ ๖๗ ปี สวดพุทธคุณ ๖๘ จบ จิตใจปราศจากการฟุ้งซ่าน

เกิดปรากฎการณ์ที่น่าสนเท่ห์ คือแผลที่ขาขวา ๓ แผลนั้น แผลใหญ่ ๒ แผล เนื้อที่นำมาปะติดนั้นติดกันดี ส่วนแผลเล็กอีกหนึ่งแผล ไม่ยอมรับเนื้อใหม่ แต่แสดงอาการดีขึ้น รักษาแผลตอนนี้ ใช้เวลาอีก ๑ เดือน บาดแผลใหญ่น้อยก็หาย เมื่อไปฉายเอ๊กซเรย์ดูอีกครั้ง ปรากฎว่ากระดูกยังไม่ยอมติด เพราะบอบช้ำมาก มีบางส่วนหักป่นไปหมด จึงนำเข้าห้องผ่าตัด นำกระดูกเชิงกรานไปต่อกระดูกที่ขา และนำเหล็กไปดามกระดูกไว้ผ่าตัดครั้งนี้ มีแผลที่ ขายาว ๑๕ เซนติเมตร พอครบ ๑๐ วัน ก็สามารถตัดไหมออกได้ บาดแผลไม่มีปัญหาแต่อย่างใดเลย ท่านรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลา ๙๐ วันพอดี ก็ออกมาพักฟื้นอยู่กับบ้านอีก ๒ เดือน จึงทำการผ่าตัดเอาเฝือกออก ปัจจุบันสามารถเดินได้โดยไม่ต้องมีไม้ค้ำยัน แต่ยังเดินไม่ได้ดีเหมือนเก่า หมอจึงสั่งให้ทำกายภาพบำบัดต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง

การที่ท่านรอดพ้นจากการถูกตัดขาทิ้ง เพราะโรคเบาหวานไปได้นี้ ส่วนหนึ่งเป็นด้วยอำนาจของการสวดพระพุทธคุณเท่าอายุบวกหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งด้วยการดูแลของหมอโรคกระดูก และเป็นหมอประจำตัวของท่านเป็นอย่างดีด้วย

ผู้ใดที่มีทุกข์เพราะโรคภัยเบียดเบียนก็ดี หรือทุกข์เพราะความผิดหวังก็ดี หรือทุกข์เพราะประสบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาก็ดี ขอให้ลองรำลึกถึง หลวงพ่อและสวดบทพุทธคุณเท่าอายุบวกหนึ่งเป็นประจำ อาจจะได้รับผลอย่างที่ท่านได้ปฏิบัติมา ท่านได้รับทุกข์เพราะรถชนครั้งนี้ คิดว่าเป็นกรรมที่ทำไว้ ตามมาให้ผลสมดังที่พระพุทธองค์ดำรัสว่า เราทำดีก็ตาม ทำชั่วก็ตาม เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น กรรมเก่าเป็นของแก้ไม่ได้ เพราะแล้วไปแล้ว แต่กรรมที่จะทำใหม่ บุคคลควรละฝ่ายชั่วเสีย ทำแต่กรรมดี กิเลสนั้นเมื่อคนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็หมดเรื่อง ส่วนเรื่องกรรมนั้นถึงสิ้นกิเลสเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ถ้ายังไม่นิพพานก็ยังต้องเสวยผลของกรรมเก่า ต่อเมื่อนิพพานแล้วจึงจบเรื่องกรรม กมฺมสฺสโกมฺหิ เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน...

จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๘ เรื่อง สวดพระพุทธคุณแก้กรรม (โรคเบาหวาน) โดย ยงยุทธ สาธิตานนท์

151


ในคราวหนึ่งกรมหลวงชุมพรฯ ได้เสด็จไปเยี่ยมหลวงปู่ศุขที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า  มีจางวางถึกตามเสด็จไปด้วย พร้อมกับทหารเรืออีกหลายนาย  และวันนั้นหลวงปู่ศุขได้ทำพิธีลงตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จในกรมซึ่งขณะนั้นเป็นเวลา 12.00 น. พอดี หลวงปู่ได้กล่าวกับเสด็จในกรมว่า

“วิชาอาคมต่าง ๆ อาตมภาพได้ประสิทธิ์ประสาทให้พระองค์ไว้มากแล้ว  แต่ยังขาดของสำคัญอีกสิ่งหนึ่ง สิ่งนี้พระองค์จะขาดไม่ได้เพราะจะต้องติดตัวไว้กับพระองค์เสมอ เป็นของวิเศษที่มีอภินิหารมาก”

นอกจากนี้หลวงปู่ได้ตระเตรียมสิ่งของไว้ให้คือ แผ่นโลหะเป็นเงินหนัก 1 บาท นาคหนัง 1 บาท ทองคำหนัก 1 บาท รวมเป็น 3 กษัตริย์  สามารถแก้อาถรรพณ์ต่าง ๆ ได้

เมื่อลงตะกรุดแล้วเอาด้ายสายสิญจน์มาเสกแล้วควั่นร้อยผูกเอวหรือจะคล้องคอก็ได้  ของสิ่งนี้แหละที่หลวงปู่ศุขตั้งใจทำถวาย และกล่าวกับพระองค์อีกว่า  “รอเดี๋ยว เข้าที่บูชาก่อน”

จากนั้นหลวงปู่ก็เข้าห้อง  จุดธูปเทียนจนควันตลบออกมาถึงข้างนอก สักครู่หนึ่งจึงเรียกเสด็จในกรมเข้าไปในห้อง  ครู่ใหญ่ทั้ง 2 ก็เดินออกมาจากห้อง ในมือของหลวงปู่ศุขถือเหล็กกับแผ่นโลหะและด้ายควั่นสีขาว  อีกมือหนึ่งถือเทียนเล่มโตนำเสด็จในกรมลงจากกุฏิ  จางวางถึกและทหารคนสนิทรีบก้าวตามออกไปด้วยจนถึงศาลาน้ำหน้าวัด  หลวงปู่จึงพูดว่า

“พระองค์รออยู่ที่นี่เดี๋ยว  อาตมาจะระเบิดน้ำลงไปทำตะกรุดที่กลางแม่น้ำเดี๋ยวนี้”

กรมหลวงชุมพรฯ  มิได้ตรัสตอบแต่ประการใด คงยืนนิ่งอยู่ที่ศาลาพร้อมด้วยเหล่าทหารคนสนิท  ส่วนหลวงปู่ศุขก็หันตัวก้าวเดินลงบันไดท่าน้ำ  มีเทียนเล่มใหญ่จุดไฟลุกโชติช่วง ตัวท่านค่อย ๆ จมหายไปในน้ำในที่สุด

ทุกคนเฝ้ามองด้วยใจระทึก  เพราะเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก  น้อยคนจะมีโอกาสเช่นนี้  หลายคนเฝ้าจับจ้องท้องน้ำอย่างใจจดใจจ่อ  ท่ามกลางสายน้ำที่ไหลวกวนไปมา  นานเกือบหนึ่งชั่วโมง  หลวงปู่จึงเดินขึ้นมาที่บันไดศาลาท่าน้ำ  เทียนยังสว่างเหลือเพียงคืบกว่า ๆ ผ้าสบง จีวร หาได้เปียกน้ำอะไรมากมาย (หมาด ๆ)

หลวงปู่ขึ้นมาแล้วก็มุ่งสู่กุฏิทันที  แต่ก็ไม่ลืมหันมาสั่งเสด็จในกรมฯ ให้ไปกุฏิพร้อมกัน เมื่อเดินไปถึงและเข้าห้องบูชา หลวงปู่เอาเทียนที่เหลือปักไว้บนโต๊ะหมู่บูชา  จึงได้นั่งลง  หลวงปู่ศุขส่งตะกรุดสามกษัตริย์ให้เสด็จในกรมฯ  พลางว่า

“เก็บไว้ให้ดี ไปไหนมาไหนก็ให้เอาติดตัวไปด้วย”

พระองค์ทรงกราบแล้วรับเอาตะกรุดจากหลวงปู่ พลางตรัสถามว่า  “ท่านอาจารย์  ตะกรุดนี้มีข้อห้ามอะไรหรือไม่”  หลวงปู่บอก  “ไม่มีห้ามอะไร  ทองคำตกอยู่ที่ไหนก็เป็นทองคำอยู่นั่นแหละ”

จากนั้นหลวงปู่เอาพระเครื่ององค์เล็กดำ ๆ มาแจกให้เหล่าทหารที่ตามเสด็จพร้อมกับประพรมน้ำมนต์ให้ทั่วหน้า  จนเวลา 15.30 น.  พระองค์จึงได้มาลงเรือและเสด็จกลับ

ตะกรุดสามกษัตริย์นี้ กรมหลวงชุมพรฯ มิเคยเอาออกห่างพระวรกายเลย เท่าที่ทราบมาตะกรุดดอกนี้ตกอยู่ที่หม่อมเจ้ารังสิยากร  เนื่องจากก่อนที่เสด็จในกรมจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงหยิบตะกรุดสามกษัตริย์ดอกนี้ออกจากคาดเอว มอบให้กับหม่อมของท่าน ทรงรับสั่งว่า “เอาเก็บไว้ให้เจ้าตุ่น”

“เจ้าตุ่น”  นี้คือหม่อมเจ้ารังสิยากร  โอรสพระองค์โปรดของเสด็จในกรม

ในช่วงสมัยมหาสงครามเอเชียบูรพา (เสด็จในกรมสิ้นพระชนม์แล้ว)  หม่อมเจ้ารังสิยากรประทับอยู่ใกล้วัดคอกหมู  คลองบางหลวง ฝั่งธนบุรี  วันนั้นเวลา 10.30 น.  ฝูงบินฝ่ายสัมพันธมิตรส่งป้อมบินมาทิ้งระเบิดฐานทัพญี่ปุ่น เครื่องบินสีน้ำเงินสะท้อนแสงอาทิตย์วับวาวเต็มท้องฟ้า

หม่อมเจ้ารังสิยากรแหงนหน้ามองฝูงบินที่บินผ่านไปพร้อมกับพูดกับนายทหารผู้หนึ่งที่ยืนมองดูเครื่องบินด้วยกัน “นี่เครื่องบิน บี.27”   ฉับพลันนั้น  ก็ได้ยินเสียงลูกระเบิดที่ลงถล่มทางปากคลองตลาดเทเวศร์สนั่นหวั่นไหว นายทหารผู้นั้นทำความเคารพก่อนจะถามหม่อมเจ้ารังสิกากรว่า “ฝ่าบาทไม่กลัวลูกระเบิดหรือ”  หม่อมเจ้ารังสิยากรได้ฟังก็ควักเอาตะกรุดขึ้นจากกระเป๋าเสื้อชูให้ดู  แล้วพูดว่า  “จะต้องกลัวอะไร นี่..เสด็จพ่อให้ของดีไว้”

ใช่แล้ว  เป็นตะกรุดสามกษัตริย์ที่หลวงปู่ศุขทำถวายกรมหลวงชุมพรฯ นั่นเอง


น่าสนใจ เนื้อหาดี เลยนำมาฝากกันครับ

ที่มาจาก  http://www.geocities.com/tdamrongsak/Chumporn.doc ขอขอบคุณเป็นอย่างสูงนะครับ ขอบคุณครับ

152



คาถาบูชาพระพุทธไตรรัตนนายก (หลวงพ่อโต)
วัดพนัญเชิงวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ตั้งนะโม 3 จบ แล้วว่า


โตเสนโต วะระธัมเมนะ โตสัฎฐาเน สุเว วะเร
โตสัง อะกาสิ ขันตุนัง โตสะจิตตัง นะมามิหัง


พรหลวงพ่อโต


ขอเดชะหลวงพ่อโตพุทโธภาส โลกนารถจอมมุนินทร์ชินศรี
แม้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปนานปี ยังคงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อิทธิพล
ทุกๆ แห่งแหล่งปูชนียสถาน ช่วยบันดาลวัฒนาสถาผล
แต่บรรดาโยมญาติสาธุชน ทั่วทุกคนที่มาวันทาเทอญ

153
ลำดับการสวดมนต์

“พระพุทธคุณ อาตมาสังเกตมาว่า บางคนเขาไปหาหมอดู เคราะห์ร้ายก็ต้องสะเดาะเคราะห์ อาตมาก็มาดูเหตุการณ์โชคลางไม่ดีก็เป็นความจริงของหมอดู อาตมาก็ตั้งตำราขึ้นมาด้วยสติ บอกว่า โยมไปสวดพุทธคุณเท่าอายุให้เกินกว่า ๑ ให้ได้ เพื่อให้สติดี แล้วสวด “พาหุงมหากาฯ” หายเลย สติก็ดีขึ้น เท่าที่ใช้ได้ผล สวดตั้งแต่ นะโม พุทธัง ธัมมัง สังฆัง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากาฯ จบแล้วย้อนกลับมาข้างต้น เอาพุทธคุณห้องเดียว (อิติปิโส ภะคะวา จนถึง พุทโธ ภะคะวาติ) ห้องละ ๑ จบ ต่อ ๑ อายุ อายุ ๔๐ สวด ๔๑ ก็ได้ผล”

-ตั้งนะโม ๓ จบ
-สวดพุทธัง ธัมมัง สังฆัง
-สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ
-สวดพุทธชัยมงคลคาถา (พาหุงฯ)
-สวดมหาการุณิโก
-สวดพุทธคุณ อย่างเดียวเท่ากับอายุ บวก ๑
 เช่น อายุ ๒๘ ปี ให้สวด ๒๙ จบ อายุ ๕๔ ปี ให้สวด ๕๕ จบ เป็นต้น
-แผ่เมตตา
-อุทิศส่วนกุศล


จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๓ เรื่อง อานิสงส์ของการสวดพุทธคุณ โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์

154


ประวัติ หลวงพ่อกลั่น ธมฺมโชติ
วัดพระญาติการาม
ตำบลไผ่ลิง อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พระเดชพระคุณเจ้า หลวงพ่อกลั่น ธมฺมโชติ ผู้เป็นพระอาจารย์ชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของเมืองไทย ในบรรดาพระอาจารย์เจ้าของเหรียญเป็น คือ เป็นพระอาจารย์ที่ปลุกเสกเหรียญรูปเหมือนของท่านด้วยตัวของท่านเอง เหรียญของท่านที่เป็นพิมพ์นิยมนั้นราคาแพงอันดับหนึ่งในเมืองไทยก็แล้วกัน คือแพงเป็นล้านบาท จริงๆ ว่ากันไปแล้ว หลวงพ่อเงิน บางคลาน จังหวัดพิจิตร ท่าน ก็ดังมากแต่เหรียญรูปเหมือนของท่านยังไม่แพงเหมือนหลวงพ่อกลั่นเลย หรืออย่างหลวงพ่อศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งประวัติอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ของท่านนั้นขลังมากมาย แต่ก็เป็นที่น่าแปลกอย่างมาก ที่เหรียญของท่านแพงสู้เหรียญของหลวงพ่อกลั่นไม่ได้
ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยานั้นพระอาจารย์ยุคเก่าๆ หลายท่านด้วยกัน ที่มีวิชาความรู้ในด้านธรรมชั้นสูง ด้านกรรมฐาน ด้านวิชาอาคมขลังอย่างยอดเยี่ยมหลายๆ ท่านด้วยกัน พระอาจารย์หลายท่านสมัยก่อนในกรุงเก่าที่ลงตำราพิชัยสงครามได้ ในจังหวัดต่างๆ ของเมืองไทย ไม่มีที่ไหนบอกเอาไว้เลยว่าลงเครื่องพิชัยสงครามได้มีแต่ที่กรุงเก่าเท่านั้น
ยุคของหลวงพ่อกลั่น พระเกจิฯ ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในกรุงเก่ามีด้วยกันหลายรูป หลวงพ่อปุ้มวัดสำมะกัน อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อรอด วัดสามไถ หลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ หลวงพ่อนวม วัดกลาง หลวงพ่อกรอง วัดเทพขันทร์ลอย หลวงพ่ออ่ำ วัดวงษ์ฆ้อง ท่านเก่งทางรักษาโรคด้วย สามารถมองหน้าคนก็รู้ว่าเป็นโรคอะไรท่านเก่งทางรักษาโรคขึ้นชื่อที่สุด นอกจากนี้ยังมีหลวงพ่อแพ วัดโตนด นครหลวง หลวงพ่อแพ วัดกลางคลอง เสนา ท่านก็เก่ง สำหรับพระอาจารย์ที่สร้างเหรียญเอาไว้เป็นเหรียญที่เก่ามากอีกท่านหนึ่งก็ คือ พระอุปัชฌาย์เย ท่านเป็นเจ้าคณะแขวง คือเจ้าคณะจังหวัดนั่นเองเหรียญท่านสร้าง พ.ศ. 2467 แต่เหรียญท่านราคาไม่แพง
อดีตในจังหวัดนี้มีพระอาจารย์ที่รับการ ถ่ายทอดอาคมขลังจากสำนักต่างๆ ในยุคนั้นมีสำนักวัดตูม สำนักวัดประดู่ทรงธรรม ทั้งสองสำนักนี้ได้สืบทอดตำรามนต์อาถรรพณ์ และด้านธรรมะมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว พระอาจารย์ในยุคกึ่งพุทธกาลก็หลายสิบรูปด้วยกัน แม้แต่ทุกวันนี้และที่ผ่านมาพระอาจารย์หลายๆ ท่านก็รับการสืบทอดตำรามาจากสองสำนักนี้แหละ
วัดพระญาติการาม วัดนี้ในอดีตถือว่าเป็นสำนักเรียนวัดหนึ่ง ถึงจะเป็นวัดเล็กก็ตาม วัดอยู่ริมคลองระฆัง ก่อนเข้าตัวเมืองอยุธยาจะเห็นทางแยกเข้าวัดพระญาติการาม แยกจากถนนเข้าไปอีกเล็กน้อยก็จะถึงวัด เจ้าอาวาสที่ปกครองวัดนี้ก่อนหลวงพ่อกลั่นนั้นไม่ทราบว่ามีใครบ้าง หลังจากสิ้นหลวงพ่อท่านก็มาถึงหลวงพ่ออั้น หลานชายของหลวงพ่อกลั่นและมาถึงหลวงพ่อเฉลิมหลานของหลวงพ่ออั้น
ปัจจุบัน วัดนี้ได้รับการพัฒนาอย่างมากจากหลวงพ่อเฉลิม ท่านสร้างวิหารขึ้นประดิษฐานรูปเหมือนของหลวงพ่อกลั่น หลวงพ่ออั้น มีคนเดินทางไปกราบไหว้รูปเหมือนของท่านกันไม่ขาด มณฑปท่านสร้างถึงหลายล้านบาทสวยงามอย่างยิ่ง
ชาติภูมิของหลวงพ่อ กลั่น ท่านเกิดที่บ้านอรัญญิก แต่ก่อนขึ้นกับอำเภอนครหลวง ปัจจุบันขึ้นกับอำเภอท่าเรือ พ่อท่านชื่ออิน แม่ท่านชื่อชั้น มีพี่น้อง 4 คนหลวงพ่อกลั่นท่านเป็นคนโต พ่อแม่ท่านประกอบอาชีพในการทำนา
เยาว์วัย ท่านเป็นเด็กที่มีความเฉลียวฉลาดอย่างมาก รูปร่างหน้าตาคม รูปร่างโปร่งผิวขาวหมดจด ท่านได้เข้าเรียนหนังสือที่วัดประดู่ทรงธรรม พระอาจารย์ม่วงเป็นพระอาจารย์สอนพระอาจารย์รูปนี้มีวิชาความรู้มาก สมาธิแก่กล้า มีความรู้ทางธรรมสูง หลังจากที่เล่าเรียนเขียนอ่านแล้วท่านก็ไปช่วยพ่อแม่ท่านประกอบอาชีพทำนา ด้วยท่านเป็นผู้ที่ชอบในวิชากระบี่กระบอง ทั้งวิชาการต่อสู้ในเชิงมวย ท่านเป็นคนที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวและมีชั้นเชิงในการต่อสู้และชั้นเชิงในวิชา กระบี่กระบองเป็นอย่างมากเมื่อเรียนมาแล้วท่านยังฝึกฝนในชั้นเชิงการต่อสู้ ป้องกันตัวด้วยตัวของท่านเอง การชกมวยของท่านดังกระฉ่อนไปไกล อีกทั้งรูปร่างหน้าตาที่ดีเป็นเสน่ห์ต่อฝ่ายตรงข้าม ทำให้ท่านมีศัตรูมาก บางครั้งถึงขนาดดักทำร้ายท่านแต่ก็ถูกท่านปราบมาแล้วอย่างง่ายดาย ขนาดรุ่นใหญ่ยังต้องหลีกทางให้ท่าน ท่านไม่รังแกใครก่อนแต่ไม่ยอมให้ใครมารังแกท่าน
พระอาจารย์สมัย ก่อนนั้น แต่ละรูปล้วนแต่ผ่านชีวิตมาแล้วอย่างโชกโชน แม้แต่หลวงพ่อนวมวักลางท่านก็ไม่เบาเอาเลย สมัยเป็นหนุ่มนั้นก็เคยไปช่วยเพื่อนฉุดสาวคนรักของเพื่อนมาให้ ท่านใจกล้าเข้าไปในบ้านเจ้าสาวเอาสาวงามออกมาได้ถึงจะผ่านมีดดาบ หอก ไม้ตะพดมาแล้ว ก็ไม่ระคายผิวหนัง หลวงพ่อกลั่นท่านผ่านมาแล้วอย่างโชกโชน เพื่อนๆ ของท่านถูกรังแกจากคนบ้านอื่น จะต้องมาขอร้องให้ท่านช่วยเหลือ จนท่านได้รับสมยานามว่า พี่ใหญ่
นอกจากจะเก่งทางวิชาการกระบี่ กระบองวิชามวยไทยในแบบการป้องกันตัวต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมแล้ว ท่านได้สนใจวิชาอาคมขลัง สมัยก่อนต้องหนังดีคงกระพันชาตรีใครตีไม่แตก จะเป็นวิชาเสกหมาก เสกใบพูลกินให้เหนียว เสกปูนพาดคออาพัดเหล้ากินให้หนังเหนียวหรือจะเสกฝุ่นเสกน้ำอาพัดน้ำลายกลืน ฟันแทงไม่เข้าตีไม่แตก นอกจากนี้ท่านยังเรียนวิชาปลาไหลเผือกจับไม่ติด เวลาเข้าประจันด้วยศัตรูที่มีมากกว่าจะจับอย่างไรก็หลุดไปหมด หากไม่แน่จริงแล้วท่านจะไม่ได้รับสมญานามอย่างแน่นอน
ท่านใช้ชีวิต มาอย่างมาก ในที่สุดท่านก็เบื่อชีวิตที่ผ่านมา หาแก่นสารอะไรไม่ได้เลย ชีวิตผ่านไปวันหนึ่ง อีกประการหนึ่ง วันนี้ชนะได้วันต่อไปอาจแพ้แน่นอน ไม่มีใครที่จะชนะไปได้ทุกครั้งท่านเองก็เคยล้มพวกนักเลงใหญ่มาแล้ว ต่อไปก็ต้องถูกคนรุ่นใหม่ขึ้นมาแทนล้มท่านบ้าง ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม ชั้นเชิงการต่อสู้และการหักหลังท่านพบเห็นมาแล้ว ท่านจึงตัดสินใจบวช
หลวงพ่อบวชที่วัดประดู่ทรงธรรม ท่านพระอุปัชฌาย์ม่วงเป็นพระอุปัชฌาย์ และเป็นพระอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ด้านธรรมและด้านมนต์อาถรรพณ์ต่างๆ ท่านศึกษาอยู่สำนักวัดประดู่ทรงธรรมได้รับความรู้ต่างๆ เอาไว้อย่างมาก ประกอบกับท่านเป็นพระที่เอาการเอางานเป็นธุระในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจาก พระอาจารย์ หลวงพ่อม่วงเห็นว่าท่านสมควรจะไปอยู่ดูแลวัดพระญาติการาม ซึ่งตอนนั้นวัดกำลังขาดผู้ดูแลผู้นำในการบูรณะซ่อมแซมด้วยสภาพที่ก่อสร้างมา ช้านาน
ด้วยชื่อเสียงของท่านที่โด่งดังไปทั่วไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า พระอาจารย์อื่นๆ ในลุ่มเจ้าพระยา เสด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระองค์ท่านชอบวิชาอาคมขลังและด้านความรู้ทางสมุนไพร ยังเดินทางไปกราบท่านและฝากตัวเป็นศิษย์ท่าน ยังได้พบกับความขลังความศักดิ์สิทธิ์ให้ประจักษ์มาแล้ว หลวงพ่อกลั่นท่านเป็นพระที่ชอบความสงบเงียบ ชอบการเจริญกรรมฐานภาวนา ออกเดินธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ สมัยนั้นเมื่อเล่าเรียนวิชาแล้วต้องฝึกกรรมฐานให้แก่กล้า มีความรู้ทางด้านยาสมุนไพร ในการรักษาไข้รักษาโรคร้ายต่างๆ อีกทั้งถอดถอนคุณไสยร้ายได้อย่างดี ถึงจะสามารถรักษาตัวรอดพ้นไปได้
เหรียญรูปเหมือน เหรียญรุ่นแรกของท่านสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2469 เป็นเหรียญทรงเสมาถือว่าเป็นเหรียญราคาแพงที่สุด สภาพสวยงามสมบูรณ์ราคาแพงเป็นล้านบาท เหรียญของท่านมีไม่มากนัก ส่วนมากที่พบจะเป็นเหรียญเก๊ สร้างขึ้นในโอกาสที่ระลึก ในการปฏิสังขรณ์โบสถ์ สมัยนั้นให้ผู้ร่วมทำบุญคนละบาทเดียวเอง คุณเอ๋ย สมัยนั้นเงินบาทหนึ่งแพงมาก ขนมตะโก้อันละสองสตางค์อันโตรับประทานสองชิ้นก็อิ่ม ก๋วยเตี๋ยวชามละไม่กี่สตางค์ เหรียญของท่านด้านหน้า จะเป็นรูปหลวงพ่อกลั่นท่านนั่งเต็มองค์ห่มจีวรรัดอก ข้างเหรียญเป็นภาษาไทยเขียนเอาไว้ว่า หลวงพ่อพระอุปัชฌาย์กลั่น พระญาติ ใต้ขอบห่วงเหรียญเป็นตัวเลข พ.ศ. 2469 ด้านหลังตรงกลางเหรียญจะเป็นตัวยันต์นะเฑาะว์สมาธิ ใต้ตัวเฑาะว์จะเป็นตัวนะปิดล้อมหรือนะตัวต้น และมีตัวขอมว่า พุท ธะ สัง มิ คือ ตัวย่อหัวใจยอดศีล ใช้ทางมหานิยมและแคล้วคลาด พิมพ์นิยมของเหรียญรุ่นนี้ให้ดูที่เส้นซึ่งแกะพลาดเป็นเส้นเกินตรงขมวดยันต์ มีลักษณะคล้ายเบ็ดตกปลา จึงเรียกบล๊อกนี้ว่า พิมพ์ขอเบ็ด
หลังจาก นั้นคณะกรรมการจากทางวัดพระญาติการามพร้อมด้วยหลวงพ่ออั้นเดินทางไปยังร้าน ฮั่งเตียนเซ้ง ซึ่งเป็นผู้ปั๊มเหรียญนี้ทำขึ้นมาอีกครั้งนั้น สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม จันทนิล) เจ้าคณะใหญ่หนกลาง วัดชนะสงคราม ขณะนั้นท่านยังเป็นสามเณรอยู่วัดเลียบ ยังเป็นสามเณรอยู่ ร่วมเดินทางไปยังร้านด้วย ทางร้านบอกว่าด้านหน้ายังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ส่วนด้านหลังชำรุดต้องทำขึ้นใหม่อีก 2 พิมพ์คือ พิมพ์เสี้ยนตอง ให้ดูด้านหลังเหรียญที่จะมีเส้นเป็นริ้วตลอดหลังเหรียญเต็มไปหมด และอีกพิมพ์หนึ่งคือ พิมพ์หลังเรียบ ซึ่งขณะนั้นหลวงพ่อกลั่นท่านยังมีชีวิตอยู่ได้ปลุกเสกเหรียญทั้งสองรุ่นด้วย ตัวท่านเอง ซึ่งระยะเวลาห่างจากเหรียญที่ปั๊มครั้งแรกไม่กี่ปี ทำให้เหรียญมีราคาการเช่าหาแตกต่างกันอย่างมาก เหรียญหลังเสี้ยนตองและเหรียญหลังเรียบราคาการเช่าหาสภาพสวยๆ ก็เป็นหมื่นเหมือนกัน อีกทั้งให้ดูตัวตัดเหรียญที่ไม่เหมือนเหรียญรุ่นขอเบ็ด รอยตัดจะเรียบร้อยแล้ว เหรียญหลังเสี้ยนตองกับเหรียญหลังเรียบ รอยตัดจะไม่เหมือนกัน และดูที่ด้านหน้าของเหรียญหลังเสี้ยนตอง และเหรียญหลังเรียบ ด้านหน้าของเหรียญจะมีริ้วรอยของเม็ดขี้กลากขึ้นอยู่ทั่วไปของเหรียญ เพราะสนิมขึ้นบนเหล็กนั่นเอง
เหรียญกลมของหลวงพ่อกลั่น สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2478 ด้านหน้า เป็นรูปหลวงพ่อนั่งเต็มองค์ ห่มจีวรมีผ้ารัดอก แตกต่างจากเหรียญรุ่นแรกตรงที่ผ้ารัดอกรุ่นแรก ผ้าสังฆฏิจะทับผ้ารัดอก แต่รุ่นพ.ศ. 2478 ผ้ารัดอกจะทับผ้าสังฆาฏิ รอบขอบเหรียญจะเป็นตัวขอมอ่านว่า นะ มะ นะ อะ นอ กอ นะ กะ กอ ออ นอ อะ นะ อะ กะ อัง คาถาพระเจ้าสิบหกพระองค์ ด้านหลัง จะเป็นตัวเฑาะว์เหมือนรุ่นแรก แต่การเขียนแตกต่างกัน และมีตัวขอมเป็นตัวคาถาทางมหาอุด เหรียญรุ่นนี้มีทั้งเหรียญที่เรียกว่า นะกลม นะรี ให้ดูตรงใต้ฐานด้านหน้ารูปหลวงพ่อ ตัวนะปิดล้อมจะกลมและรี และอีกบล็อกหนึ่ง เรียกว่าบล็อกตาชั่ง คือตัวนะใต้รูปหลวงพ่อจะติดไม่ชัดเจน เกิดจากการปั๊มเหรียญที่จริงนั้นเกิดจากการกดกระแทกของช่างที่ทำการปั๊มนั่น เอง เครื่องมือสมัยนั้นยังไม่ทันสมัย ประกอบกับใช้การมาก เหรียญมักจะเป็นห่วงเชื่อม เหรียญรุ่นนี้มีเนื้อทองแดงและทองเหลือง ราคาการเช่าหาเป็นหมื่นเหมือนกัน คนในอยุธยาเขานิยมกันมาก มีประสบการณ์ไม่แพ้รุ่นแรกเลย พระอาจารย์ที่ปลุกเสกก็เป็นพระอาจารย์ในยุคนั้นหลายรูปด้วยกัน
เหรียญ ยันต์ตะกร้อ เหรียญรุ่นนี้มีรูปทรงคล้ายรูปอาร์มแต่สวยกว่าอาร์ม หลวงพ่อนั่งเต็มองค์มีตัวขอมอ่านว่า มะผุดผัดผิดอิติปัดปิด เป็นคาถาทางคงกระพันชาตรีทางป้องกันอันตราย ด้านหลัง เป็นยันต์พระเจ้าห้าพระองค์มีเส้นลากลักล้อมตัว นะ โม พุท ธา ยะ ถึงสามเส้นซ้อนกัน มีตัวขอมอีกหลายตัวอ่านว่า พุทธ สัง มิ เป็นคาถาทางยอดศิลทางเมตตามหานิยม มะ อะ อุ เรียกว่า แก้วสามประการ ใช้ทางป้องกันอันตรายภัยต่างๆ และตัว พุท โธ ตัวต้นของคาถาบทสำคัญๆ ใช้ย่อมา เหรียญรุ่นนี้สร้างเมื่อพ.ศ. 2483 มีหลวงพ่ออั้นและหลวงพ่อต่างๆ อีกหลายท่านด้วยกันร่วมกันปลุกเสก
เหรียญที่กล่าวมาแล้วของท่านแต่ ต้น เป็นเหรียญที่ได้รับความนิยมและราคาการเช่าหาแพงนอกจากนี้ยังมีเหรียญรุ่น ชาตรีและเหรียญรุ่นอนุสาวรีย์เป็นเหรียญรูปไข่สร้างขึ้นเมื่อพ.ศ. 2505 ด้านหน้าเป็นรูปท่านนั่งเต็มองค์ ด้านหลังจะใช้ยันต์ไม่เหมือนก่อนๆ ที่ผ่านมา รุ่นนี้ใช้ยันต์นะโมตาบอด หรือยันต์พระเจ้าห้าพระองค์อีกแบบหนึ่ง ยันต์ตัวนี้ใช้ทางป้องกันอันตรายใช้ทางคงกระพันชาตรีและทางแคล้วคลาดเป็นพระ นะจังงังอีกด้วย แต่เหรียญรุ่นชาตรีเป็นรูปทรงเสมาใช้ยันต์นะโมตาบอดเหมือนรุ่นอนุสาวรีย์ แต่มีตัวนะตัวต้นเหนือยันต์นะโมตาบอดอีกตัวหนึ่ง
เหรียญทั้งสอง รุ่นนี้ราคาการเช่าหาแค่พันต้นๆ เท่านั้นเอง นอกจากนี้ยังมีเหรียญรุ่นทวีลาภ ด้านหลังเหรียญรุ่นทวีลาภจะเป็นพระสิวลีราคาการเช่าหาถ้าสวยๆ ก็พันกว่าบาท หรือหย่อนลงมา รุ่นนี้หลวงพ่ออั้นท่านปลุกเสกและยังมีพระอาจารย์สายหลวงพ่อกลั่นอีกหลาย ท่านด้วยกัน
หลวงพ่อกลั่นเป็นหนึ่งในสิบคณาจารย์ผู้มีพลังจิตสูงใน ปีพ.ศ. 2452 ที่จังหวัดนครปฐมได้มีการชุมนุมพระอาจารย์จากสำนักต่างๆ ทั่วประเทศไทย มีการทดสอบวิทยาคม และพลังจิตจากพระอาจารย์ทั่วประเทศที่ได้รับนิมนต์มาร่วมในพิธีร้อยกว่าองค์ ซึ่งแต่ละจังหวัดได้จัดให้พระอาจารย์เดินทางไปร่วมในพิธี โดยมีการทดสอบพระอาจารย์ต่างๆ ครั้งละสิบองค์ มีสมเด็จพระสังฆราช (เข) วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ที่บริเวณ วัดพระปฐมเจดีย์ ในการทดสอบครั้งนั้นมีกติกาว่าให้เอาท่อนไม้มา 1 ท่อน วางบนม้า 2 ตัว แล้วเอากบไสไม้วางไว้บนท่อนไม้ แล้วประธานฝ่ายสงฆ์จึงบอกกติกาว่า อาจารย์องค์ใดสามารถทำกบไสไม้ให้วิ่งไสไม้ไปกลับได้โดยกบไม่หล่นทำการทดสอบ กันถึงสามวันสามคืน พระอาจารย์ส่วนมากสามารถใช้จิตบังคับให้กบวิ่งไปได้ แต่กลับไม่ได้ ที่ทำให้กบไสไม้ไปกลับได้ มีด้วยกัน 10 รูป ในสิบรูปนั้นมีหลวงพ่อกลั่นเป็นหนึ่งในสิบนั้นด้วย
หลวงพ่อกลั่น
หลวงปู่บุญ
หลวงพ่อวัดมะขามเฒ่า
หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง
หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน
หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก
หลวงพ่อทอง วัดเขากบทวาศรี นครสวรรค์
หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย
หลวงปู่ยิ้ม หนองบัว
หลวงพ่อจอน วัดดอนรวบ ชุมพร
ความ ขลังของหลวงพ่อกลั่นเป็นที่กล่าวขานกันมาช้านานทั้งในคนอำเภออุทัย อำเภอนครหลวง หลวงพ่อกลั่น หลวงพ่อนวม วัดกลาง หลวงพ่อกรอง วัดเทพจันทร์ลอย ทั้งสามท่านนี้นับถือกัน มักจะลองวิชากันเสมอๆ หลวงพ่อนวมนิมนต์ให้หลวงพ่อกลั่นไปร่วมงาน หรือเมื่อท่านไปเยี่ยม มักจะลองวิชากัน ถ้าแก้เคล็ดได้ ก็สามารถเข้าวัดได้ ทั้งสามท่านนี้นับถือกันมาก แต่ต้องยอมให้หลวงพ่อกลั่นก็พลังจิตของท่านวิชานะจังงังของท่านเหนือกว่ามาก ทั้งย่นหนทางก็เก่งกว่า
ผู้ใหญ่ทองดี ผาสุขโอษฐ์ ปัจจุบันอายุเกือบ 90 ปี แล้วแต่ยังแข็งแรงมาก บุหรี่ไม่สูบ สุราไม่ดื่ม คนรุ่นเดียวกันล้มหายตายไปกันหมด ผู้ใหญ่ทองดีเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อกลั่นท่านมีสมาธิแก่กล้ามาก เราคิดอะไรท่านจะรู้หมด พอเห็นหน้าเท่านั้น ท่านจะทักทันที ใครไม่ดีถ้าเตือนไม่เชื่อ จะตายโหงทุกราย ผู้ใหญ่ทองดียังเล่าอีกว่าไปกราบท่าน 5 ครั้ง สมัยนั้นไปทางเรือพายไป แจวไปบ้าง นอกจากนั้นแล้วถึงจะเดินด้วยเท้า สมัยนั้นมีคนเดินทางไปหาหลวงพ่อท่านไม่เคยขาด
มีเรื่องเล่าถึงหลวง พ่อกลั่นอีกว่า ทุกเช้าหลังจากบิณฑบาตกลับมาแล้ว ท่านจะต้องโปรยข้าวส่วนหนึ่งให้นก กา หมา ไก่ และลิง ที่ออกมาคอย ให้ได้กินจนอิ่มทั่ว ชาวบ้านละแวกวัดจะได้เห็นหลวงพ่อกลั่นเดินอยู่ท่ามกลางฝูงสัตว์อยู่เป็น ประจำทุกวัน ชาวบ้านและเณรในวัดจึงพากันสงสัยว่าทำไมสัตว์จึงชอบเดินตามท่าน เมื่อสงสัยจึงมีการทดลอง สอบหาความจริง โดยในวันหนึ่งเมื่อหลวงพ่อกลั่นไม่อยู่ ได้มีพระรูปหนึ่งแอบนำผ้าเหลืองของหลวงพ่อกลั่นมาปลอมเป็นหลวงพ่อทุกอย่าง แล้วทำเป็นเดินขึ้นมาจากเรือคล้ายว่าเพิ่งกลับจากวัด เมื่อเดินผ่านสัตว์ต่าง ๆ ที่เคยได้ข้าวและอาหารจากหลวงพ่อ สัตว์เหล่านั้นก็เฉย ๆ เพราะจำได้ว่าไม่ใช่หลวงพ่อ เป็นเพราะความเมตตาที่แผ่ออกมา ทำให้สัตว์เหล่านั้นจดจำหลวงพ่อได้เป็นอย่างดี เพราะพวกมันสัมผัสรู้ได้
หลวง พ่อกลั่นเมื่อได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดพระญาติฯ ทุก ๆ เช้าเมื่อออกบิณฑบาต พระสงฆ์ในวัดจะต้องพายเรือไปตามลำน้ำ ซึ่งจะมีชาวบ้านมารอตักบาตรทั้ง 2 ฝั่ง และชาวบ้านจะรู้ว่าเรือลำไหนเป็นของหลวงพ่อกลั่น เพราะจะมีจุดสังเกตคือ เรือของหลวงพ่อจะมีสีดำสนิท ปกคลุมตั้งแต่หัวเรือไปจรดกลางลำเรือ สีดำเหล่านั้นก็คือ "อีกา" นับสิบ ๆ ตัวที่มาเกาะเรือของหลวงพ่อ แล้วเวลาชาวบ้านมาลงตักบาตรแก่หลวงพ่อ "อีกา" ทั้งฝูงจะบินวนรอบ ๆ เรือไม่ไปไหน พอชาวบ้านตักบาตรเสร็จมันก็บินกลับมาเกาะเรือเหมือนเดิม ส่วนอาหารที่ชาวบ้านนำมาถวายหลวงพ่อเต็มลำเรือนั้น เหล่าอีกาไม่แตะต้องเลย
และพอเรือมาถึงวัด หลวงพ่อจะให้ลูกศิษย์ขนสำรับขึ้นไปก่อน ตัวท่านจะอุ้มบาตรมาทีหลัง และจะมีอีกาอีกฝูงหนึ่งคอยรอรับท่านอยู่หน้าวัด มันจะบินรุมล้อมหน้าล้อมหลังเป็นกลุ่ม แทบไม่เห็นองค์หลวงพ่อ เมื่อได้เวลาฉันหลวงพ่อจะจัดแบ่งอาหารเป็นหมวดหมู่ เตรียมให้อีกา หมา และแมว อีกาฝูงใหญ่จะคอยรอท่าอยู่ห่าง ๆ พอหลวงพ่อนั่งเรียบร้อย เมื่อเปิดฝาบาตรจะลงมือฉัน อีกาทั้งฝูงก็จะกระโดดไปที่กองอาหารแล้วลงมือจิกกินทันที
หลวงพ่อกลั่นท่านสื่อภาษาสัตว์กับอีกาเหล่านั้นได้ เพราะบางครั้งที่มันแย่งอาหารจิกตีกัน หลวงพ่อจะพูดด้วยเสียงเบา ๆ อีกาก็หยุดตีกันทันทีแล้วค่อย ๆ กินอย่างสงบ
เรื่องราวของหลวงพ่อ กลั่น ธมฺมโชติ ภิกษุผู้มีความมหัศจรรย์อันประกอบไปด้วยเมตตาธรรม สามารถสื่อภาษาสัตว์ได้เข้าใจ หลวงพ่อท่านนี้เมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ท่านมักแสดงอภินิหารให้ใครหลายคน ได้ประจักษ์หลายต่อหลายเรื่อง เช่นว่ามีอยู่คราวหนึ่งอยู่ในช่วงออกพรรษา ซึ่งพระสงฆ์ตามวัดต่างๆนิยมออกธุดงค์เพื่อแสวงหาความสงบวิเวก และเพื่อโปรดพุทธบริษัทที่อยู่ในชนบทห่างไกลในถิ่นกันดาร หลวงพ่อกลั่นพร้อมด้วยคณะลูกศิษย์ท่านก็ออกธุดงค์เช่นกัน โดยตั้งใจจะไปนมัสการพระเจดีย์ในเมืองพม่า เมื่อคณะของหลวงพ่อรอนแรมเดินทางมาถึงแม่น้ำสะโตง ซึ่งกว้างใหญ่มาก แต่หาเรือแพข้ามฟากไม่ได้ หลวงพ่อกลั่นจึงต้องหาทางข้ามด้วยตัวเอง
หลวงพ่อกลั่นจึงสั่งให้พระภิกษุที่ร่วมธุดงค์กับท่านเอาผ้าผูกตาให้หมดแล้ว เกาะจีวรตามท่านเป็นแถวเรียงหนึ่ง มีข้อห้ามคือไม่ให้พูดจากัน พอถึงฝั่งแม่น้ำฟากนั้นจึงบอกให้เอาผ้าผูกตาออก และน่าอัศจรรย์ที่พระแต่ละรูปไม่มีใครที่จีวรเปียกน้ำเลย และยังไม่มีใครรู้อีกว่า หลวงพ่อท่านพามาโดยวิธีใด อีกครั้งหนึ่งคือเมื่อคราวที่หลวงพ่อและพระลูกวัดพระญาติฯ รับกิจนิมนต์ไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ครั้นใกล้เวลาที่เขานิมนต์ปรากฏว่าฝนตั้งเค้าทำท่าจะตก พระที่เดินทางไปกับหลวงพ่อเตือนให้ท่านรีบไปจะได้กันฝน แต่หลวงพ่อกลับบอกให้พระเหล่านั้นไปก่อนล่วงหน้า ส่วนท่านจะตามไปทีหลัง และพอท่านออกจากวัดฝนก็ตกไล่หลังท่านเรื่อยไปจนถึงบ้านงาน แต่ตัวท่านกลับไม่เปียกฝนเลย
และยังมีเรื่องเล่าถึงอภินิหารของหลวงพ่อ กลั่นกันปากต่อปากว่า ในครั้งหนึ่งเมื่อสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้นที่คลองข้างวัดของท่านมีปลา ปักเป้าชุกชุม ลูกศิษย์วัดมาลงอาบน้ำจะถูกปลาปักเป้ากัดบ่อยๆ เดือดร้อนหลวงพ่อต้องหายามารักษา อยู่มาวันหนึ่งหลวงพ่อได้สั่งให้เด็กลงเล่นน้ำ เพื่อล่อให้ปลาปักเป้ากัด ปลาปักเป้าก็กัดติดเนื้อเด็กอย่างไม่ปล่อย แต่เด็กที่เป็นเหยื่อล่อปลากลับไม่มีบาทแผลซักคน จากนั้นหลวงพ่อจึงเอาปลาเหล่านั้นใส่ลงไปในถังน้ำ แล้วเอามือจุ่มลงไปในถัง คนอยู่พักเดียวก็เอาปลาไปปล่อยริมคลองหน้าวัดเหมือนเดิม และเป็นที่อัศจรรย์คือตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีเด็กวัดถูกปลาปักเป้ากัดอีกเลย
หลวง พ่อกลั่นท่านเชี่ยวชาญวิชาหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นวิชาฟันดาบหรือต่อสู้ด้วย เพลงอาวุธแบบโบราณ และยังมีวิชาด้านอื่นที่ขลังและศักดิ์สิทธิ์อีกมาก จนบางครั้งมีคนมาขอพบเพื่อลองวิชา ซึ่งหลวงพ่อท่านก็รู้ด้วยญาณของท่านว่าคนๆนี้มาลองดีกับท่าน เพราะอยากรู้ว่าหลวงพ่อกลั่นจะแน่จริง
เหมือนกิตติมศักดิ์ที่ร่ำ ลือกันหรือไม่ คราวหนึ่งได้มีนักเลงคนหนึ่งมาขอลองวิชากับหลวงพ่อด้วยปืนยาว หลวงพ่อก็ยินดีให้ทดสอบโดยโยนผ้าให้ยิง นักเลงผู้นั้นก็เหนี่ยวไกปืนยิงไม่ยั้ง แต่สิ่งที่ได้ยินมีเพียงเสียงไกปืนกระทบกับลูกกระสุนเท่านั้น ไม่มีเสียงระเบิดแต่อย่างใด คนลองดีถึงกับตะลึง แปลกใจแล้วพอหันกระบอกปืนยิงขึ้นฟ้า ลูกปืนกลับระเบิดเสียงดังสนั่น หลวงพ่อกลั่นบอกให้นักเลงผู้นั้นลองยิงอีกครั้ง ท่านก็โยนผ้าขึ้นฟ้า พอนักเลงผู้นั้นลั่นกระสุนออกไปก็ได้ยินเสียง "แชะ ๆ ๆ" เช่นเดิม ลูกปืนไม่ระเบิด
นักเลงต่างถิ่นถึงกับก้มกราบหลวงพ่อกลั่นด้วยความศรัทธา และเป็นที่โจษขานกันทั่วอยุธยา
หลวงพ่อกลั่นท่านยังมีวิชาลูกเบา หรือวิชาชาตรี ซึ่งเป็นวิชาอยู่ยงคงกระพันวิชาหนึ่งขอท่าน วิชาลูกเบาหรือวิชาชาตรีไม่มีการสักอักขระยันต์ แต่มีการชักยันต์ซึ่งมีบทคาถาแขกภาวนา ในขณะที่ศิษย์ได้รับการถ่ายทอดจากครู อาจารย์ จะโดนทุ่มด้วยของหนัก เช่น ก้อนหินที่มีน้ำหนักมากๆ อย่างหินลับมีด แต่ผู้ที่ได้รับการครอบวิชาจะไม่รู้สึกเจ็บปวดเหมือนโดนทุ่มด้วยของเบาๆ แต่ถ้าไม่ได้เรียนวิชานี้มา ถ้าโดนทุ่มขนาดนี้อาจจะคอหักตาย ผู้ที่มาขอฝากตัวเป็นศิษย์จึงโดนทุ่มด้วยก้อนหินเป็นการขึ้นครูทุกคน
อำนาจจิตของหลวงพ่อกลั่นนั้นมากมาย เรื่องนี้หลวงพ่ออั้นอุปัฏฐาก หลวงพ่อกลั่นได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังถึงครั้งที่เรียนวิปัสสนากรรมฐานกับหลวง พ่อกลั่นว่า ขณะที่เรียนกรรมฐานนั้นหลวงพ่อกลั่นได้ให้หลวงพ่ออั้นไปนั่งปฏิบัติในโบสถ์ ขณะนั่งอยู่หลวงพ่ออั้นมองเห็นหลวงพ่อกลั่นจากในนิมิตว่า เห็นท่านเดินจากกุฏิมานั่งอยู่ตรงหน้า คอยสั่งสอนว่าผิดตรงไหนควรทำอะไร อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องแปลกเพราะหลวงพ่ออั้นท่านก็รู้ว่า หลวงพ่อกลั่นท่านอยู่บนกุฏิ กำลังคุยเรื่องธุระกับญาติโยมที่มาหาท่าน แต่ท่านก็ยังแบ่งร่างมาสอนหลวงพ่ออั้นในโบสถ์ได้
เหรียญ ของท่านสุดยอดเหนียว เมื่อยี่สิบปีก่อนนั้นชาวบ้านใกล้วัดคลองน้ำชา ใกล้วัดมเหยงค์ เดินทางไปหาเพื่อนกลับเอามืด ถูกคนร้ายดักยิงระยะห่างแค่สองเมตรเท่านั้น ด้วยปืนลูกซอง แต่ว่าลูกปืนยิงไม่เข้า และเมื่อหลายปีที่ผ่านมาที่ตำบลบ่อโพธิ์กำนันคนดัง ถูกหลานชายตนเองฆ่าตายเพราะผลประโยชน์คุมคลังสินค้าต่างๆ กำนันคนดังมีเหรียญหลวงพ่อกลั่น ถูกหลานตนเองยิงด้วยปืนพกหลายนัดไม่เข้า กำนันคิดไม่ถึงว่าหลานชายตนเองจะทำได้ พวกหลานชายรู้ว่ายิงไม่เข้า พอกำนันชักปืนมาจะยิงสวน พวกนั้นจับกำนันและตีด้วยไม้แล้วกระชากสายสร้อยทองคำหนักสิบบาทออกแล้วยิง ด้วยปืนนัดเดียว กำนันตาย ตอนหลังพวกนั้นก็ตายจนหมด คนที่มีศีลธรรมประกอบแต่ความดีเรื่องตายโหงไม่มี ผู้ใหญ่ทองดีบอกว่า เคยได้เหรียญท่านมาและตะกรุดโทน ลูกอมผ้ายันต์ก็มอบให้บุตรชายไปจนหมด
พระเครื่องของหลวงพ่อกลั่นที่ได้รับความนิยมอีกชนิดหนึ่งคือ รูปเหมือนหล่อโบราณ เป็นเนื้อโลหะทองเหลืองผสมขนาดหน้าตักประมาณ 2 ซม หลังค่อมถ้าใครไม่ใช้ความสังเกตแล้วอาจคิดว่าเป็นรูปหล่อของหลวงพ่อหินวัด หนองสนม ระยอง รูปหล่อของท่านเมื่อก่อนจะพบบ่อยตอนหลังหายากมาก ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ได้ปลุกเสก หลวงพ่ออั้นท่านเป็นผู้สร้างปลุกเสกก็ตาม รูปหล่อของท่านมีประสบการณ์ทางแคล้วคลาดทางเหนียวอย่างมาก
เหรียญ หลวงพ่อกลั่น ธมฺมโชติ เป็นเหรียญที่มีอายุการสร้างถึง 70 ปี แล้วเป็นเหรียญที่เก่ามาก มีประสบการณ์สูง ผู้ใดได้ไว้บูชามักจะประสบความสำเร็จตามที่ต้องการ เป็นเหรียญที่มีเหรียญเก๊มาก มีการตบแต่งให้เนื้อหาเหมือนของเก่า แต่ผู้ที่เชี่ยวชาญแล้วยังสามารถดูออก ถ้าหารุ่นที่แพงอันดับหนึ่งไม่ได้ก็ลองหารุ่นอื่นที่ราคาไม่แพงมาบูชาซีครับ แล้วจะรู้ว่ามีประสบการณ์ขนาดไหน
หลวงพ่อกลั่นมรณภาพเมื่อ พ.ศ.2477 เล่ากันว่าในวันที่หลวงพ่อจะมรณภาพ อีกานับร้อยพันตัวมาออกันทั่ววัด ส่งเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ พอหลวงพ่อสิ้นลม อีกาเหล่านั้นเงียบเสียงเป็นปลิดทิ้ง แล้วโผบินจากไปเป็นกลุ่มๆ ครั้นพอถึงวันฌาปนกิจร่างหลวงพ่อกลั่นรุ่งขึ้นมีการทำบุญอัฐิ อีกาของหลวงพ่อก็กลับมาอีกครั้ง เป็นครั้งสุดท้าย พวกมันบินมาเกาะที่เชิงตะกอน และบริเวณลานวัด จากนั้นก็พากันบินวนไปรอบๆอยู่ 3 รอบ และตั้งแต่วันนั้นก็ไม่มีใครได้เห็นอีกาที่วัดพระญาติการามอีกเลย



ที่มา เว็บพลังจิต ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ  :054:

155



หลวงพ่อศุข วัดมะขามเฒ่า เเท้จริงเเล้ววิชชาต่างๆท่านเรียนมาจากใคร



เรื่องนี้พระใบฏีกาบุญยัง วัดหนองน้อย เเละ พระสมุห์กลับ เเสงเขียว ได้กล่าวตรงกันว่า ท่านเรียนวิชชาอาคมจากเบี้ยงบน ฟังเเล้วน่าอัศจรรย์ เเละ เป็นตำนานเกี่ยวกับตำราพุทธคุณ อิ ติ ปิ โส ทั้งสี่เล่ม ที่หลวงพ่อศุขท่านสำเร็จ เเละท่านมีศิษย์เอกเเท้จริงเพียงสามรูปกล่าวคือ

1.กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
2.พระใบฏีกาบุญยัง วัดหนองน้อย
3.พระสมุห์กลับ เเสงเขียว

โดยพระคัมภีร์พุทธคุณ อิเเละติ นั้น กรุมหลวงชุมพร ท่านสำเร็จทั้งสองเล่ม
ส่วนพระใบฏีกาบุญยัง วัดหนองน้อย เเละพระสมุห์กลับ เเสงเขียว ท่านสำเร็จ อิ ทั้งเล่ม ส่วนติ ยังไม่ทันจะได้ครบท่านทั้งสองได้ถึงเเก่กาลมรณภาพเสียก่อน ส่วนพระสมุห์กลับ เเสงเขียว ท่านได้ลาสิกขาออกมาเป็นฆราวาส เเต่กระนั้น ท่านยังได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์กลับ ที่มีศิษย์มากมายสังเกตได้จากงานไหว้ครูสมัยท่านมีชีวิต ปัจจุบันทายาทพระสมุห์กลับยังมีอยู่ ไว้ค่อยมาเล่าเรื่องตากลับวัดดอนตาลทีหลัง


ในคัมภีร์พุทธคุณ อิ จากการจดบันทึกของพระใบฏีกาบุญยัง พระยันต์สำคัญในพระคัมภีร์ ที่ขาดไม่ได้คือ ยันต์พุทธอุดม้วนโลก ซึ่งยันต์นี้พระรุ่นหลายศิษย์หลวงพ่อศุข ได้เเก่หลวงพ่อมหาโพธิ์ วัดคลองมอญ มักใช้ประจำ ท่านยังกล่าวว่า ยันต์นี้ตัวเดียวสามารถสร้างวัดได้เลย เเละพระยันต์นี้มีสองเเบบเท่านั้นคือเเคล้วคลาดเเละมหาอุตจ์ เเต่ สามารถทำให้เป็นเมตตามหานิยมได้ด้วย

ในพระคัมภีร์พุทธคุณอิ มีการจดบันทึกการลบผงพระพุทธคุณต่างๆ อาทิ
การลบผงนะโมพุทธายุใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในคัมภีร์ปถมัง เเละ การลบผงพระพุทธคุณ จนเป็นยันต์องค์พระ ทั้งสี่องค์เเล้วลบเข้าสูน นิพพาน ทั้งหมด
ทุกคัมภีรืเป็นอย่างนี้

เคยมีคนที่ชอบเรียนสายไสยเวทย์กล่าวว่า หลวงพ่อมหาดพธิ์ทั้งตั้งตัวการลบผงไม่สมบูรณ์ หากเเต่โดยเเท้จริงเเล้วหลวงพ่อท่านเน้นใจเป็นสำคัญ เเละลบเข้าสูงองค์พระเเละสูน ทั้งหมด นี่ต่างหากเคล็ดไม่ลับคงการเรียนอาคม คือความว่าง สูนนั่นเอง ปล่อยวาง สูงสุดคืนสู่สามัญ





สุดยอดพระยันต์ครูของหลวงพ่อศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จริงๆคือยันต์พุทธอุดม้วนโลก

ลายมือหลวงพ่อศุข ยันต์พุทธอุดม้วนโลก




ซึ่งมีลักษณะทั่วไปเป็นอักขระ พุทธขอม สามชั้นวนๆเเล้ววนเข้าหาหัว หรือ วันเข้าหาวงกลม มีสองเเบบ เรียกได้ว่าดีทางเเคล้วคลาดเเละมหาอุตจ์
ซึ่งพุทธอุดม้วนโลกของท่าน มีเอกลักษณืคือเวลาเขียน เคล็ดลับคือ ก่อนเขียนต้องพินธุ ก่อน ต้องทำวัตถุที่เราจะลงอักขระให้สะอาดก่อนซึ่งวัสดุเเต่ละชนิดจะพินธุไม่เหมือนกัน หลังจากนั้นเขียนอักขระพุทธพร้อมกับบริกรรมว่า นามะนังสะมะโส ยุตตะโถ.....เเห่งนามะ....ไปเรื่อยๆจนจบคาถา เมื่อเสร็จเเล้วต้องกรึงยันต์ ว่าด้วยอักขระยันตังสันตังอยังเอหิ.....ไปเรื่อยๆจนจบเเละหลังจากนั้นเสกตัวพุทธนี้ด้วย บารมีสามสิบทัศน์
อิติปาระมิตตาติงสา....เเล้วตัวพุทธอุดม้วนโลกนี้มักล้อมรอบด้วยตัว อิ อันเป็นอิของรัตนมาลา ซึ่งท่องว่า

อิฏโฐสัพพัญญุตะญานัง
อิจฉันโตอาสะวักขะยัง
อิฏฐังธัมมังอะนุปปัตโต
อิทธิมันตังนะมามิหัง


ล้อมรอบทั้งสี่ทิศ

จะเห็นได้ว่าพุทธอุดม้วนโลก เเต่ละตัวล้วนสำเร็จได้ด้วยคุณพระรัตนตรัย เเละ เน้นที่ รัตนมาลาเป็นหลักสำคัญ
พร้อมกันนั้น พุทธอุดม้วนโลก สามารถ ทำเป็นมหานิยมก็ได้ ซึ่งมีเคล็ดต่างๆที่ ตำราระบุเอาไว้เเละ

มีหลายท่านบอกว่าพุทธอุดม้วนโลกมีสี่ห้าเเบบนั้น จริงๆเเล้วพุทธที่ว่านั้นเขาไม่ได้เรียกพุทธอุดม้วนโลก
อาทิ พุทธ มหานิยมใหญ่ พุทธเมตตา ซึ่งการเรียกเเละคาถาเสกจะไม่เหมือนกัน


ตัวอิ ที่ล้อมรอบ ตัวพุทธสามารถใช้ตัว ติ ปิ โส เเล้วเสกด้วยรัตนมาลาก็ได้
อีกอย่างพุทธอุดม้วนโลก นั้นปกติจะวนสามรอบ บางครั้งพิเศษจะเป็น ห้ารอบ เก้ารอบ

ยันต์ครูองค์พระ
จากความประทับใจเมื่อได้เห็นยันต์องค์พระซึ่งมีความสวยงามเเละความหมายในตัวทำให้ผมได้เเสวงหาที่มาของยันต์องค์พระ ที่เเท้เเล้วยันต์องค์พระไม่ได้เป็นยันต์ที่เขียนขึ้นมาเดี่ยวๆเเต่ที่จริงกลับเป็นพระยันต์เพียงพระยันต์ในการลบผงของหลวงพ่อศุขวัดมะขามเฒ่า ครูโบราณที่สอนต่อๆกันมาบอกว่าตำราการลบผงพระพุทธคุณ คือการลบพระยันต์องค์พระนั่นเอง ของหลวงพ่อโตเเละ หลวงพ่อศุขจะเหมือนกัน นี่คือคำกล่าวของหลวงพ่อมหาโพธิ์ นั่นเอง
ยันต์องค์พระที่เผยเเพร่กันอยู่ที่เห็นๆมีด้วยกันสี่องค์ที่เรียกว่าพระเจ้าเข้านิโรธ บ้าง ยันต์ครูองค์พระบ้าง ทีนี้ ยันต์องค์พระจริงๆของหลวงพ่อศุขในตำราการลบผงของท่านกลับมีมากกว่าสี่องค์ ทั้งของพระใบฏีกาบุญยัง เเละ พระสมุห์กลับ ก็ไม่เหมือนกันอีก เเละยังไม่นับ ยันต์องค์พระที่มีในการลบผงนะโมพุทธายะใหญ่อีก

ในตำราของหลวงพ่อศุขมีคัมภีร์ อิ ติ ปิ โส ซึ่งเป็นวิชชารัตนมาลา เป็นหลัก มีข้อปลีกย่อยมากมาย ที่หลวงพ่อศุข ท่านใช้มากสุดคือ คัมภีร์อิ ในตำรา ให้ตั้งต้นการลบผงด้วย อิ สี่ตัว ลบไปเป็น นะมะพะทะ ลบเป็น อิ สวา สุ ลบเป็นอิกะวิติ ลบเป็นนะ...ลบไปเรื่อย... มียันต์ ตะรางเพชร(ยันต์เกราะเพชรนั่นเอง กลับอยู่ในส่วนหนึ่งของการลบผงในวิชชาพระพุทธคุณ อิ ) ยันต์ข่ายเพชร ยันต์ดาวดาดฟ้า ยันต์มหาโปรยมหาปราบ สุดท้ายเป็นยันต์องค์พระทั้งสี่องค์โดย องค์สุดท้าย เป็นองค์พระนิพพาน เเต่การลบองค์สุดท้ายไม่ต้องลบเป็นสูนเป็นเคล็ด เเต่ลบยันต์องค์พระในวิชชานะโมพุทธายุใหญ่ต้องลบถึงสูนนิพพาน

อักขระที่ยันต์องค์พระจะมีซ้ำๆคล้ายๆกันอันได้เเก่ จะภะกะสะ นะมะพะทะ นะโมพุทธายุ พระเจ้าสิบหกพระองค์ มงกุฏพระพุทธเจ้า
อิติปิโส พระอรหัง วนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้

สุดท้ายนิพพานังปรมังสุขขัง......


ยันต์เกราะเพชรหรือยันต์ตะรางเพชร



เห็นว่าน่าสนใจ เลยนำมาฝากสมาชิกทุกท่านกันครับ

ขอบคุณข้อมูลจากเว็บพลังจิตครับ  ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ
  :089:

156


๑. มีวินัยในตัวเอง 3 ประการคือ

๑ รู้จักระวังตัว
๒ รู้จักควบคุมตัวได้
๓ รู้จักเชื่อฟังผู้ใหญ่ ถ้าเป็นเด็กจะไม่เถียงผู้ใหญ่


๒. มีกิจนิสัย ๔ ประการ
๑ ขยันไม่จับจด รักงาน สู้งาน
๒ ประหยัด รู้จักใช้ชีวิตและทรัพย์สินอย่างถูกต้องและคุ้มค่า
๓ พัฒนา รู้จักพัฒนาตัวเอง และอาชีพให้ดีขึ้น
๔ สามัคคี รักครอบครัว รักหมู่คณะ และรักประเทศชาติ


๓. มีลักษณะนิสัย ๔ ประการ
๑ มีสัมมาคารวะ
๒ อุตสาหะพยายาม
๓ ปฏิบัติตามระเบียบวินัย
๔ รู้จักเด็ก รู้จักผู้ใหญ่ วางตัวได้เหมาะสม

๔. มีความรู้คู่กับคุณธรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ๔ ประการได้
๑ รู้จักคิด
๒ รู้จักปรับตัว
๓ รู้จักแก้ปัญหา
๔ มีทักษะในการทำงานและค่านิยมที่ดีงามในอนาคต เจ้านายทิ้งลูกน้องไม่ได้ ลูกน้องทิ้งเจ้านายไม่ได้ เข้าหลักที่ว่า ผู้ใหญ่ดึง ผู้น้อยดัน คนเสมอกันจะได้อุปถัมภ์ค้ำจุนต่อไป


๕. อานิสงส์ในการเดินจงกรม
๑. อดทนต่อการเดินทางไกล
๒. อดทนต่อความเพียร
๓. มีอาพาธน้อย
๔. ย่อยอาหารได้ดี
๕. สมาธิที่ได้ขณะเดินตั้งอยู่ได้นาน (ในปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย เล่ม ๓๒)
จากหนังสือกฎแห่งกรรมเล่มที่ ๗ ภาคธรรมบรรยาย-ธรรมปฏิบัติ เรื่อง คติกรรมฐาน โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์


157
วิปัสสนากรรมฐาน เป็นเรื่องของการศึกษาชีวิต เพื่อจะปลดเปลื้องความทุกข์นานาประการ ออกเสียจากชีวิต เป็นเรื่องของการค้นหาความจริงว่า ชีวิตมันคืออะไรกันแน่ ปกติเราปล่อยให้ชีวิต ดำเนินไปตามความเคยชินของมันปีแล้วปีเล่า มันมีแต่ความมืดบอด

วิปัสสนากรรมฐาน เป็นเรื่องของการตีปัญหาซับซ้อนของชีวิต เป็นเรื่องของการค้นหาความจริงของชีวิต ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำมา

วิปัสสนากรรมฐาน เป็นการเริ่มต้นในการปลดเปลื้องตัวเราให้พ้นจากความเป็นทาสของความเคยชิน

ในตัวเรานั้น เรามีของดีที่มีคุณค่าอยู่แล้ว คือ สติสัมปชัญญะ แต่เรานำออกมาใช้น้อยนัก ทั้งที่เป็นของมีคุณค่าแก่ชีวิตหาประมาณมิได้ วิปัสสนาฯ เป็นการระดมเอา สติ ทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวเราเอา ออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์์

วิปัสสนากรรมฐานคือการอัญเชิญ สติ ที่ถูกทอดทิ้ง ขึ้นมานั่งบัลลังก์ของชีวิต เมื่อสติขึ้นมานั่งสู่บัลลังก์แล้ว จิตก็จะคลานเข้ามา หมอบถวายบังคมอยู่เบื้องหน้าสติ สติจะควบคุมจิต มิให้แส่ออกไปคบหาอารมณ์ต่าง ๆ ภายนอก ในที่สุดจิตก็จะค่อยคุ้นเคย กับการสงบอยู่กับอารมณ์เดียว เมื่อจิตสงบตั้งมั่นดีแล้ว การรู้ตามความเป็นจริง ก็เป็นผลติดตามมา เมื่อนั้นแหละเราก็จะทราบได้ว่า ความทุกข์มันมาจากไหน เราจะสกัดกั้นมันได้อย่างไร นั่นแหละผลงานของสติละ


ภายหลังจากได้ทุ่มเทสติสัมปชัญญะลงไปอย่างเต็มที่แล้ว จิตใจของผู้ปฏิบัติ ก็จะได้สัมผัสกับสัจจะแห่งสภาวะธรรมต่าง ๆ อันผู้ปฏิบัติไม่เคยเห็นอย่างซึ้งใจมาก่อน ผลงานอันมีค่าล้ำเลิศของสติ สัมปชัญญะ จะทำให้เราเห็นอย่างแจ้งชัดว่า ความทุกข์ร้อนนานาประการนั้น มันไหลเข้ามาสู่ชีวิตของเราทางช่องทวาร ๖ ช่องทวาร ๖ นั้นเป็นที่ต่อและบ่อเกิดสิ่งเหล่านี้คือ ขันธ์ ๕ จิต กิเลส

ช่องทวาร ๖ นี้ ทางพระพุทธศาสนาท่านเรียกว่า อายตนะ อายตนะมีภายใน ๖ ภายนอก ๖ ดังนี้ อายตนะภายในมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะภายนอกมีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (กาย ถูกต้องสัมผัส) ธรรมารมณ์ (อารมณ์ที่เกิดจากใจ) รวม ๑๒ อย่างนี้ มีหน้าที่ต่อกันเป็นคู่ ๆ คือ ตาคู่กับรูป หูคู่กับเสียง จมูกคู่กับกลิ่น ลิ้นคู่กับรส กายคู่กับการสัมผัสถูกต้อง ใจคู่กับอารมณ์ที่เกิดกับใจ

เมื่ออายตนะคู่ใดคู่หนึ่ง ต่อถึงกันเข้า จิตก็จะเกิดขึ้น ณ ที่นั้นเอง และจะดับลงไป ณ ที่นั้นทันที จึงเห็นได้ว่า จิตไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน การที่เราเห็นว่าจิตเป็นตัวตนนั้น ก็เพราะว่าการเกิดดับของจิตรวดเร็วมาก การเกิดดับของจิตเป็นสันตติคือ เกิดดับต่อเนื่องไม่ขาดสาย เราจึงไม่มีทางทราบได้ถึงความไม่มีตัวตนของจิต ต่อเมื่อเราทำการกำหนด รูป นาม เป็นอารมณ์ตามระบบวิปัสสนากรรมฐาน ทำการสำรวมสติ สัมปชัญญะอย่างมั่นคง จนจิตตั้งมั่นดีแล้ว เราจึงจะรู้เห็นการเกิด ดับของจิต รวมทั้งสภาวะธรรมต่าง ๆ ตามความเป็นจริง

การที่จิตเกิดทางอายตนะต่าง ๆ นั้น มันเป็นการทำงานร่วมกันของขันธ์ ๕ เช่น ตากระทบรูป เจตสิกต่าง ๆ ก็เกิดตามมาพร้อมกัน คือ เวทนา เสวยอารมณ์ สุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ สัญญา จำได้ว่ารูปอะไร สังขาร ทำหน้าที่ปรุงแต่ง วิญญาณ รู้ว่ารูปนี้ ดี ไม่ดี หรือ เฉย ๆ กิเลสต่าง ๆ ก็จะติดตามเข้ามาคือ ดีชอบเป็นโลภะ ไม่ดีไม่ชอบเป็นโทสะ เฉย ๆ ขาดสติกำหนดเป็นโมหะ อันนี้เองจะบันดาล ให้อกุศลกรรมต่าง ๆ เกิดติดตามมา ความประพฤติชั่วร้ายต่าง ๆ ก็จะเกิด ณ ตรงนี้เอง

การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน โดยเอาสติเข้าไปตั้งกำกับจิตตามช่องทวารทั้ง ๖ เมื่อปฏิบัติได้ผลแก่กล้าแล้ว ก็จะเข้าตัดต่ออายตนะทั้ง ๖ คู่นั้นไม่ให้ติดต่อกันได้ โดยจะเห็นตามความเป็นจริงว่า เมื่อตากระทบรูปก็จะเห็นว่า สักแต่ว่าเป็นแค่รูป ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน บุคคล เรา เขา ไม่ทำให้ความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่ง ให้เกิดความพอใจหรือไม่พอใจเกิดขึ้น รูปก็จะดับลงอยู่ ณ ตรงนั้นเอง ไม่ให้ไหลเข้ามาสู่ภายในจิตได้ อกุศลกรรมทั้งหลายก็จะไม่ตามเข้ามา

สติที่เกิดขึ้นขณะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น นอกจากจะคอยสกัดกั้นกิเลสไม่ให้เข้ามาทางอายตนะแล้ว ยังเพ่งเล็งอยู่ที่รูปกับนาม เมื่อเพ่งอยู่ก็จะเห็นความเกิดดับของรูปนามนั้น จักนำไปสู่การเห็นพระไตรลักษณ์ คือ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีตัวตนของสังขาร หรืออัตภาพอย่างแจ่มแจ้ง

การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น จะมีผลน้อยมากเพียงใด อยู่ที่หลักใหญ่ ๓ ประการ

๑. อาตาปี ทำความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน

๒. สติมา มีสติ

๓. สัมปชาโนมีสัมปชัญญะอยู่กับรูปนามตลอดเวลาเป็นหลักสำคัญ

นอกจากนั้นผู้ปฏิบัติต้องมีศรัทธา ความเชื่อว่าการปฏิบัติเช่นนี้มีผลจริง ความมีศรัทธานี้ เปรียบประดุจเมล็ดพืชที่สมบูรณ์ดีพร้อม ที่จะงอกงามได้ทันทีที่นำไปปลูก ความเพียรประดุจน้ำ ที่พรมลงไปที่เมล็ดพืชนั้น เมื่อเมล็ดพืชได้น้ำพรมลงไป ก็จะงอกงามสมบูรณ์ขึ้นทันที เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติจะได้ผลมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ด้วย

การปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติจะต้องเปรียบเทียบดูจิตใจของเราในระหว่าง ๒ วาระ ว่าก่อนที่ยังไม่ปฏิบัติ และหลังการปฏิบัติแล้ว วิเคราะห์ตัวเองว่า มีความแตกต่างกันประการใด

หมายเหตุ เรื่องของวิปัสสนากรรมฐานที่เขียนขึ้นดังต่อไปนี้ จะยึดถือเป็นตำราไม่ได้ ผู้เขียนเขียนขึ้น เป็นแนวปฏิบัติเท่านั้น โดยพยายามเขียนให้ง่ายแก่การศึกษา และปฏิบัติมากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้เท่านั้นเอง

จากหนังสือคู่มือการฝึกอบรมพัฒนาจิต วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี
โดย พ.ท.วิง รอดเฉย ปี ๒๕๒๙

158
สนทนาภาษาผู้ประพฤติ / กำหนด
« เมื่อ: 05 ม.ค. 2553, 11:59:15 »
ตัวกำหนด คือ ตัวฝืนใจ เป็นตัวธัมมะ (ธัมมะ แปลว่าฝืนใจ ฝืนใจได้ดีได้) เป็นตัวปฏิบัติ คนเรา ถ้าปล่อยไปตามอารมณ์ของตนแล้วมันจะเห็นแต่ความถูกใจ จะไม่เห็นความถูกต้อง อยู่ตรงนี้นะ


กรรมฐานสอน ง่าย แต่มัน ยาก ตรงที่ท่านไม่ได้ กำหนด ไม่ได้เอาสติมาคุมจิตเลย...ผู้ปฏิบัติธรรม ที่ไม่ได้กำหนดไม่ใช้สติ มันก็ไม่เกิดประโยชน์ในการปฏิบัติเลย ว่างเปล่า ไม่ได้ผล คนเรามีสติอยู่ตรงนั้น... ต้องมีสติทุกอิริยาบถ ต้องกำหนดทั้งนั้น


กำหนดอยาก กำหนดโน่น กำหนดนี่ มันจะมากไปเอาแต่น้อยก่อน เพราะเดี๋ยวจะกำหนดไม่ได้ เอาทีละอย่าง เดี๋ยวก็ได้ดีเอง แล้วค่อยกำหนดต้นจิตทีหลัง ต้นจิต คือ ตัวอยาก อยากหยิบหนอ อยากหยิบหนอ นี่ต้นจิต เป็นเจตสิกเอาไว้ทีหลัง ค่อยเป็น ค่อยไปก่อน ค่อย ๆ ฝึก ให้มันได้ขั้นตอน ให้มันได้จังหวะก่อน แล้วฝึกให้ ละเอียดทีหลัง ถ้าเรากำหนดละเอียดเลย ขั้นตอนไม่ได้ ก็เป็นวิปัสสนึกไปเลย พองยุบก็ไม่ได้


การศึกษาภาคปฏิบัตินี่ยากมาก คือ อารมณ์หลายอย่างมาแทรกแซงเรา ก็ขอเจริญพรว่า ให้กำหนดทีละอย่าง ศึกษาไปทีละอย่าง ทีนี้มันฟุ้งซ่าน ความวัวยังไม่ทันหายความควายเข้ามาแทรกแซงตลอดเวลา เพราะไม่ได้ปฏิบัติมานาน เช่น มีเวทนากำหนดทีละอย่าง ยิ่งปวดหนัก ๆ เดี๋ยวมันจะเกิดอนิจจังไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์จริง ๆ นะ ทุกข์นี่คือตัวธัมมะ เราจะพบความสุขต่อเมื่อภายหลัง แล้วเวทนาก็เกิด ขึ้นสับสนอลหม่านกัน ไอ้โน่นแทรก ไอ้นี่แซง ทำให้เราขุ่นมัว ทำให้เราฟุ้งซ่านตลอดเวลา เราก็กำหนดไปเรื่อย ๆ ทีนี้ถ้าปัญญาเกิดขึ้นเป็นขั้นตอน มันก็จะรู้ในอารมณ์นั้นได้อย่างดีด้วยการกำหนด มันมีปัญหาอยู่ว่า เกิดอะไรให้กำหนดอย่างนั้น อย่าไปทิ้ง อริยสัจ ๔ แน่นอน เกิดทุกข์แล้ว หาที่มาของทุกข์ เอาตัวนั้นมาเป็นหลักปฏิบัติ แล้วจะพบอริยสัจ ๔ แน่นอนโดยวิธีนี้ อันนี้ขอเจริญพรว่า ค่อย ๆ ปฏิบัติ กำหนดไปเรื่อย ๆ พอจิตได้ที่ ปัญญาสามารถตอบปัญหาสิบอย่างได้เลยในเวลาเดียวกัน เดี๋ยวคอมพิวเตอร์สามารถจะแยกประเภทบอกเราได้ อารมณ์ฟุ้งซ่านต้องเป็นแน่เพราะเราเพิ่งปฏิบัติไม่นาน


กำหนดได้เมื่อใด สติมีเมื่อใด สามารถจะระลึกเหตุการณ์ในอดีตได้โดยชัดแจ้ง จากคำกำหนดว่า คิดหนอ มีประโยชน์มาก ถ้าเราสติดี ปัญญาเกิดความคิดของกรรมจะปรากฏ แก่นิมิตให้เราทราบได้ว่า เราจะใช้กรรมวันพรุ่งนี้แล้ว และเราก็จะได้ประโยชน์ในวันพรุ่งนี้แล้ว นี่อดีตแสดงผลงานปัจจุบัน ปัจจุบันแสดงผลงานในอนาคต... ที่เรารู้สรรพสำเนียงเสียงนก กำหนดเสียงหนอ อ๋อนกเขาร้อง ด้วยเหตุผล ๒ ประการ มันบอกได้อย่างนี้ เราเดินผ่านต้นไม้ สติดี สัมปชัญญะดี ต้นไม้จะบอกอารมณ์แก่เราได้ ว่าขณะนี้เป็น อย่างไร


บางทีเราไม่รู้ตัวว่ามันมีอะไรเกิดขึ้น เราก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร ถ้าเรามีสติเราก็กำหนดตรงลิ้นปี่ รู้หนอ รู้หนอ รู้หนอ พอสติดีปัญญาเกิด เราก็รู้อะไรขึ้นมาเหมือนกัน อันนี้ไม่ใช่วิธีฝึก แต่เป็นวิธีปฏิบัติที่เกิดเฉพาะหน้า


กรรมฐาน ต้องทำซ้ำ ๆ ซาก ๆ เพิ่ม ๆ เติม ๆ คิดหนอบ่อย ๆ ถ้าโกรธก็กำหนด เสียใจก็กำหนด ดีใจก็กำหนด อย่าประมาทอาจองต่อสงครามชีวิต เดี๋ยวจะปลงไม่ตก


มันจะมีความสงบได้แค่ไหนไม่สำคัญ สำคัญที่เรากำหนดได้ในปัจจุบันหรือไม่เท่านั้น แล้วปัญญาจะเกิดเองตามลำดับ แล้วความคุ้นเคยก็จะมาสงบต่อในภายหลัง


ที่จะเน้นกันมากคือ เน้นให้ได้ปัจจุบัน สำหรับพองหนอ ยุบหนอ เพราะตรงนี้เป็นจุดสำคัญมาก ถ้าทำได้คล่องแคล่ว ในจุดมุ่งหมายอันนี้รับรอง อย่างอื่นก็กำหนดได้


การกำหนดไม่ทัน วิธีแก้ทำอย่างไร กำหนดรู้หนอ รู้หนอ ถ้ามันงูบลงไปต้องกำหนด ไม่อย่างนั้นนิสัยเคยชินทำให้พลาด ทำให้ประมาทเคยตัว


อย่างคำว่า เห็นหนอ เห็นหนอ เห็นหนอ นี่นะมีประโยชน์มาก อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล จะเห็นอะไรก็ตั้งสติไว้ จนกว่าเราจะได้มติของชีวิตว่าเป็นปัจจัตตังแล้ว มีความรู้ในปัญญาแล้ว เราเห็นอะไร ปัญญา จะบอกเอง แต่การฝึกเบื้องต้นนี่ ต้องฝึกกันเรื่อยไป ถึงญาติโยมกลับไปบ้านไปยังเคหะสถาน หรือจะประกอบการงานของโยม ก็ไม่ต้องใช้เวลาว่าง ใช้งานนั่นแหละเป็นกรรมฐาน


บางคน นั่งกรรมฐานตลอดกระทั่งได้ผลสมาบัติ ไม่มีนิมิตเลย บางคนนิมิตไหลมาเป็นไข่งู ไหลมาเป็นภาพยนตร์เลย กำหนดเห็นหนอ อย่าไปดูมัน เห็นหนอ เห็นหนอ เห็นหนอ ไม่หาย กลับภาพจริงครั้งอดีตชาติ รำลึกชาติได้ นิมิตจะบอกได้ในญาณ ๔


หนอ นี่รั้ง จิต ให้มี สติ หนอตัวนี้สำคัญ ทำให้เรามีสติ ทำให้ความรู้ตัวเกิดขึ้น โดยไม่ฟุ้งซ่านในเรื่องเวทนาที่มันปวด แล้วเราก็ตั้งสติต่อไป


ถ้าวันไหนฟุ้งซ่านมาก ไม่ใช่ ไม่ดีนะ ดีนะมันมีผลงานให้กำหนด แล้วก็ขอให้ท่านกำหนดเสีย ฟุ้งซ่านก็กำหนด ตั้งอารมณ์ไว้ให้ดี ๆ กำหนดฟุ้งซ่านหนอ กำหนดฟุ้งซ่านหนอ กำหนดฟุ้งซ่านหนอ หายใจยาว ๆ ตามสบาย สักครู่หนึ่งท่านจะหายแน่นอน บางคนดูหนังสือปวดลูกตา อย่าให้เขาเพ่งที่จมูก ต้องลงไปที่ท้อง หายทุกราย บางทีปวดกระบอกตา ดูหนังสือไม่ได้เลย ร่นลงมากำหนดที่ท้อง ก็จะว่องไวคล่องแคล่วขึ้น แล้วจะหายไปเอง


ทวาร ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นที่มาของ นรกสวรรค์ จึงต้องกำหนดจิต ทวาร ๓ ทวารกาย ทวารวาจา ทวารใจ เป็นที่มาของ บุญบาป จึงต้องสำรวม


ตัวกำหนดจิตสำคัญมาก จะทำงาน เขียนหนังสือก็กำหนด จะกินน้ำก็กำหนด จะเดินก็กำหนด จะหยิบอะไรก็ตั้งสติไว้ โกรธก็เอาสติไปใส่ เสียใจก็เอาสติไปใส่ ให้รู้ว่าเสียใจเรื่องอะไร โกรธเรื่องอะไร เราจะรู้ด้วยตัวเองว่า เราสร้างกรรมอะไร และจะแก้ปัญหาอย่างไร


ถ้าเราโกรธ เราไม่สบายใจ กลุ้มอกกลุ้มใจ อย่าไปฝากความกลุ้มค้างคืนไว้ อารมณ์ค้าง เช้าขึ้นมาทำงานจะเสียหาย หายใจยาว ๆ แล้วกำหนดตรงลิ้นปี่ว่า โกรธหนอ โกรธหนอ โกรธหนอ รับรองหายโกรธ โกรธแล้วไม่กำหนด ฝากความโกรธ เก็บไว้ในจิตใจตายไปลงนรกนะ... ในทำนองเดียวกัน กำหนดเสียใจหนอ เสียใจหนอ เสียใจหนอ หายใจยาว ๆ ร้อยครั้งพันครั้ง ความเสียใจจะหายไปเลย ดีใจเข้ามาแทนที่ สร้างความดีต่อไป



ขอบคุณคำสอนของหลวงพ่อจรัญ ครับ 

159
พุทโธ : กายเรา-สดชื่น เบิกบาน แข็งแรง สมบูรณ์ เต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์ พร้อมที่จะความดีในที่ทุกแห่งและในกาลทุกเมื่อ.....

