แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - ~เสน่ห์ต้นน้ำ~

หน้า: 1 2 [3] 4
1999
ขอบคุณครับพี่นนสุดยอดเลยครับพี่สวยๆทั้งนั้นเลย

2000
สะสมเยอะจังเลยครับผมสุดๆไปเลย

2001
คาถาอาคม / ตอบ: คาถาปลุกผีลุก
« เมื่อ: 18 พ.ค. 2552, 12:12:10 »
ปลุกผี คงน่ากลัวและไม่สนุกแน่

แต่ถ้าเป็นผีแดง ตอนนี้ไม่ต้องปลุกครับ  แรงดีไม่มีตก เตรียมขึ้นรับถ้วยยูฟ่าฯ ในอีกไม่กี่วัน

ผีแดงน่ารัก
  :095: :095:
ตอนนี้ก็รอแต่ถ้วยยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีกอีใบ
หุหุหุ...สู้โว้ย

2003
สวยงามมากครับดีใจด้วยนะครับ

2004
ผมเป็นคนนึงที่ไม่เคยเล่นหวยเลยอ่ะเก็บตังค์ไว้กินหนมดีกว่าครับผม

2009
ไม่มีจองคิวครับรอสักได้เลย ซื้อดอกไม้ธูปเที่ยน บุหรี่ที่วัดเลยครับ :095:
สวนเรื่องการเดินทางรอพี่น้องเรามาตอบนะครับเพราะว่าผมอยู่นครปฐม
เลยไม่รู้จะบอกทางยังงัยครับ
ยังงัยก้อยินดีต้อนรับนะครับ
:002:

2010
เคยไปสักการะมาแล้วครับที่เยาวราชกินบะหมี่จับกังซะอืดเลย
ขอบคุณภาพสวยๆนะครับเฮีย :114:

2013
เชื่อในสิ่งที่เฮ็ด เฮ็ดในสิ่งที่เชื่อ   ครับผม

2015
หมูน่ารักอ่ะงามมากครับ

2016
กราบนมัสการหลวงลุงญาครับ
วันนี้หลวงลุงญาได้เมตตาให้หมวกผมมากับรูปถ่ายหลวงปู่มี วัดมารวิชัยครับ
ขากลับก็เลยเอาหมวกไปให้เอ็ม

2017
สวยงามจริงๆสุดยอดเลย

2018
ขอบคุณสำหรับภาพนะครับ

2019
ขอบคุณนะครับสำรับข้อมูล

2021
สุดยอดเลยสวยงามมากครับท่าน

2022
กราบหลวงปู่ช้างครับ
หลวงปู่ท่านป็นพระที่เรียบง่าย
ตอนนั้นมีการสร้างเสาไฟฟ้าเข้าวัด
ยังมีพวกมิจฉาชีพมาหลวกลวงหลวงปู่เลยขนาดพระยังทำได้
วัตถุมงคลของท่านสุดยอดมากเลยครับอยากได้เหมือนกันแต่ยังไม่มีโอกาสได้กราบหลวงปู่สักที

2023
สวยมากเลยเคยเห็นอยู่เหมือนกันครับในหนังสือพระเล่มนึงครับ
เห็นเค้าบอกว่าเป็นองค์นี้เป็นพิมพ์ปู่ฤาษีนั่งเพ่งกลิณครับ
แต่ออกวักใดจำไม่ได้แล้วครับตอนนั้นเปิดอ่านแค่ผ่านๆครับ

2025
สวยงามมากครับพี่นก

2026
สวยงามครับหลวงปู่กาหลงท่านเก่งมากสุดยอดมาก

2027
ขอให้ได้ในสิ่งที่ตั้งใจนะครับ

2031
สุดยอดเลยครับขอบคุณพี่เมฆครับ

2032
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ

2033
ขอบคุณนะครับข้อมูลเยี่ยมมาก

2034
เอามาจนได้นะพี่สุดยอด...แต่โทรศัพท์ผมไม่รู้นะพี่ :009:

2036
ยินดีต้อนรับนะครับ :114:

2037
ลายยันต์พ่อทองงามมากครับมีโอกาสตอนไปเรียนจาไปสักกับพ่อทองบ้าง

2039
งามมากครับสมแล้วที่เป็นท่านlevisสุดยอดครับ

2040
มาเร็วเคลมเร็วจัง
รายงานจาก...วัดกลางบางแก้วครับ

2041
สวยจังเลยครับ

2042
สุดยอดเลยน่าอิจฉา............

2043
ขอบคุนครับท่าน

2044
โชคดีที่ไม่เมีย............เย้
 :047:

พูดจริงเหรอครับ น้องต้นน้ำ

แฟนยังหาไม่ได้เลยครับ :070:

2045
ทำบุญกันเยอะๆนะครับ

2046
ขอบคุณมากๆครับเป็นข้อคิดที่สามารถนำไปใช้ปฎิบัติในชีวิตประจำวันได้ :054:

2048
ขอบคุณครับพีโยคี

2049
สวยงามมากสุดยอดอีกแล้วครับท่าน
ขอบคุณพี่นกครับ

2050
ขอบคุนนะครับสำหรับสาระดีๆ

2051
ขอบคุณพี่โยคีครับ

2052
ขอบคุณเพื่อนเอ็มมาก

2053
สวยมากครับพี่นก

2054
กราบนมัสการหลวงลุงญาครับ :054:

2055
เห็นภาพแล้วคิดถึงวัดมากมายอยากไปอีกและเพิ่งจาไปมาเมื่อศุกร์กับเสาร์ที่แล้ว
ต้องบึ่งมอไซด์ไปซะหน่อยและ
ขอบคุณสำหรับภาพบรรยากาศระครับ

2056
ขบคุณพี่เมฆครับผมสำหรัยภาพถ่ายหลวงพ่อที่นำมาให้ชมนะครับ

2057
ขอบคุณมาก ครับ  วันที่ 14 พรุง่นี้ แล้วใช่ปะครับ .... ต้นน้ำเอ๋ย ไปด้วยกันป่าว 555
จัดไปอย่าให้เสีย :095:

2060
แหม...........อาจารย์เก่งใบ้หวย....อิอิอิ :006:

2061
อ่านแล้วได้คิดเยอะ อ่านไม่ถึง 3 นาที แต่อาจมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นอีกทั้งชีวิต

โลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ
ของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก
อยู่ให้ไว้ใจ ไปให้คิดถึง
คนเราต้องเดินหน้า เวลายังเดินหน้าเลย
ไม่ต้องสนใจว่าแมวจะสีขาวหรือดำ ขอให้จับหนูได้ก็พอ
ยิ่งมีใจศรัทธา ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น
ในโลกกลม ๆ ใบนี้ ไม่มีคำว่า แน่นอน
คนเราเมื่อ ตัวตายก็ต้องลงดิน
ท้อแท้ได้ แต่อย่าท้อถอย อิจฉาได้ แต่อย่าริษยา พักได้ แต่อย่าหยุด
เหตุผลของคน ๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่ของคน อีกคนหนึ่ง
ถ้าไม่ลองก้าว จะไม่มีวันรู้ได้เลยว่า ข้างหน้าเป็นอย่างไร
หนทางอันยาวไกลนับหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรกก่อนเสมอ
ปัญหาทุกอย่าง อยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
จะเห็นค่าของความอบอุ่น เมื่อผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว
อันตรายที่สุดคือ การคาดหวัง
เริ่มต้นดีแล้ว ลงท้ายก็ต้องดีด้วย
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
จงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์
เบื้องหลังความเข้มแข็ง สมควรมีความอ่อนโยน
ไม่มีคำว่า บังเอิญ ในเรื่องของความรัก มีแต่คำว่า ตั้งใจ
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป

หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว
ไม่เป็นขุนนางนะ ได้ แต่ไม่เป็นคนไม่ได้
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง
เมื่อวานก็สายเกินแล้วพรุ่งนี้ ก็สายเกินไป
อย่าหวังว่าจะได้รับความรัก จากคนที่คุณรัก
เพราะคนที่คุณรัก ไม่ได้รักคุณ หมดทุกคน

เพื่อนทั่วไป ไม่เห็นคุณร้องไห้
เพื่อนแท้ มีหัวไหล่ไว้คอยซับน้ำตาให้
เพื่อนทั่วไป ถือขวดไวน์ติดมือมางานปาร์ตี้ของคุณ
เพื่อนแท้ จะมาแต่หัววันเพื่อช่วยเตรียมงาน
เพื่อนทั่วไป คาดหวังให้คุณเคียงข้างเขาเสมอ
เพื่อนแท้ คาดหวังที่จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป
เพื่อนทั่วไป เข้าหาผลประโยชน์ ที่ได้รับจากเรา
เพื่อนทั่วไปอ่านแล้วทิ้ง เพื่อนแท้จะส่งต่อๆ ไป
ส่งผ่านให้ใครก็ได้ที่คุณห่วงใย
หากคุณได้รับคือ หมายถึง คุณได้พบเพื่อนแท้แล้ว


คัดลอกมาจาก เว็ป ลานธรรมจักรhttp://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=19&t=21388 :054:

2062
นมัสการหลวงปู่สิงโตครับ

2064
อ่านแล้วได้ใจมากๆรักันไว้เถิดนะครับ

2065
สวยจังเลยครับพี่นก
จะรอรายละเอียดจากคุณลุงอะเมซิ่ง 2511นะครับ

2066
สวยสุดยอดเลยครับเฮียโจ้แจ่มเลยสุดๆๆ :016: :016: :016:

2067
อยากได้ของดีใจเย็นๆดีกว่าครับมีเวลาค่อยไปเรื่อยๆ
ส่วนผมเกือบทุกวันไปวัดแล้วมีความสุขอ่ะครับ

2068
สาธุเวรกรรมตามทันสักทีเถอะ
ไม่ต้องชาติหน้าเอามันพรุ่งนี้ชาตินี้เลย

2070
ขอบคุณครับสำหรับภาพ
ว่าแต่เณรน้อยน่ารักดีครับ
:009:

2071
พี่อ๊อดรับงานพรีเซ็นเตอร์แล้วหรอครับ...อิอิอิ
อยากกินโรตีสายไหมเหมือนกันครับ
ขอบคุณพี่นกนะครับสำหรับภาพถ่ายที่นำมาให้ชมกันนะครับ

2072
ลองถามพระอาจารย์ท่านดูนะครับ :001:
ขอแนะนำนะครับว่าอย่าเพิ่งใจร้อนนะ
ช้าๆได้พร้าเล่มงามนะครับ
:002:

2073
ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ
ดีหลายๆเลย
  :005:

2074
เป็นยันต์ประจำตัวของหลวงปู่ครับ

2075
ขอบคุณพี่ปอร์สำหรับข้อมูลดีๆครับ

2076
บารมีหลวงปู่คุ้มครองนะครับ

2078
ขอบคุณนะครับจะรอติดตามเรื่อยๆครับ

2079
น้อมส่งหลวงพ่อตัดสู่สรวงสวรรค์ครับ
ขอบคุณนะครับสำหรับภาพบรรยากาศ

2081
   เปรตปากสุกร
ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทับอยู่ที่เวฬุวันวิหาร ณ กรุงราชคฤห์ ทรงปรารภถึงสุกรมุข เปรตให้เป็นเหตุ จึงทรงตรัสเล่าเรื่องที่มีมาแล้วแต่อดีต ความว่า
       
       ในพระศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมีภิกษุรูปหนึ่ง เป็นผู้บวชเข้ามาในพระศาสนาด้วยความเลื่อมใส ดำรงอยู่ได้ด้วยความเพียรพยายามที่จะสำรวมกาย แต่ไม่รู้จักประมาณ รักษาวาจา ชอบซุบซิบนินทาว่าร้ายแก่เพื่อนภิกษุผู้มีศีลทั้งปวง ใครผู้ใดจะแนะนำสั่งสอนให้ละวาจานั้นเสีย ภิกษุนั้นก็หาได้ยอมละวาจาทุจริตนั้นๆ ไม่
       
       ต่อมา ครั้นภิกษุนั้นตายลง ได้ไปบังเกิดในนรกหมกไหม้อยู่สิ้นเวลานานแสนนาน นับได้หนึ่งพุทธันดรพอดี เมื่อพ้นจากนรกนั้นแล้ว ก็ได้มาบังเกิดเป็นเปรต อดอยากอยู่ ณ เชิงเขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์ เหตุเพราะยังเหลือเศษบาปที่กล่าววาจาทุจริตนั้นอยู่
       
       เปรตภิกษุตนนั้น มีรูปกายสีดังทอง มีปากดุจดังสุกร (หมู)
       
       ขณะนั้น พระมหาเถระนารทะ พักอยู่บนยอดเขาคิชฌกูฏ เวลารุ่งเช้าพระเถระเจ้าจึงห่มจีวรถือบาตร เพื่อเตรียมตัวที่จะไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ พอเดินมาถึงตีนเขา พระเถระเจ้าจึงได้เห็นเปรต ผู้มีกายรุ่งเรืองดุจดังทอง มีปากดุจดังสุกร จึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า
       
       ?ดูก่อนผู้จมทุกข์ เหตุใดผิวกายของเธอจึงรุ่งเรืองส่องสว่างไปในทิศทั้งหลายดุจสีทอง แล้วปากของเธอนั้นเล่า ทำไมถึงเหมือนกับปากสุกร เธอได้ก่อกรรมทำบาปอะไรไว้ในปางก่อน?
       
       เปรตนั้นจึงกล่าวตอบพระเถระเจ้าขึ้นว่า ?ข้าแต่พระนารทะเถระเจ้า ร่างกายของข้าพเจ้า มีรูปร่างเหมือนกับร่างกายมนุษย์ทั่วไป แต่เหตุที่มีผิวกายรุ่งเรืองดุจดังทองนั่นเป็นเพราะสมัยที่ข้าพเจ้าบวชอยู่ในพระศาสนาของพระศาสดา ผู้ทรงนามว่ากัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพเจ้ามีความเลื่อมใส ดำรงตนที่จะขวนขวายสงบระงับรักษากายด้วยความสำรวม ด้วยอานิสงส์ผลบุญดังนั้น จึงทำให้ข้าพเจ้ามีรูปร่างดุจดังมนุษย์แต่มีสีกายรุ่งเรืองดังทอง
       
       ส่วนเหตุที่ข้าพเจ้ามีปากเหมือนดังปากสุกร เหตุเพราะตอนที่ข้าพเจ้าบวชอยู่ ไม่ขวนขวายที่จะสงบระงับ ไม่สำรวมวาจาเอาแต่ว่ากล่างนินทาดุด่าว่าร้าย ให้แก่เพื่อนภิกษุทั้งหลายผู้ทรงศีล แม้จะมีผู้ปรารถนาดีคอยแนะนำพร่ำสอน ข้าพเจ้าก็ไม่อาวรณ์ที่จะละวาจาทุจริตนั้นๆ ด้วยเหตุแห่งวจีทุจริตนั้น จึงทำให้ปากของข้าพเจ้ากลายเป็นปากสุกร (ปากหมู) ดังท่านเห็น?
       
       ?ข้าแต่พระนารทะเถระ เมื่อท่านได้เห็นสภาพร่างกาย และปากของข้าพเจ้าแล้ว ขอท่านจงถือเอาเป็นอุทาหรณ์สอนตนว่า เราจะไม่ทำบาปด้วยปาก อย่าทำเหตุให้ปากต้องลำบาก เพราะกล่าววาจาชั่วหยาบ ถ้าเป็นผู้มีปากกล้า ไม่สงบสำรวม กล่าวว่า วาจาจ้วงจาบผู้ทรงศีล ท่านก็จะมีปากดังปากสุกรเช่นข้าพเจ้านี้?
       
       เมื่อพระนารทะเถระเจ้า ได้สดับวาจาของเปรตปากสุกรจบลง ท่านจึงได้เที่ยวไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ต่อไป ครั้นกลับจากบิณฑบาตฉันอาหารแล้ว พระเถระเจ้าจึงเข้าไปเฝ้าพระบรมสุคตเจ้า แล้วทูลเรื่องที่ท่านได้เห็นเปรตปากสุกรให้พระพุทธองค์ได้ทรงทราบ
       
       พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ?ดูก่อนนารทะ เปรตตนนั้นเราได้เคยเห็นมาแล้ว? พระพุทธองค์จึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสแสดงโทษของวจีทุจริต และคุณแห่งวจีสุจริต ให้พระนารทะพร้อมภิกษุทั้งหลายได้ทราบความว่า
       
       วจีทุจริต เหตุที่ทำให้เป็นเปรต ๔ อย่างคือ
       
       พูดเท็จ
       พูดส่อเสียด
       พูดคำหยาบ
       พูดเพ้อเจ้อ
       
       ผู้ประกอบ วจีสุจริต จักมีผลมิให้ตกนรกและมิต้องมาเป็นเปรต มี ๔ อย่างคือ
       
       ไม่พูดเท็จ
       ไม่พูดส่อเสียด
       ไม่พูดคำหยาบ
       ไม่พูดเพ้อเจ้อ
       
       วาจาสุริตของเรา ให้คุณแก่เราได้ วาจาทุจริตของเราก็ให้โทษแก่เราได้เหมือนกัน

คัดลอกมาจาก เว๊ป ธรรมะกับชีวิตhttp:///www.manager.co.th/Dhamma/ :054:

2082
มีไม่เยอะเลยค่ะ...แต่ขอเช็คอินเป็นหนึ่งในผู้เลิฟตะกรุดม๊ากมากนะคะ

มีไม่กี่ดอก.. แต่ใช้ทุกดอก..ประมาณตะกรุดม้าเสพนางที่ขึ้นชื่อ,  สาริกาป้อนเหยื่อที่ทำตามตำราเปรี้ยะ .... ฯลฯ อะไรประมาณนั้นอ่ะค่ะ...สายเมตตาเพียวริคุค่ะ



ฝากเป็นภาพอาร์ตๆ ไว้ชมเล่นภาพนึงไปก่อนนะคะ...ไว้โอกาสเหมาะอีกทีจะมาใหม่ ค่ะ!   :009:






หุหุหุ...ตะกรุดในมือท่านให้ผมเถอะครับ
สุดยอครับเจ๊เจ๋งเลย :016: :016:

2083
ขอบคุณนะครับที่เล่าสู่กันฟังนะครับ :009:
ยังงัยก็ระมัดระวังไว้บ้างก้ดีครับ

2084
ถ้ามีดอกาสอยากจะไปสักกับพระอาจารย์เณรสักครั้งนึง

2085
สวยครับอยากได้เหมือนกันอ่ะครับ

2086
ขอบคุณมากครับซึ้งใจมากๆ :114:

2087
ขอบคุนครับผมได้ข้อคิดดีๆอีกแล้วครับ :054:

2088
กราบหลวงพ่อโอภาสี ครับ
ดีจังเลยครับครอบครัวอบอุ่นจัง

2089
ดีจัยด้วยนะครับ

2090
เอาเป็นว่า คิดดีทำดีก้พอครับ เดินทางสายกลางดีกว่านะครับ

2092
ดีจัยด้วยนะครับเยี่ยมเลย

2095
ยินดีสำหรับท่านที่ได้รางวัลครับ :053:

2096
สุดยอดครับพี่นก

2098
อนุโมทนาด้วยครับ

2101
ผมรักแม่ครับ............ :114:

2102
ขอบคุณพี่นาวและทุกๆท่านนะครับที่นำมาให้ชมนะครับ :002:

2103
ขอบคุรครับท่าน

2104
แต่ผมเห็นเลือดเยอะๆแล้วจาเป็นลมอ่ะครับ

2105
ขอบคุณพี่ศักดานะครับที่พาไปทัวร์นกขมิ้น...หุหุหุ
แต่ผมอยากจะบอกพี่มากขากลับรู้สึกจาเมารถอ่ะพี่
ต้องเก็บอาการหน่อยอิอิ..ขอบคุณสำหรับรักยมนะพี่
:002:

2106
สวยมากเลยครับออกพิมพ์เดียวกับหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทองเลยครับท่าน

2107
อนุโมทนาด้วยครับ
ขอบคุณสำหรับภาพนะครับท่านโจ

2110
ขอบคุณเพื่อนเอ็มและข้อมูลจากพี่เมฆมากครับ

2113
อัพเดตเร็วมากเพื่อน
เหยี่ยวข่าวรายงานสดตรงจากวัดไร่ขิงครับ

2114
สวยดีครับขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ :016:

2117
ขอบคุรพี่เมฆนะครับ

2118
พี่ศักดาครับว่างๆถ้ามีโอกาสพาน้องไปบ้างนะครับพี่ศักดาอยากไปบ้างอ่ะ

2119
ขอบคุณนะครับข้อมูลดีมากๆยังมีวัตถุมงคลพญาครุฑอีกที่นะครับที่ดีมาก
หลวงปู่ผาด วัดบ้านกรวด บุรีรัมย์ครับ
แต่ไม่มีภาพมาให้ชมอ่ะครับผมมีแต่หวายปลุกเสกของหลวงปู่อ่ะครับ

2120
ผมชอบหมดทุกอย่างครับ เมตตาก็ชอบ
แต่ถ้าให้เลือหนังเหนียวกับยิงไม่ออกผมเลือกยิงไม่ออกดีกว่า....หุหุหุ
แต่ก้อเลือกสองอย่างแหละครับ

2121
ขอบคุณนะครับพี่ที่นำมาให้ชมครับ
ยินดีต้อนรับกลับบ้านหลังที่2ของเราครับ

2122
กราบนมัสการสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชครับ
ขอบคุรท่านเด้กดอยด้วยนะครับ

2123
ขอบคุณพี่เก่งครับถ้าไม่ติดธุระอะไรจะไปครับ

2124
รอพระอาจารย์ท่านให้ดีกว่านะครับ
ส่วนข้อห้ามก็เพิ่มเติมจากท่านนะครับ หามลอดราวผ้า ห้ามรอดไม้ค้ำกล้วย สะพานหัวเดียว
เด๋วมีท่านอื่นมาตอบเพิ่มนะครับ

2125
ยินดีต้อนรับนะครับแบบที่ท่านอื่นบอกเลยนะครับว่าถ้าไม่มีที่แล้วสักน้ำมันก้อได้ครับ

2127
ผมราศีเมถุนครับ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ

2128
ขอบคุณครับจาลองนำไปปภิบัติดูนะครับ

2129
เครียดคลายได้ ถ้าใจคอยเป็น
คงไม่มีอะไรที่สามารถบงการระบบประสาทของเรา ได้ฉับพลันเท่ากับเสียงโทรศัพท์ ไม่ว่ากำลังกินข้าว ดูหนัง กำลังนอน หรือสั่งสอนลูกชายจอมซน ทันทีที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นต้องรีบสาวเท้าหรือคว้ามือไปรับโทรศัพท์ อะไรที่กำลังทำอยู่ ต้องเลิกโดยฉับพลัน แม้จะสำคัญเพียงใดก็ตาม ถ้ามนุษย์ต่างดาวเผอิญหลงมาที่โลกนี้ คงจะงงงวยว่าโทรศัพท์มีอะไรน่ากลัวหรือ คนบนโลกนี้ถึงชอบผลุนผลันไปรับคำบัญชาจากมัน

ที่จริงมนุษย์ต่างดาวเข้าใจผิดทั้งเพ ไม่มีใครกลัวโทรศัพท์หรอก เราทำกันเช่นนั้นอย่างอัตโนมัติ เพียงเพราะไม่อยากคอยให้มันดังหลายครั้ง แต่ก็น่าคิดว่าแทนที่จะปล่อยให้มันกะเกณฑ์เรา ลองให้มันทำตามเกณฑ์ของเราบ้าง เช่น ให้ดังสัก ๓-๔ ครั้ง ถึงค่อยไปรับและไปรับอย่างช้าๆ สบายๆ แทนที่จะเร่งรีบ

ไม่ใช่แต่เพียงเสียงโทรศัพท์เท่านั้น มีอีกหลายอย่างที่เราปล่อยให้มันเข้ามาบงการเรา อย่างเช่นสัญญาณไฟตามสี่แยกจริงอยู่ มันอาจไม่ถึงกับทำให้แขนขาของเรากระตุกทันทีที่มันวาบขึ้น แต่บ่อยครั้งมันก็ไปกระตุกใจเราแทน ทันทีที่เห็นไฟแดงข้างหน้าจะรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา แล้วก็กรุ่นไปตลอด จนกว่าไฟเขียวจะมาปลุกใจเราให้ยินดี

ไฟเขียวเป็นข่าวดี (ถ้าเราเป็นคนขับรถ ไม่ใช่คนข้ามถนน) แต่มันก็ทำให้เราทุกข์ไปอีกแบบหนึ่ง นั่นก็คือเวลามันยังไม่โผล่มา เราก็กระวนกระวายใจ หรือถึงกับเครียด

แต่ถ้ามองกันจริงๆ แล้ว จะโทษไฟเขียวว่ามาช้าก็ไม่ถูกมันก็มาตามจังหวะของมัน สาเหตุที่เราทุกข์นั้นเป็นเพราะเราใจร้อน หรือคอยไม่เป็นต่างหาก เพียงแค่เรารู้จักคอยไฟเขียวเท่านั้น ความเครียดจากการขับรถจะลดลงไปเยอะเลย ในทำนองเดียวกัน สำหรับคุณที่ไม่รวยพอที่จะมีรถยนต์ส่วนตัว หากคอยรถเมล์เป็น โลกนี้จะน่าอยู่ขึ้นไม่น้อย

ลองมาคิดดูสิ ที่จิตร้อนรุ่มราวกับถูกไฟลนนั้น หลายต่อหลายครั้ง เป็นเราตกอยู่ในสถาณการณ์ที่ต้องเป็นฝ่ายคอย อาจคอยแฟน คอยจดหาย คอยงานเสร็จ หรือคอยคนเห็นคุณค่าของเรา ยิ่งคอยก็ยิ่งทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์เพราะสิ่งที่คอยยังมาไม่ถึง แต่ทุกข์เพราะใจเร่งเร้าเผาลนต่างหาก จริงๆ แล้ว ตัวการไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่อยู่ข้างในต่างหาก

ถ้าเราสามารถฝึกใจให้รู้จักคอยได้ ชีวิตจะมีความสุขขึ้นอีกเยอะ ทุกวันนี้คนกรุงมีความเครียดมาก เพราะคอยไม่เป็น และที่คอยไม่เป็นเพราะเคยชินกับความรวดเร็ว ทุกอย่างล้วนแข่งกันเร็ว ไม่ว่ากาแฟ บะหมี่สำเร็จรูป หม้อหุงข้าว เครื่องซักผ้า คอมพิวเตอร์ แม้แต่ความเป็นคนเก่ง เดี๋ยวนี้ก็ไม่ต้องเสียเวลาฝึกฝนตนแล้ว เพียงแค่ซื้อรองเท้ายี่ห้อนี้ หรือน้ำอัดลมยี่ห้อนั้น ก็สำเร็จผลได้โดยพลัน เร็วอะไรปานนั้น

ชีวิตที่อะไรต่ออะไรได้มาโดยไว ทำให้เราคอยกันไม่เป็น หวังแต่จะให้ทุกอย่างเปิดปุ๊ปติดปั๊บท่าเดียว จนลืมไปว่ายังมีอีกหลายอย่างในชีวิตที่ต้องใช้เวลา หลายอย่างที่ว่านี้ ล้วนมีความสำคัญทั้งนั้น เช่น สุขภาพ ความรู้ ความสำเร็จ หรือแม้กระทั่งความรัก ถ้าเราคอยสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ชีวิตก็มีแต่ความเครียดรุมเร้าหาไม่ก็ได้แค่ของปลอม ซึ่งทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง

ใจที่รู้จักคอยคือกุญแจแห่งความสุขและความสำเร็จ เมื่อสิทธารถะไปขอเรียนวิชาจากอาจารย์เฒ่า เขาได้อ้างคุณสมบัติที่เขาเชื่อว่าเหมาะแก่การเป็นศิษย์ ๑ ใน ๓ ของคุณสมบัติดังกล่าวคือ ?I can wait?

ในชีวิตประจำวัน เรามีโอกาสมากมายที่จะฝึกใจให้รู้จักคอย เช่น ล้างมืออย่างช้าๆ นั่งโต๊ะแล้วค่อยเปิดจดหมาย อ่านหนังสือพิมพ์ ทำงานให้เสร็จเป็นอย่างๆ หรือตามลมหายใจขณะรอรถเมล์ หรือจะเริ่มต้นด้วยการทำใจสงบขณะที่โทรศัพท์ดัง ต่อเมื่อสิ้นเสียงสัญญาณครั้งที่ ๓ จึงค่อยรับก็เข้าทีดี [/color]

คัดลอกมาจาก http://www.dhammajak.ne ลานธรรมจักร :114: :054:

2130
ขอบคุณเฮียนะครับขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ

2131
อยู่ที่ความเชื่อมั่นและศรัทธาครับป๋ม

2132
ช่วงเช้ากะว่าจะไปงานไหว้ครูหลวงพ่อพูลวัดไผ่ล้อมอ่ะครับ
ตอนเย็นก้อไปวัดไร่ขิง

2137
ไปรอที่กรุงโรมก่อนนะรับ :003:

2140
กราบนัมัสการหลวงปู่ครับ

2142
ยินดีต้อนรับนะครับ

2143
เป็นภาพที่จะอยู่ในความทรงจำตลอดไปครับ

2144
นมัสการพระอาจารย์อ๊อด ครับ

2146
ถ้าไม่ได้พี่เอ็กผมก้องงเหมือนกันอ่ะขอบคุณครับ

2147
อลังการงานสร้างมากๆๆ
ขอบคุณครับ

2148
ธรรมะ / ตอบ: น้ำมนต์ที่แท้จริง
« เมื่อ: 06 พ.ค. 2552, 12:53:17 »
ขอบคุณมากนะครับเตือนสติได้ดีทีเดียวเชียว

2149
สุดยอดผสมผสานกันลงตัวมากเลยครับ :016: :016: :016:

2150
สุดยอดครับพี่นก

2152
สุดยอดมากเพื่อน :016:

2155
ขอบคุณนะครับที่นำภาพมาให้ชม

2156
พี่นกถ้าเลี้ยงไม่ไหวบ้านผมรับเลี้ยงนะครับ
ขอบคุณพี่นกนะครับที่นำมาให้ชมสวยมากๆ
ยั่วกิเลสผมอีกแว้ว

2157
5555++ชอบครับขอบคุนน้องกวางนะครับ :095:

2158
ตามที่พี่ๆเค้าตอบมานะครับ
ยินดีต้อนรับนะครับ

2159
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: 23 พ.ค. 2552
« เมื่อ: 05 พ.ค. 2552, 09:05:44 »
ขออนุโมทนาด้วยครับ

2163
ขอบคุณครับพี่ปอร์

2165
ขอบคุนนะครับสำหรับความรู้ดีๆ

2167
ขอบคุณครับ
แค่คิดดีทำดีก็พอ

2168
พระคุณแม่ยิ่งใหญ่นักหนาหาที่เปรียบมิได้

2169
เวรกรรมมีจริงนะครับน่ากลัวมาก

2170
ขนาดเว็ปวัดมันยังทำหัวใจมันทำด้วยอะไรนะมารศาสนาชัดๆ
ขอเป็นกำลังใจให้ท่านเว๊ปและผู้ดูแลบอร์ดทุกๆท่านเลยนะครับ
:114:

2172
ปล่อยให้เป็นไปตามเวลาดีกว่าครับผม

2173
ขอบคุณครับท่านเจอเยอะมากเลย.....ผมหละเซ็ง :049:

2174
ครับเดินทางไปร่วมงานไม่ได้เหมือนกันขอร่วมอนุโมทนาด้วยคนครับ

2175
ขอบคุณนะครับสำหรับบทความดีๆ
ชีวิตคนเราสังขารคนเราต้องมีร่วงโรยเป็นธรรมดาเหมือนใบไม้
ตอนแรกๆก็ยังอยู่จุดสูงสุดพอเริ่มแก่ลงจะร่วงหล่นลงจากต้น

2176
สุดยอดครับพี่

2177
อยากได้เหรียญอะเมซิ่งอ่ะ
สวยมากเลยขอบคุณครับ

2178
อนูโมทนาบูญครับ...สาธุ...หุหุหุ...เลยวันเกิดผมา2วันต้องไปทำบุญ
เจอกันแน่นอนครับไปด้วยๆๆๆ

2179
สุดยอดเลยครับพี่นกของดีเยอะเลย

2181
เจ๋งครับงามมากจารมือ

2182
สาธุครับ...........บารมีหลวงปู่คุ้มครองครับ

2183
เสียใจครับผมใจหายมากๆเลยเมื่อได้ยินข่าว
กระผมขอไว้อาลัยแด่หลวงพ่อตัดด้วยครับ

2184
ขอร่วมไว้อาลัยหลวงปู่ตัดด้วยครับ

2185
ผมมีแต่เพือ่นอย่างเดียวอ่ะ
แฟนหาไม่ได้ขออ่านเพือเป็นความรู้ละกันครับ
:052:

2186
สักได้อยู่แล้วครับให้พระอาจารย์ท่านดูให้ว่าเราถูกโฉลกหรือเหมาะกับยันต์แบบไหนนะครับ

2187
ยินดีต้อนรับนะครับ

2188
แปลกดีนะครับอย่างที่เฮียบอกว่าน่าจะมาจากการนั่งสมาธิสวดมนต์ผมว่าจะใชนะ
แต่สำหรับเรื่องเหรียญก้อแล้วแต่ความคิกของแตละคนนะครับ

2189
ขอร่วมไว้อาลัยหลวงปู่ตัดด้วยครับ
หลวงปู่จะอยู่ในใจเหล่าศิษยานุศิษย์ตลอดไป

2191
ขอบคุณครับเฮียที่นำภาพบรรยากาศมาให้ชม :054:

2193
เพี๊ยบ!!!สุดยอด

2194
ขอบคุณคุณลุงผู้การเสือมากครับที่นำข้อคิดหรือนำประสบการณ์ที่คุณลุงพบมา
มาคอยสอนบอกกล่าวพวกเราคอยเตือนสติพวกเราขอบคุณครับ

2195
กราบนมัสการหลวงลุงติ่งครับ
ขอบคุณพี่ปอร์และพี่นนท์ครับ

2196
เคยอ่านประวัติท่านมาเหมือนกันครับสุดยอดเลยครับ

2197
พระประธานในบ้าบผมก้อคือหลวงพ่อวัดไร่ขิง
แล้วก้อมีหลวงปู่ทวด หลวงปู่เปิ่น หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง
หลวงปู่แหวน รูปถ่ายหลวงพ่อยิด วัดหนองจอก
หลวงพ่อโสธร
พระที่แขวนประจำตัวก็ หน้าเสือรุ่นแรกปี2523 หลวงปู่เปิ่น
แล้วก้อหลวงพ่อวัดไร่ขิงครับ

2198
สวยครับพี่นก

2199
ยินดีต้อนรับนะครับ

2200
ขอบคุนครับท่าน

2201
อยากได้เก็บไว้บ้างจัง

2204
ตอบ ข้อ A คุณแม่ท่านเจ้าคุณ (คุณแม่สุวรรณี) เพราะความกตัญญูต่อบิดามารดาครับ

ตอบ ข้อ B ข้อคิดที่ได้ตามความคิดของผมนะครับ แม้แต่ผ้าขี้ริ้วผืนเดียวก้อมีค่าเพราะเปรียบเสมือนสิ่งของที่แม่ให้มาถึงไม่ได้เจอหน้าแม่แต่ก็มีแค่ผ้าผืนเดียว
ที่ทำให้คลายความคิดถึงแม่ได้ ถึงคนจะมองว่าผ้าขี้ริ้วม่ายมีค่าแต่มันก้อสามาถใช้ประโยชน์ได้ ก้อเหมือนกับชีวิตคนเราบางท่านผิดหวังมองตัวเองว่าไม่มีค่า
ก็จงให้มองว่าผ้าขี้ริ้วเป็นผ้าที่คนไม่ใช้ยังสามาถนำมาใช้ประโยชน์ปัดกวาดเช็ดถูได้


ตอบ ข้อ C วัดพระราม9มีชื่อเป็นทางการว่า วัดพระราม9กาญจนาภิเษก
เลขที่999 ถนนพระราม9 ซอย19 เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร


ขอบคุณลุงผู้การเสือนะครับผมที่นำบทความเรื่องราวต่างๆมาเล่าให้ฟังได้ข้อคิดมากมายจากเรื่องที่คุณลุงนำมาฝากขอบคุณครับ :054:

2205
มีสิ่งดีๆคุ้มครองก้อดีอยู่แล้วนะครับ
ถ้าเขาชอบทางนี้ก้อปล่อยให้เค้าทามเถอะคุรก้อดูแลเค้าอยู่ห่างๆ
คอยสอดส่องดูแล

แล้วแต่ความคิดเห็นของแต่ละบุคคลนะครับ

2206
เป็นอะไรที่สวยงามมากมองอะไรที่สวยๆแล้วสบายจัยผ่อนคลายความเครียดได้บ้าง
อ่อ...แต่อย่ามองตอนแสงแดดจัดๆละกันมิฉะนั้นสายตาจะเสียเอาได้นะครับ
ขอบคุณท่านต่ายมากๆนะครับที่นำมาให้ชม

2207
ขอบคุนพี่เมฆมากๆครับผมสำหรับภาพบรรยากาศ

2208
ขอบคุนนะครับพี่ปอร์เด๋วว่าจะไปเหมือนกันครับ

2210
สวยครับสุดยอดเลย

2211
เจ๋งเลยสุดยอดครับ :016:

2213
ไปทามไรมาอ่ะท่านคิดทบทวนดู อิอิอิ

2217
ไม่ควรอย่างยิ่งครับแบบเดิมดีแล้วครับ

2218
โอ้ว....ทิ้งข้าวก้อบาปด้วย
ขอบคุนน้องกวางครับ

2219
การจะเลือกซื้อสังฆทานนั้นเราควรซื้อมาจัดเองดีกว่าครับไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ
จากพ่อค้าแม่ค้าด้วยอีกอย่างเราจะได้เลือกของที่มีคุณภาพได้ด้วยครับ

2222
ขอบคุนพี่เจมส์ครับจะลองนำไปปฎิบัติดูนะครับ

2223
แปลกดีนะครับหามาได้งัยอ่ะครับ

2224
เสียดายอ่ะไม่รู้ข่าวที่วัดท่องไทรขนาดเพิ่งไปวัด
เมื่อเสาร์ที่แล้วเสียดายจิงๆอยู่ใกล้ซะเปล่าๆ...เฮ้อ
ขอบคุณภาพบรรยากาศนะครับ

2225
ขอบคุนพี่เมฆนะครับคลายเคลียดได้ดีทีเดียวเชียว

2227
ถ้าให้เต็มสูตร คงต้องสักด้วยค่ะ... สักยันต์ม้าเสพนาง...แรงบรม... :008:

พี่โชวมีม้าเสพนางของทางเหนือผืนนึง ครูบาบุดดา รูปอยู่ที่บ้าน ไว้โพสให้ชม สวยดี...

ถ้าสักรูปนี้สาวจาติดป่าวอ่ะ

2231
สวยงามครับท่าน

2233
เสื้อเชิ้ตแขนยาว กางเกงยีน รองเท้าหนังครับ

หุหุหุ....ออกแนวเพื่อชีวิตนะครับ

2234
ตามสบายครับแต่อย่าให้ถึงกลับหน้าเกลียดจนเกินไปพอดีๆครับ

2236
ขอบคุนคับพี่ปอร์โดยฉพาะรูปพี่ชายผม.........อิอิอิ :009:
แต่ในรูปนี้หมอเอิงแฟนเก่าพี่ปั๊ปอ่ะ

2237
สวยงามมากจริงครับเจ๋งเลยท่าน :016: :015:

2239
สวยเลยทางสุพรรณคับ

2243
สาธุ หลวงปู่คุ้มครองคับ

2244
กบหูหนวก
เจ้ากบน้อย ได้มาร่วมกันจัดการแข่งขัน
ปีนขึ้นไปบนยอดเสาเพื่อหาผู้นำของฝูง
เมื่อการแข่งขันได้เริ่มขึ้น กบตัวที่หนึ่ง ก็ปีนขึ้นไป
พวกฝูงกบข้างล่างก็ตะโกนขึ้นมาว่า ไม่สำเร็จหรอก เสานั้นมันสูงเกินไป
พอพูดไม่ทันจบประโยค กบตัวแรกก็รู้สึกเหนื่อยและท้อจนตกลงมา

กบตัวที่สอง ก็พยายามปีนขึ้นไป สักพักฝูงกบก็ตะโกนอีกว่า มันยากเกินไป
ไม่มีใครทำได้หรอก ไม่นานกบตัวนั้นก็ตกลงมาอีก
จนถึงตัวที่ สาม สี่ ห้า ก็เป็นเช่นเดิม
จนถึงกบตัวที่สุดท้าย มันตั้งหน้าตั้งตาปีนขึ้นไปสูงขึ้นสูงขึ้น
ฝูงกบข้างล่างยังตะโกนเหมือนเช่นเดิมว่า ลงมาเถอะ ไม่มีใครทำได้หรอก
แต่กบตัวนี้ยังปีนขึ้นไปปีนขึ้นไป จนในที่สุดมันก็ปีนไปถึงยอดเสาได้

เพื่อนๆอยากรู้ไหมคะว่าทำไมกบตัวนี้ถึงสามารถปีนถึงยอดเสา
ไม่เหมือนกบที่ตกลงมาตัวแล้วตัวเล่า
ที่ปีนไปได้เพราะมันหูหนวกไม่ได้ยินเสียงที่เพื่อนพ้องกบตะโกนเรียกให้ลงมา

นิทานเรื่องนี้จึงบอกให้รู้ว่า

คำพูดนั้นมีพลังอันยิ่งใหญ่ ที่สามารถจะดึงความฝัน ความหวัง
ความปรารถนาในหัวใจ ของคนเราให้สูญสิ้นหมดไปได้
เพราะฉะนั้นแล้ว ควรที่จะเลือกเก็บแต่คำพูดที่ทำให้หัวใจเราชุ่มชื่น
และเลือกละเลยคำพูดที่ทำให้กำลังใจเราเหือดแห้งหมดหวัง
และเหนือสิ่งอื่นใด หากมีความหวังเกิดขึ้นแล้ว
ขอให้เชื่อมั่นในศักยภาพและเป็นตัวของตัวเองค่ะ



คัดลอกมาจากhttp://www.dhammajak.net/book/index.php :054:

2245
ปิดตาพังพระกาฬสวยครับดดยเฉพาะทองอ่ะอยากได้อิอิอิ :053:

2246
ขออนุญาตชมนะครับพี่.อิอิอิ

2247
พี่ack01สุดยอดเลยครับอยากได้อ่ะคับ :016:
ขอบคุนท่านโจด้วยนะคับ
:053:

2248
สวยมากคับมีบัวบังใบด้วยอยากได้บ้างอ่ะ

2249
ขอบคุรพี่โจ้ครับ

2253
ขอบคุณคร๊าบที่นำมาให้อ่าน :054:

2254
ขอบคุนนะครับ

2255
ตอนแรกก้องง.....ตกจัยหมดตายๆๆๆๆ
ขวัญเอ้ยขวัญมา
11; 17;
พี่ปอร์ก้อแหมๆๆๆ......น้องเกือบช๊อคแล้วนะพี่ :070:

2256
สวยอ่ะครับอยากได้สักองค์นึง
ที่บ้านเคยมีแบบเนื้อปูนปาสเตอร์เหมือนหลวงปู่มาก
หลวงปู่ท่านกำชับว่าให้รักษาดีๆแต่อากาศร้อนเลยร้าวซะงั้น

2257
ชื่อเป็นมงคลคลคับความหมายดีมาก อยากได้สักผืนทามงัยดี

2258
หุหุหุ......................เค้าตอบกันหมดแล้วอ่ะ

2259
 :114: :089:ยินดีที่ได้รู้จักนะครับผม ต้นน้ำครับ มีอะไรถามได้นะครับ
ยินดีต้อนรับสู่บ้านที่แสนอบอุ่นนะครับ
รักกันเหมือนพี่น้องนะครับ
  :027:

2260
 :114: :089:ชอบมากเลยครับเยี่ยมเลยอ่านแล้วรู้สึกหึกเหิมมากๆๆๆ
อ่านแล้วรู้สึกขึ้นถึงวัดมากๆๆ
ผมจะรอติตามบทกวีของท่านต่อไปนะครับ
:054: :053: :053:

2261
สุดยอดเลยครับพี่นกด้านหลังเห็นม่ายชัดอ้ะครับ

2263
ขอบคุนนะครับสำหรับข้อมูลดีๆ

2264
ขอบคุนนะครับ

2265
ขอบคุนสำหรับข้อมูลนะครับ :053:

2266
ขอบคุนครับพี่แหล่มเลยครับ :016: :015: :053:

2267
ขอบคุณนะครับ

2268
ขอบคุนพี่ปอร์ครับ
ฮาดีครับ

2269
อยากได้อ่ะพี่เมฆ

2272
บทความ บทกวี / ตอบ: วันฉัตรมงคล
« เมื่อ: 26 เม.ย. 2552, 08:55:59 »
ผมรักในหลวง
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
:054:

2273
ผมมีแต่ผ้ายันตือ่ะครับท่านโจ
ขอบคุนนะครับที่นำมาให้ชม :054:

2274
ผมจารอนะครับท่านโจของรางวัลถ้าแมนยูชนะ...หุหุหุ

สู้ๆๆๆๆๆๆแมนยู :004: :003:

2275
สวยครับท่านแชมป์ขอบคุนนะครับที่นำมาให้ชมสวยจริงครับ :016: :001:

2276
ทำไปได้เน๊อะ!!!สักกันเองแล้วบอกว่าเป็นศิษย์อาจารย์นั้นๆๆ :007:

2277
แปลกดีครับพี่เมฆขอบคุณนะครับที่นำมาให้ชม :002:

2278
ผมก้อจะทำตัวเองให้สนุกอยู่เสมออยู่กับดนตรีเพราะผมรู้ตัวเองว่าเป็นคนจัยร้อนมากๆ

2279
น้องหมาน่ารักอ่ะเจ๊ ..จิ้งจกก้อสวย :053:

2280
สวยงามงดงามที่สุดเลคยครับเจ๊ :016: :015:

2281
ขอพระองค์ทรงพระเจริญครับ

2282
ขอบคุณครับท่าน

2283
ผมก้อเคยผ่านมาครับแบบนี้เลยพอเรียนจบแล้วก้อคิดได้

2284
เตรียมตัวกันอีกนานเลยจ้า  :016:  ยินดีทุกปี ...  :114:

กำหนดการ เวลาประมาณ 9.39 น. เหมือนทุกปีใช่ไหมครับผม ...  :016:


ครับท่านกำหนดเวลาเหมือนเดิมครับ

2286
ขอบคุนเจ๊นะครับที่นำมาให้ชมแปลกดีครับสวยงามมาก

2287
มีของดีอีกแล้วครับท่าน

2288
แจ้งกำหนดงานไหว้ครูหลวงพ่อเปิ่นประจำปี2553
วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2553
กำหนดเวลาเดิม
แจ้งมาเพื่อให้ทราบโดยทั่วหน้ากัน

ปล.ทราบข่าวมาจากที่วัดโดยหลวงพี่ที่วัดท่านฝากแจ้งข่าวมาครับ
 :001:

2290
ชอบฉากหลังหมือนกันพี่เมฆสีโดนจัยมากอยากได้เสือนั่งอะน่ารักดี

2291
ขอบคุณนะครับพี่เมฆ

2292
โชคดีครับ

2293

2520

นั่งเสือ


สุดยอดครับเหรียญคร่อมเสือ
เนื้อระฆังแตกก้อสุดยอด

2297
เจ๋งครับว่าแต่พี่เมฆได้มายังงัยอ่ะครับ

2298
ถ้าพี่นกเก็บไม่หมดฝากไว้ที่บ้านผมบ้างก้อด้นะครับอิอิอิ
สุดยอดเลยครับ

2299
ขอบคุนข้อมูลครับ

2300
เห็นด้วยครับและมีอีกอย่างหนึ่งครับบางท่านขุดกระทู้เก่าๆที่ผ่านมาหลายปีแล้วมาตอบอ่ะครับเช่นปี2549ปะมาณนี้อ่ะครับ

2301
ผมก้อมีผ้ายันต์อยู่ผืนนึงสีชมพูสุดยอดครับเจ๊โชว

2302
ถูกต้องนะคร๊าบๆๆๆๆๆๆๆๆ

2303
ขอบคุณพี่สายัณนะครับ

2304
สวยครับพี่สุดยอดเลยอ่ะ :016:

2305
ขอบคุนนะครับท่าน :085:ผมรักพ่อกับแม่ครับ

2307
ขอพระองค์ทรงพระเจริญครับ

2308
สวยครับอยากได้อ่ะ

2309
พี่เมฆเป็นเหมือนผมเลยอ่ะ

2310
หวัดดีครับพี่โจ้ผ้ายันต์สวยครับพี่เอามาฝากไว้บ้านต้นน้ำก้อได้เด๋วเอาไปเช็คให้ว่าของที่ไหนนะครับ อิอิอิอิ

2311
ช่ายครับ...ดูภายนอกเราเองเป็นคนสนุกสนานแต่ภายในจัยมันเศร้ายิ่งนัก มันตกอยู่ในห้วงวังวนแห่งความเศร้า ฟังเพลงเศร้าๆที่ไรจะทรมานมากๆเหมือนตายทั้งเป็น..อารมณ์สีเทา 23;
ตรงกับผมอีกแล้วพี่นกขอบคุนนะครับ

2313
บทสวดมนต์ / ตอบ: กรณียเมตตสูตร
« เมื่อ: 22 เม.ย. 2552, 10:11:16 »
ขอบคุนนะครับพี่

2314
ได้เปิดหูเปิดตาขอบคุนนะครับ

2315
ขอบคุนนะครับพี่เอามาย้ำเตือนกันอีกครั้ง :054: :016:

2316
สวยงามครับท่าน

2317
เก่าสวยดีคับเคยมีอันนึงแต่มันหายไปและเศร้าจัง

2319
แผนที่การเดินทาง


อ้างอิงมาจากwww.kataakom.pantown.com :054:

2320
ที่ทนทนเพราะรักเพราะคำว่ารักคำเดียวเท่านั้นไม่ว่าเค้าจะทำอะไรให้เราต้องเจ็บ
แต่เราก้อทนเพื่อพิสูจน์ให้เค้ารู้ว่าเรารักเค้า... :070:

โดนจัยผมอีกแล้วพี่นกกระทู้อันนี้

2321
 :045: :045:โปรดอย่าถามว่า......มันเป็นเวลานานเพียงใด
โปรดอย่าถามว่า......จะเหนื่อยเพียงไร
โปรดอย่าถามว่า......จะเจ็บปวดเพียงใด
แต่จงถามว่า..........หลังจากนี้เราจะทำอะไรต่อไป
:059: :059:


คัดลอกมาจาก...หนังสือจากโลกสู่ธรรม

2322
อยากได้ปลัดขิกมากๆ :005:

2323
เจ๋งครับสวยมากๆ

2324
โอ้....สุดยอดจังเสือในคราบแมว
ขอบคุณพี่ศักดานะคับเอาอะไรแปลกๆมาให้ดูบ่อยๆ

2326
แมนยูครับ :003: :003: :003:
 :003: :003:


 :003:แมนยูอยู่ในใจ ทีมชาติไทยอยู่ในสายเลือด :003:

2328
หลวงปู่ท่านชอบเสืออ่ะครับแต่ท่านเกิดปีกุน
หลวงปู่ท่านบอกกับลูกศิษย์เพียงสั้นๆว่า
เสือเป็นสัตว์มีอำนาจ เพียงเสียงคำรามสัตว์ทั้งหลายก็สงบเงียบ
กลิ่นของเสือสัตว์ทั้งหลายเมื่อรับสัมผัสจะยอมในทันทีหลีกทันก็ต้องหลีกจัดอยู่ในมหาอำนาจ
เสือรูปร่างสง่างาม เต็มไปด้วยอำนาจบารมีจัดอยู่ในมหานิยม



ผิดถูกประการใดท่านอื่นช่วยชี้แนะต่อด้วยครับ :002:


อ้างอิงมาจาก หนังสือ บุญญานุภาพ หลวงพ่อเปิ่น


2329
สาธุ.....บารมีหลวงปู่คุ้มครองลูกหลานครับ

2330
ยินดีต้อนรับนะครับผม

2332
เก่าดีนะครับรอผู้รู้นะครับท่าน :016:

2334
เข็มทุกอันก้อแช่แอลกอฮอลล์ตลอดครับไม่มีติดโรคหรอกครับเชื่อเหอะ
ป่านนี้พวกผมก้อเป็นโรคกันหมดแล้วสิครับมั่นใจได้ครับ

2335
สวยครับท่านแจ๋วเลย

2336
  ถ้าทำได้แล้วจะรวยไม่รู้จบ
1.จ่ายให้กับตัวเองก่อนอย่างซื่อสัตย์ 1ใน10ส่วน ของเงินที่หามาได้ทุกครั้ง
2.จงควบคุมรายจ่ายเท่าที่จำเป็น
3.จงลงทุนที่เราถนัดหรือมีที่ปรึกษา
4.จงใช้เงินต่อเงินในอสังหาริมทรัพย์
5.จงคืนหนี่สิน และมีน้ำใจ
6.บอกกับตัวเองว่า เราเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จ
7.จงทักทายทุกคนด้วยความรักจากใจจริง
สร้างเพื่อน สร้างบารมี มีคนรู้จักมาก
8.อย่ายอมแพ้อะไรง่ายๆล้มแล้วต้องสู้
9.ทำงานอย่างมีเป้าหมายไม่ผัดวันประกันพรุ่ง
10.ลงมือทำแบบมืออาชีพถ้าทุกคนลองปฎิบัติกันดูอาจจะรวยไม่รู้ตัวก้อได้รวยแบบซื่อสัตย์สุจริตไม่ต้องคดโกงใคร



อ้างอิงจากหนังสือ จากโลกสู่ธรรม

2337
สุดยอดครับทานของดีเยอะเลยนะ

2338
แหมเด๋วนี้ตั้งกฎ พรบ.แล้วหรอ ก้อแย่เลยดิ!!!

2339
ได้ประโยชน์มากครับขอบคุนอย่างยิ่ง

2340
ผมยังเชื่อนะว่ายังมีอยู่

2341
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: ปีที่ 7
« เมื่อ: 20 เม.ย. 2552, 09:24:45 »
ไปแน่นอนครับไปทำบุญด้วยเพราะเลยวันเกิดผมแค่2วันเอง

2342
จัดจ้านมากๆครับสุดยอดเลย

2343
ใช่ครับผมเคยเจอถ้าเราดูเป็นห่วงเค้ามากดูเหมือนเค้าจะเบื่อเรา..แล้วเค้าจะคิดว่าเราเป็นของตายเค้าจึงแอบไปมีคนใหม่โดยที่เราไม่รู้
เพราะเราคือของตายของเค้านั่นเอง :092:

2344
ขอบคุนสำหรับข้อมูลข่าวสารนะครับ

2345
ผมครั้งแรกได้เจ็ดยอดหลวงพี่แป๊ว ตามมาด้วยเก้ายอดหลวงพี่นันต์และรูปอื่นๆตามมาบรรเลงฝีมือโดยหลวงพี่นันต์กับหลวงลุงญาคับ

2346
ขอบคุณครับผม อดีตไม่ต้องไปสนใจนะครับ เอาแค่วันนี้ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดครับ  :077:
ผมเป็นคนชอบจมอยู่กลับอดีต ติดอยู่แต่เรื่องเก่าๆต่อไปจะต้องเปลี่ยนตัวเองและ...ใช่!!!!!..ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด :017:

2347
สุดยอดครับท่าน.. :016:

2348
 :085:ใช่ครับแรกๆรักกันใหม่ๆก้อดีแต่พอหมดรักแล้วก้อถีบหัวส่งเหมือนไม่มีเยื่อใยต่อกัน.....ผมเจ็บมาเยอะผ่านมาเยอะ :059: :059: :059:

                                                      :070:  :070:     ม่ายอยากมีแล้วหัวจัย :063: :063:

2349
ขอบคุณสำหรับข้อมูลมากๆครับ

2350
รอผู้รู้นะครับป๋มก้ออยากรู้เหมือนกันจะติดตามต่อไป..อิอิอิ

2351
ผมไปทุกวันไม่รู้ว่าเรียกว่าติดรึป่าว อิอิอิ

2352
ขอบคุณนะครับสำหรับความรู้ดีๆ

2353
 02;พี่โชวคนสวย น่ารัก ดูดีทุกย่างก้าว น้องอยากได้อ่ะ 05; 15;

2354
เสียใจด้วยครับพี่พีช เด๋วกรรมก็ตามทันมันเองแหละพี่ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ก้อยังหาใหม่ได้นะพี่ 30;

2355
สวยๆทั้งนั้นเลยครับ

2356
นมัสการหลวงปู่ครับ
ขอบบคุนทานโจนะครัที่นำภาพมาให้ชม

2357
ขอบคุนนะครับที่นำบรรยากาศมาให้ชมกัน

2358
ขอบคุนนะครับภาพและข้อมูล

2359
คุณพระช่วยครับ

2361
แล้วแต่นะครับแต่ทำได้ก้อดี
  (คาถาบูชาพระพิฆเนศ ใครบูชาจะพ้นจากอุปสรรค ประสบความสำเร็จ)

โอม ศรีคะเนศายะนะมะ
ชะยะคะเณศะ ชะยะคะเณศะ ชายะคะเณศะ
เทวา มาตา ชากี ปะระ วะตี ปิตามะหา เทวา ละฑุวัน
กา โกคะ ละเค สันตะ กะเร เสวา เอก ทันตะ
ทะยาวันดะ จาระ ภุชา ธารี มาเถ สินทูระ เสเห
มูเส กี อะสะวารี อันธะนะ โก อางขะ เทตะ
โก กายา พามณะนะ โก กุตรร เทตะ
โกทินะ นิระทะนะ มายาฯ
บทอธิฐานขอพร พระพิฆเณศวร
โอม คะชานะนัม ภูตะคธณาธิเสวิตัม
กะปิตะถะซัมพูผะละ จาระภักษะณัม
อุมาสุตัม โศกะวินาศะการะกัม นะมามิ
วิฆเณศวะระปาทะปังกะซัม


คัดลอกมาจากwww.pantown.com

2362
ว้าว!เยอะเลยครับท่านแจ่มเลย

2363
ขอบคุณครับแน่นจริงๆข้อมูล :016:

2364
อยากได้จริงๆทามงัยดีหว่า 42;

2365
ขอบคุณนะครับสำหรับข้อมูล :016:

2366
ขอบคุนพี่เอครับ

2367
พรุ่งนี้ต้องไปโดนสักลายและคิดถึงวัดจาแย่อยู่แล้ว :095:

2370
:070:

ลูกนี้บาปหนานัก

จักคอยเตือนตนให้เป็นคนดี :054:

หุหุหุ..เห็นรูปน้องกวางแล้วท่าทางจะส่องกบเหมือนกันเลยอยู่โซนไหนอ่ะครับ18+หรอ

2372
สุดยอดเจ๋งครับสักวันต้องได้บ้าง

2373

หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต วัดอุดมคงคาคีรีเขต (วัดดูน ) อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น (2445-2525)

หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต นามเดิม ผาง ครองยุติ

เกิด วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2445 ตรงกับวันขึ้น 2 ค่ำ เดือน 9 ปีขาล ณบ้านกุดกะเสียน ต.เขื่องใน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี มีพี่น้องร่วมมารดา บิดา 3 คน คือ

1. นางบาง ครองยุติ

2. นายเสน ครองยุติ

3. นายผาง ครองยุติ

โยมบิดาชื่อ ทัน

โยมมารดาชื่อ บัพพา


         เมื่ออายุได้ 20 ปี (พ.ศ.2465) ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ตามประเพณีลูกผู้ชายชาวไทย และทดแทนพระคุณบิดามารดา สังกัดคณะมหานิกาย ณ วัดเขื่องกลาง บ้านเขื่องใน ต.เขื่องใน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี มีพระครูดวน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ดี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ศึกษาพระธรรมวินัย มีความรู้พอสมควร เมื่อบวชได้ 1 พรรษา จึงได้ลาสิกขาจากสมณเพศ ครั้นอายุได้ 23 ปี ได้แต่งงานมีครอบครัวกับนางสาวจันดี สายเสมา คนบ้านแดงหม้อ ต.แดงหม้อ อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี อยู่ด้วยกันมา 21 ปี ไม่มีบุตร มีแต่บุตรบุญธรรม

         ต่อมาเมื่ออายุได้ 43 ปี จึงได้ชวนกันกับภรรยาออกบวช ภรรยาได้บวชเป็นแม่ชี ท่านได้มอบสมบัติทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดให้แก่นางหนูพาน ผู้เป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ส่วนตัวท่านได้เข้าอุปสมบทอีกครั้ง เป็นครั้งที่ 2 ในคณะมหานิกายเช่นเดิม ที่วัดคูขาด บ้านศรีสุข ต.เขื่องใน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี มีพระครูศรีสุตตาภรณ์ (ตื๋อ) เป็นพระอุปัชฌาย์ ส่วนพระกรรมวาจาจารย์และพระอนุสาวนาจารย์ไม่ปรากฎ หลังจากบวชแล้วได้จำพรรษาที่วัดคูขาด บ้านศรีสุข อ.เขื่องใน จ.อึบลราชธานี แต่ท่านได้เข้าศึกษาอบรมพระกรรมฐาน อยู่ในสำนักวัดป่าวารินชำราบ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี กับพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม (เจ้าคุณพระญาณวิศิษฎ์) และท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล และได้ทำการญัตติกรรมในคณะธรรมยุติ เมื่ออายุได้ 47 ปี ณ วัดบ้านโนนหรือวัดทุ่ง โดยมีพระครูพินิจศีลคุณ (พระมหาอ่อน เจ้าคณะอำเภอเขื่องใน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาทราย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระมหาจันทร์เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2491 แรม 2 ค่ำ เดือน 7 ปีชวด ซึ่งเป็นการอุปสมบทเป็นครั้งที่ 3 ของท่าน

         หลวงปู่ผาง ได้ปฏิบัติฝึกอบรมกรรมฐานอยู่ในสำนักท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม พอสมควรแล้วก็ได้ออกธุดงค์ ปฏิบัติกรรมฐานไปวิเวกโดยลำพัง และได้เข้าอบรมอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ที่วัดป่าบ้านนามน จ.สกลนคร ได้พอสมควร ก็ท่องเที่ยววิเวกไปแต่ผู้เดียวในป่าเขา จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาหลายปี

         ต่อมาในปี พ.ศ.2492 ได้มาพักจำพรรษาที่วัดป่าบัลลังก์ศิลาทิพย์ บ้านแทน ต.บ้านแท่น อ.ชนบท จ.ขอนแก่น จำพรรษาได้ 1 พรรษา พอออกพรรษาแล้วท่านจึงได้เดินธุดงค์ไปทางอำเภอมัญจาคีรี ชาวบ้านโสกใหญ่ บ้านดอนแก่นเฒ่า บ้านโสกน้ำขุ่น ได้พร้อมใจกันมานิมนต์หลวงปู่ ไปพักภาวนาที่เชิงเขาภูผาแดง อ.มัญจาคีรี ชาวบ้านเรียกสถานที่นั้นว่า ?ดูน? เนื่องจากมีน้ำไหลออกมาจากภูเขาตลอดปี ชาวบ้านแถวนั้นถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีพระรูปใดเข้าไปอยู่ได้ และที่ตรงนี้เองที่ตรงกับที่ท่านเห็นในสมาธินิมิตทุกประการ ท่านจึงได้ชวนชาวบ้านสร้างเป็นวัด ชาวบ้านทั่วไปจึงเรียกว่า ?วัดดูน? ตั้งแต่นั้นมา หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า ?วัดอุดมคงคาคีรีเขต? แปลว่า วัดที่อุดมไปด้วยน้ำและมีภูเขาเป็นเขต ตั้งแต่พ.ศ.2493 ท่านจึงได้จำพรรษาอยู่ที่วัดดูนนี้เรื่อยมา และก็ได้เดินธุดงค์ไปตามที่ต่าง ๆ ได้ผจญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้มาอย่างดี จึงกล่าวว่าท่านเป็นพระนักปฏิบัติและพระสุปฏิปันโนอย่างแท้จริงได้องค์หนึ่ง

         ในปี พ.ศ.2505 หลวงปู่ได้สร้างวัดขึ้นอีกแห่งหนึ่ง ที่บ้านแจ้งทับม้า ต.นางาม อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่นตั้งอยู่ห่างจากวัดอุดมคงคาคีรีเขตไปทางทิศตะวันออก ประมาณ 4 กิโลเมตร ปัจจุบันชาวบ้านเรียกว่า ?วัดป่าพัฒนาคีรี หรือวัดบ้านแจ้ง? มีเนื้อที่ประมาณ 400 ไร่

         พ.ศ. 2505 ? 2507 ระยะทางที่สามแยกปากทาง จากถนนระหว่างอำเภอมัญจาคีรี ? อำเภอแก้งคร้อ ไปวัดอุดมคงคาคีรีเขต ประมาณ 12 กิโลเมตร เป็นเส้นทางเล็ก ๆ แคบ ๆ คดเคี้ยว การคมนาคมไม่สะดวก โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนลำบากมาก หลวงปู่จึงได้ประชุมชาวบ้านทุกหมู่บ้านที่ถนนผ่าน เพื่อช่วยพัฒนาตัดถนนใหม่ให้มีเส้นทางให้ได้มาตรฐาน ขนาดกว้างพอควร และที่ประชุมยอมรับมติที่หลวงปู่ปรารถนาและแนะนำ หลังจากมีมติทำถนนใหม่แล้ว ชาวบ้านทุกหมู่บ้านก็ร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาจนกระทั่งแล้วเสร็จ โดยหลวงปู่ได้อยู่เป็นประธานตลอด โดยไม่ใช้งบประมาณของรัฐแต่ประการใด ปัจจุบันเป็นเส้นทางสำคัญของชาวบ้านในการคมนาคมเพื่อการเกษตรขนส่งและอื่น ๆ

         ในปี พ.ศ. 2507 ทางวัดอุดมคงคาคีรีเขตได้รับความร่วมมือจาก กรป.กลาง กรุงเทพฯ และหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่จังหวัดอุดรธานี ได้นำหน่วยงานดังกล่าวพัฒนาเส้นทางไปวัดอุดมคงคาคีรีเขต เป็นถนนขนาดกว้างประมาณ 10 เมตร ยาว 12 กิโลเมตร ลงหินลูกรังตลอดเส้นทาง และต่อมา วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2523 หลวงปู่ได้มีหนังสือถึงสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อของบประมาณทำถนนเส้นดังกล่าวเป็นถนนลาดยาง ซึ่งทางราชการก็ได้อนุมัติ และก็ได้ทำเป็นถนนลาดยางในเวลาต่อมา ซึ่งก็ได้ใช้ประโยชนต่าง ๆ ดังเช่นที่ปรากฎในปัจจุบัน

         พ.ศ. 2511 เมื่อท่านพระครูโอภาสสมณกิจ เจ้าคณะอำเภอชนบท จ.ขอนแก่น วัดป่าธรรมวิเวก ได้ก่อสร้างอุโบสถ ท่านพระครูฯและคณะสงฆ์ พร้อมด้วยทายกทายิกาชาวชนบท ได้กราบอาราธนานิมนต์หลวงปู่ผางมาจำพรรษาที่วัดป่าธรรมวิเวกแห่งนี้ เพื่อเป็นประธานในการดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งหลวงปู่ท่านก็ได้เมตตารับเป็นประธานด้วยดี และช่วยอุปถัมภ์มาตลอด เริ่มตั้งแต่อนุญาตให้จัดสร้างเหรียญรุ่นแรกของท่าน เพื่อนำรายได้สมทบทุนสร้างอุโบสถ กระทั่งอุโบสถวัดป่าธรรมวิเวกเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทุกประการ หลังจากนั้นหลวงปู่ก็ออกธุดงค์ไปตามที่ต่าง ๆ และก็ได้สร้างสาธารณะสถานไว้ในพระพุทธศาสนามากมาย จึงเป็นที่รู้จักและเลื่อมใสศรัทธาของประชาชนทั่วไป

         พ.ศ. 2523 หลวงปู่ผาง ได้เมตตารับเป็นประธานอำนวยการสร้าง ?พระธาตุขามแก่น ศิโรดม? หน้าศาลากลางจังหวัดขอนแก่น ร่วมกับพ่อค้า ประชาชน ภาคราชการ เอกชนทุกหมู่เหล่า เพื่อร่วมฉลองสองร้อยปีกรุงรัตนโกสินทร์ และในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2525 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก เสด็จทำพิธีเปิดพระธาตุขามแก่น ศิโรดม ให้ประชาชนได้สักการะบูชา

         ปัจจุบัน พระธาตุขามแก่น ศิโรดม ถือได้ว่าเป็นปูชนียสถานที่สำคัญคู่บ้านคู่เมือง ได้สร้างเสร็จทันเแลืมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2525 พอดี ทางจังหวัดได้กำหนดให้มีงานนมัสการพระธาตุขามแก่น ศิโรดม เป็นงานประจำปีของจังหวัด ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง 10 ธันวาคม ของทุกปี

ทอดผ้าป่าผ้าไหมสามัคคี เมื่อวันที่ 21 พฤศจิายน พ.ศ.2524 หลวงปู่พร้อมด้วยคณะสงฆ์ ทายก ทายิกา และคณะศิษยานุศิษย์ ได้พร้อมใจกันจัดผ่าป่าสามัคคดี ?ผ้าไหมไตรจีวร? ไปทอดถวาย 3 วัดด้วยกันคือ

         1. ทอดถวายสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ

         2. ทอดถวายสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวธฺฒโน ป.ธ.9 วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเพทฯ ซึ่งต่อมาท่านได้รับสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก

         3. ทอดถวายพระพรหมมุนี (สนั่น จนฺทปชฺโชโต ป.ธ.9) วัดนรนาถสุนทริการาม กรุงเทพฯ ซึ่งต่อมาท่านได้รับสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระมหามุนีวงศ์

การไปทอดผ้าป่าสามัคคีของหลวงปู่ครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ท่านปรารภจะทำมานานแล้ว ซึ่งเป็นการจัดผ้าป่าไปทอดถวายครั้งแรกในชีวิตของท่าน และก็ถือว่าเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเช่นกัน

มรณภาพ

         ต่อมาวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 หลวงปู่ได้เข้ารักษาที่โรงพยาบาลแพทย์ปัญญา เนื่องจากพบว่าหลวงปู่เริ่มเป็นมะเร็งที่กระเพาะอาหาร

         23 กุมภาพันธ์ 2525 หลวงปู่ได้มารับการรักษาที่โรงพยาบาลนี้ ด้วยอาการอ่อนเพลีย เนื่องจากมีอาการเลือดออกในทางเดินอาหาร และยังพบว่ามีอาการของกล้ามเนื้อหัวใจตายเพิ่มขึ้นด้วย

         16 มีนาคม 2525 คณะศิษย์ได้นิมนต์กลับวัด หลังจากหลวงปู่กลับถึงวัดได้ไม่กี่วัน ก็มีอาการอาเจียน ฉันอาหารและน้ำไม่ได้ ปัสสาวะน้อย และแล้ว

         ในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2525 หลวงปู่ได้ละสังขารในตอนบ่ายนั้น เวลา 16.45 น. ด้วยอาการสงบ สิริรวมอายุได้ 80 ปี (34 พรรษา) นับเป็นการจากไปของพระ
สุปฏิปันโน ผู้มีคุณธรรมอันเลิศรูปหนึ่ง ที่ไม่ปรารถนาลาภ ยศ สรรเสริญ หรือติดในโลกธรรมแต่ประการใด ดังคำที่ท่านพูดไว้ว่า

?มีชื่อไม่อยากให้ปรากฎ มียศไม่อยากให้ลือชา มีวิชาไม่ให้เรียนยาก? แต่คุณธรรมและปฏิปทาของท่านยังเป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนมิรู้ลืม ท่านยังเป็นพระในดวงใจของคณะศิษยานุศิษย์ไม่เสื่อมคลาย ตราบนานเท่านาน จึงได้จัดพิธีพระราชทาน เพลิงศพไว้อาลัยแด่หลวงปู่เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อวันอังคารที่ 24 มีนาคม 2528 เวลา 16.00 น. คณะศิษยานุศิษย์ พุทธศาสนิกชนทั่วไปจากทั่วทุกสารทิศได้หลั่งไหลกันมาจากทุกภาคของประเทศไทย เพื่อร่วมงานพระราชทานเพลิงศพ ?หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต?

มาจากwww.itti-patihan.com :005:

2374
:016: ..เห็นแล้วต้องยกนิ้วให้พี่แกเลยค่ะ..รอยเก่ายังเขียวอยู่เอารอยใหม่มาอีก..สงสัยพี่แกจะเร่งทำยอดค่ะ.. :077:

เจ็บแบบมีความสุขจริง ๆ พุทธคุณล้นเหลือ..ว่าแต่เมื่อไหร่พี่ชลาฯ จะโชว์หลังเขียวบ้างล่ะคะพี่.. :003:

              กระผมนับถือความอดทนท่านซัมซุงมากเลย แต่ งงที่เค้าไม่ได้คุยกับใครเป็นเดือนๆนี่ทนได้ไง เป็น ชลาพุชะ อกแตกตาย
           
ก็ท่านโชว ถ่ายให้ทั้งที ปกติกล้องผมโคตรห่วยถ่ายก็ดูไม่ได้เลย แต่เจอกล้องเจ๊โชวเข้าไปตกใจเลยครับ พระอาจารย์ทุกท่าน กับอาจารย์ ทุกท่าน เมตตาผมมากเลยครับ


อ่ะนะครับพี่ศักดากล้องคนสวยสะอย่างต้องแจ๋วอยู่แล้วจิงมั๊ยครับพี่สาว..... :009:

2375
หลวงพ่อท่านมรณะภาพแล้วครับตอนปี2542วัที่เท่าไรก้อจำไม่ได้แต่วัวธนูที่ทันหลวงพ่อยังมีครับมีแบบบูชา แบบปั้ม  แล้วก้อแบบปั้นมือเนื้อพุทราพอกครั่งอ่ะครับหลวงพี่ที่วัดจัยดีมากนะครับลองเข้าไปกราบดูมีพิพิธภัณพระเครื่องของหลวงปู่ด้วยลองเข้าไปชมนะครับ :017:

2376
จำไว้นะครับศีลข้อ3ต้องปภิบัติให้ได้การปฎิบัติตนเกี่ยวกับการรักษาศีลเชื่อยมโยงเกี่ยวกับการสักยันต์ก้อเหมือนกัน
บางครั้งเราอาจผิดศีลข้อไหนที่ไม่ได้ตั้งจัยแต่ขอข้อเดียวที่ต้องควรปฎิบัติคือไม่ควรผิดลูกเมียชาวบ้านขอแค่นี่ก้อพอ

2378
เสียดายไม่ได้ไปขนาดอยู่ใกล้ๆขอบคุนพี่นาวพี่สาวสุดสวยที่นำภาพบรรยากาศนะครับกะว่าวันอาทิตย์
จะเข้าไปที่วัดสักหน่อยคิดถึงหลวงลุงญาคิดถึงวัดบางพระจะแย่อยู่แล้ว :001:

2379
ผมก้อวาสลีนเหมือนกัน
ขอบคุณข้อมูลนะครับ

2380
        สมเด็จพระเทพฯ ทรงเป็นราชินีกุลพระองค์หนึ่งที่พสกนิกรรักและศรัทธามากด้วยเหตุผลที่เห็นได้ชัดเจน เช่น การที่พระองค์ท่านทรงดำรงพระองค์ง่ายๆเรียบง่าย แย้มพระสรวลง่ายจนทำให้ผู้พบเห็นพลอยสบายใจและมีกำลังใจ แต่เบื้องหลังพระอริยาบถสบสบายๆนั้น สมเด็จพระเทพฯเป็นเจ้านายที่ทรงงานหนักและทรงมีพระราชกรณียกิจหลากหลายเกินพรรณา ถึงกระนั้นพระองค์ทรงมีพระอารมณ์ขันที่ทำให้ผู้ได้ยินได้ฟังอย่างเบิกบานไม่รู้สึกอึดอัด
     ดร.บุษกร กาญจนจารี  อดีตพระอาจรย์ที่ปรึกษาของสมเด็จพระเทพฯเเล่เรียนจบจากคณะอักษรศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเช่นเดียวกับสมเด็จพระเทพฯเล่าว่า เวลาอยู่คณะท่านสนุกมากค่ะ เช่นทรงฟังเล็คเชอร์ไปแล้วก็ทรงวาดการ์ตูนสมุดของท่านจะเต็มไปด้วยการ์ตูนทรงวาดเป็นหน้าอาจารย์ก็มี เช่น อาจารย์ฉลวย ซึ่งขึ้นชื่อว่าดุมากทรงวาดหน้าอาจารย์ แล้วก็ทรงวาดการ์ตูนต่างๆ นกฮูก สนู้ปปี้ เป็นต้น
 ขณะทรงรับการศึกษาอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์จุฬาฯ สมเด็จพระเทพฯทรงเป็นที่รักของเหล่านิสิตอาจารย์เพราะพระองค์ท่านทรงมีน้ำพระทัยกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นเหล่ามิตรสหาย รุ่นพี่รุ่นน้องหรือแม้กระทั่ง
นักการภารโรงหรือแม้แต่เด็กชายที่ขายขนม เพียงทราบว่าพวกเขาไม่สบายท่านก็ส่งคนตามไปถึงบ้าน ไปสืบหาบ้านพาไปรักษา เด็กคนหนึ่งเป็นสารพัดโรคท่านก็ทรงรับไว้ในพระราชูปถัมปภ์
  ท่านทรงใช้ชีวิตเหมือนนิสิตธรรมดา เช่นวิ่งจากตึกหนึ่งไปอีกตึกหนึ่ง ห้องทรงประทับส่วนพระองค์ทรงประทับเป็นพียงห้องเล็กๆ ในหลวงทรงมีรับสั่งผ่านทางอธิบดี มาถึงท่านคณบดีว่าไม่โปรดให้ถวายการต้อนรับเป็นพิเศษ หากไม่มีการจัดห้องเล็กๆและธรรมดาถวายเลยก็จะมีผู้ไป คอยมุงชมพระบารมีกันจนไม่มีบรรยากาศส่วนพระองค์และเพื่อให้ทานมีที่ทรงพระพระอักษรเงียบๆ
             รุ่นน้องคนหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า สมเด็จพระเทพฯทรงซื้อฝรั่งดองเทียมมี่ประจำ เทียมมี่จะเก็บเงินที่ทรงซื้อไว้บูชาส่วนแขกขายถั่วทานโปรด รับสั่งให้ร้องเพลงให้ฟังก่อนไม่งั้นไม่ทรงซื้อ อาบังก็ร้องไม่ยอมหยุด              เจออารย์ท่านใดสมเด็จพระเทพฯทรงไหว้ทุกคนทรงมีพระอารมณ์ขันมากมายอาจารย์บางคนเกรงพระบารมีจึงคอยหลบท่าน ท่านก็ทรงวิ่งดักหน้าดักหลังทรงไหว้จนได้
       

คัดลอกมาจากคอลัม วังวนชีวิต ของดารณี สุนทรนนท์
จากหนังสือ ย้อนรอยกรรม ของคุณอาทรงพล มากชูชิต (ศิษย์วัดบางพระ)

2381
อยากได้ปลัดขิกอ่ะ

2382
ขอบคุณนะครับ

2383
คาถาอาคม / ตอบ: อยากรู้จริงๆ
« เมื่อ: 17 เม.ย. 2552, 01:14:31 »
เงียบกริบ :061:

2385
ฮาดีครับ...ชอบๆ
แต่คราวหน้าอยากให้พี่เมฆทำท่าตลกๆแล้วส่งมาให้ดูหน่อยนะครับ.....อิอิอิ

2386
ทางที่ดีแบบที่น้องกวางบอกเช่าจากวัดดีกว่าครับมั่นใจ100%ทีเดียวเชียว :009:

2387
 :017:สักได้ครับ
ก้อมีอาจารย์ที่เป็นฆาราวาส
พระอาจารย์ที่เป็นพระสงฆ์ท่านจะใส่ถุงมือเวลาสักให้ผู้หญิง
:002:

2388
คาถาอาคม / อยากรู้จริงๆ
« เมื่อ: 16 เม.ย. 2552, 11:30:06 »
อยากรู้คาถา ลิงจับหลัก ของ หลวงปู่แล
อยากรู้คาถา ขุนกระบี่บูชาครู วัดบางพระ
ใครทราบเมตตาหน่อยเถอะครับอยากทราบเหลือเกิน
:054:

2389
หวัดดีครับซัมซุง....หุหุหุเป็นชื่ที่หลวงลุงญาท่านเรียกอ่ะครับ
เจอบ่อยครับซัมซุงเดินสายสักทั้งวันเลยอึดมากๆๆสุดยอด :002:

2390
เพียบเลยสุดยอด

2391
ไม่รู้อ่ะ...แต่ขอบคุนพี่เมฆที่นำภาพมาฝากนะครับ

2392
บ้านน่าอยู่ดีครับ จัดโต๊ะหมู่บูชาพระได้สวยครับ

2393
ความรักช่างสดใสเป็นกำลังใจให้ชีวิต

ความรักอาจทำให้คนคิดมากมายไปบ้าง

โชคดีที่ผมได้เจอคนที่เกิดมาเพื่อผม

และก็โชคดีอีกที่ว่าผมก็เกิดมาเพื่อเขาเช่นกัน

และผมก็สัญญาว่าจะซื่อสัตย์กับความรักนี้

จะดูแลประคับประคองรักนี้ให้ดีที่สุดนะครับ

ปัญหาอุปสรรคถาโถมเข้ามาในชีวิตบ้างครั้งคราว

เราจะก้าวผ่านมันไปด้วยกันนะครับพี่ปอร์จ๋า

รักพี่ปอร์ที่สุดเลยครับ  :080: :026: :077: :090:


น่าอิจฉาขอให้รักกันให้นานๆนะครับ :077:

2394

นารีผล
นารีผล หรือมักกะลีผล หรือมัคคะลีผล เป็นพืชวิเศษชนิดหนึ่ง เกิดอยู่ในป่าหิมพานต์ ว่ากันว่า นารีผล ขั้วลูกอยู่ด้านบนศีรษะ มีรูปร่างเป็นหญิง ผลสด รูปร่างสะโอดสะอง สมส่วน ผิวพรรณงดงาม ปานเทพธิดา

     ข้าพเจ้า เคยได้ยินเรื่องเล่าถึงนารีผล ในใจก็ใคร่อยากชมดูอยู่เหมือนกัน แต่จนใจ เราไม่มีตาทิพย์ ไม่มีฤทธิ์ จึงมิอาจไปชมดูได้... จึงได้แต่ตั้งจิตอธิษฐาน ขอเห็นในนิมิตฝันก็ยังดี... เมื่อจิตเป็นสมาธิดี เกิดนิมิตขึ้น ก็ได้เห็นนารีผลจริงๆ แต่เป็นนารีผล ที่มีใครไม่ทราบเด็ดมาจากต้นแล้ว นั่นคือข้าพเจ้า ไม่ได้เห็นต้นนารีผล เห็นเพียงร่างนารีผล ที่นอนเปลือยเปล่าอยู่พื้นหินแห่งหนึ่ง เท่านั้น... แต่นิมิต ก็คือภาพนิมิต ไม่ใช่ความจริง ไม่เหมือนเห็นด้วยตาจริง เชื่อถือไม่ได้...



     ข้าพเจ้าได้ยินมาว่า     

     เมื่อประมาณหลายหมื่นปีก่อน ครั้งที่พระเวสสันดร พระนางมัทรี พร้อมด้วยบุตร ๒ คนคือ ชาลีกุมาร และ กัณหาชิณากุมารี ถูกเนรเทศจากนคร ได้เดินทางสู่ป่าหิมพานต์ และบำเพ็ญเพียร ปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั้น

     ที่ป่าหิมพานต์ มีสัตว์ป่ามากมายอันตรายรอบด้าน ทว่า สัตว์ป่าทั้งหลาย เมื่อได้รับเมตตาจิตจากพระเวสสันดร ก็คลายความดุร้ายลง กลายเป็นมิตร ... นอกจากสัตว์ป่าทั้งหลายแล้ว ก็ยังมีดาบส ฤๅษี นักสิทธิ์ วิทยาธร คนธรรพ์ ทั้งหลายอาศัยอยู่ หรือไปมาอยู่เรื่อยๆ  พระนางมัทรี ผู้มีรูปร่างโสภา บางครั้งออกหาอาหาร หาผลไม้ตามลำพังคนเดียว หากนักสิทธิ์ วิทยาธร ตลอดถึงฤๅษี มาพบเข้า อาจตบะแตก แล้วล่วงศีลได้...

     ท้าวสักกะเทวราช ซึ่งเป็นพระอินทร์ เล็งเห็นเหตุร้ายนี้แล้ว เพื่อเป็นการป้องกัน พระองค์จึงเนรมิต ต้นไม้วิเศษ ไว้รอบทิศ ณ ที่ไกล ก่อนถึงถิ่นแดน อันเป็นที่พำนักของพระเวสสันดรและนางมัทรี รวม ๑๖ ต้น

     ต้นไม้วิเศษนี้ ออกผลซึ่งมีรูปร่างเหมือนสตรี ผลโตเต็มที่ จะมีทรวดทรงปานสาวงามแรกรุ่น แต่ผิวพรรณ ทรวดทรงองค์เอว รูปร่างหน้าตา งดงามปานเทพธิดา...

     ว่ากันว่า จริงๆ แล้ว ผลหนึ่งผล ก็คือรุกขเทพธิดาหนึ่งนาง หรือ เมื่อต้นนารีผลออกดอก เสมือนเกิดวิมานแห่งรุกขเทพธิดาขึ้นที่นั่น เมื่อติดลูก ก็คือเทพธิดาจุติลงมาเกิดที่นั่น ความสวยงามสมบูรณ์แห่งผลนารีผล แต่ละผล จึงสวยงามต่างกัน ขึ้นอยู่กับบุญของเทพธิดาแต่ละนางด้วย...

     เมื่อเหล่านักสิทธิ์ วิทยาธร เดินทางมาพบเข้า หากจิตใจไม่เข้มแข็งพอ ตบะแตก ก็จักได้เสพบำเรอกับนารีผล... เมื่อตบะแตก ฤทธิ์เสื่อม เหาะไปต่อไม่ได้ ... เมื่อไปต่อไม่ได้ ก็ไม่มีทางจะได้พบกับพระนางมัทรี.... การจะเดินทางต่อ หรือออกไป จำต้องบำเพ็ญเพียรใหม่ ยกระดับจิตขึ้นแล้ว จึงกลับออกมาได้....

     นี่คือด่านป้องกัน ไม่ให้ใครไปล่วงศีลกับพระนางมัทรี และเทพธิดาที่จุติไปเกิดที่นารีผล แต่ละนางก็ไปด้วยกรรมของตน มิได้บังคับไปแต่อย่างใด

     แม้ว่า พระเวสสันดร พระนางมัทรี จะเสด็จออกจากป่าเข้าเมืองไปแล้ว ต้นนารีผล ก็ยังคงมีอยู่ในที่นั้น ตราบเท่าทุกวันนี้ ยังมีดอกหอมกรุ่น มีนารีผลห้อยระย้าอยู่ดังเดิม แม้ลูกที่หมดอายุขัยจะร่วงหล่นเหี่ยวเฉาไป ลูกใหม่ก็ขึ้นมาแทนที่ไม่ได้ขาด

     ว่ากันว่า บางครั้ง ฤๅษีที่บำเพ็ญเพียรจนตบะกล้า กิเลสสงบรำงับ เพื่อจะทดสอบจิตตน ก็จะเหาะไปที่ต้นนารีผล มองดูนารีผล ว่าตนจะตบะแตกหรือไม่... หรือบางครั้งฤๅษีผู้เป็นอาจารย์ อาจจะพาลูกศิษย์ไปทดสอบระดับจิต ไปฝึกควบคุมจิต ที่นั่น ก็มี

     และว่ากันว่า พวกนักสิทธิ์วิทยาธร มักจะเหาะไปเก็บนารีผล อุ้มมาเชยชมแล้ว ฝึกจิตใหม่ ค่อยเหาะกลับออกมา

     นารีผล เป็นที่ต้องการของสัตว์วิเศษ (คนธรรพ์เป็นต้น) รวมถึงวิทยาธรทั้งหลายผู้ยังไม่หมดกามราคะ ดังนั้น การที่นารีผลจะเหี่ยวแห้งคาต้นแล้วร่วงหล่นนั้น เป็นไปได้ยาก ก่อนจะโรยรา จะมีเทวดา สัตว์วิเศษ และวิทยาธร เป็นต้นมาเก็บเอาไป


--------------------------------------------------------------------------------


 

มีเรื่องราวในอรรถกถาเกี่ยวกับนารีผลตอนหนึ่งว่า

       ในอดีตกาล  เมื่อพระเจ้าพรหมทัต  เสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี  พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์  ณ  กาสิกรัฐ  เจริญวัยแล้ว ถึงความสำเร็จในสรรพศิลปศาสตร์แล้วบวชเป็นฤๅษี  มีมูลผลาผลในป่าเป็นอาหาร  ยังอัตภาพให้เป็นไปในป่ากว้าง.  ครั้งนั้น  แม่เนื้อตัวหนึ่ง  เคี้ยวกินหญ้าอันเจือด้วยน้ำเชื้อ  ในสถานที่ปัสสาวะของพระดาบสนั้นแล้วดื่มน้ำ.

      และด้วยเหตุเพียงเท่านี้เอง  มันมีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ในพระดาบส  จนตั้งครรภ์  นับแต่นั้นมาก็ไม่ยอมไปไหน  เที่ยวอยู่ใกล้ ๆ อาศรมนั่นเอง.  พระมหาสัตว์กำหนดดูก็รู้เหตุนั้นทั่วถึง  ต่อมา  แม่เนื้อคลอดบุตรเป็นมนุษย์.  พระมหาสัตว์จึงเลี้ยงทารกนั้นไว้ด้วยความรักใคร่ว่าเป็นบุตร  ตั้งชื่อให้ว่า  อิสิสิงคกุมาร  ในเวลาต่อมา  พระมหาสัตว์   จึงให้อิสิสิงคกุมารผู้รู้เดียงสาแล้วบวช  ในเวลาตนชราลง ได้พาดาบสกุมารนั้นไปสู่นารีวัน  (ป่านารีผล)  กล่าวสอนว่า

       ลูกรัก  ขึ้นชื่อว่าสตรีเช่นกับดอกไม้เหล่านี้ มีอยู่ในป่าหิมพานต์นี้   สตรีเหล่านั้นย่อมยังชนผู้ตกอยู่ในอำนาจตน   ให้ถึงความพินาศอย่างใหญ่หลวงได้    ไม่ควรที่เจ้าจะไปสู่อำนาจของสตรีเหล่านั้น ดังนี้แล้ว

       ครั้นในเวลาต่อมา    ก็ทำกาลกิริยา  เป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า. ฝ่ายอิสิสิงคดาบส  เมื่อประลองฌานกีฬาก็พักอยู่ในหิมวันตประเทศ ได้เป็นผู้มีตบะกล้า เป็นผู้มีอินทรีย์อันชำนะแล้วอย่างยวดยิ่ง   

     ครั้งนั้นพิภพของท้าวสักกเทวราชหวั่นไหว  ด้วยเดชแห่งศีลของพระดาบส   ท้าวสักกเทวราช ทรงใคร่ครวญดูก็ทราบเหตุนั้น   ทรงพระดำริว่า   พระดาบสนี้จะพึงยังเราให้เคลื่อนจากความเป็นท้าวสักกะ    เราจักต้องส่งนางอัปสรคนหนึ่ง ให้ไปทำลายศีลของเธอ  ดังนี้แล้ว   ทรงพิจารณาเทวโลก ทั้งสิ้น    ในท่ามกลางเหล่าเทพบริจาริกาจำนวนสองโกฏิครึ่งของพระองค์  มิได้ทรงเห็นใครอื่นซึ่งสามารถ ที่จะทำลายศีลของพระอิสิสิงคดาบสได้  นอกจากนางเทพอัปสร  ชื่ออลัมพุสาผู้เดียว  จึงรับสั่งให้นางมาเฝ้า แล้วทรงบัญชาให้ทำลายศีลของพระอิสิสิงคดาบสนั้น

       นางอลัมพุสาเทพอัปสรนั้น  เข้าไปหาอิสิสิงคดาบสนั้น   ซึ่งประกอบความเพียรในกลางคืนแล้ว   สรงน้ำแต่เช้าตรู่  ทำอุทกกิจเสร็จแล้ว     ยับยั้งอยู่ด้วยฌานสุขในบรรณศาลาหน่อยหนึ่ง  จึงออกมากวาดโรงไฟอยู่     นางยืนแสดงความงาม ของหญิงอยู่ข้างหน้าของพระอิสิสิงคดาบสนั้น?

     นางอลัมพุสา แสดงมายาหญิงเย้ายวน จนดาบสหนุ่มหลงใหล.. และในที่สุด ดาบสหนุ่มก็ถูกทำลายศีล...

อ้างอิงมาจากhttp://sitantara.50webs.com/lablae/plablae08.html


2395
ผันดีนะครับ

2396
ตอบ ข้อ5 ไม่ผิดหรอกครับเพราะศิษย์ที่มีครูบาอาจารย์ย่อมระลึกนึกถึงครูบาอาจารย์กันอยู่แล้วครับให้ท่านช่วยปกปักรักษาคุ้มครองให้ท่านเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
       ข้อ7 ที่วัดมีให้หมดแล้วครับ บุหรี่ ดอกไหม้ธูปเทียน ส่วนเงินค่าครูก้อ25บาทครับ
       ข้อ8 ได้สักเลยครับแต่ถ้าวันไหนคนเยอะก้ออดทนรอหน่อยนะครับถ้าอยากได้ของดีต้องอดทนหน่อย...ช้าๆได้พร้าเล่มงามนะครับ

2397
มันเข้าไปเจริญเติบโตได้งัยเนี่ย :074: :077:แต่ถ้าในหัวใจก้อว่าไปอย่างสำหรับคนมีความรักเค้าก้อปลูกต้นรักกันในหัวจัย....อิอิอิ

2398
ผมว่าไม่น่าจะเกี่ยวกันเพราะว่าการนอนโลงศพเป็นการสะเดาะเคาะต่อชะตาอ่ะครับคงไม่เกี่ยวกัน

2399
ขอบคุนนะครับ

2400
แหล่ม.เลยครับ

2401
โชคดีไม่มีแฟนอิอิ

จริงเหยยจ้ะ  31;เห็นมีสาวๆมาง้อขอคืนดีมะช่ายเหยอ  :005: เล่นตัวจัง  36;พี่โปเตโต้เนี๊ยะ คริ คริ  14;
คนเราต้องมีบ้างอ่ะครับเราพี่ปอหยิ่งไว้ก่อนเจ็ยแล้วต้องจำ...อิอิอิอิ :009:(เหมือนหล่อเลือกได้เน๊อะพี่ปอ) :005:
โชคดีไม่มีแฟนอิอิ
ขอให้เป็นจริงดัง ว่า เทิด สาธุ
สาธุด้วยครับพี่ศักดา..อิอิอิ

2402
:007:  :010:จริงเหรอน้องต้นแล้วเอาน้องแว่นไปทิ้งไว้ไหนอ่ะ
มันป็นอดีตแล้วครับพี่เออย่าไปพูดถึงเลยอ่ะเค้าเจอคนที่ดีกว่าแล้ว....เศร้า :070:

2403
แบบที่พี่ศักดาบอกอ่ะครับสักได้อ่ะครับแต่ก้อเรื่องการจัดวางและก้อเรื่องหมึกแต่ได้หลายๆสำนักมาก้อดีนะครับ

2404
นึกถึงบรรยากาศดูสงบร่มเย็นดีครับ

2406
ท่านเป็นทหารก้อเหมาะแล้วครับกับยันต์แม่ทัพ

2407
ขอบคุนนะครับสำหรับข้อมูล

2408
โชคดีไม่มีแฟนอิอิ

2409
ถ้าเจ๊ยังไม่มีที่เก็บก้อแบ่งให้น้องบ้างก้อได้นะครับพี่สาวแสนสวย :009:

2410
มันแปลกดีนะ

2411
คิดถึงหลวงปู่ครับ
กราบหลวงปู่ครับ :054:

2412

ประวัติความเป็นมาไทยทรงดำ
กลุ่มชนชาวไทดำ มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในแคว้นสิบสองจุไท ดังกล่าวไว้ในพงศาวดารเมืองไลว่า ? เมืองที่พวกผู้ไทดำอยู่นั้น คือเมืองแถงหนึ่ง เมืองควายหนึ่ง เมืองตุงหนึ่ง เมืองม่วยหนึ่ง เมืองลาหนึ่ง เมืองโมะหนึ่ง เมืองหวัดหนึ่ง เมืองซางหนึ่ง รวมเป็น 8 เมือง เมืองผู้ไทขาว 4 เมือง ผู้ไทดำ 8 เมืองเป็น 12 เมือง จึงเรียกว่าเมืองสิบสองผู้ไท แต่บัดนี้เรียก สิบสองจุไท ?
                  (อ้างอิงข้อมูลจาก http://www.promma.ac.th/supaporn/unit5/p3_1_1.htm )
เขตสิบสองจุไท บริเวณลุ่มแม่น้ำดำและแม่น้ำแดง ในเวียดนามภาคเหนือ ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของ ไทดำ ไทแดง และไทขาว เมื่อ ฝรั่งเศสเข้าปกครองเวียดนาม ได้เรียกชนเผ่าที่อาศัยอยู่ลุ่มแม่น้ำดำว่า ไทดำที่เรียกว่าไทดำ เพราะชนดังกล่าวนิยมสวมเสื้อผ้าสีดำซึ่งย้อมด้วยต้นห้อมหรือคราม แตกต่างกับชนเผ่าที่อยู่ใกล้เคียงเช่น ไทขาวที่นิยมแต่งกายด้วยผ้าสีขาว และไทแดงที่ชอบใช้ผ้าสีแดงขลิบตกแต่งชายเสื้อ


ชาวไทยดำอยู่ที่เมืองแถงหรือแถน แต่เดิมเป็นเมืองใหญ่ของแคว้นสิบสองจุไท ปัจจุบันคือจังหวัดเดียนเบียนฟู อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศลาว (แคว้นล้านช้าง) ทิศเหนือติดกับตอนใต้ของประเทศจีน
การอพยพและการตั้งรกรากในไทย ชาวไทดำอพยพเข้ามาตั้งรกรากในไทยถึง 2 ครั้งด้วยกัน ครั้งแรกในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีที่โปรดให้ไปตี เมืองเวียงจันทร์ได้ในปี พ.ศ. 2321 ดังได้กล่าวไว้ในประวัติชาติไทยว่า "แล้วปีรุ่งขึ้นโปรด ฯ ให้ยกกองทัพไปตีเมืองหลวงพระบาง ไปตีเมืองทัน เมืองม่วย เมืองทั้ง 2 นี้เป็นเมืองของไทซ่งดำ ตั้งอยู่ในเขตแดนญวนเหนือ แล้วพาครัวไทเวียง ไทดำ ลงมากรุงธนบุรี ในเดือนยี่ ไทซ่งดำให้ไปอยู่เพชรบุรี " ต่อมารัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ประมาณ พ.ศ. 2378 ก็ได้นำครอบครัวชาวไทดำเข้ามาอยู่ในไทยอีก ดังบันทึกของจอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีกล่าวไว้ เมื่อคราวเป็นแม่ทัพไปปราบฮ่อในสมัยรัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2430 ไว้ว่า ? พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เจ้าพระยาธรรมา ฯ ยกกองทัพขึ้นมาเมืองถึงเมืองแถง จัดราชการเรียบร้อยแล้วได้เอาครัวเมืองแถงและสิบสองจุไทซึ่งเป็นไทดำลงมากรุงเทพ ฯ เป็นอันมาก เพราะขืนไว้จะเกิดการยุ่งยากแก่ทางราชการขึ้นอีกครั้ง แล้วพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้า ฯ ให้พวกไทดำเหล่านั้น ไปตั้งภูมิลำเนาอยู่ ณ เมืองเพชรบุรี จนได้ชื่อว่า ลาวซ่ง   จากหลักฐานการอพยพเข้ามาในไทยทั้งสองครั้ง แสดงให้เห็นว่าไทดำหรือไทยทรงดำ มาตั้งถิ่นฐานที่จังหวัดเพชรบุรี เป็นแห่งแรกและจากคำบอกเล่าจากชาวไทยทรงดำเอง ก็บรรยายว่า เดินอพยพมาจากถิ่นฐานเดิมโดยทางเรือ มาตั้งถิ่นฐานที่ตำบลท่าแร้ง อำเภอบ้านแหลม ซึ่งเป็นบ้านชายทะเล ชาวไทยทรงดำไม่ชอบภูมิประเทศแถบนั้น จึงได้ย้ายถิ่นฐานมาเรื่อย ๆ จนถึงแถบอำเภอเขาย้อย ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นป่าเขาเหมือนกับถิ่นฐานเดิมจึงได้ตั้งบ้านเรือนอยู่อย่างหนาแน่น ต่อมาชาวไทยทรงดำก็ได้ย้ายถิ่นฐานไปทำมาหากินในที่อื่นๆ เช่น นครปฐม ราชบุรี สุพรรณบุรี พิจิตร ชุมพร และสุราษฎร์ธานี แต่ชาวไทยทรงดำในจังหวัดต่าง ๆ เหล่านั้นจะบอกที่มาเป็นแหล่งเดียวกันว่า มาจากจังหวัดเพชรบุรี



 

สารานุกรมไทยดำล้ำค่าของกลุ่มนักศึกษา โครงการเรียนรู้ร่วมกันสร้างสรรค์ชุมชน กล่าวถึงไทยดำไว้ว่า ไทยดำหรือไตดำ (Tai Dam, Black Tai) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น ผู้ไทยดำ ไทยทรงดำ โซ่ง ลาวโซ่ง ไทยโซ่ง เรียกอย่างไรคงไม่ผิด เพราะเป็นที่เข้าใจถึงกลุ่มชนเดียวกัน กลุ่มชนชาวไทยดำมีชื่อเรียกตนเองว่า "ไต" - ผู้ไต - ผู้ไตดำ (หรือไทยดำ)

ความหมายของคำว่า"ไต" คือกลุ่มชาติพันธุ์คนไทยสาขาหนึ่งที่มีความเป็นอิสระ คำว่า "ดำ" หมายถึงการแต่งกายด้วยเครื่องนุ่งห่มสีดำ ชื่อเรียกขานในนาม "ไทยดำ" จึงมีความหมายโดยรวม ว่ากลุ่มชาติพันธุ์คนไทยสาขาหนึ่งในบรรดาหลายชนเผ่า ที่แต่งกายด้วยสีดำนั่นเอง ซึ่งถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของชาวไทยดำด้วย ไทยดำได้ถูกอพยพเข้าสู่ดินแดนของประเทศไทยตั้งแต่สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ใน พ.ศ.2322 เมื่อกองทัพไทยไปตีเวียงจันทน์ แล้วกวาดต้อนไทยดำที่อพยพมาจากสิบสองจุไท ส่งไปตั้งถิ่นฐานที่บ้านท่าแร้ง อำเภอบ้านแหลม เมืองเพชรบุรี

ต่อมาได้กวาดต้อนเข้ามาเพิ่มเติมอีก ในสมัยรัชกาลที่ 1 ใน พ.ศ.2335 และสมัยรัชกาลที่ 3 ใน พ.ศ.2381 ก่อนจะย้ายมาตั้งถิ่นฐานบริเวณหนองปรงในปัจจุบัน และถือว่าแผ่นดินหนองปรงนี้ คือบ้านเกิดเมืองนอนของชาวไทยดำ มีการสืบเชื้อสายมาหลายชั่วอายุคนจนถึงปัจจุบัน และได้กระจายกันอยู่ในพื้นที่หลายจังหวัด เช่น ราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี พิจิตร พิษณุโลก กาญจนบุรี ลพบุรี สระบุรี ชุมพร และสุราษฎร์ธานี

ในสปป.ลาว ไทดำได้อพยพเข้าสู่หลวงน้ำทาในปี พศ.2438 เพราะเกิดศึกสงครามแย่งชิงอำนาจกันระหว่างบรรดาหัวหน้าของไทดำกลุ่มต่าง ๆ ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานครั้งแรกในหลวงน้ำทาที่บ้านปุ่งบ้านทุ่งดี บ้านทุ่งอ้ม บ้านน้ำแง้นและบ้านทุ่งใจใต้ ต่อมาเกิดความไม่สงบในสิบสองจุไทขึ้นอีก เนื่องจากศึกฮ่อซึ่งเป็นพวกกบฏใต้เผงที่ถูกทางการจีนปราบปรามแตกหนีเข้ามาปล้นสะดม และก่อกวนอยู่ในเขตสิบสองจุไท ทำให้ชนเผ่าไทดำอพยพจากเมืองสะกบและเมืองวา แขวงไลเจา เข้าตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านปุ่งบ้านนาลือและบ้านใหม่ ในปี พ.ศ.2439 เมื่อมีประชากรเพิ่มมากขึ้น จึงได้กระจายกันออกไปตั้งหมู่บ้านอยู่ทั่วเขตทุ่งราบหลวงน้ำทา ของสปป.ลาว


ชาวไทยทรงดำ หรือ ลาวโซ่ง ซึ่งมีบรรพบุรุษและถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ที่เดียนเบียนฟู ประเทศเวียตนาม ย้ายเข้ามาตั้งถิ่น ฐานในแถบเมืองเพชรบุรี เป็นที่แรกในประเทศไทย เมื่อกว่า 200 ปีมาแล้ว กลุ่มที่ย้ายมาอยู่ในเมืองไทยนี้เป็นกลุ่มที่อาศัย อยู่ในประเทศลาว คนไทยแต่ไหนแต่ไรมาจึงเรียกชนกลุ่มนี้โดยใช้คำนำหน้าว่า ?ชาวลาว? ซึ่งที่มาของชื่อชนกลุ่มนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ บ้างก็ว่ามาจาก ?ไทสง? อันเป็นภาษาในสิบสองจุไท หมายถึงคนที่อาศัย ตามป่าเขา ต่อมาเพี้ยนเป็น ไทยโซ่ง แต่บ้างก็ว่าน่าจะเป็น ซ่วง ซึ่งมาจากคำว่า ?ซ่วงก้อม? อันเป็นคำเรียกกางเกงผู้ชาย (มีลักษณะขายาวแคบ สีดำ) จึงเรียกกันว่า ?ลาวซ่วงดำ? หรือ ?ลาวโซ่ง? ภายหลังด้วยเหตุผลทางการปกครอง จึงเรียกว่า ?ไทยโซ่ง? หรือ ?ไทยซ่วงดำ? และ ?ไทยทรงดำ?
แต่สำหรับเจ้าของวัฒนธรรมพึงพอใจที่จะให้ใคร ๆ เรียกว่า ?ไทยโซ่ง? หรือ ?ไทยทรงดำ? มากกว่า เพราะ มีความรู้สึกผูกพันและกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในความเป็นไทย

คนไทยดำมีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเอง ภาษาไทดำจัดอยู่ในตระกูลภาษาไท (Tai Language-Family) กลุ่มตะวันตกเฉียงใต้ เช่นเดียวกับภาษาไทยและภาษาลาว สำเนียงพูดของคนไทยดำแต่ละท้องถิ่นจะแตกต่างกันไปบ้างแต่ก็ไม่มาก ลักษณะตัวอักษรมีความสวยงามคล้ายกับอักษรลาวและอักษรไทยบางตัว

ชาวไทดำมีความเชื่อว่าตนสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษดั้งเดิม 2 ตระกูลคือ ตระกูลผีผู้ท้าวที่สืบเชื้อสายมาจากชนชั้นเจ้านาย ชนชั้นปกครอง และตระกูลผีผู้น้อย สืบเชื้อสายมาจากชนชั้นสามัญ ชาวไทดำนับถือผีและมีการบวงสรวงผีเป็นประจำ โดยจะทำ "กะล่อหอง" เอาไว้ที่มุมหนึ่งในบ้านเพื่อใช้เป็นที่เซ่นไหว้บูชาผีบรรพบุรุษ สำหรับในการประกอบพิธีกรรมไทดำจะถือว่าผีผู้ท้าวนั้นมีศักดิ์สูงกว่าผีผู้น้อย ผู้น้อยจะต้องให้ความเคารพยำเกรง แต่สำหรับการดำเนินชีวิตนั้นทั้งสองตระกูลสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเสมอภาค

การอพยพของชาวไทดำ (ผศ.มนู อุดมเวช แห่งคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี บรรยายเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2548 เวลา 13.30-15.30 น. ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรจัดการบรรยายเรื่อง ?ประวัติศาสตร์ไทดำในประเทศไทย?การบรรยายครั้งนี้ เป็นการนำเสนอผลการวิจัย ?ประวัติศาสตร์ชาวไทดำในประเทศไทย? ของ ผศ.มนู ซึ่งได้ศึกษาประวัติความเป็นมาของชาวไทดำในประเทศไทย ความเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของชุมชนไทดำ โดยเน้นช่วงเวลาตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์จนถึง พ.ศ.2540 วิธีการศึกษาใช้หลักฐานเอกสารและการสัมภาษณ์ประกอบกัน)

การอพยพของชาวไทดำ
            บรรพบุรุษของชาวไทดำในประเทศไทย ส่วนใหญ่เข้ามาอยู่ในดินแดนประเทศไทยปัจจุบันตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี สมัยรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ตามลำดับ โดยเข้ามาด้วยอำนาจบังคับของกองทัพสยาม ที่กวาดต้อนชาวไทดำมาไว้ที่เพชรบุรี 3 ครั้ง
           ในช่วง พ.ศ.2350-2400 ชาวไทดำได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ภายในจังหวัดเพชรบุรีก่อน หลังจากนั้นจึงเริ่มการอพยพไปอยู่ในพื้นที่อื่น กล่าวคือ ในช่วงปี พ.ศ.2400 มีการอพยพไปอยู่ที่สุพรรณบุรี, ในปี พ.ศ.2420 มีการอพยพไปทางนครปฐม ต่อมาในราว พ.ศ.2440 มีการอพยพครั้งใหญ่จากเพชรบุรีไปอยู่ที่ชุมพร ราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี นครสวรรค์ และในช่วง พ.ศ.2460 มีการอพยพใหญ่อีกครั้งจากนครปฐม สุพรรณบุรี และเพชรบุรี ไปยังนครสวรรค์ พิจิตร และพิษณุโลก ส่วนในช่วง พ.ศ.2469-2475 มีการอพยพเป็นครั้งคราว ไปสุโขทัย ประจวบคีรีขันธ์ พิษณุโลก กาญจนบุรี นครปฐม นครสวรรค์ นอกจากนี้ยังมีการอพยพข้ามมาจากประเทศลาวเข้ามาทางจังหวัดเลยด้วย
            จากการวิจัยพบว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ชาวไทดำอพยพ คือ ปัญหาเรื่องที่ดินทำกินและภัยแล้ง ชาวไทดำจำนวนมากอพยพจากภูมิลำเนาเดิมเพื่อไปหาที่ดินทำกินใหม่ที่อุดมสมบูรณ์กว่าเดิม โดยไม่คำนึงถึงปัญหาความห่างไกลจากเส้นทางคมนาคมหรือภูมิลำเนาเดิม
ผู้วิจัยตั้งข้อสังเกตว่า ไม่มีหลักฐานหรือบันทึกของรัฐที่แสดงถึงการรับรู้เรื่องราวการอพยพเนื่องจากความทุกข์ยากของชาวไทดำเลย ทั้งที่เป็นกระบวนการที่กินเวลายาวนานนับร้อยปี แสดงให้เห็นว่ารัฐขาดการเอาใจใส่ต่อคนกลุ่มนี้

เศรษฐกิจของชุมชนไทดำ
             เดิมชุมชนไทดำเป็นชุมชนพึ่งตนเองในทางเศรษฐกิจ ทำนาเป็นอาชีพหลัก แม้จะอพยพไปอยู่ในพื้นที่ใหม่ชาวไทดำก็ยังคงทำนาอยู่ แต่อาจเปลี่ยนไปเพาะปลูกพืชอย่างอื่นนอกเหนือจากข้าว ที่ผ่านมามีแนวโน้มว่าชาวไทดำจะอพยพไปอยู่ในที่ดินที่ห่างไกลความเจริญออกไปเรื่อยๆ ทำให้ได้รับความยากลำบากเนื่องจากอยู่ห่างไกลเส้นทางคมนาคมและตลาด วิธีการได้มาซึ่งที่ดินใหม่ของผู้อพยพชาวไทดำ มีตั้งแต่การซื้อด้วยทุนเดิม ซื้อด้วยทุนที่สะสมอดออมขึ้นใหม่ แลกด้วยวัตถุสิ่งของต่างๆ ไปจนถึงการหักร้างถางพง จับจองที่ดินที่ยังไม่มีเจ้าของ

             ชาวไทดำนิยมผลิตเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ด้วยตนเอง งานหัตถกรรมที่โดดเด่นคือ การผลิตเสื้อผ้า ซึ่งเริ่มตั้งแต่การปลูกพืชเลี้ยงไหมเพื่อผลิตเส้นใยและทอผ้าเอง กล่าวได้ว่างานผลิตเสื้อผ้านั้นเกี่ยวพันกับวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชาวไทดำ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันกิจกรรมการผลิตเสื้อผ้าของชาวไทดำเริ่มจางหายไป เนื่องจากมีเสื้อผ้าราคาถูกจากโรงงานเข้ามาจำหน่ายมากขึ้น นอกจากนี้ ชาวไทดำยังสนใจประกอบอาชีพอื่นๆ นอกภาคเกษตรมากขึ้นเป็นลำดับ ทั้งนี้น่าจะเป็นอิทธิพลของการศึกษาและการสื่อสารที่พัฒนาขึ้น

ปัจจัยพื้นฐานของชีวิตไทดำ
              ชาวไทดำโดยทั่วไป มีความผูกพันกับเครือญาติและชาวไทดำด้วยกันเองค่อนข้างสูง วิถีชีวิตของชาวไทดำในรอบปีมีระบบที่แน่นอน เช่น เดือนอ้ายเป็นฤดูเก็บเกี่ยว, เดือน 4-5 ว่าง, เดือน 6 เตรียมการเพาะปลูก, เดือน 7-12 ทำนา
              ชาวไทดำมีภาษาของตนเอง ซึ่งมีศัพท์แสงแตกต่างจากภาษาไทยภาคกลางมาก ทั้งยังมีตัวอักษรของตนเอง อันเป็นสมบัติเฉพาะของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้กันแถบลุ่มน้ำแดง-ลุ่มน้ำดำในเวียดนาม อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันภาษาเฉพาะของไทดำกำลังถดถอย โดยเฉพาะการอ่าน-เขียนที่เริ่มไม่ค่อยมีผู้รู้แล้ว


ที่อยู่อาศัยของชาวไทดำ

          เป็นเรือนเครื่องผูก มีขดกุดบนหลังคาเหนือจั่ว มุงแฝกหรือหญ้าคา ใต้ถุนสูง ส่วนเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ในชีวิตประจำวันก็ผลิตเอง โดยใช้ไม้ไผ่รวกเป็นหลัก
           อาหารการกิน ชาวไทดำนิยมรับประทานข้าวเหนียวกับปลา ซึ่งมีการนำมาแปรรูปแบบต่างๆ เช่น ปลาร้า ปลาส้ม นอกจากนี้ยังนิยมดื่มเหล้ากันมาก
            เครื่องนุ่งห่ม เดิมชาวไทดำจะผลิตเสื้อผ้าเอง มีการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม และทอผ้าใช้เอง การแต่งกายในแต่ละพื้นที่แตกต่างกันบ้าง เครื่องแต่งกายหลักคือ ?เสื้อฮี? ซึ่งเป็นเสื้อแขนสั้น และโพกผ้าเปียว นอกจากนี้ผู้หญิงไทดำในอดีตยังแต่งผมด้วยการ ?ปั้นเกล้า? ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น แต่ปัจจุบันมีแต่ผู้สูงอายุ 80 ปีขึ้นไปเท่านั้นที่ยังปั้นเกล้าอยู่ (มีการสาธิตวิธีการปั้นเกล้าโดยผู้หญิงไทดำให้ชมด้วย) ส่วนการทอผ้า ชาวไทดำก็เลิกทอมาตั้งแต่ พ.ศ.2490-2500 เป็นต้นมา

ปัจจัยระดับสูงของชีวิตไทดำ
           ปัจจัยระดับสูงที่แสดงถึงความเป็นชนเผ่าที่มีวัฒนธรรมเฉพาะของชาวไทดำ ได้แก่
การศึกษาและอักษร สมัยก่อนชาวไทดำได้รับการศึกษาน้อยมาก เพราะยากจน และโรงเรียนตั้งอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน ชาวไทดำมีอักษรบันทึกวัฒนธรรม เช่นที่ปรากฏใน ?คำขับเขยบอกทาง? (เพื่อบอกทางไปเมืองแถงแก่วิญญาณ), ขับขึ้นบ้านใหม่ ความรู้ต่างๆ มีการถ่ายทอดกันในครอบครัว แต่ปัจจุบันผู้ที่อ่านอักษรไทดำได้กำลังหมดไป
          ดนตรี การขับร้อง และการละเล่น ใช้แคนและการปรบมือเป็นพื้นฐาน มีเพลงสุดสะแนน เวียง พู่จำดอก และเกริงสร้อย ลีลาแคนมีทั้งแคนแล่น และแคนเดิน การ ?ขับ? ใช้ในโอกาสรื่นเริง ?ว่า? เป็นการร่ายกึ่งมีทำนอง ใช้ในพิธีกรรม ในวัฒนธรรมของชาวไทดำนั้น ดนตรี การขับร้อง และการละเล่นจะปะปนผสมผสานกันอยู่มากใน ?อิ้นกอน? ช่วงเดือน 5
การหาคู่ครอง ตามแบบแผนเดิม ชาวไทดำมักหาคู่ครองด้วยการไป ?อิ้นกอน? ในเดือน 5 ซึ่งเป็นกระบวนการที่ฝ่ายชายจะไปเล่นลูกช่วงตามหมู่บ้านต่างๆ ที่มีหญิงสาวคอยเล่นด้วย โดยฝ่ายชายมักจะไปค้างแรมคืนต่างหมู่บ้านไปเรื่อยๆ ตลอดทั้งเดือน 5 นอกจากนี้ ชายและหญิงไทดำยังมีโอกาสพบปะกันใน ?ข่วง? (ลานบ้าน) อันเป็นที่ตำข้าว ปั่นด้าย ฯลฯ ของบ้านที่มีลูกสาว ซึ่งเปิดโอกาสให้ฝ่ายชายไปคุยได้ หากรักชอบกันก็จะนำไปสู่การแต่งงานในที่สุด
       ศาสนา การนับถือผีเป็นเรื่องสำคัญตามประเพณีไทดำ โดยเฉพาะผีบรรพบุรุษ ความเชื่อเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษนั้นเป็นสาระสำคัญที่นำไปสู่ประเพณีและพิธีกรรมอื่นๆ ในวัฒนธรรมชาวไทดำ เช่น ประเพณี ?ปาดตง? และพิธี ?เสนเฮือน? (เซ่นเรือน) ซึ่งกระทำทุก 3 ปี หรือ 5 ปี นอกจากนี้ ทุกบ้านยังมี ?กะล้อห่อง? และมีการ ?หน็องก้อ? ทุกครั้งที่ดื่มเหล้า คือให้ผีบรรพบุรุษดื่มก่อน อาจกล่าวได้ว่า ความผูกพันกับบรรพบุรุษนั้นเป็นแก่นของวัฒนธรรมไทดำเลยทีเดียว
         นอกจากนี้ชาวไทดำยังมีความเชื่อเรื่องขวัญ เมื่อเกิดความเจ็บป่วย จะมีการทำพิธีเรียกขวัญ หรือเสนขวัญ โดยมี ?แม่มด? เป็นผู้ทำพิธี ทำหน้าที่ต่ออายุ และแก้ไขการกระทำต่างๆ ที่ผิดผี อันเป็นสาเหตุให้เกิดความเจ็บป่วย


ความเปลี่ยนแปลง            ชาวไทดำประกอบอาชีพทำนามาตั้งแต่บรรพบุรุษ มีความถนัดในการทำเกษตร และได้รักษาอาชีพในแนวทางนี้มาตลอด แม้ว่าพื้นที่บางแห่งที่ไม่สะดวกแก่การทำนา จะมีการเปลี่ยนไปทำไร่ ทำสวน และเลี้ยงไก่บ้างก็ตาม ทั้งนี้ผู้วิจัยมองว่า คุณสมบัติเด่นของชาวไทดำคือ ความสามารถในการเรียนรู้ และความทรหดอดทนต่อความยากลำบาก
ปัจจัยพื้นฐานของชีวิตในชุมชนไทดำ ส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคมสมัยใหม่ เช่น เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ปัจจุบันชาวไทดำก็ซื้อหาจากท้องตลาด เนื่องจากราคาถูกและหาซื้อได้ง่าย ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาและแรงงานมากมายไปในการจัดหาวัสดุจากธรรมชาติมาจัดทำขึ้นเอง ทำให้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในส่วนนี้ของชาวไทดำกำลังสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย
           ส่วนปัจจัยระดับสูงของวิถีชีวิตไทดำ ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงอัตลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ คือ ความผูกพันที่มีต่อผีบรรพบุรุษนั้น ยังคงดำรงอยู่ในฐานะแก่นของวัฒนธรรมไทดำ กระนั้นก็ตาม บริบทสังคมที่เปลี่ยนไปก็ทำให้วัฒนธรรมบางอย่าง เช่น กระบวนการหาคู่ครอง การเดินทางเพื่อ ?อิ้นกอน? ค่อยๆ จางหายไป
          ในช่วงท้ายของการบรรยาย ผู้วิจัยเสนอว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่น่าจะมีการศึกษาอย่างละเอียดต่อไป เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมของชาวไทดำในประเทศไทยกับชาวไทดำลุ่มแม่น้ำแท้หรือแม่น้ำดำ ภูมิปัญญาและเทคโนโลยีพื้นบ้านของไทดำ ภาษาและอักษรของไทดำ คติความเชื่อและสัมพันธภาพในชุมชนไทดำ เป็นต้น

อำเภอเขาย้อยจังหวัดเพชรบุรี

มีกลุ่มชนไทยทรงดำอยู่อย่างหนาแน่น โดยจากรายงานด้านประชากรของอำเภอเขาย้อยมี
      - ไทยทรงดำ 70 %      - ไทย 14 %
      - ลาวเวียง        3 %      - จีน 10 %
      - ลาวพวน        3 %
ไทยทรงดำหรือลาวโซ่งซึ่งจะอาศัยอยู่ในตำบลห้วยท่าช้าง หนองปรง ทับคาง เขาย้อย บางเค็ม หนองชุมพล และหนองชุมพลเหนือ ซึ่งยังมีการอนุรักษ์ประเพณีเก่าแก่ของไทยทรงดำไว้มาก อาทิเช่น
      1. เล่นลูกช่วง (เล่นคอน) หรือรำแคน นิยมเล่นในเทศกาลตรุษสงกรานต์
      2. การเสนเรือน คือ การทำบุญให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว
      3. การแต่งงาน เป็นประเพณีของไทยทรงดำ มีการแต่งกายชุดใหญ่ของไทยทรงดำ
      4. ประเพณีการทำงานศพ จะทำพิธีแบบไทยทรงดำทุกคน
เยี่ยมเรือนเยือนเหย้าชาวไทยทรงดำไทย มีวัฒนธรรมที่เป็น เอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น การแต่งกาย ทรงผม ภาษา บ้านเรือน อาหาร และการประกอบ อาชีพ รวมไปถึงความเชื่อที่สืบ ทอดกันมานาน ก่อให้เกิดพิธีกรรมและประเพณีที่น่าสนใจมากมายแม้ในกระแสวัฒนธรรมจากภายนอกที่หลั่งไหลเข้าทดแทนวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับชาวไทยทรงดำ วัฒนธรรมหลายอย่างหาได้สูญสลายไปตามกระแสไม่ แต่ยังคงปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างน่าประทับใจ เช่น ภาษา การแต่งกาย งานประเพณีและการดำรงชีวิตที่สมถะเรียบง่ายแบบดั้งเดิม ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ชาวไทยทรงดำพึงพอใจและดำรง รักษา ไว้อย่างภาคภูมิ

อ้างอิงมาจากhttp://www.thaisongdumphet.is.in.thเว๊ปไซด์ ไทยทรงดำ
ปล.พอดีผมมีเชื้อสายไทยทรงดำมาจากแม่ผมเลยอยากลงประวัติไทยทรงดำเผยแผ่เพื่อให้ทราบกันครับ :002:

2413
สวยจัง

2414
สุดยอดเลยครับ....หุหุถ้าที่บ้านที่เก็บไม่พอไว้บ้านผมบ้างก้อคับ

2415
กลับราชบุรีไปบังสกุลให้ตากะยายแล้วกลับมาเล่นน้ำที่พุทธมณฑลสาย4

2416
มองแล้วให้นึกถึงความทรงจำสมัยเด็กๆๆแขวนพระแล้วไม่เลี่ยมปล่อยจนสึกเลย

2417
หุหุหุ..........เอารูปข้าลงไม่ปรึกษาเลยนะ :027:

2418
สวยงามมากๆๆ

2419
มีอะไรดีๆเยอะเลยนะครับพี่ศักดา

2420
อยากได้บ้างขอบคุณสำหรับภาพและข้อมูลนะครับ

2421
ขอลบคุนนะครับ

2423
แหล่มเลยพี่...สุดยอด

2424
อบอุ่นน่ารักดีครับ

2425
อยากทราบพุทธคุณอ่ะครับ :027:

2428
สวยครับสุดยอดเลย

2430
บทความดีๆมาอีกแล้วขอบคุณครับ

2431
วัดช้างล้อม
 
 ตั้งอยู่ภายในกำแพงเมืองเกือบกึ่งกลางตัวเมืองศรีสัชนาลัย บริเวณที่ราบด้านเชิงเขาพนมเพลิงด้านทิศใต้ โบราณสถานที่สำคัญ คือ เจดีย์ประธานทรงลังกาตั้งอยู่ภายในกำแพงแก้วสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีซุ้มประตูทั้ง 4 ทิศ ประตูด้านหน้าและประตูด้านหลังเป็นทางเข้าออก ส่วนประตูด้านข้างก่อเรียงอิฐศิลาแลงปิดไว้เป็นประตูตัน

 

          เจดีย์ประธานทรงลังกา ตั้งอยู่บนฐานประทักษิณรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีช้างปูนปั้นเต็มตัวประดับโดยรอบฐานทั้ง 4 ด้าน ด้านละ 9 เชือก (ยกเว้นด้านหนึ่งซึ่งเป็นบันไดทางขึ้นมีเพียง 8 เชือก) และที่มุมมีช้างขนาดใหญ่ประดับอีก 4 เชือก รวมเป็น 39 เชือก ช้างเชือกใหญ่ที่อยู่มุมเจดีย์เป็นช้างทรงเครื่องมีลวดลายปูนปั้นประดับที่คอ และข้อเท้าสวยงามกว่าช้างที่ฐานสี่เหลี่ยม ระหว่างช้างปูนปั้นที่ฐานนั้นจะมีเสาประทีปศิลาแลงสลับเป็นระยะ ด้านหน้าช้างแต่ละเชือกจะมีพุ่มดอกบัวตูมปูนปั้นวางตั้งอยู่  
 

  

          ช้างปูนปั้นที่วัดช้างล้อมเมืองศรีสัชนาลัยมีลักษณะเด่นกว่าช้างปูนปั้นที่วัดอื่นๆ คือ ยืนเต็มตัวแยกออกจากผนัง มีขนาดสูงใหญ่กว่าช้างจริง นักวิชาการบางท่านสันนิษฐานว่า วัดช้างล้อมนี้น่าจะเป็นวัดเดียวกันที่กล่าวในศิลาจารึกหลักที่ 1 ว่า ในปี พ.ศ. 1892 พ่อขุนรามคำแหงมหาราชให้ขุดเอาพระธาตุขึ้นมาบูชาและเฉลิมฉลอง หลังจากนั้นจึงฝังลงกลางเมืองศรีสัชนาลัย และก่อพระเจดีย์ทับลงไป
 

          ด้านหน้าเจดีย์ประธานมีบันไดขึ้นสู่ลานประทักษิณ เหนือฐานประทักษิณมีซุ้มพระพุทธรูปประทับนั่งปางมารวิชัย 20 ซุ้ม แต่คงเหลือเพียงองค์เดียวด้านทิศเหนือ เหนือบริเวณองค์ระฆังขึ้นไปเป็นบัลลังก์ก้านฉัตรประดับด้วยพระรูปพระสาวกปางลีลาปูนปั้นแบบนูนต่ำจำนวน 17 องค์
 

          โบราณสถานภายในวัดที่ยังคงปรากฏอยู่ คือ วิหารที่อยู่ด้านหน้าเจดีย์ประธาน นอกนั้นเป็นวิหารขนาดเล็ก 2 หลัง และเจดีย์รายอีก 2 องค์
 
ที่มา.....จากเว๊ปจังหวัดสุโขทัย
 
http://www.info.ru.ac.th/province/Sukhotai/srinatcl.htm

2432
อย่าพึ่งแต่คาถาอย่างเดียวนะครับต้องพึ่งตนเองด้วยเพราะอุบัติเหหรือความตายล้วนมาจากคำว่าประมาททั้งนั้นหละครับ

2433
โชคดีจังเลยขอให้ฝันของท่านเป็นจริงนะครับ

2434
เจ๋งสวยงามดีครับ :001:

2435
เยอะจังเลยครับพี่

2436
ขอบคุณข้อมูลนะครับดีมากๆเลย

2437
สวยค่ะ สวย เมืองศรีเทพ เมืองมะขามโน๊ะ... ต้นโน๊ะ..

อาทิตย์หน้าพี่โชวไปแถบอยุธยาค่ะ... ไว้ถ่ายรูปมาฝากดีปะคะ.....:048:

เอ๊ะ เอ๊ะ... เป็นสีจมปูแล้วหนิ... ก้นบาตรบางพระ...เท่ ใจ มากมายค่ะ...ไม่น่านคงเป็นน้องชลาพุชะชะช่า... น้องชายแสนอึดอีกคน...หนึ่งแห่งบ้านบางพระนะคะ555[/colo


ถ้าไปแล้วไม่ซื้อหนมมาฝากหนูงอนด้วย :009:

2439
ขอบคุณพี่ๆทุกคนมากคร่ะแล้วพี่มีชื่ออะไรกันบ้างคร่ะ ส่วนตัวนู๋ชื่อปุ๋ยค่ะ  เรียก นู๋ปุ๋ย ก็ได้คร่ะ

เด๋วรูปจะลงให้อาทิตย์หน้านะคร่ะ  ขอบคุณมากคะสำหรับคำตอบ :016:

แลยินดีที่ได้รุ้จักพี่ๆทุกคนคร่ะ แต่เรื่องสักกับพระอาจารย์ท่านไหนอันนี้นี้นู๋ไม่ทราบชื่ออ่ะคร่ะ

รุ้แต่ว่าเดินเข้าไปมองขวามือก็จะเจอท่านนั่งอยู่ทางหน้าต่างอ่ะค่ะ :002: :002: :002:

ตอนนี้สักมาหลายวันแล้วมันต้องคันหรือป่าวอ่ะแต่ยังไม่เห็นคันเลยอ่า :075: :075:

ถ้าบอกมาอย่างนี้ก้อคือ หลวงพี่นันต์ครับ

2440
สวยดีดีใจด้วยครับ :053:

2441
สวยนะครับ....จะรอคำตอบเหมือนกัน 26;

2442
ขอบคุณครับพี่เจมส์

2443
ขอบคุณนะครับอ่านเพลินเลย

2444
แหม.......พี่ชายผมสุดยอด

2445
ผ้ายันต์ นารายณ์ทรงครุฑ ไม่ทราบว่าออกปีไหนเหรอครับพี่ครับ สวยจับใจวัยรุ่น
ออกไหว้ครูปี52อ่ะครับที่กุฎิหลวงพี่แป้วครับ..........อิอิอิช่วยพี่เก่งทำมาหากินหน่อย

2446
23...เอ้าจัดไป

2448
บทความ บทกวี / ตอบ: The monkey King
« เมื่อ: 11 เม.ย. 2552, 05:44:09 »
ขอบคุนครับ

2449

เมืองศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์
       ชื่อเมืองศรีเทพ ดูจะเป็นชื่อใหม่ของประวัติศาสตร์ชาติไทย เพราะมีการเอ่ยถึงไม่แพร่หลายนักเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ๆอย่างสุโขทัย ลพบุรี เพชรบุรี นครราชสีมา และ นครศรีธรรมราช ในพงศาวดารสมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช มีบันทึกว่า ? ในปี พ.ศ. 2100 พระยาละแวก เจ้ากรุงกัมพูชา ยกทัพมาทางเมืองนครราชสีมา มาตีหัวเมืองชั้นใน ทางตะวันออก ขณะนั้นพระนเรศวรฯเสด็จลงมาเฝ้าสมเด็จพระปิตุราชอยู่ที่อยุธยา โปรดให้พระศรีถมอรัตน์ กับพระชัยบุรี คุมพลไปซุ่มในดงพญากลาง และพระนเรศวรเสด็จขึ้นไปยังเมืองชัยบาดาล ยกกองทัพตีเขมรแตกพ่าย ?

      ชื่อของ พระศรีถมอรัตน์ เป็นชื่อเดียวกับใน พระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งรวบรวมเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับเมืองเพชรบูรณ์ โดยมีเนื้อหาส่วนหนึ่งกล่าวถึงชื่อเมืองศรีเทพ ว่ามีชื่อปรากฏในทำเนียบเก่าบอกรายชื่อหัวเมืองต่างๆที่ทางราชการให้คนเชิญตราไปบอกข่าวสิ้นรัชกาลที่ 2 ยังเมือง สระบุรี เมืองชัยบาดาล เมืองศรีเทพ และเมืองเพชรบูรณ์ จึงเป็นการยืนยันว่าเมืองศรีเทพ เป็นเมืองหนึ่งที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำป่าสัก โดยในช่วงหนึ่งจะมีชาวบ้านเรียกชื่อเมืองนี้ว่า ? เมืองอภัยสาลี?? และตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดคือ พระศรีถมอรัตน์ เหมือนกับชื่อในสมัยพระนเรศวร และชื่อนี้ยังเป็นชื่อภูเขาเล็กๆลูกหนึ่งที่ตั้งอยู่ในบริเวณเมือง คือเขาถมอรัตน์ เช่นกัน






      เมืองศรีเทพ ที่ถูกซ่อนอยู่ในป่าทึบ เป็นเมืองขนาดใหญ่ที่มีอาณาเขตมากกว่า 2 พันไร่ มีภูมิทำเลที่ตั้งที่ถูกเลือกอย่างชาญฉลาดจากผู้ปกครองเมืองในสมัยนั้น จะเห็นว่ารอบอาณาบริเวณที่ตั้งของเมืองซึ่งก็คือส่วนหนึ่งของอำเภอศรีเทพ ในปัจจุบันเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำป่าสักผืนใหญ่ มีเพียงเขาเล็กๆเพียงไม่กี่ลูกเท่านั้นในบริเวณนั้น พื้นที่เช่นนี้เหมาะสำหรับการเพาะปลูกสำหรับชาวเมือง โดยอาศัยน้ำจากแม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำเล็กๆที่เป็นสาขาของแม่น้ำป่าสักในการยังชีพและขนส่งสินค้าไปต่างเมือง

      จากแผนที่ยุทธศาสตร์ ครั้งรัชการของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 จะเห็นว่า ที่ตั้งของเมืองศรีเทพ ( เขียนว่า ? สีเทพ?) ตั้งอยู่กึ่งกลางของประเทศในสมัยนั้น เมืองนี้จึงเป็นศูนย์กลางการเดินทาง จากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก และจากทิศเหนือไปทิศใต้ เมืองนี้จึงน่าจะเป็นศูนย์กลางการเดินทางมาค้าขายของชนชาติต่างๆ ดังจะเห็นจากประติมากรรมศิลปะที่ได้รับอิทธิพลจากทั้งเขมร และ อินเดีย

      เมืองศรีเทพต่างจากเมืองอื่นในลุ่มแม่น้ำภาคกลางตรงที่ไม่ได้ตั้งอยู่ติดแม่น้ำ แต่อยู่ห่างจากแม่น้ำไปทางทิศตะวันออกพอประมาณ เหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากผู้ตั้งเมืองรู้ถึงธรรมชาติของพื้นที่ดีว่า ในฤดูน้ำหลากทุกปี น้ำจะไหลบ่าลงมาจากทางเหนือและจะท่วมบ้านเมืองหากตั้งอยู่ติดแม่น้ำ จะเห็นว่าแม้ในปัจจุบัน ( ก่อนการสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) แม่น้ำป่าสักก็ยังคงท่วมพื้นที่นี้ทุกปี แต่แม้จะท่วมหนักสักเพียงใด ก็มาไม่ถึงที่ตั้งของเมืองศรีเทพแห่งเก่านี้เลย






      ความที่อยู่ห่างจากริมฝั่งแม่น้ำ เมืองนี้จึงจำเป็นต้องขุดสระน้ำ เพื่อเก็บกักน้ำไว้ให้ชาวเมืองได้ใช้ นี่คือเหตุผลที่เราพบเห็นสระน้ำมากกว่า 70 แห่งในเมืองโบราณที่ถูกค้นพบ สระน้ำเหล่านี้จึงน่าจะมีมาตั้งแต่สมัยเริ่มตั้งเมือง






      จากการสำรวจ พบว่าเมืองนี้เป็นเมืองขนาดใหญ่ มีคูน้ำรอบปราการเมือง 2 ชั้น ภายในเมืองนอกจากสระน้ำ ยังมีปรางค์ และ เทวสถาน ทั้งใน และรอบนอกเมือง เมื่อมีการเปรียบเทียบงานศิลปะที่พบ และพิสูจน์อายุของสิ่งก่อสร้างทางวิทยาศาสตร์ พบว่าอิฐ และไม้ที่คงอยู่มีอายุราว 800 ถึง 1000 ปี






      นับเป็นความโชคดีที่ เทวสถานส่วนใหญ่สร้างขึ้นด้วยหินและศิลาแลง แม้จะถูกทำลายด้วยกาลเวลา แต่ก็ยังคงหลงเหลือบางส่วนให้เราได้รู้ว่า ครั้งหนึ่งปรากฏเมืองนี้อยู่ในประเทศไทย หากจะลองคิดเปรียบเทียบช่วงเวลากับอายุของเมืองนี้ จะเห็นว่า หากเมืองนี้มีอายุ 800 ปีขึ้นไป เมืองศรีเทพจะมีอายุมากกว่า กรุงศรีอยุธยา และสุโขทัย จึงน่าจะอยู่ในสมัยก่อนหรือเริ่มต้นประวัติศาสตร์ ซึ่งก็สัมพันธ์กับลักษณะของประติมากรรม ที่พบอันเป็นศิลปะในยุคของอารยะธรรมเขมร และบางส่วนเป็นศิลปกรรมของ อารยะธรรมทวาราวดี ที่พลัดกันเข้ามามีอิทธิพลเหนือเมืองนี้

      ดังนั้น เมื่อในพงศาวดารที่บันทึกในสมัยพระนเรศวร ที่กล่าวถึงพระศรีถมอรัตน์ กับพระชัยบุรี จึงน่าคิดได้ว่า พระศรีถมอรัตน์ ท่านนี้น่าจะเป็นเจ้าเมืองศรีเทพ ในยุคที่เมืองนี้ได้ตั้งมาแล้ว กว่า 400 ปี ( เพราะกรุงศรีอยุธยา มีอายุประมาณ 425ปี ) แต่อาจเป็นไปได้ว่า เมืองศรีเทพ ในยุคนั้นอาจจะไม่ได้ตั้งอยู่ในสถานที่ที่พบนี้ แต่อาจจะเคลื่อนย้ายไปอยู่ในบริเวณใกล้เคียง เพราะดูจากซากเทวสถานที่พบในเมืองโบราณ ล้วนเป็นศิลปะคนละยุคสมัยกับอยุธยา






      นับเป็นความโชคดีที่เมืองโบราณนี้ได้ถูกค้นพบ แม้จะมีการลักลอบขุดสมบัติ และของมีค่า อันจะเป็นหลักฐานในการค้นหาประวิติศาสตร์ไปขาย แต่ก็ยังคงมีหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ที่ใช้เป็นหลักในการค้นหาคือสิ่งก่อสร้าง ที่สร้างด้วยอิฐ หิน เหล็ก หรือแม้แต่เศษไม้เพียงไม่กี่ชิ้น ที่ยังคงสภาพ ให้เห็น

      สันนิฐานว่า เมืองศรีเทพที่ยิ่งใหญ่นี้ เดิมนับถือลัทธิศาสนาฮินดู ซึ่งมาจากทางอินเดีย โดยจะเห็นการสร้างสถูปและปรางค์ ด้วยหินในบริเวณที่เป็นใจกลางเมือง (คล้ายกับศิลปะของเขมรที่นครวัด) ซึ่งถือเป็นเขตสำคัญทางศาสนา ( คล้ายส่วนที่เป็นที่ตั้งของ พระบรมหาราชวัง และวัดพระแก้ว ในปัจจุบัน) ส่วนรอบๆเมืองซึ่งเป็นทั้งตั้งของบ้านเรือนของประชาชน ที่อาศัยส่วนใหญ่ถูกสร้างด้วยไม้ ซึ่งถูกกักร่อนทำลายให้ผุพังไปตามกาลเวลาจนหมด เหลือให้เห็นเป็นเพียงที่ราบรอบเทวสถาน และสระน้ำ ของชุมชนเท่านั้น

      ความที่เมืองศรีเทพมีอายุยาวนาน ( ศรีเทพ 800 ปี กรุงศรีอยุธยา 420 ปี กรุงเทพฯ 250 ปี ) จึงมีการเปลี่ยนแปลงด้านการปกครอง ศาสนา และวัฒนธรรมขึ้นหลายครั้ง ดังจะเห็นว่า นอกจากเทวรูปในศาสนาฮินดูแล้ว ยังมีการพบหลักฐานทางพุทศาสนาลัทธิมหายานอีกด้วย ซึ่งคาดว่าคงเข้ามาในระยะหลังก่อนการล่มสลายของชุมชน






      จากการขุดค้นหลักฐาน พบว่าใต้สถูป และปรางค์ ที่สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานรูปเคารพทางศาสนา มีการฝังรูปสลักหินซึ่งเป็นรูปของพระศิวะ พระอาทิตย์ และรูปเคารพอื่นๆในศาสนาฮินดูไว้ โดยครั้งหนึ่งรูปเคารพเหล่านี้ได้ถูกประดิษฐานไว้ในพระปรางค์ และศาสนสถานเหล่านั้น แต่ภายหลังเมื่อพุทธศาสนาได้เข้าในในชุมชน จึงมีการนำพระพุทธรูปเข้ามาไว้แทนที่รูปเคารพเหล่านั้น หลักฐานที่มีค่าที่ค้นพบคือพระพุทธรูปที่ทำจากสัมฤทธิ์ที่มีรูปลักษณ์ต่างจากพระพุทธรูปในยุคอยุธยา และโบราณวัตถุที่ทุกคนจะต้องถ่ายรูปเมื่อมาเที่ยวชมคือ ? ธรรมจักร? ที่สลักด้วยหิน ที่มีลวดลายโบราณงดงามมาก






      จากสิ่งก่อสร้าง และอาณาเขตที่ยิ่งใหญ่ของเมืองศรีเทพ ทำให้สะท้อนให้เห็นถึงปริมาณกำลังคน และกำลังศรัทธาที่ใช้ในการก่อสร้าง อาคารและศาสนสถานเหล่านี้มั่นคงยากแก่การล่มสลาย ทำให้ไม่สามารถบอกได้เลยว่า เมืองนี้เสื่อมสลายไปด้วยเหตุใด






      จากการสำรวจไม่พบการถูกทำลายโดยสงคราม และเมื่อเปรียบเทียบการเสื่อมสลายของเมืองนี้ คล้ายกับเมืองขนาดใหญ่ของเขมรคือนครวัด นครธม ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าได้รับความกระทบกระเทือนจากการเสื่อมสลายของอาณาจักรเขมร ที่ทำให้เส้นทางค้าขายกับเขมรที่เคยรุ่งเรือง เนื่องจากเป็นเมืองศูนย์กลางการเดินทางค้าขาย กลับซบเซาลง แต่ก็เป็นเหตุผลที่ไม่น่าทำให้เมืองนี้ต้องเสื่อมสลายไป เพราะแม้การค้าขายจะซบเซา แต่เมืองก็น่ายังสามารถอยู่ต่อไป และควรมีการพัฒนาต่อเนื่องไปในยุคหลัง จะไม่หยุดลงที่ยุคเดิมเหมือนเมืองถูกทิ้งร้างไปโดยฉับพลัน

      เหตุผลใหญ่ที่มีการคาดเดา จากสภาพสิ่งแวดล้อม ที่ไปสอดคล้องกับนิทานพื้นบ้านที่กล่าวถึงคือ โรคระบาดของชุมชน ซึ่งก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะเป็นไปได้สูง ว่าจะเกิดโรคระบาดร้ายแรงในเมืองนี้ เนื่องจากเมืองศรีเทพ เป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ ที่มีผู้เดินทางมาจากต่างแดน หรือต่างประเทศอยู่เสมอ จึงเป็นเหตุให้มีการแพร่ขยายของโรคภัยที่มากับคนต่างถิ่นได้อย่างง่ายดาย อีกทั้ง แม้เมืองศรีเทพจะอยู่ใกล้แม่น้ำป่าสัก แต่ก็ไม่ได้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำที่มีน้ำไหลผ่านโดยตรง การใช้น้ำในการบริโภคของชาวเมือง อาศัยน้ำจากคูและสระหรือบ่อน้ำภายในเมือง ซึ่งกลายเป็นแหล่งระบาดของโรคภัยไข้เจ็บ อันเป็นเหตุแห่งการล้มตาย และเคลื่อนย้ายของผู้คนไปยังที่อื่นอย่างกะทันหัน เมืองศรีเทพจึงถูกทิ้งร้างให้หยุดประวัติศาสตร์ของตัวเองไว้ในป่ารกนับร้อยปี

      เมืองโบราณชื่อศรีเทพ ที่เรามาพบในวันนี้ น่าจะเป็นเมืองศรีเทพในยุคแรกก่อนประวัติศาสตร์ แต่เมืองศรีเทพที่เราเห็นชื่อในพงศาวดารประวัติศาสตร์ กรุงศรีอยุธยา น่าจะเป็นบริเวณเมืองศรีเทพที่ตั้งขึ้นใหม่ในบริเวณใกล้เคียงที่เก่า ซึ่งเกิดขึ้นหลังการอพยพออกมาตั้งเมืองเล็กเมืองน้อยหลายแห่งในบริเวณลุ่มแม่น้ำป่าสัก ในยุคสุโขทัยและอยุธยา

      เท่าที่เล่ามานี้นับเป็นเรื่องที่เล่าแบบย่อจากความเข้าใจของตัวเอง ด้วยภาษาที่ง่ายเพื่อให้คนยุคเดียวกันได้เข้าใจความเป็นมา โดยอาศัยความรู้จากหนังสือหลายเล่ม คิดว่าหากท่านที่อยากไปชม ? เมืองศรีเทพ? จะได้อ่านไว้บ้างก่อนไปสถานที่จริงก็จะได้ประโยชน์บ้าง สำหรับโบราณสถานภายในเมืองศรีเทพ ที่จะได้พบมีมากมาย ซึ่งขอสรุปให้ทราบย่อๆ ก่อนไปฟังจากวิทยากรผู้ดูแลดังนี้


โบราณสถานและสถานที่สำคัญในอุทยานฯ


       ศูนย์บริการข้อมูล เป็นอาคารจัดแสดงโบราณสถาน และนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และโบราณคดีของเมืองโบราณศรีเทพ ภายในประกอบด้วยห้องประชุม หรือบรรยายสรุปก่อนการเข้าชมนิทรรศการ
       ปรางค์สองพี่น้อง ลักษณะเป็นปรางค์ 2 องค์ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงขนาดใหญ่ หันหน้าไปทางทิศตะวันตก มีประตูทางเข้าทางเดียว จากการขุดแต่งทางโบราณคดี พบทับหลังที่มีจำหลักเป็นรูปพระอิศวรอุ้มนางปารพตีประทับนั่งอยู่เหนือโคอศุภราช ลักษณะของทับหลังและเสาประดับกรอบประตูเป็นสิ่งกำหนดอายุของปรางค์ โดยอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 เป็นศิลปะขอมแบบบาปวนต่อนครวัด และมีการสร้างปรางค์องค์เล็กเพิ่ม โดยพบร่องรอยการสร้างทับบนกำแพงแก้วที่ล้อมรอบปรางค์องค์ใหญ่ และยังมีการก่อปิดทางขึ้นโดยเสริมทางด้านหน้าให้ยื่นออกมา และก่อสร้างอาคารขนาดเล็กทางทิศเหนือเพิ่มขึ้น
       ปรางค์ศรีเทพ เป็นสถาปัตยกรรมแบบศิลปะเขมรหันหน้าไปทางทิศตะวันตก สร้างด้วยอิฐและศิลาแลง ฐานล่างก่อด้วยศิลาแลงเป็นฐานบัวลูกฟักแบบเดียวกับสถาปัตยกรรมเขมรทั่วไป เรือนธาตุก่อด้วยอิฐ ในการขุดค้นบริเวณนี้ พบชิ้นส่วนทับหลังรูปลายสลักอายุราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 ซึ่งน่าจะเป็นการสร้างเพิ่มหลังจากโบราณสถานเขาคลังใน ต่อมาประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 มีการพยายามจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใหม่แต่ไม่สำเร็จ โดยสันนิษฐานจากการค้นพบชิ้นส่วนทิ้งกระจัดกระจาย ระหว่างปรางค์สองพี่น้องและปรางค์ศรีเทพมีกำแพงล้อมรอบและมีอาคารปะรำพิธีขนาดเล็กกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป แสดงให้เห็นถึงลักษณะการวางผังในรูปของศาสนสถานศิลปะเขมรแบบเดียวกับที่พบในภาคอีสานของประเทศไทย
       โบราณสถานเขาคลังใน ตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางเมือง สร้างประมาณพุทธศตวรรษที่ 11-12 ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ผังเมืองและศิลปะการก่อสร้างมีลักษณะคล้ายเมืองทวารวดีอื่น ๆ ได้แก่ นครปฐม และเมืองโบราณคูบัว มีการใช้ศิลาแลงเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้าง ที่ฐานมีรูปปูนปั้นบุคคลและสัตว์ประดับเป็นศิลปะแบบทวารวดี เชื่อกันว่าเป็นที่เก็บอาวุธและทรัพย์สมบัติจึงเรียกว่า "เขาคลัง"
       ศาลเจ้าพ่อศรีเทพ อยู่บริเวณด้านในประตูแสนงอน (ประตูด้านทิศตะวันตก) ศาลเจ้าพ่อศรีเทพเป็นศาลที่เคารพสักการะของชาวบ้านทั่วไป โดยทุกปีจะมีงานบวงสรวง ในราวเดือนกุมภาพันธ์ วันขึ้น 2-3 ค่ำ เดือน 3
นอกจากโบราณสถานดังกล่าวข้างต้นแล้วยังมีโบราณสถานย่อย ๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ทิศใต้ของเขาคลังในพบโบสถ์ก่อด้วยศิลาแลง มีการพบใบเสมาหินบริเวณใกล้หลุมขุดค้น และพบโบราณสถานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสสมัยทวารวดี ซึ่งได้มีการก่อสร้างทับในระยะที่รับเอาศาสนาพราหมณ์เข้ามา แสดงให้เห็นว่าบริเวณเมืองชั้นในเดิมน่าจะเป็นเมืองแบบทวารวดี และมีการสร้างสถาปัตยกรรมเขมรในระยะหลังเพิ่มขึ้น
      นอกจากนี้ทางทิศใต้ยังพบอาคารมณฑปแบบทวารวดีขนาดใหญ่ และมีการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเทวาลัยประมาณต้นศตวรรษที่ 18 แต่ยังไม่สำเร็จ เช่นเดียวกับปรางค์ศรีเทพ นอกจากนี้ยังพบสระน้ำโบราณ เรียกว่า สระแก้ว อยู่นอกเมืองไปทางทิศเหนือ และยังมี สระขวัญ อยู่ในบริเวณเมืองส่วนนอก ทั้งสองสระนี้มีน้ำขังตลอดปี เชื่อกันว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ และมีการนำไปประกอบพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน

      หากต้องการเดินทางไปเที่ยว เมืองศรีเทพอยู่ห่างจากตัวเมืองเพชรบูรณ์ประมาณ 130 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 21 เส้นสระบุรี-หล่มสัก ถึงหลักกิโลเมตรที่ 102 แล้วแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 2211 ไปอีกประมาณ 9 กิโลเมตรจะเห็นป้ายบอกทางเข้าอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพอยู่ด้านขวามือ รถโดยสารประจำทาง มีทั้งรถธรรมดาและรถปรับอากาศออกจากสถานีขนส่งหมอชิต กรุงเทพฯ มาลงที่ตลาดอำเภอศรีเทพ (บ้านกลาง) แล้วต่อรถรับจ้างเข้าสู่อุทยานฯ

      อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.00?16.30 น. อัตราค่าเข้าชม ชาวไทย 10 บาท ชาวต่างชาติ 30 บาท รถยนต์นำเข้าอุทยาน คันละ 50 บาท สำหรับผู้ที่สนใจเข้าชมเป็นหมู่คณะและต้องการติดต่อวิทยากรบรรยาย ติดต่อโดยตรงได้ที่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ 67170 โทร. 0 5682 0122, 0 5682 0123

      หลังจากเขียนบทความนี้จบ ป้าก็บังเอิญลงมายืนอยู่ที่หน้าตึกที่ทำงาน มองขึ้นไปบนยอดตึก คิดถึงเวลาในอีก1 พันปีในอนาคต??? หากยังมีโลกนี้อยู่ คนในยุคนั้นอาจขุดพบตึกนี้ และอาจพบโบราณวัตถุที่สร้างด้วยไฟเบอร์ หรือพาสติก ที่เมื่อเปิดดูจะพบว่ามีหน้าจอสี่เหลี่ยมสีดำ มีอักษรภาษาไทยดึกดำบรรพ์เขียนไว้ที่ขอบจอ แสดงชื่อเจ้าของวัตถุนี้ และหากสามารถอ่านได้ ก็จะพบว่าชื่อที่เขียนไว้ เป็นชื่อของป้าLily นั่นเอง


       ข้อมูลอ้างอิงจาก
       หนังสือ ? เมืองศรีเทพ? ของกรมศิลปากร
       www.tat.or.th
ที่มาwww.suanlukchan.com

2450
ขอบคุนสำหรับข้อมูลครับพี่ศักดา

2451
สวยทั้งสองอย่างเลย...........แหล่มจริงๆๆ

2453
สุดยอดครับสวยมากๆ

2454
น่าสนใจครับพี่เก่งได้มาจากไหนครับ

2455
มีสติกันนะครับดุแลตัวเองกันด้วยนะครับระวังพวกมิจฉาชีพที่แฝงมาด้วยนะครับ
เมาไม่ขับอย่าลืมนะครับ

2456
เวรกรรมมีจริงครับ

2460
ขอบคุณคุณลุงผู้การเสือนะครับที่นำประสบการณ์ต่างๆมาเล่าให่ฟังจะรอภาค6ครับ

2461
ยินดีดวยนะครับ

2462
เดินทางกลับบ้านปลอดภัยกันทุกคนนะ

2464
เจ๋งเลยครับพี่

2466
เพราะทุกคนก้อรักครูบาอาจารย์เหมือนกันทุกท่านแหละครับยังงัยก้อก่อนจะโพสต์อะไรก้อควรตรึกตรองก่อนนะครับ

2467
ถึงท่านต้นน้ำ
               ผู้ชายในรูปทั้ง 2 คน คนไหน เป็นท่าน คนไหน เป็นเป็นร้องนำวงโปเตโต้นะ ชื่ออะไรจำไม่ได้ คนแก่ก็งี่ หูตาไม่ดี ช่วยบอกหน่อยนะพ่อหนุ่ม

พี่ชายผมเองพี่ศักดา.....พี่ปั๊ป ส่วนผมปิ๊ค.......อิอิอิ

2468
นับถือจริงๆครับ

2469
แหล่มเลยครับกลั่นออกมาจากในจินตนาการธรรมชาติมากจริงๆๆเจ๋งครับ :016:

2471
ภาค2อ่านดูแล้วแหยงๆๆนะ :049:

2473
ขอบคุณพี่เมฆครับ

2474
งานมีตั้งแต่6-14เมายนครับ
ผมสองคนอยู่แผนกสังฆทานอ่ะครับ

2478
ขอให้พระอาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงครับ

2480
เหนื่อยง่วง.........แต่ผมก็สู้ครับด้วยแรงศรัทราเหมือนกัน

2482
สุดยอดครับ

2484
กราบนมัสการครับ
แหมรูปแรกมีพี่เอติดรูปมาด้วย

2485
ยินดีต้อนรับสู่บ้านอันแสนอบอุ่นนะครับ

2486
ถ้ายังไงคราวหน้าพาน้องชายคนนี้ไปเที่ยวบ้างนะครับ :009:

2488
ขอบคุณครับผมกำลังท้อแท้อยู่ได้กำลังใจขึ้นมากๆๆ :090:

2489
บทสวดมนต์ / ตอบ: ลูกแก้วพญานาค
« เมื่อ: 05 เม.ย. 2552, 09:24:26 »
เยี่ยมๆๆๆพี่ศักดาสุดยอดจริงเลยขอบคุนนะครับ

2490
อย่างที่พี่สิบทัศน์บอกอ่ะครับ

2491
มาเอาความรู้ครับ
ขอบคุณพี่ชาญครับ

2493
อนุโมทนาด้วยนะครับท่านเณรฯ ยิงซะต้องเคลียร์เลยนะครับ  :075: ผ้ายันต์พ่อท่านเอ็น วัดเขาราหูครับ โภคทรัพย์โชคลาภไม่ขาดสายจริงๆครับ ขอบคุณสำหรับภาพหลวงปู่อั๊บด้วยนะครับผม เคลียร์ก่อนๆๆๆเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว  :075: รักพี่ปอร์จ๋าคนเดียวนะครับ  :025: :080: :026: :077: :090: :114:


อยากได้ผ้ายันต์บ้างอ่ะครับพี่เก่งสุดหล่ออิอิอิ

2494
สวยครับความหมายดีด้วย

2495
คู่มือ ?สงกรานต์...? โปรดอ่านก่อนไปเล่นสงกรานต์


(ปรับปรุงล่าสุด บ่ายวันที่ 14 เมษายน 2551 หวังว่าคงมีคนเข้ามาอ่าน... นะ!)

เมื่อวานนี้ (13 เมษายน) ได้มีโอกาสสำรวจบรรยากาศการเล่นสงกรานต์ของทั้งสองที่ เลยอยากจะบอกเล่าเป็นคำแนะนำ สำหรับผู้ที่อยากจะออกมาสัมผัสบรรยากาศการเล่นสงกรานต์ในช่วงสองวันที่เหลือ (14-15 เมษายนนี้) ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โปรดอ่านก่อนตัดสินใจไปเล่นน้ำที่ใดๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ตัวท่านเอง

? ข้าวสารคุมเข้ม-งดเล่นแป้ง

ปีนี้ถนนข้าวสารยังคงเข้มงวดกับการเล่นแป้ง โดยจะมีด่านตรวจของเจ้าหน้าที่คอยยึดขันและกะละมังแป้ง รวมทั้งเข็มขัดเส้นเขื่อง เพื่อมิใช้นำมาเป็นอาวุธ เหมือนเฉกเช่นคอนเสิร์ตต่างๆ เหตุผลในการงดเล่นแป้งเนื่องจากจะเป็นการสร้างบรรยากาศที่ไม่ดี ถึงกระนั้นบริเวณรอบนอกถนนข้าวสาร ยังคงมีการเล่นแป้งอยู่

ภายในถนนข้าวสารยังคงรูปแบบคล้ายกิจกรรมเชิงพาณิชย์ โดยมีเวทีของผลิตภันฑ์ต่างๆ จัดอีเวนท์และแจกของผู้ที่ผ่านไปมา รวมถึงสถานบันเทิงในถนนข้าวสาร ได้มีการจัดกิจกรรมเล่นน้ำสงกรานต์ ปีนี้กิจกรรมดูเหมือนจะไม่คึกคักเหมือนเช่นปีก่อนๆ แต่ความสนุกสนานในการสาดน้ำระหว่างชาวไทยกับต่างชาติยังคึกคักเช่นเดิม

อาณาเขตในการเล่นน้ำสงกรานต์โดยรอบถนนข้าวสาร เริ่มตั้งแต่ถนนจักรพงษ์ขึ้นไป จนถึงแยกบางลำภู ถนนรามบุตรี จนถึงวัดบวรนิเวศน์ ลงมายังถนนตะนาวจนถึงสี่แยกคอกวัว ซึ่งรถไม่สามารถวิ่งผ่านไปมาได้ แต่บริเวณรอบนอก อย่างเช่นถนนราชดำเนิน ถนนพระสุเมรุ การจราจรจะติดขัด จากผู้คนที่สัญจรไปมาและข้ามถนน

กองบัญชาการตำรวจนครบาล ไม่อนุญาตให้รถบรรทุกคนและน้ำ เข้ามาในบริเวณถนนราชดำเนินกลางลงมา ถึงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ทำการจับปรับอย่างเข้มงวด ตามกฎหมายจราจร

สำหรับรถประจำทางจากฝั่งธนบุรี - สะพานพระปิ่นเกล้า บางสายจะหมดระยะแค่ห้างสรรพสินค้าพาต้าปิ่นเกล้า เนื่องจากการจราจรติดขัด หากต้องการเข้าสู่ถนนราชดำเนิน สามารถต่อรถมินิบัสสาย 42 68 80 และ 203 ไปลงสนามหลวงได้

? ต่อรถไปสนุกต่อที่สีลม

หากใครต้องการจะนั่งรถเมล์ไปเล่นต่อที่สีลม มีหลากหลายตัวเลือก เช่น นั่งรถสาย 2 (สำโรง-ปากคลองตลาด) ไปลงบิ๊กซีราชดำริ แล้วต่อสาย 505 หรือ 514 ไปลงสวนลุมพีนี โดยระหว่างที่ต่อรถ สามารถเข้าห้างบิ๊กซีเพื่อจัดการธุระ เช่น กดเงินจากตู้เอทีเอ็ม หรือเข้าห้องน้ำได้ สะดวกกว่าไปตายเอาดาบหน้าที่สีลม ลำบากกันเห็นๆ

สำหรับคนที่จะนั่งรถต่อเดียวถึง แนะนำรถประจำทางสาย 47 (ท่าเรือคลองเตย-กรมที่ดิน) และ 507 (ปากน้ำ-สายใต้ใหม่) ลงรถที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โดยสาย 507 ขึ้นรถได้ที่ป้ายรถเมล์บริเวณท้องสนามหลวง ฝั่งตรงข้ามประตูหอประชุมใหญ่ ม.ธรรมศาสตร์ (แต่บางทีรถอาจจะติดไฟแดงเลี้ยวขวาไปทางศาลหลักเมือง แทนที่จะวนซ้ายลอดใต้สะพานพระปิ่นเกล้า)

รถสาย 2 และ 47 ถ้าจะให้ชัวร์ ขึ้นที่ป้ายรถเมล์สนามหลวง ฝั่งตรงข้ามศาลฎีกา เยื้องศาลหลักเมือง (จากกลางสนามหลวงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้) เพราะส่วนใหญ่เมื่อรับคนจากป้ายนี้รถจะตีเข้าเลนขวา เพื้อเลี้ยวขวาเข้าถนนราชดำเนินกลาง บริเวณกองสลาก และบางทีป้ายรถเมล์กองสลากเผลอๆ จะไม่จอดป้ายอีกต่างหาก

? ?สีลม? สุดเหวี่ยงแบบเร้าใจ

บรรยากาศโดยรอบถนนสีลม จะมีการเล่นน้ำสงกรานต์กันอย่างคึกคัก ที่นี่ให้ความเป็นอิสระกว่าถนนข้าวสาร สามารถเล่นแป้ง รวมถึงรถยนต์บรรทุกน้ำสามารถเข้าถนนสีลมได้เป็นบางเวลา ซึ่งบางทีจะมีทั้งรถส่วนตัว รถประจำทาง รถบรรทุกคนเล่นน้ำ รวมทั้งรถบรรทุกมือกลอง พร้อมบรรเลงเพลงด้วยจังหวะเสียงกลองที่ดัง เป็นที่ชื่นชอบของวัยรุ่น

คนเล่นสงกรานต์ที่สีลมจะไม่แตกต่างจากที่ข้าวสารมากนัก เพราะผู้คนต่างวนเวียนอยู่กับสองแห่งนี้ต่างวาระ แต่คนเล่นที่สีลมจะมีความกล้ามากกว่า เพราะย่านนั้นได้ชื่อว่าเป็นสถานบันเทิงของรสนิยมทางเพศที่แตกต่าง สีลมซอย 4 คือสถานที่ได้ชื่อว่า หากใครอยากเห็นของแปลกต้องมาที่นี่ ผู้คนจะเบียดเสียดเล่นน้ำกับหนุ่มอะโกโก้กันเป็นที่สนุกสนาน

บริเวณถนนสีลม จะมีการเล่นสงกรานต์ตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง ผ่านอาคารซิลลิค สีลมคอมเพล็กซ์ อาคารลิเบอร์ตี้สแควร์ อาคารซีพีทาวเวอร์ อาคารยูไนเต็ดทาวเวอร์ ยาวไปจนถึงแยกถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งตามซอยของถนนสีลม เช่น ถนนธนิยะก็จะมีการเล่นสงกรานต์ไปจนถึงถนนสุรวงศ์เช่นกัน

? อาหารและเครื่องดื่ม

หากใครเกิดอาการหิว อาหารการกินของทั้งสองแห่งที่ไม่แตกต่างกันเลย นั่นก็คือ ข้าวไข่เจียว ที่มีพ่อค้าแม่ขายเจียวกันสดๆ หรือบางแห่งเจียวแล้วใส่ในกล่องก็มี สนนราคาที่จานละ 15-20 บาท แต่หากจะทานต้องดูร้านที่ปรุงอย่างสะอาดที่สุด (แม้บรรยากาศที่ออกจะเละเทะไปด้วยน้ำก็ตาม)

แต่ที่น่าสังเกตก็คือ เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ วัยรุ่นนิยมบริโภคกันมาก ด้วยความเชื่อที่ว่าความเมาทำให้ร่างกายดูผ่อนคลายและครื้นเครง เบียร์ที่สถานบันเทิง และคนขายผ่านตู้แช่นำมาขายในราคาตั้งแต่ 3 กระป๋อง 100 บาท หรือขายเป็นขวดก็มี ซึ่งบางร้านได้แถมของพรีเมี่ยมเป็นซองใส่โทรศัพท์กันน้ำ

แต่สำหรับบางคน ?เซเว่นอีเลฟเว่น? ดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ถูกที่สุด เพราะบางคนขยันซื้อหลายขวดหลายกระป๋อง ด้วยเหตุผลที่ว่าถูกกว่ากันเยอะ โดยเฉพาะแบบขวดเช่นเบียร์ช้างหรือลีโอ แต่ทางร้านจะขายกันในเวลาห้าโมงเย็นเป็นต้นไป ตามกฎระเบียบในการควบคุมการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ หากใครซื้อนอกเวลาดังกล่าว ทางร้านมักจะอ้างว่าบาร์โค้ตสแกนไม่ได้

แนะนำแผงลอย ?ไก่ทอด? โคตรอร่อย

บริเวณหน้าธนาคารกสิกรไทย สาขาย่อยสีลมซอย 3 ก่อนถึงอาคารสีลมคอมเพล็กซ์ จะมีแผงลอยขายอาหารแห่งหนึ่ง ที่นั่นจะมีข้าวไข่เจียวออกมาขาย จานละ 15 บาท ซึ่งด้านข้างจะเป็นร้านขายอหาราทอด จำพวกทอดมัน ไข่นกกระทาห่อเกี้ยวทอด

แต่ที่แนะนำให้ชิมก็คือ ?ไก่ทอด? ที่แตกต่างจากไก่ทอดธรรมดา ที่รสชาติจะออกเค็มๆ เพราะรสชาติเหมือนไก่ทอดฟาสฟู้ด ทานกับข้าวเหนียวอร่อยมาก สนนราคาส่วนปีกเล็ก 10 บาท น่องวิงซ์ชิ้นละ 5 บาท ข้าวเหนียวห่อละ 5 บาท อร่อยจนต้องซื้อมากินต่ออีกยก

? ใช้ ?ซองใส่โทรศัพท์มือถือ? ปลอดภัยกว่า

การเล่นสงกรานต์ในปีนี้ แม้จะมีคนคล้องซองกันน้ำอยู่จำนวนมาก แต่ก็ยังพบว่าซองดังกล่าวยังหาซื้อยาก แม้จะมีผู้ที่นำมาขายมากขึ้นก็ตาม บางคนได้ฟรีจากการสมนาคุณ ซึ่งก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของคนที่มาเล่นน้ำเป็นแสนคน

อยากจะขอแนะนำว่า ?ซองใส่มือถือกันน้ำ? พบเห็นที่ไหนก็ซื้อไปเถอะ จะถูกจะแพงขอให้มีโอกาสซื้อได้ก็พอ เพราะมันจะมีประโยชน์ไปจนถึงหน้าฝน เป็นอีกตัวเลือกที่คุณจะสามารถพกพามันไปไหนมาไหนได้ มีแผงขายแป้งดินสอพองแห่ง หนึ่งย่านสวนหย่อมทางเลี้ยวจากสะพานพระปิ่นเกล้า ไปทางราชดำเนิน ขายในราคา 55 บาท

ที่ไม่แนะนำให้ใช้วิธีแบบบ้านๆ เฉกเช่นนำมือถือหรือของมีค่าใส่ใน ?ซองยาพลาสติก? แล้วใส่กระเป๋ากางเกง เพราะระหว่างที่คุณกำลังเบียดเสียด โดยเฉพาะที่สีลม จะมีมือดีพยายามล้วงกระเป๋าโดยที่คุณไม่รู้ตัว สุดท้ายเมื่อคุณจะหยิบของจากกระเป๋ากางเกง โอกาสที่จะหายมีเยอะมาก

วันที่ผู้เขียนไปเซอร์เวย์ บัตรประชาชน บัตรเอทีเอ็ม (วีซ่าเดบิต) บัตรทอง 30 บาท (ที่รัฐมนตรีท่านหนึ่งแนะนำให้พกบัตรนี้ไปด้วย) ซึ่งใส่ในซองยา อันตรธานหายไปจากกระเป๋ากางเกง หลังจากที่เบียดเสียดเล่นน้ำที่สีลม แล้วรู้ตัวตอนนั่งพักบนบันไดหน้าตึกซีพีทาวเวอร์ โชคดีที่สตางค์บางส่วนไม่หาย เพราะอยู่ที่เดียวกับซองใส่มือถือกันน้ำ แต่พะวงเงินที่อยู่ในบัตรนั้นไม่น้อยเหมือนกัน

หากเป็นเช่นนี้ ขอให้คุณตั้งสติให้ดี แล้วหาตู้โทรศัพท์โทร.ไปที่ธนาคาร (ควรจำเบอร์โทร.สำหรับอายัดบัตรของคุณให้แม่น) เพื่อทำการอายัดบัตรโดยด่วน ซึ่งหากอายัดหลังสี่ทุ่ม ธนาคารจะแจ้งว่าไม่สามารถเช็คยอดเงินคงเหลือได้ แต่จะเช็ครายการที่ทำล่าสุดจากเครื่องเอทีเอ็ม ว่ามีใครกดเงินของคุณไปแล้วบ้าง

หากใครต้องการแจ้งความของหายเป็นหลักฐาน หากท่านเล่นน้ำสงกรานต์ที่ข้าวสารหรือบางลำภูจะหาโรงพักง่าย เพราะ ส.น.ชนะสงคราม จะอยู่ปากทางถนนข้าวสาร แต่สำหรับถนนสีลม ต้องดูว่าคุณทำของหายตรงจุดไหน

หากเป็นสีลมซอยเลขคู่ ธนิยะพลาซ่า ซอย 2 - ซอย 4 โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน จะอยู่ในพื้นที่ สน.บางรัก ก็ไปแจ้งความที่โรงพัก บริเวณถนนนเรศ เหนือถนนสุรวงษ์ไปทางถนนสี่พระยา เดินเท้าจากถนนธนิยะ ไปตามถนนสุรวงษ์ เลยไฟแดงถนนนราธิวาสไปอีก 2 ไฟแดงแล้วเลี้ยวขวา

แต่หากเป็นสีลมซอยเลขคี่ มีคนบอกว่าอยู่ในพื้นที่ ส.น.ทุ่งมหาเมฆ ซึ่งจะอยู่บริเวณซอยสวนพลู อยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนนสาทรโน่นเลย แต่ไม่แน่ใจเหมือนกัน วานผู้รู้ช่วยบอกต่อ

ทางที่ดีอย่าใส่ของมีค่าในกระเป๋ากางเกงเลย ใส่ในซองมือถือกันน้ำแขวนคอดีที่สุด อ้อ! เวลาแขวนคอควรเอาซองมือถือกันน้ำสอดไว้ในเสื้อแนบลำตัว แล้วพยายามปรับความยาวของสายคล้องให้อยู่เหนือหน้าท้องให้มากที่สุด เพราะเวลาเบียดเสียดคงไม่มีใครล้วงเข้าไปในซอง นอกจากจะกระชากหายไปซึ่งก็คงยากอยู่ดี

สำหรับบัตรที่เข้าใกล้มือถือไม่ได้ ควรใส่ในซองใส่บัตรแล้วใส่ในซองยาต่างหาก หรือหากระดาษแข็งสอดปิดไว้ตรงแถบแม่เหล็ก เพื่อไม่ให้มันสัมผัสกับคลื่นวิทยุมือถือ

? ตกลงกับแท็กซี่

สำหรับบ้านใครรถเมล์หมด จำเป็นต้องนั่งรถแท็กซี่ โชเฟอร์รายหนึ่งจากวินหมอชิต 2 เคยบอกเล่าให้ฟังก่อนหน้าวันสงกรานต์ว่า หากแท็กซี่จะรับผู้โดยสารในสภาพเปียกโชก ต้องตกลงกันก่อนว่าจะจ่ายเพิ่มเติมจากมิเตอร์ที่จ่าย อาจจะเป็นค่าล้างเบาะสัก 20 บาท เพราะแท็กซี่ต้องรับผิดชอบหลังจากที่คุณลงจากรถ ซึ่งต้องทำการล้างรถและเบาะก่อนส่งรถให้คิวในรอบต่อไป

โดยส่วนมากในช่วงสงกรานต์ แท็กซี่จะรับผู้โดยสารที่อยู่ในระยะไม่ไกล แต่ใครที่อยู่ไกลแท็กซี่มักจะปฏิเสธรับผู้โดยสาร เพราะช่วงนี้หลายคนต้องตีรถเปล่ากลับมา คงหาลูกค้ายาก เพราะส่วนมากเดินทางกลับบ้านกันหมด ทางที่ดี แนะนำให้นั่งเฉยๆ เพื่อให้ตัวคุณแห้งในระดับที่พอนั่งเบาะแล้วแค่ชื้นๆ จะดีกว่า

? นาทีทองโชเฟอร์แท็กซี่

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ของสถานีขนส่งหมอชิต 2 ได้กล่าวกับวิทยุจราจรคลื่นหนึ่งว่า ในช่วงคืนวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมา มีประชาชนส่วนหนึ่งทยอยเดินกลับกรุงเทพฯ กันแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่ากลัวการตกรถหากเดินทางกลับพร้อมกันในวันที่ 15-16 เมษายน รวมทั้งจะใช้ช่วงเวลาที่เหลือในการเที่ยวสงกรานต์ในกรุงเทพฯ อีกด้วย

เหตุการณ์เช่นนี้คาดเดาได้ว่า ในยามค่ำคืนอาจจะมีคนทยอยเดินทางกลับกรุงเทพฯ จนกระทั่งสิ้นสุดวันสงกรานต์ เพราะฉะนั้นน่าจะเป็นโอกาสดีที่โชเฟอร์แท็กซี่จะได้มีโอกาสรับผู้โดยสารเพื่อหารายได้อีกทางในช่วงวันหยุดยาว แต่ราคาในระยะทางที่ไกล เช่นปากน้ำ มหาชัย น่าจะต้องเหมาแพงกว่าเพราะต้องตีรถเปล่ากลับ



2496
พี่น้องชาวบางพระมีวิธีดูแลตนเองยังงัยบ้างเวลาไปเล่นน้ำสงกรานต์เพื่อให้ปลอดภัยแก่ตนเองและทรัพย์สิน :069: :059:


2497
กิจกรรมวันสงกรานต์
วันจ่ายสงกรานต์
ในวันจ่ายสงกรานต์ นอกจากเตรียมเครื่องเสื้อผ้าใหม่ๆ ไว้แต่ง เขายังทำขนมกวน สำหรับทำบุญถวายพระ และแจกชาวบ้าน ขนมนั้นโดยมากเป็นขนมเปียกข้าวเหนียวแดง และขนมกะละแมเป็นพื้น การแจกนอกจากจะเป็นเครื่องแสดงไมตรียังเป็นเรื่องอวดฝีมือด้วยว่าใครกวนขนมได้ดีกว่ากัน

การทำขนมในวันนี้นั้น ถ้าบ้านไหนเจ้าบ้านเป็นผู้มั่งคั่งก็ต้องกวน ขนมอย่างนั้นกันเป็นจำนวนมาก จึงจะพอแจกจ่ายให้สมกับฐานะที่เขากวนในวันสงกรานต์ เพื่อแจกแก่ชาวบ้านเพื่อนบ้าน ก็เพราะ สมัยนั้นหาซื้อได้ยาก จึงต้องทำช่วยตัวเองคนแต่ก่อนไม่มีขนมมาขาย อยากกินก็ต้องทำกินเอง เหตุนี้ในวันสงกรานต์หรือว่าในงานอะไร จึงต้องกวนขนมกันเป็นงานใหญ่ สำหรับเลี้ยงพระ และแจกแก่ผู้ที่นับถือและเพื่อนบ้าน จึงได้มีการกวนขนมกันในเทศกาลสงกรานต์และตรุษสารท มีประเพณีสืบกันมาที่ชาวตะวันตกทำเค้กปีใหม่ไปให้กันหรือกำนัลใคร ที่เรานำแบบอย่าง ชาวตะวันตกมาเพราะสะดวก



 ทำบุญตักบาตร
สงกรานต์วันต้นหรือวันมหาสงกรานต์ ชาวบ้านลุกขึ้นแต่ไก่ขัน เพื่อเตรียม ไปตักบาตรถวายพระ พอหุงหาอาหารเสร็จ ก็จัดเตรียมอาหารและสิ่งของถวายพระ บรรจุลงภาชนะมีถ้วยโถโอชามอย่างดี แล้วแต่จะมี แล้วเอาวางเรียงลงในถาด หรือภาชนะอย่างอื่นๆ ที่นิยมในท้องถิ่น เพื่อนำไปทำบุญตักบาตรและเลี้ยงพระประจำหมู่บ้านของตนเรื่องการแต่งตัว จะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มใหม่ ซึ่งเตรียมหาไว้ ก่อนหน้าวันสงกรานต์หลายวัน โดยเฉพาะหญิงสาวจะได้แต่งตัวให้สวยพริ้ง เพื่อไปอวดตามวิสัยของคนหนุ่มคนสาวที่รักสวยรักงาม และหญิงสาวพวกนี้ และที่เป็นคนยกเครื่องไทยธรรมของทำบุญ หลังจากตักบาตรเสร็จแล้ว มีเลี้ยงพระฉันเช้าที่ศาลาการเปรียญ โดยมัคนายกเป็นผู้จัดการเรื่องปูเสื่อสาดอาสนะ พอพระฉันเสร็จ ยถาสัพพีอนุโมทนาแล้ว ชาวบ้านก็กลับบ้านกันไป



 ก่อพระเจดีย์ทราย
ไม่มีกำหนดแน่นอนว่าจะต้องก่อในวันสงกรานต์ ถึงวันอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกับ สงกรานต์ ก็มีก่อกัน และไม่จำเป็นต้องก่อที่ในวัดบางแห่งที่อยู่ใกล้แม่น้ำ ตอนเหนือๆ ก่อพระเจดีย์ทรายที่หาดทรายในแม่น้ำก็มี เช่น จังหวัดกำแพงเพชร ในวันก่อ เขามีทำบุญเลี้ยงพระที่หาดทรายด้วย เรียกกันว่า ก่อพระทรายนำไหล เสร็จแล้วก็มีเลี้ยงพระและเลี้ยงดูกันส่วนทางภาคอีสาน บางแห่งเขาทำบุญสงกรานต์เป็นสองระยะ ระยะแรกทำบุญตักบาตรกลางลานในวันตรุษ ระยะหลังทำบุญตักบาตรที่ลานบ้านในวันสงกรานต์

ทางอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี มีการทำบุญตักบาตรกลางบ้านเหมือนกัน คือเลี้ยงพระกันที่สองข้างถนน จึงเห็นได้ว่าการตักบาตรจะทำกันที่ไหนก็ได้ แล้วแต่สะดวกและนัดกัน ทางจังหวัดนครศรีธรรมราช มีการก่อพระเจดีย์ทราย เป็นสองตอน ตอนที่หนึ่งก่อที่ลานวัดในวันตรุษ และอีกตอนหนึ่งก่อที่ลานบ้านในวันมหาสงกรานต์ การก่อพระเจดีย์ทรายที่กลางลานบ้านเขาก่อแต่องค์เดียวเป็นส่วนรวม จะขนาดเล็กขนาดใหญ่ก็แล้วแต่กำลังที่จะไปหาบขนเอาทรายมาได้มากน้อยเท่าไหร่สำหรับก่อ

ทรายที่จะนำมาก่อนั้นเอามาจากลำห้วยลำธารหรือตามหาดทรายในแม่น้ำ แล้วแต่จะสะดวก การขนทรายก็ไม่ต้องจ้างใครที่ไหน พวกหนุ่มๆ สาวๆ และเด็กๆ นั่นแหละเป็นผู้โกยไปขนใส่กระบุงหาบคอนกันมาเวลาเย็น



 ปล่อยนกปล่อยปลา
เรื่องปล่อยนกปล่อยปลานั้น ที่ทำกันมากคือปล่อยปลา เพราะในกรุงเทพฯ ถ้ามีเงินก็หาซื้อเอาไปปล่อยได้สะดวก ปลาที่ปล่อยโดยมากเป็นปลาชนิดที่เขาไม่กินกัน เพราะเป็นลูกปลาตัวเล็กๆ จับเอามามากๆ ได้สะดวกเพราะ มันตกคลักจับเอามาได้ก็รวมเอามาขายส่ง โดยมากเป็นลูกปลาหมอ เพราะมันอดทน ไม่ตายง่ายเหมือนปลาชนิดอื่น

การแห่ปลา พวกผู้ชายจะไม่แห่ปลาในตำบลของตน แต่มีประเพณีว่า ชายตำบลนี้ต้องเข้าร่วมแห่ปลาตำบลโน้นเพื่อเชื่อมสามัคคีกัน

เรื่องปล่อยนกปล่อยปลา ที่มักทำกันในวันสงกรานต์ เพราะก่อนหน้าวันสงกรานต์เป็นหน้าแล้งอากาศร้อนจัดน้ำแห้งขอดขาดตอนเป็นห้วงๆ คงเหลือแต่ที่มีแอ่งและหนองน้ำ ปลาก็ตกคลัก อีกไม่ช้าพอน้ำแห้งหมด ปลาเหล่านั้นก็จะต้องตาย ชาวบ้านจึงพากันไปจับปลาที่ตกคลัก ถ้าเป็นลูกปลาจะกินไม่ได้เนื้อได้หนังอะไรก็เลี้ยงไว้ในตุ่มเอาบุญ แล้วนำไปปล่อยในวันสงกรานต์ จึงเกิดเป็นประเพณีปล่อยปลา และลามมาถึงปล่อยนกด้วย

 บังสุกุลอิฐ
นอกจากปล่อยนกปล่อยปลาในวันสงกรานต์แล้ว ยังมีประเพณีบังสุกุลอัฐญาติ ผู้ใหญ่ การบังสุกุลนั้นทำแต่ครั้งเดียวจะทำในวันสงกรานต์วันไหนแล้วแต่จะสมัครใจและนัดหมายกัน โดยมากทำในวันสรงน้ำพระ หรือไม่ก็ทำกันใน วันท้ายวันสงกรานต์ ถ้าจะทำกันในวันแรกของสงกรานต์ เมื่อพระฉันเพลแล้ว ให้เสร็จธุระกันไปก็ได้ ตามประเพณีแต่ก่อนเขาไม่เอาอัฐิเข้าบ้าน ถ้าเป็นชาวบ้านมักฝังญาติผู้ใหญ่ไว้ใต้โคนต้นโพในวัด ฝังไส้ตรงเหลี่ยมไหนรากไหนของต้นโพเขาจำเอาไว้ และนิมนต์พระไปบังสุกุลที่ตรงนั้น

เรื่องบังสุกุลอัฐิในวันสงกรานต์ ถ้าว่าถึงประเพณีชาวฮินดูก็ไม่มี เพราะเมื่อเขาเผาศพแล้ว ตามปกติก็ทิ้งอัฐิ
และเถ้าถ่านลงในแม่น้ำ โดยเฉพะแม่น้ำคงคา เพราะฉะนั้นเรื่องบังสุกุลอัฐิก็คงเป็นประเพณีเดิมของเรา
ไม่ใช่ได้มาจากอินเดีย ในท้องถิ่นเราบางแห่ง เมื่อถึงวันสงกรานต์ เขามีพิธีบวงสรวงผีปู่ย่าตายาย ประจำหมู่บ้าน ซึ่งทางภาคอีสานเรียกว่า ผีปู่ตา และภาคพายัพเรียกว่า ผีปู่ย่า ภาคปักษ์ใต้เรียกว่า ผีตายาย และผีประจำเมืองคือผีหลักเมือง และ ผีเสื้อเมืองด้วย

ทางภาคกลางมีประเพณีอันเนื่องด้วยสงกรานต์อีกอย่างหนึ่งคือ ห้ามตักน้ำตำ ข้าวเก็บผักหักฟืน อันเป็นงานประจำวันครัวเรือนและเป็นงานอยู่ในหน้าที่ของผู้หญิง จะต้องเตรียมหาสำรองเอาไว้ให้พร้อม
ก่อนถึงวันสงกรานต์ จะได้ไม่กังวล



 สรงน้ำ รดน้ำ และสาดน้ำ
การสรงน้ำพระพุทธรูป มีดอกไม้ ธูปเทียน ไปบูชา แล้วเอาน้ำอบไปประพรมที่องค์พระ ทำเป็นสังเขปพอเป็นพิธีว่าได้แสดงความเคารพบูชาและสรงน้ำท่านในวันขึ้นปีใหม่แล้ว เมื่ออัญเชิญพระพุทธรูปมา ก็มีการแห่แหนกันอย่างสนุกสนาน สรงน้ำพระพุทธรูปแล้วก็มีการสรงน้ำพระสงฆ์ โดยมากมักเป็นสมภารเจ้าวัดเป็นการสรงน้ำจริงๆ สรงเสร็จครองไตรจีวรใหม่ที่อุบาสกอุบาสิกานำมาถวาย ท่านก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์อำนวยพรปีใหม่ให้แก่ผู้ที่ไปสรงน้ำ นอกจากนี้ยังมีการ รดน้ำญาติผู้ใหญ่ หรือผู้ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ เพื่อขอศีลขอพรตามประเพณี

สรงน้ำพระเสร็จแล้ว ก็ชวนกันเล่นสนุก สาดน้ำ และเลี้ยงกันที่ลานวัด ของที่เลี้ยงมีขนมปลากริมไข่เต่า และลูกแมงลักน้ำกะทิ ซึ่งชาวบ้านเรี่ยไรออกเงิน และจัดทำเอามาเลี้ยงกันด้วยความสามัคคี

เหตุที่มีการสรงน้ำ รดน้ำ และสาดน้ำในวันสงกรานต์ เนื่องมาจากความเชื่อ ที่ว่าการสาดน้ำ จะช่วยให้ฝนฟ้าตกบริบูรณ์ประการหนึ่ง น้ำเป็นเครื่องหมายแห่งความอุดมสมบูรณ์ เมื่อมีน้ำการเพาะปลูก ทำไร่ไถนาก็ได้ผล ประการหนึ่ง และถือกันว่าน้ำเป็นเครื่องชำระมลทินให้สะอาดอีกประการหนึ่ง เหตุนี้น้ำจึงเป็นสิ่งที่ใช้ในพิธีต่างๆ อาบน้ำ ซัดน้ำ หรือรดน้ำ เมื่อทำพิธีสมรส อาบน้ำเมื่อตาย อาบน้ำเมื่อโกนจุก หรือบวชนาค ฯลฯ



 รดน้ำดำหัว
เครื่องดำหัวของภาคพายัพ ที่เขานำไปรดน้ำผู้ใหญ่ในวันพญาวัน นอกจากดอกไม้ธูปเทียนและผ้าใหม่สำหรับผลัด เขายังมีหมากพลูไปด้วย เพราะหมากพลูเป็นเครื่องแสดงความเคารพนับถือ และเป็นเครื่องแสดงไมตรีจิตด้วยอีกโสดหนึ่งและยังมีน้ำส้มป่อยและน้ำอบ

น้ำส้มป่อยเป็นของใช้แทนสบู่ที่เมื่อก่อนยังไม่มีสิ่งนี้ สำหรับสระผมและชำระร่างกาย ผู้ใหญ่เมื่อรับเครื่องดำหัวแล้ว ก็เอาน้ำส้มป่อยและน้ำอบประพรมบนศีรษะพอเป็นกิริยา ว่าได้ดำน้ำสระหัวแล้ว ต่อจากนั้นก็ให้ศีลให้พร กันตามประเพณี

อนึ่งในวันนี้บางคนยังนำเสื้อผ้าของเขาสำรับหนึ่ง ต่างคนเอาบรรจุลงขันของตน พร้อมด้วยเครื่องบริขาร มีกล้วย มีอ้อย มีใบขนุน มีใบแก้วเป็นต้น นำไปตั้งที่ลานวัดภายในมณฑลวงด้ายสายสิญจน์ แล้วพระสงฆ์ จะประพรมเสื้อผ้าเหล่านั้นด้วยน้ำมนต์ เพื่อความบริสุทธิ์ของเสื้อผ้าเพื่อใช้ในปีใหม่ เสร็จแล้วนำกลับมาเก็บไว้อย่างนั้นหลายๆ วัน

2498
นางสงกรานต์
นางสงกรานต ์ เป็นคติความเชื่ออยู่ในตำนานสงกรานต์ อันเป็นเรื่องเล่าถึงความเป็นมาของประเพณีดังกล่าว เป็นอุบายเพื่อให้คนโบราณได้รู้ว่าวันมหาสงกรานต์ คือ วันที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ ซึ่งสมัยนั้นถือเป็นการเถลิงศกใหม่ หรือวันขึ้นปีใหม่ตามสุริยคติตรงกับวันใด โดยสมมุติผ่านนางสงกรานต์ทั้งเจ็ดเทียบกับแต่ละวันในสัปดาห์ ปีไหนตรงกับวันใด นางสงกรานต์ที่มีชื่อสมมุติเข้ากับวันนั้นๆก็จะเป็นผู้อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมออกแห่ไปสรงน้ำ ซึ่งนางสงกรานต์ทั้งเจ็ดนี้ เป็นเทพธิดาลูกสาวท้าวกบิลพรหม และเป็นบาทบริจาริกาของพระอินทร์ จากตำนานเล่าถึงท้าวกบิลพรหมแพ้พนันธรรมบาลกุมาร ต้องตัดเศียรออกบูชาธรรมบาลกุมารตามสัญญา แต่เนื่องจากพระเศียรของพระองค์ตกไปอยู่ที่ใด ก็จะเป็นอันตรายต่อที่นั้นไม่ว่าจะเป็นบนอากาศ บนดินหรือในน้ำ ดังนั้น ธิดาทั้งเจ็ดจึงต้องนำพานมารองรับ และนำไปประดิษฐานไว้ในถ้ำคันธชุลี ณ เขาไกรลาส ครั้นถึงกำหนด ๓๖๕ วัน ซึ่งโลกสมมุติว่าเป็นปีหนึ่งเวียนมาถึงวันมหาสงกรานต์ เทพธิดาทั้งเจ็ดก็จะทรงพาหนะต่างๆผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรของบิดาออกแห่ โดยที่เทพธิดาทั้งเจ็ดนี้ปรากฏในวันมหาสงกรานต์เป็นประจำ จึงได้ชื่อว่า ?นางสงกรานต์? ส่วนท้าวกบิลพรหมนั้น โดยนัยก็คือ พระอาทิตย์ นั่นเอง เพราะกบิล หมายถึง สีแดง นอกจากตำนานข้างต้น ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับนางสงกรานต์ที่จะขอนำมาเล่าให้ฟังเพิ่มเติมดังนี้



 นางสงกรานต์ของแต่ละวัน จะมีนาม อาหาร อาวุธ และสัตว์ที่เป็นพาหนะ ต่างๆ กันดังต่อไปนี้

วันอาทิตย์ ชื่อ ทุงษ
ทัดดอกทับทิม เครื่องประดับปัทมราค ภักษาหารผลมะเดื่อ อาวุธขวาจักร ซ้ายสังข์ พาหนะครุฑ

วันจันทร์ ชื่อ โคราค
ทัดดอกปีบ เครื่องประดับมุกดา ภักษาหารน้ำมัน อาวุธขวาพระขรรค์ ซ้ายไม้เท้า พาหนะเสือ

วันอังคาร ชื่อ รากษส
ทัดดอกบัวหลวง เครื่องประดับโมรา ภักษาหารโลหิต อาวุธขวา ตรีศูล ซ้ายธนู พาหนะสุกร

วันพุธ ชื่อ มัณฑา
ทัดดอกจำปา เครื่องประดับไพฑูรย์ ภักษาหารนมเนย อาวุธขวาเข็ม ซ้ายไม้เท้า พาหนะลา

วันพฤหัสบดี ชื่อ กิริณี
ทัดดอกมณฑา เครื่องประดับมรกต ภักษาหารถั่วงา อาวุธขวาขอ ซ้ายปืน พาหนะช้าง

วันศุกร์ ชื่อ กิมิทา
ทัดดอกจงกลนี เครื่องประดับบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำว้า อาวุธขวาพระขรรค์ ซ้ายพิณ พาหนะกระบือ

วันเสาร์ ชื่อ มโหทร
ทัดดอกสามหาว เครื่องประดับนิลรัตน์ ภักษาหารเนื้อทราย อาวุธขวาจักร ซ้ายตรีศูล พาหนะนกยูง



2499


ประเพณีสงกรานต์
ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย ซึ่งยึดถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมาแต่โบราณ และเป็นวัฒนธรรมประจำชาติที่งดงาม ฝังลึกอยู่ในชีวิตของคนคำว่า ?สงกรานต์? มาจากภาษาสันสฤต แปลว่า ผ่านหรือเคลื่อนย้าย หมายถึง การเคลื่อนไทยมาช้านาน

การย้ายของพระอาทิตย์เข้าไปจักรราศีใดราศีหนึ่ง จะเป็นราศีใดก็ได้ แต่ความหมายที่คนไทยทั่วไปใช้ หมายเฉพาะวันและเวลา ที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษในเดือนเมษายนเท่านั้น

 ตำนานเกี่ยวกับกำเนิดวันสงกรานต์
กล่าวไว้ว่า ก่อนพุทธกาลมีเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง อายุเลยวัยกลางคนก็ยังไร้ทายาทสืบสกุล ซึ่งทำให้ท่านเศรษฐีทุกข์ใจเป็นอันมาก ข้างรั้วบ้านเศรษฐีมีครอบครัวหนึ่ง หัวหน้าครอบครัวเป็นนักเลงสุรา ถ้าวันไหนร่ำสุราสุดขีด ก็จะพูดเสียงดังแสดงวาจาเยาะเย้ยเศรษฐี สบประมาทในความมีทรัพย์มาก
แต่ไร้ทายาทสืบสมบัติเสมอ วันหนึ่งเศรษฐีจึงถามว่ามีความขุ่นเคืองอะไร จึงแสดงอาการเยาะเย้ยและสบประมาท เฒ่านักดื่มจึงตอบ ถึงท่านมั่งมีสมบัติมากก็จริง แต่เป็นคนมีบาปกรรม ท่านจึงไม่มีบุตร ตายไปแล้วสมบัติก็ตกเป็นของผู้อื่นหมด สู้เราไม่ได้ถึงแม้จะยากจน แต่ก็มีบุตรคอยดูแลรักษายามเจ็บไข้ และรักษาทรัพย์สมบัติเมื่อเราสิ้นใจ

นับแต่นั้นมา เศรษฐียิ่งมีความเสียใจ จึงพยายามไปบวงสรวงพระอาทิตย์และพระจันทร์ เพียรพยายามตั้งจิตอธิษฐานขอบุตร ทำเช่นนี้เป็นเวลาติดต่อกันถึงสามปี ก็ไม่ได้บุตรดังที่ตนปรารถนา จนวันหนึ่งเป็นวันนักขัตฤกษ์สงกรานต์ ท่านเศรษฐีก็พาข้าทาสบริวารของตนมาที่โคนต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ที่อยู่บนฝั่งแม่น้ำที่อาศัยของนกทั้งหลาย ท่านเศรษฐีให้บริวารล้างข้าวสารด้วยน้ำสะอาดถึง 7 ครั้ง แล้วจึงหุงข้าวสารนั้น เมื่อสุกแล้วยกขึ้นบูชาพระไทร เทพเหล่านั้นเกิดความสงสาร จึงขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์ ทูลขอบุตรแก่เศรษฐี พระอินทร์จึงบัญชาให้เทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ ?ธรรมบาล? ลงมาเกิดในครรภ์ของภรรยาเศรษฐี เมื่อครบกำหนดภรรยาเศรษฐีก็คลอดบุตรเป็นชาย เศรษฐีจึงตั้งชื่อว่า ธรรมบาลกุมาร เพื่อตอบสนองพระคุณเทพเทวา เศรษฐีจึงสร้างปราสาทสูง 7 ชั้น ถวายเทพต้นไทร
เมื่อธรรมบาลกุมารเจริญวัยขึ้น เป็นเด็กที่มีปัญญาเฉียบแหลม รอบรู้ และวัยเพียง 7 ขวบก็เรียนจบไตรเพท ยังมีเทพองค์หนึ่งชื่อ


?ท้าวกบิลพรหม? ได้ยินกิตติศัพท์ทางสติปัญญาอันยอดเยี่ยมของเด็กน้อย จึงคิดทดลองภูมิปัญญาโดยการเอาชีวิตเป็นเดิมพันจึงถามปัญหา 3 ข้อ ถ้ากุมารน้อยแก้ปัญหาทั้ง 3 ข้อได้ กบิลพรหมจะตัดศีรษะของตนบูชา ถ้าธรรมบาลแก้ไม่ได้ ก็จะต้องเสียหัวเพื่อยอมรับความพ่ายแพ้ ปัญหานั้นมีว่า

1. ตอนเช้าราศีคนอยู่แห่งใด
2. ตอนเที่ยงราศีของคนอยู่แห่งใด
3. ตอนค่ำราศีของคนอยู่แห่งใด

 

เ มื่อได้ฟังปัญหาแล้ว ธรรมบาลไม่อาจทราบคำตอบในทันทีได้ จึงผลัด วันตอบปัญหาไปอีก 7 วัน ครั้นเวลาล่วงจากนั้นไป 6 วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังคิดหาคำตอบปัญหานั้นไม่ได้ จึงหลบออกจากปราสาทหนีเข้าป่า และไปนอนพักเอาแรงใต้ต้นตาล ขณะนั้นบนต้นตาลมีนกอินทรีคู่หนึ่งอาศัยอยู่ นางนกถามสามีว่า ?พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารที่ไหน? นกสามีก็ตอบว่า ?พรุ่งนี้เราไม่ต้องบินไปไกล เพราะจะได้กินเนื้อธรรมบาลกุมาร ซึ่งจะถูกท้าวกบิลพรหมตัดหัว เนื่องจากแก้ปัญหาไม่ได้? นางนกถามว่า ?ปัญหานั้นว่าอย่างไร? นกสามีตอบว่า ปัญหามีอยู่ 3 ข้อ และหมายถึง

ข้อหนึ่ง ตอนเช้าราศีของมนุษย์อยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุกๆ เช้า
ข้อสอง ตอนเที่ยงราศีคนอยู่ที่อก มนุษย์จึงต้องเอาเครื่องหอมประพรมที่อก
ข้อสาม ตอนค่ำราศีคนอยู่ที่เท้า มนุษย์จึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน

 
ธรรมบาลกุมาร ได้ยินการไขปัญหาของนกอินทรี และจำจนขึ้นใจ ทั้งนี้เพราะธรรมบาลรู้ภาษานก จึงกลับสู่ปราสาทอันเป็นที่อยู่แห่งตน รุ่งขึ้นเป็นวันครบกำหนดแก้ปัญหา ท้าวกบิลพรหมมาฟังคำตอบ ธรรมบาลกุมารกล่าวแก้ปัญหาตามที่นกอินทรีคุยกันทุกประการ ท้าวกบิลพรหมจึงเรียก ธิดาทั้ง 7

ของตนอันเป็นบริจาริกาคือหญิงรับใช้ของพระอินทร์มาพร้อมกัน แล้วบอกว่าตนจะตัดเศียรบูชาธรร
มบาลกุมาร แต่ถ้าเอาศีรษะพ่อวางไว้บนแผ่นดินก็จะลุกไหม้ไปทั้งโลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ อากาศจะแห้งแล้งฟ้าฝนจะหายไปสิ้น ถ้าทิ้งลงไปในมหาสมุทร น้ำในมหาสมุทรจะแห้งแล้งไปเช่นกัน จึงสั่งให้ นางทั้ง 7 คน เอาพานมารองรับศีรษะ แล้วจึงตัดศรีษะส่งให้นางทุงษธิดาคนโต นางทุงษจึงเอาพานรับเศียรบิดาไว้แล้วแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที แล้วอัญเชิญไปไว้ในมณฑปถ้ำคันธุรลี เขาไกรลาส บูชาด้วยเครื่องทิพย์ พระเวสสุกรรมก็เนรมิตโรงประดับด้วยแก้ว 7 ประการ ชื่อภควดี ให้เป็นที่ประชุมเทวดา เทวดาทั้งปวงก็เอาเถาฉมูนวดลงมาล้างในสระอโนดาต 7 ครั้ง แล้วก็แจกกันเสวยทุกๆ องค์ ครั้นครบ 365 วัน โลกสมมุติว่าเป็นหนึ่งปีเป็นสงกรานต์ ธิดา 7 องค์ ของเท้ากบิลพรหมก็ผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรของพระบิดาออกแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุทุกปี แล้วจึงกลับไปเทวโลก

 

2500
บทความ บทกวี / ตอบ: บวชลูกแก้ว
« เมื่อ: 04 เม.ย. 2552, 01:19:47 »
ขอบคุณครับพี่

2501
บารมีครูบาอาจารย์คุ้มครองนะครับ

2502
ของผม
Han Sang Yoo

ฃอแนะนำชื่อจีนสักชื่อเผื่อมีคนนำไปใช้    เสี่ยวจิงๆๆ    :027:

2503
น้องยังไม่มีเลยพี่ถ้าพี่โจ้เมตตานะอิอิ

2504
บทความ บทกวี / ตอบ: รักเธอประเทศไทย
« เมื่อ: 03 เม.ย. 2552, 10:26:41 »
จริงๆๆดวยครับพี่เมฆ..เอ้า งั้นมาริโอเป็นตุ๊ดหรอครับพี่ :009:

2505
บทความ บทกวี / ตอบ: ทำนายอดีตชาติ
« เมื่อ: 03 เม.ย. 2552, 08:57:17 »
ของผมครับ
ชาติที่แล้ว คุณเป็น ผู้หญิง

สถานที่คุณเกิด : ประเทศไทย ภาคใต้
ประมาณปี พ.ศ. 1742

อาชีพเดิมของคุณคือ  :
สาวใช้ แม่บ้าน

บุคลิกภาพของคุณในอดีต  :
ขี้อ้อนสุด ๆ บ่อยครั้งที่คุณรู้ว่าทำไม่ถูกต้อง แต่ก็จะทำ เพราะคนรอบข้างมักจะใจอ่อนกับคุณเสมอ

บทเรียนในอดีตชาติของคุณ  :
เราเข้าใจเขาผิด เรายังรู้สึกเสียใจ
เขาเข้าใจเราผิด ถึงเขาไม่พูด เขาก็คงรู้สึกเสียใจบ้างเหมือนกัน

2506
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: ทหารผี
« เมื่อ: 03 เม.ย. 2552, 08:54:26 »
อ่านแล้วเพลิดเพลินดีครับขอบคุณมากๆเลยครับ

2508
บทความ บทกวี / ตอบ: ทำนายอดีตชาติ
« เมื่อ: 03 เม.ย. 2552, 05:45:39 »
เจ๋งดีครับพี่ปอขอบคุณครับ

2509
คิดถึงพี่โจ้คร๊าฟ.......แบ่งบ้างก้อได้นะครับ

2510
ขอให้พี่เอมีความสุขมากๆครับคิดสิ่งใดขอให้สมความปราถนานะครับ
ขอให้รวยๆๆๆนนะครับ พี่ชาย............
:052:

2512
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆนะคัรบ

2513
บทความ บทกวี / ตอบ: รักเธอประเทศไทย
« เมื่อ: 03 เม.ย. 2552, 01:06:16 »
 :090: :090:รักนะTHaiLand :090: :090:

2514
สองพระอาจารย์ครับ...แฮ่ๆๆๆ....หลวงลุงญากับหลวงพี่นันต์....มีหลวงพี่แป๊วอีกหนึ่งยันอ่ะครับ :009:

2515
มีกี่ภาคครับ......เหมือนหนังบ้านผีปอบเลยครับ...อิอิอิ...(แซวเล่นๆนะครับ)

2516
ถ้าความคิดของผมนะพระก้อเป็นประชาชนคนนึงเหมือนกันแต่...อยุ่ในเพศบรรชิตก้ออาจจะติดตามข่าวสารบ้านเมืองบ้างอ่ะครับ

2518
ขอบคุนมากนะครับ

2519
ไปไม่บอกเลยนะครับไปหาอาจารย์เอ

2520
ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ

2521
ต้องไปหาถูหาเลขเด็ดตามต้นไม้และ

2522
ตามที่พี่ๆเค้าตอบมาแหละครับสวดมนต์ไหว้พระขอขมาครูบาอาจาย์นะครับ

2523
ใต้ฐานหลวงพ่อเดิมมีรอยจารหรือป่าวครับไม่แน่อาจเป็นหลวงพ่อน้อยศิษย์หลวงพ่อเดิมสร้างก็ได้ครับ
ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรนะครับ :017:

2524
รอท่านผู้รู้นะครับกระผมตาไม่ถึงอ่ะครับ 36;

2525
ออกกรุวัดโคกเขมาแหละครับเห็นทีกุฎิใหย่ก้อเคยนำมาให้บูชาอยู่อ่ะครับ

2526
ขอบคุณคุนหมึกแดงครับ...เอ้ย ....คุนหนึ่ง :009:

2527
ครบทีมเลยนะครับ
หวัดดีพวกพี่ๆครับอนุโมทนาด้วยคนครับ

2528
โอ่....ขอบคุณพี่ปอคนสวยครับ :054:

2529
บทความ บทกวี / ตอบ: วิธีลืมคนรัก
« เมื่อ: 01 เม.ย. 2552, 11:41:47 »
ใช้เวลาเยียวยาทุกสิ่ง ชีวิตจะเศร้าไปไมเพื่อน เดะงานไร่ขิง จัดกับเพื่อนเอ็มเลย 55+ เฟี้ยวๆ อย่างเรา
แต่คนอย่างเราหาใครม่ายได้หรอกเอ็มพวกเรามันไม่หล่ออ่ะ :063:

2532
บทความ บทกวี / ตอบ: วิธีลืมคนรัก
« เมื่อ: 01 เม.ย. 2552, 08:59:58 »
ไม่มีใครให้ลืมอ่ะยังหาไม่ได้เลย :070:

2533
สักได้ครับบางคนได้ยันต์ครูมาจากที่อื่นก้อมาสักที่บางพระเยอะเหมือนกันครับ
ส่วนเรื่องลายยันต์อื่นๆที่ท่านถามมานะครับรอผู้รู้มาตอบนะครับ...ในบอร์ดเรามีคนเก่งๆเยอะเลยครับ

2534
ดีเลย ข้อมูลนี้ ไม่มีแบบ ความสำเร็จทางด้านความรักบ้างเหรอเพื่อน 55+
คำว่ารัก มัน กลายเป็นฝุ่นไปแล้ว ...อะไรที่หวังก็พังไปตั้งนานแล้ว เคยฟังเพลงนี้ปะ 55

วันที่ 6 เริ่มทำงานนะเพื่อน ต้น เอ็มคงไปแต่เช้า ถ้าจะมายังไง ก็มาเร็วๆ หน่อยละกัน ที่วัดไร่ขิงนะ โอเค
เดะถามเรื่องกรรมการ เลย ว่าจะเอาเพื่อนต้นเข้าอีกคนได้ป่าว แต่ถ้าเป็นต้องมาทุกปีนะ (หรือมาช่วยหลวงพ่อเอาบุญอย่างเดียวก็ได้)

ได้หวะเอ็มทามได้ทุกปีอยู่แล้วเพื่อหลวงพ่อตอบแทนบุญคุณหลวงพ่อ.....

2535
เจ๋งได้ใจมากๆๆ
ขอบคุณนะครับพี่เมฆ
:052:

2536
ขอบคุณพี่เมฆครับ

2537
มาชมเฉยๆครับรอผู้รู้ละกันนะครับ

2539
นิสัย 7 ประการสู่ความสำเร็จ

The 7 Habits of Highly Effective People

ประพันธ์โดย Steven Covey เป็นหนังสือที่

              ได้รับความนิยมอย่างมากต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 15 ปี และถูกจ าหน่ายไปแล้วกว่า 15 ล้านเล่มผู้แต่งได้กล่าวถึงนิสัย 7 ประการของผู้ที่ประสบความส าเร็จ แผนที่ในการด าเนินชีวิตเพื่อไปสู่

ความส าเร็จ และวิธีการยกระดับคุณภาพจิตใจ เป็นต้น มีใจความส าคัญ ดังต่อไปนี้ก่อนที่จะกล่าวถึงนิสัยทั้ง 7 ประการ ผู้แต่งได้ให้แง่คิดว่ามนุษย์มีสิ่งที่แตกต่างจากสัตว์เดรัจฉานอยู่ 3 อย่างคือ มีสามัญส านึกรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมีพลังจิตดังนั้น การเอาใจใส่และหมั่นฝึกฝนคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้จนกลายเป็นนิสัย จะทำให้ประสบความสำเร็จและมีความสุขอย่างแท้จริง นอกจากนั้น ผู้แต่งได้กล่าวว่า กรอบในการมองโลก(Paradigm) หรือนิสัยของคนเรานั้นส่วนใหญ่จะถูกปลูกฝังมาจากการสั่งสอนของคนรอบข้าง การใช้ชีวิตในสังคม และจากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง และด้วยความเคยชินท าให้คนเรานั้นไม่เคยฉุกคิดว่ามุมมองที่มีอยู่นั้นถูกต้องหรือเหมาะสมหรือไม่ จึงก่อให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งและไม่เข้าใจผู้อื่นอยู่ตลอดเวลาเพราะเอาความคิดของตนเองเป็นตัวตัดสิน ดังนั้น ผู้แต่งจึงแนะน าให้หยุดทบทวนแนวความคิดมุมมองและคติธรรมในใจที่เคยยึดถือตลอดมาว่า สิ่งเหล่านั้นถูกต้องแล้วจริงหรือ ให้พิจารณาตามความเป็นจริงสิ่งไหนคิดผิดให้คิดใหม่แก้ไขที่ต้นเหตุ เมื่อเข้าใจตนเองจึงจะเข้าใจผู้อื่นได้ นอกจากนั้นผู้แต่งยังเชื่อว่าผู้ที่จะประสบความส าเร็จได้นั้นส่วนหนึ่งเกิดจากการมีสมองข้างขวาที่ทรงประสิทธิภาพสามารถควบคุมการท างานของสมองด้านซ้ายได้ สมองข้างขวามีหน้าที่เตือนให้รู้จักผิดชอบชั่วดี การมีจินตนาการ และการมีอารมณ์และความรู้สึก ดังนั้น การฝึกใช้จินตนาการและมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาจึงเป็นการพัฒนาการท างานของสมองด้านขวาได้เป็นอย่างดี

กฎข้อที่ 1. นิสัยรู้และเลือก (Be Proactive)

           การรู้และเลือกคือการมีสติตามตัวอยู่ตลอดเวลา รู้ตัวว่าขณะนี้ตนเองก าลังท าอะไรอยู่ และผลที่เกิดจากการกระท านี้คืออะไร รู้ว่าขณะนี้ตัวเราก าลังอยู่ในสถานการณ์แบบใด สถานการณ์ปกติหรือมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น โดยสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรานั้น มีผลอะไรต่อตัวเราบ้าง และเรามีการตอบสนองต่อสิ่งที่ก าลังเผชิญอย่างไร ตอบสนองด้วยกิริยาใดด้วยอารมณ์แบบไหน ปกติแล้วมนุษย์มีอารมณ์หลักอยู่สามอารมณ์คือ สุข ทุกข์ และเฉย ๆ หากเรารู้เท่าทันอารมณ์เราจึงจะรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ เมื่อรู้แล้วเมื่อเห็นแล้วจึงจะเลือกท าในสิ่งที่ถูกต้องได้ คนเรามีสิทธิ์ที่จะก าหนดชีวิตของตนเองแต่ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่มักปล่อยให้ชีวิตด าเนินไปตามกระแสสังคม ถูกฉุดกระชากไปตามอารมณ์และการกระท าของผู้อื่นเช่นเมื่อได้รับค าชมก็ดีใจ ได้รับค าต าหนิก็เสียใจ หรือคนพูดไม่ได้ดั่งใจก็โกรธ เป็นต้น เราเอาพฤติกรรมของเราไปขึ้นกับการกระท าและความคิดของผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา สรุปแล้วชีวิตนี้เป็นของใครกันแน่ ดังนั้นหากเรารู้จักเลือก รู้จักหยุดคิดก่อนที่จะตอบสนอง เราจึงจะมีชีวิตที่เป็นของเราจริง ๆ และจะเลิกโทษผู้อื่น เลิกโทษโชคชะตาเทวดาฟ้าดิน และจะได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีวุฒิภาวะอย่างแท้จริง เมื่อนั้นจิตจึงจะนิ่งสงบไม่กระเพื่อมไปกับสิ่งภายนอกที่เข้ามากระทบ จิตจึงมีพลังสามารถท าการใหญ่ได้ การจะมีสติตามทันอารมณ์ได้นั้นจิตต้องมีความสงบหรือมีสมาธิในระดับหนึ่ง ซึ่งท าได้โดยการ การสวดมนต์ หรือทำสมาธิ เป็นต้น

กฎข้อที่ 2. สร้างเป้าหมายในชีวิตเป็นภาพจารึกไว้ในจิตใจ (Begin with the End in Mind)

                 การมีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ตอนนี้ อีก 5 ปี 10 ปี หรือในบั้นปลายชีวิตเราอยากจะมีชีวิตแบบใด เมื่อมีเป้าหมายเราจะรู้ว่าตอนนี้ควรท าสิ่งใด ตอนนี้ก าลังยืนอยู่ตรงจุดไหน จะต้องไปอีกไกลเท่าไร และไปด้วยวิธีใดบ้างจึงจะบรรลุเป้าหมาย จะท าให้การใช้ชีวิตในแต่ละวันมีคุณค่าและไม่น่าเบื่อเป้าหมายจะเป็นตัวก าหนดพฤติกรรมต่างๆ ของเรา เป้าหมายที่ดีจะต้องชัดและต้องสร้างเป็นภาพจารึกไว้ในจิตใจตลอดเวลาและการสร้างเป้าหมายต้องมาจากสิ่งที่เราชอบจริง ๆ ไม่ใช่ท าตามกระแสสังคมและที่ส าคัญเป้าหมายนั้นต้องพอที่จะเป็นไปได้ นอกจากนั้นเป้าหมายในที่นี้ผู้แต่งยังหมายถึงภาพพจน์ที่เราต้องการให้คนอื่นจดจ าเราได้นั้นเป็นแบบใด เช่นหากเราตายไปตอนนี้เราอยากให้ทุกคนจดจ าเราได้ในแบบใด เป็นต้น

กฎข้อที่ 3. ท าสิ่งที่ต้องท าก่อน (Put First Things First)

           การทำสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจ าวัน จะต้องเลือกท าในสิ่งที่น าพาเราไปสู่เป้าหมายก่อนเป็นอันดับแรก และทำอย่างต่อเนื่อง และต้องมีการประเมินตนเองอยู่ตลอดเวลาว่าขณะนี้เรากำลังอยู่ตรงจุดไหนอีกไกลเท่าไร และเรามาถูกทางหรือไม่ มีเส้นทางใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้นหรือเปล่า หรือเราก าลังเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไร้สาระ เป็นต้น ในการประเมินแต่ละครั้งจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง จะต้องซื่อสัตย์ ใช้สติ และไม่เข้าข้างตัวเอง นอกจากนั้นควรเลือกท าสิ่งที่ไม่เร่งด่วนแต่สำคัญในชีวิตก่อน คนส่วนใหญ่มักเลือกท าในสิ่งที่เร่งด่วนก่อนเสมอ โดยลืมนึกไปว่าสิ่งเหล่านั้นสอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิตหรือไม่ จงอย่าท าตามสิ่งที่สังคมก าหนด แต่ให้เลือกท าในสิ่งที่เรากำหนดเอง และผู้แต่งกล่าวเพิ่มเติมว่า การวางแผนท าสิ่งใดต้องวางแผนในระยะยาวอย่าวางแบบวันต่อวัน เพื่อจะได้งานเป็นกรอบเป็นก า และต้องหัดมอบหมายงานให้กับคนที่ไว้ใจได้ เพื่อที่เราจะได้มีเวลาไปทำสิ่งที่สำคัญและตรงตามเป้าหมายในชีวิตได้มากขึ้น

กฎข้อที่ 4. การรู้จักแบ่งผลปันประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นด้วย (Think Win/Win)

               ในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เช่น คนในครอบครัว เจ้านายลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน หรือลูกค้า เป็นต้นทุกฝ่ายจะได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน การไม่คิดถึงตัวเองแต่เพียงฝ่ายเดียวหรือเอาความคิดของตนเองเป็นที่ตั้ง นั่นคือการรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และควรหลีกเลี่ยงการกระท าที่ท าให้ผู้อื่นเดือดร้อนสิ่งเหล่านี้รู้ได้โดยการมองย้อนเข้าหาตัวเองว่าหากเป็นเราเจอแบบนี้จะรู้สึกอย่างไร และนอกจากการเข้าใจผู้อื่นแล้วผู้แต่งได้กล่าวถึงบุคลิกลักษณะที่น่าคบหาสมาคมและน่าเชื่อถือคือต้องปากกับใจตรงกัน รู้จักรักษาคำพูด มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่มั่นคง สงบนิ่ง ใจกว้าง และมองโลกในแง่ดี และที่ส าคัญในฐานะผู้บริหารหากต้องการให้คนในองค์กรได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน ควรจะจัดระบบขึ้นมารองรับเช่นคนที่ตั้งใจท างานก็ควรจะมีรางวัลหรือโบนัส เป็นต้น เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและทุกฝ่ายในองค์กรได้รับประโยชน์เท่ากันอย่างแท้จริง

กฎข้อที่ 5. การพยายามเข้าใจผู้อื่นมากกว่าให้ผู้อื่นมาเข้าใจเรา ( Seek First to Understand,Then to Be Understood)

                ส่วนใหญ่แล้วมนุษย์มักชอบพูดให้ผู้อื่นฟังมากกว่าฟังที่คนอื่นพูด ดังนั้น เมื่อไม่มีใครยอมฟังใครปัญหาจึงเกิดขึ้น การฟังอย่างตั้งใจและพยายามที่จะเข้าใจผู้อื่นแทนที่จะให้ผู้อื่นมาเข้าใจเรา อีกฝ่ายจะรับรู้ถึงความรู้สึกเห็นอกเห็นใจจากเรา และเกิดความผ่อนคลายลงในระดับหนึ่งและจะยอมรับฟังความคิดเห็นจากเราด้วยในที่สุด การเป็นผู้ฟังที่ดีและพยายามที่จะเข้าใจอีกฝ่าย เช่น ขณะนั้นเขารู้สึกอย่างไร และเขาพูดไปเพื่ออะไร เป็นต้น จะท าให้มองเห็นประเด็นของปัญหาได้อย่างชัดเจนและสามารถแก้ไขได้อย่างตรงจุด แต่ผู้แต่งได้ให้ข้อคิดไว้ว่า การฟังนั้นต้องฟังอย่างมีสติ อย่าฟังจนเคลิ้มและต้องมีจุดยืนในตัวเองด้วยผู้แต่งได้กล่าวเพิ่มเติมว่าการฟังด้วยความเห็นอกเห็นใจจะช่วยลดอคติที่มีต่ออีกฝ่ายได้และจะไม่เกิดการตัดสินคนจากคำพูดเพราะขณะนั้นจิตใจจะมีความเมตตาไม่ปรุงแต่งเป็นอารมณ์ นอกจากนั้นหากต้องการพูดแสดงความเห็นอกเห็นใจ ก่อนพูดควรถามความรู้สึกของตนเองก่อนว่าในเวลานี้ควรพูดหรือไม่ ควรพูดแค่ไหน และควรพูดอย่างไรจึงจะเป็นการแสดงความเห็นอกเห็นใจอีกฝ่ายอย่างแท้จริง

กฎข้อที่ 6. การสร้างทีมเวิร์ค (Synergize)

            การสร้างทีมเวิร์คให้เกิดขึ้นภายในองค์กรเป็นหน้าที่ของผู้บริหารคือการดึงเอาศักยภาพของลูกน้องแต่ละคนมาผสมผสานกันอย่างลงตัว และสามารถเปลี่ยนความขัดแย้งให้กลายเป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ได้ในฐานะผู้บริหารต้องมองปัญหาและการทะเลาะเบาะแว้งให้เป็นเรื่องปกติ แต่ให้คิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะสามารถเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ให้กลายเป็นผลงานได้ นอกจากนั้น การบริหารลูกน้องจ านวนมาก ๆ จะใช้วิธีเดียวกันหมดไม่ได้เพราะแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ในฐานะเจ้านายจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะรู้ได้ว่าคนไหนต้องใช้วิธีใดก็ต้องเริ่มจากการรู้จักตนเองก่อนเมื่อรู้จักตนเองจึงจะรู้จักผู้อื่นและต้องพยายามเข้าใจว่าอีกฝ่ายก าลังรู้สึกอย่างไรด้วย จึงจะสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการได้อย่างทันท่วงทีผู้แต่งได้ให้ข้อคิดในการท างานเป็นทีมคือ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือความถ่อมตน จงคิดว่าทุกคนย่อมมีข้อดีในแต่ละด้าน ไม่มีใครดีกว่าใคร หากคิดเช่นนี้อัตตาตัวตนก็ไม่เกิด การท างานเป็นทีมจึงจะสมบูรณ์

กฎข้อที่ 7. การเพิ่มพลังชีวิต (Sharpen the Saw)

             ว่าด้วยวิธีการพักจิต และเพิ่มพลังเพื่อพร้อมที่จะต่อสู้กับชีวิตต่อไป มีวิธีการ ดังนี้

1. ออกก าลังกายอย่างสม่ าเสมอ ทานอาหารที่มีประโยชน์

2. หัดสร้างมโนภาพอยู่ตลอดเวลา ต้องอ่านหนังสือเพิ่มพูนความรู้

3. มีความเมตตาและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

4. เข้าใจและรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ และสร้างความสงบภายใน

จากนิสัยแห่งความส าเร็จทั้ง 7 ประการ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น สามารถสรุปเป็นใจความสั้น ๆ

ได้ว่า Steven Covey ให้ความส าคัญในเรื่องการใช้สมองข้างขวา การใช้จินตนาการ การมีความคิด

ริเริ่มสร้างสรรค์ การมีหลักคุณธรรมในการด ารงชีวิต และการสร้างแผนที่ชีวิต

2540
สวยงามมากสง่างามจริงๆ

2541
เจ๋งเลยครับยินดีด้วย :053:

2542
ขอบคุณครับสำหรับข้อมูลดีๆ

2543
1เมษายน..วันเกิดคุนkaitip

ขอให้หยกมีความสุขมากๆๆๆนะ รวยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :008: :009:

2544
ว้าวๆๆๆๆๆๆสุดยอดเลยเหนื่อยสุดๆเลยสงสัย

2545
ขอให้มีความสุขมากๆนะหยกขอให้รวยๆๆนะ :027:

2547
หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่หรอครับสวยดีครับ
เด๋วรอผู้รู้มาตอบนะครับ

2550
เจ๋งจจริงๆครับพี่เมฆเข้มขลังมากๆ

2551
อิอิอิอิ...ฮาๆๆดีครับ

2552
ยินดีต้อนรับครับ

2553
คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองคับ

2555
นมัสการหลวงลุงญาครับ :054:

2558
ธรรมะ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
                                                                    ปรารภธรรมะเรื่องอริยสัจสี่

พระเถระฝ่ายกัมมัฎฐานเข้าถวายสักการะหลวงปู่ในวันเข้าพรรษาปี ๒๔๙๙

หลังฟังโอวาทและข้อธรรมะอันลึกซึ้งข้ออื่นๆ แล้วหลวงปู่สรุปใจความอริยสัจสี่ให้ฟังว่า....

                                                    "จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
                                                 ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
                                                             จิตเห็นจิต เป็นมรรค
                                                   ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ."

คัดลอกมาจาก..webธรรมะในหัวใจ

2559
เอ้า.....เรามาสนุกเพื่อคลายเครียดกันดีกว่า..ชะชะชะๆๆๆๆกรู้ๆๆๆๆๆ :004:

2560
บทความ บทกวี / ตอบ: เสน่ห์เลือกได้
« เมื่อ: 29 มี.ค. 2552, 06:04:32 »
ผมม่ายรู้มีเสน่ห๋อ่ะป่าวอ่ะ

2561
สุดยอดสวยมากๆๆ

2564
ขอบคุณสำหรับภาพนะครับผม :009:

2567
ยินดีต้อนรับครับ

2568
ขอบคุณครับผม

2570
ฮ้าาาา .... จาผิดได้ จะใด.... ก๊า ??    :049:

สมมุติฐานอยู่ตรงไหนอ่ะครับ  ผิดลูกเขาเมียใครนะเหรอ  ??

มันไม่ใช่อ่ะท่าน  ในระดับการสักยันต์อ่ะไม่ผิดหรอกครับ  สบายใจได้ครับ   


ถ้าผิดนี่.....อดส่องกบ  จบชีวิตตัวเทากันพอดี
:065: :065:

แต่ถ้าในสมมุติฐานคือ จะปฎิบัติธรรมหรือไปถือศีลกินเจ  ละใช่ครับ  อารมณ์หื่นๆ ต้องละให้หมด ๓ วัน ๗ วันก็ว่ากันไป

ถ้าจะผิดก็คือเราผิดศีล ๘ ละครับ  ส่วนสักยันต์อ่ะไม่ผิดหรอก

ยิ่งกว่าสไลด์หนอน เขายังทำเลยท่าน :075: :075:

(คำถาม+ความกล้าถามแบบนี้ดีครับ สงสัยต้องถาม ไม่ใช่เรื่องน่าอาย ใหม่ๆผมถามจนพี่เขาจะยันเอาด้วยซ้ำ เป็นกำลังใจให้ครับ)


ผมส่องกบทุกวันด้วยตายและ :009:

2571
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ

2572
ก่อนอื่นนั้น
1. เราจะต้องคิดก่อนว่าเราจะเลี้ยงเค้าเพื่ออะไร ถ้าคุณตอบว่าอยากเห็นเค้ามากระโดดโลดเต้นเหมือนในละครก็ อย่าเลี้ยงเลยครับ
2. คุณพร้อมที่จะดูแลและเลี้ยงเค้ามั้ย ถ้าไม่พร้อมก็ อย่าเลี้ยงครับ
3. การเลี้ยงกุมารนั้นเรื่องสัจจะเป็นสำคัญนะ บอกว่าให้ตอนไหนก็ต้องให้ตอนนั้น
4. ถ้าทำตามทุกๆข้อที่ผมกล่าวมาได้นั้น เริ่มเลี้ยงได้เลย  เมื่อคุณสมบัติผ่านแล้วต่อไปคือ
1. คิดดูว่าจะเลี้ยงกุมารเทพ หรือพราย
2. เมื่อคิดออกแล้วให้คุณศึกษาหาวัดหรือสำนักที่มีการสร้างเสกกุมารทองขึ้นมา และที่สำคัญเราต้องศรัทธาในอาจารย์ผู้สร้างและองค์กุมารทองที่บูชานั้นด้วย เพราะศรัทธาเป็นแรงที่ทำให้เกิดปาฏิหารย์ 3. ศึกษาวิธีการบูชาของแต่ละสำนักที่เราจะไปนำกุมารทองมา
ปล. บางท่านอาจจะใช้วิธีซื้อหุ่นกุมารทองมาแล้วนำไปให้สำนัก หรือวัดท่านผูกกุมารทองให้ อันนั้นก็แล้วแต่ความชอบครับ
 
กุมารเทพ
ข้อดี
1. เราไม่ต้องเซ่นเลี้ยงด้วยอาหารหยาบ
2. ไม่ให้โทษแก่ผู้เลี้ยงเมื่อเราไม่ได้เซ่นดูแล
3. หน้าตาจิ้มลิ้ม (อันนี้ไม่เกี่ยว แต่ลูกของผมบอกมา)
ข้อเสีย
1. เมื่อบนบาลอะไรแล้วได้ผลช้าหน่อย
2. ไม่ค่อยแสดงฤทธิ์เดชให้เห็น



กุมารพราย
ข้อดี
1. แสดงฤทธิ์บ่อยๆ
2. ได้ผลเร็วเมื่อบนบาลแล้ว
ข้อเสีย
1. ต้องเซ่นเลี้ยงด้วยอาหารหยาบอย่างขาดมิได้ (ยกเว้นบางตำหรับ)
2. หากขาดการเซ่นเลี้ยงแล้วอาจให้โทษแก่ผู้เลี้ยงได้(ยกเว้นแต่อาจารย์ผู้สร้างนั้นกำกับมาดี)

ขั้นตอนเมื่อเราได้กุมารมาแล้ว
1. เมื่อเราได้กุมารมาแล้วให้เราจัดการตั้งชื่อให้กับเขา โดยแบ่งได้ดังนี้
1.1 ชื่อที่เน้นโชคลาภ เช่น ทองมา เรียกทรัพย์ พูลเงิน พูลทอง ทองไหลมา เป็นต้น
1.2 ชื่อที่เน้นทางดุดัน เฝ้าบ้าน แคล้วคลาด เช่น ชัย เพชรมั่น คง กล้า แกร่ง เป็นต้น
2. ก่อนนำเข้าบ้านให้ทำตามนี้
2.1 หาที่ตั้งให้เหมาะสมโดย ไม่อยู่สูงกว่าพระ หรือ ต่ำติดพื้น และไม่ควรหันหน้าไปทาง ทิศตะวันตก
2.2 จุดธูปกลางแจ้ง 12 ดอก บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางดังนี้
ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิฐานบอกกล่าวแด่ พระภูมิ เจ้าที่ ผีปู่ ผีย่า ผีตา ผียาย ผีเหย้า ผีเรือน และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่
อยู่ภายในสถานที่ แห่งนี้ วันนี้ข้าพเจ้าได้นำ เจ้า...... เข้ามาเลี้ยงภายในบ้าน เพื่อให้เจ้า..... เฝ้าทรัพย์สิน ให้โชคให้ลาภ
ขอให้ พระภูมิเจ้าที่ ผีปู่ ผีย่า ผีตา ผียาย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเปิดทางให้เจ้า.... เข้ามาอยู่อาศัยในบ้านได้สะดวกด้วยถิด
2.3 เมื่อทำการเปิดทางให้กับเจ้ากุมารลูกของคุณแล้ว ให้นำกุมารมาตั้ง ณ ที่ที่เตรียมไว้แล้วจุดธูปบอกกุมาร โดย พราย 1 ดอก เทพ 5 ดอก ว่า
เจ้ากุมารทองของพ่อเอ๋ย ต่อไปนี้เจ้าชื่อ ..... และต่อไปนี้คนนี้คือพ่อของเจ้า พ่อจะเรียกเจ้าว่า ..... มาอยู่ที่บ้าน
ให้ช่วยกันดูแลบ้านเฝ้าบ้านให้ดี ช่วยกันทำมาหากินนะ แล้วพ่อจะซื้อของเล่นให้ เวลาพ่อไปไหนก็ไปกัน เวลาพ่อกินอะไรก็กินกันนะ ไม่ต้องรอให้พ่ออนุญาติ อยากได้อะไรอยากกินอะไรมาบอกพ่อนะ(หากมีกุมารอยู่แล้วให้กล่าวเพิ่มว่า เจ้า...(ชื่อกุมารองค์เดิม).... วันนี้พ่อนำ น้องเค้ามาอยู่ด้วยนะ อยู่ด้วยกันก็รักกันนะช่วยกันดูแลบ้าน หาเงินหาทองอย่าทะเลาะกันนะ)

ทุกๆวันพระให้เรานำข้าวปลาอาหาร หรือขนม หรือผล ไม้ ดอกไม้ มาบูชา เค้าแล้วบอกกล่าวเค้าว่าให้ช่วยกันหาเงินหาทอง เฝ้าบ้านดูแลคนในบ้าน ขาดเหลืออะไรบอกพ่อนะ


สำนึกของผู้ที่เลี้ยงกุมารทอง
1. คุณต้องระลึกไว้เสมอว่ากุมารนั้นคือลูกของคุณ เสมือนคนจริงๆ
2. หมั่นหาของเล่นขนมมาให้เค้า
3. หมั่นคุยกับเค้า
4. หากเบื่อแล้วคิดจะเลิกเลี้ยง นั้นควรนำเค้าไปปล่อยโดยให้ผู้ที่มีพลังจิต หรือพระปลดปล่อยเค้าไป
หมายเหตุ คุณลองคิดว่าคุณเบื่อลูกคุณแล้วคุณขายลูกคุณสิ มันคืออะไร
สุดท้ายนี้ขอให้คนที่รักกุมารทองทุกๆคนนั้น มีกุมารทองน่ารักๆ เก่งๆกันทุกคนเน้อ

2573
ประวัติพี่จุกกุมารเทพ(แบบย่อๆครับ)
วัดสวนหลวง จ.สมุทรสงคราม คนเฒ่าคนแก่เล่ากันมาจากรุ่นทวด รุ่นปู่ รุ่นต่อรุ่นแล้วว่าวัดนี้มีอายุการสร้างมาประมาณ180-200ปี มีอดีตเจ้าอาวาสคือ ลพ.ปึก เกจิอาจารย์ผู้มีเมตตาและแก่กล้าวิชาอาคมแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง กาลเวลาผ่านพ้นไปหลายสิบปีจึงมีพระคุณเจ้ารูปหนึ่งได้รับการแต่งตั้งให้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสที่ว่างลงเพื่อให้ถูกต้องตามประเพณีและดูแลปกครองพระลูกวัด

หลังจากท่านได้มาดำรงตำแหน่ง ท่านได้พิจารณาสิ่งก่อสร้างที่จำเป็นในการประกอบศาสนกิจของพระสงฆ์และชาวบ้านในบริเวณวัดได้มาประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนา ท่านมองดูแล้วเห็นว่าสิ่งก่อสร้างต่างๆเช่นอุโบสถ,กำแพงแก้ว,เมรุเผาศพ,กุฏิพระ,ศาลาการเปรียญ ฯลฯ ที่มีอายุนับร้อยปีได้ชำรุดทรุดโทรมลงไปมาก เห็นควรจะต้องมีการบูรณซ่อมแซมกันครั้งใหญ่ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เงินหลายล้านบาท ท่านจึงได้อธิษฐานต่อหน้าพระประทานในอุโบสถเพื่อขอพรให้ท่านชี้ทางสว่างในการดำเนินการครั้งนี้ให้สำเร็จ

คืนหนึ่งก่อนจะจำวัดลพ.ท่านสวดมนต์ไหว้พระหน้าโต๊ะหมู่บูชาและนั่งสมาธิตามปกติ จนกระทั่งเกือบเที่ยงคืนตอนนั้นจิตของท่านกำลังสงบนิ่ง พลันได้ยินเสียงเด็กมาเรียกท่านอยู่ไม่ไกล เสียงดังมาจากด้านโต๊ะหมู่บูชา ท่านจึงค่อยๆเพ่งมองผ่านแสงเทียน มองเห็นเด็กผมจุกผิวดำไม่สวมเสื้อ มีลูกประคำห้อยคอกำลังยืนมองท่านอยู่ เด็กคนนั้นพูดต่อไปอีกเป็นทำนองว่ามีของดีอยู่ในวัดนี้แล้วจะกลัวอะไร พร้อมกับรับปากว่าจะช่วยหาทุนในการก่อสร้างและบูรณและปฏิสังขรณ์วัดจนสำเร็จ

ท่านจึงถามออกไปว่า?หนูจุกเอ๋ย จะเสร็จไปได้อย่างไรกัน ต้องสร้างอีกหลายอย่างโดยเฉพาะอุโบสถเพียงอย่างเดียวต้องใช้เงินเป็นล้าน ไหนจะศาลาการเปรียญ กุฏิสงฆ์ หอระฆัง เมรุเผาศพและอีหลายอย่าง แล้วอาตมาจะไปหาปัจจัยที่ไหนมาสร้างวัดหล่ะหนูจุก?
เด็กคนนั้นตอบลพ.ว่า?ก่อนอื่นท่านต้องเรียกฉันว่าพี่จุกนะ ไม่ใช่หนูจุก เพราะฉันอายุมากแล้ว ฉันอยู่มาคู่กับวัดนี้ ส่วนเรื่องที่ท่านคิดจะสร้างนั้นต้องสร้างได้สิน่า ของดีในวัดนี้ก็มีท่านจัดทำขึ้นมาสิ ทำเสร็จก็แจกผู้คนไปบูชากัน แล้วปัจจัยก็จะหลั่งไหลเข้ามาเองแหละ?

ครั้นเมื่อท่านถอนออกจากสมาธิแล้วก็ลุกขึ้นยืนและเที่ยวหาของดีที่พี่จุกบอกไว้ พลันสายตาก็ไปเจอกับรูปกุมารไม้แกะสลัก มีฝุ่นจับกรังไปหมด จึงใช้ผ้าปัดฝุ่นออกและเอาผ้าชุบน้ำมาถู นั่งพิจารณาดูก็ตรงกับที่เห็นพี่จุกในนิมิต ท่านขนลุกด้วยความปีติ ความหวังที่คิดไว้ตั้งนานคงสำเร็จในคราวนี้แน่ เพราะพี่จุกกุมารเทพได้มาบอกแนวทางหาปัจจัยสร้างวัดให้แล้ว

ลพ.ท่านได้จ้างช่างทำการหล่อรูปพี่จุกกุมารขนาดบูชาต่างๆกันและขนาดห้อยคอ หล่อเป็นเนื้อโลหะ และได้นำไปเข้าพิธีปลุกเสกหลายครั้ง มีผู้คนศรัทธาพากันมาเช่าบูชากันอย่างมากมาย จนรุ่นแรกหมดลงอย่างรวดเร็ว ต้องสร้างรุ่น2และ3ตามมา เพราะผู้ที่เช่าบูชาไปต่างประสบปาฏิหาริย์ของพี่จุกกุมารกันทั่วหน้า และได้ลือกันไปแบบปากต่อปาก ผู้คนจากจังหวัดใกล้และใกลต่างพากันมาเช่าองค์พี่จุกกุมารไม่เว้นแต่ละวัน กระทั่งเสนาสนะสงฆ์ทุกอย่างสำเร็จเรียบร้อยด้วยบารมีของพี่จุกกุมารทั้งสิ้น??

เด็กคนนั้นตอบลพ.ว่า?ก่อนอื่นท่านต้องเรียกฉันว่าพี่จุกนะ ไม่ใช่หนูจุก เพราะฉันอายุมากแล้ว ฉันอยู่มาคู่กับวัดนี้ ส่วนเรื่องที่ท่านคิดจะสร้างนั้นต้องสร้างได้สิน่า ของดีในวัดนี้ก็มีท่านจัดทำขึ้นมาสิ ทำเสร็จก็แจกผู้คนไปบูชากัน แล้วปัจจัยก็จะหลั่งไหลเข้ามาเองแหละ?

ครั้นเมื่อท่านถอนออกจากสมาธิแล้วก็ลุกขึ้นยืนและเที่ยวหาของดีที่พี่จุกบอกไว้ พลันสายตาก็ไปเจอกับรูปกุมารไม้แกะสลัก มีฝุ่นจับกรังไปหมด จึงใช้ผ้าปัดฝุ่นออกและเอาผ้าชุบน้ำมาถู นั่งพิจารณาดูก็ตรงกับที่เห็นพี่จุกในนิมิต ท่านขนลุกด้วยความปีติ ความหวังที่คิดไว้ตั้งนานคงสำเร็จในคราวนี้แน่ เพราะพี่จุกกุมารเทพได้มาบอกแนวทางหาปัจจัยสร้างวัดให้แล้ว

ลพ.ท่านได้จ้างช่างทำการหล่อรูปพี่จุกกุมารขนาดบูชาต่างๆกันและขนาดห้อยคอ หล่อเป็นเนื้อโลหะ และได้นำไปเข้าพิธีปลุกเสกหลายครั้ง มีผู้คนศรัทธาพากันมาเช่าบูชากันอย่างมากมาย จนรุ่นแรกหมดลงอย่างรวดเร็ว ต้องสร้างรุ่น2และ3ตามมา เพราะผู้ที่เช่าบูชาไปต่างประสบปาฏิหาริย์ของพี่จุกกุมารกันทั่วหน้า และได้ลือกันไปแบบปากต่อปาก ผู้คนจากจังหวัดใกล้และใกลต่างพากันมาเช่าองค์พี่จุกกุมารไม่เว้นแต่ละวัน กระทั่งเสนาสนะสงฆ์ทุกอย่างสำเร็จเรียบร้อยด้วยบารมีของพี่จุกกุมารทั้งสิ้น??
เด็กคนนั้นตอบลพ.ว่า?ก่อนอื่นท่านต้องเรียกฉันว่าพี่จุกนะ ไม่ใช่หนูจุก เพราะฉันอายุมากแล้ว ฉันอยู่มาคู่กับวัดนี้ ส่วนเรื่องที่ท่านคิดจะสร้างนั้นต้องสร้างได้สิน่า ของดีในวัดนี้ก็มีท่านจัดทำขึ้นมาสิ ทำเสร็จก็แจกผู้คนไปบูชากัน แล้วปัจจัยก็จะหลั่งไหลเข้ามาเองแหละ?

ครั้นเมื่อท่านถอนออกจากสมาธิแล้วก็ลุกขึ้นยืนและเที่ยวหาของดีที่พี่จุกบอกไว้ พลันสายตาก็ไปเจอกับรูปกุมารไม้แกะสลัก มีฝุ่นจับกรังไปหมด จึงใช้ผ้าปัดฝุ่นออกและเอาผ้าชุบน้ำมาถู นั่งพิจารณาดูก็ตรงกับที่เห็นพี่จุกในนิมิต ท่านขนลุกด้วยความปีติ ความหวังที่คิดไว้ตั้งนานคงสำเร็จในคราวนี้แน่ เพราะพี่จุกกุมารเทพได้มาบอกแนวทางหาปัจจัยสร้างวัดให้แล้ว

ลพ.ท่านได้จ้างช่างทำการหล่อรูปพี่จุกกุมารขนาดบูชาต่างๆกันและขนาดห้อยคอ หล่อเป็นเนื้อโลหะ และได้นำไปเข้าพิธีปลุกเสกหลายครั้ง มีผู้คนศรัทธาพากันมาเช่าบูชากันอย่างมากมาย จนรุ่นแรกหมดลงอย่างรวดเร็ว ต้องสร้างรุ่น2และ3ตามมา เพราะผู้ที่เช่าบูชาไปต่างประสบปาฏิหาริย์ของพี่จุกกุมารกันทั่วหน้า และได้ลือกันไปแบบปากต่อปาก ผู้คนจากจังหวัดใกล้และใกลต่างพากันมาเช่าองค์พี่จุกกุมารไม่เว้นแต่ละวัน กระทั่งเสนาสนะสงฆ์ทุกอย่างสำเร็จเรียบร้อยด้วยบารมีของพี่จุกกุมารทั้งสิ้น?? เด็กคนนั้นตอบลพ.ว่า?ก่อนอื่นท่านต้องเรียกฉันว่าพี่จุกนะ ไม่ใช่หนูจุก เพราะฉันอายุมากแล้ว ฉันอยู่มาคู่กับวัดนี้ ส่วนเรื่องที่ท่านคิดจะสร้างนั้นต้องสร้างได้สิน่า ของดีในวัดนี้ก็มีท่านจัดทำขึ้นมาสิ ทำเสร็จก็แจกผู้คนไปบูชากัน แล้วปัจจัยก็จะหลั่งไหลเข้ามาเองแหละ?

ครั้นเมื่อท่านถอนออกจากสมาธิแล้วก็ลุกขึ้นยืนและเที่ยวหาของดีที่พี่จุกบอกไว้ พลันสายตาก็ไปเจอกับรูปกุมารไม้แกะสลัก มีฝุ่นจับกรังไปหมด จึงใช้ผ้าปัดฝุ่นออกและเอาผ้าชุบน้ำมาถู นั่งพิจารณาดูก็ตรงกับที่เห็นพี่จุกในนิมิต ท่านขนลุกด้วยความปีติ ความหวังที่คิดไว้ตั้งนานคงสำเร็จในคราวนี้แน่ เพราะพี่จุกกุมารเทพได้มาบอกแนวทางหาปัจจัยสร้างวัดให้แล้ว

ลพ.ท่านได้จ้างช่างทำการหล่อรูปพี่จุกกุมารขนาดบูชาต่างๆกันและขนาดห้อยคอ หล่อเป็นเนื้อโลหะ และได้นำไปเข้าพิธีปลุกเสกหลายครั้ง มีผู้คนศรัทธาพากันมาเช่าบูชากันอย่างมากมาย จนรุ่นแรกหมดลงอย่างรวดเร็ว ต้องสร้างรุ่น2และ3ตามมา เพราะผู้ที่เช่าบูชาไปต่างประสบปาฏิหาริย์ของพี่จุกกุมารกันทั่วหน้า และได้ลือกันไปแบบปากต่อปาก ผู้คนจากจังหวัดใกล้และใกลต่างพากันมาเช่าองค์พี่จุกกุมารไม่เว้นแต่ละวัน กระทั่งเสนาสนะสงฆ์ทุกอย่างสำเร็จเรียบร้อยด้วยบารมีของพี่จุกกุมารทั้งสิ้น??

เด็กคนนั้นตอบลพ.ว่า?ก่อนอื่นท่านต้องเรียกฉันว่าพี่จุกนะ ไม่ใช่หนูจุก เพราะฉันอายุมากแล้ว ฉันอยู่มาคู่กับวัดนี้ ส่วนเรื่องที่ท่านคิดจะสร้างนั้นต้องสร้างได้สิน่า ของดีในวัดนี้ก็มีท่านจัดทำขึ้นมาสิ ทำเสร็จก็แจกผู้คนไปบูชากัน แล้วปัจจัยก็จะหลั่งไหลเข้ามาเองแหละ?

ครั้นเมื่อท่านถอนออกจากสมาธิแล้วก็ลุกขึ้นยืนและเที่ยวหาของดีที่พี่จุกบอกไว้ พลันสายตาก็ไปเจอกับรูปกุมารไม้แกะสลัก มีฝุ่นจับกรังไปหมด จึงใช้ผ้าปัดฝุ่นออกและเอาผ้าชุบน้ำมาถู นั่งพิจารณาดูก็ตรงกับที่เห็นพี่จุกในนิมิต ท่านขนลุกด้วยความปีติ ความหวังที่คิดไว้ตั้งนานคงสำเร็จในคราวนี้แน่ เพราะพี่จุกกุมารเทพได้มาบอกแนวทางหาปัจจัยสร้างวัดให้แล้ว

ลพ.ท่านได้จ้างช่างทำการหล่อรูปพี่จุกกุมารขนาดบูชาต่างๆกันและขนาดห้อยคอ หล่อเป็นเนื้อโลหะ และได้นำไปเข้าพิธีปลุกเสกหลายครั้ง มีผู้คนศรัทธาพากันมาเช่าบูชากันอย่างมากมาย จนรุ่นแรกหมดลงอย่างรวดเร็ว ต้องสร้างรุ่น2และ3ตามมา เพราะผู้ที่เช่าบูชาไปต่างประสบปาฏิหาริย์ของพี่จุกกุมารกันทั่วหน้า และได้ลือกันไปแบบปากต่อปาก ผู้คนจากจังหวัดใกล้และใกลต่างพากันมาเช่าองค์พี่จุกกุมารไม่เว้นแต่ละวัน กระทั่งเสนาสนะสงฆ์ทุกอย่างสำเร็จเรียบร้อยด้วยบารมีของพี่จุกกุมารทั้งสิ้น??

คาถาบูชาพี่จุกกุมาร
จุดธูป 9 ดอก ตังนะโม 3 จบ

กายะพุทโธ นามะพุทโธ สุญญะพุทโธ

นิมิตพุทโธ อะระหังพุทโธ ภะคะวาติ

(อธิษฐานตามแต่จะขอ) [/color]


ปล.

พี่จุกทุกองค์ชอบน้ำแดง ขนมหวานไทยๆเช่นทองหยิบ ทองหยอด ของเล่นจะถวายหรือไม่ถวายก็ได้ (พี่เขาบอกเขาโตแล้วไม่ใช่เด็กๆ)


เอาภาพและประวัติมาจากชมรมคนรักกุมารทองครับ

2574
นมัสการพระอาจารย์ครับ
หวัดดีชาวสิงค์โปด้วยครับ...........hi!!!!
:009:

2575
ท่านgottkung บอกผมหน่อยดิว่าสำนักพ่อทองไปทางไหนพอดีไปเรียนอยู่แถววงเวียนใหญ่อ่ะอยากไปสักบ้าง
ค่าครูเท่าไหร่อ่ะต้องทำงัยบ้าง

2576
บทความ บทกวี / ทุกข์ได้แต่อย่าท้อ
« เมื่อ: 27 มี.ค. 2552, 11:11:47 »
ปกติแล้วมนุษย์เราทุกคนมักจะคุ้นเคยกับคำว่า ?ทุกข์? ด้วยกันทั้งสิ้น จนดูเหมือนว่าความทุกข์นั้นจะกลายเป็น ? มิตรในเรือน  เพื่อนในใจ?   ของมนุษย์แต่ละคนด้วยซ้ำไป


                     นิยามของคำว่า ความทุกข์  ก็คือ  สิ่งที่ทนได้ยาก


       สิ่งที่กายสังขารทนได้ความเจากจนเกิดทุกข์ เช่น  ความเจ็บป่วย ความอดอยากยากจน ความหิวโหยความง่วงเหงาหาวนอน และความอ่อนแอไม่แข็งแรง เป็นต้น  ส่วนสิ่งที่จิตใจทนได้ยากจนเกิดทุกข์เช่น ความโกรธ ความโศกเศร้าเสียใจ ความผิดหวัง อาฆาต ความไม่เข้าใจ และความอิจฉาริษยา  ความทุกข์ทั้งหลายที่กล่าวนั้นมีโอกาสแห่งการเกิดสูงมากจนยากที่จะป้องกันหรือเ­หลี่ยงหลบมันได้ง่ายๆ ที่สำคัญคือ แม้ทุกข์จะเริ่มที่กายแต่สุดท้ายใจก็มักจะพลอยทุกข์ไปตามกายด้วยเสมอ             


                    เมื่อรู้ว่าทุกข์ที่ตรงไหนเราก็ต้องแก้ไขที่ตรงนั้นโดยทำความเข้าใจ ?ความจริงที่แท้จริง?ว่าหากมีใครสักคนแสดงออกหรือกระทำสิ่งใดๆที่ไม่ถูกต้องต่อ­ตัวเราจนทำให้เกิดความทุกข์ที่ในใจและกระบวนการที่จะดับความทุกข์นั้นก็คือ


          1.คนที่เป็นผู้กระทำต่อเราเป็นเพียง ผู้สร้างเงื่อนไข ให้เราเท่านั้น เราต้องยอมรับให้ได้ว่าในสังคมมนุษย์อื่นๆล้วนเป็นผู้สร้างเงื่อนไขให้กับเราได­้ทั้งสิ้น มีทั้งด้านบวกคือการคิดดี ทำดี พูดดีต่อเรา และด้านลบก็เป็นพฤติกรรมที่ตรงกันข้ามอยู่ทุกเวลา   หากคนอื่นหยิบยื่นเงื่อนไขด้านบวกให้เราก็จะไม่มีปัญหาเพราะเราสุขใจใช่หรือไม่   แต่ถ้าใครสักคนหยิบยื่นเงื่อนไขด้านลบที่เราไม่ชอบใจมาให้ เราก็จะเกิดทุกข์ใจขึ้นมาทัน
                    2.เหตุแห่งทุกข์ในใจก็คือ  จิตของเราเอง  ไม่ใช่ใครอื่น  มนุษย์เราทุกคนเวลาเกิดทุกข์จากการกระทำของคนอื่นมักจะคิดเหมือนกันก็คือ   โทษคนอื่นว่าเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ของตนทั้งสิ้น  ซึ่งเป็นการคิดเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง   แท้แล้วคนอื่นคือผู้สร้างเงื่อนไขแต่จิตใจเราต่างหากที่มันก่อร่างสร้างรูปของท­ุกข์ขึ้นมาเอง   ถ้าใครทำไม่ดีต่อเรา หากจิตใจเรา  วางเฉย   ด้วยการ          รับรู้แต่ไม่รับเอา คือรับรู้ว่าเขาสร้างเงื่อนไขด้านลบที่เราไม่ชอบใจมาให้ โดยที่เราจะไม่สั่นไหวอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของจิตใจไปทางด้านลบตามเงื่อนไขที­่เขาหยิบยื่นมาให้เสียอย่างความทุกข์ในใจมันก็จะไม่เกิดขึ้นมาดังที่กล่าวมนี้น­่าจะเป็นเครื่องบ่งชี้ได้ว่า ตัวการอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ใจหรือสุขใจไม่ใช่ใครอื่นหรอก  จิตใจเรานี่เอง?.ใช่หรือไม่


          3.ถ้าต้องการปลดเปลืองความทุกข์หรือดับทุกข์ จะต้องกระทำที่จิตใจตนเองเท่านั้นถ้าต้องการดับทุกข์ที่ในใจเราต้องใช้สติปัญญา­เข้าถึงความจริงที่แท้ที่กล่าวมาทั้ง 3 ประการให้กระจ่างเสียก่อนสิ่งที่ว่ายากก็จะกลายเป็นง่ายไปในทันที


                  ความทุกข์ทั้งปวง  เป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา


                   เพราะว่าเราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่สำคัญคือ เราจะต้องเข้าถึงการใช้สิ่งที่เรียกว่า สติปัญญา ของสมองของตนให้จงได้ เพื่อสร้างความแตกต่างจากสัตว์โลกทั้งหลายนั่นเอง  เราจึงถูกกำหนดให้เป็นผู้สร้างเงื่อนไขและผู้รับเงื่อนไขทั้งด้านลบและด้านบวกก­ับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันชั่วชีวิตเพราะเงื่อนไขทั้งหลายคือ  บททดสอบทั้งสติปัญญาและจิตสำนึกแห่งการเป็นมนุษย์เงื่อนไขทั้งหลายชวนให้มนุษย์­แต่ละคน ต้องขบคิดต้องพิจารณาเพื่อการตัดสินใจและแก้ไขกันในระหว่างวันซึ่งมีทั้งปมปัญห­าตั้งแต่เล็กๆน้อยๆไปจนถึงเรื่องใหญ่ๆจึงไม่มีมนุษย์คนไหนที่ตั้งแต่เกิดจนตายไ­ม่เคยเผชิญกับปัญหาใดๆในชีวิต


                 ดังนั้นหากเรามีความรู้สึกว่า  ปัญหาที่เรียกว่า ความทุกข์   มันเข้ามาเยี่ยมเยียนชีวิตประจำวันของเราค่อนข้างมากให้คิดเสียว่าเรากำลังโชคด­ีกว่าคนอื่นที่มีเงื่อนไขยากๆมากมายที่คุณจะได้ใช้มายกระดับสติปัญญา  เพื่อพัฒนาความฉลาดของเรา     และท้ายสุดนี้เมื่อใดที่เรากำลังเผชิญปัญหา  ก็จงอย่าทุกข์ใจ  ให้รีบใช้โอกาสนั้นค้นหาสติปัญญาให้พบจะดีกว่า


                  ?ความทุกข์ซึ่งเป็นแขกที่เรามิได้รับเชิญ แต่มันก็พร้อมที่จะเข้ามาเป็นแขกในชีวิตเราได้ทุกวันเวลาตลอดชั่วชีวิตนี้ โดยที่เราจะไม่สามารถปฏิเสธหรือหลบเลี่ยงมันได้เลย?


                    ?  ถ้าเราไม่ปฏิเสธความทุกข์  เราจะไม่ทุกข์  ถ้าเรายอมรับความจริงของความทุกข์นั้นได้ เราก็จะอยู่กับความทุกข์นั้นอย่างมีความสุข?


                   ?  บางครั้งเราก็รู้สึกโกธร  แต่ความโกธรของเราส่วนใหญ่แล้วไม่ได้เจ็บที่ตัวแต่เจ็บที่กายแต่เป็นเพราะว่าเร­าเจ็บที่หัวใจของเราต่างหาก?


                    ? คำว่า ? ยอม? คนที่ไม่รู้จักคำนี้มักจะเป็นทุกข์เสมอ ชีวิตในแต่ละวันที่ผันผ่านจึงหาความราบรื่น หรือราบเรียบกับคนอื่นไม่ได้?


                    ?  ถ้าเรามีสุขสุดๆแล้ว  เราต้องไม่หลงระเริง ถ้าเราสุขแล้ว เราต้องไม่ลืมตัว          เพราะว่าเดี๋ยวก็มีทุกข์ตามมา นี่เป็นเรื่องธรรมดา?


..................................................................


"การรู้ซึ้งคุณค่าของสิ่งที่เรามีอยู่ในวันนี้คือสิ่งที่สำคัญ ขอให้ความทุกข์ที่ผ่านมาแล้ว...เป็นบทเรียนอันมีค่าที่จะทำให้เราเติบโตอย่างคน­ที่รู้เท่าทันความทุกข์" [/size
]

จาก เว๊ปธรรมะสวัสดี..........

2577
ผมก้อมีครับพี่พีชมีเทพรัญจวญกับตะกรุดครอบจักรวาลอ่ะครับ

2578
ขอบคุณพี่ปอครับผมสำหรับข้อมูล

2579
สุดยอดครับพี่พีชโดนใจมากๆๆๆ :016: :015:

2581
คนกะลังมีความรักทำอะไรก้อหวานหมดแหละครับช่าวงนี้ว่าป่ะพี่ปอ :009:

2582
รู้ขึ้นแล้วสวยดีครับแหล่มเลย

2583
รูปไม่ขึ้นอ่ะ

2584
ผมเจ็บมาเยอะผ่านมาเยอะ :059: :059:

2586
อยากได้บ้างอ่ะแต่ที่บ้านไม่ให้เลี้ยงกุมารต้องแอบเลี้ยงรักยมอ่ะ :070:

2587
ขอบคุนครับพี่เมฆ :009:

2588
 :001: :001:ไม่น่าจะสายอยุธยานะครับ
สายอยุธยาต้องเป็นกระเบื้องเคลือบอ่ะครับ
ไว้รอผู้รู้มาช่วยตอบละกันนะครับพี่ชาย....
.. :009: :009: :009:

2589
แม้นใครคบเยอะมั่งระวังตอบ ให้รอบคอบคิดอ่านวางแผนหนา
รู้จิตใครไม่สู้รู้ภรรยา รู้สับรางพารอดเป็นยอดดี 



[shake]เล่นกีฬา โชว์สตรี อกหักทุกทีก็ต้องร่ำสุรา[/shake]



ใช่ครับพี่พีชแพ้หละอายเลยหญิงหายหมดแน่ๆๆ :009:

2590
สวยดีครับขอบคุรท่านเว๊ปที่นำมาให้ชมกันนะครับ :009: :009:

2591
กลอนการงานราบรื่น

ใครชอบ ใครชัง ชั่งเถิด

ใครเชิด ใครชู ชั่งเขา

ใครด่า ใครบ่น ทนเอา

ใจเรา ร่มเย็น นั้นเป็นพอ..
:009: :009:

2593
แบบเดียวกันครับเค้าตอบหมดแล้วอ่ะ :009:

2594
ขอให้พี่โชวพี่สาวของผมมีความสุขมากๆรวยๆ
ขอให้สวยขึ้นทุกๆวันเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพวกเราต่อไปนะครับพี่สาว
:009: :009:

2595
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆนะครับผม :009:

2596
แต่หลวงพี่หมีย้ายกุฏิแล้วครับพี่โจ้ผมก้อไม่รู้ว่าตรงไหนอ่ะ
บนกุฏิหลวงลุงญาหลวงพี่หนึ่งท่านสักอยู่ครับ

2597
เจ๋งครับ
ผมมีแต่ผ้ายันต์

2600
แล้วมีใครสืบสานวิชาท่านบ้าง

2602
ผมชอบรูปเต่าอ่ะคับน่ารักดี :009:

2603
ขอบคุนนะครับ แหม.....ไม่ยอมแพ้กันเลยนะครับ

2604
ขอบคุณสำหรับแง่คิดดีๆนะครับ

2605
เยาวชนไทยฤาถูกต้องตามพุทธทำนาย

    ทุกครั้งที่เราทำกรรมดี ด้วยกาย วาจา และใจ เรียกว่า กุศลกรรม จิตใจเราก็สะสมนิสัยอ่อนโยนเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นต้นว่า สร้างคุณงามความดี ตอบแทนพระคุณ คุณพ่อ คุณแม่ ทำให้จิตใจเต็มไปด้วยคุณธรรม คือความกตัญญูกตเวที เช่นเดียวกัน หากเราส่งความปรารถนาดีแก่บุคคลอื่น แก่สรรมสัตว์ที่มีชีวิต จิตใจเราก็มีความสุภาพอ่อนโยน มีเมตตาธรรมเพิ่มมากขึ้นอีก ยิ่งมีการฝึกสติ ฝึกอบรมจิตใจให้มีสมาธิ โดยการเจริญภาวนา ก็จะบังเกิดทำให้เรามีสติปัญญา เฉลียวฉลาด หากปฏิบัติทุกวันหรือทุกคืน สะสมบุญญาบารมีไว้ อำนาจวาสนาดี ๆ ก็จะบังเกิดแก่เราเพิ่มขึ้นตามลำดับ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

        สามีภรรยา ก่อนนอนหมั่นสร้างคุณงามความดีด้วยการไหว้พระสวดมนต์ เจริญสมาธิภาวนา อุทิศส่วนบุญกุศลให้กับบิดามารดา ญาติมิตรที่ล่วงลับไปประพฤติปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จิตใจก็เติมเปี่ยมไปด้วย คุณธรรม เทพบุตร เทพยดา ก็อยากลงมาปฏิสนธิ และเมื่อคลอดออกมาอยู่รอดเป็นทารก ก็ย่อมจะต้องมีคุณธรรมเหมือนพ่อแม่ กล่าวคือ เป็นคนดีมีความกตัญญูกตเวที มีเมตตาธรรม และมีสติปัญญาสูง เมื่อเจริญเติบโตขึ้นมา ก็เป็นยาวชนที่ดี เป็นประชาชนที่ดี และเป็นพลเมืองดีของสังคม ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนเอง ไม่สร้างความทุกข์ใจแก่พ่อแม่ ไม่สร้างปัญหาให้เกิดขึ้นแก่สังคม ผู้รู้หรือบัณฑิตให้การยอมรับสรรเสริญ คุณงามความดี พ่อแม่ก็มีความชื่นใจ ภูมิใจ แต่ความเป็นจริงของสังคมในยุคปัจจุบันนี้ เยาวชนไทยฤาจะถูกต้องตามพุทธทำนายกระมัง เพราะเยาวชนเปลี่ยนไป ต่างประพฤติผิดแผกไปจากขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมของชาติ เช่น

เรียนโดด - ไม่สนใจการศึกษาเล่าเรียน

เกาะอก - คิดว่าตนเองเป็นคนนำสมัย

สายเดี่ยว - ถือว่าตนเองล้าสมัย ย้อนยุค

เอวลอย - เข้าใจตนเองว่าเป็นคนล้ำสมัย

เที่ยวดึก - ติดอบายมุข

ส้นตึก - ไม่สำรวจตนเองชอบลัทธิเอาอย่าง

มือเติบ - ไม่มีงานทำผลาญเงินพ่อแม่

ใจแตก - พากันหลงแสงสีสิ่งแวดล้อม

แหกคอก - ไม่ยึดขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม เสียสาวเมื่ออายุยังน้อย

                        นอกครู - ชอบลบหลู่ครู อาจารย์ ว่ากล่าวตักเตือนไม่ได้

ไม่อยู่ในโอวาทของพ่อแม่ - เห็นพ่อแม่เป็นหัวหลักหัวตอ

แลตอ - ชอบปิ้นปอก กลับกลอก ยอกย้อน เถียงคำไม่ตกฟาก

         ในสมัยพุทธกาล พระเจ้าประเสนทิโกศล ทรงสุบินนิมิต (ฝัน) ประหลาด ๆ ก็สะดุ้งตกพระทัยตื่นจากพระบรรทม คิดรำพึงถึงเหตุร้ายจะบังเกิดขึ้นต่าง ๆ นานา ครั้นพอสว่าง จึงได้ตรัสถาม ?ปุโรหิตาจารย์? ก็ได้รับคำแนะนำให้ทำการในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่สังคมและไร้สาระ พระนางมัลลิกาได้ทราบ จึงทูลแนะนำให้ไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อขอให้พระองค์ทรงทำนาย และก็ได้รับคำทำนายจากพระพุทธองค์ ขอยกเรื่องในฝันมาเป็นบางข้อเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้เข้ากับยุคสังคมไทยปัจจุบัน

         พระเจ้าประเสนทิโกศล ฝันว่า ?ต้นไม้ทั้งหลาย พองอกได้คืบหนึ่ง หรือศอกหนึ่งก็มีดอกและมีผล? พระพุทธองค์ทำนายว่า ?ในกาลข้างหน้า สมัยหนึ่งเด็กหญิงจะมีราคะดำฤษณา ไปสู่อำนาจบุรุษ แต่เด็ก ๆ มีครรภ์และมีบุตร ทั้งที่มีวัยยังไม่สมบูรณ์?ปัญหามีท้อง หาผู้ที่รับผิดชอบไม่ได้ ที่เราเรียกกันว่า ?มารหัวขน? คลอดลูกแล้วก็นำไปทิ้งตามถังขยะ บางคนก็โยนลงทางหน้าต่าง บางคนดีหน่อยนำไปวางไว้หน้าบ้านคนอื่น ปล่อยให้มดตอมไต่ สุดที่จะเวทนา สภาสังคมสงเคราะห์ก็รับภาระเลี้ยงดูไปก็เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เราต้องมาวิเคราะห์กันหน่อยว่า ทำไมเยาวชนจึงเป็นแบบนี้

๑. ขาดการอบรมสั่งสอนด้วยคุณธรรม

- ไม่ไหว้พระสวดมนต์

- พ่อแม่ไม่สนใจพาลูกเข้าวัด

- ไม่อบรมสั่งสอนคุณสมบัติผู้ดี

- ขาดวัฒนธรรมหล่อหลอม

                                                ๒. ถูกหยามเหยียด

                                                - ยากจน

- ปัญญาไม่ดี

- ยากไร้ทางด้านวัตถุ คับแค้นทางด้านจิตใจ

- สังคมดูถูก

- ถูกสังคมหยามเหยียดด้วยสายตา แสดงอาการน่ารังเกียจ

                                              ๓. เกลียดผู้ใหญ่

- พ่อแม่ทะเลาะกัน

- พ่อแม่ชอบดื่มสุรา

- พ่อแม่หย่าร้าง

- ผู้ใหญ่ชอบเล่นการพนัน

- ผู้ใหญ่ไม่เป็นแบบอย่างที่ดี

- ผู้ใหญ่กลายเป็นผู้ล้มละลาย

- ผู้ใหญ่ชอบเบ่งบารมีแผ่อิทธิพล

- ผู้ใหญ่ชอบอิจฉาเรื่องยศฐานบรรดาศักดิ์

- ผู้ใหญ่ระดับชาติหรือนักการเมืองคดโกง

                                               ๔. เรียกร้องความสนใจ

- พ่อแม่เอาแต่งานสังคมสงเคราะห์

- พ่อแม่ไม่ค่อยกอดลูก

- พ่อแม่ไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนลูก

                                             ๕. ไม่ศรัทธาผู้บริหารประเทศ

- ผู้บริหารบ้านเมืองไม่ทำตนเป็นคนทุ่มเท

- ผู้บริหารไม่เสียสละเพื่อชาติ

- ผู้บริหารส่วนมากยอมสละชาติเพื่อชีพ

- ผู้บริหารเห็นแก่ตัว แบ่งพรรคแบ่งพวก

จึงเห็นได้ว่า เยาวชนของชาติเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสสังคมยุคโลกาภิวัฒน์คอยมุ่ง

จะบริโภควัตถุนิยม หันหลังให้กับจิตนิยม สังคมไทยจึงพิกลพิการเช่นนี้ พฤติกรรมที่เยาวชนแสดงออก

๑. มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ

๒. พากันหันหน้าเสพกาม

๓. ชอบเลียนแบบตามดารา

๔. บ้าการพนัน

๕. ติดเพศสัมพันธ์

๖. เหหันเป็นกระเทย

๗. ละเลยต่อศีลธรรม

๘. นำพาแต่สิ่งชั่วร้าย

๙. สร้างความหนักใจให้พ่อแม่ ครู อาจารย์

๑๐. ชอบเป็นอันธพาลครองเมือง

หลายคนอาจจะแย้งว่า ไม่จริง ๆ เยาวชนดี ๆ มีถมไป ทำไมไม่นำมากล่าว ก็เหมือนการเขียนข่าว เขียนธรรมดา ๆ มันก็ไม่ดัง ไม่สะใจคนอ่าน ช่างเถอะ?.. เรามาวิเคราะห์กันต่อไปว่าทำไมหนอ เยาวชนไทยไม่สร้างสรรค์ อาจจะเป็นเพราะว่า

๑. ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ

๒. ครอบครัวสามารถพึ่งพากันได้ตลอดชีวิต

๓. เมืองไทยไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ

๔. ภัยของธรรมชาติมีน้อย จึงขาดการต่อสู้กับภัยธรรมชาติ

๕. คนไทยชอบดูถูกตนเอง แต่กลับบูชาชาวตะวันตก

๖. ชอบหลงตนเองกับภาพเก่า ๆ เงาเดิม ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง

๗. คนไทยเชื่อฝีมือคนไทยยาก แต่เชื่อฝรั่งง่าย

๘. ผู้คนขอกันกินง่าย

๙. มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง

๑๐. กระบวนการศึกษาชอบเลียนแบบฝรั่ง

๑๑. การศึกษาไม่เป็นไปตามคำสอนของพระพุทธศาสนา กล่าวคือ

- สุตะ ไม่ชอบฟัง

- จินตะ คิดไม่เป็น

- ลิขิตะ เขียนไม่เป็น ขี้เกียจบันทึก

- ปุจฉา ไม่กล้าแสดงออก เอาเขาว่า

๑๒. คนไทยชอบมีคนรับใช้ในบ้าน

๑๓. ไม่กระตุ้นความคิด อะไรก็ได้ ง่าย ๆ

เมื่อเยาวชนไทย หรือคนไทย ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ จึงปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปตามกระแสของสังคม ความเสื่อมก็ครอบงำเยาวชน

๑. ยกพวกตีกัน

๒. ไล่ฆ่าไล่ฟันกันตามหน้าสถานศึกษาอย่างป่าเถื่อน

๓. การรวมเพื่อนแข่งขันมอเตอร์ไซค์ยามค่ำคืน

๔. ดึกดื่นไม่นอน ชอบลักเล็กขโมยน้อย

๕. จ้องคอยคิดจะเที่ยวเตร่ไปวัน ๆ

๖. ขยันในด้านการมั่วสุมทางเพศ

๗. เป็นเหตุพากันดื่มสุราของมืนเมา

๘. ชอบรุมเร้าส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพคิด

๙. คิดไม่เป็น

๑๐. เป็นพวกมิจฉาทิฎฐิ (เห็นผิดเป็นชอบ)

ดังนั้น ทุกสถาบันของสังคมไทย โดยเฉพาะสถาบันครอบครับ สถาบันการศึกษา และสถาบันศาสนา ต้องมีการร่วมมือกันช่วยแก้ปัญหาของสังคม โดยปฏิบัติภารกิจดังกล่าวให้มีการประสานสอดคล้องมีขอบเขตแนวทางป้องกัน

๑. ปลูกจิตสำนึกให้รู้คุณค่าของตนเอง

๒. สอนให้รู้จักคุณค่าของคนอื่น

๓. มุ่งเน้นอบรมให้เห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมโลก

๔. แนะนำให้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน

๕. คอยช่วยเหลือผู้ต้อยโอกาสกว่าตน

๖. บอกให้รู้จักแบ่งปันความสุขของคนแก่คนอื่น

๗. มีเมตตากรุณาต่อบุคคลอื่น

๘. หยิบยื่นช่วยเหลือสังคม

๙. อบรมด้านคุณธรรมทางศาสนา

๑๐. ให้การศึกษาอย่างทั่วถึง

๑๑. คิดถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคม

นอกจากนี้ เยาวชนทั้งชายทั้งหญิง จะต้องสำรวมระวังตนเอง มีแนวทางการดูแลตัวเองเป็นสำคัญ ขอหยิบยกแนวทางสำหรับการดูแลตนเองของเยาวชนทั้งชายทั้งหญิง

แนวทางการดูแลตนเองของเยาวชนชาย

๑. อย่าพึ่งยาเสพติด

๒. อย่าเป็นมิตรกับคนชั่ว

๓. อย่าทำตัวดื้อรั้น

๔. อย่าขยันเที่ยวเตร่

๕. อย่าเกเรกับเพื่อนบ้าน

๖. อย่าเกียจคร้านการทำกิน

๗. อย่าดูหมิ่นพ่อแม่

๘. อย่าทำแน่ว่าไม่ตาย

๙. อย่างทำลายวัฒนธรรม

๑๐. อย่าสุขสำราญจนลืมชาติ

 แนวทางการดูแลตนเองของเยาวชนหญิง

๑. อย่านุ่งกระโปงสั้น

๒. อย่าดื้อรั้นลองยา

๓. อย่าพึ่งพาคนแปลกหน้า

๔. อย่าคบหาเพื่อนไม่ดี

๕. อย่าหลีกหนีพ่อแม่

๖. อย่าพ่ายแพ้ความฟุ่มเฟือย

๗. อย่าเฉื่อยแฉะเที่ยวเตร่

๘. อย่าเกเรไม่กลับบ้าน

๙. อย่าเผาผลาญเงินทอง

๑๐. อย่ามัวแต่มองเพื่อนชาย
:009:

2607
ผมผ่านวัดทุกวันเลยผมเรียน มรภ.บ้านสมเด็จอ่ะเพิ่งรู้อ่ะครับไว้จะไปกราบท่านบ้าง
แล้วการที่จะสักกับอารย์ฮะต้องเตรียมอะไรบ้างค่าครูเท่าไรอะครับ :062:

2608
ไม่เคยได้มีโอกาสได้กราบหลวงปู่เลยครับแต่ยังงัยหลวงปู่ทิมก้ออยู่ในจัยศิษยานุศิษย์เสมอ

2609
บทความ บทกวี / ตอบ: เรื่องของเสือ
« เมื่อ: 24 มี.ค. 2552, 05:16:17 »
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ

2610
แต่ผมเคยได้ยินนะว่ามันผสมลงในยาสมุนไพรได้อ่ะคับแต่ไม่ค่อยแน่จัยนะ

2611
บทความ บทกวี / ดอกหญ้ากับแมลงปอ
« เมื่อ: 24 มี.ค. 2552, 10:47:52 »

ดอกหญ้า กับ แมลงปอ

ส่วนหนึ่งเล็ก ๆ...
จากมุมที่บางครั้งไม่อาจมองเห็น...
เพราะขาดความใส่ใจ...

ดอกหญ้าดอกน้อย ๆ ....
ซึ่งดูจะไร้ค่าและความหมาย...
เติบโตเพื่อแตกดับ...
ไปตามวัฏฏะของชีวิต...
แต่ในความไร้ค่าของสายตาหนึ่ง...
กลับมีคุณค่าต่ออีกสายตาหนึ่ง...

แมลงปอตัวน้อย...
สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ...
ซึ่งดูจะไร้ค่าและความหมาย...
เติบโตเพื่อแตกดับ...
ไปตามวัฏฏะของชีวิต...
แต่ในความไร้ค่าของสายตาหนึ่ง...
กลับมีคุณค่าต่ออีกสายตาหนึ่ง...

ดอกหญ้า กับ แมลงปอ ...
ต่างมีสายตา...
ที่มองเห็นคุณค่าของกันและกัน...
ต่างเป็นสิ่งเล็ก ๆ ...
ที่ดูคล้ายจะไร้ค่าและความหมาย...
แต่สองสิ่งเล็ก ๆ นี้...
ต่างเห็นคุณค่าและความหมายของกันและกัน...
เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน...
มิได้หมายทำลายล้างกันและกัน...

นี่คือ...
สิ่งที่เราหวังจะได้...
สัมพันธภาพอันดีงาม...

2613
คิดถึงหลวงปู่ในชีวิตนี้ยังไม่เคยได้มีโอกาสกราบหลวงปู่ทิมเลย

2614
ดีครับผมยินดีต้อนรับนะ

2615
ขอบคุนสำหรับข้อมูล

2616
นะ มะ พะ ทะ จิ เจ รุ นิ
ของหลวงปู่หลิวครับ

2617
นมัสการหลวงปู่อาลัยอย่างสุดซึ้งครับ

2619
ขอบคุณสำหรับภาพบรรยากาศครับพิธีเข้มขลังมาก

2620
ดีใจด้วยครับ :047:

2622
ขอบคุณมากๆครับผมรอภาค5นะครับรออ่านอยู่ :053:

2623
อ่านแล้วดีครับมีแง่คิดหลายๆอย่างให้คนเราปฎิบัติตาม

2625
ใจหายเลยครับเพิ่งดูข่าวตะกี้เอง
ขอถวายความอาลัยอย่างสุดซึ้งครับ

2626
อิจฉาพี่เมฆอ่ะคับสาวๆเพียบ

2627
ยันต์เกราะเพชรท่าก้อสุดยอดคับสายหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค

2628
พี่เมฆถ้าที่บ้านเก็บของไม่พอไว้บ้านผมบ้างก้อได้นะคับพี่...อิอิ

2629
เหรียญพรหมสีหน้า

สิงห์งาแกะ

2630

ประวัติ "อาจารย์เฮง ไพรยวัล" จากจารึกที่เก็บกระดูกอาจารย์เฮง ณ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา เขียนไว้ว่า "เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๘ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ตายเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๒ สิริอายุ ๗๕ ปี"


พื้นเพท่านเป็นคนบ้านหันตรา จ.พระนครศรีอยุธยา บิดาท่านเป็น นายตำรวจ หรือผู้ตรวจการณ์คุก โดยบิดาส่งไปเรียนที่ปีนัง สิงคโปร์ แต่เรียนไม่สำเร็จ ท่านเป็นคนชอบเรียนวิชาไสยศาสตร์ ได้ท่องเที่ยวเล่าเรียนมาแต่ทางภาคใต้ ท่านอาจารย์เฮงเป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับ พระยาเพชรปรีชา มีเพื่อนฝูงเป็นเจ้าพระยาหลายคน

เมื่อท่านเดินทางกลับมายังภูมิลำเนา คือ จ.พระนครศรีอยุธยา คราวเมื่อท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ท่านให้ความสนใจศึกษาตำรับตำราทางไสยศาสตร์ อันว่าด้วยเวทมนตร์คาถา อักขระเลขยันต์ จากจารึกวัดประดู่โรงธรรมอย่างแตกฉาน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสมัย สมเด็จพระพันรัต วัดป่าแก้ว หรือใน รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ. ๒๑๓๓-๒๑๔๘) นั้น รวบรวมสรรพวิทยาไสยศาสตร์ โดยจารึกไว้ที่ วัดประดู่โรงธรรม นี้อย่างพร้อมสรรพ

ตำรับวัดประดู่โรงธรรม เป็นแม่บทของตำราที่ว่าด้วย เวทมนตร์คาถาและอักขระเลขยันต์ ที่มีปรากฏและเล่าเรียนสืบต่อมาตราบเท่าทุกวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอาจารย์เฮงนั้น ท่านเรียนรู้ตาม คำภีร์รัตนมาลา อย่างแตกฉาน และเจนจบมาก

หลังจากที่ ท่านอาจารย์เฮง สึกจากการอุปสมบทแล้ว ท่านกลับมาครองเพศฆราวาส เริ่มปรากฏชื่อเสียงเกียรติคุณกระเดื่องดัง ทางเป็นพระอาจารย์ของท่าน เริ่มต้นด้วยการเป็น อาจารย์สัก ก่อน

หลวงปู่สี เล่าว่า ครั้งกบฏบวรเดช ในสมัยรัชกาลที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๗๖) มีนายทหารและข้าราชการมาให้ท่านสักเป็นจำนวนมาก และจากการที่ท่านอาจารย์เฮง ตั้งพิธีสักที่วัดหันตรานั่นเอง

ครั้งนั้น ท่านอาจารย์เฮง จำเป็นต้องอาราธนาพระสงฆ์มาสวดพุทธมนต์ในพิธีสักนั้นด้วย ในสมัยนั้น (พ.ศ. ๒๔๗๖) ในท้องที่ จ.พระนครศรีอยุธยา หาพระที่สวดพุทธมนต์และพุทธาภิเษกพิธียากมาก ยกเว้น ท่านอาจารย์สี วัดสะแกเท่านั้น เพราะท่านอาจารย์สีเคยลงมาศึกษาอยู่ที่สำนักวัดเลียบ จ.พระนครศรีอยุธยา และมีความเจนจบในเรื่องนี้อยู่

สืบต่อมาเมื่อท่านอาจารย์เฮง จะประกอบพิธีกรรมครั้งใด จำต้องมาอาราธนาท่านอาจารย์สีไปร่วมพิธีทางฝ่ายสงฆ์อยู่เสมอ

โดยพื้นฐานและฐานะของท่านอาจารย์เฮงนั้น จัดว่าเป็นผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง ท่านมีบ้านเป็นหลักแหล่งอยู่ที่ทุ่งหันตรา มีไร่นา และมีบ้านอีกหลังหนึ่งอยู่ที่วังน้อย เมื่อท่านมีลูกศิษย์ลูกหาทางกรุงเทพฯ มากขึ้น เพื่อความสะดวกในการประสิทธิ์ประสาทความรู้แก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหา จึงเชิญท่านมาเช่าบ้านอยู่ที่สวนมะลิ และย้ายมาอยู่ที่ห้องแถวหน้าสมาคม วาย.เอ็ม.ซี.เอ วรจักร จนกระทั่งสงครามมหาเอเชียระเบิด ท่านจึงอพยพขึ้นไปอยู่ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ดังเดิม

*** ตอนสมัยที่ท่านเข้ามาพระนครนั้น เป็นสมัยยุคนักเลง และ อั้งยี่เฟื่องฟู... พวกที่คอยขย้ำกันอยู่ในเมืองกรุงก็มี เก้ายอด หลวงพ่อหรุ่น , พวกยันต์แดง อ.เฮง , สามล้อถีบวัดสามจีน และ พวกลูกศิษย์สาย หลวงปู่ทอง วัดราชโยธา พ่อแก้ว คำวิบูลย์

สมัยนั้น อ.เฮง จอดเรืออยู่หน้าวัด เชิงเลน (วัดบพิธภิมุข)... สักกันจนตำรวจต้องไปขอร้องให้เลิกสัก..เพราะลูกศิษย์ลูกหาไปเป็นโจรกันเยอะเหลือเกิน ปราบก็ยาก เนื่องจากคงกระพันนั้นเป็นเลิศทีเดียว...
อ.เฮง ท่านเป็นเลิศในหลายๆด้าน ทั้งไสย ทั้งศิลป์ และท่านยังเป็นเพื่อนซี๊ปึก กับ ครูเหม เวชกร... ครั้งนึง ครูเหม ออกปากว่า.. "..หน้าพรหม ไม่มีใครเขียนให้เห็นได้ทั้งสี่หน้า ที่ อ.เฮงคนเดียว ที่เขียนได้.."

ท่านสร้างวัตถุมงคลไว้มากครับ แต่ขอยกตัวอย่างชิ้นนึงคือเหรียญพรหม4 หน้า อ.เฮง มีหลายรูปแบบ ทั้ง หน้าโล่ห์ ทรงกลม ข้าวหลามตัด... เป็นที่นิยมมานาน ของแท้นั้นหาดูไม่ง่ายนัก...แต่นับวันยิ่งจะสูญหาย และหาคนเป็นได้น้อยลง ...ที่จะว่ากันวันนี้ ก็จะเป็นเหรียญนิยมที่เรียกว่าเหรียญโล่ห์ และรูปนำมาให้ชมกันวันนี้ เป็น "เหรียญโล่ห์เงิน หน้าทอง" ... โดยองค์พรหมจะเป็นทองคำ ยึดติดกับพื้นเหรียญด้วยวิธีตอกตาไก่ และจะมีรอยจารทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ที่สำคัญที่ด้านหลัง กึ่งกลางเหรียญจะลงไว้ด้วยยันต์ "จักรเพชร" หรือ "ยันต์ภา" นั่นเอง โดยการผูกยันต์ภาต่อกันเป็นรูปวงกลม โดยรอบจะมี ตารางตรนิสิงเห . เม อะ มะ อุ , นะ ทรงธรณี รวมทั้งยันต์ห้าด้วย...ลงจารไว้อย่างสวยงามทีเดียว

เหรียญพรหม ของท่าน อ.เฮงนั้น หลายท่านเคยตั้งข้อกังขาว่า พิธีจะครบหรือไม่...ยืนยันครับว่า ครบ ท่าน อาจารย์ผูกพิธีทั้งพุทธ และ พาร์ม อย่างครบถ้วน โดยทางพิธีพุทธนั้น มีหลวงปู่สี วัดสะแก เป็นประธานทุกครั้ง

เครื่องรางชุด "พระมหาพรหมธาดา" นี้ มีดีทุกอย่าง อาราธนาอธิษฐานเอาได้เลย ใช้ได้ทางเมตตา และป้องกันตังแบบครอบจักรวาล เป็นมหาอุด คงกระพัน มีเรื่องเหตุเพทภัย ให้อาราธนาดังนี้ "โอม จัตุรพักตรพรหมา นะมามิหัง" แล้วจะรอดปลอดภัยทุกประการ ด้วยจิตที่ยึดมั่น ใจมั่น

 replyanchalit wrote on Oct 3, '08
ดูพศ.ปีเกิดของท่านแล้ว เรียกได้ว่ายุคเดียวกับ อาจารย์จาบ สุวรรณ ฆราวาสผู้เป็นอาจารย์สอนกัมมัฏฐานของวัดประดู่ทรงธรรม เลย

อ.เฮง 2428-2502 (ราว 75 ปี)
ก๋งจาบ 2426-2501 (ราว 75 ปี)

อาจารย์เฮง ในปัจจุบันชื่อเสียงโด่งดังกว่า เพราะท่านสร้างเครื่องรางของขลัง ตกทอดมาถึงทุกวันนี้
ส่วน ก๋งจาบ ท่านใช้ความรู้ความสามารถสงเคราะห์ไปตามเรื่องในสมัยนั้น คงมีแค่ว่าท่านเป็นอาจารย์กัมมัฏฐานวัดประดู่ฯ เป็นผู้รักษาหลวงพ่อปานตอนถูกบังฟัน เป็นเพื่อนกับหลวงพ่อปาน เป็นอาจารย์ของพระเกจิในยุคต่อมา เช่นหลวงพ่อเทียมวัดกษัตฯ หลวงพ่อกี๋วัดหูช้าง หลวงพ่อแทน วัดธรรมเสน ท่านคงจะไม่ได้สร้างเครื่องรางอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

เหมือนหลวงพ่อสมัยโบราณที่ท่านสร้างเครื่องรางของขลัง ก็จะดังเป็นตำนานมาถึงปัจจุบัน ส่วนท่านที่เก่งเป็นที่นับถือของชาวบ้านแต่ไม่ได้สร้างเครื่องรางอะไรออกมา ก็เงียบหายไปตามกาลเวลา

 replyanchalit wrote on Oct 3, '08
อีกบทความนึงครับ...............

ประวัติ อาจารย์เฮง ไพรวัลย์
จากจารึกที่เก็บกระดูกอาจารย์เฮง ณ วัดสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา เขียนไว้ว่า "เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๘ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ตายเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๒ สิริอายุ๗๕ ปี พื้นเพท่านเป็นคนบ้านหันตรา จ.พระนครศรีอยุธยา บิดาท่านเป็น นายตำรวจ หรือผู้ตรวจการณ์คุก โดยบิดาส่งไปเรียนที่ปีนัง สิงคโปร์ แต่เรียนไม่สำเร็จ ท่านเป็นคนชอบเรียนวิชาไสยศาสตร์ ได้ท่องเที่ยวเล่าเรียนมาแต่ทางภาคใต้ ท่านอาจารย์เฮงเป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับ พระยาเพชรปรีชา มีเพื่อนฝูงเป็นเจ้าพระยาหลายคน เมื่อท่านเดินทางกลับมายังภูมิลำเนา คือ จ.พระนครศรีอยุธยา คราวเมื่อท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ท่านให้ความสนใจศึกษาตำรับตำราทางไสยศาสตร์ อันว่าด้วยเวทมนตร์คาถา อักขระเลขยันต์ จากจารึกวัดประดู่โรงธรรมอย่างแตกฉาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสมัย สมเด็จพระพันรัต วัดป่าแก้ว หรือใน รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ. ๒๑๓๓-๒๑๔๘) นั้น รวบรวมสรรพวิทยาไสยศาสตร์ โดยจารึกไว้ที่ วัดประดู่โรงธรรม นี้อย่างพร้อมสรรพ ตำรับวัดประดู่โรงธรรม เป็นแม่บทของตำราที่ว่าด้วย เวทมนตร์คาถาและอักขระเลขยันต์ ที่มีปรากฏและเล่าเรียนสืบต่อมาตราบเท่าทุกวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอาจารย์เฮงนั้น ท่านเรียนรู้ตาม คำภีร์รัตนมาลา อย่างแตกฉาน และเจนจบมาก หลังจากที่ ท่านอาจารย์เฮง สึกจากการอุปสมบทแล้ว ท่านกลับมาครองเพศฆราวาส เริ่มปรากฏชื่อเสียงเกียรติคุณกระเดื่องดัง ทางเป็นพระอาจารย์ของท่าน เริ่มต้นด้วยการเป็น อาจารย์สัก ก่อน หลวงปู่สี เล่าว่า ครั้งกบฏบวรเดช ในสมัยรัชกาลที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๗๖) มีนายทหารและข้าราชการมาให้ท่านสักเป็นจำนวนมาก และจากการที่ท่านอาจารย์เฮง ตั้งพิธีสักที่วัดหันตรานั่นเอง ครั้งนั้น ท่านอาจารย์เฮง จำเป็นต้องอาราธนาพระสงฆ์มาสวดพุทธมนต์ในพิธีสักนั้นด้วย ในสมัยนั้น (พ.ศ. ๒๔๗๖) ในท้องที่ จ.พระนครศรีอยุธยา หาพระที่สวดพุทธมนต์และพุทธาภิเษกพิธียากมาก ยกเว้น ท่านอาจารย์สี วัดสะแกเท่านั้น เพราะท่านอาจารย์สีเคยลงมาศึกษาอยู่ที่สำนักวัดเลียบ จ.พระนครศรีอยุธยา และมีความเจนจบในเรื่องนี้อยู่ สืบต่อมาเมื่อท่านอาจารย์เฮง จะประกอบพิธีกรรมครั้งใด จำต้องมาอาราธนาท่านอาจารย์สีไปร่วมพิธีทางฝ่ายสงฆ์อยู่เสมอ
โดยพื้นฐานและฐานะของท่านอาจารย์เฮงนั้น จัดว่าเป็นผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง ท่านมีบ้านเป็นหลักแหล่งอยู่ที่ทุ่งหันตรา มีไร่นา และมีบ้านอีกหลังหนึ่งอยู่ที่วังน้อย เมื่อท่านมีลูกศิษย์ลูกหาทางกรุงเทพฯ มากขึ้น เพื่อความสะดวกในการประสิทธิ์ประสาทความรู้แก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหา จึงเชิญท่านมาเช่าบ้านอยู่ที่สวนมะลิ และย้ายมาอยู่ที่ห้องแถวหน้าสมาคม วาย.เอ็ม.ซี.เอ วรจักร จนกระทั่งสงครามมหาเอเชียระเบิด ท่านจึงอพยพขึ้นไปอยู่ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ราว พ.ศ. ๒๔๘๔-๒๔๘๕ การย้ายครอบครัวในครั้งนั้น ท่านซื้อเรือต่อ หรือเรือข้าวขนาดย่อมลำหนึ่ง ติดเครื่องยนต์แล่นขึ้นไปเป็นการสะดวกในการสัญจร ขณะนั้นที่ถนนหนทางอยู่ในสภาพกันดาร การคมนาคมทางน้ำดูจะมีความสำคัญมาก ภายในเรือของท่านใช้เป็นที่อาศัย ซึ่งพร้อมมูลไปด้วยปัจจัยในการดำรงชีวิต อย่างมีความสุขสบาย นึกจะโยกย้ายหรือท่องเที่ยวไป ณ ที่แห่งใด ก็ย่อมได้ตามความประสงค์ เขาว่าท่านเป็นคนร้อนวิชา อยู่ไม่เป็นที่ จึงชอบท่องเที่ยวไปในถิ่นที่ต่างๆ และจะวนเวียนมาจอดที่ต้นสะตือ วัดสะแก เป็นประจำ เป็นสถานที่ที่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาของท่านจะไปพบหาท่านได้ที่นั่น อาจารย์เฮง อุปสมบท ๒ ครั้ง ครั้งแรกที่วัดสุวรรณคาราราม จ.พระนครศรีอยุธยา เข้าใจว่าท่านคงจะอุปสมบทเมื่ออายุครบบวชตามประเพณี แต่ในครั้งหลังท่านมาบวชอีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้ท่านบวชที่ วัดพระญาติการาม โดยมี หลวงพ่อกลั่น ธรรมโชติ เป็นพระอุปัชฌาย์ ศึกษาศิลปะวิทยายุทธมาจากหลวงพ่อกลั่นหลายแขนงเหมือนกัน เช่น วิชาฝังเข็ม สำหรับวิชา สักยันต์ ๙ เฮ ชาตรีนั้น ทราบมาว่าเมื่อท่านท่องเที่ยวอยู่ทางภาคใต้ เคยศึกษามากับแขกก่อนแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็อาจจะมาเรียนเพิ่มเติมกับหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม อีกก็เป็นได้ การอุปสมบทของท่านอาจารย์เฮงกับหลวงพ่อกลั่นนั้น เข้าใจว่า ท่านบวชเพื่อประสงค์จะศึกษาวิทยายุทธพุทธาคมกับหลวงพ่อกลั่น
วัดพระญาติการาม ในยุคนั้น หลวงพ่อกลั่นท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมาก โดยปกติท่านปรมาจารย์ด้านพุทธาคมนั้นมักจะมีอุปนิสัยห้าวหาญ เด็ดเดี่ยว มั่นคง ไม่โลเล จึงทำด้านอาคมขลัง สำหรับท่านอาจารย์เฮง นอกจากท่านจะมีอุปนิสัยดังกล่าวแล้วอย่างพร้อมมูล ท่านยังมีความเป็นอัจฉริยะ ในด้านการช่างอย่างอัศจรรย์หลายประการ อาทิ การวาดเขียนภาพต่างๆ การแกะสลัก การกลึง เป็นต้น ซึ่งท่านจะได้สัมผัสจากภาพ พระพรหม ซึ่งอัญเชิญมาปรากฏ ณ ที่นี้ ซึ่งเป็นภาพฝีมือท่านอาจารย์เฮง และยังมีมงคลวัตถุในลักษณะต่างๆ อีกเป็นจำนวนมาก เหรียญพรหมรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ที่อยู่ในแวดวงนักนิยมสะสมเหรียญคงจะพบเห็นอยู่บ่อยๆ เพราะเหรียญพรหมเหรียญนี้ เป็นที่รู้จักมักคุ้นกันดี อีกทั้งในแวดวงพระเครื่องมีการจัดประกวดกันอยู่บ่อยๆ

2631
เชื่อค่ะ ว่าพญานาคมีอยู๋จริงเพียงแต่ว่าเราจะเห็นเหรอป่าวแค่นั้นแหละ  แต่พี่อยากเห็นอ่ะ  ทามงัยดี อิอิ :005: แม่ริมทางผ่านบ้านพี่ บ้านพี่อยู่น้ำรินอ่ะ เดี๋ยวแวะไป 55 :017:
ไว้จะรอกลับมาแล้วพาไปดูด้วยกันนะครับ คิดถึงจัง  :008:

ไปด้วยคับ:009:

2632
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: แตะหมา
« เมื่อ: 21 มี.ค. 2552, 11:21:44 »
ตกลงเตะหรืแตะอ่ะคับอิอิอิ :009:

2633
ขอบคุนสำหรับภาพครับเยอะมากๆเลย

2634
ยินดีต้อนรับครับผม :005:

2635
:095:สำหรับผมก้อเหมือนกับที่กล่าวกันมาหละคับเขาตอบกันหมดแล้วอ่ะคับ

2637
เจ๋งคับขนาดผมคนสามพรานยังไม่มีเลยคับ

2638
หลวงปู่ยังคอยดูแลลูกศิษย์เสมอคับผมคิดถึงหลวงปู่เสมอเวลามีปัญหาเสมอปัญาหาก็สามารถหาทางออกได้ครับ

2639
มีครับผม

2640
ปลาร้า ต้องเป็นปลาร้าสับนะครับ ท่านโปรดมากครับ ขออะไรก็ได้ แต่คนที่จับทหารเขาไม่ไห้ผ่านหน้าพระร่วงครับ เพราะท่าน ชอบทหารครับ  ผิดผลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ ครับ   ถมศักดิ์ เด็ก คอนถม (นครปฐม)

ถูกต้องครับพี่ใครจะเกณฑ์ทหารอย่าได้บนให้รอดเลยโดนทุกรายเพราะท่านชอบทหารครับ :002:

2641
เคยได้ยินชื่อท่านนานแล้วเพิ่งรู้ประวัติขอบคุณข้อมูลคับ

2643

พระร่วงโรจนฤทธิ์
"พระร่วงโรจนฤทธิ์" พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัดนครปฐม เป็นที่เคารพบูชาของพุทธศาสนิกชนทั่วไป มีชื่อเต็ม คือ "พระร่วงโรจนฤทธิ์ ศรีอินทราทิตย์ ธรรโมภาส มหาวชิราวุธ ราชปูชนียบพิตร" ตามประกาศกระแสพระบรมราชโองการ ลงวันที่ 12 ตุลาคม พุทธศักราช 2466
แต่ประชาชนทั่วไป เรียกขานว่า "หลวงพ่อพระร่วง" หรือ "พระร่วงโรจนฤทธิ์"

ประวัติพระร่วงโรจนฤทธิ์ วัดพระปฐมเจดีย์

เป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ทำด้วยทองเหลืองหนัก 100 หาบ ศิลปะสุโขทัย สูง 12 ศอก 4 นิ้ว ประทับยืนบนฐานโลหะทองเหลืองลายบัวคว่ำบัวหงาย ทำวงพระพักตร์ตามยาว พระหนุเสี้ยม นิ้วพระหัตถ์ พระบาทไม่เสมอกัน ห้อยพระหัตถ์ซ้ายลงข้างพระวรกาย แบฝ่าพระหัตถ์ขวายกตั้งขึ้น ยื่นไปข้างหน้า มีพระอุทรพลุ้ย บ่ายพระพักตร์สู่ทิศเหนือ

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระยุพราช เสด็จฯ ประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือ ในปีพ.ศ.2451 ได้ทอดพระเนตรพระพุทธรูปโบราณเป็นอันมาก แต่มีพระพุทธรูปองค์หนึ่งที่เมืองศรีสัชนาลัย (สุโขทัย) กอปรด้วยพระลักษณะงามเป็นที่ต้องพระราชหฤทัย แต่ชำรุดมาก เหลืออยู่แต่พระเศียร พระหัตถ์และพระบาท

จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญลงมากรุงเทพฯ แล้วให้ช่างปั้นสถาปนาขึ้นมาบริบูรณ์เต็มพระองค์ และโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีเททองหล่อ เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2456 ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรุงเทพฯ โดยมีผู้ออกแบบ คือกรมหลวงนเรศร์วรฤทธิ์ (พระองค์เจ้ากฤษฎาภินิหาร)

จากนั้นได้อัญเชิญมาสู่จังหวัดนครปฐม เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2457 ทางรถไฟ ประดิษฐาน ณ พระวิหารด้านทิศเหนือ องค์พระปฐมเจดีย์ วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร จนถึงปัจจุบัน

เมื่อครั้งอัญเชิญพระร่วงโรจนฤทธิ์ มาประดิษฐานยังองค์พระปฐมเจดีย์ฯ จำเป็นต้องแยกชิ้นมาประกอบเข้าด้วยกันที่จังหวัดนครปฐม เสร็จเป็นองค์สมบูรณ์ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2458

หลังจากรัชกาลที่ 6 เสด็จสวรรคต ตามความในพระราชพินัยกรรมของพระองค์ระบุว่า ให้บรรจุพระอังคารของพระองค์ไว้ใต้ฐานพระร่วงฯ ที่องค์พระปฐมเจดีย์ ในวันที่ 31 สิงหาคม 2469 จึงได้ทำพิธีบรรจุพระบรมราชสรีรังคาร ณ ใต้ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ ตามพระราชประสงค์

มีความเชื่อว่า พระร่วงโรจนฤทธิ์ โปรดหรือชอบลูกปืน โดยต้องแก้บนด้วยการยิงปืน แต่ต่อมาเป็นเรื่องผิดกฎหมาย จึงใช้จุดประทัดแทน และอีกอย่างที่เป็นของโปรด (ตามความเชื่อของชาวบ้าน) คือ ไข่ต้ม และไม่ใช่ไข่ต้มธรรมดาต้มสุกแล้วต้องชุบสีแดงที่เปลือกไข่หลังต้มแล้ว ก่อนนำมาแก้บน

ในการบนบานขอพรหรือขอความสำเร็จต่างๆ จากองค์พระร่วงโรจนฤทธิ์ ชาวบ้านทั้งชาวไทยชาวจีนในนครปฐมเป็นที่ทราบกันทั่วไปที่ผ่านมาเคยเห็นมีผู้มาแก้บนด้วยไข่ต้มนับร้อยนับพันใบก็มี

คำกล่าวบูชาพระร่วงโรจนฤทธิ์ที่แปลแล้วมีว่า "พระพุทธรูปพระองค์ใด ซึ่งมีอภินิหารไม่น้อย มีพระพุทธลักษณะอันงดงามผุดผ่อง พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทร มหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงถวายพระนามว่า "พระร่วงโรจนฤทธิ์ ศรีอินทราทิตย์ ธรรโมภาส มหาวชิราวุธราช ปูชนียบพิตร" เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติ แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประดิษฐานมาอยู่ ณ วิหารมณฑลด้านทิศเหนือ แห่งองค์พระปฐมเจดีย์ ควบเวลาถึงกว่า 92 ปี (ปัจจุบัน) ได้แผ่พระบารมีปกเกล้าไปยังพุทธศาสนิกชนทั่วทุกทิศ ปานประหนึ่งว่า พระพุทธองค์ ทรงสถิตประทับยืนอยู่ ณ นิโรธาราม ริมฝั่งแม่น้ำโรหิณี ใกล้เมืองกบิลพัสดุ์ ทรงโปรดพระประยุรญาติทั้งสองฝ่าย ให้คลายจาก มานะทิฐิอยู่ร่วมกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข"

"ข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมเกล้าวันทาพระร่วงโรจนฤทธิ์พระองค์นี้ ซึ่งเป็นที่นำบุญมาให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ผู้นมัสการอยู่ แม้พระปฐมเจดีย์ใหญ่ใด ซึ่งเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและเป็นที่ประดิษฐานองค์พระร่วงโรจนฤทธิ์ ซึ่งมีปาฏิหาริย์ไม่น้อย งดงามดุจพระจันทร์ในยามราตรี ข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมเกล้าวันทาพระปฐมเจดีย์นี้ ซึ่งเป็นที่นำบุญมาให้แก่ผู้ทัศนาอยู่เสมอ ข้าพระพุทธเจ้าขอนมัสการพระร่วงโรจนฤทธิ์ พระบรมสารีริกธาตุ และองค์พระปฐมเจดีย์ที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งควรนมัสการอยู่โดยส่วนเดียว ด้วยเครื่องสักการะคือดอกไม้ไฟอันตั้งอยู่ ณ ทิศทั้งสี่ ในบริเวณองค์พระปฐมเจดีย์ ได้แล้วซึ่งบุญอันใด ด้วย อานุภาพแห่งบุญนั้น ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุข เป็นผู้ไม่มีเวร ปราศจากอันตราย เจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมเป็นนิตย์เทอญ"

สำหรับวัดพระปฐมเจดีย์ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกพิเศษ ชนิดราชวรมหาวิหาร ซึ่งอาณาจักรที่ตั้งสองสิ่งสำคัญอยู่ คือ องค์พระปฐมเจดีย์ และพระร่วงโรจนฤทธิ์ วัดพระปฐมเจดีย์ตั้งอยู่ในตำบลพระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 56 กิโลเมตร เป็นปูชนียสถานเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในไทย

ทั้งนี้ องค์พระปฐมเจดีย์ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า มีลักษณะโครงสร้างเป็นพระเจดีย์ใหญ่รูประฆังคว่ำปากผายมหึมา โครงสร้างชั้นในเป็นไม้ซุงรัดด้วยโซ่เส้นมหึมา ก่ออิฐถือปูนประดับด้วยกระเบื้องปูทับประกอบด้วยวิหาร 4 ทิศ กำแพงแก้ว 2 ชั้น

พระปฐมเจดีย์สูงจากพื้นดินถึงยอดมงกุฏ 120.45 เมตร ฐานโดยรอบวัดได้ 235.50 เมตร

เส้นผ่าศูนย์กลาง 56.65 เมตร จากปากระฆังถึงสี่เหลี่ยมสูง 18.30 เมตร สี่เหลี่ยมด้านละ 28.10 เมตร ปล้องไฉน 27 ปล้อง เสาหาร 16 ต้น คตพระระเบียงรอบกำแพงแก้วชั้น 562 เมตร กำแพงแก้วชั้นในโดยรอบ 912 เมตร ซุ้มมีระฆังบนลานองค์พระปฐมเจดีย์ 24 ซุ้ม

ส่วนงานนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ จัดขึ้นเป็นประจำ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนชั่วไปในจังหวัดนครปฐมและทั่วราชอาณาจักร ได้ร่วมกันบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และร่วมกันบริจาคทรัพย์บำรุงรักษาองค์พระปฐมเจดีย์ให้มั่นคงสืบเป็นประเพณี
ที่มา...จากข่าวสด
[/color]

2645
ขอบคุนคับพี่หอมเชียง :054: :054:

2646
ช่วงนี้อยู่อารมณ์ศิลปินอ่ะคับ55++

2650
สวยคับสุดยอด

2651

พญานาคผู้มาใส่บาตร หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
ครั้งหนึ่งท่านพักอยู่ที่ วัดห้วยน้ำริน อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ สังเกตเห็นว่า ในบรรดาทายกทายิกาที่มาฟังเทศน์หรือใส่บาตรถวายจังหันทุกวันนั้น มีชายคนหนึ่งที่ดูแปลกกว่าคนอื่น

คือถึงจะนุ่งห่มแต่งกายอย่างชาวบ้านธรรมดา แต่ก็ดูภูมิฐานและสำรวมกว่าคนทั่วไป มีดอกไม้กับอาหารคาวหวานมาใส่บาตรทุกวัน สำหรับอาหารทุกชนิดที่เขานำมานั้น แม้จะมองดูเป็นอาหารพื้นเมืองทั่วไป มีปลา มีผัก น้ำพริก หรือแกง ตามปกติ แต่สังเกตว่า ระยะนี้อาหารที่ท่านฉันนั้นมีรสชาติพิเศษ อย่างไรก็ดีท่านก็ไม่แน่ใจว่า อาหารที่มีรสชาติพิเศษนั้นจะเป็นอาหารจากที่ชายผู้นั้นถวายหรือไม่ เพราะเมื่อพระรับถวายจังหันแล้ว ท่านก็จัดลงบาตรรวม ๆ กันไป จะเป็นอาหารจากสำรับใด ถ้วยใด ของโยมคนไหนก็ไม่ได้จดจำไว้


ธรรมดาพระธุดงคกรรมฐาน ท่านจะมีโอภาปราศรัยกับญาติโยมเป็นปกติ ครั้งนี้ ท่านพูดคุยธรรมดา แล้วก็ถามถึงโยมคนที่ว่านี้ เออ...เป็นใคร อยู่บ้านไหน เป็นญาติของใคร ท่านมาคราวก่อน ๆ ไม่เคยเห็น

ชาวบ้านแถบนั้นซึ่งคุ้นเคยกับท่าน เคยปรนนิบัติพระธุดงค์มานาน ต่างก็นึกขึ้นได้ว่า หลวงปู่หมายถึงผู้ใด แต่ก็ไม่อาจจะตอบท่านได้ว่าเป็นใคร มาแต่ไหน ได้แต่พูดกันว่า เออ...จริงซี นึกได้แล้ว เห็น ๆ เหมือนกัน นึกว่าเป็นญาติกับคนนั้น คนนั้นก็ว่า นึกว่าเป็นญาติกับคนโน้น คนโน้นก็คิดว่ามากับคนนี้

รวมความว่า ไม่เคยเห็นกันมาก่อน เห็น ๆ อยู่ แต่เวลากลับไม่ทราบว่ากลับไปบ้านที่ไหน กับใคร และเมื่อไร

วันสุดท้าย หลวงปู่ปะหน้าชายแปลกหน้านั้น นำดอกไม้และอาหารมาถวายจังหันเช่นเคย ท่านถาม เขาก็ตอบว่า บ้านโยมอยู่แถวนี้เอง ตอบยิ้ม ๆ แล้วก็ถอยไปนั่งรอระหว่างท่านฉันอย่างสงบเสงี่ยม ปกติระหว่างพระป่าฉันจังหันนี้ ชาวบ้านก็มักจะนำอาหารที่ถวายแล้วและเหลือจากที่พระนำลงบาตรแล้ว มาตักแบ่งแจกกันรับประทานเป็นกลุ่ม ๆ แต่ชายผู้นั้นมิได้ร่วมวงรับประทานกับกลุ่มใคร เขาคงนั่งอยู่คนเดียวอย่างสำรวมอาการ วันนั้นหลวงปู่ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ คอยสังเกตอาการของเขาอยู่เงียบ ๆ

ท่านฉันเสร็จ ให้พร เมื่อเห็นเขาเก็บของ กราบลา ท่านรออยู่พอไม่ให้น่าเกลียด แล้วก็ลุกตามไป ดูว่าเขาจะกลับไปทางใด

ปรากฏว่า พอลับจากศาลา เขาก็เดินหายลงไปในสระน้ำหน้าวัด..!!
ชายคนนั้นคือ นาคมาณพ นั่นเอง.....!

ท่านเล่าว่า พญานาคนั้นมีฤทธิ์มาก เป็นเทวดาจำพวกหนึ่ง เขาสามารถเนรมิตกายได้ต่าง ๆ กัน ท่านเคยถามเขาว่า ต้องการอะไร เขาก็เรียนท่านว่า วิสัยพญานาคนั้นมีความเคารพผู้ทรงศีลผู้ทรงคุณธรรม มนุษย์ผู้เป็นกัลยาณชนปรารถนาในการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา เช่นไร พญานาคก็ปรารถนาในการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา เช่นนั้นเหมือนกัน ในกาลก่อน พระพุทธเจ้าสมัยเสวยพระชาติเป็นนาค มีนามว่า พระภูริทัตต์ ก็ยังสู้บำเพ็ญบารมี รักษาศีล บำเพ็ญทานภาวนาจนตัวตาย ในกาลปัจจุบัน กลิ่นศีลอันบริสุทธิ์ของพระคุณเจ้าหอมนัก หอมทั้งใกล้ หอมทั้งไกล หอมทวนลม หอมไปไกล พวกเขาก็ขอโอกาสมาทำบุญถวายทานแด่พระคุณเจ้า เพื่อเป็นการเพิ่มพูนบารมีของตนสืบไปบ้าง

ท่านถามถึงการเนรมิตกาย เพราะเคยเห็นพญานาคในรูปจำแลงต่าง ๆ หลายครั้งหลายหนแล้ว เขากราบเรียนว่า การเนรมิตกายของพญานาคนั้นง่ายดายมาก จะให้เป็นอย่างไรก็ทำได้ทั้งนั้น

เขาก็เลยเนรมิตกายถวายให้ท่านดู โดยเตือนว่า นี่เป็นภาพนิมิตทั้งนั้น...เขาหายตัวไปจากที่นั้น ครู่เดียวก็กลายเป็นมาณพหนุ่มน้อยเข้ามาหา ประเดี๋ยวก็เป็นชายชราเดินงก ๆ เงิ่น ๆ เข้ามาหา บัดเดี๋ยวก็หายไป แล้วกลับเป็นหญิงสาวสวย หายไปอีกครู่หนึ่ง ปรากฏว่า กลับมาเป็นเสือใหญ่น่าเกรงขาม กำลังเยื้องย่างเข้ามา จากร่างเสือกลายเป็นพรานขมังธนู ถืออาวุธเข้ามา พญานาคเรียนท่านว่า การเนรมิตกายนั้นไม่ยากเย็นอะไร เพียงคิดก็เปลี่ยนไปได้ตามต้องการ จะเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ถ้าเป็นมนุษย์ จะเป็นคนเดียวหรือหลายคน แต่ละคนต่างแสดงอากัปกิริยาต่างกันก็ได้ ถ้าเป็นสัตว์ อาจเป็นตัวเดียว หรือหลายตัว ทั้งอาจเป็นสัตว์ต่างชนิดกันก็ได้ เช่น เห็นเป็นภาพ ทั้งช้าง ทั้งเสือพร้อม ๆ กัน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นนาค ๒ ตัว หากเป็นพญานาคตัวเดียว จำแลงกายเป็นสัตว์ ๒ อย่าง ๒ ร่างกัน

เขาสามารถเนรมิตกายได้อย่างน่าพิศวง และรวดเร็วทันใจมาก
ท่านเล่าถึงการแปลงกายของพญานาคว่า เราได้ปะมาแล้วทุกอย่าง...เป็นงูตัวน้อย ๆ ผ้าขาว ผู้หญิง เสือ มนุษย์ ...กษัตริย์...สารพัด
ท่านเล่าว่า สำหรับรูปกายที่เป็นพญานาคจริง ๆ นั้น ท่านก็เคยเห็นอยู่ รูปร่างเหมือนกับที่เขาทำไว้ตามโบสถ์ตามวิหารนั้นเช่นเดียวกัน มีหงอน สามหงอนบ้าง ห้าหงอนบ้าง เจ็ดหงอนบ้าง ครั้งหนึ่งท่านเคยเห็นมาด้วยกันคู่สองผัวเมีย ทั้งพญานาคและนางนาคผู้เป็นภริยา

แต่บางทีเขาก็เข้ามาหาท่านในร่างของมนุษย์ แต่งตัวด้วยเครื่องทรงอย่างกษัตริย์ มีข้าราชบริพารเฝ้าแหนแวดล้อมมาดังขบวนเสด็จของพระราชา
เคยเรียนถามท่านว่า ?พญานาคตัวจริงใหญ่ขนาดไหน? ท่านตอบว่า?ใหญ่มาก?
ขณะนั้นเรากำลังอยู่กันหน้าโรงครัว จึงเรียนถามว่า ?ใหญ่เท่าโรงครัวนี้ไหม? ท่านว่า?ใหญ่กว่าอีก?

พวกเราอีกคนถามเสริมว่า?ใหญ่เท่าศาลานี้ไหม? ท่านบอกยิ้ม ๆ ว่า ?ใหญ่มากกว่าก็ได้ เล็กกว่าก็ได้ แล้วแต่เขาจะแสดงให้เห็น?
?ลำตัวเล่าเจ้าคะ ยาวแค่ไหน?


คัดลอกมาจากWWW.PALUNGJIT.COM

2652
อีกและมาอีกและของดีๆความรู้ดีๆต้องพี่เมฆคับ :005:

2653
ขอบคุนคับ

2654
แปลกดีคับ

2655
ได้ความรู้ม่กๆเลยขอบคุนพี่หอมเชียงมากๆๆคับ :054:

2656
สวยงามครับได้ความรู้อีกแล้ว

2657


หน้าเสือ ปี 36 เหรียญนี้ก็ครึ่งๆครับ ลองตรวจดูแล้วด้วยตัวเองแต่ไม่ขาดครับ


[/quote]

แก้ไขนนิดนึงครับพี่โจ้หน้าเสือเป็นรุ่น2ปี2535รุ่นสร้างโรงพยาบาลคับ

2658
หามูลค่ามิได้

2660
ครับผม

2662
น้ำใจหรือน้ำตาถ้าเลือกได้
มนุษย์
อุบัติเพิ่มหรือหลุดจากโลกหล้า
เพียงเพื่อพบพึ่งพรากจากเวลา
เพียงผ่านพรายสายน้ำตาแห่งอาดูร

ชีวิตมนุย์
สมมุติสูงสุดจากจุดศูนย์
เลิศเลอสูงค่าน่าเทิดทูน
ใช่ตระกูลสูงส่งจากองค์อินทร์

ชีวิตมนุษย์
สมมุติสูงสุดใช่สุดสิ้น
ยากจนต้อยต่ำย่ำติดดิน
มาแบ่งบิ่นบอกค่าราคาใคร

แต่...ทว่ามนุษย์
สมมุติสูงสุดกว่าค่าไหน
ดีเลวบริสุทธิ์ใช่อื่นใด
คือค่าไซร้แห่งกรรมกระทำเอง

ดังนั้นมนุษย์
มองให้ผ่านผาดผุดสมมุติเพ่ง
เข้าให้ถึงปรมัตถ์สะบัดเพลง
แล้วบรรเลงคุณค่าราคาธรรม

ทำดีตอนเป็นเป็นได้น้ำใจ
โดยเกื้อกูลห่วงใยไร้สูงต่ำ
ทำดีตอนตายใครได้ทำ
มีแต่ลูกหลานทำด้วยน้ำตา

ใช่ไหม เราเหล่ามนุษย์
อุบัติเพิ่มหรือหลุดจากโลกหล้า
เพียงเพื่อพบพึ่งพรากจากเวลา
เพียงผ่านพรายสายน้ำตาแห่งอาดูร[/
size] :090:

2663
บทความ บทกวี / ตอบ: สงครามเก้าทัพ
« เมื่อ: 20 มี.ค. 2552, 12:09:01 »
น่าเอาไปให้พวกนักการเมืองอ่านนะคับ

ลูกพระเจ้าตาก อดีตกรุงธนค่ำ123

2664
ความรู้ใหม่มาอีกแล้วขอบคุนคับ

2665
ขอบคุนคับ

2666
เฮ้อ....คนไทยทามไปได้

2668
พี่เมฆมีแต่ของดีๆทั้งนั้นเลยคับความรู้ดีๆได้จากพี่เมฆหลายๆอย่างเลยขอบคุนคับ

2669
รับน้องใหม่ให้เต้นไก่ย่างแล้วก้อเขียนหน้าเขียนตากัน...อิอิอิ

2670
ผมขำตรง แฮ่ๆๆๆอ่ะคับท่าน...อย่าโกธนะคับ
แต่เรื่องหมานี่ผมแขวนพระของหลวงปู่ตั้งแต่เด็กๆเลยหมากัดไม่เข้าจริงๆคับ

2671
มันแปลกดีคับพี่ศักดาอาจจะเป็นอภินิหารก้อได้แล้วแต่ความเชื่อส่วนบุคลก้อได้

2672
อืม ยังไม่ผ่านการใช้งานมามากครับ สวยดีครับ

พุทธคุณก็ถามต้นน้ำเลยครับ รู้สึกจะห้อยคออยู่ใช่มั้ยต้นน้ำ   :057:


พุทธคุนก้อมหาอำนาจ คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดปลอดภัยอ่ะนะ
พ่อผมรอดตายมาเพราะบารมีหลวงปู่ช่วยไว้หลายครั้งแล้วครับ
:001:

2673
ไปหาได้ที่ไหนบ้างอ่ะคับ

2674
ขอให้หลวงพ่อมีสุขภาพแข็งแรงตลอดไปนะคับขอบคุนพี่โคมแก้วนะคับที่นำภาพมาให้ชมคับสัญยาณภาพมาเร็วจริงๆคับ
ผมว่าจะไปร่วมงานด้วยแต่ตื่นไม่ทันอ่ะคับ..กำจิงๆ 11;

2675
ผมไม่กล้าจับอ่ะกลัวมันกัด

2676
บทความ บทกวี / คำตอบจากฟ้า
« เมื่อ: 19 มี.ค. 2552, 10:14:58 »
คำตอบจากฟ้า
ขอถามฟ้า พระเจ้าข้าฯ วอนช่วยตอบ

กราบนบน้อม วันทา มาแจ้งไข
แท้จริงนั้น ชีวิตนี้ คืออะไร
ถึงยากเย็น เข็นใจ เป็นหนักหนา 
 พระเจ้าข้าฯ ท่านตอบมา ว่าชีวิต
คือลิขิต แห่งวัฏฏา น่าสงสาร
เกิดกายา ด้วยธรรมมา ปรากฏการณ์
อยู่เพื่องาน หน้าที่ วิถีตน
เกิดด้วยกฏ ตายด้วยกฏ มิปดเจ้า
อย่าโง่เขลา มัวโทษข้า ว่าขีดเขียน
หากชีวิต เฝ้ารอคอย และติเตียน
เจ้ามิเพียร ก็มิเห็น ในเส้นทาง
บุญไม่ทำ กรรมก็ก่อ อย่าขอพร
แม้วิงวอน สักเท่าไร ไม่เห็นผล
หากทำดี มีบุญนำ คอยค้ำจน
อันกุศล จะก่อเกื้อ ทุกเมื่อเอย...... 

2678
อยากได้ความรุ้ดีๆต้องพีเมฆคับ :016: :015:

2679
ของวัดไหนอ่ะคับพี่เมฆ

2680
สวยๆๆๆๆสุดยอด

2682
หามาได้งัยคับเนี่ย....อิอิ

2683
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: ทำไงดี
« เมื่อ: 18 มี.ค. 2552, 09:53:18 »
ของสำนักไหนอ่ะคับว่างๆถ่ายรูปมาชมบ้างนะพี่

2684
มาอีกแล้วของดีๆสวยทั้งนั้นเลยคับ

2685
ขอบคุนสำหรับข้อมูลคับ

2686
เคยได้ยินมานานแล้วคับแต่ไม่เคยเห็นสักทีขอบคุนที่นำมาให้ชมครับเป็นบุญตาคับ

2687
ต้องหาโอกาสทำบ้างแล้วชีวิตคนเรามันไม่แน่ไม่นอนอ่ะนะ
อนุโมทนาบุญคับ
:054:

2688
ขอบคุณนะครับ  เดียวไปฝังเพิมอีกครับ
แล้ว ตระกรุตคู่ชีพอครับ วิ่งได้รึเปล่าครับ
 แล้วที่ท่านโจรว่านั้นผมไม่เคยเตะหมาลอกครับ
  เดียวไปฝังให้ได้ตามที่ คุณอชิตะ  บอกนครับ
  ขอบคุณสำหรับคำตอบนะครับ

อยากฝังตะกรุดบ้างอ่ะต้องทำยังงัยเตรียมอะไรบ้างพอดีไปเรียนผมผ่านแถววัดอัปสรสวรรค์ทุกวันอ่ะคับ
ใช่วัดอัปสรแถวบางไผ่ป่ะ

2689
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: happy birthday
« เมื่อ: 18 มี.ค. 2552, 01:20:03 »
ขอให้หลวงพ่อมีสุขภาพแข็งแรงนะคับ

2690
ขนาดผมอยู่สามพรานแท้ๆผมยังไม่มีเลยอ่ะสุดยอด

2691
ขอบคุนครับคุนลุงผู้การเสือผมจะนำแบบคุนลุงไปเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตจะได้ประสบความสำเร็จในชีวิตเหมือนกับคุนลุงผู้การเสือคับ :002:

2692
อ่ะนะพี่เมฆของดีเยอะเลยคับสุดยอด

2693
ไม่ต้องคับต่อลายอื่นได้เลยผมเห็นหลายคนสักที่อื่นมาก้อมาสักที่วัดบางพระอ่ะคับ

2694
สวยคับพี่หอมเชียง

2695
อยากได้บ้างคับ

2696
คุณลุงผู้การเสือท่านใจดีด้วยคับวันไหว้ครูท่านนำผ้ายันต์มาแจกด้วยขอบคุบมากๆคับ

2697
เหรียญอเมซิ่งเหรียญนี้ไม่ดีครับ   พี่น้องจำไว้เลยครับ  ถ้าเหรียญตอกเลข 2678ส่วนมากจะเก๊ครับ  พระขุนแผนกับวัดพระวัดพลับ รอท่านอื่นมาชี้แจงนะครับ

ขอบคุนสำหรับความรู้ดีๆคับพี่

2698
คาถาอาคม / ตอบ: มนต์พระเพทยาธร
« เมื่อ: 17 มี.ค. 2552, 08:49:48 »
ถ้าจำกันไม่ได้ลองดูที่หนังสือย้อนรอยกรรมคับลองอ่านกันดู

2699
เยอะจังเลยคับสวยคับ

2701
ขอให้หลวงพ่อมีสุขภาพแข็งแรงนะคับ :054:

2702
รูปไม่เห็นขึ้นเลยอ่ะคับ

2703
รับทราบคับ

2704
ขอบคุนคับความรู้ดีๆมาอีกแล้ว

2705
พระป่า

พระภิกษุในพระพุทธศาสนาแบ่งออกได้เป็นสองฝ่ายคือ ฝ่ายคันถธุระ และฝ่ายวิปัสสนาธุระ ฝ่ายคันถธุระ ศึกษาพระปริยัติธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อให้เกิดความรอบรู้ในหลักธรรม เพื่อนำไปประพฤติปฏิบัติ และสั่งสอนผู้อื่นต่อไป พระภิกษุฝ่ายนี้เมื่อศึกษาแล้วจะเกิดปัญญาที่เรียกว่า สุตตามยปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดจากการเรียนรู้จากภายนอกโดยการฟังการเห็นเป็นต้น ส่วนใหญ่พระภิกษุฝ่ายคันถธุระ มักจะอยู่ที่วัดในเมืองหรือหมู่บ้าน เพื่อความสะดวกในการแสวงหาความรู้เพื่อตนเองจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ และได้ใช้ความรู้นั้น ๆ สั่งสอนผู้อื่นได้ง่าย ได้บ่อยครั้งและได้เป็นจำนวนมาก จึงเรียกพระภิกษุฝ่ายนี้อีกอย่างหนึ่งว่าเป็นฝ่ายคามวาสี หรือพระบ้าน


           อีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าฝ่ายวิปัสสนาธุระ นำเอาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไปประพฤติปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จริงจังโดยเน้นที่การฝึกจิตในด้านสมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญาในลักษณะของภาวนามยปัญญา อันเป็นความรู้ที่แท้จริงตามหลักของพระพุทธศาสนา เป็นปัญญาที่เกิดจากภายในผุดเกิดขึ้นเองเมื่อได้ปฏิบัติสัมมาสมาธิ จนถึงระดับหนึ่งคือ จตุตถฌานแล้วกระทำในในให้แยบคายน้อมไปไปสู่ที่ใต้ต้นวิชชาสาม ซึ่งจะเป็นความรู้ตามความเป็นจริงในระดับหนึ่ง ตามกำลังความสามารถของผู้ปฏิบัตินั้น ๆ อันเป็นหนทางนำไปสู่ความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางอันสูงสุดของพระพุทธศาสนา การปฏิบัติเพื่อให้บรรลุผลดังกล่าวจำเป็นต้องหาที่สงบสงัด ห่างไกลต่อการรบกวนจากภายนอกในรูปแบบต่าง ๆ ดังนั้นพระภิกษุฝ่ายนี้จึงออกไปสู่ป่าเขา แสวงหาสถานที่ เพื่อให้เกิดสัปปายะแก่ตนเองที่จะบำเพ็ญสมาธิภาวนาอย่างได้ผล จึงเรียกพระภิกษุฝ่ายนี้ว่า ฝ่ายอรัญวาสี หรือพระป่า หรือพระธุดงค์

           ในสมัยพุทธกาล พระภิกษุทุกรูปจะเป็นพระป่า พระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกำชับให้ภิกษุสาวกของพระองค์ ให้ออกไปสู่โคนไม้ คูหาหรือเรือนร้าง เพื่อปฏิบัติสมาธิภาวนา

           พระพุทธเจ้าประสูติในป่า คือที่ป่าลุมพินีวัน ณ เขตติดต่อแดนระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับกรุงเทวทหะ ตรัสรู้ที่ใต้ต้นอัสสัตถพฤกษ์ ในป่าริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เขตกรุงสาวัตถี แคว้นมคธ ทรงแสดงพระปฐมเทศนาที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงกรุงพาราณสี และเข้าสู่ปรินิพพานที่ป่าในเขตกรุงกุสินาราย ตลอดระยะเวลา ๕๑ ปี พระพุทธเจ้าได้ทรงจาริกไปสั่งสอนเวไนยสัตว์ และเสด็จประทับอยู่ในป่า เมื่อมีผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาสร้างวัดถวายก็จะสร้างวัดในป่า เช่น เชตวัน เวฬุวัน อัมพวัน ลัฏฐิวัน ชีวกัมพวัน มัททกุจฉิมฤคทายวัน อันธวัน และนันทวัน เป็นต้น คำว่าวันแปลว่าป่า พระพุทธองค์จะประทับอยู่ในวัดดังกล่าวตอนช่วงพรรษา ปีหนึ่งไม่เกินสี่เดือน นอกจากนั้นจะเสด็จจาริกนอนตามโคนไม้ตามป่า

พระป่าของไทย
           พระป่าของไทย หมายถึงพระที่อยู่ตามธรรมชาติเช่นเดียวกับ พระบรมศาสดาอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสาวกตั้งแต่สมัยพุทธกาล เป็นผู้ที่บรรพชาอุปสมบทถูกต้องครบถ้วนตามพระธรรมวินัย ไม่ผิดกฏหมายของบ้านเมือง บวชด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างเปี่ยมล้นและบริสุทธิ์ใจในบวรพุทธศาสนา เมื่อบวชแล้วก็มุ่งมั่นบำเพ็ญเพียร ตามหลักพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เพื่อให้บรรลุธรรม อันนำไปสู่การพ้นจากวัฏสงสาร ทำให้พ้นจากกองทุกข์ อันเป็นจุดหมายอันสูงสุดของพระพุทธศาสนา

           ในสมัยสุโขทัยต่อเนื่องมายังสมัยอยุธยา เรามีพระภิกษุฝ่ายคามวาสี เน้นทางด้านคันถธุระ และฝ่ายอรัญวาสีเน้นทางด้านวิปัสสนาธุระ ดังจะเห็นได้ในประวัติศาสตร์ในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ครั้งที่กระทำสงครามยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาแม่ทัพพม่า ได้ชัยชนะ แต่แม่ทัพนายกองหลายคนกระทำการบกพร่องได้รับการพิจารณาโทษ สมเด็จพระนพรัตน์แห่งวัดป่าแก้วและคณะ ได้เสด็จมาแสดงธรรมเพื่อให้ทรงยกโทษประหารแก่ แม่ทัพนายกองเหล่านั้น โดยยกเอาเหตุการณ์ตอนที่พระพุทธองค์ผจญพญามาร ในคืนวันที่ จะทรงตรัสรู้มาเป็นอุทาหรณ์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงปิติโสมนัส ซาบซึ้งในพระธรรมที่สมเด็จพระนพรัตน์วัดป่าแก้ว ทรงแสดงยิ่งนักตรัสว่า "พระผู้เป็นเจ้าว่านี้ควรหนักหนา" และได้ทรงพระราชทานอภัยโทษประหารแก่แม่ทัพนายกองเหล่านั้น

           จะเห็นว่าสมเด็จพระนพรัตน์วัดป่าแก้ว เป็นพระภิกษุฝ่ายอรัญวาสี จึงได้ชื่อนี้ และอยู่ที่วัดป่า แต่ก็มิได้ตัดขาดจากโลกภายนอก เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญที่ฝ่ายพระภิกษุสงฆ์สมควรที่จะออกมาสงเคราะห์ฝ่ายบ้านเมือง หรืออาจจะกล่าวโดยรวมว่า ฝ่ายศาสนจักรสงเคราะห์ฝ่ายอาณาจักร ท่านก็สามารถกระทำกิจนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ อย่างผู้ที่แตกฉานในพระไตรปิฎก ดังนั้น พระภิกษุสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสีผู้ปฏิบัติวิปัสสนาธุระ จะต้องมีความรู้ทางคันถธุระเป็นอย่างดีมาก่อน จะได้ปฏิบัติวิปัสสนาธุระได้อย่างถูกต้องตรงทาง คุณสมบัติข้อนี้ได้มีตัวอย่างมาแล้วแต่โบราณกาล

           ในสมัยรัตนโกสินทร์ มีพระภิกษุที่เป็นแบบอย่างของพระป่าในปัจจุบัน เป็นที่รู้จักกันดีคือ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันโท จันทร์) อดีตเจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส กรุงเทพ ฯ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล และหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ทั้งสามท่านมีกิตติศัพท์เป็นที่เลื่องลือ ในดินแดนแห่งพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ทั้งในประเทศไทย ประเทศลาว และประเทศพม่า สำหรับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นพระภิกษุที่มีศิษย์เป็นพระป่ามากที่สุดสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ท่านได้บรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๖ และมรณภาพ เมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๙๖ นับจากปี พ.ศ.๒๔๖๐ จนมรณภาพท่านได้ออกสั่งสอนศิษย์เป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงขั้นสูงสุด โดยเน้นภาคปฏิบัติที่เป็นจิตภาวนาล้วน ๆ ตามแนวทางพระอริยมรรคมีองค์แปด เมื่อกล่าวโดยย่อได้แก่ ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

 

ปัจจัยสี่ของพระป่า
           ปัจจัยที่จำเป็นสำหรับพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เพื่อให้พอเหมาะแก่การดำรงชีวิตอยู่สำหรับการปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้สี่อย่าง พระป่าของไทยได้นำมาประพฤติปฏิบัติจนถือเป็นนิสัยคือ

           ๑. การออกเที่ยวบิณฑบาตมาเลี้ยงชีพตลอดชีวิต การบิณฑบาตเป็นงานสำคัญประจำชีวิต ในอนุศาศน์ท่านสั่งสอนไว้มีทั้งข้อรุกขมูลเสนาสนะ และข้อบิณฑบาต การออกบิณฑบาต พระผู้มีพระภาคทรงถือเป็นกิจจำเป็นประจำพระองค์ ทรงถือปฏิบัติเพื่อโปรดเวไนยสัตว์อย่างสม่ำเสมอตลอดมาถึงวันปรินิพพาน

           การบิณฑบาต เป็นกิจวัตรที่อำนวยประโยชน์แก่ผู้บำเพ็ญเป็นเอนกปริยาย กล่าวคือ เวลาเดินบิณฑบาตไปในละแวกบ้าน ก็เป็นการบำเพ็ญเพียรไปในตัวตลอดเวลาที่เดิน เช่นเดียวกับเดินจงกรมอยู่ในสถานที่พักประการหนึ่ง เป็นการเปลี่ยนอิริยาบถในเวลานั้นประการหนึ่ง ผู้ที่บำเพ็ญทางปัญญาโดยสม่ำเสมอ เมื่อเวลาเดินบิณฑบาต เมื่อได้เห็นหรือได้ยินสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาสัมผัสทางทวารย่อมเป็นเครื่องเสริมสติปัญญา และถือเอาประโยชน์จากสิ่งนั้น ๆ ได้โดยลำดับประการหนึ่ง เพื่อตัดความเกียจคร้านของตนที่ชอบแต่ผลอย่างเดียว แต่ขี้เกียจทำเหตุที่คู่ควรแก่กันประการหนึ่ง และเพื่อตัดทิฏฐิมานะถือตน รังเกียจต่อการโคจรบิณฑบาต อันเป็นลักษณะของการเป็นผู้ขอ

           เมื่อได้อะไรมาจากบิณฑบาตก็ฉันอย่างนั้น พอยังอัตภาพให้เป็นไป ไม่พอกพูนส่งเสริมกายให้มาก อันจะเป็นข้าศึกต่อความเพียรทางใจให้ก้าวหน้าไปได้ยาก การฉันหนเดียวในหนึ่งวันก็ควรฉันเถิดแต่พอประมาณ ไม่ให้มากเกินไป และยังต้องสังเกตด้วยว่าอาหารชนิดใดเป็นคุณแก่ร่างกาย และเป็นคุณแก่จิต เพื่อให้สามารถปฏิบัติสมาธิภาวนาได้ด้วยดี

           ๒. การถือผ้าบังสุกุลจีวรตลอดชีวิต ในสมัยพุทธกาล พระผู้มีพระภาคทรงสรรเสริญพระมหากัสสปะว่า เป็นผู้เลิศในการทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร

           ผ้าบังสุกุล คือผ้าที่ถูกทอดทิ้วไว้ตามป่าช้า เช่นผ้าห่อศพ หรือผ้าที่ทิ้งไว้ตามกองขยะ ซึ่งเป็นของเศษเดนทั้งหลาย ไม่มีใครหวงแหน พระภิกษุเอามาเย็บติดต่อกันตามขนาดของผ้าที่จะทำเป็นสบง จีวร สังฆาฏิ ได้ประมาณแปดนิ้วจัดเป็นผ้ามหาบังสุกุล ผ้าบังสุกุลอีกประเภทหนึ่งที่เป็นรองลงมา ผู้ที่มีจิตศรัทธานำผ้าที่ตนได้มาด้วยความบริสุทธิ์ไปวางไว้ในสถานที่พระภิกษุเดินจงกรมบ้าง ที่กุฏิบ้าง หรือทางที่ท่านเดินผ่านไปมา แล้วหักกิ่งไม้วางไว้ที่ผ้า หรือจะจุดธูปเทียนไว้ พอให้ท่านรู้ว่าเป็นผ้าถวายเพื่อบังสุกุลเท่านั้น

           ๓. รุกขมูลเสนาสนัง ถือการอยู่โคนไม้ในป่าเป็นที่อยู่อาศัย มหาบุรุษโพธิสัตว์ก่อนทรงตรัสรู้ในระหว่างที่แสวงหาโมกขธรรมอยู่หกปี ก็ได้มีความเป็นอยู่อย่างนี้มาโดยตลอด ดังนั้น พระพุทธองค์จึงทรงแนะนำพระสาวกให้เน้นการอยู่ป่าเป็นส่วนใหญ่ จำทำให้การปฏิบัติธรรมก้าวหน้ากว่าการอยู่ที่อื่น

           ๔. การฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่าตลอดชีวิต เป็นการฉันยาตามมีตามได้ หรือเที่ยวแสวงหายาตามป่าเขา อันเกิดตามธรรมชาติเพื่อบรรเทาเวทนาของโรคทางกายเท่านั้น



กิจวัตรของพระป่า
           กิจวัตรที่สำคัญในพระพุทธศาสนา เป็นแนวปฏิบัติของพระป่า ที่ปฏิบัติอยู่เป็นประจำมีอยู่สิบประการคือ
           ๑. ลงพระอุโบสถในอาวาสหรือที่ใด ๆ มีพระภิกษุตั้งแต่สี่รูปขึ้นไป ต้องประชุมกันลงฟังพระปาฏิโมกข์ ทุก ๑๕ วัน (ครึ่งเดือน)
           ๒. บิณฑบาตเลี้ยงชีพตลอดชีวิต
           ๓. ทำวัตรสวดมนต์ เช้า - เย็นทุกวัน เว้นแต่เจ็บไข้อาการหนัก พระป่าจะทำวัตรสวดมนต์เอง ไม่ได้ประชุมรวมกันทำวัตรสวดมนต์เหมือนพระบ้าน
           ๔. กวาดเสนาสนะ อาวาส ลานพระเจดีย์ ลานวัด และบริเวณใต้ต้นมหาโพธิ ถือเป็นกิจวัตรสำคัญ เป็นเครื่องมือขจัดความเกียจคร้านมักง่ายได้เป็นอย่างดี พระวินัยได้แสดงอานิสงส์ไว้ ห้าประการ คือ หนึ่งในห้าประการนั้นคือ
ผู้กวาดชื่อว่าเป็นผู้ดำเนินตามคำสั่งสอนของพระศาสดา เบื้องหน้าแต่ตายเพราะทำลายขันธ์ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
           ๕. รักษาผู้ไตรครองคือ สังฆาฏิ จีวร และสบง
           ๖. อยู่ปริวาสกรรม
           ๗. ปลงผม โกนหนวด ตัดเล็บ
           ๘. ศึกษาสิกขาบท และปฏิบัติอาจารย์
           ๙. แสดงอาบัติคือ การเปิดเผยโทษที่ตนทำผิดพระวินัยที่เป็นลหุโทษ แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งให้ทราบ และสัญญาว่าจะสำรวมระวังมิให้เกิดทำผิดเช่นนั้นอีก
           ๑๐. พิจารณาปัจจเวกขณะทั้งสี่ ด้วยความไม่ประมาท คือ พิจารณาสังขาร ร่างกาย จิตใจ ให้เป็นของไม่เที่ยงถาวรที่ดีงามได้ยาก ให้เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพื่อเป็นอุบายทางปัญญาอยู่ตลอดเวลาในอิริยาบถทั้งสี่ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน

ธุดงควัตรของพระป่า
           ธุดงค์ที่พระผู้มีพระภาคให้ปฏิบัติเพื่อขจัดกิเลสที่ฝังอยู่ภายใจจิตใจของปุถุชน มีอยู่ ๑๓ ข้อ ดังนี้
           ๑. ปังสุกูลิกังคะ ถือใช้แต่ผ้าบังสุกุลเป็นวัตร
           ๒. เตจีวริกังคะ ถือใช้ผ้าเพียงสามผืนเป็นวัตร
           ๓. ปิณฑปาติกังคะ ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร
           ๔. สปทานจาริกังคะ ถือการเที่ยวบิณฑบาตไปตามแถวเป็นวัตร เพื่อเป็นความงามในเพศสมณะในทางมรรยาท สำรวมระวังอยู่ในหลักธรรม หลักวินัย
           ๕. เอกาสนิกังคะ ถือการฉันมื้อเดียวเป็นวัตร เพื่อตัดกังวลในเรื่องการฉันอาหารให้พอเหมาะกับเพศสมณะให้เป็นผู้เลี้ยงง่าย ไม่รบกวนคนอื่นให้ลำบาก
           ๖. ปัตตปิณฑิกังคะ คือฉันเฉพาะในบาตรเป็นวัตร ฉันเฉพาะในบาตร เพื่อขจัดความเพลิดเพลินในรสอาหาร
           ๗. ขลุปัจฉาภัตติกังคะ ถือการห้ามฉันภัตอันนำมาถวายเมื่อภายหลังเป็นวัตร
           ๘. อารัญญิกังคะ ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร
           ๙. รุกขมูลิกังคะ ถือการอยู่โคนไม้เป็นวัตร ข้อนี้ตามแต่กาลเวลาและโอกาสจะอำนวยให้
           ๑๐. อัพโภกาลิกังคะ ถือการอยู่ในที่แจ้งเป็นวัตร ข้อนี้ก็คงตามแต่โอกาส และเวลาจะอำนวยให้
           ๑๑. โสสานิกังคะ ถือการอยู่ป่าช้าเป็นวัตร ขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัติให้เหมาะกับเวลาและโอกาส
           ๑๒. ยถาสันถติกังคะ ถือการอยู่เสนาสนะแล้วแต่เข้าจัดให้ มีความยินดีเท่าที่มีอยู่ไม่รบกวนผู้อื่น อยู่ไปพอได้บำเพ็ญสมณธรรม
           ๑๓. เนสัชชิกังคะ ถือการ ยืน เดิน นั่ง อย่างเดียว ไม่นอนเป็นวัตร โดยกำหนดเป็นคืน ๆ ไป

เครื่องบริขารของพระป่า
           เครื่องบริขารของพระป่า ตามพระวินัยกล่าวไว้มีสองชนิด คือ บาตรดินเผา และบาตรเหล็ก ปัจจุบันใช้บาตรเหล็กที่ระบมด้วยไฟ เพื่อป้องกันสนิม

           สบงหรือผ้านุ่ง จีวรหรือผ้าห่ม และสังฆาฏิ เป็นบริขารที่จำเป็นสำหรับพระภิกษุ ผ้าเหล่านี้พระป่าจะทำกันเองตั้งแต่การตัดเย็บ ย้อมด้วยน้ำแก่นขนุนเรียกว่า ย้อมด้วยน้ำฝาด

           บริขารอื่นนอกจากบริขารแปดแล้ว ก็มีกลดพร้อมมุ้งกลด ในฤดูฝนสามารถใช้แทนร่มในเวลาออกบิณฑบาต นอกจากนี้ก็มีผ้าอาบน้ำฝนใช้นุ่งอาบน้ำ ผ้าอาบน้ำฝนนี้จะใช้หินแดงที่มีอยู่ตามธรรมชาติมาฝนเป็นสีสำหรับย้อม ผ้าที่ย้อมด้วยหินแดงนี้ จะมีสีแดงเป็นส่วนใหญ่ หินแดงนี้ยังใช้ผสมกับสีแก่นขนุนเพื่อย้อมสบงจีวร และสังฆาฏิได้อีก นอกจากนี้ผ้าปูที่นอน ผ้านิสีทนะสำหรับใช้ปูนั่ง ผ้าอังสะ ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปาก ย่ามสำหรับใส่ของ เมื่อถึงเวลาออกเที่ยววิเวกตามป่า ตามเขา ตามถ้ำ ท่านจะซักย้อมผ้าของท่านเพื่อให้สีทนทาน บางทีไปนานสองสามเดือน ก็จะเคี่ยวแก่นขนุนเก็บติดตัวไปด้วย
 

2706
เป็นบุญคับเพิ่งเคยเห็นขอบคุนคับ

2707
บทความ บทกวี / ตอบ: คำคมคำคน
« เมื่อ: 17 มี.ค. 2552, 12:48:10 »
คำคมทำให้คนเป็นคนได้...งง

2708
เปรตปากเน่า   
กาลเมื่อพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทับอยู่ ณ เวฬุวันมหาวิหาร ใกล้กรุงราชคฤห์ ทรงปรารภถึงเปรตปูติมุขเปรต (เปรตปากเน่า) ให้เป็นต้นเหตุ แล้วจึงทรงตรัสเทศนาว่า

 กาลเมื่อพระศาสนาพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีกุลบุตร ๒ คน ได้มีศรัทธาออกบวชในพระศาสนา เป็นผู้มีความประพฤติเคร่งครัด มีอาจารมรรยาทดี เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ได้พำนักอาศัยอยู่ในอาวาสที่สร้างอยู่ ณ ชนบทแห่งหนึ่ง

กาลต่อมา มีภิกษุรูปหนึ่ง ได้เดินทางมาจากหัวเมืองที่ห่างไกล ได้มาขออาศัยอยู่ด้วยกับภิกษุผู้ทรงศีลทั้งสองรูปในอาวาสนั้น

พระเถระเจ้าทั้งสอง ก็มีจิตกรุณา อนุญาตให้ภิกษุรูปนั้นได้อยู่อีกทั้งยังทำการดูแลต้อนรับเป็นอย่างดี

กาลต่อมาภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะนั้น ได้คิดขึ้นมาว่า อาวาสแห่งนี้ตั้งอยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสม มีหมู่ไม้ใหญ่อันให้ร่มเงา อุดมไปด้วยน้ำท่า อยู่แล้วร่มเย็นสบาย อีกทั้งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน ชาวบ้านก็มีจิตศรัทธาบริจาคทานสมบูรณ์มิได้ขาด ถ้าเราจักอยู่ต่อไปในอาวาสนี้ คงมิได้รับความยากลำบากใดๆ แต่ก็คงจะมีเหตุให้ไม่สบายใจอยู่ดี เป็นเพราะภิกษุเก่าทั้งสองรูปนั้น ยังคงอยู่ที่นี้ด้วย

ผู้คนชนทั้งหลาย ก็อาจจะคิดได้ว่า เราเป็นศิษย์ของพระเก่าทั้งสอง ลาภสักการะอันเลิศพึงจะมีแก่เราผู้เดียว ก็ต้องแยกแตกแบ่งให้แก่ภิกษุเก่าทั้งสองนั้น กว่าจะมาถึงเราลาภนั้นๆ ก็คงจะเป็นชนิดเลวแล้ว เห็นทีเราจะต้องหาวิธียุแหย่ ให้ภิกษุเก่าทั้งสองแตกแยกทะเลาะวิวาทกัน จะได้ต่างคนต่างไปเสียจากอาวาสนี้

อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุเก่าผู้เป็นพระเถระสูงสุด ก็ให้โอวาทแก่ภิกษุผู้อ่อนพรรษากว่าตามธรรมเนียม เสร็จแล้วก็กลับไปยังกุฏีของตน

ภิกษุอาคันตุกะนั้น ก็เข้าไปหา แล้วกล่าวว่า ?ข้าแต่พระอาจารย์ผู้เจริญ พระเถระอีกองค์ที่เป็นสหธรรมิกของท่าน มีวิสัยเสแสร้ง แกล้งทำตนเป็นมิตรที่ดีต่อหน้าท่าเท่านั้น เวลาลับหลังก็ติเตียน นินทา พูดจาด่าว่าดุจดังเป็นศัตรูกับท่าน?

พระเถระเจ้าพอได้ฟัง คำพูดของภิกษุอาคันตุกะ จึงกล่าวถามว่า ?เขาว่าอย่างไร?

ภิกษุอาคันตุกะ จึงตอบว่า ?พระเถระผู้เป็นเพื่อนอาจารย์กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านเป็นคนชอบโอ้อวด วางอำนาจ ชอบเสแสร้ง มากมายาลวงโลก หาเลี้ยงชีพด้วยวิธีประจบคฤหัสถ์?

พระเถระผู้มีอายุ ครั้งได้ฟังจึงยิ้ม แล้วกล่าวว่า ?อย่าเลย ขอท่านอย่ากล่าวเช่นนี้ เรารู้ดีว่า เพื่อสหธรรมิกของเรา จะไม่กล่าวเช่นนั้นเป็นแน่ เรารู้จักเขามาตั้งแต่ยังเป็นฆราวาสแล้ว เขาเป็นผู้มีอัธยาศัยดี มีน้ำใจ เป็นผู้เคร่งครัดในศีล ขอท่านอย่าได้พูดเช่นนี้อีกเลย?

ภิกษุอาคันตุกะ พอได้ฟังจึงกล่าวว่า ?ถ้าท่านอาจารย์คิดอย่างนี้ก็ดีแล้ว เป็นการสมควร เพราะคุ้นเคยอยู่ร่วมกันมานาน แต่สิ่งที่ข้าพเจ้านำมาพูด ก็ด้วยความเคารพรักต่อท่านอาจารย์ ถ้ามิเช่นนั้นจะมาพูดทำไม ข้าพเจ้าก็มิเคยผิดใจกับพระเถระเพื่อนท่าน สักวัน แล้วท่านอาจารย์จะรู้ความจริงเอง?

กล่าวดังนั้นแล้ว ภิกษุอาคันตุกะ ก็เข้าไปหาพระเถระผู้เป็นเพื่อนของอาจารย์ แล้วก็กล่าวยุยงขึ้นว่า ?ท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าได้ยินท่านอาจารย์ผู้เป็นสหธรรมมิตรกับท่าน กล่าวตำหนิติว่า ท่านเป็นบุคคลที่มักมาก จิตใจคับแคบ มีมารยาสาไถย ต่อหน้าว่าอย่างลับหลังทำอีกอย่าง ด้วยความรักเคารพในท่าน ข้าพเจ้าทนฟังเขาตำหนิท่านอยู่ไม่ได้ จึงนำความมาบอกแก่ท่าน จะได้ระวังตน เพราะท่านกำลังจะไว้ใจศัตรู?

ข้างพระเถระ พอได้ฟังภิกษุอาคันตุกะ มากล่าวดังนั้น จึงพูดว่า ?อย่าเลย ท่านอย่ามากล่าวดังนี้เลย เรารู้จักเพื่อนสหธรรมิกรูปนี้ดีมาตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว เขาเป็นผู้มีกิริยาวาจาเรียบร้อยงดงาม สำรวมระวังอยู่ในศีล เรามิเคยเห็นแม้สักครั้งที่เขาจะประพฤติทุจริต?

ภิกษุอาคันตุกะจึงกล่าวขึ้นว่า ?ไม่เป็นไร ท่านมิเชื่อข้าพเจ้าก็ไม่เป็นไร สักวันหนึ่งความจริงก็จะต้องปรากฏ ที่ข้าพเจ้ามาพูดมาเตือนเพราะหวังดี ถ้าท่านไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร? กล่าวเช่นนั้นแล้ว ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะ ก็กลับไปยังที่พักของตน

วันต่อมา ภิกษุอาคันตุกะนั้น ก็แวะเวียนเข้าไปหาพระเถระทั้งสอง แล้วก็พูดจายุแยงใส่ไคร้ให้ทั้งสองผิดใจกัน ทำอยู่เช่นนี้บ่อยครั้ง จนในที่สุด พระเถระทั้งสองต่างฝ่ายต่างคิดว่า ดูท่าเรื่องเหล่านี้คงจะเป็นจริง ต่างฝ่ายต่างก็ไม่พูดจาซึ่งกัน และไม่ร่วมทำกิจวัตร ไม่สมาคมต่อกัน แม้ที่สุดก็ไม่เคารพนับถือต่อกัน

เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ ไม่นานพระเถระทั้งสองก็เก็บบาตรและบริขารออกเดินทางจากวัดไปคนละทาง

ภิกษุอาคันตุกะ ครั้นเห็นว่าแผนการยุแหย่ของตนมีผลสำเร็จ เป้นเหตุให้พระเถระทั้งสองผิดใจกัน จนต่างฝ่ายต่างพากันทิ้งวัดหนีไปเสีย ภิกษุผู้มีความปรารถนาชั่วช้าก็รื่นเริงยินดี พอถึงเวลาเช้าก็เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงกล่าวถามภิกษุนั้นว่า ?พระเถระทั้งสองไปไหน?

ภิกษุนั้นจึงตอบว่า ?พระเถระทั้ง ๒ ทะเลาะกันทั้งคืนยันรุ่ง แม้เราจะห้ามปรามก็ไม่เชื่อฟัง พอรุ่งเช้าต่างก็เก็บข้าวของหนีออกจากวัดไม่รู้ว่าไปทางไหน?

ชาวบ้านจึงกล่าวว่า ?ถึงพระเถระทั้งสองจะหนีไปแล้ว แต่ขอท่านจงอยู่ในวัดนี้เพื่อที่จะอนุเคราะห์พวกข้าพเจ้าให้ได้ทำบุญ ฟังธรรม?

ภิกษุผู้คิดชั่วนั้นจึงรับว่า ?ได้ซิโยม อาตมาจะพำนักอยู่ในอาวาสนี้ เพื่อที่จะได้ดูแลรักษาอาวาสของพวกท่านต่อไป?

จำเนียรกาลเนิ่นนานมา ภิกษุนั้นเมื่อได้เป็นใหญ่ในอาวาส อีกทั้งต้องอยู่แต่ลำพังผู้เดียว ก็รู้สึกโดดเดี่ยว หงอยเหงา เศร้าซึม เหตุเพราะวันๆ ก็ไม่มีผู้ใดจะมาพูดคุยด้วย จะเจอหน้าผู้คนก็ตอนไปบิณฑบาต แต่ก็มิได้พูดได้คุย กลับมาวัดฉันอาหารก็ต้องอยู่คนเดียว สถานการณ์เช่นนี้ ถ้าเป็นภิกษุผู้ทรงศีลเจริญธรรมก็ต้องถือว่าเป็นสถานการณ์ที่เป็นลาภอย่างยิ่ง เพราะจะได้มีโอกาสเจริญภาวนากัมมัฏฐาน แต่ภิกษุรูปนี้หาได้มีความสำรวมในศีลไม่ อีกทั้งยังมิได้เคยเจริญภาวนาใดๆ เลย จิตก็กำเริบกระสับกระส่าย ไม่สามารถหาความสุขจากความสงบได้ คุ้นเคยแต่จะระคนปนอยู่กับหมู่คณะ ครั้นเมื่อขาดหมู่คณะไป ใจก็เศร้าหมอง ทั้งยังรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่า ทำไมนะตอนพระเถระทั้งสองรูปอยู่อาศัยภายในวัด จึงมีผู้คนไปมาหาสู่ท่านทั้งสองอยู่เนืองนิจ พร้อมทั้งนำลาภสักการะมาถวายให้ท่านทั้งสองอยู่เนืองๆ แต่เวลานี้ ที่นี่ไม่มีพระเถระทั้งสองแล้ว หมู่ชนผู้คนต่างก็พากันหดหาย ไม่มาให้เห็นหน้า ลาภที่เกิดจากหมู่ชนเหล่านั้น ที่เราหวังจะได้เลยพลอยหดหายไปด้วย เรานี่มันซวยจริงๆ นี่ถ้าเราไม่ไปยุแหย่ท่านผู้ทรงศีลทั้งสองให้แตกร้าวกัน แล้วต่างพากันหนีไป ป่านนี้ลาภเหล่านั้นคงจะมากมีแก่เราไปด้วย เราได้ทำผิดเสียแล้ว ดันไปยุแหย่ให้ผู้ทรงศีลทั้งสองแตกกัน แล้วเอกลาภที่หวังจะได้ก็มิได้เกิดแก่เรา ประโยชน์อันใดเราจะอยู่เฝ้าวัดเก่าๆ กุฏิผุๆ

ภิกษุผู้มีความปรารถนาลามกชั่วช้านั้น เฝ้าครุ่นคิดอยู่เช่นนั้นจนถึงกับเกิดอาการเศร้าซึมล้มป่วยลง อีกทั้งมิมีผู้ใดคอยดูแล ก็ยิ่งคิดเสียใจว่า เมื่อครั้งที่พระเถระทั้งสองยังอยู่ เราป่วยไข้ไม่สบาย ท่านทั้งสองยังจะคอยช่วยปรนนิบัติ ดูแลช่วยเหลือ บัดนี้เราต้องมานอนป่วยอยู่แต่ผู้เดียว โดยมิมีใครช่วยเหลือเอาใจใส่

ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ จนบังเกิดลมกำเริบขึ้นภายใน ดันหัวใจให้หยุดเต้น ตายลงในที่สุด

ภิกษุนั้นเมื่อตายลงแล้ว ด้วยอำนาจผลกรรมชั่วที่ตนทำ ส่งให้ไปบังเกิดเป็นสัตว์นรกอเวจี หมกไหม้เวียนเกิดเวียนตายอยู่ในนรกขุมนั้นเป็นเวลานานแสนนาน

กล่าวฝ่ายพระเถระทั้งสอง ต่างองค์ต่างออกเดินทางรอนแรมไปทั่วครามนิคมชนบท ในที่สุดก็มาพบกัน ณ อาวาสแห่งหนึ่ง และก็พากันทักทายปราศรัย เล่าเหตุทั้งหลาย ที่ได้ฟังมาจากปากของภิกษุ อาคันตุกะผู้ปรารถนาชั่วนั้น ทั้งสองรูป

ครั้นพระเถระทั้งสองได้ทราบความจริงของกันและกันแล้ว ก็ชักชวนกันกลับไปยังอาวาสเดิมของตน

หมู่คนชนชาวบ้านทั้งหลาย เมื่อได้เห็นพระเถระทั้งสองกลับมาสู่อาวาส ก็พากันยินดี ออกจากบ้านนำเอาเครื่องใช้ น้ำฉัน มาถวายแด่พระเถระที่ตนเคารพเลื่อมใส แล้วก็กล่าวว่า บัดนี้ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะนั้นได้ป่วยตายเสียแล้ว

พระเถระทั้งสอง พอได้สดับข่าวอวมงคลเช่นนั้น ก็บังเกิดธรรมสังเวช เมื่อชาวบ้านพากันกลับไปยังเรือนของตนหมดแล้ว พระเถระทั้งสองก็ชักชวนกันเจริญสติทำสมาธิภาวนา ยังญาณปัญญาให้เกิดเห็นธรรมชาติแท้ของชีวิตและสรรพสิ่งว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ดับไป ไม่มีใคร สิ่งใดดำรงอยู่ได้ตลอดกาลตลอดสมัย จิตก็คลายจากความยึดมั่นถือมั่น บรรลุอรหันตผลพร้อมปฏิสัมภิทาญาณ

ข้างฝ่ายภิกษุผู้ปรารถนาชั่วช้านั้น เมื่อตายแล้วไปตกอยู่ในอเวจีมหานรกสิ้นเวลาไปตลอด ๑ พุทธันดร จึงได้พ้นจากขุมนรกนั้น แล้วมาบังเกิดเป็นเปรต

ผู้มีรูปกายสีทองเหลืองอร่าม แต่มีปากอันเน่า มีหมู่หนอนชอนไชกัดกินลิ้นและปากร่วงหล่นออกมาจากปากอยู่ตลอดเวลา ทำให้ปากนั้นมีกลิ่นเน่าเหม็นตลบอบอวนไปทั่วกายของเปรตนั้น

 ขณะนั้นพระนารทะเถระเจ้า เดินลงมาจากยอดเขาคิชฌกูฏถิ่นที่พำนัก ระหว่างทางได้มาพบเปรตผู้มีกายเรืองรองดุจทอง เดินวนเวียนไปมา มีหมู่หนอนชอนไชล่วงหล่นลงมาจากปากดุจดังลำธารที่ไหลจากหินผา มีกลิ่นดังเนื้อเน่า พระเถระเจ้าจึงกล่าวถามว่า ?ดูก่อนผู้จมทุกข์ เหตุไฉนรูปกายและปากเจ้าจึงมีสภาพดังนี้?

 เปรตภิกษุอาคันตุกะนั่น จึงกล่าวตอบว่า ?อดีตสมัยพระศาสนาของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนามว่าพระกัสสปะ ข้าพเจ้ามีจิตศรัทธาเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนา ออกบวชปฏิบัติในพระธรรมคำสอนพระบรมศาสดา เหตุนี้จึงทำให้กายของข้าพเจ้ามีสีเรืองรองดังทอง ครั้นต่อมาเกิดความประมาทมัวเมา หลงอยู่ในลาภสักการะและเกียรติภูมิ จึงได้กระทำกรรมชั่วด้วยการกล่าววาจายุแหย่ พระเถระผู้ทรงศีล ทรงธรรม ๒ รูป ผู้เป็นสหายกัน ให้แตกแยก แล้วหนีออกจากอาวาสที่ข้าพเจ้าต้องการจะครอบครอง ด้วยเห็นแก่ลาภที่จะบังเกิดแก่ข้าพเจ้าคนเดียว

เมื่อพรเถระทั้งสองไปแล้ว ลาภมิได้เกิดดังปรารถนา เป็นเหตุให้ข้าพเจ้าเสียใจจนล้มป่วยแล้วตายลงในที่สุด

กรรมอันนั้น นำพาข้าพเจ้าไปตกนรกหมกไหม้อยู่ในอเวจีสิ้นเวลา ๑ พุทธันดร ครั้นพ้นจากนรกขุมนั้นแล้ว เศษกรรมอันนั้นยังส่งผลให้ข้าพเจ้าเป็นเปรตผู้มีรูปกายและปากดังที่ท่านผู้เจริญได้เห็นในเวลานี้นี่แหล่ะ

เปรตนั้นจึงกล่าววาจาสุภาษิตแก่พระมหาเถระนารทะ ต่อไปว่าท่านผู้เจริญได้รู้เห็นรูปกายและปากของข้าพเจ้าดังนี้แล้ว โปรดจงจำนำเอาไปอบรมสั่งสอน มหาชนคนทั้งหลายว่าอย่าทำกรรมชั่วด้วยปาก อย่างใช้ปากเป็นเหตุให้พาตนไปบังเกิดในนรก อย่างสร้างความทุกข์ทรมานด้วยปากของตนเลย มิเช่นนั้นจะมีสภาพเดียวกันกับข้าพเจ้า

พระนารทะเถระเจ้า พอได้ฟังคำของเปรตปากเน่าดังนั้นแล้ว จึงเดินทางไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระบรมสุคตเจ้า แล้วเล่าเรื่องทั้งปวงที่ตนได้เห็นได้ฟัง ถวายแด่พระพุทธองค์ให้ทรงทราบ

 พระพุทธองค์ จึงทรงยกเรื่องเปรตปากเน่านั้นให้เป็นเหตุ แล้วทรงโปรดแสดงธรรมสั่งสอนพระภิกษุและประชุมชนทั้งปวงให้ละวจีทุจริต ตั้งมั่นอยู่ในวจีสุจริต คือ งดเว้นจากการพูดเท็จ งดเว้นจากการพูดส่อเสียด งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ งดเว้นจากการพูดคำหยาบ แล้วปฏิบัติวจีสุจริตจะได้รับผลเป็นสุข ไม่ต้องตกนรกเพราะคำพูดของตน


--------------------------------------------------------------------------------

2709
ขอให้พระองค์ ทรงมีอายุยืนนาน ครับ 

2710
ที่บ้านมีดอกสีดำ2ดอกคับ
นมัสการหลวงปู่จำลองคับ

2711
แหม...มีต่อภาค2ด้วย

2712
สวยครับเด๋วพรุ่งน้จะไปวัดไปลงเพิ่มหน่อยอ่ะ

2713
ขอบคุณสาระดีๆครับท่านต้นน้ำ ไม่หล่อเนอะแล้วหรอครับ น้องต้นน้ำ อิอิ  :005:

ช่วงนี้พักความหล่อก่อนคับหล่อบ่อยๆเด๋วจาเบื่อกัน...อิอิอิ

2714
ขอบคุนครับสำหรับข้อมูลดีๆๆ

2715
สุดยอดเลยคับรูปหลวงลุงญาตอนหนุ่มๆ
นม้สการครับหลวงลุงญา หลวงพี่ทุกๆรูป

2716
ลายสือไท เอกลักษณ์ที่บรรพบุรุษประดิษฐ์สร้างขึ้นเพื่อให้พวกเราๆท่านๆได้ใช้มาถึงทุกวันนี้ ช่วยกันอนุรักษ์กันไว้นะครับ ขอบคุณครับผม  :054:

กรี้ดส์ค่ะ...สิบทัศน์คัมแบค.. อราวนด์เดอะคล๊อก... คนอะไรป่วย แต่ไม่ใช้หมอ พยาบาล ใช้ตำรวจรักษา... ชิ!

ขอความรักจงเจริญ... เจริญด้วยรัก....  :025:



ความรักก้อดีอย่างี้แหละ.อิอิอิ

2717

ย้อนอดีตควันหลงวันไหว้ครู

3ทหารเสือป่าวคับเนี่ย

2719


 วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร เป็นวัดโบราณดึกดำบรรพ์มาก เท่า ๆ กับองค์พระธาตุพนม ในตำนานพระธาตุพนมนั้น พระโบราณาจารย์ท่านจดหมายเหตุไว้ว่า พระธาตุพนมสร้างครั้งแรกโดยพญาทั้ง ๕ หัวเมือง พระมหากัสสปะเป็นประธานพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ นำพระอุรังคธาตุจากชมพูทวีปที่กรุงราชคฤห์เพื่อจำพรรษาและทำปฐมสังคายนาพระธรรมวินัยดังนี้
 

        ถ้าถือตามนี้ก็คำนวณได้ว่า สร้างพระธาตุพนมยุคแรก เมื่อพระพุทธเจ้าเข้าสู่นิพพานแล้วราวไม่เกิน ๒ เดือน เพราะทำปฐมสังคายนา เมื่อพระพุทธเจ้านิพพานแล้วได้ ๓ เดือน ( เดือน ๙ เพ็ญ ) สร้างครั้งแรกได้เพียงชั้นเดียว
       ครั้นต่อมาตำนานบอกว่า พระพุทธเจ้าเสด็จนิพพานแล้ว ๗ ปี ๗ เดือน ( ที่จริง ๖ เดือน ) ถึงเดือน ๑๒ เพ็ญ วันพุธพญาอินทร์สั่งให้วิสสุกัมมเทวบุตรลงมาสลักลวดลายพระเจดีย์ให้ละเอียดวิจิตรต่าง ๆ ซึ่งปรากฏในตอนต้นแล้ว และในคืนวันนั้นพญาอินทร์เป็นประธานแห่งเทพทั้งหลายทุกหมู่เหล่า ตั้งแต่ชนชั้นจาตุมมหาราชขึ้นไป ได้มาชุมนุมกันเฉลิมฉลองตลอดคืนยังรุ่ง ก่อนกลับและเลิกได้มอบให้เทวดา ๔,๐๐๖ พระองค์รวมทั้งหัวหน้าและเทวบุตรผู้มีฤทธิ์อีก ๓ ตน ให้คอยดูแลปกปักรักษาพระบรมธาตุ เหตุนั้นพระธาตุพนมจึงปรากฏว่าศักดิ์สิทธิ์กว่าพระเจดีย์ทั้งหลายอื่นเป็นพิเศษ เรื่องนี้ผู้ใกล้ชิดและผู้เคยไปกราบไหว้บูชาย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจตนเอง
   
 
    วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร
 
   

          โบราณจึงย่อคัมภีร์อุรังคนิทานให้สั้นแล้วใส่ศักราชเข้าไปว่า พระพุทธเจ้าเข้าสู่นิพพานไปแล้วได้ ๗ ปี ปลาย ๗ เดือน เดือน ๑๒ วันพุธ เกณฑ์ฤกษ์ชื่อว่า ?กัตติกา? มีพระมหากัสสปะเถรเจ้าพร้อมด้วยอรหันตา ๕๐๐ ได้นำพระอุรังคธาตุมาบรรจุไว้ในอุโมงค์ มีพญาทั้ง ๕ ได้สร้างไว้ต้อนรับ ดังนี้ คนต่อมาก็เลยถือเอาว่า สร้าง พ.ศ. ๘ ที่จริงใน พ.ศ. ๘ ( ล่วงแล้ว ๗ ปี ๖ เดือนเศษ ) ที่กล่าวนี้เป็นปีฉลองใหญ่เมื่อสลักลวดลายเสร็จต่างหาก พระธาตุได้สร้างมาก่อนนั้นแล้ว

           พระพุทธเจ้านิพพานแล้วได้ ๕๐๐ ปี พญาทั้ง ๕ ที่สร้างพระธาตุพนมยุคแรกได้จุติมาเป็นพระอรหันต์ทั้ง ๕ ได้เดินทางมาขอความอุปถัมภ์บูรณะพระเจดีย์ธาตุพนมที่เรียกในสมัยนั้นว่า ?อุโมงค์ภูกำพร้า? กับพญาสุมิตธรรมวงศา หรือสุมินทราชกษัตริย์องค์ครองเมืองมรุกขนคร ที่ย้ายจากศรีโคตบูร

           พระเจ้าสุมิตธรรมวงศา ได้ให้พละเอวะอำมาตย์ คุมประชาชนมาถากถางปรับปรุงบริเวณภูกำพร้า ต่อเติมพระเจดีย์ขึ้นเป็นชั้นที่ ๒ ก่อกำแพงรอบทั้ง ๔ ด้าน ย้ายพระอุรังคธาตุจากพื้นล่างขึ้นตั้งไว้ที่บน ตรงปากระฆังคว่ำชั้นบน อันเป็นปากระฆังเดี๋ยวนี้ มียอดและระฆังคงไม่สูงเท่าไหร่ สร้างวิหารให้พระเถระทั้ง ๕ อาศัย ได้แก่ เนินพระอรหันต์ทั้ง ๓ ด้าน คือ เหนือได้แก่หอพระนอน ทิศใต้ได้แก่ เนินหินแลงริมคูรอบพระธาตุข้างกุฏิศิลาภิรัตน์รังสฤษฏิ์ ด้านทิศตะวันตก ได้แก่ วิหารเล็กบนเนินพระอรหันต์ที่ปลูกโพธิ์พุทธคยา ปรับปรุงเป็นลานโพธิ์ และสร้างมหารัตนศาลาไว้หลัง สร้างวิหารและพระพุทธสัมโพธิญาณไว้ด้านหน้า ออกประตูหลังพระธาตุไปท่านจะพบเห็นทันที
            เมื่อเราถือตำนานที่กล่าวมานี้เป็นหลัก ก็จับใจความได้ว่า ในสมัยพญาสุมิตธรรมวงศา เมือมรุกขนคร พุทธศักราชประมาณ ๕๐๐ ปี ได้มีพระภิกษุเถระมาอยู่ภูกำพร้าวัดพระธาตุพนมเป็นครั้งแรก และทางบ้านเมืองอุปถัมภ์ ได้สร้างกุฏิวิหารให้อยู่ ๓ หลัง ๓ ด้านขององค์พระธาตุพนมเป็นครั้งแรก แต่พญาทั้ง ๕ ได้สร้างอุโมงค์ไว้ จะถือว่าเริ่มเป็นวัดแต่นั้นมาก็อาจจะถือได้ แต่ไม่มีเรื่องติดต่อมา
           พญาสุมิตธรรมวงศาเป็นองค์แรกที่สละผู้คน ๗ บ้าน เป็นคน ๓,๐๐๐ คน ให้มาตั้งบ้านโดยรอบพระธาตุในวัดก็คงมีพระภิกษุสามเณรอยู่เฝ้ารักษา แต่ตำนานมิได้กล่าวถึง
           การสร้างวัดพระธาตุพนม สร้างคร่อมองค์พระธาตุ คือ มีวัดทั้ง ๔ ด้าน เรียกหัวหน้าคณะทั้ง ๔ ว่าเจ้าด้านทั้ง ๔ อย่างเจดีย์สำคัญทางลานนาและล้านช้าง คือ พระธาตุลำพูน พระเจดีย์หลวง มักมีวัดตั้งรอบอยู่ทั้ง ๔ ทิศ
           ผู้สร้างครั้งแรกคงเป็นพญาสุมิตธรรมวงศา เชื้อพระวงศ์กษัตริย์ศรีโคตบูรย้ายมาตั้งเป็นเมืองมรุกขนคร เพื่อให้วัดดูแลอุปัฏฐากพระบรมธาตุ และควบคุมข้าโอกาสทั้งหลาย เรื่องวัดพระธาตุพนมยุคแรก ได้เงียบหายไป พร้อมกับการร้างของเมืองมรุกขนคร ประชาชนอพยพขึ้นไปอยู่ทางเหนือ แต่เมืองล่าหนองคายไปจนถึงหนองเทวดาที่เรียกว่า ห้วยเก้าเลี้ยวเก้าคดที่ตั้งอยู่เหนือนครเวียงจันทน์เดี๋ยวนี้

   

 
        ครั้นต่อมาไทยล้านช้างได้โยกย้ายจากเหนือมาสู่ใต้ตามลำแม่น้ำโขง คือ ตั้งอยู่เมืองเซ่า หรือชวา ได้แก่ หลวงพระบางเดี๋ยวนี้ พระองค์ได้ธิดาพญาอินทปัตนคร ( กัมพูชา ) มาเป็นบาทปริจาริกา พระเจ้าตาคือพ่อของนาง ได้ถวายตำนานพระธาตุพนมแด่พญาโพธิสาล พระองค์ได้ทราบเรื่องราวพระบรมธาตุดีแล้ว ก็ให้ความอุปถัมภ์วัดพระธาตุพนมเป็นอันมาด ได้สร้างวิหารหลวงมีระเบียงโดยรอบ หลังคามุงด้วยตะกั่ว ( ดีบุก ) ทั้งสิ้น ได้สละคนเป็นข้าโอกาสเพิ่มเติมที่ขาดตกบกพร่อง สละดินถวายครอบ ๒ ฝั่งแม่น้ำโขง ให้พวกอยู่ในเขตดินแดนส่งส่วยข้าวเปลือกข้าวสารประจำปี บำรุงพระธาตุและได้สละมหาดเล็ก ๒ นาย คือ ข้าซะเองและพันเฮือนหิน ให้เป็นข้าพระธาตุ นำส่งดอกไม้ธูปเทียนเครื่องราชสักการะมาบูชาพระธาตุในวันมหาปวารณาออกพรรษาทุกๆ ปี สมัยพระไชยเชษฐาธิราช โอรสพระเจ้าโพธิสาล ย้ายเมืองหลวงมาตั้งอยู่เวียงจันทน์ ก็ได้เสด็จมาไว้พระธาตุ ตรวจตราวัดวาอยู่เสมอจนสิ้นรัชกาล แต่จดหมายเหตุไม่ได้บันทึกชื่อสมภารไว้เลย
 
   

        ต่อมา พ.ศ. ๒๑๕๗ ปรากฏในศิลาจารึกว่า ?พญานครหลวงพิชิตราชธานีศรีโคตบูรหลวง? ได้แก่เมืองนครเก่าอยู่ใต้เมืองท่าแขกฝั่งประเทศลาวเดี๋ยวนี้ ได้มาบูรณะพระธาตุ ก่อกำแพงชั้น ๒ รอบทั้ง ๔ ด้าน ถือปูนสะทายตินพระธาตุ พระภิกษุผู้รักษาวัดก็คงมีอยู่แต่ไม่ปรากฏชื่อ
           ต่อมา พ.ศ. ๒๒๓๓ - ๔๕ เป็นเวลาที่สมเด็จพระสังฆราชาสัทธัมมโชตนญาณวิเศษ ( ตามจารึกทองคำที่ค้นได้เวลาพระธาตุล้ม) แต่เรียกกันทั่วไปว่า ?เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก? ท่านองค์นี้เป็นพระมหาเถระที่มีพลังจิตสูง เป็นที่เคารพรักของประชาชน ตั้งแต่ราชสกุลลงมาถึงคนสามัญธรรมดาทั่วแผ่นดิน จึงมีชื่อเกิดขึ้นเองเช่นนั้น
          เวลานั้น ในนครเวียงจันทร์ การเมืองปั่นป่วนสับสน ท่านจึงได้นำครัวราษฎรประมาณ ๓,๐๐๐ มาตั้งปฏิสังขรณ์พระธาตุพนมอยู่ราว ๑๐ กว่าปีจึงแล้วเสร็จสมบูรณ์ คือท่านต่อตั้งแต่ปากระฆังขึ้นไปจนสุดยอด ดังนั้นพระธาตุพนมจึงสูง ๔๓ เมตร ( ดูรูปถ่ายพระธาตุพนมองค์เดิม )
          เจ้าราชครูองค์นี้ได้นำมหัคฆภัณฑ์มีค่าเข้าบรรจุมากที่สุด เพราะมีญาติโยมและคนเชื่อถือมาก มีเจ้าศรัทธาผู้หลักผู้ใหญ่ช่วยเหลือสร้างผอบสำริดบรรจุของมีค่า มีพระเจดีย์ศิลาและผอบทองคำบรรจุพระบรมอุรังคธาตุและพระสารีริกธาตุ พระพุทธรูปทองคำหนัก ๔,๗ ก.ก. และหนัก ๑๘ ก.ก. เป็นต้น บริจาคร่วมกุศลกับทานเป็นอันมากต่อมาก
       เมื่อบูรณะพระธาตุพนมเสร็จแล้ว ท่านได้พาครอบครัวญาติโยมอพยพลงไปตั้งหลักอยู่ภาคใต้ ตั้งเมืองจำปาศักดิ์ขึ้นเป็นนครหลวงปกครองชาวล้านช้างภาคใต้เป็นครั้งแรก

เข้าใจว่าวัดพระธาตุพนม ท่านคงตั้งลูกศิษย์เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ไว้ดูแลรักษาแทนท่าน และปกครองข้าโอกาสทั้งหลาย แต่ตำนานมิได้ระบุไว้ว่าตั้งผู้ใด
       พ.ศ. ๒๓๔๙ - ๕๖ เป็นสมัยต้นแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตกอยู่ในรัชกาลที่ ๒ เจ้าผู้ครองนครเวียงจันทน์มีศรัทธาได้เสด็จมาบูรณะพระธาตุและวัดพระธาตุพนม ร่วมกับพระบรมราชาสุตตา เจาเมืองนครพนม และพระจันทสุริยวงศา ( กิ่ง ) เจ้าเมืองมุกดาหารปรับปรุงบริเวณและสร้างหอพระ ทำถนนปูอิฐตั้งแต่วัดถึงฝั่งโขง กว้าง ๓ เมตร ยาว ๕๐๐ เมตรเศษ ทำฉัตรยกฉัตรใหม่ในปีสุดท้าย
         ในระยะนี้ ที่วัดพระธาตุพนมก็ต้องมีพระผู้ใหญ่เป็นหลักวัดอยู่ ปรากฏตามจารึกของพระจันทสุริยวงศา เจ้าเมืองมุกดาหาร ผู้มาบูรณะโรงอุโบสถว่า ได้ให้ข้าราชการผู้ใหญ่มาปัคคหะ คือ กราบไหว้เจ้าสังฆราชาวัดพระธาตุพนมขอโอกาสปฏิสังขรณ์ ฯลฯ บันทึกมิได้ระบุว่า สังฆราชา ( เจ้าอาวาส เจ้าคณะสงฆ์ ) มีชื่อว่าอย่างไร
         เหตุการณ์ได้ผ่านจากนั้นมานาน จนถึง พ.ศ. ๒๔๔๔ พระธาตุพนมชำรุดมาก พระครูวิโรจน์รัตโนบล เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานีองค์แรก ได้มาเป็นหัวหน้าบูรณะซ่อมแซมชำระสะสางเหงื่อไคลพระบรมธาตุให้สะอาดสดใส เพื่อมทองคำประดับยอด และประดับแก้วกระจกที่ปากระฆัง ปรากฏวาพระอุปัชฌาย์ทาเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ท่านองค์นี้มีฝีมือช่างปั้นอยู่บ้าง ยังมีเหลือให้เห็นอยู่หลายชิ้น นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไร

         

เป็นพระอารามหลวงชั้นไหน ?
             วัดพระธาตุพนม ได้ยกฐานะเป็นพระอารามหลวง ชั้นเอก ชนิด ?วรมหาวิหาร? เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓
ปูชนีย์ที่สำคัญ ประวัติการสร้างและสมโภช
           พระธาตุพนม เป็นปูชนียะสำคัญยิ่งของวัดและชาติด้วย มีคนรู้จักทั่วประเทศ การสร้างก็สร้างมาแต่พระพุทธเจ้านิพพานแล้วไม่ถึง ๒ เดือน มีการฉลองใหญ่เมื่อเดือน ๑๒ เพ็ญ วันพุธ พุทธปรินิพพานแล้วได้ ๗ ปีกับ ๖ เดือน และบูรณะใหม่มาแล้วอย่างน้อย ๓ ครั้ง จนถึงได้พังลงเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ เวลานี้ได้บูรณะองค์พระธาตุพนมเสร็จแล้ว ยังแต่บริเวณอาคารอื่นโดยรอบ มีการสมโภชใหญ่ประจำปีมาแต่โบราณ คือ แต่เดือน ๓ ขึ้น ๑๐ ค่ำ จนถึง แรม ๑ ค่ำ เป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน เป็นงานชั้นเอกใหญ่ยิ่งมโหฬารของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

พระนามและประวัติพระประธานในพระอุโบสถและพระวิหาร
           พระประธานในพระวิหาร พระนามว่า ?พระพุทธมารวิชัยศาสดา? เข้าใจว่าสร้างแต่สมัยพระเจ้าโพธิสาลราช นครหลวงพระบาง เสด็จมาสร้างพระวิหารหลวง เมื่อ พ.ศ. ๒๐๗๓ - ๒๑๐๒ เมื่อสร้างวิหารใหญ่เข้าใจว่าได้หล่อพระประทานไว้ประจำเลย เพราะสืบแต่ผู้เฒ่าผู้แก่ก็บอกว่า เห็นประจำอยู่ในพระวิหารหอพระแก้วตั้งแต่ก่อนเกิด ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๖ เจ้าอาวาสได้ให้ช่างสร้างนาค ๗ เศียรแบบขอมประดับ ดูสวยงามมาก แต่เวลานี้พระธาตุล้มทับพังแล้ว คงเหลือแต่พระประทานไม่เป็นอันตราย เวลานี้ทางศิลปากรไดลงรักปิดทองและกั้นฉัตร ๕ ชั้นไว้กลางแจ้งบนฐานพระวิหาร หลังคาและผนังพระวิหาร กรมศิลปากรรื้อจะสร้างใหม่
        พระประทานในพระอุโบสถ เป็นพระปางมารวิชัยเหมือนกัน แต่มีขนาดย่อมกว่าพระประทานในพระวิหาร มีพระนามว่า ?พระองค์แสนศาสดา? เป็นพระประจำอุโบสถมานานแล้ว ที่ฐานมีจารึกเลขศักราชไว้ดังนี้ ? ศักราชได้ ๘๖๔ ตัว ? ตรงกับ พ.ศ. ๒๐๓๕ ถึงปีมะแมนี้ได้ ๔๘๗ ปีแล้ว ที่ฐานมีห่วงสำหรับหาม เข้าใจว่าแต่โบราณคงเอาออกแห่เวลาตรุษสงกรานต์ พระพักตร์นูน จมูกโด่งงาม พระองค์เกลี้ยงเกลา ไม่ทราบประวัติว่าหล่อที่ไหน ใครสร้าง ดูพระพุทธลักษณะและฝีมือช่างเป็นนักปราชญ์ชั้นสูงสร้าง
         ส่วนโรงอุโบสถนั้น สร้างมานานแล้ว ต่อมา พ.ศ. ๒๓๔๙ - ๕๖ คราวเจ้าผู้ครองเวียงจันทน์ลงมาบูรณะวัดพระธาตุพนม ปรากฏตามจารึกว่า พระจันทสุริยวงศา เมืองมุกดาหาร ได้ปฏิสังขรณ์สร้างอุโบสถไว้เป็นพุทธบูชาเป็นส่วนของท่านโดยเฉพาะด้วย ต่อมา พ.ศ. ๒๔๖๙ ท่านพระครูศิลาภิรัต เจ้าอาวาส พร้อมด้วยหลวงพิทักษ์พนมเขต ( ท้าวสีกะทูมจันทรสาขา ) นายอำเภอธาตุพนม ลูกหลานเหลนของพระจันทสุริยวงศา ได้รื้อโรงอุโบสถเก่าที่ชำรุดสร้างใหม่ ถึง พ.ศ. ๒๕๐๐ พระเทพรัตนโมลี ขอทุนฉลอง ๒๕๐๐ มาบูรณะโรงอุโบสถใหม่ คือ รื้อหลังคาแปลงเป็น ๓ ชั้น เพิ่มฝาผนังขึ้น ขยายหน้าโบสถ์ออกอีก ๗ เมตร ทำช่องประตูหน้าต่างใหม่ทุกห้อง ประตูหน้า ๓ ช่อ เป็นซุ้มกรอบประตูหน้าต่างประดับลวดลายดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้

2721
ยังงัยผมก้อรักแมนยู

แมนยูอยู่ในจัย ทีมชาติไทยอยู่ในสายเลือด




2722
สักวันผมจะต้องสักทางสายเหนือให้ได้ 13;

2724
สวยคับ
ขอบคุนท่านสายัณที่ให้ข้อมูลคับ

2725
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: จากใจ.......
« เมื่อ: 15 มี.ค. 2552, 11:40:00 »
เจ็ดยอดหลวงพี่แป๊วก้อดีคับทั้งเมตตาแคล้วคลาดคงกะพัน......ผมก้อได้สักคับเจ็ดยอดหลวงพี่แป๊ว

2726
ได้ทุกกุฎิเลยตามนั้นเลยคับ

2727
เมื่อไรจะรวยสักที

2728
อิจฉาตาร้อนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :043:
ได้ข่าวว่าจะมีข่าวดีเร็วๆนี้ เหมือนกานม่ายช่ายเหรอจ้ะ...ปั๊บ โปเตโต้ เอ้ย!! น้องต้นน้ำสุดหล่อ งัยพี่ขอแสดงความยิยดีล่วงหน้าไว้ก่อนเลยนะคะ สู้โว้ย!!! 555 13; 21; 30;

ข่าวอะไรคับพี่ปอน้องงงไปหมดแล้ว

2730
หลวงพี่ชื่อหลวงพี่หนึ่งครับ

2731
เจ๋งเลยของที่ไหนคับ

2732
ขออาเซนอล ถล่ม 4-0 กุหลาบแดง ถึงกำน้ำตาตก  :095:

ปีนี้ปืนแย่งที่4...ปีหน้าปืนหนีตกชั้น...จัดปาย

2734
อิจฉาตาร้อนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :043:

2735
สวยงามคับพี่ผมมี1เหรียญเป็นสีฟ้า

2736
อยากสักบ้างยันต์จระเข้

2738
ในปัจจุบันนี้ เมืองไทยเราได้ถ่ายทอดวัฒนธรรมทางตะวันตกมาถือเป็นขนบประเพณีปฏิบัติกันอยู่ในสังคมโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นประการหนึ่ง คือ การกำหนดให้วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์เป็น ?วันแห่งความรัก? หรือ ?วันวาเลนไทน์? ซึ่งดูจะไม่สอดคล้องกับชีวิตคนไทยที่ส่วนใหญ่เป็นพุทธศาสนิกชน รวมทั้งศาสนาอื่นๆ ที่มิใช้ศาสนาคริสต์ และดูจะมีความหมายสำคัญเป็นพิเศษสำหรับเด็กวัยรุ่นที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มเนื้อสาว ไปจนถึงหนุ่มสาวที่มีความต้องการทางเพศสัมพันธ์ตามธรรมชาติ และวัยที่เหนือกว่าซึ่งยังครองความเป็นโสดโดดเดี่ยวอยู่ รูปหัวใจและดอกกุหลาบสีแดง ซึ่งมีความหมายหรือเป็นสัญญลักษณ์แทนความรัก จึงได้ถูกนำออกเผยแพร่ในรูปบัตรที่สื่อความรู้สึกจากหัวใจของตน โดยจัดพิมพ์จำหน่ายเป็นพิเศษในวันนี้ ด้วยราคาที่ค่อนข้างแพง ทั้งยังมีการนำออกเผยแพร่ทางโครงข่าย Internet อีกส่วนหนึ่งด้วย

ในทางพระพุทธศาสนา ท่านได้จำแนกเรื่องความรักไว้เป็นสองประเภท คือ

๑. ความรักที่เกิดจากกามฉันทะ คือ ความเร่าร้อน ความกระหาย ที่อยากจะได้ในสิ่งที่ตนพึงปรารถนา หากได้ตามใจปรารถนาแล้ว ผู้นั้นก็จะมีความชื่นชมยินดี มีความสุขทั้งกาย และใจ ถ้าต้องประสบกับความผิดหวัง จิตของผู้นั้นจะมีแต่ความโทมนัส เศร้าโศกเสียใจ บังเกิดเป็นความทุกข์กายติดตามมา กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร่างกายซูบซีดเศร้าหมอง เบื่อโลก เบื่อชีวิต เบื่องานเบื่อการ มีอารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย ขาดสติสัมปชัญญะ หาทางเบียดเบียนคู่ต่อสู้ด้วยวิธีการและรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นการผิดศีล หากยังไม่สมปรารถนาอีก บางคนก็อาจจะคิดสั้นก่ออกุศลกรรม สร้างทุกข์โทษให้แก่ตัวเอง คือ การอัตตวินิบาตกรรม และหรือ แก่ผู้อื่นด้วยวิธีการอื่นๆ เท่าที่อกุศลเจตนาจะพาไป

ถึงแม้ว่า ความรักในลักษณะนี้จะมีส่วนดี คือ ช่วยสร้างสรรค์ความสุขกายสบายใจให้แก่ผู้ที่ประสบความสำเร็จก็ตาม แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องพึงระมัดระวัง ตั้งสติมั่นควบคุมให้อยู่ในขอบเขตมิให้เกินเลยไปจนถึงขั้นแปรสภาพเป็นความหลง หรือ โมหะ ตามคำพังเพยที่ว่า ?ความรักทำให้ตาบอด? ทั้งจะต้องรีบเร่งสร้างฐานที่แข็งแกร่งรองรับ คือ ความเข้าใจระหว่างกัน ไว้ตั้งแต่ต้น มิฉะนั้นแล้ว ความรักนี้ก็จะแปรสภาพเป็นความหึงหวง ขาดสติเกิดโทสะ ซึ่งล้วนแต่เป็นกิเลสเครื่องเศร้าหมองที่นำไปสู่การก่อกรรมทำเข็ญเป็นอกุศลกรรมส่งผลเป็นทุกข์โทษให้แก่ตนได้ โดยที่มนุษย์ยังเป็นสัตว์โลกที่ต้องข้องเกี่ยว สัมผัสรับรู้อยู่กับอารมณ์ต่างๆ อยู่เป็นประจำวัน จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ นอกจากจะได้มีการศึกษาและปฏิบัติตามสัจจธรรมคำสอนของพระบรมศาสดามากเพียงพอ จนบังเกิดความรู้ ความเข้าใจว่า สื่อสำคัญที่มีส่วนสร้างสรรค์ มีบทบาท มีอิทธิพลสำคัญที่สร้างอารมณ์รัก ความพึงพอใจขึ้นนี้นั้น ได้แก่ อายาตนะทั้งห้า คือ การรับเอารูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มาปรุงแต่งเป็นอารมณ์ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ตกอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติ คือ ?อนิจจัง? หรือ ความไม่เที่ยงแท้คงทนถาวร กาลเวลา อายุขัย และวัยที่เปลี่ยนไป มีส่วนที่จะบั่นทอนความรัก ความต้องการในลักษณะนี้ลงไปตามลำดับ หากไม่มีความผูกพัน ความเข้าใจระหว่างกัน ความห่วงใยเอื้ออาทรที่ได้สะสมกันมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่เป็นจุดเริ่มต้นมากเพียงพอ ความเบื่อหน่าย เบื่อหน้าย่อมจะเกิดขึ้นได้ ชีวิตคู่จึงมีอันต้องล่มสลายลงไปก่อนเวลาอันสมควร และเมื่อชีวิตต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ความทุกข์ย่อมจะเกิดขึ้นมาแทนที่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความรักในลักษณะนี้จึงไม่มีความ จีรังยั่งยืน คงทนถาวร

อย่างไรก็ตาม ความรักในลักษณะนี้เป็นความรักที่เกิดตามธรรมชาติที่เป็นการลำบากยากยิ่งที่จะหลีกเลี่ยงได้ เพราะเป็นผล หรือ วิบากของกรรมที่ได้มีขึ้นในอดีตชาติภพ ที่เรียกว่า ?บุพเพสันนิวาส? จึงผูกพันให้กลับมาเกิดร่วมกัน ได้พบ และมีจิตรักใคร่ลึกซึ้งผูกพันต่อกัน โดยไม่เลือกความแตกต่างในเรื่องชาติ ศาสนา ฐานะ วัย และวงศ์ตระกูล การมีสติยึดมั่นอยู่ในหลักการของความเข้าใจระหว่างกันดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นสิ่งที่จะช่วยเหลือให้สามารถหลีกเลี่ยง ขจัดปัดเป่าปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้

๒. ความรักที่เกิดจากเมตตา ซึ่งมีอยู่ในจิตวิญญาณของมนุษย์โดยทั่วถ้วนหน้า โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา ชนชั้น วัย เวลา สถานที่ และสามารถแผ่กระจายไปได้ทุกหนทุกแห่งอย่างไม่มีขอบเขต เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับจิตวิญญาณของมนุษย์ตั้งแต่ต้น ยกเว้นผู้ที่มีความพิการทางสมองซึ่งไม่สามารถกระตุ้นจิตวิญญาณให้เกิดอารมณ์ในลักษณะนี้ขึ้นได้

คำว่า ?เมตตา? หมายถึง ไมตรี ความรัก ความปรารถนาดี ความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจดีต่อกัน ความใฝ่ใจ หรือต้องการสร้างเสริมประโยชน์สุขให้แก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ ทั้งหลาย เมตตาจัดเป็นธรรมพื้นฐานของใจขั้นแรก ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งทำให้มองกันในแง่ดี หวังดีต่อกัน พร้อมที่จะรับฟัง และเจรจากันด้วยเหตุด้วยผล ไม่ยึดเอาความเห็นแก่ตัว มีอคติ คือ ความโกรธ ความเกลียด เป็นที่ตั้ง

ตามหลักพระพุทธศาสนาถือว่า เมตตาเป็นองค์ธรรมลำดับแรกที่จะก้าวเข้าสู่ความเป็นพรหม หรือ พรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ซึ่งเป็นคุณลักษณะของผู้ที่ประเสริฐยิ่ง ผู้ที่ได้สามารถพัฒนาจิตของตนให้ฝังแน่นอยู่ในพรหมวิหาร ๔ ได้มากเพียงใด ย่อมมีโอกาสจะพัฒนาจิตของตนให้ก้าวเข้าสู่องค์ธรรมอื่นๆ ได้โดยง่าย ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังนี้

ผู้ที่มีเมตตาจิตไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่นให้ได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน ย่อม เกื้อกูลสร้างความแข็งแกร่งให้แก่องค์ธรรม คือ ศีล ทำให้เกิดสติระลึกรู้ว่า สิ่งใดผิด สิ่งใดถูกได้มากยิ่งขึ้น ผู้ที่มีความเมตตา ปรารถนาจะช่วยเหลือให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ ย่อมเกื้อกูลให้เกิดความกรุณาหยิบยื่นความช่วยเหลือให้แก่ผู้ที่มีความทุกข์โดยมิได้หวังผลตอบแทน คือ การให้ทานในลักษณะต่างๆ ซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องมือประหัตประหารราคะกิเลส คือ ความโลภ ได้เป็นอย่างดี

ผู้ที่มีมุทิตาจิต คือ ผู้ที่มีความชื่นชมยินดี หรือ อนุโมทนาเมื่อเห็นบุคคลอื่นมี ความสุข ย่อมสามารถดับกิเลส คือ ความอิจฉาริษยา ซึ่งเกิดจากโทสะ คือ ความโกรธ และ โมหะ คือ ความหลง ลงได้ สำหรับอุเบกขาธรรมนั้น จะทำหน้าที่เสมือนเกราะ หรือ กำแพงปราการ ที่ขวางกั้นมิให้สิ่งต่างๆ ที่ผ่านทวารต่างๆ เข้ามากระทบถึงจิตได้ จิตจึงได้รับการพัฒนาให้อยู่ในสภาพเป็นกลาง ไม่สั่นสะเทือนหวั่นไหว เป็นอิสระ สงบนิ่งอยู่ในอารมณ์เดียว คือ วางเฉย ไม่รับรู้ในอารมณ์อื่นๆ ซึ่งเท่ากับอาสวกิเลสเครื่องเศร้าหมองต่างๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ได้ถูกดับลงจนหมดโดยสิ้นเชิง ความเป็นอวิชชา หรือ ความไม่รู้ จึงถูกดับลง และเท่ากับเป็นการตัดวงจรชีวิต คือ ปฏิจจสมุปบาท ให้ขาดสะบั้นลงไป

ความรักที่เกิดจากความเมตตาจึงมีอยู่ในจิตใจของทุกคน นับตั้งแต่การปฏิสนธิซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิต จนถึงวันจุติที่เป็นวันสิ้นอายุขัย เป็นความรักระหว่างพ่อแม่กับลูก ระหว่างญาติพี่น้องมิตรสหาย ระหว่างบุพพการีกับลูกหลาน ระหว่างครูอาจารย์กับศิษย์ ระหว่างหัวหน้า หรือ ผู้ใหญ่ในชุมชน กับ ผู้อ่อนอาวุโสกว่าในชุมชนนั้น รวมทั้งระหว่างสามีซึ่งถือว่าเป็นผู้นำของครอบครัว กับภรรยา และบริวารในครัวเรือน เป็นต้น ความรักในลักษณะนี้จะสร้างความห่วงใยเอื้ออาทร สามารถพัฒนาปลูกฝังลึกในจิตใจให้เจริญเติบโตขึ้นได้โดยง่าย จัดเป็นความรักที่มีความถาวร และสมบูรณ์อยู่ในตัว และเป็นความรักที่เสริมสร้างความสุขทางกายใจ และสร้างสันติสุขให้แก่มวลชนทั้งปวงได้อย่างแท้จริง

กล่าวโดยสรุป ความรักซึ่งเกิดจากความเมตตาเป็นความรักที่สร้างความสุขให้ได้อย่างแน่นอน เป็นความรักที่สร้างขึ้นได้ไม่ยากทั้งกาย วาจา และใจ ไม่ต้องลงทุนลงแรงเพราะเป็นการนำเอาทรัพยากรที่มีอยู่แล้วในตัวมาพัฒนา ส่วนผู้ที่ยังอยู่ในวัยรัก ยังมีความปรารถนาพึงพอใจในกามตัณหา ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา เป็นธรรมชาติของมนุษย์ปุถุชนทั่วไปนั้น หากได้มีการพัฒนาความรักแบบเมตตาขึ้นควบคู่กันไปตั้งแต่ต้น ย่อมสามารถพัฒนาจิตของตนให้เข้าสู่ความมีสติ สมาธิ และปัญญาได้ ซึ่งจะเป็นเครื่องถ่วงดุลป้องกันมิให้เกิดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากความรักที่เกิดจากกามฉันทะได้เป็นอย่างดี

2739
ที่เอาชนะแมนยู4-1ยอมรับคับแพ้จิงๆๆ 05; 42; 23;

2741
ข้างบนเค้าหวานกันจัง 09;

2742
ขอบคุณสำหรับข่าวสารนะคะ แต่วานนี้คงไม่สามารถไปได้อ่ะคะ ส่งตัวแทนไปล่ะกันนะคะ แต่ไม่รู้แผลจะปิดสนิทยัง ??
ดูเค้าเปลี่ยนรูป....อิจฉาตาร้อนๆๆๆๆ :044:

2743
ห่างกัน4แต้มแต่แข่งน้อยกว่านึงนัดแต่มันก้อเจ็บจัยมากๆๆๆ

2744
 


 ประวัติหลวงพ่อพระนอนจักรสีห์

   "หลวงพ่อพระนอนจักรสีห์ " เป็นรูปของพระพุทธเจ้าปางไสยาสน์เทศนาปาฏิหาริย์ แก่อสุรินทราหู ผู้เป็นยักษ์ เพื่อลดทิฎฐิของอสุรินทราหูที่ถือว่ามีร่างกายใหญ่โตกว่ามนุษย์ พระพุทธเจ้าจึงเนรมิตร่างกายให้ใหญ่กว่ายักษ์ "หลวงพ่อพระนอน" จึงเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่และยาว สร้างโดยท้าวอู่ทอง มีความยาว ๓ เส้น ๓ วา ๒ ศอก ๓ คืบ ๗ นิ้ว ( ๔๗.๔๐ เมตร ) พระเศียรชี้ไปทางตะวันออก หันพระพักต์ไปทางทิศเหนือ มีความงดงามอย่างมาก

   มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า สิงหพาหุมีพ่อเป็นสิงห์พอรู้ความจริงคิดละอายเพื่อนว่าพ่อเป็นสัตว์เดรัจฉานจึงฆ่าสิงห์ตาย ภายหลังรู้สึกตัวกลัวบาปและเสียใจเป็นอย่างมาก จึงสร้างพระพุทธรูป โดยเอาทองคำแท่งโต ๓ กำมือ ยาว ๑ เส้น เป็นแกนขององค์พระ เป็นการไถ่บาปและพระพุทธรูปมีอยู่ให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชามาหลายชั่วอายุคน จนองค์หลวงพ่อพระนอนได้พังทลายลงเป็นเนินดิน กาลนานต่อมา ท้าวอู่ทอง ได้นำพ่อค้าเกวียนผ่านมาทางนี้ แล้วพบแกนทองคำฝังอยู่ในเนินดิน และทราบเรื่อง สิงหพาหุ เกิดความเลื่อมใสและเห็นเป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา จึงชักชวนพ่อค้าเกวียนก่อสร้างพระพุทธรูปนี้ขึ้น โดยใช้ทองแท่งทองคำที่พบนั้นเป็นแกนองค์พระ จน พ.ศ. ๒๒๙๗ และ พ.ศ. ๒๒๙๙ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งกรุงศรีอยุธยา ได้เสด็จมานมัสการและซ่อมแซมองค์พระพร้อมทั้งได้สร้างพระวิหาร พระอุโบสถ และเสนาสนะต่าง ๆ ขึ้นใหม่ พ.ศ.๒๔๒๓ และ พ.ศ. ๒๔๔๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้เสด็จมานมัสการ และวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลปัจจุบัน ได้เสด็จมานมัสการพร้อมพระบรมวงศานุวงศ์

   จึงนับได้ว่า " หลวงพ่อพระนอนจักรสีห์ " เป็นปูชนียวัตถุที่ทรงไว้ซึ่งปาฏิหาริย์ล้ำค่า เป็นที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะแม้แต่การสร้างองค์หลวงพ่อพระนอนในครั้งที่ ๒ ก็ยังไม่ทราบเวลาที่แน่นอน แต่องค์พระยังสมบูรณ์ขนาดนี้ จะป่วยการกล่าวไปใยถึงประวัติในการสร้างครั้งแรกที่ทรุดโทรมลงจนมีสภาพเป็นเนินดินธรรมดา ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าใด


           


   เพราะเหตุนั้น " หลวงพ่อพระนอนจีกรสีห์ " จึงเป็นที่เคารพศรัทธาเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนให้การเดินทางมากราบไหว้บูชา เพื่อเป็นพุทธานุสสติ ในอันจะน้อมนึกถึงคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ เสมอมาไม่เคยขาดมานานแสนนานแล้ว และเพื่อให้สมพระเกียรติของ " หลวงพ่อพระนอนจักรสีห์ " และการเป็นอารามหลวงชั้นตรี ชนิด วรวิหาร " ท่านเจ้าคุณพระเมธีปริยัติโยดม " จึงได้วางแนวทางในการพัฒนาพระอารามออกเป็น เขตพุทธาวาส เขตสังฆาวาส เขตฆราวาส

   นอกจากนี้ ทางวัดก็ยังมีนโยบายที่จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้งปริยัติ ปฏิบัติแก่พระภิกษุสามเณร ตลอดถึงพุทธศาสนิกชนให้มีความเข้าใจในคำสอนของพระพุทธศาสนา 

2745
อยากไปบ้างขอบคุนพี่โคมแก้วนะคับ

2746
อยากร้องไห้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ 15; 01;

2747
จบกันเซ็งเลย

2748
หุหุ...ผีน้อยแคสเปอร์ ศึกยังไม่เริ่ม อย่าลำพองไปนะจ๊ะ..

...หงส์น่ะ เห็นคาบใบมะกอก ก็ไม่ใช่จะใจดีเหมือนในโลโก้ นะจ๊ะ หุหุ..
..อย่าเล่นทีเผลอตอนทดเวลาบาดเจ็บแระกัน หุหุ..
ไม่แน่หรอกคับพี่แมนยูจะดับฝันหงให้ดู

2749
ท่านขุนส่องข้อมูลแน่ปึ๊กเลยคับ

2750
ป๋มไม่กล้าใส่อ่ะกลัวเปื้อน

2751
พี่เมฆสุดยอดหามาได้งัยอ่ะโดนใจสุดๆๆmvนี้อ่ะ

2752
ผมก้ได้มาจากหลวงพี่นันอ่ะคับ

2753
แค่คนทำงานธรรมดาๆๆแต่ทำงานที่สุจริตไม่คดโกงคนอื่นไม่เอาเปรียบคนอื่นถึงว่าจะจนแต่ก้อมีคสามสุขกว่าคนที่ทำงานดีๆแต่เป็นคนไม่ดีคดโกงชาวบ้านอีก

2754
วันนี้วันแดงเดือดอ่ะคับ แมนยู-ลิเวอร์พลู  ท่านว่าใครจะชนะส่วนผมแฟนผีอยู่แว้ว


2755
วันนั้นได้กินก๋วยเตี๋ยวแต่ไม่ได้กินหอยทอดเลยอ่ะอดกินทุกปีเลย

2756
อยากสักเหมือนกันคับ

2757
ขอบคุณรูปสวย ๆ นะคะ  :089: เคยไปกราบมาครั้งหนึ่งแล้วเหมือนกันค่ะ ได้ยิงปืนถวายเสด็จเตี่ยด้วยค่ะ

ว่าแต่ต้นน้ำหล่อเนอะ  วันนี้ทาเล็บสีอะไรจ๊ะ   36;
 



พอดีไม่ได้ทาไปคับ.........กะจะเพ้นซ์เล็บหน่อย ......ล้อเล่นคับอิอิอิ

2760
พีเก่งพ่อพระของน้องๆๆๆๆ :015:

2761
ขอบคุณเพื่อนต้นมาก ถึงว่าหายไปไหนหลายวัน ที่แท้ไปเที่ยวนี่เอง ไม่ชวนเลยนะ 55

ถ้าชวนเอ็งไปคนเขาก้อนึกว่าเราเป็นคู่เกย์กันอีกดิ..............กำ

2762
ขอบคุนคับ :016:

2763
นมัสการคับ :054:

2764
 :053:อ่านแล้วรู้สึกดีจังเลยคับ

2765
นมัสการคับอาจารย์
หวัดดดีคับคุนมาร์ค

2766
ขอบคุนครับเพ่โชว
ใครที่จะไปก้อบอกกันบ้างนะจะได้ไปเจอกันคับ :089: :054:

2767
รับทราบคับ

2768
หาดทรายรี จ.ชมพร  ตำหนักหลังใหม่ เพิ่งกลับมาถึงก้อนำมาให้ชมเลย







พระตำหนักหลังเก่าคับ



หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า


สิ่งที่เสด็จเตี่ยฝากไว้เพื่อเตือนใจลูกหลานไทย


คาถาบูชาเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพร



วัตถุมงคล



จบการเดินทางคับไปตั้งแต่วันที่9-12มีนาคมคับ กลับถึงบ้านเช้าวันที่13อ่ะคับ


2769
ขอคุนพี่หอมเชียงคับ

2770
ขอบคุนคับสำหรับความทรงจำดีๆปีหน้าเจอกันใหมาคับ

2771
ครบทีมอีกแล้วพี่โด้นำทีม

2772
สุ้ๆคับ

2773
ขออนุโมทนาด้วยคับ

2774
คุนลุงผู้การเสือสุดยอด

2775
ปีนี้ผมก้ออดกินหอยทอดอีกตามเคย 41;

2776
ดีคับ

2777
มีคับแบบขนาดเล็กๆอ่ะครับแบบหัวโขนอ่ะคับราคาประมาณ400-500ประมานนี้อ่ะคับไม่แน่ใจนะ
รอพี่น้องเรามาตอบกันอีกทีละกันคับ

2778
ขอบคุนครับพี่ชาญ

2779
ใช่ครับคงจะต้องบอกทุดคนสักทีผมกับเอ็มเป็นแฟนกัน......ล้อเล่นอ่ะเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ ม.1-ม3ครับ ..ฮากันไป

2781
เฮ้อ...................คนมีคู่ไม่รู้หรอก 42; 41;

2782
ปีนี้ก็อดกินหอยทอดเหมือนทุกปี...กำ 42;

2783
มันเป็นศิลปะได้อารมณ์ศิลป์มาก

2784
ต้นน้ำหล่อจิงๆ ค่ะ... :009: อยากขอกิ๊บติดผมค่ะ แต่ไม่กล้า..  :009:

พี่โชวก้อน่ารักคับสวยสมคำร่ำลือจิงๆ ใจดีด้วย
ขอให้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของน้องๆตลอดไปนะคับ

2785
เสียดายช่วงเย็นมะได้ไปต่ออ่ะ

2786
จะขอลายเซ็นต์pmมาได้นะคับ.........อิอิอิอิอิ

2787
จัดปายยยยยยยยยย

2788
แหมขนาดแผลผมยังเอามาให้ดูกันเลยหราเนี่ย

2789
ขอบคุณค่ะ

ประเดิมรูปใหม่เลยนะเจ๊

2790
อบอุ่นดีคับร้อนสุดยอดเลย

2791
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: ใครเอย ?
« เมื่อ: 08 มี.ค. 2552, 01:23:21 »
ทะเลาะกับเมียรึป่าว

2792
ประมาณนั้นคับคือเหมือนเป็นการเรียกสติอ่ะคับ

2793
น้องกวางอมฮอลล์รสขิงเลยหรา..อิอิอิ ผมแทบตายของขึ้นรู้สึกตัวอีกทีอยู่ใต้ล่างโดนทับเป็นกองเลย

2794
อยู่ที่ไหนก้อระลึกถึงครูบาอาจารย์ได้เสมอคับ

2795
เม็ดยาจินดามณีคับเม็ดกลมๆอ่ะ

2796
ดีจัยจังคับที่ได้เจอพวกพี่ๆน้องชาวบ้างพระขอบคุนพี่ศักดา(ชลาพุชะ)ที่มอบวัตถุมงคลให้เดินทางกลับบ้านดีๆนะคับ...ขอบคุนพี่เก่งพี่ปอมากๆขอบคุนมากๆ
ขอบคุนพี่นน(โองการยันต์นะรังสี)คับที่กรุณามอบพระให้ผมและอีกหลายๆคน...พี่ปีโป้ เจ็โชว พี่กุ้ง พี่โจ้ พี่เด็กดอย นายตระกรุด ขอบคุนเอ็มที่ซื้อบุหรี่ให้แล้วก้อทิ้งเราให้กลับคนเดียวนะจำไว้ ขอบคุนคุณลุงผู้การเสือด้วยคับที่นำผ้ายันต์มาแจก
พี่เอ บางแค น้องโจ ขอบคุนพี่ชินด้วยคับ พี่nontaburi และทุกๆท่านที่ไม่เอ่ยนามผมอาจจะลืมชื่ออ่ะคับ
สุดท้ายขอบคุนคุนหยก(Kaitip)ขอบคุนนะคับสำหรับความน่ารักของคุนคุนน่ารักมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ขอบคุนเว็ปวัดบางพระด้วยคับที่ทำให้พวกเราได้รู้จักกัน :090:
แต่ขอโทดด้วยนะครับที่ไม่ได้ไปร่วมงานตอนเย็น

2797
พรุ่งนี้เจอกันครับ ผมไปกับอา(อาศัยเพื่อนไป) ครับ 555+

เอ็งขี่ละกันพรุ่งนี้ผลัดกัน

2798
สู้โว้ย..................

2799
แล้วเจอกันคับ

2801
นักข่าว คนนี้ถ้าจำไม่ผิด ทำข่าวสารคดี ให้กับประเทศ สเปน ครับผม

วันจันทร์ เห็นมากราบขออนุญาต หลวงพี่ต้อย แล้วถามว่า มีศิษย์ชาวสเปนหรือปล่าว


PS. ตกลงคุณต้นน้ำหล่อป่ะ เห็นบอก หล่อเน๊อะ   :007:


ไม่หล่อไม่เขียนหรอกคับอิอิอิอิอิอิอิ

2803
แฟนผีเหมือนกันคับปีนี้ต้อง5แชมป์ :091:

2805
วันนี้มีนักข่าวจากต่างประเทศมาถ่ายด้วย






เจอพี่ชลาพุชะด้วยพี่ศักดาและคนะมานอนค้างที่วัดกันเลยปักหลักยาวสักกับหลวงพี่ตูนอยู่





ปิดท้ายด้วยพี่เอบางแค



วันนี้เห็นพี่เอบอกว่าเจ้โชวจะมาว่าจะรอเจอซะหน่อยแต่ก้อกลับบ้านก่อนเอาเป็นว่าพรุ่งนี้เจอกันนะ

2806
สมาชิกรับเสื้อเองที่วัด ขอเปลี่ยนสถานที่จากเดิม หน้ากุฏิพระอาจารย์อภิญญา

เป็นที่ สำนักงานวัดบางพระ หน้ากุฏิใหญ่

ขอเป็นช่วงเย็นๆ ของวันที่ 6 หรือก่อน 8.30 ของวันที่ 7 ครับ



ขอบคุนนะคับท่านเว็บ



2807
ขอให้หลวงปู่หวยเร็วๆนะคับ

2808
ผมก้ออยากดูอดไปเหมือนกันติดสอบอ่ะทั้งที่บ้านอยู่ใกล้ๆแต่ก็ไม่ได้ไปแย่จัง

2809
พี่ชาญคับวันไหว้ครูก้อติดไม้ติดมือมาฝากบ้างน๊า

2811
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: this morning
« เมื่อ: 04 มี.ค. 2552, 09:16:44 »
พรุ่งนี้ไม่ได้ไปอ่ะติดสอบแย่จัง

2812
ท่องไว้บ่อยๆก้อดีคับ

2813
เจอกันทักทายกันด้วยนะคับ

2814
ถือฟาดเคราะห์ไปนะคับ

2815
พี่เมฆสุดยอด

2816
แหม....มันเป็นจิตกรรมที่งดงามมากดูลายเส้นซิคับเหมือนกับสายลมกำลังพริ้วๆๆๆนิดๆๆดูงดงามมากมันยอดเยี่ยมมาก

2817
ป๋มก้อไม่เคยเห็นเหมือนกันอ่ะ
พระของหลวงปู่ออกเยอะคับนับไม่ถ้วนศิษย์สร้างให้บ้างแล้วให้หลวงปู่ปลุกเสกก้อมีคับ

2818
สวยคับ

2819
เพ่โชวเช่ามาจากวัดเขาแหลมเลยหรือป่าวคับหรือที่วัดสุทัศน์คณะ1

2821
เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าเพศหญิงก็ให้ความสนใจในด้านนี้มากขึ้นนะครับ ด้วยความอยากมีสิ่งที่เป็นศิริมงคลอยู่กับตัว หรืออาจจะกลัวน้อยลง ตามกระแส หรืออะไรก็เถอะ พักนี้เยอะจริงๆแน่นทุกกุฏิแฮะ
เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าเพศหญิงก็ให้ความสนใจในด้านนี้มากขึ้นนะครับ ด้วยความอยากมีสิ่งที่เป็นศิริมงคลอยู่กับตัว หรืออาจจะกลัวน้อยลง ตามกระแส หรืออะไรก็เถอะ พักนี้เยอะจริงๆแน่นทุกกุฏิแฮะ




ผมก้อสนจัยนะคับน่ารักดีมาสักที่วัดเราอ่ะ

2822
เมื่อก่อนก้อมีหนิคับ..จัดมาอีกเอาเลยคับจะได้คุยได้สะดวกกัน

2823
ยังไงก้อติดไม้ติดมือมาฝากน้องบ้างละกะนะคับพีโจ้สุดหล่อ...อิอิอิ  เจอกันไหว้ครูนะคับ

2824
ผมนึกถึงหอยทอดที่วัด......แหม...อร่อยคนเยอะด้วย

2825
ขออนุโมทนาบุญด้วยคับผมจะช่วยตามกำลังศรัทธาคับ

2826
ผมไม่กินอ่ะปลาไหลเค้าบอกมันชอบกินศากศพอ่ะ...แต่ทามไมมีแต่คนเรียกหาว่าผมเลื่อนแบบปลาไหลไม่เข้าใจเลยอ่ะ

2827
ผมก้อหลับอ่ะเพราะรอจนง่วงอ่ะ....แล้วก้อคิดถึงหลวงปู่เปิ่นไว้

2828
สั่งไม่ทันแล้วอ่ะ ช่วงนั้นจนมากๆๆๆๆๆๆๆ

2830
วันเสาร์ยังมีท่านลืมไปแล้วหรอ 36;



วันเสาร์เจอกันคับ

2831
สวยงามมากมันเป็นศิลปะที่ยอดเยี่ยม

2832
ต้องไปสอบอีกอาจารย์ทามไมถึงทามกับผมอย่างนี้อ่ะสอบวันอื่นก้อได้อ่ะทามไมต้องวันงานครอบครูด้วย...เซ็งๆๆๆๆๆๆๆๆๆที่ซู๊ด 41;

2833
ผมไม่ทำดีกว่าคับของดีอยู่แล้วจะไปดูทำไมขอแค่เราศรัทธาในวัตถุมงคลของพระอาจารย์แค่นี้ก้อพอแล้วทานอุตสาห์ทำมาให้ลูกศิษย์ไว้ติตัวคุ้มครองแต่ลูกศิษย์ดันไปคลี่มันออกซะงั้น

2834
แหมทำไปได้นรกจะกินกบาลอยู่แล้ว

2835
ผมขี่เวฟ100เก่าๆเทาดำไปกลับเอ็มไร่ขิงคับ

2836
หลวงลุงญาท่านจัยดีที่สุดครับคอยเมตตาพวกเราตลอดเลย
ขอบคุนพี่โจ้ด้วยนะคับ อนุโมทนาบุญด้วยคับ..สาธุ

2837
แต่ชื่อวัดแปลกๆนะคับแก้เสี้ยนหนะ...อิอิอิ

2840
ผมก้ออาศัยเดินห้างอาบน้ำบ่อยๆอ่ะ...ก้ออยากจะรู้อ่ะคับว่ามีวิธีคลายร้อนกันอย่างไร...แหม....ขำๆๆนะคับแก้เครียด :009:

2841
ไม่กินจาดีกว่าคับผมก้อไม่กินอ่ะสำหรับผมนะหิวผมก้อทน...แล้วแต่นะคับลองฟังความคิดเห็นของพี่น้องของเราก่อนเผื่อพวกเขามีคำตอบที่ชัดเจนนะคับ

2843
เก้ายอดมีอย่างเดียวครับท่าน ที่ว่ามีสัตว์นั่น น่าจะหมายถึง สาริกาหน่ะครับ จะอยู่ข้างล่าง 9 ยอดครับ ด้านล่างเป็นนะ ล้อมด้วยหัวใจพระฉิมพลี นะชาลีติ เด่นทางด้านโภคทรัพย์ครับผม ยินดีด้วยนะครับ  :001:

อ้อครับ ผมก็เลยงงว่า เอ กลับมาบ้านให้น้องถ่ายรูปให้ดู แล้วนึกถึงของเพื่อนที่เข้าไปก่อน ทำไมไม่เหมือนกันครับ เข้าใจแล้วครับ

แล้วตรง นะ ล้อมด้วยหัวใจพระฉิมพลี นะชาลีติ เด่นทางด้านโภคทรัพย์  ช่วยขยายความให้ผมหน่อยครับ หมายถึง เ่นทางด้านค้าขาย รวย หรือยังไงครับ

แนะนำเด็กใหม่อย่างผมด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

อีกนิดครับ ถ้าวันพุธผมไปอีก ต้องไปหาพระอาจารย์เดิมหรือเปล่าครับ แล้วท่านจะต่ออะไรให้ผมครับ


ได้คับพระอาจารย็รูปไหนก้อได้คับท่านเก่งทุกรูปคับ

2845
สวัสดีครับ ทุกท่าน พอดีสนใจเรื่องการสักน่ะครับ
ผมรับราชการเป็นทหาร อยากจะสอบถามว่า ถ้าจะสัก ควรสัก ลายอะไรที่เหมาะกับทหาร และทางเมตตา (เผื่อเจอนาย งี่เง่าครับ)
ที่วัดบางพระ ถ้าผมจะไปสัก จะไปขอสักกับพระท่านใด ไปได้ทุกวันหรือเปล่าครับ (ยกเว้นวันพระหรือเปล่าครับ) มีค่าครู กับข้าวของเครื่องใช้อะไรบ้างที่ต้องเตรียมไปน่ะครับ

ผมว่าจะสักในวันพรุ่งนี้ จันทร์ที่ 23 ก.พ. น่ะครับ  พวกพี่ๆ ช่วยแนะนำด้วยนะครับ
ขอบพระคุณมากๆ ครับ



ยันต์แม่ทัพไงคับสุดยอด

2848
ต้นน้ำ (ขอร่วมงานช่วงเช้าอย่างเดียว ครับ)
 ต้นน้ำ 086517***

2851
เจ๋งคับท่านหอมเชียง

2853
ยินดีคับ   จัดปาย :002:

2854
สุดๆไปเลยตัวสุดท้ายน่ารักอ่ะ

2855
ครับยินดีคับท่าน

2856




รุ่นสร้างมณฑปวัดห้วยพลูคับ
[/glow]......เด็กห้วยพลู

2857
วัดห้วยพลูเป็นวัดเก่าแก่อายุหลายร้อยปีมีศิลปที่น่าสนใจศาลาไม้หลังใหญ่มีธรรมมาศเก่าขนาดใหญ่มากโบสถ์มหาอุตหลังเก่าอายุหลายร้อยปีสมัยก่อนพระปลุกเสกพระเครื่องส่วนใหญ่จะ
ต้องปลุกเสกในโบสถ์มหาอุต คือมีแต่ประตูเข้าทางเดียว แล้วยังมีเจดีย์เรือสำเภาซึ่งมีปัจจุบันหาดูยากมากครับ เป็นของคนจีนสมัยก่อน วัดนี้มีพระเกจิเก่งมาตั้งแต่สมัยหลวงปู่ขำท่านนี้เก่งมากมีเรื่องเล่าว่าเคยมีจอมขมังเวทแถวสุพรรณมาลองวิชาท่านแต่สุดท้ายก็ก็นับถือท่านมากถึงขนาดทุกปีต้องมาสักการะท่านจนเป็นประเพณีสืบต่อกันมา ต้องให้คนแถวนั้นเล่าให้ฟังครับ
ท่านต่อมาก็หลวงปู่ต๊อกท่านนี้เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ขำคนแถวนั้นเล่าว่าสมัยบูรณะโบสถ์หลังเก่าครั้งแรกคนแถวนั้นเล่าว่าเจอพระของหลวงปู่ต๊อกเลยเอา
ไปลองแขวนคอไก่ลองเอาปืนยิงดู
ปากฏว่ายิงเท่าไหร่ก็ยิงไม่ออก คนแถวนั้นถ้าใครมีเขาหวงกันมากครับ ใครมีเอารูปมาให้ชมบ้างนะครับ วัดนี้ยังมีอุทยานปลา และก๋วยเตี๋ยวไก่อร่อย
มากครับ ถ้าใครว่างๆก็ลองไปเที่ยวนะครับ


หลวงพ่อเปิ่นท่านออกรู่นสร้างมณฑปคับผมมีอยู่คับ

คนแถวนั้นใจดีมากครับ
วัดห้วยพลูเป็นวัดเก่าแก่อายุหลายร้อยปีมีศิลปที่น่าสนใจศาลาไม้หลังใหญ่มีธรรมมาศเก่าขนาดใหญ่มากโบสถ์มหาอุตหลังเก่าอายุหลายร้อยปีสมัยก่อนพระปลุกเสกพระเครื่องส่วนใหญ่จะ
ต้องปลุกเสกในโบสถ์มหาอุต คือมีแต่ประตูเข้าทางเดียว แล้วยังมีเจดีย์เรือสำเภาซึ่งมีปัจจุบันหาดูยากมากครับ เป็นของคนจีนสมัยก่อน วัดนี้มีพระเกจิเก่งมาตั้งแต่สมัยหลวงปู่ขำท่านนี้เก่งมากมีเรื่องเล่าว่าเคยมีจอมขมังเวทแถวสุพรรณมาลองวิชาท่านแต่สุดท้ายก็ก็นับถือท่านมากถึงขนาดทุกปีต้องมาสักการะท่านจนเป็นประเพณีสืบต่อกันมา ต้องให้คนแถวนั้นเล่าให้ฟังครับ
ท่านต่อมาก็หลวงปู่ต๊อกท่านนี้เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ขำคนแถวนั้นเล่าว่าสมัยบูรณะโบสถ์หลังเก่าครั้งแรกคนแถวนั้นเล่าว่าเจอพระของหลวงปู่ต๊อกเลยเอาไปลองแขวนคอไก่ลองเอาปืนยิงดู
ปากฏว่ายิงเท่าไหร่ก็ยิงไม่ออก คนแถวนั้นถ้าใครมีเขาหวงกันมากครับ ใครมีเอารูปมาให้ชมบ้างนะครับ วัดนี้ยังมีอุทยานปลา และก๋วยเตี๋ยวไก่อร่อยมากครับ ถ้าใครว่างๆก็ลองไปเที่ยวนะครับ
คนแถวนั้นใจดีมากครับ
ขอบคุณครับผม หลวงปู่ขำ หลวงปู่กลิ่น หลวงปู่ต๊อก เป็นที่เคารพสักการะยิ่งของชาวห้วยพลูครับ ศักดิ์สิทธิ์มากครับ ไปถามข้อมูลมาเรื่องหลวงน้าดิน ท่านเมตตาดีครับ อัธยาศัยดี เคยเห็นพระหลวงพ่อเปิ่นออกที่วัดห้วยพลูด้วยนะครับ  :001:

2858
งี้ป่าวเพื่อน ...ที่ว่าลูกปืน มีดไม่ได้กินเอ็ง สุดยอดเพื่อน ..... มีเยอะปะแบ่งซักอันดิ 555+ :007:
งี้ป่าวเพื่อน ...ที่ว่าลูกปืน มีดไม่ได้กินเอ็ง สุดยอดเพื่อน ..... มีเยอะปะแบ่งซักอันดิ 555+ :007:
เรากินข้าวอ่ะมะได้กินมีดกินปืนหวะเพื่อน...อิอิอิ

2859
เจ๋งคับท่าน

2860
เก็บกระทู้นี้ไว้ค่ะ... วันไหนอยากทำหนังสือ...

พี่โชว...เขียนให้ค่ะ...ทีเดียวค่ะ!
เก็บกระทู้นี้ไว้ค่ะ... วันไหนอยากทำหนังสือ...




ขอบคุนครับพี่โชวแล้วแต่พี่จะกรุณานะคับ

พี่โชว...เขียนให้ค่ะ...ทีเดียวค่ะ!

2861
ได้เจอคนบ้านเดียวกันผมก้อดีใจผมอยู่กับย่าที่ห้วยพลูตั้งแต่เด็กๆผมเรียนที่ห้วยพลูนะผมดีจัยที่ได้เกิดมาอยู่ห้วยพลูนะ


2862
ช่วงผมเด็กๆ ผมไม่สบายบ่อยครับ เคยเป็นงูสวัดเกือบไม่รอด ได้บารมีหลวงพ่อเปิ่นนี่แหละครับ ผมก็ลูกหลานห้วยพลูเหมือนกันครับท่านนายต้นน้ำ อาโกผมเลยเอาผมไปฝากเป็นลูกบุญธรรมหลวงพ่อเปิ่น โรคภัยไข้เจ็บก็หายไปแทบจะไม่มีครับ ตอนเด็กๆก็ไปอยู่ห้วยพลูบ่อยครับ ก็มีแวะเข้าไปหาหลวงพ่อท่านบ้าง ยังจำได้ดีมีอยู่ครั้งนึง เป็นคางทูม ผู้ใหญ่แถวบ้านก็แนะนำให้ไปหาคนที่เกิดปีขาลเขียนเสือให้ที่แก้มแล้วจะหาย ตอนนั้นก็นึกถึงหลวงพ่อเปิ่นนี่แหละครับ ไปขอความเมตตาให้ท่านช่วยเขียนเสือให้ที่แก้มสองข้าง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ วันรุ่งขึ้นคางทูมก็หายเป็นปลิดทิ้ง พอโตขึ้นมาหน่อยผมก็มาอยู่ดอนยายหอมละครับ เลยไม่ค่อยได้แวะไปหาท่านสักเท่าไหร่ จนกระทั่งบ่ายอ่อนๆวันนึง ขณะที่กำลังเล่นเกมส์อยู่  :075: ก็ได้รับโทรศัพท์จากคุณลุงชออม แก้วแววน้อย โทรมาแจ้งว่าหลวงพ่อเปิ่นท่านได้มรณะภาพแล้ว เสียใจอย่างสุดซึ้งครับ ก็ได้ไปรดน้ำสังขารของท่าน
แล้วก็อยู่ช่วยงาน 100 วันบ้าง มีทั้งไปเอง ไปกับคณะโรงเรียนสิรินธรราชวิทยาลัย ที่ครั้งหนึ่งหลวงพ่อได้มีเมตตาสร้างพระไว้เป็นที่ระลึกในคราวเปิด
โรงเรียน และก็เป็นครั้งแรกที่ได้ไปดูการสักยันต์ที่หลวงพี่แป๊วด้วยครับ ท่านเมตตามากครับ ( วันนี้ก็เพิ่งเข้าไปหาท่านมาเอาพระไปถวายท่านองค์
นึง ) ถ้าไม่ได้หลวงพ่อเปิ่นช่วยไว้วันนั้นคงไม่มีผมวันนี้ครับ นมัสการหลวงพ่อครับ  :054:

ได้เจอคนบ้านเดียวกันผมก้อดีใจผมอยู่กับย่าที่ห้วยพลูตั้งแต่เด็กๆผมเรียนที่ห้วยพลูนะผมดีจัยที่ได้เกิดมาอยู่ห้วยพลูนะ

2863
ร้านศศิวิมลรัตน์เลยครับร้านของเอ็มไร่ขิงคับ.....โฆษณาให้แล้วนะเพื่อนเอ็ม..อิอิอิ

2864
เห็นด้วยครับ ขอโทษท่านสมาชิกด้วยครับ หายไปนานด้วยหลายๆปัจจัย หลายๆท่านคงลืมกันไปแล้ว ยังไงไหว้ครูเจอกันครับ พี่น้องศิษย์หลวงพ่อเปิ่นครับ
คิดถึงคับพี่โจ้ ไหว้ครูเจอกันนะคับ

2865
ขอบคุนพี่เด็กนอกวัดนะที่คิดกิจกรรมดีๆให้กับพวกเรา จัดปาย..

2867
ก็เป็นความคิดที่ดีนะคะ

จะได้รู้จักพูดคุยกัน

แต่ว่าถ้าคนที่ไม่ได้สัก แต่ใส่เสื้อของเว็บบอร์ดจะเข้าไปในพิธีได้มั้ยอ่ะคะ
ได้สิครับถึงเราไม่ได้สักแต่ใจเราศรัทธาเราลูกบางพระเหมือนกัน

ถ้าคนที่ไม่ได้สัก แต่ใส่เสื้อของเว็บบอร์ดจะเข้าไปในพิธีได้มั้ยอ่ะคะ

2868
ก็เป็นความคิดที่ดีนะคะ

จะได้รู้จักพูดคุยกัน

แต่ว่า
ได้สิครับถึงเราไม่ได้สักแต่ใจเราศรัทธาเราลูกบางพระเหมือนกัน

ถ้าคนที่ไม่ได้สัก แต่ใส่เสื้อของเว็บบอร์ดจะเข้าไปในพิธีได้มั้ยอ่ะคะ

2869
ผมดีจัยมากอ่ะเพราะผมทั้งพ่อทั้งลุงครอบครัวผมเป็นศิษย์วัดบางพระหมดเลย ลุงก้อสักกับหลวงปู่ พ่อก้อสัก ผมดีจัยที่บ้านย่าอยู่ห้วยพลูซึ่งใกล้มากๆผมมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับหลวงปู่สมัยเพิ่งหัดเดินซึ่งผมได้นั่งอยู่บนตักหลวงปู่แล้วหลวงปู่ท่านเมตตาเป่ากระหม่อมให้ผมพ่อเล่าให้ฟังอ่ะคับ พ่อผมก้อรอดตายเพราะวัตถุมงคลของหลวงปู่มาเยอะแล้ว พ่อบอกว่าเป็นลูกพ่อต้องมีพระหลวงปู่ติดตัวทุกคน
ผมรักทุกคนในวัดบางพระเคารพพระอาจาย์ทุกท่านมากๆๆ ถ้าชาติหน้ามีบุญอย่างนี้อีกผมขอเกิดมาเป็นศิษย์วัดบางพระแล้วรู้จักทุกๆคนอย่างนี้ตลอดทุกๆชาติครับ......ต้นน้ำ 23;

2870
ชื่อ หนุ่ม ครับ เป็นทหารบกครับ


แฮ่ๆๆๆๆ....ดีคับผู้พันฝากตัวด้วยคับ :054:

2872
หลวงปู่ดินเป็นศิษย์หลวงปู่หิ่มเหมือนกันคับแต่หลวงปู่ดินท่านเน้นทางเมตตาพอดีผมได้จากลงผมเองลุงบอกหายากมากครับ ขนาดลูกอมของท่านเข็มฉีดยายังฉีดไม่เข้าเลย


2873
แม่นางพิมพ์ตุ๊กตา พ่อผมเจอมาอ่ะ โชคดีมากๆๆเลย

2874
โอ้ว..ต้นน้ำมีผ้ายันต์ดำเซ็น กับแม่นางพิม พิมพ์ตุ๊กตา ด้วย แจ๋วเลยครับ  36;

..ท่านเอ็มสนใจแวะไปแทงที่วัดท้องไทร ได้เลยจ้า อาจารย์อั้น ใจดีครับ..

..ให้หลวงปุ่เป่าอีกครั้ง ขอดีจริงๆครับ..
แม่นางพิมพ์ตุ๊กตา พ่อผมเจอมาอ่ะ โชคดีมากๆๆเลย

2875


ผมก้อบูชาเหล้าขาวทุกวันคับทาตรงรอยสักด้วย
[/glow]

2876
เห็นด้วยครับ 7/3/52  ตอนบ่ายเหมาะมาก เพราะช่วงเช้านอกจากเสร็จพิธีไหว้ครูแล้ว
ก็ยังไม่กลับกัน หาเช่าของแต่ละกุฏิอยู่ บ้างก็อยู่แถวโรงทานกินกันแบบอิ่มทั้งบุญ อิ่มทั้งท้อง
ตอนบ่ายเราน่าจะมีกิจกรรมของเวบเราทำกันก็ดีนะ
ยังไงขอความเห็นจาก ท่านพี่ในเวบแสดงความคิดเห็นด้วย
กิจกรรมของเวปเอางัยดีอ่ะคับ เล่นการละเล่นพื้นบ้านดีป่ะ มอญซ่อนผ้า กินวิบาก วิ่งเปรี้ยว ล้อเล่นนะคับ..

2878
สวยงามครับ"ท่านต้น"...

เต่าลายมือของ อ.ท่านใดครับ...{^_^}...
เต่าลายมือหลวงพี่นันคับ

2879
บรรยากาศน่าพักผ่อนจริงๆๆ

2880
อยากได้พระพิฆเนศครับ ท่านได้มาจากหลวงพี่ท่านไหนครับ ผมเคยขอหลวงพี่นัน ท่านบอกว่าวันนี้คงไม่ได้ (วันเสาร์) ท่านเลยให้พุฒซ้อนมาแทนครับ ผมว่าจะไปกราบท่านอีกครั้ง จะไปวันธรมดาดูบ้างครับ เผื่อว่าจะมี วาสนาครับ

ได้จากหลวงพี่นัน ส่วนเต็มองค์ด้านสีข้างได้จากหลวงลุงญาไว้จาลงให้ดูนะคับ

2881
[bgcolor=#c40000]เป็นภัยที่ไม่ควรมองข้ามคับต้องระวัง[/bgcolor]

2882
อ้าว ทำไงล่ะทีนี้ หลังเต็มแล้วอ่ะท่าน ลามใช่ม่ะอย่างนี้ ไปข้างหน้ายังครับท่าน...อิอิ
ข้างหน้ายังเลยคับมีหัวตรงไหล่2ขางอ่ะคับ

2883
ขอบคุนนะคับ

2884
ดีคับ พี่เอ...สบายดีป่าวคับพี่ :002:

2885
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / หลังผมเอง
« เมื่อ: 17 ก.พ. 2552, 04:59:43 »


ฝีมือหลวงลุงญา กับ หลวงพี่นัน มีหลวงพี่แป๊วด้วยครับคือยันต์7ยอด

2886
คมชัดลึก......

2888
ว้าว........พี่น้องเราน่าตีหล่อๆทุกคนเลยคับ

2890
เป็นแดงเกคับ เป็นลายสักของหลวงพี่นันต์

2891
ผมถูดังคับ อี๊ดแอ๊ดๆๆๆๆๆๆๆ ถูดังแบบนี้ทุกทีเลยอ่ะ :008:

2894
จะรักษาไว้อย่างดีครับผม

พยามทำแต่ความดีละกันครับ ศีลข้อ3นี่ละสำคัญ ที่สำคัญขอแค่เป็นคนดีของสังคมก้อพอ :090:

2895
หนุมาน เมตตา แคล้วคลาด คงกระพัน ครับ เป็นนักรบแนวหน้า อะครับ
ส่วนดำดื้อ แดงเก ส่วนมากจะแน้น คงกระพันบู้ๆหน่อย ครับ

คล้ายๆ ครับ แต่ไม่เหมือน มีคนบอกว่า คนสักดำดื้อแดงเกร มักใจร้อน(แต่อาจเป้นที่คนด้วย) ครับ

ส่วนด้านหน้า ยันต์ที่หน้าอกก็จะมีเสือเผ่น เสือสามขา อะไรประมาณนี้ ครับ ลอง ถามข้อมูลจากพี่ ดูได้ครับ
ช่ายคับ ผมก้อสัดแดงเก ใครมีคถาบ้างบอกหน่อยคับ

2896
พี่ชาญคับสักองค์เถอะคับ.....อิอิอิล้อเล่นหนะคับ

2897
พระกรุวัดเงินคลองเตยคับ


สมเด็จวัดไร่ขิง2514พิมพ์กลาง


ด้านหลัง

2898
เยี่ยมๆๆ

2899
ผมก้อยังไม่เคยของขึ้นเลย

2901
เพิ่งไปเที่ยวกลับมาเมื่อกี้เองคับ

2902
อ้างถึง
นะโม 3 จบ
พุทธธังอาราธนานัง
ธัมมังอาราธนานัง
สังฆังอาราธนานัง
พุทธังประสิทธิ์เม
ธังมังประสิทธิ์เม
สังฆังประสิทธิ์เม

2903
ท่านอชิตะมีของดีเยอะเลยนะคับ

2904


ต้นน้ำคับผม

2907
ต้องเก็บเงินรอแล้ว

2908
ป๋มสักแดงเกคับอยากทราบคาถาอ่ะคับ....

2909
ชีวิตผมเลยจิงๆ.....เฮ้อๆๆๆ ใครๆก้อม่ายรัก....ม่ายอยากมีแล้วหัวจัย 42;

2913
หาได้ที่ไหนอ่ะคับแนะนำที

2914
ช่วยแนะนำบ้านลุงด้วยคับพอดีผมไปหาย่าที่ห้วยพลูบ่อยๆเผื่อมีโอกาสเข้าไปบ้างคับ

2915
ผมก้ออยากได้วัตถุมงคลของทางเหนือบ้างอ่ะคับสงสัยต้องหาแฟนเป็นคนเหนือแล้วหละ

2916
สงสารเอ็มหวะเพื่อน
ถึงแม้น่าตาเราจะไม่ได้เรื่อง...แต่ห้องเครื่องเราสุดยอดโว้ยเอ็ม  :047: :047: :047:

2917
เหรียญฤาษีเบิกไพรจัดทำขึ้นเพื่อแจกทหารไปรบอ่ะคับด้านหน้าเป็นรูปพระพุทธเจ้าคับเป็นการตัดไม้ข่มนามซึ่งรัชกาลที่6ท่านเป็นคนทำพิธีคับ
ผิดถูกประการใดช่วยสานต่อด้วยคับ

2918
ขอบคุนครับคุนสายัณ์

2919
ต้นมมีเหรียญรู่น4มั้งเอ็ม และก้อรู่นสร้างเขื่อนประมานนี้แหละจำไมได้อะ

2920
สาธุบารมีหลวงปู่คุ้มครองคับ

2921
ถึงไม่ได้ไปยังงัยเราก็ระลึกถึงหลวงปู่ยังไงหลวงปู่ยังอยู่ในหัวจัยของศิษย์ทุกคนอยู่แล้วคับ

2922
ขอแถมนิดนึงคับ  คนสามพรานไปกราบหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอมคับ แต่หลวงพ่อบอกว่ามาทำไมกันตั้งไกล แถวนั้นก็มีของดีอยู่แล้วนั่นก้อหมายถึง หลวงปู่เพิ่ม วัดสรรเพชรครับ ปู่ผมเล่าให้ฟังคับบ้านปู่อยู่แถววัดสรรเพชรอ่ะคับ

2923
ผม1ตัวคับ เบอร์ L นะคับ จ่ายเงินที่วัดได้ป่ะคับพอดีอยู่ใกล้ๆคับ

2925
ตอนนีผมก้อแขวนติดตัวอยู่ครับพ่อผมให้มาประสบการณ์เยอะมากพ่อบอกรอดตายหลายครั้งแล้วครับ

2927
สวยสุดยอดคับเด๋วไปสักน้ำมันที่แขนบ้างดีกว่า...หลังเต็มแล้วอยากสักอีก

2929
ขอบคุนคับ

2931
รบกวนหน่อยนะคับ

2932
อยากดูชุดไปเที่ยวชุดนอนด้วยคับ....อิอิอิ

2933
อยากได้พระของหลวงปู่ช้างจังครับอยากได้หุ่นพยนต์อ่ะ อิจฉาหลวงลุงญาจังคับได้หุ่นพยนต์ด้วย

2934
ตอนนั้นเจอใส่จีสติงเลยครับใส่เข้าวัดได้ไงสุดยอด 33; 33; 33; 33;

2935
หย้าเสือปี23ใช่ป่ะคับท่านหอมเชียงสวยคับพอดีกระผมก็ห้อยคอติดตัวไว้เหมือนกันของพ่อผมเอง

2936
ดูแล้วม่ายน่าแท้คับมันแปลกๆอ่ะคับ

2938
โฮ....หมดไปกี่บาทครับนั่นใจรักจิงๆนะคับนับถือๆๆๆ[/color

2939
[bgcolor=#ff1d00]พอดีหลังเต็มแล้วเด๋วไปเอาน้ำมันที่แขนบ้างดีกว่า[/bgcolor]

2940
ผมก็รอเหมือนกันคับรอเรื่อยๆกว่าจะได้เสือผมก้อ้ต็มหลังเลยคับ

2941
ผมก็รอเหมือนกันคับรอเรื่อยๆกว่าจะได้เสือผมก้อ้ต็มหลังเลยคับ :052:

2942
แหม.........เรื่องแบบนี้ต้องปรึกษาเอ็มคับ :095:

2943
นาย รักชาติ หนีทหาร อ่ะคับ

2944
ผมไปมาวันเสาร์ดิคับกะจะไปสัก เวรกรรมดันลืมกระเป๋าเงินมาดีนะคับขี่มอไซด์มาใกล้ๆนิดเดียวสามพรานคับ

2948
ผมมีสีชพูครับไปเช่าที่วัดสุทัศน์มา

2949
ไปด้วยคับผมไปอยู่แล้ว...อิอิอิ

2951
ครับสุดยอดคับ :053:

2952
อยากไปสักทางเหนือบ้างอ่ะคับ

2955
ยินดีคับผมมีอะไรก็ไถ่ถามกันได้ครับพวกเราพี่น้องกันครับ :004:

2957
ยินดีต้อนรับครับผมสุดยอดครัวันเดียวเลยหลวงลุงท่านไม่ว่าหรอครับวนลายรอบอ่ะครับอิอิ... :001:

2958
พอดีผมไปเจอตะกรุดข้อมือเสือของปลอมวางขายตามแผงตลาดนัดเยอะเลยครับพวกทำเลียนแบบเยอะเลยเราควรจัดการยังไงดีอ่คับ

2959
เอ็มขี้โม้นะบอกม่ายเคยข้ารู้ข้าเห็น...อิอิ..ล้อเล่นนะเพื่อน :006:

2960
หว่ดดีเน้อ..........ยินดีต้อนรับ

2961
มีบ้างแป่ะแบ่งกรูบ้างสิเอ็ม :005:

2962
ม่ายเห็นมีรูปเลยอ่ะ...น่าจะเป็นหนุมานเชิญธงนะคับ

2963
ว้าวพี่ชายผมมมมมมมมมมมมมมมมมมมหล่อ :004:

2966
ยังงัยก็ได้ครับ

2967
ถ้าเขามีแฟนแล้วแต่เราไม่รู้อ่ะ

2968
ว้าววววๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :053:

2969
แคล้วคลาดปลอดภัย  สืบทอดพระพุทธศาสนาด้วยครับ

2970
แจ้งแค่เนี๊ยะนะจาไปวัดอ่ะ

2971
เฮ้ยเอ็มเด๋วไปหาข้าเพิ่งจะเจอปู่นะโว๊ยท่านเสียแล้วเหรอ

2973
แล้วแต่ศรัทธาครับ

2976
ขอให้บารมีลวงปู่คุ้มครองนะครับ

2977
แต่บางรุ่นแขวนเอวม่ายได้ครับเพราะบรรจุเกศาหล่วงปู่ท่านไว้ครับรุ่นเก่าๆหน่อยนะ :058:

2978
เกมส์ขึ้นมั้งครับ....ล้อเล่นนะ

2979
อ.หนวดท่านสักสวยสักวันผมต้องเป็นแบบอาจารย์ท่านให้ได้

2980
ให้กำลังใจครับ :090:

2984
อยากได้บ้างครับ

2985
เจ๋งครับ

2987
ต้นเองนะเอ็มเอาเบอร์เอ็มมาด้วยเบอร์ต้น087813XXXXนะเพื่อน


***เพื่อความปลอดภัยในตัวท่านเอง แจกเบอร์ ขอเบอร์ ขอเป็นการขอผ่าน ส่งข้อความ (pm) จะดีกว่านะครับ

ด้วยความปรารถนาดีจาก... เว็บ... และ ทีมงานครับ

2988
อยากไปเชียงใหม่บ้างครับ

2991
หวัดดีครับยินดีต้อนรับครับ :053:

2992
ผมเองก็ไม่มีแฟนเครียดเมื่อไรก็ไปสักอย่างเดียวจนเต็มหลังแล้วครับอยู่คนเดียวดีกว่า :067:

2993
เยี่ยมครับ

2994
อย่าลืมต้องคอยดุหมาให้ท่านด้วย

2995
ผมอยากเข้าร่วมด้วยทำไงบ้างครับ

2996
เอ็มเพื่อนผมครับนายพูดดีมาก :053:

หน้า: 1 2 [3] 4