ผู้เขียน หัวข้อ: ปุจฉา-วิสัชนาข้อปฏิบัติธรรม 9 ข้อ กับหลวงพ่อดาบส สุมโน........  (อ่าน 3212 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ powertom

  • ทุติยะ
  • **
  • กระทู้: 16
    • ดูรายละเอียด



ปุจฉา-วิสัชนาข้อปฏิบัติธรรม 9 ข้อ กับหลวงพ่อดาบส สุมโน........

1.ปุจฉา-สมาธิไม่มีอารมณ์ภาวนา จะเป็นสมาธิได้อย่างไร?

หลวงพ่อดาบส สุมโน วิสัชนา-เป็นสมาธิได้ ได้ดังนี้ ขั้นต้น น้อมใจหมายเข้าหาธรรมที่สงบละเอียดประณีต การน้อมใจ หมายถึง โน้มใจนี้นี่แหละ เป็น"ตัวสมาธิ"ชี้ ชัดอยู่แล้ว จะว่าใจเคลื่อนเข้าหาความสงบ ความละเอียด และความประณีต หรือมีทุกข์ มีสังขารเป็นที่สิ้นไปก็ใช่ การโน้มใจถึง หรือโน้มใจหาธรรมชาติที่สงบละเอียดประณีตนี้นี่เอง อารมณ์อื่นๆ คือ อารมณ์นึก อารมณ์คิด ก็ไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ เหมือนถูกตัดตอน ย่อมสงบไปเอง นอกจากอารมณ์ต่างๆที่กล่าวมานี้สงบไปเองแล้ว ความยึดถือเกาะกำ ที่เป็นเสมือนรากยึดอันลึกเข้าไป ที่มีอยู่ ก็จะถูกถอนออกตามไปด้วย เพราะการน้อมเข้านำออก มีทั้งส่วนตื้นและส่วนลึก ที่ยึด คือ เกาะกำ ชื่อว่าเป็นส่วนลึก อารมณ์นึกคิด ชื่อว่าส่วนตื้น

สมาธิแบบนี้ แม้ไม่มีอารมณ์ภาวนา ไม่ต้องทำอารมณ์ แต่ก็เหมือนมี เหมือนทำ เพราะมีการกระทำภายในใจแทน และความหมายก็ไปอีกอย่างหนึ่ง

การ ทำสมาธิทั่วไปส่วนมาก เปรียบเหมือนการทำการผูกมัดวัวควาย ให้อยู่กับหลัก แต่แบบนี้ จะเหมือนทำการปลดปล่อยวัวควาย ที่ถูกผูกมัดอยู่กับหลัก ให้ออกจากหลักไป พร้อมทั้งถอนหลักที่เป็นหลักผูกล่ามทิ้ง เลิกสิทธิ์เป็นเจ้าของวัวควายต่อไป

ผู้ผูกมัด คือ การทำ ผู้ปลดปล่อย ก็คือ การทำ เป็นผู้ทำเหมือนกัน แต่ทำไปคนละแบบ คนละความหมาย

เมื่อ ทำการปลดปล่อยอารมณ์ จิตว่างใจว่าง หรืออารมณ์สงบ ใจผ่องใสดังแก้วมณีไม่มีรอยแล้ว อะไรเล่า ที่เป็นของหยาบจะเข้ามาจับต้องหรือปลิวมาติดมาค้างได้?

ถ้า จะมีการย้อนถามอีกว่า การทำสมาธิแบบนี้ เปรียบเหมือน ทำการปลดปล่อยวัวควายที่ผูกมัดไว้แล้ว ในที่นี้ก็หมายถึง วัวควายที่ถูกผูกมัดไว้แล้วนั่นเอง วัวควาย ก็หมายถึง จิตที่ไปแล้วในอารมณ์ ต่างมีรูปอารมณ์ เป็นต้น อันรู้ได้ยาก เห็นได้ยาก แต่จิตจริงๆ แล้วไม่ได้ไปอย่างนั้น นั่นมันเป็นเพียงอารมณ์จิต ที่กระจายออกไปคว้านั่น จับนี่ วุ่นวายไป เมื่อเราทำในจิต ปล่อยวางความนึกคิดออกไป เราก็รู้ว่า ต้นตอจิตที่แท้ มันอยู่ภายในนี่เอง ตัวที่อยู่ภายในนี้ มันถูกมัดถูกล่ามอยู่แล้ว คือ ไปมัดติดอยู่กับอารมณ์ต่างๆ หย่อนยานบ้าง เคร่งเครียดบ้าง เราเมื่อมารู้ว่า จิตนี้ มันถูกมัดถูกล่าม อยู่กับอารมณ์อยู่ตลอดเวลามาแล้ว เราก็ไม่จำเป็นจะต้องผูกมัดอีก เพราะฉะนั้น การทำสมาธิในแบบนี้ จึงตัดปล่อยทั้งต้นและปลายไปทั้งหมดเลย ทำไม่ให้มีที่ภายใน ทั้งภายนอก ทั้งต้นและปลาย