ธัมโม : วาจาของเราเป็นธรรมะ เป็นสัจธรรม เป็นวาจาสุภาษิตพร้อมที่จะสอนตัวเองและผู้อื่นไปด้วยตามวาระโอกาสและบุญสัมพันธ์อันพึงมีต่อกัน.....

สังโฆ : จิตใจของเราสว่าง ผ่องใส เหมือนธารน้ำใสเย็น สงบ พร้อมที่จะทำความชุ่มชื่น นำมาซึ่งความสุข พร้อมกับการชำระล้างความทุกข์ ให้กับตนเองและผู้อื่นตลอดเวลา.......




160
คาถาอาคม / คาถา นะ จัง งัง
« เมื่อ: 05 ม.ค. 2553, 11:24:14 »
อะ วา คะ ภะ โส ปิ ติ อิ (อิ ติ ปิ โส ภะ คะ วา อะ)

คาถา นะ จัง งัง คาถานี้ ถ้าเข้าผจญภยันตรายท่ากลางศัตรูหรือในสมรภูมิสนามรบ
ให้ภาวนาคาถาบทนี้ ข้าศึกศัตรูหมู่ปัจจามิตรเห็นหน้าเรา
จังงังหมดมิสามารถกระทำร้ายเราได้เด็ดขาด คาถานะ จัง งัง วิเศษขลังมากแล

161


เกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณสุนันท์  แซ่ตั้งเจ้าของร้านสว่างศิลป์เฟอร์นิเจอร์    ได้เปิดเผยว่า
เดิมคุณสุนันท์ เป็นคนสีกุก ซึ่งอยู่เหนือวัดหน้าต่างขึ้นไปเล็กน้อย  เพราะว่าเป็นคนที่มี
พื้นเพเดิมอยู่แถวนั้น จึงมีความนับถือศรัทธาในหลวงพ่อจงยิ่งนัก  ครั้นต่อมาได้มาตั้งรกรากทำมาค้าขายอยู่ที่ตลาดบ้านแพน  ก็ได้นำเอาวัตถุมงคลต่างๆ  ของหลวงพ่อจงมาตั้งไว้ที่หิ้งบูชาหลายอย่างด้วยกัน เช่นภาพถ่ายและรูปหล่อ  เป็นต้น
ในคราวที่เกิดไฟไหม้ขึ้นนั้น คุณสุนันท์พร้อมทั้งสามีและลูกๆ ต่างพากันหลบออกไปจากบ้าน  โดยนำเอาข้าวของมีค่าบางอย่างติดตัวไปเท่านั้น  ส่วนสินค้าจำพวกเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องเรือนอื่นๆ มิได้ขนย้ายออกไปจากบ้านเลย ด้วยคิดเสียว่าปล่อยให้เป็นไปตามบุญตามกรรมจะดีกว่า  เพราะสามีของคุณสุนันท์ก็ไม่สู้แข็งแรงนัก ถ้าหากมัวแต่พะวงในการขนย้ายสิ่งของออกไปอาจจะทำให้เกิดอัตรายขึ้นได้โดยง่าย  จึงได้ปิดประตูเหล็กหน้าบ้านและใส่กุญแจเพื่อป้องกันพวกมิจฉาชีพจะเข้ามาหยิบฉวยสิ่งของต่างๆไป  คุณสุนันท์ได้พาครอบครัวพักอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุพอสมควร  สำหรับคุณสุนันท์นั้นนั่งมองเปลวไฟที่ลามเลียบ้านเรือนข้างเคียงอยู่ด้วย ใจระทึกปากก็พร่ำภาวนาถึงบารมีของพระศรีรัตนตรัย
และอิทธิบารมีของหลวงพ่อจง  ได้ช่วยปัดเป่าภัยครั้งนี้ให้หมดไป  อย่าให้ต้องสูญเสียทรัพย์สินต่างๆที่หามาได้ด้วยความเหนื่อยยากจนค่อนอายุนี้  ในขณะนั้นเองกระแสลมก็ได้พัดเอาเปลวไฟมาติดบ้านหลังที่อยู่ห่างจากบ้านของคุณสุนันท์เพียง
แค่ทางเท้ากั้นเล็กๆเท่านั้น  บ้านไม้หลังนั้นถูกไฟลุกฮือโหมเพียงชั่วครู่เดียวเปลวไฟก็ท่วมหลังคา  คุณสุนันท์ก็ได้แต่นั่งมองเปลวไฟด้วยน้ำตานองหน้าเพราะถึงอย่างไรบ้านของตนก็คงไม่พ้นหายนะ เพราะในระยะห่างแค่นั้นถ้ามีลมกระโชกมาครั้งเดียว เปลวไฟย่อมจะถึงบ้านของคุณสุนันท์อย่างแน่นอน
         เมื่อคุณสุนันท์เห็นว่าอับจนหนทางจริงๆก็ได้แต่ร่ำร้องขอให้หลวงพ่อจงและคุณพระคุณเจ้าได้ช่วยซักทีเถิด   ในท่ามกลางความวิกฤตินั้นเอง  เหมือนกับคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองคุณสุนันท์  ตามที่ได้ขอร้องนั้นจริงๆ  จึงทำให้รถดับเพลิงจากสถานีดับเพลิงเทศบาลเมืองปทุมธานีเข้ามาถึงบริเวณนั้นได้ทันเวลา  และเร่งระดมสกัดไฟ  ที่จวนเจียนจะไหม้บ้านของคุณสุนันท์ให้ดับลงได้เพียงในระยะ 5 เมตรเท่านั้น 
คุณสุนันท์จึงกลายเป็นคนที่โชคดีไปอย่างไม่คาดคิด 
“คงจะเป็นเพราะบารมีของหลวงพ่อจงและพระสงฆ์องค์เจ้าต่างๆที่ฉันนับถือนั่นเอง  ที่ทำให้บ้านของฉันรอดพ้นอันตรายได้”  คุณสุนันท์พูดจบพร้อมกับยกมือขึ้นพนมเหนือหัว




ที่มาจากเว็บวัดหน้าต่างนอก ขอขอบคุณครับ  :089:

162


ประวัติพ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน , ประวัติพ่อท่านคล้าย วัดพระธาตุน้อย
พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ วัดสวนขัน วัดพระธาตุน้อย พระครูพิศิษฐ์อรรถการ หรือ ที่รู้จักกันทั่วไปว่า "พ่อท่านคล้าย" ประวัติ พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ เทวดาเมืองคอน
     พระครูพิศิษฐ์อรรถการ หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า "พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์" นามตามสมณศักดิ์ท่านคือ พระครูพิศิษฐ์อรรถการ เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดสวนขัน จังหวัดนครศรีธรรมราช
     พ่อท่านคล้าย นามเดิมว่า "คล้าย สีนิล" เกิดตรงกับ วันที่27ตรงกับวันอังคาร ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ปีชวด จ.ศ.1238 ร.ศ.95 ที่บ้านโคกทือ ตำบลช้างกลาง กิ่งอำเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายอินทร์ นางเหนี่ยว สีนิล มีพี่สาว 1 คน ชื่อนางเพ็งเป็นภรรยานายซ้าย เพ็ชรฤทธิ์ ไม่มีบุตรสืบสกุลแต่มีบุตรบุญธรรมหนึ่งคน ชื่อนายครื้น เพ็ชรฤทธิ์

     พ่อท่านคล้าย มีลักษณะนิสัย เป็นคนมีมานะอดทน ขยันหมั่นเพียร อยู่ในโอวาทคำสั่งสอนของบิดามารดาและครูอาจารย์อย่างเคร่งครัด สุภาพ เรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย นิสัยอ่อนโยนละมุนละไม จึงเป็นที่รักของบิดามารดา ครูอาจารย์และญาติมิตรเป็นอันมาก

เมื่ออายุ ๑๕ ปี หลวงพ่อคล้าย ประสบอุบัติเหตุในการถางป่าทำไร่กระดูกปลายเท้า สามนิ้วแตกละเอียด รักษาไม่หาย ด้วยกำลังใจที่เด็ดเดี่ยว พ่อท่านคล้ายได้ใช้มีดตัดปลายเท้าออกด้วยตัวเอง และใช้ยาพอกจนหายเป็นปกติ





ขาของพ่อท่านคล้ายนั้นเสียข้างหนึ่ง คือ ขาด้านซ้ายขาดตั้งแต่ตาตุ่มลงไป  (เสียตั้งแต่สมัยเด็กๆ โดนต้นไม้ทับที่บ้านญาติของท่านที่ จ.กระบี่ ขาเป็นหนองเลยต้องตัดทิ้ง โดยท่านใช้มีดปาดตาลตัดเอง) ท่านเลยต้องใส่กระบอกไม้ไผ่แทน

     พ่อท่านคล้าย ได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2438 (อายุ 19 ปี) บรรพชาที่วัดจันดี ต.หลักช้าง บรรพชาโดยอาจารย์ พระอธิการจันเจ้าอาวาสวัดจันดี (ทุ่งปอน) และพ่อท่านสามารถท่อง พระปาฏิโมกข์จนได้แม่นยำ

     เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ อุทกุกเขปสีมา หรือศาลาน้ำ ได้รับฉายาว่า จนฺทสุวณฺโณ โดยมีพระครูกราย คงคสุวณฺโณ เจ้าอาวาสวัดหาดสูง เป็นพระอุปัชฌาย์ แล้วได้ไปจำพรรษา อยู่ที่วัดทุ่งปอน หรือวัดจันดี
     การศึกษาเบื้องต้น พระครูพิศิษฐ์อรรถการ เริ่มศึกษาเบื้องต้นที่บ้าน โดยบิดาเป็นผู้สอน เรียนวิชาคำนวณ และวิชาอักษรโบราณ จนสามารถอ่านออกเขียนชำนาญ ทั้งหนังสือไทยและหนังสือขอม ต่อมาศึกษาต่อในสำนักนายขำ ที่วัดทุ่งปอน บ้านโคกทือ จนจบหลักสูตร ต่อมาได้ไปฝึกหัดเล่นหนังตะลุงกับนายทองสาก ประกอบกับพ่อท่านคล้ายมีหน้าตาดี น้ำเสียงไพเราะ จึงมีคนติดใจการเล่นหนังตะลุงของท่านมาก

ต่อมาปี พ.ศ.2441 พ่อท่านคล้าย ได้เข้าศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลี เรียนมูลกัจจายนะ ในสำนักพระครูกาแก้ว (ศรี) ณ วัดหน้าพระธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช จบหลักสูตรมูล พอแปลบาลีได้ ศึกษาอยู่เป็นเวลา 2 พรรษา

ปี พ.ศ.2443 ต่อมาได้ศึกษาทางวิปัสสนากัมมัฎฐานที่สำนักวัดสามพัน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีอาจารย์หนูเจ้าอาวาสเป็นผู้สอน

ปี พ.ศ.2445 พ่อท่านคล้าย ได้กลับมาอยู่จำพรรษาวัดหาดสูง ใกล้ตลาดทานพอ ในสำนักพระครูกราย ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของพ่อท่าน เพื่อศึกษาวิปัสสนาและไสยศาสตร์ โดยเหตุที่พระครูกราย เป็นอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาและทรงวิชาคุณทางไสยศาสตร์ในสมัยนั้น

ปี พ.ศ.2447 พ่อท่านคล้าย ได้ไปจำพรรษาที่วัดมะขามเฒ่า อำเภอระโนด จังหวัดสงขลาเพื่อศึกษาภาลีและอภิธรรมเพิ่มเติม

ปีพ.ศ.2448 พ่อท่านกลับจากวัดมะขามเฒ่า มาจำพรรษาอยู่ที่วัดทุ่งปอน (จันดี) ตลอดเวลาที่ท่านจำพรรษา ณ ที่ใดก็ตาม ท่านได้ศึกษาค้นคว้าภาษา บาลี วิชาโหราศาสตร์ และเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ติดต่อกันมาโดยมิได้ประมาท ด้านการก่อสร้างก็ได้สร้างใว้ตามวัดต่างๆพอสมควร





พ่อท่านคล้าย เป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขัน
ในปี พ.ศ.2448 พระปลัดคง เจ้าอาวาสวัดสวนขัน ลาสิกขาบท คณะอุบาสกอุบาสิกาของวัดสวนขัน ได้ร่วนกันเสนอไปยัง ท่านพระครูกรายเจ้าคณะแขวงฉวาง ขอแต่งตั้ง"พ่อท่านคล้าย"เป็นเจ้าอาวาส วัดสวนขันแทน ท่านพระครูกรายก็เสนอไปยังเจ้าคณะเมือง (ม่วง เปรียญ) ครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณพระศิริธรรมมุนี เจ้าคณะเมือง ได้แต่งตั้งให้พ่อท่านคล้ายเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนขันแต่นั้นมา







ประวัติวัดสวนขัน
   วัดสวนขันเป็นวัดราษฎร์ เดิมตั้งอยู่ที่ วัดราษฎร์บำรุง ปัจจุบันชาวบ้านเรียกวัดคุดด้วน เพราะตั้งอยู่ริมฝั่งคลองคุดด้วน มีพระปลัดคงเป็นเจ้าอาวาส แต่ที่ตั้งเป็นที่ไม่เหมาะบางประการ เนื่องจากฤดูน้ำก็ถูกน้ำท่วมบ่อยๆและสถานที่คับแคบ จึงทำการย้ายวัดขึ้นไปทางเหนือของคลองคุดด้วน สร้างวัดขึ้นมาใหม่ใน ป่าไม้ขันอันเป็นที่สวนของอุบาสกผู้มีศรัทธาถวายให้วัด และพร้อมใจกันตั้งชื่อวัดว่า วัดสวนขัน
   วัดสวนขันปัจจุบันตั้งอยู่ที่ ตำบลสวนขัน กิ่งอำเภอช้างกลาง จ.นครศรีฯ พระปลัดคงได้เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก พระปลัดคงเป็นลูกศิษย์ของพระครูกราย ต่อมาลาสิกขาบทพระครูกรายเสนอพ่อท่านคล้ายให้เป็นพ่อท่านคล้าย ตลอดมาเป็นเวลา65ปี จนถึงวันมรณะภาพ
พ่อท่านเคยแต่งบทกลอนกำดัดสอนนาคใว้น่าฟังดังนี้

      ศีลสิบโดยตั้ง  รักษาโดยหวัง
      องค์ศีลทั่วผอง  สองร้อยยี่สิบเจ็ด
      สิ้นเสร็จควรตรอง  ศีลสิบหม่นหมองสองร้อยมรณา





สมณศักดิ์พ่อท่านคล้าย
    ได้เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรีที่พระครูพิศิษฐ์อรรถการในปี พ.ศ.๒๔๙๘ ต่อมาได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นพิเศษในนามสมณศักดิ์เดิม แต่ประชาชนทั่วไปเรียกท่านตามชื่อเดิมว่า พ่อท่านคล้าย
    ตำแหน่ง
  - ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสวนขัน ตำบลละอาย อำเภอฉวาง ใน พ.ศ. ๒๔๔๕ จนมรณภาพ
  - เป็นเจ้าอาวาสวัดธาตุน้อย ใน พ.ศ.๒๕๐๐ เนื่องจากมีการสร้างถนนผ่านกลางวัดจันดีหรือวัดทุ่งปอน ทำให้วัดถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ประชาชนได้ประชุมตกลงสร้างวัดใหม่ในเนื้อที่ที่แยกออกไป เรียกว่า วัดพระธาตุน้อย และแต่งตั้งให้พระครูพิศิษฐ์อรรถการ เป็นเจ้าอาวาส เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว วัดนี้ก็เป็นที่ประดิษฐานสรีระของท่านไว้ในโลงแก้ว



งานด้านศาสนา
     พระครูพิศิษฐ์อรรถการ เป็นผู้นำในการสร้างวัดพระเจดีย์ พระพุทธรูป และร่วมกันในการปฏิสังขรณ์บูรณะศาสนสถานเป็นจำนวนมาก ผลงานสำคัญ ดังเช่น สร้างวัด พ่อท่านคล้ายเห็นความสำคัญของปูชนียสถาน จึงได้สร้างวัดขึ้นหลายแห่ง ได้แก่ วัดมะปรางงาม ตำบลละอาย อำเภอฉวาง ใน พ.ศ. ๒๔๙๐ ต่อมา พ.ศ. ๒๕๐๐ ทายาทอึ่งค่ายท่าย ถวายที่ดิน และวัดที่สำคัญที่สุดคือวัดพระธาตุน้อย หรือคนทั่วไปเรียกว่า วัดพ่อท่านคล้าย



พ่อท่านคล้าย สร้างวัดพระธาตุน้อยและเจดีย์

 ปี พ.ศ.2505 นายกลับ งามพร้อม อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่9 ตำบลช้างกลาง อำเภอฉวาง ได้ยกที่ดินโคกไม้แดง มีเนื้อที่40ไร่ ถวายพ่อท่านโดยมอบให้เป็นที่ธรณีสงฆ์ที่ดินแปลงนี้อยู่ใกล้สถานีรถไฟคลองจันดี ประมาณ1กิโลเมตร พระครูพิศิษฐ์อรรถการได้สร้างเจดีย์องค์ใหญ่ขึ้นในที่ดินแปลงนี้ เริ่มก่อสร้างเมื่อ 14 มกราคม 2505 ตรงกับวันขึ้น 9ค่ำ เดือนยี่ ปีฉลู เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่นายประคอง ช่วยเพ็ชร ถวายมาจากกว๊านพะเยา (ปัจจุบันเป็นจังหวัดพะเยา) โดยยึดรูปแบบมาจากวัดพระมหาธาตุทั้งหมด ทุนรอนในการก่อสร้างได้มาจาก พ่อค้า คหบดี ข้าราชการ และประชาชน ฝ่ายสงฆ์มีพระใบฏีกาครื้น โสภโณ เจ้าอาวาสวัดจันดีในสมัยนั้น เป็นผู้อำนวยการสร้าง ฝ่ายฆราวาสมี พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ ราชเดช เป็นประธาน พระเจดีย์องค์นี้มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ27เมตร สูง 70เมตร การก่อสร้างสำเร็จในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ องค์พระเจดีย์ มองเห็นเด่นแต่ไกล ถ้านั่งรถไฟเข้าสู่กรุงเทพมหานคร ก่อนขบวนรถจะถึงสถานีคลองจันดี จะมองเห็นพระเจดีย์อยู่ทางซ้ายมือ
      พ่อท่านคล้ายได้สร้างพระเจดีย์ไว้หลายองค์ ได้แก่ เจดีย์วัดสวนขัน เจดีย์บ้านควรสวรรค์ ตำบลนาแว อำเภอฉวาง เจดีย์วัดยางค้อม อำเภอพิปูน และที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี ได้แก่ เจดีย์วัดสวนขันอำเภอพระแสง และเจดีย์หน้าถ้ำขมิ้น บนภูเขาอำเภอนาสาร
    งานด้านพัฒนาท้องถิ่น
     พ่อท่านคล้าย จัดได้ว่าเป็นนักพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ตลอดชีวิต ทำงานโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ได้เดินทางไปพัฒนาในที่ต่าง ๆ มากมาย สร้างถนน สะพานมากมาย ด้วยเมตตาบารมีและความเคารพศรัทธาของศิษย์และประชาชน ดังเช่น

สร้างถนนเข้าวัดจันดี

ถนนจากตำบลละอายไปพิปูน

ถนนจากวัดสวนขันไปยังสถานีรถไฟคลองจันดี

ถนนจากตำบลละอายไปนาแว

ถนนระหว่างหมู่บ้านในตำบลละอาย

สะพานข้ามคลองคุดด้วนเข้าวัดสวนขัน

สะพานข้ามแม่น้ำตาปีจากตลาดทานพอไปนาแว

สะพานข้ามคลองเสหลา หน้าวัดมะปรางงาม

สะพานข้ามคลองจันดี เป็นต้น






ด้านความมีเมตตาและวาจาสิทธิ์

ศิษย์ยานุศิษย์และประชาชนที่เคารพนับถือ ศรัทธาพ่อท่านคล้ายได้เชื่อถือถึงความศักดิ์สิทธิ์ของวาจา พูดอย่างไรเป็นอย่างนั้น พ่อท่านคล้ายจะพูดจากับทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและแจ่มใสอารมณ์เยือกเย็นอยู่ตลอดเวลา ท่านมักจะให้พรกับทุกคน "ขอให้เป็นสุข เป็นสุข" ผู้ที่เคารพนับถือท่านต่างพากันกลัวคำตำหนิ เพราะผู้ที่ถูกตำหนิทุกรายล้วนแต่พบความวิบัติ คนส่วนมากจึงหวังที่จะได้รับคำอวยพร เพราะคำเหล่านั้นเป็นการพยากรณ์ที่แม่นยำทั้งในทางดีและทางเสื่อมเสีย

คนที่ไปนมัสการ"พ่อท่านคล้าย"หวังที่จะได้วัตถุมงคล พระเครื่อง บ้างขอน้ำมนต์ ชานหมาก แหวน ผ้ายันต์ เหรียญ รูปหล่อ รูปพิมพ์ ซึ่งพ่อท่านคล้ายก็ได้มีเมตตาให้กับทุกคน ยิ่งชานหมากของท่านหากใครได้รับจากมือท่านเป็นต้องหวงแหนอย่างที่สุด





พ่อท่านคล้าย มรณภาพ

    พ่อท่านคล้ายหรือพระครูพิศิษฐ์อรรถการ เมื่อครั้นถึงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2513 ตรงกับแรม 9ค่ำ เดือน12 ปีจอ พ่อท่านจะต้องเดินทางไปจังหวัดสุรินทร์ เนื่องในงานพุทธาภิเษกที่คณะพุทธบริษัท จังหวัดนั้นนิมนต์ใว้ เวลา 16.00 น. ของวันเดินทาง คณะศิษย์เป็นว่าพ่อท่านอาพาธกระทันหัน จึงนิมนต์พ่อท่านขึ้นรถด่วนเข้ากรุงเทพ ถึงวันรุ่งขึ้นได้นำพ่อท่านเข้าโรงพยาบาลพระมงกุฎในวันนั้น แพทยืได้พยายามรักษาจนเต็มความสามารถ เป็นเวลา14วัน อาการมีแต่ทรงกับทรุด ครั้งถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2513 เวลา23.05 น. พ่อท่านคล้าย มรณะภาพด้วยอาการสงบ รวมอายุได้ ๙๖ ปี เมื่อบำเพ็ญกุศลครบ ๑๐๐ วัน จึงได้บรรจุสรีระของท่านไว้ในโลงแก้ว ประดิษฐานอยู่ในองค์พระเจดีย์ในวัดพระธาตุน้อยจนถึงปัจจุบัน



น่าสนใจดี เลยนำเสนอให้ชมกันครับ เพื่อเป็นวิทยาทานความรู้  :054:

ขอบคุณที่มาจาก ตั้มศรีวิชัยครับ

163



หลวงพ่อทำน้ำมนต์
 เกี่ยวกับประวัติภาพถ่ายนี้  คือ
ในงานพุทธาภิเษกแห่งหนึ่ง  ครั้งนั้นทางเจ้าภาพได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์ไปหลายรูปด้วยกัน  ซึ่งเจ้าของภาพจำ
ได้ว่า 2 องค์ที่เขาเห็นและศรัทธาอย่างยิ่งก็คือ  1.พ่อท่านคล้าย  วัดสวนขันธ์ 
2.หลวงพ่อจง  วัดหน้าต่างนอก  สาเหตุเพราะได้ประจักษ์กับตา ถึงอภินิหารของทั้งสองท่านนี้
แต่ว่าไม่สามารถถ่ายภาพของหลวงพ่อคล้ายได้  ถ่ายได้เฉพาะหลวงพ่อจงรูปเดียวเพราะเขาไม่คิด
ว่าจะมีการทดลองวิชาของพระคุณเจ้าเกิดขึ้น  ที่มาของภาพมีดังนี้
ในงานนั้นพ่อท่านคล้ายและหลวงพ่อจง  นั่งพักอยู่ใกล้ๆกันก็บังเอิญมีโยมคนหนึ่ง  มาขอให้
พ่อท่านคล้ายช่วยทำน้ำมนต์ให้  พ่อท่านจึงบอกกับโยมคนนั้นว่า  ให้ไปเอาขวดมา และเอาน้ำมาแก้วหนึ่งด้วยท่านจะทำน้ำมนต์ให้  โยมคนนั้นก็ไปเอาขวดและน้ำมาให้พ่อท่านคล้ายทำน้ำมนต์ 
         พ่อท่านรับแก้วน้ำมาแล้วให้โยมคนนั้นเอาขวดไปตั้งไว้ข้างหน้าห่างไปพอสมควร  จากนั้น
พ่อท่านก็ยกแก้วน้ำขึ้นมาเหมือนดื่มแต่ไม่ได้ดื่มเพียงอมไว้แล้วก็พ่นน้ำไปที่ขวดใบนั้น
พรวดเดียวน้ำเต็มขวดเลย
            หลวงพ่อจงท่านหันมามองแล้วก็หัวร่อ หึ หึ แล้วก็บอกว่า  “จ้ะ....ฉันก็ทำได้  ” แล้วก็ให้โยมคนนั้นไปเอาขวดมาหนึ่งใบ  โยมคนนั้นก็ดีใจ  เพราะวันนี้จะได้น้ำมนต์วิเศษจากพระเกจิอาจารย์ดังถึงสองรูปด้วยกัน และที่สำคัญวิธีทำน้ำมนต์ของท่านนั้นเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก  จึงรีบไปเอาขวดและน้ำมาให้หลวงพ่อจง   หลวงพ่อท่านไม่
เอาน้ำ  รับไว้เพียงขวดเปล่า
จากนั้นท่านก็เอามือประสานกันบนปากขวดก็ปรากฏมีแสงสว่างขึ้นและมีน้ำไหลจากมือหลวงพ่อไหลลงไป
ในขวด ดังภาพ   ฝ่ายพ่อท่านคล้ายเห็นดังนั้น  ก็รีบยกมือไหว้แล้วกกล่าวว่า
ท่านจง ผมยอมแพ้ท่านแล้ว 
          หลังจากนั้นเมื่อพ่อท่านคล้ายไปร่วมงานพุทธาภิเษกที่ใด  ถ้ารู้ว่าหลวงพ่อจงไปด้วย  ก็จะให้ลูกศิษย์ท่านอุ้มท่านมากราบหลวงพ่อจง  ( เนื่องจากขาท่านไม่ดี )
ผู้ที่ถ่ายภาพนี้บอกว่าเสียดายที่ถ่ายภาพตอนพ่อท่านคล้ายทำน้ำมนต์ไม่ทัน  แต่พอเขารู้ว่าหลวงพ่อจงจะทำน้ำมนต์ด้วย จึงรีบตั้งกล้องคอยท่าไว้  พอหลวงพ่อทำน้ำมนต์ให้ไหลลงไปในขวดเขาก็เลยถ่ายภาพนี้เอาไว้ได้ 


ที่มาเว็บวัดหน้าต่างนอก ขอบคุณครับ  :089:

164


เมื่อคนเราดับสูญ มีแต่กรรมเท่านั้นที่ติตัวไป
อธิบายได้ว่า ให้คนเราหมั่นสร้างสมแต่กรรมดี เพื่อติดตัวไปชาติหน้า
……………………
การช่วยเหลือผู้อื่น เป้นการทำบุยอันประเสริฐ
อธิบายได้ว่า  การช่วยเหลือผู้อื่นก็เป้นการทำทานอย่างหนึ่ง  ย่อมได้บุญอันประเสริฐเช่นเดียวกัน
......................................................
ไม่ขัดใจใคร  ผลก็คือไม่มีใครขัดใจท่าน
ไม่เป็นศัตรูกับใคร ผลก็คือไม่มีใครเป็นศัตรูกับท่าน
.....................................
ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของเรา
......................
 คนมี  ควรแบ่งปันให้คนไม่มีบ้าง
คนไม่มีก็ควรแบ่งปันให้คนมีบ้างเหมือนกัน
.............................
ทานร้อยครั้ง ไม่เท่าศีลครั้งเดียว
รักษาศีลร้อยครั้งไม่เท่าสมาธิครั้งหนึ่ง
สมาธิร้อยครั้งยังไม่เท่ามีขันติเพียงครั้งเดียว
..................................



ที่มาเว็บหน้าต่างนอก ขอบคุณครับ   

165



หลวงพ่อจงเมื่อให้สิ่งของปลุกเสกของท่านแก่ผู้ใด ท่านจะต้องบอกเตือนสติด้วยการให้คติเสมอว่า ขอให้รักษาตัวรักษาใจไว้ให้จงดี ศีลธรรมอย่าลืม หากหมั่นบูชาพระ รำลึกถึงพระและหมั่นศรัทธาปฏิบัติพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่เป็นนิจแล้ว ยากนักจะมีโพยภัยเหล่าใดเบียดเบียนบีฑาราวีขอให้ท่องไว้ในใจเสมอว่า เวรย่อมมีขึ้นเฉพาะเมื่อได้มีการก่อเวร มีหนี้ก็หนีไม่พ้นจะต้องชดใช้เขาในเวลาหนึ่ง... คนเราไม่ทำบาปพึงไว้ใจได้ว่าต้องมีมีบาปใดติดตามสนองปองผลาญ จงหมั่นแจกจ่ายเมตตาอย่าให้ขาดสาย คงต้องได้กุศลแรงกว่ากุศลอื่นใดหลายเท่านัก
…………………………….

อภินิหารของหลวงพ่อ
          เคยมีผู้สงสัย แคลงใจหลายข้อกระทงความต่อคำเลื่องลือเกี่ยวกับอภินิหารของหลวงพ่อต่าง ๆ ที่ออกจะเชื่อยากว่าเรื่องราวเหล่านี้ที่เขาเล่าลือกันมาจะเป็นความจริงเพียงใด   หลวงพ่อจงกล่าวตอบด้วยอาการสำรวมมีนัยว่า
      เรื่องของอารมณ์อย่างนี้ อริยสงฆ์ไม่พึงถือเป็นกิจ แต่อาตมาจะเคยทำอะไรมาบ้าง ถ้าเป็นเรื่องนานแล้ว ก็ไม่ได้สนใจจดจำเอาไว้ เพราะต้องใช้เวลาปฏิบัติกิจของสงฆ์หนักเหนื่อยอยู่เป็นอันมาก ทำชั่วชีวิตก็ยังคงทำไปไม่ได้เท่าไร ส่วนผู้อื่นจะพูดกล่าวขวัญถึงอาตมาทำนองไหนอย่างไร อาตมาไม่ถือสาโกรธเขาดอกนะ
…………………………………..
ระวัง
เคยมีผู้ใหญ่บ้านท่านหนึ่งตั้งใจมาขอหวยหลวงพ่อ  บังเอิญในวันนั้นมีประชาชนมากราบหลวงพ่อเป็นจำนวนมาก
ทำให้ผู้ใหญ่นั่งคอยอยู่นาน  สุดท้ายจึงตัดสินใจจะกลับก่อนทันทีนั้นหลวงพ่อก็หันมาแล้วบอกว่า
“ อ้าว..จะกลับแล้วเหรอ เดี๋ยวรอเดี๋ยว  จะให้อะไรซักหน่อย”
ผู้ใหญ่ดีใจสุดๆ นึกในใจว่าวันนี้คงได้เลขเด็ดเป็นแน่แท้   ก็นั่งรออยู่นานหลวงพ่อก็ไม่ให้เลขซักที  จนสุดท้ายหิวข้าว
ทนไม่ไหว จึงเข้าไปกราบหลวงพ่อทำเป็นทวงถามว่า  หลวงพ่อจะให้อะไร   หลวงพ่อยิ้มแล้วก็บอกว่า
“ จ้ะ....ระวัง ” 
แล้วท่านก็ไม่ว่าอะไรอีก  ผู้ใหญ่คนนั้นก็เลยยิ้มแหยๆ แล้วก็ลากลับไป
สาเหตุน่าจะเป็นเพราะว่า ผู้ใหญ่ท่านนี้ เพิ่งรับตำแหน่งใหม่ๆ ท่านก็เลยเตือนให้ระวังตัว 
…………………………………
ไม่ยึดติด
มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง วิ่งกระหืดกระหอบมาฟ้องหลวงพ่อเป็นการใหญ่ ว่ามีคนมาวัดหลวงพ่อแล้วก็เอาของใช้ต่างๆ
ของวัดติดมือกลับบ้านไปด้วย  คือยักยอกของวัดนั่นเอง   อยากให้หลวงพ่อไปจัดการ  หลวงพ่อท่านกล่าวว่า
“จ้ะ..........จะเอาอย่างเขาบ้างก็เอาซิ”

166
อธิบายด้วยภาพนะครับ   นั่งเล่นเว็บ www.google.co.th ไปเรื่อยๆ   เจอรูปภาพนี้ครับ   






ขออนุญาติเจ้าของรูปภาพด้วยนะครับ

167



หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว.

ที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอบางไทร เจ้าอาวาส วัดป้อมแก้ว ต.บ้านกลึง อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา.



พระเกจิอาจารย์เรืองนามแห่งเมืองกรุงเก่าในยุคนี้มีอยู่ด้วยกันหลายท่าน ซึ่งแต่ละรูปนั้นรับประกันได้ในความ "เก่ง-เคร่งครัด-วัตรปฏิบัติดีงาม" สมกับวลีที่ว่า "กรุงศรีอยุธยาไม่เคยสิ้นคนดี" อันหมายรวมถึงพระสงฆ์ผู้ประพฤติปฏิบัติดี เฉกเช่นพระครูประโชติธรรมวิจิตร หรือ หลวงพ่อเพิ่ม อัตตทีโป พระเถระที่เปี่ยมด้วยความเมตตาปรานี และมีวิชาอาคมไม่เป็นสองรองรูปใด ในการสร้างพระเครื่องและวัตถุมงคล ไม่ว่าจะพิธีใหญ่หรือเล็ก จะต้องปรากฏนามของ "หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว" ไปร่วมนั่งปรกอธิษฐานจิตแทบทุกรุ่น

ลูกศิษย์ของหลวงพ่อเพิ่มนั้นมีทุกระดับชั้น โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญในพระเครื่องวัตถุมงคลของท่านก็มีอยู่ด้วยกันหลายคน หนึ่งในจำนวนนั้นซึ่งถือว่าเป็นศิษย์ก้นกุฏิที่ได้ปรนนิบัติรับใช้ท่านอย่างใกล้ชิดก็คือ "เคี้ยง-ศุภกร ลาภอาภารัตน์" หนุ่มเมืองประจวบคีรีขันธ์ ที่ปัจจุบันประกอบธุรกิจเกี่ยวกับเสื้อผ้า ซึ่งในอดีตนั้นเผชิญปัญหามรสุมเศรษฐกิจจนต้องหันหน้าเข้าหาวัด แต่ไม่ใช่การบวช เพราะยึดการทำบุญกุศลเป็นทางออก

แรกๆ นั้นก็ไปวัดถวายสังฆทานในหลายจังหวัด เช่น สุรินทร์ อ่างทอง จนมาถึงพระนครศรีอยุธยา จากที่ฟังหลายๆ คนบอกว่าหลวงปู่วัดนี้ดี หลวงพ่อวัดนั้นก็ดัง ในที่สุดมาถึงวัดป้อมแก้ว ได้พบและสัมผัสกับ "หลวงพ่อเพิ่ม" ได้ฟังท่านเทศน์ และให้คำสอนอยู่ประจำจนเข้าใจในสัจธรรมต่างๆ ทำให้เกิดความศรัทธาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเวลามีปัญหา ท่านสามารถทำให้ปัญหาใหญ่กลายเป็นปัญหาเล็กไปทันที ฟังคำท่านแล้วสบายใจ ท่านจะมีคำสอนสอดแทรกอยู่เสมอๆ



 

ด้วยความสนใจในเรื่องพระเครื่องเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เซียนเคี้ยงจึงเริ่มศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคลของหลวงพ่อเพิ่ม โดยสอบถามจากหลวงพ่อและผู้รู้จนมีความเชี่ยวชาญแทบทุกรุ่น สามารถวิเคราะห์เก๊-แท้ และให้ความรู้เป็นวิทยาทานแก่ผู้ที่สนใจพระเครื่องของหลวงพ่อเพิ่มได้ไม่แพ้ศิษย์สายตรงคนอื่น

"เซียนเคี้ยง" บอกว่า หลวงพ่อเพิ่มท่านสร้างวัตถุมงคลไว้หลายรุ่น โดยวัตถุมงคลที่สร้างขึ้นครั้งแรกในปีพ.ศ.2517 เป็นเหรียญรุ่นแรกฉลองอายุครบ 5 รอบ ปีพ.ศ.2520 สร้างพระสมเด็จพิมพ์ใหญ่รุ่นแรก (กดพิมพ์ที่วัด) จำนวนสร้างน้อยมาก ปีพ.ศ.2531 สร้างเหรียญรุ่นฉลองอายุครบ 60 ปี พระสมเด็จหลังรูปเหมือนและรูปหล่อลอยองค์รุ่นแรก ซึ่งในปัจจุบันวัตถุมงคลรุ่นนี้หายากและมีประสบการณ์มาก

ปีพ.ศ.2535 สร้างเหรียญเจ้าสัวหลวงพ่อนาค พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด ปี 2542 สร้างวัตถุมงคลรุ่นเพิ่มทรัพย์ประกอบด้วยพระปิดตาคำหมาก พระสังกัจจายน์จันทร์เพ็ญ เหรียญน้ำมนต์ขอบสตางค์ โดยทำพิธีพุทธาภิเษกในวันที่ 22 พ.ย. 2542 ปี 2543 สร้างวัตถุมงคลรุ่นเพิ่มสุข ประกอบด้วยรูปเหมือนบูชาเสาร์ 5 ฐานบรรจุเหรียญแจกทาน พระปิดตาหล่อรุ่นแรก พระสมเด็จหล่อรุ่นแรก พระสมเด็จต่อลาภ พระปรกใบมะขาม แหวนตะกร้อ ตะกรุดโทน ฯลฯ ปี 2544 สร้างพระสมเด็จคำหมากรุ่นแรก รูปหล่อแซยิด ฯลฯ และสร้างต่อมาเรื่อยๆถึงปัจจุบัน ทั้งที่ออกในนามของวัดป้อมแก้ว และที่ศิษยานุศิษย์ขออนุญาตจัดสร้าง

นอกจากนี้ สิ่งหนึ่งที่บรรดาลูกศิษย์ของหลวงพ่อเพิ่มเสาะแสวงหาก็คือ "ตะกรุด" โดยหลวงพ่อเพิ่มท่านจะทำตะกรุดขึ้นปีละครั้ง และจะทำเฉพาะช่วงเข้าพรรษา โดยลงมือจารเอง ปลุกเสกเอง ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ตะกรุดที่ท่านทำจึงมีจำนวนน้อยมากสร้างขึ้นปีละไม่ถึง 100 ดอก ทั้งนี้ ของดีที่หลวงพ่อเพิ่มมอบให้เขาชิ้นแรกก็คือ "ตะกรุดทอง" "เซียนเคี้ยง" จะพกติดตัวอยู่ตลอดเวลา ทั้งเวลาไปหาลูกค้าติดต่องานต่างๆ นอกจากนี้ ที่เขาพกติดตัวเป็นประจำก็มี เหรียญหลวงพ่อเพิ่มรุ่นแรก ปี" 17, เหรียญปลดหนี้ ปี" 42, สมเด็จหล่อ ปี" 43, เหรียญเพิ่มบารมี ปี" 46 และก็ตะกรุดคงกระพัน

"ตะกรุดของหลวงพ่อเพิ่มนั้น เป็นที่รู้กันว่าดีทางด้านคงกระพันชาตรี วิธีใช้ก็คือให้ ห้อยคอห้ามห้อยเอวเด็ดขาด และมีข้อห้ามคือ ห้ามดื่มสุราและผิดลูกผิดเมียชาวบ้านเด็ดขาด มิฉะนั้น ตะกรุดจะเสื่อมทันที"

สุดท้ายเขาย้ำว่า เขามีกิจการของตัวเอง มีบ้าน มีเงินในบัญชี ผ่านอุปสรรคต่างๆ มาได้ด้วยดีเพราะบุญบารมีหลวงพ่อเพิ่ม และผลแห่งการปฏิบัติดีต่อหลวงพ่อนั่นคือการดูแลท่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ ของขบฉัน เช่น หมาก พลู หรือช่วยท่านดูแลเรื่องวัตถุมงคล ไปติดต่อที่โรงงานผลิตเอง ซึ่งทุกเรื่องเขาทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ เต็มใจ เพราะเห็นชัดในความเป็น "พระสุปฏิปันโน" ของท่าน

"หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้วเป็นพระโบราณไม่เคยขอให้ใครบริจาค อย่างสร้างศาลาทุกคนล้วนมาด้วยความศรัทธา ด้วยใจ ท่านบอกอยู่เสมอว่า เงินของญาติ โยมที่บริจาคมาทุกบาททุกสตางค์ เราต้องใช้ให้คุ้มค่า อย่างจะสร้างศาลา ไม่ใช่เห็นอะไรสวยก็จะซื้อ พอซื้อมาแล้วใช้ได้คุ้มมั้ย ท่านจะสอนเสมอ ท่านไม่ห้าม แต่ให้เหตุผล พูดให้เราคิดเอง" เซียนเคี้ยงกล่าวทิ้งท้าย





ประวัติหลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว

ชาติภูมิ

หลวงพ่อเพิ่ม ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์เดือนมีนาคม พศ.2469 ตรงกับปีขาล เดือน4 ณ บ้านกลึง อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา โดยเป็นบุตรคนที่ 3 ของโยมบิดาชื่อ นายเล็ก บำรุงสุข โยมมารดาชื่อนางแพร บำรุงสุข

ชีวิตวัยเยาว์
หลวงพ่อเพิ่มได้เริ่มการศึกษาเบื้องต้นที่วัดช่างเหล็ก โดยเรียนกับพี่ชาย จนกระทั่งจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จึงบรรพชาเป็นสามเณร อยู่ที่วัดบางยี่โถ เพื่อศึกษาอักขระขอม และบทสวดมนต์ต่างๆ

ต่อมาบิดาล้มป่วยลง ท่านจึงลาสิกขาออกมาเพื่อช่วยงานทางบ้านประกอบอาชีพ และเมื่ออายุครบเกณฑ์ทหาร ท่านได้เป็นทหารรับใช้ชาติอยู่ 2 ปี

ครั้นพอออกจากทหาร มารดาของท่านได้เสียชีวิต ท่านจึงตัดสินใจอุปสมบท เมื่อ พ.ศ.2493 ณ วัดสีกุก อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีพระครูประโชติวุฒิกร (หลวงพ่อโชติ) วัดป้อมแก้ว เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูถาวรธรรมคุณ วัดสีกุก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูไพโรจน์ วัดเสาธง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา "อตฺตทีโป" แปลว่า "ผู้มีประทีปแห่งตน"

จากนั้นหลวงพ่อเพิ่มได้จำพรรษาอยู่ที่วัดสีกุกเพื่อเล่าเรียนวิชาเป็นเวลา 2 ปีก่อนที่จะย้ายมาอยู่วัดป้อมแก้วตามคำแนะนำของหลวงพ่อโชติและที่นี่เองท่านได้สำเร็จการศึกษาในขั้น นักธรรมเอกอีกด้วย

การศึกษาพุทธาคม

หลวงพ่อเพิ่มท่านได้สนใจศึกษาวิชาอาคมอย่างจริงจัง เมื่อครั้งย้ายมาจำพรรษาที่วัดป้อมแก้ว โดยได้รับการถ่ายทอดมาจาก หลวงพ่อโชติ อดีตเจ้าอาวาส ในขณะนั้น ผู้ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่อห่วง วัดบางยี่โถ ในสายพุทธาคมของ หลวงปู่ปั้น วัดพิกุล สุดยอดพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของ จ.พระนครศรีอยุธยา ในอดีต

โดยในขั้นแรก ท่านได้เริ่มจากการเขียนอักขระเลขยันต์ต่างๆ จนได้รับความไว้วางใจจากหลวงพ่อโชติ ให้เป็นผู้เขียนอักขระยันต์แทนหลวงพ่อโชติ ช่วงที่ท่านมีอายุมาก และสายตาไม่ดี

ต่อมาหลวงพ่อเพิ่มได้รับการมอบหมายให้จารอักขระเลข ยันต์ต่างๆ รวมทั้งการนั่งปรกปลุกเสกแทนหลวงพ่อโชติอีกด้วย จนกระทั่งหลวงพ่อโชติมรณภาพ หลวงพ่อเพิ่มจึงได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป้อมแก้ว แทน ตั้งแต่ พ.ศ.2511 เป็นต้นมา จนถึงทุกวันนี้

หลวงพ่อเพิ่ม ได้ใช้วิชาความรู้ต่างๆ ที่ได้ร่ำเรียนมา พัฒนาวัดป้อมแก้วตลอดเวลา จนทำให้สภาพของวัดดีขึ้นเรื่อยๆ และมีความเจริญรุ่งเรืองในทุกด้าน ดังที่เห็นในทุกวันนี้

ปัจจุบัน

หลวงพ่อเพิ่มมีอายุ 82 ปี มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงดีอยู่เสมอ และมักจะได้รับกิจนิมนต์นั่งปรกอธิษฐานจิตวัตถุมงคลต่างๆ ตามพิธีพุทธาภิเษก ทั้งที่วัดใน จ.พระนครศรีอยุธยา และใกล้เคียง รวมทั้งวัตถุมงคลของวัดป้อมแก้ว ที่ท่านได้จัดสร้างขึ้นเอง ซึ่งมีออกมาเป็นระยะๆ และมีผู้ทำบุญบูชาหมดไปในเวลาอันรวดเร็ว แม้ว่าจะไม่ได้มีการโฆษณาตามสื่อต่างๆ ก็ตาม

หลวงพ่อเพิ่ม นับเป็นพระสุปฏิปันโนที่น่าเคารพกราบไหว้เป็นอย่างยิ่ง ด้วยปฏิปทาอันเรียบง่าย สมถะ สันโดษ เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของผู้พบเห็นอยู่เสมอ จนมีผู้ปฏิบัติธรรมท่านหนึ่ง ซึ่งได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้ต่างๆ ในการนั่งสมาธิฝักอบรมวิปัสสนากรรมฐาน มาจากพระเกจิอาจารย์ยุคก่อน อาทิ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ครูบาชุ่ม โพธิโก ครูบาพรหมา วัดพระพุทธบาทตากผ้า ฯลฯ ได้ให้ข้อสังเกตว่า

ด้วยวัตรปฏิบัติของหลวงพ่อเพิ่ม และการแสดงออกทางมหากิริยาบนใบหน้าของหลวงพ่อ บ่งบอกได้ว่า ท่านเป็นผู้มีบุญบารมีสูง และได้บรรลุธรรมในระดับหนึ่ง รวมทั้งเชื่อกันว่า ท่านเป็นผู้มีพลังจิตอันสูงส่ง มีความแก่กล้าในทางวิชาอาคมอันเข้มขลัง ซึ่งตรงกับคำเล่าลือของชาวบ้านที่ว่า วัตถุมงคลของหลวงพ่อเพิ่มทุกรุ่นที่ท่านได้ปลุกเสกเอาไว้ ล้วนมีอานุภาพความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด จนปรากฏเกียรติคุณอันโด่งดังถึงทุกวันนี้

นอกจากนี้ ชื่อของ "หลวงพ่อเพิ่ม" ยังเป็นมงคลนาม จึงเชื่อกันว่า ใครได้ทำบุญกับ "หลวงพ่อเพิ่ม" ชีวิตมีแต่ "เพิ่ม" ขึ้นในทางที่ดีเสมอไป


 

หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว.

ที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอบางไทร เจ้าอาวาส วัดป้อมแก้ว ต.บ้านกลึง อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา. 
 

 

 

พระเกจิอาจารย์เรืองนามแห่งเมืองกรุงเก่าในยุคนี้มีอยู่ด้วยกันหลายท่าน ซึ่งแต่ละรูปนั้นรับประกันได้ในความ "เก่ง-เคร่งครัด-วัตรปฏิบัติดีงาม" สมกับวลีที่ว่า "กรุงศรีอยุธยาไม่เคยสิ้นคนดี" อันหมายรวมถึงพระสงฆ์ผู้ประพฤติปฏิบัติดี เฉกเช่นพระครูประโชติธรรมวิจิตร หรือ หลวงพ่อเพิ่ม อัตตทีโป พระเถระที่เปี่ยมด้วยความเมตตาปรานี และมีวิชาอาคมไม่เป็นสองรองรูปใด ในการสร้างพระเครื่องและวัตถุมงคล ไม่ว่าจะพิธีใหญ่หรือเล็ก จะต้องปรากฏนามของ "หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว" ไปร่วมนั่งปรกอธิษฐานจิตแทบทุกรุ่น

ลูกศิษย์ของหลวงพ่อเพิ่มนั้นมีทุกระดับชั้น โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญในพระเครื่องวัตถุมงคลของท่านก็มีอยู่ด้วยกันหลายคน หนึ่งในจำนวนนั้นซึ่งถือว่าเป็นศิษย์ก้นกุฏิที่ได้ปรนนิบัติรับใช้ท่านอย่างใกล้ชิดก็คือ "เคี้ยง-ศุภกร ลาภอาภารัตน์" หนุ่มเมืองประจวบคีรีขันธ์ ที่ปัจจุบันประกอบธุรกิจเกี่ยวกับเสื้อผ้า ซึ่งในอดีตนั้นเผชิญปัญหามรสุมเศรษฐกิจจนต้องหันหน้าเข้าหาวัด แต่ไม่ใช่การบวช เพราะยึดการทำบุญกุศลเป็นทางออก

แรกๆ นั้นก็ไปวัดถวายสังฆทานในหลายจังหวัด เช่น สุรินทร์ อ่างทอง จนมาถึงพระนครศรีอยุธยา จากที่ฟังหลายๆ คนบอกว่าหลวงปู่วัดนี้ดี หลวงพ่อวัดนั้นก็ดัง ในที่สุดมาถึงวัดป้อมแก้ว ได้พบและสัมผัสกับ "หลวงพ่อเพิ่ม" ได้ฟังท่านเทศน์ และให้คำสอนอยู่ประจำจนเข้าใจในสัจธรรมต่างๆ ทำให้เกิดความศรัทธาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเวลามีปัญหา ท่านสามารถทำให้ปัญหาใหญ่กลายเป็นปัญหาเล็กไปทันที ฟังคำท่านแล้วสบายใจ ท่านจะมีคำสอนสอดแทรกอยู่เสมอๆ



 

ด้วยความสนใจในเรื่องพระเครื่องเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เซียนเคี้ยงจึงเริ่มศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับวัตถุมงคลของหลวงพ่อเพิ่ม โดยสอบถามจากหลวงพ่อและผู้รู้จนมีความเชี่ยวชาญแทบทุกรุ่น สามารถวิเคราะห์เก๊-แท้ และให้ความรู้เป็นวิทยาทานแก่ผู้ที่สนใจพระเครื่องของหลวงพ่อเพิ่มได้ไม่แพ้ศิษย์สายตรงคนอื่น

"เซียนเคี้ยง" บอกว่า หลวงพ่อเพิ่มท่านสร้างวัตถุมงคลไว้หลายรุ่น โดยวัตถุมงคลที่สร้างขึ้นครั้งแรกในปีพ.ศ.2517 เป็นเหรียญรุ่นแรกฉลองอายุครบ 5 รอบ ปีพ.ศ.2520 สร้างพระสมเด็จพิมพ์ใหญ่รุ่นแรก (กดพิมพ์ที่วัด) จำนวนสร้างน้อยมาก ปีพ.ศ.2531 สร้างเหรียญรุ่นฉลองอายุครบ 60 ปี พระสมเด็จหลังรูปเหมือนและรูปหล่อลอยองค์รุ่นแรก ซึ่งในปัจจุบันวัตถุมงคลรุ่นนี้หายากและมีประสบการณ์มาก

ปีพ.ศ.2535 สร้างเหรียญเจ้าสัวหลวงพ่อนาค พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด ปี 2542 สร้างวัตถุมงคลรุ่นเพิ่มทรัพย์ประกอบด้วยพระปิดตาคำหมาก พระสังกัจจายน์จันทร์เพ็ญ เหรียญน้ำมนต์ขอบสตางค์ โดยทำพิธีพุทธาภิเษกในวันที่ 22 พ.ย. 2542 ปี 2543 สร้างวัตถุมงคลรุ่นเพิ่มสุข ประกอบด้วยรูปเหมือนบูชาเสาร์ 5 ฐานบรรจุเหรียญแจกทาน พระปิดตาหล่อรุ่นแรก พระสมเด็จหล่อรุ่นแรก พระสมเด็จต่อลาภ พระปรกใบมะขาม แหวนตะกร้อ ตะกรุดโทน ฯลฯ ปี 2544 สร้างพระสมเด็จคำหมากรุ่นแรก รูปหล่อแซยิด ฯลฯ และสร้างต่อมาเรื่อยๆถึงปัจจุบัน ทั้งที่ออกในนามของวัดป้อมแก้ว และที่ศิษยานุศิษย์ขออนุญาตจัดสร้าง

นอกจากนี้ สิ่งหนึ่งที่บรรดาลูกศิษย์ของหลวงพ่อเพิ่มเสาะแสวงหาก็คือ "ตะกรุด" โดยหลวงพ่อเพิ่มท่านจะทำตะกรุดขึ้นปีละครั้ง และจะทำเฉพาะช่วงเข้าพรรษา โดยลงมือจารเอง ปลุกเสกเอง ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ตะกรุดที่ท่านทำจึงมีจำนวนน้อยมากสร้างขึ้นปีละไม่ถึง 100 ดอก ทั้งนี้ ของดีที่หลวงพ่อเพิ่มมอบให้เขาชิ้นแรกก็คือ "ตะกรุดทอง" "เซียนเคี้ยง" จะพกติดตัวอยู่ตลอดเวลา ทั้งเวลาไปหาลูกค้าติดต่องานต่างๆ นอกจากนี้ ที่เขาพกติดตัวเป็นประจำก็มี เหรียญหลวงพ่อเพิ่มรุ่นแรก ปี" 17, เหรียญปลดหนี้ ปี" 42, สมเด็จหล่อ ปี" 43, เหรียญเพิ่มบารมี ปี" 46 และก็ตะกรุดคงกระพัน

"ตะกรุดของหลวงพ่อเพิ่มนั้น เป็นที่รู้กันว่าดีทางด้านคงกระพันชาตรี วิธีใช้ก็คือให้ ห้อยคอห้ามห้อยเอวเด็ดขาด และมีข้อห้ามคือ ห้ามดื่มสุราและผิดลูกผิดเมียชาวบ้านเด็ดขาด มิฉะนั้น ตะกรุดจะเสื่อมทันที"

สุดท้ายเขาย้ำว่า เขามีกิจการของตัวเอง มีบ้าน มีเงินในบัญชี ผ่านอุปสรรคต่างๆ มาได้ด้วยดีเพราะบุญบารมีหลวงพ่อเพิ่ม และผลแห่งการปฏิบัติดีต่อหลวงพ่อนั่นคือการดูแลท่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ ของขบฉัน เช่น หมาก พลู หรือช่วยท่านดูแลเรื่องวัตถุมงคล ไปติดต่อที่โรงงานผลิตเอง ซึ่งทุกเรื่องเขาทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ เต็มใจ เพราะเห็นชัดในความเป็น "พระสุปฏิปันโน" ของท่าน

"หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้วเป็นพระโบราณไม่เคยขอให้ใครบริจาค อย่างสร้างศาลาทุกคนล้วนมาด้วยความศรัทธา ด้วยใจ ท่านบอกอยู่เสมอว่า เงินของญาติ โยมที่บริจาคมาทุกบาททุกสตางค์ เราต้องใช้ให้คุ้มค่า อย่างจะสร้างศาลา ไม่ใช่เห็นอะไรสวยก็จะซื้อ พอซื้อมาแล้วใช้ได้คุ้มมั้ย ท่านจะสอนเสมอ ท่านไม่ห้าม แต่ให้เหตุผล พูดให้เราคิดเอง" เซียนเคี้ยงกล่าวทิ้งท้าย



 


ประวัติหลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว

ชาติภูมิ

หลวงพ่อเพิ่ม ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์เดือนมีนาคม พศ.2469 ตรงกับปีขาล เดือน4 ณ บ้านกลึง อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา โดยเป็นบุตรคนที่ 3 ของโยมบิดาชื่อ นายเล็ก บำรุงสุข โยมมารดาชื่อนางแพร บำรุงสุข

ชีวิตวัยเยาว์
หลวงพ่อเพิ่มได้เริ่มการศึกษาเบื้องต้นที่วัดช่างเหล็ก โดยเรียนกับพี่ชาย จนกระทั่งจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จึงบรรพชาเป็นสามเณร อยู่ที่วัดบางยี่โถ เพื่อศึกษาอักขระขอม และบทสวดมนต์ต่างๆ

ต่อมาบิดาล้มป่วยลง ท่านจึงลาสิกขาออกมาเพื่อช่วยงานทางบ้านประกอบอาชีพ และเมื่ออายุครบเกณฑ์ทหาร ท่านได้เป็นทหารรับใช้ชาติอยู่ 2 ปี

ครั้นพอออกจากทหาร มารดาของท่านได้เสียชีวิต ท่านจึงตัดสินใจอุปสมบท เมื่อ พ.ศ.2493 ณ วัดสีกุก อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีพระครูประโชติวุฒิกร (หลวงพ่อโชติ) วัดป้อมแก้ว เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูถาวรธรรมคุณ วัดสีกุก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูไพโรจน์ วัดเสาธง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา "อตฺตทีโป" แปลว่า "ผู้มีประทีปแห่งตน"

จากนั้นหลวงพ่อเพิ่มได้จำพรรษาอยู่ที่วัดสีกุกเพื่อเล่าเรียนวิชาเป็นเวลา 2 ปีก่อนที่จะย้ายมาอยู่วัดป้อมแก้วตามคำแนะนำของหลวงพ่อโชติและที่นี่เองท่านได้สำเร็จการศึกษาในขั้น นักธรรมเอกอีกด้วย

การศึกษาพุทธาคม

หลวงพ่อเพิ่มท่านได้สนใจศึกษาวิชาอาคมอย่างจริงจัง เมื่อครั้งย้ายมาจำพรรษาที่วัดป้อมแก้ว โดยได้รับการถ่ายทอดมาจาก หลวงพ่อโชติ อดีตเจ้าอาวาส ในขณะนั้น ผู้ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่อห่วง วัดบางยี่โถ ในสายพุทธาคมของ หลวงปู่ปั้น วัดพิกุล สุดยอดพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของ จ.พระนครศรีอยุธยา ในอดีต

โดยในขั้นแรก ท่านได้เริ่มจากการเขียนอักขระเลขยันต์ต่างๆ จนได้รับความไว้วางใจจากหลวงพ่อโชติ ให้เป็นผู้เขียนอักขระยันต์แทนหลวงพ่อโชติ ช่วงที่ท่านมีอายุมาก และสายตาไม่ดี

ต่อมาหลวงพ่อเพิ่มได้รับการมอบหมายให้จารอักขระเลข ยันต์ต่างๆ รวมทั้งการนั่งปรกปลุกเสกแทนหลวงพ่อโชติอีกด้วย จนกระทั่งหลวงพ่อโชติมรณภาพ หลวงพ่อเพิ่มจึงได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป้อมแก้ว แทน ตั้งแต่ พ.ศ.2511 เป็นต้นมา จนถึงทุกวันนี้

หลวงพ่อเพิ่ม ได้ใช้วิชาความรู้ต่างๆ ที่ได้ร่ำเรียนมา พัฒนาวัดป้อมแก้วตลอดเวลา จนทำให้สภาพของวัดดีขึ้นเรื่อยๆ และมีความเจริญรุ่งเรืองในทุกด้าน ดังที่เห็นในทุกวันนี้

ปัจจุบัน

หลวงพ่อเพิ่มมีอายุ 82 ปี มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงดีอยู่เสมอ และมักจะได้รับกิจนิมนต์นั่งปรกอธิษฐานจิตวัตถุมงคลต่างๆ ตามพิธีพุทธาภิเษก ทั้งที่วัดใน จ.พระนครศรีอยุธยา และใกล้เคียง รวมทั้งวัตถุมงคลของวัดป้อมแก้ว ที่ท่านได้จัดสร้างขึ้นเอง ซึ่งมีออกมาเป็นระยะๆ และมีผู้ทำบุญบูชาหมดไปในเวลาอันรวดเร็ว แม้ว่าจะไม่ได้มีการโฆษณาตามสื่อต่างๆ ก็ตาม

หลวงพ่อเพิ่ม นับเป็นพระสุปฏิปันโนที่น่าเคารพกราบไหว้เป็นอย่างยิ่ง ด้วยปฏิปทาอันเรียบง่าย สมถะ สันโดษ เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของผู้พบเห็นอยู่เสมอ จนมีผู้ปฏิบัติธรรมท่านหนึ่ง ซึ่งได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้ต่างๆ ในการนั่งสมาธิฝักอบรมวิปัสสนากรรมฐาน มาจากพระเกจิอาจารย์ยุคก่อน อาทิ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ครูบาชุ่ม โพธิโก ครูบาพรหมา วัดพระพุทธบาทตากผ้า ฯลฯ ได้ให้ข้อสังเกตว่า

ด้วยวัตรปฏิบัติของหลวงพ่อเพิ่ม และการแสดงออกทางมหากิริยาบนใบหน้าของหลวงพ่อ บ่งบอกได้ว่า ท่านเป็นผู้มีบุญบารมีสูง และได้บรรลุธรรมในระดับหนึ่ง รวมทั้งเชื่อกันว่า ท่านเป็นผู้มีพลังจิตอันสูงส่ง มีความแก่กล้าในทางวิชาอาคมอันเข้มขลัง ซึ่งตรงกับคำเล่าลือของชาวบ้านที่ว่า วัตถุมงคลของหลวงพ่อเพิ่มทุกรุ่นที่ท่านได้ปลุกเสกเอาไว้ ล้วนมีอานุภาพความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด จนปรากฏเกียรติคุณอันโด่งดังถึงทุกวันนี้

นอกจากนี้ ชื่อของ "หลวงพ่อเพิ่ม" ยังเป็นมงคลนาม จึงเชื่อกันว่า ใครได้ทำบุญกับ "หลวงพ่อเพิ่ม" ชีวิตมีแต่ "เพิ่ม" ขึ้นในทางที่ดีเสมอไป


 

 
 
วัตถุมงคล

หลวงพ่อเพิ่มท่านสร้างวัตถุมงคลไว้หลายรุ่นโดยวัตถุมงคลที่สร้างขึ้นครั้งแรกในปี2517 เป็นเหรียญรุ่นแรกฉลองอายุครบ 5 รอบ

ปี2520 สร้างพระสมเด็จพิมพ์ใหญ่รุ่นแรก (กดพิมพ์ที่วัด)จำนวนสร้างน้อยมาก

ปี2531 สร้างเหรียญรุ่นฉลองอายุครบ ๖๐ ปี พระสมเด็จหลังรูปเหมือนและรูปหล่อลอยองค์รุ่นแรก ซึ่งในปัจจุบันวัตถุมงคลรุ่นนี้หายากและมีประสบการณ์มาก

ปี2535 สร้างเหรียญเจ้าสัวหลวงพ่อนาคพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด

ปี2542 สร้างวัตถุมงคลรุ่นเพิ่มทรัพย์ประกอบด้วยพระปิดตาคำหมาก พระสังกัจจายน์จันทร์เพ็ญ เหรียญน้ำมนต์ขอบสตางค์ โดยทำพิธีพุทธาภิเษกในวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๒

ปี2543 สร้างวัตถุมงคลรุ่นเพิ่มสุข ประกอบด้วยรูปเหมือนบูชาเสาร์ ๕ ฐานบรรจุเหรียญแจกทาน พระปิดตาหล่อรุ่นแรก พระสมเด็จหล่อรุ่นแรก พระสมเด็จต่อลาภ พระปรกใบมะขาม แหวนตะกร้อ ตะกรุดโทน ฯลฯ

ปี2544 สร้างพระสมเด็จคำหมากรุ่นแรก รูปหล่อแซยิด
ฯลฯ

นอกจากวัตถุมงคลหลายรูปแบบแล้วสิ่งหนึ่งที่บรรดาลูกศิษย์ของหลวงพ่อเพิ่มเสาะแสวงหาก็คือตะกรุดนั่นเอง โดยหลวงพ่อเพิ่มท่านจะทำตะกรุดขึ้นปีละครั้งโดยท่าน ทำเฉพาะช่วงเข้าพรรษา จารเอง เสกเอง ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้นดังนั้นตะกรุดที่ท่านทำจึงมีจำนวนน้อยมากสร้างขึ้นปีละไม่ถึง ๑๐๐ ดอก

สำหรับพุทธคุณของตะกรุดท่านนั้นดีเด่นด้านคงกระพันชาตรี วิธีใช้ก็คือให้ห้อยคอห้ามห้อยเอวเด็ดขาดและมีข้อห้ามคือห้ามดื่มสุราและผิดลูก ผิดเมียชาวบ้านเด็ดขาดมิฉะนั้นตะกรุดจะเสื่อมทันที 

 




ที่มา.http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://thailandwebpost.com/images/1250605385wutmaster.jpg&imgrefurl=http://thailandwebpost.com/prakaji_015.html&usg=__XsVCuhREnVykWbsHa4aFwiEzbdU=&h=400&w=313&sz=45&hl=th&start=17&um=1&tbnid=HSdTM0O1WLdUFM:&tbnh=124&tbnw=97&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%259E%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25AD%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B4%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25A1%2B%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%259B%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25A1%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25A7%26hl%3Dth%26sa%3DN%26um%3D1



168


ประวัติพระวิษณุกรรมไม่แน่ชัดนักตำนานหนึ่งว่าเป็นโอรสของ"ภูวน"อีกตำนานหนึ่งว่าเป็นโอรสของ"ประภาส" ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะวสุเทพบริวารของพระอินทร์วสุเทพนี้มี๘องค์คือธร(ดิน)อาป(น้ำ)อนิล(ลม)อนล(ไฟ)โสม(เดือน)ธรุระ
(ดาวเหนือ) ปรัตยุษ(รุ่ง) และประภาส(แสงสว่าง)

เรื่องราวของพระวิษณุกรรมมักจะเกี่ยวข้องกับพระอินทร์อยู่เสมอด้วยพระวิษณุกรรมเป็นเทพบริวารฝ่ายช่างของ
พระอินทร์ดังปรากฏในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบทว่าเมื่ออดีตภพพระอินทร์เกิดเป็นมนุษย์มีนามว่า"มาฆมาณพ"อาศัยอยู่ที่
ตำบลจุลคามแคว้นมคธมาฆมาณพได้ดำเนินชีวิตไปในทางบุญกุศลตลอดเริ่มด้วยการแผ้วถางทางเดินซึ่งในขณะที่สร้าง
ได้มีบุรุษมาไต่ถามถึงความประสงค์เรื่อยๆ มาฆมาณพ ตอบว่าสร้างทางไปสวรรค์บุรุษนั้นๆ ก็มาร่วมด้วยจนมีจำนวนได้
๓๓คนต่อมาบุรุษทั้ง๓๓คนนั้นได้พากันไปสร้างศาลาที่ทางใหญ่สี่แพร่ง ด้วยความมุ่งหมายเพื่อสร้างทางไปสวรรค์ต่อ
ไป ในการสร้างศาลานี้มาฆมาณพพร้อมด้วยบุรุษทั้ง๓๓คนได้ไปเชิญนายช่างไม้ที่มีความสามารถผู้หนึ่งมาเป็นนายงาน
นายช่างไม้ผู้นี้ได้แสดงความสามารถเป็นที่ประจักษ์ในที่สุดศาลานั้นก็สำเร็จลุล่วงเป็นประโยชน์แก่ผู้สัญจรไปมาด้วยการ
กระทำของมาฆมาณพซึ่งเป็นผู้กำกับการนายช่างไม้เป็นนายก่อสร้างและบุรุษทั้ง ๓๓ คนเป็นคนงาน ด้วยอานิสงส์ของกุศลดังกล่าวเมื่อ
มาฆมาณพและเหล่าบุรุษทั้งหลายถึงแก่กรรมก็ได้ไปบังเกิดเป็นเทพยาดาในสรวงสวรรค์ทั้งหมด

มาฆมานพไปเกิดเป็นสมเด็จอมรินทราชาธิราช(พระอินทร์)แห่งดาวดึงส์ภิภพเป็นใหญ่กว่าเทพยดาในสองชั้นฟ้า
นายช่างไม้ไปเกิดเป็นพระวิษณุกรรมนายช่างศิลปะแห่งเทวโลกรับใช้องค์สมเด็จ บุรุษทั้ง ๓๓ คนนั้นก็บังเกิดเป็นเทพยดาองค์อื่นๆ ตามลำดับ
พระวิษณุกรรมมีหน้าที่คอยรับใช้พระอินทร์ เมื่อพระอินทร์ใคร่จะสร้างเทวาลัย สถานที่หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็มีหน้าที่รับภาระสนองจัดสร้าง

ลักษณะของพระวิษณุกรรมจะมีกายสีเขียวมีพระโลหิตเป็นสีเลือดหมูโพกพระเศียรด้วยผ้าขาวทรงจำศีลและถือหาง
นกยูงเป็นเครื่องมือเพื่อโบกปัดกวาดสิ่งที่ก่อสร้างขึ้นอย่างไรก็ตามมักพบรูปปั้นรูปหล่อหรือรูปเขียนของพระองค์ทรงถือผึ่งด้วยพระหัตถ์ขวา
และทรงถือดิ่งด้วยพระหัตถ์ซ้ายนั้นคงเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อแสดงให้มีความหมายตรงกับหน้าที่ของพระองค์ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือว่าเป็น
บรมครู แห่งศิลปะการช่างเพราะผึ่งกับดิ่งนั้นเป็นเครื่องมือของช่างไม้ หรือคงเพื่อต้องการให้ตรงกับกำเนิดเดิมของพระวิษณุกรรมซึ่งเป็น
นายช่างไม้สร้างศาลาดังกล่าวแล้วก็เป็นได้

พระวิษณุกรรม เป็นสิ่งบ่งบอกถึงสัญลักษณ์แห่งสถาบันการศึกษาด้านวิชาชีพ นักศึกษาด้านวิชาชีพต่างก็ยกย่องนับถือองค์พระวิษณุกรรมในฐานะเทพ ผู้เป็นบิดาในเชิงช่าง
คำว่า "วิษณุ" หมายถึง พระนารายณ์หรือภาคหนึ่งของพระองค์ มีชื่อเรียกได้หลายชื่อด้วยกัน เช่น
พระวิษณุกรรม วิสสุกรรม เวชสุกรรม เพชฉลูกรรม ตามความเชื่อในลัทธิพราหมณ์จะนับถือพระวิษณุกรรมว่า
เป็นเทพผู้มีความรู้ ความสามารถในเชิงช่างฝีมือทุกประเภทเราจะพบว่าวรรณคดีหลายเรื่อง กล่าวถึงความ
สามารถด้านนี้ของพระองค์ เช่น ในมหาเวชสันดรชาดก กล่าวถึงความสามารถด้านนี้ของพระองค์ เมื่อพระเวชสันดรได้พาพระนางมัทรีและสองกุมารมาถึงเขาวงกตนั้น พระวิษณุกรรมได้สร้างอาศรมถวายเพื่อใช้เป็นที่พักบำเพ็ญศีล
ภาวนา
ในสถาบันการศึกษาที่สอนวิชาช่างทุกแห่งจะพบว่า มีรูปปั้นของพระวิษณุกรรมไว้บูชาตามความเชื่อของ
ลัทธิพราหมณ์เคียงคู่กับพระพุทธรูปของชาวพุทธเสมอมา แต่จะมีท่าทางที่ต่างกันอยู่ 2 ท่า คือท่านั่งจะเป็นรูปองค์
พระวิษณุประทับนั่งบนแท่น มือขวาถือดอกบัวหรือลูกดิ่ง ส่วนท่ายืนมือขวาถือไม้เมตรหรือไม้วา มือซ้ายถือลูกดิ่ง
และไม้ฉาก ท่านคงสงสัยถึงที่มาขององค์พระวิษณุกรรมทั้ง 2 ท่านี้ ก็พอขยายความได้ว่า หากสถาบันใดเปิดสอน
วิชาชีพช่างก่อสร้าง ก็มักอยู่ในท่ายืนมือถือลูกดิ่งและไม้เมตรหรือไม้วาอันเป็นเครื่องมือของช่างก่อสร้างมาแต่สมัย
โบราณซึ่งช่างทั้งหลายทราบดีว่าเป็นเครื่องมือสำหรับวัดระยะ วัดความเที่ยงตรง
แต่สิ่งที่นอกเหนือไปจากนั้นยังแฝงไปด้วยปรัชญาในการดำเนินชีวิต คือความแม่นยำ เที่ยงตรง ไม่เอนเอียงในทางปฏิบัติ ซึ่งเป็นที่มาของช่างที่ดี คือความมีคุณธรรมประจำใจ หากเปิดสอนวิชาชีพสาขาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ช่างก่อสร้างอยู่ด้วย ก็มักจะใช้ท่านั่ง เข้าใจว่าผู้สร้างคงจะชี้ให้เห็นเด่นชัดถึงสถาบันผู้ผลิตช่างก่อสร้าง อันเป็นช่างเก่าแก่มีมาแต่ก่อนแล้ว


บทบูชาพระวิษณุกรรม
โอม คุรุ เทวา นะมามิ วิษณุกรรม กันเจวะ อาจาริยัง เทวา มหาปัญโย นิมิตตัง ศิลปนามัง โยธามิเศษตัง ปฏิกรรมนานัง ภะวันตุโน อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิ เอหิ นะมะมามา วันทามิ



ที่มา เว็บพลังจิต  ขอขอบคุณครับ

169



การขออโหสิกรรมกับพ่อแม่......หลวงพ่อจรัญ

หลวงพ่อบอกว่า" เสรีทำไมไม่ดีสักที ติดขัดอะไรหนอ เสรี

เคยทำให้พ่อแม่เสียใจน้ำตาร่วงไหม" บอกโอ้โฮหลวงพ่อ

ร่วงจนไม่มีอะไรจะร่วงแล้ว ตอนที่ผมกินเหล้า พ่อแม่

เหมือนตกนรกทั้งเป็น หลวงพ่อจึงบอกว่า" เสรี

นั่นแหละบาปกรรมมาก ต้องไปแก้กรรมกับพ่อแม่

เพราะคนที่เถียงพ่อแม่ ชอบดุพ่อแม่ ทำให้พ่อแม่เสียใจ

คนพวกนี้ทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ ทำอะไรก็

เอาดีไม่ได้ " ท่านก็บอกว่า" ถึงวันเกิดของเราให้ซื้อ

เสื้อผ้าใหม่ ให้พ่อแม่คนละ1ชุด ผ้าเช็ดคัวผืนเล็กๆ1ผืน

ตื่นเช้ามาไหว้พระ สวดมนต์ จบแล้วจัดอาหารอย่างดีที่สุด

ที่พ่อแม่ชอบ ให้พ่อแม่รับประทาน เมื่อรับประทานเสร็จ

ให้ท่านนั่งบนเก้าอี้พร้อมกัน เอากะละมังใส่น้ำอุ่น มาล้างเท้า

พ่อแม่ เอาสบู่ฟอกให้สะอาด แล้วล้างด้วยน้ำให้สะอาด

เอาผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆที่ซื้อมาเช็ดให้แห้ง เอาแป้งโรย

