คุณค่าของวันเวลาที่ผ่านไป ๓๑ สค. ๕๔...
ตถตาอาศรม เขาเรดาร์ บ้านบึง ชลบุรี
พฤหัสบดีที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๔
มีปัญหาสุขภาพเล็กน้อยเพราะออกไปตากฝนตอนกลางคืน
ออกไปตรวจดูความเรียบร้อยของรางน้ำฝนในขณะที่ฝนตกตอนตีสอง
ซึ่งปรากฏว่ามีปัญหาอยู่สองจุดที่น้ำใหลย้อนไม่ใหลไปตามท่อที่วางไว้
เพราะช่างมักง่ายไม่ได้จับระดับความลาดเอียง เพียงตีวางไปตามแนว
ของเชิงชาย จึงทำให้เกิดน้ำใหลย้อน เพราะฝั่งปลายท่อน้ำลงนั้นสูงกว่า
ซึ่งถ้าเราไม่ออกมาตรวจสอบตอนฝนตกก็จะไม่รู้ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน
เปียกฝนไปทั้งตัว กลับขึ้นมาเช็ดตัวแล้วจึงเข้านอนประมาณตีสามกว่า......
ตื่นเช้ารู้สึกตัวขึ้นมา รู้ว่าร่างกายผิดปกติจึงพยายามทรงอารมณ์ปิติไว้
เพื่อปรับสภาพร่างกาย ปฏิบัติตัวแบบสบายๆไม่ตึงเกินไปและไม่หย่อนเกินไป
ศรัทธาเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เสริมต่อ รักษาไว้ทันที ใช้เวลาพักผ่อนด้วยการค้นคว้า
ศึกษาตำราธรรมะที่เป็นภาษาปริยัติ เพื่อทำความเข้าใจในธรรมนั้นให้ถูกต้อง
ยกโพชฌงค์ ๗ ขึ้นมาพิจารณาตามลำดับชั้นไล่เรียงสภาวะธรรมขององค์โพชฌงค์ ๗
เชื่อมโยงไปสู่ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ที่เป็นสัมปยุตตธรรม พิจารณาอิทธิบาท ๔ ข้อวิมังสา
ทบทวนใคร่ครวญ การปฏิบัติที่ผ่านมา และสภาวะธรรมต่างๆของกรรมฐานแต่ละกอง
ที่ได้เคยปฏิบัติมาแยกแยะหมวดหมู่ของการปฏิบัติสภาวธรรมแต่ละอย่างได้ชัดเจน
เกิดสภาวะปิติเอิบอิ่มในธรรม....
การปรุงแต่งในปุญญาภิสังขารบางครั้งก็เป็นทุกข์ได้ เพราะว่าเกินความพอดี
ทำให้เกิดความฟุ้งซ่านได้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ต้องอยู่บนพื้นฐานของความพอดี
และความเหมาะสม ไม่เช่นนั้นแล้วจะทำให้เป็นทุกข์เป็นโทษได้ เพราะว่าเกินกำลัง
จึงต้องพยายามควบคุมความคิค ความอยาก ให้อยู่ในกรอบในกฏเกณฑ์ของความพอดี
ประคับประคองจิตไว้ให้เป็นกุศลจิตตลอดเวลาทรงไว้ในอารมณ์ปิติกำหนดสติและสัมปชัญะ
พิจารณาธรรมตามดูตามรู้ตามเห็นในอารมณ์ที่เกิดขึ้น ทำความรู้ตัวทั่วพร้อม โปร่ง โล่ง เบา
สบาย ดำรงทรงไว้ซึ่งความเป็นกุศลจิตทั้งหลาย เพื่อให้เกิดความเจริญในธรรรม....
...แด่โพชฌงค์ ๗ องค์ปัญญาตรัสรู้และโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ที่เป็นสัมปยุตตธรรม....
ร่างกายเริ่มปรับสภาพได้ อาการป่วยไข้ไม่สบายก็หายไป เพราะว่าธาตุในกายนั้น
ได้ปรับให้มีความสมดุลกันแล้ว ความเจ็บป่วยทั้งหลายนั้นเกิดจากความผิดปกติของธาตุในกาย
อันมีสาเหตุมาจากกรรมทั้งในอดีตและปัจจุบัน ที่ทำให้ธาตุในกายนั้นแปรปรวนไปไม่สมดุลกัน
สิ่งที่สำคัญก็คือจิตของเรา ที่จะเข้าไปควบคุมธาตุทั้งหลายเหล่านั้น ให้เกิดความสัมพันธ์พอดี
สมดุลต่อกัน “ จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ทุกเรื่องราว ล้วนเกิดจากจิต “ เมื่อจิตดีย่อมจะส่งให้
กายนั้นเด่น แต่ถ้าจิตนั้นด้อยขาดกำลัง กายนั้นก็จะเสื่อมโทรมไม่มีราศี ดั่งที่เคยได้กล่าวไว้ว่า
“ จิตดี กายเด่น จิตด้อย กายดับ “ จึงจำเป็นต้องฝึกฝนจิต รักษาจิตนั้นให้มีกำลังอยู่เสมอ....
เชื่อมั่น-ศรัทธาในธรรม-ด้วยความปรารภนาดีและไมตรีจิต
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม-วจีพเนจร
๑ กันยายน ๒๕๕๔ เวลา ๐๘.๐๘ น. ณ ตถตาอาศรม บ้านบึง ชลบุรี