สมาธิแบบนี้ เป็นสมาธิย่อ และรวบยอดเป็นองค์มรรค 6 หรือทั้งสมถะและวิปัสสนาพร้อม ที่ตั้งไม่มี ภพก็ขาดไป ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ก็ขาดไป บาปกรรม นรกอบาย ก็ขาดไป ทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงก็ขาดไป เพราะจิตสงบจากสังขาร ข้ามพ้นล่วงแดนฯ

2.ปุจฉา-จิตที่คลายอารมณ์ สละวางทุกสิ่ง ไม่เกาะอะไรแล้ว จิตยังไม่รู้อะไรอยู่บ้างหรือไม่?

หลวงพ่อดาบส สุมโน วิสัชนา-ถ้า เข้านิโรธสมาบัติในขั้นสุด ความเสวยอารมณ์ไม่มี เพราะสัญญาความจำดับ แต่ถ้าไม่เข้านิโรธสมาบัติดังกล่าว ยังคงมีความรู้อยู่ แต่อยู่ในห้วงแห่งความสงบ เหนือความนึกคิด และรู้นี้ จะอยู่กับความรู้เดิม และเป็นรู้ที่รู้ทั่วพร้อม เป็นรู้เต็มเปี่ยม หรือเต็มรอบ เป็นรู้มีในทุกขุมขน ถ้าจะเปรียบก็เหมือนน้ำ มีอยู่เต็มสระใหญ่ ทั้งซึมซาบไปตามบริเวณรอบๆด้วย ฉะนั้นฯ

3.ปุจฉา-จิตที่ไม่มีนอกไม่มีใน ไม่มีที่ตั้ง ไม่เกาะเกี่ยวอะไร จิตจะอยู่ในแบบใด?

หลวงพ่อดาบส สุมโน วิสัชนา-จิตจะอยู่ได้ด้วยตัวเอง เหมือนฟ้าไม่ต้องอาศัยแผ่นดิน หรือดวงดาวอะไรๆทั้งนั้น แต่จะพูดว่า อาศัยธรรมนั้นก็ได้อยู่

จะ เปรียบให้ฟังง่ายๆ ทารกน้อยแรกเกิดมา ไม่อาจนั่ง ยืน เดินได้ เอาเพียงจะพลิกคว่ำพลิกหงายในที่นอนอยู่ก็ทั้งยาก หมายความว่า เป็นตัวของตัวเองไม่ได้ แต่ผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ซิ นั่น นอน ยืน เดิน หรือ จะทำอะไร ก็ย่อมทำได้ คือ หมายความว่า เป็นตัวของตัวเองได้ อุปมาเปรียบนี้ก็ฉันนั้นฯ.......

4.ปุจฉา-พุ ทโธ พุทธบริษัทมีพุทธรัตนะเป็นที่พึ่ง เป็นต้น เริ่มต้น เราก็นึกถึงพุทโธเป็นอารมณ์ แม้ทำสมาธิภาวนา เราก็นึกถึงพุทโธเหมือนกัน แต่การทำสมาธิภาวนา แบบสงบจิต ปล่อยวางคลายอารมณ์นี้ บอกว่าไม่ต้องมีคำภาวนาใดๆ แม้คำว่าพุทโธ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะเอาอะไรมาเป็นที่หน่วงเหนี่ยวพึ่งพา มิเป็นการห่างไกลไปจากพุทโธหรือ?