ให้ทั่วให้หอม เอาเสื้อผ้าที่ซื้อมาให้ท่าน เสร็จแล้วพูดว่า

กรรมใดที่ลูกได้ล่วงเกินคุณพ่อคุณแม่ ด้วยกายก็ดี

ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรม

ให้แก่ลูกด้วย เสร็จแล้วกราบเท้าท่าน3ครั้ง เอาเท้าท่าน

ทั้งสองคน คนละข้างเหยียบที่ศรีษะเรา แล้วให้ท่านให้พรเรา

นั่นแหละถึงจะล้างกรรมกันได้ ฟังแล้วไม่ยากลองไปทำดูเถอะ

ง่ายนิดเดียว

อ้างอิง กฏแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติ(ฉบับคัดลอก)

170
การควบคุมและรายงานความประพฤติของมวลมนุษย์






โลกมนุษย์จะมีภุมเทวดาคอยจดความดีและความชั่วของมนุษย์ทุกๆ วัน
โดยจะรับผิดชอบเป็นเขตๆ แล้วนำส่งอากาศเทวดาของท้าวมหาราชทั้ง ๔

บัญชีบุญส่งไปยังเทวสภา บัญชีบาปส่งไปยังสำนักพญายม





ขอบคุณทีมาจาก สวนขลัง ดอทคอม  ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ  :089:

171



วิบากกรรมที่ทำให้มาเกิดเป็นกุมารทอง
ก่อนอื่นเรามาดูวิบาก กรรมที่ทำให้เป็นกุมารทอง คือ กรรมที่บางคนเคยทำแท้งสมัยเป็นมนุษย์ ชาติก่อนที่จะเป็นกุมารทอง เมื่อ มาเกิดเป็นมนุษย์ เคยทำแท้งเอาไว้ จึงทำให้ตายในท้อง แบบตายท้องกลม ตายทั้งแม่และลูก เมื่อตายแล้วก็กลายเป็นผีเด็ก คือ ถ้าตาย ตอนเด็กก็เป็นผีเด็ก ตายตอนแก่เป็นผีแก่ ตายหนุ่มสาวก็ผีหนุ่มสาว และอีกวิบากกรรมหนึ่ง ตอนที่เป็นมนุษย์ชอบเรียนวิชาพวกนี้ด้วย ซึ่งก็เป็นภาพในอดีตชาติของตนครั้งยังเป็นมนุษย์ ที่ได้ไปผ่าท้องเอาเด็กออกมาทำตามขั้นตอนพิธีกรรม จึงทำให้ต้องมาเป็นกุมารทอง

ไม่ใช่ว่าจะนำมาทำกุมารทองได้หมดทุกคน ต้องมีวิบากกรรม ที่เคยทำเขาไว้ คือ วิบากกรรมทำแท้งจึงต้องมาตายในท้อง ตายแล้วร่างก็ออกมาเป็นผีเด็ก แล้วก็เคยไปเรียนวิชาพวกนี้มาก่อน จึงมีคนที่เรียนวิชานี้ นำไปประกอบพิธีกรรมแบบที่ตัวเคยทำ แล้วก็เรียกวิญญาณของตัวมาเลี้ยงไว้ นำมาใช้งาน โดยมีวิทยาธรเจ้าของวิชากำกับด้วยมนต์

วิทยาธรที่เป็นเจ้าของวิชา คือ อดีตมนุษย์ที่ชอบเรียนวิชานี้ ตายแล้วก็ไปเป็นวิทยาธรอยู่ที่ป่าหิมพานต์ และจะรักษาวิชาสืบต่อกันมาอย่างนี้ ควบคู่กันไปกับเทคโนโลยี แต่ถ้าไม่มีกรรมด้านนี้ก็เรียกมาใช้งานไม่ได้

กุมารทองส่วนใหญ่ เป็นเด็กผมจุก นุ่งโจงกระเบน ไม่ใส่เสื้อ สวมสร้อยสังวาล ถูกเลี้ยงโดยผู้ที่มีวิชาไสยศาสตร์ วิชาที่เรียนนี้ ต้องใช้ศพคนตายท้องกลม คือ ตายทั้งแม่และลูก มีอยู่ ๒ ประเภท คือ ประเภทที่มีวิบากกรรมด้านนี้ จึงจะนำไปทำกุมารทองได้ และประเภทที่ไม่มีวิบากกรรมด้านนี้ ก็ไม่สามารถนำไปทำกุมารทองได้ ซึ่งถ้าไม่มีกรรมด้านนี้ทั้งแม่และลูกที่ตาย ก็จะไปเกิดตามกรรมของตน แต่ถ้ามีวิบากกรรมประเภทนี้ก็จะดึงดูด ให้ผู้ที่เรียนวิชาไสยเวทที่เป็นมนุษย์นำไปใช้งาน โดยมีอาจารย์วิทยาธรจะเป็นผู้กำกับ คอยแนะนำว่า ให้ไปเอาตรงนั้น ตรงนี้ ทำอย่างนั้น อย่างนี้



กำเนิดกุมารทอง





ทีนี้เราก็ย้อนมาดูเรื่องราวที่ต่อเนื่องกัน ซึ่งเป็นเรื่องวิบากกรรมของทั้งแม่และลูก ที่ทำร่วมกัน คือ พอลูกตายในท้องแม่ที่มีกรรมชนิดนี้ อาจารย์วิทยาธรเขาจะไปบอก อาจารย์มนุษย์ที่เรียนไสยเวท ในสายกุมารทอง สายรักยม สายลูกกรอกประเภทนั้น เขาก็จะมาดูตามหลักวิชา ซึ่งจะไม่ลงรายละเอียด พอเขาผ่าท้องเอาเด็กที่อยู่ในท้องออกแล้วนำมาประกอบพิธีกรรม ส่วนศพของแม่ก็ใช้ด้วย เอาไปทำน้ำมันพราย จะใช้ไขมันตรงหน้าท้องไปเจียว แล้วก็มีมนต์กำกับ แล้วใส่อะไรต่างๆ ลงไป เพื่อจะผูกมัดเจ้าของร่างเอาไว้ ซึ่งจะบังคับแม่ลูกที่มีกรรมอย่างนี้ โดยร่วมมือกันระหว่างอาจารย์วิทยาธรกับอาจารย์ในเมืองมนุษย์ ตรงนี้เป็นความรู้วิทยาศาสตร์ทางใจ

ส่วนลูกที่อยู่ในท้องก็มาเป็นลูกกรอก จะมีชื่อเรียกต่างกัน ถ้าอยู่ในท้องเดี่ยวๆ เรียกว่า ลูกกรอก ถ้าอยู่ในท้องคู่เรียกรักยม เด็กโตขึ้นเรียกกุมารทอง เมื่อนำมาแรกๆ ก็โตไม่มากนัก จะต้องนำมาเลี้ยงต่อจนโตเป็นกุมารทอง


การเลี้ยงดูกุมารทอง

การเลี้ยงกุมารทองในช่วงแรก โตด้วยมนต์ของอาจารย์วิทยาธรกับของอาจารย์ในเมือง มนุษย์ แต่จะอาศัยบุญของอาจารย์วิทยาธรที่ดูแลควบคุมวิชาพวกนี้เป็นหลัก จะใช้มนต์เลี้ยงจนกระทั่งโตเหมือนเด็กที่ถึงเวลาคลอดออกจากครรภ์มารดา ตอนนี้จึงจะให้ดื่มนม

การให้ดื่มนมมี ๒ ประเภท คือ อาศัยนมมารดากับนมจากวิทยาธร การดื่มนม มารดาก็เหมือนกับการดื่มนมของเด็กทั่วไป นมของวิทยาธรน้ำนมจะไหลออกจากปลายนิ้วมือของวิทยาธร เมื่อกุมารทองดูดน้ำนมก็จะไหลไปเรื่อยๆ ด้วยฤทธิ์ของวิทยาธร พออิ่มแล้ว น้ำนมก็หายไป จะสลับสับเปลี่ยนกันให้ดื่มนมจากแม่บ้าง จากวิทยาธรบ้าง

มารดาของกุมารทองอยู่ได้ด้วยบุญของอาจารย์วิทยาธร ท่านจะให้อาหารทิพย์ กายละเอียดพวกนี้จะมีความเป็นอยู่คล้ายๆ มนุษย์ คือ มีครอบครัว มีลูก มีอะไรสารพัด แม่ลูกอยู่ได้ด้วยบุญของวิทยาธรและมนต์ของวิทยาธรกำกับ

เด็กที่เป็นลูกกรอก รักยม กุมารทอง พวกนี้เมื่อเลี้ยงแล้วก็โตขึ้นเรื่อยๆ แต่ระยะเวลาในการเจริญเติบโตจะช้ากว่าในเมืองมนุษย์ ซึ่งจะมีอายุยาวกว่าของมนุษย์ กุมารทองบางตัวโตเร็ว บางตัวโตช้า เพราะวิบากกรรมไม่เท่ากัน ถ้าตัวไหน ใกล้หมดกรรมจะโตเร็วหรือไม่ก็ไปเกิดเลย ตัวไหนที่โตช้า และเป็นกุมารทองนาน แสดงว่ามีวิบากกรรมมาก

สัมภเวสีเด็กที่ถูกเลี้ยงให้เป็นกุมารทองจะมีนิสัยเหมือนเด็กมนุษย์ คือ ชอบเล่นและซุกซนเหมือนเด็กๆ แต่ถึงแม้จะซุกซนแค่ไหน แต่ก็อยู่ในสายตาของวิทยาธรตลอด เพราะเขามีตาทิพย์


ทรงเจ้าเข้า ผีมาเป็นกุมารทอง


นอกจากนี้ยังมีกุมารทองอีกประเภทหนึ่ง เป็นพวกที่มีวิบากกรรมเคยทำแท้งในอดีต จึงถูกทำแท้งในชาติที่เกิดเป็นมนุษย์ ประกอบกับกรรมที่เคยนับถือทรงเจ้าเข้าผีมามาก ชอบเป็นชีวิตจิตใจ นับถือว่าเป็นสรณะ เมื่อตายแล้วอาจารย์วิทยาธรที่เป็นภุมมเทวา ก็ไปนำ ตัวมาเลี้ยง ผูกไว้ด้วยมนต์ ให้เป็นเด็กในความปกครอง แต่จะนำมาได้เฉพาะที่มีเชื้อสายทางนี้เท่านั้น ซึ่งจะมีอายตนะดึงดูดเป็นสายๆ ตามสายของอาจารย์วิทยาธรที่มีหลายสาย ที่ดูแลสิงๆ ทรงๆ ก็มี ดูแลกุมารทองก็มี เหมือนฝูงนกเข้าฝูงนก ฝูงปลาเข้าฝูงปลา ขี้เมา เข้าวงเหล้า ผู้มีบุญเข้าวงบุญ บางท่านก็มีเด็กอยู่ในความปกครองมาก บางท่านก็มีน้อย

ต่อมาอาจารย์เมืองมนุษย์ได้เรียนวิชานี้ ซึ่งจะมีอาจารย์วิทยาธรเป็นผู้คุมวิชา จะคอยผสมความศักดิ์สิทธิ์ ส่งฤทธิ์ ส่งเดช คอยประสานงานอาจารย์มนุษย์ ทำการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ขึ้นมา แล้วก็สร้างสื่อขึ้นมาด้วยวัสดุอะไรก็แล้วแต่ เป็นหิน เป็นดิน เป็นโลหะ ส่วนใหญ่ทำเป็นรูปตุ๊กตาเด็ก แล้วก็นำมาผูกด้วยมนต์กับภุมมเทวาเด็กในสายการปกครองของอาจารย์วิทยาธร ที่มีกรรมดังกล่าวดูดมา

คำว่า ผูก หมายความว่า ผูกพัน แต่พันด้วยมนต์จนกลายเป็นกุมารทอง แล้วก็นำมามอบให้กับลูกศิษย์ที่มาขอ และมีความเชื่อมั่นทางด้านนี้ อาจารย์ในเมืองมนุษย์จะบอกวิธีใช้งานว่า ใช้อย่างไร ทำอะไรได้บ้าง และจะเลี้ยงอย่างไร



วิธีการเลี้ยงและใช้งานกุมารทอง





วิธีการเลี้ยงกุมารทองก็เหมือนกับการ เลี้ยงเด็ก เลี้ยงลูก พูดง่ายๆ คือ เลี้ยงด้วยการ เซ่นไหว้ ให้กินผลไม้ ให้กินน้ำแดง กินขนม เขาจะกินของละเอียดที่ซ้อนกันอยู่ การใช้งานส่วนใหญ่จะมีวัตถุ ประสงค์เพื่อให้ช่วยเหลือด้านค้าขายบ้าง เฝ้าของ เฝ้าบ้านเป็นหลัก ให้ดูหวย หรือดูดวง เป็นเรื่องรองลงมา เช่น ให้เฝ้าของ เฝ้าบ้าน แม้เจ้าของบ้านไม่อยู่ ก็ทำให้เหมือนมีคนอยู่ในบ้าน จะมีเสียงเด็กวิ่งเล่น หรือบางทีก็แปลงกายเป็นสุนัขดำตัวใหญ่ก็ได้ หรือแปลงกาย เป็นอะไรก็ได้ แต่กุมารทองทำอย่างนี้ไม่ได้ทุกตัว บางตัวแปลงกายได้ บางตัวแปลงไม่ได้ แล้วแต่เชื้อมาก หรือเชื้อน้อย เหมือนกับเราสนใจอะไรมาก ก็จะมีตบะ มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นเป็นพิเศษ

ช่วยเรื่องการค้าขาย กุมารทองจะมีวิธี คือ จะเข้าไปดึงตัวบ้าง ฉุดมือบ้าง กระชากบ้าง แต่เจ้าตัวไม่รู้ตัว จะเหมือนเดินเข้าไปธรรมดา ไปดลใจบ้าง หรือไปกระซิบข้างหู ซึ่งคนที่ถูกกระซิบก็จะไม่ได้ยิน แต่จะเกิดความรู้สึก เอ๊ะ! อยากไปซื้อของร้านนี้ จริงๆ แล้วเรื่องการ ขายของดี หรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับบุญเก่าของเจ้าของ ที่สร้างทานมาพอดีกับจังหวะที่บุญส่งผลเป็นหลัก ซึ่งถ้าทานส่งผลช่วงนั้นจะทำอะไรก็ดีทั้งนั้น ส่วนกุมารทองเป็นเพียงส่วนเสริมนิดหน่อยเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็รวยทุกวัน บอกให้ช่วยขายที่ให้ได้ ขายนั่นให้ได้นะ ซื้อมา ขายไปพักเดียวก็รวยกว่าบิลเกตต์แล้ว ซึ่งจะขายดีอย่างนั้นทุกครั้งก็ไม่ใช่ จะได้เฉพาะ บางครั้งเท่านั้น

ที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้านก็เช่นเดียวกัน อย่าลืมว่าบุญกรรมที่ทำมาเป็นหลัก แต่กุมารทองเป็นส่วนเสริมนิดหน่อย ขนาดบางทีกุมารทองเฝ้าบ้าน ขโมยยังขึ้นบ้านได้ แสดงว่าคนนั้นมีวิบากกรรมเคยไปลักขโมยของคนอื่น เพราะเป็นวิบากกรรมที่ติดมากับตัว เมื่อถึงเวลาส่งผล อะไรก็กันไม่อยู่


วิธีการติดต่อกับกุมารทอง

วิธีการติดต่อระหว่างผู้เลี้ยงกุมารทองกับกุมารทอง คือ บางทีกุมารทองก็จะมากระซิบข้างหู แต่ไม่เห็นตัว เพียงแต่มีความรู้สึก หรือบางทีถ้าจิตของใครที่อ่อนไหวง่าย กุมารทองก็จะสิงร่างของผู้นั้นได้ง่าย เด็กที่ถูกสิงบ่อยๆ ต้องเป็นเด็กที่มีเชื้อนับถือทางทรงเจ้า เข้าผีมาก่อนในอดีต ถ้าไม่มีเชื้อก็เข้าไม่ได้ พูดง่ายๆ คือ เป็นพวกเดียวกัน และบางทีที่สิงเด็กเล็กมากกว่าเด็กโต หรือเข้าสิงเด็กผู้หญิงมากกว่าเด็กผู้ชาย เพราะจิตอ่อนไหวกว่า แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่แต่อ่อนไหวง่าย และมีเชื้อติดมาจากอดีตก็เข้าสิงง่าย


สังคมของกุมารทอง


เนื่องจากกุมารทองไม่ได้มีตนเดียว มีหลายตนหลายพวก เขาก็จะมีสังคมกุมารทอง เหมือนสังคมมนุษย์ มีการคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน แต่ไม่เหมือนเด็กในเมืองมนุษย์ กุมารทองจะคุยแลกเปลี่ยนวิชากัน ต้องเสกคาถา ร่ายมนตร์อย่างนี้ ว่าคาถาอย่างนี้ จะดลใจคนทำอย่างไร จะเปิดประตู เปิดทีวี ช่วยขายของจะทำอย่างไร ซึ่งมนต์ หรือคาถาเหล่านี้ เรียนมาจากวิทยาธรที่เรียกมาอบรม สอบบทที่ ๑ ทำอย่างนี้ ว่าคาถาอย่างไร อบรมอย่างนี้เรื่อยไป และก็พาไปฝึกงานตามที่ต่างๆ แล้วยังมีการชักชวนพวกพ้องที่เป็นกุมารทอง เหมือนกันบ้าง หรือไม่ได้เป็นกุมารทอง แต่ว่าตายตอนเด็ก ก็ชวนเข้าพวกก็มี



กุมารีทอง กุมารเทย กุมารีเทย

นอกจากกุมารทองแล้ว ยังมีกุมารีทอง กุมารเทย กุมารีเทย เพราะพวกที่ชอบ สิงๆ ทรงๆ มีทั้งหญิงและชาย และถ้ามีกรรมทางกาเมเสริม คือ นอกจากชอบทรงเจ้าเข้าผีแล้ว ยังผิดศีลข้อ ๓ มีนิสัยเจ้าชู้ด้วย ทำเสน่ห์ยาแฝดอย่างนี้ ก็จะเป็นกุมารเทย หรือกุมารีเทย

ส่วนกุมารีทองนั้นเป็นเด็กผู้หญิง แต่งตัวหลายแบบ แบบไทยก็มี คือนุ่งโจงกระเบน ใส่เสื้อ แต่กุมารทองไม่ใส่เสื้อ มีสร้อยสังวาลคาด แต่งตัวแบบจีนก็มี แบบปััจจุบันก็มี ไว้ผมจุกก็มี ไม่ไว้ผมจุกก็มี ซึ่งส่วนใหญ่เราคุ้นกับการไว้ผมจุก ตอนเด็กเป็นกุมารีทอง เมื่อโตเป็นสาว ก็จะแต่งตัวตามสังคม ชอบแข่งกันสวยคล้ายกับมนุษย์ เครื่องแต่งกาย ได้มาจากของเซ่นไหว้ ตามกระแสนิยมของมนุษย์แรงไปทางไหน แฟชั่นแบบใด บางตนตามกระแสของมนุษย์ บางตนก็ไม่ตามกระแส เพราะเขาเห็นมนุษย์ทำอย่างไรก็จะทำอย่างนั้น เพราะพวกนี้ คือ อดีตมนุษย์ที่มีภพใกล้เคียงมนุษย์มาก และมองเห็นมนุษย์ด้วยตาละเอียดทุกวัน



นางกวัก





คนสงสัยว่า กุมารีทองเมื่อโตขึ้นจะเป็นนางกวักหรือไม่ นางกวักมีทั้งจริงและไม่จริง เราจะมาพูดถึงเฉพาะที่มีจริง คือ อาจารย์วิทยาธรจะเอามนต์ผูกกับภุมมเทวาที่มีวิบากกรรม เกี่ยวกับสิงๆ ทรงๆ ไสยเวท หรือกุมารีทองที่ใช้มนต์ผูกกับรูปนางกวักก็มี แล้วแต่สายวิชา ซึ่งไม่เหมือนกัน นางกวัก ที่เราเห็นเป็นรูปปั้นทำเป็นรูปท้าวแขนและกวักมือ เป็นเพียงรูปปั้นที่สมมุติตามความนิยม ตามความต้องการ หรือเพื่อ ความสบายใจมั่นใจของผู้ใช้เท่านั้น อยากจะใช้แล้วเกิดความรู้สึกอย่างไร ก็ปั้นอย่างนั้น มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อเป็น สื่อกับอาจารย์วิทยาธรเท่านั้น อาจารย์วิทยาธรก็จะทำงาน ประสานงานกับอาจารย์มนุษย์ที่เป็นผู้ปั้นแล้วผูกมนต์ แล้ว จึงนำไปใช้งาน โดยมีอาจารย์วิทยาธรกำกับ ส่งฤทธิ์ ส่งเดช



ลูกกรอกสัตว์ และสัตว์ประหลาดต่าง ๆ




นอกจากกุมารทอง รักยม ผียายหม้อ ลูกกรอกคนแล้ว ยังมีการเลี้ยงลูกกรอกแมวอีก คือ แมวที่คลอด ออกมาแล้วตัวเล็ก ตายในท้องเหมือนมนุษย์ ซึ่งก็เป็นอดีตมนุษย์ โดยตั้งหิ้งให้อาหารเหมือนกัน แต่จะเก็บไว้ในห้องส่วนตัวของเจ้าของบ้าน นอกจากลูกกรอกแมวแล้ว ยังมีสัตว์ประเภทต่างๆ เช่น จิ้งจก ๒ หาง แมว ๒ หัว วัว ๕ ขา เป็นต้น ลูกกรอกแมว หรือลูกกรอกสัตว์อื่นๆ ก็ทำได้ทั้งนั้น คือพวกนี้เป็นแค่สื่อเหมือนกัน แต่เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาเท่านั้น คือ จากมนุษย์เป็นสัตว์เดรัจฉาน

วิบากกรรมของสัตว์ประเภทนี้ คือ ก่อนมาเป็นสัตว์ก็เป็นอดีตมนุษย์ ชอบเล่นไสยเวทและมีกรรมปาณาติบาต มีกรรมทำแท้งเป็นต้น เมื่อพ้นจากมหานรกแล้ว ก็มาใช้กรรมเป็นสัตว์เดรัจฉาน เนื่องจากมีกรรมทำแท้ง จึงทำให้ตายในท้อง แม้เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ยังตายในท้อง กรรมไสยเวทก็จะนำอาจารย์วิทยาธร ประสานกับอาจารย์มนุษย์มาผูกมนต์ ให้มา เป็นสัตว์เลี้ยงของกุมารทอง หรือของอาจารย์วิทยาธรเอง เพื่อประดับบารมีของอาจารย์วิทยาธร เหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงที่เลี้ยงเอาไว้เล่นๆ อย่างนั้น

นอกจากนั้นยังมีกรรมของสัตว์ที่คลอดลูกออกมาเป็นสัตว์ประหลาด เช่น วัว ๕ ขา หมา ๒ หัว จิ้งจก ๒ หาง เป็นต้น ซึ่งก็มีกรรมประเภทปาณาติบาตกับวจีกรรมเป็นหลัก และมีกรรมอย่างอื่นเสริม เช่น ตอนเป็นมนุษย์ได้พูดเปรียบเปรยด่าว่าผู้หลักผู้ใหญ่บ้าง ผู้มีศีล มีธรรมบ้าง คนทั่วๆ ไปบ้าง ยกตัวอย่าง เช่น ไอ้นกสองหัว ไอ้ม้าสองหัว คือพูดเปรียบเปรยว่า คนนี้ไปเข้าข้างคนโน้น ทั้งๆ ที่เขาหวังดีช่วยไกล่เกลี่ยประนีประนอมไม่ให้ทะเลาะกัน ก็หา ว่าคนที่ไกล่เกลี่ยเป็นนกสองหัวบ้าง หมาสองหัวบ้าง หัวหนึ่งอยู่ทางนี้ หัวนี้อยู่อีกทางนู้น ทั้งๆ ที่เขาเจตนาดี อันนี้ก็เป็นวิบากทางวจีกรรม ยิ่งด่าว่าผู้มีศีลมีธรรม ยิ่งเป็นกรรมหนัก บวกกับกรรมปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ทำอาหารบ้าง หรือฆ่าสัตว์ขายบ้างเป็นหลัก แล้วก็ยังมีกรรมอย่างอื่นเสริม เช่น กรรมทำแท้ง คือ ทำเขาท้องแล้วก็ทำให้เขาแท้ง แล้วก็ทอดทิ้ง ไปอย่างนี้เป็นต้น เมื่อคลอดออกมาก็จะเป็นสัตว์ประหลาด หรือบางทีก็ใช้วจีกรรมว่าเป็น สัตว์ประหลาด สัตว์ประหลาดอย่างนี้ก็จะถูกอาจารย์วิทยาธรประสานงานกับอาจารย์มนุษย์ นำมาผูกด้วยมนต์ เป็นสัตว์เลี้ยงเอาไว้เฝ้าของหรือสั่งงานให้ทำอะไรได้หลายอย่าง

มนุษย์ที่ไม่ทำทานบารมีมาแต่ปางก่อน ต้องการรวยอย่างกะทันหัน คือ เมื่อเกิดมาจน ตัวก็ไม่รู้จะทำงานอะไร ที่จะได้เงินมา จึงอยากเสี่ยง เพื่อที่จะรวยทางลัด ก็จะไปกราบไหว้ ขอหวยจากสัตว์ประหลาดเหล่านี้ พระไม่กราบ พ่อกับแม่ไม่กราบ ไปกราบปู่เต่า สุนัข ๒ หัว วัว ๕ ขา จิ้งจก ๒ หาง ปลาไหลทองบ้าง ไปกราบขอหวย ก็มีถูกบ้าง ผิดบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะผิดมากกว่า และถ้าหมกมุ่นมัวเมามากๆ ก็จะเป็นต้นแบบที่ไม่ดีให้แก่ลูกหลานสืบไป ตนเองก็จะมีเชื้อวิบัติติดไปอีกหลายชาติ ถ้าพลาดพลั้งไปเกิดเป็นอย่างนั้น ก็จะถูกเขาเรียกไปใช้แบบนั้นเหมือนกัน

สรุปแล้วจะเป็นอย่างนั้นได้ต้องมีกรรมเป็นหลัก มนต์เป็นแค่เครื่องเสริม ถ้าไม่มีกรรม อย่างนี้ก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นใครเล่นของพวกนี้ เลิกเถอะ ไปปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ ปล่อยนก ปล่อยกา ปล่อยปลาได้ บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะปลดปล่อยกุมารทองให้เป็นอิสระ

วิธีปลดปล่อยกุมารทอง


วิธีรักต้องกลบ

วิธีปลดปล่อยแรงงานเด็กกุมารทอง เพื่อไม่ให้มีเชื้อเวรกรรม ซึ่งเป็นเชื้อวิบัติติดตัวไปนั้น เชื้อวิบัติเป็นอย่างไร เชื้อวิบัติก็คือเชื้อที่จะทำให้ไปเจอพวกทรงเจ้าเข้าผี พอไปนับถืออย่างนั้นเข้า ก็จะห่างไกลจากพระรัตนตรัย จะไม่อยากทำความดีเพิ่มขึ้น ผู้ที่ปล่อยจะต้องหมดกรรมแล้ว คือจะไม่มีความรู้สึกผูกพันกับสิ่งนี้ เกิดความกลัวไม่อยากเอาไว้ เพราะมีแล้ว ก็มีโครมคราม ลูกหลานก็อยู่ไม่เป็นสุข แต่ไม่รู้จะเอาไปทำอย่างไร หรือบางทีได้รับต่อมาจากผู้ที่เคารพนับถือ ผู้เป็นที่รัก เป็นญาติบ้าง เป็นพรรคพวกกันบ้างก็เกรงใจรับสืบทอดกันมา เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

วิธีการปลดปล่อยจะต้องทำดังนี้ คือ ให้พูดดีๆ กับกุมารทอง เอารูปปั้นกุมารทองก็ดี รักยมก็ดี ลูกกรอกก็ดี ถ้าเป็นผู้ชายก็เรียกตัวเองว่าพ่อ ผู้หญิงเรียกตัวเองว่าแม่ สมมุติว่า เป็นผู้หญิงก็แล้วกัน แม่เห็นว่าลูกกุมารทอง ถึงเวลาจะหมดกรรมแล้ว ไปเกิดใหม่นะลูกนะ ไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่านี้ อย่าอยู่ในภพภูมินี้เลย เพราะรักหรอกจึงบอกลูก ทำอย่างนี้ก็จะทำให้ กุมารทองรักยมหรือลูกกรอกดีใจ เพราะการที่จะคลายความผูกพันกันได้จะต้องประกอบด้วย

๑. ผู้ที่เลี้ยงหมดจากเชื้อวิบัติ เชื้อเวรกรรมนี้แล้ว
๒. กุมารทองก็หมดจากกรรมนี้ด้วย

แล้วให้นำกุมารทองหรือรักยมหรือลูกกรอกไปฝัง โดยขุดหลุมโตพอประมาณ วางลงไป โปรยดอกไม้ของหอม ดอกไม้จะเป็นดอกอะไรก็ได้ แล้วก็พูดว่า สิ่งนี้คือซากของลูกที่ไม่ใช้แล้ว เหมือนซากศพที่ตายแล้ว สมควรที่จะขจัดซากนี้ให้สลายกลายไปเป็นซากดิน พ่อและแม่ก็จะกลบร่างนี้ เพื่อให้ลูกไปเกิดในภพภูมิที่ดี แต่ก่อนที่ลูกจะไป ให้ลูกรับศีล ๕ เหมือนพระให้ศีลอย่างนั้น ข้อหนึ่ง เว้นจากการฆ่าสัตว์ ข้อ ๒ เว้นจากการลักทรัพย์อย่างนี้ เป็นต้น กล่าวไป จนครบ ๕ ข้อ ลูกๆ รับศีล ๕ จากแม่นะ แล้วแม่จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้

วันรุ่งขึ้นก็ไปใส่บาตร ถวายสังฆทาน แล้วก็อุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ที่มีกรรมเวรทางนี้ เสร็จแล้วเราก็กลบอย่างดีเรียบร้อย เพราะถ้าเอาไว้ที่ต้นไม้ ใครเห็นเข้า เกิดมีรสนิยมทางด้านนี้ คว้าไปอีก ก็ไม่ดี รักต้องกลบ ทำแค่นี้แล้วกุมารทองก็จะพ้นจากสภาพนี้ ไปเป็น ภุมมเทวาอีกระดับหนึ่ง ที่พ้นจากการควบคุมของวิทยาธร หรือถ้าเราให้บุญไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นรุกขเทวดา หรือสามารถไปเป็นอากาศเทวาได้ ก็เหมือนเราทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้ หมู่ญาติของเราที่ละโลกแล้ว หรืออาจจะไปเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ และหลังจากนี้ให้ห่างไกลจากสิ่งเหล่านี้

หลังจากนั้น ให้เราไปขอศีลจากพระ แล้วก็ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระนัง คัจฉามิ แล้วก็ยึดถือตลอดไป เรียกว่า หันไปกันคนละด้านไปเลย ถ้าใครไปเจอแบบนี้ เราชวนให้เขาเลิก เราไม่เชื่อแต่เราก็ไม่ลบหลู่ เราชวนให้เขาพ้นจากเชื้อวิบัติและเชื้อเวรกรรมที่จะตามผูกพันไม่จบสิ้น

นอกจากวิธี รักต้องกลบแล้ว ยังมีอีกวิธีหนึ่ง รักต้องลอย คือ เราฝากแม่พระคงคาไว้ เวลาจะนำไปปล่อย ให้จัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ให้เรียบร้อย มีดอกไม้ ธูป เทียน เป็นต้น เหมือนเราลอยอัฐิลอยอังคารอย่างนั้น และจะต้องพูดดีๆ กล่าวว่าเราไม่ได้ลบหลู่ดูหมิ่นท่าน แต่ว่าตอนนี้เรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จะขอคืนสิ่งนี้ให้กับครูผู้รักษาสิ่งเหล่านี้เอาไว้ ซึ่งเคยดูแลเรามาระยะหนึ่ง ขณะนี้หมดความจำเป็นแล้ว วิธีนี้ก็ทำลักษณะคล้ายกับการฝากแม่พระธรณีไว้

การปลดปล่อยกุมารทอง เมื่อเราหมดความจำเป็นที่จะต้องใช้แล้ว เพราะเรามาเข้าใจซาบซึ้งว่า พระรัตนตรัยเท่านั้นเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของชีวิต เราจึงได้สละสิ่งเหล่านี้ไป ไม่ได้ลบหลู่ดูแคลน เพราะฉะนั้นก็จะมี ๒ วิธี คือ ฝากแม่พระธรณีกับฝากแม่พระคงคา ซึ่งต้องทำให้ถูกหลักวิชา มีถ้อยคำดีๆ ต้องพูดไพเราะ เพราะระหว่างที่เรากำลังทำพิธี เจ้าของ วิชาเขายืนดูอยู่ว่าทำถูกหลักวิชาหรือไม่ ถ้าถูกหลักวิชาไม่มีปัญหา เพราะเมื่อไม่เรียนวิทยาศาสตร์ แต่จะเรียนภาษาอังกฤษหรือคณิตศาสตร์ก็ตกลง หมายความว่าเราก็วางวิชาหนึ่ง แล้วก็ต้องมาเรียนวิชาหนึ่งนั่นเอง



รู้ได้อย่างไรว่า...กุมารทองไปเกิดใหม่แล้ว

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าปล่อยกุมารทองไปแล้ว ก็ให้สังเกตดูว่า ไม่ได้ยินเสียงเดิน เสียงวิ่งเล่นของเขา หรือเสียงที่เขามากระซิบข้างหู หรือมาเข้าฝัน หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เรารู้สึกได้ว่าเขาอยู่รอบตัว อีกทั้งสังเกตที่ใจของเราว่าไม่มีความผูกพันอาลัยอยู่เลย แถมใจชุ่มไปด้วยบุญกุศลและมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่แน่นแฟ้นในใจอย่าง เดียว ก็สรุป ได้ว่าเขาถูกปลดปล่อยไปแล้ว

และถ้ามีคนเอามาให้อีกก็รับเอาไว้ เพื่อไม่ให้เขาเสียน้ำใจ แล้วก็เอาไปปลดปล่อยอีก แบบเดิม หรือเป็นกัลยาณมิตรให้กับบุคคลนั้น โดยแนะนำเรื่องราวที่ได้ยินมาจากฝันในฝันวิทยา ให้เขาได้รับทราบและเรียนรู้ ซึ่งถ้าเขามีบุญพอ เขาก็จะปลดปล่อยตัวเอง แบบเดียว กับที่เราได้ปล่อยเขาไปอย่างนั้น


พิธีอัญเชิญเครื่องรางของขลัง ออกจากบ้าน
นอกจากนี้ยังมีพิธีอัญเชิญเครื่องรางของขลังที่ไม่ใช่พระรัตนตรัยออกจาก บ้าน ก็ทำ ไม่ยาก มี ๒ วิธี เช่นเดียวกัน คือ รักต้องฝัง ฝากพระแม่ธรณีไว้ โดยอาการนอบน้อมไม่ลบหลู่ และพูดดีๆ ว่า ขอฝากแม่พระธรณีดูแลสิ่งเหล่านี้ด้วย ขอบคุณสิ่งเหล่านี้ และเอ่ยชื่อ ของขลังเหล่านั้น เช่น ตะกรุด ผ้ายันต์ ที่ได้ช่วยดูแลในช่วงที่พระรัตนตรัยยังไม่บังเกิดขึ้นในใจ บัดนี้พระรัตนตรัยบังเกิดขึ้นในใจแล้ว ขออัญเชิญสิ่งเหล่านี้ได้กลับคืนกับครูบาอาจารย์ และขอฝากไว้กับแม่พระธรณี หรือวิธีรักต้องลอย ฝากแม่พระคงคาไว้ ก็ทำเช่นเดียวกัน เพราะ ต่อจากนี้ไป เราจะยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต บัดนี้เราจะทำพระนิพพานให้แจ้ง และแสวงบุญ จึงจำต้องอัญเชิญออกไป



อาจารย์วิทยาธรที่รักษาวิชา ...ได้รับประโยชน์อะไร
และมีผลเสียอย่างไร


จากการที่เล่าเรื่องกุมารทองมา เราทราบว่าการทำงานของอาจารย์ในเมืองมนุษย์จะมี วิทยาธรเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการประกอบพิธีกรรม ในการควบคุมดูแลกุมารทองที่อยู่ในความปกครองให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจารย์วิทยาธรเหล่านั้น จะได้รับประโยชน์จากพวกเดียวกันที่ชื่นชมว่า เจ๋ง เก่ง แน่ ที่มีคนมานับถือกุมารทองมาก ได้แค่นั้นอย่างเดียว นอกนั้น อาจารย์วิทยาธรก็ไม่ได้อะไร

สังคมวิทยาธรก็คล้ายเมืองมนุษย์ พอถึงวันเวลาเขาจะมาชุมนุมกัน แล้วก็คุยกันว่า วิชา ของท่านเป็นอย่างไร วิชาของคุณเป็นอย่างไร โอ..ของผมเหรอ ลูกศิษย์มากมายเลย มีคน มาขอไปใช้งานเยอะแยะ นางกวักก็มี กุมารทอง กุมารีทอง รักยม ลูกกรอกก็มาก ของผมแน่กว่า อย่างนั้น อย่างนี้ ก็เกทับกันไปทับกันมา พูดง่ายๆ คือ เอาไว้ประดับบารมี เหมือนเจ้าพ่อที่มีคน นับถือมากๆ เหมือนมนุษย์ ถ้าใครชมว่าเก่ง ก็เบิกบานยินดีเท่านี้เอง แต่อาจารย์วิทยาธรมีหลายประเภท ที่ชอบคำชื่นชมก็มาก และบางประเภทก็ได้บุญนิดหน่อยก็มี แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ บุญอะไร เพราะภพที่ทำบุญได้ คือ ภพมนุษย์

ที่ได้บุญ คือ อาจารย์วิทยาธรประเภทปู่ยา ที่ใช้ให้กุมารทองไปบอกยา ที่เราเคยได้ยินว่า ยาผีบอก ผู้ที่จะหมดกรรมแล้ว ซึ่งปู่ยาหรือปู่หมอ คือผู้ที่เคยเป็นหมอแผนโบราณที่มีเวทกำกับ ตายไปแล้วก็มักจะวนเวียนเป็นวิทยาธรประเภทนี้ แล้วก็สอนให้กุมารทองมาบอก หรือที่เป็น ภุมมเทวาด้วยกันก็มี

และถ้าอาจารย์วิทยาธรไม่ได้ใช้วิชาไปทำร้ายใคร เขาก็ยังไม่ไปตกนรก แต่ใจเขาจะยัง วนเวียนอยู่กับสิ่งนี้ในภพภูมิของภุมมเทวา ตั้งแต่พื้นมนุษย์ไปถึงป่าหิมพานต์ อาจารย์มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ก็จะมีเชื้อวนเวียนอยู่กับเรื่องพวกนี้ แล้วก็ห่างไกลจากพระรัตนตรัยไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตในสังสารวัฏของตนเอง ด้วยความหมกมุ่นมัวเมากับวิชาที่ไม่ได้ช่วยดับทุกข์หรือหมดกิเลส ก็จะเป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะแล้ว ต้องตกอยู่ในกฎแห่งกรรม ซึ่งอาจพลาดพลั้งไปทำสิ่งไม่ดีในชาติใดชาติหนึ่ง ก็มีสิทธิ์ไปอบายภูมิได้ เพราะฉะนั้นก็ควรเลิก แล้วหันมายึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง



ผลเสียจากการเลี้ยงกุมารทอง


ส่วนคนที่เลี้ยงกุมารทองก็จะคิดว่า สิ่งเหล่านี้เป็นที่พึ่ง ความคิดจะวนเวียนอยู่แต่เรื่องกุมารทอง ใจมาผูกพันกับเรื่องทรงเจ้าเข้าผี มักจะไม่ค่อยคิดเรื่องการทำความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปความคิดที่จะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา หรือ ตั้งใจจะเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวไม่มี เมื่อตายแล้ว มักจะวนเวียนอยู่กับพวกนี้ บางรายมาเป็นพวก ในเครือของวิทยาธรที่เกี่ยวกับเรื่องที่ตนสนใจ หรือไปเข้าสิง เข้าทรงอย่างที่ตนเคยทำ แต่ถ้าหาก ได้ทำบุญบ้าง ไม่ได้ทำบาปอะไรมากมาย อย่างมากก็ไปเป็นวิทยาธรอยู่ในป่าหิมพานต์ จะไม่ไปสูงกว่านี้ แล้วก็มีสิทธิ์ไปเกิดเป็นกุมารทองให้เขาใช้ และเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์มักจะเป็นร่างทรง คือมี ความรู้สึกชอบ จะมีคนชวน จะมีกระแสดึงดูดให้ไปเป็นร่างทรง พอไปเจอพวกร่างทรง ก็บอกว่า มีองค์อยู่ข้างใน ถ้าไม่ยอมให้เป็นร่างทรงก็จะป่วยไข้ ทนไม่ไหว ถ้าจะหายป่วยก็ต้องยอมให้องค์เข้า ทางภาคใต้มักจะเรียก ม้าทรง เพราะเวลามาทรงเหมือนกับต้องข่มขี่ คล้ายกับขี่ม้า ทีนี้ข่ม ร่างมนุษย์ เขาจึงเรียกว่า ม้าทรง




ตี่จู๋เอี๊ยะ และ ศาลพระภูมิ



นอกจากนี้ยังมีคำถามจากนักเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา เรื่องศาลพระภูมิ ตี่จู๋เอี๊ยะ และผีถ้วยแก้วว่ามีจริงหรือไม่

ศาลตี่จู๋เอี๊ยะ และศาลพระภูมิ บางคนตั้งตามประเพณี บางคนตั้งตามความเชื่อว่า มีผีบ้าน ผีเรือน บางคนเชื่อตามประเพณีว่ามี บางคนว่าไม่มี ส่วนที่มีก็จะเป็นภุมมเทวาหรือ พวกผีบ้าน ผีเรือน ส่วนใหญ่เป็นบรรพบุรุษหรือญาติของครอบครัวนั้นที่ยังไม่ไปเกิด วนเวียนอยู่ในบ้าน เพราะฉะนั้นบางศาลที่ตั้งไว้ก็ไม่มีพวกนี้อยู่ บางศาลก็ตั้งไปตามธรรมเนียม ไม่ตั้งเดี๋ยวโดนตำหนิ บางศาลก็ตั้งเผื่อเหนียว เพราะไม่มั่นใจว่ามีหรือไม่

ผีบ้าน ผีเรือน ก็เป็นภุมมเทวาประเภทหนึ่ง แต่ว่าชั้นล่าง ท่านไม่ได้อยู่ที่ตี่จู๋เอี๊ยะและศาลพระภูมิ ทั้งสองสิ่งนี้เป็นเพียงแค่สื่อเชื่อมถึงท่านเท่านั้น เพราะภพภูมิเขาอยู่ซ้อนกับมนุษย์ บางทีเขาก็นั่งหรือนอนอยู่กับเรา ถ้ามีบุญขึ้นมาอีกหน่อยหนึ่ง ก็จะมีห้องเป็นส่วนตัวของเขา อยู่ในมุมหนึ่ง ของบ้าน ถ้าบ้านพัง หรือรื้อบ้าน ก็ต้องย้ายเพราะหมดบุญ หรือบางทีก็อยู่ตรงนั้น

ดังนั้น จะตั้งศาลพระภูมิหรือไม่ตั้งก็ไม่แตกต่างกัน เพราะผีบ้าน ผีเรือนไม่ได้อยู่ที่ศาลพระภูมิ หรือที่ตี่จู๋เอี๊ยะ แต่อยู่ในวิมานของตน ครูไม่ใหญ่เห็นว่า ไม่ควรตั้ง เพราะจะได้มีที่โล่งๆ และไม่เป็นที่หวาดกลัวของลูกหลาน ว่าเห็นนั่นเห็นนี่ หรือเป็นเครื่องกังวลว่าจะปฏิบัติถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ถูกต้องก็กลัวจะมีโทษ เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ใจได้ เพราะฉะนั้นที่จะติดต่อกับผีบ้าน ผีเรือนที่เป็นบรรพบุรุษ ก็ให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ซึ่งก็จะเป็นที่พึงพอใจของท่านเหล่านั้น

ส่วนท่านที่ตั้งไปแล้วก็อัญเชิญออกไป โดยการใช้คำพูดที่ไพเราะว่า สถานที่เหล่านี้ไม่เหมาะสมกับบารมีของท่าน ให้ไปอยู่ที่วิมานดีๆ ที่สวยงามกว่านี้ แล้วจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ พูดเสร็จก็อัญเชิญออกไปเลย จะได้ไม่เป็นภาระ พูดง่ายๆ ก็คือ รักต้องรื้อ



ผีถ้วยแก้ว

เรื่องผีถ้วยแก้ว มี ๒ ประเภท คือ มีไม่จริง และมีจริง จะขอกล่าวเฉพาะที่มีจริง ซึ่งมักจะเป็นผี พวกสัมภเวสีที่ร่อนเร่พเนจร อดอยาก หรือภุมมเทวาระดับล่างที่อยู่บริเวณนั้น มีนิสัยขี้เล่น ก็จะมาอยู่




ขอบคุณข้อมูลดีๆจากเว็บพลังจิต ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ
   :089:


172



ของดีหลวงปู่แหวน


การมีร่างกายแข็งแรง มีอวัยวะครบถ้วน ไม่บกพร่องพิกลพิการ
อันนี้ก็มีของดีแล้ว จะต้องไปหาของดีที่ไหนกันอีก




ของดีหลวงปู่แหวน

ร่างของหลวงปู่ผู้ชรา จะถูกเผาไหม้ไปในวันมะรืนนี้
แต่ชื่อของหลวงปู่จะอยู่ในหัวใจของพุทธศาส- นิกชนไปอีกนานเท่านาน
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ เป็นพระที่มีเมตตาสูงแผ่เมตตาบารมี
ให้คนมั่งมี ร่ำรวยไม่รู้กี่ร้อยกี่พันราย
แม้หลวงปู่จะตายไปแล้ว ร่างกายกำลังจะถูกเผาไหม้ไปในวันนี้ พรุ่งนี้
แต่บารมีหลวงปู่ ก็ยังทำให้คน ร่ำรวยอีกมหาศาล
คนที่พิมพ์หนังสือที่ระลึกถึงหลวงปู่ คนที่ตัดสบงจีวรออกขายโดยบอกว่า
เป็นของที่หลวงปู่เคยใช้ เมื่อหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่
คนเป็นหมื่นเป็นแสนที่หลั่งไหลไปในงานศพของหลวงปู่
ไปโดยรถไฟ เครื่องบิน รถทัวร์ รถสองแถวเล็ก ฯลฯ สารพัดชนิด พวกนี้ร่ำรวยกันไปหมด
หลวงปู่ช่วยให้อีกหลายร้อย หลายพันคนร่ำรวย แม้หลวงปู่จะตายไปสองปีแล้ว
หลวงปู่แผ่เมตตาให้กับทุกคนในสมัยที่หลวงปู่มีชีวิตอยู่
แต่ไม่ค่อยมีใครแผ่เมตตาให้กับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ กันเลย




ทุกคนรักหลวงปู่ ไปขอของที่หลวงปู่ใช้แล้วมาเก็บไว้เพื่อเป็นสิริมงคล
อย่างเส้นผมของหลวงปู่นั้น แย่งกันนัก
บางครั้งหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ถึงกับออกปากว่า
"เฮาโกนหัวแล้ว เปิ้นยังจะฮื้อโกน แถมจะเอาผม เอาไปสร้างพระอะหยัง เฮาเจ็บหัว"
แม้แต่น้ำที่ท่านอาบ ก็มีผู้ประสงค์เอาไปเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเขา
หลวงปู่ก็ได้แต่พูดว่า "เฮาหนาวจะต๋าย เปิ้นก็จะฮื้อเฮาอาบน้ำอีก"
ถ้าใครไปขอของดีจากหลวงปู่แหวน หลวงปู่จะบอกว่า

"ของดีอะไร อะไรคือของดี ของดีมีอยู่ด้วย กันทุกคนแล้ว
การที่มีร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ไข้ได้พยาธินั้น ก็มีของดีแล้ว
การมีร่างกายแข็งแรง มีอวัยวะครบถ้วน ไม่บกพร่องพิกลพิการ
อันนี้ก็มีของดีแล้ว จะต้องไปหาของดีที่ไหนกันอีก"



แต่โอวาทของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ นั้นเป็น "ความยิ่งใหญ่" ที่หาเปรียบปานได้ยาก

"คนเรามันรักสุข เกลียดทุกข์นี่ หนักก็หนักอยู่ตรงนี้แหละ ไม่รับความจริง"

"คนเราเกิดมา นินทาก็ดี สรรเสริญก็ดี อย่าไปรับเอามาหมักไว้ในใจ ปล่อยผ่านไปเสีย"

"ตัดอดีด อนาคต ลงให้หมด จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน
รู้ในปัจจุบัน ละในปัจจุบัน ทำในปัจจุบัน แจ้งอยู่ ในปัจจุบัน"

"ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ไม่มีความเพียร ไม่มีความสำเร็จ"

"มองดูท้องฟ้า เห็นดวงดาวเต็มไปหมด การเกิด การตาย
ไม่รู้ว่าอีกเท่าไหร่ เกิดแล้วตาย เกิดแล้ว ตาย....."


ร่างของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ จะถูกเผาไหม้ไปในวันมะรืนนี้แล้ว
แต่ธรรมะของหลวงปู่จะอยู่ตลอดไป...
ตั้งจิตอธิษฐานกันในวันเผาหลวงปู่ แม้จะไม่ได้ไปร่วมในพิธี
สำรวมจิตให้มั่นคง ขอให้หลวงปู่แหวนพระแท้ๆ ของชาวไทยได้บรรลุถึงพระนิพพาน.




อัฐิธาตุของหลวงปู่ที่กลายเป็นพระธาตุ ส่งประกายระยิบระยับ



ขอบคุณข้อมูลดีๆจากเว็บพลังจิต  ขอขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ


173


สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงประทานพระพรปีใหม่ 2553 ให้แก่ประชาชนชาวไทย ความว่า


“โลกจะมีสันติภาพเพราะเมตตายิ่ง
ปีใหม่แล้ว ทุกคนขอให้เริ่มแก้ที่ตัวเองก่อน
แก้ที่ใจวุ่นวาย เร่าร้อนด้วยอำนาจจิตของกิเลส
ให้กลับเป็นใจที่สงบเย็นบางเบาจากกิเลส
ที่เคยโลภมาก ก็ให้ลดลงเสียบ้าง
ที่เคยโกรธแรง ก็ขอให้โกรธเบาลง
ที่เคยหลงจัด ก็ขอให้พยายามใช้สติปัญญา
ตนเองจะเป็นผู้สงบเย็นก่อน
ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดความสงบเย็น
กว้างขวางออกไป อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
โลกเย็น เพราะเมตตายิ่ง
โลกร้อน เมตตาหย่อน
นี้เป็นความจริงที่ควรยอมรับและควรแก้ไข
อันการแก้นั้นก็ต้องไม่ไปแก้ผู้อื่น
ต้องแก้ที่ตัวเอง แก้ตัวเองให้ยิ่งด้วยเมตตา
หรือให้มีเมตตายิ่งขึ้นนั่นเอง
เมื่อมีเมตตาอย่างจริงใจแล้ว จะเป็นเหตุให้เกิดผลงานมากมาย
เป็นคุณทั้งแก่ผู้รับ และเป็นคุณทั้งแก่ผู้ให้"

ขออำนวยพร สาธุ..

174
นะโม 3 จบ

พุทธธังอาราธนานัง
ธัมมังอาราธนานัง
สังฆังอาราธนานัง

พระพุทธธังรักษา
พระธรรมมังรักษา
พระสังฆังรักษา

ศัตรูมาบีฑา วินาศสันติ

สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง สิทธิลาโภ ชโยนิจจัง


ขอบคุณข้อมูลจากเว็บพลังจิต  ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ
   

175
วิธีอาราธนาวัตถุมงคล

พระอาจารย์สมภพได้บอกกับลูกศิษย์ทุกคนก่อนรับวัตถุมงคลไป ใช้ติดตัวว่า ต้องห้อยคอโดยไม่เลี่ยมก่อนให้เนื้อพระเสียดสีเข้าตัวก่อนค่อยนำไปเลี่ยมใส่ ติดตัว การอาราธนาพระติดตัวว่าดังนี้

๑. พยายามสำรวมจิตให้เป็นสมาธิ

๒. ให้มีความเพียรอย่าได้ย่อท้อ

๓. ทำตนให้เป็นคนเข้มแข็ง มีความเชื่อมั่นในตนเอง

ต่อไปก็อัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัยให้ประดิษฐานอยู่กับตัว ให้บริกรรมในโอกาสคล้องคอ หรือนำพระติดตัวไปสถานที่ต่างๆให้ปฏิบัติดังนี้

๑. อัญเชิญพระเครื่องไว้ในมือทั้งสองจบขึ้นเหนือศีรษะแล้วบริกรรมว่า

พุทธังอาราธนานัง ธัมมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง อุกาสะอาราธนานังกะโรมิ (๓จบ)

พุทโธ เดชะพระพุทธเจ้าจงมาเป็นประธาน กะโรยาติ กรุณาประดุจดังญาติ โม จงเร็วไปด้วยข้า ธาเมตตาญาติ ให้มีเมตตาประดุจดังญาติ ทินะอุขา ขอเดชะครูบาธิบายจงให้กรรมสิทธิ์แก่ข้าพเจ้าเถิด(๓จบ)

พระพุทธัง พระธัมมัง พระสังฆัง พระบิดามารดา พระครูปฏิยายะทั้งหลาย เทพยดาเจ้าที่มีชื่อในอักขระเลขยันต์ พระคาถาบูชาพระเครื่องและมงคลอิทธิวัตถุทั้งหลายบรรดามีทุกๆองค์ จงมาคุ้มเกรงรักษาแห่งตัวข้าพเจ้าด้วยกาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

๒. บทสวมใส่ ขณะคล้องให้บริกรรมดังนี้

นะมะอะอุ อิมังกายะพันธะนัง ตรีเพชรคงคง อธิษฐามิ

๓. บทตรึงวัตถุมงคล เมื่อสวมแล้วให้เอามือดึงของนั้นๆ (กระตุกเบา ๆนะครับเดี๋ยวสร้อยขาด)แล้วบริกรรมดังนี้

ปถมัง อภิพันตานัง อักขระวิกรึงคะเร ติ (ข้างแรมใช้ ตุ แทนติ )

๔. บทถอดออกจากคอ บริกรรมดังนี้

มาโขมังวิถาติ มาโขมังกุอะโหสิ

ที่มาจากหนังสือวงการพระเครื่อง ฉบับที่ ๗๓ กุมภา-มีนา ๒๕๓๙ โดยคุณโต เมืองกรุง หากมีผิดพลาดขออภัยด้วยครับ  :054:



176



ประวัติ พระนอนจักรสีห์ วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร หรือ วัดพระนอนจักรสีห์ จ.สิงห์บุรี

พระพุทธไสยาสน์องค์นี้ เป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่และยาวที่สุดของประเทศ สร้างมานานเก่าแก่จนไม่ทราบ แน่ชัดว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเล่าในทำนองนิยายปรำปรา ทำนองเดียวกันกับพระ ปฐมเจดีย์ เช่น กล่าวว่าพระเจ้าสิงหพาหุเป็นผู้สร้าง แต่ก็ไม่มีใครทราบว่าพระเจ้าพาหุคือผู้ใด ครองเมืองอะไร ในยุคสมัยใด สันนิษฐานว่าสร้างก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี องค์พระหันพระเศียรไปทางทิศตะวันออก ความยาว 3 เส้น 3 วา 2 ศอก 1 คืบ 7 นิ้ว

วัดพระนอนจักรสีห์ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร อยู่ที่ตำบลจักรสีห์ อำเภอเมือง จังหวัดสิงหบุรี พื้นที่ของวัดมีขนาดกว้างประมาณ 7 เส้น (280 เมตร) ยาวประมาณ 10 เส้น (400 เมตร) สภาพที่เป็นอยู่เมื่อปี พ.ศ. 2421 จากพระราชนิพนธ์เรื่อง ระยะทางเสด็จประพาสมณฑลอยุธยา มีว่า " วัดนี้อยู่ ห่างแม่น้ำสามสิบวา เป็นที่ลุ่มน้ำท่วม ต้องทุบถนนและมีสะพานข้าม รอบวิหารพระนอนมีกำแพงแก้วเตี้ย ๆ ชั้นหนึ่ง ตัวพระวิหาร ยาว 1 เส้น 7 วา กว้าง 11 วา เสาข้างในเป็นแปดเหลี่ยม อาการที่พระพุทธไสยาสน์บรรทม ไม่เหมือนอย่างกรุงเก่า หรือกรุงเทพ ฯ พระกรทอดออกไปมากเพราะเขนยหนุนไม่สู้ชันนัก เป็นบรรทมราบ แต่พระบาทซ้อนกันตรงเหมือนอย่างพระนอนทั้งปวง "

หลักฐานที่มีอยู่คือ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงนมัสการ เมื่อปีจอ ฉศก จุลศักราช 1111 ซึ่งตรงกับปี พ.ศ. 2297 และได้เสด็จไปอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2299 เพื่อสมโภชฉลอง ต่อมาสมัย กรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้เสด็จไปทรงนมัสการ เมื่อปี พ.ศ. 2421 ในครั้งนั้น พระวิหารและพระนอนชำรุดทรุดโทรมมาก เนื่องจากขาดการบูรณะปฏิสังขรณ์มานาน พระธรรมไตรโลก (อ้น) วัดสุทัศน ได้ทูลขอพระราชทานเงินค่านาสำหรับวัดเพื่อทำการปฏิสังขรณ์ พระองค์ก็ได้มอบถวายให้ และโปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระบำราศปรปักษ์เป็นที่ปรึกษา การปฏิสังขรณ์ทำเสร็จในปี พ.ศ. 2428 การปฏิสังขรณ์ครั้งล่าสุดทำเมื่อปี พ.ศ. 2510

"พระนอนจักรสีห์" เป็นพระพุทธไสยาสน์ปางโปรดอสุรินทราหู เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ มีพุทธลักษณะที่งดงามองค์หนึ่ง และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ

ตั้งอยู่ที่วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร ต.จักรสีห์ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี ห่างจากตัวเมืองสิงห์บุรีประมาณ 5 กิโลเมตร ไปทางด้านทิศตะวันออก

พระพุทธไสยาสน์ปางโปรดอสุรินทราหู องค์ใหญ่ เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่มีพุทธลักษณะที่งดงามองค์หนึ่งของประเทศ บริเวณวัดยังเป็นที่ปฏิบัติธรรม เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ทางด้านพุทธศาสนา สำหรับนักธรรม-บาลี และมีพระแก้ว พระกาฬ เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่วัด

ชาวสิงห์บุรี มีความเชื่อว่าหากมีโอกาสได้นมัสการวัดพระนอนจักรสีห์ฯ แล้วเดินชมต้นสาละลังกาใหญ่ที่ปลูกไว้กว่า 100 ต้น ในบริเวณวัดแล้วอธิษฐานปรบมือใต้ต้นสาละ หากดอกสาละร่วงลงมา คำอธิษฐานนั้นจะประสบผลตามที่หวังไว้

ประวัติ "หลวงพ่อพระนอนจักรสีห์" เป็นพระพุทธรูปปางพระพุทธเจ้าทรงไสยาสน์ เทศนาโปรดยักษ์อสุรินทราหู เพื่อลดทิฐิของอสุรินทราหูที่ถือตัวว่ามีร่างกายใหญ่โตกว่ามนุษย์ พระพุทธเจ้าจึงเนรมิตร่างกายให้ใหญ่กว่ายักษ์

"หลวงพ่อพระนอน" จึงเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่และยาว สร้างโดยท้าวอู่ทอง มีความยาว 1 เส้น 3 วา 2 ศอก 1 คืบ 7 นิ้ว (47.40 เมตร) พระเศียรชี้ไปทางตะวันออก หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ มีความงดงามเป็นอย่างมาก

มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า "สิงหพาหุ" มีพ่อเป็นสิงห์ พอรู้ความจริงคิดละอายเพื่อนว่ามีพ่อเป็นสัตว์เดรัฐฉาน จึงฆ่าสิงห์ตาย ภายหลังรู้สึกตัวกลัวบาปและเสียใจเป็นอย่างมาก จึงสร้างพระพุทธรูปโดยเอาทองคำแท่งโต 3 กำมือ ยาว 1 เส้น เป็นแกนขององค์พระ เป็นการไถ่บาปและพระพุทธรูป มีอยู่ให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชามาหลายชั่วอายุคน จนองค์หลวงพ่อพระนอนได้พังทลายลงเป็นเนินดิน

ทั้งนี้ ไม่มีใครทราบว่าพระเจ้าสิงหพาหุ คือ ผู้ใด ครองเมืองอะไร ในยุคสมัยใด แต่สันนิษฐานว่าสร้างก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี

กาลนานต่อมา ท้าวอู่ทอง ได้นำพ่อค้าเกวียนผ่านมาทางนี้ แล้วพบแกนทองคำฝังอยู่ในเนินดิน และทราบเรื่องสิงหพาหุ เกิดความเลื่อมใสและเห็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา จึงชักชวนพ่อค้าเกวียนก่อสร้างพระพุทธรูปนี้ขึ้น โดยใช้แท่งทองคำที่พบนั้นเป็นแกนขององค์พระ

สำหรับ "วัดพระนอนจักรสีห์" เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดวรวิหาร อยู่ที่ตำบลจักรสีห์ อ.เมือง จ.สิงหบุรี พื้นที่ของวัดมีขนาดกว้างประมาณ 7 เส้น (280 เมตร) ยาวประมาณ 10 เส้น (400 เมตร) สภาพที่เป็นอยู่เมื่อปี พ.ศ.2421

จากพระราชนิพนธ์เรื่อง ระยะทางเสด็จประพาสมณฑลอยุธยา มีว่า "วัดนี้อยู่ ห่างแม่น้ำสามสิบวา เป็นที่ลุ่มน้ำท่วม ต้องทุบถนนและมีสะพานข้าม รอบวิหารพระนอนมีกำแพงแก้วเตี้ยๆ ชั้นหนึ่ง ตัวพระวิหาร ยาว 1 เส้น 7 วา กว้าง 11 วา เสาข้างในเป็นแปดเหลี่ยม อาการที่พระพุทธไสยาสน์บรรทม ไม่เหมือนอย่างกรุงเก่า หรือกรุงเทพฯ พระกรทอดออกไปมากเพราะเขนยหนุนไม่สู้ชันนัก เป็นบรรทมราบ แต่พระบาทซ้อนกันตรงเหมือนอย่างพระนอนทั้งปวง"

หลักฐานที่มีอยู่คือ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงนมัสการ เมื่อปีจอ ฉศก จุลศักราช 1111 ซึ่งตรงกับปี พ.ศ.2297 และได้เสด็จไปอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ.2299 เพื่อสมโภชฉลอง

ต่อมาสมัย กรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้เสด็จไปทรงนมัสการ เมื่อปี พ.ศ.2421 ในครั้งนั้น พระวิหารและพระนอนชำรุดทรุดโทรมมาก เนื่องจากขาดการบูรณปฏิสังขรณ์มานาน พระธรรมไตรโลก (อ้น) วัดสุทัศน์ ได้ทูลขอพระราชทานเงินค่านาสำหรับวัด เพื่อปฏิสังขรณ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานเงินค่านาของวัดและของเมืองสิงห์ให้บูรณปฏิสังขรณ์พระพุทธไสยาสน์ ด้วยเมื่อนึกถึงว่าพระพุทธไสยาสน์ วัดพระนอนจักรสีห์ เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ที่สร้างขึ้นเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว ในสมัยที่เครื่องจักรเครื่องทุ่นแรงยังไม่มีใช้กันเช่นปัจจุบันก็พอจะทำให้เราเห็นถึงความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของคนไทยในอดีตว่ายิ่งใหญ่เพียงใดได้เป็นอย่างดี

พระองค์ได้มอบถวายให้ และโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระบำราศปรปักษ์ เป็นที่ปรึกษา

การปฏิสังขรณ์แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2428

วันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ.2519 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯมาทรงสักการะพร้อมพระบรมวงศานุวงศ์

นับได้ว่า "หลวงพ่อพระนอนจักรสีห์" เป็นปูชนียวัตถุที่ทรงไว้ซึ่งปาฏิหารย์ศักดิ์สิทธิ์ล้ำค่า เป็นที่เคารพศรัทธาเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนให้เดินทางมากราบไหว้บูชา เพื่อเป็นพุทธานุสติ ในอันจะน้อมรำลึกถึงคำสั่งสอนแห่งพระพุทธองค์



ภาพ/ข้อมูล : ธรรมะไทย
ภาพ/ข้อมูล : หอมรดกไทย  ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ

 


177


พระคเณศเทพเจ้าองค์สำคัญองค์หนึ่งของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูทรงเป็นเชษฐโอรสที่ใกล้ชิดของมหาเทพผู้ทรงเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่คือ พระศิวะและพระอุมา ซึ่งพระศิวะนั้นชาวอินเดียเชื่อกันว่าพระองค์เป็นเทพผู้เป็นต้นกำเนิดของสิ่งทั้งปวงในจักรวาล มีเครื่องหมายในการสร้างเรียกว่าศิวลึงค์ ถือว่าเป็นสัญลักษณ์แทนองค์พระศิวะ และในขณะเดียวกัน ก็เป็นผู้มีหน้าที่ทำลายล้างโลก จึงได้รับการนับถือให้เป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดใน
ศาสนาพราหมณ์หรือศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย มีพระวรกายเป็นสีแดง สีขาว และสีดำ ซึ่งจะเปลี่ยนไปตามยุคต่าง ๆ มีสามเนตร เนตรที่ 3 อยู่กลางพระนลาฏ ผาเกล้าเป็นมุ่นขมวด มีพระจันทร์เสี้ยวเป็นปิ่น มีพระคำกะโหลกหัวคนคล้อง พระศอมีงูเป็นสังวาล นุ่งหนังสือ อาวุธประจำกายที่ขันธกุมาร ทรงโคเผือกนนทิเป็นพาหนะ นอกจากนี้ยกย่องให้พระองค์เป็น "นาฏราช" หรือราชาแห่งการฟ้อนรำโดยถือว่าเป็นผู้ให้กำเนิดมากศิลปด้วยทั้งนี้ในคัมภีร์ศาสนาพราหมณ์ ได้กล่าวถึงการฟ้อนรำของพระองค์ว่า มีบทบาทสำคัญมาก แสดงถึงพลังในการทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับจักรวาร 5 ประการ คือ

การสร้าง การดูแลให้คงอยู่ การทำลาย การปิดบัง การอนุเคราะห์ โดยทรงทำกิจกรรมเหล่านี้พร้อมกันด้วยการแสดงท่าด้วยพระหัตถ์และพระบาท ท่าฟ้อนรำมีทั้งหมด 108 ท่า ซึ่งเป็นต้นแบบแห่งการฟ้อนรำตามตำนานกล่าวว่าทรงฟ้องรำท่ามกลางคณะเทพซึ่งทรงดนตรีชนิดต่าง ๆ อาทิ
พระพรหมตีฉิ่ง พระคเณศตีกลองและเทพบุตรนนทิตีตะโพนเป็นต้น ทั้งในเมืองสวรรค์และเมืองมนุษย์ ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้พระคเณศซึ่งเป็นผู้ได้ชื่อว่ามีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเป็นอย่างยิ่งสามารถจดจำท่าร่ายรำของพระอิศวรได้
ชาวอินเดียได้ถ่ายทอดคติความเชื่อนี้ลงสู่งานศิลปะในรูปเคารพทั้งที่เป็นประติมากรรมลอยตัวและภาพสลักรูป "ศิวนาฏราช" หรือพระนฤเตศวร คือ พระศิวะในปางนฤติบูรติ (พระศิวะทรงฟ้อนรำ)

รวมทั้งประดิษฐ์นาฏยคเณศ (พระคเณศช่างเต้นรำ) ตามศาสนสถานทั่วไปด้วยและได้รวบรวมเป็นตำราเผยแพร่พร้อมกับศาสนามายังประเทศต่าง ๆ ในเอเชียอาคเนย์ เช่น อินโดนีเซีย ของคนในเขมร และไทย โดยไทยได้รับมาดับแปลงแก้ไขให้เหมาะสมและสวยงามตามแบบฉบับของไทย และกลายเป็นเอกลักษณ์ของตนเองในที่สุด
นอกจากนี้แล้วกรมศิลปากรยังแต่งบทการแสดงที่มีพระคเณศเกี่ยวข้องคือ ระบำวานรพงศ์และระบำวีรชัยสิบแปดมงกุฏซึ่งเป็นการแสดงชุดพิเศษในโขนชุดรามาวดาร กล่าวถึงตอนที่พระอิศวรทรงให้เหล่าเทพยาดาอวตารมากำเนิดในสุริยวงศ์เป็นวานรที่ฤทธิ์เดช ซึ่งพระคเณศได้อวตารมาเป็นวานรชื่อ "นิลขัน" หนึ่งในสิบแปดมงกุฏของกองทับวานรที่มาช่วยเหลือพระรามปราบอธรรม โดยมีสีกายเป็นสีแดงตามสีกายเดิมแลการแสดงโขนตอนพิเภกสวาภิกักดิ์ กล่าวถึงตอนพิเภกถูกขับออกจากกรุงลงกา และเดินทางมาขอเฝ้าพระรามระหว่างทางได้พบกับพวกสิบแปดมงกุฏจึงถูกเหล่าวานรจับตัวไปเข้าเฝ้าพระราม
บทบาทความสำคัญของพระพิฆเณศ

คนไทยคุ้นเคยกับบรรดาเทพทั้งหลายมาช้านานแต่ในบรรดาเทพทั้งหมดคนไทยรู้จักพระพิฆเณศมากที่สุดเพราะท่านเป็นมหาเทพที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตคนไทยมากที่สุดจนกล่าวได้ว่า คนไทยยอมรับในองค์พระพิฆเณศเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ เป็นตราประจำกรมกองต่างๆมากมาย

พระพิฆเณศเป็นเทพแห่งปราชญ์ ความรอบรู้ต่าง เป็นเทพแห่งขจัดอุปสรรคความขัดข้อง ดังนั้นหากผู้ใดเป็นผู้รู้และประสบความสำเร็จต่อกิจการทั้งปวงมักจะบูชาพระพิฆเณศก่อน

ในอินเดียเองก็มีแนวความเชื่อในเรื่องพระพิฆเณศวร์ในทุกลัทธิศาสนาไม่ว่าลัทธิที่ถือองค์พระศิวะเป็นใหญ่ นับถือพระพรหมเป็นใหญ่หรือพระนารายณ์เป็นใหญ่ ทุกลัทธิล้วนให้ความสำคัญต่อพระพิฆเณศทั้งสิ้น

ด้วยทุกตำราได้กล่าวถึงที่มาของพระพิฆเณศไว้สูง สำคัญและฤทธิ์มาก มีความเฉลียวฉลาด มีคุณธรรม คอยช่วยเหลือปกป้องปราบปรามสิ่งชั่วร้ายและเป็นยอดกตัญญู

แม้พระพิฆเณศจะเป็นเทพที่มีความเก่งกาจสามารถยิ่ง แต่ก็เป็นเทพที่สงบนิ่งไม่เย่อหยิ่งทรนงอันเป็นคุณสมบัติอันประเสริฐอีกประการหนึ่งของผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง จึงกล่าวได้ว่า พระพิฆเณศวร์เป็นมหาเทพที่ดีพร้อมครบถ้วนด้วยความดีงามสมควรแก่การยกย่องบูชาเป็นนิจ

แม้แต่องค์พระศิวะมหาเทพผู้สร้างและพระบิดาแห่งองค์พระพิฆเณศยังกล่าวว่า ไม่ว่าจะกระทำการสิ่งใดหรือทำพิธีบูชาใด ให้ทำการบูชาพระพิฆเณศวร์ ก่อนกระทำการทั้งปวง

ผู้ใด ต้องการความสำเร็จ ให้บูชาพระพิฆเณศ

ผู้ใด ต้องการพ้นจากความขัดข้องทั้งปวง ให้บูชาพระพิฆเณศ
ความหมายของส่วนต่างๆของพระพิฆเณศวร์

พระคเณศ ทรงมีรูปร่างเดียว โดยทรงมีพระเศียรเป็นช้าง มีพระกรรณกว้างใหญ่ มีงวงยาว แต่ทรงมีร่างกายเป็นมนุษย์ มี 4 หรือ 6 หรือ 8 กรแล้วแต่พระภาคที่จะเสด็จมา รูปร่างของพระองค์แสดงถึงสิ่งเป็นมงคลดีเยี่ยม ซึ่งทรงสั่งสอนถึงความดีและความสำเร็จ

พระคเณศทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งความรู้และปัญญายิ่งใหญ่ แต่ละส่วนของท่านให้ความหมายในเชิงปรัชญาได้ดังนี้

พระเศียร - ทรงใช้เศียรอันใหญ่ที่เต็มด้วยปัญญาความรู้ เป็นที่รวมแห่งปัญญาทั้งหมด

พระกรรณ - ทรงใช้รับฟังคำสวดจากพระคัมภีร์และความรู้ในรูปอย่างอื่น ๆอันเป็นสิ่งแรกแห่งการศึกษา

งวง - เราได้นำเอาความรู้ต่าง ๆที่ได้รับจากการเลือกเฟ้นระหว่างทวิลักษณะ ความผิด-ถูก ความดี-ความชั่ว อันมีงวงช้างที่ยาวและใหญ่ใช้ชั่งน้ำหนักต่อการกระทำหรือการค้นหาสิ่งที่ดีงามต่างๆ อันปัญญานั้นเกิดขึ้นเพื่อช่วยในการแก้ปัญหาของชีวิตให้หลุดพ้นจากอุปสรรค และพบกับความสำเร็จสมดั่งความมุ่งหมาย

งา - งาข้างเดียวโดยอีกข้างหักนั้น เพื่อแสดงให้รู้ว่าจะต้องอยู่ในเหตุระหว่างความดี-ความชั่ว ซึ่งต้องทำความเข้าใจให้ดีถึงความแตกต่างกัน ดั่งเช่น ความเย็น-ความร้อน การเคารพ-การดูหมิ่นเหยียดหยาม ความซื่อสัตย์-ความคดโกง

หนู - แสดงถึงความปรารถนาของมนุษย์

บ่วงบาศ - ทรงถือโดยทรงลากจูงคนทั้งหลายให้เดินตามรอยพระบาทของพระองค์

ขวาน - เป็นอาวุธทรงใช้ปกป้องความชั่วร้ายและคอยขับไล่อุปสรรคทั้งหลายที่มาก่อกวนต่อบริวารของพระองค์

ขนมโมทกะ - ข้าวสุกผสมน้ำตาลปั้นเป็นลูก เพื่อประทานให้เราเป็นรางวัลต่อการที่เราปฏิบัติตามรอยพระบาทของพระองค์

ท่าประทานพร - หมายถึงความยิ่งใหญ่แห่งความผาสุกและความสำเร็จให้กับสาวกของพระองค์
กำเนิดพระคเณศ
เชื่อกันว่า ลัทธิการบูชาพระคเณศนั้น น่าจะมาจากชนพื้นเมืองดั้งเดิมของอินเดีย ซึ่งเป็นลัทธิการบูชาสัตว์ หรือลัทธิแห่งชัยชนะเหนือธรรมชาติ ชนพื้นเมืองของอินเดีย เชื่อกันว่าหนูเป็นสัญลักษณ์ของความมืด พระคเณศทรงขี่หนูจึงหมายถึงชัยชนะของแสงอาทิตย์ที่ขจัดความมืดให้สิ้นสุดลง
พระคเณศอาจจะมีต้นกำเนิดมาจากการเป็นเทพประจำเผ่าของคนป่า ที่อาศัยอยู่ในป่าเขาอันกว้างใหญ่ของอินเดีย คนเหล่านี้ต้องเผชิญกับฝูงช้างอันน่ากลัวจึงเกิดการเคารพในรูปของช้างชึ้น เพื่อให้ปกป้องคุ้มครองและพัฒนาต่อมาเป็นเทพชั้นสูงของชาวอารยัน
ต่อมาได้พัฒนาเป็นเทพผู้ขจัดซึ่งอุปสรรค มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ ทั้งยังได้รับการยกย่องให้เป็นหัวหน้าของเทพที่มีเศียรเป็นสัตว์ทั้งหลาย จนกระทั่งมีการรจนาปกรณ์ให้เป็นโอรสของพระศิวะเทพและพระนางปราวตีในเวลาต่อมา

แต่ในแง่ของคัมภีร์ทางศาสนาพราหมณ์ได้บรรยายจุดกำเนิดของพระคเนศไว้หลากหลายตำนานตามความเชื่อในแต่ละลัทธิ

วันคเณศจตุรถี
การบูชาพระคเณศเรียกว่า "พิธีคเณศจตุรถี" มีความหมายว่า "พิธีอุทิศต่อพระคเณศ" จะกระทำวันขึ้น 4 ค่ำ เดือน ภัทรบท หรือเดือน 10

ในวันที่ประกอบพิธีคเณศจตุรถีนั้น ประชาชนทั้งหลายต่างพากันมาทำสักการะบูชารูปเคารพของพระคเณศที่ปั้นด้วยดิน (เผา ) เครื่องบูชาจะประกอบไปด้วยดอกไม้ (โดยเฉพาะดอกไม้สีสดใส เช่น สีแดง, สีเหลือง, สีแสด,) ขนมต้ม, มะพร้าวอ่อน, กล้วย, อ้อย, นมเปรี้ยว, ขณะทำการบูชา ผู้บูชาจะท่องพระนาม 108 ของพระองค์ หลังจากการบูชาแล้วก็จะเชิญพวกพราหมณ์ ผู้ประกอบพิธีมาเลี้ยงดูกันให้อิ่มหนำสำราญและมีข้อห้ามในวันพิธีคเณศจตุรถีนี้คือ ห้ามมองพระจันทร์อย่างเด็ดขาด และถือกันว่าถ้าผู้ใดได้มองพระจันทร์ โดยพลาดพลั้งเผลอเรอไป พวกชาวบ้านก็จะพากันแช่งด่าผู้นั้นทันที่ และที่ชาวบ้านด่านั้น ก็เป็นความหวังดี มิได้ด่าด้วยความโกรธแค้น แต่ด่าเพราะเชื่อกันว่าการด่าการแช่งนั้นจะทำให้คนนั้นพ้นจากคำสาปไปได้
ปางพระคเนศ

แม้ว่าพระคเณศจะมีพระนามมากมายถึง 108 พระนามไปจนถึง 1008 พระนาม แต่ในแง่เทวประติมานั้นมีอยู่เพียง 8 ถึง 9 ปางเท่านั้นที่คนนิยมบูชา โดยการบูชาในแต่ละปางก็ให้คุณที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

ปางพาลคเณศ

เป็นพระคเณศในวัยเด็กรูปลักษณ์ที่เห็น มักจะเป็นพระคเณศยังคลานอยู่กับพื้น หรือยังอยู่ในอิริยบถไร้เดียงสาอย่างเด็ก ๆ ถ้าโตขึ้นมาหน่อย จะนั่งขัดสมาธิเพชรบนดอกบัวมี 4 กร ถือขนมโมทกะ กล้วย รวงข้าว ซึ่งหมายถึงความเป็นสุขภาพดีของเด็ก ๆในครอบครัวรวมความหมายถึงให้เด็ก ๆได้ระลึกถึงการเคารพรักในบิดา มารดา ปางนี้นิยมบูชากันในบ้านที่มีเด็กเล็กและเด็กในวัยเรียน

ปางนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นพระคเณศมักจะอยู่ในอิริยาบถยืน มี 4 กร ในคัมภีร์และหม้อน้ำกมัลฑลุ ไม้เท้า และร่ม ซึ่งถ้าเป็นศาสนาพุทธแล้ว คงเปรียบได้กับพระสีวลี ซึ่งเป็นพระธุดงค์ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ผู้มีลาภมาก แต่สัญลักษณ์ของพระคเณศนั้น หมายถึงการเดินทางไกล แต่มักจะเป็นการเดินทางไปเพื่อการศึกษาต่อ หรือเป็นปางที่เหมาะสมกับวิชาชีพของคนที่เป็นครูบาจารย์เท่านั้น

ปางลักษมีคเณศ

ปางนี้พระคเณศจะประทับนั่งห้อยพระบาทบนแท่นมี 6 กร และพระหัตถ์หนึ่งโอบพระลักษมีเทวีไว้ การบูชาปางนี้เสมือนหนึ่งได้บูชาเทพทีเดียวกันถึง 2 พระองค์ในลักษณะของทวิภาคี กล่าวคือ ลักษมีคเณศ ย่อมมีความหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ พูนสุข ความมั่งคั่ง มั่งมีอย่างหาที่สิ้นสุดมิได้

ปางวัลลยภาคเณศ

ปางนี้พระคเณศจะอุ้มพระชายาทั้ง2 ไว้บนตักทั้งซ้ายและขวา ซึ่งชายาทั้งคู่คือคือนางพุทธิและสิทะ ปางนี้ให้ความหมายของความสมบูรณ์ของการเป็นครอบครัวมีทรัพย์สินและบริวารมากมาย

ปางมหาวีระคเณศ

เป็นพระคเณศที่มีจำนวนของพระกรมากเป็นพิเศษ อาจจะ 12,14,16, กรแต่ละพระหัตถ์นั้นถือศาสตราวุธหลากหลายชนิดแตกต่างกันไป ปางนี้ถือกันว่าเป็นปางออกศึกเพื่อปราบศัตรูหมู่อมิตรทั้งหลาย

ปางเหรัมภะคเณศ

เป็นปางพระคเณศที่ห้อยพระบาทอยู่บนพญาราชสีห์ พระคเณศปางนี้จะมีอยู่ห้าเศียร หรืออาจจะเป็นเศียรตามปกติก็ได้ เพราะสัญลักษณ์ที่แท้จริงของปรางค์นี้ก็คือ สิงโต เพราะสิงโตเป็นเจ้าป่า ดังนั้นจึงเหมาะสมที่ผู้ใหญ่ที่ต้องมีบริวารในการปกครองมาก นอกจากนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ที่บรรดดากษัตริย์ทั้งหลายแต่โบราณนิยมบูชากัน เรียกว่าเป็นสุดยอดปางของพระคเณศก็ว่าได้

ปางสัมปทายะคเณศ

เป็นพระคเณศที่เราพบเห็นกันบ่อยคือ มีอาวุธอยู่ในสองพระหัตถ์บน ส่วนพระหัตถ์ล่างด้านซ้ายนั้นถือขนม และด้านขวาอยู่ในท่าประทานพร ซึ่งความหมายของปางนี้คือ การอำนวยพรให้ประสบความสำเร็จนั่นเอง
การอธิษฐาน
มนต์แห่งพระคเณศเป็นมนต์ที่ให้พลังอำนาจยิ่งใหญ่ มนต์แต่ละบทประกอบไปด้วยอำนาจพิเศษของพระคเณศวร เมื่อใดก็ตามที่ได้ท่องสวดพร้อมกับการอาบน้ำชำระร่างกายแล้วประกอบพิธีบูชาจะนำมาซึ่งผลบุญที่ดี

สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้ก็คือ ผู้ที่จะสวดมนต์แห่พระคเณศควรจะต้องทำปรันยันอาบน้ำชำระร่างกายหรือล้างมือล้างเท้าก่อนที่จะนั่งและสวดมนต์ทั้งหลายนี้ เช่นเดียวกัน โดยจะต้องทำปรันยันสามหนหรือมากกว่าก่อนที่จะสวด ต้องสวดมนต์อย่างน้อยให้ได้หนึ่งรอบของลูกประคำ (108ครั้ง) และจะต้องกำหนดชั่วโมงและสถานที่เพื่อการท่องสวดมนตร์จะต้องทำติดต่อกันเป็นประจำ
มนตร์บูชา
มนตร์บูชาพระพิฆเณศที่สำคัญและเป็นที่นิยมได้แก่
โอมฺ ศรี คเณศายะ นะมะหะ
มนตร์นี้ส่วนมากจะต้องสั่งสอนให้เด็กๆท่องสวดเพื่อความรู้ความฉลาดที่จะได้รับ เพิ่มพลังการจดจำและให้ผลสำเร็จในการสอบ การเล่าเรียน เช่นเดียวกันคนทั่ว ๆไปอาจใช้มนต์นี้ได้ เพื่อความสำเร็จและความเจริญก้าวหน้าในธุรกิจ
การบูชาพระพิฆเณศ แบบฮินดู

การบูชาพระพิฆเณศ ซึ่งเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์นิยมบูชาในวันแรม 4 ค่ำ ของทุกเดือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือน 10 ด้วยถือว่า เป็นวาระคล้ายวันประสูติ ของพระพิฆเณศ โดยมีของบูชาประกอบด้วย ดอกไม้แดงเหลือง / มะพร้าวห่อด้วยผ้าแดง / ผลไม้ โดยมีของสำหรับถวายอย่างละ 108 ชิ้น ประกอบด้วย กล้วย อ้อย หญ้าแพรก ข้าวตอก ขนมหวานที่เรียกว่าลัดดู

พิธีกรรมแบบฮินดูจะนำโดย ประธานพราหมณ์ โดยมีบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้ๆ จะทำหน้าที่แทนผู้ร่วมพิธี

จากนั้นคณะพราหมณ์ จะร่วมสวดสาธยาย บูชาสรรเสริญพระพิฆเณศ และเทพศักดิ์สิทธิ์ จากนั้น จะเป็นการถวายของ ห้าอย่างที่เตรียมไว้นั้น

ต่อมาจะอัญเชิญเทวรูป พระพิฆเณศ มาถวายน้ำสรงด้วยปัญจะอมฤต
เสร็จแล้วจะถวาย อาภรณ์สีแดง ซึ่งถือว่า เป็นสีที่ท่านทรงโปรด
ขั้นตอนต่อมาคือพิธีบูชาอารตี โดย ผู้เข้าร่วมพิธีจะบูชาด้วยประทีป อธิษฐาน เพื่อขอพรจากพระพิฆเณศ ประธานพราหมณ์ จะเป็นผู้พรมเทพมนต์ และมอบด้ายสีแดง เพื่อความเป็นสิริมงคล

ขั้นตอนสุดท้ายจะเป็นการเฉลิมฉลอง ด้วยคีตอภิวาท สาธยายบทสรรเสริญ

เทพศักดิ์สิทธิ์


ขอบคุณข้อมูลจาก www.bloggang.com ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ

178



          ถ้าเอ่ยชื่อ "สุนทรภู่" เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักกวีชาวไทยที่มีชื่อเสียงก้องโลก โดยเฉพาะกลอนนิทานเรื่อง "พระอภัยมณี" จนได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ด้านงานวรรณกรรม  หรือ “มหากวีแห่งรัตนโกสินทร์" หรือ “เชกสเปียร์แห่งประเทศไทย" และคงเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า "วันที่ 26 มิถุนายน" ของทุกปีคือ "วันสุนทรภู่" ซึ่งมักจะมีการจัดนิทรรศการ ประกวดแต่งคำกลอน เพื่อแสดงถึงการรำลึกถึง เพราะฉะนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมจึงไม่พลาด ขอพาไปเปิดประวัติ "วันสุนทรภู่" ให้มากขึ้นค่ะ...

