วันเสาร์ที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=12319
ตื่นเช้าทำกิจวัตรของสงฆ์ในภาคเช้าตามปกติ
ตอนสายๆลงไปดูญาติโยมเขาทำงานกันที่หอพระ หอธรรม
ฝนตกหนักในตอนบ่ายกลับขึ้นศาลาทำความสะอาดปัดกราดศาลา
พิจารณาธรรมไปตามสภาวะปัจจุบันธรรมกำหนดดูอิริยาบทของกายในขณะทำงาน
ทรงไว้ในสภาวะธรรมจนกระทั่งสวดมนต์ทำวัตรเย็นเสร็จเวลา ๑๙.๐๐ น.
เพื่อนวิศวะมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์และมหาวิทยาลัยเกษตรฯขึ้นมาเยี่ยม
โดยมีเป้าหมายที่ได้นัดกันไว้ว่าจะมาสนทนาเรื่องธรรมะปฏิบัติและสภาวะธรรม
ซึ่งคนเหล่านี้ในสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัยนั้น ไม่เคยสนใจในธรรมะและเรื่องศาสนามาก่อนเลย
ซึ่งเหมือนกับตัวของข้าพเจ้าในสมัยนั้นที่ห่างไกลจากศาสนา ไม่เคยศึกษาและสนใจธรรมะ
แต่เมื่อข้าพเจ้าบวชเป็นพระและอยู่มาได้นาน ทุกคนจึงเริ่มจะสงสัยกันว่าอยู่ในผ้าเหลืองนานได้อย่างไร
จึงได้แวะมาเยี่ยมเยือนกัน และได้มีโอกาศที่จะกล่าวธรรมให้เขาเหล่านั้นได้รับรู้และรับทราบ
และแนะนำการประพฤติปฏิบัติให้แก่เขาเหล่านั้น จนมีความรู้และความเข้าใจในธรรม
โดยการสอนที่ไม่เน้นรูปแบบและพิธีกรรม ให้ดูที่การกระทำของกายและจิตโดยมีสติและสัมปชัญญะ
ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นมีสมาธิโดยธรรมชาติเป็นพื้นฐานอยู่แล้วทุกคน ซึ่งสมาธินั้นเกิดจากการทำงาน
การอ่าน การเรียนหนังสือ เพราะว่าคำว่าสมาธินั้นคือจิตใจที่ตั้งมั่นและจดจ่อกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นเวลานาน
เพียงแต่เราเข้าไปชี้แนะเพือปรับแนวทางให้เข้าสู่หลักของพระพุทธศาสนา พวกเขาก็สามารถที่จะต่ออารมณ์ได้
เพราะบุคคลเหล่านี้มีพื้นฐานในการคิดและวิเคราะห์อยู่แล้วและเป็นพวกที่มี"ไอคิวสูง"ฉลาดในทางโลกกันทุกคน
จึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากแก่การอธิบายโดยมีเหตุ มีผล มีที่มาและที่ไป และยกตัวอย่างอุปมาอุปมัยให้เห็นเป็นรูปธรรมได้
พวกเขาเหล่านั้นจึงมีความสนใจและได้เข้ามาศึกษาและปฏิบัติธรรมกันเป็นจำนวนมากจากปากต่อปากที่เล่าสู่กันฟัง
และทุกคนก็สามารถดำเนินชีวิตทำธุระกิจและหน้าที่การงานได้ตามปกติ ไม่ขัดทั้งทางโลกและทางธรรม
แต่สิ่งที่พัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปคือแนวความคิดและมุมมองต่อโลก รู้จักหน้าที่ ความพอดีและพอเพียง
สนทนาธรรมกันตั้งแต่เวลา ๑๙.๓๐ น. ตอบปัญหาสิ่งที่ค้างคาใจและสงสัย จนเป็นที่เข้าใจหายสงสัย
และชี้แนะแนวทางที่จะปฏิบัติต่อไปทั้งในทางโลกและทางธรรม ให้เดินไปคู่กันได้โดยไม่ขัดแย้งกัน
จากเวลา ๑๙.๓๐ น.ของวันที่ ๑๒ กันยายนจนถึงเวลา ๑๐.๐๐ น.ของวันที่ ๑๓ กันยายน
ใช้เวลาทีพูดคุยสนทนาธรรมกัน ๑๔ ชั่วโมงครึ่ง ใครง่วงก็นอนไป ใครตื่นขึ้นมาใหม่ก็สนทนากันต่อ
ตอบปัญหาทุกข้อทุกเรื่องที่สงสัย ทรงไว้ในอารมณ์ปิติที่ได้กล่าวธรรม จิตตื่นอยู่ตลอดเวลา
มีสติและสัมปชัญญะคุ้มครองกาย ในการคิด การพิจารณา และการตอบปัญหาธรรมะทุกข้อ
เวลา ๑๐.๓๐ น.ส่งหมู่คณะพรรคพวกเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯกัน
ลงไปฉันข้าวแล้วจึ่งกลับขึ้นมาเขียนบันทึกธรรม......