หลวงพ่อดาบส สุมโน วิสัชนา-พุ ทโธเป็นรัตนะอันประเสริฐ หาได้ยาก....แม้เพียงพระนาม ก็หาได้ยินยาก พุทโธเป็นยิ่งกว่าแก้วทั้งหลายในโลก ผู้มีพุทโธ ย่อมไม่ไปอบาย ผู้ถึงพุทโธ ทุกข์ย่อมดับ การที่เราถึงพุทโธนั้นก็ดีแล้ว แต่เรายังไม่ได้เข้าถึงพุทโธ การรู้เพียงพระนาม หรือเรียกพระนามถูก จะเป็นผู้เข้าถึงหาไม่ได้ เรารู้กันหรือไม่ว่า พุทโธนั้น ท่านเป็นอรหันต์ ไกลจากกิเลสแล้ว เป็นผู้ไปถึงฝั่งโลกุตตระแล้ว ไปอยู่ฝั่งโน้นแล้ว!!!

พระองค์ตรัสว่า "โย ธัมมัง ปัสสติ โส มังปัสสติ"-ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดถึงธรรม ผู้นั้นถึงเรา......

ธรรม ณ ที่นี้ ไม่ใช่ธรรมที่เกิดที่ดับ ตามที่คนส่วนมากเข้าใจกัน ธรรม ณ ที่นี้ ก็คือ "อมตะนิพพาน"-อันเป็นธรรมชาติสงบ ละเอียด ประณีตยอดเยี่ยม ปัจจัยตกแต่งไม่ได้ เป็นอสังขตะธรรม.......

ในเมื่อเราอยากพ้นทุกข์ อยากถึงพุทโธ อยากเห็นพุทโธ อยากมีพุทโธเป็นที่พึ่ง....แต่เราอยู่ฝั่งนี้ พุทโธอยู่ฝั่งโน้น .....ร้อง หาพุทโธ หรือฝั่งโน้น ให้มาหาเรา มารับเรา พุทโธ หรือฝั่งโน้น คงไม่มาหาเราแน่ หากจะมีบ้าง ก็เพียงฉายแสงวูบๆวาบๆ มาหาเรา เพื่อแสดงให้เรารู้ว่า พระองค์ท่านคอยเราอยู่ฝั่งโน้นแล้ว หากเรายังโง่ ไม่รีบติดตามข้ามฟากไป พุทโธก็คงช่วยอะไรเราไม่ได้!!!

การ ที่เราบางคน นั่งสมาธิภาวนาว่า "พุทโธ" หรือ นึกถึงพุทโธ ไปเรื่อยๆจนติด เราเหน็ดเหนื่อยงวยงง เฉยไปชั่วครู่บ้าง ว่างเปล่าไปบ้าง เราก็เกิดมีความเบา ความสบายขึ้นมาเอง นี่ก็เหมือนกับว่า พุทโธร้องตอบร้องเรียกเรา ให้เราข้ามฟากไปสู่ฝั่งโน้น เพื่อจะได้เห็นพระองค์ ถึงพระองค์.....

ตราบ ใด เราไม่ลงมือสละปล่อยคลายวาง หากเอาแต่เรียกร้องให้มากยิ่งขึ้นๆ จนเกินกว่าเหตุ ก็ซ้ำจะยิ่งเป็นการห่างไกลไปจากพุทโธหนักขึ้น การกล่าวว่าพุทโธ หรือ การยึดพุทโธ เป็นการปรุงสังขาร เมื่อใครมัวปรุงสังขารอยู่  ก็จะถึงอมตะนิพพานไม่ได้!!!

ผู้จะรู้จักอมตะนิพพาน ก็ต้องสงบสังขาร ดังที่พระองค์ตรัสไว้ว่า "สังขารานัง ขยังญัตวา อกตัญญู สิ พราหมณะ".....ท่านรู้จักความสิ้นไปแห่งสังขารทั้งหลายแล้ว จะเป็นผู้รู้จัก"อมตะนิพพาน" ที่ปัจจัยทำไม่ได้ นะพราหมณ์ฯ......

ก็เป็นอันว่า การจะถึงพุทโธ  หรือเห็นพระพุทโธ ณ ที่นี้ ก็ด้วยการสงบสังขาร ปล่อยวางสงบเมื่อใด ปล่อยเมื่อใด ก็ย่อมจะถึง หรือเห็นพุทโธเมื่อนั้น!!!!.....