ชีวประวัติ "สุนทรภู่"

          สุนทรภู่ กวีสำคัญสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เกิดวันจันทร์ เดือน 8 ขึ้น 1 ค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช 1148 เวลา 2 โมงเช้า หรือตรงกับวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 เวลา 8.00 น. นั่นเอง ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ณ บริเวณด้านเหนือของพระราชวังหลัง (บริเวณสถานีรถไฟบางกอกน้อยปัจจุบัน) บิดาของท่านเป็นชาวกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ชื่อพ่อพลับ ส่วนมารดาเป็นชาวเมืองฉะเชิงเทรา ชื่อแม่ช้อย สันนิษฐานว่ามารดาเป็นข้าหลวงอยู่ในพระราชวังหลัง เชื่อว่าหลังจากสุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน บิดามารดาก็หย่าร้างกัน บิดาออกไปบวชอยู่ที่วัดป่ากร่ำ ตำบลบ้านกร่ำ อำเภอแกลง อันเป็นภูมิลำเนาเดิม ส่วนมารดาได้เข้าไปอยู่ในพระราชวังหลัง ถวายตัวเป็นนางนมของพระองค์เจ้าหญิงจงกล พระธิดาในเจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ ดังนั้น สุนทรภู่จึงได้อยู่ในพระราชวังหลังกับมารดา และได้ถวายตัวเป็นข้าในกรมพระราชวังหลัง ซึ่งสุนทรภู่ยังมีน้องสาวต่างบิดาอีกสองคน ชื่อฉิมและนิ่ม อีกด้วย

          "สุนทรภู่" ได้รับการศึกษาในพระราชวังหลังและที่วัดชีปะขาว (วัดศรีสุดาราม) ต่อมาได้เข้ารับราชการเป็นเสมียนนายระวางกรมพระคลังสวน ในกรมพระคลังสวน แต่ไม่ชอบทำงานอื่นนอกจากแต่งบทกลอน ซึ่งสามารถแต่งได้ดีตั้งแต่ยังรุ่นหนุ่ม เพราะตั้งแต่เยาว์วัยสุนทรภู่มีนิสัยรักแต่งกลอนยิ่งกว่างานอื่น ครั้งรุ่นหนุ่มก็ไปเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่วัดศรีสุดารามในคลองบางกอกน้อย ได้แต่งกลอนสุภาษิตและกลอนนิทานขึ้นไว้ เมื่ออายุราว 20 ปี

          ต่อมาสุนทรภู่ลอบรักกับนางข้าหลวงในวังหลังคนหนึ่ง ชื่อแม่จัน ซึ่งเป็นบุตรหลานผู้มีตระกูล จึงถูกกรมพระราชวังหลังกริ้วจนถึงให้โบยและจำคุกคนทั้งสอง แต่เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตในปี พ.ศ. 2349 จึงมีการอภัยโทษแก่ผู้ถูกลงโทษทั้งหมดถวายเป็นพระราชกุศล หลังจากสุนทรภู่ออกจากคุก เขากับแม่จันก็เดินทางไปหาบิดาที่ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง และมีบุตรด้วยกัน 1 คน ชื่อ “พ่อพัด” ได้อยู่ในความอุปการะของเจ้าครอกทองอยู่ ส่วนสุนทรภู่กับแม่จันก็มีเรื่องระหองระแหงกันเสมอ จนภายหลังก็เลิกรากันไป

          หลังจากนั้น สุนทรภู่ ก็เดินทางเข้าพระราชวังหลัง และมีโอกาสได้ติดตามพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ในฐานะมหาดเล็ก ตามเสด็จไปในงานพิธีมาฆบูชา ที่อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2350 และเขาก็ได้แต่ง “นิราศพระบาท” พรรณนาเหตุการณ์ในการเดินทางคราวนี้ด้วย และหลังจาก “นิราศพระบาท” ก็ไม่ปรากฏผลงานใดๆ ของสุนทรภู่อีกเลย

          จนกระทั่งเข้ารับราชการในปี พ.ศ. 2359 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 2 สุนทรภู่ได้เข้ารับราชการในกรมพระอาลักษณ์ และเป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จนแต่งตั้งให้เป็นกวีที่ปรึกษาและคอยรับใช้ใกล้ชิด เนื่องจากเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงแต่งกลอนบทละครในเรื่อง "รามเกียรติ์" ติดขัดไม่มีผู้ใดต่อกลอนได้ต้องพระราชหฤทัย จึงโปรดให้สุนทรภู่ทดลองแต่ง ปรากฏว่าแต่งได้ดีเป็นที่พอพระทัย จึงทรงพระกรุณาฯ เลื่อนให้เป็น "ขุนสุนทรโวหาร"

          ต่อมาในราว พ.ศ. 2364 สุนทรภู่ต้องติดคุกเพราะเมาสุราอาละวาดและทำร้ายท่านผู้ใหญ่ แต่ติดอยู่ไมนานก็พ้นโทษ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงติดขัดบทพระราชนิพนธ์เรื่อง "สังข์ทอง" ไม่มีใครแต่งได้ต้องพระทัย ทรงให้สุนทรภู่ทดลองแต่งก็เป็นที่พอพระราชหฤทัยภายหลังพ้นโทษ สุนทรภู่ได้เป็นพระอาจารย์ถวายอักษรสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอาภรณ์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 2 และ เชื่อกันว่าสุนทรภู่แต่งเรื่อง "สวัสดิรักษา" ในระหว่างเวลานี้ ซึ่งในระหว่างรับราชการอยู่นี้ สุนทรภู่แต่งงานใหม่กับแม่นิ่ม มีบุตรด้วยกันหนึ่งคน ชื่อ "พ่อตาบ

          "สุนทรภู่" รับราชการอยู่เพียง 8 ปี เมื่อถึงปี พ.ศ. 2367 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต หลังจากนั้นสุนทรภู่ก็ออกบวชที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) อยู่เป็นเวลา 18 ปี ระหว่างนั้นได้ย้ายไปอยู่วัดต่างๆ หลายแห่ง ได้แก่ วัดเลียบ, วัดแจ้ง, วัดโพธิ์, วัดมหาธาตุ และวัดเทพธิดาราม ซึ่งผลจากการที่ภิกษุภู่เดินทางธุดงค์ไปที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ปรากฏผลงานเป็นนิราศเรื่องต่างๆ มากมาย งานเขียนชิ้นสุดท้ายที่ภิกษุภู่แต่งไว้ก่อนลาสิกขาบท คือ รำพันพิลาป โดยแต่งขณะจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม พ.ศ. 2385 ทั้งนี้ ระหว่างที่ออกเดินทางธุดงค์ ภิกษุภู่ได้รับการอุปการะจากพระองค์เจ้าลักขณานุคุณจนพระองค์ประชวรสิ้นพระชมน์ สุนทรภู่จึงลาสิกขาบท รวมอายุพรรษาที่บวชได้ประมาณ 10 พรรษา สุนทรภู่ออกมาตกระกำลำบากอยู่พักหนึ่งจึงกลับเข้าไปบวชอีกครั้งหนึ่ง แต่อยู่ได้เพียง 2 พรรษา ก็ลาสิกขาบท และถวายตัวอยู่กับเจ้าฟ้าน้อย หรือสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พระราชวังเดิม รวมทั้งได้รับอุปการะจากกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพอีกด้วย

          ในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ครองราชย์ ทรงสถาปนาเจ้าฟ้า กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่วังหน้า (พระบวรราชวัง) สุนทรภู่จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระสุนทรโวหาร" ตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์ฝ่ายบวรราชวังในปี พ.ศ. 2394 และรับราชการต่อมาได้ 4 ปี ก็ถึงแก่มรณกรรมใน พ.ศ. 2398 รวมอายุได้ 70 ปี ในเขตพระราชวังเดิม ใกล้หอนั่งของพระยามนเทียรบาล (บัว) ที่เรียกชื่อกันว่า "ห้องสุนทรภู่"

          สำหรับทายาทของสุนทรภู่นั้น เชื่อกันว่าสุนทรภู่มีบุตรชาย 3 คน คือ"พ่อพัด" เกิดจากภรรยาคนแรกคือแม่จัน "พ่อตาบ" เกิดจากภรรยาคนที่สองคือแม่นิ่ม และ "พ่อนิล" เกิดจากภรรยาที่ชื่อแม่ม่วง นอกจากนี้ ปรากฏชื่อบุตรบุญธรรมอีกสองคน ชื่อ "พ่อกลั่น" และ "พ่อชุบ" อย่างไรก็ตาม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้น และตระกูลของสุนทรภู่ได้ใช้นามสกุลต่อมาว่า "ภู่เรือหงส์"

ผลงานของสุนทรภู่

          หนังสือบทกลอนของสุนทรภู่มีอยู่มาก เท่าที่ปรากฏเรื่องที่ยังมีฉบับอยู่ในปัจจุบันนี้คือ…

ประเภทนิราศ

          - นิราศเมืองแกลง (พ.ศ. 2349) - แต่งเมื่อหลังพ้นโทษจากคุก และเดินทางไปหาพ่อที่เมืองแกลง

          - นิราศพระบาท (พ.ศ. 2350) - แต่งหลังจากกลับจากเมืองแกลง และต้องตามเสด็จพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ไปนมัสการรอยพระพุทธบาทที่จังหวัดสระบุรีในวันมาฆบูชา

          - นิราศภูเขาทอง (ประมาณ พ.ศ. 2371) - แต่งโดยสมมุติว่า เณรหนูพัด เป็นผู้แต่งไปนมัสการพระเจดีย์ภูเขาทองที่จังหวัดอยุธยา

          - นิราศสุพรรณ (ประมาณ พ.ศ. 2374) - แต่งเมื่อครั้งยังบวชอยู่ และไปค้นหายาอายุวัฒนะที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นผลงานเรื่องเดียวของสุนทรภู่ที่แต่งเป็นโคลง

          - นิราศวัดเจ้าฟ้า (ประมาณ พ.ศ. 2375) - แต่งเมื่อครั้งยังบวชอยู่ และไปค้นหายาอายุวัฒนะตามลายแทงที่วัดเจ้าฟ้าอากาศ (ไม่ปรากฏว่าที่จริงคือวัดใด) ที่จังหวัดอยุธยา

          - นิราศอิเหนา (ไม่ปรากฏ, คาดว่าเป็นสมัยรัชกาลที่ 3)

          - แต่งเป็นเนื้อเรื่องอิเหนารำพันถึงนางบุษบา

          - รำพันพิลาป (พ.ศ. 2385) - แต่งเมื่อครั้งจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม แล้วเกิดฝันร้ายว่าชะตาขาด จึงบันทึกความฝันพร้อมรำพันความอาภัพของตัวไว้เป็น "รำพันพิลาป" จากนั้นจึงลาสิกขาบท

          - นิราศพระประธม (พ.ศ. 2385) –เชื่อว่าแต่งเมื่อหลังจากลาสิกขาบทและเข้ารับราชการในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปนมัสการพระประธมเจดีย์ (หรือพระปฐมเจดีย์) ที่เมืองนครชัยศรี

          - นิราศเมืองเพชร (พ.ศ. 2388) - แต่งเมื่อเข้ารับราชการในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เชื่อว่าไปธุระราชการอย่างใดอย่างหนึ่ง นิราศเรื่องนี้มีฉบับค้นพบเนื้อหาเพิ่มเติมซึ่ง อ.ล้อม เพ็งแก้ว เชื่อว่า บรรพบุรุษฝ่ายมารดาของสุนทรภู่เป็นชาวเมืองเพชร

ประเภทนิทาน

          เรื่องโคบุตร, เรื่องพระอภัยมณี, เรื่องพระไชยสุริยา, เรื่องลักษณวงศ์, เรื่องสิงหไกรภพ

ประเภทสุภาษิต

          - สวัสดิรักษา- คาดว่าประพันธ์ในสมัยรัชกาลที่ 2 ขณะเป็นพระอาจารย์ถวายอักษรแด่เจ้าฟ้าอาภรณ์

          - สุภาษิตสอนหญิง - เป็นหนึ่งในผลงานซึ่งยังเป็นที่เคลือบแคลงว่า สุนทรภู่เป็นผู้ประพันธ์จริงหรือไม่

          - เพลงยาวถวายโอวาท - คาดว่าประพันธ์ในสมัยรัชกาลที่ 3 ขณะเป็นพระอาจารย์ถวายอักษรแด่เจ้าฟ้ากลางและเจ้าฟ้าปิ๋ว

ประเภทบทละคร

          - เรื่องอภัยณุรา ซึ่งเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เพื่อถวายพระองค์เจ้าดวงประภา พระธิดาในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

ประเภทบทเสภา

          - เรื่องขุนช้างขุนแผน (ตอนกำเนิดพลายงาม)

          - เรื่องพระราชพงศาวดาร

ประเภทบทเห่กล่อม

          แต่งขึ้นสำหรับใช้ขับกล่อมหม่อมเจ้าในพระองค์เจ้าลักขณานุคุณ กับพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เท่าที่พบมี 4 เรื่องคือ เห่จับระบำ, เห่เรื่องพระอภัยมณี, เห่เรื่องโคบุตร เห่เรื่องพระอภัยมณี, เห่เรื่องกากี

ที่มาของวันสุนทรภู่

          องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(UNESCO) ซึ่งเป็นผู้ที่มีหน้าที่ส่งเสริมและเผยแพร่ผลงาน ด้านวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกต่างๆ ทั่วโลก ด้วยการประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมระดับโลก ในวาระครบรอบ 100 ปีขึ้นไป ประจำทุกปี โดยมีวัตถุประสงค์คือ เพื่อเผยแพร่เกียรติคุณและผลงานของผู้มีผลงานดีเด่นทางด้านวัฒนธรรมระดับโลกให้ปรากฎแก่มวลสมาชิกทั่วโลก และเพื่อเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองร่วมกับประเทศที่มีผู้ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ

          ในการนี้ รัฐบาลไทยโดยคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ กระทรวงศึกษาธิการ จะเป็นผู้สืบค้นบรรพบุรุษไทยผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม เพื่อให้ยูเนสโกประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติและได้ประกาศยกย่อง "สุนทรภู่" ให้เป็นบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมระดับโลก โดยในวาระครบรอบ 200 ปีเกิด เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2529 ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 นายเสวตร เปี่ยมพงศ์สานต์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการจัดตั้งสถาบันสุนทรภู่ขึ้น เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับชีวิตและงานของสุนทรภู่ ให้แพร่หลายในหมู่เยาวชนและประชาชนชาวไทยมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ทางรัฐบาลจึงได้กำหนดให้ วันที่ 26 มิถุนายน ของทุกปีเป็น "วันสุนทรภู่" ซึ่งนับแต่นั้น เมื่อถึงวันสุนทรภู่ จะมีการจัดงานรำลึกถึงสุนทรภู่ตามสถานที่ต่างๆ เช่น ที่พิพิธภัณฑ์สุนทรภู่ "วัดเทพธิดาราม" และ ที่จังหวัดระยอง และมีการจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติคุณและส่งเสริมศิลปะการประพันธ์บทกวีจากองค์กรต่างๆ โดยทั่วไป

          ทั้งนี้ ผลงานของสุนทรภู่ยังเป็นที่นิยมในสังคมไทยอย่างต่อเนื่องตลอดมาไม่ขาดสาย และมีการนำไปดัดแปลงเป็นสื่อต่างๆ เช่น หนังสือการ์ตูน ภาพยนตร์ เพลง รวมถึงละคร มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์สุนทรภู่ ไว้ที่ ตำบลบ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นบ้านเกิดของบิดาของสุนทรภู่ และเป็นกำเนิดผลงานนิราศเรื่องแรกของท่านคือ นิราศเมืองแกลง

กิจกรรมที่ควรปฏิบัติ ในวันสุนทรภู่

          1. มีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติชีวิตและผลงาน
          2. มีการแสดงผลงานประเภทนิทานฯ ของสุนทรภู่
          3. มีการประกวด แข่งขัน ประชันสักวา ตอบคำถามเกี่ยวกับประวัติชีวิต และผลงานของสุนทรภู่




ที่มา www.kapook.com ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ

179


จตุคามรามเทพ คือ เทพรักษาพระบรมธาตุจังหวัดนครศรีธรรมราช สถิตอยู่บนที่บานประตูทางขึ้นพระบรมธาตุ ในปี พ.ศ. 2530 เมื่อมีการตั้งดวงเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นใหม่ จึงมีการอัญเชิญจตุคามรามเทพไปสถิต ณ ที่นั้นเป็นต้นมา

เชื่อว่ากันเดิม องค์จตุคามรามเทพ เป็นกษัตริย์ในสมัยอาณาจักรนครศรีธรรมราช มีพระนามอย่างเป็นทางการว่า พระเจ้าจันทรภาณุ เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 2 ของราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช เชื่อว่ามีพระวรกายเป็นสีเข้ม เป็นกษัตริย์นักรบที่แกร่งกล้า เมื่อสถาปนาอาณาจักรศรีวิชัยได้อย่างมั่นคงแล้ว จึงได้สมัญญานามว่า " ราชันดำแห่งทะเลใต้ " หรือมีอีกราชสมัญญานามนึงว่า
" พญาพังพกาฬ " และต่อมาทรงบำเพ็ญบุญเพื่อสร้างบารมีอธิษฐานจิตเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อบรรเทาทุกข์แก่มนุษย์ทั้งปวง

จตุคามรามเทพ มีบริวารเป็นทหารกล้า 4 นาย คือ พญาชิงชัย, พญาหลวงเมือง, พญาสุขุม และพญาโหรา เป็นกำลังหลักในการปราบพราหมณ์ที่เคยปกครองเมืองอยู่ก่อน เมื่อได้บ้านเมืองแล้ว
ก็ได้สร้างพระบรมธาตุ สถาปนาเมือง 12 นักษัตร หรือกรุงศรีธรรมาโศกราช ฝังรากฐานพระพุทธศาสนาอย่างถาวร จนได้รับเทิดพระเกียรติว่า พญาศรีธรรมาโศกราช หรือ พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช

ปัจจุบัน จตุคามรามเทพ ได้รับความนับถืออย่างกว้างขวาง โดยเชื่อว่าทรงฤทธานุภาพในทุก ๆ ด้าน ตามจารึกของชาวศรีวิชัยได้บอกว่า " มีอานุภาพดุจดังพระอาทิตย์และพระจันทร์
ที่ขจัดความมืดมัวในโลก " การขออธิฐานจากพระองค์นั้นทำได้โดยมีเงื่อนไข 4 ประการ

อธิฐานขอในสิ่งที่เป็นไปได้ โดยไม่ขัดต่อศีลธรรม

เมื่อได้รับสิ่งที่หวังแล้ว ต้องรักษาสัจจะที่ได้ให้ไว้กับพระองค์

ควรจะสร้างกุศลกรรมถวายแด่องค์จตุคามรามเทพ

เงื่อนไขทั้งสามข้อที่ผ่านมา หามีผลต่อการอธิฐานไม่ เนื่องจากองค์จตุคามรามเทพเป็นเพียงบุคคลในประวัติศาสตร์
มิใช่เทพหรือเครื่องรางของขลังหลอกลวงประชาชน

แต่ที่สำคัญ อย่าลำพังเพียงอธิษฐาน ต้องสร้างกุศลกรรมให้แก่ตนเองให้ครบทุกด้านด้วย
คือ ให้ทาน รักษาศีล และบำเพ็ญภาวนา

ภาพลักษณ์ของจตุคามรามเทพ โดยมากจะปรากฏเป็นองค์เทพบุตรในท่านั่ง มี 4 กร ถืออาวุธต่าง ๆ และนายทหาร 4 นาย นั้น จะปรากฏในรูปของหนุมาน 4 กร ถืออาวุธในท่วงท่าต่าง ๆ ทั้งนี้ก็เป็นไปตามศิลปะศรีวิชัยที่มักสร้างสัญลักษณ์ขึ้นมาแทนความหมายต่าง ๆ


ในบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเครื่องรางของขลังทั่วเมืองไทย เชื่อขนมกันได้ว่านาทีนี้หากเอ่ยชื่อ “จตุคามรามเทพ” แล้วส่วนใหญ่มักรู้จักคุ้นเคยกันดี จะมีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่อาจไม่เคยได้ยินมาก่อน ยิ่งถ้าไม่ค่อยใส่ใจในเรื่อง “โชคลาง” หรือ “โชคลาภ” ด้วยละก็ คงยากยิ่งนักที่จะคุ้นหูคุ้นตา


ที่มา http://www.jatukarm.com ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ

180



พระพิมพ์ที่สร้างขึ้นส่วนใหญ่ มักเป็นการแสดงภาพเหตุการณ์ในพุทธประวัติ รวมทั้งรูปแทนองค์พระพุทธเจ้าในอากัปกิริยาแตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม ได้พบความนิยมในการสร้างรูปแทนของพระอรหันต์สาวกที่นับถือกันว่าเป็นเอตทัคคะ หรือมีความเป็นเลิศในทางใดทางหนึ่งไว้เป็นการเฉพาะด้วยเช่นกัน เป็นต้นว่ารูปพระภควัม

พระภควัมน่าจะเป็นรูปเคารพในพุทธศาสนาองค์แรกๆ ที่ถูกนำมาใช้ในลักษณะของพระเครื่องราง ไม่ใช่พระกริ่งตามที่นักวิชาการบางท่านสันนิษฐานไว้

หลักฐานจากวรรณคดีเรื่อง ขุนช้างขุนแผน ซึ่งเป็นวรรณกรรมพื้นบ้านที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา (มีบางส่วนแต่งเพิ่มเติมขึ้นในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์) ได้กล่าวถึงพระภควัมซึ่งถูกนำมาใช้ในทางไสยเวทย์ไว้หลายตอนด้วยกัน เช่น ตอนขุนแผนกับพลายงามปลุกเสกทำพิธีก่อนยกพวกเข้าตีเมืองเชียงใหม่ ดังว่า


“จึงเอาพระภควัมที่ทำไว้ ใส่ขันสำริดประสิทธิ์มนต์
ในขันนั้นใส่น้ำมันหอม เสกพร้อมเป่าลงไปสามหน
พระนั่งขึ้นได้ในบัดดล น้ำมันนั้นทาทนทั้งทุบตี
ล่องหนกำบังจังงังครบ  อุปเท่ห์เล่ห์จบเป็นถ้วนถี่
ปลุกเครื่องเสร็จพลันอัญชลี อ่านมนต์เรียกผีพวกภูตพราย”


และตอนที่แสนตรีเพชรกล้า ทหารเอกของกองทัพเมืองเชียงใหม่ยกทัพออกมาต่อสู้กับกองทัพของอยุธยา


“อันแม่ทัพคนนี้มีศักดา อยู่คงสาตราวิชาดี
แขนขวาสักรงเป็นองค์นารายณ์ แขนซ้ายสักชาดเป็นราชสีห์
ขาขวาหมึกสักพยัคฆี ขาซ้ายสักหมีมีกำลัง
สักอุระรูปพระโมคคัลลาน์ ภควัมปิดตานั้นสักหลัง
สีข้างสักอักขระนะจังงัง  ศีรษะฝังพลอยนิลเม็ดจินดา” 


พระภควัมเป็นรูปจำลองของพระเถระที่มีนามว่าพระมหากัจจายนะ ตามประวัติกล่าวว่าท่านเป็นบุตรพราหมณ์ปุโรหิตของพระเจ้าจันฑปัชโชต กรุงอุชเชนี เดิมมีชื่อว่ากาญจนะ เมื่อบิดาถึงแก่กรรม ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นปุโรหิตแทน เนื่องจากเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ สามารถศึกษาเจนจบคัมภีร์ไตรเภทของพราหมณ์และสรรพวิชาต่างๆ ต่อมาท่านได้พบกับพระพุทธองค์และสดับฟังพระธรรมเทศนาจนเกิดความเลื่อมใส จึงเข้ารับการอุปสมบทในพุทธศาสนา ได้รับฉายาว่ากัจจายนะ ท่านได้รับคำยกย่องจากพระพุทธองค์ว่า เป็นเอตทัคคะหรือเป็นเลิศในเชิงเทศนาและอรรถาธิบายพระธรรมอย่างย่อ เป็นที่เข้าใจแก่ผู้ที่ได้รับฟังโดยง่าย นอกจากนั้นยังได้รับการยกย่องเป็นพุทธอนุชา จึงได้รับการเรียกขานอีกนามหนึ่งว่าพระมหากัจจายนะ

พระมหากัจจายนะเป็นพระภิกษุที่มีรูปร่างงดงาม มีวรรณะผ่องใส ผิวเหลืองอร่ามดังทองทา เป็นที่เสน่หาของผู้คนโดยทั่วไป เมื่อท่านเดินทางไปยังที่ใด ผู้ที่พบเห็นมักเข้าใจผิดคิดว่าท่านคือพระพุทธองค์ ท่านจึงมีนามเรียกขานอีกนามหนึ่งว่าพระภควัมหรือพระภควา ซึ่งมีความหมายถึง “ผู้ซึ่งมีความงามละม้ายเหมือนพระผู้มีพระภาคเจ้า” ดังนั้น เพื่อไม่ให้มีผู้เข้าใจผิด ท่านจึงเนรมิตกายให้มีลักษณะอ้วนเตี้ย ไม่งดงามเหมือนเดิมอีกต่อไป

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าถึงเหตุที่ทำให้ท่านต้องกลายเป็นภิกษุที่มีรูปร่างเช่นนี้อีกสำนวนหนึ่งว่า ครั้งหนึ่ง ขณะท่านออกบิณฑบาตในเมืองโสเรยยะ ได้มีเศรษฐีผู้หนึ่งเห็นท่านมีรูปโฉมที่งดงาม จึงเกิดความคิดวิปริตไปว่า หากแม้นพระเถระรูปนี้เป็นสตรีและได้มาเป็นภรรยา หรือถ้าภรรยาของตนมีผิวพรรณงามดังพระเถระรูปนี้ก็จะเป็นการดี ด้วยความคิดอันเป็นอกุศลกรรมดังกล่าว จึงทำให้เศรษฐีผู้นี้กลายเป็นสตรีเพศไปในทันที ภายหลังเมื่อได้ขอขมาต่อท่านมหากัจจายนะ จึงกลับคืนร่างเป็นบุรุษเพศตามเดิม และเพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้คิดเช่นนี้อีก ท่านจึงได้เนรมิตกายให้มีรูปร่างอ้วนพุงพลุ้ย ตามที่ปรากฏในรูปเคารพโดยทั่วไป

สำหรับมูลเหตุของการนำพระมหากัจจายนะมาสร้างเป็นรูปเคารพ อาจสืบเนื่องมาจากในสมัยโบราณนั้น พุทธศาสนิกชนไม่นิยมอาราธนาพระเครื่องหรือพระพิมพ์ที่มีรูปพระพุทธเจ้าติดตัว ด้วยถือว่าเป็นของสูง จึงได้แต่จำลองรูปพระอรหันต์สาวกที่นับถือกันว่ามีความเป็นเลิศทั้งในทางฤทธิ์ เช่น พระโมคคลา และในทางลาภสักการะ เช่นพระภควัมหรือพระปิดตา ไว้สักการบูชาแทน

พระภควัมที่ได้รับการสร้างขึ้นนั้น อาจแบ่งออกได้เป็นสองลักษณะใหญ่ๆ ได้แก่ ในลักษณะของพระปิดตา คือยกมือทั้งสองขึ้นปิดหน้า กับในลักษณะยกมือทั้งสองปิดหน้าและมีมือที่เพิ่มขึ้นยกปิดหูและล้วงลงปิดทวาร แบบที่นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่าพระมหาอุด หรือพระมหาอุตม์

พระภควัมหรือพระปิดตาถือได้ว่าเป็นพระเครื่องรางที่ถูกสร้างขึ้นโดยมีความหมายแฝงเอาไว้อย่างลึกซึ้งในลักษณะปริศนาธรรม มีความหมายว่า ถ้าตาไม่เห็นแสงสีที่เย้ายวนกิเลสตัณหาให้กำเริบ หูไม่ได้ยินสุ้มเสียงใดอันก่อให้เกิดกำหนัด ความยินดี หรือความพอใจซึ่งเป็นต้นเหตุให้จิตขุ่นมัว และสุดท้ายคือทวารเบื้องล่าง ซึ่งเป็นประตูที่เปิดทางให้ความบาปกำเริบขึ้น ทำให้คนเราต้องเวียนว่ายตายเกิด เป็นปฏิปักษ์ต่อการหลุดพ้น ถ้าสามารถปิดทวารหรือประตูแห่งอบายนี้ได้ ย่อมจะทำให้ผู้ประพฤติปฏิบัติอยู่เหนือความเศร้าโศกทั้งปวง

พระภัควัมปติหรือพระปิดตา จึงนับเป็นงานประติมากรรมสำคัญชิ้นหนึ่งซึ่งแฝงไว้ด้วยธรรมปรัชญาอันลึกซึ้งทางพุทธศาสนา ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผู้ที่นำมาสักการบูชา ว่าจะเข้าถึงอุบายธรรมดังกล่าวได้หรือไม่ เพียงใด


ที่มา วารสารเมืองโบราณ ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ

181



การที่พระเกจิอาจารย์ ท่านใดสามารถดำลงไปทำวัตถุมงคลใต้น้ำได้นานๆ แบบนี้ ก็แสดงว่าพระเกจิอาจารย์ท่านนั้นสำเร็จวิชากสิณที่สามารถแปลงธาตุน้ำให้เป็นช่องว่างมีอากาศหายใจได้


การดำน้ำเพื่อลงอักขระวัตถุมงคลใต้น้ำของพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียง เช่น หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท พระครูรัตนรังษี (หลวงปู่พุ่ม) วัดบางโคล่นอก เขตยานนาวา กทม. หลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ จ.นครปฐม ส่วนพระเกจิอาจารย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเคยดำน้ำจารตะกรุด คือ หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน จ.นนทบุรี

เหตุที่เกจิดำน้ำจารยันต์ มีคติความเชื่อว่า จะเพิ่มความเข้มขลังให้วัตถุมงคล เพราะระหว่างดำน้ำจิตจะนิ่ง รวมเป็นหนึ่งเดียว ขณะเดียวกัน การจารต้องแม่นยำ จึงบังเกิดเป็นอักขระเลขยันต์
เอกลักษณ์ของพระปิดตาห้วยจระเข้ ที่สำคัญ คือ ต้องมีการลงเหล็กจารทุกองค์ด้วย ในการลงเหล็กจารนั้น มีเรื่องเล่ากันว่า หลวงปู่นาคท่านนำเอาพระปิดตาที่สร้างเสร็จแล้ว ไปลงเหล็กจารที่ท่าน้ำข้างๆ วัด โดยท่านจะนำลงไปจารอักขระใต้น้ำ เมื่อจารเสร็จแล้วก็จะปล่อยให้พระปิดตาลอยขึ้นมาเหนือน้ำเอง โดยมีลูกศิษย์ที่อยู่บนฝั่งคอยเก็บ

ถ้าพระปิดตาองค์ไหนลงจารแล้วไม่ลอยน้ำขึ้นมา แสดงว่าพระปิดตาองค์นั้นไม่มีพลังพุทธคุณ อันอาจจะเกิดอักขระวิบัติ จากการจารอักขระก็ได้
อักขระที่ท่านใช้คือ "นะคงคา" เป็นตัวหลัก เพราะหลวงปู่นาคสำเร็จ อาโปกสิน วัตถุมงคลที่ท่านปลุกเสกจึงหนักไปทางพลังเย็นเร้นเข้มขลังอย่างเอกอุ
ยันต์ “นะ คงคา” ถือเป็นเอกลักษณ์ของหลวงปู่นาค หรือยันต์ประจำตัวหลวงปู่นาค หากพิจารณาพระปิดตาแต่ละองค์ จะจารยันต์ไม่เหมือนกัน แม้หลวงปู่นาคจะจารยันต์ด้วยมือทั้งหมด แต่ไม่ได้หมายความว่า พระปิดตาทุกองค์จะมียันต์เหมือนกันหมด โดยเฉาะยันต์ นะคงคา จะมีเฉพาะบางองค์เท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้ เพราะท่านจารด้วยมือแต่ละองค์ ซึ่งแน่นอนที่สุดว่า ต้องไม่เหมือนกันเป็นเรื่องธรรมดา

การลงยันต์ตัวนี้ ต้องบริกรรมพระคาถามหาคงคาทิพย์ อันประกอบด้วยธาตุน้ำเป็นตัวประสาน เย็นไม่ร้อนเลย โดยตัวหน้าของคาถาจะเป็นคาถาพระเจ้า ๕ ระองค์ (นะ โม พุท ธา ยะ) แบ่งออกเป็น ๕ บท คือ

๑.นะ คัง คา ยัง พิณ ธุ ชา ตัง จงบังเกิดเป็น นะ
๒. โม คัง คา ยัง พิณ ธุ ชา ตัง จงบังเกิดเป็น โม
๓. พุท คัง คา ยัง พิณ ธุ ชา ตัง จงบังเกิดเป็น พุท
๔. ธา คัง คา ยัง พิณ ธุ ชา ตัง จงบังเกิดเป็น ธา และ
๕.ยะ คัง คา ยัง พิณ ธุ ชา ตัง จงบังเกิดเป็น ยะ

พุทธคุณของคาถาบทนี้ แก้ร้อนรุ่มกลุ้มจิต ร้อนวิชาได้วิเศษนักแล เดิมทีเป็นพระคาถาที่หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าใช้ทำน้ำมนต์ประสานตัว พุทธคุณของยันต์ตัวนี้เด่นด้านคุ้มกันป้องกันภัย รวมทั้งป้องกันคุณไสย

ในโอกาสการตั้งวัดอายุครบ ๑๑๑ ปี คณะกรรมการวัดจึงจัดสร้างพระปิดตาเนื้อเมฆพัด รุ่นขุมสมบัติ ๑๑๑ ปี ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สร้างพิมพ์สะดือจุ่น ซึ่งมีทั้งหมด ๓ พิมพ์ คือ ขนาดหน้าตัก ๕ นิ้ว พิมพ์ใหญ่ และพิมพ์เล็ก ทั้งนี้เพื่อหาปัจจัยในการก่อสร้างอาคารสำนักงานพระพุทธศาสนาประจำจังหวัดนครปฐม

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ยันต์ที่เขียนลงบนพระปิดตา โดยมีการจารยันต์ตามตำรับหลวงปู่นาคด้วยมือในบาตรน้ำมนต์ทุกองค์ เพื่อเพิ่มพูนความรู้สำหรับผู้สนใจเรื่องอักขระเลขยันต์ จึงขอถอดยันต์บนพระปิดตาขนาดบูชามาอธิบาย

ยันตัวแรก ที่อยากเขียนถึง คือ ยันต์กลางกระหม่อมองค์พระ คือ ยันต์ นะ ซึ่งเป็นหนึ่งใน นะ ๑๐๘ ส่วนจะเป็นนะตัวใดนั้น ต้องใช้ตำราเปรียบเทียบ กรณีตัว นะ ที่ปรากฏบนพระปิดตาหลวงปู่นาค เป็น นะ ที่แทนพระพุทธเจ้าองค์แรก ในจำนวนพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ที่เรียกว่า “นะ โม พุท ธา ยะ” หรือ แม่ธาตุใหญ่ ที่บริกรรมว่า “นะ กา โร กุก กุ สัน โท จงบังเกิดเป็นตัว นะ” พุทธคุณของ นะ ตัวนี้ เด่นทางคุ้มครองมหาอำนาจ

ในขณะที่พระเกจิอาจารย์บางท่านใช้สูตรคาถาพระเจ้า ๑๖ พระองค์ ในการบริกรรมเรียกสูตรระหว่างเขียนก็มี โดยบริกรรมว่า “นะ มะ นะ อะ นอ กอ นะ กะ ออ กอ นอ อะ นะ อะ กะ อัง” มีพุทธคุณดีทุกด้าน ใช้ได้ทุกทาง แต่จะเด่นทางด้านคุ้มครอง และมงคลต่างๆ

ยันต์ที่อุระ (ท้อง) คือ ยันต์ นะ ตัวเดียวกับที่ลงกลางกระหม่อม แต่มีการเพิ่มส่วนที่มีหางลักษณะเป็นอุณาโลม ๓ ชั้น ซึ่งเป็นอุณาโลมที่หมายถึงหัวใจพระไตรปิฎก โดยภาวนาต่อว่า “มะ อะ อุ”

ส่วนเส้นตรงเหนือจากอุณาโลม ๓ ชั้น ให้ภาวนาว่า “สัต ถุ โน พุท โธ” บางครั้งอาจจะพบ ๕ ชั้น ภาวนาว่า “นะ ม พุท ธา ยะ” ในขณะที่อุณาโลม ๙ ชั้น ภาวนาว่า “อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ”

ยันต์ที่มือขวาขององค์พระ คือ ยันต์ เฑาะว์ ยันต์ตัวนี้ใช้ลงกระหม่อม หรือจารองค์พระก็ได้ โดยระหว่างจารยันต์ตัวนี้ ให้บริกรรมว่า “เฑาะว์ รัน โต ศี ละ สมาธิ เฑาะว์ รัน ตัน ติ นะ มะ ถุ โน เฑาะว์ รัน โต นะ กัม มัถ ฐา นัง เฑาะว์ พุท นะ มา มิ หัง เฑาะว์ อุ ณา โล มา สัม ปะ นะ ชา ยะ เต ” เฑาะว์ตัวนี้มีพุทธคุณเด่นทางอยู่คง

ยันต์ที่มือซ้ายขององค์พระ คือ ยันต์ นะ หน้าทอง หรือเรียกว่า นะฉัพพัณณรังษี ฉบับวัดประดู่โรงธรรม จ.พระนครศรีอยุธยา บริกรรมว่า

“ปถมังพินธุกังชาตัง นะกาโรสุวัณโณเจวะ ทุติยังทัณฑะเมวะจะ โมกะโรมะณีโชตะกัง ตะติยังเภทะกัญเจวะ พุทกาโรสังขะเมวะจะ จัคตุถังอังกุสัมภะวัง ธากาโรสุริยังเอวะ ปัญจะมังสิระสังชาตัง ยะกาโรมุกขะเมวะจะ นะกาโรโหติสะมภะโว”

นะ หน้าทองตัวนี้ มีพุทธคุณเด่นทางเสน่ห์ อิทธิเจ หรือ ใครเห็นใครรัก
ยันต์ด้านหลังองค์พระ (บริเวณเศียรต่อกับลำคอ) คือ ยันต์ เฑาะว์ แต่มีการเพิ่มยันต์ไว้ใต้ฐานตัวเฑาะว์ คือ ธาตุ ๔ คือ นะ มะ พะ ทะ พุทธคุณเด่นด้านเหนียวอยู่คง

ทั้งนี้ต้องภาวนาควงกันเป็น ๔ คาบ ว่า คือ
๑. นะ มะ พะ ทะ
๒.มะ พะ ทะ นะ
๓. พะ ทะ นะ มะ
๔.ทะ นะ มะ พะ

ยันต์ด้านหลังองค์พระ (บริเวณกลางหลัง) คือ ยันต์พระเจ้า ๕ พระองค์ แต่เขียนร้อยเป็นตัวเดียวกัน ถ้าให้เป็นมหาอุด จะเขียนเป็นยันต์ปิด (เขียนปิดหัวปิดหาง) ภาษาคนเขียนยันต์ เรียกว่า การเขียนยันต์ตลก เพื่อความสวยงาม โดยบริการว่า “นะ โม พุท ธา ยะ” นั่นเอง

นอกจากนี้แล้ว ยังมียันต์ นะ อีกตัวหนึ่ง ซึ่งอยู่บริเวณก้นองค์พระทั้ง ๒ ข้างด้านหลัง นะ ตัวนี้ คือ นะ ทรหด โดยระหว่างเขียนบริกรรมคาถาหัวใจพระกัสสะปะ มีพุทธคุณเด่นทางทรหดอดทน
อย่างไรก็ตาม เมื่อนำความเข้มขลังของ "เนื้อเมฆพัด" ซึ่งเป็นโลหะที่ได้จากการเล่นแร่แปรธาตุตามตำราของไทยโบราณ เชื่อว่าเป็นธาตุกายสิทธิ์ มีฤทธานุภาพในตัวเอง รวมกับอักขระเลขยันต์ โดยมีการจารยันต์ตามตำรับหลวงปู่นาคด้วยมือในบาตรน้ำมนต์ทุกองค์แล้ว พระปิดตาเนื้อเมฆพัด รุ่นขุมสมบัติ ๑๑๑ ปี ถือว่าดีทุกด้าน

พุทธศาสนิกชนร่วมทำบุญได้ที่วัดห้วยจระเข้ ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม หรือสอบถามได้ที่สำนักงานเลขานุการ วัดห้วยจระเข้ โทร.๐-๓๔๒๕-๙๔๖๘, ๐-๓๔๒๕-๙๙๔๖๘, ๐๘-๕๐๗๖-๐๙๗๔

ที่มา - คม ชัด ลึก

182


หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม หรือ พระธรรมสิงหบุราจารย์ เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ซึ่งพระคุณเจ้าได้มาประจำวัดนี้ตั้งแต่ พ.ศ. 2500 ด้วยพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านได้พัฒนาปรับปรุงวัดแห่งนี้จนเป็นสถานปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐานที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง พระคุณเจ้ายึดหลักสร้างคน สร้างเหตุดี ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาและเพื่อสืบทอดแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาโดยแท้จริง พระเดชพระคุณท่านเป็นพระนักพัฒนา พระนักเทศน์ และวิปัสสนาจารย์ จนเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ได้รับพระราชทานโล่เกียรติคุณนักสังคมสงเคราะห์ดีเด่นในสาขาสังคมสงเคราะห์อาสาสมัครฝ่ายกิจการพระศาสนา พ.ศ. 2528 จาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นธรรม พระราชทินนามว่า "พระธรรมสิงหบุราจารย์ ภาวนาปฏิภาณโกศลโสภณธรรมานุสิฐ พิพัฒน์กิจสุนทร มหาคณิสสร บวรสังฆารามคามวาส"

ชาติภูมิพระเดชพระคุณ

นามเดิมว่า จรัญ จรรยารักษ์ เกิดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พุทธศักราช 2471 ในสมัยรัชกาลที่ 7 ที่บ้านบางม่วงหมู่ อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี เป็นบุตรคุณพ่อแพ จรรยารักษ์ คุณแม่เจิม (สุขประเสริฐ) จรรยารักษ์


อุปสมบท
พระอาจารย์จรัญอุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2491 ที่วัดพรหมบุรี โดยมีพระพรหมนคราจารย์ เจ้าอาวาสวัดแจ้งพรหมนครเป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูถาวรวิริยคุณ วัดพุทธารามเป็นพระกรรมวาจาจารย์ ท่านได้รับฉายาว่า"ฐิตธมฺโม"



แนวทางการทำงานสืบทอดพระพุทธศาสนา จะใช้หนี้โลกมนุษย์ ด้วยการเผยแพร่พระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจะไม่ขอสร้างวัตถุอีก
 
 พระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธัมโม)



ผลงาน- พ.ศ. 2526 ได้รับโล่เกียรติคุณนักสังคมสงเคราะห์ดีเด่นในสาขาสังคมสงเคราะห์อาสาสมัครฝ่ายกิจการพระศาสนา

- พ.ศ. 2528 ได้รับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ กรุงเทพฯ วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2528 ในฐานะผู้ได้ทำคุณประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ด้านส่งเสริมชักชวนให้มาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง

- พ.ศ. 2529 ได้รับมอบเข็มเกียรติคุณนักพัฒนาดีเด่นแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองจาก ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ณ ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 จึงนับได้ว่า ท่านได้ทุ่มเทชีวิตในการพัฒนาสังคมให้เจริญรุ่งเรือง และเป็นที่พึ่งอันสำคัญแก่พุทธศาสนิกชนให้เขตท้องถิ่นทั้งใกล้และไกลมาเป็นเวลานาน



ตำแหน่งและสมณศักดิ์- พ.ศ. 2500 รักษาการเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี

- พ.ศ. 2501 ได้รับสมณศักดิ์เป็น ที่พระครูปลัดจรัญ ฐิตธมฺโม ในฐานานุกรมของท่านเจ้าคุณ สุนทรธรรมประพุทธ เจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2501

- พ.ศ. 2511 ได้รับสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ที่พระครูภาวนาวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2511

- พ.ศ. 2516 เลื่อนเป็นพระครู เทียบผู้ช่วยพระอารามหลวงชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน

- พ.ศ. 2517 รักษาการตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอพรหมบุรี

- พ.ศ. 2518 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอพรหมบุรี

- พ.ศ. 2519 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์

- พ.ศ. 2525 ได้เลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูเจ้าคณะอำเภอชั้นเอก

- พ.ศ. 2531 ได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่ พระภาวนาวิสุทธิคุณ เมื่อวันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2531

- พ.ศ. 2535 ได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชสุทธิญาณมงคล เมื่อวันพุธที่ 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2535

- พ.ศ. 2541 ได้รับแต่งตั้งเป็น รองเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี เมื่อวันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2541

- พ.ศ. 2542 ได้รับแต่งตั้งเป็น เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี เมื่อวันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พุทธศักราช 2542

- พ.ศ. 2545 ได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ พระเทพสิงหบุราจารย์ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2544

- พ.ศ. 2547 ได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่ พระธรรมสิงหบุราจารย์ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2547



แหล่งที่มา
http://www.jarun.org/v6/th/lrule01h0101.html

หนังสือมหาบุราจารย์แห่งเมืองสิงห์บุรี

http://www.ideabyidea.com/main/modules/newbb_plus/archive.php?forum=47&topic_id=7854

http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/monk-106.htm

http://www.phuttha.com/monk/หลวงพ่อจรัญ%20ฐิตธมฺโม.html

183


ประวัติเทพเจ้ากวนอู
กวนอูเดิมเป็นชาวอำเภอไก่เหลียง ดินแดนฮอตั๋ง ชื่อเดิมคือเผิงเสียน ชื่อรองโซ่วฉาง รูปร่างสูงใหญ่ สง่างามน่าเกรงขามแก่ผู้พบเห็น มีกำเนิดในครอบครัวนักปราชญ์ เชี่ยวชาญด้านคัมภีร์พิชัยสงครามและคัมภีร์หลี่ซื่อชุนชิว เป็นนักโทษต้องคดีอาญาแผ่นดิน หลบหนีการจับกุมเร่รอนไปทั่วเป็นเวลา 6 ปีจนถึงด่านถงกวน นายด่านพบพิรุธจึงสอบถามชื่อแซ่ กวนอูตกใจจึงชี้ไปที่ชื่อด่านคือ "ถงกวน" ทำให้นายด่านเข้าใจว่ากวนอูนั้นแซ่กวน หลังจากนั้นเป็นต้นมากวนอูจึงเปลี่ยนจากชื่อเดิมคือเผิงเสียนเป็นกวนอู

ต่อมาได้พบเล่าปี่และเตียวหุยที่ตุ้นก้วนและร่วมสาบานเป็นพี่น้องกัน กวนอูได้ร่วมรบกับเล่าปี่ปราบโจรโพกผ้าเหลืองจนราบคาบในสมัยพระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่เล่าปี่กลับได้เพียงตำแหน่งนายอำเภออันห้อก้วน ภายหลังต๊กอิ้วซึ่งเป็นเจ้าเมืองออกตรวจราชการที่อำเภออันห้อก้วน เล่าปี่ไม่มีสินบนมอบให้จึงถูกใส่ความด้วยการเขียนฎีกาถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ในข้อหากบฏ เตียวหุยโกรธจัดถึงกับพลั้งมือเฆี่ยนตีต๊กอิ้วจนเกือบเสียชีวิต ทำให้เล่าปี่ต้องหลบหนีจากการจับกุมของทางการพร้อมกับกวนอูและเตียวหุย

วีรกรรมกวนอูของนั้นมีมากมาย เริ่มจากการร่วมปราบปรามโจรโพกผ้าเหลืองร่วมกับทหารหลวงของพระเจ้าเหี้ยนเต้ สังหารฮัวหยงแม่ทัพของตั๋งโต๊ะโดยที่สุราคาราวะจากโจโฉยังอุ่น ๆ ปราบงันเหลียงและบุนทิวสองทหารเอกของอ้วนเสี้ยว บุกเดี่ยวพันลี้หนีจากโจโฉเพื่อหวนกลับคืนสู่เล่าปี่ด้วยคำสัตย์สาบานในสวนท้อ ทั้งที่โจโฉพยายามทุกวิถีทางเพื่อมัดใจกวนอูแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ฝ่า 5 ด่าน สังหาร 6 ขุนพลของโจโฉ และในคราวศึกเซ็กเพ็กโจโฉแตกทัพหนีไปตามเส้นทางฮัวหยง กวนอูได้รับมอบหมายจากขงเบ้งให้นำกำลังทหารมาดักรอจับกุม โจโฉว่ากล่าวตักเตือนให้กวนอูระลึกถึงบุญคุณครั้งก่อนจนกวนอูใจอ่อนยอมปล่อยโจโฉหลุดรอดไป โดยยอมรับโทษประหารตามที่ได้ทำทัณฑ์บนไว้กับขงเบ้ง

เมื่อเล่าปี่สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิครองเสฉวน ได้ให้กวนอูไปกินตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเกงจิ๋วและแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในห้าทหารเสือของเล่าปี่ ภายหลังซุนกวนมอบหมายให้โลซกเจรจาขอเกงจิ๋วคืน กวนอูบุกเดี่ยวข้ามฟากไปกังตั๋งเพื่อกินโต๊ะตามคำเชิญโดยที่โลซกและทหารที่แอบซุ่มรอบ ๆ บริเวณไม่สามารถทำอันตรายได้ ภายหลังซุนกวนเป็นพันธมิตรกับโจโฉนำทัพโจมตีเกงจิ๋ว กวนอูพลาดท่าเสียทีแก่ลิบองและลกซุนสองแม่ทัพแห่งกังตั๋งจนเสียเกงจิ๋ว พยายามตีฝ่ากำลังทหารที่ล้อมเมืองเป๊กเสียเพื่อชิงเกงจิ๋วกลับคืนแต่โดนกลอุบายจับตัวไปได้ ซุนกวนพยายามเกลี้ยกล่อมให้กวนอูยอมจำนนและสวามิภักดิ์แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกประหารพร้อมกับกวนเป๋งบุตรบุญธรรมในเดือนสิบสองของปี พ.ศ. 762

ศีรษะของกวนอูถูกซุนกวนส่งไปมอบให้แก่โจโฉที่ฮูโต๋ ซึ่งเป็นกลอุบายที่หมายจะหลอกให้เล่าปี่หลงเชื่อว่าโจโฉเป็นผู้สั่งประหารกวนอู และนำกำลังทหารไปทำศึกสงครามกับโจโฉแทน แต่โจโฉเท่าทันกลอุบายของซุนกวนจึงจัดงานศพให้แก่กวนอูอย่างสมเกียรติ นำไม้หอมมาต่อเป็นหีบใส่ศีรษะกวนอู แต่งเครื่องเซ่นไหว้ตามบรรดาศักดิ์ขุนนางผู้ใหญ่รวมทั้งสั่งการให้ทหารทั้งหมดแต่งกายขาวไว้ทุกข์ให้แก่กวนอู ยกย่องให้เป็นอ๋องแห่งเกงจิ๋วและจารึกอักษรที่หลุมฝังศพว่า "ที่ฝังศพเจ้าเมืองเกงจิ๋ว"ศีรษะของกวนอูถูกฝังไว้ ณ ประตูเมืองลกเอี้ยงหรือลัวหยางทางด้านทิศใต้


ความสัตย์ซื่อ

เมื่อคราวที่เล่าปี่ทำศึกแพ้โจโฉที่เมืองชีจิ๋วแตกแยกพลัดพรากจากกวนอูและเตียวหุย เล่าปี่หนีไปอยู่กับอ้วนเสี้ยว เตียวหุยแตกไปแย่งชิงเมืองเล็ก ๆ และตั้งซุ่มเป็นกองโจร กวนอูถูกโจโฉวางกลอุบายล้อมจับตัวได้ที่เมืองแห้ฝือ และมอบหมายให้เตียวเลี้ยวมาเจรจาเกลี้ยกล่อม กวนอูขอสัญญาสามข้อจากโจโฉคือ "เราจะขอเป็นข้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ประการหนึ่ง เราจะขอปฏิบัติพี่สะใภ้ทั้งสอง แลอย่าให้ผู้ใดเข้าออกกล้ำกรายเข้าถึงประตูที่อยู่ได้ จะขอเอาเบี้ยหวัดของเล่าปี่ซึ่งเคยได้รับพระราชทานนั้น มาให้แก่พี่สะใภ้เราทั้งสองประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งถ้าเรารู้ว่าเล่าปี่อยู่แห่งใดตำบลใด ถึงมาตรว่าเรามิได้ลามหาอุปราชเราก็จะไปหาเล่าปี่ แม้มหาอุปราชจะห้ามเราก็ไม่ฟัง" โจโฉตกลงตามสัญญาสามข้อจึงได้กวนอูไว้ตามต้องการ

โจโฉนำกวนอูไปถวายตัวต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ พยายามเลี้ยงดูกวนอูอย่างดีเพื่อให้ลืมคุณของเล่าปี่แต่หนหลัง ให้เครื่องเงินเครื่องทองแลแพรอย่างดีแก่แก่กวนอูเพื่อหวังเอาชนะใจ สามวันแต่งโต๊ะไปให้ครั้งหนึ่ง ห้าวันครั้งหนึ่ง จัดหญิงสาวรูปงามสิบคนให้ไปปฏิบัติหวังผูกน้ำใจกวนอูให้หลง แต่กวนอูกลับไม่สนใจต่อทรัพย์สินและหญิงงามที่โจโฉมอบให้ ใจมุ่งหวังแต่เพียงคิดหาทางกลับคืนไปหาเล่าปี่ โจโฉเห็นเสื้อผ้ากวนอูเก่าและขาดจึงมอบเสื้อใหม่ให้ กวนอูจึงนำเสื้อเก่าสวมทับเสื้อใหม่ด้วยเหตุผลที่ว่า "เสื้อเก่านี้ของเล่าปี่ให้ บัดนี้เล่าปี่จะไปอยู่ที่ใดมิได้แจ้ง ข้าพเจ้าจึงเอาเสื้อผืนนี้ใส่ชั้นนอก หวังจะดูต่างหน้าเล่าปี่ ครั้นจะเอาเสื้อใหม่นั้นใส่ชั้นนอก คนทั้งปวงจะครหานินทาว่าได้ใหม่แล้วลืมเก่า"[10]

โจโฉเห็นม้าที่กวนอูขี่ผ่ายผอมเพราะทานน้ำหนักกวนอูไม่ไหวจึงมอบม้าเซ็กเธาว์ของลิโป้ให้ สร้างความดีใจให้กวนอูเป็นอย่างยิ่งจนถึงกับคุกเข่าคำนับโจโฉหลายครั้งจนโจโฉสงสัยถามว่า "เราให้ทองสิ่งของแก่ท่านมาเป็นอันมากก็ไม่ยินดี ท่านไม่ว่าชอบใจและมีความยินดีเหมือนเราให้ม้าตัวนี้ เหตุไฉนท่านจึงรักม้าอันเป็นสัตว์เดียรัจฉานมากกว่าทรัพย์สินอีกเล่า" กวนอูจึงตอบด้วยเหตุผลว่า "ข้าพเจ้าแจ้งว่าม้าเซ็กเธาว์ตัวนี้มีกำลังมาก เดินทางได้วันละหมื่นเส้น แม้ข้าพเจ้ารู้ข่าวว่าเล่าปี่อยู่ที่ใด ถึงมาตรว่าไกลก็จะไปหาได้โดยเร็ว เหตุฉะนี้ข้าพเจ้าจึงมีความยินดี ขอบคุณมหาอุปราชมากกว่าให้สิ่งของทั้งปวง"


ความถือคุณธรรม

ภายหลังจากเตียวเลี้ยวเจรจาเกลี้ยกล่อมกวนอูได้สำเร็จ โจโฉสั่งทหารเปิดทางให้กวนอูเข้าเมืองและจัดให้อยู่ร่วมเรือนเดียวกับพี่สะใภ้ทั้งสองคือนางกำฮูหยินและนางบิฮูหยิน หวังให้กวนอูคิดทำร้ายจะได้แตกน้ำใจจากเล่าปี่ โจโฉจะได้ครอบครองกวนอูไว้เป็นสิทธ์แก่ตัว แต่กวนอูให้พี่สะใภ้ทั้งสองนอนห้องด้านในและนั่งจุดเทียนดูหนังสือรักษาพี่สะใภ้อยู่นอกประตู เป็นการทรมานตนเองจนรุ่งเช้าในระหว่างเดินทางกลับฮูโต๋ เมื่อโจโฉรู้ดังนั้นก็เกรงใจกวนอูด้วยว่า "มีความสัตย์และกตัญญูต่อเล่าปี่"


ความกตัญญูรู้คุณ
ในคราวศึกที่ตำบลแป๊ะแบ๊ อ้วนเสี้ยวนำทัพหมายบุกโจมตียึดครองฮูโต๋ โจโฉจัดทหารสิบห้าหมื่นแยกออกเป็นสามกองเข้ารับมือกับอ้วนเสี้ยว ในการทำศึกโจโฉสูญเสียซงเหียน งุยซกและไพร่พลจำนวนมาก ซิหลงเสนอให้เรียกกวนอูออกรบ โจโฉกลัวกวนอูออกรบแล้วจะเป็นการแทนคุณตนเองและจากไปแต่ซิหลงแย้งว่า "ข้าพเจ้าเห็นว่าเล่าปี่ไปอาศัยอ้วนเสี้ยวอยู่ แม้กวนอูฆ่าทหารอ้วนเสี้ยวคนนี้เสียได้ อ้วนเสี้ยวรู้ก็จะฆ่าเล่าปี่ เมื่อเล่าปี่ตายแล้วกวนอูก็จะเป็นสิทธิ์อยู่แก่ท่าน" โจโฉเห็นชอบด้วยความคิดซิหลงกวนอูจึงถูกเรียกตัวออกศึก โจโฉพากวนอูขึ้นไปบนเนินเขาและชี้ให้ดูตัวงันเหลียง กวนอูจึงว่า "งันเหลียงคนนี้หรือ ข้าพเจ้าพอจะสู้ได้ ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะตัดศีรษะงันเหลียงมาให้ท่านจงได้" และได้ตัดคอบุนทิวและงันเหลียง สองทหารเอกของอ้วนเสี้ยวดั่งคำสัตย์ที่ได้ลั่นวาจาไว้ แม้จะไม่ยอมเป็นข้ารับใช้โจโฉแต่ก็ยอมพลีกายถวายชีวิตในการทำศึกสงครามให้แก่โจโฉ เป็นชายชาติทหารเต็มตัว ช่วยทำศึกให้แก่โจโฉด้วยความสัตย์ซื่อ กตัญญูรู้คุณเพื่อเป็นการทดแทนคุณโจโฉที่ได้เลี้ยงดูและปูนบำเหน็จรางวัลต่าง ๆ ให้มากมาย

นับจากนั้นเป็นต้นมา ชื่อเสียงและกิตติศัพท์ฝีมือง้าวในการทำศึกของกวนอูก็เป็นที่เลื่องลือกล่าวขานและรู้จักกันทั่วทั้งแผ่นดิน ในคราวที่โจโฉที่นำกำลังบุกลงใต้หวังยึดครองกังตั๋ง จิวยี่แม่ทัพของซุนกวนวางแผนการลอบฆ่าเล่าปี่โดยเชิญมากินโต๊ะ เล่าปี่หลงเชื่อถ้อยคำจิวยี่พาซื่อพาทหารไปกังตั๋งเพียงแค่ 20 คน นั่งดื่มเหล้ากับจิวยี่จนเมาในค่าย จิวยี่นัดแนะกับทหารไว้เมื่อเห็นตนเองทิ้งจอกเหล้าให้สัญญาณก็ให้ทหารที่เตรียมซุ่มไว้ออกมาฆ่าเล่าปี่ ระหว่างกินโต๊ะจิวยี่เห็นกวนอูยืนถือกระบี่อยู่ด้านหลังของเล่าปี่จึงถามว่าเป็นใคร เมื่อเล่าปี่ตอบว่า "กวนอูเป็นน้องข้าพเจ้าเอง" จิวยี่ก็ตกใจจนเหงื่อกาฬไหลโทรมกาย เกรงกลัวฝีมือของกวนอูจนล้มเลิกแผนการฆ่าเล่าปี่

ในคราวศึกเซ็กเพ็ก ภายหลังจากขงเบ้งทำพิธีเรียกลมอาคเนย์ให้แก่จิวยี่และลอบหลบหนีด้วยแผนกลยุทธ์หลบหนีจากการถูกปองร้ายของจิวยี่ เดินทางกลับยังแฮเค้าพร้อมกับจูล่ง ขงเบ้งมอบหมายให้จูล่งคุมทหารสามพันไปซุ่มรอที่ตำบลฮัวหลิม ให้เตียวหุยคุมทหารสามพันไปซุ่มรอที่เนินเขาปากทางตำบลโฮโลก๊ก ให้บิต๊กและบิฮองคุมทหารไปดักรออยู่ตามชายทะเลคอยดักจับทหารโจโฉที่หลบหนีมา ให้เล่ากี๋คุมเรือรบไปตั้งอยู่ที่ตำบลฮูเชียงและให้เล่าปี่คุมทหารไปคอยดูแผนการเผาทัพเรือโจโฉของจิวยี่อยู่บนเนินเขา ขงเบ้งจงใจไม่เลือกใช้กวนอูทำให้กวนอูน้อยใจจึงกล่าวแก่ขงเบ้งว่า "ตัวข้าพเจ้านี้มาอยู่กับเล่าปี่ช้านานแล้ว แลเล่าปี่จะทำการสิ่งใดก็ย่อมใช้สอยข้าพเจ้าให้อาสาไปทำการก่อนทุกแห่ง ครั้งนี้ท่านแคลงข้าพเจ้าสิ่งใดหรือ จึงไม่ใช้ไปทำการเหมือนคนทั้งปวง" ขงเบ้งจึงมอบหมายให้กวนอูคุมทหารห้าร้อยไปตั้งสกัดอยู่ทางฮัวหยง แต่ก็เกิดความคลางแคลงกวนอู ด้วยความเป็นคนสัตย์รู้จักคุณคน เกรงกวนอูจะนึกถึงคุณโจโฉที่เคยเอ็นดูทำนุบำรุงมาแต่ก่อนจึงไม่ฆ่าเสียและปล่อยให้หลุดรอดไป กวนอูจึงยอมทำทัณฑ์บนแก่ขงเบ้งด้วยศีรษะของตนเองถ้าไปดักรอโจโฉที่เส้นทางฮัวหยงแล้วปล่อยให้หลบหนีไปได้

โจโฉแตกทัพไปตามเส้นทางที่ขงเบ้งคาดการณ์ไว้จนถึงฮัวหยง พบกวนอูขี่ม้าถือง้าวคุมทหารออกมายืนสกัดขวางทางไว้ โจโฉเกิดมานะฮึกเฮิมจะต่อสู้แต่เรี่ยวแรงและกำลังของทหารที่ติดตามมานั้นอ่อนแรง เทียหยกจึงกล่าวแก่โจโฉว่า "จะหนีจะสู้นั้นก็ไม่ได้ อันน้ำใจกวนอูเป็นทหารนั้นก็จริง ถ้าเห็นผู้ใดไม่สู้รบแล้วก็มิได้ทำอันตราย ประการหนึ่งเป็นผู้มีความสัตย์ ทั้งรู้จักคุณคนนักด้วย แล้วท่านก็ได้เลี้ยงดูมีคุณไว้ต่อกวนอูเป็นอันมาก แม้ท่านเข้าไปว่ากล่าวโดยดี เห็นกวนอูจะไม่ทำอันตรายท่าน"" โจโฉเห็นชอบด้วยจึงว่ากล่าวตักเตือนกวนอูให้ระลึกถึงบุญคุณแต่ครั้งเก่าคราวที่กวนอูหักด่านถึง 5 ตำบล ฆ่า 6 ขุนพลและทหารเป็นจำนวนมาก ขอให้กวนอูเปิดทางให้หลบหนีไป กวนอูนั้นเป็นคนกตัญญูรู้คุณคน ได้ฟังโจโฉว่ากล่าวก็สงสารนึกถึงคุณโจโฉซึ่งมีมาแต่หนหลัง จึงยอมเปิดทางให้โจโฉหลบหนีไปโดยตนเองเลือกยอมรับโทษประหารตามที่ได้ลั่นวาจาสัตย์และทำทัณฑ์บนไว้แก่ขงเบ้ง


ความกล้าหาญ

เมื่อคราวเล่าปี่ตั้งตนเป็นใหญ่ในเสฉวนและสถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าฮันต๋ง ได้ให้กวนอูไปกินตำแหน่งเจ้าเมืองเกงจิ๋วซึ่งเป็นหัวเมืองเอกของเสฉวน แต่เดิมเกงจิ๋วเป็นของซุนกวน โลซกรับเป็นนายประกันให้เล่าปี่ยืมเกงจิ๋วโดยสัญญาว่าเมื่อได้เสฉวนจะคืนเกงจิ๋วให้ แต่เมื่อเล่าปี่ได้เสฉวนกลับไม่ยอมคืนเกงจิ๋วให้ตามสัญญา ซุนกวนให้จูกัดกิ๋นพี่ชายขงเบ้งเป็นทูตไปเจรจาขอคืน แต่เล่าปี่ก็แสร้งบิดพลิ้วไม่ยอมคืนแต่จะยกเมืองเตียงสา เมืองเลงเหลงและเมืองฮุยเอี๋ยวให้แทน โดยให้ไปเจรจาขอเกงจิ๋วคืนแก่กวนอูผู้เป็นเจ้าเมือง โลซกจึงวางแผนการชิงเกงจิ๋วคืนด้วยการเชิญกวนอูมากินโต๊ะ ณ ปากน้ำลกเค้า ถ้าเจรจาขอเกงจิ๋วคืนจากกวนอูไม่สำเร็จจะใช้กำลังเข้าแย่งชิงโดยให้กำเหลงและลิบองคุมทหารซุ่มรออยู่รอบด้าน

กวนอูรับคำเชิญของโลซก แต่กวนเป๋งเกรงกวนอูจะได้รับอันตรายหากไปกินโต๊ะตามคำเชิญ กวนอูจึงให้เหตุผลว่า "เหตุทั้งนี้เพราะจูกัดกิ๋นไปบอกซุนกวน โลซกจึงคิดกลอุบายให้เราไปกินโต๊ะแล้วจะได้ทวงเอาเมืองเกงจิ๋วคืนไปไว้เป็นกรรมสิทธิ์ซุนกวน ครั้นเราจะไม่ไปชาวเมืองกังตั๋งจะดูหมิ่นเราว่ากลัว พรุ่งนี้เราจะพาทหารแต่ยี่สิบคนลงเรือเร็วไปกินโต๊ะ จะดูท่วงทีโลซกจะเกรงง้าวที่เราถือหรือไม่" แต่กวนเป๋งเกรงเล่าปี่จะตำหนิถ้าหากปล่อยให้กวนอูไปกังตั๋ง มิใยกวนเป๋งและม้าเลี้ยงจะห้ามปราม กวนอูก็ยืนยันคำเดิมตามที่ได้ลั่นวาจาไว้พร้อมกับกล่าวว่า "เจ้าอย่าวิตกเลย อันบิดานี้ก็มีฝีมือเลื่องลืออยู่ แต่ทหารโจโฉเป็นอันมากนับตั้งแสน บิดากับม้าตัวเดียวก็ยังไม่ต้องเกาฑัณฑ์แลอาวุธทั้งปวง ขับม้ารบพุ่งรวดเร็วเป็นหลายกลับ อุปมาเหมือนเข้าดงไม้อ้อแลออกจากพงแขม จะกลัวอะไรแก่ทหารเมืองกังตั๋งเพียงนี้ดังหนูอันหาสง่าไม่ ได้ออกปากว่าจะไปแล้วจะให้เสียวาจาไย"

กวนอูข้ามฟากไปกินโต๊ะตามคำเชิญของโลซกโดยลงเรือเร็ว มีนายท้ายกะลาสีประมาณยี่สิบคนพร้อมธงแดงสำหรับกวนอู แต่งกายโอ่โถงใส่เสื้อแพรสีม่วง โพกแพรสีเขียวปราศจากเกราะป้องกัน มีจิวฉองแบกง้าวนั่งเคียงข้าง มีทหารฝีมือเยี่ยมติดตามมาด้วยประมาณเจ็ดแปดคน บุกเดี่ยวไปยังดินแดนกังตั๋งด้วยความองอาจกล้าหาญมิเกรงกลัวต่อความตายที่อาจเกิดขึ้นได้ในต่างแดน โลซกเห็นกวนอูแต่งกายมีสง่าน่าเกรงขามก็เกิดความหวาดกลัว เกรงจะเจรจาขอเกงจิ่วคืนไม่สำเร็จ ครั่นคร้ามกวนอูขนาดเสพย์สุราก็มิอาจเงยหน้าขึ้นดูกวนอู


ความหยิ่งทรนง
แม้กวนอูจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความสัตย์ซื่อถือคุณธรรม กตัญญูรู้คุณและมีความกล้าหาญ แต่ถ้าพิจารณาจากวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เรื่องราวชีวิตของกวนอูตั้งแต่เริ่มพบกับเล่าปี่และเตียวหุย จนถึงการจบชีวิตพร้อมกับกวนเป๋งเมื่อคราวเสียเกงจิ๋ว ก็อาจกล่าวได้ว่ากวนอูนั้นเป็นผู้ที่เหมาะสมและคู่ควรแก่การเป็นยอดวีรบุรุษ เป็นผู้กล้าที่กอปรไปด้วยสติปัญญาอันหลักแหลม เป็นยอดขุนพลผู้มีฝีมือล้ำเลิศจนเป็นที่กล่าวขานไปทั่ว สามารถกุมชัยชนะในการต่อสู้ทำศึกสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน แต่สุดท้ายกวนอูก็พลาดท่าเสียทีให้แก่ขุนพลผู้เยาว์วัยเช่นลกซุน และต้องแลกเกงจิ๋วกับความผิดพลาดของตนเองด้วยชีวิต

ข้อเสียอันร้ายแรงของกวนอูคือความเย่อหยิ่งทรนงในศักดิ์ศรีและเชื่อมั่นในตนเองมากจนเกินไป ไม่เชื่อถือผู้ใดนอกจากตนเอง เมื่อคราวที่เล่าปี่ไปเชิญขงเบ้งจากเขาโงลังกั๋งถึงสามครั้งเพื่อให้เป็นที่ปรึกษาในการทำราชการแผ่นดิน กวนอูไม่ยอมรับฟังคำสั่งของขงเบ้งด้วยเห็นว่าอายุน้อยกว่าตนเอง เตียวหุยและเล่าปี่ รวมทั้งเมื่อเล่าปี่ให้ความเคารพนับถือขงเบ้งประดุจอาจารย์ กวนอูยิ่งเกิดความน้อยใจในตนเองเป็นอย่างยิ่งจึงกล่าวว่า "ขงเบ้งนั้นอายุยี่สิบเจ็ดปีอ่อนกว่าท่านอีก แล้วก็ยังมิได้ปรากฏปัญญาแลความคิดมาก่อน เหตุใดท่านจึงมาคำนับขงเบ้งดังอาจารย์ฉะนี้" และด้วยนิสัยที่ไม่ยอมอ่อนต่อผู้อื่น กวนอูจึงถูกขงเบ้งดัดนิสัยในคราวศึกทุ่งพกบ๋องด้วยการขอกระบี่และอาญาสิทธิ์ของเล่าปี่ไว้ในครอบครองเพื่อสั่งการแก่กวนอู

ขงเบ้งมอบหมายให้กวนอูคุมทหารพันนายไปซุ่มรอคอย ณ เขาอีสัน ให้เตียวหุยคุมทหารพันนายไปซุ่มรอคอย ณ ป่าอันหลิม ให้จูล่งคุมทหารยกไปเป็นกองหน้าและให้เล่าปี่คุมกำลังทหารไปเป็นกองหนุนจูล่ง กวนอูจึงกล่าวแก่ขงเบ้งว่า "ท่านจัดแจงเราทั้งปวงให้ยกไปทำการ ทั้งนี้ก็เห็นชอบอยู่แล้ว แลตัวท่านนั้นจะทำเป็นประการใดเล่า" แต่เมื่อแผนการเผาทัพแฮหัวตุ้นของขงเบ้งประสบความสำเร็จ กองทัพของแฮหัวตุ้นสูญเสียไพร่พลเป็นจำนวนมากที่ทุ่งพกบ๋อง ทำให้กวนอูยอมรับในสติปัญญาของขงเบ้งและยอมเชื่อฟังคำสั่งของขงเบ้งมาโดยตลอด

ภายหลังเล่าปี่ตั้งตนเองเป็นใหญ่ในเสฉวน สถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าฮันต๋ง ได้มอบหมายให้บิสีถือตรามาแต่งตั้งให้กวนอูเป็นทหารเสือที่เอกของเล่าปี่ โดยเหล่าทหารเสือประกอบไปด้วย กวนอู เตียวหุย จูล่ง ม้าเฉียวและฮองตง เมื่อกวนอูได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า "เตียวหุยก็เป็นน้องของเรา จูล่งเล่าก็ได้ติดตามพี่เรามาช้านานแล้ว ก็เหมือนหนึ่งเป็นน้องของเรา ฝ่ายม้าเฉียวเล่าก็เป็นชาติเชื้อตระกูลอยู่ แต่ฮองตงคนนี้เป็นแต่เชื้อพลทหารชาติต่ำ เป็นคนแก่ชราหาควรจะตั้งให้เสมอเราด้วยไม่ ซึ่งมีตรามาดังนี้หายังหายอมไม่ก่อน"

ก่อนที่กวนอูจะเสียเกงจิ๋วและพ่ายแพ้จนถูกประหารชีวิต ซุนกวนได้ส่งจูกัดกิ่นเป็นเถ้าแก่มาเจรจาสู่ขอบุตรสาวของกวนอูเพื่อแต่งงานกับบุตรชายของซุนกวน แต่กวนอูปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่าบุคคลผู้สืบทอดแซ่ซุนมาสามชั่วอายุคนนั้น ถึงแม้จะยิ่งใหญ่ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ด้วยตนเองจึงไม่นิยมและนับถือซุนกวน ถือคตีตีราคาค่าของตนเองยิ่งใหญ่กว่าซุนกวนด้วยถ้อยคำปฏิเสธการสู่ขอว่า "บุตรของเรานี้ชาติเชื้อเหล่าเสือ ไม่สมควรจะให้แก่สุนัข ท่านว่ามาดังนี้ ถ้าเรามิคิดเห็นแก่หน้าขงเบ้งน้องของท่าน เราก็จะฆ่าท่านเสีย อย่าว่าไปเลย" โดยที่กวนอูไม่ทันยั้งคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเล่าปี่และซุนกวน ซึ่งเล่าปี่มีฐานะเป็นราชบุตรเขยของแซ่ซุน อีกทั้งการปฏิเสธซุนกวนแบบไม่มีเยื่อใยของกวนอู กลายเป็นการสร้างชนวนให้ซุนกวนเป็นพันธมิตรกับโจโฉ ทำลายยุทธศาสตร์สามก๊กของขงเบ้งจนเป็นเหตุให้กวนอูพ่ายแพ้และเสียชีวิต

และเมื่อกวนอูได้รับคำสั่งจากเล่าปี่ให้คอยรักษาเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการทำศึกสงคราม แต่ด้วยความหยิ่งทรนงและเชื่อมั่นในฝีมือตนเอง กวนอูก็มิได้ใส่ใจปฏิบัติตามคำสั่งของขงเบ้งที่กล่าวว่า "ท่านจะอยู่ภายหลังนั้น จงจัดแจงระมัดระวังตัวข้างฝ่ายเหนือคอยสู้โจโฉให้ได้ ฝ่ายใต้นั้นท่านจงทำใจดีประนอมด้วยซุนกวนโดยปรกติ เมืองเกงจิ๋วจึงจะมีความสุข" จึงเป็นเหตุเสียเกงจิ๋วให้แก่ซุนกวนและทำให้ตนเองต้องเสียชีวิต


ครอบครัว
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์จีนระบุว่า กวนอูมีบุตรชายจำนวน 3 คนได้แก่กวนเป๋ง กวนหินและกวนสก โดยสันนิษฐานว่ากวนหินและกวนสกเป็นบุตรชายของกวนอูซึ่งเกิดจากภรรยาที่เล่าปี่เป็นผู้สู่ขอให้เมื่อคราวกวนอูครองเมืองเกงจิ๋ว โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์จีนไม่ปรากฏชื่อภรรยา กวนหินเป็นบุตรชายคนโต ปรากฏตัวในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊กภายหลังจากกวนอูและเตียวหุยเสียชีวิต แต่เดิมอยู่เมืองเกงจิ๋วร่วมกับกวนอู หลังจากกวนอูเสียชีวิตได้ติดตามเล่าปี่ออกทำศึกกับซุนกวนมาโดยตลอด และกวนสกซึ่งเป็นบุตรชายคนรอง ปรากฏตัวครั้งแรกเมื่อคราวช่วยขงเบ้งรบกับเบ้งเฮ็ก สำหรับกวนเป๋งเป็นบุตรบุตรธรรม แต่เดิมเป็นบุตรชายของกวนเต๋ง ได้พบกับกวนอูเมื่อคราวที่กวนอูและซุนเขียนนำกำลังทหารยี่สิบคนไปทางทิศเหนือใกล้กับเมืองกิจิ๋วเพื่อพบเล่าปี่

กวนอูได้ไปขอพักอาศัยในบ้านป่าแห่งหนึ่ง กวนเต๋งผู้เป็นเจ้าของบ้านได้ยินกิตติศัพท์และชื่อเสียงของกวนอูมานานจึงว่า "ท่านกับเราเป็นแซ่เดียวกัน แต่ก่อนนั้นเราก็ได้ยินลืออยู่ว่าท่านมีฝีมือกล้าหาญ ประกอบทั้งความสัตย์ซื่อ ซึ่งได้พบท่านนี้เป็นบุญของเรา" และนำกวนเป๋งและกวนเหล็งมาคำนับกวนอู โดยมอบกวนเป๋งบุตรชายคนเล็กให้เป็นบุตรบุญธรรมของกวนอูเมื่ออายุได้ 15 ปี โดยเล่าปี่เห็นเหมาะสมด้วยว่าขณะนั้นกวนอูยังไม่มีบุตรสืบสกุล หลังจากกวนเป๋งเป็นบุตรบุญธรรมของกวนอู ได้ติดตามเคียงข้างกวนอู ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ช่วยทำศึกตลอดเวลา เมื่อคราวที่กวนอูถูกจับได้ที่เขาเจาสัน กวนเป๋งวิ่งเข้าไปหาหมายจะช่วยเหลือกวนอู แต่ถูกจูเหียนคุมทหารเข้าล้อมจับตัวได้ก่อนถูกประหารชีวิตพร้อมกับกวนอู



อาวุธ

กวนอูมีอาวุธประจำกายคือง้าวรูปจันทร์เสี้ยว สร้างขึ้นเมื่อคราวเล่าปี่ กวนอูและเตียวหุยออกเกลี้ยกล่อมราษฏร รวบรวมกำลังไพร่พลจัดตั้งกองทัพออกต่อสู้กับโจรโพกผ้าเหลือง ได้มีพ่อค้าม้าชื่อเตียวสิเผงและเล่าสงได้ร่วมบริจาคม้าจำนวนห้าสิบ เงินห้าร้อยตำลึงและเหล็กร้อยหาบสำหรับสร้างเป็นอาวุธจำนวนมาก เล่าปี่ให้ช่างตีเหล็กเป็นกระบี่คู่แบบโบราณ เตียวหุยให้ช่างตีเหล็กเป็นทวนรูปร่างลักษณะคล้ายงู

สำหรับกวนอูให้ช่างตีเหล็กเป็นง้าวขนาดใหญ่รูปจันทร์เสี้ยว ประดับลวดลายมังกรขนาดความยาว 11 ศอกหรือประมาณ 3 เมตร 63 เซนติเมตร หนัก 82 ชั่งหรือประมาณ 65.6 กิโลกรัม มีชื่อเรียกเฉพาะว่า ชิงหลงเหยี่ยนเยฺว่เตา (จีนตัวเต็ม: 青龍偃月刀; พินอิน: qīnglóng yǎnyuèdāo) หรือง้าวมังกรเขียว (บ้างเรียกง้าวมังกรจันทร์ฉงาย)  ตลอดระยะเวลาในการตรากตรำทำศึกสงครามร่วมกับเล่าปี่และเตียวหุย กวนอูใช้ง้าวมังกรเขียวเป็นอาวุธประจำกายตลอดเวลาจนกระทั่งเสียชีวิต

เมื่อคราวโจโฉทำศึกกับตั๋งโต๊ะ กวนอูใช้ง้าวมังกรเขียวตัดคอฮัวหยงมาให้โจโฉที่หน้าค่ายด้วยความรวดเร็ว โดยที่ยังไม่จบเพลงรบและเหล้าที่โจโฉอุ่นมอบให้แก่กวนอูยังคงอุ่น ๆ สังหารงันเหลียงและบุนทิว สองทหารเอกของอ้วนเสี้ยวในคราวศึกตำบลแป๊ะแบ๊ด้วยง้าวมังกรเขียวในเพลงเดียวเช่นกัน ตลอดระยะเวลาการทำศึกกวนอูไม่เคยห่างจากง้าวมังกรเขียว เมื่อเล่าปี่ให้กวนอูไปกินตำแหน่งเจ้าเมืองเกงจิ๋วร่วมกับกวนเป๋งและจิวฉอง โดยจิวฉองรับหน้าที่ดูแลรักษาง้าวมังกรเขียวและถือแทนกวนอู เมื่อซุนกวนให้โลซกทางเกงจิ๋วคืนจากเล่าปี่ โลกซกได้เชิญกวนอูไปกินโต๊ะที่ค่าย ณ ปากน้ำลกเค้า จิวฉองก็คอยติดตามถือง้าวมังกรเขียวเคียงข้างกวนอูตลอด

เมื่อคราวที่กวนอูพลาดท่าเสียทีลิบองและลกซุนจนถูกล้อมอยู่ที่เมืองเป๊กเสีย ก่อนจะนำกำลังทหารจำนวนร้อยคนหักตีฝ่าออกมาจนถูกจับตัวได้พร้อมกับกวนเป๋งและถูกประหารชีวิตในภายหลัง ง้าวของกวนอูถูกพัวเจี้ยงยึดเอาไปใช้ แต่กวนหินบุตรชายของกวนอูเป็นผู้สังหารพัวเจี้ยงและนำง้าวของกวนอูกลับคืนมา


อาจจะไม่ค่อยน่าสนใจสักเท่าไหร่ แต่เต็มใจนำเสนอครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B9#.E0.B8.9B.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B8.A7.E0.B8.B1.E0.B8.95.E0.B8.B4

ขอบคุณครับ

184
คาถาอาคม / คาถาบูชาเทพกวนอู
« เมื่อ: 21 ธ.ค. 2552, 05:47:09 »
เสิน ปิง ฮั่ว จี๋ หยู เสิน ลิ่ง ฝ่า หมึน ตี้ จื่อ จวน ไป้ ฉิ่ง

กวน เซิ่น ตี้ จวิน ซู่ เจี้ยง หลิน ซาน กั๋ว จือ สือ หลง หู่ เจียง

อวี้ ตี้ ชื่อ อู๋ โซ่ว เทียน หมึน อู๋ เฟิ่ง อวี้ ตี้ ชิง ชื่อ จื่อ

อิ๋ว เต้า เหลิน เจียน จิ้ว ว่าน หมิง เทียน ปิง เม่ง เจียง สุ่ย อู๋ จวน

ลิ่ว ติง ลิ่ว เจี่ย จีย อู๋ หมิง เซิน ฉี ชื่อ หม่า อิ๋ว วื่อ เจีย

อิง เซี้ยง เม่ง เจียง เพียน เทียน เซี้ย เซียง ฉิ่ง กวน เซิ่น ต้า ตี้ จวิน

โซ่ว จื่อ ต้า เตา จัน เยา เสีย เวย หลิน เสี่ยง เฮอ จั่น เสิน ทง

โจว ฉัง เล่า แย่ เจิน เสี้ยน เซิ่ง เฮอ เซิ่ง ผี่ หลิง เจิ้น ซัน เหอ

อิง เซี้ยง เสิน เจียง ซื่อ โจว ฉั่ง ชุน ชิว อี้ โหย่ง อู๋ ซวง สือ

จง ซิน อี้ ฉี่ เจิน เฉียน คุณ ฝู จู้ หลิว เป้ย ต้า เจี๋ย อี้

หลิว ฉวน ว่าน ซื่อ ฉวน กู่ จิน ตัน ฉี เหวิน โฉ่ว จั่น เสียง เหลียน

ซ่าง หม่า ปอ ไค เชียน ว่าน เจียง อิง เซี้ยง อี้ ฉี่ จั่น เสิน ทง

โซ่ว เจีย ชิง หลง เอี่ยน แย่ เตา จิ่น ฉิ่ง เปิ่น ถาน กวน เซิ่น ตี้

ซื่อ เฟิ่ง อี โหย่ง อู๋ อัน หวัง
คำบูชากวนกง(กวนอู) แบบย่อ
นำ มอ ไต่ ชื้อ ไต่ ปุย ฮก หมอ ไต่ ตี่ เต็ก เต็ก เสี่ย จี๋ เสียง โก้ว ฮุก เง็ก อ้วง ไต่ เทียน จุน ฯ
( สวดถวาย 9 จบ )
คำแปล.. ขอนอบน้อมแด่องค์พระจอมฟ้าเง็กเซียนฮ่องเต้ ผู้เป็นมเหศักดิ์เทพ เต็มเปี่ยมด้วยพระมหาเมตตากรุณาธิคุณอันไพศาล สูงส่งด้วยพุทธเดชไพบูลย์ ขอได้โปรดเกื้อกูลอนุเคราะห์แก่สรรพสัตว์ด้วยเถิด ฯเชื่อกันว่ากวนกง(กวนอู) เป็นพระภาคหนึ่งขององค์เง็กเซียนฮ้องเต้จุติลงมาโปรดสัตว์ 




เห็นน่าสนใจดีครับ เลยนำมาฝากกัน ขอบคุณข้อมูลจาก ใบคาถาสวดมนต์ของจีน ขอบคุณครับ

185


ครูบาเหนือชัย โฆสิโต วัดถ้ำอาชาทอง ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน จ.เชียงราย

ปุจฉาวิสัชชนา ครูบาเหนือชัย... “นักบุญแห่งขุนเขา”

ภาพ "พระเณรขี่ม้าออกบิณฑบาต" นำโดย "ครูบาเหนือชัย โฆสิโต" นอกจากสร้างความประทับใจต่อ พุทธศาสนิกชนไทยแล้ว ยังกระฉ่อนโด่ง ดังไปทั่วโลก เหตุที่พระ เณรและลูกศิษย์ต้องขี่ม้าบิณฑบาต เนื่องจาก สำนักอยู่ห่างไกลจากชุมชน และถนนหนทางยังไม่สะดวก การใช้ม้าจึง มีความสะดวกในการเดินทาง กว่า ๑๐ ปี ของการออกธุดงค์ เผยแผ่หลักคำสอนของพระพุทธเจ้าตาม ชายแดนไทย-พม่า โดยไม่แบ่งชาติพันธุ์ ในที่สุดท่านก็ได้รับการขนาน นามว่า "นักบุญแห่งขุนเขา"

นอกจากจะมีชื่อเสียงในรูปแบบและวิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแล้ว นักบุญแห่งขุนเขายังมีชื่อ เสียงใน เรื่องของเครื่องรางของขลัง ด้านอยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยมและเกี่ยวกับการค้าขาย ให้มีความเจริญก้าวหน้า ร่ำรวยอีกด้วย จนเป็นที่กล่าวขวัญของบรรดาชาวบ้านและพุทธศาสนิกชน ทั้งในเมืองไทย และประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนจะดีเพียงใดนั้น ต่อไปนี้คือบทสัมภาษณ์แบบ “คม ชัด ลึก”

"คำว่า “นักบุญแห่งขุนเขา” ใครเป็นผู้ตั้งให้ครับ ?"

“นักบุญแห่งขุนเขา” ฉายานี้ได้มาจากเจ้าหน้าที่ที่ร่วมงานกันในโครงการ “มิตรมวลชน คนชาย แดน” ส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ทหารจากกองกำลังเฉพาะกิจ กรมการทหารราบที่ ๑๗ กองพันที่ ๓ (ฉก.ร.๑๗ พัน ๓) ตั้งให้ เพราะเห็นว่าเราเป็นพระที่ใช้ชีวิตอยู่ในป่า เผยแผ่ธรรมะอยู่ในป่า"

"การตั้งสำนักปฏิบัติธรรมถ้ำป่าอาชาทองมีที่มาที่ไปอย่างไรครับ ?"

"ครูบาเผยแผ่ธรรมะอยู่ในป่า มานั่งวิปัสสนากรรมฐานอยู่หน้าถ้ำป่าอาชาทองแห่งนี้ มีชาวบ้านมา ถวายภัตตาหาร และมาทำบุญบ่อยๆ ก็เลยมีคนบอกว่าน่าจะตั้งเป็นวัดดีกว่า ประกอบกับท่านเจ้า ประคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จสังฆราช องค์ปัจจุบัน มีดำริให้ดำเนินโครงการ "บวร" พุทธ ศาสนา อันหมายถึง บ คือ บ้าน ว คือ วัด ร คือ โรงเรียน เป็นการนำหลักธรรมเผยแผ่ให้ครบทั้งสาม สถาบัน"

"ที่สำนักปฏิบัติธรรมมีพระเณรและเด็กวัดเท่าไรครับ ?"

"พระ ๔ รูป สามเณร ๑๗ รูป และมีเด็กในอุปการะอีก ๒๐ คน เด็กที่รับอุปการะส่วนใหญ่เป็นเด็ก กำพร้าพ่อแม่ เพราะติดคุกเรื่องยาเสพติด บางคนพ่อแม่เสียชีวิต ก็เพราะไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ก็เลยรับอุปการะเด็กๆ เหล่านี้ไว้ แล้วส่งให้เรียนหนังสือและช่วยทำงานต่างๆ ในสถานปฏิบัติธรรม เช่น เลี้ยงม้า ทำความสะอาด รวมถึงหัดแม่ไม้มวยไทย ให้เด็กๆ ด้วย"

"ปัจจัยส่วนใหญ่ได้มาจากไหนครับ ?"

"ส่วนใหญ่เป็นเงินรายได้ที่คนมาบูชาเครื่องรางของขลัง วัตถุมงคลต่างๆ อีกทางหนึ่งได้มาจากการ ขายปุ๋ยอินทรีย์คือ ปุ๋ยที่ได้จากม้า เด็กๆ ก็จะมีรายได้จากการทำงานด้วย วันหยุดเสาร์อาทิตย์ เด็กๆ จะมีรายได้วันละ ๑๐๐ บาท เอาไว้เป็น เงินค่าขนมตอนไปโรงเรียน"

"นอกจากนั้นยังมีการชกมวยทุกๆ วันเสาร์ การชกมวยไม่เหมือนมวยตู้ ไม่มีการพนัน ชกจบมีค่าขนม ให้ทั้งคู่ คนชนะ ได้ ๗๐๐ บาท คนแพ้ได้ ๓๐๐ บาท เป็นการฝึกให้เด็กๆ ออกกำลัง แต่ไม่สนับสนุน ให้เด็กๆ ชกมวยหาเงินนะเพราะเป็น การพนัน เด็กจะเสียคน อีกอย่างผิดวัตถุประสงค์ของมวยที่ฝึก ในวัด คือ มวยคู่แผ่นดิน ใช้สำหรับป้องกันตัว"

"ความคิดเรื่องขี่ม้าออกบิณฑบาตมาจากไหนครับ ?"
 
"ครั้งแรกเลยไม่เคยมีความคิดจะใช้ม้าในการออกรับบิณฑบาตหรอก แต่มีชาวบ้านบนขอให้หายป่วย พอหายป่วยก็ เลยเอาม้ามาแก้บน ครูบาเห็นว่าเราอยู่ในป่าเขา ใช้ม้าเป็นพาหนะ ย่อมมีความสะดวกกว่า ม้าไม่ต้องใช้น้ำมันด้วย ก็เลย ใช้ม้ามาตั้งแต่ตอนนั้น"

"ม้าตัวแรกได้มาจากไหนครับ ?"

"ก็ชาวบ้านเอาม้ามาแก้บนไง เลยต้องเลี้ยงไว้เพราะเขาเอามาถวาย เราเป็นพระไม่รับก็ไม่ได้ การขี่ม้าเพื่อออกบิณฑบาต นั้นก็เพราะแต่ละหมู่บ้านอยู่ห่างไกลกันมาก ต้องข้ามเขาเป็นลูกๆ การเดินด้วยเท้าจะลำบาก ยิ่งหน้าฝนทางเดินลื่นมาก ใช้ม้าช่วยให้การออกรับบาตรสะดวกขึ้น และยังช่วยให้การเผยแผ่หลักธรรมตามหมู่บ้านชาวเขาในแนวชายแดนที่ห่างไกล ได้สะดวกขึ้นด้วย ส่วนความเหมาะสมหรือไม่ที่พระขี่ม้า เห็นว่าน่าจะดูที่การปฏิบัติกิจของสงฆ์มากกว่า ครูบาได้ใช้ม้าเพื่อเผย แผ่ศาสนาในโครงการ "มิตรมวลชน คนชายแดน" ที่สมเด็จพระสังฆราชทรงรับเป็นองค์สังฆราชูปถัมถ์โครงการนี้ด้วย

"การฝึกให้พระเณรขี่ม้านี่ยากไหมครับ ?"

"ของแบบนี้ต้องใช้เวลา เริ่มตั้งแต่ให้พระและเณรเลี้ยงม้าเอาหญ้ามาเป็นอาหารของม้า ม้าของพระเณรรูปใด พระเณร รูปนั้นจะต้องเป็นคนดูแลเอง เมื่อทำความคุ้นเคยแล้วก็จะเริ่มหัดขี่ม้าได้ไม่ยากหรอก สามเณรที่นี่อายุ ๑๐ ปี ก็ขี่ม้าเป็นแล้ว"

"ใครเป็นผู้ตั้งชื่อม้าครับ ?"

"ชื่อม้าแต่ละตัวที่เห็นนั้น สมเด็จพระสังฆราช ทรงพระเมตตา ประทานชื่อให้ ครูบาไม่ได้ ตั้งเองหรอก จำได้ทุกตัว ตัวแรกชื่อ เพชรเทวดา อาชาทอง หนุ่ม โพธิ์ชัย อาเธอร์ ส่วนตัวที่เห็นนี่ ชื่อคชสีห์อาชาทอง ปัจจุบันที่นี่มี ม้าทั้งหมด ๒๐๐ ตัว ตอนหลัง นอก จากม้า ๒๐๐ ตัวแล้ว ก็ยังมี ไก่อีกประมาณ ๑,๐๐๐ ตัว ช้าง ๙ เชือก วัว ๑๕ ตัว และควายอีก ๑๖ ตัว"

"ใช้ม้าออกรับบิณฑบาตแล้วชาวบ้านว่ายังไงบ้างครับ ?"

"ชาวบ้านไม่ว่าอะไรหรอก เขาอยู่ในพื้นที่ เขารู้เขาเห็นเขาเข้าใจถึงเหตุผล แต่หลังจากที่เป็นอันซีน ไทยแลนด์นี่แหละ มีเสียงสะท้อนออกมา ทั้งดีบ้างไม่ดีบ้าง บางท่านก็ว่าไม่เหมาะสม"

"ครูบาสักยันต์เพื่ออะไรครับ ?"

"ไม่มีคำว่ากลัวตายหรอก ตายไวเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น เพราะถ้ามีชีวิตอยู่ยิ่งนานเท่าไรก็ต้องแบกรับ ภาระทุกอย่างไว้ เหตุที่ครูบาสักยันต์เต็มตัวนี่เพื่อประกาศให้ทุกคน รวมทั้งโยมผู้หญิง (เมีย) รู้ว่าเรา ได้มอบร่างกายและจิตใจเพื่อพระพุทธศาสนาแล้ว เพราะในเมื่อใจเรามุ่งไปในพุทธรรมแล้วก็เหมือน ได้ตายจากทางโลก รอยสักที่เห็นตามร่างกายก็คือคำสอนในพุทธศาสนา"

"รู้สึกอย่างไรที่ ททท.มาโปรโมทท่านเพื่อการท่องเที่ยว ?"

"เรื่องนี้ก็ใช้เวลาคิดอยู่นานเหมือนกันคือประมาณปี ๒๕๔๕ มีเจ้าหน้าที่จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เขาเข้ามาสำรวจ เขาเห็นว่าแปลกดี ต้องการ สนับสนุนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เราก็ยังไม่ตกลงเพราะเราต้องการความ สงบมากกว่า เราไม่อยาก ดังหรอก"

"เพราะอะไรถึงตกลงเข้าร่วมโครงการได้ล่ะครับ ?"

"ก็พอดีปี ๒๕๔๕ เขามาสำรวจ เราไม่ตอบตกลง เขาก็ติดต่อมาอีกหลายครั้ง แล้วอีกประมาณ ๒ ปีได้ คือปี ๒๕๔๗ เราก็มานั่งคิดว่าถ้าต้องการให้ชาวบ้านมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เห็นว่าการท่อง เที่ยวนี่แหละที่จะช่วยให้ชาวบ้านมี ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้เร็วกว่าวิธีอื่น เพราะถ้ากลายเป็นแหล่ง ท่องเที่ยว ชาวบ้านก็สามารถขายของได้ มันเร็วกว่าที่ จะไปทำไร่ทำนา ก็เลยจัดสินใจเข้าร่วมเป็น อันซีน ไทยแลนด์"

"การปฏิบัติธรรมยังเหมือนเดิมหรือเปล่าครับ ?"

"เรายังปฏิบัติเหมือนเดิม แต่ก็ต้องเพิ่มเวลาที่ใช้ปฏิบัติธรรมเพิ่ม เพราะเวลาที่มีญาติโยมมาพบก็จะมีเวลา ปฏิบัติธรรมน้อยลง"

"ที่ว่าใช้เวลาเพิ่มนี่ ครูบาทำอย่างไรครับ ?"

"เวลาที่ใช้ในการปฏิบัติธรรมก็ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เคยใช้เวลาในการปฏิบัติเท่าไรก็ให้เวลา เหมือนเดิม จนบางคืนต้องนอนดึกกว่าปกติ ส่วนพื้นที่ใน สถานปฏิบัติธรรมก็ต้องมีการแบ่งเขต เป็นส่วนฆราวาสและส่วนสงฆ์ ให้เป็นสัดส่วน"

"ครั้งหนึ่งท่านเคยถูกรุมทำร้ายระหว่างเผยแผ่ธรรมจริงหรือเปล่าครับ ?"

"เป็นความจริง เหตุเกิดที่บ้านหัวแม่คำ มีคนมาทำร้ายประมาณ ๔๐ คน แต่ก็เอาตัวรอดมาได้"

"แสดงว่ามีของขลังเลยรอดมาได้สิครับ ?"

"(หัวเราะ) ไม่ใช่ด้วยของขลัง แต่เป็นเพราะมีสติและใช้วิชาความรู้ที่ได้เรียนมา เลยเอาตัวรอด"

"วิชาอะไร แล้วครูบาทำอย่างไรครับ ?"

"วิชาแม่ไม้มวยไทย แต่ไม่ได้หมายความว่าครูบาสู้กับคน ๔๐ คนนะ อาศัยว่าวันนั้นกำลังปฏิบัติธรรมอยู่ เราก็จุดเทียนใช้ตอนกลางคืน เมื่อมีคนเข้ามาเราก็ใช้วิธีดับเทียน ทีนี้มันก็มืดใช่ไหม แล้วคนตั้ง ๔๐ คน มองอะไรก็ไม่เห็น เราก็หมอบลงอยู่กับพื้นเฉยๆ นี่แหละ บาง คนก็วิ่งชนกัน ชกกันเอง กลายเป็นพวกเดียวกัน จัดการกันเอง ก็เลยกลายเป็นที่เล่าขานกันมาจนทุกวันนี้"

"มีเหตุหนักกว่านี้ถึงขนาดมีคนจ้องทำร้ายถึงขั้นยิง วางยาสั่งกันเลย จริงหรือเปล่าครับ ?"

"เรื่องนี้ไม่เคยคุยกับใครเลยนะ รู้มาจากไหน ครูบาเป็นพระป่า อยู่ในพื้นที่นี้ ซึ่งก็ทราบกันดีว่าเป็น พื้นที่ ชายแดน และก็ต่อต้านเรื่องยาเสพติดอยู่แล้ว เราก็อาจจะไปขวางทางใครเข้าก็ไม่ทราบ เลย โดน ครูบาก็มีครูบาอาจารย์ เขาใช้วิธี ฟัน แทง ยิง ไม่ได้ผล ก็เลยโดนยาสั่ง ตอนปลายปี ๒๕๔๓ แทบแย่ ตอนนี้ก็ยังรักษาตัวอยู่เลย ร่างกาย ก็ฟื้นมาได้ซัก ๘๐ เปอร์เซ็นต์"

"ครูบาโดนยาสั่งได้อย่างไร และมีอาการอย่างไรบ้างครับ ?"

"มีศรัทธามาทำบุญตักบาตร เราก็นำมาฉัน ก็เลยรู้ว่าโดนยาสั่ง เวลาโดนจะอาเจียนออกมา ครั้งนั้น เต็มถังน้ำ อาเจียนจนหมดแรงเลย ก็ต้องใช้วิธีนั่งเข้ากรรมฐานแก้พิษ"

"แล้วยาสั่งนี้เขาทำกันอย่างไรครับ ?"

"เขาก็จะใช้หมูตัวผู้มาทำยาสั่ง เริ่มด้วยเลี้ยงหมูด้วยพิษจากงู เห็ด ว่านต่างๆ หรือคางคก เอาให้กิน ทีละน้อยๆ พอโตได้ที่ก็ฆ่า แล้วนำไปย่างไฟแดง ๗ วัน ๗ คืน แล้วนำมาตากน้ำค้างอีก ๗ วัน ๗ คืน เสร็จแล้วนำมาบดให้ละเอียด แล้วก็ปลูกฟักแฟงในป่าช้า เอาเมล็ดออกแล้วนำผงที่ได้จากหมูมายัด ใส่แทนจนลูกฟักลูกแตงตาย แล้วจึงเอาลูกฟัก ลูกแตง ไปทำพิธีบนกิ่งไม้ใหญ่ เวลาทำพิธีต้องอยู่ เหนือลม เวลานำฟัก แตงมากินก็จะเกิดอาการทันที"

"เครื่องรางของขลังของครูบาที่สร้างขึ้นมีกี่อย่างครับ ?"

"ก็จะมีประเภทอยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยม ค้าขายรุ่งเรือง ส่วนใหญ่จะนิยมเรื่องอยู่ยงคง กระพัน เพราะคน ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ชายแดน"

"ของขลังของครูบาดีดีด้านไหนครับ ?"

"เครื่องรางของขลังปลุกเสกขึ้นเพื่อเอาไว้ใช้ป้องกันตัว คนที่นำติดตัวต้องมีพุทธรรมอยู่ในใจจึงจะ เกิดผล แต่หากคิดไม่ดี ทำไม่ดี พุทธะไม่อยู่กับตัว และหลักพุทธรรมก็เป็น หลักธรรมที่ใช้เผยแผ่ ให้กับพุทธศาสนิกชนทั่วไป ครูบาจะบอกเสมอว่าพุทธะอยู่ที่ตัวเรา หากกินเหล้าก็เหมือนกับเราเอา เหล้ามารดพระที่อยู่ในตัวเรา หากเราคิดจะ ฆ่าผู้อื่นก็เหมือนเราคิดจะฆ่าพระในตัวเรา แล้วอย่างนี้ พระจะอยู่กับเราได้อย่างไร เครื่องรางจะขลังได้อย่างไร"

"เรื่องการสอนศิลปะมวยไทยมีมาตั้งแต่ตอนไหนครับ ?"

"เดิมครูบาเผยแผ่ศาสนาให้กับชาวเขาตามแนวตะเข็บชายแดน มีลูกศิษย์มากมาย และได้ออกติด ตามครูบา เพื่อช่วยในเผยแผ่ศาสนาในหลายพื้นที่ ซึ่งบางพื้นที่เราไม่สามารถที่จะคาดเดาได้ว่าเขา คิดอะไรกับเราอย่างไร ซึ่งลูกศิษย์บางคนก็ถูกทำร้ายร่างกายกลับมา ครูบาจึงได้ถ่ายทอดวิชาศิลปะ มวยไทยที่ตนเองได้รับการถ่ายทอดมา จากบรรพบุรุษ และอาจารย์อีกหลายท่านก่อนที่ครูบาจะบวช เป็นพระได้เคยร่ำเรียนมาจากบรรพบุรุษ เป็นวิชาที่ สืบทอดมาจากบุคคลที่เป็นทหารในการรักษา ขาช้างที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงช้างออกไปทำศึก จึงเป็นศิลปะที่มี ความแข็งแกร่ง ยากที่จะมีผู้ที่ ต่อกรแต่อย่างไร"

"ทำไมครูบามีความคิดที่จะฝึกสอนมวยให้กับเด็กๆครับ ?"

"อยากให้เด็กๆ ที่อยู่ในพื้นที่และเด็กกำพร้าที่รับอุปการะไว้ มีวิชาความรู้เกี่ยวกับแม่ไม้มวยไทย เอาไว้ป้องกันตนเอง ป้องกันประเทศชาติก่อนจะฝึกทุกคนต้องบวชก่อน เพื่อจะได้ซึมซับหลักธรรม และมีธรรมะอยู่ในใจ การฝึกเป็นการฝึก แม่ไม้มวยไทยคู่แผ่นดิน ไม่ต้องการให้ฝึกเพื่อไประรานผู้อื่น"
 
 

ชาติภูมินักบุญแห่งขุนเขา

นายเสมอ ใจปินตา เป็นชื่อและสกุลเดิมของ ครูบาเหนือชัย โฆสิโต เจ้าอาวาสสำนักปฏิบัติธรรมถ้ำป่าอาชาทอง ต.ศรีค้ำ อ.แม่จัน จ.เชียงราย ปัจจุบันอายุ ๔๓ ปี พรรษา ๑๔ เกิดเมื่อวัน จันทร์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๐๕ ปีขาล บิดาชื่อ สามยอด มารดาชื่อ น้อย เป็นบุตรชายคนโตในจำนวนพี่น้อง ๓ คน

โยมพ่อและโยมแม่พื้นเพเป็นคนเชื้อสายยอง ซึ่งบรรพบุรุษ อพยพมาจาก จ.ลำพูน โยมแม่เป็นคนมีลูกยากจึงไป ขอลูกจากพระธาตุดอยตุง เมื่อกลับมาถึงบ้านคืนหนึ่งโยมแม่ฝันว่ามีม้าสีขาวมารับ แล้วพาท่องไปทั่วจักรวาล สักพักหนึ่ง จึงท้อง แล้วคลอดครูบาเหนือชัยขึ้นมา

สมัยเป็นเด็กเลี้ยงยาก ร้องไห้ตลอดเวลา จึงไปหาหมอดูประจำเผ่า ได้รับคำ แนะนำว่าให้ใช้ช้างและม้ามารับขวัญ ทำให้โยมพ่อซึ่งขณะนั้นไม่มีเงิน แต่ด้วยความเป็น พ่อจึงได้ออกกุศโลบายนำ ถ่านที่ใช้หุงต้มมาเขียนเป็นรูปช้างและม้าติดไว้ที่ฝาผนังบ้าน แล้วบอกกับ ครูบาว่า นี่เป็นช้างกับม้าที่พ่อซื้อมารับขวัญ หลังจากนั้นมาก็กลายเป็นเด็กเลี้ยงง่าย

ครูบาเหนือชัย จบชั้น ป.๗ จากโรงเรียนบ้านแม่คำชั้น และจบชั้น ม.ศ.๕ จากโรงเรียนแม่จันวิทยา คม จากนั้น เดินทางไปศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ โดยเข้าเรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง แต่ศึกษาถึงปีที่ ๓ ก็ต้องลาออก เพื่อกลับมาช่วยงานที่บ้านเนื่องจากบิดาป่วย

ในวัยเด็ก ครูบาเหนือชัยมีความสนใจในเรื่องพระพุทธศาสนามาก เพราะเป็นคนที่ชอบใช้ชีวิตอยู่ สองแห่ง คือ หากไม่อยู่ที่วัดก็จะอยู่ตามทุ่งนาเพื่อฝึกสมาธิ ชอบเข้าหาพระธุดงค์และหนาน (ทิด) โดยศึกษาธรรมกับเจ้าอาวาสวัดแม่คำ ขณะเดียวกันก็มีความสนใจและศึกษาศิลปะการป้องกันตัว ตามตำรา “อัฏมาศ” หรือที่รู้จักกันในชื่อการต่อสู้ตามแบบ กองกำลังจตุรงคบาท ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทำให้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องกระบี่ กระบอง พลองไทย และแม่ไม้ มวยไทย

เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๓๕ ได้อุปสมบท ณ อุโบสถวัดล้านตอง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย โดยมี ครูบาทองสืบ วิสุทธจาโร เจ้าอาวาสวัดล้านตอง เป็นพระอุปัชฌาย์ ศึกษาธรรมโดยการออกธุดงค์อยู่ ในป่าเขาตามแนวชายแดน และปฏิบัติธรรมอยู่บริเวณถ้ำป่าอาชาทอง จึงได้ตั้งสำนักปฏิบัติธรรมถ้ำ ป่าอาชาทองขึ้นจนถึงปัจจุบัน




ข้อมูลจาก http://www.amulet.in.th ขอบคุณครับ

186


ประวัติพระสีวลีเถระเจ้า

พระสีวลี เป็นโอรสของพระนางสุปปวาสา ราชธิดาแห่งโกลิยนคร ตั้งแต่ท่านจุติลงถือปฏิสนธิในครรภ์ของพระมารดา ได้ทำให้ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่พระมารดาเป็นอันมาก ท่านอาศัยอยู่ในครรภ์ ของพระมารดา นานถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ครั้นเมื่อใกล้เวลาจะประสูติ พระมารดาได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า พระนางจึงขอให้พระสวามีไปกราบบังคมทูลขอพร จากพระบรมศาสดาและพระพุทธองค์ตรัสประทานพรแก่พระนางว่า:

“ขอพระนางสุปปวาสา พระราชธิดาแห่งพระเจ้ากรุงโกลิยะ จงเป็นหญิงมีความสุข
ปราศจากโรคาพยาธิ ประสูติพระราชโอรสผู้หาโรคมิได้เถิด”

ด้วย อำนาจแห่งพระพุทธานุภาพ ทุกขเวทนาของพระนางก็อันตรธานไป พระนางประสูติพระราชโอรสอย่างง่ายดาย ดุจน้ำไหลออกจากหม้อ พระประยูรญาติทั้งหลายได้ขนานพระนามพระราชโอรสของพระนางสุปปวาสาว่า “สีวลีกุมาร” เมื่อพระนางมีพระวรกายแข็งแรงดีแล้ว มีพระประสงค์ที่จะถวายมหาทานติดต่อกันเป็นเวลา ๗ วัน จึงจึงความประสงค์แก่พระสวามีให้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุ สงฆ์ มารับมหาทานอาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวสน์ ตลอด ๗ วัน ในวันถวายมหาทานนั้น สีวลีกุมาร มีพระวรกายเข้มแข็งดุจกุมารผู้มีพระชนม์ ๗ พรรษา ได้ช่วยพระบิดาและพระมารดาจัดแจงกิจต่าง ๆ มีการนำธมกรก (ธะมะกะหรก = กระบอกกรองน้ำ) มากรองน้ำดื่มและอังคาสพระบรมศาสดาและหมู่พระภิกษุสงฆ์ ในขณะที่สีวลีกุมาร ช่วยพระบิดาและพระมารดาอยู่นั้น ท่านพระสารีบุตรเถระได้สังเกตดูอยู่ตลอดเวลา และเกิดความรู้สึกพอใจในพระราชกุมารน้อยเป็นอย่างมาก ครั้นถึงวันที่ ๗ ซึ่งเป็นวันสุดท้าย พระเถระได้สนทนากับสีวลีกุมารแล้วชักชวนให้มาบวช สีวลีกุมาร ผู้มีจิตน้อมไปในการบวชอยู่แล้ว เมื่อพระเถระชักชวน จึงกราบทูลขออนุญาตจากพระบิดาและพระมารดา เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงติดตามพระเถระไปยังพระอารามพระสารีบุตรเถระ ผู้รับภาระเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้สอนพระกรรมฐานเบื้องต้น คือ ตจปัญจกกรรมฐานทั้ง ๕ ได้แก่ เกสา(ผม) โลมา(ขน) นขา(เล็บ) ทันตา(ฟัน) ตโจ (หนัง) ให้พิจารณาของทั้ง ๕ เหล่านี้ว่าเป็นของไม่งานเป็นของสกปรก ไม่ควรเข้าไปยึดติดหลงใหลในสิ่งเหล่านี้ สีวลีกุมาร ได้สดับพระกรรมฐานนั้นแล้วนำไปพิจารณาในขณะที่กำลังจรดมีดโกนเพื่อโกนผม ครั้งแรกนั้นท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๒ ท่านได้บรรลุเป็นพระสกทาคามี จรดมีดโกนลงครั้งที่ ๓ ท่านได้บรรลุเป็นพระอนาคามี และเมื่อโกนผมเสร็จ ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

เมื่อ ท่านอุปสมบทแล้วปรากฏว่าท่านเป็นพุทธสาวกที่มีลาภสักการะมากมาย ด้วยอำนาจบุญบารมีของท่านที่สั่งสมมา ลาภสักการะเหล่านี้ได้เผื่อแผ่ไปยังพระสงฆ์สาวกท่านอื่น ๆ ด้วย แม้พระบรมศาสดาเมื่อทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์เสด็จทางไกลกันดาร ถ้ามี พระสีวลี ร่วมเดินทางไปด้วย ความขาดแคลนอาหารและที่พักอาศัยในระหว่างทางก็จะไม่เกิดขึ้นแก่หมู่ภิกษุ สงฆ์เลย เช่น....

สมัย หนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จำนวน ๕๐๐ รูปไปเยี่ยมพระเรวตะผู้เป็นน้องชายของพระสารีบุตรเถระ ซึ่งจำพรรษาอยู่ ณ ป่าไม้ตะเคียน เมื่อเสด็จมาถึงทาง ๒ แพร่ง พระอานนท์เถระได้กราบทูลสภาพหนทางว่า.....

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเสด็จไปทางอ้อม ระยะทางไกล ๖๐ โยชน์ มีประชาชนอยู่อาศัยมาก พระภิกษุไม่ลำบากด้วยภิกขาจาร แต่ถ้าเสด็จไปทางลัดระยะทางประมาณ ๓๐ โยชน์ ไม่มีประชาชนอยู่อาศัย มีสภาพเป็นป่าใหญ่ มีแต่อมนุษย์อยู่อาศัย พระภิกษุสงฆ์จะลำบากด้วยภิกขาจาร”

พระพุทธองค์ ตรัสถามว่า:-

“ดูก่อนอานนท์ พระสีวลีมากับเราด้วยหรือไม่?”
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเสวลีมากับเราด้วย พระเจ้าข้า”

พระพุทธองค์ ตรัสว่า:-


“ดูก่อนอานนท์ ถ้าอย่างนั้นก็จงไปทางลัด ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลด้วยอาหาร
บิณฑบาต เพราะเทวดาทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ในป่าระหว่างทาง จะจัดสถานที่พักและอาหารบิณฑบาตไว้ถวายพระสีวลีผู้เป็นที่เคารพนับถือของพวกตน เราทั้งหลายก็จะได้อาศัยบุญของพระสีวลี นั้นด้วย”


ได้รับยกย่องในทางผู้มีลาภมาก

ด้วย อำนาจบุญที่ท่านพระสีวลี ได้บำเพ็ญสั่งสมอบรมมาตั้งแต่อดีตชาติ เป็นปัจจัยส่งผลให้ท่านเจริญด้วยลาภสักการะ โดยมีเทพยาดา นาค ครุฑ และมนุษย์ทั้งหลาย นำมาถวายโดยมิขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าท่านจะอยู่ในที่ใด ๆ ในป่า ในบ้าน ในน้ำ หรือบนบก เป็นต้นด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์ จึงทรงประกาศให้ปรากฏในหมู่พุทธบริษัทตรัสยกย่องท่านในตำแหน่ง เอคทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง ผู้มีลาภมาก นับว่าท่านพระสีวลีเถระเป็นพระมหาสาวกอีกรูปหนึ่งที่ได้ช่วยกิจการ พระศาสนา แบ่งเบาภาระของพระบรมศาสดาเป็นอย่างมาก ท่านดำรงอายุสังขารโดยสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน
 

คำอาราธนาพระสีวลี

สีวลี จะมหาเถโร เทวะตานะระปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทัมหิ สีวลี จะมหาเถโร ยักขาเทวาภิปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทัมหิ อะหัง วันทามิตัง สะทา สีวลี เถรัสสะ เอตัง คุณัง สวัสติลาภัง ภะวันตุเม ฯ

คำบูชาพระสีวลี (พระฉิม)
อิมินา สักกาเรนะ สีวะลีเถรัง อภิปูชะยามิ

เมื่อบูชาแล้วกำหนดภาวนาในใจว่า
สีวะลี จะ มหาเถโร อินโท พรัมมาจะ ปูชิตัง สัพพะลาภัง ประสิทธิเม เถรัสสะ อานุภาเวนะ สัพะโสตถี ภะวันตุเม ฯ

พระ สีวลีหรือพระฉิมนี้ มีไว้ประจำบ้าน สถานที่ของตนหรือประจำตัวจะเป็นศิริมงคล เป็นเมตตามหานิยมและป้องกันภัยอันตราย ผู้หมั่นสักการบูชาอยู่เสมอ จะเจริญด้วยลาภ ถ้าไปค้าขายหรือไปหาลาภ ภาวนาคาถาพระฉิมนี้เป็นอารมณ์ไปก็ยิ่งดี

คำอธิฐานขอลาภจากพระสีวลี (แต่งโดยหลวงพ่อเกษม เขมโก แห่งสุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง )
คำไหว้บูชาขอลาภจากพระสีวลีเถระ มีดังนี้

ตั้ง นะโม ๓ จบ แล้วว่า

สิวะ ลีมะหา เถรัง วันทามิหัง (ว่า ๓ จบ) แล้วว่า
มะหาสิวะลี เถโร มะหาลาโภ โหติ
มะหาสิวะลี เถโร ลาภัง เม เท ถะ
 

 

 

ขอขอบคุึณข้อมูํลจาก : http://www.fortuner-club.com/webboard/questions.asp?QID=51890

รูปภาพจาก : http://www.ktum.net/images/Siwalee.jpg

 

187
โครงการนี้ก็หลักล้านครับ มณฑปหลวงปู่ ใกล้เสร็จเต็มทีแล้วครับแต่ยังต้องการปัจจัยมาสนับสนุนอยู่





ขอบคุณพี่บุญชัยด้วยนะครับ สำหรับรูปภาพ
  :089:




188







ขอบคุณพี่บุญชัย สำหรับรูปภาพด้วยนะครับ

189


วัดไผ่ล้อม
ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม


๏ ภูมิหลังชาติกำเนิด

เกจิยอดนิยม
นครปฐมอาคมขลัง
ที่สุดแห่งความดัง
เปี่ยมพลังบารมี
งานเสกไม่เคยพลาด
งานราษฎร์ไปทุกที่
แจกจ่ายให้ “ของดี”
ล้วนมีประสบการณ์
ดังไกลข้ามขอบฟ้า
ฮือฮาเรื่องเล่าขาน
โดดเด่นเห็นผลงาน
ลูกหลานได้ยลยิน
พระแท้ที่โดนใจ
ผู้ให้จนกายสิ้น
แสงทองส่องแผ่นดิน
วิตามินเสริมใจ
ชาตินี้หรือชาติหน้า
ยากหาพระองค์ไหน
ศักดิ์สิทธิ์ติดตรึงใจ
กราบไหว้ไม่รู้ลืม


“พระมงคลสิทธิการ” หรือ “หลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข” มีนามเดิมว่า พูล ปิ่นทอง เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2455 ตรงกับปีชวด ร.ศ.131 เป็นปีที่ 3 ในแผ่นดินรัชกาลที่ 6 ณ บ้านเลขที่ 75 หมู่ 3 ต.ดอนยายหอม อ.เมือง จ.นครปฐม เป็นบุตรคนที่ 6 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมดรวม 10 คน บิดาชื่อ นายจู ปิ่นทอง มารดาชื่อ นางสำเนียง ปิ่นทอง

โยมบิดา-โยมมารดาได้ช่วยกันเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนให้ ด.ช.พูล ปิ่นทอง เป็นคนดี อยู่ในโอวาท และอยู่ในศีลในธรรม ซึ่งอุปนิสัยของเด็กคนนี้คือ เป็นผู้มีจิตใจเมตตาโอบอ้อมอารี จริงใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ต่อทั้งเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ ชอบช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่ต้องรอให้ร้องขอ และอุปนิสัยที่เด่นชัดที่สุด คือ เป็นคนเงียบๆ พูดน้อย ด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า “ต่อไปในภายภาคหน้า หนูน้อยผู้นี้จะเติบใหญ่ภายใต้ร่มกาสาวพัตร์ เป็นสุดยอดอริยสงฆ์ที่ผู้คนกราบไหว้ทั้งแผ่นดิน”


๏ การศึกษาหาความรู้
เมื่ออายุถึงเกณฑ์ ด.ช.พูล ได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนวัดห้วยจระเข้ อ.เมือง จ.นครปฐม ซึ่งเป็นโรงเรียนใกล้บ้าน ด้วยความอุตสาหะขยันหมั่นเพียร จึงสามารถอ่านออกเขียนได้แตกฉานกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน กระทั่งเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในปี พ.ศ.2471

แต่ด้วยชาติตระกูลที่ถือกำเนิดในครอบครัวชาวสวนผลไม้ ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไรมากมาย กอปรกับมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันถึง 10 คนทำให้ ด.ช.พูล ไม่ได้ศึกษาต่อเพราะต้องออกมาช่วยงานทางบ้าน แต่เพราะเป็นคนสนใจใฝ่รู้ จึงได้ฝึกการอ่านและเขียนอักขระขอม และวิชาแพทย์แผนโบราณจนมีความเชี่ยวชาญ จากปู่แย้ม ปิ่นทอง (ผู้เป็นปู่แท้ๆ) ฆราวาสผู้มีภูมิรู้ในเรื่องไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ และการแพทย์แผนโบราณ

จวบจนถึงวัยหนุ่มฉกรรจ์ นายพูลผู้มีอุปนิสัยนิ่งเงียบ ไม่ค่อยพูดค่อยจาและรักสันโดษ มีความชอบวิชาการต่อสู้ตามแบบฉบับลูกผู้ชาย จึงฝึกฝนและศึกษาศิลปะแม่ไม้มวยไทย จนมีความชำนาญและเป็นนักมวยฝีมือดีคนหนึ่ง ว่างจากซ้อมเชิงมวยแล้ว ว่างจากทำไร่ไถนา ก็จะไปหัดเล่นลิเกกับครูจันทร์ คณะแสงทอง แต่ใจไม่รักลิเก ฝึกได้ระยะหนึ่งก็เบื่อ

กระทั่งอายุครบเกณฑ์ทหาร ท่านได้ทำหน้าที่พลเมืองดีของชาติ ด้วยการเข้ารับราชการเป็นทหาร สังกัดทหารม้ารักษาพระองค์ เมื่อปี พ.ศ.2477 (กองบัญชาการเดิมอยู่ที่สะพานมัฆวาน กรุงเทพมหานคร ตรงกับช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7) หลังครบกำหนด 1 ปี 6 เดือนจึงปลดประจำการ โดยได้รับยศเป็นนายสิบตรี มีเงินเดือนขณะนั้นเดือนละ 2 บาท สร้างความภูมิใจให้ท่านเป็นอย่างมาก

หลวงพ่อพูลมักเล่าประสบการณ์สมัยเป็นทหารให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาฟังอย่างสนุกสนาน ท่านภูมิใจในชีวิตทหาร ให้ช่างวาดภาพแต่งเครื่องแบบเต็มยศไว้เป็นอนุสรณ์ วันนี้ภาพนี้ยังติดอยู่ในกุฏิหลวงพ่อที่วัดไผ่ล้อม “ชีวิตทหารมีแต่เรื่องสนุก หลวงพ่อ...ชอบเล่าให้ศิษย์ฟัง อายุกว่า 90 ปี ท่านก็มีความจำดี เล่ากี่ครั้ง...กี่รอบ...ก็ไม่มีพลาด”


๏ สู่ร่มกาสาวพัตร์

หลังปลดจากทหารประจำการแล้ว จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุเพื่อทดแทนคุณบิดามารดา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ.2480 ตรงกับขึ้น 12 ค่ำ ปีฉลู ณ พัทธสีมาวัดพระงาม อ.เมือง จ.นครปฐม โดยมีพระครูอุตรการบดี (หลวงปู่สุข ปทุมสุวณฺโณ) เจ้าคณะอำเภอเมืองนครปฐม เจ้าอาวาสวัดห้วยจระเข้ อ.เมือง จ.นครปฐม เป็นพระอุปัชฌาย์, พระปลัดมณี เจ้าอาวาสวัดพระงาม อ.เมือง จ.นครปฐม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระสมุห์ปุ่น เจ้าอาวาสวัดลาดปลาเค้า อ.เมือง จ.นครปฐม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “อตฺตรกฺโข”

หลังบวชแล้วพระพูลได้พำนักอยู่ที่วัดพระงาม ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยด้วยความพากเพียร จนสามารถสอบไล่ได้นักธรรมตรี เมื่อ พ.ศ.2482 ที่วัดพระงามแห่งนี้ ท่านได้มีโอกาสฝากตัวเป็นศิษย์พระเถระชื่อดังหลายรูปด้วยกัน อาทิ หลวงพ่อพร้อม, หลวงปู่สุข วัดห้วยจระเข้, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม เป็นต้น

ในระหว่างนี้เอง พระพูลได้ให้ความสนใจการศึกษาด้านการเจริญสมาธิจิต ฝึกฝนวิปัสสนากรรมฐาน ควบคู่กับการศึกษาวิชาจากคัมภีร์ต่างๆ อย่างคร่ำเคร่ง โดยฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อพร้อม พระเถระชื่อดังแห่งวัดพระงาม พระเกจิอาจารย์รุ่นสงครามอินโดจีน ผู้ทรงคุณในด้านการสร้างพระปิดตาเนื้อทอง ด้วยพื้นฐานวิชาคาถาอาคมซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากปู่แย้ม ตั้งแต่สมัยเยาว์วัย จึงทำให้ท่านสามารถเจริญพุทธาคมได้รุดหน้าอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน พระพูลได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของ “หลวงพ่อเงิน จนฺทสุวณฺโณ” แห่งวัดดอนยายหอม ต.ดอนยายหอม อ.เมือง จ.นครปฐม สุดยอดแห่งบูรพาจารย์แห่งแผ่นดินเมืองนครปฐม โดยเฉพาะหลวงพ่อเงินนั้นได้ให้ความเมตตาแก่ท่านเป็นพิเศษ ให้คำแนะนำสั่งสอนเรื่องการเจริญสมาธิภาวนา การเขียนอักขระเลขยันต์ ปลุกเสกวัตถุมงคล และวิชาอาคมต่างๆ อย่างไม่ปิดบังและไม่หวงวิชาแต่อย่างใด

เมื่อได้รับคำแนะนำสั่งสอนจนเกิดความมั่นใจแล้ว หลวงพ่อพูลจึงออกธุดงควัตรไปตามป่าเขาลำเนาไพร มุ่งหน้าไปทางลพบุรี นครสวรรค์ พิษณุโลก แสวงหาความวิเวกอยู่พื้นที่ภาคเหนือ เพื่อลดละกิเลส อานิสงส์การธุดงควัตรทำให้ท่านมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ สมาธิจิตสูง


๏ ด้วยเนื้อนาบุญ

ในปี พ.ศ.2486 วัดไผ่ล้อมเกิดขาดเจ้าอาวาสปกครองวัด เนื่องจากเจ้าอาวาสแต่ละรูปไม่อยู่ในศีลในธรรมแห่งเพศบรรพชิต อยู่ปกครองวัดได้ไม่นานก็ต้องลาสิขาไป สร้างความเอือมระอาจนชาวบ้านหมดศรัทธาไม่ใส่บาตรทำบุญ ทำให้วัดไผ่ล้อมกลายเป็นวัดร้าง สมัยนั้นวัดไผ่ล้อมมีสภาพเป็นเพียงวัดเก่ารกร้าง เดิมทีเป็นป่าไผ่ชาวมอญ ที่รัชกาลที่ 4 เกณฑ์เป็นแรงงานบูรณะองค์พระปฐมเจดีย์ ใช้เป็นที่พัก บรรยากาศของวัดร่มรื่นเหมาะแก่สมณปฏิบัติธรรม

กระทั่งผู้นำและชาวบ้านกลุ่มหนึ่งฉุกคิดว่ายังมีพระสงฆ์รูปหนึ่ง มีวัตรปฏิบัติที่หมดจดงดงาม จำพรรษาอยู่ที่วัดพระงาม นามว่า พระพูล อตฺตรกฺโข จึงพากันไปกราบนมัสการพระพูล ให้ย้ายมาประจำพรรษาอยู่ที่วัดไผ่ล้อม เพื่อกอบกู้วัดพลิกฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง โดยเข้ารับตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาส จนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2492

สมัยท่านรักษาการเจ้าอาวาส เห็นว่าวัดไผ่ล้อมยังไม่มีอุโบสถ จึงปรึกษากับพระเถระผู้ใหญ่และญาติโยมผู้มีจิตศรัทธา ดำเนินการสร้างอุโบสถ โดยได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2490 กระทั่งเสร็จสมบูรณ์เป็นพระอุโบสถหลังแรก ในปี พ.ศ.2492 หลังจากนั้นท่านก็พัฒนาวัดต่อไป บุกเบิกถางป่าไผ่ จนได้สร้างศาลาการเปรียญในปี พ.ศ.2535 จากนั้นวัดไผ่ล้อมมีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าตามลำดับ ด้วยบุญบารมีของหลวงพ่อพูล ทั้งนี้ หลวงพ่อพูลเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังในเมตตามหานิยม และด้านการปลุกเสกพระขุนแผน-กุมารทอง จนเป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของศิษยานุศิษย์ทั่วประเทศ

วัดมีโบสถ์มีศาลาการเปรียญ ไม่ช้าวัดไผ่ล้อมก็ได้โรงเรียนพระปริยัติธรรม ญาติโยมยิ่งหลั่งไหลเข้ามาทำบุญ บำเพ็ญศีลสมาธิ และศึกษาปฏิบัติธรรม ก็ได้ช่วยสร้างเสนาสนะต่างๆ จากกุฏิสองสามหลัง ก็เพิ่มขึ้นมาจนเต็มพื้นที่ จำนวนพระภิกษุสามเณรเข้ามาจำพรรษาก็มากขึ้น

ต้นปี พ.ศ.2539 อุโบสถหลังเก่าเริ่มทรุดโทรมมาก ประกอบกับน้ำก็ท่วมบ่อยๆ จึงได้สร้างอุโบสถเฉลิมพระเกียรติหลังใหม่ ปลายปีก็สร้างศาลากลางน้ำ ศาลากลางน้ำเป็นบ่อน้ำ ญาติโยมใช้กันมาตั้งแต่โบราณ ท่านเลยปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น ต่อมาดำเนินการสร้างฌาปนสถานไร้มลพิษ พร้อมศาลาอเนกประสงค์ไว้ใช้ในพิธีต่างๆ ในวัด ซึ่งดำเนินการรุดหน้าไปมาก

นอกจากนี้ ท่านยังเป็นผู้อุปถัมภ์สร้างโรงเรียนวัดไผ่ล้อม (พูลประชาอุปถัมภ์) เพื่อเป็นสถานศึกษาสำหรับเยาวชนด้วย

ต่อมาสวนอายุวัฒนมงคล 90 ปี ถูกสร้างขึ้นใช้เป็นที่สำหรับญาติโยมได้พักผ่อนจิตใจ เดินดูต้นไม้ พูดคุยกับต้นไม้ “ต้นไม้ทุกต้น มีธรรมะของพระพุทธเจ้า” หลวงพ่อพูลสอนเป็นปริศนา

นับเป็นบุญของชาวบ้านโดยแท้ เพราะหลังจากหลวงพ่อพูลได้เข้ามาปกครองวัดไผ่ล้อม ท่านก็ให้ความสงเคราะห์ชาวบ้าน ไม่ว่าจะยากดีมีจนก็เข้าหาท่านได้ทุกคน สร้างความศรัทธาให้ญาติโยมทั้งใกล้และไกล หากใครมีความเดือดเนื้อร้อนใจ พวกเขาจะพากันมากราบขอบารมีหลวงพ่ออยู่เนืองๆ จนท่านกลายเป็นศูนย์รวมแห่งความรักความศรัทธา มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศ และต่างกล่าวขวัญถึงหลวงพ่อของเขาว่าเป็นพระอริยสงฆ์ผู้เปี่ยมด้วยเมตตา

๏ หลวงพ่อคือผู้ให้

วัตรปฏิบัติอย่างหนึ่งที่ศิษยานุศิษย์ได้สัมผัสหลวงพ่อพูล มากว่าครึ่งศตวรรษ คือท่านเป็นพระสงฆ์ที่ไม่สะสมกิเลส ไม่สนใจชื่อเสียงเงินทอง และลาภยศสรรเสริญ จตุปัจจัยไทย ทานที่สาธุชนได้บริจาคมา ท่านไม่เคยสะสม มีเท่าไหร่ท่านก็นำไปบริจาคสร้างวัตถุสร้างความเจริญไว้แก่วัดไผ่ล้อม จนเกิดความเจริญรุ่งเรือง แลดูสวยงามสบายตา เหมาะสมที่จะเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา นอกจากนี้ยังขจรขจายไปถึงชุมชนรอบๆ วัด ทั้งสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล สถานที่ราชการ เรียกว่าใครที่มาขอให้ท่านช่วย หลวงพ่อไม่เคยขัด รวมทั้งกิจนิมนต์ต่างๆ ไม่ว่าใกล้-ไกลท่านก็เมตตาไปให้ แม้สุขภาพร่างกายจะไม่ค่อยเอื้ออำนวยนักก็ตาม

คนเขามาให้เราช่วยก็ต้องช่วยเขาไปมันได้บุญ หลวงพ่อมักพร่ำสอนลูกศิษย์อยู่เนืองๆ แม้วัยและสังขารจะร่วงโรยไปตามกาลเวลา จวบจนอายุ 93 ปี แต่ในฐานะเจ้าอาวาส หลวงพ่อพูลได้ใช้ความรู้ความสามารถสร้างสรรค์ผลงานให้กับคณะสงฆ์เป็นอย่างดี ไม่มีขาดตกบกพร่อง ท่านปกครอง ลูกวัดให้อยู่ในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ใครมาอยู่กับหลวงพ่อ ห้ามขี้เกียจ ต้องหมั่นสวดมนต์เจริญสมาธิวิปัสสนา ปัดกวาดอาสนะ กุฏิ และพัทธสีมา ให้สะอาดสวยงาม เหตุนี้เองจึงทำให้พุทธศาสนิกชนจากทั่วสารทิศหลั่งไหลมาที่วัดไผ่ล้อม

หลวงพ่อพูลถือเป็นสัญลักษณ์แห่งเมตตามหานิยม ที่ชาวนครปฐมและจังหวัดใกล้เคียงนับถือเลื่อมใส เป็นหนึ่งในพระครูสี่ทิศผู้พิทักษ์องค์พระปฐมเจดีย์ ในสมณศักดิ์ “พระครูปุริมานุรักษ์” (ประจำทิศตะวันออก) ร่วมกับ พระครูทักษิณานุกิจ (ประจำทิศใต้) คือ หลวงพ่อเสงี่ยม วัดห้วยจระเข้, พระครูปัจฉิมทิศบริหาร (ประจำทิศตะวันตก) คือ หลวงพ่อชิด วัดม่วงตารส และพระครูอุตรการบดี (ประจำทิศเหนือ) คือ หลวงพ่อศรีสุข วัดปฐมเจดีย์ฯ

จากวัดรกร้าง วัดไผ่ล้อมกลายเป็นวัดพัฒนา เป็นศูนย์กลางของชุมชนมีผู้คนหนาแน่น แต่ปัญหาของชุมชนที่เจริญก็มักมีปัญหายาเสพติดตามมา หมดปัญหาเรื่องเสนาสนะที่เป็นวัตถุ หลวงพ่อพูลก็ต้องรับภาระแก้ปัญหาคน

“ระยะหลังเงินบริจาคที่หลวงพ่อได้ ส่วนใหญ่ใช้ในเรื่องยาเสพติด บางส่วนท่านช่วยจังหวัดจัดซื้อเครื่องตรวจสอบยาเสพติด เมื่อท่านรู้ว่าเด็กนักเรียนในโรงเรียนมีปัญหาติดยาเสพติด ท่านก็ให้เงินใช้ในการรณรงค์ต้านยาเสพติด ท่านบอกว่ารู้ว่าลูกหลานติดยาแล้ว ท่านก็กลุ้มใจนอนไม่ค่อยหลับ” นี่คือภารกิจล่าสุดของหลวงพ่อพูล ซึ่งเริ่มมีคนเรียกท่านว่า เทพเจ้าแห่งวัดไผ่ล้อม

ด้วยความเป็นศิษย์กตัญญูกตเวทีต่อบูรพาจารย์ ในวันวิสาขะ วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี หลวงพ่อจะจัดพิธีไหว้ครู เพื่อรำลึกพระคุณอาจารย์ทั้งหลาย ในทุกวันพระจะนิมนต์พระสงฆ์ภายในวัดมารับสังฆทาน เพื่ออุทิศกุศลผลบุญให้บรรพชนและครูบาอาจารย์ ตลอดทั้งเจ้ากรรมนายเวร โดยปฏิบัติต่อเนื่องมาเป็นประจำ

๏ ลำดับสมณศักดิ์

เนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ 72 พรรษา ในวันที่ 12 ส.ค. พ.ศ.2547 พระครูปุริมานุรักษ์ (หลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข) วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ “พระมงคลสิทธิการ” ในฐานะพระสงฆ์ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระศาสนาและประเทศชาติเป็นกรณีพิเศษ สร้างความปลาบปลื้มแก่คณะศิษยานุศิษย์อย่างหาที่สุดมิได้

๏ สังขารนี้ไม่เที่ยง
แม้อายุขัยเพิ่มมากขึ้น แต่หลวงพ่อพูลไม่เคยว่างเว้นการปฏิบัติศาสนกิจ กลางวันจะฝึกสมาธิ ภาวนาจิต แผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง อันเป็นหนทางแห่งการไม่ยึดติดวัตถุจนเกิดกิเลส

เวลาเช้าจรดบ่าย จะแบ่งเวลาให้ญาติโยมที่มาหาได้พูดคุยปรับทุกข์ สนทนาข้อธรรมะ รวมทั้งการรักษาผู้เจ็บป่วยด้วยวิชาแพทย์แผนโบราณ เป็นการสงเคราะห์ผู้หนีร้อนมาพึ่งเย็น โดยไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นวรรณะแต่อย่างใด

การที่หลวงพ่อต้องตรากตรำทำงานหนัก ทั้งงานราษฎร์ งานหลวง ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ไม่ได้มีเวลาพักผ่อน จนสังขารล่วงโรยมีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อยครั้ง ต้องวนเวียนเข้าออกแต่โรงพยาบาลเพื่อตรวจเช็คร่างกายอยู่เป็นนิจ แต่ไม่มีใครได้ยินท่านบ่นว่าเหนื่อยล้าสักคำ นี่คงเป็นพราะผลแห่งการฝึกฝนเจริญสมาธิวิปัสสนากรรมฐานมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ กระทั่งวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2547 หลวงพ่อได้ล้มป่วยลงอีกครั้ง คราวนี้คณะศิษยานุศิษย์ใกล้ชิดนำท่านเข้าตรวจเช็คร่างกาย ณ โรงพยาบาลนครปฐม คณะแพทย์ได้ลงความเห็นว่าท่านควรพักรักษาตัวที่ตึกสงฆ์

จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ในปีเดียวกัน คณะสงฆ์และคณะศิษยานุศิษย์ได้จัดพิธีฉลองสมณศักดิ์พัดยศที่ “พระมงคลสิทธิการ” ถวายหลวงพ่อ ณ วัดไผ่ล้อม ซึ่งขณะนั้นอาการของหลวงพ่อยังไม่ดีขึ้น ศิษยานุศิษย์จึงได้พาไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล โดยได้อยู่ในการดูแลของนายแพทย์วิวัฒน์ สุรางค์ศรีรัฐ และนายแพทย์มิตร รุ่งเรืองวานิช ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าหลวงพ่อมีอาการลิ้นหัวใจรั่ว และน้ำท่วมปอด

ต่อมาเมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2548 นายไชยา สะสมทรัพย์ ส.ส. จังหวัดนครปฐม และพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ได้ย้ายหลวงพ่อไปรักษาตัวยังโรงบาลสมิติเวช กรุงเทพมหานคร โดยอยู่ในการดูแลของนายแพทย์รังสรรค์ รัตนปราการ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ ซึ่งขณะนั้นหลวงพ่อก็ยังมีอาการระบบลิ้นหัวใจรั่ว และน้ำท่วมปอด ต้องเข้ารักษาตัวในห้องไอซียู และทำการฟอกไต เพื่อให้ระบบต่างๆ กลับมาดังเดิม

๏ สัญญาก็คือสัญญา


ตลอดเวลาแห่งการเจ็บไข้ได้ป่วย หลวงพ่อพูลยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เจริญพระพุทธมนต์กำเนิดจิตเป็นสมาธิเพื่อระงับความเจ็บปวด ดังนั้นจึงไม่มีใครเคยได้ยินท่านเอ่ยปากบ่นว่าเจ็บปวดใดๆ เลย แต่เนื่องจากสภาพสังขารที่เกิดชราภาพมากแล้ว อาการจึงไม่ดีขึ้นมีแต่ทรงกับทรุด ตลอดเวลาที่พักรักษาตัวอยู่ในโรงบาลสมิติเวช หลายต่อหลายครั้งที่อาการของท่านทรุดลงหนัก ขนาดแพทย์ยังกล่าวว่าหมดปัญญารักษาแล้ว แต่เมื่อศิษย์ใกล้ชิดเข้าไปกระซิบที่ข้างหูท่านว่า “หลวงพ่ออย่าลืมสัญญาน่ะ” ท่านจะพยักหน้าเข้าใจ และนิ่งสงบเข้าสู่สมาธิ กำหนดจิตภาวนาจนอาการพ้นขีดอันตรายทุกครั้ง

สัญญาใจที่หลวงพ่อพูลได้ให้ไว้แก่ลูกศิษย์มีอยู่ 2 ข้อ คือ ข้อแรกคือ ท่านรับปากว่าจะอยู่เป็นประธานพิธีอธิษฐานปลุกเสกพระเครื่อง รุ่นพระขุนแผน-กุมารทอง ที่ทางวัดสร้างขึ้นเพื่อหาปัจจัยมาสร้างเมรุปลอดมลพิษ ที่ต้องใช้งบประมาณในการก่อสร้างกว่า 35 ล้านบาท ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อพูลต้องการมอบให้กับชาวเมืองนครปฐมที่ท่านรัก เนื่องจากท่านตระหนักเล็งเห็นว่า เวลาวัดไผ่ล้อมมีการจัดงานเผาศพ ฝุ่นและควันได้ฟุ้งกระจายไป สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับชาวบ้านใกล้เคียง ท่านจึงมีดำริให้ก่อสร้างเมรุปลอดมลพิษขึ้น แม้ต้องใช้ทุนทรัพย์มหาศาล แต่เพื่อสาธารณประโยชน์หลวง พ่อไม่เคยเสียดาย

สัญญาอีกข้อหนึ่งคือ ท่านรับปากไว้ตั้งแต่ปีก่อนว่าจะอยู่เป็นประธานพิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ ที่ทางวัดไผ่ล้อมจัดขึ้นทุกวันวิสาขบูชาเป็นประจำต่อเนื่องนานนับสิบปี ซึ่งพิธีนี้ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากบรรดาพุทธศาสนิกชน ศิลปิน นักร้อง นักแสดงชั้นนำของเมืองไทย เข้าร่วมพิธีอย่างคับคั่ง และในปี พ.ศ.2548 นี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม ซึ่งคณะศิษยานุศิษย์ทุกคนก็ต่างหวังว่าจะได้รับความเมตตาจากหลวงพ่ออีกครั้ง แม้นในใจลึกๆ แล้วจะหวั่นวิตกว่าอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ตาม



--------------------------------------------------------------------------------
 
หลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข


๏ สังขารนี้ไม่เที่ยง

แม้อายุขัยเพิ่มมากขึ้น แต่หลวงพ่อพูลไม่เคยว่างเว้นการปฏิบัติศาสนกิจ กลางวันจะฝึกสมาธิ ภาวนาจิต แผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง อันเป็นหนทางแห่งการไม่ยึดติดวัตถุจนเกิดกิเลส

เวลาเช้าจรดบ่าย จะแบ่งเวลาให้ญาติโยมที่มาหาได้พูดคุยปรับทุกข์ สนทนาข้อธรรมะ รวมทั้งการรักษาผู้เจ็บป่วยด้วยวิชาแพทย์แผนโบราณ เป็นการสงเคราะห์ผู้หนีร้อนมาพึ่งเย็น โดยไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นวรรณะแต่อย่างใด

การที่หลวงพ่อต้องตรากตรำทำงานหนัก ทั้งงานราษฎร์ งานหลวง ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ไม่ได้มีเวลาพักผ่อน จนสังขารล่วงโรยมีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อยครั้ง ต้องวนเวียนเข้าออกแต่โรงพยาบาลเพื่อตรวจเช็คร่างกายอยู่เป็นนิจ แต่ไม่มีใครได้ยินท่านบ่นว่าเหนื่อยล้าสักคำ นี่คงเป็นพราะผลแห่งการฝึกฝนเจริญสมาธิวิปัสสนากรรมฐานมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ กระทั่งวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2547 หลวงพ่อได้ล้มป่วยลงอีกครั้ง คราวนี้คณะศิษยานุศิษย์ใกล้ชิดนำท่านเข้าตรวจเช็คร่างกาย ณ โรงพยาบาลนครปฐม คณะแพทย์ได้ลงความเห็นว่าท่านควรพักรักษาตัวที่ตึกสงฆ์

จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม ในปีเดียวกัน คณะสงฆ์และคณะศิษยานุศิษย์ได้จัดพิธีฉลองสมณศักดิ์พัดยศที่ “พระมงคลสิทธิการ” ถวายหลวงพ่อ ณ วัดไผ่ล้อม ซึ่งขณะนั้นอาการของหลวงพ่อยังไม่ดีขึ้น ศิษยานุศิษย์จึงได้พาไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล โดยได้อยู่ในการดูแลของนายแพทย์วิวัฒน์ สุรางค์ศรีรัฐ และนายแพทย์มิตร รุ่งเรืองวานิช ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าหลวงพ่อมีอาการลิ้นหัวใจรั่ว และน้ำท่วมปอด

ต่อมาเมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2548 นายไชยา สะสมทรัพย์ ส.ส. จังหวัดนครปฐม และพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ได้ย้ายหลวงพ่อไปรักษาตัวยังโรงบาลสมิติเวช กรุงเทพมหานคร โดยอยู่ในการดูแลของนายแพทย์รังสรรค์ รัตนปราการ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ ซึ่งขณะนั้นหลวงพ่อก็ยังมีอาการระบบลิ้นหัวใจรั่ว และน้ำท่วมปอด ต้องเข้ารักษาตัวในห้องไอซียู และทำการฟอกไต เพื่อให้ระบบต่างๆ กลับมาดังเดิม


๏ สัญญาก็คือสัญญา

ตลอดเวลาแห่งการเจ็บไข้ได้ป่วย หลวงพ่อพูลยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เจริญพระพุทธมนต์กำเนิดจิตเป็นสมาธิเพื่อระงับความเจ็บปวด ดังนั้นจึงไม่มีใครเคยได้ยินท่านเอ่ยปากบ่นว่าเจ็บปวดใดๆ เลย แต่เนื่องจากสภาพสังขารที่เกิดชราภาพมากแล้ว อาการจึงไม่ดีขึ้นมีแต่ทรงกับทรุด ตลอดเวลาที่พักรักษาตัวอยู่ในโรงบาลสมิติเวช หลายต่อหลายครั้งที่อาการของท่านทรุดลงหนัก ขนาดแพทย์ยังกล่าวว่าหมดปัญญารักษาแล้ว แต่เมื่อศิษย์ใกล้ชิดเข้าไปกระซิบที่ข้างหูท่านว่า “หลวงพ่ออย่าลืมสัญญาน่ะ” ท่านจะพยักหน้าเข้าใจ และนิ่งสงบเข้าสู่สมาธิ กำหนดจิตภาวนาจนอาการพ้นขีดอันตรายทุกครั้ง

สัญญาใจที่หลวงพ่อพูลได้ให้ไว้แก่ลูกศิษย์มีอยู่ 2 ข้อ คือ ข้อแรกคือ ท่านรับปากว่าจะอยู่เป็นประธานพิธีอธิษฐานปลุกเสกพระเครื่อง รุ่นพระขุนแผน-กุมารทอง ที่ทางวัดสร้างขึ้นเพื่อหาปัจจัยมาสร้างเมรุปลอดมลพิษ ที่ต้องใช้งบประมาณในการก่อสร้างกว่า 35 ล้านบาท ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อพูลต้องการมอบให้กับชาวเมืองนครปฐมที่ท่านรัก เนื่องจากท่านตระหนักเล็งเห็นว่า เวลาวัดไผ่ล้อมมีการจัดงานเผาศพ ฝุ่นและควันได้ฟุ้งกระจายไป สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้กับชาวบ้านใกล้เคียง ท่านจึงมีดำริให้ก่อสร้างเมรุปลอดมลพิษขึ้น แม้ต้องใช้ทุนทรัพย์มหาศาล แต่เพื่อสาธารณประโยชน์หลวง พ่อไม่เคยเสียดาย

สัญญาอีกข้อหนึ่งคือ ท่านรับปากไว้ตั้งแต่ปีก่อนว่าจะอยู่เป็นประธานพิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ ที่ทางวัดไผ่ล้อมจัดขึ้นทุกวันวิสาขบูชาเป็นประจำต่อเนื่องนานนับสิบปี ซึ่งพิธีนี้ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากบรรดาพุทธศาสนิกชน ศิลปิน นักร้อง นักแสดงชั้นนำของเมืองไทย เข้าร่วมพิธีอย่างคับคั่ง และในปี พ.ศ.2548 นี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม ซึ่งคณะศิษยานุศิษย์ทุกคนก็ต่างหวังว่าจะได้รับความเมตตาจากหลวงพ่ออีกครั้ง แม้นในใจลึกๆ แล้วจะหวั่นวิตกว่าอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ตาม


๏ ปาฏิหาริย์มีจริง

กว่า 4 เดือนที่หลวงพ่อต้องนอนอยู่บนเตียงคนป่วย โดยไม่มีวี่แววว่าอาการจะดีขึ้น คณะศิษยานุศิษย์ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งจะเกิดปาฏิหาริย์ให้หลวงพ่อหายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วย แต่รอแล้วรอเล่าทุกคนแทบหมดกำลังใจ

และเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2548 ที่ผ่านมา ก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นจริงๆ เมื่อจู่ๆ อาการหลวงพ่อพูลก็กลับกระเตื้องดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา จนแพทย์ผู้ให้การรักษาเองยังแปลกใจและอนุญาตให้หลวงพ่อพูลออกจากโรงพยาบาลกลับสู่วัดไผ่ล้อม

ต่อมาวันที่ 17 พฤษภาคม หลวงพ่อก็ได้ร่วมประกอบพิธีพุทธาภิเษกพระขุนแผน-กุมารทอง ตามที่ได้รับปากไว้ แม้ท่านจะนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ซึ่งทางวัดได้จัดสร้างห้องผู้ป่วยไอซียู พร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ทันสมัยไว้ในกุฏิของท่านเป็นการเฉพาะ โดยทางคณะศิษยานุศิษย์ได้โยงสายสิญจน์จากปะรำพิธีที่อยู่กลางแจ้งหน้าอุโบสถ ไปยังกุฎิของหลวงพ่อ และให้ท่านถือไว้จนเสร็จพิธี

ต่อมาเมื่อวันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม เวลา 6 โมงเช้า ก่อนหน้าพิธีไว้ครูบูรพาจารย์ 1 วัน ปรากฏว่าหลวงพ่อพูลเกิดอาการหน้ามืดและขับถ่ายเป็นมูกเลือด อาการได้ทรุดลงอีกครั้ง จนต้องรีบนำท่านส่งโรงพยาบาลสมิติเวช อย่างกะทันหัน แพทย์ตรวจพบว่าท่านเกิดอาการติดเชื้อในกระเพาะอาหาร มีเลือดออกในกระเพาะอาหารอย่างมาก และไม่สามารถทำการผ่าตัดได้เพราะร่างกายอ่อนแอ อาจละสังขารในวันเดียวกันนี้

แต่แล้วปาฏิหาริย์ครั้งที่ 2 ก็เกิดขึ้นโดยเมื่อช่วงเย็นวันเดียวกัน อาการของหลวงพ่อก็กระเตื้องขึ้นมาอีกครั้ง แม้แต่แพทย์เองก็รู้สึกประหลาดใจว่า ทำไมชายชราอายุร่วมร้อยปีสามารถต่อสู้กับโรคร้ายและความเจ็บปวดทรมานได้ถึงเพียงนี้ ด้านคณะศิษยานุศิษย์ที่ทราบข่าวก็ปลาบปลื้มดีใจเป็นอย่างมาก ที่ยังมีหลวงพ่ออยู่เป็นมิ่งขวัญ และมีกำลังใจที่จะจัดงานใหญ่ให้สำเร็จลุล่วงในวันรุ่งขึ้นตามที่ตั้งใจไว้

 
๏ จิตสงบสู่สมาธิ
อากาศยามเช้าของวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2548 สดใสไร้เมฆฝน พุทธศาสนิกชนต่างหลั่งไหลมาสู่วัดไผ่ล้อมเป็นจำนวนมาก เพื่อร่วมทำบุญตักบาตรเนื่องในวันวิสาขบูชา นอกจากนี้ยังถือโอกาสร่วมพิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ประจำปี เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

กระทั่งตกสายแดดกล้า เหล่าศิลปินดารา นักร้อง นักแสดงชื่อก้องฟ้าเมืองไทยกว่า 50 ชีวิต ได้เดินทางมาร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยมีพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน กิตฺติจิตฺโต) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม (ในขณะนั้น) ศิษย์เอกของหลวงพ่อพูล เป็นผู้ประกอบพิธีให้ ซึ่งพิธีดำเนินไปอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค แม้ฟ้าฝนก็ยังเป็นใจส่งเมฆครึ้มมาปกคลุมบริเวณวัดให้เกิดความร่มเย็น แต่ไร้ซึ่งเมฆฝนสักหยด ขณะเดียวกันที่โรงบาลสมิติเวช หลวงพ่อพูลได้กำหนดจิตเจริญสมาธิภาวนา สวดมนต์อยู่บนเตียงผู้ป่วยอย่างเงียบๆ โดยไม่แสดงอาการเจ็บปวดใดๆ ให้เห็น


๏ วาระสุดท้ายแห่งชีวิต

หลังเสร็จพิธีช่วงบ่าย คณะศิษยานุศิษย์ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลว่า หลวงพ่อทรุดหนักมากเกินกว่าที่แพทย์จะเยียวยารักษาได้แล้ว ทุกคนจึงรีบเดินทางไปให้เร็วที่สุดเพื่อให้ทันดูใจเป็นครั้งสุดท้าย และเมื่อไปถึงโรงพยาบาล ภาพที่ศิษย์ทุกคนได้เห็นคือ ร่างของชายชราวัยเฉียดร้อยที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง แม้ร่างกายภายนอกดูผ่ายผอม แต่ใบหน้ากับเอิบอิ่มด้วยบุญญาบารมีฉายแววแจ่มชัด และไม่ปรากฏอาการทุรนทุรายจากความเจ็บป่วยภายในให้เห็นแม้แต่น้อย จิตใจท่านเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว แกร่งเกินกว่าคนวัยนี้จะทำได้

หลวงพ่อพูลท่านได้กำหนดจิตเข้าญาณสมาธิตามลำดับชั้น ภายในห้องไอซียูเงียบสงัด ไม่มีใครพูดคุยกันเพราะทุกคนต่างตกอยู่ในภวังค์ มีเพียงเสียงดัง ต๊อด....ต๊อด....จากเครื่องวัดสัญญาณชีพ ที่ยังแสดงให้รู้ว่าหลวงพ่อพูลท่านยังมีลมหายใจอยู่ แต่ก็เริ่มเสียงแผ่วเบาลงเรื่อยๆ คล้ายๆ จะบอกว่า ร่างนี้กำลังจะแตกดับไปตามกฎธรรมชาติในเวลาอันใกล้นี้


๏ ถึงเวลาละสังขาร

จนกระทั่งเวลา 14.55 น. ของวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2548 เสียงเครื่องวัดสัญญาณชีพสงบลง ปลุกศิษย์ทุกคนให้ตื่นจาภวังค์กลับสู่โลกความเป็นจริง เพื่อให้รับรู้ว่าหลวงพ่อพูลได้ละสังขารมรณภาพจากพวกเขาไปอย่างสงบแล้ว ในวันวิสาขบูชา ด้วยโรคกระเพาะอาหารติดเชื้อและเสียเลือดในกระเพาะอาหารอย่างเฉียบพลัน ทิ้งไว้เพียงธรรมคำสั่งสอนและคุณงามความดีที่สั่งสมมาตลอด 93 ปีแห่งอายุขัย พรรษา 68

แม้ตระหนักดีว่าทุกสรรพชีวิต ทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น ย่อมดำรงอยู่ และท้ายสุดต้องดับไป แต่ ณ ห้วงเวลานี้ศิษย์ทุกคนก็ยังไม่หลุดพ้นกิเลสทั้งมวล ต่างก้มลงกราบร่ำไห้แทบเท้าหลวงพ่ออันเป็นที่เคารพรักอย่างไม่อาย ไม่เว้นแม้ แต่แพทย์และพยาบาลก็ร่วมประสานเสียงสะอื้นไห้ดังระงมไปทั่ว เนื่องจากอาลัยรักในตัวหลวงพ่ออย่างสุดซึ้ง เพราะตลอดเวลาที่ท่านรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ท่านได้มีความเมตตากรุณาแก่ทุกคน จนเป็นที่ประจักษ์แก่ใจแล้วว่า นาม พูล อตฺตรกฺโข ศิษย์แห่งตถาคตผู้นี้ ได้เจริญรอยตามแนวทางพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างหมดจดงดงาม

ตลอดเวลาที่ผ่านมาจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต หลวงพ่อได้อุทิศตนแล้วแด่บวรพระพุทธศาสนา ทุ่มเทด้วยแรงกาย แรงใจ แรงสติปัญญา ช่วยเหลือผู้ยากไร้มิเคยขาด ที่สำคัญท่านพ้นวังวนของกิเลสและตัณหาทั้งปวง มุ่งแผ่เมตตาธรรมโดยถ้วนหน้าแก่ทุกชีวิตที่เข้ามาพึ่งใบบุญ โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ สายตาของท่านมองทุกคนด้วยความเท่าเทียม ทุกคนจึงได้รับการปฏิบัติจากหลวงพ่ออย่างดีมาโดยตลอด หลวงพ่อพูลเป็นพระสงฆ์ที่เคร่งครัดพระธรรมวินัย ด้วยความสมถะท่านจะนิ่ง พูดน้อย จนได้รับสมญา “พระจริงต้องนิ่งใบ้”





๏ พลังศรัทธาหลั่งไหล

คณะสงฆ์และคณะศิษยานุศิษย์ได้อัญเชิญศพหลวงพ่อพูล กลับมาตั้งบำเพ็ญกุศล ณ ศาลาปุริมานุสรณ์ (พูล อตฺตรกฺโข) วัดไผ่ล้อม ในวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ.2548 ในการนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานน้ำหลวงสรงศพ และหีบทองทึบตั้งหน้าศพพระมงคลสิทธิการหรือหลวงพ่อพูล ก่อนนำร่างของท่านบรรจุใส่โลงทำด้วยไม้สักทองคำ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้กราบไหว้บูชา

ขณะที่ศิษยานุศิษย์ทั่วประเทศทราบข่าวการมรณภาพของหลวงพ่อจากสื่อมวลชนทุกแขนง ที่ได้นำเสนอข่าวอย่างพร้อมเพรียงกัน มหาชนนับหมื่นต่างหลั่งไหลเดินทางกันมาที่วัดไผ่ล้อมด้วยอาการเศร้าสลด มองไปมุมไหนก็มีแต่คนร้องไห้ตาแดงก่ำ บางคนถึงกับสะอึกสะอื้นปิ่มว่าจะขาดใจ.....สิ่งนี้คงเป็นภาพที่สื่อให้เห็นถึงความรักที่สาธุชนมีต่อองค์หลวงพ่อพูลได้อย่างแจ่มชัด



ขอบคุณข้อมูลจาก1. หนังสือพิมพ์ข่าวสด หน้า 1 คอลัมน์ มงคลข่าวสด
                         วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ.2548 ปีที่ 15 ฉบับที่ 5295

                      2. http://www.watpailom.org/



190
รำลึก 4 ปี หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม

พระจริงนิ่งใบ้...พระผู้ให้จนสิ้นลม





            วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2548  พุทธศาสนิกชนต่างหลั่งไหลมาสู่วัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครปฐม  เพื่อร่วมทำบุญตักบาตรเนื่องในวันวิสาขบูชา  พร้อมร่วมพิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ประจำปี เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต  และวันเดียวกันนี้ วงการสงฆ์และชาวเมืองนครปฐมได้สูญเสีย พระเกจิอาจารย์ดังไปอย่างน่าเสียดายคือ พระมงคลสิทธิการ” หรือ “หลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข” ศิษย์พุทธาคมของหลวงพ่อพร้อม, หลวงปู่สุข วัดห้วยจระเข้, และหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม

4 ปีแล้วกับการจากไปของท่าน ต่สานุศิษย์ทั้งหลายไม่เคยลืมเลือนหลวงพ่ออันเป็นที่รักยิ่ง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต ท่านได้อุทิศตนแด่บวรพระพุทธศาสนา ทุ่มเทด้วยแรงกาย แรงใจ แรงสติปัญญา ช่วยเหลือผู้ยากไร้มิเคยขาด ที่สำคัญท่านพ้นวังวนของกิเลสและตัณหาทั้งปวง มุ่งแผ่เมตตาธรรมโดยถ้วนหน้าแก่ทุกชีวิตที่เข้ามาพึ่งใบบุญ โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ สายตาของท่านมองทุกคนด้วยความเท่าเทียม ทุกคนจึงได้รับการปฏิบัติจากหลวงพ่ออย่างดีมาโดยตลอด

                หลวงพ่อพูลเป็นพระสงฆ์ที่เคร่งครัดพระธรรมวินัย ด้วยความสมถะท่านจะนิ่ง พูดน้อย จนได้รับสมญา “พระจริงต้องนิ่งใบ้”   เป็นสัญลักษณ์แห่งเมตตามหานิยม ที่ชาวนครปฐมและจังหวัดใกล้เคียงนับถือเลื่อมใส เป็นหนึ่งในพระครูสี่ทิศผู้พิทักษ์องค์พระปฐมเจดีย์ ในสมณศักดิ์ “พระครูปุริมานุรักษ์” (ประจำทิศตะวันออก) ร่วมกับ พระครูทักษิณานุกิจ (ประจำทิศใต้) คือ หลวงพ่อเสงี่ยม วัดห้วยจระเข้, พระครูปัจฉิมทิศบริหาร (ประจำทิศตะวันตก) คือ หลวงพ่อชิด วัดม่วงตารส และพระครูอุตรการบดี (ประจำทิศเหนือ) คือ หลวงพ่อศรีสุข วัดปฐมเจดีย์ฯ

            ท่านมีนามเดิมว่า พูล ปิ่นทอง เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2455 ตรงกับปีชวด ร.ศ.131 เป็นปีที่ 3 ในแผ่นดินรัชกาลที่ 6 ณ บ้านเลขที่ 75 หมู่ 3 ต.ดอนยายหอม อ.เมือง จ.นครปฐม เป็นบุตรคนที่ 6 ในจำนวนพี่น้อง 10 คน บิดาชื่อ นายจู   มารดาชื่อ นางสำเนียง   วัยเด็กเป็นผู้มีจิตใจเมตตาโอบอ้อมอารี จริงใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ต่อทั้งเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ ชอบช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่ต้องรอให้ร้องขอ และอุปนิสัยที่เด่นชัดที่สุด คือ เป็นคนเงียบๆ พูดน้อย   โดยเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนวัดห้วยจระเข้ อ.เมือง จ.นครปฐม   ด้วยความอุตสาหะขยันหมั่นเพียร จึงสามารถอ่านออกเขียนได้


แตกฉานกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน

                เมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในปี พ.ศ.2471 ก็ไม่ได้ศึกษาต่อเพราะต้องออกมาช่วยงานทางบ้าน แต่เพราะเป็นคนสนใจใฝ่รู้ จึงได้ฝึกการอ่านและเขียนอักขระขอม และวิชาแพทย์แผนโบราณจนมีความเชี่ยวชาญ จากปู่แย้ม ปิ่นทอง (ผู้เป็นปู่แท้ๆ) ฆราวาสผู้มีภูมิรู้ในเรื่องไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ และการแพทย์แผนโบราณ  กระทั่งเติบใหญ่วัยหนุ่มฉกรรจ์  ได้ฝึกฝนและศึกษาศิลปะแม่ไม้มวยไทย จนมีความชำนาญและเป็นนักมวยฝีมือดีคนหนึ่ง เมื่อว่างจากซ้อมเชิงมวย และว่างจากทำไร่ไถนา ก็จะไปหัดเล่นลิเกกับครูจันทร์ คณะแสงทอง แต่ใจไม่รักลิเก ฝึกได้ระยะหนึ่งก็เบื่อ
                กระทั่งอายุครบเกณฑ์ได้เข้ารับราชการเป็นทหาร สังกัดทหารม้ารักษาพระองค์ เมื่อปี พ.ศ.2477 (กองบัญชาการเดิมอยู่ที่สะพานมัฆวาน กรุงเทพฯ ตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7) หลังครบกำหนด 1 ปี 6 เดือนจึงปลดประจำการ โดยได้รับยศเป็นนายสิบตรี มีเงินเดือนขณะนั้นเดือนละ 2 บาท สร้างความภูมิใจให้ท่านเป็นอย่างมาก

หลังปลดประจำการแล้ว ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ.2480 ณ พัทธสีมาวัดพระงาม อ.เมือง จ.นครปฐม โดยมีพระครูอุตรการบดี (หลวงปู่สุข  ปทุมสุวณฺโณ) เจ้าคณะอำเภอเมืองนครปฐม เจ้าอาวาสวัดห้วยจระเข้ อ.เมือง จ.นครปฐม เป็นพระอุปัชฌาย์, พระปลัดมณี เจ้าอาวาสวัดพระงาม อ.เมือง จ.นครปฐม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระสมุห์ปุ่น เจ้าอาวาสวัดลาดปลาเค้า อ.เมือง จ.นครปฐม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “อตฺตรกฺโข”  จากนั้นได้พำนักอยู่ที่วัดพระงาม ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยด้วยความพากเพียร จนสอบไล่ได้นักธรรมตรี เมื่อ ปีพ.ศ.2482 โดยมีโอกาสฝากตัวเป็นศิษย์พระเถระชื่อดังหลายรูปด้วยกัน อาทิ หลวงพ่อพร้อม, หลวงปู่สุข วัดห้วยจระเข้, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ฯลฯ
                ในระหว่างนี้ท่านได้ให้ความสนใจการศึกษาด้านการเจริญสมาธิจิต ฝึกฝนวิปัสสนากรรมฐาน ควบคู่กับการศึกษาวิชาจากคัมภีร์ต่างๆ อย่างคร่ำเคร่ง โดยฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อพร้อม พระเถระชื่อดังแห่งวัดพระงาม พระเกจิอาจารย์ยุคสงครามอินโดจีน ผู้ทรงคุณในด้านการสร้างพระปิดตาเนื้อทอง ด้วยพื้นฐานวิชาคาถาอาคมซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากปู่แย้ม ตั้งแต่สมัยเยาว์วัย จึงทำให้ท่านสามารถเจริญพุทธาคมได้รุดหน้าอย่างรวดเร็ว

                ในปี พ.ศ.2486 วัดไผ่ล้อมขาดผู้ปกครองวัด เนื่องจากเจ้าอาวาสแต่ละรูปไม่อยู่ในศีลในธรรมแห่งเพศบรรพชิต อยู่ปกครองวัดได้ไม่นานก็ต้องลาสิกขาไป สร้างความเอือมระอาจนชาวบ้านหมดศรัทธาไม่ใส่บาตรทำบุญ ทำให้กลายสภาพเป็นวัดร้าง สมัยนั้นวัดไผ่ล้อมมีสภาพเป็นเพียงวัดเก่ารกร้าง เดิมทีเป็นป่าไผ่ ซึ่งชาวมอญ ที่รัชกาลที่ 4 เกณฑ์เป็นแรงงานบูรณะองค์พระปฐมเจดีย์ ใช้เป็นที่พัก บรรยากาศของวัดร่มรื่นเหมาะแก่สมณะปฏิบัติธรรม  ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งจึงพากันไปนมัสการหลวงพ่อพูล ให้ย้ายมาประจำพรรษาอยู่ที่วัดไผ่ล้อม เพื่อกอบกู้วัดพลิกฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง โดยเข้ารับตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาส จนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2492
                สมัยท่านรักษาการเจ้าอาวาส ได้ปรึกษากับพระเถระผู้ใหญ่และญาติโยมผู้มีจิตศรัทธา ดำเนินการสร้างอุโบสถ โดยได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2490 กระทั่งเสร็จสมบูรณ์เป็นอุโบสถหลังแรก ในปี พ.ศ.2492 หลังจากนั้นท่านก็พัฒนาวัดต่อไป บุกเบิกถางป่าไผ่ จนได้สร้างศาลาการเปรียญในปี พ.ศ.2535 จากนั้นวัดไผ่ล้อมมีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าตามลำดับ   มีโบสถ์มีศาลาการเปรียญ ตามมาด้วยโรงเรียนพระปริยัติธรรม ญาติโยมหลั่งไหลเข้ามาทำบุญ บำเพ็ญศีลสมาธิ และศึกษาปฏิบัติธรรม จำนวนพระภิกษุสามเณรเข้ามาจำพรรษาก็มากขึ้น
                ต้นปี พ.ศ.2539 อุโบสถหลังเก่าเริ่มทรุดโทรมมาก ประกอบกับน้ำก็ท่วมบ่อยๆ จึงได้สร้างอุโบสถเฉลิมพระเกียรติหลังใหม่ ปลายปีก็สร้างศาลากลางน้ำ ศาลากลางน้ำเป็นบ่อน้ำ ญาติโยมใช้กันมาตั้งแต่โบราณ ท่านเลยปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น ต่อมาดำเนินการสร้างฌาปนสถานไร้มลพิษ พร้อมศาลาอเนกประสงค์ไว้ใช้ในพิธีต่างๆ ในวัด ซึ่งดำเนินการรุดหน้าไปมาก นอกจากนี้ ท่านยังเป็นผู้อุปถัมภ์สร้างโรงเรียนวัดไผ่ล้อม (พูลประชาอุปถัมภ์) เพื่อเป็นสถานศึกษาสำหรับเยาวชนด้วย
                วัตรปฏิบัติอย่างหนึ่งที่ศิษยานุศิษย์ได้สัมผัสหลวงพ่อพูล มากว่าครึ่งศตวรรษ คือท่านเป็นพระสงฆ์ที่ไม่สะสมกิเลส ไม่สนใจชื่อเสียงเงินทอง และลาภยศสรรเสริญ จตุปัจจัยไทยทานที่สาธุชนบริจาคมา ท่านไม่เคยสะสม มีเท่าไหร่ก็นำไปบริจาคสร้างวัตถุสร้างความเจริญไว้แก่วัด  จนเกิดความเจริญรุ่งเรือง แลดูสวยงามสบายตา เหมาะสมที่จะเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา นอกจากนี้ยังขจรขจายไปถึงชุมชนรอบๆ วัด ทั้งสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล สถานที่ราชการ เรียกว่าใครที่มาขอให้ท่านช่วย หลวงพ่อไม่เคยขัด รวมทั้งกิจนิมนต์ต่างๆ ไม่ว่าใกล้-ไกลท่านก็เมตตาไปให้ แม้สุขภาพร่างกายจะไม่ค่อยเอื้ออำนวยนักก็ตาม

                ด้วยคุณงามความดีที่มีมาอย่างต่อเนื่อง  ในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ 72 พรรษา ในวันที่ 12 ส.ค. พ.ศ.2547 พระครูปุริมานุรักษ์ (หลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข) วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ “พระมงคลสิทธิการ” ในฐานะพระสงฆ์ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระศาสนาและประเทศชาติเป็นกรณีพิเศษ



                บั้นปลายชีวิตแม้อายุขัยเพิ่มมากขึ้น แต่หลวงพ่อพูลไม่เคยว่างเว้นการปฏิบัติศาสนกิจ กลางวันจะฝึกสมาธิ ภาวนาจิต แผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง  เวลาเช้าจรดบ่าย จะแบ่งเวลาให้ญาติโยมที่มาหาได้พูดคุยปรับทุกข์ สนทนาข้อธรรมะ รวมทั้งการรักษาผู้เจ็บป่วยด้วยวิชาแพทย์แผนโบราณ  โดยไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นวรรณะแต่อย่างใด  ด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน จนสังขารล่วงโรยมีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อยครั้ง ต้องวนเวียนเข้าออกแต่โรงพยาบาล เพื่อตรวจเช็คร่างกายอยู่เป็นนิจ แต่ไม่มีใครได้ยินท่านบ่นว่าเหนื่อยล้าสักคำ

                วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2547 ท่านได้ล้มป่วยลงอีกครั้ง  คณะศิษย์ได้นำท่านเข้าตรวจเช็คร่างกาย ณ โรงพยาบาลนครปฐม คณะแพทย์ได้ลงความเห็นว่าท่านควรพักรักษาตัวที่ตึกสงฆ์  จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม คณะสงฆ์และศิษยานุศิษย์ได้จัดพิธีฉลองสมณศักดิ์พัดยศ “พระมงคลสิทธิการ” ถวายหลวงพ่อ ณ วัดไผ่ล้อม ซึ่งขณะนั้นอาการของท่านยังไม่ดีขึ้น ศิษยานุศิษย์จึงได้พาไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าmท่านมีอาการลิ้นหัวใจรั่ว และน้ำท่วมปอด  ต่อมาวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2548 ได้ย้ายท่านไปยังโรงพยาบาลสมิติเวช กรุงเทพฯ ซึ่งขณะนั้นท่านยังมีอาการระบบลิ้นหัวใจรั่ว และน้ำท่วมปอด ต้องเข้ารักษาตัวในห้องไอซียู และทำการฟอกไต เพื่อให้ระบบต่างๆกลับมาดังเดิม

                กว่า 4 เดือนที่หลวงพ่อต้องนอนอยู่บนเตียงคนป่วย โดยไม่มีวี่แววว่าอาการจะดีขึ้น คณะศิษยานุศิษย์ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งจะเกิดปาฏิหาริย์ให้หลวงพ่อหายจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วย แต่รอแล้วรอเล่าทุกคนแทบหมดกำลังใจ  กระทั่งวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2548 ก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น เมื่อจู่ๆอาการของท่านกลับกระเตื้องขึ้น จนแพทย์อนุญาตให้กลับวัดได้  ต่อมาในวันที่ 17 พฤษภาคม ท่านได้ร่วมประกอบพิธีพุทธาภิเษกพระขุนแผน-กุมารทอง ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นสุดท้าย โดยทางวัดได้จัดสร้างห้องผู้ป่วยไอซียู พร้อมอุปกรณ์ทางการแพทย์ทันสมัยไว้ในกุฏิของท่านเป็นการเฉพาะ โดยทางคณะศิษยานุศิษย์ได้โยงสายสิญจน์จากปะรำพิธีที่อยู่กลางแจ้งหน้าอุโบสถ ไปยังกุฎิของหลวงพ่อ และให้ท่านถือไว้จนเสร็จพิธี
                กระทั่งวันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม เวลา 6 โมงเช้า ก่อนหน้าพิธีไว้ครูบูรพาจารย์ 1 วัน ท่านเกิดอาการหน้ามืดและขับถ่ายเป็นมูกเลือด อาการได้ทรุดลงอีกครั้ง จนต้องรีบนำท่านส่งโรงพยาบาลสมิติเวช แพทย์ตรวจพบว่าท่านเกิดอาการติดเชื้อในกระเพาะอาหาร มีเลือดออกอย่างมาก และไม่สามารถผ่าตัดได้ รุ่งขึ้นวันที่ 22 พฤษภาคม ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา ในขณะที่ศิษยานุศิษย์หลั่งไหลมาร่วมงานไหว้ครูบูรพาจารย์ประจำปี  หลวงพ่อพูลได้กำหนดจิตเจริญสมาธิภาวนา สวดมนต์อยู่บนเตียงผู้ป่วยอย่างเงียบๆ โดยไม่แสดงอาการเจ็บปวดใดๆ ให้เห็น จนกระทั่งเวลา 14.55 น. หลวงพ่อพูลก็ละสังขารไปด้วยอาการสงบในวัย 93 ปี 68 พรรษา ปิดฉากชีวิต “พระจริง..นิ่งใบ้” ได้อย่างงดงาม

ในวาระครบรอบ 4 ปีแห่งการละสังขาร วันที่ 22 พ.ค. 52  ทางวัดไผ่ล้อมโดยพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ (หลวงพี่น้ำฝน) ทายาทพุทธาคมของหลวงพ่อ ได้จัดสร้างมงคลวัตถุที่ระลึก 4ปี หลวงพ่อพูลละสังขาร เป็นพระสีวลีมหาลาภโภคทรัพย์ สุดยอดเทพเจ้าแห่งโชคลาภ มีขนาดบูชา และห้อยคอเนื้อโลหะชุบเงินพ่นทรายขัดเงา ชุบทองพ่นทรายขัดเงา ชุบนาก เนื้อโลหะพ่นทรายสามกษัตริยืขัดเงา ทุกเหรียญยิงโคดเลเซอร์ คำว่า “พูล 4 ปี” ประกอบพิธีปลุกเสกวันที่ 6 พ.ค. โดย5พระคณาจารย์ร่วมอธิษฐานจิตคือ หลวงพ่อวาส วัดสะพานสูง หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว หลวงพ่อสิริ วัดตาล นนทบุรี หลวงพ่ออวยพร วัดดอนยายหอม และหลวงพี่น้ำฝน ปัจจัยทั้งหมดร่วมสร้างกุฏิสงฆ์ทรงไทยประดิษฐานสังขารหลวงพ่อพูล 

                กล่าวสำหรับพระเครื่องและวัตถุมงคลของหลวงพ่อพูล ท่านสร้างไว้หลายแบบพิมพ์และหลายปีด้วยกัน  โดยเฉพาะพระเครื่องยุคต้นๆปัจจุบันเริ่มหายากและมีราคาเช่าหาสูง เช่น เหรียญเสมารุ่นแรก (พระอธิการพูน)  ปี 2493 , พระกริ่งไผ่ล้อม ปี 2512,พระสมเด็จใบไผ่ เนื้อผงรุ่นแรก ปี2512, กริ่งหนุมานรุ่นแรก ปี2513,พระพิมพ์ขุนแผน ปี2500, รูปหล่อรุ่นแรก ปี2536,กุมา$

191
ทิ้งตัวตน...เริ่มใหม่...อย่าใฝ่หา
โลกใบนี้...มากทุกขเวนา
จะไขว่คว้า...ยื้อแย่ง...กันทำไม


ละตัวตน...หมั่นสร้าง...บารมี
เพื่อชีวี...บรรเจิด...เปิดโลกใหม่
แดนนิพพาน...สราญแท้...ต่อดวงใจ
มิมีใด...เทียมเท่า...อย่าเฝ้าครวญ

ข้อมูลจาก http://www.klon-today.com

192
สวัสดีปีเสือนะครับ ขอให้สมาชิกทุกท่านมีแต่ความสุข ความเจริญ สมดั่งใจคิด คิดเงินได้เงิน คิดทองได้ทอง

มีสุขภาพที่แข็งแรงตลอดปีเสือ มีหน้าที่การงานที่ดี เงินเดือนเพิ่มพูนคูณทวี รวย รวย รวย สาธุ.. :054:








ขอบคุณพี่บุญชัย สำหรับรูปภาพด้วยนะครับ  :054: 


193


พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง "หลวงปู่แย้ม ปิยวัณโณ" วัดตะเคียน ถ.พระราม 5 (นครอินทร์) ต.บางคูเวียง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ท่านเด่นเรื่องการทำตะกรุด จึงไม่แปลกที่เครื่องรางของขลังส่วนใหญ่ในยุคแรกๆ จะเป็นตะกรุด ทั้งนี้ ตะกรุดที่ดัง-ขลัง-ดีของท่านก็คือ "ตะกรุดโทนคอหมา" จนเป็นสมญานามเรียกขานท่านว่า "เจ้าตำรับตะกรุดคอหมา"

ในบรรดาเครื่องรางของขลังยอดนิยมของท่านมีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด คือ ตะกรุดหนังเสือ ปลัดขิก และเสือปืนแตกซึ่งได้รับความนิยมมาก จนกระทั่งมูลค่าในการเช่าบูชาพุ่งขึ้นไม่หยุด โดยเฉพาะรุ่นแรกๆ จนทำให้มี "ของปลอม" ออกมาแจมด้วย ซึ่งถึงปัจจุบันนี้ท่านได้อนุญาตให้จัดสร้างออกมาแล้วรวม 4 รุ่น โดยเสือปืนแตกทุกรุ่นสร้างแบบงานหล่อโบราณ ในรูปลักษณะเสือกำลังกระโจนหรือกระโดด มีขนาดความยาวประมาณ 5.5 ซ.ม. สูงประมาณ 1.6 ซ.ม. และต้องมี "ยันต์มหาเบา" อันเป็นยันต์ประจำตัวของหลวงปู่แย้ม
 


สำหรับเสือปืนแตกรุ่น 4 ช่วงนี้กำลังเป็นที่สะสมบูชากันอย่างมาก เนื่องจากเกิดประสบการณ์ความศักดิ์สิทธิ์ให้ลูกศิษย์ได้ตื่นตะลึงกัน อีกแล้ว โดยเสือรุ่นนี้เข้าพิธีปลุกเสกใต้โบสถ์เสือ-มังกรศักดิ์สิทธิ์ เมื่อ วันศุกร์ที่ 25 ก.ย.2552 ท่าม กลางฝนฟ้า คะนองที่เทกระหน่ำจนฉ่ำเย็นเป็นเวลานับชั่วโมง เกจิอาจารย์ที่นั่งปรกอธิษฐานจิตก็ไม่ใช่อื่นไกล แต่เป็น 2 เกจิอาจารย์ที่รักใคร่ศรัทธาของหลวงปู่แย้ม คือ หลวงปู่แย้ม วัดสามง่าม อ.ดอนตูม จ.นครปฐม และคือ "หลวงปู่เก๋ วัดปากน้ำ" จ.นนทบุรี ส่วน "หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน" ด้วยเหตุที่กายสังขารของท่านไม่แข็งแรง นั่งนานๆ ไม่ไหว คณะศิษย์จึงนำไปให้ท่านอธิษฐานจิตเดี่ยวในห้องที่จำวัด

หลวงปู่แย้ม และหลวงปู่เก๋ ท่านทุ่มเทพลังพระคาถาประจุไว้ใน "เสือปืนแตก" อย่างเต็ม ที่ โดยเสือรุ่น 4 นี้พิมพ์ทรงจะเหมือนรุ่น 3 แต่เพิ่มยันต์บริเวณต้นคอ 1 จุด และต้นขาอีก 4 จุด เพื่อเป็นจุดสังเกต คาดว่าอีกไม่นานก็จะมีมูลค่าเพิ่มเหมือนรุ่น 1-2-3 ตามกันมา เพราะว่าศิษย์สายตรงแห่มาบูชากันไม่ขาดสาย

แม้จะไม่ใช่เครื่องรางที่มีพิธีใหญ่โต และไม่ได้นิมนต์สุดยอดคณา จารย์มานั่งปลุกเสกมากมายหลายรูป แต่เสือรุ่น 4 ก็เป็น "ของดี-มีพุทธคุณ" ที่สานุศิษย์หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียนให้ความเชื่อถือ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ รายได้ทุกบาททุกสตางค์ที่ทุกคนร่วมบุญบูชามีความหมายต่อการพัฒนาวัดให้เจริญยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นจุดประสงค์ใหญ่ของท่านที่ตั้งปณิธานมายาวนานนับตั้งแต่ปกครองวัดรวมเวลากว่า 6 ทศวรรษแล้ว

สภาพวัดปัจจุบันเป็นเช่นไรหลายคนที่ไปเยี่ยมเยือนมาคงเห็นกับตาแล้ว ซึ่งทั้งหมดนั้นก่อเกิดจากปัจจัยที่มาจากพระเครื่องวัตถุมงคลทุกรุ่นของหลวงปู่แย้มโดยตรง

สนใจเสือรุ่น 4 ติดต่อบูชาที่วัดเพียงแห่งเดียวเท่านั้น



ขอบคุณที่มาจาก ข่าวสดครับ ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ  ทั้งรูปและเนื้อหาครับ   :054:

194


งานนมัสการปิดทอง "หลวงพ่อปาน" เป็นงานประจำปีที่อำเภอบางบ่อ และชาวคลองด่านร่วมใจกันจัดขึ้นทุกปี เพื่อเป็นการระลึกถึงบารมี พระครูพิพัฒน์วิโรธกิจ หรือ หลวงพ่อปาน ตำนานแห่งเครื่องรางของขลังดังเขี้ยวเสือ ซึ่งปัจจุบันสนนราคาเล่นหาอยู่ที่หลักแสนหลักล้าน ท่านเป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดมงคลโคธาวาส ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ สำหรับในปี 2552 ทางอำเภอบางบ่อเพิ่งจัดงานผ่านไปเมื่อเร็วๆ นี้

ในวันแรกบรรดาศิษยานุศิษย์แห่ร่วมงานกันอย่างคึกคัก มีการจัดขบวนเรือแห่รูปจำลองของหลวงพ่อปาน ด้วยเรือลำใหญ่ ประดับด้วยธง กล้วย อ้อย อันสวยงาม ภายในเรือมีการบรรเลงแห่แหน หรือมีการละเล่นในเรือด้วย ขบวนแห่จะลากจูงด้วยเรือพาย ซึ่งมีฝีพายประจำคล้ายเรือแข่ง แต่ต่อมาใช้เรือยนต์ลาก ขบวนแห่จะไปตามลำคลองปีกกา กระทั่งถึงบางพลีน้อย มาบางบ่อและแห่กลับวัด อัญเชิญหลวงพ่อไปไว้ในบริเวณจัดงานพิธี ภายในงานนมัสการหลวงพ่อปาน มีการละเล่นหลายอย่าง เช่น ลิเก รำวง ลำตัด เพลงฉ่อย ภาพยนตร์ เป็นต้น

ในสมัยหลวงสกลผดุงเขต เป็นนายอำเภอบางบ่อ ได้เห็นความสำคัญที่จะให้มีการสืบทอดงานนี้เป็นงานประเพณีสำคัญประจำปี สำหรับชาวอำเภอบางบ่อ เช่นเดียวประเพณีรับบัวของอำเภอบางพลี งานสงกรานต์ของอำเภอพระประแดง และงานนมัสการองค์พระสมุทรเจดีย์ จึงได้กำหนดให้มีการจัดงานนมัสการหลวงพ่อปานสืบเนื่องทุกปี ต่อจากงานที่ทางวัดมงคลโคธาวาสได้จัดขึ้น
 



กล่าวสำหรับ หลวงพ่อปาน เกิดที่ตำบลบางเหี้ย หรือคลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทร ปราการ เมื่อพ.ศ. 2368 ในรัชกาลพระ บาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว บิดาเป็นคนจีนไม่ทราบชื่อ มารดาชื่อตาล เมื่อเยาว์วัย หลวงพ่อปานได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดอรุณราชวราราม จนอายุครบอุปสมบท จึงได้อุปสมบทที่วัดอรุณราชวราราม มีท่านเจ้าคุณศรีศากยมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อจำพรรษาที่วัดอรุณราชวรารามเป็นเวลาพอสมควร จึงย้ายมาอยู่ที่วัดมงคลโคธาวาส อ.บางบ่อ ในเวลาต่อมา หลวงพ่อปานได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น "พระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ" ส่วนวัตถุมงคล ที่สร้างชื่อให้หลวงพ่อปานมากที่สุดก็คือ เขี้ยวเสือ แกะสลักเป็นรูปเสือนั่ง อันมีเรื่องเล่าขานกันมาว่าเขี้ยวเสือหลวงพ่อปาน มีฤทธิ์ กระโดดได้เหมือนมีชีวิตจริง และมรณภาพเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2455 สิริอายุ 86 ปี

ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2486 คณะศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อปาน ได้พร้อมใจกันจัดงานนมัสการปิดทองหลวงพ่อปาน พร้อมทั้งมีการนำรูปจำลองออกแห่ไปทางเรือทั่วท้องน้ำปากอ่าวแม่น้ำคลองด่าน โดยการแห่องค์หลวงพ่อปานจำลองเคยมีเรื่องเล่าถึงปาฏิหาริย์ว่า ก่อนที่จะนำองค์หลวงพ่อปานลงเรือแห่นั้น ได้เกิดมีลมพายุพัดกระโชกอย่างแรง ท้องน้ำมีคลื่นแรง แต่พอนำองค์หลวงพ่อปานลงเรือ ทั้งคลื่นและลมกลับเงียบสงบลงอย่างน่าอัศจรรย์

นอกจากนี้ ระหว่างที่นำเรือแห่ออกสู่ท้องทะเลยังปรากฏว่ามีฝูงปลาโลมา ปลาฉลาม ว่ายน้ำโต้คลื่นนำหน้าขบวนเรืออย่างน่าประหลาดยิ่ง ในระยะหลังนอกจากจะมีการแห่ทางเรือแล้ว ยังได้จัดให้มีการแห่ทางรถอีกด้วย

ส่วนการจัดงานในครั้งนี้ ทางคณะกรรมการได้จัดให้มีการแข่งขันเรือยาวชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และแข่งขันเรือพื้นบ้าน ตลอดจนจัดมหรสพสมโภชอย่างยิ่งใหญ่ ทั้งลิเก ภาพยนตร์ ดนตรี ลำตัด การบันเทิงและกีฬาชนิดต่างๆ ให้ชมฟรีตลอดงาน

การจัดงานนั้นก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาจิตใจ ซึ่งเป็นรากฐานของความสามัคคี ความเป็นผู้มั่นคงในวัฒนธรรมพื้นบ้าน โดยรายได้ที่เหลือจากการจัดงานจะนำไปบำรุงการศึกษา ศาสนา การสาธารณสุข และกิจการสาธารณประโยชน์อื่นๆ โดยมูลนิธิปิดทองหลวงพ่อปาน ได้บริหารจัดการเกี่ยวกับรายได้ทั้งหมด พร้อมกับมอบทุนการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนที่เรียนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ของอำเภอบางบ่อ จำนวน 40 ทุน

ปีนี้ นายสุรชัย ขันอาสา ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นประธานเปิดงานนมัสการหลวงพ่อปาน นายดุษฎี คงศรี นายอำเภอบางบ่อ กล่าวรายงาน และจะมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้าราชการ และประชาชนจำนวนมากแห่ร่วมงานที่ว่าการอำเภอบางบ่อ จ.สมุทร ปราการ


ที่มา
http://www.khaosod.co.th/
 
ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ

195
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯออกจากโรงพยาบาลศิริราช ไปยังพระบรมมหาราชวัง ตลอดสองข้างทาง มีประชาชนสวมเสื้อสีชมพู มารอรับเสด็จฯแน่นขนัด ต่างส่งเสียง ทรงพระเจริญ ดังกึกก้อง ...

เมื่อเวลา 10.58 น. วันที่ 5 ธ.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จฯออกจากอาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ทรงมีพระพักตร์สดชื่น  แจ่มใส และเสด็จฯประทับรถยนต์พระที่นั่ง ออกจากโรงพยาบาลศิริราช ไปยังพระบรมมหาราชวัง ตลอดสองข้างทาง มีประชาชนสวมเสื้อสีชมพู มารอรับเสด็จฯแน่นขนัด ต่างส่งเสียง ทรงพระเจริญ ดังกึกก้อง



พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงโบกพระหัตถ์ ทรงแย้มพระสรวลให้พสกนิกร สร้างความปลาบปลื้มให้กับประชาชนคนไทยทุกคน หลายคนถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความตื้นตัน




เมื่อถึงพระบรมมหาราชวังประกอบพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระราชทานอนุญาตให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี (ครม.) และนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯ ข้าราชการ เข้าเฝ้าฯ และถวายพระพร จากนั้นเวลา 12.10 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จฯกลับโรงพยาบาลศิริราช.

ที่มา: ไทยรัฐ ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ








196



 
"พระครูภาวนากิจโกศล" หรือ "หลวงปู่สอ พันธุโล" วัดป่าบ้านหนองแสง ต.สิงห์ อ.เมือง จ.ยโสธร พระป่ากัมมัฏฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

มีความเคร่งครัดในการปฏิบัติ จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้าน

อัตโนประวัติ เกิดในสกุล ขันเงิน เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 8 ปีระกา ตรงกับวันที่ 7 กรกฎาคม 2464 ที่บ้านทุ่งมน ต.ทุ่งมน อ.ลุมพุก (คำเขื่อนแก้ว) จ.อุบลราชธานี (ปัจจุบันคือจังหวัดยโสธร) โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายตา ขันเงิน และ นางขอ ขันเงิน มีพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน 2 คน เป็นชายทั้งหมด ท่านเป็นบุตรชายคนโต

ในสมัยหนุ่มเป็นฆราวาสนั้น นายสอเป็นคนที่ชอบสนุกสนานร่าเริง เข้ากับหมู่คณะได้ทุกคน ขณะเดียวกัน ยังเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีความสามารถในการกล่าวกลอนสด (ผญา) ของคนอีสาน เป็นที่ชอบใจของผู้ฟัง แม้เรียนจบเพียงแค่ชั้นป.3

ถึงจะชอบสนุกสนานรื่นเริง แต่มีนิสัยประจำตัวอย่างหนึ่ง คือ ความอดทน ความขยันหมั่นเพียร นับว่าเป็นคุณสมบัติอันสำคัญยิ่งที่ส่งผลให้การทำความเพียรของท่านในภายหลังจากอุปสมบทแล้วมีความเด็ดเดี่ยวมั่นคงและเจริญก้าวหน้าไปโดยลำดับ

กระทั่งอายุได้ประมาณ 20 ปี ได้แต่งงานกับนางบับ หญิงสาวชาวบ้านเดียวกัน

หลังจากแต่งงานมีครอบครัว ด้วยความเป็นหัวหน้าครอบครัว ทำให้ต้องตื่นแต่เช้าขยันทำการงาน หนักเอาเบาสู้ โดยหวังจะให้ภรรยาและลูกๆ มีความสุข บางครั้งต้องเดินทางรอนแรมไปต่างจังหวัด เพื่อหาเงินมาจุนเจือเลี้ยงครอบครัว

ต่อมา ท่านเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิต ตัดสินใจบอกภรรยาว่าจะขอออกบวช

ในปี พ.ศ.2496 ขณะอายุได้ 32 ปี นายสอได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เป็นครั้งแรก ณ พัทธสีมา วัดสร่างโศรก (วัดศรีธรรมาราม) ต.ในเมือง อ.ยโสธร จ.อุบลราชธานี มีพระครูปลัดบุญสิงห์ เป็นพระอุปัชฌาย์

ภายหลังอุปสมบท พระสอมีความพอใจมาก มีความปลอดโปร่ง เกิดความสงบเยือกเย็น มองเห็นชีวิตแห่งการบวชเป็นทางที่จะแสวงหาความสุขได้อย่างแท้จริง

ในการบวชครั้งนี้ ท่านพยายามที่จะทำตามกำหนดเวลาของภรรยา คือ บวช 15 วัน แต่ในขณะที่บวชอยู่นั้นมีความรู้สึกสบายกายสบายจิต คิดว่าจะบวชให้นานที่สุด และท่านก็ได้ขอผัดผ่อนภรรยาเรื่อยมา

สุดท้ายเมื่อครบ 15 วัน ท่านก็ไม่ได้สึกตามที่ภรรยากำหนดไว้ จึงทำให้ท่านได้อยู่ในเพศบรรพชิตและปฏิบัติธรรม แสวงหาความสงบ

พ.ศ.2496 ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านหนองแสง ต.สิงห์ อ.เมือง จ.ยโสธร ซึ่งขณะนั้นหลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ (ปัจจุบันอยู่วัดป่าบ้าน นาคู) เป็นเจ้าอาวาส ท่านได้แนะนำสั่งสอนข้อวัตรปฏิบัติ ตลอดถึงในการอบรมด้านสมาธิภาวนา

แต่ด้วยสาเหตุจากครอบครัวทำให้ท่านจำใจต้องลาสิกขา แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ท่านก็ตั้งใจว่าเมื่อมีโอกาสจะกลับมาบวชอีก

พ.ศ.2501 หลวงปู่สอ ได้อุปสมบทอีกครั้ง เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2501 ขณะมีอายุ 37 ปี ณ พัทธสีมา วัดศรีธรรมาราม ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ยโสธร โดยมีพระครูปลัดบุญสิงห์ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูสังฆรักษ์ เป็นพระ กรรมวาจาจารย์ และพระมหาสาย เป็น อนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า พันธุโล

เมื่อได้อุปสมบทแล้ว หลวงปู่สอ พยายามฝึกฝนอบรมตัวเอง ด้วยการทำข้อวัตรปฏิบัติ และฝึกสมาธิภาวนาอย่างสม่ำเสมอ ท่านได้เร่งประกอบความเพียรมากขึ้นโดยลำดับ

ครั้นมีปัญหาอุปสรรคจากการภาวนา ท่านจะเข้าไปกราบเรียนขอคำแนะนำจากครูบาอาจารย์ผู้ที่เคารพนับถืออยู่เสมอ พระมหาเถระที่หลวงปู่ท่านให้ความเคารพนับถืออย่างยิ่ง และไปพักปฏิบัติธรรมรับการแนะนำสั่งสอนจากท่านเป็นประจำ คือ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม, หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ, หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน และ หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

นอกจากนี้ ยังมีครูบาอาจารย์ที่ท่านได้เคยเดินทางไปธุดงค์ด้วยกัน อาทิ หลวงปู่สาม อกิญจโน, หลวงปู่บัวพา วัดป่าพระสถิตย์, หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ และ หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร เป็นต้น

สุดท้าย หลวงปู่สอ ได้มาอยู่จำพรรษาที่วัดป่าบ้านหนองแสง ต.สิงห์ อ.เมือง จ.ยโสธร และดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส

พ.ศ.2520 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในราชทินนามที่ พระครูภาวนากิจโกศล

ด้วยวัยชราภาพ หลวงปู่สอ มีอาการอาพาธเป็นประจำ คณะศิษย์ผู้ใกล้ชิดหลวงปู่สอ ได้นิมนต์ท่านไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลยโสธร จนกระทั่ง วันที่ 8 พฤศจิกายน 2552 เวลา 15.47 น. หลวงปู่สอ ได้มรณภาพด้วยอาการติดเชื้อในกระแสโลหิต สิริอายุ 88 ปี 4 เดือน 4 วัน พรรษา 51

นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาวเมืองยโสธร ที่ได้สูญเสียพระอริยสงฆ์อันเป็นเสาหลักอย่างไม่มีวันกลับคืน

ที่มา.http://www.khaosod.co.th/ ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ

197


สมเด็จเจ้าพะโคะหรือหลวงพ่อทวด เป็นที่รู้จักของชาวไทยทุกภูมิภาคในฐานะพระศักดิ์สิทธิ์ที่มีอิทธิปาฏิหาริย์และอภิญญาแก่กล้าจนได้สมญาว่า “หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด” ประวัติอันพิสดารของท่านมีเล่าสืบกันมาไม่รู้จบสิ้น ยิ่งนานวันยิ่งซับซ้อนและขยายวงกว้างออกไปกลายเป็นความเชื่อความศรัทธาอย่างฝังใจ

หลวงพ่อทวดเป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงๆ เรื่องราวต่อไปนี้ผู้เขียนได้รวบรวมจากหนังสืออ้างอิงหลายเล่มทั้งที่เป็นตำนานหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หนังสือและเอกสารต่างๆ พอจะให้ท่านผู้อ่านได้ทราบว่า หลวงพ่อทวดคือใคร เกิดในสมัยใดและได้สร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและพระศาสนาไว้อย่างไรบ้าง เพื่อเป็นคติเตือนใจแก่อนุชนรุ่นหลังสืบไป


ทารกอัศจรรย์

         เมื่อประมาณสี่ร้อยปีที่ผ่านมาในตอนปลายรัชสมัยของพระมหาธรรมราชา แห่งกรุงศรีอยุธยา ณ หมู่บ้านสวนจันทร์ ตำบลชุมพล เมืองจะทิ้งพระตรงกับวันศุกร์ เดือนสี่ ปีมะโรง พุทธศักราช 2125 ได้มีทารกเพศชายผู้หนึ่งถือกำเนิดจากครอบครัวเล็กๆ ฐานะยากจนแร้นแค้น แต่มีจิตอันเป็นกุศล ชอบทำบุญสุนทานยึดมั่นในศีลธรรมอันดี ปราศจากการเบียดเบียนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ทารกน้อยผู้

 นี้มีนายว่า “ปู” เป็นบุตรของนายหู นางจันทร์ ในขณะเยาว์วัย ทารกผู้นั้นยังความอัศจรรย์ให้แก่บิดามารดาตลอดจนญาติพี่น้องทั้งหลาย ด้วยอยู่มาวันหนึ่งมีงูตระบองสลาตัวใหญ่มาขดพันอยู่รอบเปลที่ทารกน้อยนอนหลับอยู่ และงูใหญ่ตัวนั้นไม่ยอมให้ใครเข้ามาใกล้เปลที่ทารกน้อยนอนอยู่เลย จนกระทั่งบิดามารดาของเด็กเกิดความสงสัยว่า พญางูตัวนั้นน่าจะเป็นเทพยดาแปลงมาเพื่อให้เห็นเป็นอัศจรรย์ในบารมีของลูกเราเป็นแน่แท้ จึงรีบหาข้าวตอกดอกไม้และธูปเทียนมาบูชาสักการะ งูใหญ่จึงคลายลำตัวออกจากเปลน้อย เลื้อยหายไป ต่อมาเมื่อพญางูจากไปแล้ว บิดามารดาทั้งญาติต่างพากันมาที่เปลด้วยความห่วงใยทารก ก็ปรากฏว่าเด็กชายปูยังคงนอนหลับอยู่เป็นปกติ แต่เหนือทรวงอกของทารกกลับมีดวงแก้วดวงหนึ่งมีแสงรุ่งเรืองเป็นรัศมีหลากสี ตาหู นางจันทร์จึงเก็บรักษาไว้ นับแต่บัดนั้นฐานะความเป็นอยู่การทำมาหากินก็จำเริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับอยู่สุขสบายตลอดมา


สามีราโม
         เมื่อกาลล่วงมานานจนเด็กชายปูอายุได้เจ็ดขวบ บิดาได้นำไปฝากสมภารจวง วัดกุฏิหลวง (วัดดีหลวง) เพื่อให้เล่าเรียนหนังสือเด็กชายปูมีความเฉลียวฉลาดมาก สามารถเรียนหนังสือขอมและไทยได้อย่างรวดเร็ว ครั้นอายุได้ 15 ปี ก็บรรพชาเป็นสามเณรและบิดาได้มอบแก้ววิเศษไว้เป็นของประจำตัว ต่อมาสามเณรปูได้ไปศึกษาต่อกับสมเด็จพระชินเสน ที่วัดสีหยัง (สีคูยัง) ครั้นอายุครบอุปสมบทจึงได้เดินทางไปศึกษาต่อที่นครศรีธรรมราช ณ สำนักพระมหาเถระปิยทัสสี ได้ทำการอุปสมบทมีฉายาว่า “ราโม ธมฺมิโก” แต่คนทั่วไปเรียกท่านว่า “เจ้าสามีราม” หรือ “เจ้าสามีราโม” เจ้าสามีรามได้ศึกษาอยู่ที่วัดท่าแพ วัดสีมาเมือง และวัดอื่นๆ อีกหลายวัด เมื่อเห็นว่าการศึกษาที่นครศรีธรรมราชเพียงพอแล้วจึงขอโดยสารเรือสำเภาเดินทางไปกรุงศรีอยุธยา ขณะเดินทางถึงเมืองชุมพร เกิดคลื่นทะเลปั่นป่วน เรือไม่สามารถแล่นฝ่าคลื่นลมไปได้ต้องทอดสมออยู่ถึงเจ็ดวัน ทำให้เสบียงอาหารและน้ำหมดบรรดาลูกเรือตั้งข้อสงสัยว่าการที่เกิดเหตุอาเพศในครั้งนี้เพราะเจ้าสามีราม จึงตกลงใจให้ส่งเจ้าสามีรามขึ้นเกาะและได้นิมนต์ให้เจ้าสามีรามลงเรือมาด ขณะที่นั่งอยู่ในเรือมาดนั้น ท่านได้ห้อยเท้าแช่ลงไปในทะเลก็บังเกิดอัศจรรย์น้ำทะเลบริเวณนั้นเป็นประกายแวววาวโชติช่วง

         เจ้าสามีรามจึงบอกให้ลูกเรือตักน้ำขึ้นมาดื่มก็รู้สึกว่าเป็นน้ำจืด จึงช่วยกันตักไว้จนเพียงพอ นายสำเภาจึงนิมนต์ให้ท่านขึ้นสำเภาอีก และตั้งแต่นั้นมาเจ้าสามีรามก็เป็นชีต้นหรืออาจารย์สืบมา

         เมื่อถึงกรุงศรีอยุธยา ก็ได้ไปพำนักอยู่ที่วัดแค ศึกษาธรรมะที่ วัดลุมพลีนาวาส ต่อมาได้ไปพำนักอยู่ที่วัดของสมเด็จพระสังฆราช ได้ศึกษาธรรมและภาษาบาลี ณ ที่นั้นจนเชี่ยวชาญจึงทูลลาสมเด็จพระสังฆราชไปจำพรรษาที่วัดราชนุวาส เมื่อประมาณ พ.ศ. 2149 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถ


รบด้วยปัญญา


         กระทั่งวันหนึ่งถึงกาลเวลาที่ชื่อเสียงของหลวงปู่ทวดหรือเจ้าสามีรามจะระบือลือลั่นไปทั่วกรุงสยาม จึงได้มีเหตุพิสดารอุบัติขึ้นในรัชสมัยของพระเอกาทศรถ กล่าวคือ สมัยนั้นพระเจ้าวัฏฏะคามินี แห่งประเทศลังกา ซึ่งเคยเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรแหลมทองทางภาคใต้ คิดแก้มือด้วยการท้าพนันแปลธรรมะ และต้องการจะแผ่พระบรมเดชานุภาพมาทางแหลมทอง ใคร่จะได้กรุงศรีอยุธยามาเป็นประเทศราช แต่พระองค์ไม่ปรารถนาให้เกิดศึกสงครามเสียชีวิตแก่ประชาชนทั้งสองฝ่าย จึงทรงวางแผนการเมืองด้วยสันติวิธี คิดหาทางรวบรัดเอากรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองขึ้นด้วยสติปัญญาเป็นสำคัญ เมื่อคิดได้ดังนั้น พระเจ้ากรุงลังกาจึงมีพระบรมราชโองการสั่งให้พนักงาน ท้องพระคลังเบิกจ่ายทองคำบริสุทธิ์แล้วให้ช่างทองประจำราชสำนักไปหล่อ ทองคำเหล่านั้นให้เป็นตัวอักษรบาลีเล็กเท่าใบมะขาม ตามพระอภิธรรมทั้งเจ็ดคัมภีร์ จำนวน 84,000 ตัว จากนั้นก็ทรงรับสั่งให้พราหมณ์ผู้เฒ่าอันมีฐานะเทียบเท่าปุโรหิตจำนวนเจ็ดท่านคุมเรืองสำเภาเจ็ดลำบรรทุกเสื้อผ้าแพรพรรณ และของมีค่าออกเดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับปริศนาธรรมของพระองค์

         เมื่อพราหมณ์ทั้งเจ็ดเดินทางลุล่วงมาถึงกรุงสยามแล้วก็เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นของกษัตริย์ตนแก่พระเจ้าเอกาทศรถ มีใจความในพระราชสาส์นว่าพระเจ้ากรุงลังกาขอท้าให้พระเจ้ากรุงสยามทรงแปลและเรียบเรียงเมล็ดทองคำตามลำดับให้เสร็จภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับพระราชสาส์นนี้เป็นต้นไป ถ้าทรงกระทำไม่สำเร็จตามสัญญาก็จะยึดกรุงศรีอยุธยาให้อยู่ใต้พระบรมเดชานุภาพของพระองค์ และทางกรุงสยามจะต้องส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองอีกทั้งเครื่องราชบรรณาการแก่กรุงลังกาตลอดไปทุกๆ ปีเยี่ยงประเทศราชทั้งหลาย


พระสุบินนิมิต


เมื่อพระเอกาทศรถทรงทราบความ ดังนั้น จึงมีพระบรมราชโองการให้สังฆการีเขียนประกาศนิมนต์พระราชาคณะและพระเถระทั่วพระมหานคร ให้กระทำหน้าที่เรียบเรียงและแปลตัวอักษรทองคำในครั้งนี้ แต่ก็ไม่มีท่านผู้ใดสามารถเรียบเรียงและแปลอักษรทองคำในครั้งนี้ได้จนกาลเวลาลุล่วงผ่านไปได้หกวัน ยังความปริวิตกแก่พระองค์และไพร่ฟ้าประชาชนต่างพากันโจษขานถึงเรื่องนี้ให้อื้ออึงไปหมด

ครั้นราตรีกาลยามหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเข้าพระบรรทมทรงสุบินว่า ได้มีพระยาช้างเผือกลักษณะบริบูรณ์เฉกเช่นพระยาคชสารเชือกหนึ่ง ผายผันมาจากทางทิศตะวันตก เยื้องย่างเข้ามาในพระราชนิเวศน์แล้วก้าวเข้าไปยืนผงาดตระหง่านบนพระแท่นพลางเปล่งเสียงโกญจนาทกึกก้องไปทั่วทั้งสี่ทิศ เสียงที่โกญจนาทด้วยอำนาจของพระยาคชสารเชือกนั้นยังให้พระองค์ทรงสะดุ้งตื่นจากพระบรรทม

รุ่งเช้าเมื่อพระองค์เสด็จออกว่าราชการ ได้ทรงรับสั่งถึงพระสุบินนิมิตประหลาดให้โหรหลวงฟังและได้รับการกราบถวายบังคมทูลว่า เรื่องนี้หมายถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์และพระบรมเดชานุภาพจะแผ่ไพศาลไปทั่วสารทิศเป็นที่เกรงขามแก่อริราชทั้งปวง ทั้งจะมีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งจากทางทิศตะวันตก มาช่วยขันอาสาแปลและเรียบเรียงตัวอักษรทองคำปริศนาได้สำเร็จ พระเจ้าอยู่หัวได้ฟังดังนั้นจึงค่อยเบาพระทัย และรับสั่งให้ข้าราชบริพารทั้งมวลออกตามหาพระภิกษุรูปนั้นทันที


อักษรเจ็ดตัว

         ต่อมาสังฆการีได้พยายามเสาะแสวงหาจนไปพบ “เจ้าสามีราม” ที่วัดราชานุวาส และเมื่อได้ไต่ถามได้ความว่าท่านมาจากเมืองตะลุง (พัทลุงในปัจจุบัน) เพื่อศึกษาพระธรรมวินัย สังฆการี จึงเล่าความตามเป็นจริงให้เจ้าสามีรามฟังทั้งได้อ้างตอนท้ายว่า “เห็นจะมีท่านองค์เดียวที่ตรงกับพระสุบินของพระเจ้าอยู่หัว จึงใคร่ขอนิมนต์ให้ไปช่วยแก้ไขในเรื่องร้ายดังกล่าวให้กลายเป็นดี ณ โอกาสนี้” ครั้นแล้วเจ้าสามีรามก็ตามสังฆการีไปยังที่ประชุมสงฆ์ ณ ท้องพระโรง พระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งให้พนักงานปูพรมให้ท่านนั่งในที่อันควร พราหมณ์ทั้งเจ็ดคนได้ประมาทเจ้าสามีรามโดยว่า เอาเด็กสอนคลานมาให้แก้ปริศนา เจ้าสามีรามก็แก้คำพราหมณ์ว่า กุมารเมื่ออกมาแต่ครรภ์พระมารดา กี่เดือนกี่วันจึงรู้คว่ำ กี่เดือนกี่วันจึงรู้นั่ง กี่เดือนกี่วันจึงรู้คลาน จะว่ารู้คว่ำแก่ หรือจะว่ารู้นั่งแก่ หรือจะว่ารู้คลานแก่ ทำไมจึงว่าเราจะแก้ปริศนาธรรมมิได้ พราหมณ์ก็นิ่งไปไม่สามารถตอบคำถามท่านได้ จากนั้นจึงรีบนำบาตรใส่อักษรทองคำเข้าไปประเคนแก่เจ้าสามีราม 


ท่านรับประเคนมาจากมือพราหมณ์แล้วนั่งสงบจิตอธิษฐานว่า “ขออำนาจคุณบิดามารดาครูบาอาจารย์และอำนาจผลบุญกุศลที่ได้สร้างมาแต่ปางก่อนและอำนาจเทพยดาที่รักษาพระนครตลอดถึงเทวดาอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ครั้งนี้อาตมาจะแปลพระธรรมช่วยกู้บ้านกู้เมือง ขอให้ช่วยดลบันดาลจิตใจให้สว่างแจ้งขจัดอุปสรรคที่จะมาขัดขวาง ขอให้แปลพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าสำเร็จสมปรารถนาเถิด” ท่านรับประเคนมาจากมือพราหมณ์แล้วนั่งสงบจิตอธิษฐานว่า “ขออำนาจคุณบิดามารดาครูบาอาจารย์และอำนาจผลบุญกุศลที่ได้สร้างมาแต่ปางก่อนและอำนาจเทพยดาที่รักษาพระนครตลอดถึงเทวดาอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ครั้งนี้อาตมาจะแปลพระธรรมช่วยกู้บ้านกู้เมือง ขอให้ช่วยดลบันดาลจิตใจให้สว่างแจ้งขจัดอุปสรรคที่จะมาขัดขวาง ขอให้แปลพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าสำเร็จสมปรารถนาเถิด”

         ครั้นแล้วท่านก็คว่ำบาตรเทอักษรทองคำเริ่มแปลปริศนาธรรมทันที ด้วยอำนาจบุญญาบารมี กฤษดาภินิหารของท่านที่ได้จุติลงมาเป็นพระโพธิสัตว์โปรดสัตว์ในพระพุทธศาสนา กอปรกับโชคชะตาของประเทศชาติที่จะไม่เสื่อมเสียอธิปไตย เดชะบุญญาบารมีในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพยาดาทั้งหลายจึงดลบันดาลให้ท่านเรียบเรียงและแปลอักษรจากเมล็ดทองคำ 84,000 ตัว เป็นลำดับโดยสะดวกไม่ติดขัดประการใดเลย

         ขณะที่ท่านเรียบเรียงและแปลอักษรไปได้มากแล้ว ปรากฏว่าเมล็ดทองคำตัวอักษรขาดหายไปเจ็ดตัวคือ ตัว สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ ท่านจึงทวงถามเอาที่พราหมณ์ทั้งเจ็ด พราหมณ์ทั้งเจ็ดก็ยอมจำนวน จึงประเคนเมล็ดทองคำที่ตนซ่อนไว้นั้นให้ท่านแต่โดยดี ปรากฏว่าท่านแปลพระไตรปิฎกจากเมล็ดทองคำสำเร็จบริบูรณ์เป็นการชนะพราหมณ์ในเวลาเย็นของวันนั้น


ดัชนีบทความ
ประวัติ หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด วัดช้างให้ 
ประวัติหลวงปู่ทวด หน้า 2 
ทุกหน้า 

หน้า 2 จาก 2

         ท่านรับประเคนมาจากมือพราหมณ์แล้วนั่งสงบจิตอธิษฐานว่า “ขออำนาจคุณบิดามารดาครูบาอาจารย์และอำนาจผลบุญกุศลที่ได้สร้างมาแต่ปางก่อนและอำนาจเทพยดาที่รักษาพระนครตลอดถึงเทวดาอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ครั้งนี้อาตมาจะแปลพระธรรมช่วยกู้บ้านกู้เมือง ขอให้ช่วยดลบันดาลจิตใจให้สว่างแจ้งขจัดอุปสรรคที่จะมาขัดขวาง ขอให้แปลพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าสำเร็จสมปรารถนาเถิด” ท่านรับประเคนมาจากมือพราหมณ์แล้วนั่งสงบจิตอธิษฐานว่า “ขออำนาจคุณบิดามารดาครูบาอาจารย์และอำนาจผลบุญกุศลที่ได้สร้างมาแต่ปางก่อนและอำนาจเทพยดาที่รักษาพระนครตลอดถึงเทวดาอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ครั้งนี้อาตมาจะแปลพระธรรมช่วยกู้บ้านกู้เมือง ขอให้ช่วยดลบันดาลจิตใจให้สว่างแจ้งขจัดอุปสรรคที่จะมาขัดขวาง ขอให้แปลพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าสำเร็จสมปรารถนาเถิด”

         ครั้นแล้วท่านก็คว่ำบาตรเทอักษรทองคำเริ่มแปลปริศนาธรรมทันที ด้วยอำนาจบุญญาบารมี กฤษดาภินิหารของท่านที่ได้จุติลงมาเป็นพระโพธิสัตว์โปรดสัตว์ในพระพุทธศาสนา กอปรกับโชคชะตาของประเทศชาติที่จะไม่เสื่อมเสียอธิปไตย เดชะบุญญาบารมีในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทพยาดาทั้งหลายจึงดลบันดาลให้ท่านเรียบเรียงและแปลอักษรจากเมล็ดทองคำ 84,000 ตัว เป็นลำดับโดยสะดวกไม่ติดขัดประการใดเลย

         ขณะที่ท่านเรียบเรียงและแปลอักษรไปได้มากแล้ว ปรากฏว่าเมล็ดทองคำตัวอักษรขาดหายไปเจ็ดตัวคือ ตัว สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ ท่านจึงทวงถามเอาที่พรา$

198
ชื่อวิชาไสยศาสตร์ไทยโบราณ ที่เชื่อว่าสามารถป้องกันอันตรายจากปืนโดยเฉพาะ กล่าวคือ ทำให้อาวุธปืนที่ยิงมานั้นมีอันผิดพลาด ลูกขัดลำกล้อง กระสุนด้าน ยิงไม่ออก อย่างแรงเชื่อว่าสามารถทำให้ถึงกับกระบอกปืนแตกหรือปืนเสียไปเลยก็มี วิชามหาอุดมีหลายลักษณะ เช่น เป็นคาถาสำหรับบริกรรมภาวนา เรียกว่าคาถามหาอุด เช่น อะนิทัสสะนะอัปปะฏิฆา หรือทำเป็นเครื่องรางพกติดตัวในรูปแบบต่างๆ เช่น ตะกรุด ผ้าประเจียด หรือพระเครื่อง การทำตะกรุดมหาอุดบางกรณี ผู้ทำต้องดำลงไปจารอักขระใต้น้ำ และมีผู้รู้กล่าวอีกว่าวิชานี้ต้องปลุกเสกด้วยธาตุน้ำ เพราะน้ำเป็นคู่ปรับกับไฟ ผู้ชำนาญทางกสิณน้ำ หรืออาโปธาตุ เชื่อว่าจะสามารถทำวิชามหาอุดได้สำเร็จ พระเถระที่นับถือกันว่าสำเร็จวิชามหาอุดมีหลายรูป ที่รู้จักกันดีเช่น หลวงปู่ศุข เกสโร วัดปากคลองมะขามเฒ่า, หลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้, หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก เป็นต้น


ที่มาเว็ปหรรษา ดอทคอม  ขอบคุณครับ

199
คาถาอาคม / คาถานักเลง
« เมื่อ: 07 ธ.ค. 2552, 02:13:01 »
วันหนึ่ง มีนักเลงโตชื่อดัง อยู่ตำบลจินดา อำเภอสามพราน มาหาหลวงพ่อ เพื่อหาของดีคุ้มตัว เขาบอกว่า เขามักจะมีเรื่องต้องตีกับนักเลงก๊กอื่น ๆ อยู่เสมอ จึงมาหาหลวงพ่อเพื่อขอของดีไปคุ้มตัว

หลวงพ่อพูดว่า

"เอาคาถาไปใช้ดีกว่าของอย่างอื่น ขอให้จำให้ได้ขึ้นใจ ท่องภาวนาเวลาเกิดเรื่อง"

ชายนักเลงโต ก็ตั้งใจฟัง

หลวงพ่อก็บอกคาถาให้ 3 บท


"อยู่คง" ใช้เวลาเขาตีกัน เราอย่าไปเกี่ยว ให้คงที่ไว้

"ยิงไม่ออก" ใช้เวลาเขาจะยิงกัน เราไม่ออกไป

"ฟันไม่เข้า" ใช้เวลาเขาฟันกัน เราไม่เข้าไป


"ฉันรับรองว่าปลอดภัย ถ้าท่องจำได้ขึ้นใจ และปฏิบัติตามได้...."

ชายผู้นั้น จะผิดหวังหรือไม่ก็ไม่ทราบ เมื่อเขาลาจากหลวงพ่อไปในคราวนั้น

แต่อยู่ต่อมา เขาก็มาหาหลวงพ่ออีกหนหนึ่ง เข้ามากราบลงที่เท้าหลวงพ่อ เขาเล่าว่าเมื่อสองสามวันมานี้ทางบ้านมีงานบวชนาค กินเหล้ากันแล้วก็เกิดเรื่องตีกันขึ้นเขานิ่งอยู่ นึกถึงคาถาหลวงพ่อขึ้นมาได้ว่า "อยู่คง-ยิงไม่ออก-ฟัน" จึงหยุดอยู่ พรรคพวกถูกตำรวจจับไปหมด แต่เขารอดตัว จึงคิดว่าคาถาหลวงพ่อนี้ขลังจริง ๆ




ที่มา forward mail  ขอบคุณครับ   

200


สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) มีประวัติเป็นที่ประทับใจประชาชนคนไทยอย่างไรเห็นจะไม่ต้องพูดกัน เพราะหลายท่านทราบกันดีอยู่แล้วในกิตติศัพท์อันเลื่องลือของ "สมเด็จโต" โดยที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรสี) ได้เคยเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตารามเมื่อ พ.ศ. 2395 และวัดระฆังเป็นวัดที่อยู่ในพื้นที่เขตบางกอกน้อย ชาวบางกอ น้อยจึงถือท่านเป็นเสมือนเพชรประดับในเรือนใจของชาวบางกอกน้อย

วันที่ 15 ตุลาคม 2538 เป็นวันที่เขตบางกอกน้อยมีอายุครบ 80 ปี ผู้เขียนจึงขอเชิญประวัติและอภินิหารของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรสี) ตามที่ได้มีตำนานเล่าขานกันมา มาเรียบเรียงไว้ในหนังสือ "80 ปี เขตบางกอกน้อย" โดยหวังให้เป็นมูลสำหรับอนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาหาความรู้สืบไป


ประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

         ชาตะ วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2331 ตรงกับเดือน 5 ขึ้น 12 ค่ำ ปีวอก จ.ศ. 1150 เวลา พระบิณฑบาต 06.45 น. (ย่ำรุ่ง 9 บาท ) มารดาชื่อ งุด เกศ บิดาไม่ปรากฏแน่ชัด(บางแห่ง อ้างว่าเป็นราชวงศ์จักกรี)

         บวชเป็นสามเณร เมื่ออายุได้ 13 ปี ณ วัดใหญ่เมืองพิจิตร ต่อมาย้ายมาศึกษาพระปริยัติธรรม ณ เมือง ชัยนาทพออายุได้ 18 ปี ก็ย้ายมาศึกษากับอาจารย์แก้ว วัดบางลำพู กรุงเทพฯ และยังได้ ศึกษาพระปริยัติธรรมกับเสมียนตราด้วง ขุนพรมเสนา ปลัดเสนา ปลัดกรมนุท เสมียนบุญ และพระกระแสร์ต่อมาได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอดิศร สุนทร พระ บรมโอรสาธิราชให้ทรงโปรดมาอยู่กับสมเด็จพระสังฆราช วัดมหาธาตุ

         บวชเป็นพระภิกษุ พอถึง พ.ศ. 2351 อายุ 21 ปี สมเด็จเจ้าฟ้าพระบรมราชโอรสทรงรับภาระบรรพชาเป็น นาคหลวงโดยให้ไปบวชที่วัดตะไกร จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งโยมแม่และญาติมีภูมิลำเนาอยู่ที่นั่น แล้วมาประจำอยู่กับพระสังฆราชวัดมหาธาตุต่อไป




เป็นเจ้าอาวาสวัดระฆังฯ เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 สวรรคตลง เจ้าฟ้าทูลกระหม่อม ซึ่ง บวชตลอดรัชกาลที่ 3 ที่วัดบวรฯ ก็ลาสิขาบทขึ้นเสวยราชย์เป็นรัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จัก กรี ก็ได้ทรงมีพระบรมราชโองการให้เป็น "พระธรรมกิตติ" ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัด ระฆัง เมื่อ พ.ศ. 2395 ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสได้ไม่นาน พอถึง พ.ศ. 2397 ก็โปรด เกล้าฯ ให้เป็น "พระเทพกวี" ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2407 ก็โปรดเกล้าฯ ให้เป็น "สมเด็จพระ พุฒาจารย์" ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปเรียกกันว่า "สมเด็จพุฒาจารย์โต วัดระฆัง" เรียกไปเรียกมา เหลือเพียง "สมเด็จโต" ในทีสุด ขณะที่โปรดเกล้าฯ เป็นสมเด็จนั้น มีอายุได้ 78 ปี อายุ พรรษาได้ 56 พรรษาแล้ว

         มรณภาพ สมเด็จโต จะอาพาธด้วยโรคอะไรไม่ปรากฏ มรณภาพเมื่อวันเสาร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 8 (ต้น) ปีวอก จ.ศ. 1234 ตรงกับวันที่ 22 มิถุนายน 2415 เวลาประมาณ 24.00 น.เศษ บนศาลา ใหญ่วัดอินวรวิหาร บางขุนพรหม

         สรุป สมเด็จโตมีสิริรวมชนมายุของท่านได้ 85 ปี ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ได้ 20 ปี บริบูรณ์ ดำรงฐานันดรศักดิ์ สมเด็จพระพุฒาจารย์โตมาได้ 7 ปี เศษ 65 พรรษา สมเด็จโตทรงถวายความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเปํนที่ยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นทางตรงและทางอ้อมทุกประการ

อัจฉริยะและภูมิปัญญา

         ท่านสมเด็จโตนั้น เป็นคนที่เกิดอายุได้ 5 รัชกาล ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 5 มีแม่เป็นชาวบ้านธรรมดา ชื่อใดนั้นตามประวัติหลายต่อหลายเล่มมิได้กล่าวอ้าง สมเด็จท่านเป็นคนอัจฉริยะภูมิปัญญาแตกฉาน ตั้งแต่เด็จโตขึ้นบวชเณรก็มีผู้อุปถัมภ์ค้ำชูมาโดยตลอด ไม่เคยยุ่งเกี่ยวทางด้านโลกีย์ หญิงใด ๆ มาชอบพอไม่เคยสน เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย มักไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ ชอบดู เหตุผล ชอบคิดวิเคราะห์สติปัญญาจึงแตกฉาน พอโตขึ้นมาอายุได้ครบบวชเป็นพร ท่านก็บวชสละเณรเปลี่ยนบวชเป็นพระต่อไปเลย การบวชเป็นพระนั้นเป็นที่ฮือฮาชอบพอรักใคร่ของผู้หลักผู้ใหญ่จนถึงกษัตริย์ จัดเป็นนาคหลวง เมื่อบวชเป็นพระเสร็จ ท่านได้เที่ยวสัญจรไปมาตามที่ต่าง ๆ ตามนิสัยของท่านที่ของค้นคว้าหาความรู้จึงมุ่งศึกษาหาอาจารย์ต่าง ๆ ที่คงแก่เรียนด้านวิปัสสนากรรมฐานสมถะ จากอาจารย์ต่าง ๆ ของเดินธุดงค์พงไพรไป

         ขณะนั้นยศของท่านยังไม่ได้ยศเป็นสมเด็จ เป็นพระธรรมดา อาศัยท่านแตกฉานด้านปัญญา พระไตรปิฎกท่านรู้อย่างดี จิตใจท่านมุ่งแต่บูชาพระศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง ท่านจึงริเริ่มสร้างพระขึ้นมา สมัยที่ขณะนั้นยศยังไม่ได้เป็นสมเด็จ ท่านสร้างขึ้นตามใจของท่าน รูปแบบพิมพ์พระสมเด็จที่ท่านสร้างตอนนั้น มิใช่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เรากำลังแสวงหาพระสมเด็จกัน รูปทรงพิมพ์สมเด็จขณะนั้นเป็นรูปคดหอย จับผงมาปั้นเป็นก้อน ๆ ยาว ๆ แล้วก็วนเป็น คดหอย ปลุกเสกแจกชาวบ้าน บางพิมพ์ก็เป็นรูปปูก็มี เป็นรูปต่าง ๆ ก็มีแสดงให้เห็นว่า ท่านสมเด็จเริ่มสร้างพระสมเด็จตั้งแต่ยังไม่ได้ยศสมเด็จจากในหลวงแต่งตั้ง วัดที่ท่านได้ไปอยู่ก็หลายต่อหลายวัด แต่ในที่นี้เราจะเอาเฉพาะวัดที่สำคัญในตระกูลพระสมเด็จที่เล่นกันอยู่ นั่นคือ วัดเกศไชโย วัดบางขุนพรหม และวัดระฆัง ทั้งสามวัดนี้ ท่านได้สร้างพระสมเด็จขึ้นมาจนทุกวันนี้เราก็ต่างเสาะแสวงหากันอยู่ การสร้างนั้นท่านสมเด็จจะปลุกเสกเดี่ยวแต่เพียงผู้เดียว เพราะฉะนั้นพลังจิตในพระสมเด็จทุกรุ่นทุกพิมพ์จึงเป็นพลังจิตของท่าน



หลังจากที่ท่านได้ร่ำเรียนจนสำเร็จวิปัสสนาญาณกรรมฐานชั้นสูง ท่านก็ได้มีอาจารย์อยู่คนหนึ่ง อาจารย์คนนั้นท่านผู้อ่านอาจจะนึกเดาถูก นั่นคือ สมเด็จพระสังฆราชสุกไก่เถื่อน เหตุที่เรียกว่าสังฆราชสุกไก่เถื่อน เพราะมีไก่ป่า ท่านสังฆราชเอามาเลี้ยงจนเชื่องเล่นกันได้ จึงได้ฉายาว่าสังฆราชสุกไก่เถื่อน พระสังฆราชนั้นเป็นอาจารย์ของสมเด็จโต พร่ำสอนวิชาต่าง ๆ ให้จนสมเด็จโตเก่งแตกฉานทุกอย่าง สม้ยนั้นสมเด็จพระสังฉราชสุกไก่เถื่อนได้สร้างพระสมเด็จวัดพลับขึ้นมาปลุกเสกเอง ซึ่งสมเด็จโตก็รู้ จากนั้นมาไม่นาน ท่านสมเด็จโตก็ได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดระฆัง

         จากการที่ได้รับยศเป็นถึงสมเด็จนั้น ท่านจำไจยอมรับ เพราะตอนนั้นในหลวงเป็นเจ้าฟ้า ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะฟ้านั้นปกคลุมพื้นดินไปหมด จะหนีฟ้าก็ไม่พ้น แต่ถ้าเป็นเจ้าแผ่นดินสมเด็จโตท่านมีความรู้ย่อมหนีพ้นจึงไม่รับยศ หนีออกนอกแผ่นดิน โดยเดินธุดงค์ไปหลายเดือนเพื่อหนียศ แต่นี่กษัตริย์เป็นยศถึงเจ้าฟ้าไม่พ้นจึงจำใจรับยศสมเด็จ และเป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่นั้นมา ขณะนั้นเองเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่แปลกแหวกแนวพิสดารมากมายตลกขบขันก็มีเกิดขึ้นบ่อย ๆ อาทิเช่น มีฝรั่งต่างชาติรู้ข่าวว่าท่านสมเด็จโตเก่งอัจฉริยะ จึงลองภูมิปัญญาท่านสมเด็จโตว่า "จุดศูนย์กลางของโลกอยู่ตรงไหน?" ท่านสมเด็จตอบฝรั่งไปว่า "จุดศูนย์กลางของโลกนั้นอยู่ทุกหนทุกแห่งบนพื้นผิวโลก ไม่ว่าฉันจะไปยืน ณ ที่ใดตรงนั้นคือจุดศูนย์กลางของโลก " ฝรั่งถามว่า ท่านพิสูจน์ให้เห็นได้ไหม ? ท่านสมเด็จตอบว่า "ฉันพิสูจน์ได้แล้วท่านจะว่าอย่างไร "ฝรั่งไม่ตอบ จากนั้นสมเด็จโตก็ถือตาลปัตรมือหยิบสายสิญจน์แทนเชือก เอาสายสิญจน์ผูกที่ตาลปัตรเอาตาลปัตรปักดินแลังดึงเชือกสายสิญจน์ให้ตึงกางออก ใช้ปลายนิ้วแทนดินสอ จากนั้นก็ลากลงบนพื้นดินเป็นวงกลม ท่านสมเด็จบอกว่า วงกลมคือโลก เพราะฉะนั้นฉันยืนอยู่จุดศูนย์กลางของโลกตรงจุดที่ตาลปัตรปักดินนั้นแหละ

         เมื่อเป็นเช่นนี้ฝรั่งยอมแพ้กลับไป ยังมีอีกหลายเรื่องที่ท่านสมเด็จโตย่อมรู้กาลเวลาอนาคตมีครั้งหนึ่ง หญิงจีนมาขอหวยท่านสมเด็จโต แอบมานัดกับเด็กวัดโดยแนะให้ขึ้นไปคุยกับท่านสมเด็จโตบนกุฏิให้เด็กวัดชวนพูดแล้วบีบนวดไป จากนั้นเด็กวัดก็ถามท่านสมเด็จโตว่า "ท่านตา ท่านตา หวยงวดนี้มันจะออกอะไร " เมื่อท่านสมเด็จโตได้ยินดังนั้น ท่านก็ตอบว่า ข้าตอบไม่ได้โว้ย เดี๋ยวหวยของข้าจะรอดร่อง ขณะนั้นก็บังเอิญอาเจ็คคนนี้แกแอบอยู่ใต้ถุนกุฏิแกแอบได้ยินสมเด็จโตพูดอย่างนั้นก็เปิดแน่บไปเลย





   นอกจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว ก็ยังมีเหตุการณ์อื่น ๆ อีก มีครั้งหนึ่งขณะที่ท่านสมเด็จโตกำลังจะไปธุระ บังเอิญเรือติดหล่มต้องเข็นเรือกัน ท้านสมเด็จโตได้เอาพัดยศวางไว้ในเรือแล้วรีบมาช่วยคนอื่นซึ่งเป็นลูกศิษย์เข็นเรือ บังเอิญชาวบ้านแถบนั้นแลเห็นเข้าหัวเราะชอบใจขบขัน พูดตะโตนออกมาว่า "ดูท่านสมเด็จเข็นเรือ" เสมือนหนึ่งล้อเลียนท่านในเชิงปัญญาขบขันเมื่อเป็นเช่นนั้นสมเด็จโตก็พูดออกมาว่า สมเด็จเขาไม่ได้เข็นเรือหรอกจ้ะ สมเด็จท่านอยู่บนเรือ ว่าแล้วท่านสมเด็จโตก็ชี้มือไปที่พัดยศในเรือ เมื่อชาวบ้านต่างได้ยินได้ฟังแลเห็นเช่นนั้น ก็เงียบกริบไม่ว่าอะไร เรื่องพิสดารอย่างนี้ก็สมีเกิดขี้นเราขอพาท่านไปดูเหตุการณ์ในอีกลักษณะหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องลองภูมิปัญญากัน มีครั้งหนึ่ง ท่านในหลวงได้มีราชโองการโปรดเหล้าให้ท่านสมเด็จโตเข้าเฝ้าถวายพระธรรมเทศนาในวัง เมื่อสมเด็จโตท่านมาถึงนั่งธรรมมาสก์เสร็จก็เอ่ยปากพูดว่า "ตีพระมหาบพิธก็รุ้ ชั่วพระมหาบพิธก็รู้ เพราะฉะนั้นวันนี้อากาศแจ่มใสดี เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้"

         เมื่อเจ้าเหลวงได้ยินดังนั้น ก็แลเห็นท่านโตลุกจากธรรมมาสก์แล้วมิได้มองเจ้าหลวง เจ้าหลวงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยปากเรียกสมเด็จโตว่า ท่านโต ท่านโต ทำไมถึงเทศน์จบเร็วจัง ไงไม่เข้าใจ ท่านโตก็เฉลยว่าที่พูดว่าอากาศแจ่มใสดี ดีก็รู้ ชั่วก็รู้ ก็หมายถึงว่าวันนี้จิตใจของพระมหาบพิธรื่นเริงสดชื่น ปราศจากความหม่นหมองใจ ก็คือความหมายที่ว่าอากาศแจ่มใสดี อาตมาจึงเทศน์เพียงเท่านี้ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร เมื่อพระมหาบพิธได้ยินดับนั้นก็รู้สึกเข้าใจในความหมายเทศน์ เป็นยังไงท่านผู้อ่าน เรื่องราวแหลวแหวกแนวพิสดารแสดงกถึงภูมิปํญญาอัจฉริยะของท่านสมเด็จโต ยังมีอีกมากมายที่จะบอกเล่าให้ท่านผู้อ่านได้รู้กัน

         มีอยู่ตอนหนึ่ง ขณะที่เจ้าหลวงเชิญสมเด็จโตมาเทศน์ วันนั้นท่านโตเทศน์นานแล้วนานเล่าจนกิริยาอาการของเจ้าหลวงเริ่มเหนื่อยหน่ายหงุดหงิด พอท่านโตเทศน์เสร็จ เจ้าหลวงถามท่านโตว่า ท่านโตวันนี้ทำไมถึงเทศน์นานจัง เราเมื่อย เหนื่อย อยากจะถาม ท่านโตได้ยินดังนั้นก็ตรัสตอบไปว่า ก็วันนี้จิตใจของมหาบพิธเต็มไปด้วยความทุกข์เร่าร้อนในอารมณ์ตลอดเวลา จึงเทศน์ให้มันเย็นจึงนานไปหน่อย

         ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่จะกล่าวถึง คือ ในวันนั้น ท่านสมเด็จโตได้ออกจากกุฏิมุ่งหน้าไปธุรกิจ แจงเรือผ่านไปตามคลองชาวบ้านก็แลเห็น ต่างก็พูดขอหวยท่านโตต่าง ๆ นานา รู้กิตติศัพท์ว่า ท่านให้แม่น สงสารคนจน และเวลาเทศนาธรรมที่ใด ท่านสมเด็จได้เงินกัณฑ์เทศน์มา ก็นำมาแจกชาวบ้านและเด็กจน ๆ แม้แต่สตางค์แดงเดียวก็มิเอา ครั้นพอขากลับวัด ท่านสมเด็จโตก็ซื้อหม้นขนมาเต็มลำเอเอ่เจตนารมณ์จะบอกใบ้ให้ชาวบ้านจน ๆ ตึปริศนาไปแทงกัน เพราะรู้ว่าหวยจะต้องออก "ม" มอม้า วันนี้ จึงซื้อหม้อมาเต็มลำเรือ บังเอิญชาวบ้านที่ท่านสมเด็จโตแจงเรือผ่านมาตามริมคลองแลเห็นเข้าต่างก็ตะโกนพูดว่า "ท่านโตเป็นอะไร ทำไมถึงซื้อหม้อมาเยอะแยะนะ" แต่ก็มีชาวบ้านที่ปัญญาฉลาดตีความถูก วันนั้นพอเห็นท่านโตซื้อหม้อมาเยอะแยะรู้ว่าหวยออก ม. มอม้า จึงรีบไปแทง ครั้นพอหวยประกาศออกมาปรากฏว่า ออก "ม" มอม้า นี่ก็แสดงให้ท่านผู้อ่านได้แลเห็นว่า ท่านสมเด็จโตเป็นอัจฉริยะบุคคลที่มีใช่บุคคลธรรมดา เก่งด้วยวิปัสสนากรรมฐาน รู้อดีต รู้ปัจจุบัน และรู้อนาคต ยังมีอีกหลายต่อหลายบทตอน ที่จะหยิบยกเอามาพูดกันให้รู้ทีละตอน ๆ




มีคราวหนึ่ง ท่านสมเด็จโตได้สร้างพระสมเด็จขึ้นมาพิมพ์หนึ่ง โดยผีมือช่างหลวงช่วยแกะพิมพ์ให้ พอสร้างเสร็จปลุกเสกเสร็จท่านโตก็ได้ให้พระสมเด็จทรงพิมพ์นี้ ให้ ร.5 ติดตังไป ท่าน ร.5 ได้นำพระสมเด็จที่สมเด็จโตสร้างติดตัวไปประเทศเยอรมันพอถึงเยอรมัน กษัตริย์เยอรมันพบ ร.5 เข้าก็แปลกใจ แลเห็นที่หน้าอกของ ร.5 มีแสงสว่างประกายออกมา จึงกราบเรียนถาม ร.5 ว่า ในตัวมีอะไร ร.5 ก็นึกขึ้นมาได้ว่า มีพระสมเด็จองค์หนึ่งที่ท่านโตให้ติดตัวมา จึงถวายให้กับกษัตริย์เยอรมันไป จึงเรียกสมเด็จทรงพิมพ์นี้ว่า ทรงพิมพ์ไกเซอร์

         ท่านผู้อ่านที่เคารพยิ่ง ตามประวัติต่างๆ ที่ผู้เขียนได้หยิบยกขึ้นมาเขียนกล่าว บางครั้งอาจจะคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงไปบ้าง เขียนถูกบ้างผิดบ้าง ขอได้โปรดอภัยแต่เจตนารมณ์ของผู้เขียนมุ่งที่จะจรรโลงไว้ซึ่งศาสนาให้เจริญสูงส่ง รวมทั้งสถาบันกษัตริย์และประการสุดท่านก็คือส่งเสริมคุณค่าและความดีเกียรติคุณยกเบขิดให้ท่านสมเด็จโตมิได้มุ่งทำลาย อดุมการณ์ของผู้เขียนมีอย่างนี้จึงได้เพียรพยายามทุกวิถึทางที่จะให้หนังสือเล่มนี้ได้สำเร็จขี้นมาด้วยความเพียรและขอบรารมีพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใฟ้ดลบังดาลเดิดผลคุณค่าทางปัญญา ส่งผลออกมาทางลายลักษณ์อักษร ให้ท่านได้ดูอ่านชมกัน เพื่อให้ได้มาซึ่งสมบูรณ์แบบครบด้วนอาจจะขาดเหลือไปก็เพียงเล็กน้อย ผลอันนี้มุ่งหวังให้ท่านผู้อ่านทั้งประเทศหรือต่างประเทศได้รู้ถึงคุณค่าของพระพุทธศาสนาไทยเรา และรู้คุณค่าของประวัติความดีของสมเด็จโต ตลอดจนพระสมเด็จที่ท่านสมเด็จโตได้สร้างขึ้น

         สุดท้ายนี้ ผลงานความดีทั้งหลายแหล่ที่ได้จากากรจัดทำนั้น ผู้เขียนขอน้อมเกล้าถวายยกให้พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอรหันต์ ตลอดจนสมเด็จโต รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลายในสากลโลกทั้งหมด ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด และศาสนาใด ๆ จงได้รับผลอานิสงค์บุญจากการจัดทำหนังสือเล่มนี้ไปด้วยเทอญ ความบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ผู้เขียนขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว

         คราวหนึ่งเจ้าประคุณสมเด็จฯ ไปธุระทางแขวงจังหวัดนนทบุรีด้วยเรือแจง ขอกลับพอมาถึงปากคลองสามเสน เด็กศิษย์คนหนึ่ง ได้เอากะโหลกออกไปตัก น้ำ จะเนื่องด้วยเหตุใดไม่ปรากฏ กะโหลกนั้นได้พลัดหลุดจากมือจมลงไปในแม่น้ำ ท่านพูดว่า "งมที่นี้ไม่ได้เพราะน้ำลึก ต้องไปงมที่หน้าวัดระฆังจึงจะได้" เมื่อถึงวัดระฆังท่านจึงให้เด็กศิษย์นั้นลงไปงมทื่หน้าวัด ก็ได้กะโหลกลมจริงดังที่ท่านบอก


ว่าด้วยอภินิหาร

เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้ศึกษาเชี่ยวชาญทั้งในทางคันถธุระและวิปัสสนาธุระดังกล่าวมา นับว่าท่านเป็นอัจฉริยะบุรุษผู้หนึ่งที่หาได้ยากในโลก" (ด้วยปรากฎว่ามีแต่ผู้ชำนาญเฉพาะธุระเดียวที่ชำนาญทั้งสองธุระนั้นหายาก) เห็นจะเป็นเราพะท่านเชี่ยวชาญในสองธุระประกอบกันจึงเดิดเสียงเลื่องลือกันว่า ท่านทรงคุณในวิทยาคุณานุภาพศักดิ์สิทธ์ว่านี้มาต์หรือเครือ่งวิทยาคมของท่าน มีคุณานุภาพศักดิ์สิทธิ์คือแก้โคกต่าง ๆ ค้อมกันสรรพภัย ค้าขายดี ทางเมตตามหานิยมก็ว่าดีนัก อนึ่งว่ากันว่า ท่านทรางคุณวิเศษถึงสามารถทำสิ่งซึ่งเหลือวิสัยมนุษย์สามัญให้สำเร็จได้ อาทิเช่น ทำให้ คลื่นลมสงบ ห้ามฝน ย่นหนทางฯ ดังจะยกมาสาธกเป็นอุทาหรณ์ต่อไป ในรัชกาลที่ 4 โปรดฯ ให้สร้างพระราชวัง พระที่นั่ง และพระเจดีย์วิหารที่บนเขามหาสมณะ จังหวัดเพชรบุรีพระราชทานนามเรียกรวมกันว่า "พระนครคิรี" (และเขามหาสมณะนี้นพระราชทานนามใหม่ว่าเขามไหศวรรย์) ในจดหมายเกตุของหมอบรัดเล (พิมพ์ไว้ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 120หน้า 52) ว่า โปรดฯ ให้เฉลิมพระราชมณเฑียรที่พระนครคีรี พร้อมกับบรรจุพระบรมธาตุในพระเจดีย์ศิลา

เมือเดือนพฤษภาคม ปีจอ พ.ศ.2405 ดังนี้ กล่าวกันว่า เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ไปในงานพระราชพิธินั้เนด้วยขากลับท่านออกเรือจากปากอ่าวบ้านแหลมจะข้ามมาอ่าวแม่แลอง เวลานั้นคลื่นลมจัดมาก ชาวบ้านห้ามท่านก็ไม่ฟัง ว่าท่านได้ออกมายืนที่หน้าเก๋งเรือโบกมือไปมา ไม่ช้าคลื่นลมก็สงบราบคาบ

คราวหนึ่งมีการก่อพระเจดีย์ทรายที่ในวัดระฆัง ประจวบกับวันนั้นมีเมฆฝนตั้งมืดคลึ้ม คนทั้งหลายเกรงฝนตก จึงไปกราบเรียนปรารภกับเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ท่านได้กล่าวพร้อมกับโบกมือว่า "ตกที่อื่น ๆ" ว่าน่าประหลาดที่ในวันนั้นปรากูฎว่าฝนไปตกที่อื่นหาได้ตกที่ในตำบลศิริราชพยาบาลไม่ คราวหนึ่งเขานิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จฯ ไปในงานพิธีโกนจุกที่จังหวัดอ่างทอง ท่านได้เริ่มออกเดินทางก่อนถึงกำหนดเวลาเพียง 3 ชั่วโมง มีผู้สงสัยว่าท่านจะไปทันเวลากำหนดได้อย่างไร ถึงกับได้สอบถามไปยังเจ้าภาพในภายหลังต่อมา ก็ไดรับคำตอบว่าท่านไปทันเวลาตามฎีกาทุกประการ (ว่าวิชานี้ท่านได้เรียนต่อพระอาจารย์แสง ที่จังหวัดลพบุรี)






กล่าวกันว่า เจ้าประคุณสมเด็จฯ ไม่มีเงินติดตัว เพราะท่านเป็นผู้มีอัธยาศัยมักน้อยไม่เก็บสะสม (ดังเล่ามาแล้วในที่อื่น) แต่น่าประหลาดที่ท่านสามารถสร้าง ปูชนียวัตถุสถานใหญ่ ๆ โต ๆ สำเร็จหลายแห่ง (บางแห่งสร้างค้างไว้ เช่นพระโตวัดอินทรวิหารว่าท่านประสงค์จะให้ผู้อื่นสร้างต่อบ้าง) มีผู้ได้พยายามสังเกตกันนักหนาแล้วแต่ก็ไม่ทราบว่าท่านเอาเงินมาแต่ไหน พระเทพราชแสนยาว่าควาวหนึ่งจึนช่างปูนไปขอเงินค่าจ้างก่อสร้างจากเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ 1 ชั่ง (80 บาท) ท่านบอกให้หลวงวิชิตรณชัยหลายชาย ไปเอาเงินที่ใต้ที่นอนของท่าน หลวงวิชิต ฯ กลับมากราบเรียนว่า ได้ไปค้นหาดูแล้วไม่เห็นมีเงินอยู่เลย ท่านสั่งให้ไปค้นหาใหม่ ก็ได้เงิน 1 ชั่ง เรื่องนี้หลวงวิชิต ฯ ว่าน่าประหลาดนักหนา


มีสิ่งหนึ่ง ที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ทำไว้ที่วัดระฆัง คือน้ำมนต์ จะเขียนแทรกลงไว้ตรงนี้ มีคำเล่ากันว่า เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ปลุกเสกลงเลขยันต์ศิลา 3 ก้อน ก้อนหนึ่ง เอาไปไว้ที่ในสระหลังวัด (สระนี้ตื้นเขินนานแล้ว) ก้อนหนึ่งเอาไว้ในสระกลางน้ำ (สระนี้ยังมีปราฏอยู่) อีกก้อนหนึ่งเอาไว้ในแม่น้ำตรงหน้าวัด (ห่างเขื่อนราว 2 วา ประมาณว่าอยูตรงกลางโป๊ะท่าเรือ) ว่าน้ำในที่ทั้งสามแห่งนั้น มีคุณานุภาพศักดิ์สิทธิ์ต่างกัน คือน้ำที่สระหลังวัด อยูคงกระพันชาตรี น้ำที่สระกลางวัด ทางเมตตามหานิยม น้ำที่หน้าวัดทำให้เสียงไพเราะ (เหมาะกับนักร้อง) และว่าเมื่อจะตักน้ำที่หน้าวัดน้ำให้ตักตามน้ำ (ห้ามตักทวนน้ำ) ถ้าน้ำนิ่งให้ตักตรงไปอภินิหารของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ นับถือกันสืบมา จนเมื่อท่านถึงมรณภาพแล้ว ดังปรากฎว่ามีผู้คนไปบนบานปิดทองที่รูปหล่อของท่านเนือง ๆ (อธิบายเรื่องรูปหล่อของเจ้าประคุณสมเด็จฯ จะปรากฎต่อไปในที่อื่นข้างหน้า) ว่ากันว่าเพียงแต่ตั้งจิตระลึกถึงท่าน ก็ยังให้เกิดประสิทธิผลอย่างน่ามหัศจรรย์ จะยกมาอ้างเป็นอุทาหรณ์ ดังเช่นเจ้าคุณธรรมกิติ (ลมูล สุตาคโม ป.6) วัดระฆังกลับไม่ทันรถไฟ ต้องเดินมาลงเรือเมล์โดยสารที่ท่าเรือ พอย่างเข้าชานสถานีเรือ มีชายคนหนี่ง ในเครื่องแต่งกายชุดดำ เดินออกจากที่กำบังตรงเข้ามาขวางทาง (สังเกตไม่ได้ว่าจะมีอาวุธหรือไม่ เพราะเป็นเวลามืด) ถามว่า "ท่านจะไปไหน" ตอบว่า จะไปหาเจ้าประคุณสมเด็จฯ ขอให้ช่วยคุมภัย

         ท่านว่า แล้วชายคนนั้นก็ออกเดินหลีกทางไปโดยไม่ได้พูดอะไร และว่าอีกคราวหนึ่ง (ดูเหมือนจะเป็น พ.ศ.2485) ท่านไปเทศน์ที่วัดอินทาราม แขวงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้เรือจ้างส่งที่แพหน้าวัดสุวรรณเจดีย์ (ตำบลหัวเวียง) ด้วยหมายจะขึ้นไปพักวัดนั้นก่อน แต่ขึ้นวัดไม่ได้เพราะน้ำท่วม เวลานั้นดึกมาก ผู้คนนอนหลับกันหมดแล้ว ทั้งฝนก็ตกพรำ ๆ ท่านมิรู้จะทำอย่างหร เลยนั้นพักอยู่บนตุ่มปูนที่ข้างแพนั้น สักครู่หนึ่งมีชาย 2 คน พายเรือทวนนี้ขึ้นไปทางเหนือ ท่านจึงเอาไฟฉายส่องที่ตังท่านเอให้รู้ว่าเป็นพระ พร้อมกับร้องเรียนให้ช่วยรับส่งขึ้นที่วัด ชาย 2 คนนั้นจะได้ยินหรือไม่ไม่ทราบ แต่หาได้นำพาต่อคำขอร้องของท่านไม่ คงเร่งพายเรือต่อไป

         ท่านจึงตั้งจิตระลึกถึงเจ้าประคุณสมเด็จฯ ว่า เวลานี้ลูกลำบาก ขอให้หลวงพ่อช่วยลูกด้วย ท่านว่า น่าประหลาดที่ต่อมาสัก 4-5 นาที ชาย 2 คนนั้นได้พายเรือมารับท่าน ส่งขึ้นวัดสุวรรณเจดีย์ตามประสงค์ พระอาจารย์ขวัญวิสิฎโฐ เล่าเรื่องหนึ่งว่า คราวหนึ่ง มีงานฉลองสุพรรณบัฎสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร ณ อยุธยา) ที่วัดระฆังในงานนั้นมีอาจารย์มาประชุมกันหลายรูป พอตกบ่ายฝนตั้งเค้ามือครึ้ม เสมียน (ตรา) เหมือน บ้านหลังตลาดบ้านขมิ้น จังหวัดธนบุรี ผู้ซึ่งมีความเคารพในเจ้าประคุณสมเด็จฯ มาก ได้กล่าวขึ้นในที่ประชุม ว่าท่านผู้ใดจะสามารถห้ามไม่ให้ฝนตกไดั ที่ประชุมต่างนิ่งไม่มีใครว่าขานอย่างไร เสมือนเหมือนกล่าวต่อไปว่า (สมเด็จโตถึงจะห้ามฝนได้" ดังนี้ แล้วผินหน้าไปทางรูปหลบ่อเจ้าประคุณสมเด็จฯ จะธูปเทียนบุชาสักการะตั้งสัตยาธิศฐานขออย่าให้ฝนตกที่วัด ว่าวันนั้นฝนตกเพียงแค่โรงหล่อ หกตกถึงที่วัดระฆังไม่ คนทั้งหลายต่างเห็นอัศจรรย์ยิ่งนัก นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวเล่ากันอึกมากมายหลายเรื่อง

          ทีนี้จะพรรณาว่าด้วยอภินิหาร พระพุทธรูปที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ สร้างต่อไป จะกล่าวงถึงพระโตก่อน อันพระโต (หรือเรียกกันว่า "หลวงพ่อโต") ที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ สร้างไว้นี้ ดูเหมือนจะมีอภินิหารศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น ข้อนี้จะพึงสังเกตุเห็นได้ ด้วยมีประชาชนไปปิดทองบนบานศาลกล่าวและเซียมซีเสี่ยงทายกันเนือง ๆ บางแห่งถึงจัดให้มีงานประจำปี มีพุทธศาสนิกชนจากแหล่งต่าง ๆ ทั่วประเทศมาชุมนุมกันในคราวหนึ่ง ๆ นักแสน ว่าเฉพาะพระโตวัดไชโยปรากฎในหนังสือ "ลิลิตพายัพ" พระราชนิพนธ์












ในรัชกาลที่6 ว่าเมื่อปีมะเส็ง พ.ศ.2448 พระบาทสมเด็จ ฯ พระมงกุฎกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เสด็จประพาสหัวเมืองมณฑลพายัพ ขากลับกรุงเทพฯ เสด็จทางชลมารคถึงวัดไชโจได้เสด็จขึ้นนมัสการ ดังที่ทรงพระราชนิพนธ์เป็นโคลงไว้ดังนี้

ถึงไชโยหยุดยั้ง นาวา

พระเสด็จขี้นอุรา วาสนั้น

นมัสการปฏิมา กรเกตุ

คุณพระฉัตรกั้น เกศข้า ทั้งปวง

         ในที่นี้จะกล่าวถึงอภินิหารพระโตวัดอินทรวิหาร เป็นนิทัศนุทาหรณ์ พระโตองค็นี้เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ว่าสามารถคุ้มกันสรรพภัยพิบัติและให้เกิดสุขสวัสดิ์ ลาภผลอย่างมหัสจรรย์ ดังพรรณนาไว้ในเรื่องประวัติ พิมพ์เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2490 คัดมาลงไว้ต่อไปนี้

         อภินิหารของหลวงพ่อโตศักดิ์สิทธ์มาก ดังเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วโดยทั่วกัน สักขีพยานซึ่งได้เห็นกันอยู่ในเร็วๆ นี้ ในระหว่างที่บ้านเมืองกำลังอยู่ในระหว่างสงคราม (พ.ศ.2484-2487) หลวงพ่อโตหาได้กระทบเทือนอย่างใดไม่ คงอยู่เป็นมิ่งขวัญ เป็นที่สักการะของชาวเราอยู่ตลอดไป ได้มีผู้กล่าวสรรเสริญถึงอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ของท่านอยู่เสมอมิได้ขาด ในยามสงครามประชาชนในเขตอื่น ๆ อพยพกันเป็นจ้าระหวั่น แต่ในบริเวณเขตหลวงพ่อโต มิใคร่จะมีใครอพยพกัน

         ซึ่งมีบางท่านกล่าวว่า จะไม่ยอมไปไกลจากองค์หลวงพ่อโตเป็นอันขาด แต่มีบางท่านจะต้องอพยพ ได้ไปลาสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสสเทว) วัดสุทัศน์ มีรับสั่งว่าอย่าไปเลย ในบริเวณวัดอินทรวิหารเหมาะและปลอดภัยแล้ว เพราะหลวงพ่อโตท่านก็คุ้มครองอยู่ คงจะปัดเป่าภยันตรายไปได้และสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านเป็นผู้สร้างได้ทำไว้ดีแล้ว ประชาชนส่วนมากในวัดอินทรวิหารจึงไม่ใคร่อพยพจากไป นอกจากนั้นเมื่อมีภัยทางอากาศเกิดขึ้นในคราวใด ประชาชน ในเขตอื่น ๆ ยังพลอยหลบภัยเข้ามาอาศัยอยู่ในบริเวณหลวงพ่อโตเป็นจำนวนมาก ปรากฎว่ามีเครื่องบินมาทิ้งลูกระเบิดที่บริเวณวัดอินทรวิหารเหมือนกัน เป็นลูกระเบิดเพลิงรวมด้วยกัน 11 ลูกแต่ไม่ระเบิด และไม่เกิดเพลิงอย่างใด ในครั้งต่อมาได้มีเครื่องบินมาทึ้งระเบิดที่ตำบลเทเวศร์โอยเฉพาะองค์หลวงพ่อโตวัดอินทรวิหารใกล้กับจุดอันตรายมากแต่หาเป็นอันตรายแม้แต่น้อยไม่

         ซึ่งประชาชนส่วนมากที่หลบภัยเข้ามาในบริเวณหน้าหลวงพ่อโตมองเห็นฝูงเครื่องบินมาทิ้งระเบิดบ่ายโฉมหน้ามุ่งตรงมายังหลวงพ่อโต ครั้นมาถึงในระยะใกล้เครื่องบินฝูงนั้นกลับวกมุ่งไปทางทิศอื่นเสีย ซึ่งดูประหนึ่งหลวงพ่อโตท่านโบกหัตถ์ให้ไปทางทิศอื่นเสีย ประชาชนและบ้านเรือนในเขตบริเวณหน้าหลวงพ่อโตวัดอินทรวิหารจึงหาเป็นอันตรายแต่ประการใดไม่




เรื่องที่กล่าวมานี้ นับว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์อยู่มิใช้น้อย นี้ก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วว้า หลวงพ่อโตวัดอินทรวิหารท่านมีอภินิหารความศักดิ์สิทธ์มากเพียงใด จนกระทั่งในทุกวันนี้ประชาชนก็พากันมานมัสการสักการะบูชามิได้ขาด ชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้ามาชมพระนคร ก็ยังเลยมานมัสการหลวงพ่อโตเสมด

         "ตามปกติประชาชนนิยมน้ำมนต์ของท่านมาก มีผู้มาขอน้ำมนต์ของท่านไม่เว้นแต่ละวัน น้ำมนต์ของทานเมื่ออธิษฐานแล้วใช้ได้ตามความปรารถนา เป็นมหานิยมดีด้วย เวลาที่จะไปหาผู้ใดผู้นั้นก็มีความเมตตากรุณา ก่อนที่จะใช้น้ำมนต์ของท่านให้ได้สมความปรารถนาแล้ว ควรจะทราบวิธีใช้ด้วย คือเมือ่ผู้ใดจะเอาน้ำมนต์ของหลวงพ่อไปใช้ควรหาเครื่องสักการะบูชาเช่นธูปเทสียนดอกไม้บูชาเสียก่อนแล้วตั้งจิตให้แน่วแน่น้อมระลึกถึงองค์หลวงพ่อโตตลอดจนสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ผู้สร้างให้ช่วยตามความปรารถนาแล้วนำน้ำมนต์ไปให้รับประทานและอาบตามความประสงค์ ผู้นั้นจะประสบแต่โชคชัย เคราะห์ร้ายก็อาจจะกลับกลายเป็นดีได้ ด้วยประการฉะนี้"

         พระพิมพ์ของเจ้าประคุณสมเด็จฯ หรือเรียกกันตามสะดวกปากว่า "สมเด็จ" นั้น ได้กล่าวมาแล้วว่าเจ้าประคุณสมเด็จได้สร้างขึ้นไว้ด้วยมุ่งหมายจะให้เป็นการสืบต่ออายุพระศาสนาเป็นข้อสำคัญ แต่น่าประหลาดอยู่ ที่คนทั้งหลายต่างนับถือพรสมเด็จเป็นเครื่องรางที่ทรงคุณานุภาพเป็นอย่างวิเศษ ว่าในบรรดาพระเครื่องราง พระสมเด็จเด่นอยู่ในความนิยมของสังคมในทุกยุคทุกสมัยและว่าจะหาซื้อได้ด้วยเงินตราในราคาแพงมาก อันเรื่องเกี่ยวกับอภินิหารพระสมเด็จนั้น ได้ฟังเล่ากันมากมายหลายเรื่อง จะเขียนลงไว้แต่เฉพาะบางเรื่อง ดังต่อไปนี้

         กล่าวกันว่า ภายหลังแต่เจ้าประคุณสมเด็จฯ ถึงมรณภาพ พระสมเด็จที่ใส่บาตร สัด และกระบุงตั้งไว้ที่หอสวดมนต์นั้น ได้ขนย้ายเอาไปไว้ที่ในพระวิหารวัดระฆัง (ว่าเอาไว้ที่บนเพดานพระวิหารก็มี) โดยมิได้มีการพิทักษ์รักษากันอย่างไร เป็นต้นว่าประตูวิหารก็ไม่ได้ใส่กุญแจ ในปีหนึ่งเป็นเทศกาลตรุษสงกรานต์ มีทหารเรือหลายคนมาเล่นการพนันที่หน้าวัด เช่นหยอดหลุม ทอยกอง เป็นต้น จะเนื่องด้วยเหตุใดไม่ปรากฏ ทหารเรือเหล่านั้นได้เกิดวิวาทถึงชกต่อยตีรันกันเป็นโกลาหล ทหารเรือคนหนึ่งได้เข้าไปเอาพระสมเด็จใสพระวิหารมาอมไว้องค์หนึ่ง แล้วกลับมาชกต่อยตีรันประหัตประหารกันต่อไปที่สุดปรากฎว่าทหารเรือคนนี้นไม่ได้รับบาดเจ็บอย่างไร แม้รอยฟกช้ำก็ไม่มี ส่วนทหารเรือคนอื่น ๆ ต่างได้รับบาดเจ็บ ที่ร่างกายมีบาดแผลมากบ้างน้อยบ้างทุกคน อีกเรื่องหนึ่งว่า คราวหนึ่งมีชายคนหนึ่งอยู่บ้านตำบลไชโย จังหวัดอ่างทอง ป่วยเป็นโรคอหิวาต์ คือวันหนึ่งฝันว่า เจ้าประคุณสมเด็จฯมาบอกว่า "ยังไม่ตายให้ไปเอาพระสมเด็จที่บนเพดานพระวิหารวัดระฆังมาทำน้ำมนต์กินเถิด" พวกญาติได้พยายามแจวเรือกันมาเอาพระสมเด็จไปอธิษฐานทำน้ำมนต์ให้กิน ก็หายจากโรคนั้น ทั้ง2 เรื่องที่เล่ามานี้ ว่าเป็นมูลให้เกิดคำเล่าลือถึงอภินิหารพระสมเด็จเป็นประถม


    พระอาจารย์ขวัญ วิสิฎโฐ เล่าว่า มาหญิงคนหนึ่ง ชื่อจัน ภูมิลำเนาเดิมอยู่จังหวัดอ่างทอง คุ้นเคยสนิทสนมกับเจ้าประคุณสมเด็จฯ แต่ยังเยาว์วัย ต่อมานางจันได้ย้ายมาประกอบอาชิพตั้งร้านค้าอยู่ทางแขวงจังหวัดนนทบุรี ภายหลังยากจนลงเพราะการค้าขาดทุนนางจันได้ยินกิตติศัพท์เลื่องลือถึงคุณวิเศษของเจ้าประคุณสมเด็จฯ วันหนึ่งจึงเข้าไปหาท่าน สนทนากันในตอนหนึ่ง นางจันกล่าวว่า "เวลานี้ดิฉันยากจนมาก" ท่านว่า "มาที่นี่ไม่จนหรอกแม่จัน" แล้วท่านหยิบพระประจำวันให้นางจันองค์หนึ่ง (จะเป็นพระประจำวันอะไรหาทราบไม่) บอกให้อาราธนาทำน้ำมนต์อธิษฐานตามปรารถนา และว่า "ถ้าแม่จันควยแล้วอย่ามาหาฉันอีกนะจ๊ะ" นางจันกราบเรียนถามว่า "เป็นยังไงล่ะเจ้าคะ?" ท่านตอบว่า "ฉันไม่ชอบคนรวย ฉันชอบคนจนจ้ะ" ว่านางจันได้พระมาแล้วทำตามที่ท่านบอก แต่นั้นการค้าก็เจริญขี้นโดยลำดับ ที่สุดนางจันก็ตั้งตัวได้เป็นหลักฐานผู้หนึ่งในถิ่นนั้น นางจันทีอายุอ่อนกว่าเจ้าประคุณสมเด็จฯ เรียกเจ้าประคุณสมเด็จฯ ว่า "หลวงพี่" มีคนถามนางจันว่า "รวยแล้วทำไมจึงไม่ไปหาสมเด็จฯ อีกเล่า" นางจันตอบว่า "เพราะหลวงพี่โตสั่งไว้ว่า ถ้ารวยแล้วห้ามไม่ให้ไปหา หลวงพี่โตนี่แหละศักดิ์สิทธิ์นัก พูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น"

         ร้อยเอกหลวงวิจารณ์พลฉกรรจ์ (แสวง ผลวัฒนะ) สัสดีจังหวัดกาญจนบุรี ว่า คราวหนึ่งไปราชการทหารที่ตำบลพนมทวนในจังหวัดนั้น กถูกคนร้ายลอบยิงหลายนัด แต่ไม่เป็นอันตราย ว่าเพราะมีพระสมเด็จที่บิดา ( นาย อาญาราช อิ่ม ซึ่งเมื่อบวชเป็นต้นกุฏิเจ้าประคุณสมเด็จฯ ให้ไว้)

         นายเปลื้อง แจ่มใส ว่าเมื่อยังรับราชการในกรมรถไฟ แผนกช่างเวลานั้นอายุราว 25 ปี คราวหนึ่งได้ขึ้นไปตรวจทางรถไฟสายเหนือซึ่งเพิ่งสร้างเสร็จขณะยืนตรวจการอยู่ท้ายรถถึงที่แห่งหนึ่ง (ตำบลบ้านแม่ปิน จังหวัดแพร่) รถแล่นเข้าโค้ง พอนายเปลื้องประมาทตัวนายเปลื้องได้พลัดตกจากรถลงไปนอนอยู่ข้างทาง (เวลาตกนั้นรู้สึกตัวเบามาก) แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บอย่างใด เป็นเพียงเท้าขัดยอกบ้างเล็กน้อยเท่านั้น นายเปลื้องว่าที่ตัวไม่มีอะไรนอกจากพระสมเด็จ จึงเชื่อมั่นว่าที่ไม่เป็นอันตรายนั้นเป็นเพราะอานุภาพพระสมเด็จแน่นอน

         พระอาหรภัตรพิสิฐ (เล็ก อุณหนันท์) เล่าหลายเรื่อง เรื่องหนึ่งว่า คราวหนึ่งหญิงลูกจ้างคนหนึ่งชื่อรูป เกิดโรคท้องเดินจงตัวซีด (เข้าใจว่าเป็นโรคอหิวาต์) ในเวลานั้นดึกมากราว 1.00 น. ไม่ทราบว่าจะไปหายาที่ไหน นึกขึ้นถึงพระสมเด็จที่มีอยู่ (เป็นพระชนิดปรกโพธิ์ใบ) คุณพระจึงอาราธนาทำน้ำมนต์ให้กินบ้าน เอาตบศีรษะบ้าง สักครู่หนึ่งก็นอนหลับ เมื่อตื่นขึ้นหญิงนั้นบอกว่า ได้ฝันว่า มีพระสงฆ์แก่องค์หนึ่งมาบอกว่า "ยังไม่ตาย" ว่าได้กินน้ำมนต์นั้นเรื่อย ๆ มา จนอาการโรคคลายหายเป้ปกติดี เรื่องหนึ่งว่าเมื่อภรรยาจะคลอดบุตรคนสุดท้อง เจ็บครรภ์อยู่จนถึง 3 วันก็ยังไม่คลอด คุรพระจึงจะธูปเทียนบูชาสักการะ อาราธนาพระสมเด็จลงแช่ในน้ำ ตั้งจิตอธิษฐานตามประสงค์ แล้วเอาน้ำนั้นให้กินบ้าง ตบศีรษะบ้าง ว่าไม่ช้านักก็คลอดอย่างง่ายตาย เรื่องหนึ่งว่า แขกที่พาหุรัดคนหนึ่ง ซึ่งชอบพอคุ้นเคยกับคุณพระบอกว่า ที่เขาได้ภรรยา 3 คนที่อยู่ด้วยกันในเวลานี้นั้น เพราะเขาเอาพระสมเด็จฝนให้กินทุกคน (ว่าพระนั้นเป็นพระสมเด็จกรุวัดใหม่บางขุนพรหม)

         อีกเรื่องหนึ่งว่า พระสมเด็จงูไม่ข้าม คราวหนึ่งมีงูเลื้อยมา คุณพระได้เอาพระเครื่องเหล่านั้น ทำดังนี้หลายครั้ง ปรากฏว่างูมิได้เลื่อยข้ามพระสมเด็จ แม้แต่เลื้อยเข้ามาใกล้ก็ไม่มี ส่วนพระเครื่องชนิดอื่น ๆ งูได้เลื้อยข้ามบ้าง เลื้อยเฉียดไปบ้าง คุณพระอาทรฯ เล่าต่อไปว่า ตัวคุณพระเองได้เคยฝ่าอันตรายมาหลายครั้ง แต่ก็ปลอดภัยทุกคราว และว่าน่าประหลาดอย่างหนึ่ง ที่คนกำลังทะเลาะวิวาทถึงจะทำร้ายกัน ถ้าเรามีพระสมเด็จอยู่กับตัวเข้าไปห้ามปราม คนเหล่านั้นจะเลิกทะเลาะต่างแยกย้ายกันไปทันที




ได้ฟังเล่ากันอึกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับพระสมเด็จแก้โรคอหิวาต์ จะเขียนแทรกลงไว้ตรงนี้ เมื่อปีระกา พ.ศ.2416 เกิดโรคอหิวาต์(โรคป่วง) ครั้งใหญ่ ผู้คนล้มตายกันมาก กล่าวในจดหมายเหตุบัญชีน้ำฝนของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ (เล่ม3) ดังนี้

"ระกาความไข้ คนตายนับได้ เกือบใกล้สี่พัน เบาน้อยกว่าเก่า หาเท่าลดกันมะโรงก่อนนั้น แสนหนึ่งบัญชี เขาจดหมายไว้ในสมุดปูนมีมากกว่าดังนี้เป็นไป

 

(เดือน 8 ข้างขึ้น)

เกิดไข้ในวัดม้วย วันละคน

ตั้งแต่สองค่ำดล หกเว้น

ศิษย์พระวอดวายชนม์ ถึงสี่ เทียวนา

บางพวกไกลโรคเร้น ชีพตั้ง ยังเหลือ

จบเสร็จเผด็จสิ้น ปีระกา

โรคป่วงเกิดมีมา ทั่วดาน

น้ำน้อยไม่เข้านา เสียมาก เทียวแฮ

ในทุ่งรวงข้าวม้าน ไค่กล้า นาเสีย"

 

กล่าวกันว่า ในคราวนั้นสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงพระราชทานแจกสมเด็จ (ชนิดปรกเมล็ดโพธิ์ ที่เรียกกันว่า "สมเด็จเขียว") ว่าคนเป็นอันมากได้รอดตายเพราะพระสมเด็จนั้น จึงเกิดกิตติศัพท์เลื่องลือกันแพร่หลายสืบมา


ที่มา www.itti-patihan.com ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ

201



"นครนายก" เดิมมีชื่อว่า "บ้านนา" เล่ากันว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยา ดินแดนของนครนายกเป็นป่ารกชัฏเป็นที่ดอน ทำนาหรือเพาะปลูกอะไร ไม่ค่อยได้ผลและมีไข้ป่าชุกชุม ผู้คนจึงอพยพไปอยู่ที่อื่นจนที่นี่กลายเป็นเมืองร้าง

ต่อมา พระมหากษัตริย์ทรงทราบความเดือดร้อนของชาวเมืองจึงโปรดเกล้าฯ ให้เลิกภาษีนาเพื่อจูงใจชาวเมืองให้อยู่ที่เดิมทำให้มีผู้คนอพยพมาอยู่เพิ่มมากขึ้น จนเป็นชุมชนใหญ่และเรียกเมืองนี้กันติดปากว่า "เมืองนายก"

นครนายก เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลาง อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 107 กิโลเมตร ตามถนนเลียบคลองรังสิต สันนิษฐานว่าเคยเป็นเมืองโบราณสมัยทวารวดี มีหลักฐานแนวกำแพงเนินดินและสันคู อยู่ที่ตำบลดงละคร แต่ชื่อนครนายกนั้น

ปรากฏหลักฐาน ในสมัยอยุธยาเป็นเมืองหน้าด่านทางทิศตะวันออก สมัยพระเจ้าอู่ทอง ในปี พ.ศ.2437 รัชกาลที่ 5 ทรงจัดลักษณะการปกครองโดยแบ่งเป็นมณฑล นครนายกได้เข้าไปอยู่ในเขตมณฑลปราจีนบุรี จนเมื่อพ.ศ.2445 ทรงเลิกธรรมเนียมการมีเจ้าครองเมือง ให้มีตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดแทน

วัดพราหมณี ถือเป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งใน จ.นครนายก ตั้งอยู่ที่ถนนสาริกา-นางรอง หลักกิโลเมตรที่ 4 ต.สาริกา อ.เมือง จ.นครนายก

วัดแห่งนี้ สร้างขึ้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อปี พ.ศ.2446 ปัจจุบันนี้มีอายุ 100 กว่าปีแล้ว

วัดพราหมณี มีพระประธานศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นที่เคารพนับถือกันอย่างกว้างขวาง มีชื่อว่า "หลวงพ่อปากแดง" เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ สร้างด้วยโลหะสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง 49 นิ้ว สูง 1 เมตร เป็นศิลปะสมัยล้านช้าง จีวรเป็นลายดอกพิกุล พระโอษฐ์แย้มทาสีแดงเห็นชัด ชาวบ้านจึงเรียกว่า "หลวงพ่อปากแดง"

สิ่งที่เด่นสะดุดตา คือ ที่ปากของหลวงพ่อมีสีแดงสด เหมือนมีผู้นำลิปสติกไปทาไว้ ผู้เฒ่าผู้แก่ย่านนั้นยืนยัน ว่าเห็นปากท่านแดงแบบนี้ มาตั้งแต่เกิด แม้แต่ปู่ย่าตายายของผู้เฒ่าเหล่านี้ก็บอกว่าเห็นมาตั้งแต่เกิดเหมือนกัน

พระครูโสภณพรหมคุณ หรือ "หลวงพ่อตึ๋ง" เจ้าอาวาสวัดพราหมณี เล่าว่า ตำนานเชื่อกันหลวงพ่อปากแดง เป็นพระพุทธรูปพี่น้องกับหลวงพ่อพระสุก และหลวงพ่อพระใส ที่ประดิษฐานอยู่ที่ จ.หนองคาย ในปัจจุบัน ที่ได้อัญเชิญมาจากนครเวียงจันทน์ พอมาถึงประเทศไทย ชาวบ้านได้แยกย้ายไปตามวัดต่างๆ ส่วนหลวงพ่อปากแดงนั้น ถูกชาวบ้านอัญเชิญและนำมาหยุดยังพื้นที่ว่างบริเวณที่เป็นวัดพราหมณีปัจจุบันนี้ จากนั้นก็ลงมือสร้างวัดแล้วก็อัญเชิญองค์หลวงพ่อขึ้นเป็นพระประธานในพระอุโบสถ

ซึ่งต่อมา "หลวงพ่อปากแดง" ก็กลายมาเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาว จ.นครนายก จนทุกวันนี้ โดยความเชื่อของประชาชนนั้น ประชาชนที่เดินทางไปเที่ยวน้ำตกสาริกา จะต้องแวะกราบสักการบูชา พร้อมกับบนบานด้วยกล้วยน้ำว้า 9 หวี หมากพลู 9 ชุด พวงมาลัย 9 พวง และน้ำแดง 1 ขวด กันอย่างล้นหลาม พร้อมทั้งตั้งจิตอธิษฐานให้สมความปรารถนาตัวเอง

วัดพราหมณี ยังคงมีเรื่องราวเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ คือ เมื่อครั้งเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา หรือสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นได้เลือกบริเวณที่ตั้งของวัดพราหมณีเป็นจุดพักทัพของกองพันทหารที่ 37 ซึ่งมีจุดหมายจะไปรวมพลกันที่บริเวณเขาชะโงก (ปัจจุบัน คือ สถานที่ตั้งของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จังหวัดนครนายก)

จึงมีทหารญี่ปุ่นล้มตายอยู่ในเขต จ.นครนายก หลายแห่งด้วยกัน ปรากฏว่ามีการค้นพบกระดูกของทหารญี่ปุ่นใกล้วัดพราหมณี ดังนั้น สมาคมทหารสหายสงครามกองพลญี่ปุ่นที่ 37 จึงได้สร้างอนุสรณ์สถานไว้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงทหารญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2532 ณ วัดพราหมณี

ลักษณะทางสถาปัตยกรรม สร้างเป็นศาลาจตุรมุขประดิษฐานพระพุทธรูปปางประทานพร ด้านหน้าพระพุทธรูปเป็นแท่นหินจารึกอักษรญี่ปุ่น ด้านซ้ายพระพุทธรูปเป็นแท่นหินอ่อน โดยมีการจารึกข้อความไว้อาลัย สดุดีความกล้าหาญ และระลึกถึงไว้ที่ฐานพระพุทธรูป

ป้ายจารึกด้านซ้ายของพระพุทธรูป และแท่นหินบูชาหน้าพระพุทธรูป ดังข้อความโดย สรุปของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ดังนี้

"อนุสรณ์สถานกองพลทหารญี่ปุ่นที่ 37 จัดสร้างโดยสมาคมทหารสหายสงคราม กองพลทหารญี่ปุ่นที่ 37 เมื่อปี 2532 เพื่อเป็นที่ระลึกถึงดวงวิญญาณของบรรดา ทหารซึ่งสังกัด กองพลทหารญี่ปุ่นที่ 37 จำนวน 7,929 นาย ที่สูญเสียชีวิต ในระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพา เมื่อปี 2482-2488"

นอกจากนี้ สถานที่ท่องเที่ยวภายในวัด ประกอบด้วย วิหารเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งจัดสร้างโดยกลุ่มนักธุรกิจจากไต้หวัน, ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช, อุทยานการศึกษา มีรูปปั้นสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์อยู่รอบบริเวณวัด เช่น ช้างพันธุ์แอฟริกา, กวาง, ควายป่า ฯลฯ สวนพักจิตร (สวนต้นไทร) ใช้เป็นที่พักผ่อนทำสมาธิหรือทำกิจกรรมยามว่าง



เห็นน่าสนใจเลยนำมาให้อ่านกันครับ ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บลูกองค์พ่อจตุคาม ขอบคุณครับ. :054:

202





ห้อยตะกรุด - หลวงพ่อชาญ ชาโน เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์ป่ากลางบุญ อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ นำตะกรุดห้อยคอสุนัขกว่า
200 ตัว หลังโดนชาวบ้านไล่ยิงเจ็บไปหลายตัว เพราะออกไปหาอาหารทำให้เดือดร้อนรำคาญ




ฮือฮาหมาวัดห้อยตะกรุดหนังเหนียว สมภารสำนัก สงฆ์ปลุกเสกให้หลังถูกชาวบ้านยิงได้รับรับบาดเจ็บและตายไปหลายตัว เพราะชอบออกจากวัดไปซุกซนหรือทำให้ข้าวของเสียหาย เป็นตะกรุดของ "หลวงพ่อชาญ" มีชื่อเสียงด้านตะกรุดโทน คงกระพันชาตรี เคยปลุกเสกแจกให้ทหาร 3 จว. ใต้มาแล้ว เผยสงสารสุนัขในวัดถูกทำร้ายเลยปลุกเสกตะกรุดไว้คล้องคอ ป้องกันอันตรายและให้รู้ว่าเป็นสุนัขของวัด ทุกๆ เดือนมีค่าอาหารกว่า 5 หมื่นบาท เผยเมื่อต้นปี สมภารเพิ่งถูกมือ ปืนใช้อูซี่ยิงถล่มแต่ไม่ระคาย เหตุเพราะขัดขวางการฮุบที่ราชพัสดุของนายทุนและขรก.บางคน



เมื่อวันที่ 9 พ.ย. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านอ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ว่าที่สำนักสงฆ์ป่ากลางบุญ หมู่ที่ 5 ต.เขาทอง อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ เจ้าอาวาสนำตะกรุดและลูกประคำมาคล้องคอให้สุนัขกว่า 200 ตัว เพื่อป้องกันอันตรายจากถูกชาวบ้านใช้ปืนไล่ยิง จึงเดินทางไปตรวจสอบพบว่าสำนักสงฆ์ตั้งอยู่ในพื้นที่ราชพัสดุ บริเวณเชิงเขาทอง พบสุนัขพันธุ์ต่างๆ จำนวนมากวิ่งไปมาขวักไขว่ ที่น่าสนใจพบว่าสุนัขทุกตัวใส่ปลอกคอเป็นตะกรุด หรือลูกประคำ



หลวงพ่อชาญ ชาโน เจ้าอาวาสสำนักป่ากลางบุญ ซึ่งเป็นผู้ปลุกเสกตะกรุดและลูกประคำ เล่าว่า ที่ใส่ตะกรุดและลูกประคำให้สุนัขในวัด เพราะก่อนหน้านี้เวลาสุนัขหนีไปเที่ยวและไปทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนรำคาญ มักจะถูกยิงและทำร้ายได้รับบาดเจ็บเป็นประจำ บางตัวก็ถึงกับตาย จึงปลุกเสกตะกรุดโทนและลูกประคำห้อยคอเอาไว้ เพื่อให้ช่วยป้องกันอันตราย และให้ชาวบ้านรู้ว่าเป็นสุนัขของวัด



หลวงพ่อชาญกล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทำแต่ตะกรุดให้คนเท่านั้น แต่ก่อนหน้านี้มีลูกศิษย์คนหนึ่งมาขอตะกรุดไปคล้องในสุนัขที่บ้าน เพราะเคยถูกยิงได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง จึงให้ไป ปรา กฏว่าเกิดเรื่องขึ้นอีกเพราะไปกินไก่ทำให้พ่อของลูกศิษย์คว้าปืนไล่ยิงล้มลง ลูกศิษย์เข้าไปดูพบว่ากระสุนไม่เข้าเป็นแค่รอยช้ำ จึงมาเล่าให้ฟัง ก็ตัดสินใจปลุกเสกตะกรุดและลูกประคำห้องคอสุนัขกว่า 200 ตัวในวัด ซึ่งบางตัวไปกินของชาวบ้านโดนไล่ยิงมา แต่ก็ไม่ตาย อาจเป็นเพราะบุญกุศลของสุนัขที่ยังไม่ถึงคราวตายก็เป็นได้



"ลูกประคำและตะกรุดนั้นจริงๆ คนก็ใช้ได้ ซึ่งเคยปลุกเสกส่งให้เหล่าทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในโครงการพระสงฆ์นำชัยกู้ภัยใต้ โดยได้รับกิจนิมนต์จากพล.อ.ณพล บุญทับ รองสมุหราชองครักษ์ แจกวัตถุมงคล เป็นตะกรุด และลูกปะคำ พร้อมตัดพระเคราะห์ ให้กับเหล่าทหาร หลังจากนั้นพล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 ส่งเงินมาให้จัดทำวัตถุมงคลต่างๆ ส่งให้เหล่าทหารที่ปฏิบัติหน้าที่เพิ่มขึ้นอีก" เจ้าอาวาสสำนักป่ากลางบุญ กล่าว


หลวงพ่อชาญ กล่าวว่า


เป็นเจ้าอาวาสสำนักสงฆ์ได้ประมาณ 10 ปี เมื่อ 6 ปีก่อนมีสุนัขจรจัดเข้ามาในวัดก็รับเลี้ยงไว้ ต่อมาก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งไปเจอตามถนนถูกรถเฉี่ยวชน หรือคนนำมาปล่อย

จนทุกวันนี้มีกว่า 200 ตัว ต้องจ้างคนดูแล 1 คน ให้อาหารทั้งข้าว และอาหารเม็ด


ตกเดือนละประมาณ 50,000 บาท ค่าใช้จ่ายนั้นยังไม่เกี่ยวกับเวลาสุนัขป่วย บางครั้งต้องพาไปโรงพยาบาล หรือคลินิกสุนัข อาตมาไม่เคยบอกบุญใคร เนื่องจากเกรงใจเขา


ค่าใช้จ่ายมาจากให้เช่าวัตถุมงคล หรือมีญาติโยมมานั่งวิปัสสนาที่สำนักสงฆ์แล้วร่วมบริจาคเท่านั้น


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับหลวงพ่อชาญ ถือว่ามีชื่อเสียงเรื่องตะกรุดโทน มีสรรพคุณคงกระพัน ก่อนหน้านี้เคยเป็นข่าวใหญ่เมื่อถูกคนร้ายยิงถล่มด้วยปืนกลอูซี่ เมื่อต้นปี 2552 ที่ผ่านมา ขณะอยู่ภายในสำนักสงฆ์แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ส่วนสาเหตุเชื่อว่ามาจากการออกมาแฉและขัดขวางการทุจริตของนายทุนและข้าราชการบางคน บุกรุกที่ราชพัสดุใกล้ๆ สำนัก สงฆ์นำไปขายให้นายทุน




ที่มา คนมีกิเลส เว็บพลังจิตร ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ


สงสัยจะตามรอยตะกรุดคอหมาวัดตะเคียน  :095:  ขอบคุณมากครับ.. :089:

204
... การเล่นพระเครื่อง ถือว่าเป็นการสะสมสิ่งที่มีคุณค่ายิ่ง สำหรับไว้กราบไหว้บูชาและใช้เป็นเครื่องป้องกันภัยภยันตรายต่างๆ และผู้ที่สนใจถึงขั้นสุดยอดแล้ว ท่านผู้นั้นจะเป็นผู้มีความสันโดษ เป็นผู้สุขุมรอบคอบ มีเหตุผล และใช้ความรู้ความมั่นใจ ตัดสินใจด้วยความแน่แน่ เป็นผู้ที่เยือกเย็นมองเห็นชีวิตว่าเป็นอย่างไร ไม่เอะอะโวยวายเมื่อผิดพลาด


ท่านพึงระลึกไว้เสมอว่า ความรู้นั้นมีการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มพูนใหม่ๆ อยู่เสมอแม้แต่พระเครื่องเองก็มีของใหม่ของดี เพิ่มเติมออกมาใหม่เสมอ ที่จะเป็นนักเลงพระจะต้องเป็นผู้ที่มีความสนใจ ศึกษาดูจากของจริง อ่านจากตำราต่างๆ ที่มีการรวบรวมอย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยท่านได้อย่างมากมาย การที่ท่านรู้จักของจริงนั้น จะเป็นสิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้ว่าในวันหนึ่งข้างหน้า ท่านจะพบและได้สิ่งนั้นในราคาไม่แพงนัก



                                                     บัญญัติ ๑๐ ประการของนักเลงพระ มีดังนี้


๑. ใจเย็น ผู้ที่เล่นพระควรจะเป็นผู้ที่ใจเย็นไม่งกอยากได้ของๆ เขา จนมองไม่เห็นว่าอะไรไม่สมควร การรีบร้อนจนเกินไป บางทีอาจมีการผิดพลาดได้ง่าย การเป็นผู้รู้อะไรไม่ควรนั้นนักเลงพระจะต้องมีอยู่ในใจ


๒. เล่นซื่อ นักเลงพระควรมีคุณธรรมประจำใจ ไม่โกหกเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นจนเกินไป ของแท้ควรบอกว่าแท้ การเอาของเทียมไปหลอกว่าแท้นั้น ไม่กี่วันก็จะต้องมีผู้รู้จนได้ เพราะของจริงนั้นย่อมเป็นของจริงอยู่ตลอดไป


๓. มือถึง นักเลงพระที่ดีจะต้องมีความรู้ ดูเป็นรู้ราคาของนั้นดีเลว มีราคาค่างวดเพียงไร เมื่อเห็นต้องบอกได้ว่าพระนั้นอยู่ในขั้นหรืออยู่ในระดับใด มีความรู้พอไม่เป็นเหยื่อของนักหลอกลวงได้ง่ายๆ


๔. ตรึงราคา จงรู้ว่าของแท้นั้นมีราคาค่างวดอย่างไร ของที่ดีของที่สวย เมื่อจะปล่อยก็จงสืบให้รู้ว่าราคามีอย่างไร และในการบูชาก็จงสู้ให้ถึงราคา จงจำไว้ว่า ของที่สวยของที่แท้และงดงามนั้นราคาจะสูงและนับวันราคาจะสูงขึ้นเรื่อยๆ


๕. ไม่บ้าลม นักเล่นที่ดีจงเล่นด้วยตา เล่นด้วยความมีสติรอบคอบรู้ถึงสภาพความเป็นจริงถึงอายุ สมัยและชั้นของพระ อย่าฟังคนขายเพ้อพกโกหกปั้นน้ำเป็นตัวหลอกลวงยัดเยียดของที่ไม่ถึงให้


๖. อย่านิยมถ้าสงสัย การบูชาพระจงต้องรู้ถึงเนื้อของพระ รู้ถึงสมัยของพระและจะต้องศึกษาดูของเก๊และของที่ทำออกมาใหม่ๆ อยู่เสมอ พระใดที่สงสัยแล้วควรจะตัดใจเสียทันที เพราะเท่าที่เคยผ่านมา พระเก๊นั้นเราจะรู้ทันทีเมื่อแรกเห็น หากเรากลับเปลี่ยนใจมาจับมักจะพลาดเสมอ


๗. คิดหนทางไกลดีกว่าใกล้ การเล่นพระเราเล่นเพื่อความสุขใจ มิใช้เล่นเพื่อเป็นอาชีพ เราเล่นเพื่อรู้จักคุ้นเคยกัน ฉะนั้นบางครั้งก็มีควรจะมีการผ่อนสั้นผ่อนยาวให้กันบ้าง การที่ยอมเสียเปรียบให้กันและกันบ้างเล็กๆ น้อยๆ นั้นควรมีอยู่เสมอ การเล่นนั้นไม่แน่นักว่าใครจะได้เปรียบกัน ตราบใดที่เรายังสนใจอยู่นั้น เราก็ยังมีโอกาสได้ของดีอยู่เสมอ


๘. หัวอ่อนไม่ถือตัว พึ่งระลึกไว้เสมอว่าไม่มีใครรู้จักพระทุกอย่างหมด แต่ผู้ที่เล่นมาก่อน ผู้ที่เคยเดินทางรู้มากก็เห็นมาก ย่อมีภาษีดีกว่า ฉะนั้นเมื่อเราไม่รู้ควรจะปรึกษาหาความรู้จากท่านเหล่านั้น โดยตีตัวเสมอศิษย์ ไม่อวดดีจนเขาเขม่นไม่อยากให้คำแนะนำ


๙. กล้าไม่กลัวถ้าของแท้ ในชีวิตของการเล่นพระ ท่านจะมีโอกาสเสมอที่จะพบของแท้ ของสวย เมื่อท่านพบจงตัดสินใจแลกเปลี่ยน หรือบูชา แม้ว่าราคาจะสูงก็ตาม แต่ของนั้นจะมีราคาสูงยิ่งขึ้นอีกเมื่อเวลาผ่านไป ฉะนั้นจงตัดสินใจกล้าสู้ แล้วท่านจะมีของแท้ไว้ใช้กับตัว


๑๐. ใจแน่วแน่ถ้าจับผิด นักเลงทุกคนมีโอกาสจับผิดอยู่เสมอ เมื่อท่านจับผิดไม่ควรเอะอะโวยวายหรือเสียใจ เพราะของที่ท่านชอบนั้น ก็ยังมีผู้อื่นที่รู้น้อยกว่าท่านชอบอยู่เช่นกัน ไม่ว่าวันใดก็วันหนึ่งท่านย่อมมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนไป


จากข้อคิดทั้ง ๑๐ ประการข้างต้น คงจะให้แนวความคิดแก่ท่านที่สนใจไม่มากก็น้อย ถ้าเราคิดว่าชีวิตคือการต่อสู้แล้ว การเป็นนักเลงพระเครื่องท่านมีโอกาสได้ต่อสู้อย่างเต็มที่ ท่านจะต้องใช้ความรู้ สติปัญญา ความรอบคอบสุขุม และสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ เก็งใจผู้อื่นถูกต้อง นอกจากนั้นท่านจะต้องมีหลักประจำใจ พึงระลึกไว้ว่า ของดีจะอยู่กับคนดีเท่านั้น แล้วท่านจงปฏิบัติตามแนวทางที่เสนอแนะ หวังว่าท่านคงจะได้ของดีไว้กับตัว



ขอขอบคุณข้อมูลจาก.. www.soonphra.com ขอบคุณเป็นอย่างสูงนะครับ..



ปล. ผมต้องขอกราบขอโทดเป็นอย่างสูงนะครับ ที่ผมเปลี่ยนชื่อ

เพราะว่าชื่อเก่าผมคือ ~มารบูรพา~ ไอสุวัจชัย มันทำชื่อผมเสียหายหมดแล้ว

ผมจึงขอเปลี่ยนเพื่อเอาฤกษ์เอาชัย


ด้วยความเคารพ..

205
การถวายขนม น้ำแดงหรืออาหารให้กับกุมาร

“ มา มะ  ปะริภุญชันตุ  จะมหาภูตา  อาคัจฉายะ  อาคัจฉามิ  เอหิมะมะ  มามา ”

วิธีการนำกุมารทองเข้าบ้าน

จุดธูปขออนุญาตพระภูมิเจ้าที่  เจ้าทาง  ใช้ธูป 12 หรือ 16 ดอกกลางแจ้งในรั้วบ้าน จากนั้น แนะนำตัวข้าพเจ้าชื่อ............................อยู่บ้านเลขที่..........................ขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายแห่งนี้ที่ปกปักษ์รักษาบ้านข้าพเจ้าอยู่  จงเปิดทางเข้า-ออกให้กุมารทองชื่อ............................จากวัด.............................ให้เข้า-ออกบ้านข้าพเจ้าฯได้โดยสะดวก  เพื่อเสริมทรัพย์ เสริมบารมี เฝ้าบ้าน ป้องกันภัย และช่วยค้าขายให้ข้าพเจ้าให้รวยขึ้น ดีขึ้น ขอให้เจ้าที่จงเปิดทางให้กุมารทองด้วย (อือ! เปิดทางให้)
จุดธูปบอกกุมาร ใช้ธูป 2 ดอกปักกลางแจ้งต่อหน้ากุมารก่อนเข้าเรือน จุดธูปบนบานกุมาร(ใช้ธูป 5 ดอก)
วิธีแนะนำตัวกับกุมาร พ่อชื่อ..............เป็นคนนำเจ้ามาบูชา เจ้าชื่อกุมารทอง............พ่อนำเจ้ามาบูชาเพื่อ................จงให้พ่อสมดังใจ  มีเงินใช้ไม่ขาดมือ และคุ้มกันภัย ถ้าได้ดังสมประสงค์  พ่อจะให้......................แก่เจ้าเป็นรางวัล เจ้าจงเชิ่อฟังพ่อนะ (แนะนำสมาชิกในบ้านให้กุมารทองรู้จัก และบอกกุมารทองอย่าซน อย่าอู้งาน อย่าหนีเที่ยว จงทำงานให้พ่อสมดังใจ) **ควรตกลงว่า 1 สัปดาห์ จะถวายอะไรให้กินบ้าง
ของถวายกุมารทองที่ชอบมีดังนี้
- น้ำแดง (แล้วแต่จะตกลงให้กี่ขวดต่อสัปดาห์  ให้จุดธูปบอก)
- กล้วยน้ำว้า  ขนมโบราณ เช่น ทองหยิบ  ทองหยอด  ขนมปังไส้ต่าง ๆ
- ผลไม้มีรสหวาน  มีสีสัน
- น้ำเปล่า  **ห้ามขาดจากหิ้ง

วิธีตั้งกุมาร

ห้ามตั้งกุมารทองหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ใต้บันได หรือปลายเท้า และห้ามหันหน้าตรงกับประตูห้องน้ำ
***ก่อนนอนทุกคืนต้องสวดคาถาบูชา เพื่อกุมารทองจะได้เชื่อฟัง และศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น




คาถาก่อนนอน

บทที่ 1
นะโมตัสสะ  ภะคะวะโต  อะระหะโต  สัมมาสัมพุทธัสสะ (ว่า 3 จบ)
พุทธัสสะบูชา  ธัมมัสสะบูชา  สังฆัสสะบูชา  ปติปติบูชา  ภะวันตุเม
อุกาสะ อุกาสะ

บทที่ 2
ทะพะมะนะ นิพพานัง พุทธายะถัง นิรูเจริ

บทที่ 3
ตัดวุฒตา พิธัมมะถา จะตุปาปาง มะมะทะโต เจตสิกัง รูปานัง นิมัพพะทา
อะสังวิรุโลปุสะพุภะ อะโสทายะ

ข้าพเจ้าขอไหว้ตุ๊กตาทอง ขอจงมาบังเกิดอยู่ในจักขุทวาร ในมโนทวาร ในกายทวาร แห่งข้าพเจ้า ขอเดชะ ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญกุศลมาแต่เอนกอนันทชาติ เกิดด้วยตุ๊กตาทอง ลาภประการจงมาบังเกิดแก่ข้าพเจ้าทั้ง 8 ทิศ เนือง ๆ จงมาทุกวันอย่าได้ขาดสักการะนั้นเลย  ให้เหมือนองค์ตุ๊กตาทองนั้นเถิด  ท่านจะซื้อขายก็ดี จงพูดเอาตามปรารถนาเถิด  ได้ดังใจ กราบลง 3 ครั้ง

มวลสารการปั้นกุมารทองตำรับโบราณกว่า 100 ปี โดยหลวงปู่เต๋ และหลวงปู่แย้ม (เกจิแห่ง วัดสามง่าม จ.นครปฐม)

1.ดินเจ็ดป่าช้า 
2.เถ้ากระดูกเจ็ดเมรุ 
3.ดินเจ็ดโป่ง
4.ดินเจ็ดถ้ำ
5.ดินเจ็ดท่าน้ำ 
6.ดินเจ็ดนา สวน 
7.เถ้ากระดูกเด็กเจ็ดคน 
8.ไคร่เสมาเจ็ดวัด 
9.เผาดินและมวลสารตามฤกษ์โบราณ 
10.ปลุกเสกกุมารก่อนนำมาบูชา 1 พรรษา
 
คาถาความรวย

1.ความขยัน อดทน ไม่ยอมแพ้
2.ความใฝ่รู้ ริเริ่ม แก้ไข
3.อดออม พอเพียง ไม่เห็นแก่ตัว
4.ความศรัทธา ความเชื่อ ไม่งมงาย


ขอบคุณข้อมูลจาก เว็ปกุมารทองสยาม ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ..


206
เนื่องจาก เหล็กตอกโค๊ทเสียหาย ผู้บูชาไปแล้ว บ่น...อุ๊บ ว่าโค๊ทไม่ชัด ส่องดูแล้วไม่รู้เรื่อง กลัวมีปัญหาวันหลัง
ทางวัดจึงแจ้งว่า ระงับการให้เช่าไปก่อน กำลังรีบให้ช่างทำโค๊ทใหม่ ด่วน ด่วน..



ขอบคุณข่าวสารจาก พี่คนอัศจรรย์ จากเว็ป กลุ่มคนนนท์ค้นหาพระเกจิ ขอบคุณครับ.. :054:

207



ระยะนี้วัตถุมงคลประเภทเครื่องรางของขลังกำลังมาแรงมาก พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง "หลวงพ่อเงิน ขันติโก" วัดถ้ำน้ำ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ลูกศิษย์ลูกหามักกล่าวว่า ท่านปลุกเสกเครื่องรางของขลังประเภท "จิ้งจก" ได้ขลังนัก เคยปลุกเสกจิ้งจกสองหาง กระโดดออกจากบาตร ไต่ตามปลายไม้เท้ามาแล้ว ตอนแรกไม่มีใครเชื่อ จนวัดแถวสุพรรณบุรี นิมนต์ท่านมาปลุกเสกพระเครื่องให้

วันนั้นท่านเข้าปลุกเสกในตอนหัวค่ำ เข้าสมาธิเพียงครู่ จิ้งจก ตัวเป็นๆ หลายตัว พากันไต่ลงจากเพดานโบสถ์มาเกาะที่ชายจีวรท่านเต็มไปหมด สร้างความประหลาดใจแก่ผู้เข้าร่วมพิธีเป็นอย่างมาก พระอาจารย์สักท่านหนึ่ง สักยันต์จิ้งจกคู่ให้แก่ศิษย์ ปรากฏว่าเรียกเท่าไรก็ไม่ขึ้น จนต้องมาให้หลวงพ่อเงิน ตบหลัง เท่านั้นแหละ จะคลานไปเกาะเพดานท่าเดียว จับเท่าไรก็ไม่อยู่
 
มาครั้งนี้ หลวงพ่อเงินได้ระลึกถึงหลวงพ่อครื้น วัดสังโฆ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเคยเดินทางไปเรียนวิชาทำตุ๊กแกมหาลาภ ครั้งยังหนุ่มๆ จึงลบถมผงพุทธกรับได้ 2 บาตรพระ มาทำเป็นตุ๊กแก ทั้งลบถมผงจูงนาง ผงจูงเงิน ผงเงินล้าน มาทำเป็นตีนตุ๊กแก ปลุกเสกตุ๊กแกมหาลาภเป็นรุ่นแรก ลงหัวใจตุ๊กแก เปิดตา เปิดปาก เห็นได้ร้องได้ เปิดเท้าทั้ง 4 เปิดหาง จึงคลานได้ กวักเรียกโชคลาภได้

หลวงพ่อครื้น องค์อาจารย์ผู้ประสิทธิ์วิชาสร้างตุ๊กแกให้หลวงพ่อเงินนั้น ท่านก็อาศัยตุ๊กแกนี่แหละสร้างวัด สร้างโบสถ์ และสร้างชื่อเสียงให้ท่านโด่งดังไปทั่วประเทศ เมื่อหลวงพ่อเงิน ซึ่งได้รับการ ถ่ายทอดวิชาสร้างตุ๊กแกมาโดยตรง สร้างตุ๊กแกมหาลาภรุ่นแรก ลูกศิษย์ลูกหาจึงสนใจบูชากันมาก

หลวงพ่อเงิน วัดถ้ำน้ำ สร้างตุ๊กแกมหาลาภรุ่นแรก แบ่งเป็นตัวสีแดง เรียกว่าไอ้แดง หรือตุ๊กแกแดง ตัวนี้แหละที่แสดงปาฏิหาริย์ช่วยร้านขายของให้ขายของหมดเร็ว ลูกค้าเข้าร้านจนแน่นขนัดและช่วยป้านิ่มจับโจรมาแล้ว เรียกว่าขลังไม่เบา อีกทั้งยังเป็นมหาเสน่ห์อีกด้วย

ส่วนตัวสีทองเรียกว่า ตัวหัวโจกหรือตัวจ่าฝูง เพราะหลวงพ่อฝังตะกรุดคาดที่คอเอาไว้ด้วย เรียกว่าตะกรุดมหาพุทธกรับ ช่วยเสริมส่งตุ๊กแกให้ขลังและเฮี้ยนยิ่งขึ้นไปอีก สำหรับตัวสีทองนี้ ท่านเรียกว่าไอ้เงินทองงอกเงย ชอบใจแบบไหนเช่าหาบูชากันได้ตามอัธยาศัย เพราะปัจจัยที่ได้รับ หลวงพ่อเงินจะนำไปสร้างศาลาและโรงครัวที่สร้างค้างอยู่ให้เสร็จสิ้นเสียที




แหล่งข่าวจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด  ขอบคุณครับ..





208





ยันต์ชูชก
ชายแก่ที่แบกถุงเงินบนบ่า ชื่อเขาคือชูชก เริ่มแรกเขาเป็นขอทาน ต่อมาเขากลายเป็นเศรษฐี ลายสักนี้ดีต่อการค้าและทุกท่านที่ต้องการความร่ำรวย

ยันต์หนุมานทรงฤทธิ์ (ลิงขาวผู้วิเศษ)
ในเรื่องรามเกียรติ์ของอินเดีย หนุมานมีความเป็นอมตะ(ไม่ตาย) ต่อสู้เก่งมาก และโชคดีเรื่องความรัก หากท่านต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต การป้องกันศาสตราวุธ และโชคดีสุดๆ ในด้านความรัก คุณควรเลือกลายสักนี้!

ยันต์เก้ายอด (ยันต์นวหรคุณ)
ยันต์นี้ถือว่าเป็นยันต์หลักและอาจถือเป็นลายสักลายแรกของผู้มาสักใหม่ ความหมายของยันต์หมายถึงคุณวิเศษของพระพุทธเจ้าทั้ง 9 ประการ ซึ่งแสดงให้เห็นในรูปของยอดแหลมทั้ง 9 ยอด ลายสักยันต์นี้ดีในการป้องกันศาสตราวุธทั้งหลาย

ยันตร์ราหูอมจันทร์
ปรากฏการธรรมชาติที่มีเงาบนดวงจันทร์เราเรียกว่า ราหูอมจันทร์ เราเชื่อว่าราหูคือเจ้าแห่งยักษ์และเป็นผู้ปกครองเหล่าปีศาจ ลายสักนี้จะช่วยหนุนดวงชะตาโดยเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี และต่อต้านสิ่งเลวร้ายต่างๆ

มัจฉานุ
มัจฉานุ คือบุตรที่เกิดจากหนุมานและนางสุวรรณมัจฉา (นางเงือก) ลายสักนี้คล้ายคลึงกับหนุมาน แต่คุณจะสังเกตได้ว่ามีหางเหมือนนางเงือก ลายสักนี้ดีสำหรับผู้มีอาชีพทางทะเลและคุณสมบัติอื่นๆเหมือนกับหนุมาน

พระคเนศ ( พระพิฆเนศวร์)
พระพิฆเนศวร์ คือเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งและความสำเร็จ ท่านสามารถจำได้ง่ายจากศีรษะท่านที่เป็นรูปช้างและตัวเป็นเทวดา พระพิฆเนศวร์เป็นเทพผู้ฉลาดที่สุดและท่านสามารถอวยพรท่านให้ผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ ลายสักนี้ดีสำหรับผู้ที่มีอาชีพศิลปิน ดารานักแสดง นักร้อง และงานด้านช่างทั้งหลาย หรือผู้ที่ต้องการความมั่งคั่งร่ำรวย

ช้างเอราวัณ
ช้างเอราวัณ คือช้างเทพเจ้าที่มีสามหน้า เป็นช้างที่มีกำลังมากที่สุดและใหญ่โตกว่าช้างใดๆ บนสรวงสวรรค์ ลายสักยันต์นี้ดีสำหรับผู้ที่บังคับบัญชาผู้คน และดีสำหรับผู้ที่เดินทางบ่อยๆ เพราะมีอำนาจและป้องกันอันตราย

จระเข้ (เถรขวาด)
สัญลักษณ์ของงานบุญใหญ่ของไทยคือธงจระเข้ในงานกฐิน ถ้าท่านต้องการเป็นผู้ชนะและได้รับความร่วมมือความเมตตาจากฝูงชน ลายสักนี้ดีสำหรับความสำเร็จ ความเมตตา และความโชคดี

ที่มา : สำนักสักยันต์ อาจารย์หนู กันภัย

209
ในเมื่อเห็นพี่ๆชาวบอร์ดบางท่าน ใช้ภาษาไทยไม่ถูกต้องผมก็เลยขอให้ลองอ่านบทความข้างล่างนะครับ

(บทความนี้ไม่ได้จะ ใส่ร้ายใคร หรือ พาดพิงถึงใคร )

( จุดประสงค์เพื่อมาเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ภาษาไทยครับ)


ภาษาแบบนี้ที่หลายๆคนเรียกว่า "ภาษาวิบัติ"

คือการดัดแปลงภาษาให้ดูเหมือนจะดี เหมือนจะเท่

แต่จริงๆแล้ว มันไม่ได้ช่วยให้ดูดีเลยฟ่ะ....

ตามความคิดเห็นของผม

มัน...

เกะกะลูกตาชะมัด


--------------------------------------------------------------------------------

ตัวอย่างการใช้ภาษาวิบัติ (พิมพ์ไปหงุดหงิดไป)

เด็ก เป็น เดะ, เดก

ใคร กลายเป็น คัย, คาย(อ้วกกก)

เธอ ก็กลายเป็น เทอ

ใจ ก็กลายเป็น จัย

เปล่า กลายเป็น เป่า (ฟูด ฟูด)

และสุดท้ายที่เห็นบ่อยมาก คือ

เป็น กลายเป็น เปง


--------------------------------------------------------------------------------

ผมรู้!!! คุณก็ใช้!!!

 

...สำหรับคนที่ทำแบบนี้...

มันจะอะไรกันหนักหนา

เป็นคนไทยแท้ๆ เหยียบย่ำบนผืนแผ่นดินไทย ใช้ทรัพยากรไทย

เรียนภาษาไทยมาตั้งแต่อนุบาล ภาษาไทยเบื้องต้นแค่นี้

ยังเขียนไม่ถูกเลย!!!

ยิ่งเป็นนักเรียนเตรียมอุดมด้วย เหมือนประจานตัวเอง



เสื่อมทั้งตัว และสถาบัน

ช่วยใช้ภาษาให้มันสมกับเป็นผู้มีการศึกษาด้วยเถอะครับ

ขืนปล่อยไว้ ภาษาไทยได้วิบัติกันหมดเพราะคนรุ่นนี้แหงแซะ



--------------------------------------------------------------------------------

การพิมพ์และตัวสะกด ไม่ต้องถูกหลักภาษาไทย หรือทำเหมือนเขียนเรียงความวิชาภาษาไทยส่งครู หรือจะสะกดผิดบ้างก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่ อยากให้มันอ่านง่ายสบายตาภาษาไม่วิบัติมากเท่านั้นเอง

ตัวอย่างการสะกดผิดอย่างจงใจที่ขอร้องอย่ามีเลย เช่น
"เธอ" เป็น "เทอ"
" ใจ" เป็น "จัย"
ภาษาพวกนี้ไม่ได้ทำให้อ่านง่ายหรือดูดีเลย มีแต่ทำให้คนไม่เอ็นดู ไม่สนใจ เกิดเป็นคนไทยใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องด้วย ถ้าอยากใช้ภาษาอื่นก็ต้องใช้ให้ถูกต้องเหมือนกัน


--------------------------------------------------------------------------------

ย้ำอีกครั้ง

เกิดเป็นคนไทยใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องด้วย

อย่ามาอ้างว่า มันพิมพ์ง่าย

หลายๆคำ ก็กดแป้นพิมพ์ด้วยจำนวนปุ่มเท่ากัน

แค่พิมพ์ให้ถูกแค่นี้ ยังไม่ได้เลยรึครับ

ถ้าครูสอนภาษาไทยมาอ่านเจอ คงจะปวดกบาลไปพอควร...

พิจารณาเอาเถอะครับ

ถึงจะเปลี่ยนไปในครั้งเดียวไม่ได้

ก็ขอให้ฝึกทำสิ่งที่ถูกต้องจนเป็นนิสัยด้วยนะครับ

ถึงคนอื่นจะใช้กันผิดๆอย่างไร

แต่ถ้าคุณทำถูก มันก็ดีแล้วไม่ใช่รึครับ

คุณก็รู้ดีอยู่แล้ว ว่าที่ถูกต้องมันควรจะทำอย่างไร

จะไปทำตามเรื่องที่ไม่ดีทำไมล่ะ

ในยุคนี้ที่เราเห็นความเสื่อมในสังคมจนชินตา

แล้วทำไม เราถึงต้องเสื่อมตามล่ะ?

ยึดมั่นในความดี แล้วฝ่ากระแสดำมืดนี้ไปสิครับ

ผมเชื่อว่าพวกคุณทำได้ครับ


ด้วยความเคารพ
มารบูรพา


เครดิต http://www.sci.nu.ac.th/information-it/index.php?topic=1305.0 ขอบคุณฯเป็นอย่างสูงครับ

210




ชานหมากหลวงปู่ทิม
วัตถุมงคลที่ใครๆ ก็คงรู้กัน ว่าศักดิ์สิทธิ์มาก
ถ้าใครได้มีโอกาสไปวัดพระขาว ไปกราบหลวงปู่ทิม
ก็ต้องมีบูชากันแล้ว เพราะ หลวงปู่ท่านจะแจกให้ลูกศิษย์ทุกคน
เวลาจะทำอะไรก็หยิบขึ้นมาแล้วอธิษฐานถึงท่านก็จะสำเร็จ

  



ที่มา : http://www.luangputim.com/luangpu.html ขอบคุณเป็นอย่างสูง a?xๅea?ๅeบๅJws=


 :114:

211
ขอถามนิดนึงครับ

ผมบูชาตะกรุดนวหรคุณหลวงพ่อสืบมา อยากทราบว่า เวลาเคียนตะกรุด คืออะไรครับ



กราบคุณเป็นอย่างสูง a?xๅea?ๅeบๅJws=   :089:

212




สวัสดีครับพี่น้องชาวบอร์ดกระดานสนทนาวัดบางพระทุกท่าน วันนี้จะมานำเสนอเหรียญ. . .

เหรียญเสมาหลังสิงห์ หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย ปลุกเสก ไตรมาสปี 2528 สำหรับเหรียญเสมาหลังสิงห์รุ่นนี้ปลุกเสกพร้อมรูปหล่อรุ่นแรก ประสบการณ์ด้านคงกระพันชาตรี สุด ๆ เลยครับ และหลวงพ่อมียังเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ได้เรียนวิชาด้านการปลุกเสกสิงห์และยันต์นะหน้าทองจากหลวงพ่อจงอย่างเชียวชาญครับ




รูปหล่อรุ่น1 หลวงปู่มี


รูปหล่อรุ่นแรก หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย
รูปหล่อรุ่นแรก พิมพ์สมาธิ ปลุกเสกไตรมาสปี 2528 มี 3 เนื้อ
เนื้อทองคำ 9 องค์
เนื้อเงิน 75 องค์
เนื้อโลหะรมดำ 1000 องค์
เนื้อหาการสร้างพระรูปหล่อรุ่นแรกเนื้อโลหะผสมรมดำ
ประกอบด้วยทองชนวนหล่อพระต่าง ๆ ตะกรุดหลายชนิดของหลวงพ่อมี และของพระเกจิอาจารย์อีกว่า 108 ดอกรวมทั้งแผ่นโลหะลงอักขระเลขยันต์ของหลวงพ่อมี และพระอาจารย์เก่า ๆ อีกมากมายในปัจจุบัน


วันนี้เอาเนื้อโลหะรมดำมาให้ชมกันครับ



ด้านหลังครับ



ของแท้ต้องมีโค๊ด




ประสบการณ์พระรูปหล่อรุ่นแรก ปี 2528
ท่ามกลางบรรยากาศอันสลัวในตอนพลบค่ำ แสงแดดอ่อน ๆ สะท้อนกลับมากระทบกับร่างของชายหนุ่ม 2 คน ที่ยืนซุ่มอยู่ต้นไม้ข้างทางพร้อมมีดพกคู่มือ ยามนั้นคนโบราณท่านเรียกว่า "ผีตากผ้าอ้อม" เป็นเวลาที่ไม่เหมาะสมแก่การเดินทางไปในที่ใดทั้งสิ้น ยิ่งในยุคนี้ด้วยแล้วต้องมีความตื่นตัวระมัดระวังเป็นพิเศษ อย่าได้พกสิ่งของมีค่าเป็นการล่อใจคนร้าย หรือเดินไปในที่เปล่าเปลี่ยวแต่ผู้เดียว เพราะอาจจะพบกับภัยในความมืดที่คาดคิดไม่ถึงได้ทุกขณะ
ชายหนุ่มในวัยเบญจเพสเดินกลับบ้านในเวลาใกล้ค่ำเช่นนี้ตามปกติทุกวัน สายที่ที่ได้รับความสว่างมาทั้งวันยังไม่ค่อยชินกับความสลัวยามผีตากผ้าอ้อมเท่าใดนัก จึงทำให้มองไม่เห็นชาย 2 คน ที่กำลังจ้องทำร้ายหมายชีวิต ทันทีที่ชายหนุ่มเคราะห์ร้ายเดินผ่านไป ชาย 2 คน พุ่งตัวมาทางด้านหลังอย่างรวดเร็วดุจพยัคฆ์ตะปบเหยื่อ จึ๊ก! หนุ่มเบญจเพสสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกมีวัตถุชนิดหนึ่งกระทบ กลางหลัง อย่างแรง และยังไม่ทันได้ตั้งตัว ของแข็งอีกชนิดหนึ่งก็ปักกึกที่กลางหลังอีกครั้ง จนศีรษะขมำไปข้างหน้าอย่างเสียหลัก จึ๋ก!โอ๊ย! สิ้นเสียงร้องของหนุ่มผู้เคราะห์ร้าย แต่ยังมีสติดีเอามือทั้งสองยันพิ้นก่อนที่จะล้มคว่ำอย่างไม่เป็นท่า พร้อมกันทะยานตัวขึ้นประจัญหน้ากับบุคคลผู้ประสงค์ร้ายทันที

"เฮ้ย...มันเหนียว...ระวังหน่อย"

คนร้ายหนึ่งในสองร้องบอกเพื่อนเสียงลั่น แต่ก็ไม่สามารถหยุดความบ้าระห่ำของเพื่อนที่ถือมีดวิ่งเข้าไปแทงซ้ำหมายชีวิตคู่ปรับ

เก่าให้จงได้ พร้อย ๆ กับปากก็ร่ำร้องว่า

"นี่แน่ะ...นี่แน่ะ...เหนียวหรือ...เหนียวหรือ..."

หนุ่มหนังดีถอยกรูดแล้วยกมือปิดป้องคมมีดเป็นพัลวัน แล้วยกเท้าเต๊ะต่อยคู่อาฆาตตามตำรับแม่ไม้มวยไทยอย่างสุดความสามารถ แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ หน่มหนังเหนียวซึ่งใช้มือเป่าต่อสู้กับคนร้ายที่มีมีดเป็นอาวุธถึง 2 คน จึงสู้พลางหนีพลางอยู่ตลอดเวลา
ขณะที่กำลังหนีตั้งหลังอยู่นั้นก็ถูกคมมีอคู่ต่อสู้ แทงที่แขนซึ่งกำลังยกขึ้นปีดมีด 2-3 ครั้ง พอเห็นว่าถูกแทงไม่เข้าจริง ๆ จึงฮึดสู้มองหาไม้ฉวยมาได้ท่อนหนึ่งวิ่งเข้าไปตีมือมีดทั้งสองอย่างอุตลุด คนร้ายกันคนดีต่างกันตรงนี้เอง พอเห็นว่าตัวเองเสียเปรียบก็เผ่นหนีไปราวกับนัดแนะกันไว้ ส่วนหนุ่มคนดีเมื่อเห็นคู่ปรับเก่าวิ่งหนีไปหมดก็รีบสำรวจดูแขนและข้อศอกซึ่งถูกมีดแทงและปาดถึง 2 ครั้งแต่พอเห็นเป็นแค่ รอยแดง ๆ เท่านั้นก็ขนลุกซู่ด้วยความตื่นเต้น
แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องตื่นเต้นยิ่งขึ้น เมื่อเอามือคลำไปข้างหลังที่ถูกแทงโดยไม่รู้ตัวในคราวแรกก็รู้สึกเจ็บแต่ไม่มีบาดแผลและรอยเลือดแต่อย่างใด "ไม่เข้าจริง ๆ "
หนุ่มหนังเหนียว อุทานขึ้นด้วยท่าทีอันตื่นเต้น และมือกุม พระที่คล้องเชือกร่มบนคออยู่เพียงองค์เดียว ขึ้นท่วมศีรษะ พร้อมกันรีบจ้ำอ้าว ๆ กลับเข้าบ้านทันทีแล้วเล่าเหตุการณ์และถอดเสื้อให้ภรรยาตรวจดูกลางหลังก็ไม่ปรากฏมีบาดแผลใด ๆ เลย ทั้ง ๆ ที่เสื้อยังถูก คมมีดแทงทะลุขาดเป็นรู ถึง 2 รอย ด้วยกัน
"คุณพระช่วยแท้ ๆ " ภรรยาเห็นสภาพสามีที่ถูกทำร้ายกลับมาแล้วอุทานเสียงสั่นทั้งน้ำตา อีก 2 วันต่อมา ชายหนุ่มในวัยเบญจเพส แต่ชะตาไม่ถึงฆาต เพราะมีของดีคุ้มตัวพาภรรยามาหา หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย ตำบลบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อให้ท่านทำพิธีสะเดาะเคราะห์และประพรมน้ำพระพุทธมนต์ พร้องกับนำสังฆทานมาถวายอีกด้วย
เนื่องจากพระบนคอที่ช่วยให้เขารอดชีวิตจากคมมีด ดุจปาฏิหารย์นั้นเป็น พระรูปหล่อรุ่นแรก หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย นั่นเอง
อำนาจแห่งพุทธคุณได้ปรากฏอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ประจักษ์แก่มวลชนทางด้านอยู่ยงคงกระพันอีกครั้งเมื่อหนุ่มเบญจเพสถูกคู่อริ 2 คน ลอบแทงด้านหลังด้วยมีดพกทะลุผ่านเสื้อที่สวมใส่อย่างง่ายดาย แต่คมมีดไม่อาจระคายผิวหนังมนุษย์ที่เปราะบาง ซึ่งประกอบด้วยเลือดเนื้อเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นจะเป็นอื่นไปไม่ได้ ถ้าหากไม่ใช่เกิดจากพุทธานุภาพแห่งพระเครื่องรางที่ช่วยคุ้มครอง คุณสมทรง แซ่ตั้ง ให้รอดชีวิตอุจปาฏิหารย์ สามารถนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองสด ๆ ร้อน ๆ มาเล่าให้ หลวงพ่อมี ที่วัดมารวิชัยฟังเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมา
เหตุการณ์แห่งอิทธิปาฏิหารย์พระรูปหล่อรุ่นแรกหลวงพ่อมี วัดมารวิชัย เกิดขึ้นในตอนเย็นวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 คุณสมทรง แซ่ตั้ง อาชีพขับรถแท็กซี่ มีนิวาสสถานอยู่ในละแวกวัดมหาวงษ์ สำโรงใต้ พระประแดง สมุทรปราการ เล่าว่าขณะที่กำลังเดินเข้าซอยเพื่อกลับบ้านตามปรกติจึงไม่ทันระวังตัวถูกคู่อริเก่า2 คน ซึ่งเคยเกิดเรี่องตีกับเพื่อน ๆ เมื่อ 3-4 ปีที่แล้วลอบแทงข้างหลัง
คุณสมทรงท้าวความที่เคยเกิดเรื่องกันในสมัยวันรุ่น ให้หลวงพ่อมี และชาวบ้านหลายคนที่มีให้ท่านรักษาโรคอยู่บนกุฏิฟังต่อว่า ความจริงผู้ที่ลอบทำร้ายทั้ง 2 ก็เคยรู้จักกัน โดยเป็นเพื่อนของเพื่อนสนิทอีกที

นึ่งเกิดขัดใจกันในวงเหล้าเพื่อนคุณสมทรงถูกตีด้วยขวดจนศีรษะแตก คุณสมทรงจึงเป็นผู้พาเพื่อนไปหาหมอและแจ้งความกับตำรวจ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาก็เลยไม่ถูกกัน และมีเรื่องตีกันอยู่เสมอ
ต่อมาจอมเกเรทั้งคู่ต้องคดียาเสพติดอยู่หลายปีเข้าใจว่าเพิ่งพ้นโทษออกมาพบเห็นตนเดินอยู่คนเดียว จึงแอบทำร้ายตนอีก เคราะห์ดีที่พี่ชายคนที่ 2 ซึ่งเป็นศิษย์คนหนึ่งของหลวงพ่อมี ให้พระรูปหล่อรุ่นแรกของท่านมาห้อยคอก่อนเดินทางไปต่างประเทศ ไม่เช่นนั้นคงจบชีวิต
คุณสมทรงและภรรยา ผลัดกันเล่าเหตุการณ์อันตื่นเต้นให้หลวงพ่อมีและชาวบ้านทั้งหลายฟัง พร้อมกับให้ดูรอยมีดที่แขนและถลกเสื้อให้ดูกลางหลัง ซึ่งหลวงพ่อมี และชาวบ้านหลายคน บอกตรงกันว่า
"ที่แขนเป็นรอยแดง ๆ อยู่ 2 รอยเช่นกัน"
หลวงพ่อมีเล่าให้ฟังว่า
ทั้งสองคนนำสังฆทานมาถวายและให้ฉันรดน้ำมนต์ เมื่อจะกลับสามีจะเอาเสื้อที่ถูกแทงขาดไปด้วย แต่ฝ่ายภรรยาบอกให้ถวายฉันไว้เป็นการสะเดาะเคราะห์ พระที่วัดก็เลยเอามาแขวนที่ข้างเสาไว้เป็นที่ระลึก
หลวงพ่อมีพูดแล้วให้หยิบเสื้อมาพิสูจน์ดูรอยขาดที่ถูกแทงด้วยมีด ต่อหน้าพระภิกษุสามเณร และลูกศิษย์ลูกหาอีกหลายคนที่อยู่บนกุฏิของท่านชมด้วยความอัศจรรย์




Cradit จากหลังสือลานโพธิ์ครับ






 


213
ตำหรับของหลวงพ่อจงใช้ทางเมตตามหานิยม  มหาอำนาจแคล้วคลาดคงกระพัน
แลกันเขี้ยวงา กันไข้ป่าดง  กันสัตว์ร้ายทางบกทางน้ำ  เป็นเสน่ห์แก่ชายหญิง
ไปเหนือไปใต้สารทิศใดมีคนเกรงกลัว  เอาไว้แก่ตัวคนพาลจะทำร้ายมิได้  แขวนไว้หัวนอน  กันโจรผู้ร้าย  กันฟืนไฟต่างๆ  ใช้ได้ ๑๐๘ ประการ ดีนักแล
เมื่อท่านจะไปไหน  ให้ระลึกถึงหลวงพ่อจง ให้ตั้งนะโม 3 หน
    ?อิทธิ ฤทธิ พุทธนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ  จงมาเป็นที่พึ่งแก่ มะอะอุ  บัดเดี๋ยวนี้เถิด?
ว่าสามเที่ยวหรือเจ็ดเที่ยว
ปลาตะเพียนเงิน-ทอง
ทำพิเศษของหลวงพ่อจง  วัดหน้าต่างนอก
วิธีใช้ปลาตะเพียนเงิน ? ทองคู่  ทำด้วยเนื้อเงินบริสุทธิ์ของหลวงพ่อจงมีดังนี้
ค้าขายทางเรือให้ติดที่หัวเรือ ๑ ตัว ท้ายเรือ ๑ ตัว ถ้าตั้งร้านค้าขาย ให้เอาเชือก
ผูกแขวนหน้าร้านทั้งคู่  ถ้าทำนา ทำไร่ และสวน  ให้ใส่กระป๋องปิดฝาฝังดินไว้ ป้องกันข้าวกล้า
ในนาไม่ให้เป็นอันรายต่างๆ   มีหนอนกอเป็นต้น
ถ้าค้าขายหาบคอน ให้ใส่ก้นหาบละตัว ถ้าจะไปใหนให้เอาติดไปกับตัวเป็น
เมตตามหานิยมแล
คาถาสำหรับใช้น้ำพรมปลาตะเพียน  ขายของดี
นะชาลีติ  สัพเพชะนานัง  พหูชะนานัง เอหิจิตตัง ปิยังมามา
วิธีใช้แหวนรูปของหลวงพ่อจง
วัดหน้าต่างนอก อยุธยา
แหวนนี้ทำด้วยเงินบริสุทธิ  ประกอบไปด้วยคุณพระ ใช้ในทางเมตตามหานิยม คงกระพันแคล้วคลาดและกันเขี้ยวงา กันกระทำผีและคุณ
ถ้าตะขาบแมลงป่องกัด  ให้ใช้ถูที่แผล  ไดผลแก่ผู้ใช้มามาก มีผู้นิยม  ใช้ได้ทั้งหญิงชาย
ก่อนจะสวมแหวนนี้  ให้ระลึกถึงหลวงพ่อ แล้วตั้งนะโม 3 หน  ให้ว่า
พุทธังราธนานังกะโรมะ   ธัมมังราธนานังกะโรมะ  สังฆังราธนานังกะโรมะ
พุทธังรักษา  ธัมมังรักษา  สังฆังรักษา  หลวงพ่อจงรักษา
เมื่อท่านสวมแหวนแล้ว  ให้นึกตามปรารถนาเถิด   ประสิทธิ์นักแล

 

คุณสมบัติ  และวิธีปฏิบัติ  ใช้พระยันต์ ตะกรุดมหารูด  
มงคลชาตรี โทน
คำอาราธนาปลุกเสก อธิษฐาน
ให้ท่านเอามือลูบคลำตะกรุดว่าดังนี้
ตั้งนะโม 3 จบ พุทธังสะระณังคัจฉามิ  ธัมมังสะระณังคัจฉามิ สังฆังสะระณังคัจฉามิ
อิติปิโสภะคะวา จนถึงภะคะวาติ ว่าสามจบ
พุทธังอาราธนานัง  ธัมมัง อารธนานัง สังฆัง อาราธนานัง
ขอบารมีของพระพุทธเจ้ากับยันต์ที่เป็นมหารัตนบัลลังก์  ของพระพุทธเจ้านี้
จงดลบันดาลให้เป็นคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดมหาอำนาจ เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์แกมนุษยทั้งหลาย  โดยอำนาจบารมี ของพระพุทธเจ้ากับยันต์มหารัตนบัลลังก์  ขออาราธนาจงบันดาลโดยเร็ว
พุทธังรักษา  ธัมมังรักษา  สังฆังรักษา    พระบิดารักษา พระมารดารักษา พระอินทร์รักษา
พระพรหมรักษา ครูบาอาจารย์รักษา อิมังองคพันธนังอธิษฐามิ  แล้วจึงปลุกเสกในยามฉุกเฉิน
ด้วยคาถานี้
          อิติสุคะโต อุสุวิหิสุ พุทธะสังมิ พุทธะสังมิ มะอะอุ อุกัณหะเนหะ อุทธัง อัทโธ  โธอุท ธังอัท  หังระอะ อะนะปัสสะ   ๓- ๗ จบ
เมื่อจะเข้ารณรงค์สงคราม  ให้รูดไว้ข้างหน้าเหนือสะดือ  จะแคล้วคลาดอาวุธทั้งหลาย
ปืนไฟ ธนูหน้าไม้ หอกดาบ แหลนหลาว ขวากหนามทั้งปวง
ถ้าหนีศัตรูให้รุดไว้ข้างหลัง ศัตรูไล่ตามไม่ทันเลย  ถ้าจะเข้าหาขุนนางท้าวพระยา
สมณะชีพราหมณ์ทั้งหลาย  ให้รูดไว้ข้างขวา  
ถ้าจะเข้าหานางพญาศัตรี  เจรจาพาที  รูดไว้ทางซ้าย  
ถ้าจะแข่งวัวแข่งควายแข่งเรือ ช้างม้า  วิ่งแข่ง  เมื่อเริ่มออกให้รูดเอาตะกรุดไว้ตรงสะดือ
ถ้าออกเลยข้างหน้าแล้ว เอาไว้ข้างหลังเขาตามมิทันเลย  พระยันต์ ตะกรุดมหารูดมหามงคล  มหาชาตรีโทนนี้  มีพระคุณประเสริฐที่สุด
มนุษย์ผู้ใดมีพระยันต์นี้ประจำตัวเอาไปด้วย  จะไม่ตายด้วยอาวุธทั้งหลาย ย่อมเจริญศรี
ด้วยยศศักดิ์ทุกประการ
และกันกระทำภูตผีปิศาจทั้งหลาย  ถ้ามีทุกข์ร้อนอันใดก็ดี  ให้เอาพระยันต์ตะกรุดนี้
อาราธนาแช่น้ำทำน้ำพระพุทธมนต์ได้ทุกอย่าง  ให้ปรารถนาเอาเถิด  ให้เสกด้วย ไตรสรณาคม
และพระอิติปิโส(จนถึง)พุทโธภะคะวาติ ข้างบนนั้น ๓-๗ จบ
เมื่อทำแล้วให้เอาน้ำมนต์มาพรมหรืออาบ จะหายสิ้นแล  จะประสิทธิ์ได้ทุกอย่าง  อย่าสนเทห์เลย  ให้หมั่นปลุกเสกไว้เถิดจะศักดิ์สิทธิ์ทุกประการ
วิธีใช้เดินทางไม่เมื่อยดังนี้  เมื่อปลุกตะกรุดเสร็จแล้ว  จึงเอามือพนมพร้อมด้วนตะกรุด  ให้ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรมเจ้า  คุณพระสงฆเจ้า  คุณครูบาอาจารย์ ตลอดถึงคุณบิดามารดา พระภูมิเจ้าที่ แม่พระธรณี  แม่พระคงคา  และหลวงพ่อจง  ท่านประสิทธิ์ให้อันประเสริฐ
แล้วลุกจะเดินทางต่อไปนี้  ขออย่าให้เมื่อยให้เหนื่อย  ให้ล้าเลย  แล้วจงเสกตะกรุดซ้ำลงไปว่า
เสกขาธัมมา  อะเสกขาธัมมา  เนวเสกขาธัมมา เสกขาธัมมา
ดังนี้แล้วจึงเอามือลูบตามแข้งขาบ่าไหล่  ลูบไปให้ทั่วสรพางค์  แล้วกราบลง สามครั้ง
ค่อยเดินทางต่อไป
พระคาถาสำหรับปลุกเสกพระยันต์ตะกรุด  ให้ตั้งนะโม สามจบ  แล้วให้ชุมนุมเทวดา  แล้วปลุกเสกด้วยพระคาถานี้
พุทโธ  พุทธัสสะ  อิทธิฤทธิ  พุทธะนิมิตตัง  ให้ปลุกเสกทุกวันๆดีนัก
ตะกรุดจะมีอานุภาพศักดิ์สิทธิ์เข้มแข็งขึ้นอีกดีนักแล  พระยันต์ตะกรุดมหารูดมงคล
มหาชาตรีโทนนี้  ท่านประสงค์สิ่งใด  จงพรรณนาตามแต่จะพึงอธิษฐานเอาเถิด  ประเสริฐทุกอันแล
พระยันต์ตะกรุดโทนดอกนี้  ตำรากล่าวไว้  มีค่าพันตำลึงทอง
ของหลวงพ่อจงวัดหน้าต่างนอก  อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา

รายชื่อตะกรุดชุด ๑๖ ดอก
ของหลวงพ่อจง  วัดหน้าต่างนอก
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
?..............................
ใช้ได้ผลมาแล้วในมหาสงคราม
1.เกราะเพชร    
   2.พรหมสี่หน้า
3.มหานิยม
4.คงกระพัน
5.กันเขี้ยวงา          
6.เมตตา
7.แคล้วคลาด
8.กันกระทำ  กันคุณ กันผี
9.กันไฟ
10.มหาอุด
11.กันภัยทางอากาศ
12.เดินทางไกลไม่เหนื่อย  ไม่เมื่อยล้า
13.กระทู้ ๗ แบก
14.กันฟ้าผ่า
15.นะจังงัง
16.มหารูด
อมมะปลุกๆ   กูจะปลุกรูปพระแลนา  พระเลขยันต์แลคาถา  กูจะปลุกเขี้ยวแลงา  พระครุฤาษี
พระอุนนะรุตตะเถระประสิทธิ์ไว้ให้แก่กู  พุทธังสะระติ ธัมมังสะระติ  สังฆังสะระติ  ฯ
ให้ปรารถนาแลพิสถานใช้เอาเถิด   ประเสริฐทุกอันแล
วิธีใช้เดินทางไม่เมื่อยดังนี้  เมื่อปลุกตะกรุดเสร็จแล้ว  จึงเอามือพนมพร้อมด้วนตะกรุด  ให้ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรมเจ้า  คุณพระสงฆเจ้า  คุณครูบาอาจารย์ ตลอดถึงคุณบิดามารดา พระภูมิเจ้าที่ แม่พระธรณี  แม่พระคงคา  และหลวงพ่อจง  ท่านประสิทธิ์ให้อันประเสริฐ
แล้วลุกจะเดินทางต่อไปนี้  ขออย่าให้เมื่อยให้เหนื่อย  ให้ล้าเลย  แล้วจงเสกตะกรุดซ้ำลงไปว่า
เสกขาธัมมา  อะเสกขาธัมมา  เนวเสกขาธัมมา เสกขาธัมมา
ดังนี้แล้วจึงเอามือลูบตามแข้งขาบ่าไหล่  ลูบไปให้ทั่วสรพางค์  แล้วกราบลง สามครั้ง
ค่อยเดินทางต่อไป
ตะกรุดพวงนี้เมื่อท่านจะไปสารทิศใด  ท่านว่าให้ปรารถนาใช้เอาเถิด  ประสิทธิ์ทุกอัน
วิธีใช้มหารูดสำหรับที่ 15 และ 16 คู่หางเชือก  ถ้าสูให้อยู่ข้างหน้า   ถ้าหนีให้อยู่ข้างหลัง  ถ้าเข้าหาเจ้านายให้อยู่ข้างขวา  ถ้าเข้าหาผุ้หญิงให้อยูทางซ้าย  ต้นเชือกคือทางบ่วง เลขที่ 1 และ 2 วิเศษนักแล

 

 

  


วิธีเลี้ยงรัก-ยมของหลวงพ่อจง

วัดหน้าต่างนอก  ต.หน้าไม้ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา
เมื่อผู้ใดบุชาไปแล้วจงกระทำการเซ่นเสียก่อน ๓ วันติดกัน  ของที่เซ่นนั้นมี
1. ข้าวปากหม้อ 2.ขนม 3.ไข่ และน้ำ และเครื่องดอกไม้ธูปเมียนบูชาครูพร้อม
ให้เลือกพิสถานเมื่อเวลาเซ่นคล้ายบอกว่า  เจ้ารัก-เจ้ายม จงมาอยู่กับพ่อหรือแม่ก็ตาม
เจ้าจงว่านอนสอนง่าย และจงช่วยพ่อและแม่ ให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น  พ่อกับแม่จะใช้ไปทางใหน
เจ้าจงไปตามคำของพ่อและแม่ดังนี้เป็นต้น  เมื่อเสร็จจากการเซ่น ๓ วัน  แล้วต่อไปก็เพียงแต่เรียกร้องให้มากินข้าวด้วยกันทุกๆครั้ง  ในเมื่อรับประทานอาหาร  และจงหมั่นล้อหมั่นเลียน
หมั่นเล่นเสมอ ๆ วิญญาณของเขาจะได้อยู่กับเราไปเรื่อยๆ  ต่อแต่นี้ไปเมื่อเวลาเราจะไปไหน
ก็จะชักชวนเขาไปด้วย  การชักชวนเขาไปนั้นควรบอกจุดประสงค์  ว่าจะไปทำอะไรในทางที่ดี
หรือไปหาลาภ  ในเมื่อได้ผลสำเร็จแล้ว  ควรจะมีของรางวัลให้เขาทุกครั้งไป   เช่นเขาชอบ
น้ำมันจันทน์   หรือน้ำมันหอม เป็นต้น  บางทีเวลาเรานอนในสถานที่ต่างๆ เกรงว่าจะเป็นอันตราย
เราก็บอกให้รัก-ยม รักษาคุ้มครอง สุดแต่เราจะพูดปรารถนาของเรา  รัก-ยม เขาช่วยปลุกเราได้
ในเมื่อเราเซ่นจนขึ้นแล้ว  บางเขาทำอะไรตกมาตึงตังมาให้เราตื่น ที่เขาไปใช้กันขลังๆนั้น ถึงกับ
เป็ดไก่ขึ้นบ้านไม่ได้  บางทีมีคนมาพัก หรืออาศัยบ้านของเรา ควรบอกเล่าให้เขารู้เสีย   ถ้าไม่บอก
รัก- ยม จะกวนคืนยันรุ่ง เช่นหยิบโน่นหยิบนี่เป็นต้น  บางคนเอาไปใช้ถูกปืนยิงตั้งหลายครั้ง
ไม่รู้ลูกไปไหนหมด ได้ปรากฏจากปากคนอื่นมาแล้วหลายราย  แต่รัก-ยมนี้ ทางสัณฐานของคนทั่วไป  กล่าวว่าใช้ดีในทางค้าขาย ซื้อง่ายขายคล่อง เมตตามหานิยม  มหาเสน่ห์ รัก-ยม สามารถจะเข้าดลใจผู้อื่น ให้อ่อนลงได้ง่าย รัก-ยมนี้คล้ายของกายสิทธิ์ สุดแต่จะปรารถนาเอาเถิด  
แต่บุคคลที่ใช้รัก-ยม   ต้องปฏิบัติตนเป็นคนมีศีลธรรม  และวาจาให้เป็นสัจจะจริงๆ  อย่าพูดเหลวไหลกลับกลอกไม่ได้  ตามที่ปรากฏมาแล้วหลายท่าน   บางทีชักชวนเขาไปเล่นการพนัน
ไปหาลาภ  ไปในทางผู้หญิงก็มี การที่เราชักชวนไปไหนก็ตาม ถ้าสำเร็จตามความประสงค์แล้ว ควรรางวัลเขาทุกครั้งไป  จะได้ลาภสมความประสงค์ของท่านแล ฯ
คาถาเรียกปลุกและเรียกกินข้าว
จัตตุระภูตานัง  อะหังวายัง อมมะหาระกุมาริง  รัก- ยมมารับโภชนา
อาคัจฉาหิติวัตตัพโพ อาคัจฉัยหิมาลูกมา
เรียกไปด้วยกัน หรือขอนิมิตร  ขอลาภ
เอหิจาตะ ปิยะปุตตะ ปุเรถะมะปาระมิง  หัตทะยังเมภิสิณ  จะถะพุทโธ  
บุพพนิมิตตัง  ปิยะปุตตัง  สัพพะลาภัง  กะโรถะวะจะนัง  ปิยังนำมามะมา




Cradit http://www.***** ลิงค์มีการซื้อขายวัตถุมงคล

214



วัตถุมงคล วัดหน้าต่างนอก จ.อยุธยา


หลวงพ่อแม้น อาจารสัมปันโน

ศิษย์เอกหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก

เจ้าตำรับตะกรุดโทนและพยัฆราช แห่งลุ่มแม่น้ำน้อย อันลือลั่น

 

เมื่อวันที่ 9 เดือน 9 พ.ศ 2550  ทางวัดหน้าต่างนอกได้จัดพิธีพุทธาภิเษก วัตถุมงคลรุ่น"9 หน้ามหาบารมี"

วัตถุมงคลที่เข้าร่วมพิธี


 เสือมหามงคล(เสือเดือน 9) หลวงพ่อแม้นปลุกเสกเสือได้ขลังมากทุกครั้งที่ทำการ สร้างเสือออกมากี่รุ่นก็หมดไปจากวัดรวดเร็ว เมื่อปีใหม่หลวงพ่อแม้นได้เสกเสือในกุฎิเสียงเสือดังลั่นในกุฎิ เสือหลวงพ่อแม้นมีประสบการณ์มากทุกรุ่น หลวงพ่อจึงได้สร้างเสือเดือน 9 ขึ้นมาอีก หลวงพ่อถือเคล็ดว่าเสือเดือน 9 จะได้   ก้าวหน้า ก้าวมั่ง ก้าวมี ก้าวไปเป็นเศรษฐี ก้าวพ้นอุปสรรค เสือรุ่นนี้พิเศษสุดได้ผสมตะกรุดมหาอำนาจรุ่นเก่าของหลวงพ่อจง ที่ท่านปลุกเสกไว้ลงเป็นชนวน และหลวงพ่อแม้นได้จารผ่นยันต์ 108 ลงไปผสมเป็นชนวนด้วยเช่นยันต์ หอกคด ปืนแตก มหาละลวย งวยงง หลงไหล อ่อนใจรัก มหาลาภฯ ซึ่งเป็นตำราเก่าของหลวงพ่อจงไว้ลงเสื้อยันต์ให้ทหารในสมัยนั้น ทำให้เสือรุ่นนี้ มีพุทธคุณดีในทุกด้านเป็นที่รู้จักกันดีในจังหวัดอยุธยา เสืออยุธยา เสือหลวงพ่อแม้น วัดหน้าต่างนอก



* เรื่องแปลกแต่จริง
หลังจากพิธีปลุกเสกเมื่อวันที่ 9 ผ่านพ้นไป ผู้ที่มาเข้าร่วมพิธี คงจะได้รูสึกถึงความเข้มขลังกันแล้ว  
พื้นที่รอบๆวัดฝนตกหนักมาก แต่ในวัดฝนไม่ตก แถมพระอาทิตย์ยังทรงกลดอีกต่างหากพอปลุกเสกเสร็จหลวงพ่อให้ยกลังเสือมาปลุกเสกอีกในกุฏิเช้า
ขึ้นมาหลวงพ่อบอกไม่รูว่าอะไรวิ่งชนตู้ในกุฏิตอนปลุกเสก เสียงดังตึงๆ
- พระที่วัดมาปัดกวาดกุฏิหลวงพ่อจะยกลังเสือขึ้นมาซ้อนกัน  เสือกระโดดจากพานเอง เห็นจะจะ
มาถามได้ที่วัด
- มีคนมาบูชาจากที่วัดไป เอาไว้บนหิ้งพระ  ที่หิ้งพระมีเครื่องรางเป็นลิงไม้แกะ  ตกกลางคืนลิงมา          เข้าฝัน   บอกให้ช่วยหน่อย โดนเสือกัดจะตายอยู่แล้ว  เช้าต้องรีบมาหาหลวงพ่อ หลวงพ่อบอก ?ก็ไม่บอกเขาก่อนละ??



เสือเนื้อตะกั่ว






เสือเนื้อทองแดง





Cradit http://www.w*****.com/

ลิงค์มีการซื้อขายวัตถุมงคล ก่อนโพสควรอ่านให้เข้าใจก่อนลงลิงค์ ...  :089:


215
แจ้งข่าววัดสามง่าม


เมื่อวันนี้ผมไปวัดสามง่ามมาครับ


ไม่ได้วัตถุมงคลอะไรมาเลย

ก่ะไปเช่าสามหู


ดันหมดคนที่ให้เช่าบนกุฐิหลวงปู่บอกว่ารอประมาณ 1 อาทิตย์

ส่วนวัดถุมงคลอื่นๆ ก็มีกุมาร ขุนแผน ตลับยาหม่อง พระศรีฯ

และอีกหลายอย่างครับ

แล้วอาการอาการหลวงปู่ ลูกศิษย์ท่านบอกว่า หลวงปู่อาการดีขึ้นมาก แต่ฉันน้อยลง ครับ



ไว้มีอะไรดีๆจะมานำเสนออีกนะครับ


 :054: :054: :054:



ด้วยความเคารพ a?xๅea?ๅeบๅJws=

216

เหรียญยันต์ 9 ยอด หลวงพ่อประเทือง ปี 46






ตะกรุด 9 ชั้น





พุธกวักรุ่น1 ผมโดนมีดปลอกมะม่วงไม่ระคายผิวมาแล้ว มี3องค์ครับ










เหรียญรุ่น1




หนุมานเก้าหน้า สยบศราสตราวุธ

















217
ขอสอบถามนิดนึงครับ

ใครไปวัดสามง่ามมามั้ง??

อยากทราบอาการของหลวงปู่

เพื่อนผมไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

บอกว่าหลวงปู่ยังซึม และทานอาหารไม่ได้

ครับ

อยากทราบว่าตอนนี้หลวงปู่สุขภาพดีขึ้นไหม

แล้วตะกรุดสามหู

หลวงปู่ตอนนี้ที่วัดจะมีให้เช่าอยู่ไหมครับ

เพราผมกะไปกราบท่าน วันที่5 กรกฏาคม





ขอบคุณเป็นอย่างสูง
a?xๅea?ๅeบๅJws=

218











จารตะกรุดครับ










หลวงปู่เจือครับ





หลวงปู่เจือกำลังจารตะกรุดครับ





หลวงปู่เเย้ม วัดสามง่ามก็มาครับ





หลวงปู่เเย้มมาหลวงปู่อั๊บไม่มาคงไม่ได้








ภาพนี้ดูแล้วก็เกิดความอิ่มเอิบและปิติไม่ใช่น้อย เกจิอาจารย์ สายนครปฐม ครับ สนทนากันน่าศรัทธามากครับ





สุดยอดเกจิสายนครปฐม






องค์ต่อไป ท่านมหาสุรศักดิ์ วัดประดู่ อัมพวา





เปี่ยมด้วยบารมี






ท่านมหาสุรศักดิ์ กราบหลวงพ่อตัด วัดชายนาครับ หาชมภาพแบบนี้ได้ยากแล้วครับ




เอามาให้ชมเเค่นี้ก่อนครับ โอกาศหน้าจะนำเสนอสาระดีๆ มาให้ชาววัดบางพระได้ชมกันครับ


ขอบคุณ... เครดิตจาก พี่ชายของผม เป็นศิษย์วัดบวร ครับ



 :054: :054: :054:





219




พระครูประยุตนวการ หรือ หลวงพ่อแย้ม ฐานยุตฺโต เจ้าอาวาส วัดสามง่าม (วัดอรัญญิการาม) อ.ดอนตูม จ.นครปฐม นับเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงเด่นดังอีกรูปหนึ่งใน จ.นครปฐม ในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะมีงานพิธีพุทธาภิเษก วัตถุมงคล ณ ที่แห่งใด ก็มักจะต้องปรากฏชื่อหลวงพ่อแย้มร่วมพิธีปลุกเสกด้วยเสมอ

หลวงพ่อแย้มมีลูกศิษย์มากมายอยู่ทั้งใน และนอกประเทศ ด้วยความเคารพศรัทธาในบารมีธรรมของท่าน โดยเฉพาะการสร้าง และปลุกเสกวัตถุมงคลต่างๆ รวมทั้ง ตะกรุด ๓ หู และกุมารทอง ที่ท่านได้เล่าเรียนสืบทอด วิชามาจาก "เทพเจ้าแห่งดอนตูม" นาม "หลวงพ่อเต๋ คงทอง" อดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ขมังเวทแห่ง วัดสามง่าม ซึ่งหลวงพ่อเต๋นั้น ท่านเป็นลูกศิษย์ ของหลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก และหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง อดีต ๒ พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของเมืองนครปฐมในอดีต

หลวงพ่อแย้ม ในวัย ๘๗ ปี พรรษาที่ ๖๓ ได้เมตตาให้สัมภาษณ์ พิเศษแก่ทีมข่าวคม ชัด ลึก ถึงเรื่องการเล่าเรียนวิชา คาถาอาคม จากหลวงพ่อเต๋ รวมทั้ง การสร้างของขลังต่างๆ ตามตำรับ "หลวงพ่อเต๋" องค์อาจารย์ ขอเชิญท่านทั้งหลาย ติดตามอ่านกันได้อย่างเต็มอิ่มจุใจ ณ บัดนี้


สมัยที่หลวงพ่อเต๋ยังมีชีวิตอยู่ หลวงพ่อได้เรียนวิชาอะไรจากท่านบ้างครับ ?

อาตมาก็เรียนเท่าที่ท่านจะสอนให้ เรียนเท่าที่ท่านใช้ ไม่ได้เรียนมาทั้งหมดหรอก วิชาแรกที่เรียนก็จะเป็นจำพวก หมอยาเกี่ยวกับการรักษาญาติโยมที่เจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งสมัยนั้น จะทำการรักษาด้วยยาสมุนไพรล้วนๆ เพราะสมัยนั้นไม่มีหมอ ไม่มีโรงพยาบาลที่ทันสมัยเหมือนในปัจจุบัน พระสงฆ์ที่มีวิชารักษาโรคจึงเป็น ที่พึ่งของญาติโยมได้ดีที่สุด

ต่อมา ท่านก็สอนวิชาการทำตะกรุด สักยันต์ และทำกุมารทอง สมัยที่หลวงพ่อเต๋ยังมีชีวิตอยู่ เวลาท่านจะทำของเหล่านี้ อาตมาก็จะเป็นผู้ช่วยท่าน
ตำราต่างๆ ของหลวงพ่อเต๋ ปัจจุบัน หลวงพ่อได้เก็บเอาไว้บ้าง หรือเปล่าครับ ?

สมัยที่อาตมาเรียนวิชากับหลวงพ่อเต๋นั้น ไม่ได้เรียนวิชาจากตำราหรอก ทั้งหมดจะเป็นการเรียนการสอนแบบปากต่อปาก ให้ต่างคนต่างจำกันเอาเอง เนื่องจากคนที่เรียนวิชาถ้าต้องการที่อยากจะได้วิชาไปจริงๆ เขาก็ต้องตั้งใจ ที่จะเรียนรู้ และต้องจดจำในวิชานั้นๆ ให้ได้ และถ้าสมัยนั้นมีหนังสือ เป็นตำรา หลวงพ่อเต๋ท่านกลัวว่าจะมีคนที่เป็นนักเลง หรือพวกโจร จะนำไปใช้ในทางที่ไม่ดี หรือลูกศิษย์บางคนที่ไม่รู้จักบุญคุณกลับเอาวิชาที่เรียนมาจากอาจารย์นั้น มาทดลองหรืออาจมาแข่งกับอาจารย์ของตัวเองได้



ตอนที่หลวงพ่อ เรียนวิชากับหลวงพ่อเต๋ เรียนยากมั้ยครับ ?


เรียนไม่ยากหรอก ที่สำคัญ ท่านจะไม่อาบน้ำ เนื่องจากหลวงพ่อเต๋นั้น ดูเหมือนท่านจะกลัวน้ำกลัวฝน แต่ไม่กลัวแดด สมัยที่ท่านยังมีชีวิต ท่านจะอาบน้ำ เพียงปีละครั้ง แต่ที่ไม่อาบน้ำนั้น ถือเป็นหนึ่งในวิชาคาถาอาคมที่ได้เรียนมา ปัจจุบัน อาตมาเองก็ไม่อาบน้ำมานานแล้ว ตอนนี้ เป็นเวลากว่า ๓๐ ปีมาแล้วที่อาตมาไม่ได้อาบน้ำ จะใช้เพียงผ้าซับน้ำ เช็ดเนื้อตัวเสียเป็นส่วนใหญ่


หลวงพ่อไม่ได้อาบน้ำนานๆ อย่างนี้ ไม่รู้สึกเหนียวตัวบ้างหรือครับ ?


ไม่เหนียวนะ


แล้วตัวไม่เหม็นบ้างหรือครับ ? ก็ไม่เห็นเหม็นอะไร (หัวเราะ)


หลวงพ่อไม่คิดจะอาบน้ำบ้างเลยเหรอครับ ?


อาตมาก็ไม่คิดที่จะอาบน้ำ จริงๆ ก็กลัวฝนเหมือนกัน เพราะเจอฝนเมื่อไรก็จะเป็นหวัดเป็นไข้ได้เจ็บทุกครั้ง (หัวเราะ) จากที่เคยอยู่กับหลวงพ่อเต๋มานาน ท่านจะเป็นพระที่กลัวฝนมาก ซึ่งไม่รู้สาเหตุที่ชัดเจนว่าเป็นมาอย่างไร อาตมาจำได้ว่า ครั้งหนึ่งเห็นหลวงพ่อเต๋ถูกฝนเปียก แล้วท่านจะมีอาการสั่นๆ รู้สึกว่าท่านจะหนาวมาก




ช่วงเข้าพรรษา ไตรมาสปีนี้ เห็นหลวงพ่อลงจารอักขระทำตะกรุดมากมาย ไม่ทราบว่าเป็นตะกรุดอะไรครับ ?


เขาเรียกว่าตะกรุดสามหู ก็เป็นวิชาที่อาตมาเรียนมาจากหลวงพ่อเต๋นั่นแหละ


ในแต่ละพรรษา หลวงพ่อสร้างตะกรุดได้หลายดอกมั้ยครับ ?


มันไม่แน่นอนหรอก จริงๆ มันอยู่ที่สุขภาพ และกำลังของอาตมาด้วยนะ เฉลี่ยในปีๆ หนึ่ง จะทำตะกรุดได้ประมาณ ๒๐๐ กว่าดอก ก็จะทำในช่วงเข้าพรรษา


วัสดุที่ใช้ทำตะกรุด ทำไมจึงเป็นกระดาษ ทำไมหลวงพ่อไม่ใช่แผ่นโลหะพวกทองเหลือง หรือทองแดงทำล่ะครับ ?


ตะกรุดของอาตมาที่เขียนยันต์ในกระดาษข่อยนั้น เขาเรียกตะกรุดสามหู ส่วนตะกรุดที่เขียนยันต์ในแผ่นทองเหลือง เขาเรียกว่าตะกรุดมหารูด แต่ในทางเอาไปใช้แล้วไม่มีความแตกต่างกันนัก เพราะคาถาที่เขียนลงในตะกรุดสามหู ก็เป็นคาถาตัวเดียวกันกับตะกรุดมหารูด


ยันต์ที่หลวงพ่อเขียนลงในตะกรุด มีพุทธคุณทางด้านใดบ้างครับ ?


ก็เน้นไปทางมหาอุดทั้งหมด รวมทั้งเมตตามหานิยมด้วย


ยันต์มหาอุด และยันต์พระเจ้า ๕ พระองค์ ใครเอาไปใช้แล้ว จะป้องกันอันตรายได้รอบตัวรอบทิศทาง เป็นวิชาที่อาตมา ได้สืบทอดมาจากหลวงพ่อเต๋ สมัยก่อน พอหลวงพ่อเต๋ทำตะกรุด อาตมาจะเป็นคนช่วยท่านเขียนยันต์ และช่วยถักไหมคลุมตะกรุด แล้วให้หลวงพ่อเต๋เป็นคนปลุกเสก




วิธีทำตะกรุดสามหู ต้องทำอย่างไรบ้างครับ ?


การทำตะกรุดแต่ละดอก จะต้องเขียนยันต์ลงบนกระดาษข่อยทั้งสองหน้า เสร็จแล้วก็ต้องม้วน จากนั้น ก็เอาไปถักแต่เดี๋ยวนี้ก็ให้ลูกศิษย์มาช่วยกันถัก เนื่องจาก สายตาของอาตมาไม่ค่อยดี เมื่อถักเสร็จแล้ว อาตมาก็จะทำพิธีปลุกเสกเป็นเวลา ๑ ไตรมาส จากนั้น จึงจะให้ลูกศิษย์ หรือญาติโยมเอาไปใช้แขวนคอ หรือคาดเอว


วิธีใช้ตะกรุดสามหูให้ได้ผล คนใช้จะต้องทำอย่างไรบ้างครับ ?


ตามตำราที่อาตมาได้ร่ำเรียนมาจากหลวงพ่อเต๋ท่านระบุเอาไว้ว่า ใครที่จะต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะต้องเอาตะกรุด นี้ไว้ข้างหน้า วิ่งหนีภัยวิบัติก็ให้เอาตะกรุดไว้ข้างหลัง จะเดินทางไปหาเจ้าหานายให้มีเมตตามหานิยม ก็ให้เอาตะกรุดนี้ไว้ได้ทั้งซ้าย หรือขวา


หลวงพ่อสร้างตะกรุดได้ในแต่ละปีกี่ดอกครับ


มันไม่แน่นอนหรอก จริงๆ มันอยู่ที่สุขภาพและกำลังของอาตมาด้วยนะ ปีๆ หนึ่งทำตะกรุดได้ประมาณ ๒๐๐ กว่าดอก และส่วนใหญ่ตะกรุดสามห่วงเหล่านี้อาตมาก็จะทำในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา


หลวงพ่อเริ่มทำตะกรุดสามหูมานานแค่ไหนแล้วครับ ?


อาตมาเริ่มทำมาตั้งแต่สมัยหลวงพ่อเต๋ยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็เคยเอาไปทดลองยิง ก็ยิงไม่ออก


โอโห..ตะกรุดของหลวงพ่อ ถึงขนาดลองยิงได้เลยเหรอครับ !


ก็ลองกันเลย หรือแม้แต่วัตถุมงคลอย่างอื่นๆ ของอาตมา อย่างพระกริ่ง เมื่ออาตมาทำเสร็จแล้วก็ได้มีการเอาไปลอง ยิงกันเลย ปืนยิงยังไงก็ยิงไม่ออก นี่แหละ..เป็นเพราะคาถามหาอุดที่หลวงพ่อเต๋สอนไว้



สมัยที่หลวงพ่อเต๋ยังมีชีวิตอยู่ ท่านยังมีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องสักยันต์ ด้วยใช่มั้ยครับ ?


ก็มีคนเดินทางมาให้ท่านสักยันต์กันมาก สักเสร็จท่านก็จะลองเอามีดฟันเลย ก็ฟันไม่เข้า


พอสักยันต์เสร็จ ก็ต้องลองของให้ดูกันเลยเหรอครับ ?


สมัยที่อาตมาเดินธุดงค์ไปกับหลวงพ่อเต๋ ก็เคยถูกลองวิชาหลายแห่งเหมือนกัน จำได้ว่าแถวๆ เมืองกาญจนบุรี ก็จะถูกลองหลายแห่ง สมัยนั้น ก็มีลูกศิษย์หลวงพ่อเต๋จากจังหวัดพิษณุโลก และกำแพงเพชร มาขอสักยันต์กันเยอะ ท่านก็จะสักยันต์น้ำมันให้ เมื่อสักเสร็จเขาก็ขอลองเลย หลวงพ่อเต๋ก็เอามีดคมๆ ฟันลงกลางหลังเลย เป็นเรื่องที่อัศจรรย์ เหมือนกัน เพราะคมมีดมันไม่เข้าเนื้อเลยแม้แต่น้อย


แล้วหลวงพ่อเต๋ได้สักยันต์ให้หลวงพ่อด้วยหรือเปล่าครับ ?


หลวงพ่อเต๋ได้สักยันต์ให้อาตมาด้วยตัวเอง เป็นการสักน้ำมัน ทำพิธีเสาร์ ๕ สองครั้ง ปัจจุบันนี้หากมีลูกศิษย์หรือญาติโยม มาขอให้สักยันต์ อาตมาก็ได้สักยันต์น้ำมันตามตำราของหลวงพ่อเต๋เหมือนกัน


วิชาสักยันต์ของหลวงพ่อเต๋มีพุทธคุณดีทางไหนครับ ?


สมัยก่อน ที่อาตมาเพิ่งบวชใหม่ๆ ในย่านนี้จะมีพวกโจร และนักเลงมากมาย ทำให้ยันต์ที่สักของหลวงพ่อเต๋ จึงต้องเน้นไปทางหนังเหนียว ยิงไม่ออก ขนาดเสือผาด ทับสายทอง ที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม เขายังมาขอเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเต๋ และให้ท่านสักยันต์ให้ แล้วก็ไปทดลองยิง ก็ยิงไม่เข้าด้วย ทำให้ชื่อเสียงของหลวงพ่อเต๋ เป็นที่รู้จักของลูกศิษย์ในวงกว้าง


แต่ถ้าจะพูดถึงวัตถุมงคลที่ทำให้ชื่อเสียงของหลวงพ่อเต๋โด่งดังมาก ต้องเป็น "กุมารทอง" ใช่มั้ยครับ ?


อึม..ใช่ (ยิ้ม)




จริงๆ แล้ว กุมารทองตามตำราของหลวงพ่อเต๋ มีตัวตนจริงหรือเปล่าครับ และใช้ดีทางไหนครับ ?


ตามความเห็นของอาตมาก็ต้องมีตัวตน เพราะกุมารทองที่ว่านี้ เมื่อมีกุมารทองอยู่จำนวน ๑๐๐ องค์ ก็ต้องมีเป็นวิญญาณ ๑๐๐ ดวง ซึ่งถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ญาติโยมนำเอาไปใช้แล้วจะก่อให้เกิดผลทางโชคลาภเงินทองไหลมาเทมา ในการค้าขาย ก็จะทำให้ทำมาค้าขึ้น


กุมารทองของหลวงพ่อสร้างจากอะไรครับ ?


กุมารทองจะทำมาจากดินผสมว่าน แล้วบรรจุเลขยันต์ และอาคมพิเศษลงไป รูปร่างสวยงามน่ารัก ใช้ได้เหมือนลูกกรอกหรือรักยม มีไว้ประจำบ้านเรือน สำนักงาน หรือจะเป็นห้างร้านต่างๆ จะทำให้เกิดลาภผล และเป็นสิริมงคลแก่ผู้นำไปบูชา


นอกจาก ที่วัดสามง่ามแล้ว ก็ยังมีวัดต่างๆ นิยมสร้างของขลังในรูป "กุมารทอง" กันเยอะพอสมควร ไม่ทราบว่าเหมือนกัน หรือต่างกันอย่างไรกับกุมารทองของหลวงพ่อครับ ?


ไม่เหมือนกันหรอก ที่เขาทำกันส่วนมากจะทำกันโดยรู้ส่วนผสมเพียงอย่างเดียว แต่ปลุกเสกไม่เป็น ซึ่งก็มีหลายวัดเหมือนกันที่ไปหลอกลวงญาติโยม โดยใช้ชื่อ และวัดของอาตมาก็มี ทำให้มีคนหลงเชื่อเช่าไปบูชา ส่วนใหญ่ที่ถูกหลอกจะเป็นชาวสิงคโปร์ ที่อาตมายืนยันได้เพราะมีลูกศิษย์มาหาที่วัด แล้วก็เอากุมารทองออกมาให้ปลุกเสก อาตมาเห็นแล้วก็มั่นใจเลยว่าเป็นของปลอม


การปลุกเสกกุมารทองแตกต่างจากการปลุกเสกวัตถุมงคลอื่นๆ อย่างไรบ้างครับ ?


วัตถุมงคลแต่ละอย่าง ก็จะมีพุทธคุณแตกต่างกัน การปลุกเสกก็ไม่เหมือนกัน ต้องแยกกันปลุกเสก จะเสกรวมกันไม่ได้ เนื่องจาก กุมารทองจะเน้นไปทางทำมาค้าขาย ไปทางเมตตามหานิยม ไม่ได้ลงคาถามหาอุด จึงกันกระสุนปืนไม่ได้ ฉะนั้น ถ้าต้องการพุทธคุณทางด้านมหาอุด ต้องเป็นตะกรุดสามหู




แล้วระหว่างพระเครื่อง กุมารทอง และตะกรุดสามหู อย่างไหนมีพุทธคุณดีที่สุดครับ ?


ทุกอย่างที่อาตมาทำการปลุกเสกนั้น ก็ต้องมีความแตกต่างกันไป เมื่อมีพุทธคุณไม่เหมือนกัน ในการนำเอาไปใช้จึงมี พุทธคุณกันคนละแบบ แต่ตะกรุดสามหูที่ทำออกมานั้นจะเป็นสิ่งที่ใช้ดีที่สุด เพราะเป็นเรื่อง ของอยู่ยงคงกระพัน อีกทั้ง เรื่องเมตตาค้าขาย ก็ใช้ได้


วัตถุมงคลของหลวงพ่อจะปลุกเสกตลอดไตรมาส ๓ เดือนทั้งหมดหรือเปล่าครับ ?


จะปลุกเสกเป็นไตรมาสเป็นส่วนใหญ่ ก็จะนั่งปลุกเสกที่หน้ากุฏิแห่งนี้ บางส่วนก็มีญาติโยมนำวัตถุมงคล มาฝากให้อาตมาปลุกเสกให้ก็มี


เวลาปลุกเสก หลวงพ่อจะปลุกเสกเดี่ยวเลยใช่มั้ยครับ ?


ปลุกเสกวัตถุมงคลคนเดียวก็เพียงพอ ไม่ต้องปลุกเสกเป็นหมู่หรอก เพราะของจะดี หรือไม่ดีก็อยู่ที่คนนำไปใช้นั่นเอง


ในสมัยนี้ เมื่อมีการสร้างวัตถุมงคล ก็มักจะมีการนิมนต์พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง มาร่วมพิธีปลุกเสก กันมากมาย ซึ่งการปลุกเสกหมู่อย่างนี้ จะไม่ดีกว่าปลุกเสกเดี่ยวเหรอครับ ?


ไม่ถูกต้องนะ ที่ผ่านมาก็เห็นว่ามีการนิมนต์หลายพระอาจารย์มาร่วมในพิธีปลุกเสกนั้น อาตมาว่าเป็นการเอาอาจารย์ มาโฆษณากันมากกว่า หลายครั้งที่อาตมาถูกนิมนต์ไปร่วมพิธีปลุกเสก ก็ยังไม่รู้เลยว่าต้องไปปลุกเสกวัตถุมงคลอะไร บางครั้งการสร้างวัตถุมงคลก็ทำกันไม่ค่อยเข้ากับพระพุทธศาสนาเท่าไร


ปัจจุบัน วัดต่างๆ นิยมสร้างวัตถุมงคลกันมากมายก่ายกอง ขนาดพระสงฆ์บางรูป บวชได้ไม่เท่าไหร่ก็ยังออกวัตถุมงคลกันแล้ว หลวงพ่อมองอย่างไรบ้างครับ ?


พระอายุ ๓๐-๔๐ ปี มาสร้างวัตถุมงคลนั้น อาตมาว่าไม่ได้เรื่องนะ เพราะพระสงฆ์พรรษาน้อยเหล่านี้มีวิชาคาถาอาคม ยังไม่มีความแกร่งกล้ามากนัก จะมีความแตกต่างมาก หากเปรียบกับพระสงฆ์ที่มีพรรษามาก และจะเป็นเกจิอาจารย์ได้ น่าจะมีอายุตั้งแต่กว่า ๖๐-๗๐ ปี ขึ้นไป เนื่องจาก เป็นช่วงเวลาที่เกจิอาจารย์เหล่านี้ได้ฝึกวิชาได้เชี่ยวชาญ ยิ่งพระสงฆ์สมัยก่อนจะมีความขลังมากกว่า เพราะว่าว่าท่านมีสัจจะ ไม่ได้เน้นโฆษณาขายของเหมือนกับ พระสงฆ์หลายวัดในทุกวันนี้




ตลอดระยะเวลา ๕-๖ ปีมานี้ "พุทธพาณิชย์" หรือการสร้างพระเครื่อง และวัตถุมงคลต่างๆ มาเป็นธุรกิจซื้อขายได้แพร่ระบาดไปในวัดหลายแห่งทั่วประเทศ หลวงพ่อคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ ?


วัดหลายแห่ง ได้มีการสั่งทำวัตถุมงคลมาจากโรงงานเสียเป็นส่วนใหญ่ทำให้วัดต่างๆ มีภาพที่ออกมากลายเป็นพุทธพาณิชย์ เพื่อไม่ให้เป็นพุทธพาณิชย์มากไปกว่านี้ แนวทางที่ดีนั้น อาตมาว่าทางวัดควรจะมีการทำวัตถุมงคลขึ้นมาเอง เหมือนกับอาตมา ที่ได้ทำวัตถุมงคลเองทั้งหมด ส่วนที่สั่งทำจากโรงงานก็จะเป็นพวกเหรียญเพียงอย่างเดียว เพราะอาตมาเชื่อว่าตรงนี้น่าจะช่วยลดความ เป็นพุทธพาณิชย์ลงไปได้บ้าง


อย่างพระผงสมเด็จต่างๆ อาตมาก็จะผสมผงเอง เพื่อให้ญาติโยมเอาไปใช้แล้วเกิดเป็นผลดี อาตมาจึงต้องผสมส่วนผสม ด้วยตัวเองทุกขั้นตอน ไม่ใช่ไปทำมาจากปูนขาว ปูนปลาสเตอร์ แล้วก็ปั๊มมาจากโรงงาน แล้วก็มาหลอกขายกันเยอะแยะ พระผงของอาตมาก็จะไม่เคยสั่งปั๊มมาจากโรงงาน แต่ที่สั่งปั๊มจากโรงงานมีเพียงอย่างเดียว คือเหรียญเท่านั้น


ทำไมหลวงพ่อถึงไม่ให้ศูนย์พระเครื่องสร้างวัตถุมงคลให้กับทางวัด ล่ะครับ ?


ที่อาตมาไม่ให้ศูนย์พระเครื่อง หรือคนนอกที่เป็นนายทุน เข้ามาสร้าง วัตถุมงคลให้กับทางวัด สาเหตุเพราะอาตมาไม่อยาก ให้มีในเรื่องของ ผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง จนเป็นต้นเหตุทำให้เกิดกรรม การครึ่งหนึ่ง วัดอีกครึ่งหนึ่ง ซึ่งจะสร้างความวุ่นวายไม่รู้จบ และจะเห็นได้ว่าอุโบสถหรือ เสนาสนะต่างๆ ภายในวัดสามง่ามทั้งหมดจะ เป็นปัจจัยที่ได้รับมา จากญาติโยมที่ได้ร่วมบริจาคสมทบทุนในการก่อสร้าง




การนำวัตถุมงคลไปใช้ให้เกิดดี มีความเข้มขลัง คนนำไปใช้ต้อง ปฏิบัติตัวอย่างไรครับ ?


วัตถุมงคลจะใช้ได้ดีหรือไม่ดี ไม่ต้องไปดูที่ไหน มันอยู่ที่คนเอาไปใช้นั่นแหละ เมื่อคนนั้นประพฤติดีปฏิบัติดี วัตถุมงคลเหล่านั้นก็จะได้ผล และจะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัย


สมัยที่เรียนกับหลวงพ่อเต๋ ท่านจะไม่บอกหรอกนะว่าใช้แล้วจะดีอย่างไร ท่านจะบอกเพียงว่า ใครอยากได้ก็เอาไป ใครไม่อยากได้ก็ไม่ต้องเอาไป (หัวเราะ) โดยท่านจะย้ำเสมอว่า ทองคำอยู่ที่ไหน ก็ยังเป็นทองคำ เมื่อใครนำวัตถุมงคลไปใช้แล้ว ขออย่างเดียวห้ามพูดคำหยาบ เช่น ให้ของลับ ด่าพ่อล่อแม่ ห้ามเด็ดขาด ถ้าละในสิ่งที่ว่านี้ได้ ของถึงจะขลัง


เห็นข่าวว่า หลวงพ่อได้รับนิมนต์เดินทางไปที่ประเทศสิงคโปร์บ่อยๆ ใช่มั้ยครับ ไม่ทราบว่าหลวงพ่อไปทำอะไรบ้างครับ ?


อาตมาไปสิงคโปร์ประมาณ ๑๐ ครั้งแล้ว ส่วนใหญ่ที่ไปก็จะรดน้ำมนต์ ลงนะหน้าทอง เทศนาธรรม และก็ปลุกเสก วัตถุมงคล และเครื่องรางของขลังให้กับญาติโยมที่สิงคโปร์ ตอนที่ไปสิงคโปร์ อาตมาต้องนั่งรับญาติโยม ที่มาไหว้ตั้งแต่เที่ยง จนกระทั่งถึง ๒ ทุ่ม ตอนนี้ ก็มีลูกศิษย์มานิมนต์ให้ไปโปรดญาติโยม ที่ประเทศบรูไน และฮ่องกงอีก อาตมาก็ไปไม่ไหวแล้ว ไปแต่ละครั้งก็เหนื่อย อายุอาตมาก็มากขึ้นด้วย


ธรรมะข้อไหนที่หลวงพ่อมักพูดให้ญาติโยมฟัง และแนะให้นำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันครับ ?


ก็ให้ประพฤติปฏิบัติตัวดี คิดดี ทำดี ที่ทำออกมาจากใจ ให้มีศีล สมาธิ ปัญญา ให้ละความโลภ ยอมรับในความวิญญาณ เวทนา และสิ่งสำคัญ ยอมรับสังขารของตัวเองว่าไม่ใช่ของเรา จึงไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่น เนื่องจากความหลงเป็นสิ่งไม่รู้จริง ฉะนั้น ต้องให้ทุกคนรู้เท่าสังขาร ตัวเอง ทุกอย่างห้ามไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นฟันหัก ผมหงอก เพราะมันเป็นเรื่อง อนิจจัง คิดมากไป ก็จะเป็นทุกข์


อาตมาอยากให้ญาติโยมรู้ไว้ว่าทุกอย่างมันไม่เที่ยง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา เพราะพระพุทธเจ้าได้แสวงหา คำตอบจนค้นพบแล้วว่า ความไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ตาย กระทั่งนิพพาน รู้แจ้งเห็นจริงว่า มนุษย์หลีกหนีสิ่งเหล่านี้ไปไม่พ้น


หลวงพ่อเต๋ท่านจะไม่บอกว่า วัตถุมงคลใช้แล้วจะดีอย่างไร ท่านจะบอกเพียงว่า ใครอยากได้ก็เอาไป ใครไม่อยากได้ก็ไม่ต้องเอาไป ท่านจะย้ำเสมอว่า ทองคำอยู่ที่ไหน ก็ยังเป็นทองคำ.."


 เครดิตจาก .... http://www.uamulet.com/showsoImages

220
พระสีสะแลงแงง เป็นของที่มีจิตวิญญาณแต่ไม่ใช่ผีแต่เป็นจิตที่เกิดขึ้นจากพลังจิต วิทยาคมและแรงครูทำการปลุกเสกจนอาการ ครบ 32 ดังนั้นถ้าหมั่นเรียกหาเรียกใช้จะยิ่งขลัง เหมือนคนรู้จักกันยิ่งเสวนากันมากยิ่งสนิทสนมกัน เดิมเป็นวิชาสักที่หน้าขา ต่อมาจึงลงในผ้าแทน การใช้ต้องสัมผัสเนื้อจึงยิ่งแรง จึงทำให้เกิดวลีผูกต้นขาหาสาวขึ้น ท้ายสุดจึงสร้างเป็นเครื่องรางเนื้อผงอาถรรพ์ผสมด้วยกระดูก การเลี้ยงให้เลี้ยงด้วยเหล้าขาวหยดที่ปากหยดเดียวพอชื้นๆยิ่งเลี้ยงเหล้าขาวบ่อยๆยิ่งท่องคาถาปลุกยิ่งเฮี้ยน

ทีนี้เวลามีธุระจะไปหาใครให้บอกพระสีฯ เช่นว่าพระสีฯผมชอบผู้หญิงคนนี้ ชื่อนี้ กำลังจะไปหา ขอพระสีฯจงช่วยเอาตัวมาเป็นเมีย ไปแล้วขอให้ได้ตามที่ปรารถนา ถ้าหากสำเร็จจะให้พระสีฯกินเหล้ากับไข่ต้ม บางตำราเลี้ยงด้วยไข่ดิบเจอะรู แต่เลี้ยงด้วยไข่ดิบพระสีฯจะดุ คนจิตอ่อนจะไม่สามารถคุมได้ เวลาให้กินก็เอาเหล้าหยดไข่ต้มแตะที่ปากแล้ววางไว้ ประมาณสักชั่วธูปสิ้นดอกกจึงลา ในเรื่องอื่นๆก็เช่นเดียวกัน บางท่านขอเรื่องธุรกิจ ค้าขาย บางท่านขอให้ดึงสามีที่เจ้าชู้อยู่บ้าน บางท่านขอให้ดลใจให้นายขอให้เจ้านายรัก เจ้านายเมตตา ได้ขึ้นเงินเดือน ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งฯลฯ สุดแต่จะขอ(แต่ห้ามผิดศีล)

คาถาเรียกเต็มบท ตั้งนะโม 3 จบ

ปัญจะมาเล ปัญจะมามะพระสีสะแลงแงง จิตตังภิติรินิเม จิตตังภิติรินิโส นังสังวิโตนะมุตตะมัง นะมะพะทะ มะอะอุ 9 จบ

สำหรับตอนที่จะเดินเข้าไปพูดให้ตั้งนะโม 3 จบแล้วว่า จิตตังภิติรินิเม อี ออกชื่อผู้หญิง หรือ จิตตังปุริโส ไอ้ ถ้าเป็นผู้ชาย เคล็ดที่ได้มานี่แยกตอนเซ่นตามปกติ กับตอนที่จะเดินเข้าไปหา

หมายเหตุ : หากขอในเรื่องผู้หญิงหากสำเร็จได้มาเป็นเมียแล้วต้องรับผิดชอบ หากไม่รับผิดชอบไม่ดูแลทิ้งขว้าง หลวงพ่อเต๋ท่านแช่งไว้

มีเพื่อนๆพี่ๆหลายๆท่านเคยเอามาลงหลายรอบแล้ว ขอลงเป็นวิทยาทานอีกครั้งครับ เนื่องจากเป็นของดีที่อยากให้ลองไปบูชากันครับ โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง ผมยอมรับมากๆครับ ผมลองเครื่องรางมาหลายชิ้น ที่ว่าแรงๆ เฮี้ยนๆ ขลังๆ ผมว่าก็ยังไม่เท่าพระสีสะแลงแงงครับ







ขอบคุณเครดิตจาก google.com

221
เห๊ะ ๆ เซงครับพี่ๆน้องๆ เพื่อนผมโดนหลอกให้เช่าตะกรุด

เหะ ๆสงสัยมันเห๊นผมกับเพื่อนผมเป็นคนโง่มั้ง ๆ


มาหลอกปล่อยตะกรุดวัดชายนา ตอนนั้นผมไปห้างฟิวเจอร์ผมเดินดู พวกของกินอยู่ครับเพื่อนผมเดินไปเเถวศูนศ์พระเครื่อง ๆ


เพื่อนบอกว่ามีลุงคนหนึ่งหน้าตาเชื่อถือได้พูดจาดีมาก มาบอกว่าเอาตะกรุดหลวงพ่อตัดไหม เหะ    ๆ

เพื่อนผมบอกกับลุงว่าเท่าไหร่ลุง (เพื่อนผมไม่เคยไปวัดชายนาครับเเต่อยากได้มานานเเล้ว) ลุงบอกว่าเอามา 500

เพื่อนผมคึดไงไม่รู้ ๆ ยื่นเงินให้ลุงคนนั้นไปเเละลุงยื่นตะกรุดให้มา ๆ

เเล้วผมมาพอดีเเล้วลองคลี่ตะกรุดดู ปรากฏว่า ๆ เป็นเเผ่นตะกั่วป่าว ๆ

เหะ ๆเพื่อนผมโดนหลอกอีกเเล้ว

ระวังนะครับไปห้างฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต ระวังให้ดีครับเด็วเป็นเเบบเพื่อนผม ๆ


 19; 19; 19; 22; 22; 28; 28; 28;

222
บอกทางทีนะครับว่าวัดท้องไทร ไปทางไหนครับ กะจะไปกราบท่าน


เหะ ๆ ทุกทีไปกับเพื่อนเเต่เพื่อนผมมันไปบวช


เลยจำทางไม่ได้ เพราะว่าไปที ก้อหลับเเล้วก้อถึงวัด เพื่อนปลุกตื่น ๆ


ใครรู้ทางไปช่วยบอกด้วยนะครับผม ขอบคุณครับ

224
ช่วยเเนะนำตะกรุดหน่อยสิครับ เอาเเบบ เหนียว ดี ไม่ต้องดัง ก้อได้ ราคาถูกครับ ๆ  เอาเเบบ ไกล้ๆ กรุงเทพ อ่าครับ ๆ ^^

กะเก๊บไว้สะสม

ตอนนี้ ผมมี ตะกรุด50 กว่าดอก เหะ

เช่าได้เพราะ เก๊บตังไปโรงเรียน ก้อเก๊บได้ เลยไปเช่าตะกรุด  เอามาเป็นวิทยาทาน สัก 15ดอกละกัน

ใครมีตะกรุดอะไรช่วยเเนะ นำด้วยนะครับ

1ตะกรุดคาดเอว มหารูดหลวงปู่เเย้ม วัดสามง่าม อ.ดอนตูม จ.นครปฐม

2ตะกรุดมหาอุด ลงรัก วัดชายนา อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี

3ตะกรุดดำหลวงพ่อจำลอง วัดเจดีย์เเดง อ.หัวรอ จ.อยุธยา

4ตะกรุดโทดปั้มหลวงพ่อเกิด วัดโพธิ์เเทน อ.องค์รักษ์ จ.นครนายก

5ตะกรุดเชือกเเดง หลวงพ่อชาญ วัดบางบ่อ อ.บางบ่อ จ.สมุทปราการ

6ตะกรุดหนังเสือไตรมาส 51 หลวงพ่อเพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี

7เสือปืนเเตก หลวงปู่เเย้มวัดตะเคียน อ.บางกรวย จ.นนทบุรี

8ตะกรุดคอหมารุ่นสุดท้าย ของวัดตะเคียน

9ตะกรุดมหารูด หลวงปู่เจือ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

10ตะกรุดหนังเสือ หลวงพ่อประเทือง วัดหนองย่างทอย อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์

11ตะกรุดหลวงพ่อประสิทธ์ วัดไทรน้อย อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี  ดอกนี้ได้มาตั้งเเต่ท่านยังไม่ดังครับมีอยู่3 ดอก

12ตะกรุด9ชั้นหลวงพ่อประเทือง วัดหนองย่างทอย อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์

12ตะกรุดหลวงพ่อเปิ่นนั่งเสือปั้ม วัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

13ตะกรุด3ห่วง หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

14ตะกรุดข้อมือเสือ หลวงพ่อเปิ่นวัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

15ตะกรุดลูกปืนพระอาจารย์อ๊อด วัดสายไหม จ. ปทุมธานี

เเค่นี้ ก่อนละกันครับ ถ้าทั้ง50 มือบวมเเน่เลยครับ

ใครมีตะกรุดอะไร อาจารย์อะ ไรบอกได้นะครับ


มาเป็นวิทยาทานกัน

ขอบคุณครับ


 :075: :075: :075:



225
เเท้



ปลอม ฝีมือเน่า





ปลอมฝีมือเฉียบ











ตอนนั้นไปท่าพระจันทร์มา เเหม มันน่า ไหมล่ะ ตัวล่ะ20บาท เล่นสะหมอง ไปเลย !!
















227



























โอกาศหน้าคงได้มานำเสนอเรื่องดี ๆ อีกนะครับ


 :054: :054: :054: :054: :054: :054:

228








ข้อมูลประวัติ

เกิด                         ปี พ.ศ.2421  เดือนเมษายน ปีระกา ณ บ้านามเรือน  เพชรบุรี  เป็นบุตรของ นายแป้น  นางนุ่ม  อ้นแสง

อุปสมบท               ประมาณปี พ.ศ.2441  ณ วัดเขาบันไดอิฐ

มรณภาพ               วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ.2517  ตรงกับแรม 8 ค่ำ เดือน 2 ปีขาล

รวมสิริอายุ            95 ปี

 

วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม

                วัตถุมงคลของท่านมีหลายรุ่น เช่น

 เหรียญรุ่นแรก ปี 2503 มี 2 เนื้อ คือ เนื้อเงิน  เนื้อและทองแดง

 เหรียญรุ่นสอง ปี 2507 ลักษณะคล้ายกับรุ่นแรก

 เหรียญรุ่นตระกูลโจว ปี 2510  ที่ระลึกครบรอบ 89 ปี

เหรียญรุ่นแม่ทัพภาค ปี 2511 , ปี 2513

เหรียญรุ่น จ.ป.ร.12

พระผงญาณวิลาศ มีหลายพิมพ์และหลายเนื้อ

 

พุทธคุณที่เล่าสืบทอดกันมา

                พุทธคุณในวัตถุมงคลของท่านเด่นทาง   เมตตามหานิยม

229




เป็นภาพเมื่อครั้งงานปลุกเสกพระเครื่องรุ่นสุดท้ายของวัดตะเคียนเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 51

หลวงปู่ทิม กับ หลวงปู่เเย้ม วัดตะเคียน อ.บางกรวย จ.นนทบุรี












ภาพนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2552 ที่กุฏิหลวงปู่ วัดพระขาว ในงานฉลองแซยิด 8 รอบ ก่อนท่านจะละสังขาร 8 วัน





230
1.หลวงพ่อพุฒ วัดกลางบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ไกล้กลับวัดหลวงพ่อเปิ่น





2.หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม




3.หลวงปู่ทิม วัดพระขาว อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา

3ภาพข้างล่างเป็นงานปลุกเสกพระเครื่องรุ่นสุดท้ายของวัดตะเคียนเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 51











( ภาพนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2552 ที่กุฏิหลวงปู่ทิม วัดพระขาว ในงานฉลองแซยิด 8 รอบ ก่อนท่านจะละสังขาร 8 วัน )





3.หลวงพ่อเเพ วัดพิกุลทอง อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี





4.หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครปฐม




5.หลวงพ่อตัด วัดชายนา อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี







 :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054:


โอกาศหน้าท่ามีโอกาศผมจะมานำเสนอ เรื่องดีๆ นะครับขอบคุณครับ



231
หลวงพ่อตัด วัดชายนา














232
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / วัดบางพระ
« เมื่อ: 05 พ.ค. 2552, 05:09:12 »


หลวงพ่อเปิ่น












233
ใครมี ตะกรุดวัดใดอาจารย์ใด ไม่ต้อง อายไม่ต้องเเอบครับ ผม


มาโชว กันได้ โพสรูปด้วย ครับ ไม่มีไม่เป็น ไร


มาเป็นวิทยา ทานกันครับ





หน้า: [1]