:059:แด่ความก้าวหน้าและเจริญในธรรมของหมู่เพื่อนผู้เคยร่วมชะตากรรมกันมาในวัยเยาว์ :059:
เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ด้วยไมตรีจิตแด่มิตรสหาย
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-กลุ่มยุทธธรรมสัญจร
๑๓ กันยายน ๒๕๕๒ เวลา ๑๑.๒๒ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายแดนประเทศไทย
กุฏิน้อยในป่าไทร วัดทุ่งเซียด พุนพิน สุราษฏร์ธานี
๒๑ เมษายน ๒๕๕๓ เวลา๐๔.๓๐ น.
เจริญสุข เจริญธรรมท่านผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายลำดับต่อไปเป็นภาคปฏิบัติภาวนา
หลังจากที่เราท่านทั้งหลายได้ร่วมกันสวดมนต์ทำวัตรเช้าแล้ว เราก็มาเพิ่มกำลังบุญกุศล
ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในไตรสิกขาสาม คือ ทาน ศีัล ภาวนา และศีล สมาธิ ปัญญา ตามหน้าที่
และบทบาทของแต่ละท่านแต่ละคน เพื่อสร้างบุญกุศลเพิ่มพูลบารมีให้แก่ตัวของเราเอง
ซึ่งการเจริญภาวนาในภาคเช้านี้ จะมีอุปสรรคนิวรณ์มาเป็นมารขวางกั้นการเจริญทางธรรม
นิวรณ์ที่ว่านั้นคคือ"ถีนะมิทธะ" ความซึมเซาง่วงเหงาหาวนอน เป็นนิวรณ์ที่มีกำลังมากในภาคเช้า
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า จิตของเรายังอาลัยยินดีในการหลับนอน จิตยังไม่ถอนออกมาจากอารมณ์นั้น
เมื่อเราเจริญภาวนาอารมณ์นั้นก็จะเพิ่มพูลมีกำลังมากขึ้น ความง่วงความซึมเซาจะเข้ามาครอบงำจิตของเรา
ถ้าเราเผลอสติตามองค์ภาวนาไม่ทัน มันก็จะทำให้เราเผลอหลับไป
การแก้ปัญหาในกรณีนี้ก็คือเราต้องเคลียร์จิตของเราเสียก่อน คือปลุกจิตปลุกใจของเราให้มีกำลัง
ศรัทธาเพิ่มขึ้น ในการประพฤติปฏิบัติ ขจัดความอาลัยในการหลับนอนออกไปเสียก่อน ฆ่านิวรณ์ให้หมดกำลัง
ด้วยการเคลื่อนไหวทางกาย สลายทางจิต ทำความคิดให้เป็นกุศล สวดมนต์ด้วยเสียงที่ดังมีพลังเพื่อปลุกจิต
ให้ตื่น ฟื้นจากการซึมเซา ความง่วงเหงาหาวนอน ให้ความร้อนเกิดข้นในกายขณะสาธยายมนต์ ด้วยการสวดมนต์
ด้วยพลังปราณ คือสวดด้วยพลังลมขับขึ้นมาจากหน้าท้อง ขณะที่เราสาธยายมนต์นั้นสมาธิขั้นขนิกสมาธิก็เกิดขึ้น
เพราะว่าจิตของเราจดจ่ออยู่กับมนต์อักขระทั้งหลายนั้น และเมื่อเข้าสู่การภาวนาเราก็รักษาอารมณ์สมาธินั้นให้เจริญ
ก้าวหน้ายิ่่งขึ้นไป เพราะว่าคำว่าภาวนานั้นก็คือการพัฒนา ทำให้ดียิ่งขึ้นๆต่อไป
ถ้าในขณะที่เราเจริญภาวนาอยู่นั้น นิวรณ์มันเข้ามา ก็ให้ใช้วิธีการเคลื่อนไหวทางกาย สลายทางจิต ตั้งสติใหม่
โดยการเปลี่ยนอิริยาบททางกาย จากการนั่งมาเป็นการยืนกำหนด การยืนกำหนดภาวนานั้น ให้เราตั้งสติเอาจิตมาคุมกาย
เสียก่อน การเอาจิตมาคุมกายนั้น ก็คือการระลึกนึกไปให้ทั่วกายของเรา ตั้งแต่เบื้องบนคือศรีษะลงมาไปจนถึงเบื้องล่าง
คือฝ่าเท้า ทำความรู้ตัวทั่วพร้อมให้บังเกิด คือความถึงพร้อมซึ่งสติและสัมปชัญญะให้ทั่วกาย สูดลมหายใจเข้าไปให้เต็มกำลัง
ขณะที่หายใจออกนั้นให้ทำความรู้สึกเทน้ำหนักของกายเราไปสู่ฝ่าเท้าที่สัมผัสผื้น เพื่อให้การยืนของเรานั้นมั่นคงไม่ซวนเซ
เหมือนวิชากำลังภายในของหนังจีน คือวิชาทองพันชั่ง จะทำให้การยืนกำหนดของเรานั้นมั่นคง ไม่ซวนเซเสียสมดุลย์ในการยืน
เมื่อเรากำหนดท่ายืนของเราได้มั่นคงแล้ว ก็เข้าสู่องค์ภาวนาที่เคยประพฤติปฏิบัติมา ที่เรียกว่้าเสมอกันในอิริยาบทนั้น
คือการเสมอกันในทางปฏิบัติกรรมฐานที่ต่อเนื่องเสมอกัน กองเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นอิริยาบท ยืน เดิน นั่ง นอน ก็เป็นไปในกอง
เดียวกัน ไม่ใช่ว่า ต้องนั่งเวลาเท่ากับการยืน เท่ากับการเดิน เท่ากับการนอน คือไม่ได้เอาเวลามาเป็นตัวกำหนดความเสมอกัน
แต่เสมอกันด้วยการเจริญกรรมฐานในกองเดียวกันให้ต่อเนื่อง
ขอฝากไว้ว่า ในความเป็นสมาธินั้น สติเรายังมีอยู่และเห็นอยู่ เพียงแต่จิตนั้นไม่ได้เข้าไปปรุงแต่ง คือเห็นและรู้ว่ามันสงบ
เห็นและรู้ว่าปิติ สุข และสงบนิ่ง ถ้าเราขาดสติเผลอลงพวังค์ สงบนิ่งโดยไม่รู้สึกตัวไม่มีสตินั้น มันเป็นสมาธินอกระบบที่ไม่มีพลังงาน
เพราะว่าขาดซึ่งสติที่จะควบคุมจิต สาเหตุเกิดจากการที่สติของเรานั้นอ่อนกำลัง ตามองค์ภาวนาไม่ทัน เพราะเมื่อเข้าสู่ความเป็นสมาธ
นั้นจิตมันจะละเอียดลงเรื่อยๆ จนถึงความสงบเป็เอตัคตารมณ์เข้าสู่องค์ฌาน
ขอให้การเจริญภาวนาของท่านจงบังเกิดความเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป จะไม่ใช่เสียงบรรยายรบกวนอารมณ์สมาธิของท่านทั้งหลาย
ให้ท่านได้รับความวิเวกทางกาย เพื่อให้เกิดความวิเวกทางจิตในลำดับต่อไปตามสมควรแก่เวลา ขอเจริญสุข เจริญธรรม
.................................................................................................
เป็นคำบรรยายในยามเช้าเพื่อปลุกศรัทธาให้แก่เพื่อนนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย หลังจากการสวดมนต์ทำวัตรเช้าแล้ว โดยจะเป็นการเจริญ
ภาวนาในยามเช้าเป็นเวลาประมาณ ๔๕ นาที ก่อนที่จะแผ่เมตตา ขอขมา อธิษฐานจิต วันทาลาพระ จบการปฏิบัติภาคเช้าเวลา ๐๖.๐๐ น.
โดยเริ่มตั้งแต่ ๐๔.๐๐ น.-๐๖.๐๐ น. สองชั่วโมงในยายเช้า
ด้วยความปรารถนาดีและไมตรีจิตแด่มวลมิตรทุกผู้คน
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
๒๒ เมษายน ๒๕๕๓ เวลา ๐๗.๕๒ น. ณ กุฏิน้อยในป่าไทร วัดทุ่งเซียด พุนพิน สุราษฎร์ธานี