และก็ไม่ต้องสงสัยหรอกว่า การปล่อย การวาง จะเป็นการเดินทางผิด เพราะทางถึงทางพ้นทุกข์ มีทางเดียว ทางอื่นไม่มี!!!!!.......ยิ่งปล่อยวางได้ยาก ก็ยิ่งใกล้พุทโธมาก ยิ่งนึกคิดมาก ยึดถือมาก ก็ยิ่งไกลพุทโธออกไป.......ปล่อยได้รอบ ก็เหมือนจันทร์เต็มดวง!!!!!.....

"จิตที่ปล่อยวาง ว่างสงบแล้ว" นี่แหละ "เป็นแก้วผุดผ่องวิเศษ" คือ "แก้วพุทธรัตน์-แก้วธรรมรัตน์-แก้วสังฆรัตน์".....ไม่มีแก้วใดในโลก จะยิ่งไปกว่านี้แล้ว ฯ .......
5.ปุจฉา-เราไม่เคยเห็นเคยพบสิ่งนั้น แล้วจะนึกถึงสิ่งนั้นได้อย่างไร?

หลวงพ่อดาบส สุมโน วิสัชนา-"สิ่งนั้น ในที่นี้ คือ อมตะนิพพาน"-ธรรมชาติที่สงบ ละเอียด ที่ประณีตยอดเยี่ยม หรือ ที่เรียกว่า "ฝั่งโน้น".......

จริง อยู่ เราไม่เคยเห็นเคยพบมาก่อนเลย แต่เราก็พอจะรู้ได้โดยนัย เพราะธรรมดามีให้เทียบ ให้รู้อยู่ตลอดกาล เช่น หนาว ร้อน หนัก เบา หยาบ ละเอียด สุข ทุกข์ ดีแล้ว.....เราก็เทียบได้

ความสงบระงับเป็นอย่างไร?

เราไม่รู้ เราก็ย้อนดูสิ่งที่ตรงกันข้าม คือ ดูที่ความนึก ความคิด ดูที่ความเกาะความถือ ก็สิ่งที่ตรงกันข้ามนั้นอย่างไรเล่า?......

ก็ต้องไม่ใช่นึกใช่คิด ไม่ใช่เกาะใช่ถือ ความนึกความคิดเป็นทุกข์ ความเกาะ ความถือเป็นทุกข์ ที่ไม่นึก ไม่คิด ที่ไม่เกาะไม่ถือ ก็ต้องเป็น อมตะ นิพพาน เป็นฝั่งโน้น เป็นที่ล่วงทุกข์ล่วงแดน เป็นสุข....

เพราะฉะนั้น อมตะ นิพพาน ที่เราไม่เคยเห็นเคยพบมาก่อน ก็พึงนึกเทียบเคียง แล้วทำภายในใจให้ถึง ให้เป็นเช่นนั้น แต่เมื่อเราปล่อยวางไป มันก็ไม่ไปไหนได้ และเส้นทางปฏิบัตินี้ ก็เหมือนกับ มีเครื่องหมายชี้บอกอยู่ตลอดทาง และสุดทางไม่สุดทาง ผู้ปฏิบัติก็รู้ด้วยตัวเอง  เหมือนตัดท่อนไม้ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น.......

6.ปุจฉา-ผู้อยู่กับบ้านกับเรือน ไม่ได้โกนหัว นุ่งห่มผ้าย้อมฝาดอยู่กับวัด จะปฏิบัติสมาธิแบบนี้ได้หรือไม่?

หลวงพ่อดาบส สุมโน วิสัชนา-ได้ จะเป็นสมาธิแบบนี้หรือแบบอื่น ก็ได้ทั้งนั้น ทุกคนมีสิทธิ์จะได้จะถึง ไม่เลือกเพศเลือกชั้น ส่วนจะได้จะถึง มากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับตัวเอง.....

7.ปุจฉา-การทำสมาธิแบบนี้ เราจะเริ่มต้นที่ไหน หรือ ทำอย่างไร?

หลวงพ่อดาบส สุมโน วิสัชนา-เริ่มต้นที่"ใจเรา"นี่ แหละ ทันที ไม่ต้องรอเวลา หรือมีพิธีอะไร จะอยู่ป่า อยู่โคนไม้ ศาลาว่าง กุฏิ นั่ง นอน ยืน เดิน แม้ไปในยามหลับตาทำ หรือลืมตาทำ ก็ได้ ขอแต่ว่าปลอดภัย และไม่มีโทษ และมีความจริงใจที่จะทำ ฯ

8.ปุจฉา-ถ้าทำจิตให้สงบ ว่างจากอารมณ์นึกคิดไม่ได้ ตามแบบข้างต้น จะมีวิธีใดบ้างที่เป็นมูลฐาน ช่วยให้จิตสงบ มีความว่างแจ่มใส?

หลวงพ่อดาบส สุมโน วิสัชนา-มีเหมือนกัน คือ ให้นึกถึงรูปร่าง ดอกดวง สีแสง อย่างใดอย่างหนึ่ง  เพื่อให้"จิตรวมตัวเป็นอารมณ์ หยุดอยู่ที่หนึ่ง"เสียก่อน จิตรวมตัวหยุดอยู่ที่หนึ่งนี้ จะเรียกว่า"นิมิต"ก็ใช่

เมื่อจิตรวมตัวเป็นอารมณ์หนึ่งแล้ว แล้วเราก็เบนจิตออกจากอารมณ์หนึ่งนั้น โน้มเข้าหา"ความว่าง-ความสงบ"ทั่วรอบ ที่เรียกว่า "โน้มเข้าหาฝั่ง เพื่อขึ้นฝั่ง"

ที่ว่า ให้นึกถึง รูปร่าง ดอกดวง สีแสงนั้น เป็นต้นว่า ดูส่วนอันใดอันหนึ่งในร่างกายเราท่าน หรือ ศพ หรือ วัตถุ ขาว เขียว แดง  อะไรก็ได้ แต่อย่าลืมว่า วิธีนี้ไม่ใช่วิธีย่อตัดตรง

อีกนัยหนึ่ง จะนึกถึงอัตภาพสังขารทั้งหลาย ภายนอกภายใน ว่าไม่เที่ยง-เกิดขึ้นแล้วย่อมสลายไป ไม่มีส่วนเหลือ จิตก็จะเข้าสุ่ความสงบ ว่างเปล่า ล่วงสังขารทั้งหลาย ไปเข้าถึงฝั่ง พ้นทุกข์ อันเป็นฝั่งพ้นทุกข์ที่เดียวกันนั่นเอง  หลักธรรม ยอดธรรมยอดคาถา ก็แสดงไว้อย่างนี้

9.ปุจฉา- ผู้ครองเรือน จะถึงอมตะนิพพานได้หรือไม่?

หลวงพ่อดาบส สุมโน วิสัชนา-ผู้อยู่ครองเรือน แต่ไม่ยึดถือเรือน ก็ถึงอมตะนิพพานได้ .....

แต่คำว่า"อยู่ครองเรือน" อาจแยกออกเป็น 2 คือ ปุถุชน และ ตั้งแต่ โสดาบันบุคคล ถึงสกิทาคามีบุคคล ชื่อว่า "ผู้ยังมีเรือน"

อนาคามีบุคคล กับ อรหันต์บุคคล ชื่อว่า "ผู้ไม่มีเรือน"

ผู้ไม่มีเรือน-อาจอยู่ในสถานที่มุงที่บัง เหมือนชาวบ้านผู้มีเรือนก็ได้ และอยู่ในเพศที่มีผมยาว นุ่งห่มเหมือนชาวบ้านก็ได้ ฯ.......


สวากขาโต ภควตาธัมโม ธัมมังนมัสสามิ ข้าพเจ้าขอบนมัสการซึ่งพระธรรมของพุทธองค์
ฐาตุ จิรัง สะตัง ธรรมโม ขอพระสัทธัมของพระพุทธเจ้าจงตั้งอยู่ชั่วกาลนาน เทอญ

ออฟไลน์ ~เสน่ห์ต้นน้ำ~

  • ลูกบางพระ
  • ผู้คุมกฎ
  • *****
  • กระทู้: 3234
  • เพศ: ชาย
  • แก้งค์ ศาลา ชาติ ศาสน์ กษัตริย์
    • ดูรายละเอียด
ขอบคุณมากครับสำหรับธรรมะดีๆครับ

ปล. ช่วยบอกด้วยนะครับว่านำมาจากเว็ปอะไรหนังสือชื่ออะไร
  :114: