แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - makantong

หน้า: [1]
1

อยากรู้เสือรุ่นไหนครับ


อันเหรียญ 7 รอบครับหลวงพ่อจ้อย วัดหนองน้ำเขียว ชลบุรี เมตตาจารให้ครับ

สุดท้ายคือหนุมานหลวงปู่เกลี้ยง วัดเนินสุทธาวาส ชลบุรีครับ

2
ได้รับเสื้อเรียบร้อยครับ ส่งเร็วทันใจมากเลยครับ
ขอบคุณมากครับ

3
มีท่านใดพอที่ทราบประวัติอาจารย์วิเชียรอดีตรองเจ้าอวาสวัดเนินชลบุรีบ้าง
รบกวนผู้รู้ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยนะครับ

4
หลวงพ่อจ้อย วัดหนองน้ำเขียว ชลบุรี

5
ขอบคุณมากครับสำหรับคำแนะนำดีๆๆ
ยังไงถ้าท่านใดว่างก็ขอเชิญไปร่วมทอดกฐินที่วัดหนองหม้อแกงวันที่ 2 พฤศจิกา 2552
นะครับ

6
เนื่องจากวันนี้น้องของไปกราบหลวงพ่อเอิบวัดหนองหม้อแกงมาครับ
จึงได้ความสงสัยว่าพระลักษณ์หน้าทอง หนังกลองแตกรุ่นแรกนั้น
ทางวัดไม่จัดสร้างขึ้น แต่มีคนทำมาแล้วนำมาให้หลวงพ่อเอิบปลุกเสกอีกที
ซึ่งทางก็บอกมาว่าจำนวนที่ปลุกเสกนั้นประมาณ2000อันเท่านั้น
  และขณะนี้ทางวัดกำลังจัดรุ่น2 ออกมาจะมีโค๊ตหลวงพ่อเอิบอยู่หลังครับ
รบกวนผู้ช่วยชี้แจงให้กระจ่างด้วยครับ

7
รู้สึกว่าจะเคยออกรายคุณพระช่วยทที่ช่อง9
นะครับ มีอยู่10ท่าด้วยน่ะครับ

9






รบกวนผู้รู้ช่วยให้คำแนะนำหน่อยนะครับ
ขอบคุณมากๆๆทุกคำแนะนำนำครับ

10
รบกวนผู้ช่วยนำรูปมาโชว์ให้ดูหน่อยครับ
อยากรู้ว่ามีกี่เนื้อมีโค๊ดอะไรบ้าง
ขอบคุณผู้รู้ล่วงหน้าครับ

11
เชื่อครับเพราะว่าได้อ่านจากหนังสือประวัติของหลวงปู่คำพันธ์
เป็นผู้ทีมีความผูกพันธ์กับพญานาคในอดีตชาติครับ

12
ย่าสนใจมากครับ

14
ประวัติน่าสนใจมากๆๆเลยครับ

15
ขอบคุณครับที่ให้คำแนะนำครับ

17







อันแรกเหรียญหมู
เสือเนื้อทองเหลือง
แต่อันนี้เขาบอกว่าเป็นเขี้ยวหมูครับหลวงพ่อเปิ่นปลุกเสกครับ
แต่ผมไม่มั่นใจเท่าไรครับรบกวนผู้รู้ช่วยแนะนำหน่อยน่ะครับ

18
คาถาอาคม / คาถามหาวิเศษ
« เมื่อ: 28 ก.ค. 2552, 12:56:02 »
                                                        คาถามหาวิเศษ
                                อิติปิโสภะคะวะ  อิติมันตา  สุขาวะหะ  อิติปิโส  ภะคะวา  อิติพุทธะ
                                 สะวาหะ  อิติปิโสภะคภวา อิต๚
    
   คาถามหาวิเศษนี้  ใครได้พบแล้ว  หาค่ามิได้เลย  ท่านให้ภาวนาทุกเช้าค่ำ  อยู่ยงคงกระพันชาตรียิ่งนัก  เสกข้าวกินวันหนึ่งคงทนอยู่ได้สองวัน          ถ้าจะให้เป็นเสน่ห์  ให้เสกแป้งหอม น้ำมันทาตัว    ผู้ใดได้ภาวนา  พระคาถานี้ไว้  เสมอเทพยดาและมนุษย์  จะเกรงตัวเราและมีใจเมตตาแก่เราเสมอ

                                           คาถาหัวใจ 108
                            นะโมพุทธายะ  นะมะพะทะ   จะภะกะสะ
คาถาบทนี้  ใช้ได้ทุกอย่าง  เมื่อภาวนาบทใด  ให้ว่าบทนี้แทรกเข้าไปด้วยจะช่วยเพิ่มความขลังให้มากขึ้น
ทีมาจาก สำนักพุทธประทีป

19
ผมก็เพิ่งไปมาครับเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 25252
แต่ไม่ใช่วัดครับ  ซึ่งเป็นร้านเช่าพระของลูกศิษย์ของท่านนิมนต์มาเปิดร้านเลยที่สระแก้วครับ
ได้มีการเป่ากสิณไฟครอบเศียรพระพรมครับ
แต่หลวงปู่ครอบเศียรให้อย่างเดียวครับ ส่วนองค์เป่ากสิณไฟให้เป็นหลวงพ่อน้อยท่านเป็นศิษย์น้องครับ

20
สวยดีครับ

21
สวยมากๆๆเลยครับชอบๆๆๆ

22
ขอบคูณที่มามาให้ความรู้ครับ

24
พระนารยณ์ทรงครุฑ หลวงปู่ผาด วัดไร่ จ.อ่างทอง


ลูกออมหนุมาน หลวงพ่อเพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน จ.ลพบุรี


เสือจิ๋ว หลวงพ่อเพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน จ.ลพบุรี


พระปิดตานะทรหด  หลวงปู่กาหลงเขี้ยวแก้ว วัดเขาแหลม จ.สระแก้ว

25


ไม่แน่ใจว่าแท้ไหมครับรบกวนผู้รู้ช่วยชี้แนะหน่อยครับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำชี้แนะครับ

28




เหรียญรูปเหมือนของท่านรุ่นแรก เนื้อเงินลงยา สร้าง 80 องค์ครับ

29
 

หลวงพ่อเสริฐ รูปนี้ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังอีกรูปหนึ่งของภาคตะวันออก ท่านเป็นศิษย์ของลพ.โต วัดเขาบ่อทอง ฯลฯ เป็นสหธรรมมิกกับลป.คร่ำ วัดวังหว้า โดยเฉพาะวิชาการเขียนยันต์ "พัดโบก" ซึ่งท่านได้เรียนมาจากลป.คร่ำ นั้นถือว่าเป็นหนึ่งในวิชาที่มีพุทธคุณด้านเมตตา ค้าขายเป็นที่ประจักษ์มานานแล้ว โดยเมื่ือสมัยที่ลพเสริฐ ท่านยังพำนักอยู่ที่วัดวังหว้า เวลาใครไปกราบลป.คร่ำ ท่านก็จะบอกให้ไปกราบลพ.เสริฐด้วยเสมอ เพราะลพ.เสริฐ ท่านได้ร่ำเรียนวิชา จากหลวงพ่อโตไว้มากมาย

นอกจากนี้วิชาตะกรุดโทน และตะกรุดมหารูดของท่าน ก็มีพุทธคุณสูง ทั้งด้านแคล้วคลาดและคงกระพันครับ

ขอขอบคุณข้อมูลจากhttp://www.luangpukahlong.com/board.php?b=showb&Category=sumkaji&No=3352

30
ยินต้อนครับเช่นกันครับ

31
สวยมากเลยครับ

32
ขนาดประมาณ 2 ซม.x 3 ซม.ครับ

33

ขอยืมภาพมาจากhttp://www.meeboard.com/view.asp?user=chana&groupid=2&rid=6&qid=4


ลูกอม หนุมาน เนื้อ 3K ของหลวงพ่อเพี้ยนครับที่ผมมีอยู่
ขอขอบคุณพี่ชนะครับ สำหรับรูปภาพ

37
                     วัดซากหมากฯซึ่งเป้นพระภิกษุบ้านนอกจากชายฝั่งทะเลตะวันออกก็เป็นอีกท่านหนึ่งที่คณะกรรมการผู้ดำเนินงานอาราธนาไปร่วมเป็นพระเวทยาจารย์ด้วย เมื่อวันที่๒๔พฤษภาคม๒๕๑๘โดยครั้งนั้นพระอาจารย์กัสสปมุนีแห่งสำนักปิปผลิวนาราม อำเภอบ้านค่าย ก็ได้อาราธนาไปร่วมพิธีด้วยการได้ไปร่วมในพิธีพุทธาภิเษกครั้งสำคัญๆของหลวงพ่อหอมนี้หากจะนำมากล่าวทั้งหมดทุกๆครั้งก็ดูจะเป็นการลำบากเหลือเกินเพราะมิได้มีศิษย์ใกล้ชิดท่นใดจดบันทึกไว้เป็นหลักฐานเลย
                   
                     ในสมัยที่หลวงพ่อหอมกำลังก่อสร้างวัดซากหมากฯอยู่นั้น ท่านได้เดินธุดงค์มาจากวัดมาบข่าเมื่อปี๒๔๗๑มีพรรษาเพียงสองพรรษาเท่านั้นสันนิฐานว่าท่านคงประสงค์จะมาเยี่ยมบ้านเกิดของท่านที่บ้านสำนักท้อนแต่เมื่อผ่านบ้านซากหมาก ซึ่งขณะนั้นเป็นป่าคงดิบซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์นานาชนิดเช่น ช้าง เสือ หมูป่า ลิงค่าง และงูพิษอาศัยอยู่มากมาย มีบ้านเรือนอยู่เพียงไม่กี่หลัง คือครอบครัวนายแผน นายมาน นายแหว นายจิ๊ดนางนก และนายไพร หลวงพ่อได้พบกับบ้านที่ทำด้วยไม้ไผ่สองหลังทรุดโทรมจนเกือบใช้การไม่ได้แล้วสอบถามชาวบ้านก็ทราบว่าเป็นสำนักสงฆ์  ซึ่งพระอาจารย์ล้าเคยอยู่มาก่อนแต่ได้ปล่อยให้เป็นสำนักล้างมาประมาณ๑๐ปีเศษหลวงพ่อจึงตกลงใจที่จะฟื้นฟูสำนักสงฆ์แห่งนี้ให้เป็นวัดขึ้นมาให้ได้จึงได้เข้าป่าไปจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำเขานางหย่อง

                     เพื่อแสวงหาไม้ที่จะนำไปปลูกสร้างถาวรวัตถุของวัดที่ตั้งใจไว้ และในขณะที่ท่านจำพรรษาอยู่ในถ้ำนั้นก็ปรากฏว่ามี ช้าง เสือ และสัตว์ร้ายอื่นๆ มาวนเวียนอยู่ใกล้ท่านตลอดเวลาแต่ก็เป็นที่น่ามหัศจรรย์ที่สัตว์ร้ายเหล่านั้นหาได้เข้าทำร้ายท่านไม่ตรงกันข้ามเมื่อนานๆเข้ากลับปรากฏว่าสัตว์เหล่านั้นเชื่องได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านสามารถพูดกับช้างป่ารู้เรื่องกันเป็นอย่างดี ถึงขนาดทำอะไรๆตามคำสั่งท่านได้เมื่อท่านคัดเลือกไม้ที่ต้องการได้แล้วจึงได้นำชาวบ้านขึ้นไปตัดโค่นจนได้จำนวนพอแก่ความต้องการแต่ก็เกิดมีปัญหาว่าจะทำอย่างไรจึงจะชักลากไม้เหล่านั้นลงมาแปรรูปข้างล่างได้ เพราะเป็นระยะทางไกลถึง ๗กิโลเมตร จึงได้ชักชวนชาวบ้านที่ขึ้นมาช่วยตัดโค่นต้นไม้กลับลงมาที่สำนักสงฆ์ซากหมากก่อนเพื่อที่จะหาวิธีขึ้นไปชักลากไม้ลงมาจากเขานางหย่องให้ได้แต่เมื่อได้ปรึกษาหารือกับชาวบ้านเป็นเวลาหลายวันก็ยังไม่พบวิธีที่ต้องการหลวงพ่อจึงย้อนขึ้นไปบนเขาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อสำรวจดูเส้นทางให้ละเอียดเสียก่อนอีกครั้งหนึ่งพอหลวงพ่อไปถึงเชิงเขาก็ต้องประหลาดใจอย่างยิ่ง เพราะปรากฏว่าที่เชิงเขานั้นมีไม้ที่ตัดไว้บนเขาได้ลงมากองอยู่จนครบทุกท่อน กับได้เห็นรอยเท้าช้างป่าขนาดใหญ่รอบๆบริเวณกองไม้และทางขึ้นเขาเปรอะไปหมดซึ่งต่อมาหลวงพ่อก็ทราบว่าเป็นฝีมือช้างป่าที่คุ้นเคยกับท่านจำนวน ๗ เชือก ช่วยกันชักลากมาไว้นั้นเอง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ชาวบ้านได้ประสบกับความมหัศจรรย์ในอภินิหาริย์ของหลวงพ่อและเริ่มบังเกิดความศรัทธาอย่างสูงมาตั้งแต่นั้น

                   เมื่อหลวงพ่อสร้างอุโบสถได้มีชาวบ้านใกล้ๆวัดเข้ามาหาหลวงพ่อบอกว่าช้างป่าเข้าไปในไร่เก็บกินพืชผลที่เขาปลูกเอาไว้จนได้รับความเสียหายอย่างหนัก เขาจะยิงก็เกรงใจหลวงพ่อขอให้หลวงพ่อช่วยเขาด้วยเถิดเมื่อหลวงพ่อได้ทราบเช่นนั้นก็รับปากว่าจะช่วย และลุกเดินไปยืนบริกรรมอยู่สักครู่หนึ่งหน้าโบสถ์แล้วร้องตะโกนขึ้นว่า? ลูกหลานพญาฉัททันต์ อย่าไปเหยียบย่ำไร่ของเขาเลย เจ้าของเขาจะยิงเอาของเรามีอยู่แล้วในแปลงขวามือไปกินได้?ซึ่งภายหลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามีช้างเข้าไปรบกวนชาวบ้านอีกต่อไปเลย แต่ตรงกันข้ามกับของหลวงพ่อที่มีอยู่ใกล้ๆ วัดกลับไม่มีพืชผลเหลืออยู่เลย เพราะฝีมือช้างป่านั้นเองอีกครั้งหนึ่งที่หลวงพ่อสร้างความมหัศจรรย์แก่ชาวบ้านเอาไว้คือเมื่อประมาณปี ๒๔๘๑ตอนนั้นหลวงพ่อบวชได้๑๒พรรษาแล้ววันหนึ่งได้มีนายพรานช้างมาขอพักที่วัดและตอบคำถามของหลวงพ่อว่าจะมาล่าช้างในป่าแถบๆนี้แต่เวลาใกล้คร่ำจึงขอพักเอาแรงที่วัดสักคืนก่อน หลวงพ่อก็อนุญาตให้พรานเหล่านั้นพักตามประสงค์แล้วหลวงพ่อเดินไปยืนบริกรรมที่หน้าโบสถ์สักครู่ก็ตะโกนขึ้นว่า?ลูกหลานพญาฉัททันต์ทั้งหลายวันนี้อย่าออกไปหากินไกลวัดมีคนเขาจะมายิงให้หากินอยู่ในบริเวณวัดนี้?เมื่อนายพรานออกป่าเพื่อล่าช้างก็ปรากฏว่าไม่พบช้างเลยแม้แต่ตัวเดียวเพราะช้างป่าเหล่านั้นได้ชวนกันมาหากินอยู่ภายในบริเวณวัดหมด นายพรานจึงต้องคว้าน้ำเหลวกลับไป

                 ต่อมาหลวงพ่อพร้อมด้วยพระภิกษุอีก ๔ รูป ได้ชวนกันไปหากระเพรา ๗ อ้อม ด้วยการเดินธุดงค์เมื่อเดินทางไปถึงที่แห่งหนึ่งซึ่งหลวงพ่อบอกว่าสงสัยจะเป็นเขตจังหวัดสุพรรณบุรีที่เป็นท้องที่เดิมบางนางบวชในปัจจุบันได้พบศาลายกพื้นสูงมากหลังหนึ่งอยู่ในป่าทึบ มีหนังสือเขียนไว้มีข้อความว่า?ใครผ่านมาทางนี้เมื่อมืดแล้วให้ขึ้นไปอยู่ข้างบนเพราะมีสัตว์ชุกชุมมาก?แต่หลวงพ่อกลับบอกพระที่ไปด้วยกันว่าเราปักกลดกันอยู่ข้างล่างนี้แหละไม่ต้องขึ้นไปหลอกทั้งหมดก็ปักกลดอยู่ข้างล่างนั้นเอง  เมื่อปักกลดเสร็จหมดทุกองค์แล้วหลวงพ่อก็ได้เสกทรายซัดล้อมกลดไว้โดยรอบ   และสั่งพระที่ไปด้วยกันทั้งหมดว่าอย่าได้ออกไปนอกกลดเป็นอันขาดไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็ชวนกันนั่งสมาธิเจริญภาวนาแผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์โดยทั่วกันซึ่งในคืนวันนั้นปรากฏว่ามีสัตว์ร้ายหลายชนิดมาวนเวียนอยู่แถวรอบๆกลดเหมือนกันแต่ไม่มีตัวใดเข้ามาทำร้ายจนรุ่งเช้าสัตว์เหล่านั้นก็หายไปในป่าหมด หลวงพ่อจึงได้ชวนพระที่มาด้วยกันเดินทางต่อไปในการเดินทางต่อไปในช่วงนี้  หลวงพ่อเล่าว่าเป็นป่าเขาโดยตลอดขนาดเดินทางมาสามวันแล้วยังไม่พบบ้านเรือนคนเลยแม้แต่หลังเดียวต้องอดอาหารกันทั้งสามวันจนกระทั่งวันที่สี่จึงได้สวนทางกับชาวบ้านคนหนึ่งหาบขนมจีนผ่านมาแล้วเอาขนมจีนนั้นถวายทุกองค์ได้ฉันกันจนอิ่มหลวงพ่อได้ถามชายคนนั้นว่า?ต่อจากที่นี่ไปอีกไกลไหมจึงจะถึงบ้านคน?ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า?พอพลบค่ำก็จะเห็นแสงไฟบ้าคน?แล้วเดินหายไปในป่านั้น หลวงพ่อจึงชวนพระที่ไปด้วยออกเดินทางต่อไปซึ่งตลอดทางที่เดินผ่านไปนั้นไม่พบบ้านคนเลยจึงหน้าสงสัยว่าคนที่ถวายขนมจีนนั้นเป็นใครกันแน่เพราะถ้าเป็นคนธรรมดาจะอยู่แถวนั้นได้อย่างไรกันจนกระทั่งเวลาพลบค่ำจึงได้พบบ้านคนจริงตามที่ชายคนนั้นบอกไว้จึงชวนพระที่ไปด้วยกันทั้งหมดปักกลดพักที่บริเวณใกล้ๆกับหมู่บ้านนั้นและต่อมาก็เดินทางกลับวัดซากหมากฯโดยไม่ได้กระเพรา๗อ้อมมาตามต้องการเพราะไม่พบว่ามีอยู่ทใดเลย ส่วนเรื่องที่พบคนเอาขนมจีนมาถวายกลางป่าทั้งๆบริเวณใกล้ๆนั้นไม่มีบ้านคนเลยก็คงเป็นปริศนาให้แปลกใจอยู่ตลอดมา

38
ขอขอบคุณข้อมูลจาก  http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=nan&id=28

      เป็นตัวอย่างของพระภิกษุผู้ทรงคุณวิเศษในยุคใหม่นี้และในยุคดังกล่าวนี้มีที่จะต้องกล่าวถึงอย่างสนิทใจอีกรูปหนึ่งซึ่งเป็นพระภิกษุที่เปรียบเสมือนเป็น ?ช้างเผือก?  ในพุทธอาจักร  นั่นคือ  หลวงพ่อหอมแห่งวัดซากหมากซึ่งเป็นวัดเล็กๆทางจังหวัดชายทะเลฝั่งตะวันออกของประเทศไทยแต่กลับมีชื่อเสียงโดงดังในทางคุณวิเศษระบือลือลั่นไม่น้อยไปกว่าบรรดาท่านผู้ทรงคุณวิเศษที่ได้กล่าวนามมาแล้วนั้นเลย

               ในมณฑลพิธีพุทธาภิเษกที่สำคัญทั้งที่เป็นพระราชพิธีและพิธีสามัญที่จัดให้มีขึ้นในเกือบทุกหนแห่งในประเทศไทย เว้นเสียแต่หลวงพ่อหอมวัดซากหมากจะอาพาธหรือติดศาสนกิจอย่างอื่นอยู่ก่อนเท่านั้นจึงไม่มีรายชื่อของท่านรวมอยู่ในมณฑลพิธีนั้นๆ ด้วย ทั้งนี้เพราะในหมู่ผู้นิยมวัตถุมงคลทุกระดับน้อยคนนักที่คงไม่ได้ยินกิติศัพท์ความเป็นเป็นผู้ทรงพุทธเวทย์อย่างยอดเยี่ยมของท่านจากวัตถุมงคลที่ท่านได้ปลุกเสกด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็น สิงห์งาช้าง สีผึ้ง นางกวักงาช้าง ไซมงคลพระกริ่งรูปเหมือน แหนบรูปเหมือน เหรียญรูปเหมือน แหวนทองแดงรูปเหมือน ผ้ายันต์ เสื้อยันต์ ลอกเก็ตหรือตะกรุด ที่ล้วนแต่ให้คุณวิเศษแก่ผู้ที่มีไว้บูชาทั้งสิ้น

              เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๐๐  รัฐบาลสมัยนั้นซึ่งมี จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีได้จัดให้มีงานฉลอง๒๕ พุทธศตวรรษขึ้นเป็นพิธีใหญ่ที่สุดในพุทธอาจักรของโลก       โดยมีการจัดทำพระเครื่องพระบูชาและวัตถุมงคลต่างๆขึ้นไว้เป็นที่ระลึกจำนวนมาก หลวงพ่อหอมแห่งวัดซากหมาก ก็เป็น๑ในจำนวนพระเวทยาจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษ ๑๐๘ รูป ที่รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาราธนาไปเข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษก ในมณฑลพิธี ณ.ท้องสนามหลวงท่ามกลางพุทธศาสนิกชนที่หลั่งไหลมาจากทุกมุมโลกเพื่ออนุโมทนาในกาประกอบพิธีอันเป็นมหามงคลครั้งนั้นอย่างมืดฟ้ามัวดินและด้วยเกียรติคุณอันสูงยิ่งของท่าน เมื่อท่านสำเร็จกิจกรรมในพระราชพิธีนั้นออกไปพักเป็นการชั่วคราว ที่วัดสุทัศน์เทพวนารามก็ยังปรากฏว้าได้มีทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์หลั่งไหลติดตามไปขอพร และวัตถุมงคลจากท่านมิได้ขาดสายจนศิษย์ผู้ทำหน้าที่อุปัฏฐากต้องขอร้องให้หลวงพ่อได้มีเวลาจำวัดพักผ่อนบ้างแต่ก็ไม่เป็นผลเพราะตัวหลวงพ่อกลับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยเมตตาอย่างยิ่งว่า?ช่างเขาเถอะลูก?และคำพูดคำนี้ภายหลังหลวงพ่อก็ได้ใช้เรื่อยมากับทุกๆคนจนตลอดอายุขัยของท่าน

             เมื่อท่านเจ้าคุณพระอมรสุธี อดีตเลขานุการเจ้าคณะใหญ่หนกลาง แห่งคณะ น.๑๘วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(วัดโพธิ์ท่าเตียน)กรุงเทพฯ ดำริจะหาทุนสร้างศาลาการเปรียญที่วัดชะอำคีรี อำเภอชะอำ เพชรบุรี และสร้างกุฏิเจ้าอาวาสวัดช้างค้ำวรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดน่านกับสร้างอุโบสถวัดดอนตัน อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน จึงได้ร่วมกับพลตรี ประสิทธิ์ ชื่นบุญผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์กองทัพบก จัดทำพระแก้วมรกตจำลองฝังเพชรรุ่นวิสาขบูชา ผ้ายันต์ธงชัยเหรียญหลวงพ่อวัดดอนตัน จ. น่านโดยจัดพิธีพุทธาภิเษกเป็นพิธีใหญ่ที่พระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามหลวงพ่อหอม

ยังมีต่อ...

39
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.tumsrivichai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=526804&Ntype=5

ประวัติ พระครูวิสัยโสภณ หรือ พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้
พระครูวิสัยโสภณ หรือ พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้(อาจารย์ทิม ธัมมธโร) อาจารย์ทิม เป็นผู้สร้างตำนานพระเครื่องหลวงพ่อทวด วัดช้างให้ ที่โด่งดังเป็นที่รู้จักกันทุกวันนี้

พระครูวิสัยโสภณ หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันดีในนามของ"อาจารย์ทิม" นั้นเดิมท่านชื่อนายทิม พรหมประดู่ เกิดเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๕๕ ณ บ้านนาประดู่ ตำบลนาประดู่ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี เป็นบุตรของนายอินทองกับนางนุ่ม พรหมประดู่ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวม ๖ คนเมื่อท่านอายุได้ ๙ ขวบ บิดามารดาได้ฝากให้อยู่กับพระครูภัทรกรณ์โกวิท ซึ่งขณะนั้นยังเป็น พระแดง ธมฺมโชโต เจ้าอาวาสวัดนาประดู่ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน เพื่อจะได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดนาประดู่ ต่อมาเมื่ออายุได้ ๑๘ ปี อาจารย์ทิม ท่านได้บวชเป็นสามเณร

   จากนั้นพระอาจารย์ทิมก็สึกออกมาช่วยพ่อแม่ทำนาจนอายุได้ ๒๐ ปี อาจารย์ทิม จึงบวชเป็นพระภิกษุที่วัดนาประดู่ โดยจำพรรษาที่วัดนาประดู่ ๒ พรรษา แล้วอาจารย์ทิม จึงย้ายไปอยู่ที่วัดมุจลินทวาปีวิหาร อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม และต่อมาก็ได้ย้ายกลับมาเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมที่วัดนาประดู่ หลังจากนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ พระอาจารย์ทิม ได้ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดราษฎร์บูรณะ (วัดช้างให้) ซึ่งในตอนแรกยังคงไปๆ มาๆ ระหว่างวัดช้างให้กับวัดนาประดู่เพราะ"อาจารย์ทิม"ท่านยังคงเป็นครูสอนนักธรรมอยู่ที่วัดนาประดู่ด้วย

ช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่จังหวัดปัตตานี รถไฟสายใต้จากหาดใหญ่ไปสุไหงโก-ลก ต้องขนทหารและสัมภาระผ่านหน้าวัดช้างให้วันละหลายๆ เที่ยวและหลายๆขบวน ทำให้ประชาชนขวัญเสียหวาดกลัวภัยสงคราม ท่านพระครูวิสัยโสภณ หรือ พระอาจารย์ทิม ต้องรับภาระหนัก คือต้องจัดหาอาหารและที่พักแก่ผู้ที่เดินทางผ่านวัดไม่เว้นแต่ละวัน นับเป็นผู้ทรงคุณธรรมที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มาตั้งแต่ต้น

เมื่อครั้งที่ พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ ท่านไปอยู่ที่ วัดช้างให้ใหม่ๆนั้น วัดช้างให้อยู่ในสภาพที่ถูกทิ้งร้างทรุดโทรม อาจารย์ทิม ท่านได้ริเริ่มตกแต่งสถูปที่บรรจุอัฐิหลวงปู่ทวดให้เป็นที่น่าเคารพบูชา พระครูวิสัยโสภณ ท่านได้ดำริที่จะสร้างพระอุโบสถ โดยท่านได้ร่วมกับนายอนันต์ คณานุรักษ์ จัดสร้างพระเครื่องหลวงปู่ทวด โดยทำพิธปลุกเสกมีพระครูวิสัยโสภณ หรือ อาจารย์ทิม วัดช้างให้ เป็นประธานในพิธีและนั่งปรก ได้เงินจากผู้มีจิตศรัทธาที่มาเช่าพระเครื่องหลวงปู่ทวดได้นำเงินมาสร้างพระอุโบสถ และปรับปรุงบริเวณวัดช้างให้

พระครูวิสัยโสภณ (อาจารย์ทิม) ได้เริ่มอาพาธด้วยโรคมะเร็งที่หลอดอาหารตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๐ และ พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ได้มรณภาพเมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๒ แม้ว่า พระครูวิสัยโสภณแห่งวัดช้างให้ได้มรณภาพไปนานแล้ว แต่สิ่งที่ พระอาจารย์ทิมท่านสร้างไว้อาทิเช่นพระอุโบสถ วิหารสำหรับประดิษฐานหลวงปู่ทวด เพื่อให้พุทธศาสนิกชนมาเคารพสักการะ สถูปที่บรรจุอัฐิธาตุของหลวงปู่ทวดที่ติดกับทางรถไฟสายใต้ กุฏิสำหรับเป็นที่อาศัยของพระเณร กุฏิเจ้าอาวาสวัดช้างให้ ศาลาการเปรียญตลอดถึงวัตถุต่างๆ ที่มีอยู่ในวัดช้างให้ โรงเรียนวัดช้างให้หลังคาทรงเรือนไทยเป็นตึก ๒ ชั้น ติดกับทางรถไฟหน้าวัด พระเจดีย์องค์ใหญ่ที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่กลางวัดช้างให้ ฯลฯ ล้วนสำเร็จด้วยความมุมานะของท่านอาจารย์ทิม(พระครูวิสัยโสภณ ทิม)

By: หนังสือรวมเรื่องน่ารู้ ภาคใต้ โดย รศ.มัลลิกา คณานุรักษ์ (๒๕๓๐), บุคคลสำคัญของปัตตานี โดย รศ.มัลลิกา คณานุรักษ์ (๒๕๔๕)


40
ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บ ThaiAmuletWeb.com   

   พระครูอุทัยธรรมกิจ( หลวงปู่ตี๋ ) พระผู้มีบารมีเปี่ยมล้น ด้วยเมตตาธรรม แห่งลุ่มแม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี หลวงปู่ท่านเป็นชาวเมืองอุทัยธานี โดยกำเนิด เป็นบุตร ของ นายก้าง นางเหล็ง นามสกุล แซ่ตั้ง หลวงปู่ เป็น บุตร คนที่ 3 ในจำนวนพี่น้อง  4  คน  ท่านเกิด วันที่  6 เมษายน  พ.ศ.2455 ตรงกับ วันเสาร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 ปีชวด นามเดิม ตี๋ แซ่ตั้งการศึกษา หลวงปู่จบชั้นมัธยมศึกษา  ปีที่ 3  โรงเรียนอุทัยทวีเวทย์ หลังจากจบการศึกษา ได้ช่วยเหลือบิดา และมารดา ประกอบอาชีพ ค้าขาย ที่บ้านต้นจันทร์ ในตลาดอุทัยธานี  ช่วงในวัยเด็กวัยรุ่น  มักจะเป็นไป ทางด้านซุกซน ดื้อ และแก่น แต่ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ทางบ้าน อุปสมบท วันที่ 16 กรกฏาคม 2476 ได้เข้าสู่พิธีอุปสมบท ที่วัดโรงโค อำเภอเมือง  จังหวัดอุทัยธานี โดยมี พระ สุนทรมุนี   วัดพิชัยปุณณาราม เจ้าคณะ   จังหวัดอุทัยธานี   เป็นพระอุปัชฌาย์   พระปลัดโชติ  เป็นพระกรรมวาจาจารย์   พระใบฎีกาเทิม  เป็นพระอนุศาสนาจารย์   หลังจาก อุุปสมบทแล้ว ได้พำนักจำพรรษาที่วัดพระธรรมโฆษก(วัดโรงโค) หลวงปู่ เล่าว่า จะบวชแค่พรรษาเดียวให้กับโยมพ่อ -โยมแม่ สาเหตุที่บวชยาวนาน เพราะอยากได้วิชา ้วิทยาคมของ"หลวงพ่อพูล แห่งวัดหนองตางู" จ.อุทัยธานี ซึ่งเป็นเกจิ ร่วมสมัยกับ หลวงพ่อเดิม แห่งวัดหนองโพธิ์จ.นครสวรรค์ ซึ่ง หลวงปู่เมตตาเล่าว่า " พอบวชได้ 2 เดือน ก็เกิดอยากจะสึก จึงเดินทางไปกราบและแจ้งความประสงค์ในการสึกต่อ  หลวงพ่อพูล  ซึ่งเป็นพระที่ หลวงปู่ให้ความเคารพเป็นอย่างมาก - หลวงพ่อพูล ถามว่า " จะสึกเมื่อใด " จะเป็นด้วยเหตุ หรือสิ่งใดเหลือจะเดาได้ หลวงปู่ได้พูดเป็น เชิงต่อรองว่า กระผมขอฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อ หากหลวงพ่อได้ถ่ายทอดวิชา ให้กระผม กระผม ก็จะไม่ขอสึก "หลวงพ่อพูลท่านมีความเมตตาต่อหลวงปู่อยู่แล้ว จึงตกปากรับท่านไว้เป็นศิษย์ หลวงปู่ตั้งใจเรียนในวิชาการ สยบ ความไข้ โดย มีจุดประสงค์  จะนำไปใช้ประโยชน์ข้างหน้า รวมทั้งอีกหลาย วิชาที่หลวงพ่อพูล ท่านถ่ายทอดให้ ที่นับว่ายอดเยี่ยม คือ วิชาทางด้านมหาอุดและคงกระพัน ประมาณ 2 พรรษ ที่ท่านพำนักที่สำนักหนองตางู และ หลวงปู่ ได้จาริกสัญจร ไปตามสถานที่วิเวกต่าง ๆ รวมทั้งแสวงหาพระอาจารย์ดีไปด้วยในตัว และกลับมาวัดหนองตางูอีกครั้ง ใน พ.ศ.2484 ปี พ.ศ.2497 วัดหลางราชาวาส ว่างเจ้าอาวาสปกครอง หลวงปู่ตี๋ จึงได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ซึ่ง ในขณะที่ดำรงตำแหน่ง ได้มีโอกาสรับใช้ใกล้ชิด พระราชอุทัยกวี (พุฒ)เจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี เจ้าอาวาสวัดทุ่งแก้ว จนหลวงปู่ได้รับแต่งตั้งเป็น พระครูสังฆรักษ์ ฐานานุกรมของ พระราชอุทัยกวี เมื่อปี พ.ศ.2501 โดยพระราชอุทัยกวี นั้น ท่าน เป็นศิษย์สายตรงของ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท ดังนั้นวิทยาคม ของหลวงปู่ศุข ที่พระ ราชอุทัยกวี ได้รับมานั้น หลวงปู่ได้รับถ่ายทอดมาเต็ม ๆ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า วัตถุมงคลของหลวงปู่ แต่ละรุ่นจึงเป็น ที่หมายปองของศิษย์ทั้งหลาย หลวงปู่ได้จากพวกเราไปแล้ว เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2546 รวมอายุ 91 ปี พรรษา 71 ปี วัตถุมงคล -เหรียญรุ่นแรก ปี 2520 -รุ่น 2 ทอดกฐินประจวบคีรีขันธ์ ปี 2522 -รุ่น 3 ตะกรุดโทนเทพรัญจวน เหรียญบาตรน้ำมนต์ เหรียญตู้ไปรษณีย์ เสือ มีดหมอ ปิดตา

41
ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บ ThaiAmuletWeb.com

ประวัติ หลวงปู่รอด ฐิตฺวิริโย วัดสันติกาวาสพระครูสถิตวีรธรรม           
          ผู้สืบทอดพุทธาคม จากหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ในบรรดาพระเกจิอาจารย์ผู้เป็นศิษย์สืบสายพุทธาคมจาก หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น เทพเจ้าแห่งปากน้ำโพ ที่ยังดำรงชีพอยู่และมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วนั่นก็คือ พระครูสถิตวีรธรรม หรือ หลวงปู่รอด และที่เรียกขานกันด้วยความเคารพว่า หลวงพ่อเสือ ปัจจุบันอายุ 83 ปี พรรษา 63 ดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะอำเภอพรหมพิราม และเจ้าอาวาสวัดสันติกาวาส ต.วงฆ้อง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก หลวงปู่รอด ชื่อเดิมว่า บุญรอด แจ่มจุ้ย เป็นบุตรของ นาย เพชร และ นางบุญมา นามสกุล แจ่มจุ้ย ถือกำเนิดเมื่อวันที่ 4 มกราคม พงศ. 2464 ณ. บ้านโคน ต.พญาปั่นแดน อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ หลวงปู่รอดได้ใช้ชีวิตเติบโตและร่ำเรียนวิชาความรู้ที่ อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ ครั้นอายุได้ 14 ปี ได้ย้ายบ้านปอยู่ที่ บ้านป่ามะม่วง อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัย รวม ระยะเวลา 3 ปี จากนั้นจึงย้อนกลับไปอยู่ที่บ้านโคนซึ่งเป็นถิ่นกำเนิด       

  กระทั่งอายุ 21 ปี จึงได้หันเหชีวิตเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ โดยการอุปสมบท เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2485 ที่วัดเชิงหวาย ต.ตลุกเทียม อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก โดยมี พระครูญาณปรีชา วัดดอกไม้ ต.ท่ามะเฟือง อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิกาหาด เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ เจ้าอธิการพวง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้ฉายาว่า ฐิตฺวิริโย พักจำพรรษาอยู่ที่วัดเชิงหวายเป็นเวลา 2 พรรษา จำนั้นจึงย้ายมาอยู่ที่วัดสันติกาวาส ต.วงฆ้อง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก           
   
   ความรู้ทางธรรม ปี พงศ. 2489 สามารถสอบไล่ได้นักธรรมโท สำนักวัดสันติกาวาส ต.วงฆ้อง อ.พรหมพิราม จ.พิษณูโลก ซึ่งท่านมีความชำนาญทางด้านเทศนาธรรม การบรรยายธรรม การปาฐกถาธรรม วิปัสสากรรมฐาน และ การก่อสร้าง(นวกรรม) มีความเชี่ยวชาญพิเศษด้านการเขียนและอ่านอักขระขอม หน้าที่การงานที่ได้รับพ.ศ. 2489 ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวันสันติกาวาส พ.ศ. 2491 เป็นพระกรรรมวาจาจารย์ พ.ศ. 2493 เป็นเจ้าคณะตำบลวงฆ้อง พ.ศ. 2494 เป็นกรรมการสงฆ์ฝ่ายสาธารณูปาการ อำเภอพรหมพิรามพ.ศ. 2489-2499 เป็ฯผู้รักษาการแทนเจ้าคณะอำเภอพรหมพิราม  พ.ศ. 2509 เป็นพระอุปัชฌาย์  พ.ศ. 2510 เป็นรองเจ้าคณะอำเภอพรหมพิราม  พ.ศ. 2520 เป็นเจ้าคณะอำเภอพรหมพิราม  พ.ศ. 2544 ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอต่อไปอีก 3 ปี เรื่องราวชีวิต พระดีศรีพรหมพิราม พระครูสถิตวีรธรรม หรือหลวงปู่รอด ฐิตฺวิริโย เจ้าอาวาสวัดสันติกาวาส ต.วงฆ้อง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ท่านมีชีวิตที่น่าศึกษามิใช่น้อย         

   เมื่อครั้งยังเป็นฆราวาสท่านได้ชื่อว่าเป็น ลูกผู้ชายตัวจริง คนหนึ่งทีเดียว ท่านไม่ใช่นักเลง เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ แต่ก็อยู่ท่ามกลางหมู่นักเลงหลายก๊กหลายเหล่า เลยทำให้ชีวิตกล้าแกร่ง ค่อนข้างใจร้อน ใครพูดแสลงหูก็มีอารมณ์เหมือนกัน ถึงขนาดเคยมีเรื่องฟันแทงเกือบติดคุกทีเดียว แม้กระทั่งตอนจะบวชก็ยังมีมารมาผจญ แต่ด้วยจิตใจที่หนักแน่น และไม่ยอมใครถ้าหากไม่มีเหตุผล ท่านจึงผ่านพ้นวิกฤติชีวิตที่น่าหวาดเสียวมาได้เสมอ         

   อำเภอพรหมพิรามสมัยก่อน เป็นศูนย์รวมของบรรดาโจรผู้ร้าย มีทั้งเสือที่เป็นสัตว์และไอ้เสือที่เป็นคนเยอะแยะไปหมด เสือหลวย เป็นเสือที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด นอกจากนี้ก็มี เสือเสงี่ยม,เสือดำ,เสือม้วน ซึ่งส่วนใหญ๋จะเป็น เสือต่างถิ่น เสียมากกว่า หลงปู่รอดเล่าให้ฟังว่า มีเสืออยู่คนหนึ่งเมื่อมันชอบลูกสาวบ้านใด มันก็จะถือเหล้าขวดเดียวเข้าไปสู่ขอเอาดื้อ ๆ เวลาขึ้นบ้านไหนมันก็จะพูดว่า พ่อแม่มารับไหว้เดี๋ยวนี้ กินเหล้าแล้วผมขอลูกสาวไปเลยนะ โยมพ่อของหลวงปู่รอดเป็นคนที่มีวิชา แต่ท่านไม่ค่อยสนใจสักเท่าไร จนกระทั่งบวช เมื่อได้พบเจอเหตุการณ์ไอ้เสือปล้นต่าง ๆ ก็เลนขอรับการถ่ายทอดวิชาจากโยมพ่อเพื่อไว้ป้องกันตัว และช่วยเหลือคนอื่น  ลูกสาวชาวบ้านที่ถูกฉุดไป หลวงปู่รอดได้เมตตาตามไปช่วยกลับคืนมาได้เกือบหมด โดยไม่กลัวพวกเสือแต่อย่างใด เพราะสมัยนั้นพวกเสือต่าง ๆ ต้องมาพึ่งบารมีพ่อ ซึ่งเป็นหมอแผนโบราณประจำตำบล ตกคืนนั้นพวกเสือมันมาตามคืน ท่านกำลังท่องหนังสืออยู่ได้ยินเสียงลั่นไกปืน 2-3 ครั้ง พอรู้ว่าถูกลอบยิงก็รีบวิ่งเข้ากุฏิไปคว้าขวานออกมา พร้อมตะโกนท้าพวกมันให้ออกมาฟันกันซึ่ง ๆ หน้า แต่มันก็ไม่กล้าและล่าถอยไป ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้น ท่านยังมานั่งคิดว่า เป็นเรื่องแปลกดีที่ยิงไม่ออก         

   ช่วงหนึ่งหลวงปู่รอดเคยคิดจะย้ายไปจำพรรษาที่อื่น เพราะพวกนักเลงเยอะ มีทั้งลักขโมย ปล้นสะดม และฆ่ากัน พระหลายรูปทนไม่ได้ต้องสึกออกไปเพราะความกลัว ตัวท่านเองตั้งใจจะเข้าไปเรียนบาลีที่กรุงเทพ ฯ แต่ญาติโยมไม่ยอมให้ไป ถึงขนาดนิมนต์เจ้าคณะตำบลละเจ้าคณะอำเภอมาช่วยอ้อนวอนไว้ จึงตัดสินใจอยู่ต่อมาจนถึงทุกวันนี้         

   เดิมทีหลวงปู่รอดท่านตั้งใจจะบวชเพียง 3 พรรษา แต่ด้วยจิตยึดมั่นในทางธรรมก็ล่วงเลยไปถึงพรรษาที่ 9 และคิดจะลาสิขา แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะจิตใจอุทิศให้พระศาสนา อย่างเต็มเปี่ยม จนปัจจุบันย่างข้า 63 พรรษาแล้ว ตลอด 62 พรรษาที่ผ่านมา แทบจะกล่าวได้ว่าท่านไม่เคยหยุดนิ่ง เริ่มการสร้างวัดสันติกาวาสจากสภาพวัดร้างให้พลิกฟื้นคืนความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ซึ่งต้องใช้ความสามารถในการเรียกความศรัทธาชาวบ้านอย่างสูง แต่ด้วยความเป็นคนจริงบวกกับการประพฤติปฏิบัติตนที่ทำให้ผู้คนเกิดความเคารพเลื่อมใส เพียงไม่นานก็ทำให้วัดสันติกาวาส สมบูรณ์ทั้งด้านเสนาสนะ และศาสนวัตถุต่าง ๆ นอกจากนี้ หลวงปู่รอดยังได้ใช้วิชาความรู้มาช่วยสงเคราะห์ผู้ที่ประสบทุกข์ร้อนทั้งร่างกาย และ จิตใจ อาทิ การเป่าหัว-เสกยารักษาโรค การดูดวง ซึ่งวิชาเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วท่านจะเรียนรู้ด้วยตนเองจากตำรับตำราเก่า ๆ ในช่วงที่ท่านได้อยู่รับใช้หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพนั้น ก็ได้รัยการถ่ายทอด คาถารอบโลก ซึ่งเป็นคาถาที่หลวงพ่อเดิมท่านใช้ประจำตัว ไม่ว่าจะการพรมน้ำมนต์ หรือการปลุกเสกวัตถุมงคล โดยหลวงปู่รอดได้นำมาใช้เป็นคาถาประจำตัวเช่นกัน ซึ่งพระคาถานี้มีด้วยกัน 7 บท อาทิ คาถาหายตัว,คาถามหานิยม,คาถาคงกระพันชาตรี ฯลฯ     

   นอกจากเป็นเพราะท่านมีวิชาอาคมขลังแล้ว ยังมาจากชื่ออันเป็นมงคลนามว่า รอด ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้รอดพ้นจากเรื่องเลวร้ายต่าง ๆ จากร้ายกลายเป็นดี แต่ท่านก็มักเตือนสติลูกศิษย์ลูกหาอยู่เสมอว่า ใครที่มีวัตถุมงคลของท่านแล้วจะให้รอดเหมือนชื่อนั้นจะให้รอดทุกคนเป็นไปไม่ได้ เพราะเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งคู่กับมนุษย์ทุกคนไม่มีทางหนีความตายไปได้ จะตายช้าตายเร็ว ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายอย่างรวมกัน

ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน หลวงปู่รอดอนุญาตให้จัดสร้างวัตถุมงคลหลายรุ่นหลายแบบด้วยกัน อาทิ จัดสร้างขึ้นในโอกาสจัดงานฉลองอายุครบ 7 รอบ 84 ปี เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2548

แม้ว่าอายุท่านจะล่วงเลยเข้าสู่วัยชราแล้ว แต่กิจนิมนต์ของท่านแทบจะไม่มีวันเว้นว่าง

ต่อมา หลวงปู่รอด เข้าโรงพยาบาลพรหมพิราม เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา เนื่องจากมีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย ส่วนหนึ่งมาจากกิจนิมนต์ที่หลวงปู่ไม่เคยปฏิเสธ

ทุกวันท่านจะต้องเดินทางไกล เพื่อไปร่วมในพิธีซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการอธิษฐานจิต ปลุกเสกวัตถุมงคล ด้วยท่านเป็นพระเกจิที่ได้รับความศรัทธา แต่ด้วยอายุที่มาก การพักผ่อนน้อย ทำให้ล้มป่วยอาพาธลง

แม้คณะศิษย์จะขอร้องให้ท่านงดรับกิจนิมนต์ แต่ท่านก็บอกว่า "เขามาเพราะเขาเชื่อมั่นศรัทธาจะปฏิเสธเขาได้อย่างไร"

หลังเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลพรหมพิรามได้ 3 วัน อาการหลวงปู่รอดทรุดหนักลง จึงส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลพุทธชินราช โดยคณะแพทย์ได้พยายามรักษาอาการอย่างสุดความสามารถ แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้

ในที่สุด หลวงปู่รอด ได้ละสังขารลงอย่างสงบ เมื่อเวลาประมาณ 03.00 น. วันที่ 18 พฤศจิกายน 2551 สิริอายุ 87 พรรษา 67

สร้างความอาลัยให้กับคณะศิษย์และชาวเมืองสองแควเป็นอย่างยิ่ง

42
 ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บ ThaiAmuletWeb.com

                            ประวัติพระครูธุรศักดิ์ เกียรติคุณ ( หลวงพ่อภู )วัดท่าฬ่อ จังหวัดพิจิตรหลวงพ่อภู แห่งวัดท่าฬ่อ จังหวัดพิจิตร ประวัติดั่งเดิม เป็นชาวอยุธยาเกิดเมื่อเดือน 6เถาะ พ.ศ. 2398 ที่บ้านผักไห่ เป็นบุตรของนายแฟง นางขำ มีน้องร่วมท้อง 5 คนเมื่ออายุได้ 8 ขวบ บิดาได้ย้ายภูมิสำเนามาหากินที่ บ้านหาดมูลกระบือ ( หาดขี้ควาย )ตำบลไผ่ขวาง อ.เมือง จ.พิจิตรเมื่อท่านอายุได้ 11 ปี บิดามารดาได้นำไปฝากให้เรียนหนังสือขอม และไทยกับพระอาจารย์แช่ม ในสำนักของพระอุปัชฌาย์อิน และได้เรียนหนังสือกับ อาจารย์ ( นิ่ม ) เมื่ออายุได้ 16 ปี ก็ได้บรรพชาเป็นเณรได้ศึกษาพระปริยัติธรรม 1 ปี ก็สึกออกมาช่วยบิดาประกอบอาชีพ ท่านเป็นคนรักวิชาสนใจด้าน ไสยศาสตร์ หรือ ไสยเวทย์ เพื่อเป็นแนวทางนำไปสู่เรื่องราวต่าง ๆ ที่จะกล่าวต่อไปสกเล็กน้อย ? ไสย ? มาจากคำว่า ? เสยย ? แปลว่าประเสริฐ ? ศาสตร์ ? หมายถึง วิชาการต่าง ๆ มีอาทิเช่น ทางเวทมนต์คาถาและการภาวนาเสกเป่า ฯลฯ ? ไสยศาสตร์ ? หรือ ? ไสยเวทย์ ? จึงแปลว่า ความรู้อันประเสริฐทางเวทมนต์ คาถา ซึ่งผู้ที่ทรงคุณในวิชาการด้านนี้ จะต้องเป็นผู้บริสุทธิ์ คือเป็นผู้รักษาศิลเสมอด้วยชีวิตหรือเป็นผู้มีอภินิหาร หมายถึง บุญญาธิการของแต่ละรูปนาม คำว่า ? อภินิหาร ? พจานุกรมฯ หมายถึง บุญบารมีที่สร้างสมแต่ในอดีตชาติ จึงพอสรุปใจความโดยย่อได้ว่าผู้ที่ทรงคุณทางพระเวทวิทยาคม อย่างสูงสุดก็ดี หรือผู้ที่มีอภินิหาร คือ บุญญาธิการที่สร้างสมแต่ในอดีตชาตินั่นเอง ถ้าขาดคุณสมบัติสองประการ ดังกล่าวก็ไม่มีทางสัมฤทธิ์ผล หรือถ้าจะมีอยู่บ้าง ก็คงไม่ได้รับผลชั้นสูง จนกระทั่งหลวงพ่อภู อายุได้ 23 ปี บรรดาญาติโยมจึงได้พาไปเข้าอุปสมบท ณ วัดเขื่อน อ.เมือง จ.พิจิตร เมื่อปี 2422 โดยมี พระครูศิลธรารักษ์ ( จัน ) ซึ่งเป็นพระอุปัชณายะ พระอธิการนิ่ม จาก วัดหาดมูลกระบือ กับ พระอาจารย์เรือน วัดท่าฬ่อเป็นคู่สวด ได้ฉายาว่า ? ธมุนโชติ ? แปลว่า ผู้สว่างในทางธรรม และครั้นปี พ.ศ. 2437 ชาวบ้านท่าฬ่อก็ได้นิมนต์มาอยู่วัดท่าฬ่อ เพราะวัดท่าฬ่อสมัยก่อนชำรุดทรุดโทรมขาดการเหลียวแล เมื่อท่านมาอยู่แล้วก็ได้ก่อสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ จนครบครัน โดยได้รับความร่วมมือช่วยเหลือจากชาวบ้านเป็นอย่างดี เดิมท่านตั้งใจจะบวชระยะสั้นแต่แล้วก็ไม่คิดสึก กลับมุ่งศึกษาธรรมและออกรุกขมูลธุดงค์ เคยติดตาม หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ออกธุดงค์ไปตามที่ต่าง ๆ ฝึกจิตจนกล้าแข็ง ได้รับการถ่ายทอดวิทยาคมจากหลวงพ่อเงินมาก รวมทั้งพระอาจารย์อื่น ๆ ที่พบกันกลางป่า ท่านจึงได้วิทยาคมชั้นเยี่ยมมามากนอกจากนี้ยังมีความรุ้เรื่องสมุนไพร และแพทย์แผนโบราณ ตามแบบอย่างหลวงพ่อเงิน ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่าน และของขลังที่ท่าน หลวงพ่อภู ได้ทำไว้มีมากมายหลายอย่างจริง ๆ จากหลังฐานที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ ท่านมีความรู้ด้านภาษาขอมแตกฉานมาก ได้เขียนยันต์ต่าง ๆ เป็นหลักฐานไว้บนกระดานชนวนเพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา สิ่งเหล่านี้ท่านทำไว้มากจริง ๆ ยากที่จะหาผู้ใดเสมอได้ข้าพเจ้าเชื่อว่าเถราจารย์ที่มีชื่อเสียง และหากลักบานศึกษาได้ในภาคเหนือ ก็จะมี หลวงพ่อภู เท่านั้นที่มีครบทุกอย่าง ท่านสร้างเครื่องรางของขลังไว้มาก กล่าวอย่างชาวบ้านก็ต้องว่า ? มีวิทยายุทธครบเครื่องเรื่อง อยู่ยงคงกระพัน แคล้วคลาดเมตามหานิยม ดีจริง ๆ ? ( เฉพาะเหรืยญหางแมลงป่องตะกั่วชินเงิน ถ้ำชา ของหลวงพ่อภู เป็นผู้สร้างแห่งวัดท่าฬ่อ อันมีอานุภาพและชื่อเสียงโด่งดังมาก ) ซึ่งเป็นวัตถุของขลังที่หายากมากในสมัยนี้ และเหรียญหางแมลงป่องหลวงพ่อภูนั้น เป็นเหรียญปั๊มหูในตัว สร้างด้วยเนื้อตะกั่ว ด้านหน้าเหรียญเป็นอักขระขอมทั้งหมด ตรงกลางเป็นยันต์ห้า หรือ เรียกตามภาษาชาวบ้าน ว่า ( ยันต์ตะก้อ ) ยันต์ห้าก็คือ นะ โมพุทธายะ และมีอักขระขอมโดยรอบขอบเหรียญ ส่วนด้านหลังเหรียญหางแมลงป่องมีอักษร ไทยเขียนเป็นภาษาเก่าว่า ? พระครูธุรศักเกียรติคุณ ? และเหรียญหางแมลงป่องมีสองบล็อก บล็อกแรกเป็นบล็อกก้นตัว ( ย ) ฐานเป็นเหลียม บล็อกนี้ลายกนกที่หลังเหรียญจะเป็นเส้นเล็กหลายเส้น และมีรายละเอียดมาก ส่วนบล็อกที่สองเป็นบล็อกก้นตัว ( ย ) ฐานเป็นแหลมเฉียง (จะมีรูปอยู่หน้าสุดท้ายของประวัติหลวงพ่อภู ) เหรียญบล็อกสองลายกนกจะเป็นเส้นใหญ่และมีส่วนรายละเอียดน้อยกว่ารุ่นแรก เพราะเหรียญรุ่นสองนี้สร้าง บรรดาลูกศิษย์หลวงปู่ภูสร้างถวายหลังจากที่ท่าน ได้รับสมณศักดิ์พระครูชั้นพิเศษที่พระครูธุรศักดิ์ เกียรติคูณ ใน ปี 2455 ท่าน พระครุธุรศักดิ์ เกียรติคุณ ( ภู ) หรือหลวงพ่อภู นี้ ท่านเป็นผู้มีสติปัญญารอบคอบรู้เท่าทันการณ์และโอบอ้อมอารีทุกอย่าง ชอบทำการก่อสร้างเพื่อเป็นประโยชน์ในพระพุทธ ศาสนาและมีวิชาความรู้ทางด้านวิปัสสนา ธรรมวินัย การช่างไม้ ช่างทอง การแสดง พระสัทธรรมเทศนาเทศมหาชาติชาฎก 13 กัณฑ์ กับทั้งความรู้ทางเวชศาสตร์ และไสยศาสตร์ อีกด้วย จึงทำให้บรรดาสานุศิษย์ และพูทธศาสนิกชนรักใคร่นับถือท่านมาก หลวงพ่อภูมักจะเคร่งครัดในพระธรรมวินัย หลังจากสำเร็จพระปาฎิโมกข์ แล้ว 5 พรรษาต่อมา พระอุปัชฌาย์เกษ์ จึงได้ให้เป็นพระคู่สวน และต่อจากนั้นมาอีก 5 พรรษาเศษ ทางวัดท่าฬ่อเกิดทรุดโทรมลงมาก ทั้งโบสถ์และกุฏิหัดพังลงเพราะขาดพระอธิการที่จะบำรุงรักษา ให้คงทนถาวรอยู่ได้ชาวบ้านท่าฬ่อและบรรดาสานุศิษย์ต่าง ๆ ก็นิมนต์ หลวงพ่อภู จากวัดเขื่อน มาประจำพรรษาอยู่วัดท่าฬ่อ ท่านได้ทำการก่อสร้างโบสถ์ กุฎิ หอสวดมนต์ พระเจดีย์ ศาลาการเปรียญ และธรรมาศน์ จนเป็นผมสำเร็จทุกอย่าง ตั้งแต่นั้นมาวัดท่าฬ่อก็มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นลำดับตลอดมา และมีพระสงฆ์มาจำพรรษาอยู่ พรรษาละมาก ๆ ทุกพรรษา และที่สำคัญพระธรรมวินัยเป็นที่น่าเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชน ผู้ที่จะมาบำเพ็ญทางการกุศลยิ่งนัก ครั้งพุทธศักราชที่ 2455 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้เสด็จตรวจราชการ คณะสงฆ์ในมณฑลภาคเหนือ ได้ทรงมาประทับแรมที่ วัดท่าฬ่อ 1 ราตรี และรับสั่งชมเชยชัยภูมิวัดท่าฬ่อยิ่งนัก ท่านก็ได้กระทำการปฎิสันถาร คารวะต้อนรับ และทูลปราศรัยโดยถูกต้องตามระเบียบราชการทุกประการ สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ จึงทรงพระราชทานที่ถานันดรสมณศักดิให้รับ พระราชทานสัญญาบัตรพระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัว ให้เป็นพระครูธุรศักดิ์ เกียรติคุณ เจ้าอาวาสวัดท่าฬ่อ เป็นพระครูพิเศษ และได้รับพระราชทานตราเสมาธรรมจักรให้นั่งที่ พระอุปัชฌาย์อุปสมบทกุลบุตรในแขวงอำเภอท่าหลวงและทั่วจังหวัดพิจิตร ยังความปลาบปลื้มแก่คณะศิษย์ของท่านเป็นอย่างยิ่งจึงได้แสดงมุฑิตาจิตสร้างเหรียญหางแมลงป่องถวาย และได้พัฒนาวัดเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยนั้น แม้ฝรั่งที่ไปทำทางรถไฟสายเหนือ และไม่ได้นับถือพุทธศาสนายังสยบต่อท่าน ได้ความนับถือท่านอย่างจริงใจ และในบริเวณวัดท่าฬ่อ ท่านได้เลี้ยงสัตว์ไว้มากสัตว์ป่าทุกตัวเชื่องแม้กระกวางและไก่ป่า , แพะ ข้าวสุกก็ดีหญ้าก็ดี ที่ท่านใช้เลี้ยงสัตว์ท่านจะเสกก่อนให้กินเสมอ ปรากฏว่าสัตว์ทุกตัวเชื่องและคงกระพันยิงไม่ออก ถึงออกก็ไม่เข้า ของขลังหลวงพ่อภูที่สร้าง ได้แก่ พระเนื้อผงดำ พิมพ์สมาธิ ตรากระต่าย ฝังตะกรุด กระต่าย ก็คือปีเกิดของท่าน และเหรียญหางแมลงป่องตะกั่วชินเงิน ( ถ้ำชา ) พระรุ่นนี้มีชื่อเสียงมากด้านอยู่ยงคงกระพัน แม้ถูกมีดถูกขวานจามไม่เคยเข้า และป้องกันภัยต่าง ๆ ดีแล ตะกรุดมหารุด และแหวงพิรอด ตะกรุดสร้อยสังวาล ตะกรุดโทนยันต์ค้าขาย ผ้าประเจียด เหรียญใบมะยม เหรียญแปดเหลี่ยม ฯลฯ ท่านก็ได้สร้างไว้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม้ตะพด ท่านทำให้อย่างวิเศษจริง ๆ นอกจาก หลวงพ่อเงิน แล้ว หลวงพ่อภู ยังไปศึกษาวิชาจาก หลวงพ่อโพธิ์ มาอีกด้วย หลวงพ่อโพธิ์ท่านเป็นพระมอญมาจากปทุมธานี สร้างกุฏิอยู่องค์เดียวที่วัดวังมหาเน่า ปัจจุบัน คือ ( วัดโพธิ์ศรี ) เป็นอาจารย์ที่เรืองเวทย์จริง ๆ ท่านจะเก่งด้าน ตะกรุด และยันต์อักขระ ขนาดเสาไม้กุฏิท่านเวลาไฟไหม้หญ้าคามาใกล้กุฏิ และหลังคากุฏิของท่านก็ทำด้วยหญ้าคาก็ยังไม่ไหม้ ท่านก็นั่งอยู่ในนั้นขณะไฟไหม้ ท่านไม่หนีก็แสดงว่ามีดีจึงอวดได้ บรรดาญาติกลับไปขนถึง 3 เที่ยว บรรทุกใส่เรือล่องลงมายังเมือปทุม ถ้าไม่ขลังไม่ศักดิ์สิทธิ์ ใครเล่าจะขึ้นไปขนแค่เสาตอม้อเรือนเตี้ย ๆ อย่างนั้น ทางญาติของหลวงพ่อโพธิ์จึงเก็บกลับมาที่จังหวัดปทุมธานีหมด เหลือแต่ตำนานว่า ตะกรุดของหลวงพ่อโพธิ์นั้นศักดิ์สิทธิ์ ( ท่านมรณภาพก่อน พ.ศ. 2440 ) ตะกรุดหลวงพ่อโพธิ์ ดอกที่สมบูรณ์มากที่สุด ดอกหนึ่ง ปัจจุบันนี้เป็นสมบัติของ หลวงพ่อเปรื่อง ท่านเจ้าอาวาสวัดบางคลาน ( ปัจจุบัน ) ผู้สนใจขอท่านชมได้ท่านคงจะไม่หวง แต่ขอบูชาต่อไม่ได้ท่านหวงแน่ หลวงพ่อเปรื่องเล่าว่า ตะกรุดหลวงพ่อโพธิ์ดีทางคงกระพันเป็นเลิศ เขี้ยวเล็บของสัตว์ร้านไม่เคยได้กลิ่นเลือดของผู้ใช้ตะกรุดนี้อย่างแน่นอน คนถูกยิงมาก็มาก ไม่มีเข้า ตะกรุดของท่านมีประวัติดีมากด้านอยู่คง เจ้าของเดิมเป็นชาวบ้านแถบวัดวังหมาเน่านั่นแหละ พอถึงหน้าแล้ง น้ำในแม่น้ำตื้น พอเดินลุยข้ามได้ เจ้าของตะกรุดนี้ก็จูงควายข้ามแม่น้ำ ควายไม่ยอมลง แกก็ลงไปก่อน แล้วดึงเชือกสนตะพายให้ความเดินลงไปตามพอดีมีจระเข้ขนาดใหญ่อยู่แถบนี้ เลยกัดตัวแกเข้าที่บั้นเอว แล้วคาบดำลงไปใต้น้ำ เจ้าของตะกรุดแกมีสติดี ชักมีดเหน็บที่เอว แล้วใช้มือคลำตาจระเข้ เอามีแทงลูกตาของมัน มันจึงปล่อยและหนี้ไป แกมีตะกรุดดอกนี้คาดอยู่ที่เอว จระเข้กัดยังไม่เข้า ปัจจุบัน ตะกรุดดอกนี้เป็นของหลวงพ่อเปรื่องท่านเจ้าอาวาสวัดบางคลานในขณะนี้ บรรดาศิษย์เอกหลวงพ่อโพธิ์มีอยู่ คือ หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงพ่อภู วัดท่าฬ่อ หลวงพ่อเทียบ ยังต้องไปเรียนจากท่านหลวงพ่อโพธิ์ ที่มีวิชาผู้เรืองเวทย์ ในอดีตโอกาสไปเรียนกันท่านหลวงพ่อโพธิ์ และได้รับวิชามามาก หลวงพ่อภูได้สร้างคุณความดีต่อศาสนามาก จึงได้การแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะหมวด และพระอุปัชฌายะ ตามลำดับ และได้รับสมณศักดิ์เป็น พระครูธุรศักดิ์ เกียรติคุณ เจ้าคณะแขวงเมื่อพูดถึงการสร้างเครื่องราง ก็ต้องพูดถึงศิษย์เอกของท่านองค์หนึ่งคือ หลวงพ่อครุฑ ( พระครูศิล ธรารักษ์ ) ซึ่งหลายท่านบอกว่าเป็นหลานแท้ ๆ ของท่าน และต่อมาก็ได้ครองวัดท่าฬ่อสืบต่อจากท่าน หลวงพ่อภู หลวงพ่อครุฑนี้เองที่ได้ช่วยเหลือท่านในการสร้างมงคลวัตถุในระยะหลังเมื่อท่านชราภาพแล้ว ผู้ที่ต้องการเช่าหาเครื่องรางของหลวงพ่อภูควรศึกษาอักขระลายมือของท่านให้แม่นยำ แต่ถึงแม้หลวงพ่อครุฑจะสร้างแทนแต่หลวงพ่อภูก็ปลุกเสกให้ใช้ได้ดีเช่นกัน หลวงพ่อภู ท่านได้อุปสมบท ณ วัดเขื่อน และก็ได้นิมนต์มาประจำพรรษาอยู่ ณ วัดท่าฬ่อ ตลอดมาจนได้ 46 พรรษาเศษ วันแรม 5 ค่ำ เดือน 10 พ.ศ. 2467 ตรงกับวันพุธ หลวงพ่อภู ท่านได้ลมเจ็บลงเพราะเป็นล้มอัมพาต พระสงฆ์ที่เป็นลัทธิวิหาริกและพุทธศาสนิกชน ชาวบ้านท่าฬ่อก็ได้ตามแพทย์หลวงและแพทย์เชลยศักดิ์มาช่วยกันรักษาพยาบาล จนเต็มความสามารถ ก็มีแต่ทรงกับทรุดลงจนถึงวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2467 เวลา 04.00 น. เศษ ท่านก็ได้ละสังขารมรณภาพล่วงลับสู่ปรโลกก่อนที่ท่านจะมรณภาพลง รวมอายุได้ 69 ปี ท่านก็เรียกบรรดาสานุศิษย์ ญาติมิตร ทั้งหลายมีอาจารย์ครุฑซึ่งเป็นหลายของท่านเข้ามาสั่งการที่จะยกช่อฟ้าศาลาที่ทำค้างอยู่ให้เป็นผลสำเร็จอีกต่อไปจึงทำให้บรรดาสานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนรักใคร่นับถือท่านมาก และเมื่อท่านจากไปทุกคนก็เสียใจกันอย่างมากโดยเฉพาะบรรดาสัตว์ต่าง ๆ ที่หลวงพ่อภูที่เลี้ยงไว้ต่างพากันเดินร้องไห้น้ำตาไหลนำหน้าศพหลวงพ่อภู ซึ่งเป็นที่หน้าแปลดใจยิ่งนัก ของสานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนทั่วไปทั่วไปที่หลั่งไหลเข้ามาในงานปณกิจศพหลวงพ่อภู ในเดือน 4 ขึ้น 10 ค่ำ ชักศพวันขึ้น 14 ค่ำ ซึ่งเป็นวันวันฌาปนกิจที่วัดท่าฬ่อ ฉลองอัฐิธาตุเพื่ออุทิศส่วนกาละปะนาผลหิตานุหัตประโยชน์ไปให้กับท่าน พระครูธุรศักดิ์ เกียรติคุณ ซึ่งเป็นที่เคารพนักถือ และเป็นพระอุปัชฌาย์แม้ว่าหลวงพ่อภูจะสิ้นไล่หลังหลวงพ่อเงินเพียง 5 ปี แต่ทว่าท่านอายุอ่อนกล่าหลวงพ่อเงินเกือบ 50 ปี เพราะหลวงพ่อเงินอายุยืนมากถึง 114 ปี ( หลวงพ่อเงินชาตะ 2348 ? มรณะ 2462 )

43
ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บ ThaiAmuletWeb.com

   หลวงพ่อเคลือบเป็นคนเชื้อสายจีน สัญชาติไทย เกิดเมื่อปีพุทธศักราช 2432 ที่บ้านคลองชะโด ตำบลทุ่งใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี นามมารดา บิดา ยังไม่ทราบหลักฐาน มีพี่น้องร่วมมารดาบิดา 8 คน บรรพชาอุปสมบท นายเคลือบเมื่ออายุครบบวชแล้ว ก็ได้เข้ารับการบรรพชาอุปสมบท เมื่อปี พุทธศักราช 2453 ที่พัทธสีมาวัดหนองเต่า ตำบลโนนเหล็ก อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี โดยมีพระครูอุทัยธรรมวินิฐ (หลวงพ่อสิน) เป็นพระอุปัชฌาย์พระกรรมวาจาจารย์ และพระอนุสาวนาจารย์ ไม่ทราบนาม แล้วท่านก็ได้นามว่าพระเคลือบ สาวรธมโม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลวงพ่อเคลือบท่านได้อยู่จำพรรษาเรียนวิชาอาคมกับหลวงพ่อสินที่วัดหนองเต่าเป็นเวลา 3 พรรษาได้วิชาวาจาสิทธิ์และวิชาคงกระพันชาตรีจากหลวงพ่อสิน สมัยนั้นพระภิกษุสามเณรวัดหนองเต่ามีจำนวนมากไม่เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรทางจิต และหลวงพ่อสินท่านพูดอยู่เสมอว่า ถ้าจะให้วิชาขลังนั้น ต้องไปหาที่สงบฝึกจิต หลวงพ่อเคลือบสนทนาธรรมกับหลวงพ่อสินแล้วก็ขอลาไปฝึกจิตเรียนวิชาเพิ่มเติม หลวงพ่อสินบอกว่ามีพระเก่งวิชาเพ่งกสินอยู่แถบลพบุรี ท่านก็ลาไปโดยมีพระร่วมเดินทางไป 3 รูป ท่านก็ไปพบอาจารย์ ซึ่งจากการสอบถามคนเก่าหลายคนบอกว่า เป็นหลวงพ่อวัดเขาสาลิกา ซึ่งเป็นผู้มีวิชาอาคมแก่กล้ามาก ในสมัยนั้น โดยเฉพาะ กสินไฟ ท่านเพ่งเทียนจนไฟลุกได้เมื่อหลวงพ่อเดินทางไปถึงแล้วก็เข้าไปกราบพร้อมฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อเรียนคาถาพระอาจารย์พูดว่า ถ้าไม่สึกก็จะสอนวิชาให้ ถ้าสึกก็จะไม่สอนหลวงพ่อเคลือบก็ปฏิญาณ แน่วแน่ว่าชาตินี้จะไม่ขอสึก ส่วนพระที่ไปด้วยไม่รับปากจึงไม่ได้เรียนวิชาด้วย ท่านเรียนกรรมฐานทำสมาธิ จนจิตเป็นหนึ่งเดียวและเรียนวิชา กสินไฟและเรียนอักษรขอมที่ใช้เขียนยันต์ เพิ่มเติมจากหลวงพ่อกบอีกเป็นเวลาถึง 6 ปี เต็มท่านก็ลาอาจารย์ออกธุดงค์ไปทางเหนืออีกหลายปีไม่ทราบว่าไปที่ใดบ้างแล้วท่านก็กลับมาที่อุทัยอีกมาอยู่วัดหนองเต่า แต่อยู่ได้ ไม่กี่วันทางญาติโยมวัดหนองหญ้านางก็มานิมนต์หลวงพ่อเคลือบไปอยู่ เมื่อหลวงพ่อมาอยู่ท่านก็ได้สร้างพระอุโบสถขึ้นมาหนึ่งหลัง แต่ยังไม่ทันเสร็จเรียบร้อยดีก็เกิดเรื่องกับบรรดามักทายกวัดขึ้นเสียก่อน หลวงพ่อเคลือบจึงพูดขึ้นว่า ?ถ้าข้าอยู่ใครก็มาอยู่ไม่ได้? ต่อมาก็หาพระมาอยู่ได้ยาก แล้วหลวงพ่อเคลือบก็กลับมาที่วัดหนองเต่า พอดีทางวัดหนองแกขาดพระ หลวงพ่อเคลือบจึงมาจำพรรษาอยู่ที่นี่หนึ่งพรรษาแล้วย้ายมาอยู่ที่วัดทัพทันอีกสามพรรษาพอดีทางวัดหนองกระดี่ไม่มีเจ้าอาวาส พวกญาติโยมจึงนิมนต์หลวงพ่อเคลือบมาเป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อเคลือบท่านอยู่ที่วัดหนองกระดี่จนมรณภาพในปี พ.ศ.2497 นั่นเอง ที่มาจาก:หนังสือประวัติหลวงพ่อเคลือบ เนื่องในงานเททองหล่อรูปเหมือนหลวงพ่อเคลือบ

44
ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บ ThaiAmuletWeb.com
   พระครูปทุมชัยกิจ หรือ หลวงปู่นะ ฐิตปัญโญ เจ้าอาวาสวัดปทุมธาราม (หนองบัว) ต.หนองบัว อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังรูปหนึ่งแห่งลุ่มแม่น้ำท่าจีน ที่ชาวบ้านให้ความเลื่อมใสศรัทธา เป็นพระเถระที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมทายาทสืบทอดพุทธาคมสายหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาทปัจจุบันหลวงปู่นะ สิริอายุ 92 พรรษา 72 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดปทุมธาราม และอดีตยังเคยดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลบ่อแร่-หนองขุ่น เขต 2 อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ด้วยอัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า โฉม เหล่ายัง เกิดเมื่อวันพุธที่ 6 ธันวาคม 2459 ตรงกับวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 1 (อ้าย) ปีมะโรง ณ บ้านขุนแก้ว ต.ดงขวาง อ.หนองขาหย่าง จ.อุทัยธานีเป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวน 9 คน ของนายแจกและนางตี่ เหล่ายัง ครอบครัวประกอบอาชีพเกษตรกรรมในวาระแรกเกิด บิดา-มารดา ตั้งชื่อให้ว่า โฉม ต่อมาเมื่ออายุได้ 5-6 ขวบ หมอเป้ซึ่งเป็นหมอแผนโบราณ และมีความรู้ทางด้านโหราศาสตร์ด้วย เห็นว่าเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เป็นประจำ จึงเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า นะ อันเป็นมงคลนามช่วงวัยเยาว์ ครอบครัวมีความเป็นอยู่ค่อนข้างขัดสน เนื่องจากมีบุตรด้วยกันหลายคน ทุกคนต้องช่วยเหลือตนเองต่อมาครอบครัวได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านเกาะโสภี อ.หนองฉาง จ.อุทัยธานี ท่านจึงได้รับการศึกษาที่วัดหนองมะกอกในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงปีที่ 3 และชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรียนที่โรงเรียนวัดหนองแฟบ หลังจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มาช่วยครอบครัวทำอาชีพกสิกรรมทำมาหาเลี้ยงชีพครั้นอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ ได้ขออนุญาตโยมพ่อโยมแม่ อุปสมบท ซึ่งท่านทั้งสองก็ยินดีร่วมอนุโมทนาท่านได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดราษฎร์นิธิยาวาส (ดอนปอ) ต.บ่อแร่ อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2480 มี พระครูวิจิตรชัยการ (หลวงพ่อเคลือบ) วัดบ่อแร่ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์ชั้น เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์สำเนียง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้รับฉายาว่า ฐิตปัญโญ มีความหมายว่า ผู้มีปัญญาอันตั้งไว้แล้วหลังอุปสมบท ท่านได้ปฏิบัติกิจแห่งสงฆ์โดยครบถ้วน ใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมด้วยความตั้งใจ พ.ศ.2481 สอบได้นักธรรมชั้นตรี จากสำนักเรียนวัดราษฎร์นิธิยาวาส (ดอนปอ) พ.ศ.2483 เดินทางไปศึกษาต่อในสำนักเรียนวัดหนองแฟบ อ.หนองขาหย่าง จ.อุทัยธานี สอบได้นักธรรมชั้นโทพ.ศ.2485 ได้ไปจำพรรษาที่วัดปทุมธาราม (หนองบัว) และในปี พ.ศ.2487 ท่านได้เข้าสอบนักธรรมชั้นเอก อันเป็นชั้นสุดท้ายของภาคการศึกษานักธรรมที่วัดหนองแฟบขณะศึกษานักธรรม ท่านได้มีโอกาสศึกษาวิชาการแพทย์แผนโบราณกับพระอาจารย์ศรี วัดหนองแฟบ ควบคู่ไปด้วย จนมีความรู้ความชำนาญการใช้สมุนไพรรักษาโรคภัยไข้เจ็บทั่วไปด้วยความเป็นพระหนุ่มที่ทรงความรู้ วิทยฐานะนักธรรมชั้นเอก ในสมัยนั้นจะหายากยิ่ง ท่านจึงมีความคิดก่อตั้งสำนักเรียนขึ้นมาใหม่ หลังจากซบเซาขาดหายไปนาน ซึ่งท่านเป็นผู้สอนเองทุกชั้น ตั้งแต่นักธรรมชั้นตรี โท และเอก ท่านจึงมีลูกศิษย์ที่เป็นพระภิกษุบริหารกิจการคณะสงฆ์อยู่ในเวลานี้หลายจังหวัดในความเป็นจริงแล้ว ภายหลังสอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก ท่านคิดที่จะเรียนทางด้านภาษาบาลีต่อ แต่ด้วยกิจการคณะสงฆ์ที่วัด ทำให้ไม่มีเวลา อีกทั้งสำนักเรียนบาลีก็อยู่ในตัวเมืองไกลจากวัดหนองบัว การเดินทางไม่สะดวก ทำให้ต้องงดการเรียนบาลีอย่างไรก็ตาม ท่านหันมาให้ความสนใจศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณเพิ่มเติม และเรียนวิทยาคม เลขยันต์พันคาถาควบคู่กันไป จากตำราที่พระปลัดปั่น เจ้าอาวาสรูปที่ 9 ได้รับมอบจากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และพระปลัดปั่นท่านได้มอบตำราของหลวงปู่ศุขให้กับหลวงพ่อนะท่านได้ศึกษาสรรพวิชาในตำราทั้งหมด จนมีความรู้แตกฉานในวิทยาคมเป็นอย่างดี เป็นที่พึ่งของชาวบ้านที่เจ็บไข้ได้ป่วย และผู้ที่โดนคุณไสย ท่านก็ได้ช่วยเหลือปัดเป่าทุกข์เหล่านั้นด้วยความเมตตาด้านงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา ได้จัดเทศนาธรรมเป็นประจำในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ชักชวนประชาชนให้ร่วมทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ เวียนเทียนรอบอุโบสถ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา อีกทั้งเป็นครูสอนพระปริยัติธรรม สำนักเรียนวัดปทุมธาราม (หนองบัว) เป็นครูสอนการปฏิบัติธรรมวิปัสสนากัมมัฏฐานแก่พระภิกษุ สามเณร ตลอดจนประชาชนทั่วไป จัดสถานที่อบรมหน่วยพระธรรมทูต และได้รับเชิญให้ออกปฏิบัติงานพระธรรมทูตตามวัดและโรงเรียนในเขตอำเภอ-จังหวัด และจังหวัดใกล้เคียง โดยร่วมมือกับหน่วยราชการต่างๆด้านการพัฒนาวัด นับตั้งแต่ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดปทุมธารามเป็นต้นมา ได้ทำการพัฒนาวัดจนเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ ด้วยการสร้างศาลาการเปรียญ โครงสร้างชั้นล่างเป็นคอนกรีตเสริม เหล็ก ชั้นบนเป็นไม้ หลังคาเป็นกระเบื้องเกล็ด, สร้างอุโบสถหลังใหม่แทนหลังเก่าที่ชำรุดทรุดโทรม ลักษณะทรงไทย คอนกรีตเสริมเหล็ก เพื่อใช้เป็นที่บำเพ็ญกุศล, สร้างกุฏิ 2 หลัง ลักษณะทรงไทยประยุกต์ ชั้นล่างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ชั้นบนเป็นไม้, สร้างฌาปนสถานแบบมาตรฐาน พร้อมเตาเผาอย่างดี, สร้างอาคารปริยัติธรรมภิกษุ-สามเณร ลักษณะทรงไทย คอนกรีตเสริมเหล็กนอกจากนี้ ยังสร้างวิหารหลวงปู่ศุขอีก 1 หลัง ลักษณะทรงไทยก่ออิฐถือปูน ช่อฟ้า ใบระกา หน้าบัน ลายใบเทศ ประดับด้วยกระจก, ต่อเติมชานวัดพื้นไม้ สร้างมุขบันไดทรงไทยจัตุรมุข, สร้างหอสมุดประชาชนประจำตำบล, สร้างหอ กลอง หอระฆัง, ถมดินปรับพื้นที่ในลานวัด, สร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่ด้านวัตถุมงคลของหลวงปู่นะ อาทิ ใบพลูใจเดียว, เหรียญนารายณ์ทรงครุฑ, สมเด็จบัวไขว้ข้างอุ, เหรียญรูปไข่ รุ่นรวยลาภ-รวยยศ, ผ้ายันต์หนุมานประสานกาย เป็นต้น ล้วนแต่ได้รับความนิยมจากสาธุชน เนื่องจากมีพุทธคุณครอบจักรวาล โดดเด่นในหลากหลายด้านพ.ศ.2493 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดปทุมธารามพ.ศ.2495 เป็นเจ้าคณะตำบลบ่อแร่-หนองขุ่น เขต 2พ.ศ.2500 เป็นองค์อุปถัมภ์โรงเรียนประชา บาล โรงเรียนรัฐปทุมราษฎร์อุปถัมภ์พ.ศ.2501 เป็นพระอุปัชฌาย์ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2501 ได้รับพระราช ทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นตรี ในราชทินนามที่ พระครูปทุมชัยกิจพ.ศ.2514 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นโท ในราชทินนามเดิมหลวงปู่นะ พร่ำสอนญาติโยมทั่วไป ให้ทุกคนทำความดี ละเว้นความชั่ว ให้มีความอดทน อดกลั้น ให้มีความละอายต่อการกระทำชั่ว กตัญญูกตเวทีต่อบิดา มารดา และครูบาอาจารย์หลวงปู่นะ เป็นพระเถราจารย์ชื่อดังรูปหนึ่ง ที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย เผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนสืบทอดพระพุทธศาสนาให้มั่นคงอยู่เป็นประจำ พัฒนาวัดเก่าแก่เสื่อมโทรมจนเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างเป็นเนื้อนาบุญของชาวเมืองชัยนาทอย่างแท้จริง  -ขอขอบคุณที่มาของประวัติหลวงพ่อนะจาก มงคลข่าวสด ไว้อย่างสูง..

45
ขอบคุณข้อมูลจากเว็บ ThaiAmuletWeb.com

   พระวิบูลวชิรธรรม นามเดิม สว่าง นามสกุล เจริญศรี นามฉายา อุตตโร นามบิดา ขุนเจริญสวัสดิ์ (เจริญ เจริญศรี) นามมารดา หอม หรือ ก้อนดิน เกิด ณ บ้านน้ำหัก ตำบลท่างิ้ว อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ.2426 ตรงกับวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 7 ปีมะแม เป็นบุตรคนที่ 5 ของขุนเจริญสวัสดิ์ (เจริญ เจริญศรี) แต่เป็นบุตรคนเดียวของคุณแม่หอมหรือก้อนดิน ทั้งนี้เนื่องจากโยมมารดาของท่านเป็นภรรยาคนที่ 2 ของขุนเจริญสวัสดิ์ (เจริญ เจริญศรี) นั่นเอง มีพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน 5 คน ซึ่งถึงแก่กรรมไปหมดแล้วก่อนที่หลวงพ่อจะถึงแก่มรณภาพเมื่อหลวงพ่อพระวิบูลวชิรธรรม เกิดได้เพียง 5 วัน โยมมารดาของท่านก็ถึงแก่อนิจกรรม ได้มีมารดาเลี้ยงดูแลท่านจนเติบใหญ่ ท่านก็เริ่มศึกษาเล่าเรียนอักขระสมัย และหนังสืออักขระขอม  พอท่านอายุได้ 13 ขวบ ขุนเจริญสวัสดิ์บิดาก็ของท่านก็ถึงแก่กรรม มารดาเลี้ยงได้นำพระวิบูลวชิรธรรมไปฝากกับหลวงพ่อเผือก หรือพระครูบรรพโตปมญาณ วัดหัวดงเหนือ ตำบลหัวดง อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์  หลวงพ่อ ฯ ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนมูลกัจจายน์จนอายุได้ 20 หลวงพ่อพระวิบูลวชิธรรม อุปสมบทเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ.2445 ตรงกับวันขึ้น 4 ค่ำ เดือนอ้าย ปีขาล ณ พัทธสีมา วัดขุนญาณ ตำบลคลองเมือง อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มี พระญาณไตรโลกย์ (สะอาด) วัดศาลาปูน อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นพระอุปัชฌาย์ พระวินัยธรศรี วัดศาลาปูน อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นพระกรรมวาจาจารย์พระปลัดแพ วัดศาลาปูน อำเภอกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นพระอนุสาวนาจารย์พระอุปัชฉาย์ ให้นามฉายาว่า ?อุตตโร? เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่วัดศาลาปูน เป็นเวลา 2 ปี จึงกลับมาอยู่กับหลวงพ่อเผือก หรือพระครูบรรพโตปมญาณ ที่วัดหัวดงเหนือ ตำบลหัวดง อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ ได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย จากพระอาจารย์สด (พระครูสวรรค์วิถี) อยู่ 2 พรรษา แล้วได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดท่างิ้ว อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์เป็นเวลา 2 พรรษา ต่อจากนั้นได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดเขาแก้ว (วัดมณีบรรพตวรวิหาร) อำเภอเมือง จังหวัดตาก อีก 2 พรรษา แล้วจึงได้ย้ายกลับมาอยู่ที่วัดท่างิ้ว อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์  เมื่ออาจารย์ปั้นเจ้าอาวาสวัดท่างิ้วได้มรณะภาพลง หลวงพ่อพระครูน้อย ขณะนั้นยังเป็นประทวนสมณะศักดิ์อยู่ ได้ตั้งให้หลวงพ่อเป็นเจ้าอาวาสวัดท่างิ้ว ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะตำบลท่างิ้ว อำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ ต่อมาในปี พ.ศ.2468 หลวงพ่อได้รับแต่งตั้งห้เป็นผู้รั้งตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอขาณุวรลักษณ์บุรี และกิ่งอำเภอแสนตอ จังหวัดกำแพงเพชร (สมัยนั้นอำเภอคลองขลุงยังเป็นอำเภอขาณุอยู่ อำเภอขาณุยังเป็นกิ่งอำเภอแสนตอ ต่อมาราวปี พ.ศ.2493 จึงเปลี่ยนอำเภอแสนตอเป็นอำเภอขาณุวรลักษบุรีมาจนทุกวันนี้) แต่ยังดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลท่างิ้วอยู่อีกด้วย  และยังอยู่ที่วัดท่างิ้วตามเดิม             ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ใน พ.ศ.2468 ครั้นถึงปี พ.ศ.2470 ได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ ?พระครูวิบูลวชิธรรม? ครั้นทางราชการได้แยกอำเภอขาณุวรลักษบุรี เป็นอำเภอคลองขลุง กิ่งอำเภอแสนตอเป็นอำเภอขาณุวรลักษบุรี แล้ว หลวงพ่อ ฯ ได้รับใบตราตั้งให้เป็นกรรมการศึกษาประจำตำบลคลองขลุงเมื่อปี 2500 คณะสงฆ์อำเภอคลองขลุงและประชาชนชาวตำบลท่าพุทรา ได้พร้อมกันไปอาราธนาพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระวิบูลวชิรธรรม ให้ขึ้นมาประจำอยู่ที่วัดคฤหบดีสงฆ์ ตำบลท่าพุทรา อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร ดังนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระวิบูลวชิรธรรม จึงได้มาประจำอยู่ที่วัดคฤหบดีสงฆ์ จนตราบเท่าถึงอวสานแห่งชีวิตของท่าน             เมื่อ พ.ศ.2501 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ ?พระวิบูลวชิรธรรมต่อมาเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2520 ท่านก็ได้เริ่มป่วยมีอาการไอมากผิดปกติ ท่านได้เรียกหมอชาวบ้านมาฉีดยาให้ และหลวงพ่อท่านมีความรู้ทางแพทย์แผนโบราณเป็นอย่างดี ท่านก็ได้ใช้ทายกไปนำเครื่องยาสมุนไพรมาต้มยาฉันเอง อาการไอก็ไม่ทุเลาลงเท่าที่ควร พอวันที่ 19 มกราคม 2520 เวลาบ่าย นายแพทย์ปรีชา มุสิกุล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดกำแพงเพชร ได้มาเยี่ยมนมัสการหลวงพ่อที่วัดคฤหบดีสงฆ์ ก็มาพบอาการไอของหลวงพ่อท่าน ไอมากผิดปกติจึงได้อาราธนานิมนต์หลวงพ่อไปตรวจฉายเอ็กซเรย์ดูที่โรงพยาบาลกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ในวันที่ 19 มกราคม 2520 เวลา 15.00 น. หลวงพ่อก็ออกเดินทางจากวัดคฤหบดีสงฆ์โดยรถยนต์ของนายแพทย์ปรีชา มุสิกุล ดังกล่าว พอถึงโรงพยาบาลกำแพงเพชร แพทย์ก็ทำการตรวจฉายเอ็กซเรย์พบว่าปอดข้างขวาเป็นแผล แพทย์ลงความเห็นให้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล หลวงพ่อก็อยู่รักษาตัวตามความเห็นของแพทย์ ในการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น อาการไอทุเลาลงบ้าง แต่ท่านฉันอาหารไม่ได้ มีอาการอ่อนเพลีย มีประชาชนมาเยี่ยมจากจังหวัดนครสวรรค์ ชัยนาท อุทัย ท่านจะพูดเสมอว่า เจ็บป่วย ตาย เป็นของธรรมดา มนุษย์ทุกรูป ทุกนาม ก็ต้องเจอ ทุกคนจะหลีกเลี่ยงความตายหาได้ไม่ หลวงพ่อมีสติดีอยู่ตลอดเวลาแม้ท่านนอนรักษาตัวอยู่ก็ให้พระภิกษุที่เฝ้าปฐมพยาบาลรับใช้อยู่จุดธูปเทียนบูชาพระทุกคืน มิได้ขาด ครั้นถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2520 เวลาเช้าพอตื่นขึ้นท่านบอกว่าวันนี้ดีกว่าทุกวัน รู้สึกสบายใจขอน้ำล้างหน้าพระหยิบให้ท่านก็รับเอาไปเสกแล้วก็ล้างหน้า แล้วพูดว่าอยากฉันน้ำมนต์ร้อยปีที่วัดคฤหบดีสงฆ์ จึงใช้ให้นายจำนงค์ คชวารี ไปเอา คนไปเอาน้ำมนต์ยังไม่กลับเลย ขณะนั้นเป็นเวลา 14.00 น.เศษ ท่านพูดว่าใจคอไม่ดี บอกให้พระสาครกับพระประสงค์จุดธูปเทียนแล้ว ตัว จ.ส.ต.สังคม คชฤทธิ์ ก็วิ่งไปตามหมอ หมอรีบมากันเป็นจำนวนหลายนายที่จำได้ก็มีหมอสมาน หมอไพโรจน์ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอง ฯ และมีแพทย์อีก 2 นาย นางพยาบาลอีก 3 คน ได้มาช่วยกันปฐมพยาบาลและฉีดยา ตลอดทั้งหลวงพ่อพระครูนิยุติธรรมศาสตร์ เจ้าคณะอำเภอบรรพตพิสัย อยู่ในห้องด้วย พระสมุห์เสาร์ วัดคลองเจริญก็อยู่ด้วย ครั้นเวลา 14.30 น.ท่านก็สิ้นลมหายใจ ขณะที่ท่านนอนตะแคงพนมมือด้วยอาการอันสงบ มิได้ดิ้นรนกระวนกระวายแต่ประการใด ฉะนั้นในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2520 เวลา 14.30 น.ตรงกับวันอังคารขึ้น 13 ค่ำ เดือน 3 ปีมะเส็ง เป็นวันเวลาที่ศิษยานุศิษย์และประชาชนที่เคารพนับถือสักการะบูชาในท่าน ท่านได้ไปแล้วไปอย่างไม่มีวันกลับ ทำให้ศิษยานุศิษย์ทั้งหลายต้องน้ำตานองหน้าโศกเศร้าอาดูรเป็นอย่างยิ่ง ศิริรวมอายุได้ 94 ปี 7 เดือน 25 วันพรรษา 74 พรรษา  ต้องขอขอบคุณข้อมูลประวัติและรูปถ่าย จากชมรมศิษย์หลวงพ่อสว่าง ครับ

46
ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บ  ThaiAmuletWeb.com   
   หลวงพ่อเฮง วัดเขาดินท่านเกิดปี พ.ศ. 2402 ที่บ้านมหาโพธิ์ ตำบลมหาโพธิ์ อำเภอเก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ โยมบิดาชื่อโยมสังข์ โยมมารดาชื่อโยมเปี่ยม พอหลวงพ่อเฮงเกิดมาครอบครัวก็มีฐานะดีขึ้นตามลำดับ โยมบิดามารดาจึงตั้งชื่อให้ว่า "เฮง" ท่านมีนิสัยเมตตาต่อสัตว์และชอบให้ทานแก่สัตว์มาตั้งแต่เด็กๆ ขนาดโยมบิดาให้ไปเฝ้านา ท่านเห็นนกมากินข้าวก็ยังไม่ยอม ไล่ เพราะท่านถือว่าเป็นการให้ทานแก่นก หลวงพ่อเฮง วัดเขาดินท่านเป็นคนที่รักการศึกษา เมื่อมีเวลาว่างจะไปหาหลวงพ่อทับ วัดมหาโพธิ์ ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่โด่งดังในสมัยนั้น เพื่อให้สอนวิชาให้ คือวิชาแพทย์แผนโบราณ คชศาสตร์ และวิทยาคมต่างๆ พออายุได้ 12 ปี ท่านก็ขอโยมบิดามารดา บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดมหาโพธิ์ใต้ อยู่ได้ 4 พรรษาก็ลาสึกออกมาช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพพออายุครบบวชในปี พ.ศ.2423 หลวงพ่อเฮงจึงได้อุปสมบท ที่วัดมหาโพธิ์ใต้ โดยมีพระครูกิ่ม เจ้าอาวาส วัดมหาโพธิ์ใต้เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อบวชแล้วก็ได้ศึกษาพระธรรมวินัย ตลอดจนวิชาโหราศาสตร์ และวิทยาคมต่างๆ อีกมากมายจากพระอาจารย์กิ่ม และที่วัด มหาโพธิ์ใต้ยังเป็นแหล่งรวบรวมวิชาการและตำราต่างๆ ไว้มากมาย อีกทั้งพระอุโบสถ ของวัดก็เป็นพระอุโบสถแบบมหาอุด ซึ่งเป็นที่ปลุกเสกเครื่องรางของขลังได้ยอดเยี่ยม และมีอายุเก่าแก่กว่า 300 ปี วัดมหาโพธิ์ใต้ เป็นวัดที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิง จึงมีพระเกจิอาจารย์ที่ออกธุดงค์มาแวะพักอยู่เสมอๆ หลวงพ่อเฮงจึงได้รับการถ่ายทอดสรรพวิชาต่างๆ จากพระเกจิอาจารย์เหล่านั้นไปด้วย ต่อมาหลวงพ่อเฮงท่านก็ได้ออกธุดงค์ไปในป่าดงดิบต่างๆ ถึงพม่า เขมรและลาวหลายครั้ง และท่านก็เข้าใจธรรม ชาติของสัตว์ป่าได้ดี และสามารถเรียกอาการ 32 ของสัตว์ที่ตายแล้วให้มาเข้ารูปจำลองที่ได้สร้างขึ้นได้จากการที่หลวงพ่อเฮงท่านได้ธุดงค์ไปตามป่าเขาต่างๆ ท่านจึงได้รู้ว่างาช้างที่มีการทนสิทธิ์ในตัวเองมี 2 ประเภทคือ งากำจัดและงากำจาย งากำจัดคืองาที่ช้างตัวผู้ตกมันแทงงาหักติดกับต้นไม้ และงากำจายคืองาที่ช้างตัวผู้ต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงเป็นจ่าฝูง และแตกหักตกอยู่ในป่า เมื่อหลวงพ่อเฮง ท่านพบก็จะเก็บไว้เพื่อนำมาสร้างเป็นเครื่องรางของขลังต่อมา ซึ่งส่วนมากก็จะมาแกะเป็น รูปเสือ คชสีห์ สิงห์ และหมู หลวงพ่อเฮงเป็นต้นหลวงพ่อเฮงได้กลับมาจากธุดงค์พอดีกับทางวัดว่างเจ้าอาวาส ท่านก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดมหาโพธิ์ใต้ ในปี พ.ศ.2434 และได้เป็นพระกรรม วาจาจารย์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2449 ก็ได้เป็นเจ้าอาวาสปกครองถึง 2 วัด คือวัดมหาโพธิ์ใต้และวัดเขาดิน ซึ่งอยู่สองฝั่งแม่น้ำปิง ต่อมาท่านก็ได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดเขาดินเนื่องจากทางวัดกำลังก่อสร้างศาลา การเปรียญอยู่ และได้มีเหตุการณ์ที่ทำให้ชาวบ้านเลื่อมใสมากก็คือท่านได้บอกกับชาวบ้านว่า ให้จัดทำปะรำพิธีต้อนรับที่วัดเขาดิน ชาวบ้านต่างไม่เข้าใจว่าให้สร้างทำไม และในวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2449 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเสด็จประพาสต้นไปกำแพงเพชร ทางชลมารคได้จอดเรือพระที่นั่งแวะที่วัดเขาดินโดยไม่มีหมายกำหนดการ และชาวบ้านแถบนั้นไม่มีใครรู้มีจดหมายเหตุของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 บันทึกไว้ว่า "เมื่อมาถึงวัดเขาดินได้ยินเสียงมโหรีและพระสวด เห็นเวลายังวันอยู่จึงได้คิดแวะถ่ายรูป แต่ชายหาดน้ำตื้นเรือใหญ่เข้าไปไม่ถึง ต้องลงเรือเล็กลำเลียงเข้าไปอีก เดินหาดร้อนเหลือกำลังทั้งเวลาก็บ่ายสี่โมงแล้ว ไม่ตั้งใจจะขึ้นเขา แต่ครั้นเข้าถ่ายรูปที่เขาแล้วเห็นวัด วัดตระเตรียมแน่นหนามาก จึงเลยไปถ่ายรูป ครั้นเข้าไปใกล้ดูคนตะเกียกตะกายกันหนักขึ้น จะต้องยอมขึ้นวัดๆ นี้มีเจ้าอธิการชื่อเฮง รูปพรรณสัณฐานดีกลางคนไม่หนุ่มไม่แก่ เป็นพระฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่คนจะนับถือมากเพิ่งมาจากวัดมหาโพธิ์ใต้ที่ฝั่งตรงกันข้ามได้ 2 ปี แต่มีคนแก่สัปบุรุษและชาวบ้านหลายคนมาคอยอธิบายชี้แจงโน้นนี่ เจ้าอธิการว่าได้สร้างศาลาไว้หลังหนึ่งขัดเครื่องมุง จึงให้เงิน 100 บาท ช่วยศาลานั้น แล้วสัปบุรุษทายกชักชวนให้เข้าไปดูในวัด ซึ่งเชื่อเสียแล้วว่าจะไม่มีอะไร แต่ทนเสียงอ้อนวอนไม่ได้ ครั้นเข้าไปถึงลานวัดเห็นวัดใหญ่โตมาก เป็นที่รักษาสะอาดหมดจดอย่างยิ่ง รู้สึกสบาย ถ่ายรูปแล้วพวกสัปบุรุษชวนให้ไปดูพระอุโบสถซึ่งอยู่บนเขา จึงรู้ว่ามีทางอีกทางหนึ่งสำหรับขึ้นมา มีบันไดอิฐขึ้นตลอดจะต่ำกว่าเขาบวชนาคสักหน่อยแต่ทางขึ้นง่าย ไม่ใช่เขาดินเป็นเขาศิลามีดินหุ้มอยู่แต่ตอนล่างๆ พวกสัปบุรุษพากันตักน้ำขึ้นไปไว้สำหรับให้กินจะให้อาบ โบสถ์นั้นรูปโปร่งเป็นศาลา ไม่มีฝา หลังใหญ่มีพระเจดีย์องค์หนึ่ง แต่ข้างหลังโบสถ์และดูภูมิที่งดงามดี คือมีบึงใหญ่เห็นจะเป็นลำเดียวกันกับบึงบ้านหูกวาง และเห็นเขาหลวงเมืองนครสวรรค์สกัดอยู่ ในที่สุดถ่ายรูปแล้วไล่เลียงเรื่องวัดนี้ ได้ความว่า พระครูหวาอยู่วัดมหาโพธิ์ใต้มาเริ่มสร้างได้ 80 ปีมาแล้วได้ปฏิสังขรณ์ต่อๆ กันมา เจ้าอธิการได้เอาแหวนถักพิรอดมาแจก แหวนนั้นทำนองเดียวกับขรัวม่วงวัดประดู่ แต่ขรัวม่วงถักด้วยกระดาษลงรัก แต่นี่ถักด้วยด้ายทำเรียบร้อยดี"ขณะที่อยู่ที่วัดเขาดิน การที่หลวงพ่อเฮงไปช่วยสร้างศาสนสถานที่วัดเขาดิน ท่านจึงปกครองทั้ง 2 วัด คือวัดมหาโพธิ์ใต้และวัดเขาดิน ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามฝั่งแม่น้ำถือว่าเป็นวัดพี่วัดน้องกัน หลวงพ่อเฮงท่านเป็นพระสมถะ กินง่ายอยู่ง่าย พบง่าย ชอบช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ท่านโปรดที่จะฉันข้าวกับกล้วยน้ำหว้าสุกงอม กับน้ำปลา ปลาเค็ม ท่านเป็นที่รักเคารพและศรัทธาของชาวบ้าน ต่อมาหลวงพ่อเฮงท่านก็ปรารถนาที่จะกลับมาจำพรรษาที่วัดมหาโพธิ์ใต้และอยู่ ตลอดเรื่อยมาจนท่านมรณภาพ ในเดือน 12 พ.ศ.2485 สิริอายุได้ 83 ปี พรรษาที่ 63  (ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บเพื่อนบ้านพร้อมทั้งรูปถ่าย ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ)

49
สวยดีครับอยากมีไว้บ้างจังเลย

51
สวยดีครับ

53
สวยดีครับ

54
 วัดกองดิน(หลวงพ่อปิยปกาศิต) ต.กองดิน อ.แกลง จ.ระยอง 22160

 ประวัติย่อ หลวงพ่อปิยปกาศิต พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้านคู่เมือง ที่หล่อแบบโบราณองค์แรกของภาคตะวันออก
พระพุทธภัทรปิยปกาศิต หรือ หลวงพ่อปิยปกาศิต ? เป็นพระประธาน ประดิษฐานอยู่ในอุโบสถของวัดกองดิน อำเภอ แกลง จังหวัดระยอง ประกอบพิธีเททองหล่อ เมื่อปี พ.ศ.2513 มีประวัติความเป็นมา พอให้ทราบความกันโดยย่อว่า

 หลวงพ่อปิยปกาศิต-สร้างขยายส่วนมาจากพระพุทธรูปองค์ต้นแบบองค์หนึ่ง ที่มีพระนามว่า พระพุทธะปกาศิต หรือ หลวงพ่อปกาศิต ได้ทราบมาว่า เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อีกองค์หนึ่งที่?ถูกลืม? ไปจากจิตใจของคนไทย เชื่อมีชาวพุทธอีกมากมายหลายสิบล้านคน ที่อาจจะไม่เคยได้ยินพระนามของพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์นี้มาก่อน อีกทั้งอาจจะไม่ทราบว่า ครั้งหนึ่งในอดีต เมื่อ 200 กว่าปีที่แล้ว มีพระพุทธรูปปางวิชัย หรือ ปางสะดุ้งมารองค์หนึ่ง ได้รับการอัญเชิญนำไปในสมรภูมิสนามรบ อย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ เคียงคู่บารมีของวีรกษัตริยาธิราชผู้กล้าพระองค์หนึ่ง ผู้มีน้ำพระทัยกล้าแกร่ง ไม่ย่อท้อในการทำศึกสงคราม นั่นคือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระผู้เป็นมิ่งขวัญ กำลังใจของทหารหาญ ในการกอบชาติกู้เมือง กู้ชาติไทย ให้เป็นไท จากพวกพม่า ที่เข้ามายึดครองผืนแผ่นดินไทย เมื่อคราวปี พุทธศักราช 2310

นับเป็นบุญอันยิ่งใหญ่ของศรัทธาสาธุชน ที่อยู่ในภาคตะวันออก ที่ได้ พระพุทธปกาศิต หรือ  หลวงพ่อปกาศิต กลับคืนมาสู่พื้นที่กองดินนี้อีกครั้งหนึ่ง หลังผ่านกาลเวลาไปแล้ว ถึง 236 ปี นับแต่คราวที่พระยาตาก(สิน) ได้เคลื่อนกำลังพล ยกทัพไปตีเมืองจันทบูรณ์ ราวปี พ.ศ.2310 และได้มาหยุดพักตั้งค่ายทหารที่หมู่บ้านแห่งนี้ ได้ทราบเรื่องราวจากผู้ปฏิบัติธรรมหลายท่าน เล่าให้ฟังว่า ?เคยได้นิมิตเห็นพระยาตาก(สิน) ยกพระพุทธรูปบูชาองค์หนึ่ง เข้าไปในวิหารที่วัดเก่าคงคาจืด และให้ทหารหาญที่มาด้วยอธิษฐานจิตขอพรเป็นชัยมงคล ให้มีชัยชนะศึกสงครามที่เมืองจันทบูรณ์? มีความเชื่อกันว่า พระพุทธรูปองค์นั้นก็คือ พระพุทธปกาศิต หรือ หลวงพ่อปกาศิต องค์ต้นแบบนี้นั่นเอง

วัดกองดิน- เป็นวัดสุดท้ายของจังหวัดระยอง ตั้งอยู่ในตำแหน่งจุดกึ่งกลางของภูมิภาค 4 จังหวัด โดยทางสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 4 ปราจีนบุรี ร่วมกับศูนย์วัฒนธรรมท้องถิ่น อำเภอแกลง และสำนักงานเทศบาลตำบล ได้ร่วมสำรวจและตั้งหมุดประวัติศาสตร์ ในสถานที่ของวัดกองดิน นับเป็นลำดับที่ 26 สุดท้ายของเขตจังหวัดระยอง ในเส้นทางสายเอกราชการเดินทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช คราวยกทัพไปเพื่อตีเมืองจันทบูรณ์ เมื่อปี พ.ศ.2310

การสร้างหลวงพ่อปิยปกาศิตในภาคตะวันออกนี้ มีประวัติเล่ากันมาว่า พระพุทธรูปองค์นี้ ได้ขยายส่วน สร้างโดยใช้แบบมาจากพระพุทธรูปองค์เดิม ซึ่งมีพระนามว่า พระพุทธปกาศิต หรือ หลวงพ่อปกาศิต เป็นองค์ต้นแบบ มีขนาดหน้าตัก 12 นิ้ว สำเร็จด้วยเนื้อสัมฤทธิ์ขาว โดยกษัตริย์พระองค์หนึ่งในยุคสมัยเชียงแสน ราวปีพุทธศักราช 1700 เพื่อเทิดพระเกียรติ ในคราวงานเฉลิมพระชนม์พรรษาครบ 4 รอบ

ในตำนานได้เล่าว่า ในพระเศียรจอมกระหม่อมเกศบัวตูมขององค์หลวงพ่อปกาศิตองค์ต้นแบบนี้ ได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้จำนวนหนึ่ง และมีเหล่าเทพเทวาชั้นสูง ผู้มีมหิทธานุภาพรักษาอยู่ถึง 9 พระองค์

มีตำนานความเชื่ออีกส่วนหนึ่ง เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อปิยปกาศิต ที่ได้มีผู้มาสร้างไว้ในภาคตะวันออกนี้ว่า ?หลวงพ่อปิยปกาศิต?องค์ต้นแบบนี้ มีประวัติความเป็นมาเกี่ยวข้องกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มาแต่สมัยที่ท่านยังทรงผนวชเป็นพระภิกษุคู่กับนายทองด้วง(สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกหรือรัชกาลที่ 1) ที่หัวเมืองพิษณุโลก เมื่อลาสิกขาแล้ว พระองค์ได้นำเอาพระพุทธรูป คือ หลวงพ่อปกาศิตมาด้วย ภายหลังได้เข้ารับราชการ ไปรบทัพจับศึกที่ไหน ก็จะนำพระพุทธรูปองค์นี้ไปด้วย ถือเป็นพระพุทธรูปคู่บุญบารมีประจำพระองค์ และมักได้ชัยชนะกลับมาทุกครั้ง จึงมีนามอีกอย่างหนึ่งว่า?พระไชยหลังช้าง?หรือ?พระนำชัย?

มีผู้กล่าวว่า แม้การยกทัพไปเมืองจันทบูรณ์คราวนั้น ?หลวงพ่อปิยปกาศิต? ก็ได้มากับกองทัพของพระยาตาก(สิน)นี้ด้วย

นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2543 เป็นต้นมา ที่ท่าน พระมหารัตน์ เขมธัมโม ได้มาดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสของวัดกองดิน ได้สืบค้นคว้าเสาะหาข้อมูล ประวัติเรื่องราวความเป็นมาของหลวงพ่อปิยปกาศิต จนได้ทราบข้อมูลที่เชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องถึงกัน

มีคำพูดว่า ด้วยบารมีของหลวงพ่อพระพุทธโสธร ช่วยเหลือหมู่คนได้ทั้งเมืองแปดริ้ว ด้วยบารมี หลวงพ่อวัดบ้านแหลม เป็นที่พึ่งของคนได้ทั้งแม่กลอง ในกาลภายหน้า เชื่อว่าด้วยบารมีของหลวงพ่อปิยปกาศิต จักเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธในภาคตะวันออกได้ เป็นไปตามคำทำนายเมื่อ 33 ปีที่แล้วนั่นแล

ปัจจุบัน วัดกองดิน ได้ทำโครงการร่วมกับสำนักงานเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลกองดิน ได้เริ่มทำโครงการเพื่อบูรณะปฏิสังขรณ์พื้นที่ เป็นการอนุรักษ์ฟื้นฟูวัฒนธรรมท้องถิ่น เพื่อประโยชน์สุขของศรัทธาสาธุชน ?ถือเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งในอนาคต ที่จักเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวพุทธแห่งใหม่ในภาคตะวันออก นอกจากไปนมัสการรอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏ(พลวง)และไปชมพิพิธภัณฑ์โบราณวัตถุสถาน ที่เขาวัดสุกิม จังหวัดจันทบุรี จึงขอเชิญชวนชาวพุทธทุกท่าน ทุกถิ่นสถานทั่วเมืองไทย ที่ได้มีโอกาสมาสู่ภาคตะวันออก ได้เข้ามานมัสการอธิษฐานจิตขอพร จากหลวงพ่อฯ เพื่อความเป็นสิริชัยมงคล สมบูรณ์พูนผล ประกอบด้วยจตุรพิธพรชัย ได้โดยทุกประการด้วยเทอญ สาธุ ฯ........

 

ขอต้อนรับทุกท่าน สู่?...วัดกองดิน  ศุนย์รวมจิตใจใจแห่งใหม่ของชาวพุทธในภาคตะวันออก..........

              หลวงพ่อปิยปกาศิต พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ที่หล่อแบบโบราณองค์แรกของภาคตะวันออก

1.ขอแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จัก วัดกองดิน......วัดสุดท้ายของจังหวัดระยอง ตั้งอยู่ในตำแหน่ง จุดกึ่งกลาง  4 จังหวัดของภาคตะวันออก(ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด)

2.มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ ลำดับเส้นทางสายเอกราช หมุดประวัติศาสตร์ที่ 26 เส้นทางเดินทัพไปจันทบูรณ์ ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

3.มีโพธิ์ 3 ต้น 15 คนโอบรอบ เชื่อกันว่า เป็นโพธิ์นิมิตอธิษฐานจิตปลูกของพระเจ้าตากฯ

4.ภายในองค์ของหลวงพ่อปิยปกาศิต บรรจุพระผงสมเด็จองค์ปฐม จำนวน 84,000 องค์

5.นมัสการพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุปาฏิหาริย์

6.ปิดทองรูปแกะสลักไม้แก่นขนุนป่า หลวงปู่ทวด/สมเด็จโต ฯ

7.กำหนดจักงานประจำปีหลวงพ่อปิยปกาศิต เทศกาลปีใหม่ ? เทศกาลตรุษจีน ของทุกปี และ 13 เมษามหาสงกรานต์ สรงน้ำหลวงพ่อ ฯ 2 จังหวัด

                     

               เปิดให้นมัสการทุกวัน 08.00 น ? 18.00 น. ติดต่อสอบถาม ฝ่ายประชาสัมพันธ์วัดกองดิน 038-626214 , 01-7615667  WWW.piyapakasit.com


55


ประวัติหลวงพ่อพระทองหรือพระผุด วัดพระทอง จังหวัดภูเก็ต

ประวัติความเป็นมา



เนื่องจากเด็กเอาเชือกกระบือไปผูกกับ เกศของพระพุทธรูป จึงรู้ว่า พระผุด อยู่ตรงนี้

1. กวางทั้ง 2 ตัว ทางวัดเคยเลี้ยงไว้ชื่อ ลิเปียด กวางตายเก็บเขาไว้ เลยปั้นเป็นอนุสรณ์

2. วัวทางวัดเคยเลี้ยงไว้ชื่อ อ้ายมอ ตายเก็บไว้เลยปั้นไว้ให้คนดู

3. หมีทั้ง 2 ตัว ทางวัดเคยเลี้ยง มีคนมาถวาย หมีตายเลยปั้นไว้ให้คนดู

4. ช้างเชือกนี้ เป็นช้างของเจ้าเมือง ชื่อ พลายชุมพล ช้างตกมันมาลงงาที่วัดเลยตาย ทางวัดเก็บกระดูกไว้ปั้นให้คนดู

5. ปืนใหญ่ ทั้ง 5 กระบอกนี้ เป็นปืนสมัยศึกเมืองถลางรบกับพม่า

ประวัติหลวงพ่อพระทองหรือพระผุด

วัดพระผุด วัดนาใน หรือวัดพระทอง เป็นวัดเก่าแก่ สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย

นิทาน
เด็กจูงควายไปกินหญ้ากลางทุ่งนา เอาเชือกผูกล่ามไว้กับพระเกตุมาลาคิดว่าเป็นไม้ กลับถึงบ้าน เด็กตาย ควายก็ตาย พ่อของเด็กฝันถึงเหตุที่เด็กและควายตาย เพราะลูกชายเอาเชือกล่ามควายไปผูกกับพระเกตุมาลา รุ่งขึ้นไปดูจึงรู้ว่าเป็นพระพุทธรูป

วิเคราะห์นิทาน
บริเวณนี้เป็นทุ่งกว้างอยู่ใกล้ลำคลองใหญ่ มีช่วงใดช่วงหนึ่ง ฝนต้องตกหนัก ลำคลองก็เปลี่ยนสาย ทรายทับถมพระพุทธรูปเหลือเพียงพระเกตุมาลา กาลล่วงนานไป ผู้คนก็มาอาศัยอยู่บริเวณนี้จึงเกิดนิทานดังกล่าว

ความเชื่อ
พี่น้องชาวจีนเชื่อว่าเป็นพระผุดมาจากเมืองจีนเรียกว่าพู่ฮุก เล่าว่าธิเบตไปรุกรานจีน ในเมืองเซี่ยงไฮ้ของจีนมีพระพุทธรูปทองคำ ชื่อ กิ้มมิ่นจ้อ ชาวธิเบตนำลงเรือ ถูกมรสุมพัดมาเกยตื้น พระพุทธรูปจมลง จนมีผู้คนมาพบเห็น สอดคล้องดังนิทาน

นิทานอิงประวัติศาสตร์
พม่ายกทัพมาตีเมืองถลาง เมื่อปี พ.ศ. 2352 ได้พยายามขุดเอาพระผุด ขุดลงไปเจอมดคันพิษ ตัวต่อแตนขบกัด เอาไฟเผาดินร้อนขุดไม่ได้ พอดีทหารไทยยกทัพมาช่วย พม่าจึงหนีไป

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จวัดพระทอง เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2502 ทรงลงพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. บนแผ่นหินไว้เป็นพระอนุสรณ์ ก่อนหน้านี้ ช่วงรัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2452 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชหรือรัชกาลที่ 6 ได้เสด็จนมัสการพระผุด ทรงพระราชทานนามวัดนี้ว่า วัดพระทอง

วัดพระทอง

วัดพระทอง ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่าวัดพระผุดหรือวัดพระหล่อ เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปทองคำครึ่งพระองค์ที่โผล่เพียงพระเกตุมาลาขึ้นมาจากพื้นดินประมาณ 1 ศอก โดยมีตำนานเล่าว่า เดิมบริเวณวัดเป็นที่เลี้ยงสัตว์ ในเช้าวันหนึ่งมีเด็กชายได้นำควายไปเลี้ยงที่ทุ่งนา หาที่ผูกเชือกควายไม่ได้ก็เลยนำไปผูกกับหลักที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน หลังจากกลับมาถึงบ้าน เด็กก็มีอาการเจ็บป่วยและตายลงในที่สุด และเมื่อไปดูควายที่ทุ่งนาก็เห็นควายนอนตายอยู่ ตอนกลางคืน พ่อของเด็กชายฝันเห็นถึงสาเหตุที่เด็กตาย เพราะได้นำเชือกไปผูกไว้กับพระเกตุมาลาของพระพุทธรูป จึงชักชวนชาวบ้านให้ช่วยกันขุดขึ้นมาบูชา แต่เกิดมหัศจรรย์ มีตัวต่อแตนขึ้นมากับดินที่ขุดเป็นจำนวนมาก อาละวาดไล่ต่อยผู้ที่มาขุด และไม่ทำร้ายคนที่ไม่ขุด เจ้าเมืองทราบเรื่องจึงให้สร้างหลังคาบังพระเกตุมาลาทองคำเอาไว้ หลายปีต่อมา มีชีปะขาวรูปหนึ่งมาพักที่เมืองถลาง ท่านกลัวจะมีคนตัดพระเกตุไปขาย จึงร่วมกับชาวบ้านช่วยกันเก็บเปลือกหอยมาเผาไฟทำปูนขาวปนกับทรายโบกปิดทับพระพุทธรูปเอาไว้

ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พม่าได้เข้ามาตีภาคใต้ของไทยและยึดเมืองถลางได้ ทหารพม่าพยายามขุดพระผุดเพื่อนำกลับพม่าแต่ไม่สำเร็จ เกิดสิ่งมหัศจรรย์มีมดคันตัวเล็กๆ ขึ้นมากับดินที่ขุดเป็นจำนวนมาก ทหารพม่าที่ถูกกัดก็เป็นไข้และล้มตายไปหลายร้อยคน พม่าที่เหลือจึงเอาไฟมาเผามด และได้พยายามขุดไปจนถึงพระศอ เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชก็ยกทัพมาตีเมืองคืนจากพม่าได้ หลังจากนั้น หลวงพ่อสิงห์เดินทางมาจากเมืองสุโขทัยมาปักกรดที่เมืองถลาง ได้ชักชวนชาวบ้านสร้างกุฏิวิหารและอุโบสถ หลวงพ่อพระผุดเป็นพระประธานในอุโบสถ แต่ได้ก่อสวมหลวงพ่อพระผุดเฉพาะหน้าเท่านั้นให้สูงกว่าเดิม เพื่อสะดวกแก่กิจกรรมสงฆ์

ที่มา วัดพระทอง

56
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.soonphra.com/geji/cham/index.html



   ภูเก็ตมีอะไรดี? ภูเก็ตก็มีพระคณาจารย์ดี คือหลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง พระคุณท่านเป็นผู้เปี่ยมล้นไปด้วยเมตตาธรรมอันสูงส่ง ทรงไว้ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ ใครมาเที่ยวเมืองภูเก็ตแล้วไม่ได้ไปสักการบูชาหลวงพ่อแช่ม ก็เหมือนกับไม่ได้ไปเยือนภูเก็ต เขาว่ากันอย่างนั้น  หลวงพ่อแช่ม (พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี) อดีตเจ้าอาวาสวัดฉลอง ภูเก็ต ถึงแม้พระคุณท่านจะได้มรณภาพไปนานแล้วก็ตาม ชื่อเสียงและเกียรติคุณของพระคุณท่านยังตรึงตราตรึงใจอยู่ในความทรงจำของชาวภูเก็ตและชาวไทยทั่วทุกภาค แม้แต่ประชาชนเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงยังให้ความเคารพเลื่อมใส ศรัทธายิ่ง ดุจดังเทพเจ้าผู้เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมอันสูงส่ง ทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์นานัปการเมื่อครั้งพระคุณท่านมีชีวิตอยู่มีผู้ศรัทธาและเลื่อมใสท่านมาก ถึงขนาดรุมกันปิดทองที่ตัวท่านจนแลดูเหลืองอร่ามไปทั้งร่าง เฉกเช่นเดียวกับปิดทองพระพุทธรูปบูชา นับเป็นความแปลกประหลาดมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง

ประวัติวัดฉลอง

"วัดฉลอง"เป็นวัดที่มีมาแต่ก่อนเก่า จึงไม่มีท่านผู้ใดทราบประวัติความเป็นมาได้ละเอียดนัก วัดฉลองนี้ตั้งอยู่บริเวณทุ่งนาและป่าละเมาะ

ทางด้านเหนือของเกาะภูเก็ต ห่างจากตัวเมืองประมาณ 7-8 กิโลเมตร ตามหลักฐานที่ปรากฎมีศาลาเก่าแก่อยู่หลังหนึ่งทางด้านทิศตะวันออก(ของวัดในปัจจุบันนี้) ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระปฎิมา จากสภาพขององค์ท่าน นับว่า...เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นมาช้านานแล้ว จนไม่อาจคำนวณอายุที่แน่นอนได้ชาวบ้านฉลองและคนทั่วไปเรียกท่านว่า "พ่อท่านเจ้าวัด" ด้านซ้ายขององค์ท่านมีรูปหล่อของชายชรานั่งถือตะบันหมาก ชาวบ้านเรียกว่า "ตาขี้เหล็ก" ส่วนด้านขวาของ "พ่อท่านเจ้าวัด" นั้น มีรูปหล่อเป็นยักษ์ถือกระบองแลดูน่ากลัว ชาวบ้านเรียกว่า "นนทรีย์" รูปหล่อทั้ง 3 องค์นี้ ท่านศักดิ์สิทธิ์นัก จนเป็นที่โจษขานกันมานานแล้ว

เจ้าอาวาสวัดฉลององค์แรกท่านเป็นพระเถระองค์ใดนั้น ในประวัติได้บันทึกเอาไว้ ก็เลยไม่ทราบนามท่านเท่าที่ทราบมี "พ่อท่านเฒ่า" ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดฉลององค์ก่อน "หลวงพ่อแช่ม" ท่านเป็นพระที่มีความเชี่ยวชาญทางวิปัสสนากรรมฐานเป็นที่เลื่องลือ เมื่อ"ท่านพ่อเฒ่า" ท่านได้มรณภาพด้วยโรคชราอาพาธ "หลวงพ่อแช่ม" ได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อจาก "พ่อท่านเฒ่า"

ต่อมา....ท่านได้รับพระราชทานเลื่อมสมศักดิ์ว่าที่เป็น "พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี" ตำแหน่งสังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ต และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ทรงเปลี่ยนชื่อ "วัดฉลอง" เสียใหม่เป็น "วัดไชยธาราราม" แต่ประชาชนโดยทั่วไปมักเรียกว่า "วัดฉลอง" เพราะเป็นชื่อที่คุ้นหูมาก่อน

ชาติกำเนิด-ประวัติย่อ

"หลวงพ่อแช่ม" วัดฉลอง ภูเก็ต ท่านเกิดที่ตำบลบ่อแสน อำเภอทับปุด จังหวัดพังงา เมื่อปีกุน พุทธศักราช 2370 ในรัชสมัยของ"พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว"(รัชกาลที่ 3) (นามโยมบิดา-มารดา) ไม่ปรากฏในประวัติแม้แต่ "หลวงพ่อช่วง" วัดท่าฉลอง ศิษย์เอกของท่านก็ไม่สามารถให้รายละเอียดได้)

หลวงพ่อแช่ม ชาตะ พ.ศ.2370 มรณภาพ พ.ศ.2451

พ่อแม่ส่งให้อยู่ ณ วัดฉลอง เป็นศิษย์ของพ่อท่านเฒ่าตั้งแต่เล็ก เมื่อมีอายุพอจะบวชได้ก็บวชเป็นสามเณร และ ต่อมาเมื่ออายุถึงที่จะบวชเป็นพระภิกษุก็บวชเป็นพระภิกษุจำพรรษาอยู่ ณ วัดฉลองนี้หลวงพ่อแช่มได้ศึกษาวิปัสนาธุระจากพ่อท่านเฒ่าจนเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญทางวิปัสนาธุระเป็นอย่างสูง ความมีชื่อเสียงของหลวงพ่อแช่มปรากฏชัดในคราวที่หลวงพ่อแช่มเป็นหัวหน้าปราบอั้งยี่ ซึ่งท่านจะได้ทราบต่อไปนี้

ปราบอั้งยี่

ในปีพุทธศักราช 2419 กรรมกรเหมืองแร่เป็นจำนวนหมื่น ในจังหวัดภูเก็ต และจังหวัดใกล้เคียงได้ซ่องสุมผู้คนก่อตั้งเป็นคณะขึ้นเรียกว่า อั้งยี่ โดยเฉพาะพวกอั้งยี่ในจังหวัดภูเก็ตก่อเหตุวุ่นวายถึงขนาดจะเข้ายึดการปกครองของจังหวัดเป็นของพวกตน ทางราชการในสมัยนั้นไม่อาจปราบให้สงบราบคาบได้ พวกอั้งยี่ถืออาวุธรุกไล่ ยิง ฟันชาวบ้านล้มตายลงเป็นจำนวนมากชาวบ้านไม่อาจต่อสู้ป้องกันตนเองและทรัพย์สิน ที่รอดชีวิตก็หนีเข้าป่าไป เฉพาะในตำบลฉลองชาวบ้านได้หลบหนีเข้าป่า เข้าวัด ทิ้งบ้านเรือนปล่อยให้พวกอั้งยี่เผาบ้านเรือนหมู่บ้านซึ่งพวกอั้งยี่เผา ได้ชื่อว่า บ้านไฟไหม้ จนกระทั่งบัดนี้

ชาวบ้านที่หลบหนีเข้ามาในวัดฉลอง เมื่อพวกอั้งยี่รุกไล่ใกล้วัดเข้ามา ต่างก็เข้าไปแจ้งให้หลวงพ่อแช่มทราบ และนิมนต์ให้หลวงพ่อแช่ม หลบหนีออกจากวัดฉลองไปด้วย หลวงพ่อแช่มไม่ยอมหนี ท่านว่า ท่านอยู่ที่วัดนี้ตั้งแต่เด็กจนบวชเป็นพระ และเป็นเจ้าวัดอยู่ขณะนี้ จะให้หนีทิ้งวัดไปได้อย่างไร

เมื่อหลวงพ่อแช่มไม่ยอมหนีทิ้งวัด ชาวบ้านต่างก็แจ้งหลวงพ่อแช่มว่า เมื่อท่านไม่หนีพวกเขาก็ไม่หนีจะขอสู้มันละ พ่อท่านมีอะไรเป็นเครื่องคุ้มกันตัวขอให้ทำให้ด้วย หลวงพ่อแช่มจึงทำผ้าประเจียดแจกโพกศีรษะคนละผืน เมื่อได้ของคุ้มกันคนไทยชาวบ้านฉลองก็ออกไปชักชวนคนอื่นๆ ที่หลบหนีไปอยู่ตามป่า กลับมารวมพวกกันอยู่ในวัด หาอาวุธ ปืน มีด เตรียมต่อสู้กับพวกอั้งยี่

พวกอั้งยี่ เที่ยวรุกไล่ฆ่าฟันชาวบ้าน ไม่มีใครต่อสู้ก็จะชะล่าใจ ประมาทรุกไล่ฆ่าชาวบ้านมาถึงวัดฉลอง ชาวบ้านซึ่งได้รับผ้าประเจียดจากหลวงพ่อแช่มโพกศีรษะไว้ก็ออกต่อต้านพวกอั้งยี่ พวกอั้งยี่ไม่สามารถทำร้ายชาวบ้านก็ถูกชาวบ้านไล่ฆ่าฟันแตกหนีไป ครั้งนี้เป็นชัยชนะครั้งแรกของไทยชาวบ้านฉลอง ข่าวชนะศึกครั้งแรกของชาวบ้านฉลอง รู้ถึงชาวบ้านที่หลบหนีไปอยู่ที่อื่น ต่างพากลับมายังวัดฉลอง รับอาสาว่า ถ้าพวกอั้งยี่มารบอีกก็จะต่อสู้ ขอให้หลวงพ่อแช่มจัดเครื่องคุ้มครองตัวให้ หลวงพ่อแช่มก็ทำผ้าประเจียดแจกจ่ายให้คนละผืน พร้อมกับแจ้งแก่ชาวบ้านว่า "ข้าเป็นพระสงฆ์จะรบราฆ่าฟันกับใครไม่ได้ พวกสูจะรบก็คิดอ่านกันเอาเอง ข้าจะทำเครื่องคุณพระให้ไว้สำหรับป้องกันตัวเท่านั้น" ชาวบ้านเอาผ้าประเจียดซึ่งหลวงพ่อแช่มทำให้โพกศีรษะเป็นเครื่องหมายบอกต่อต้านพวกอั้งยี่

พวกอั้งยี่ให้ฉายาคนไทยชาวบ้านฉลองว่า พวกหัวขาว ยกพวกมาโจมตีคนไทยชาวบ้านฉลองหลายครั้ง ชาวบ้านถือเอากำแพงพระอุโบสถเป็นแนวป้องกัน อั้งยี่ไม่สามารถตีฝ่าเข้ามาได้ ภายหลังจัดเป็นกองทัพเป็นจำนวนพัน ตั้งแม่ทัพ นายกอง มีธงรบ ม้าล่อ เป็นเครื่องประโคมขณะรบกัน ยกทัพเข้าล้อมรอบกำแพงพระอุโบสถ ยิงปืน พุ่งแหลน พุ่งอีโต้ เข้ามาที่กำแพง เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่บรรดาชาวบ้านซึ่งได้เครื่องคุ้มกันตัวจากหลวงพ่อแช่มต่างก็แคล้วคลาดไม่ถูกอาวุธของพวกอั้งยี่เลย

รบกันจนเที่ยงพวกอั้งยี่ยกธงขอพักรบ ถอยไปพักกันใต้ร่มไม้หุงหาอาหาร ต้มข้าวต้มกินกัน ใครมีฝิ่นก็เอาฝิ่นออกมาสูบ อิ่มหนำสำราญแล้วก็นอนพักผ่อนชาวบ้านแอบดูอยู่ในกำแพงโบสถ์ เห็นได้โอกาสในขณะที่พวกอั้งยี่เผลอก็ออกไปโจมตีบ้าง พวกอั้งยี่ไม่ทันรู้ตัวก็ล้มตายและแตกพ่ายไป

หัวหน้าอั้งยี่ประกาศให้สินบน ใครสามารถจับตัวหลวงพ่อแช่มวัดฉลองไปมอบตัวให้จะให้เงินถึง 5,000 เหรียญ เล่าลือกันทั่วไปในวงการอั้งยี่ว่า คนไทยชาวบ้านฉลองซึ่งได้รับผ้าประเจียดของหลวงพ่อแช่มโพกศีรษะ ล้วนแต่เป็นยักษ์มารคงทนต่ออาวุธ ไม่สามารถทำร้ายได้ ยกทัพมาตีกี่ครั้งๆ ก็ถูกตีโต้กลับไป ในทุกครั้ง จนต้องเจรจาขอหย่าศึกยอมแพ้แก่ชาวบ้านศิษย์หลวงพ่อแช่มโดยไม่มีเงื่อนไข

คณะกรรมการเมืองภูเก็ต ได้ทำรายงานกราบทูลไปยังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้คณะกรรมการเมืองนิมนต์หลวงพ่อแช่ม ให้เดินทางไปยังกรุงเทพมหานคร มีพระประสงค์ทรงปฏิสันฐานกับหลวงพ่อแช่มด้วยพระองค์เอง

หลวงพ่อแช่มและคณะเดินทางถึงกรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานสมฌศักดิ์หลวงพ่อแช่ม เป็นพระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญานมุนี ให้มีตำแหน่งเป็นสังฆปาโมกข์เมืองภูเก็ต อันเป็นตำแหน่งสุงสุดซึ่งบรรพชิตจักพึงมีในสมัยนั้น

ในโอกาสเดียวกัน ทรงพระราชทานนามวัดฉลองเป็นวัดไชยาธาราราม

บารมีหลวงพ่อแช่ม

จากคำบอกเล่าของคณะผู้ติดตามหลวงพ่อแช่มไปในครั้งนั้นแจ้งว่ามีพระสนมองค์หนึ่งในรัชกาลที่ 5 ป่วยเป็นอัมพาต หลวงพ่อแช่มได้ทำน้ำพระพุทธมนต์ให้รดตัวรักษา ปรากฏว่าอาการป่วยหายลงโดยเร็วสามารถลุกนั่งได้ อนึ่ง การเดินทางไปและกลับจากจังหวัดภูเก็ตกับกรุงเทพมหานคร ผ่านวัดๆ หนึ่งในจังหวัดชุมพร หลวงพ่อแช่มและคณะได้เข้าพักระหว่างทาง ณ ศาลาหน้าวัด เจ้าอาวาสวัดนั้น นิมนต์ให้หลวงพ่อแช่มเข้าไปพักในวัด แต่ หลวงพ่อเกรงใจและแจ้งว่าตั้งใจจะพักที่ศาลาหน้าวัดแล้วก็ขอพักที่เดิมเถิด เจ้าอาวาสและชาวบ้านในละแวกนั้นบอกว่า การพักที่ศาลาหน้าวัดอันตรายอาจเกิดพวกโจร จะมาลักเอาสิ่งของของหลวงพ่อแช่มและคณะไปหมด หลวงพ่อแช่มตอบว่าเมื่อมันเอาไปได้ มันก็คงเอามาคืนได้ เจ้าอาวาสวัดและชาวบ้านอ้อนวอน หลวงพ่อแช่มก็คงยืนยันขอพักที่เดิม

เล่าว่า ตกตอนดึกคืนนั้น โจรป่ารวม 6 คน เข้ามาล้อมศาลาไว้ ขณะคนอื่นๆ หลับหมดแล้ว คงเหลือแต่หลวงพ่อแช่มองค์เดียว พวกโจรเอื้อมเอาของไม่ถึง หลวงพ่อแช่มก็ช่วยผลักของให้ สิ่งของส่วนมากบรรจุปิ๊บใส่สาแหรก พวกโจรพอได้ของก็พากันขนเอาไป

รุ่งเช้าเจ้าอาวาสและชาวบ้านมาเยี่ยม ทราบเหตุที่เกิดขึ้นก็พากันไปตามกำนันนายบ้านมาเพื่อจะไปตามพวกโจร หลวงพ่อแช่มก็ห้ามมิให้ตามไป ต่อมาครู่หนึ่ง พวกโจรก็กลับมา แต่การกลับมาคราวนี้หัวหน้าโจรถูกหามกลับมาพร้อมกับสิ่งของซึ่งลักไปด้วย กำนันนายบ้านก็เข้าคุมตัว หัวหน้าโจรปวดท้องจุดเสียดร้องครางโอดโอย ทราบว่าระหว่างที่ขนของซึ่งพวกตนขโมยไปนั้น คล้ายมีเสียงบอกว่า ให้ส่งของกลับไปเสีย มิฉะนั้น จะเกิดอาเพศ พวกโจรไม่เชื่อขนของต่อไปอีก หัวหน้าโจรจึงเกิดมีอาการจุกเสียดขึ้นจนไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ เลยปรึกษากันตกลงขนสิ่งของกลับมาคืนหลวงพ่อแช่มสั่งสอนว่า ต่อไปขอให้เลิกเป็นโจรอาการปวดก็หาย กำนันนายบ้านจะจับพวกโจรส่งกรมการเมืองชุมพร แต่หลวงพ่อแช่มได้ขอร้องมิให้จับกุมขอให้ปล่อยตัวไป

ไม่เพียงแต่ชนชาวไทยในภูเก็ตเท่านั้นที่มีความเคารพเลื่อมใสในองค์หลวงพ่อแช่ม ชาวจังหวัดใกล้เคียงตลอดจนชาวจังหวัดต่างๆ ในมาเลเซีย เช่น ชาวจังหวัดปีนัง เป็นต้นต่างให้ความคารพนับถือในองค์หลวงพ่อแช่มเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะชาวพุทธในจังหวัดปีนัง ยกย่องหลวงพ่อแช่มเป็นเสมือนสังฆปาโมกข์เมืองปีนังด้วย

การปราบอั้งยี่ในครั้งนั้น เมื่อพวกอั้งยี่แพ้ศึกแล้วก็หันมาเลื่อมใสให้ความเคารพนับถือต่อหลวงพ่อแช่มเป็นอย่างมาก แม้แต่ผู้ซึ่งนับถือศาสนาอื่นก็มีความเคารพเลื่อมใสต่อหลวงพ่อแช่ม เกิดเหตุอาเพศต่างๆในครัวเรือนต่างก็บนบานหลวงพ่อแช่มให้ช่วยขจัดปัดเป่าให้

ชาวเรือพวกหนึ่งลงเรือพายออกไปหาปลาในทะเลถูกคลื่น และพายุกระหน่ำจนเรือจวนล่มต่างก็บนบานสิ่งศักดิ์ต่างๆ ให้คลื่นลมสงบ แต่คลื่นลมกลับรุนแรงขึ้น ชาวบ้านคนหนึ่งนึกถึงหลวงพ่อแช่มได้ ก็บนหลวงพ่อแช่มว่าขอให้หลวงพ่อแช่มบันดาลให้คลื่นลมสงบเถิด รอดตายกลับถึงบ้านจะติดทองที่ตัวหลวงพ่อแช่ม คลื่นลมก็สงบ มาถึงบ้านก็นำทองคำเปลวไปหาหลวงพ่อแช่ม เล่าให้หลวงพ่อแช่มทราบและขอปิดทองที่ตัวท่าน หลวงพ่อแช่มบอกว่าท่านยังมีชีวิตอยู่จะปิดทองยังไง ให้ไปปิดทองที่พระพุทธรูป ชาวบ้านกลุ่มนั้นก็บอกว่าถ้าหากหลวงพ่อไม่ให้ปิดหากแรงบนทำให้เกิดอาเพศอีก จะแก้อย่างไร ในที่สุดหลวงพ่อแช่มก็จำต้องยอมให้ชาวบ้านปิดทองที่ตัวท่านโดยให้ปิดที่แขนและเท้า ชาวบ้านอื่นๆ ก็บนตามอย่างด้วยเป็นอันมาก พอหลวงพ่อแช่มออกจากวัดไปทำธุระในเมือง ชาวบ้านต่างก็นำทองคำเปลวรอคอยปิดที่หน้าแขนของหลวงพ่อแทบทุกบ้านเรือน จนถือเป็นธรรมเนียม

เมื่อกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จมาจังหวัดภูเก็ตนิมนต์ให้หลวงพ่อแช่มไปหา ก็ยังทรงเห็นทองคำเปลวปิดอยู่ที่หน้าแข้งของหลวงพ่อแช่ม นับเป็นพระภิกษุองค์แรกของเมืองไทยที่ได้รับการปิดทองแก้บนทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่

แม้แต่ไม้เท้าของหลวงพ่อแช่ม ซึ่งท่านถือประจำกายก็มีความขลัง ประวัติความขลังของไม้เท้ามีดังนี้ เด็กหญิงรุ่นสาวคนหนึ่ง เป็นคนชอบพูดอะไรแผลงๆ ครั้งหนึ่งเด็กหญิงคนนั้นเกิดปวดท้องจุดเสียดอย่างแรง กินยาอะไรก็ไม่ทุเลา จึงบนหลวงพ่อแช่มว่า ขอให้อาการปวดท้องหายเถิด ถ้าหายแล้วจะนำทองไปปิดที่ของลับของหลวงพ่อแช่ม อาการปวดท้องก็หายไป เด็กหญิงคนนั้นเมื่อหายแล้วก็ไม่สนใจ ถือว่าพูดเล่นสนุกๆ ต่อมาอาการปวดท้องเกิดขึ้นมาอีก พ่อแม่สงสัยจะถูกแรงสินบนจึงปลอบถามเด็ก เด็กก็เล่าให้พ่อแม่ฟัง พ่อแม่จึงนำเด็กไปหาหลวงพ่อแช่มหลวงพ่อแช่มกล่าวว่าลูกมึงบนสัปดนอย่างนี้ใครจะให้ปิดทองอย่างนั้นได้

พ่อแม่เด็กต่างก็อ้อนวอนกลัวลูกจะตายเพราะไม่ได้แก้บน ในที่สุดหลวงพ่อแช่มคิดแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้โดยเอาไม้เท้านั่งทับสอดเข้าให้เด็กหญิงคนนั้นปิดทองที่ปลายไม้เท้า กลับบ้านอาการปวดท้องจุดเสียดก็หายไป ไม้เท้านั่งทับของหลวงพ่อแช่มอันนี้ยังคงมีอยู่ และใช้เป็นไม้สำหรับจี้เด็กๆ ที่เป็นไส้เลื่อน เป็นฝีเป็นปาน อาการเหล่านั้นก็หายไปหรือชงักการลุกลามต่อไป เป็นที่น่าประหลาด

หลวงพ่อแช่มมรณภาพในปี พ.ศ.2451

เมื่อมรณภาพ บรรดาศิษย์ได้ตรวจหาทรัพย์สินของหลวงพ่อแช่มปรากฏว่าหลวงพ่อแช่มมีเงินเหลือเพียง 50 เหรียญเท่านั้น ความทราบถึงบรรดาชาวบ้านปีนังและจังหวัดอื่นในมาเลเซีย ต่างก็นำเงิน เอาเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น มีข้าวสาร มีคนมาช่วยเหลือหลายเรือสำเภา งานศพของหลวงพ่อแช่มจัดได้ใหญ่โตมโหฬารที่สุดในจังหวัดภูเก็ต หรืออาจจะกล่าวได้ว่ามโหฬารที่สุดในภาคใต้ บารมีของหลวงพ่อแช่มก็มีมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้

57
พระอาจารย์หรีด วัดปาโมกข์ หรือ หลวงพ่อหรีด เป็นที่เคารพของลูกศิษย์กันมาก พระเครื่องและวัตถุมงคลที่ท่านสร้างขึ้นแล้วท่านประกอบพิธีล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์ให้พบเห็นกันบ่อยๆ

     หลวงพ่อหรีด วัดป่าโมกข์ ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เข้มขลังมากในจังหวัดพังงาและใกล้เคียง หลวงพ่อหรีดท่านเป็นคนตะกั่วป่า ท่านศึกษาวิทยาคมจาก หลวงพ่อนวล วัดไสหร้า สายหลวงพ่อแดง วัดเขาหลัก  หลวงพ่อท่านมักได้รับนิมนต์ไปพุทธาภิเษกจตุคามรามเทพ และพระเครื่องดังๆอยู่บ่อยๆ เพราะท่านเต็มไปด้วยเมตตาและพลังจิตที่แก่กล้า จนท่าน ดร.ไมตรี บุญสูง เสาหลักแห่งวงการพระเครื่องไทยให้ความเคารพบูชาเป็นอาจารย์ใหญ่ต่อจากหลวงพ่อเปิ่นทีเดียว โดยคุณไมตรีมักจะสร้างพระถวายอยู่บ่อยๆเพื่อให้ท่านแจกและให้บูชาเพื่อร่วมสร้างพระอุโบสถ หลวงพ่อหรีดวัดป่าโมกข์ท่านยังเป็นพระเกจิที่คุณชินพร สุขสถิตย์ ศิษย์เอกแห่งหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่นิมนต์ไปปลุกเสกพระเครื่องที่กองทุนให้อยู่บ่อยๆ จนเป็นที่ยอมรับกันว่าพลังจิตของ หลวงพ่อหรีดเป็นเอกอุและเข้มขลังมากนัก แม้แต่พระเกจิดังๆท่านอื่นๆยังต้องให้ความเคารพนับถือ หลวงพ่อหรีดท่านปลุกเสกเหรียญรุ่นแรกนี้ให้กับ คุณไมตรี บุญสูง ซึ้งตอนนั้นท่านได้สร้างมาถวายให้หลวงพ่อเพื่อจัดหาทุนสร้างวัด บันไดโบสถ์ หลวงพ่อได้กำหนดฤกษ์ยามปลุกเสก โดยนิมนต์พระเกจิมาอีกก็คือ หลวงพ่อนวล วัดไสหร้า หลวงปู่อ่อน วัดลุมพินี (มรณภาพแล้ว ท่านเคยเพ่งพระจนสายสิญจน์ขาดไหม้ด้วยแรงกสิณท่านครับ) หลวงพ่อพริ้ง วัดหลักแก่น (เป็นที่เคารพของเหล่าลูกทัพเรือในละแวกนั้น พระท่านดีทางเหนียว น้ำมนต์ท่านสุดยอดครับ ใครเจ็บไข้ได้ป่วยมาขอหายหมดครับ) หลวงพ่อท่านปลุกเสก โดยมีการบันทึกภาพไว้ ปรากฏว่ากล้องถ่ายไม่ติดครับ ถามที่วัดดูได้ หลังพิธีจึงมีการลองยิง ปรากฏว่า กระสุนด้านไป3-4นัดครับ แรกๆท่านยังไม่มีชื่อเสียงเหรียญนี้จึงแถมๆกันไป ต่อมามีข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งลงข่าวว่า เด็กวัยรุ่นที่พังงาตีกัน แล้วโดนยิงไม่เข้าจึงโด่งดังและราคาแพงขึ้นมาครับ ต่อมามีประสบการณ์คนในตลาดโดนปล้น แต่มีดฟันไม่เข้าบ้าง รอดจากรถตกเหวที่ป่าตองบ้างครับ จนดังมา กลายเป็นเหรียญที่ทุกคนต่างเก็บเงียบครับ หลังจากที่คุณไมตรีได้สิ้นบุญลง หลวงพ่อหรีดท่านจึงไม่ค่อยสร้างวัตถุมงคลใดๆครับ นอกจากที่ท่านไปนั่งปรกให้เท่านั้น

ประวัติ พระอาจารย์หรีด วัดปาโมกข์ หรือ หลวงพ่อหรีด

พระครูบุญญาภินันท์ หรือพระอาจารย์หรีด ซึ่งเป็นบุตรของ นายอนันต์ ณ นคร กับ นาง สุรีย์ ณ นคร ท่านเกิดเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2503 ณ บ้าน อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เมื่อตอนยังวัยเยาว์ ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดคีรีเขต อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เมื่ออายุครบ 20 ปี ได้อุปสมบทเมื่อ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2524 ณ วัดศรีนิคม อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา โดยพระครูพิริยพงษ์พิทักษ์ เจ้าคณะอำเภอกะปง เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูโสภณวิริยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดปาโมกข์ เป็นพระกรรมวาจารย์ พระครูอินทรคุณูปถัมป์ วัดอินทภูมิ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ต่อมา"พระอาจารย์หรีด"ได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมจนได้นักธรรมเอกแล้ว ได้เดินทางไปศึกษาด้านสมถวิปัสสนากัมมัฏฐาน ที่ วิเวกอาศรม ในสำนักวัดมหาธาตุฯ กรุงเทพมหานคร โดยมีพระอาสภมหาเถระ เจ้าคุณพระพิมลธรรม พระเทพสิทธิมุนี (โชดก) เป็นพระอาจารย์ด้านวิปัสสนากัมมัฏฐาน

หลังจากนั้นได้ธุดงค์วัตรไปอยู่ตามภูเขาเลาเนาไพรทางภาคเหนือ แถบอำเภอจอมทอง อำเภอ ฝาง จำพรรษากับพระอาจารย์บุญช่วย ประมาณ 7 ปี ได้ไปศึกษาเล่าเรียนและเจริญสมาธิภาวนากับ ครูบาธรรมจักรสังวร วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน เป็นต้น

ต่อมาพระอาจารย์หรีดได้เดินทางกลับภาคใต้ ไปเล่าเรียนวิชากับ พ่อท่านคลิ้ง จันทสิริ วัดถลุงทอง พ่อท่านมุ่ย วัดป่าระกำเหนือ จ.นครศรีธรรมราช ตลอดจนครูบาอาจารย์สายเขาอ้อ ทั้งบรรพชิตและฆราวาส

จากนั้น พระอาจารย์หรีด ได้จำพรรษาอยู่ที่ วัดปาโมกข์ กับพระครูโสภณวิริยาภรณ์ เจ้าอาวาส และเมื่อเจ้าอาวาส มรณภาพลง พระอาจารย์หรีด ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสในลำดับต่อมา ได้ใช้วิชาความรู้สร้างและพัฒนาวัดปาโมกข์ ให้เจริญรุ่งเรืองตลอดมาจนถึงปัจจุบัน จนได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรที่ ?พระครูบุญญาภินันท์?



ประวัติวัดปาโมกข์
วัดปาโมกข์ เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยใดนั้น ก็ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดนัก จากการสันนิษฐานมีอายุโดยประมาณมากกว่า 100 ปี ซึ่งในตอนระยะแรกๆ ก็คงมีพระธุดงค์มาแสวงหาความสงบ ปักกลดพักใกล้หมู่บ้าน ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ราบ มีคลองสองสายมาบรรจบกัน คือ คลองกะปงกับคลองพู่ ทั้งสองสายไหลไปสู่อำเภอตะกั่วป่า จึงเกิดเป็นปากคลองขึ้น คือ ปากคลองพู่ เป็นที่ตั้งบ้านปากพู่ และเมื่อชาวบ้านนิมนต์พระอยู่ประจำจึงได้ร่วมกันก่อสร้างที่พักสงฆ์ขึ้น เมื่อพ.ศ. 2470 และได้ขึ้นทะเบียนเป็นวัดประเภทสำนักสงฆ์ เมื่อ พ.ศ.2498 วัดนี้มีที่ดินทั้งหมด 50 ไร่ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา พ.ศ. 2513 และในปัจจุบันมี พระครูบุญญาภินันท์ หรือพระอาจารย์หรีด เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งท่านก็ได้พัฒนาวัดปาโมกข์ ให้เจริญรุ่งเรืองตลอดมาจนถึงปัจจุบัน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บ บล็อกพระไทย

60


ขอบคุณข้อจาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=315324

สวัสดีครับ...บันทึกน้อยของผมตอนนี้เป็นเรื่องของพระเกจิอาจารย์ ที่สำคัญอีกองค์หนึ่งของจังหวัดชลบุรี ท่านเป็น?พระสุปฏิปันโนผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ..? คนในเมืองชลนับถือท่านมาก ท่านคือ?อดีตเจ้าอาวาสวัดเขาน้อยคีรีวัน? ตำบลคลองกิ่ว อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรีครับ

ชื่อของท่านคนเมืองชลเรียกกันโดยทั่วไปว่า ?หลวงปู่โทน กนตสีโล....?จะว่าไปแล้วท่านนับว่าเป็นพระแท้ของชาวบ้านจริงๆ คือมีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่ายสมถะและไม่ยินดีกับลาภยศสรรเสริญใดๆครับ...

หลวงปู่โทนท่านเป็นพระที่เป็นที่พึ่งของชาวบ้านตามแบบที่เราเรียกกันว่า...?สมภารวัดบ้านนอก?..

กล่าวคือผู้ที่เป็นสมภารจะต้องรับเรื่องทุกข์ร้อนได้ทุกเรื่องที่ชาวบ้านเข้ามาขอความเมตตาจากท่านช่วยสงเคราะห์ การสวดมนต์ การประกอบพิธีกรรม การอบรมสั่งสอนแสดงธรรม การนั่งปรกปลุกเสกหรืออธิษฐานจิตวัตถุมงคล ฯลฯ

ซึ่งท่านสามารถทำได้อย่างดีเยี่ยมไม่มีที่ติ จนสามารถนำพาศรัทธาของชาวบ้านและผู้ที่เคารพเลื่อมใสในตัวท่าน ร่วมบุญ ร่วมกุศล ช่วยกันสร้างศาสนสถาน ถาวรวัตถุต่างๆ ภายในวัดเขาน้อยคีรีวัน ดังเป็นที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน...

 หลวงปู่โทน กนฺตสีโล เกิดเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๖๖ ตรงกับวันจันทร์ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีกุน เบญจศก จุลศักราช ๑๒๘๕ ตรงกับ ร.ศ.๑๔๒ ที่ ต.วัดหลวง อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี โยมบิดาชื่อนายกิ่ม โยมมารดาชื่อนางแดง นามสกุล เหลืองอ่อน

โยมของท่านทั้งสองดำเนินอาชีพทางกสิกรรม  เมื่อตอนเยาว์วัยมีอายุเข้าเกณฑ์เรียนหนังสือ ท่านได้เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดเนินสังข์ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำหมู่บ้าน จนกระทั่งจบชั้นประถมปีที่ ๔ อันเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียน..

หลวงปู่โทน เข้าอุปสมบทเมื่ออายุได้ ๓๐ ปี ในวันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๙๕ ณ วัดเนินสังข์สฤษฏาราม ต.ไร่หลักทอง อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี โดยมี?พระครูพิสิฏฐ์ศาสนคุณ? (หลวงพ่อทองหยิบ) เจ้าอาวาสวัดโบสถ์ อ.พนัสนิคม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการเอี่ยม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระป้อม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ทั้งสองรูปนี้อยู่ที่วัดไร่หลักทอง ท่านได้รับฉายาว่า ?กนฺตสีโล? ซึ่งแปลว่า ?ผู้มีศีลเป็นที่น่ายินดี?.?

ในส่วนของเรื่อง?จิตตานุภาพ?นั้น หลวงปู่โทน ท่านได้ชื่อว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้ทรงซึ่งวิทยาคุณอีกองค์หนึ่ง รูปธรรมที่เราเห็นชัดเจนคือภาพของท่านที่เข้าร่วมงานพุทธาภิเษกวัตถุมงคลตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ทั้งงานราษฏร์ งานหลวง โดยเฉพาะในเขตจังหวัดชลบุรีจะขาดท่านเสียมิได้เลย..

นอกเหนือไปจากวิชาอาคมด้านการปลุกเสกแล้ว ?ศาสตร์ด้านอื่นที่เกี่ยวข้องกับการใช้คาถาและจิต? ท่านก็ยังคงเป็นผู้เชี่ยวชาญทางนี้โดยเฉพาะทางแพทย์แผนโบราณคือ ?การเสกน้ำมันมนต์ประสานกระดูก?..ที่ขึ้นชื่อมาก

ตลอดจนถึงการศึกษาทางไสยเวทเอาไว้ป้องกันคุณไสยซึ่งในสมัยก่อนมีกันมากไม่ว่าจะเป็นยาสั่ง เสกของเข้าท้อง ไม่ว่าจะเป็นตะปู หนังควาย หรือเส้นผม ฯลฯ?

 สมัยก่อนการจะฆ่าคนนั้น ถ้าบุคคลนั้นมีวิชาทางคุณไสยเวทชนิดนี้แล้ว ไม่ต้องใช้อาวุธ มีด อาวุธปืนใดๆ เพียงแต่เสกยาสั่ง (สั่งตาย) เสกตะปู เสกหนังควายให้เข้าไปหาผู้ที่ต้องการให้เขาตาย แล้วเสกยาสั่งเพียงแต่สั่งให้ผู้นั้นไปกินอาหารหรือผลไม้ที่ผู้เสกๆสั่งเอาไว้ แล้วผู้นั่นไปกินของที่เขาสั่งไว้ ก็ตายได้เช่นกัน

 เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถที่จะพิสูจน์สอบสวนได้เลย เนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานให้เห็น ไม่รู้สาเหตุแห่งการตายหาฆาตกรไม่พบ นั่นคืออำนาจของวิชาคุณไสยหลวงปู่โทนได้ศึกษาวิชานี้ทั้ง?เรียนผูกและเรียนแก้..? ทั้งนี้วิชาที่ท่านเรียนมานี้ มิได้มุ่งหมายเอาไว้ทำร้ายใครเป็นเพียง...

?ศึกษาเอาไว้เพื่อป้องกันตนเองและคอยเอาไว้ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น...?

 การศึกษาวิชาคาถาอาคมนี้ หลวงปู่โทนได้รับการถ่ายทอดมาจากหลวงลุงของท่าน คือ?หลวงพ่อทับ วัดหัวถนน? อำเภอพนัสนิคม หลวงพ่อทับเป็นพระสงฆ์ที่แก่กล้าด้วยคาถาอาคม มีพลังจิตที่เข้มขลัง..นอกจากนี้หลวงปู่โทน กนฺตสีโล ยังได้ฝากตัวลงเป็นศิษย์กับ?พระครูพินิจสมาจารย์?หรือที่ชาวชลบุรีในอดีตรู้จักท่านดีในนามว่า ?หลวงพ่อโด่ วัดนามะตูม" อ.พนัสนิคม หลวงพ่อโด่รูปนี้เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง...โดยเฉพาะ?สีผึ้ง? ชาวเมืองชลเชื่อถือกันว่า ขมังในเรื่องเมตตา มหาเสน่ห์และค้าขาย เด็ดขาดนัก สำหรับเรื่อง?ชื่อชั้น...?ของหลวงพ่อโด่ แห่งวัดนามะตูม ถ้าจะพูดตามภาษาชาวบ้านต้องเรียกว่า ?หัวกระไดกุฎิไม่แห้ง....
?ครับศิลปะคือ?เครื่องขัดเกลาชีวิตและจิตใจ? ทำให้มนุษย์เข้าถึงธรรมชาติ.. สำหรับภิกษุสงฆ์แล้ว การออกเดินธุดงค์ คือ..?เครื่องขัดเกลาและฝึกฝนความแกร่งกล้าของจิต...?

 หลวงปู่โทนได้ออกเดินธุดงค์ไปทางภาคเหนือ เช่นเชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน เชียงราย และเข้าสู่ประเทศพม่าเพื่อไปกราบนมัสการพระเจดีย์ชะเวดากอง..

เมื่อออกจากพม่าท่านก็ได้เดินทางย้อนกลับเข้าสู่เมืองไทย บำเพ็ญเพียรตามป่าตามถ้ำ ได้ระยะหนึ่งจากนั้นท่านได้เดินธุดงค์เข้าประเทศลาว เขมร และกลับเข้าประเทศไทย ?นับรวมเวลาที่ท่านเดินธุดงค์ทั้งสิ้น ๓๒ ปี....?

หลังจากหยุดธุดงค์ในช่วงเวลาว่างท่านมักเดินทางไปสนทนาธรรมกับ?หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง..? เนื่องจากเป็นสหธรรมิกรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน เมื่อได้สนทนากันแล้ว หลวงปู่ทิมจึงแนะนำให้มาสร้างสำนักสงฆ์ขึ้นที่ ?เขาน้อย? ต.คลองกิ่ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี..

เขาน้อยแห่งนี้มีลักษณะภูมิประเทศเป็นเนินเขาสูงมีป่าไม้เบญจพันธุ์ลำต้นใหญ่ขึ้นอยู่มากมาย เป็นที่เงียบสงบ โดยหลวงปู่ทิมท่านเห็นว่าที่แห่งนี้น่าจะเป็นสถานที่เหมาะสมแก่การปฏิบัติธรรมและเจริญกรรมฐานเป็นอย่างมาก

ในสมัยที่หลวงปู่ทิมยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ให้การสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้กับหลวงปู่โทนเสมอมา หลายครั้งที่ท่านเดินทางไปหาหลวงปู่ทิม ท่านจะพักค้างคืนอยู่ที่วัดละหารไร่อยู่เป็นเดือนบ้างสองเดือนบ้าง จึงจะกลับวัดเขาน้อยคีรีวัน

หลวงปู่ทิมท่านจะแนะชีวิตการปลุกเสกพระเครื่อง เครื่องรางของขลังให้กับหลวงปู่โทน อีกทั้งยังมอบพระเครื่องรุ่นต่างๆของท่านให้กับหลวงปู่โทนนำกลับไปแจกแก่ผู้ร่วมทำบุญสร้างวัดเขาน้อยคีรีวันอยู่บ่อยครั้ง..

ถ้าจะถามต่อว่าบ่อยแค่ไหน คงต้องตอบว่าบ่อยซะจนหลวงปู่โทนเองท่านก็ยังจำไม่ได้ นับเป็นความกรุณาของหลวงปู่ทิมที่มีต่อวัดเขาน้อยคีรีวันเป็นอย่างมาก สำหรับในเรื่องของวิชาคาถาอาคมต่างๆที่หลวงปู่ทิมได้แนะนำอมรมสั่งสอนให้หลวงโทนนั้น หลวงปู่โทนเคยพูดกับผู้ใกล้ชิดว่า..

 ?เมื่อนำมาปฏิบัติตามก็ได้ผล อย่างที่หลวงปู่ทิมบอกไว้ทุกประการ..?

หลวงปู่โทน ท่านได้มาอยู่ที่เขาน้อยนี้เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๑๒ โดย ตอนแรกท่านได้อาศัยปักกลดนั่งสมาธิภาวนา ต่อมาชาวบ้านแถบนั้นเห็นจริยาวัตรศีลปฏิบัติของท่านจึงเกิดความศรัทธาเลื่อมใส ได้ช่วยกันสร้างกุฏิไม้หลังเล็กๆขึ้นหนึ่งหลัง ถวายท่านเพื่อใช้เป็นที่เจริญสมณธรรม
จากการสร้างศรัทธาชาวบ้านที่เริ่มจากกุฎิไม้หลังเดียว ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นจนทางคณะสงฆ์โดยมหาเถรสมาคมอนุญาตให้ตั้งเป็นวัดประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา และแถลงการณ์คณะสงฆ์ตั้งชื่อเป็นวัดว่า ?วัดเขาน้อยคีรีวัน?

ซึ่งถือว่าเป็นวัดโดยถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ มีเนื้อที่ครั้งแรกทั้งหมด ๘ ไร่ ขณะนี้กำลังก่อสร้างอุโบสถเพื่อประโยชน์ในการบำเพ็ญกุศล ทำสังฆกรรมอุปสมบทแก่กุลบุตรผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา?.

หลวงปู่โทน กนตสีโล ท่านได้?มรณภาพด้วยอาการอันสงบเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๑? ซึ่งการจากไปของท่านได้สร้างความเสียใจให้กับลูกศิษย์และผู้ที่เคารพศรัทธาในตัวท่านเป็นอย่างมาก อย่างไรก็แล้วแต่..

?ทุกสิ่งในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ทุกขณะจิตจึงควรกระทำแต่ความดี..?

ทุกวันนี้พระสงฆ์ของวัดเขาน้อยคีรีวันและกลุ่มลูกศิษย์ของหลวงปู่โทน ยังคงสืบสานเจตนาตามธรรมโอวาทของท่าน...

 ?พระข้างนอก พระข้างในมีให้ครบ

จะประสบโชคค่ามหาศาล

พระนอกดี แต่ข้างในใจดังมาร

พระไม่หาญ คุ้มครองปกป้องภัย....?

บันทึกน้อยของผมตอนนี้เขียนขึ้นเพื่อ?บูชาพระคุณของหลวงปู่โทน? ซึ่งส่วนตัวแล้วผมและเพื่อนๆร่วมอุดมคติได้เข้าไปกราบท่านเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น และทุกครั้งก็กินเวลาไม่นานมากเนื่องจากต้องให้เวลาหลวงปู่ท่านพักผ่อน...

 สิ้นหลวงปู่โทน เรื่องราวของคุณงามความดีและคาถาอาคมที่เคยเป็น?ลมหายใจอันมีชีวิตบทหนึ่งของพระเกจิสายชลบุรี...? จึงต้องปิดฉากลงไปอย่างน่าเสียดาย..

จะว่าไปแล้วในสังคมปัจจุบัน เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามี?อุดมการณ์และแนวความคิดใหม่..?จากสังคมภายนอกที่ได้แทรกแซงเข้าไปในวิถีความเป็นอยู่ของชุมชนในอดีต...

 นัยยะตามนั้นย่อมทำให้เกิด?การปรับตัวให้เข้ากับแนวทางใหม่..? ความเชื่อในเรื่องของ?วัตถุมงคล? จึงก้าวเข้ามาเป็น?ตัวประสาน?ระหว่างความคิดเดิมคือเรื่องของ?อำนาจที่เหนือจริง?ที่ชื่อว่า ?ไสยศาสตร์? กับ?อำนาจจริง?ที่เราสามารถจับต้องได้คือ ?วิทยาศาสตร์?..

และย่อมเป็นเรื่องที่แน่นอนครับว่า...การประสานกันระหว่างวิถีเดิมของชุมชนกับแนวทางใหม่ย่อมต้องเกิด?ความคิดเห็นที่แตกต่าง...? ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่ามนุษย์....

?ว่ากันว่าชีวิตมนุษย์จะต้องอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติอย่างสมดุล โดยที่มนุษย์ไม่ใช่นายเหนือธรรมชาติ...?

ปัจจุบันวัดเขาน้อยคีรีวัน ยังคงมี?วัตถุมงคลบางส่วน?ที่หลวงปู่โทนท่านได้ปลุกเสก ด้วย?อำนาจที่เหนือจริง? ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาตามธรรมชาติของ?ผู้คงอาคม?ที่กลุ่มผู้มีคตินิยมทางนี้เรียกว่า?พระเกจิอาจารย์? ..เจตนาในการจัดสร้างเพื่อเป็นที่ระลึกสำหรับญาติโยมที่เข้ามาร่วมทำบุญ ไว้บูชาเพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่ก้าวไกลไปจากความดี...ประสบการณ์คง?ไม่ต้องถาม?เพราะที่ผมเล่ามาก็พอจะ?ยืนยันความขลัง?ได้บ้างแล้ว รายได้จากการบูชานำไปก่อสร้างพระอุโบสถของวัดให้แล้วเสร็จ เพื่อพระสงฆ์จะได้ใช้ประกอบศาสนกิจและใช้เป็นสถานที่?สร้างคนให้มีคุณค่าของสังคม..?ถึงตอนนี้ผมและเพื่อนๆ ต่างพูดเข้าข้างตัวเองครับ..ว่า 

?วัตถุมงคลเครื่องรางของขลัง? เป็น ?การคิดค้นขึ้นภายใต้พื้นฐานของชีวิตมนุษย์..?

ซึ่งพื้นฐานตามนัยยะข้างต้นนี้เป็น?พื้นฐาน..?ที่มีส่วนช่วยให้คนในสังคมสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบและมีความสุขมาโดยตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้?

อย่างน้อยที่สุด?พื้นฐาน?อันนี้..มันก็ได้สร้างให้พวกผมดำรงไว้ซึ่ง ?คุณค่าของความเป็นมนุษย์..? ภายใต้สภาพของสังคมสมัยใหม่ที่ใครบางคนกำลังทำลายคุณค่าพื้นฐานของความเป็นมนุษย์อย่างในบ้านเมืองเราขณะนี้....สวัสดีครับ

ขอขอบพระคุณข้อมูลบางส่วนจาก?หนังสือชีวประวัติและภาพวัตถุมงคล? ที่รวบรวมขึ้นโดยคณะศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่โทน 
 

61
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=235139

ผมได้รับการแนะนำจากเพื่อนต่อ(มนุษย์ ล่องหน) ให้ไปกราบนมัสการท่านพระครูวิฑิตพัฒนาการ (จ้อย พุทธสโร) เจ้าอาวาสวัดหนองน้ำเขียว ต.คลองกิ่ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี นอกเหนือจากการการันตีเรื่องของการเป็นพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้ว ความเข้มแข็งในด้านวัตถุมงคลก็ไม่น้อยหน้าพระเกจิองค์อื่นๆ ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในจังหวัดชลบุรีและจังหวัดตามแนวทะเลภาคตะวันออก ทั้งงานราษฎร์ งานหลวง ต้องมีชื่อท่านอยู่ในรายชื่อพระที่ร่วมพิธีพุทธาภิเษกเสมอๆ  ดังนั้นเมื่อมีโอกาสว่างจากธุระผมและเพื่อนร่วมอุดมการณ์เดียวกันจึงไม่รีรอที่จะรีบไปกราบนมัสการท่านครับ
การเดินทางไปวัดหนองน้ำเขียวไม่ยากเท่าไหร่เพียงแต่ระยะทางค่อนข้างไกลพอสมควรครับ จากตัวจังหวัดชลบุรีมุ่งหน้าไปทางอำเภอบ้านบึง ก่อนเข้าตัวอำเภอบ้านบึงให้เลี้ยวขวาขึ้นสะพานลอย แล้วก็ตรงไปเรื่อยๆ จะถึงสี่แยก(แยกเอ็ม 16)  เลี้ยวขวาไปทางอำเภอบ้านค่ายประมาณ 10 กม.ให้สังเกตขวามือจะมีทางเข้าวัดเป็นถนนดินมีป้ายสุสาน(ฮวงซุ้ย)เต็มไปหมด เลี้ยวเข้าทางนั้นเลยครับ วิ่งกระดึ้ง กระดิ้ง ไปสักระยะหนึ่งจะขึ้นถนนพื้นซีเมนต์คราวนี้ก็วิ่งตรงยาวเลยครับไม่ต้องเลี้ยว ผ่านวัดเขาน้อยคีรีวัน(วัดหลวงปู่โทน) ซักระยะหนึ่งก็จะถึงวัดหนองน้ำเขียวครับ


*************
วัดหนองน้ำเขียว  เป็นวัดที่ร่มรื่น มีต้นไม้ปลูกอยู่เต็มวัด และมีลานแสดงธรรมอยู่บริเวณด้านหน้ากุฎิของท่านหลวงปู่จ้อย พระอุโบสถใหญ่โตและสวยงาม บริเวณประตูและหน้าต่างของพระอุโบสถติดเครื่องหมายสัญลักษณ์ของทหาร (ไม่รู้ว่าหน่วยงานไหน) หมู่กุฏิสงฆ์จะปลูกสร้างอยู่ด้านหลังกุฎิของหลวงปู่ นอกจากนี้ยังมีศาลาปฏิบัติธรรมขนาดไม่ใหญ่นักปลูกสร้างอยู่รอบๆวัดอีกหลายหลัง แต่มีอยู่สองหลังที่หน้าจั่วของศาลาติดพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมราชินีนาถครับ รอบๆวัดจะมีบ้านของชาวบ้านในท้องถิ่นปลูกสร้างกระจายๆ กันอยู่ และที่มีค่อนข้างมากคือ สุสานหรือฮวงซุ้ย นั้นแหละครับ (เยอะจริงๆ)
พวกเราไปถึงวัดได้สักพัก หลวงพี่ที่ค่อยดูแลหลวงปู่จ้อย ท่านก็มาเรียกพวกเราให้ขึ้นไปพบหลวงปู่จ้อย เมื่อขึ้นไปบนกุฎิหลวงปู่ท่านหันมาเห็นพวกเรา ท่านก็กวักมือเรียกให้เข้าไปหา แหม...แต่กว่าจะเข้าไปได้สิครับองครักษ์พิทักษ์หลวงปู่ต่างร้องเพลงแข่งกันระงมไปหมด  พวกเราบางคนที่ว่าแน่ๆยังต้องหดตัวซะลีบ(ฮ่า ฮ่า) โดยเฉพาะพี่ ?โชกุน? องครักษ์ประจำตัวหลวงปู่วิ่งวนซะจนพวกเรางง  ..... หลวงปู่ท่านกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ครับแต่ก็ยังมีเมตตาละจากสิ่งที่ท่านทำมาสนทนากับพวกเรา
**************

หลวงปู่จ้อย พุทธสโร ปัจจุบันอายุ 82 ปี ท่านเป็นพระรูปร่างเล็ก ผิวคล้ำนิดๆ แต่สดใส ค่อนข้างสำรวม มีเมตตา (สังเกตจากท่านจะห่มผ้าเรียบร้อยก่อนให้พวกเราก้มกราบ) มีแววตาที่กล้าแข็ง ดูมีพลัง พูดค่อนข้างน้อย สำเนียงออกเหน่อๆ  เรียกว่าถ้าญาติโยมไปเยี่ยมแล้วไม่ยอมชวนท่านคุย ผมรับรองว่าคงต้องนั่งมองหน้ากันอย่างเดียวละครับ จากการสนทนาในเรื่องประวัติของท่าน ทราบว่าท่านเป็นคนอำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทราหรือแปดริ้ว นั่นแหละครับ หลวงปู่บวชเรียนอยู่กับหลวงปู่เชิด วัดลาดบัวขาว อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา

***************
หลวงปู่เชิด วัดลาดบัวขาว อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา

 มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่าหลวงปู่เชิด ท่านเป็นพระมีวิชาแกร่งกล้า สามารถรักษาคนป่วยวิกลจริตได้ พลังจิตสูงสามารถหายตัวและแปลงกายเป็นเสือได้(จากคำบอกเล่าของชาวบ้านละแวกวัดลาดบัวขาว)สัญลักษณ์ประจำตัวท่านเป็นมีดครู(มีดอีโต้) ที่ท่านติดตัวไว้เสมอเพื่อเอาไว้ใช้ในเวลารักษาโรค หลวงปู่จ้อยได้ศึกษาเล่าเรียนมาจากหลวงปู่เชิดพอสมควรแล้วจึงได้ออกธุดงค์เพื่อฝึกจิตระหว่างที่ธุดงค์ท่านก็ได้พบครูบาอาจารย์ที่เก่งๆ อีกหลายท่าน นอกจากนี้ท่านยังได้ศึกษาเพิ่มเติมในตำราที่ได้รับตกทอดมาจากหลวงปู่เชิด แหละครับ หลวงปู่จ้อยท่านได้เดินธุดงค์จนมาถึงวัดหนองน้ำเขียวแห่งนี้ในราวปี 2490 ท่านจึงได้หยุดธุดงค์แล้วจำพรรษาในวัดแห่งนี้ตลอดมา


**************
วัตถุมงคลที่ทางวัดทำออกมา จะมีชาวบ้านแห่มาเช่าและหมดไปจากวัดอย่างรวดเร็ว เนื่องจากพระของท่านมีประสบการณ์ค่อนข้างสูงในพื้นที่  จุดสังเกตคือพระเครื่องหรือเครื่องรางที่ออกจากวัดหนองน้ำเขียวแห่งนี้จะมีสัญลักษณ์รูปเสือเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ  เนื่องจากหลวงปู่จ้อย ท่านเกิดปีขาลและสืบทอดวิชาจากหลวงปู่เชิด ที่เก่งในวิชาอาคม สามารถแปลงเป็นเสือได้  ส่งผลให้พระของท่านเกือบทุกรุ่นจะมีเอกลักษณ์คือรูปเสือปรากฏอยู่ ซึ่งจะทำให้เราสามารถสังเกตได้ง่ายตรงจุดนี้นั่นเอง และในเรื่องที่เกี่ยวกับการปลุกเสกวัตถุมงคลโดยเฉพาะการเสกเครื่องรางประเภทเสือ  หลวงปู่จ้อยได้อธิบายแนวคิดของท่านในเรื่องดังกล่าวกับพวกเราได้อย่างเฉียบคมครับ


***************

 ?เสือ เป็นเครื่องรางทางมหาอำนาจ สัตว์ตัวไหนเจอก็ต้องหลบทางให้ คนในสมัยโบราณจะเรียกโจรว่า ไอ้เสือ ไอ้เสือ  แต่เสือของอาตมาเป็นเสือใจดี เป็นเสือเมตตา เพราะอะไรโยมรู้ไหม (ไม่รู้ครับ / ผมตอบในใจ) เพราะ


เมตตาเป็นมหาอำนาจสูงสุด? (ยิ้ม)


?เวลาที่อาตมาปลุกเสก อาตมาเพียงแค่แผ่เมตตาตามที่ได้เรียนมาลงสู่วัตถุมงคล  แล้วก็สวด...เมตตายะ ภิกขะเว เจโตวิมุตติยา........? ซึ่งหลวงปู่ท่านได้ท่องให้เราฟังนิดหน่อยครับ (**เมื่อพวกเรามาเปิดดูหนังสือสวดมนต์ คือบท ?เมตตานิสังสะสุตตะปาโฐ? ครับ)

นอกเหนือจากการรับนิมนต์ไปร่วมพิธีพุทธาภิเษกแล้วในยามว่างจากกิจนิมนต์ หลวงปู่จ้อยท่านจะอบรมสั่งสอนพระและลูกศิษย์ในวัดตลอด เพื่อที่จะเป็นตัวแทนท่านในการบรรยายธรรมมะแก่ชาวบ้านครับ โดยหลวงปู่จ้อย ท่านได้เล่าความเป็นมาของการกระทำกิจกรรมดังนี้ครับ

?ทุกวันนี้ญาติโยมที่เข้ามาหาอาตมา ก็เพื่อจะมาหาวัตถุมงคล บางคนก็เข้ามาขอให้สอนธรรมมะ อาตมาว่าเอาไปกันมากๆ ท้องจะแตกตาย(หัวเราะ) เอาไปแต่ของ เอาไปแต่ธรรมมะ แต่ไม่เคยมีใครเอาไปปฏิบัติกันเลย?ครับ ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกเราละเลยและประมาทกันจริงๆ ไม่ต้องดูอื่นไกลเพราะตัวผมเองก็เป็นอย่างนั้นชอบวัตถุมงคล ชอบอ่านหรือฟังธรรมมะ แต่ก็ไม่ค่อยละเอียดในการรับรู้ ชอบบอกตัวเองว่าฟังยาก (แบบว่า งูๆ ปลาๆ นะครับ)


*********************

ดังนั้นรูปธรรมที่เห็นได้ชัดเจนสอดคล้องกับคำบอกเล่าของหลวงปู่จ้อย คือลานแสดงธรรมหน้ากุฏิหลวงปู่และศาลาปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน ที่ปลูกสร้างกระจายอยู่รอบๆวัดแหละครับ สำหรับเรื่องที่หลวงปู่จ้อย ท่านเน้นเสมอคือ การขัดเกลากิเลส

?กิเลส เป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวเราทุกคนแล้วแต่ใครจะมีมากมีน้อย การจะขัดเกลากิเลส จะต้องใช้จิตและสติ กิเลสอย่างหยาบ จะใช้ศีลเป็นตัวขัดเกลา อย่างปานกลาง ก็จะใช้สมาธิขัดเกลา อย่างละเอียดก็จะใช้ปัญญา ขัดเกลา .. เอาอย่างนี้ซิ พวกโยมลองนั่งนิ่งๆ ดูตัวเองก่อน?เจ้าเพื่อนตัวดีของผมดันสอดคานเข้ามาในขณะที่หมูกำลังจะหาม ?เอาแค่นั่งภาวนา พุทโธ พุทโธ ก็คงพอแล้วมังครับ? ...หลวงปู่จ้อยท่านหันมามองสบตาเป้ง.....เล่นเอาพวกเราสะดุ้ง(แทบละลาย)


 ?นี่แหละหนาคนเรา  ที่เขาเรียกว่านานาจิตตัง ฟังอยู่ตรงนี้คิดไปถึงตรงโน้น(ท่านทำหน้าตาขึงขัง) ที่อาตมาให้พวกโยมนั่งดูตัวเอง ยังไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องภาวนา ไม่ต้องดูไปไกล ก็เพราะ...ธรรมมะมันเกิดที่ตัวเรา.....ต้องดูที่ตัวเราเอง  นี่ นี่ นั่งหลับตาอย่างนี้ (หลวงปู่ทำท่านั่งให้ดูครับ)  อย่าลืมตา นั่งพิจารณาตัวเอง...ไม่ต้องไปพิจารณาคนอื่น..?

ระหว่างที่หลวงปู่จ้อยสนทนากับพวกเรา บังเอิญท่านเห็นเครื่อง MP.4 จึงได้ถามพวกเราว่ามันเรียกว่าอะไรแล้วทำอะไรได้บ้าง หลังจากได้เรียนให้ท่านได้ทราบถึงคุณสมบัติของเครื่องเล่น MP.4 ท่านได้พูดประโยคหนึ่ง น่าฟังมากครับ


*********************
 ?ปัญญาเกิดจากการคิดสิ่งประดิษฐ์เกิดจากความจำเป็น?

ผมว่าคำกล่าวนี้ ?คม? น่าดูทีเดียว ....
หลังจากสนทนากับหลวงปู่จ้อยพอสมควรแก่เวลา พวกเราก็ขอกราบลาท่านกลับ พอลงมาจากกุฏิระหว่างนั่งถ่ายรูปมีเด็กวัดสองคนขี่จักรยานเข้ามาหาพวกเรา และร้องขอให้พวกเราช่วยถ่ายรูปให้ด้วยเพราะคิดว่าพวกเราจะเอาไปออกรายการโทรทัศน์(ฮ่า...ฮ่า...) ต้องทำความเข้าใจกันพอสมควร ไม่งั้นจะไม่ยอมให้พวกเราออกจากวัด ดังนั้นพวกเราจึงถ่ายรูปให้โดยสัญญาว่าคราวหน้าจะเอารูปมาให้
ผมสังเกตเห็นว่ารถจักรยานทั้งสองคันนี้มีเชือกผูกติดกันอยู่(ตามรูป)จึงได้ถามเด็กวัดทั้งสองคนนี้ว่าผูกไว้ทำไม

 ********************

 ?หลวงปู่ผูกให้ครับ หลวงปู่บอกว่าเราไปไหนต้องไปด้วยกัน มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน?  .

....อ้าว.....แล้วไม่ล้มเหรอ?
?ไม่ล้มหรอกครับ หลวงปู่สอนว่าให้พวกเราขี่ประคองกันไป?
ผมมานั่งคิดดู เออ.......หรือนี่คือคำสอนที่หลวงปู่จ้อยท่านบอกพวกเราว่า

?มาเรียนรู้ธรรมมะแล้วต้องนำไปปฏิบัติด้วย?


อย่างเช่นกรณีของเด็กวัดทั้งสองคนนี้ ถึงไม่ใช่พี่น้องกันแต่อยู่วัดเดียวกัน หลวงปู่ท่านได้สอนพวกเขาถึงเรื่องของความสามัคคีและให้ปฏิบัติโดยการนำเชือกมาผูกติดเข้ากับรถจักรยานทั้งสองคัน จะได้ช่วยกันขี่ประคองกันไป ช่วยเหลือกันไป ไม่ทอดทิ้งกันจนกว่าจะถึงจุดหมาย (จุดหมายของเด็กวัดสองคนนี้ คือตลาดนัดข้างวัดครับ) ฮ่า..ฮ่า
ครับก็อย่างที่ท่านหลวงปู่จ้อย ท่านบอกไว้แหละครับทุกวันนี้คนเราวิ่งหาธรรมะ ร้องขอจากหลวงพ่อองค์นั้น หลวงปู่องค์นี้ ได้มามากๆเข้าก็จะเกิดอาการฟุ้งซ่าน(อย่างผมเป็นต้น) บางทีก็เกิดความสงสัย บางทีก็เกิดความลังเล ซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลดีกับตัวเองเลย สู้เรียนรู้ทีละน้อยๆแล้วนำเอาไปปฏิบัติ จนเกิดผล ความสงสัยหรือลังเลจะได้หมดไปน่าจะดีกว่า อ้อ......เกือบลืมไปอีกอย่างสำคัญมากครับเคล็ดลับวิธีใช้พระหรือเครื่องรางของหลวงปู่จ้อยครับ......

 ?เมตตาเป็นมหาอำนาจสูงสุด? ครับ

********************
ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะครับ
ขอขอบคุณทุกคำติชมครับ


 

64
ขอบคุณข้อมูลจากhttp://yooyen3.blogspot.com/2009/02/blog-post.html
: ประวัติเจ้าคุณนรฯ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต
ประวัติเจ้าคุณนรฯ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต
ชีวิตเมื่อวัยเด็กจนกระทั่งรับราชการ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ แห่งราชวงศ์จักรีกรุงรัตนโกสินทร์ของไทยสยาม ซึ่งเป็นกษัตริย์ไทยพระองค์หนึ่งของราชวงศ์จักรีที่มีบุญญาธิการแก่กล้า จนประชาชนชาวไทย ทั่วประเทศยกย่องพระองค์ท่านว่า "องค์พระปิยะมหาราช" ทรงเลิกทาสให้ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์อยู่ร่มเย็นเป็นสุขมาตราบเท่าทุกวันนี้ครั้นต่อมาเมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๐ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีระกา ซึ่งเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันมาฆะบูชา บุตรชายคนหัวปีของพระคุณนรนาฏภักดีนายอำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรีก็ได้คลอดมาจากครรภ์มารดาลืมตามองดูโลกอันโสภี ยังความโสมนัสให้แก่ผู้เป็นบิดามารดา และประดาญาติเป็นอย่างยิ่งท่านนายอำเภอบางปลาม้าได้ตั้งชื่อบุตรชายคนหัวปีของท่านว่า "ตรึก"เมื่อทารกผู้ได้นามว่า "ตรึก" นี้เจริญวัยขึ้น ในฐานะเด็กน้อยเรือนร่างแบบบางผิวพรรณละเอียดอ่อนเปล่งปลั่งเป็นน้ำเป็นนวล อันเป็นลักษณะที่บ่งบอกว่าเป็นผู้มีบุญวาสนาสูง เมื่อวัยถึงขั้นสมควรเล่าเรียนหนังสือก็ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนในพระนคร ต่อมาจึงเข้าเรียน ที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร ศึกษาอยู่ที่โรงเรียนนี้จนสอบได้ชั้นสูงสุดนาย "ตรึก" มีความปรารถนาที่จะเรียนเป็นนายแพทย์ต่อไป เพื่ออนาคตข้างหน้าจะได้ช่วยเพื่อนมนุษย์ทางเจ็บไข้ได้ป่วยแต่ท่านบิดาซึ่งเป็นนายอำเภอนักปกครองต้องการให้บุตรชายเป็นนักปกครองเจริญรอยตามบิดา นาย "ตรึก" เป็นเด็กว่านอนสอนง่ายและมีจิตใจสูงด้วยความเคารพต่อผู้มีอุปการคุณ จึงต้องทำตามความประสงค์ของบิดา นายตรึกจึงเข้าศึกษาต่อวิชารัฐศาสตร์ที่โรงเรียนกฏหมาย ซึ่งสมัยนี้ยังรวมอยู่กับจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย นายตรึกเป็นผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดสามารถเรียกสำเร็จรัฐศาสตร์เป็นรุ่นแรก ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับท่านเจ้าคุณสุนทรพิพิธ เมื่อนายตรึกได้เรียกสำเร็จรัฐศาสตร์แล้วก็หาได้ไปเป็นนายอำเภอและเจ้าเมืองสังกัดกระทรวงมหาดไทย ตามเจตนารมณ์ของท่านบิดา เพราะในระหว่างศึกษาวิชารัฐศาสตร์อยู่นั้น เป็นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ได้มีงานเลี้ยงเป็นพิธีในพระบรมมหาราชวัง เป็นงานใหญ่ที่จำนวนมหาดเล็กเด็กชายมีไม่พอ สำหรับตำแหน่งพนักงานเดินโต๊ะและรับใช้อื่นๆ นักเรียนรัฐศาสตร์ที่มีหน้าตาและหน่วยก้านดีจึงถูกเกณฑ์ไปช่วยในหน้าที่ดังกล่าว นักเรียนรัฐศาสตร์ที่ถูกเกณฑ์ไปในครั้งนี้ก็ได้มีนายตรึกรวมอยู่ด้วยผู้หนึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ได้ทอดพระเนตรเห็นรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณและหน่วยก้านของหนุ่มน้อยตรึกเข้าก็ทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทรงรับสั่งให้เข้าเฝ้า แล้วทรงไต่ถามถึงเหล่ากองพงศ์พันธุ์เมื่อพระองค์ทราบจะแจ้งดีแล้วก็ดำรัสว่า"เมื่อเรียนจบแล้วมาอยู่กับข้าโดยเหตุนี้เองเมื่อหนุ่มตรึกเรียนสำเร็จรัฐศาสตร์แล้วแทนที่จะได้เป็นข้าราชการกระทรวงมหาดไทยตามวิชาที่เรียนสำเร็จ และเป็นไป ความประสงค์ของบิดาผู้เป็นนักปกครอง กับไพล่ไปเป็นข้าราชสำนักสังกัดกระทรวงวัง ในตำแหน่งหน้าที่มหาดเล็กรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ก็ทรงโปรดปรานเป็นอย่างมาก และพระราชทานนามสกุลให้ว่า "จินตยานนท์"หนุ่มตรึกรับราชการอยู่ใต้เบื้องยุคบาทเพียงไม่ทันถึงปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ก็พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น "หลวงศักดิ์นายเวร" ต่อมาไม่ช้ามินานก็ได้เลื่อนขึ้นเป็น "เจ้าหมื่นศรีสรรเพชร"พออายุ ๒๕ปี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงโปรดเกล้าฯ เลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็น พระยาพานทอง ราชทินนามว่า "นรรัตนราชมานิต" ซึ่งเป็นพระยาหนุ่มที่สุดในสมัยนั้นพร้อมกับที่พระราชทานบรรดาศักดิ์ชั้นพระยาพานทองให้นี้ได้พระราชทานที่ดิน เพื่อให้ปลูกบ้านอยู่อาศัยแทนเช่าอยู่ ที่ดินที่พระราชทานให้นั้นมีจำนวนถึง ๔ ไร่ อยู่ตรงเชิงสะพานราชเทวี ตรงที่มีซอยชื่อ "ซอยนรรัตน" ปัจจุบันนี้ในการพระราชทานที่ดินให้นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ได้พระราชทานให้พร้อมกันถึง ๔ คน อีก ๓ คนคือท่านเจ้าพระยารามราฆพ พระยาอนิรุธเทวา และอีกท่านหนึ่งข้าพเจ้าต้องขออภัยที่ค้นคว้าหาชื่อไม่ได้ พระยานรรัตนราชมานิต ได้รับตำแหน่งเป็นต้นห้องพระบรรทมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ หน้าที่ของท่านคืออยู่รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ในที่รโหฐานและเป็นผู้บังคับบัญชามหาดเล็กห้องพระบรรทมคนอื่นๆ ซึ่งมีอยู่หลายคนด้วยกันขณะที่รับราชการอยู่ใต้ เบื้องยุคลบาท ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ พระยานรรัตน์ราชมานิต ก็มิได้ปล่อยเวลาว่างจากรับหน้าที่ราชการค้นคว้าศึกษาวิชาต่างๆ อยู่เสมอ เช่นวิชาลักธิโยคี ทางดูลายมือและรูปร่างลักษณะบุคคล สั่งตำราจากอังกฤษ, อเมริกา มาค้นคว้าจนมีความชำนิชำนาญทางด้านดูลายมือและรูปลักษณะบุคคลและศึกษาภาษาฝรั่งเศส จากมองซิเออ.เอ.เค. จนกระทั่งแตกฉาน สามารถแปลตำราภาษาฝรั่งเศสได้อย่างแคล่วคล่อง ส่วนทางด้านภาษาอังกฤษนั้น พระยานรรัตนท่านมีความชำนิชำนาญเป็นพิเศษอยู่แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ จึงทรงโปรดปรานมาก และทรงชุบเลี้ยงเป็นอย่างดี พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์เอาเป็นธุระเรียกสถาปนิกฝีมือเยี่ยมจากอิตาเลียนผู้หนึ่งมาออกแบบ เพื่อทรงสร้างที่อยู่ให้แก่พระยานรรัตนซึ่งปล่อยที่ดินที่พระราชทานให้รกร้างหญ้าพงขึ้นเต็มที่ดิน มิเหมือนกับพระยาคนอื่นๆ พอได้รับพระราชทานที่ดินก็เริ่มก่อสร้างที่พักเสียจนหรูเพื่อประดับเกียรติ อย่างเช่นท่านพระยารามราฆพก็ได้สร้างคฤหาส์นอันโอ่อ่าด้วยหินอ่อนอิตาเลียน แล้วตั้งชื่อคฤหาส์นหลังนั้นว่า "บ้านนรสิงห์" (ปัจจุบันเป็นทำเนียบของรัฐบาล) พระยาอนิรุธเทวาก็ได้สร้างขึ้นอย่างโอฬารเหมือนกัน แล้วตั้งชื่อว่า "บ้านบรรทมสินธุ์" (ปัจจุบันเป็นบ้านสำหรับรองรับแขกเมืองของรัฐบาล) อีกท่านหนึ่งก็ได้สร้างขึ้นอย่างโอ่อ่าอีกหลังหนึ่งและให้ชื่อว่า "บ้านมนังคศิลา" มีแต่พระยานรรัตน์ฯ ผู้เดียวเท่านั้นที่มิได้ยินดียินร้ายต่อที่ดินที่พระองค์ท่านพระราชทานให้เลย พระองค์ท่านจึงยื่นพระหัตถ์เอาเป็นธุระ แต่พระยานรรัตนนฯ กลับปฏิเสธในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ โดยสิ้นเชิง ถึงแม้แต่พระองค์จะทรงกริ้วก็สุดแล้วแต่พระกรุณา จึงได้กราบบังคมทูลขอให้ยับยั้งพระราชประสงค์ หากทรงสร้างคฤหาสน์ขึ้นบนที่ดินที่พระองค์ทรงพระราชทานให้ แม้จะเอาตัวท่านไปประหารชีวิต ท่านก็จะทูลเกล้าฯ ถวายคืนทั้งคฤหาสน์และที่ดินที่พระองค์ทรงพระราชทานให้ล้นเกล้าฯ จึงต้องตามใจพระยานรรัตนฯพระยานรรัตนราชมานิตได้รับใช้ใต้เบื้องยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ด้วยความจงรักภักดีเรื่อยมาจนกระทั่งล้นเกล้าฯ เสด็จสวรรคตลงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ก็ขึ้นเถลิงราชสมบัติสืบต่อมา ก็มีพระราชประสงค์อยากจะได้ตัวพระยานรรัตนมานิตไว้ในราชการ จึงรับสั่งให้เจ้าคุณไพชยนเทพ (ทองเจือ ทองใหญ่) ไปติดต่อเพื่อขอชุบเลี้ยงเยี่ยงรัชกาลที่ ๖ แต่พระยานรรัตนราชมานิตผู้ยึดมั่นในคติที่ว่า "ข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย" นั้นไม่ดีแน่ จึงได้กราบบังคมทูลแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ไปว่า" ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ได้ทรงชุบเลี้ยงอย่างใดก็เท่ากับเอาทองคำไปลงยาฝังเพชรเท่านั้น"ถึงแม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ จะทรงให้ใครมาติดต่อกับพระยานรรัตนฯ หลายครั้งหลายหน แต่พระยานรรัตนก็มิได้ตอบตกลงสักครั้งเดียว จนกระทั่งถึงวันถวายพระเพลิงพระมหาธีรราชเจ้ารัชกาลที่ ๖ เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ พระยาท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตจึงได้สละทรัพย์สมบัติมอบที่ดิน ๔ ไร่ และทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดแก่วัดเทพศิริทราวาส ซึ่งเป็นวัดที่ท่านพระยานรรัตนฯ อุปสมบทแต่นั้นเป็นต้นมา เพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ผู้ทรงชุบเลี้ยงตนมาเป็นอย่างดีซึ่งยากจะหาบุคคลเยี่ยงพระยานรรัตนราชมานิตนี้อีกไม่ได้แล้วในยุคปัจจุบันนี้ส่วนในด้านความรักนั้นเล่า พระยานรรัตนราชมานิตก็มิได้ผิดแปลกแตกต่างไปกว่าหนุ่มรุ่นเดียวกันไม่ พระยานรรัตนราชมานิตก็ได้มีสาวคนรักไว้ปลุกปลอบใจด้วยเหมือนกัน และก็ได้ทำพิธิหมั้นากันเรียบร้อยแล้วเสียด้วย แต่เนื่องด้วยพระมหากรุณาธิคุณของล้นเกล้าฯรัชกาลที่ ๖ นั้นมากล้นเหลือคณา พระยานรรัตนราชมานิตสละได้เช่นกันสาวคู่หมั้นของพระยานรรัตนราชมานิตผู้มีนามว่า ชุบ เมนะเศวต ปัจจุบันรับอาชีพเป็นแม่พิมพ์ของชาติอยู่ที่โรงเรียนราษฎร์แถวสามย่าน พระนคร นี้เองและก็ได้มาฟังสวดพระอภิธรรมศพท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตอยู่เสมอ ซึ่งยังคงครอบเพศพรหมจรรย์ตลอดมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ เพราะเธอได้ยึดมั่นในอุดมคติที่ว่า "รักเดียวใจเดียว" ซึ่งก็ยากจะหาหญิงใดมาเปรียบเทียบเสมอได้เช่นกันส่วนในด้านการปฏิบัติงานของพระยานรรัตนราชมานิต ข้าพเจ้าได้รับการบอกเล่าจากพระภิกษุ กมฺพโล วัย ๗๘ แห่งวัดมหาชยราม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ผู้ได้เคยรับราชการใต้เบื้องยุคลบาทของมหาธีราชเจ้ารัชกาลที่ ๖ พร้อมกับพระยานรรัตนราชมานิตมาแล้วได้บอกกับข้าพเจ้าว่า พระยานรรัตน-ราชมานิตเป็นผู้ที่เคร่งครัดต่อหน้าที่การงานยากที่ใครเสมอเหมือนได้ และเป็นผู้ทีค่ทำอะไรทำจริงไม่ถือตัว และแบ่งชั้นวรรณะแม้แต่เครื่องแต่งกายก็สวมใส่อย่างธรรมดาคือ เสื้อขาว กางเกงขาว มักจะชอบเดินไปไหนมาไหนเสมอ พระยานรรัตนราชมานิตให้ข้อคิดในการเดินว่า นั่นคือการออกเอ๊กเซอไซด์ไปในตัว บางครั้งพระยานรรัตนฯก็จะนั่งรถลาก หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "รถเจ๊ก" สมัยนั่นคนจีนมีอาชีพรับจ้างลากรถเป็นส่วนมาก และถ้าวันไหนเกิดอารมณ์ดีนึกครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมา ขณะที่พระยานรรัตนฯ นั่งอยู่บนรถลากมองเห็นคนจีนลากรถเหนื่อยหอบท่านเจ้าคุณก็จะลงมาสับเปลี่ยนกับคนจีนลากรถแทนคนจีนลากรถเสียเอง ก็ยังมีความแปลกใจให้แก่เจ้านายชั้นผู้ใหญ่และผู้ที่พบเห็นทุกคน เลยกลายเป็นเสียงซุบซิบเล่าสู่กันฟังจนหนาหู แต่พระยานรรัตนฯ ก็มิได้สนใจต่อข่าวลือที่เป็นมงคล และอัปมงคลแต่ประการใดเลย และในด้านโหราศาสตร์นั้นเล่า พระยานรรัตนราชมานิตก็เป็นผู้หนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญและทำนายทายทักได้อย่างแม่นยำมาก แต่เป็นที่น่าเสียดายต่อมาภายหลังพระยานนรรัตนฯ ได้เผาตำหรับตำราโหราศาสตร์จนหมดเกลี้ยง พระภิษุกมฺพโล บอกกับข้าพเจ้าว่า เป็นเพราะไปทำนายทายทักอะไรผิดพลาดเพียงเล็กน้อยให้แก่ล้นเกล้าล้นกระหม่อมรัชกาลที่ ๖ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น พระยานรรัตนราชมานิตจึงเลิกทำนายทายทักแต่นั้นเป็นต้นมาพระยานรรัตนราชมานิต มีพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกัน ๒ คน คนรองเป็นผู้หญิงชื่อ เลื่อน ปัทมะสุนทรคนสุดท้องเป็นชายชื่อ ตริ จินตยานนท์ น้องทั้งสองปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ต่อไปนี้คือข้อความในหนังสือพระราชทานบรรดาศักดิ์ ของพระยานรรัตนราชมานิต ตามต้นฉบับเดิมฉบับที่ ๑สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เจ้าหมื่นสรรเพชภักดีเป็นพระยานรรัตนราชมานิตจางวางมหาดเล็ก ถือศักดินา ๓๐๐๐ ทำราชการตามตำแหน่งตั้งแต่บัดนี้ไปจงเว้นการควรเว้น หมั่นประพฤติการควรประพฤติ สมควร ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต แก่ตำแหน่งทุกประการ ตามอย่างธรรมเนียมข้าราชการทั้งปวง ขอให้มีสุขสวัสดิ์เจริญเทอญ.ตั้งแต่ ณ วันที่ ๓๐ ธันวาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๕ เป็นปีที่ ๑๓ ในรัชการปัตยุบันนี้ฉบับที่ ๒สมเด็จพระรามาธิบดีสินทรมหาวชิราวุธ เอกอัครมหาบุรุษบรมราธิราชพินิตประชานารถมหาสมมตวงษ์ อติศัยพงษ์วิมลรัตน์ วรขัตติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ ปรเมนทรธรรมิกมหาราชธิราชบรมนารถบพิตร์ พระมงกุฎเกล้าเจ้ากรุงสยามขอประกาศแก่ท่านทั้งหลายทั้งปวง ฤาผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งจะได้พบอ่านคำประกาศนี้ให้ทราบว่า เราได้ตั้งให้หัวหมื่น พระยานรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ท.จ. จ.ม. บ.ช. ว.ม.ล. ว.ป.ร. ๓, เป็นที่รักใคร่ไว้วางใจของเราเป็นองคมมนตรี รับปฤกษาราชการในตัวเรา เพิ่มศักดินาขึ้นอีก ๑๐๐๐ เพื่อจะได้ช่วยเราคิดทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นคุณ เป็นประโยชน์ มีความเจริญสมบูรณ์ แลราษฎรทั้งปวงให้มีความสุขความเจริญขึ้นโดยชอบธรรมอันดี ขอจงตั้งอยู่ในสัตย์สุจริตกตัญญูตะเวที ประพฤติให้ต้องตามพระราชบัญญัติแลข้อคำสาบาลทุกประการ ตำแหน่งยศที่ตั้งนี้ จงเป็นไปตลอดเวลาความประสงค์ของเราพระเจ้ากรุงสยามปัตยุบันนี้ และตามกฏหมายข้อพระราชบัญญัติซึ่งได้ตั้งไว้สำหรับองคมนตรีแลรัฐมนตรีทุกประการ ขอให้มีความเจริญสุขสวัสดิ์ทุกประการเทอญ.พระราชทานที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ณ วันที่ ๔ เมษายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ เป็นปีที่ ๑๕ ในรัชกาลปัตยุบันนี้ ฉบับที่ ๓ สมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก มหันตเดชนดิลกรามาธิบดีเทพยปรียมหาราชรวิวงศ์ อสัมภินพงศพรีกษัตร บุรุษรัตนราชนิกโรดม จตุรันตบรมมหาจักรพรรดราชสังกาศฯ ปรมินทรธรรมมิกมหาราชาธิราชบรมนาถบพิตร พระปกเกล้าเจ้ากรุงสยาม ขอประกาศแก่ท่านทั้งหลายทั้งปวง ฤาผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งจะได้พบอ่านคำประกาศนี้ให้ทราบว่า เราได้ตั้งให้ จางวางตรี พระยานรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ป.ม. ท.จ. บ.ช. ว.ม.ล. ว.ป.ร. ๓ ซึ่งเป็นที่รักใคร่ไว้วางใจของเราเป็นองคมนตรี รับปฤกษาราชการในตัวเราเพิ่มศักดินาขึ้นอีก ๑๐๐๐ เพื่อจะได้ช่วยเราคิดทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นคุณประโยชน์มีความเจริญสมบูรณ์ และราษฎรทั้งปวงให้มีความสุขความเจริญขึ้นโดยชอบธรรมอันดี ขอจงได้ตั้งอยู่ในสัตย์สุจริตกตัญญูกตะเวที ประพฤติให้ต้องตามพระราชบัญญัติแลข้อคำสาบาลทุกประการ ตำแหน่งยศที่ตั้งนี้ จงเป็นไปตลอดเวลาความประสงค์ของเราพระเจ้ากรุงสยามปัตยุบันนี้ แลตามกฏหมายข้อพระราชบัญญิตซึ่งได้ตั้งไว้สำหรับองคมนตรีทุกประการ ขอให้มีความเจริญสุขสวัสดิ์ทุกประการเทอญ.พระราชทาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ณ วันที่ ๔ เมษายน พระพุทธศักราช ๒๔๖๘ เป็นปีที่ ๒ ในรัชกาลปัตยุบันนี้ชีวิตในเพศบรรพชิตพระยานรรัตนราชมานิต ได้อุปสมบทเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ มีอายุครบ ๒๘ ปี ที่ วัดเทพศิรินทราวาส โดยมีท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นอุปัชฌาย์ มีฉายาว่า ธมฺมวิตกโกหลังจากท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ธมฺมวิตกฺโก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์แล้ว ท่านก็ศึกษาปฏิบัติธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ออกบิณฑบาตรโปรดสัตว์ไปตามท้องถนนเยี่ยงพระนวกะทั่วไปจนครบหนึ่งพรรษาครั้นย่างเข้าพรรษา ๒ ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตจึงงดบิณฑบาตรโปรดสัตว์แต่นั้นเป็นต้นมา และเริ่มฉันจังหันเพียงมื้อเดียวเท่านั้น โดยมีญาติเป็นผู้นำปิ่นโตมาถวาย อาหารที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตฉันนั้นก็ล้วนเป็นอาหารเจทั้งสิ้นคือไม่มีเนื้อสัตว์ และสิ่งที่ขาดเสียมิได้ก็คือมะขามเปียกกับกล้วยน้ำว้า ครั้นพรรษาต่อไปท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต จึงได้งดฉันจังหันในวันพระทุกวันพระอีกด้วย ซึ่งท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ปฏิบัติเรื่อยมาเป็นประจำจนกระทั่งได้มรณภาพลง กิจวัตรที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จะขาดเสียมิได้นั่นก็คือการลงอุโบสถทำวัตร เช้า-เย็นเป็นประจำ ท่านบอกกับภิกษุสงฆ์ในวัดเสมอว่า"ถ้าท่านขาดทำวัตรครั้งใด นั่นก็หมายความว่า ท่านต้องอาพาธหนัก หรือได้มรณภาพไปแล้ว"และก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้ขาดลงอุโบสถ เพราะท่านเดินมาลงโบสถ์และเหยียบถูกงูเห่า งูจึงกัดที่เท้าท่าน ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ยังลงโบสถ์ทำวัตรต่อไป โดยมิยินดียินร้ายต่อเขี้ยวของอสรพิษแต่อย่างใด ถ้าเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ ก็จะต้องรีบเข้าสถานเสาวภาอย่างไม่มีปัญหา แต่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ กลับเห็นเป็นเรื่องธรรมดา โดยมิต้องวิ่งไปหาหมอหรือหาหยูกหายามาฉันเลยแม้แต่อย่างเดียวท่านกระแสร์จิตอันแก่กล้า ของท่านเท่านั้นที่ดับพิษร้ายของงูเห่าไม่ให้ทำอันตราย ต่อองค์ท่านได้ แต่ถึงกระนั้นก็เล่นเอาท่านแทบแย่เหมือนกัน เท้าข้างที่ถูกงูกัดบวมเต่งตึง จะนั่งลุกก็แสนจะลำบากเมื่อเวลาทำวัตรสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ทรงเห็นเข้าจึง ได้ขอร้องให้ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ งดลงทำวัตรจนกว่าเท้าจะหายบวมด้วยความเกรงใจและระลึกเคารพต่อผู้มีพระคุณฝังจิตใจของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ อยู่นั้น ท่านเจ้าคุณจึงได้งดลงโบสถ์ ๑ วัน รุ่งขึ้นเท้าข้างที่บวมเต่งตึงก็อันตรธานหายไปอย่างปลิดทิ้ง เกิดความมหัศจรรย์แก่ผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง เสียงโจษจรรเล่าลือจึงระบือไปทั่วว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มีกระแสร์จิตแก่กล้าสามารถระงับพิษให้เหือดหายไปเอง โดยไม่ต้องไปหามดหาหมอและฉันยาแต่อย่างใดเลย และเคล็ดลับการปฏิวัติร่างกายให้แข็งแรง ต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บนั้นก็ได้มีผู้ทราบว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เมื่อครั้งเป็นฆรวาสได้ปฏิบัติทางโยคะศาสตร์ จนสามารถระงับโรคภัยไข้เจ็บมิให้เกิดขึ้นได้ ครั้นเจ้าคุณนรรัตนฯอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ผ่านไปเพียง ๑ พรรษาเท่านั้น ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯจึงได้เขียนหนังสือวิธีปฏิบัติทางโยคะศาสตร์ ถวายแด่อุปัชฌาย์ท่านเจ้าคุณพระสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๙ โดยมีใจความดังต่อไปนี้๒๕ มิถุน ๖๙ขอประทานกราบเรียน พระคุณเกล้าฯ ขอประทานถวายวิธีบริหารร่างกายประจำวัน ซึ่งเกล้าฯ มั่นใจว่าถ้าไม่มีอดีตกรรมตามสนองแล้ว การบริหารร่างกายที่ถูกต้องตามกฏของธรรมดาโดยสม่ำเสมอท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตจริงๆ จะช่วยส่งเสริมให้รูปขันธ์นี้เป็นเรือนอันแข็งแรงมั่นคง และทนทาน เป็นที่อาศัยของนามขันธ์ได้อย่างวัฒนาถาวร ห่างจากโรคพยาธิ์มีโอกาสใช้ชีวิตช่วยยังประโยชน์ให้แก่โลกได้ยืดยาวจนสุดเขตชัยแห่งอายุเกล้าฯ เป็นเด็กขี้โรคมาแต่เดิม โยมผู้หญิงผู้ชายขี้โรค ทั้งเกล้าฯ ได้เคยกรากกรำอดหลับอดนอนจนร่างกายทรุดโทรมมาครั้งหนึ่งแล้วในระหว่างรับราชการ ถึงกับเป็นโรคเส้นประสาทอ่อน (Neurasthenia) มีร่างกายผอมซีดสามวันดีสี่วันไข้ จนสมเด็จพระบรมบพิต พระราชสมภารเจ้ารัชกาลที่ ๖ ทรงออกพระโอษฐว่า "เกรงจะเป็นฝีในท้อง Consumption เสียแล้ว" เกล้าฯ ต้องถูกส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แต่การรักษาด้วยวิธีแลยาต่างๆ หลายอย่างหลายชนิดไม่เป็นผลเลย เกล้าฯ ได้พยาบาลบริหารร่างกายด้วยหันเข้าหากฏของธรรมดา ตามวิธีที่กราบเรียนถวายมานี้โดยสม่ำเสมออย่างที่เรียกว่า "เมื่อจะทำอะไรต้องทำกันจริงๆ" จนได้รับผลดี มีร่างกายสงบสบายเรื่อยมาจนบัดนี้ไม่ต้องใช้ยา ไม่ต้องไต่ถาม หรือปรึกษาหมอในเรื่องโรคภัยส่วนตัวอีกเลยฯในรูปพระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต ผู้บวชถวายราชกุศล ร.6 ถ่ายภาพร่วมกับ พระภิกษุพระยาสีหราชฤทธิไกร ผู้บวชถวายพระราชกุศล ร.5 ณ วัดราชบพิตรเมื่อพ.ศ.2469 ประวัติเจ้าคุณนรฯ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิตกำหนดบริหารร่างกายประจำวัน
๑. ตอนตื่นลุกขึ้นจากที่นอน ดัดตน ๔ ท่าดังนี้
๑. ยืด (Srretch)
๒.แขม่วท้อง (Pumping)
๓.เตะขึ้น(Kick up)
๔.บดท้อง (Ehuming)
๒. ลุกขึ้นจากที่นอนแล้ว
ไปยืนที่หน้าต่างที่เปิดตรงช่องลม หายใจยาวสุดอากาศสดๆ (Fresh Air) เข้าปอดให้เต็มที่ ๔ ท่าดังนี้
๑.อัดลม (Paching)
๒.หายใจยาวสูดลมเข้าปอดตอนบน (Upper Chcst Breathing)
๓.หายใจยาวอัดลมดันให้ท้องโป่งพอง (Abdominal Breathing)
๔.หายใจยาวสูดลมเข้าอกให้ซี่โครงกาง (Bostal Breathing)
ในขณะที่ทำท่าเหล่านี้ควรหลับตา และตั้งใจเป็นสมาธิอยู่ในท่าที่กำลังกระทำอยู่นั้น เมื่อจบท่าแล้วจึงลืมตา เวลาลืมตานั้นต้องลืมจริงๆ คือเพ่งมองไป แล้วค่อยๆ หลับกลอกไปกลอกมา ขึ้นข้างบน ลงข้างล่างกลอกข้างซ้ายกลอกขวา และกลอกเป็นวงกลมนี่เป็นการบริหารลูกตาอีกส่วนหนึ่งฯ
๓. ดื่มน้ำ ๑ ถ้วยแก้วเต็มๆ น้ำที่จะใช้ดื่มนี้ สำหรับผู้ที่จะมีอายุล่วงเข้าเขตปัจฉิมวัยแล้วไม่ควรดื่มน้ำเย็นในตอนตื่นตอนเช้าๆ ท้องว่างๆ ควรดื่มน้ำต้มเดือดแล้วอุ่นๆ ถ้าดื่มน้ำเปล่าๆ ไม่ได้ควรเลือกเจือชานิดหน่อยพอมีกลิ่นชวนให้ดื่มได้ แต่อย่าให้มากนักเพราะมีธาตุที่ให้โทษแก่ร่างกายอยู่บ้างไม่เหมาะสำหรับดื่มในเวลาท้องว่างตื่นนอนใหม่ๆ ตอนเช้า
๔. ไปถ่ายอุจจาระ ถ้าเราเกรงจะเสียเวลาช้าไป ควรเอาหนังสือติดมือไปอ่านด้วย ต่อไปนี้ลงมือทำงาน (Work) ได้
๕ เมื่อหยุดงานแล้ว ก่อนรับประทานอาหารควรดัดตน ๓ ท่าดังนี้
๑. ยืนกางแขนบิดตัว เอามือแตะปลายเท้าทีละข้าง (Ticklc toe)
๒. เขย่าตัว (Pep hop)
๓. จ้องดาวและบิดคอ (Star Gazer และ Hen peck)
แล้วดื่มน้ำ ๑ ถ้วยแก้วก่อนรับประทานอาหารสัก ๑๕ นาทีเมื่อรับประทานอาหารแล้วใหม่ๆ ไม่ควรอ่านหนังสือหรือใช้สมองคิดเลย ควรคุยหรือเดิน หยิบโน่นหยิบนี่นิดๆ หน่อยๆ เป็นดี และไม่ควรดื่มน้ำรอไว้จนกว่าอาหารย่อยเรียบร้อยจนเบาท้อง แล้วจึงดื่มน้ำให้มากๆ
๖. ก่อนจะอาบน้ำเข้านอนตอนกลางคืน ควรดัดตนอีกครั้งหนึ่ง ๗ ท่า ดังนี้
๑. ยืด (Stretch)
๒.แขม่วท้อง (Pumping)
๓.เตะขึ้น (Kick up)
๔.บดท้อง (Ehuming)
๕.ยืดกางแขนบิดตัวเอามือแตะปลายเท้าทีละข้าง (Tickle toe)
๖.เขย่าตัว (Pep Hop)
๗.จ้องดาวและบิดคอ (Star gazer และ Heh Peck)ท่าดัดตนเหล่านี้ ถ้าทำให้มากเกินไปก็ให้โทษหรือไม่ให้คุณ ที่จะให้คุณจริงๆ คือพอควรอยู่ระหว่างกลาง ไม่ไปทางที่สุดโด่งทั้งสองข้างควรมิควรประการใดสุดแล้วแต่จะโปรดเกล้าฯ ธมฺมวิตกฺโกเมื่อท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ได้รับจดหมายรายงานการปฏิบัติแบบโยคะศาสตร์ของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ แล้วก็ได้นำไปปฏิบัติ เมื่อสงสัยในข้อหนึ่งข้อใดแล้วก็ทรงเรียกท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เข้าไปสอบถามเป็นส่วนตัวและฝึกหัดตามท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ไปด้วย ผลที่สุดท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ก็เห็นผลปรากฏจากหลักวิธีโยคะศาสตร์ที่สามารถช่วยขจัดโรคภัยต่างๆ ได้จริงๆ ถ้าทำให้ถูกต้องและสม่ำเสมอ คุณผู้อ่านถ้าสนใจก็ไปทดลองฝึกดูก็ได้นะครับถือสันโดษคราวนี้ข้าพเจ้าขอพาคุณผู้อ่านเข้าไปชมภายในกุฎิที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ พำนักซึ่งผิดแผกแตกต่างกับภิกษุสงฆ์องค์อื่นๆ อย่างฟ้ากับดินทีเดียว ยากที่จะหาภิกษุรูปใดในปัจจุบันนี้เสมอเหมือนเยี่ยงท่านเจ้าคุณนรรัตนฯหาได้ไม่ เพราะท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ท่านเป็นภิกษุสงฆ์ที่ถือสันโดษ ตัดกิเลสหมดทุกอย่าง แม้แต่เงินตราที่ใช้แลกเปลี่ยนตามกฏหมาย ในปัจจุบันนี้ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็มิเคยเห็นและแตะต้องด้วยซ้ำไป เครื่องตบแต่งเพื่อประดับบารมีภายในกุฏิก็หามีสิ่งมีค่ามาตั้งโชว์ให้รกหูรกตาแม้แต่สิ่งเดียว สิ่งที่ประดับบารมีของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ นั้นก็คือตำหรับตำราและหนังสือธรรมวินัยต่างๆ เป็นจำนวนมาก ส่วนที่จำวัดนั้นก็เป็นเฉพาะองค์ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เท่านั้น โดยมีผ้าจีวรเก่าๆ ปูกับพื้นเพียง ๒-๓ ผืน และมีมุ้งหลังเล็กๆ อยู่หลังเดียวเท่านั้น และสิ่งที่สดุดตาและเตือนใจแก่ผู้พบเห็นนั่นก็คือโครงกระดูกและหีบศพ๑ หีบ หีบที่วางไว้ให้เป็นเครื่องขบคิดโครงกระดูกที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ นำเข้าไปไว้ในกุฏิของท่านก็เพื่อไว้นั่งพิจารณาและปลงอนิจจัง ว่าสังขารของมนุษย์เรานั้นมันไม่เที่ยงแท้ มี เกิด, แก่,เจ็บ, ตาย ผลที่สุดก็เหลือแต่โครงกระดูก แล้วก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปในที่สุดส่วนหีบศพนั้นเล่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้สั่งให้ญาติซื้อมาไว้เมื่อบวชได้พรรษา ๒ และท่านได้บอกกับญาติโยมให้ทราบว่า การที่สั่งให้ต่อหีบศพมาไว้นั้นก็เพื่อที่จะไว้ใส่ตัวท่านเอง เมื่อเวลาดับขัณฑ์จะมิต้องทำความยุ่งยากลำบากให้แก่ผู้อยู่ข้างหลังและหีบศพใบนี้ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็เคยลงไปทำวิปัสสนากรรมฐานบ่อยครั้งนัก นับเป็นสถานที่ที่สงบแห่งหนึ่งที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ปฏิบัติธรรม ในกุฏิของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จะหาไฟฟ้าใช้แม่แต่ดวงเดียวก็ไม่มี แม้แต่น้ำที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ใช้ดื่มฉันอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นแต่น้ำฝนทั้งสิ้น และภาชนะที่ท่านใช้ก็เป็นกะลามะพร้าวขัด ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ท่านชี้แจงว่าของสิ่งนี้เป็นของสูง ไม่มีมลทินอะไรติดอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว และท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้ให้เหตุผลอย่างน่าฟังว่า "ธรรมชาติได้สร้างมนุษย์เราเป็นที่พอเพียงอยู่แล้วจะวุ่นวายกันไปทำไม ยิ่งเป็นภิกษุสงฆ์ผู้ปฏิบัติอยู่ในธรรมวินัยก็ยิ่งลำบาก น้ำฝนเป็นน้ำที่บริสุทธิ์ ดื่มฉันก็เกิดอาบัติน้อยมาก ยิ่งไฟฟ้าด้วยแล้วก็ถือว่าไม่เป็นสำคัญเลย เพราะดวงอาทิตย์ได้ให้แสงสว่างแก่โลกมุนษย์เราตั้งแต่ ๖ โมงเช้าถึง๖ โมงเย็น เราจะทำอะไรก็ควรรีบๆ ทำเสียเมื่อพระอาทิตย์สิ้นแสงแล้วก็หมดเวลาที่เราจะทำอย่างอื่นนอกเสียจากทำสมาธิ เจริญวิปัสสนากรรมญานแต่เดียวเท่านั้น"ด้วยเหตุนี้เองกุฏิของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงปิดเงียบมืดมิดผิดกว่ากุฏิพระภิกษุสงฆ์องค์อื่นๆ และท่านเจ้าคุณนรรัตนฯภิกษุผู้เคร่งครัดต่อธรรมวินัยรูปนี้เองได้มีประชาชนจำนวนมาก เลื่อมใส่ศรัทธาใคร่อยากจะพบปะสนทนาด้วย ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็มิได้รังเกียจ เปิดโอกาสให้ญาติโยมพบปะสนทนาเป็นอย่างดี ตอนที่ท่านลงทำวัดเช้าและเย็นเสมอชั่วระยะเวลาหนึ่ง ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จะไม่ยอมให้ใครเข้าพบเป็นอันขาดที่กุฏิของท่าน ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่หรือกระยาจนเข็นใจคนใดทั้งสิ้น อภินิหารย์มหัศจรรย์ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตหลังจากที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ธมฺมวิตกฺโก ได้ครองเพศบรรพชิตเรื่อยมาด้วยการเคร่งครัดต่อธรรมวินัย และค้นคว้าศึกษาทางวิปัสสนากรรมฐานจนแตกฉานกระแสร์จิตแก่กล้า จนเป็นที่ประจักษ์แก่สายตา ของพระภิกษุสงฆ์ และประชาชนมาแล้วเมื่อครั้งถูกอสรพิษกัด ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็สามารถใช้กระแสร์จิตรักษาพิษร้ายของอสรพิษให้เหือดหายไปเองได้ โดยมิต้องไปหาหมอและฉันยาเลยแม้แต่อย่างเดียวต่อมาท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ได้ถูกโรคร้ายที่ประชาชน และนายแพทย์กลัวนักกลัวหนาเข้าคุกคามได้ นั้นก็คือโรคมะเร็ง ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้เป็นโรคมะเร็งกามช้างจนเน่าเฟะแต่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯก็มิได้แสดงความเจ็บปวดรวดร้าว ให้ปรากฏแก่สายตาผู้ภิกษุสงฆ์ และประชาชนที่พบเห็นเลยแม้แต่น้อย ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯมีอาการเป็นปกติธรรมดาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ได้อุโบสถทำวัตรเช้า-เย็น เป็นประจำเสมอมิได้ขาดเลย แต่แล้วอยู่ๆ โรคร้ายที่เกาะกุมท่านเจ้าคุณนรรัตนฯจน เป็นที่สังเวรแก่ผู้พบเห็นก็อันตรธานหายไปเอง โดยท่านเจ้าคุณนรรัตนฯมิได้ไปหาแพทย์ให้รักษาหรือฉันหยูกยาแต่ประการใดเลย"โรคมันเกิดขึ้นมาเอง มันก็ต้องหายไปเองได้เช่นกัน" ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯพูดอยู่เสมอแก่ผู้ที่ไต่ถามท่าน ยิ่งนับวันเสียงลือเสียงเล่าอ้างทางด้านอภินิหารต่างๆ ของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตก็แพร่สะพัดไปทั่วทุกสารทิศว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เป็นพระภิกษุสงฆ์รูปเดียวในปัจจุบันนี้ที่สำเร็จอรหันต์แล้ว จึงมีประชาชนจำนวนมากใคร่อยากจะเข้าพบเพื่อนมัสการ แต่ก็หาเวลาพบท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้เพียง ๒ เวลาเท่านั้น คือตอนทำวัตรเช้าและเย็น ซึ่งก็มีเวลาสนทนากันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนมากท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จะคุยเรื่องธรรมะและอบรมสั่งสอนให้ประกอบและประพฤติในทางดีทั้งสิ้น ผู้ใดได้เข้าพบปะสนทนากับเจ้าคุณนรรัตนฯแล้ว ผู้นั้นจะรู้สึกจิตใจสดชื่นเบิกบานแจ่มใสอย่างบอกไม่ถูก เสมือนกับได้เข้าพบกับพระอรหันต์ฉะนั้นเสียงลือเสียงเล่าอ้างอันนี้เองที่ล่วงรู้ถึงหูชาวจีนผู้หนึ่ง ซึ่งยากจนข้นแค้นอยากจะเข้าพบนมัสการท่านเจ้าคุณนรรัตนฯบ้าง พยายามเพียรมาพบที่พระอุโบสถหลายครั้งแต่ก็เข้าไม่ถึงตัวท่านเจ้าคุณนรรัตนฯเลยสักครั้ง ท่านจีนผู้นั้นจึงได้ตัดสินใจมาดักพบที่กุฏิตอนเช้าก่อนที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯจะลงทำวัตรเช้า เมื่อพบท่านเจ้าคุณนรรัตนฯชาวจีนผู้นั้นก็ก้มลงกราบที่หน้าประตูและกล่าวว่า "อยากจะมาขอพร เพราะอยากจนเหลือเกิน ทำมาค้าขายก็มีแต่ขาดทุน"ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯได้ฟังชาวจีนพูดจบลงแล้ว ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงเอากะลาขัดตักน้ำมาพรมให้ชาวจีน และพูดว่า " ไปได้คราวนี้จะรวยใหญ่" และก็เป็นจริงอย่างที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯให้พรทุกประการ เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมาชาวจีนผู้นั้นก็ทำมาค้าขายเจริญงอกงามขึ้นเป็นลำดับจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ดังได้กล่าวไว้แล้ว ผู้ที่เข้านมัสการท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มักจะได้ฟังแต่เรื่องธรรมะและคำตักเตือนสั่งสอนให้ประกอบแต่ความดี ผู้นั้นจะมีความสุข ข้าพเจ้าจึงขอเอาข้อเขียนของคุณ "ภิญโญ เอกอธิคมกิจ" ซึ่งได้รับฟังคำจากท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มาลงไว้ ณ ที่นี้เพื่อเป็นข้อยืนดังต่อไปนี้เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๑ คุณ ภิญโญ เอกอธิคมกิจ ยังเป็นนิสิตปีสุดท้ายได้พาเพื่อนนักศึกษา๓ คน เข้านมัสการท่านเจ้าคุณนรรัตนฯเมื่อตอนเย็นวันหนึ่งหลังจากท่านเจ้าคุณนรรัตนฯได้ทำวัตรเย็น เสร็จเรียบร้อยแล้วและได้สนทนากันอยู่พักหนึ่งท่านเจ้าคุณนรรัตนฯได้ไต่ถามคุณภิญโญ และเพื่อนว่ามีอาชีพอะไรเมื่อท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้ทราบว่าทั้งสี่คนนั้นเป็นนิสิตปีสุดท้าย ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็เริ่มอธิบายธรรมให้ฟังทันทีโดยเริ่มว่า"ที่มาหาพระที่นี่น่ะ, ดีแล้ว เพราะพระแปลว่า ดี หรือประเสริฐ ฉะนั้นการมาหาพระ คุยกับพระก็ได้ของดีของประเสริฐกลับไป"เพื่อนคนหนึ่งของคุณภิญโญได้เรียนถามถึงเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ของพระเครื่องท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ได้อธิบายให้ฟังว่า"ความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอยู่กับความศรัทธา อาศัยกำลังจิตเป็นสำคัญบางครั้งทหารที่ไปรบเวียดนามเชื่อมั่นคุณพระที่ห้อยคอไป อาจทำให้เกิดนะจังงังก็ได้ข้าศึกมองไม่เห็นตัว หรือยิงไม่ถูก"แล้วท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ยังได้ยกอุทาหรณ์ให้ฟังต่อไปอีกว่า เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๕ พระพุทธเจ้าหลวงเคยเสด็จออกเยี่ยมพสกนิกรที่ชนบทแห่งหนึ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็นบ้านชาวจีนคนหนึ่งนำปุ้งกี๋มาไว้บูชาบนหิ้ง จึงได้รับสั่งถามชาวจีนผู้นั้นว่า เอามาบูชาเพื่ออะไร ชาวจีนผู้นั้นได้ทูลถึงความเชื่อมั่นของตน ซึ่งเริ่มต้นมาจากปุ้งกี๋จนทำให้เขาร่ำรวยขึ้นมาได้ จึงนำมาไว้บูชาและเก็บไว้เป็นที่ระลึก พระพุทธเจ้าหลวงจึงได้ตรัสชมว่า "ดีแล้ว" นี่ก็แสดงว่า ความเชื่อมั่นเท่านั้นที่จะปรากฏผลให้เห็นเมื่อท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้อรรถาธิบายจบแล้ว เพื่อนอีกคนหนึ่งของคุณภิญโญจึงได้เรียกถามท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ต่อไปอีกว่า ตัวเขาทำไมจึงยากจนเหลือเกินไหนจะต้องหารายได้เพื่อมาเป็นทุนการศึกษา ไหนจะต้องหาเงินมาเลี้ยงแม่อีก จึงอยากจะมาขอพรจากท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เพื่อจะได้ทุกสักก้อนหนึ่งสำหรับไว้ไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ เมื่อจบการศึกษาในประเทศไทยแล้วท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงได้กล่าวสรรเสริญเพื่อนของคุณภิญโญว่าเป็นการกระทำที่ดีแล้ว พร้อมกับอธิบายถึงความกตัญญูกตเวทิตาว่า"คนที่มีความกตัญญูกตเวทีแล้ว ไปไหนหรือจะทำอะไรย่อมไม่ตกต่ำและมักจะประสพความสำเร็จเสมอ เพราะคุณพระย่อมคุ้มครองคนมีที่คุณธรรมประจำใจ"ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ยังได้อธิบายต่อไปอีกว่า"คุณธรรมอันเป็นเครื่องนำไปสู่ความสำเร็จในกิจการทั้งปวง อันได้แก่ อิทธิบาทสี่ แปลว่า ทางที่นำไปสู่ความสำเร็จไม่ว่าจะทำอะไร อิทธิ ซึ่งหมายถึงหนทางที่จะไป มีอยู่ ๔ ประการ" คือ๑. ฉันทะ คือความพอใจในสิ่งที่เป็น วิลล์ออฟมาย หรือเป็นความตั้งอกตั้งใจที่จะทำจริง๒. วิริยะ คือความเพียรพยายามโดยไม่ท้อถอย๓. จิตตะ คือความเอาใจจดจ่อในสิ่งที่จะทำในกิจกรรมนั้นๆ โดยนึกอยู่เสมอ๔. วิมัสสะ คือการพิจารณาไตร่ตรองหาเหตุผลท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ได้ชี้แจงต่อไปอีกว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไร หากมีธรรม ๔ ประการนี้แล้ว ย่อมพบกับความสำเร็จอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเรียนหนังสือหรือการทำมาหากิน และท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ยังย้ำต่อไปอีกว่า"จะไปนิพพานก็ได้นะ"หลังจากได้สนทนาธรรมกับเจ้าคุณนรรัตนฯ เป็นที่พออกพอใจแล้ว ทุกคนต่างก็จะกราบลากลับท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงได้สั่งให้เพื่อของคุณภิญโญ ไปตักน้ำมนต์ในโอ่งหลังรูปปั้นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ๑ ถ้วย และรินใส่ถ้วยให้ดื่มทีละคนพร้อมกับให้ว่าคาถาตามท่านไปด้วย ดังนี้สิทธะมัตถุ สิทธะมัตถุ สิทธะมัตถุ อิทัง พลัง เอตัสสะมิง ระตะนัตตะ ยัสสะมิง สัมประสาทะ นะเจตะโสเมื่อทุกคนได้รับประทานน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เสร็จทั่วทุกคนแล้ว ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็ได้กล่าวเป็นประโยชน์สุดท้ายว่า" จงประกอบแต่ความดีนะ จะได้มีความสุข"คาถาของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ บทนี้ ผู้ใดใคร่จดจำไว้ ข้าพเจ้าคิดว่าคงเกิดประโยชน์ไม่น้อย ยิ่งผู้ที่มีเครื่องรางของขลังของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ไว้บูชาด้วยแล้วก็คงเกิดพลังอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ให้ปรากฏขึ้นมาได้ ดังเช่นคาถาชินบัญชร ของสมเด็จพุฒจารย์โตดุจเดียวกันข้าพเจ้าได้นำเรื่องราวการสนทนาธรรมกับท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มาแล้ว ก็ใคร่จะขอนำ "โอวาท" ของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ มาลงไว้ ณ ที่นี้ด้วย เพื่อเตือนสติแก่ผู้ที่กำลังประพฤติชั่ว หรือกระทำชั่วไปแล้วให้หันกลับมาประกอบกรรมแต่ความดี ละทิ้งความชั่วที่ทำหรือกำลังที่จะกระทำนั้นเสีย และผู้ที่ประกอบกรรมแต่ความดีก็ให้รักษาความดีนั้นไว้ หรือยิ่งประกอบกรรมดียิ่งๆ ขึ้นไป ดังต่อไปนี้โอวาทของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต๑. "PERSONAL MAGNET"เรื่องที่มีคนเมตตากรุณา เห็นอกเห็นใจนั้น เป็นเพราะ คุณธรรมความดี ของตนเอง หลายประการด้วยกัน เป็นต้นว่า วิริยะ อุตสาหะ บากบั่น เข้มแข็ง แรงกล้า และจิตใจเมตตากรุณา ไม่เย่อหยิ่งจองหอง เป็นเหตุให้ผู้ที่แวดล้อมอยู่เกิดความเมตตากรุณารักใคร่เห็นอกเห็นใจ คิดที่จะช่วยเหลือคนซึ่งมี กิริยามารยาทอ่อนโยน สุภาพนิ่มนวล ย่อมเป็นที่เสน่หารักใคร่ของคนที่ได้พบเห็นและพยายามที่จะช่วยเหลือ นี่เป็น Personal Magnet คือเสน่ห์ในตัวของตัวเอง เพราะฉะนั้น จงพยายามรักษาคุณสมบัติดังกล่าวนี้ไว้ จะเป็นเครื่องช่วยตัวเองให้บรรลุความสำเร็จสมประสงค์ทุกประการ ทุกกาลเวลา ทั้งปัจจุบันและอนาคต๒. เมตตาอย่ากลัว จงรักษาตัวให้บริสุทธิ์ ไม่มีอะไรทำอันตรายได้จงจำไว้ว่า ถ้าปรารถนาความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจจากผู้อื่น ก็ควรส่งกระแสใจที่ประกอบด้วยความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจไปยังท่านเหล่านั้น แล้วก็จะได้รับความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจจากท่านเหล่านั้นเช่นเดียวกัน นี่เป็นกฏของจิตตานุภาพแล้วความสำเร็จทั้งหลายที่ปรารถนา ก็จะบังเกิดแต่ตนสมประสงค์ทุกประเด็นแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย.๓. สบายใจคำว่า "ไม่สบายใจ" อย่าใช้ และอย่าให้มีขึ้นในใจต่อไป Let it go, and get ti out!" ก่อนมันจะเกิด ต้อง Let it go! ปล่อยให้มันผ่านไปอย่ารับเอาความไม่สบายใจไว้ ถ้าเผลอไปมันแอบเข้ามาอยู่ในใจได้ พอมีสติรู้สึกตัวว่าความไม่สบายใจเข้ามาแอบอยู่ในใจ ต้อง Get it out! ขับมันออกไปทันที อย่าเลี้ยงเอาความไม่สาบายใจไว้ในใจมันจะเคยตัว ทีหลังจะเป็นคนอ่อนแอออดแอดทำอะไรผิดพลาดนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่สบายใจเคยตัว เพราะความไม่สบายใจนี้แหละเป็นศัตรู เป็นมาร ทำให้ใจไม่สงบประสาทสมองไม่ปกติ เป็นเหตุให้ร่างกายผิดปกติ พลอยไม่สงบไม่สบายใจไปด้วย ทำให้สมองทึบไม่ปลอดโปร่ง เป็น habit ความเคยชินที่ไม่ดี เป็นอุปสรรคกีดกั้นขัดขวางสติปัญญาไม่ให้ปลอดโปร่งแจ่มใส ต้องฝึกหัดแก้ไขปรับปรุงจิตใจเสียใหม่ ทั้งก่อนที่จะทำอะไร หรือกำลังกระทำอยู่ และเมื่อเวลากระทำเสร็จแล้ว ต้องหัดให้จิตใจแช่มชื่นรื่นเริงเกิดปิติปราโมทย์เป็นสุขสบายอยู่เสมอ เป็นเหตุให้เกิดกำลังกายกำลังใจ Enioy living มีชีวิตอยู่ด้วยความเบิกบาน สมองจึงจะเบิกบาน จะศึกษาเล่าเรียนก็เข้าใจจำได้ง่าย เหมือนดอกไม้ที่แย้มเบิกบานต้อนรับหยาดน้ำค้าง และอากาศอันบริสุทธิ์ฉะนั้นพระพุทธเจ้าสอนว่า "นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ" สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี"หมายความว่า ความสุขอื่นมี เช่นความสุขในการดูละคร ดูหนัง ในการเข้าสังคม Soial ในการมีคู่รักคู่ครอง หรือในการมีลาภยศได้รับความสุข สรรเสริญ และได้รับความสุขจากสิ่งเหล่านี้ ก็สุขจริงยังมีต่ออีกเยอะครับ
๔. สันติสุขแต่ว่า สุขเหล่านี้มีทุกข์ซ้อนอยู่ทุกอย่าง ต้องคอยแก้ไขปรับปรุงกันอยู่เสมอไม่เหมือนกับความสุขที่เกิดจากสันติความสงบ ซึ่งเป็นความสุขที่เยือกเย็นและไม่ซ้อนด้วยความทุกข์ และไม่ต้องแก้ไขปรับปรุงตกแต่งมากเป็นความสุขที่ทำได้ง่ายๆ เกิดกับกายใจของเรานี่เอง อยู่ในที่เงียบๆ คนเดียวก็ทำได้ หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมสังคมก็ทำได้ ถ้าเรารู้จักแยก ใจ หาสันติสุข กายนี้เพียงสักแต่ว่าอยู่ในที่ระคนด้วยความยุ่ง สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นไม่ยุ่งมาถึงใจ แม้เวลาเจ็บหนัก มีทุกข์เวทนาปวดร้าวไปทั่วกาย แต่เรารู้จักทำใจ ให้เป็นสันติสุขได้ ความเจ็บนั้นก็ไม่สามารถจะทำให้ ใจ เดือดร้อนตามไปด้วยเมื่อ ใจ สงบแล้วกลับจะทำให้กายสงบ หายทุกขเวทนาได้ด้วยและประสบสันติสุข ซึ่งไม่มีสุขอื่นยิ่งกว่าสันติสุขนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้ฝึกเป็น ๓ ทาง คือ๑. สอนให้สงบกาย วาจา ด้วย ศีล ไม่ทำโทษทุจริตอย่างหยาบที่เกิดทาง กาย วาจา เป็นเหตุให้เกิดสันติสุขทางกาย วาจา เป็นประการต้น๒. สอนให้ฝึกหัดให้เกิดสันติสุขทางใจด้วย สมาธิ หัดใจไม่ให้คิดถึงเรื่องความกำหนัดความโกรธ ความโลภ ความหลง ความกลัว ความฟุ้งซ่านรำคาญ ความลังเลใจ ทำให้ใจไม่เด็ดเดี่ยว ไม่เด็ดขาด เมื่อละสิ่งเหล่านี้ได้ เป็นเหตุให้ใจสงบ เป็นสันติสุขทางจิตใจอีกประการหนึ่ง๓. ทรงสอนให้ฝึกหัดให้เกิดสันติสุขทางทิฏฐิ ความเห็นด้วย ปัญญา พิจารณาให้เห็นว่าสรรพสิ่งทั้งหลายไม่แน่นอน เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง คงทนอยู่ไม่ได้ ต้องเสื่อมสิ้นแปรปรวน ดับไป เรียกว่าเป็น ทุกข์ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา อ้อนวอน ขอร้อง เร่งรัด ให้เป็นไปตามความประสงค์ ท่านเรียกว่า อนัตตาเมื่อเรารู้เห็นความเป็นจริงเช่นนี้ จะทำให้จิตใจของเราเข้มแข็ง มั่นคง เด็ดเดี่ยวไม่หวั่นไหวไปตามเหตุการณ์ทั้งหลาย เพราะรู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาว่าสิ่งเหล่านั้นมันไม่แน่นอนมันคงอยู่ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลง เสื่อมสิ้นดับไปไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาฝ่าฝืนของเราอย่าไปเร่งรัดให้เสียกำลังใจคงรักษาใจให้เป็นอิสระมั่นคงอยู่เสมอไม่หวั่นไหวไปตามเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นเหตุให้ใจตั้งอยู่ในสันติสุขเป็นอิสระเกิดอำนาจทางจิต Mind Power ที่จะใช้ทำกรณียะอันเป็นหน้าที่ของตนได้สำเร็จสมประสงค์"นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี"It meeds a Peaceful Mind to support a Peaceful Body, and itneeds a Peaceful Body to support a Peaceful Mind, and, st it needs Both Pescaful Body and Mind to attain all succes that wbich you wish.๕. ทำอะไรไม่ผิดเลย ก็คือคนไม่ทำอะไรเลย "DO NO WRONG IS DO NOTHING"จงระลึกถึงคติพจน์ ว่า "Do no wrong is do nothing!" "ทำอะไรไม่ผิดเลย ก็คือไม่ทำอะไรเลย!"ความผิดนี้แหละ เป็นครูอย่างดี ควรจะรู้สึกบุญคุณของตัวเองที่ทำอะไรผิดพลาด และควรสบายใจที่ได้พบกับอาจารย์ผู้วิเศษ คือความผิด จะได้ตรงกับคำว่า "เจ็บแล้วต้องจำ!" ตัวทำเองผิดเอง นี้แหละเป็นอาจารย์ผู้วิเศษ เป็น Good example ตัวอย่างที่ดี เพื่อจะได้จดจำไว้สังวรระวังไม่ให้ผิดต่อไป แล้วตั้งต้นใหม่ด้วยความไม่เลินเล่อเผลอประมาท อดีตที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านพ้นล่วงไปแล้ว แต่อาจารย์ผู้วิเศษยังคงอยู่คอยกระซิบเตือนใจเสมอทุกขณะว่า "ระวัง! อย่าประมาทนะ! อย่าให้ผิดพลาดเช่นนั้นอีกนะ!"ผิดหนึ่งพึงจดไว้ ในสมองเร่งระวังผิดสอง ภายหน้าสามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก เพื่อนเอยถึงสี่อีกทีห้า หกซ้ำอภัยไฉน!จงสังเกตพิจารณาดูให้ดีเถิด จะเห็นได้ว่า นักค้นคว้าวิทยาศาสตร์ทางโลกก็ดีและทางผู้วิเศษที่เป็นศาสดาจารย์ในทางธรรมทั้งหลายก็ดีล้วนแต่ผ่านพ้นอุปสรรคความผิดพลาดนับครั้งไม่ถ้วนมาแล้วด้วยกันทุกท่าน๖. สติสัมปชัญญะ (ความระลึกได้ และความรู้ตัว)ที่จะทำอะไรไม่ผิดนั้น ข้อสำคัญอยู่ที่สติ ถ้ามีสติคุ้มครองกายวาจาใจอยู่ทุกขณะจำทำอะไรไม่ผิดพลาดเลย ที่ผิดพลาดเพราะขาดสติ คือ เผลอ เหม่อ เลินเล่อ ประมาท ระเริง หลงลืม จึงผิดพลาด จงนึกถึงคติพจน์ว่า " กุมสติต่างโล่ห์ป้อง อาจแกล้วกลางสนาม" ธรรมดาชีวิตทุกชนิด ทั้งมนุษย์และสัตว์ตลอดทั้งพืชพันธุ์ พฤษาชาติ เป็นอยู่ได้ด้วยการต่อสู้ ตรงกับคำว่า "Life id fighting" "ชีวิตคือการต่อสู้" เมื่อต่อสู้ไม่ไหวขณะใจก็ต้องถึงที่สุดแห่งชีวิต คือ death ความตาย เพราะฉะนั้นยังมีสติอยู่ตราบใดถึงตายก็ตายแต่กาย เช่นกับชีวิตพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ท่านมีสติไพบูลย์อยู่ทุกขณะจิต ท่านจึงทำอะไรไม่ผิดและถึงซึ่งอมตธรรม คือธรรมที่ไม่ตาย ตรงกับคำว่า immortal จึงเรียกว่า ปรินิพาน คือนามรูปสังขารร่างกายที่เรียกว่าเบญจขันธ์ ขันธ์ ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แตกดับไปเท่านั้น เพราะฉะนั้น ความฝึกฝนสติ (ความระลึกรู้ก่อนทำ ก่อนพูด ก่อนคิด) สัมปชัญญะ (รู้ตัวทุกขณะที่กำลังทำอยู่ พูดอยู่ คิดอยู่) เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็มีสติตรวจตาพิจารณาดูว่าบกพร่องอย่างไร หรือเรียบร้อยบริบูรณ์ดี ถ้าบกพร่องก็รีบแก้ไขเพื่อให้สมบูรณ์ต่อไป ถ้าเรียบร้อยดีอยู่แล้ว ก็พยายามให้เรียบร้อยดียิ่งๆ ขึ้นไปจนถึงที่สุด๗. อานุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยอนุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้แล จึงชนะข้าศึก คือ กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลางและอย่างละเอียดได้!๑. ชนะความหยาบคาย ซึ่งเกิดกิเลสอย่างหยาบที่ล่วงทางกายวาจาได้ ด้วยศีลชนะความยินดียินร้าย หลงรัก หลงชัง ซึ่งเป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดในใจได้ด้วยสมาธิ๒. ผู้ใดศึกษาและปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้ โดยพร้อมมูล บริบูรณ์สมบูรณ์แล้ว ผู้นั้นจึงเป็นผู้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ เป็นแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย! เพราะฉะนั้น จึงความสนใจ เอาใจใส่ ตั้งใจศึกษา และปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้ทุกเมื่อเทอญ. ๘. ดอกมะลิดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่ถูกรับรองแล้วว่าเป็นดอกไม้ที่หอมเย็นชื่นใจที่สุดและขาวบริสุทธิ์ที่สุดในบรรดาดอกไม้ทั้งหลายชีวิตมนุษย์ที่เป็นอยู่เช่นเดียวกับการเล่นละคร ขอให้เป็นตัวเอกที่มีชื่อเสียงที่สุด เช่นเดียวหรือลักษณะเดียวกับดอกมะลิ อย่าเป็นตัวผู้ร้ายที่เลวที่สุด และให้เห็นว่าดอกมะลินี้จะบานเต็มที่เพียง ๒-๓ ก็จะเหี่ยวเฉาไป ฉะนั้นขอให้ทำตัวให้ดีที่สุด เมื่อยังมีชีวิตอยู่ให้หอมที่สุดเหมือนดอกมะลิที่เริ่มแย้มบานฉะนั้น."จงเลือกทำแต่กรรมที่ดีๆ"๙. ทำดี ดีกว่าขอพร "จงเลือกทำแต่กรรมที่ดีๆ นะ!เตือนให้เตรียมตัวไว้ดำเนินชีวิตต่อไปเป็นคำแทนคำอวยพรอย่างสูงสุดประกอบด้วยเหตุผล เมื่อทำกรรมดีแล้ว ไม่ให้พรก็ต้องดี เมื่อทำชั่วแล้วจะมาเสกสรรปั้นแต่งอวยพรอย่างไรก็ดีไม่ได้ ทำชั่วเหมือนโยนหินลงน้ำหินจะต้องจมทันที ไม่มีผู้วิเศษใดๆ จะมาเสกเป่าอวยพรอ้อนวอนขอร้องให้หินลอยขึ้นมาได้ ทำกรรมชั่วจะต้องเล่นจมป่นปี้เสียราศีเกียรติคุณชื่อเสียงเหมือนก้อนหินหนักจมลงไปอยู่กับโคลนใต้น้ำ ทำดีเหมือนน้ำมันเบาเมื่อเทลงน้ำย่อมลอยเป็นประกายมันปลาบอยู่เหนือน้ำ ทำกรรมดี อย่อมมีสง่าราศี มีเกียรติคุณชื่อเสียง มีแต่คนเคารพนนับถือยกย่องบูชา เฟื่องฟุ้งฟูลอยน้ำเหมือนน้ำมันลอยถึงจะมีศัตรูหมู่ร้ายจงใจเกลียดชังมุ่งร้ายอิจฉาริษยาแช่งด่าให้จมก็ไม่สามารถจะเป็นไปได้ กลับจะแพ้เป็นภัยแก่ตัวเอง ขอให้จงตั้งใจกล้าหาญพยายามทำแต่กรรมดีๆ โดยไม่มีความเกรงกลัวหวั่นไหวต่ออุปสรรคใดๆทั้งสิ้น ผู้ที่มีความเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัย ผู้ที่มีโชคดี ผู้ที่มีความสุขและผู้ที่มีความเจริญประสงค์ใดสำเร็จสมประสงค์ ก็คือผู้ที่ประกอบกรรม ทำแต่ความดีอย่างเดียวนั่นเองยังมีต่ออีกน่ะฮับ
ประวัติเจ้าคุณนรฯ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิตภิกษุกายทิพย์ดังได้กล่าวแล้วว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตน ธมฺมวิตกฺโก เป็นภิกษุรูปเดียวที่เคร่งครัดต่อธรรมวินัย หาภิกษุใดในยุคปัจจุบันนี้เสมือนท่านเจ้าคุณนรรัตนหาได้ไม่ นั่นแต่ท่านบรรพชาอุปสมบทมา ๓๐ กว่าพรรษา ท่านเจ้าคุณนรรัตนยังมิเคยย่างกรายออกนอกเขตบริเวณวัดเทพศิรินทร์เลย แม้แต่ครั้งเดียว หลังจากได้บวชผ่านไปแล้ว ๑ พรรษา และไม่เคยรับนิมนต์จากญาติโยมคนใดทั้งสิ้น แต่แล้วก็ได้มีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้นบ่อยครั้งที่มีผู้พบท่านเจ้าคุณนรรัตน ไปปรากฏองค์ท่านให้เห็น ทั้งในประเทศ และต่างประเทศซึ่งข้าพเจ้า จะขอนำเอาเหตุการณ์ ประหลาดเหล่านี้มาเล่าสู่คุณผู้อ่านดังต่อไปนี้เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ตรงกับวันที่ ๑๗ พ.ย. ทางกรมการรักษาดินแดนได้จัดสร้างเหรียญ ร.๖ ขึ้นเพื่อแจกจ่ายให้แก่ประชาชนนำไปบูชาและได้ทำการพุทธาภิเศกตามวันดังกล่าวนี้ โดยนิมนต์พระคณาจารย์ที่มีชื่อเข้าร่วมทำพิธีปลุกเศก คือหลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาณมิตร, หลวงพ่อปู่อาคม วัดสุทัศน์ฯ, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม, หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม, หลวงปู่นาค วัดระฆัง, พระสุธรรมธีระคุณ วัดสระเกศ, หลวงพ่อคล้าย วัดจันดี, หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก, และพระอาจารย์ผ่อง จินดา วัดสามปลื้ม ยังได้กระทำพิธีอัญเชิญดวง พระวิญญาณของอดีตพระมหากษัตริย์ไทยแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ ร.๑ ถึง ร.๘ มาประทับทรงในร่างของนายทหารและนายตำรวจ เพื่อทรงเป็นประธานและสักขีพยาในพิธีปลุกเศกนี้ด้วยในการกระทำพิธีพุทธาภิเศกเหรียญ ร.๖ ครั้งนี้ คณะกรรมการทุกคนจะลืมนินมต์ท่านเจ้าคุณนรรัตน เสียมิได้ เพราะท่านเจ้าคุณนรรตันเป็นภิกษุรูปหนึ่งที่จงรักภักดีต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่๖ จนปวารณาตัวบวชไม่ยอมสึก และล้นเกล้ารัชกาลที่๖ ก็ทรงโปรดปรานเจ้าคุณนรรัตนเช่นเดียวกัน เมื่อมีการสร้างเหรียญ ร.๖ขึ้นครั้งนี้ คณะกรรมการจึงได้เดินทางไปนินมต์ท่านเจ้าคุณนรรัตนให้เข้าพิธีพุทธาภิเษกด้วย แต่คณะกรรมการ ก็ได้รับความผิดหวัง เพราะท่านเจ้าคุณนรรัตนไม่ยอมรับนิมนต์ออกนอกเขตวัดท่านเจ้าคุณนรรัตนได้บอกกับคณะกรรมการชุดนั้นว่า"อาตมาจะขอนั่งปรกปลุกเสกอยู่ในกุฏินี้เพื่อส่งกระแสร์จิตไปร่วมพุทธาภิเศกด้วยในครั้งนี้จนกระทั่งเสร็จพิธี"คณะกรรมการสร้างเหรียญ ร.๖ ชุดนี้จึงได้นำชื่อท่านเจ้าคุณนรรัตนประกาศให้ประชาชนทราบทั่วกันว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนได้ส่งกระแสร์จิตเข้าร่วมพิธีพุทธาภิเศกเหรียญ ร.๖ ในครั้งนี้ด้วยเมื่อประชาชนได้ทราบข่าวว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนส่งกระแสร์จิตปลุกเศกเหรียญ ร.๖ ต่างก็ทะยอยมาสั่งจอง กันเป็นจำนวนมาก แม้บางรายยังไม่เคยเห็นรูปลักษณะเหรียญ ร.๖ เลยก็ยังสั่งจองกันมากมายชั่วเวลาเพียงไม่ถึงสิบวัน ก็มีประชาชนสั่งจองเหรียญ ร.๖ ถึง ๔ หมื่นเหรียญ และเมื่อเสร็จพิธีพุทธาภิเศกก็ได้นำออกแจกจ่ายให้ประชาชนบูชาเพียงไม่นานนักเหรียญ ร.๖ ก็หมดเกลี้ยงอย่างไม่มีใครคาดถึง ทั้งนี้ก็เป็นเพราะบารมีกระแสร์จิตของท่านเจ้าคุณนรรัตนที่เข้าร่วมปลุกเศกด้วยนั่นเองเมื่อประชาชนจำนวนมากรับเหรียญ ร.๖ ไปพกติดตัว ต่างก็ปรากฏอภินิหารต่างๆ นานา ทั้งทางอยู่ยงคงกระพันและโชคลาภ จนโจษขานกันทั่วอยู่พักหนึ่ง ปรากฏการณ์สิ่งนี้เองที่มีประชาชนจำนวนมากได้ประจักษ์กันว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนมีกระแสร์จิตอันแก่กล้า สามารถส่งมาร่วมพิธีพุทธาภิเษกได้ แต่ไม่เพียงกระแสจิตเท่านั้น ท่านเจ้าคุณนรรัตนยังสามารถถอดกายทิพย์ออกไปให้ผู้อื่นพบเห็นได้อีกด้วยผู้ที่พบท่านเจ้าคุณนรรันไปปรากฏองค์ให้เห็น ก็คือมีนายทหารกลุ่มหนึ่งซึ่งมีความเลือมใสศรัทธาท่านเจ้าคุณนรรัตนมาก เมื่อครั้งได้รับคำสั่งทางราชการให้เดินทางไปสมรภูมิเวียดนาม จึงได้เดินทางมาหา ท่านเจ้าคุณนรรัตนเพื่อขอศีลขอพร และให้ท่านเจ้าคุณนรรัตนประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้เพื่อเป็นศิริมงคล ครั้นได้เดินทางไปประจำอยู่ในสมภูมิเวียดนาม ก็ได้ปะทะกับพวกเวียดกงหลายครั้ง บางครั้งอยู่ในภาวะคับขันหวุดหวิดจะได้รับอันตราย ก็ได้พบท่านเจ้าคุณนรรัตนมาปรากฏร่างช่วยเหลือคลี่คลายสถานการณ์จนพ้นภาวะคับขันไปได้ทุกครั้ง จนเป็นที่กล่าวขานกันอย่างมากมายในกลุ่มทหารกองพลเสือดำมาแล้วส่วนทางด้านสหรัฐอเมริกาก็ได้มีผู้พบเห็นท่านเจ้าคุณนรรัตนไปปรากฏมาแล้วเหมือนกัน กล่าวคือมีชาวอเมริกันผู้หนึ่งซึ่งได้เคยรู้จักกับ พ.ต.อ.ชลอ อุทกภาชน์ ได้เขียนจดหมาย เล่าเรื่องราวประหลาดมหัศจรรย์แก่ พ.ต.อ. ชลอ ว่า ได้มีเศรษฐีอเมริกันผู้หนึ่งอยู่ในนครนิวยอร์ค ได้ล้มป่วยด้วยโรคร้ายแรงโรคหนึ่ง ได้รักษาเสียเงินเสียทองมาแล้วอย่างมากมายโรคร้ายนั้นก็ไม่หาย แต่เศรษฐีอเมริกันผู้นี้เป็นผู้ใจบุญสุนทาน และประกาศตนเป็นพุทธมามะกะมาแล้ว เมื่อเสียเงินเสียทองรักษาตัวทางแพทย์ปัจจุบันมาแล้วหลายแห่ง โรคร้ายนั้นก็ไม่ยอมหาย จึงหันมาระลึกถึงพุทธคุณทางพุทธศาสนาอยู่เสมอปรากฏว่าวันหนึ่งได้มีพระภิกษุไทยรูปหนึ่ง ได้ไปเยี่ยมที่บ้านของเศรษฐีผู้นั้น และแสดงความจำนงค์ขอช่วยรักษาโรคร้าย ให้โดยการใช้กระแสร์จิตรักษา เศรษฐีผู้นั้นก็ยินยอมให้ภิกษุไทยรูปนั้นรักษาให้ และหลังจากพระภิกษุไทยรูปนั้นใช้กระแสร์จิตรักษาแล้ว ปรากฏว่าอาการป่วยของเศรษฐีผู้นั้นก็เริ่มทุเลาลงเป็นอันดับ พระภิกษุไทยรูปนั้นจึงได้บอกชื่อว่า พระภิกษุเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต พำนักอยู่ที่วัดเทพศิรินทร์ กรุงเทพฯ ประเทศไทย ทำให้เศรษฐผู้นั้นงุนงงเป็นอันมาก และหลังจากนั้นไม่นานนักอาการของเศรษฐีนั้น ก็ค่อยทุเลาและหายเป็นปกติ จึงได้บอกเพื่อนชาวอเมริกันที่คุ้ยเคยกับคนไทยในกรุงเทพฯให้ช่วยเขียนจดหมายมาถามดูว่าที่ในกรุงเทพฯ มีวัดเทพศิรินทร์ และพระภิกษุชื่อเจ้าคุณนรรัตนหรือไม่? เพื่อนของเศรษฐีอเมริกันผู้นั้นซึ่งคุ้นเคยกับ พ.ต.อ. ชลอ ก็ได้เขียนตอบไปแล้วว่ามีจริงดังที่ถามมาทุกประการอีกรายหนึ่ง ที่พบท่านเจ้าคุณนรรัตน ธมฺมวิตกฺโก ไปปรากฏร่างให้เห็นก็คือ พ.ต.ท. นายแพทย์สุภัค บรรฑุรัตน์ หัวหน้าแผนกนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ได้เล่าว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนเคยไปเยี่ยมถึงบ้าน และพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันเป็นเวลานานจึงได้ลากลับ นายแพทย์สุภัคถึงกับงุนงง เพราะเป็นผู้หนึ่งที่เลื่อมใสศรัทธาท่านเจ้าคุณนรรัตนมาก และก็ทราบว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนมิเคยย่างกรายออกจากวัดเทพศิรินทร์เลยแต่เหตุไฉนที่นเจ้าคุณนรรัตน จึงได้ไปเยี่ยมเยียนและพูดคุยกับตนถึงบ้านได้ ท่านเจ้าคุณนรรัตนต้องถอดกายทิพย์ไปอย่างแน่นอนเพื่อให้คุณผู้อ่านได้ทราบถึงเรื่องราวของ "กายทิพย์" ว่า มีจริงหรือไม่? ข้าพเจ้าก็ขอนำเอาข้อเขียนของ พ.ต.อ. ชลอ อุทกภาชน์ ธบ.น.บ.ท ผกก ตำรวจสันติบาล แผนก ๔ ผู้เชี่ยวชาญการค้นคว้าทางวิญญาณ และทางโยคะศาตร์ซึ่งเขียนไว้ในหนังสือ "แว่นส่องจักรวาล" มาลงไว้ ณ ที่นี้ด้วยก่อนอื่นที่จะกล่าวถึงกายทิพย์ของมนุษย์นั้น เราได้ศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ทางฟิสิกส์ทางด้านกายภาพและชีวภาพกันมาแล้ว แต่ตามหลักวิชาวิทยาศาสตร์ทางฟิสิคดังกล่าวหาได้กล่าวถึงเรื่องกายทิพย์ของมนุษย์ ซึ่งมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์แต่อย่างไรไม่ และนักวิทยาศาสตร์ทางจิตทั่วโลกก็หาได้กล่าวถึงเรื่องราวของกายทิพย์ของมนุษย์-แต่อย่างไรไม่ ในเรื่องกายทิพย์ของมนุษย์นั้น คงมีกล่าวไว้ในโยคะศาสตร์เท่านั้น และเป็นวิชาสำคัญสาขาหนึ่งในโยคะศาสตร์ ซึ่งผู้ที่ศึกษา โยคศาสตร์ชั้นสูงจะต้องศึกษาวิชาว่าด้วย กายทิพย์อย่างละเอียดถี่ถ้วนส่วนในพุทธศาสนานั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสเรื่องกายทิพย์ของมุนษย์ ไว้เป็นหลักฐานวในสามัญญผลสูตร ซึ่งพระองค์ทรงตรัสว่า "ผู้ที่สามารถถอดกายทิพย์ออกจากายหยาบของตนได้นั้น เสมือนหนึ่งการถอดไส้ของหญ้าปล้อง" ส่วนธรรมชาติของสภาวะของกายทิพย์นั้น ข้าพเจ้าได้ค้นคว้าจากหลักฐานในพระไตรปิฏกตอนใดของพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงเรื่องราวของกายทิพย์ ของมุนษย์อย่างละเอียด อย่างที่ได้กล่าวไว้ในโยคะศาสตร์ ส่วนหลักโยคะศาสตร์นั้นได้เรียก"วิชากายทิพย์ของมนุษย์ว่า ฮูเลียราบัด" และแบ่งออกดังนี้
๑. กายทิพย์ของมนุษย์คืออะไร?๒. กายทิพย์เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับปฏิสนธิวิญญาณอย่างไร?๓. กายทิพย์มีหน้าที่เกี่ยวสัมพันธ์กับปฏิสนธิวิญญาณอย่างไร?๔. กายทิพย์มีหน้าที่เกี่ยวข้อง สัมพันธ์กับกฏแห่งกรรมอย่างไร?๕. ทรรศนะของพุทธศาสนา ยอมรับเรื่องกายทิพย์ของมนุษย์ว่าเป็นความจริง ดังกล่าวไว้ในหลักของโยคะศาสตร์ หรือไม่เพียงใดก่อนที่ข้าพเจ้าจะอธิบายวิชากายทิพย์ ตามหลักโยคะศาสตร์ โดยละเอียดนั้นข้าพเจ้าอยากจะกล่าวถึง ปรากฏการณ์ต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นแก่ชีวิตของท่านเองหรือญาติมิตรของท่าน แต่ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่มีผู้ใดตอบได้ตามเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ หากท่านได้ศึกษาโยคะศาสตร์มาบ้างแล้ว ท่านอาจตอบปัญหาที่เกิดขึ้นเหล่านี้ได้ทันที ทั้งนี้เพราะวิชากายทิพย์ของมุนษย์นั้น ตามหลักโยคะศาสตร์ถือว่าเป็นวิทยาการว่าด้วยสภาวะธรรมชาติส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ จึงจำต้องศึกษาค้นคว้าให้รู้ถึงธรรมชาติอย่างแท้จริงของมัน แต่วิชากายทิพย์นี้เป็นเรื่องยาก สำหรับประชาชนทั่วไปจะศึกษาค้นคว้าเข้าไปถึง ผู้ที่สามารถศึกษาเรื่องราวเหล่านี้ ก็จะต้องฝึกจิตทางสมาธิให้บรรลุฌาณสมาบัติขึ้นสูง หรือบรรลุชั้นญาณโยคีเสียก่อน จึงจะสามารถศึกษาค้นคว้าวิชาอันเร้นลับเหล่านี้ได้ หากผู้ที่ไม่เคยฝึกจิตทางสมาธิเลย หรือฝึกจิตทางสมาธิเพียงขั้นต้นบุคคลเหล่านี้ก็ยังสามารถจะศึกษาสภาวะธรรมชาติของกายทิพย์ได้อนึ่งพวกเราชาวพุทธมักจะได้ยินข่าวเรื่องราวพระภิกษุบางรูป ซึ่งเป็นคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงรู้วันมรณะกรรมของตัวเอง ล่วงหน้าอย่างถูกต้อง และได้แจ้งวันเวลาเหล่านี้ให้ศิษย์หรือผู้ใกล้ชิดทราบล่วงหน้าตั้งแต่ ๓-๗ วัน ครั้นเมื่อถึงกำหนดเวลาดังกล่าว ท่านก็มรณะภาพจริงๆ พระคณาจารย์เหล่านี้ตามประวัติของท่านแทบทุกองค์ล้วนแต่ได้ฝึกจิตทางสมาธิมาเป็นเวลาช้านาน และสามารถแสดงปรากฏการณ์ทางจิตได้หลายอย่างหลายประการจนกระทั่ง ได้รับการยกย่องจากประชาชนว่า ท่านเหล่านี้เป็นบุคคลชั้น"คณาจารย์" ซึ่งเป็นการแน่นอนเหลือเกินว่าพระคณาจารย์เหล่านี้ย่อมสามารถรู้สภาวะธรรมชาติของกายทิพย์ของท่านเองท่านย่อมสามารถหยั่งรู้วันมรณะกรรมล่วงหน้าของท่านได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้เพราะกายทิพย์ของคณาจารย์ผู้นั้นจะเป็นผู้แจ้งเหตุล่วงหน้าวันมรณะภาพให้คณาจารย์ผู้นั้นทราบหากผู้ที่มิได้ฝึกทางสมาธิ และยังมิได้บรรลุฌาณสมาบัติขั้นสูงแล้วกายทิพย์ของผู้นั้น จะบอกเหตุเกี่ยวกับการมรณะกรรมของบุคคลผู้นั้นให้ทราบเหมือนกัน แต่การบอกเหตุล่วงหน้าของกายทิพย์นั้นจะแสดงออกเป็นรูปปรากฏการณ์ต่างๆ เช่นดลใจให้บุคคลผู้นั้นกล่าวอำลาตายแก่ญาติมิตรหรือผู้ใกล้ชิด หรือกล่าวเป็นทำนองว่า จะต้องจากไปโดยไม่มีวันกลับมาอีก หรือดลใจให้ผู้นั้นรับประทานอาหารมากมายผิดปกติ ซึ่งคนไทยเราเรียกว่า กินสั่ง หรือแสดงปรากฏการณ์ทางใบหน้าของบุคคลผู้นั้น โดยทำให้สีหน้าของบุคคลผู้นั้นดำหมองคล้ำผิดปกติ และต่อมาอีก ๒-๓ วัน บุคคลผู้นั้นถึงมรณะกรรมโดยปัจจุบันทันด่วนโดยไม่มีผู้ใดนึกฝันมาก่อนเลย ปรากฏการณ์ของกายทิพย์ซึ่งแสดงออกในลักษณะต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้ว เป็นการแสดงออกของกายทิพย์ของบุคคลผู้นั้นแจ้งเหตุล่วงหน้า ให้แก่บุคคลผู้นั้นทราบในทางร้าย ชาวไทยเราเรียกว่า "ลางร้าย" หากผู้นั้นจะได้รับโชคลาภหรือตำแหน่งหน้าที่ กายทิพย์ก็จะบอกเหตุให้ทราบล่วงหน้าเช่นเดียวกัน เช่นแสดงอออกทางใบหน้า หน้าตาผู้นั้นจะแจ่มใส่เบิกบานหรือแสดงออกทางร่างกาย ผู้นั้นจะรู้สึกขนลุกซู่ซ่าบางขณะชั่วขณะหนึ่ง หรือแสดงออกทางฝ่ามือ เช่นจะได้รับโชคลาภผู้นั้นมักจะรู้สึกคัน ที่ฝ่ามือเป็นระยะๆ หรือจะปรากฏผุดแดงขึ้นในฝ่ามือเหล่านี้เป็นต้น ชาวไทยเราเรียก "ลางดี"ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า ธรรมชาติของกายทิพย์ของมนุษย์นั้น มีสภาวะธรรมชาติเกี่ยวข้องกับชีวิตของบุคคลแต่ละบุคคล ตั้งแต่เข้าปฏิสนธิถึงวันมรณะ และจะแสดงให้ทราบถึง อดีตวิบากกรรม ทั้ง กรรมดี และกรรมชั่วโดยแสดงปรากฏการณ์ในลักษณะต่างๆ ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว ซึ่งท่านผู้อ่านทั้งหลายคงได้ประสบเหตุเหล่านี้มาบ้างไม่มากก็น้อย เว้นแต่เราไม่สนใจในเรื่องราวเหล่านี้ จึงมองข้ามไปเสีย หากผู้ใดได้ศึกษาสภาวะธรรมชาติของกายทิพย์ของมุนษย์แล้ว เมื่อประสพการณ์ใดๆ ย่อมจะทราบได้ทันทีว่า จะมีอะไรเกิดขึ้น แก่ตนเองหรือผู้อื่น เรื่องราวลึกลับของกายทิพย์ดังกล่าวมาแล้ว จึงได้เกิดวิชาพยากรณ์ชีวิตทางลายมือขึ้น และวิชาพยากรณ์ทางลายมือนี้ได้แผ่ขยายไปทั่วโลกในปัจจุบัน การปรากฏการณ์ในเส้นลายมือของบุคคลทุกคนในลักษณะแตกต่างกันนั้น กายทิพย์ของบุคคลผู้นั้นจะแสดงให้เห็นผลของอดีตกรรม, ปัจจุบันกรรม ประกอบกับทุกๆวัน ฉะนั้นหากผู้ใดสามารถศึกษาค้นคว้าสัญญาลักษณ์ต่างๆ ที่ปรากฏในฝ่ามือของบุคคลย่อมจะสามารถพยากรณ์ชาตาชีวิต ของบุคคลแต่ละบุคคลได้ใกล้เคียงความจริง ดังตัวอย่างซึ่งข้าพเจ้าจะยกมากล่าวประกอบ เรื่องราวลึกลับของกายทิพย์ นักพยากรณ์ลายมือที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองความสามารถและยอมรับว่า วิชาพยากรณ์ลายมือนั้นเป็นศาสตร์ที่ลึกลับศาสตร์หนึ่งหาก ศึกษาค้นคว้าให้ทราบถึงหลัก อันแท้จริงแล้ว สามารถจะล่วงรู้เหตุการณ์ เกี่ยวด้วยชีวิตในอดีตและอนาคตของบุคคลๆ ได้ถูกต้องใกล้เคียงความจริง นักพยากรณ์ลายลักษณ์ในฝ่ามือผู้นี้คือ มร. ไคโรมร. ไคโร ผู้นี้นักวิทยาศาสตร์ได้พิมพ์มือบุคคลสำคัญ ๆในสหรัฐอเมริกาประมาณ ๓๐ ราย บางรายเป็นนายแพทย์ที่มีชื่อเสียงแต่ภายหลังได้ทำการฆาตกรรมภรรยา และต้องลงโทษตามคำพิพากษาของศาล ให้ประหารชีวิตไปแล้ว บางรายก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงบางรายก็เป็นนักการเมืองคนสำคัญของสหรัฐฯ บางรายก็เป็นนักธุระกิจขั้นมหาเศรษฐีของสหรัฐฯ นักวิทยาศาสตร์ได้ส่งรายมือเหล่านี้ไปให้ มร.ไคโร พยากรณ์โดยไม่บอกชื่อและประวัติของเจ้าของลายมือเลยแม้แต่รายเดียว ครั้นเมื่อได้รับคำพยากรณ์ลายมือเหล่านี้จาก มร.ไคโร แล้ว ได้นำมาสอบประวัติของเจ้าของรายมือเพื่อเปรียบเทียบกับ คำพยากรณ์ของ มร.ไคโร ปรากฏการณ์พยากรณ์ของ มร.ไคโร ถูกต้องใกล้เคียงความจริงกับชีวะประวัติของบุคคลเจ้าของลายมือ ประมาณร้อยละเก้าสิบห้า โดยที่ มร.ไคโร ไม่เคยรู้จักว่าบุคคลที่ตนพยากรณ์ไปนั้นเป็นผู้ใด แม้แต่นักโทษที่ถูกประหารชีวิตในบั้นปลายชีวิต มร.ไคโร ก็พยากรณ์ได้ถูกต้อง และนักโทษอุกฉกรรจ์ที่ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตและตัวยังมีชีวิตอยู่ มร.ไคโร ก็พยากรณ์ได้ถูกต้องแม่นยำ การที่ มร.ไคโรสามารถพยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตของแต่ละบุคคลที่ถูกต้อง จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์ยอมรับวิชาพยากรณ์ลายมือเป็นศาสตร์ๆ หนึ่งนั้น ก็เพราะ มร.ไคโรสามารถอ่านลายลักษณ์ต่างๆ ในฝ่ามือของบุคคลแต่ละคนซึ่งกายทิพย์ของบุคคลนั้น แสดงปรากฏการณ์ไว้อย่างละเอียดถูกต้อง
๑. กายทิพย์คืออะไร? (ASTRAL BODY OR SUBTLE BODY)ธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ (PHYSICAL BODY) นั้นต่างหลักวิทยาศาสตร์ ทางฟิสิคส์ทางกายภาพและชีวะภาพนั้น ได้ศึกษาค้นคว้าเพียงร่างกายหยาบ (PHYSICAL BODY) ของมนุษย์เท่านั้นส่วนกายทิพย์ (ASTRAL BODY OR SUBTLE BODY) ของมนุษย์ซึ่งซ้อนอยู่ในกายหยาบอีกชั้นหนึ่งทางวิทยาศาสตร์ยังศึกษาค้นคว้าเข้าไปไม่ถึง กายทิพย์ของมนุษย์ก็คือ กายอีกกายหนึ่งได้ซ้อนอยู่ภายในกายหยาบของมนุษย์นั่นเองและกายทิพย์นี้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เกี่ยวด้วยสภาวะชีวิตของบุคคลแต่ละคน ปรากฏการณ์เกี่ยวกับกายทิพย์ของมนุษย์นี้ ทางวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถให้คำตอบได้โดยตรง เพียงแต่ให้ข้อสมมุติฐานว่าเกิดจากอำนาจจิตบ้าง เกิดจากอำนาจของประสาทที่หกบ้าง แม้นักวิทยาศาสตร์ทางจิตเช่นศาสตราจารย์ เจ. บี ไรน์ แห่งมากวิทยาลัยดุคย์และคณะ ซึ่งได้ค้าคว้าไปถึงขึ้นปรจิตวิทยา (PARAPSYCHOLOGY) ก็ตาม แต่ก็ได้ให้คำตอบเกี่ยวกับปรากฏการณ์ของกายทิพย์ ให้บางกรณีว่าเกิดจาก อำนาจญาณพิเศษ (EXTRA SFNSORYPERCEPTION)นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ได้ประพันธ์วิทยานิพนธ์ เกี่ยวด้วยเรื่องปรจิตวิทยา (PARA PSYCHOLGY) ไว้หลายเล่นด้วยกัน ซึ่งวิทยานิพนธ์เหล่านี้ สถาบันทางวิทยาศาสตร์ทางจิตทั่วโลกยอมรับรอบแล้วก็ตาม แต่ข้อความในวิทยานิพนธ์เหล่านี้เท่าที่ข้าพเจ้าได้ศึกษาค้นคว้ามาแล้ว ไม่ปรากฏว่าได้กล่าวถึงกายทิพย์ของมนุษย์ไว้ตอนใดเลยแต่ตามหลักโยคะศาสตร์นั้น ถือว่าวิชากายทิพย์ หรือฮูเลียราบัด นี้เป็นวิทยาการสำคัญที่สุดสาขาหนึ่งเกี่ยวด้วยสภาวะธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ และผู้ที่ศึกษาวิชาโยคะศาสตร์ชั้นสูง ตั้งแต่ญาณโยคีขึ้นไปจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องศึกษาค้นคว้า วิชากายทิพย์ของมนุษย์โดยละเอียด ลักษณะของกายทิพย์ของมนุษย์ (ASTRAL BODY)นั้นมีลักษณะเป็นกายละเอียด เป็นรูปการรวมตัวของอีเทอร์ (ETHEREAL FORM) หรือการรวมของอนู เป็นรูปวัตถุโปร่งแสงไม่อาจจับต้องได้ และไม่อาจแลเห็นด้วยตาเปล่า เว้นแต่บุคคลบางคนฝึกจิตทางสมาธิจนกระทั่ง จิตของบุคคลผู้นั้นบรรลุถึงวิสุทธิจิตขั้นโลกียฌาณขั้นสูง (CPSMIC SUPER CONSCIOUSNESS) หรือบรรลุขั้นญาณโยคี จึงจะสามารถมองเห็นกายทิพย์ของตนเองและของผู้อื่นได้และบางคนหากฝึกจิตให้มีพลังงานเข็มแข็ง อาจจะส่งกายทิพย์ของตนไปให้ผู้อื่นเห็นได้ทั้งเวลาหลับและตื่น ในระยะไกลเท่าใดก็ได้โดยไม่จำกัดระยะทาง ดังตัวอย่างศาสตราจารย์พอลบรันตั้น (PAUL BRUNTON) ได้เดินทางไปค้นคว้าความลึกลับในประเทศอินเดีย ได้ประสพการณ์โยคีองค์หนึ่งชื่อมหาฤาษีได้ถอดกายทิพย์ จากอาศรม เชิงเขาหิมาลัย มาพบกับศาสตร์จารย์พอลบรันตั้นเวลาตื่นๆ ณ ที่พักในโรงแรมแห่งหนึ่งในเวลากลางคืนและกายทิพย์ของโยคีผู้นั้น ได้สนทนาปัญหาเรื่องปรัชญา กับศาสตร์จารย์พอลบรันตั้น ต่อจากตอนที่ได้สนทนากันเมื่อตอนกลางวัน ท่านอาจารย์ผู้นี้ ได้กล่าวถึงเรื่องราวลึกลับเหล่านี้ไว้เป็นหลักฐาน ในหนังสือเรื่อง A Search In Secret Indiaร่างกายของมนุษย์เรา (PHYSIBAL BODY) ตามหลักโยคะศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า ธรรมชาติได้แบ่งร่างกายมนุษย์ไว้ ๓ ขั้นคือก. กายหยาบ หรือร่างกายของเราซึ่งสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า และสามารถจับต้องได้(PHYSICAL BODY) ข. กายทิพย์ (ASTRAL BODY OR SUBTLE BODY) คือกายละเอียดแบบรูปอนูรวมตัวหรือรูป แบบอีเทอร์ (ETHEREAL FORM) กายทิพย์ของมนุษย์นั้นได้ตั้งซ้อนอยู่ภายในกายหยาบอีกชั้นหนึ่ง และธรรมชาติของกายทิพย์นี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับกายหยาบและชีวิตของมนุษย์ทุกคน และกายทิพย์ของมนุษย์จะแสดงปรากฏการณ์ของวิบากกรรม ทั้งในปัจจุบันและอนาคตให้บุคคลผู้นั้นทราบล่วงหน้า ก่อนที่บุคคลผู้นั้นจะได้รับผลแห่งกรรมนั้นทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว และพลังงานของวิบากกรรมของผู้นั้นจะเป็นแรงส่งให้กายทิพย์พาวิญญาณผู้นั้นไปเกิดในภพใหม่ เมื่อหลังจากมรณะกรรมไปแล้ว นอกจากนั้นพลังงานของอดีตกรรมจะให้ผลในทางปรุงแต่งกายทิพย์ ของบุคคลที่สร้างกรรมดีให้มาเกิด ในรูปร่างสวยสดงดงามและสง่าผ่าเผย ส่วนผู้ที่สร้างกรรมชั่วผลแห่งกรรมย่อมปรุ่งแต่งกายทิพย์ ที่จะมาเกิดในภพใหม่ให้มีรูปชั่วขาดบุคคลิกภาพ เมื่อพลังงานของอดีตกรรมปรุงแต่งกายทิพย์ ที่จะมาเกิดในภพใหม่ให้มีรูปชั่วขาดบุคลิกภาพเมื่อพลังงานของอดีตกรรมปรุงแต่งกายทิพย์ในลักษณะใดแล้ว กายหยาบของผู้นั้นย่อมมีสภาพเช่นเดียวกับกายทิพย์ทุกประการ นอกจากนั้นกายทิพย์ของบุคคลนั้น ยังมีหน้าที่เป็นพาหะ และเปลือกของปฏิสนธิวิญญาณในการที่จะนำจุติและปฏิสนธิอีกด้วยค. ดวงวิญญาณ หรือปฏิสนธิวิญญาณของมนุษย์ หรือคันธัพโพ (SPIRIT, SOUL, EGO, PSYCHICAL ELFMENT) ซึ่งตั้งซ้อมภายในกายทิพย์และสิงสถิตย์อยู่ที่ต่อม "นอสูรนลาห์" ต่อมนี้แพทย์แผนปัจจุบันเรียกว่า "ต่อมเมดัลลา" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมันสมองเหนือท้ายทอยง. กายทิพย์ของมนุษย์นั้น จะขยายตัวให้เล็กหรือใหญ่ได้โดยอัตโนมัติขณะที่เป็นพาหะนำปฏิสนธิวิญญาณเข้าปฏิสนธิในครรภ์มารดานั้น กายทิพย์และวิญญาณของบุคคลนั้นจะเข้ารวมตัวกับเซลของตัวอ่อนของทารก และกายทิพย์ของบุคคลผู้นั้นจะช่วยปกปักรักษาเซลของตัวอ่อนของทารกให้เจริญเติบโต จนกระทั่งครบกำหนดคลอด และเซลของทารกนี้จะวิวัฒนาการกลายมาเป็นต่อมนอสูรนลาห์ หรือเมดัลลาในภายหลัง และเมื่อทารกได้คลอดออกจากครรภ์มารดาในระยะ ๑ ถึง ๔๕ วัน กายทิพย์ของทารกผู้นั้นก็จะคอยคุ้มครองทารกผู้นั้นอยู่ตลอดเวลา การปรากฏการณ์ของกายทิพย์ของทารกในระยะคลอดใหม่ๆ ชาวไทยเราสมมุติชื่อให้ว่า "แม่ซื้อ" การปรากฏการณ์ของกายทิพย์ต่อทารกในระยะนี้จะสังเกตุเห็นกริยาของทารก บางครั้งมีกิริยายิ้มแย้ม แสดงความพึงพอใจ ประหนึ่งว่ามีผู้มาหยอกล้อ๒. กายทิพย์ของมนุษย์นั้นมีหน้าที่เกี่ยวข้องความสัมพันธ์กับกายหยาบของบุคคลนั้น ตลอดเวลาที่ผู้นั้นมีชีวิตอยู่และมีหน้าที่แจ้งเหตุการณ์ต่างๆ ให้ผู้นั้นทราบล่วงหน้า หากวิบากกรรมดีหรือกรรมชั่วจะให้ผลแก่บุคคลผู้นั้น โดยวิบากกรรมของบุคคลผู้นั้นจะสร้างภาพต่างๆ ให้กายทิพย์ทราบโดยทางนิมิต บางครั้งก็แสดงปรากฏออกทางใบหน้าท่าทางต่างๆ ผิดปกติหรือบางครั้งก็แสดงปรากฏการณ์ต่างๆ ทางฝ่ามือหรือ ณ ที่แห่งอื่นๆ ของกายหยาบ๓. กายทิพย์ของมนุษย์มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับปฏิสนธิวิญญาณของบุคคลผู้นั้น คือเป็นเปลือก (SHEEL) และพาหะ (SPRITUAL CONVEYANCE) ของปฏิสนธิวิญญาณของบุคคลผู้นั้น และมีหน้าที่นำปฏิสนธิวิญญาณ ของบุคคลผู้นั้นจุติและปฏิสนธิอยู่ตลอดไป หากบุคคลผู้นั้นยังไม่บรรลุถึงนิพพาน ระหว่างที่กายทิพย์พาวิญญาณออกจาร่างกหยาบในขณะที่บุคคลผู้นั้นจะตื่นหรือหลับก็ตาม จะมีสายใยชีวิตเชื่อมโยงระหว่างกายทิพย์กับกายหยาบ(VITAL EOREC CORD) หากสายใยชีวิตซึ่งเชื่อมโยงระหว่างกายทิพย์กับกายหยาบ ขาดออกจากกันเมื่อใด แล้วบุคคลผู้นั้นจะถึงแก่กรรมทันที
๔. กายทิพย์มีหน้าที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับกฏแห่งกรรมดังต่อไปนี้คือก. กายทิพย์ของมนุษย์นั้น ตามหลักของโยคะศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่าอยู่ปัจจุบันกรรมอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากกระแสร์คลื่นของกรรมแต่ละบุคคลได้เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ การเปลี่ยนแปลงของกะแสร์คลื่นของกรรมนี้เองกายทิพย์ย่อมจะรู้ล่วงหน้าว่า กระแสร์คลื่นแห่งกรรมเหล่านี้จะให้ผลแก่ผู้ก่อกรรมเมื่อใด เมื่อกายทิพย์ทราบเหตุล่วงหน้าของกระแสร์ของวิบากกรรมจึงแจ้งเหตุเหล่านี้มายังกายหยาบ ของบุคคลผู้นั้นทันที หากบุคคลผู้นั้นฝึกจิตบรรลุฌาณสมบัติขึ้นสูง กายทิพย์จะบอกเหตุการณ์เหล่านั้นโดยปรากฏการณ์ต่างๆ ทางจิตให้ผู้นั้นทราบ ตัวอย่างเช่น คณาจารย์บางท่านทราบวันมรณะภาพของตนได้อย่างถูกต้อง หากบุคคลผู้ฝึกจิต ยังไม่บรรลุฌาณสมบัติขึ้นสูง หรือบุคคลทั่วไป กายทิพย์ของบุคคลผู้นั้นจะบอกเหตุล่วงหน้าโดยทางฝัน หรือปรากฏการณ์อื่นๆ ดังได้กล่าวมาแล้วเมื่อใกล้จะมรณะพลังงานของวิบากกรรมของบุคคลผู้นั้น จะสร้างภาพกรรมนิมิตให้ ปฏิสนธิ วิญญาณยึดเหนี่ยวก่อนกายทิพย์จะพาปฏิสนธิวิญญาณของบุคคลผู้นั้น ไปเกิดในภพใหม่และอิทธิพล ของคลื่นกระแสร์กรรมนี้ จะเปลี่ยนแปลงรูปร่างของกายทิพย์ในทางดีหรือทางเลวในขณะปฏิสนธิในภพใหม่ด้วย การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของกายทิพย์ของผู้นั้นจะมีผลทางกายหยาบของผู้ที่มาเกิดในภพใหม่ เช่นผลของวิบากกรรมของบุคคลผู้นั้นส่งผลในทางชั่ว กายทิพย์ของผู้นั้นก็จะวิกลวิกาล กายหยาบของบุคคลผู้นั้นเกิดมาย่อมมีรูปร่างลักษณะวิกลวิกาลด้วย หากผลของวิบากกรมให้ผลในทางดี กายทิพย์ของบุคคลผู้นั้นจะมาเกิดในภพใหม่ย่อมมีรูปร่างงดงามสง่า มีบุคคลิกลักษณะดี กายหยาบของบุคคลผู้นั้นย่อมรูปร่างงดงามสง่าและมีบุคลิกดีด้วย บางขณะกายทิพย์ของบุคคลบางคนได้ออกจากร่างในขณะที่ผู้นั้นยังตื่นอยู่และไปเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นจริง ครั้นกายทิพย์ของบุคคลผู้นั้นกลับเข้ากายหยาบบุคคลผู้นั้นได้สติบางรายถึงกับร้องเอะอะโวยวาย ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เหมือนหนึ่งกายหยาบของตนได้ไปประสพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ตัวอย่างเช่นนางเอม่า สจ๊อต มีภูมิลำเนาอยู่ ณ เมือนแอนโตนิโอ มลรัฐเท็กซัสสหรัฐอเมริกา ในต้นปี ค.ศ. ๑๙๓๘ นาย ซี.พี. สจ๊อต สามีของนางมีอาชีพเป็นต้นหนของเรือเดินสมุทรลำหนึ่งเดินทางระหว่างสหรัฐอเมริกากับอเมริกาใต้ ครั้นวันที่ ๓๐ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๓๘ นางสจ๊อตกำลังนั่งเย็บผ้าในห้องนั่งเล่นเวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น. นางสจ๊อตได้เห็นภาพสามีตนถูกกลาสีในเรือเดินสมุทรลำนั้นใช้อาวุธปืนสั้นยิงศีรษะถึงแก่กรรมในห้องเก็บพัสดุ นางจึงลุกขึ้นร้องโวยวายขอร้องให้ชาวย้านใกล้เคียงช่วยเหลือ ขณะที่นางเห็นภาพเหตุการณ์ ซึ่งสามีของนางประสพเคราะห์กรรมนั้นเรือเดินสมุทรลำนั้นกำลังเดินทาง ห่างจากฝั่งของสหรัฐอเมริกาประมาณ ๒๐๐ ไมล์เศษครั้นต่อมาหลังจากที่นางได้เห็นเหตุการณ์ของสามีประมาณ ๔ ชั่วโมง นางจึงได้รับโทรเลขแจ้งข่าวร้ายจากเรือเดินสมุทรลำนั้นว่า สามีของนางได้ถูกกลาสีเรือใช้ปืนยิงถึงแก่ความตาย ในวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๑๙๓๘ เวลา ๑๑.๐๐ น. จริง ข่าวของนางสจ๊วตได้เห็นภาพสามีประสพเคราะห์กรรมในเรือเดินสมุทร ซึ่งเดินทางห่างจากฝั่งถึง ๒๐๐๐ ไมล์นั้นนักวิทยาศาสตร์ทางจิตแห่งสหรัฐอเมริกาได้บันทึกไว้เป็นหลักฐานในเอกสารของสมาคมค้นคว้าทางจิต และวิจัยมีความเห็นว่านางสจ๊วตเห็นเหตุการณ์ครั้งนี้เพราะประสาทที่หกของนาง ส่วนนักจิตวิทยาในกลุ่มของศาสตราจารย์ เจ.บี. ไรน์ มีความเห็นว่าการเห็นภาพเหตุการณ์ของสามีของนางได้ถูกต้องตรงกับความจริงนั้น เพราะญาณพิเศษ (EXTRASENSORY PERCEPTION) ของนาง แต่ตามหลักโยคะศาสตร์ให้คำตอบได้ว่า "ขณะที่สามีของนางถูกยิงก่อนวิญญาณจะออกจากร่างได้โทรจิตติดต่อมาให้นางทราบ ขณะที่มีโทรจิตติดต่อมานั้นกระแสร์จิต ของสามีของนางมีความแรงกว่าปกติเป็นเพราะกระแสจิตครั้งสุดท้าย ก่อนที่วิญญาณจะออกจากร่าง เมื่อนางสจ๊วตได้รับสัมผัสทางกระแสร์จิตจากสามีแล้วกายทิพย์ของนางจึงแยกออกจากกายหยาบ โดยนางไม่รู้สึกตัวและกายทิพย์ของนางติดตามกระแสร์จิตของสามีไปยังที่เกิดเหตุ ในทันทีทันใด นางจึงเห็นภาพสามีถูกฆาตรกรรมเหมือนกับกายหยาบไปเห็นเหตุการณ์มาด้วยตนเอง ครั้งกายทิพย์กลับเข้ากายหยาบตามเดิมแล้ว นางจึงรู้สึกตัวร้องเอะอะโวยวายของความช่วยเหลือ จากเพื่อนบ้างใกล้เคียงประเพณีโบราณของชาวอินเดียวบางกลุ่มใช้วิธีต้อนรับกายทิพย์ด้วยบายศรีษะและผูกข้อมือด้วยสายสิญจน์ ประเพณีเหล่านี้ได้ตกทอดมายังประเทศไทย ซึ่งบางจังหวัดในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือได้ต้อนรับบุคคลสำคัญ หรือผู้มีอายุบางคนด้วยพิธีสู่บางศรีและผูกสายสิญจน์ข้อมือ การที่ต้อนรับบุคคลบางคนด้วยบายศรีและสายสิญจน์นั้น ตามหลักโยคะศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า บายศรีเป็นเครื่องสูง และเป็นเครื่องสัการะบูชาเทพย์เท่านั้น หากบุคคลผู้ใดได้รับการสักการะบูชาด้วยบายศรีแล้ว กายทิพย์ของบุคคลผู้นั้น จะบังเกิดความอิ่มเอิบปิติยินดีเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันผู้นั้นจะเกิดพลังงานลึกลับทางจิตโดยผู้นั้นไม่รู้สึกตัว เช่นเกิดความรู้สึกว่าร่างกายพองใหญ่ขึ้นกว่าเดิม บางขณะประเพณีของอินเดียโบราณได้กล่าวมาแล้ว มักจะกระทำการต้อนรับแก่บุคคลสำคัญๆ เท่านั้น เช่นกษัตริย์ผู้ครองนคร หรือกุฏราชกุมารหรือมเหษีของพระมหากษัตริย์เป็นต้น นอกจากนั้นมักจะทำพิธีต้อนรับนักรบที่กระทำการรบได้ชัยชนะแก่ข้าศึก แต่บางกรณีใช้พิธีแก้ผู้เสียขวัญโดยประสพการณ์บางอย่างและเกิดความตกใจกลัวถึงขนาด ก็อาจใช้พิธีต้อนรับกายิพทย์ด้วยบายศรีบ้างเหมือนกัน ส่วนสายสิญจน์ที่ใข้ผูกข้อมือนั้นก็เพื่อใช้เป็นสื่อติดต่อ กับายศรีเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้กายทิพย์ของบุคคลนั้นได้รับรู้ว่าตนถูกต้อนรับบูชาด้วยบายศรีผู้ที่ฝึกจิตทางสมาธิจนกระทั่งบรรลุฌาณสมาบัติชั้นสูงแล้ว อาจจะถอดกายทิพย์ของตนเอง ออกจากกายหยาบและสามารถท่องเที่ยวไปในระยะทางไกลๆ โดยไม่จำกัดระยะทางและสามารถพากายทิพย์ของผู้อื่นออกจากกายหยาบออกไปท่องเที่ยวไปในอวกาศได้ ดังตัวอย่างศาสตราจารย์พอลบรันตั้นได้ประสพเหตุการณ์เหล่านี้ด้วยตัวเองมาแล้ว กล่าวคือโยคีมหาฤษีได้ถอดกายทิพย์ของศาสตราจารย์พอลบรันตั้นขึ้นไปท่องเที่ยวในอวกาศ ชั่วขณะหนึ่ง ท่านศาสตราจารย์ผู้นี้ได้กล่าวไว้เป็นหลักฐานในหนังสือชื่อ A SEARCH IN SECRET INDIA ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วเบื้องต้นว่า ตามหลักโยคะศาสตร์กล่าวว่า ระหว่างที่มนุษย์มีชีวิตอยู่ในขณะที่กายทิพย์พาวิญญาณออกจากร่าง ทั้งเวลาหลับเวลาตื่นก็ดี จะมีสายใยชีวิต (VITAL FORCE CORD) เชื่องโยงระหว่างกายทิพย์และกายหยาบเหมือนเส้นใยแมลงมุม และเส้นใยชีวิตนี้จะยืดออกไปไกลได้โดยไม่จำกัดระยะความยาว และเส้นใยชีวิตนี้จะบังคับปราณต่างๆ ในร่างกายให้ทำงานโดยปกติ เช่นหัวใจก็จะสูบฉีดโลหิตไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้ทำงานโดยปกติ ปอดก็จะทำหน้าหายใจตามปกติ เว้นแต่ผู้ฝึกจิตบรรลุสมาบัติขั้นสูงแล้ว หากจะบังคับกายทิพย์ของตน ออกจากร่างกายหยาบในเวลาตื่นๆ หัวใจก็ดี ปอดก็ดี วงจรของโลหิตของบุคคลผู้นั้นจะทำงานน้อยกว่าปกติ หากผู้ใดฝึกจิตทางสมาธิบรรลุถึงขึ้นจตุถฌาณแล้ว เวลาถอดกายทิพย์ออกจากกายหยาบ ปอดของบุคคลผู้นั้น ทำงานน้อยที่สุด เกือบจะหยุดเอาเลยหัวใจก็เกือบจะหยุดเต้น วงจรของโลหิตก็จะหมุนเวียนช้าลง พวกโยคีที่บรรลุถึงขั้นจตุถฌาณสามารถบังคับปอดและหัวใจของตนให้หยุดทำงานได้นั้น ข้าพเจ้าเคยฟังจากปากคำมหาเศรษฐีทอดสลิค เมื่อคราวที่มหาเศรษฐีผู้นี้เดินทางเข้าพบกับข้าพเจ้า และนายแพทย์เชียรฟังว่า ท่านได้ทดลองให้โยคีบางองค์ในอินเดียบังคับปอดให้หยุดทำงานโดยใช้เครื่องอีกเล็คตรอนิค และนายแพทย์ในคณะของท่านตรวจสอบ ปรากฏว่าโยคีเหล่านี้สามารถบังคับปอดให้หยุดทำงานครั้งหนึ่ง เป็นเวลาถึง ๑ ชั่วโมง ขณะที่ปอดของโยคีผู้นั้นหยุดหายใจนั้น นอกจากจะใช้เครื่องมือทางอีเล็คตรอนิคตรวจสอบแล้วยังได้ใช้แผนกกระจกรองที่รูจมูกของโยคีผู้นั้นตลอดเวลา ปรากฏว่าที่แผ่นกระจกไม่มีไอน้ำออกมาเลย แสดงว่าโยคีผู้นั้นสามารถบังคับปอดของตนให้หยุดทำงานได้จริงๆ และต่อมานายทอมสลิคขอให้โยคีผู้นั้นบังคับหัวใจให้หยุดเต้นโดยใช้เครื่องมืออีเล็คตรอนิค วัดการเต้นของหัวใจประกอบ และให้นายแพทย์คอยจับชีพจรของโยคีผู้นั้นอยู่ตลอดเวลา ปรากฏว่าเข็มซึ่งแสดงการเต้นของหัวใจในเครื่องมืออีเล็คตรอนิคหยุดสนิทไม่เต้นขึ้นเต้นลง เป็นเส้นขีดไปเฉยๆ และการตรวจสอบชีพจรของนายแพทย์ก็ปรากฏว่าชีพจรของโยคีผู้นั้นเต้นแผ่วเบาลง จนกระทั่งหยุด แสดงว่าหัวใจของโยคีผู้นั้น หยุดสนิทลงเป็นเวลากว่า ๓๐ นาที และต่อจากนั้นเมื่อโยคีผู้นั้นลืมตาขึ้นปอดและหัวใจก็เริ่มทำงานเป็นปกติ นายแพทย์ผู้ที่ได้ร่วมทดสอบกับนายทอมสลิคได้ตรวจอาการของโยคีผู้นั้น ในเวลาต่อมาก็ไม่ปรากฏว่ามีอาการผิดอย่างไรเกี่ยวกับร่างกายของโยคีผู้นั้น นายทอมสลิคได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าได้ถ่ายภาพยนต์เรื่องราวเหล่านี้ไว้โดยละเอียดทุกแง่ทุกมุม เพราะเป็นปรากฏการณ์ทางจิตชนิดหนึ่งซึ่งได้กล่าวไว้ในตำราโยคะศาสตร์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ทางจิตทางตะวันตกยังไม่มีผู้ใดค้นคว้าเข้าไปถึง และไม่สามารถจะปฏิบัติได้เช่น พวกโยคีในประเทศอินเดีย การที่ท่านมหาเศรษฐีผู้นี้ได้เดินทางมาพิสูจน์อิทธิปาฏิหาริย์ ของพวกโยคีในอินเดียดังกล่าวมาแล้ว ก็เพราะท่านสนใจในเรื่องราวลึบลับนี้ตั้งแต่ท่านมีอายุได้ ๑๔ ปี และท่านได้ค้นคว้าประมาณ ๓๐ ปี และพยายามนำเครื่องทางวิทยาศาสตร์มาใช้ประกอบในการค้นคว้าทดลองด้วยทุกครั้ง การที่ข้าพเจ้าไว้นำเรื่องราวการทดสอบของมหาเศรษฐีทอมสลิคมากล่าว ณ ที่นี้ก็เพื่อแสดงให้ให้เห็นว่าเรื่องราวต่างๆ ที่กล่าวไว้ในหลักโยคะศาสตร์นั้น สามารถพิสูจน์ทดสอบได้ทางหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ หาใช่เป็นเครื่องที่กล่าวไว้โดยปรากศจากมูลความจริงไม่ หลักฐานต่างๆ ซึ่งได้กล่าวไว้ในปรัชญาและคำสอนของโยคะศาสตร์นั้น ท่านมหาเศรษฐีทอมสลิคผู้นี้ก็มีความสนใจเป็นอย่างมาก ถึงกับเดินทางมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงเหล่านี้กับพวกโยคีในประเทศอินเดีย เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นเวลาถึง ๖๐ วัน โดยใช้นักวิทยาศาสตร์และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องประกอบในการพิสูจน์ด้วยทุกครั้ง และได้ข้อมูลหลักฐานมากมายที่เชื่อถือได้ หลักปัชญาและคำสอนต่างๆ ของโยคะศาสตร์ก็ดี ของพุทธศาสนาก็ดี ยังเป็นเรื่องราวลึกลับซึ่งไม่สามารถจะนำหลักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญาได้ยอมยกระดับไว้ในชั้นวิชา "ปรัชญา" (METAPHYSIC) ซึ่งเป็นหน้าที่ของพวกเราจะต้องค้นคว้าและนำออกมาตีปแผ่ต่อประชาชนต่อไปยังมี
๕. ทรรศนะของพุทธศาสนายอมรับว่ากายทิพย์มนุษย์มีจริงหรือไม่นั้น ข้าพเจ้าได้ค้นคว้าในหลักฐานพระสูตรต่างๆ ของพุทธศาสนาโดยละเอียดแล้วได้พบข้อความตอนหนึ่งในสามัญญผลสูตรซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสเรื่องราวเกี่ยวกับกายทิพย์ของมนุษย์ความว่า "บุคคลผู้ถอกกายทิพย์ของตนออกจากายหยาบได้นั้น เสมือนหนึ่งการถอดไส้ของหญ้าปล้อง" และกายทิพย์ของมนุษย์หรือกายทิพย์ของพวกโอปปาติกะนั้น ศัพย์ทางพุทธศาสนาเรียกว่า "อทิสมานกาย" หรือแปลว่ากายที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เรื่องราวของกายทิพย์ของมนุษย์นั้นทรรศนะของพุทธศาสนา ก็ยอมรับว่าเป็นความจริงตามที่ได้กล่าวไว้ในวิชาโยคะ ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเห็นว่าเป็นเรื่องของโลกียวิชา ไม่จำต้องนำมากล่าวไว้ในหลักธรรมของพุทธศาสนา และอีกประหนึ่ง เป็นเรื่องลึกลับยากที่บุคคลธรรมดาจะเข้าใจได้ เว้นแต่ผู้ที่ปฏิบัติจิตทางสมาธิ จนกระทั่งบรรลุฌาณสมาบัติขั้นสูงแล้วเท่านั้น จึงสามารถล่วงรู้และเข้าใจสภาวะธรรมชาติของกายทิพย์ได้ ดังเช่นตัวอย่างภิกษุในพุทธศาสนาบางองค์ซึ่งสามารถรู้วันมรณะกรรม ล่วงหน้าดังกล่าวมาแล้วเรื่องสายใยชีวิตซึ่งเชื่อมโยงระหว่างกายหยาบและกายทิพย์ซึ่งข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะบังคับปราณต่างๆ ให้ทำงาน ตามปกติในขณะที่กายทิพย์พาวิญญาณแยกออก หากเส้นใยชีวิตขาดสบั้นออกจากกันเมื่อใดแล้ว ผู้นั้นจะถึงแก่กรรมทันที่ ฉะนั้นข้าพเจ้าใคร่ขอเตื่อนผู้ที่ฝึกจิต ทางสมาธิใหม่ๆ หรือผู้ที่ฝึกจิตทางสมาธิสมถกัมมัฏฐาน หรือวิปัสนากรรมมัฏฐานบางท่านกับคณาจารย์ที่ไม่มีความรู้ถึงสภาวะธรรมชาติของกายทิพย์ และวิญญาณของมนุษย์เมื่อศิษย์ของตนได้สมาธิเพียงขั้นต้น ก็เริ่มพากายทิพย์และวิญญาณออกท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ โดยใช้กายทิพย์ของตนเป็นผู้พา ครั้นศิษย์ผู้นั้นอยู่ลำพังก็เกิดการอย่างรู้อยากเห็นสิ่งต่างๆ ซึ่งตนไม่เคยเห็นด้วยตาเปล่า จึงถอดกายทิพย์ของตนออกท่องเที่ยวโดยลำพัง หากศิษย์ผู้นั้นฝึกจิตทางสมาธิยังไม่ได้โดยสมบูรณ์ กายทิพย์ของศิษย์ผู้นั้นได้ออกจากกายหยาบไปไกลเกินกว่าพลังงานของจิตจะควบคุมถึงสายใยของตนได้ เส้นสายใยชีวิตอาจจะขาดสบั้นลงได้ และศิษย์ผู้นั้นก็จะถึงแก่กรรมทันที ถึงเรามักจะได้ยินข่าวเสมอว่าบางท่านนั่งทางฝึกจิตทางสมาธิตามหลักสมถกัมมัฏฐาน หรือวิปัสนากัมมัฏฐานได้ถึงแก่กรรมไปเฉยๆ ในขณะที่นั่งฝึกจิตทางสมาธิทั้งๆ ที่ท่านผู้นั้นไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อนเลย การชันสูตร์ศพตามหลักแพทย์แผนปัจจุบันก็คงสรุปความเห็นว่า ผู้นั้นถึงแก่กรรมโดยหัวใจวาย " แต่เรื่องราวซึ่งลึกลับซับซ้อนเกี่ยวกับสายใยชีวิตซึ่งเชื่อมโยงระหว่างกายทิพย์กับกายหยาบได้ขาดสบั่นลง เนื่องจากบุคคลผู้นั้นออกท่องเที่ยวไปในระยะไกลเกินสมควร ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ทำให้ผู้นั้นมรณะกรรมนั้น แพทย์แผนปัจจุบันไม่มีทางทราบได้เลย แต่การมรณะกรรมของบุคคลผู้เคราะห์ร้ายในแบบนี้ หากขอร้องให้ผู้เชี่ยวชาญทางฌาณสมาบัติตามกายทิพย์ผู้นั้นให้กลับคืนเข้ากายหยาบและต่อเส้นใยชีวิต ให้ติดตามเดินผู้นั้นอาจกลับฟื้นชีวิตขึ้นมาอีกก็ได้ บุคคลที่ประสพมรณะกรรมลักษณะดังกล่าวมาแล้วอาจารย์โยคีของข้าพเจ้าท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเคยช่วยชีวิตบุคคลเหล่านี้ให้กลับฟื้นชีวิตมาแล้วหลายรายด้วยกัน หากแจ้งเหตุให้ท่านทราบทันก่อนที่กายหยาบของบุคคลผู้นั้นจะเสื่อมสลายเสียก่อน แต่สำหรับผู้ที่ฝึกจิตบรรลุถึงขั้นฌาณสมาบัติขั้นสูงแล้วย่อมมีพลังงานทางจิตควบคุมสายใยชีวิตของตนได้ แม้กายทิพย์จะพาวิญญาณแยกออกจากกายหยาบเป็นระยะไกลสักเพียงใดก็ตาม สายใยชีวิตของบุคคลผู้นั้นจะไม่มีวันขาดสบั้นอย่างเด็ดขาดเพราะสามารถบังคับควบคุมกายทิพย์ของตน ให้กลับเข้าร่างกายหยาบเมื่อไรก็ได้ตามแต่จิตปราถนา ตัวอย่างเช่นโยคีบางคนในประเทศอินเดียสามารถฝังตัวเองลึงลงใต้พื้นอินถึง ๑๐๐ ฟุต เป็นเวลาถึง ๖๐ วัน ครั้นเมื่อครบกำหนดแล้วสานุศิษย์ได้ขุดร่างโยคีผู้นั้นขึ้นมากระทำปฐมพยายาลเพียงชั่วครู่เดียว โยคีผู้นั้นก็กลับฟื้นคืนสติขึ้นมาตามเดิม การที่โยคีเหล่านี้สามารถฝังตัวเองอยู่ภายใต้พื้นดินที่ลึกถึง ๑๐ ฟุต เป็นเวลาถึง ๖๐ วัน และสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้นั้น เมื่อพิจารณาตามหลักวิทยาศาสตร์ทางฟิสิกส์กายภาพและชีวะภาพแล้ว ย่อมจะไม่อาจให้คำตอบได้ว่า เหตุใดมนุษย์เราขาดอาหาร น้ำ และอ๊อกซิเย่นสำหรับหายใจเป็นเวลาถึง ๖๐ วัน จึงยังไม่ถึงแก่กรรม เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องลึกลับมืดมนสำหรับหลักวิชาทางวิทยาศาสตร์ หากเราได้ศึกษาค้นคว้าวิชาโยคะแล้วเราก็อาจให้คำตอบได้ทันที กล่าวคือการที่โยคีบางคนสามารถฝังตัวเอง อยู่ใต้ฟื้นดินลึก ๑๐ ฟุต เป็นเวลาถึง ๖๐ วัน โดยไม่ต้องรับประทานอาหารและน้ำและไม่ต้องการอาหารและน้ำ และไม่ต้องการอ๊อก

65
หลวงพ่อผาด วัดไร่ พระเถราจารย์ วัย 93 ปี ผู้ปฎิบัติวิปัสนากรรมฐานตามแนวทางของหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ
และหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ มาตลอดชีวิต สมาธิจิตสูง เสกพระเครื่อง แบบเปิดโลก งานพุทธาภิเษกที่วัดช้าง
 อ่างทอง หลวงพ่อผาด องค์นี้ นั่งอธิฐานจิตปลุกเสกพระนานเกือบ 3 ชั่วโมง โดยลืมตาบริกรรมพระคาถาไปเรื่อย ๆ
มีผู้ถ่ายรูปท่านไว้ พอล้างออกมา เห็นเป็นดวงไฟหลากสี ล้อมตัวท่านเต็มพระอาจารย์ละออ แจ้งข่าวว่า เมื่อเร็ว ๆนี้
นักสมาธิจิต ระดับดอกเตอร์ ฯ พร้อมคณะบุกพิสูจน์กระแสพลังงานทางจิต
ของหลวงพ่อผาดโดยขอให้ท่านเสกปฐวีธาตุ (หินแม่น้ำ)ให้ ท่านหยิบหินมาลูป มาคลำเป่าไป 3 พ่วงส่งให้
 เมื่อนำหินมาถ่ายรูปด้วยแสงออร่า ปรากฏว่า หินมีแสงสีรุ้ง ปกคลุมอยู่ สว่างไปทั้งภาพ

หลวงพ่อผาด ท่านพูดถึงตะกรุด 8 บุรุษ ของท่านว่า ตะกรุดนี้ ฉันไม่ได้ทำเองคนเดียวหรอก
ฉันเชิญเสด็จพระใหญ่ พระสำคัญมาช่วยทำให้ พวกพรหม เทวดา มาทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เต็มไปหมด
 เขาเห็นว่าพระแก่เชิญ เลยมาทำให้เต็มที่ สำคัญนะ ตะกรุดนี่ เก็บไว้ให้ดี ไม่มีอีกแล้ว ทำไม่ไหวแล้ว
พระดีศรีอ่างทอง ศิษย์หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ รูปเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ มีพลานามัยแข็งแรง
ผู้หยั่งรู้วาระจิตคน เป็นอาจารย์องค์หนึ่งของ " หลวงพ่อทรง " วัดศาลาดิน


หลวงพ่อผาด วัดไร่ ศิษย์เจ้าคุณพระราชปัญญามุนี วัดชีโพน อยุธยา ผู้ห่างพ้นกิเลศทั้งปวง ไม่ยึดติด
ไม่สะสม จำวัดกลางศาลาใหญ่ใกล้เมรุเผาศพ เมื่อคราวนำท่วมอ่างทองครั้งใหญ่ นำเอ่อล้นท่วมทุกที่แต่ที่ศาลาใหญ่
 ที่ท่านจำวัด ซึ่งสูงกว่าพื้นถนนไม่ถึงฟุต สายนำกลับวกไปไม่ท่วมถึง
แม้วัย 91 ปียังมีความแจ่มใส มีอารมณืเยือกเย็น แข็งแรง เดินเหินได้คล่องแคล่ว การนั่งอธิฐานจิต
วัตถุมงคลของท่านสุดแปลก เพราะท่านนั่งลืมตาเสก ว่าคาถาเป่าไปเรื่อย ๆ ผู้รู้บอกว่าการลืมตาเสกเป็นการเสกแบบเปิดโลก
แบบเดียวกับหลวงปู่ดู่ วัดสะแก


 
ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ ถือว่า พระพรหมเป็นมหาเทพแห่งการสร้างสรรค์ทั้งปวง
พระนารายณ์เป็นมหาเทพแห่งการปราบปราม ส่วนพระศิวะ หรือพระอิศวร เป็นมหาเทพแห่งการทำลาย

ที่ว่าพระพรหมเป็นมหาเทพแห่งการสร้างสรรค์ทั้งปวงนั้น เชื่อกันว่า พระพรหมเป็นผู้สร้างโลก
สร้างมนุษย์ พร้อมกับสร้างสรรพสิ่งต่างๆ เป็นผู้ลิขิตชะตาชีวิตของมนุษย์ทุกผู้ ทุกนาม จะให้เจริญขึ้นหรือเลวลง
 จะให้ชีวิตราบรื่น พ้นภัย หรือพบเจอกับอุปสรรคขวากหนาม ก็ด้วยพรหมลิขิตทั้งสิ้น ตำราไสยเวทของไทย
จึงนับถือพระพรหมมาก และยกย่องให้เป็นมหาเทพชั้นครูของทุกเรื่อง เช่น วิชาดูดวงชะตาของมนุษย์
 หรือ ตำราพรหมชาติ วิชาสร้างบ้าน แปลงเมืองต่างๆ

 


เอ่ยชื่อ "หลวงปู่กลั่น วัดพระญาติ" พระเกจิอาจารย์ยุคเก่า
ผู้เป็นเจ้าของเหรียญปั๊มราคาแพงที่สุดของเมืองไทย เชื่อได้ว่านักนิยมพระทุกท่านต้องรู้จักดี
หลวงปู่กลั่นท่านสำเร็จวิชาการสร้างพระพรหม และได้ถ่ายทอดให้ศิษย์ทั้งพระและฆราวาส
ในสายวิชาท่านจนหมดสิ้น

ต่อมาศิษย์สายนี้ก็สร้างพระพรหมได้ขลังและมีพุทธคุณสูงเป็นที่นิยมของคนทั่วไป
 เช่น อาจารย์เฮง ไพลวัลย์ ศิษย์ฆราวาสของหลวงพ่อกลั่น ที่เรียกกันว่าอาจารย์เฮง เรือลอย
เพราะท่านร้อนวิชาจนไม่อาจมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งได้ ต้องผูกเรือลอยลำอยู่หน้าท่าน้ำวัดสะแก
หรือแม้แต่หลวงปู่สี และหลวงปู่ดู่ วัดสะแก ก็สำเร็จวิชาพรหมเช่นกัน



"พระพรหม" ของสำนักวัดสะแก เชื่อกันว่ามีพุทธคุณ แก้กรรมหนักทั้งปวงได้ หนุนชีวิต พลิกดวงชะตา
 กลับร้ายกลายเป็นดี แคล้วคลาดปลอดภัยและเจริญก้าวหน้า ทั้งนี้ เพราะพระพรหมเป็นผู้สร้าง
 เป็นผู้ลิขิตทางเดินชีวิตของคนเรานั่นเอง

"หลวงปู่ผาด อภินันโท" แห่งวัดไร่ ต.ศาลเจ้าโรงทอง อ.วิเศษชัยชาญ อ่างทอง อายุ 92 ปี 72 พรรษา
พระวิปัสนาชื่อดังแห่งอ่างทอง เป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณพระราชปัญญามุนี (รัตน์ อตฺถทสสี) อดีตเจ้าอาวาสวัดชีโพน
 และเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งท่านเป็นศิษย์ก้นกุฏิของหลวงพ่อกลั่นวัดพระญาติ
จึงได้รับถ่ายทอดวิชาพรหมลิขิตหรือพรหมสร้างโลกมาจากหลวงพ่อกลั่นจนหมดสิ้น

หลวงปู่กลั่นก็ได้ถ่ายทอดวิชาพรหมลิขิตให้กับหลวงปู่ผาดเช่นกัน กล่าวสำหรับหลวงปู่ผาดนั้น
นอกจากท่านจะเป็นศิษย์ในสายหลวงพ่อกลั่นวัดพระญาติแล้ว ท่านยังเป็นศิษย์ของพระเกจิอาจารย์ชื่อดังในอดีตอีกหลายองค์
เช่น หลวงพ่อชวน วัดยางมณี เรียนวิชาเพชรหลีก เพชรกลับ, ศิษย์หลวงพ่อปลื้ม วัดช้าง
เรียนวิชาผูกผง และลบถมผงลอดกระดาน, ศิษย์หลวงพ่อเผือด วัดสำโรง สุดยอดพระวิปัสสนา
พระอรหันต์ อัฐิเป็นแก้วใส และศิษย์เรียนธรรมกายจาก หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ

ในปัจจุบัน "หลวงพ่อผาด" ท่านเป็นพระวิปัสสนาจารย์ มีคุณธรรมสูง
ปลุกเสกวัตถุมงคล แบบลืมตาเสก (เรียกว่าเสกแบบเปิดโลก) คือเปิดหนทางทุกอย่าง เปิดโภคทรัพย์ เปิดทางชีวิต )
 มีอภิญญาจิต คุณวิเศษ ผู้หยั่งรู้วาระจิตคน เล่ากันว่า แม้แต่เทวดา ยังมาฝากตัวเป็นศิษย์และกระแสจิตท่าน
 เทียบเท่าท่านเจ้าคุณนรฯ พระอรหันต์กลางกรุงแห่งวัดเทพศิรินทร์

เนื่องจากวัดไร่ จะต้องซ่อมแซมเสนาสนะ จะต้องใช้ปัจจัยอีกมาก ท่านจึงได้สร้างพระพรหมขึ้นเป็นครั้งแรก
ตามตำราหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ฝังเกศาของท่าน ที่ขาวใสดุจแก้ว ต่างจากเส้นผมขาวของคนแก่ทั่วไป
ฝังเม็ดพระธาตุ และพลอยเสก รวมทั้งตะกรุดมหาบุรุษ 8 จำพวก ตะกรุดเปิดสมอง(ปัญญาดี)
สำหรับเด็กนักเรียน ผ้ายันต์นารายณ์ทรงเมือง และผ้ายันต์มหานิยม

สำหรับพระพรหมของท่าน เชื่อกันว่า บูชาแล้ว ดุจมี พระพรหม ประจำตัว
 ย่อมได้รับความเจริญก้าวหน้า เหนือกว่าผู้อื่นเสมอๆ ทำการงานสิ่งใด ขอพรพระพรหมที่คอ
 ย่อมประสบผลสำเร็จได้โดยง่าย หนุนดวงชะตา ให้สูงส่งตลอดกาล ปิดประตูวิบัติ ขัดสนทั้งปวง
ถือเป็นวัตถุมงคลที่ดี ควรค่าแก่การบูชาอีกสำนักหนึ่ง

 


รายการวัตถุมงคลมีดังนี้

1. พระพรหมลิขิต ( พรหมให้พร )





พระพรหมลิขิตของหลวงพ่อผาดสร้างตามตำราพระพรหมสายวัดพระญาติทุกขั้นตอน มีพุทธคุณสูง
มีเทวดารักษา ต้านและรีดรอนกรรมเก่าได้ส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้าได้เป็นใหญ่และรำรวย กิจการต่าง ๆ
ได้ก้าวหน้า ปัญหาต่างๆไม่กล้าเกิด เพราะท่านเป็นผู้สร้างผู้ลิขิต
พระพรหมของหลวงพ่อผาดด้านหลังมีทั้งฝังพระธาตุและฝังพลอยเสก และทุกองค์ผสมเส้นเกศาของหลวงพ่อผาด

2. ตะกรุดมหาบุรุษ 8 จำพวก



สิทธิการิยะ ตำราการสร้างตะกรุดมหาบุรุษ 8 จำพวก ได้รวบรวมมหาบุรุษ ผู้เป็นเอกคือเหนือคนทั้งหลาย
ในด้านมงคลต่าง ๆ ไว้ถึง 8 คน 8 ประเภท ก่อให้เกิด ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และมหาโภคสทบัติ
 แก่ผู้บูชาอย่างน่าอัศจรรย์ ผู้ใดมีตะกรุดแล้วให้หัดหมั่นปลุกด้วยคาถา " ทุ สะ มะ นิ "
อยู่เป็นประจำจะมีพระคุ้มครอง มีเทวดารักษา

3. ผ้ายันต์นารายณืทรงเมือง



สุดยอดพระยันต์วิเศษ ค่าควรเมือง ตามตำราเก่าร่วม 100 ปี ของหลวงพ่อผาด พระยันต์นารายณ์ทรงเมืองนิยมสร้างเพื่อเฉลิมยศ ตำแหน่ง ให้เจ้าพระยา ขุนท้าว ขุนนาง ในสมัยโบราณ นำพาให้ผู้บูชาได้เจริญก้าวหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อีกทั้งยังเป็นพระยันต์ที่ได้รวบรวมอักขระเลขยันต์อันเป็นมงคลจากทั่งทั้งจักรวาล มารวมอยู่ในพระยันต์จนหมดสิ้น

4. ตะกรุดเปิดสมอง





ใครจะรู้เลยว่าตะกรุดดอกเล็ก ๆ ของหลวงพ่อผาดจะช่วยให้เด็กเรียนเก่ง มีสติปัญญาดี ท่านสร้างและเสกตะกรุดเปิดสมองนี้ด้วย วิปัสสนาญาณจิต ซึ่งเป็นตัวประหารความโง่ ความเขลา ความไม่รู้ ความด้อยปัญญา เมื่อบูชาติดตัวแล้วทำให้สมองปลอดโปร่ง ไม่ปวดหัว เวียนหัว จดจำอะไรได้แม่นยำขึ้น มีความจำดีมาก คุณวิเศษของตะกรุดเปิดสมองนี้จึงยากที่จะหาพระเครื่องของสำนักอื่นเทียบได้

5. ผ้ายันต์มหานิยม มหาเสน่ห์ เสริมดวง ( หนุมานโลม )



ผ้ายันต์ที่มีอิทธิฤทธิ์ด้านเสน่ห์ เมตตามหานิยม จากตำราเก่าคู่วัดไร่ ที่มีครูแรง ใช้ได้ผลจริง และเห็นผลเร็ว
ผ้ายันต์นี้ได้ผูกหุ่นรูปหนุมาน อันเป็นทหารเอกของพระราม มีฤทธิ์ มีเดช ปราบได้ถึง 3 โลกและยังเป็นอมตะ
 คือ ไม่ตาย เจริญรุ่งเรือง กลับดวงเรื่องไม่ดี ดวงร้ายให้กลายเป็นดี ดวงดีให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป

66
ดูแล้วเข้มขลังดีครับ

67
คัดลอกจาก http://www.geocities.com/thatmahachai/info/abbot.htm

พระเดชพระคุณพระสุนทรธรรมากร (หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ) อายุ ๘๙ พรรษา ๕๙ (พ.ศ.๒๕๔๖) เจ้าอาวาสวัดธาตุมหาชัย บ้านมหาชัย ต.มหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม

สถานะเดิม

ชื่อ คำพันธ์ ศรีสุวงค์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๕๘ โยมบิดาชื่อ นายเคน ศรีสุวงค์ โยมมารดาชื่อ นางล้อม ศรีสุวงค์ เป็นบุตรคนโต มีพี่น้องร่วมบิดา-มารดาเดียวกัน ๒ คน คือ

๑. พระเดชพระคุณพระสุนทรธรรมากร (คำพันธ์ ศรีสุวงค์)

๒. นายพวง ศรีสุวงค์ (ถึงแก่กรรม)

และมีน้องร่วมมารดา แต่ต่างบิดากันอีก ๔ คน คือ

๑. นางสด วงษ์ผาบุตร (ถึงแก่กรรม เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๗)

๒. ด.ช.บด แสนสุภา (ถึงแก่กรรม)

๓. ด.ญ.สวย แสนสุภา (ถึงแก่กรรม)

๔. นางกดชา เสนาช่วย (ถึงแก่กรรม)

การบรรพชา-อุปสมบท

วันที่ ๗ กันยายน ๒๔๗๕ (อายุ ๑๗ปี) ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดศรีบุญเรือง บ้านหนองหอย ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม โดยมีพระอาจารย์เชื่อม เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากได้บรรพชาแล้วก็ได้ศึกษาอักษรธรรม และหนังสือสูตรคาม แบบโบราณ ในขณะเดียวกันก็ได้ฝึกปฏิบัติกัมมัฎฐานควบคู่ไปด้วย หลังจากบรรพชาได้ ๓ พรรษา ได้ออกเดินธุดงค์ทรงกรดไปที่จังหวัดเลย พร้อมกับพระภิกษุ ๒ รูป คือ พระภิกษุบุญ และพระภิกษุวัน ได้พบกับชีปะขาวคนหนึ่งชื่อว่าครุฑ ได้ศึกษาแนวทางการปฎิบัติจากชีปะขาวอยู่ประมาณ 3-4 เดือน ก่อนหน้าที่จะได้ฝึกปฏิบัติกัมมัฏฐานนั้น เคยได้รับความรู้เรื่องกัมมัฏฐานมาจาก พระอาจารย์เสาร์ ซึ่งท่านไปอบรมประชาชนที่วัดโพนเมือง ท่านอาจารย์เสาร์ให้แนวทางในการ ปฏิบัติกรรมฐานไว้ว่า ให้กำหนดลมหายใจออก ท่านอาจารย์เสาร์ได้ให้ข้อคิดต่อ ไปอีกว่า ?ร่างกายของคนเรานั้น เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง มันทำงานอยู่ตลอดเวลา ลมหายใจเข้า-ออกนั้น มีความสำคัญมาก ถ้าลมไม่ทำงานคนเราจะตายทันที ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกำหนดลมหายใจ? นอกจากนั้นท่านอาจารย์เสาร์ยังได้ย้ำอีกว่า ?ให้คนเราตีกลองคือขันธ์ ๕ ให้แตก? ซึ่งก็หมาย ความว่า ท่านให้ทำความเข้าใจขันธ์ ๕ ให้จงดีให้เข้าใจตามสภาพที่เป็นจริง........

หลวงปู่ได้ศึกษาภาคทฤษฎีและภาคปฎิบัติกับหลวงปู่เสาร์ประมาณ 1 ปี หลังจากนั้นหลวงปู่คำพันธ์ ก็ได้นำเอาแนวทางการปฎิบัติของอาจารย์ทั้ง 2 มาเป็นแนวทางปฎิบัติกัมมัฎฐาน

หลวงปู่ได้จำพรรษาอยู่ที่จังหวัดเลยเป็นเวลา 1 ปี หลังจากนั้นได้เดินธุดงค์ไปยังจังหวัดเชียงรายประมาณ 3-4 เดือน โยมบิดาได้เสียชีวิตลง หลวงปู่จึงได้เดินทางกลับมาทำบุญงานศพบิดา และได้เดินธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆในเขตจังหวัดนครพนม สกลนคร อุดรธานี หนองคายและข้ามไปฝั่งลาวประมาณ 3-4 เดือน แต่ไม่ได้จำพรรษา แต่กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านเดิมอยู่ประมาณ 3 ปี และญาติโยชาวบ้านก็นิมนต์ท่านให้เข้ามาอยู่จำพรรษาที่วัดบ้านเพื่อโปรดญาติโยมชาวบ้านบ้าง หลังจากออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ก็ออกเดินธุดงค์ต่อ จนอายุถึง 40 ปี จึงหยุดเดินธุดงค์ แต่ก็พยายามศึกษาปฎิบัติธรรมกัมมัฎฐานมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน

พ.ศ. ๒๔๗๘ อายุ ๒๐ ปี ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ และเริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม

พ.ศ. ๒๔๘๒ อายุ ๒๔ ปี มารดาก็ถึงแก่กรรม เวลานั้นเหลือน้องผู้หญิง ๒ คน ซึ่งยังเล็กมาก จึงได้ลาสิกขาบทออกไปเลี้ยงดูน้อง

พ.ศ. ๒๔๘๘ อายุ ๓๐ ปี ได้กลับเข้าอุปสมบทอีกครั้ง และได้ออกไปจำพรรษาที่วัดป่า เป็นเวลา ๓ พรรษา

ต่อมาก็ได้ปฏิบัติกัมมัฏฐานพร้อมเป็นครูสอน พระปริยัติธรรมด้วยที่วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม

พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้นำญาติโยมประมาณ ๕ ครอบครัว จากบ้านหนองหอยใหญ่ อ.นาแก มาสร้างบ้านและวัดใหม่ ที่โนนมหาชัย และให้ชื่อบ้านว่า ?บ้านมหาชัย? ในปัจจุบันนี้ ได้สร้างวัดธาตุมหาชัย (เดิมชื่อวัดโฆษการาม) จนเจริญรุ่งเรืองตราบถึงปัจจุบัน

การศึกษา

พ.ศ. ๒๔๗๙ อายุ ๒๒ ปี สอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี สำนักเรียนคณะจังหวัดนครพนม วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ อ.นาแก จ.นครพนม

พ.ศ. ๒๔๘๘ อายุ ๓๐ ปี สอบไล่ได้นักธรรมชั้นโท สำนักเรียนคณะจังหวัดนครพนม วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ อ.นาแก จ.นครพนม

พ.ศ. ๒๔๘๙ อายุ ๓๑ ปี สอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก สำนักเรียนคณะจังหวัดนครพนม วัดพระพุทธบาทจอมทอง บ้านหนองหอยใหญ่ อ.นาแก จ.นครพนม

เมื่อหลวงปู่สอบได้นักธรรมเอกได้แล้ว หลวงปู่ก็ได้พยายามศึกษาพิเศษ เช่น เรียนหนังสืออักษรธรรม อักษรขอมได้เป้นอย่างดี และยังทรงพระปาฎิโมกข์ได้อย่างแม่นยำอีกด้วย

งานการศึกษาพระปริยัติธรรม

พ.ศ. ๒๕๓๒ หลวงปู่ได้ตั้งสำนักเรียนวัดพระธาตุมหาชัย ทั้งแผนกธรรม-บาลีขึ้นจนสามารถมีลูกศิษย์สอบนักธรรม ได้เป็นจำนวนมากเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี และมีลูกศิษย์สามารถสอบเปรียญธรรมได้ทุกปี ปีละหลายๆ รูป ทำให้การศึกษาแผนกธรรมบาลีอำเภอปลาปากดีขึ้นตามลำดับ

พ.ศ. ๒๕๓๔ หลวงปู่ได้จัดตั้งทุนมูลนิธิการศึกษาพระปริยัตธรรม แผนกธรรม-บาลีขึ้นที่วัดธาตุมหาชัย ตำบลมหาชัย อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนม เพื่อส่งเสริมและมอบทุนการศึกษาให้แก่พระภิกษุ สามเณร ที่มีความรู้ความสามารถสอบนักธรรมชั้นตรี โท เอก ได้ และสามารถสอบเปรียญธรรมได้

หลวงปู่ยังให้ทุนการศึกษาแก่ลูกศิษย์ที่ไปเรียนต่ออีกด้วย งานการศึกษาสงเคราะห์

พ.ศ. ๒๕๓๕ หลวงปู่ได้จัดตั้งกองทุนมูลนิธิการศึกษาให้แก่นักเรียนที่ยากจน ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ในเขตอำเภอปลาปาก และทุกอำเภอในเขต จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 10 เดือนมกราคมของทุกๆ ปี หลวงปู่คำพันธ์จะมอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนทุกอำเภอๆ ละ 9 ทุน และมอบทุนให้เป็นค่าอาหารกลางวันให้แก่โรงเรียนต่างๆ ด้วย

พ.ศ. ๒๕๓๕ หลวงปู่คำพันธ์ได้สร้างโรงเรียนมัธยมขึ้นที่บ้านนกเหาะ ตำบลโคกสูง อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนมตั้งชื่อโรงเรียนมัธยมแห่งนี้ว่า ธรรมโฆษิตวิทยา มีนักเรียนเพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี และหลวงปู่คำพันธ์ยังได้เป็นผู้ อุปถัมภ์โรงเรียนแห่งนี้มาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน

พ.ศ. ๒๕๓๘ หลวงปู่คำพันธ์ได้ขออนุญาตสร้างโรงเรียนสุนทรธรรมากรและในปัจจุบันนี้ทางราชการได้เปลี่ยนใหม่ให้ชื่อว่า โรงเรียนมัธยมมหาชัยธรรมากร เพราะตั้งอยู่ ที่บ้านโนนศรีชมภูทางแยกเข้ามาบ้านมหาชัยหลวงปู่ก็ให้การอุปถัมภ์ในทุกวันนี้และได้จัดบรรพชา สาเณรภาคฤดูร้อนเป็นประจำ

งานการเผยแพร่

พ.ศ. ๒๕๓๒ หลวงปู่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าหน่วยพระธรรมฑูตฝ่ายกำกับการพระธรรมฑูตอำเภอปลาปาก

พ.ศ. ๒๕๓๓ หลวงปู่ได้ร่วมมือกับคณะสงฆ์และทางราชการออกไปอบรมประชาชนตามหมู่บ้านต่างๆ ในเขตการปกครอง และร่วมกับหน่วยงานของราชการทุกหน่วยงานออกไปอบรมตามโครงการหมู่บ้านแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองของอำเภอปลาปากและยังได้ติดตาม พระธรรมฑูตจากส่วนกลางออกเยี่ยมเยียนประชาชนในเขต อำเภอปลาปากโดยสม่ำเสมอมาตลอดทุกปี

ตำแหน่งงานปกครอง

พ.ศ. ๒๕๐๙ เป็นเจ้าอาวาสวัดโฆษการาม (วัดธาตุมหาชัย ในปัจจุบัน)

พ.ศ. ๒๕๐๙ เป็นเจ้าคณะตำบลมหาชัย

พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นรองเจ้าคณะอำเภอปลาปาก

พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นพระอุปัชฌาย์

พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นเจ้าสำนักศาสนศึกษา ธรรม-บาลี

พ.ศ. ๒๕๓๑ เป็นเจ้าคณะอำเภอปลาปาก

พ.ศ. ๒๕๔๓ เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอปลาปาก

สมณศักดิ์

พ.ศ. ๒๕๑๘ พระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ที่ ?พระครูสุนทรธรรมโฆษิต?

พ.ศ. ๒๕๒๐ พระครูสัญญาบัตรชั้นโท ที่ ?พระครูสุนทรธรรมโฆษิต?

พ.ศ. ๒๕๒๘ พระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ที่ ?พระครูสุนทรธรรมโฆษิต?

พ.ศ. ๒๕๓๕ พระราชาคณะ ชั้นสามัญ ราชทินนาม ?พระสุนทรธรรมากร?

งานสาธารณูปการ

พ.ศ. ๒๔๙๒ เป็นประธานสร้างอุโบสถ วัดพระพุทธบาทจอมทอง

พ.ศ. ๒๔๙๔ เป็นประธานสร้างหอระฆัง วัดพระพุทธบาทจอมทอง

พ.ศ. ๒๔๙๕ หลวงปู่ได้นำญาติโยมชาวบ้านหนองหอยที่พากันติดตามหลวงปู่มาได้สร้างวัดขึ้นที่หมู่บ้านมหาชัย ใช้ชื่อวัดว่า วัดโฆษการาม บ้านมหาชัย ตำบลมหาชัย อำเภอปลาปาก

พ.ศ. ๒๔๙๘ เป็นประธานนำชาวบ้านมหาชัยสร้างวัดธาตุมหาชัย

พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นประธานสร้างพระคู่บ้านมหาชัย ?พระพุทธศักดิ์สิทธิ์?

พ.ศ. ๒๕๑๔ หลวงปู่ได้เป็นประธานนำญาติโยมชาวบ้านมหาชัยสร้างธาตุขึ้นภายในวัดซึ่งมีลักษณะ ทรงแปดเหลี่ยม สูง 15 เมตร ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเสด็จมาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุด้วยพระองค์เอง

พ.ศ. ๒๕๒๐ เป็นประธานสร้างอุโบสถ วัดธาตุมหาชัย

พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็นประธานสร้างกำแพงล้อมรอบวัดธาตุมหาชัย

พ.ศ. ๒๕๒๗ เป็นประธานสร้างกุฏิสงฆ์

พ.ศ. ๒๕๒๗ เป็นประธานสร้างวัดป่ามหาชัย (อรัญญคาม) และในปีเดียวกันนั้นเองหลวงปู่ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำพระปรมาภิไธยย่อ ภปร. ประดิษฐานไว้ที่หน้าพระอุโบสถวัดโฆษการาม

พ.ศ. ๒๕๒๘ เป็นประธานสร้างกุฏิสงฆ์หลังใหม่อีกหลังหนึ่ง และหลวงปู่ได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนชื่อวัดโฆษการามเป็นวัดธาตุมหาชัย จนถึงปัจจุบัน และในปีเดียวกันนั้นหลวงปู่ได้เป็นประธานสร้างศาลาการเปรียญ-หอสมุดภายในวัด

พ.ศ. ๒๕๒๙ หลวงปู่ได้สร้างหอพระไตรปิฎก หอระฆัง

พ.ศ. ๒๕๓๔ เป็นประธานสร้างโรงเรียนมัธยม ?โรงเรียนธรรมโฆษิตวิทยา?

พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็นประธานสร้างโรงเรียนมัธยม ? โรงเรียนธรรมากรวิทยา?

พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็นประธานสร้างพระธาตุมหาชัยครอบองค์เดิม

พ.ศ. ๒๕๓๗ เป็นประธานสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ณ วัดส้างพระอินทร์ ?พระพุทธการุณ?

พ.ศ. ๒๕๓๗ เป็นประธานสร้างโรงเรียนมัธยม ?โรงเรียนมหาชัยวิทยาคม?

พ.ศ. ๒๕๔๕ เป็นประธานสร้างตึกผู้ป่วย โรงพยาบาลปลาปาก

ลักษณะนิสัยทั่วไป

พระเดชพระคุณหลวงปู่เป็นพระมหาเถระ ที่มีอัธยาศัยใจคอกว้างขวาง เยือกเย็น มีความเมตตา กรุณาต่อศิษย์ ตลอดถึงญาติโยมทุกคนที่เข้าหาท่าน ใครก็ตามที่มีปัญหา หรือมีความทุกข์เข้าหาท่าน จะได้รับการต้อนรับจากท่านอย่างดียิ่ง เสมอกันหมด ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม ต่อครูบาอาจารย์ และพระเถระที่อาวุโสกว่า หลวงปู่จะแสดงอาการอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ โดยไม่เคยจะแสดงอาการ แข็งกระด้างใดๆเลย ด้วยเหตุนี้หลวงปู่จึงเป็นที่เคารพนับถือของ ศิษยานุศิษย์และญาติโยมโดย ทั่วไปเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้แล้ว หลวงปู่ก็ยังเป็นพระเถระที่มีความตั้งใจมั่นคง หนักแน่นอีกด้วย

จะเห็นได้จากการที่ท่านตั้งใจจะทำสิ่งใดแล้ว จะต้องทำสิ่งนั้นให้สำเร็จให้จงได้ คงเป็นเพราะ ความตั้งใจจริงและความตั้งใจมั่นคงนี้เอง ที่ทำให้หลวงปู่ทำสิ่งใดก็สำเร็จลุล่วงด้วยดี และรวดเร็ว เกิน ความคาดหมายทุกประการ ตัวอย่างเช่น พระธาตุมหาชัย, อุโบสถวัดธาตุมหาชัย, กำแพง ล้อมรอบวัดธาตุมหาชัย และกุฏิสงฆ์หลังใหม่ ๒ หลัง ซึ่งสิ่งก่อสร้างแต่ละอย่างล้วน แต่ใช้ค่าก่อ สร้างจำนวนมากทั้งสิ้น เมื่อญาติโยมที่มีความเคารพนับถือในตัวหลวงปู่ทราบ ต่างก็มีจิตศรัทธา ช่วย กันสละกำลังทรัพย์มาช่วยในรูปของกฐินบ้าง ผ้าป่าบ้าง จนงานก่อสร้างดัง กล่าวสำเร็จรวดเร็วเกินคาด อีกประการหนึ่ง โดยอุปนิสัยแล้ว หลวงปู่ท่านถือการ ปฏิบัติกัมมัฏฐานเป็นประจำนับตั้ง แต่อุปสมบทพรรษาแรก จนกระทั่งมรณภาพ

มรณภาพ

พระสุนทรธรรมากร (หลวงปู่คำพัน โฆษปัญโญ) ได้มรณภาพลงดัวยอาการอันสงบ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน 2546 เวลาประมาณ 02.00 น. ที่วัดธาตุมหาชัย สิริรวมอายุ 88 ปี 71 พรรษา


68
ประวัติ ๏...หลวงปู่แสง ธมฺมสโร อริยเจ้า แห่ง..วัดถ้ำพระพุทธโกษีย์(ในเตา) อ.ห้วยยอด ตรัง
หลวงปู่ แสง ธัมมสโร
ท่านได้ถือกำเนิดมาเมื่อ ปี พศ. 2450 โยมบิดาชื่อแดง โยมมารดา ชื่อ เอียด บุญช่วย
ในแถบบ้านป่าเทือกเขาบรรทัด.... บ้านในเตา ...
ต่อมาภายหลังก็ได้แบ่งเขตไปติดกับ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช
ต่อมาเมื่ออายุได้11ขวบท่านก็ได้บรรพชาเป็น สามเณร
ณ.วัดบางทองคำ อ.ปากพนัง นครศรีธรรมราช โดยมี
หลวงปู่ทองดำ(ศุข) สุวัณโณ เป็น พระอุปัชฌาย์
หลวงปู่ทองดำเป็นพระที่มีวิชาขลังมาก...สามารถล่องหนหายตัวได้เป็นที่เลื่องลือ

หลังจากบวช ท่านก็ได้ถือ ธุดงค์วัตรตาม องค์อาจารย์ของท่าน ตลอดมา
โดยได้เดิน ธุดงค์ร่วมกับ หลวงปู่เขียว อินทสุวัณโณ วัดหรงบน..
และได้เดินธุดงค์มาขอศึกษาวิชาอาคมและสมถกรรมฐาน
และขอคัดลอกตำรา จาก พระครูอรรถธรรมรส หลวงปู่ซัง วัดวัวหลุง ผู้เป็นเจ้าของเหรียญอันดับ1 แห่งแดนทักษิณ..
เมื่อหลวงปู่แสง....อายุครบบวชก็ได้
อุปสมบท ณ. วัดวัวหลุง โดยมีหลวงปู่ซัง เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่ทองดำ เป็นพระ กรรมวาจา....
แต่อนิจจา หลวงปู่ซัง และหวงปู่ทองดำ..องค์อาจารย์ของหลวงปู่แสง....ได้พากันละสังขาร ใน พศ.2479 เป็นเวลาไล่เลี่ยกัน...
ตอนนั้นหลวงปู่ท่านเศร้าโศกเสียใจเป็นอันมาก...ด้วยเหตุที่ขาดที่พึ่งและยังปลงไม่ตก...จึงได้เดินธุดงค์ตามป่าเขา จนชีวิตแทบดับสูญ
จนพ่อแม่พี่น้อง ต้องขอร้องให้ท่านสึก....เพื่อรักษาตัว...
ตอนที่อยู่ในฆราวาสวิสัย หลวงปู่แสง ก็ยังไม่ทิ้งวิชาคาถาอาคม...สมุนไพรใบยา ใช้สรรพวิชา เป็นที่พึ่งให้ชาวบ้านแถบ นั้นตลอดมา....
มีครั้งหนึ่งพวกโจรป่า คิดที่จะปล้นบ้านของท่าน
ขณะที่ได้เข้าล้อมบ้านของท่านนั้น ก็ได้บังเกิดน้ำป่าไหลมาจากทุกทิศทางมาท่วมหมู่โจรทั้ง11คน นั้น ต่างก็ร้องขอชีวิตและสัญญาว่าจะเลิกเป็นโจร....นำป่าอันเชี่ยวกรากที่ท่วมท้น ก็หายวับไปกับตา...
ต่อมาเมื่อท่านอายุได้59ปีก็เบื่อ ฆราวาส วิสัย
จึงได้เข้าอุปสมบทอีกครั้งหนึ่ง และได้ร่วม ธุดงค์กับหลวงปู่เอียด ธัมมปาโล วัดหนองช้างแล่น อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ซึ่งเป็นพระสงฆ์ อันเลิศด้วยอิทธิฤทธิ์ อันเอนกอนันต์
และองค์หลวงปู่แสง ยังได้มาศึกษา สรรพวิชา
จาก ...
และได้ศึกษาไสยเวทย์วิทยาคม จากสำนักเขาอ้อ จาก
พระครูสังฆวิจารณ์ฉัตรทันต์บรรพต...ปรมาจารย์ทองเฒ่า ผู้จำเริญยิ่งด้วยอภิญญา
เจ้าอธิการเรือง วัดป่าพยอม... ผู้จำเริญยิ่งด้วยอภิญญา
หลวงปู่หวาน วัดบ้านนา หลวงปู่ตาบอด ผู้ทีตาทิพย์ผู้จำเริญยิ่งด้วยอภิญญา
องค์พระบริสุทธิ์ศีลาจารย์(วัน มะนะโส)ณ.วัดประสิทธิชัย จ.ตรัง และท่านก็ยังได้เดินทางไปศึกษาทดลอง ไสยเวทย์วิทยา ต่างๆที่วัดเขาอ้อ กับ
หลวงปู่เล็ก ปุญญโก พระอรหันต์ แห่งวัดประดู่เรียง
พระอาจารย์ปาล ปาลธัมโม
อยู่เสมอ...

หลังจากที่ได้ดำรงค์ขันธ์ร่มโพธิ์ร่มไทร ของชาวพุทธในแถบเมืองตรัง นคร กระบี่ภูเก็ต สงขลา
และตลอดจนชาวใต ้ ชาวไทยใกล้ไกล ตลอดจน มาเลย์ สิงค์โป...ต้องยังเดินทางมาพึ่งร่มโพธิ์ แห่ง องค์หลวงปู่ กันอยู่เสมอๆ

ในปี2536หลวงปู่ก็ได้อาพาธเนื่องจากโรคชรา
และเนื่องจากต้องเหน็ดเหนื่อยจากการรับแขกจากทุกทิศานุทิศ
สังขารที่ร่วงโรยอยู่แล้วก็ ถึงกาลดับชันธ์ลง ในปี พศ.2538
นำความโศกเศร้าอันยิ่งใหญ่ แก่ ลูกหลาน...และศานุศิษย์ โดยทั่วกัน....
อภินิหาร พ่อท่านแสง ธัมมสโร
......เดิน ตากฝนไม่เปียก..
..ชาวบ้าน แถวๆบ้านในเตา อ.ห้วยยอด รู้กันดีว่า เมื่อฝนตก ลงมาในขณะ เวลาหลวงปู่ เดินบิณฑบาต แม้ฝนตกตกหนักหนา สักแค่ไหน
หลวงปู่ก็ไม่เคยเปียกฝน แม้เพียงหยด ทั้งๆที่ไม่ได้กางร่ม หรือหยุดหลบฝน ณ.สถานที่ไดเลย.... ชาวบ้านแถวนั้นต่างก็เห็นกัน ตลอดมา จนเป็นเรื่องธรรมดา ....

(เรื่องนี้ผมคลางแคลงใจ...ตามความคิดของคนสมัยใหม่ว่า มันเป็นไปได้อย่างไรกัน เดิมทีคิดว่า เป็นการเติมไข่ ใส่สี เพื่อผลประโยชน์บางอย่าง)
ในปี2535 มีครั้งนึง ผมไปเยี่ยมหลวงปู่ที่วัด....ปกติ หลวงปู่จะ จำพรรษาอยู่ในถ้ำ....พอกราบนมัสการหลวงปู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว..
หลวงปู่...ก็พูดว่า วันนี้เหนียวตัวจัง..
ผมก็เลยนิมนต์หวงปู่ไปสรงน้ำ ในห้องน้ำของวัด ซึ่งอยู่ห่างไปจากปากถ้ำเชิงเขา ซึ่งหลวงปู่ จำพรรษาอยู่ราว 150เมตร
เชื่อหรือไม่....พอผมประคองหลวงปู่ เลยปากถ้ำมาเท่านั้น...ฝนก็พลันตกลงมาอย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น...
ผมเปียกปอน ตั้งแต่หัวจรดเท้าภายในวินาทีนั้น...ผมแอบชำเลืองไปทางหลวงปู่....ทันใดนั้น ความมหัศจรรย์ ที่คน บ้านในเตาได้ล่ำลือกันมานานนักหนาก็ได้ประจักษ์กับสายตาผม....ทั้งตลอดร่างขันธ์ ของหลวงปู่ หาได้เปียกปอนแต่อย่าง ใดๆไม่ มีน้ำเกาะอยู่บนหลังเท้า เพียงไม่กี่หยดเท่านั้น....
....ผมก็ยังคงประคองหลวงปู่ เดินต่อไป จนถึง ห้องสรงน้ำที่อยู่ห่างออกไปจากจุดนั้นราว120เมตร...ได้ใจอันระทึก กับสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งที่ได้ประจักษ์ อย่างชัดเจน...ในวันนั้น


**************************
การสร้างวัตถุมงคล...ทุกรุ่นของหลวงปู่แสง ล้วนมีประสพการณ์ ลือลั่นอย่างกว้างขวาง...

พระฤๅษีรุ่นแรก สร้างเสาร์ 5 ปี 2516 มี 3ขนาด...(โดยถอดแบบจากฤษีวัดเต่า ที่พ่อท่านแสง..มอบให้ทำแบบ)
ที่ฐานจารึกว่า.... วัดถ้ำพระพุทธโกษีย์...และ พิมพ์เล็ก ฐานเตี้ย ไม่มีตัวหนังสือ...หล่อมาเรื่อย ทีละ50-100องค์(พ่อท่านเสกเพ)
รุ่น2 สร้างพร้อมเหรียญรุ่นแรก 2522
มีขนาดเดียว ที่ฐานจารึกว่า.... วัดถ้ำ...
รุ่น3 สร้างพร้อมเหรียญรุ่น2 2536
มีขนาดเดียว ที่ฐานจารึกว่า.... วัดถ้ำ...มีกริ่ง
***********************************
ฤๅษีตาหลวงแสง ทุกรุ่น ตาหลวงไม่ได้สร้างเอง...มีคนขอสร้าง ทั้งเพครับผม...(หลวงสวัส เจ้าอาวาสวัดถ้ำพระ...และเถ้าแก่ทุ่งสง...ที่วัง และคนในหลาดทับเที่ยง...หลาดห้วยยอด)
จึงมีทั้งเสริม สร้างย้อน และ ปลอม มากมายครับผม...
เรื่องการเล่นหา...ก็ เป็นที่ถกเถียงกัน..เหลือเล่นกันมาก เฉพาะพิมพ์นิยมที่ฐานจารึกว่า.... วัดถ้ำพระ...หลักพันต้นๆ อยู่พิมพ์เดียว...นอกนั้นก็หลักร้อย กลางๆถึงแก่ๆ ครับผม..
****************
พ่อท่านชู วัดเต่า เป็น พระอาจารย์ อีกรูปหนึ่งของพ่อท่านแสง ครับ..
*********************
เหรียญรุ่นแรกสร้างปี 2522 โดยนายอำเภอห้วยยอด ในสมัยนั้น( พศ.2522)
***********************
พระปิดตาพุทธโกษีย์ เนื้อตะกั่วลงถม(พิมพ์๒หน้า).. .. ของพ่อท่านแสง วัดในเตา
ทางลูกยก(บุตรบุญธรรม) ได้ขออนุญาตสร้างเป็นการภายใน เมื่อเดือน มีนาคม 2536 ทางคณะผู้จัดสร้างได้พยายามหา ตะกั่วอาถรรพ์ต่างๆที่พ่อท่านแสง กำหนด รวมกับตะกั่วอวนจ้าวสมุทร แล้วรวบรวม มวลสาร ให้พ่อท่านแสง เสกจนพ่อท่านพอใจ...แล้วนำมาหลอม....ท่านเชื่อหรือไม่ ปรากฏว่า ตะกั่วเหล่านั้นหลอมไม่ละลาย...ทางคณะผู้จัดสร้างจึงต้องจุดธูปเทียน ขอต่อพ่อท่านแสง เป็นกรณีพิเศษ จึงสามารถหลอมตะกั่วเหล่านั้นเป็นพระปิดตาพุทธโกษีย์ ได้สำเร็จ เมื่อหลอมเป็นองค์พระปิดตาพุทธโกษีย์แล้วก็ได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษก เดี่ยว
โดยพ่อท่านแสง วัดในเตา
เมื่อวันเสาร์ขึ้น5ค่ำเดือน5 ปี2536...พระปิดตาพุทธโกษีย์ เนื้อตะกั่วลงถม.. ก็ได้น้ำเข้าเสกพร้อมกับเหรียญรุ่น2ของพ่อท่าน...
แล้วก็เข้าพิธี พร้อมลอยองค์รุ่นแรก รูปบูชารุ่นแรก...ตอนเดือนตุลาคม ปี 2536..พ่อท่านเสกจนเต็มที่ครับผม..

การสร้างวัตถุมงคล..เพื่อเป็นการเผยแพร่กิตติคุณ บารมีธรรม แห่งองค์ หลวงปู่แสง ธัมมสโร แห่งวัดถ้ำพระพุทธโกษีย์...บ้านในเตา ต.ท่างิ้ว อ.ห้วยยอด จ.ตรัง..
เมื่อตอนที่ขอสร้าง ใด้บอกพ่อท่านไว้แล้ว ว่า ทางทีมงานสร้าง****แจก****ครับผม...
ทางทีมงาน....ได้รวบรวมทุนจำนวนเกือบๆ 1แสนบาท...จัดสร้างวัตถุมงคล...ถวายแด่องค์ หลวงปุ่แสง ธัมมสโร แห่งวัดถ้ำพระพุทธโกษีย์ เมื่อ เดือน เมษายน แล้วเสร็จเดือน กค. ซึ่งเป็นเดือนเกิด ของพ่อท่าน...
วัตถุมงคลที่จัดสร้าง...
๑...รูปบูชาองค์หลวงปุ่แสง ธัมมสโร แห่งวัดถ้ำพระพุทธโกษีย์ ขนาด ๔.๕ นิ้ว จำนวน ๒0๓ องค์
2เดือนต่อมาได้สร้างรุ่น2อีก.๑0๘ องค์
๒...รูปลอยองค์รุ่นแรก (ต่อมาทางวัดได้สร้างอีก 3รุ่น)ฐานบรรจุผงศักดิ์สิทธิ์(.ผงพระสมเด็จ แล้วชุดเบญจะภาคีหักๆชำรุดพระกรุ แล้วผงตะไบ อีก เยอะมากครับเฉพาะผงเก็บมา กว่า20ปี จากหลายๆคณาจารย์แล้วที่เก็บส่วนตัวรวมๆกัน.)...จำนวน ๔๙๙๙ องค์
๓...เหรียญกลีบบัว...รุ่นแรก องค์ หลวงปู่แสง ธัมมสโร แห่งวัดถ้ำพระพุทธโกษีย์ จำนวน ๙๙๙๙ องค์ แล้วถวายหลวงปู่...ทั้งหมด
๔...พระปิดตาพุทธโกษีย์ เนื้อตะกั่วลงถม(พิมพ์๒หน้า).. .. จำนวน ๑๙๙๙ องค์
หลวงปู่แสง ธัมมสโร มีแต่แจกกับแจก.....ใครทำบุญ หรือ ทอนไม่ทอน ไม่เกี่ยว...ท่านแจกจนหมดภายใน ๒0วัน
และมีผู้ใจกุศลผู้ได้รับแจกร่วมหำบุญ....ได้ทำบุญถวายองค์ หลวงปู่แสง ธัมมสโร แห่งวัดถ้ำพระพุทธโกษีย์ ได้ยอดเงิน เกือบ 4แสนบาท...จนสามารถสร้าง ศาลา และโรงครัว หลังขนาดเกือบ 1ไร่ จนเสร็จสิ้น...
****************************
ขอบคุณข้อมูลจาก Bloggang.com : weblog for you and your gang

69
อันนี้แบบละเอียด
ประวัติ พระอาจารย์ประสูติ วัดในเตา

พระอาจารย์ประสูติ วัดในเตา(วัดถ้ำพระพุทธโกษีย์)
นับเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ท่านหนึ่งในช่วง4-5ปีที่ผ่านมานี้ ซึ่งถ้ามีพิธีพุทธาภิเษกใหญ่ๆ จะต้องมีพระอาจารย์ประสูติ วัดในเตา ร่วมพิธีด้วยเสมอ พระเครื่องและวัตถุมงคลที่ท่านสร้างมีเยอะมากพอสมควร แต่จำนวนการสร้างแต่ละอย่างจะไม่มากนักแต่หลากหลาย โดยเฉพาะ เครื่องรางของขลัง ที่ท่านสร้างออกมาจะเป็นที่ต้องการของลูกศิษย์โดยตลอดมา เช่น หุ่นพยนต์ รุ่นแรก ที่เป็นตะกรุดจะหายากมากไม่ค่อยมีหมุนเวียนในสนามพระ ซึ่ง พระอาจารย์ประสูติ มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์วิชาการผูก"หุ่นพยนต์" ซึ่งหุ่นพยนต์ ของอาจารย์ประสูติ จะเป็นได้ทั้งหญิงและชาย หุ่นพยนต์ รุ่นแรก ท่านทำจากตะกรุดจารอักขระด้ายที่ร้อยจะเป็นสีเหลืองทอง ยุคต่อมาจะเป็นไหมสีขาว และต่อมาก็เป็น หุ่นพยนต์มงคลเก้า หรือ หุ่นพยนต์มหามงคล 9, หม่อมกวัก,หน้ากากมโนราห์ หน้ากากพรานบุญ,เสือนอนกิน,เจ็ดนารีพันหลัก,ตะกรุด,ผ้ายันต์,ศาสตร์ดวงตราพลังจักรวาล,และอีกมากมาย



ประวัติ พระอาจารย์ประสูติ วัดในเตา หรือ (หลวงพ่อประสูติ วัดในเตา)

พระอาจารย์ประสูติ ปิยธัมโม วัดถ้ำพระพุทธโกษีย์ หรือวัดในเตา หมู่ที่ 1 ต.ในเตา อ.ห้วยยอด จ.ตรัง เป็นวัดที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากวัดหนึ่ง เป็นสายสำนักเขาอ้อ ซึ่งพระอาจารย์ประสูติ เป็นเจ้าอาวาส วัดในเตา

หลวงพ่อประสูติ ถือได้ว่าเป็นพระนักปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย และหลวงพ่อประสูติ ก็ยังเป็นพระนักพัฒนา ทำให้เป็นที่นับถือศรัทธาจากชาวบ้านโดยทั่วไป ทั้งใน จ.ตรัง จ.นครศรีธรรมราช จ.พัทลุง และใกล้เคียง

พระอาจารย์ประสูติ มีนามเดิมว่า สูตร คงฤทธิ์ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม 2508 ณ หมู่ที่ 2 บ้านห้วยหลุด ต.ห้วยยอด อ.ห้วยยอด จ.ตรัง โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายประดิษฐ์ และนางสนิท คงฤทธิ์ ครอบครัวประกอบอาชีพทำสวนยางพารา หาเงินส่งเสียให้ลูกๆ ได้เล่าเรียนหนังสือ

เมื่อวัยเยาว์
ท่านได้เรียนหนังสือระดับประถมศึกษา ณ โรงเรียนบ้านทุ่งต่อ อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ได้ไปพักอยู่ประจำที่วัดในเตา กับ หลวงปู่แสง ธมฺมสโร เจ้าอาวาสวัดในเตา ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งเมืองตรัง สายสำนักเขาอ้อ จ.พัทลุง เลยทำให้ พระอาจารย์ประสูติ มีโอกาสได้ศึกษา เล่าเรียนสรรพวิชาต่างๆจากหลวงปู่แสง จนกระทั่งเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนห้วยยอด จ.ตรัง

อุปสมบท
และเมื่อท่านอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ใน พ.ศ.2529 ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดห้วยยอด จ.ตรัง โดยมีพระครูนิมิตสังฆคุณ เจ้าคณะอำเภอห้วยยอด เป็นพระอุปัชฌาย์

เมื่อพระอาจารย์ประสูติ เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์แล้วก็ตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัยและพระปริยัติธรรม สามารถสอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก ก่อนกราบลาพระอุปัชฌาย์ เพื่อออกธุดงค์วัตร เสาะแสวงหาพระเกจิอาจารย์ชื่อดังตามภาคต่างๆ เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาวิชาความรู้

เริ่มต้นเรียนจากหลวงปู่แสง เจ้าอาวาสวัดในเตา ซึ่งขณะนั้นในบริเวณรอบวัด ถือเป็นพื้นที่สีแดง แต่หลวงปู่แสงและพระอาจารย์ประสูติ สามารถอยู่จำพรรษาได้อย่างปกติสุข เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้าน

กราบลาอาจารย์ออกธุดงค์ เพื่อไปศึกษาวิชาความรู้
หลังร่ำเรียนวิชาจากหลวงปู่แสง ท่านได้กราบลา เพื่อเดินทางไปศึกษาวิชากับพระเกจิอาจารย์ชื่อดังทั่วทุกภาคของประเทศไทย เช่น เดินทางไปภาคเหนือ เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ ครูบาเหมย วัดศรีดงเย็น จ.เชียงใหม่ เดินทางลงมายังภาคกลาง เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ หลวงพ่อสัมฤทธิ์ วัดถ้ำแผด จ.กาญจนบุรี

ส่วนภาคใต้ ท่านเดินทางไปยังหลายวัด เพื่อขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ อาทิ หลวงพ่อคล้อย วัดถ้ำเขาเงิน อ.หลังสวน จ.ชุมพร, พระครูบุญญาภินันท์ หรือพระอาจารย์หรีด วัดป่าโมกข์ จ.พังงา, หลวงปู่ชื่น วัดทุ่งชน จ.ตรัง เป็นต้น

การออกธุดงค์เสาะแสวงหาพระอาจารย์ ของ"พระอาจารย์ประสูติ"เพื่อศึกษาวิชาความรู้ด้านพระพุทธศาสนา ทำให้เป็นพระนักปฏิบัติดี ปฏิบัติมั่นในพระธรรมวินัย ศีลาจารวัตรงดงาม แข็งแกร่งในวิปัสสนากัมมัฏฐาน มีสมาธิแก่กล้า จนเป็นที่เลื่องลือ ในด้านการปลุกเสกเครื่องรางของขลัง เด่นในพุทธคุณด้านเมตตามหานิยม

"พระอาจารย์ประสูติ"เดินทางกลับ จังหวัดตรัง
และใน ปี พ.ศ.2540 พระอาจารย์ประสูติ ท่านได้กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดห้วยยอด อ.ห้วยยอด จ.ตรัง อีกครั้ง และต่อมา พ.ศ.2535 หลวงปู่แสง เจ้าอาวาสวัดในเตา มรณภาพลง ทำให้วัดแห่งนี้แทบจะกลายเป็นวัดร้างไป เนื่องจากไม่มีเจ้าอาวาสและพระลูกวัดอาศัยอยู่อย่างถาวร แม้จะมีพระสงฆ์หลายรูปหมุนเวียนกันมาเพื่ออยู่จำพรรษาที่วัดในเตา แต่ท้ายสุดไม่สามารถอยู่ได้และต้องย้ายออกไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อชาวบ้านรับทราบว่า พระอาจารย์ประสูติ เดินทางกลับมาจำวัดอยู่ที่วัดห้วยยอด ในฐานะที่เป็นศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่แสง มากที่สุด และเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาเช่นเดียวกับหลวงปู่แสง

บรรดาชาวบ้านจึงได้ไปกราบนิมนต์ขอให้พระอาจารย์ประสูติ เป็นเจ้าอาวาสวัดในเตา นับตั้งแต่ พ.ศ.2544 จนถึงปัจจุบัน

แม้ชื่อจริงของท่านคือ สูติ แต่ลูกศิษย์ลูกหาตลอดจนผู้ที่เคารพนับถือ ถนัดที่จะเรียกท่านว่า พระอาจารย์ประสูติ จนติดปาก จะมีบ้างที่ศิษย์ต่างจังหวัดจะเรียกว่า "หลวงพ่อประสูติ"

ทั้งนี้ พระอาจารย์ประสูติ มีวิชาความรู้เกี่ยวกับพิธีการปลุกเสกจตุคามรามเทพ มาแต่สมัยยังเป็นสามเณร ที่วัดห้วยยอด ด้วยเคยติดตามหลวงปู่แสง ไปร่วมพิธีปลุกเสก ณ วิหารหลวง จ.นครศรีธรรมราช ตั้งแต่ปี พ.ศ.2530

ด้วยชื่อเสียงของท่านที่ขจรขยายไปทั่ว ทำให้วัดในเตา เป็นสถานที่หนึ่ง ในพิธีปลุกเสกจตุคามรามเทพไปโดยปริยาย ดังนั้น หากในประเทศไทยหรือในภาคใต้ มีวัดแห่งใดประสงค์ที่จัดสร้างจตุคามรามเทพ นอกเหนือไปจากวิหารหลวง จ.นครศรีธรรมราช และวัดเขาอ้อ จ.พัทลุง เพื่อประกอบพิธีแล้ว วัดในเตา จ.ตรัง เป็นอีกหนึ่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่นิยมใช้ในการทำพิธีปลุกเสกพระเครื่องรุ่นต่างๆ



สำหรับวัดในเตา ได้ก่อสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.2203 มีพระพุทธรูปที่สวยงามและศักดิ์สิทธิ์ ในสมัยอาณาจักรศรีวิชัย ประดิษฐานอยู่คู่กับวัด 3 องค์ คือ พระพุทธโกษีย์ พระธรรมรูจี และพระศรีไกรสร โดยได้นำเอาชื่อของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ที่ประดิษฐานอยู่ในถ้ำ มาตั้งเป็นชื่อวัด และภายในถ้ำแห่งนี้ เป็นที่ร่ำลือกันว่า มีเหล็กไหล ฝังอยู่มานานหลายร้อยปีแล้ว เป็นผลทำให้มีชาวบ้านจำนวนมาก แอบลักลอบเข้าไปขุดเหล็กไหล สร้างความเสียหายอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้ พระอาจารย์ประสูติ จึงได้นำเหล็กไหล ที่ได้กระทำพิธีขอพลีขึ้นมาจากใต้ถ้ำ รวมน้ำหนักประมาณ 400 กิโลกรัม ไปฝังเอาไว้ใต้พระประธานภายในอุโบสถวัด เพื่อต้องการแก้ปัญหาการทุบทำลายถ้ำ ขโมยเหล็กไหล และพระอาจารย์ประสูติ ท่านได้นำเหล็กไหล บางส่วนมาสร้างเป็นพระเครื่องต่างๆ หลากหลายรูปแบบ แต่จำนวนการสร้างแต่ละแบบน้อยมากเลยไม่ค่อยมีใครพบเห็น และหลายๆคนที่มีก็ไม่ยอมปล่อยให้เช่าบูชากัน พระเครื่อง และเครื่องรางของขลัง ยุคแรกๆของท่านส่วนใหญ่จะสร้างน้อยเพราะทำกันเองที่วัด และพระเกจิอาจารย์อีกท่านหนึ่งที่มักจะเจอคู่กันบ่อยๆในพิธีต่างๆ คือ พระอาจารย์หรีด วัดป่าโมกข์ จ.พังงา ซึ่งถือได้ว่าเป็นอาจารย์อีกรูปหนึ่งของ พระอาจารย์ประสูติ วัดในเตา
 
ขอบคุณ ทีมาจากเว็บบล็อกพระไทย

70
ที่มาจาก http://www.itti-patihan.com/

ประวัติ พระอาจารย์ประสูติ วัดในเตา จ.ตรังประวัติ พระอาจารย์ ประสูติ วัดในเตา จ.ตรัง 


ช่วงรอยต่อพื้นที่ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช และ อ.ป่าพยอม จ.พัทลุง บนแนวเขตเทือกเขาบรรทัด ปรากฏนามพระเกจิอาจารย์ผู้เป็นเจ้าพิธี ในการจัดสร้างวัตถุมงคลจตุคามรามเทพอีกรูปหนึ่งที่รู้จักกันเป็นอย่างดี คือ พระอาจารย์ประสูติ ปิยธัมโม เจ้าอาวาสวัดถ้ำพระพุทธโกษีย์ หรือวัดในเตา หมู่ที่ 1 ต.ในเตา อ.ห้วยยอด จ.ตรัง

ท่านเป็นพระนักปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน ที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ขณะเดียวกันก็ยังเป็นพระนักพัฒนา ทำให้เป็นที่นับถือศรัทธาจากชาวบ้านโดยทั่วไป ทั้งใน จ.ตรัง จ.นครศรีธรรมราช จ.พัทลุง และใกล้เคียง

อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า สูตร คงฤทธิ์ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม 2508 ณ หมู่ที่ 2 บ้านห้วยหลุด ต.ห้วยยอด อ.ห้วยยอด จ.ตรัง โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายประดิษฐ์ และนางสนิท คงฤทธิ์ ครอบครัวประกอบอาชีพทำสวนยางพารา หาเงินส่งเสียให้ลูกๆ ได้เล่าเรียนหนังสือ

ในวัยเยาว์ เรียนหนังสือระดับประถมศึกษา ที่โรงเรียนบ้านทุ่งต่อ อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ได้ไปพักอยู่ประจำที่วัดในเตา กับ หลวงปู่แสง ธมฺมสโร เจ้าอาวาสวัดในเตา ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งเมืองตรัง สายสำนักเขาอ้อ จ.พัทลุง

ท่านได้ศึกษาสรรพวิชาจากหลวงปู่แสง จนกระทั่งเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนห้วยยอด จ.ตรัง ได้ผันตัวเองเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ บรรพชา ณ วัดห้วยยอด อ.ห้วยยอด จ.ตรัง

ครั้นเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ใน พ.ศ.2529 ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดห้วยยอด โดยมีพระครูนิมิตสังฆคุณ เจ้าคณะอำเภอห้วยยอด เป็นพระอุปัชฌาย์ ตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัยและพระปริยัติธรรม สามารถสอบไล่ได้นักธรรมชั้นเอก ก่อนกราบลาพระอุปัชฌาย์ เพื่อออกธุดงควัตร เสาะแสวงหาพระเกจิอาจารย์ชื่อดังตามภาคต่างๆ เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาวิชาความรู้

เริ่มต้นเรียนจากหลวงปู่แสง เจ้าอาวาสวัดในเตา ซึ่งขณะนั้นในบริเวณรอบวัด ถือเป็นพื้นที่สีแดง แต่หลวงปู่แสงและพระอาจารย์ประสูติ สามารถอยู่จำพรรษาได้อย่างปกติสุข เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้าน

หลังจากร่ำเรียนวิชาจากหลวงปู่แสงแล้ว ท่านได้กราบลา เพื่อเดินทางไปศึกษาวิชากับพระเกจิอาจารย์ชื่อดังทั่วทุกภาคของประเทศไทย เช่น เดินทางไปภาคเหนือ เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ "ครูบาเหมย" วัดศรีดงเย็น จ.เชียงใหม่ เดินทางลงมายังภาคกลาง เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ "หลวงพ่อสัมฤทธิ์" วัดถ้ำแผด จ.กาญจนบุรี ส่วนภาคใต้ ท่านเดินทางไปยังหลายวัด เพื่อขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ อาทิ หลวงพ่อคล้อย วัดถ้ำเขาเงิน อ.หลังสวน จ.ชุมพร, พระครูบุญญาภินันท์ หรือพระอาจารย์หรีด วัดป่าโมกข์ จ.พังงา, หลวงปู่ชื่น วัดทุ่งชน จ.ตรัง เป็นต้น

การออกธุดงค์เสาะแสวงหาพระอาจารย์ เพื่อศึกษาวิชาความรู้ด้านพระพุทธศาสนา ทำให้เป็นพระนักปฏิบัติดี ปฏิบัติมั่นในพระธรรมวินัย ศีลาจารวัตรงดงาม แข็งแกร่งในวิปัสสนากัมมัฏฐาน มีสมาธิแก่กล้า จนเป็นที่เลื่องลือในด้านการปลุกเสกเครื่องรางของขลัง เด่นในพุทธคุณด้านเมตตามหานิยม

กระทั่ง พ.ศ.2540 ท่านจึงได้กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดห้วยยอด อ.ห้วยยอด จ.ตรัง อีกครั้ง

ครั้นต่อมา พ.ศ.2535 หลวงปู่แสง เจ้าอาวาสวัดในเตา มรณภาพลง ทำให้วัดแห่งนี้แทบจะกลายเป็นวัดร้างไป เนื่องจากไม่มีเจ้าอาวาสและพระลูกวัดอาศัยอยู่อย่างถาวร

แม้จะมีพระสงฆ์หลายรูปหมุนเวียนกันมาเพื่ออยู่จำพรรษาที่วัดในเตา แต่ท้ายสุดไม่สามารถอยู่ได้และต้องย้ายออกไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อชาวบ้านรับทราบว่า พระอาจารย์ประสูติ เดินทางกลับมาจำวัดอยู่ที่วัดห้วยยอด ในฐานะที่เป็นศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่แสง มากที่สุด และเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาเช่นเดียวกับหลวงปู่แสง

บรรดาชาวบ้านจึงได้ไปกราบนิมนต์ขอให้เป็นเจ้าอาวาสวัดในเตา นับตั้งแต่ พ.ศ.2544 จนถึงปัจจุบัน

แม้ชื่อจริงของท่านคือ "สูติ" แต่ลูกศิษย์ลูกหาตลอดจนผู้ที่เคารพนับถือ ถนัดที่จะเรียกท่านว่า "พระอาจารย์ประสูติ" จนติดปาก

ทั้งนี้ พระอาจารย์ประสูติ มีวิชาความรู้เกี่ยวกับพิธีการปลุกเสกจตุคามรามเทพ มาแต่สมัยยังเป็นสามเณร ที่วัดห้วยยอด ด้วยเคยติดตามหลวงปู่แสง ไปร่วมพิธีปลุกเสก ณ วิหารหลวง จ.นครศรีธรรมราช ตั้งแต่ปี พ.ศ.2530

เมื่อท่านได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดในเตา ได้รับการนิมนต์ให้ไปร่วมในพิธีการปลุกเสกจตุคามรามเทพอยู่บ่อยครั้ง เริ่มจากในพื้นที่ภาคใต้ ค่อยขยายไปทั่วประเทศ ถึงปัจจุบันนับจำนวนได้มากกว่า 100 รุ่น

ด้วยชื่อเสียงของท่านที่ขจรขยายไปทั่ว ทำให้วัดในเตา เป็นสถานที่หนึ่ง ในพิธีปลุกเสกจตุคามรามเทพไปโดยปริยาย ดังนั้น หากในประเทศไทยหรือในภาคใต้ มีวัดแห่งใดประสงค์ที่จัดสร้างจตุคามรามเทพ นอกเหนือไปจากวิหารหลวง จ.นครศรีธรรมราช และวัดเขาอ้อ จ.พัทลุง เพื่อประกอบพิธีแล้ว วัดในเตา จ.ตรัง เป็นอีกหนึ่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่นิยมใช้ในการทำพิธีปลุกเสกพระเครื่องรุ่นต่างๆ

สำหรับวัดในเตา ได้ก่อสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.2203 มีพระพุทธรูปที่สวยงามและศักดิ์สิทธิ์ ในสมัยอาณาจักรศรีวิชัย ประดิษฐานอยู่คู่กับวัด 3 องค์ คือ พระพุทธโกษีย์ พระธรรมรูจี และพระศรีไกรสร โดยได้นำเอาชื่อของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ที่ประดิษฐานอยู่ในถ้ำ มาตั้งเป็นชื่อวัด และภายในถ้ำแห่งนี้ เป็นที่ร่ำลือกันว่า มีเหล็กไหล ฝังอยู่มานานหลายร้อยปีแล้ว เป็นผลทำให้มีชาวบ้านจำนวนมาก แอบลักลอบเข้าไปขุดเหล็กไหล สร้างความเสียหายอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ พระอาจารย์ประสูติ จึงได้นำเหล็กไหล ที่ได้กระทำพิธีขอพลีขึ้นมาจากใต้ถ้ำ รวมน้ำหนักประมาณ 400 กิโลกรัม ไปฝังเอาไว้ใต้พระประธานภายในอุโบสถวัด เพื่อต้องการแก้ปัญหาการทุบทำลายถ้ำ ขโมยเหล็กไหล อย่างไรก็ตาม ท่านได้พยายามสั่งสอน เรื่องการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาให้กับชาวบ้าน ทำให้วัดแห่งนี้กลายเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน
?วัดในเตา? อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง เตรียมตัดสร้างจตุคามรามเทพ รุ่นที่ 2 เพื่อนำเงินรายได้จัดสร้างซุ้มประตูวัด สร้างกำแพงแก้วรอบวัด และสร้างโรงครัว หลังจากที่การจัดสร้างในรุ่นแรกประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก สามารถนำรายได้มาพัฒนาวัดได้ทุกอย่างตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้
       
       พระอาจารย์ประสูติ ปิยธมฺโม เจ้าอาวาสวัดในเตา อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง กล่าวว่า วัดในเตา เตรียมสร้างพระเทวราชโพธิสัตว์ แห่งอาณาจักรทะเลใต้ ?องค์จตุคาม-รามเทพ? รุ่นที่ 2 ?ขุมทอง จตุรทิศ ไตรมาศ 50? เพื่อนำเงินรายได้จัดสร้างซุ้มประตูวัด สร้างกำแพงแก้วรอบวัด และสร้างโรงครัว หลังจากที่การจัดสร้างในรุ่นแรกประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก สามารถนำรายได้มาพัฒนาวัดได้ทุกอย่างตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้ ซึ่งประกอบไปด้วย กุฏิสงฆ์ 1 หลัง ต่อมุกหน้าถ้ำ ปรับปรุงระบบไฟฟ้า ปรับพื้นที่ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการจัดงานฝังลูกนิมิต และการก่อสร้างพระอุโบสถ
       
       ทั้งนี้ เพราะประชาชนเลื่อมใสศรัทธาในตนสิทธิ์และกายสิทธิ์ ของเหล่ามวลสารธาตุที่นำมาจัดสร้าง ประกอบกับเลื่อมใสศรัทธาในบารมีองค์จตุคาม-รามเทพ และเลื่อมใสศรัทธาในบารมีจิตรพระเถราจารย์ผู้ปลุกเสก รวมทั้งพลังศรัทธาต่อวัดในเตา ดังนั้น จึงมีบรรดาเซียนพระ นักธุรกิจ และชาวบ้าน อีกส่วนหนึ่ง อยากให้ทางวัดได้จัดสร้างรุ่นที่ 2 ขึ้นมา โดยเฉพาะองค์จตุคาม-รามเทพ องค์ใหญ่ ที่นำไปประดิษฐานเพื่อความเป็นศิริมงคล ต่อสถานที่ทำงาน
       
       พระอาจารย์ประสูติ กล่าวอีกว่า สำหรับในรุ่นที่ 2 นี้ ตนได้ไปหารือช่างศิลป์ชื่อดัง ซึ่งเป็นช่างหุ่นขี้ผึ้งที่มีชื่อเสียงในระดับโลก เป็นผู้ออกแบบให้ โดยให้แนวคิดว่า อยากให้รูปขององค์พ่อจตุคาม-รามเทพ ออกมาในปางที่เหมือนกับสมัยมีชีวิตอยู่ให้มากที่สุด ซึ่งก็คือ ปางมหาลีลาประทานพร ใน 3 ขนาด คือ 1.เนื้อหล่อสัมฤทธิ์ สูง 1.50 เมตร เพื่อให้นำไปประดิษฐาน ณ สถานที่ทำงาน มีราคาจององค์ละ 1 แสน 5 หมื่นบาท โดยจะจัดสร้างตามจำนวนที่จอง 2.ชุดกรรมการ สูง 31 เซนติเมตร หน้าตัก 7 นิ้ว มีราคาจององค์ละ 60,000 บาท 3.เนื้อสันตวโลหะครึ่ง เนื้อสัมฤทธิ์ และเนื้อทองคำอู่ จากประเทศจีน มีราคาจององค์ละ 3 หมื่นบาท
       
       ทั้งนี้ ทุกองค์จะทำพิธีเททองหล่อ ณ วัดในเตา ทั้งหมด ระหว่างวันที่ 5-7 มิถุนายน 2550 รวมทั้งการปั๊มเนื้อผงและเนื้อว่าน ก็จะทำในวัดในเตาทั้งหมด ยกเว้นแบบเหรียญ เพราะไม่มีเครื่องมือ ส่วนการที่ตั้งชื่อรุ่นที่ 2 ว่า ?ขุมทอง จตุรทิศ ไตรมาศ 50? นั้น สืบเนื่องมาจากการที่พระพุทธเจ้ามีทรัพย์มากมาย ซึ่งทุกอย่างล้วนเกิดจากการที่ทุกวัดรวมทั้งผู้คน ได้ร่วมกันสร้างถวาย ก็เช่นเดียวกับวัดในเตา ที่สร้างความเจริญในด้านต่างๆ ก็เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
       
       ส่วนไตรมาศ 50 คือ จะทำพิธีปลุกเสกเดี่ยวภายในถ้ำทุกคืน เป็นเวลา 1 ไตรมาส หรือตลอด 3 เดือน ช่วงเทศกาลเข้าพรรษา จากนั้นจะทำพิธีสมโภชอย่างยิ่งใหญ่ครั้งสุดท้าย โดยพระเถราจารย์สายสำนักเขาอ้อ ในช่วงเทศกาลทอดกฐิน ต่อจากนั้น ในคืนวันเพ็ญเดือน 12 ซึ่งเป็นฤกษ์ที่ดีที่สุดตามตำนายพุทธกาล วัดในเตาก็จะทำพิธีปั้นหุ่นขี้ผึ้งองค์พ่อจตุคาม-รามเทพ สำหรับประดิษฐานที่บริเวณลานหน้าถ้ำ อีก 1 องค์ ความสูง 3 เมตร เพื่อให้ประชาชนที่เลื่อมใสศรัทธาได้กราบไหว้บูชา

71
รูปลพ.ทาบถ่ายที่วัดป่าประดู่พิธีพุทธาพิเษกพระลพ.แอ่วปี๒๕๐๗

   ?อิทธิฤทธิ์...หลวงพ่อเพ่ง, เมตตามหานิยม...หลวงพ่อทาบ, อาคม...หลวงพ่อทิม?
วลีสามประโยคนี้เป็นคำกล่าวของชาวระยองเมื่อเอ่ยถึงหลวงพ่อเพ่ง หลวงพ่อทาบ และหลวงพ่อทิม ภายหลังจากที่หลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย หลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก และหลวงพ่อกาจ วัดหนองสนมได้มรณภาพแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นเอกลักษณ์อันเด่นชัดของพระเกจิอาจารย์แต่ละรูปว่าโดดเด่นไปคนละทาง หลวงพ่อเพ่งนั้น โดดเด่นทางอิทธิฤทธิ์ หลวงพ่อทาบนั้นโดดเด่นทางเมตตามหานิยม ส่วนหลวงพ่อทิมนั้นโดดเด่นเรื่องคาถาอาคม ทั้งสามท่านมีอายุไล่เลี่ยกัน โดยหลวงพ่อทาบแก่กว่าหลวงพ่อทิม ๒ ปี ส่วนหลวงพ่อทิมและหลวงพ่อเพ่งมีอายุเท่ากันเพราะไล่ทหารปีเดียวกัน

อิทธิฤทธิ์หลวงพ่อเพ่ง
หลวงพ่อเพ่ง ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์รูปนี้อดีตเป็นเจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งของจังหวัดระยอง อยู่คนละฟากแม่น้ำบ้านค่ายกับวัดละหารไร่ หลวงพ่อทิมได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่าหลวงพ่อเพ่งสมัยเป็นทหารเรือ ท่านเคยเป็นบ๋อย (มาจาก Boy ใช้เป็นศัพท์สแลงแปลว่า คนรับใช้) ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาของทหารเรือไทย
พระอาจารย์สิน เจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่ ซึ่งเป็นศิษย์เอกของหลวงพ่อเพ่งและหลวงพ่อทิมได้เล่าว่า หลวงพ่อนั้นท่านเป็นคนหัวดี สมองไว เก่งทางเลขผานาที การคำนวณ และเก่งทางหนังสือหนังหา เมื่อถูกเกณฑ์เป็นทหารเรือจึงได้รับคัดเลือกให้ไปรับใช้ใกล้ชิดเสด็จเตี่ยหรือกรมหลวงชุมพรฯ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารเรือในยุดนั้น หลวงพ่อเพ่งเป็นผู้ที่ใฝ่ใจทางวิทยาอาคม เมื่อมีโอกาสจึงติดตามเสด็จในกรมไปเล่าเรียนวิทยาอาคมต่างๆ ด้วย
เมื่อครบกำหนดการเป็นทหารซึ่งในสมัยนั้นใช้เวลา ๓ *** ๔ ปี ท่านก็กลับมาบ้านเกิดของท่านโดยบวชเป็นพระภิกษุมาแล้ว และมาจำพรรษาอยู่วัดละหารใหญ่ เจ้าอาวาสองค์ก่อนจึงขอให้หลวงพ่อเพ่งสอนหนังสือแก่กุลบุตรกุลธิดาแถววัดละหารใหญ่และวัดละหารไร่ นั่นเอง
หลวงพ่อสินยังเล่าต่ออีกว่าหลังจากนั้นก็มีพวกเจ้าขุนมูลนายจากกรุงเทพฯ มาเยี่ยมเยียนหลวงพ่อเพ่งเป็นประจำ และมาอยู่ค้างที่วัดละหารใหญ่ครั้งละหลายๆ วัน ส่วนสาเหตุที่ทำให้คนทั่วไปรู้ว่าหลวงพ่อเพ่งมีอิทธิฤทธิ์ด้านคงกระพันเป็นเอกนั้น ก็เพราะวันหนึ่งขณะที่พวกชาวบ้านกำลังเอามีดผ่าไม้รวกอยู่ หลวงพ่อเพ่งมาเห็นเข้าบอกว่า ?ผ่าด้วยมีดมันช้า? ว่าแล้วท่านก็เอามือผ่าลำไม้รวกซึ่งผิวของมันคมกริบปานคมมีดโกน แต่ท่านใช้มือผ่าไม้รวกให้ชาวบ้านดูอย่างหน้าตาเฉย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้คนก็ไปขอของดีจากท่านมิได้ขาด บางครั้งขณะที่ท่านกำลังสอนหนังสือเด็กก็มีคนไปรอเพื่อขอให้ลงตะกรุดให้
ผู้เฒ่าผู้แก่แถวๆ วัดละหารไร่เล่าว่า เมื่อชาวบ้านหยิบเอาวัสดุที่เตรียมมาซึ่งมีทั้งแผ่นทองเหลือง แผ่นหม้ออลูมิเนียมตัดเป็นแผ่นๆ มาให้ท่าน หลวงพ่อเพ่งท่านจะหยิบแผ่นโลหะนั้นมาจารอักขระลงไปในแผ่นเพียงตัวเดียว คือ ตัวเฑาะว์มหาพรหม หรือที่เรียกอีกชื่อว่า ?ตัวเฑาะว์ใหญ่? จารเสร็จแล้วท่านก็ม้วนเป็นตะกรุด ยกขึ้นจบเหนือศีรษะ แล้วส่งให้ผู้ขอเลย โดยไม่เห็นท่านปลุกเสกอะไร แรกๆ ชาวบ้านไม่แน่ใจก็ลองเอาตะกรุดนั้นวางบนตอไม้ แล้วใช้ปืนยิงลองดู ปรากฏว่า นัดแรกดัง แชะ ด้านทุกราย! ส่วนนัดที่สองด้านบ้าง ยิงออกแต่ไม่ถูกบ้าง บางครั้งมีคนมาขอตะกรุดแต่ไม่มีโลหะมาให้ท่านลง ท่านก็บอกว่ามึงเอาซองห่อยากาแรตนั้นแหละมาลง ปรากฏว่ากระดาษอลูมิเนียมชนิดบางที่ใช้ห่อบุหรี่ตราฆ้องสมัยนั้นก็กลายเป็นตะกรุดไปอย่างวิเศษก็มี หลวงพ่อเพ่งท่านไม่ได้สร้างพระเครื่องอะไรทั้งสิ้นนอกจากตะกรุดอย่างเดียว ปัจจุบันชาวบ้านแถบนั้นจึงหวงตะกรุดหลวงพ่อเพ่งมากกว่าตะกรุดของหลวงพ่อทิมเสียอีก !
อีกเรื่องหนึ่งที่แสดงถึงอิทธิฤทธิ์หลวงพ่อเพ่งให้เป็นที่ประจักษ์ คือ เมื่อวัดละหารใหญ่มีงาน ชาวบ้านก็ล้างจานชามกันที่สระน้ำหน้าวัดทีละใบๆ หลวงเพ่งท่านมาเห็นเข้าท่านจึงบอกว่า ?ล้างแบบนี้ช้าไป เอาใส่แข่งเขย่าเลย? ชาวบ้านก็ทำตามท่าน ถ้วยชามที่เป็นแก้วเป็นกระเบื้องก็ไม่แตก! เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจ

อาคมหลวงพ่อทิม
ในยุคที่หลวงพ่อเพ่งดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่อยู่นั้น หลวงพ่อทิมยังเป็นเพียงพระหมอยาเท่านั้น ใครที่เจ็บไข้ได้ป่วยก็พากันไปหาหลวงพ่อทิม แต่ถ้าจะเอาเรื่อง คงกระพัน ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า ก็ต้องไปหาหลวงพ่อเพ่ง แต่ทั้งหลวงพ่อเพ่งและหลวงพ่อทาบนั้น ท่านรู้อยู่เต็มอกว่าไม่ว่าด้านคงกระพันหรือเมตตามหานิยมนั้น หลวงพ่อทิมก็ไม่เป็นสองรองทั้งสองรูป แต่หลวงพ่อทิมท่านเป็นพระสำรวมนอบน้อมถ่อมตนจึงเก็บงำไม่ยอมสำแดงออก ก่อนที่หลวงพ่อเพ่งจะมรณภาพ ท่านสั่งลูกศิษย์ใกล้ชิดไว้ว่า เมื่อท่านตายแล้วและศพท่านเผาไม่ไหม้ก็ให้คนไปตามท่านทิมมาช่วยเผา และก็เป็นไปตามคำที่หลวงพ่อเพ่งสั่งไว้
สำหรับหลวงพ่อทาบ เทพเจ้าแห่งเมตตามหาน
ใจ และชวนหลวงพ่อทาบเพื่อนเกลอไปขอร่ำเรียนวิชาพัดโบกจากหลวงพ่อกาจด้วยกัน แต่หลวงพ่อกาจให้ท่านเรียนวิชาได้เพียงคนเดียว ส่วนหลวงพ่อทาบไม่ได้เรียน ผมถามว่าเป็นเพราะเหตุใด หลวงปู่ทิมท่านตอบว่า ?ก็นี่ (หลวงปู่ทิมท่านมักเรียกสรรพนามแทนตัวท่านว่า ?นี่?) รู้ว่าหลวงพ่อกาจท่านชอบสูบกัญชา นี่จึงเอากัญชาติดมือไปถวายท่านด้วยหนึ่งห่อ หลวงพ่อกาจเลยสอนวิชาให้ ส่วนท่านพี่ทาบไม่เอากัญชาติดมือไปด้วย หลวงพ่อท่านก็ไม่ยอมสอนให้?
หลังจากที่ได้ยินได้ฟังเรื่องอิทธิฤทธิ์ของผ้าพัดโบกของหลวงพ่อกาจแล้ว ผู้เขียนก็แสวงหาผ้ายันต์พัดโบกของหลวงพ่อกาจมาศึกษาก็ได้พบของจริงเข้าจนได้ พัดโบกหลวงพ่อกาจที่ผู้เขียนพบเป็นของครูตุ๋ย ครูโรงเรียนวัดกระบกขึ้นผึ้ง ซึ่งได้มาจากผู้เฒ่าผู้แก่แถววัดกระบกขึ้นผึ้ง ผ้ายันต์ผืนนี้เป็นสีแดงเขียนด้วยหมึกจีนสีดำ ในหมึกจีนสีดำนั้นเมื่อส่องด้วยแว่นขยายแรงสูงดูแล้วเข้าใจว่าหมึกดำคงจะผสมด้วยว่านยาต่างๆ อันเป็นเคล็ดลับ ซึ่งน่าจะได้แก่ ว่านสาวหลง ไม้ไก่กุก ไม้กาฝากรัก ว่านช้างผสมโขลง ว่านดอกทอง เป็นต้น ลายมืออักขระขอม คงเป็นลายมือของหลวงพ่อกาจ เพราะท่านผู้เฒ่าเจ้าของผ้าพัดโบกผืนนั้น ยืนยันว่าพัดโบกผืนนั้นหลวงพ่อกาจลงเอง กลางอักขระเลขยันต์เป็นรูปเทวดาหญิงชายสององค์ยืนกอดกัน ต่อมาวิชาพัดโบกนี้หลวงปู่ทิมได้นำมาประยุกต์ดัดแปลงเสียใหม่ โดยไม่ใช้รูปเทวดาแต่งชุดทั้งองค์มาปรากฏให้เห็น แต่ก็ใช้ผ้าสีแดงทำเช่นกัน
ส่วนผ้ายันต์พัดโบกของหลวงพ่อทาบนั้นท่านก็ได้สร้างขึ้นไว้ครั้งหนึ่งจำนวนมากพอสมควร แต่เป็นยันต์พิมพ์เพื่อแจกแก่ผู้ทำบุญในงานผูกพัทธสีมาของวัดกระบกขึ้นผึ้ง โดยใช้ผ้าสีขาว ปัจจุบันผ้ายันต์ชุดนี้ของหลวงพ่อทาบก็หายากแล้ว ใครมีใครก็หวง เพราะอานุภาพใช้ดีทางเมตตาค้าขายไม่เสียทีที่หลวงพ่อทาบได้สมญาว่า เทพเจ้าแห่งเมตตานิยมสีผึ้งเขียวอันลือลั่น
เหตุที่จะทำให้หลวงพ่อทาบมีชื่อเสียงโด่งดังจนเป็นเอกในด้านเมตตามหานิยมและเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไป ก็มาจากสีผึ้งเขียว เมื่อหลวงพ่อทาบมีอายุล่วงเข้า ๘๐ พรรษาเศษแล้ว ท่านใช้เวลารวบรวมมงคลวัตถุต่าง ๆ เป็นเวลานานถึง ๔ ปีเศษ
หลังจากนั้นท่านก็เริ่มเป็นที่รู้จักของผู้คนในแถมละแวกวัดกระบกขึ้นผึ้งและคนในถิ่นใกล้เคียง จนเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนในย่านนั้น เมื่อเจ้าอาวาสวัดกระบกขึ้นผึ้งมรณภาพลง ชาวบ้านจึงได้นิมนต์ท่านขึ้นเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดกระบกขึ้นผึ้ง ท่านไม่สามารถขัดศรัทธาของชาวบ้านได้ จึงจำใจต้องรับตำแหน่งนั้น การพัฒนาวัดกระบกขึ้นผึ้งในสมัยท่านไปด้วยดี เพราะได้รับแรงศรัทธาจากประชาชน จนหลวงพ่อทาบสามารถสร้างกุฏิ วิหาร โบสถ์ ได้อย่างรวดเร็วในยุคของท่าน
นอกจากงานพัฒนาทางวัดแล้วหลวงพ่อทาบยังได้สงเคราะห์ญาติโยมที่เดือดร้อนทางใจและตกทุกข์ได้ยาก โดยการทำน้ำมนต์อาบขจัดทุกข์ขจัดโศก จนบุคคลเหล่านั้นประสบความสำเร็จ ชื่อเสียงเกียรติคุณของหลวงพ่อทาบจึงเลื่องลือระบือออกไปตามท้องถิ่นต่าง ๆ จนจัดเป็นเกจิอาจารย์ที่มีเกียรติคุณอย่างยิ่งรูปหนึ่งในบ้านค่าย
ในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ หลวงพ่อทาบ เพชรนคร ได้รับแต่งตั้งได้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบล อันเป็นการแสดงออกถึงความสามารถในการปกครองของท่าน และในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ก็ได้รับสมณะศักดิ์เป็นพระครูชั้นสัญญาบัตรที่พระครูอรรถโกศล ท่ามกลางความยินดีปรีดาของชาวบ้านและศิษยานุศิษย์น้อยใหญ่ ถึงกับมีการแห่แหนสัญญาบัตรพัดยศจากวัดป่าประดู่เข้ามายังวัดกระบกขึ้นผึ้ง
สำหรับผู้ที่จะมาขอสีผึ้งเขียวของท่านนั้น กว่าจะได้ก็แสนจะลำบากยากเย็น เล่ากันว่าผู้ต้องการจะได้สีผึ้งเขียวของท่านจะต้องมานอนค้างคืนกันที่วัดหลาย ๆ คืน และหลาย ๆ ครั้ง จนหลวงพ่อทาบเห็นความมานะอดทนว่า ต้องการได้จริง ๆ ท่านจึงจะให้ แต่ท่านจะหยิบให้เพียงเท่าหัวไม้ขีดไฟเท่านั้น สีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบเมื่อใครได้มาแล้วเหมือนกับได้ของวิเศษที่เปี่ยมไปด้วยส่วนผสมแห่งเมตตามหานิยม คนเล่นของในสมัยนั้นจึงนำสีผึ้งหลวงพ่อทาบที่ได้มาเพียงแค่หัวไม้ขีดไฟมาเลี่ยมทองหุ้มใส่สายสร้อยหรือแขวนติดตัว แต่ก่อนจะมอบสีผึ้งเขียวให้แก่ผู้ใด หลวงพ่อทาบจะสั่งสอนวิธีใช้ให้ สำหรับเรื่องผู้หญิงนั้น ถ้าจะใช้สีผึ้งนี่ก็ขอให้ใช้เมื่อจำเป็นจริง ๆ ได้เขาสมใจแล้วก็อย่าไปทิ้งไปขว้าง มิเช่นนั้น จะเกิดวิบัติ
นักเลงรุ่นเก่าชาวระยองยอมรับว่าสีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบนั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ ไม่เคยทำให้ใครผิดหวังโดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง ท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่งใน ต. ตาสิทธิ์ ติดกับวัดหลวงปู่ทิมเล่าให้ผู้เขียนฟังว่าเมื่อสมัยหนุ่ม ๆ ข้าก็ได้อาศัยสีผึ้งเขียว ของหลวงพ่อทาบนี่แหละ จึงได้แม่อ้ายยอด มาจนทุกวันนี้ แม่อ้ายยอดเมื่อสาวๆ มันสวยอย่าบอกใครเชียว หนุ่ม ๆ มาจีบกันหัวกระไดแทบไม่แห้ง แต่ลุง (ตัวคนเล่า) มันพูดจาไม่เก่ง รูปก็ไม่หล่อ แรกๆแม่อ้ายยอดไม่เคยมองลุงเลย ความที่อยากเอาชนะไอ้พวกหนุ่มรุ่นเดียวกัน ลุงจึงดั้นต้นไปขอสีผึ้งเขียวหลวงพ่อทาบ ไปก็หลายครั้งหลายหนอยู่จนท่านจำได้และเห็นมาบ่อย ๆ หลวงพ่อทาบท่านเลยสงสารควักให้มาหัวไม้ขีดหนึ่งสั่งว่าเพียงเอาห่อติดตัว เวลาจะใช้กับผู้หญิงคนใดก็เพียงแต่ทำใจให้นึกเห็นใบหน้าเขาและเข้าไปหาเถอะไม่ช้าก็สำเร็จ และก็ได้ผลจริงๆไม่นานแม่อ้ายยอดเกิดสงสารเห็นใจลุง ทั้งที่ก่อนนั้นเขาไม่เคยชายตามองลุงเลย พวกหนุ่มบ้านอื่นงงเป็นไก่ตาแตก
ท่านผู้เฒ่าเล่าเสริมต่อไปว่า หลังจากได้แม่อ้ายยอดมาเป็นเมียและอยู่กับมาจนบัดนี้แล้ว ลุงเคยถามเขาว่า เพราะเหตุใดจึงเกิดมารักลุง ทั้งๆ ที่แต่แรกไม่เคยสนใจลุงเลย แม่อ้ายยอดบอกกับลุงว่าเป็นเพราะอะไรไม่รู้ วันไหนถ้าไม่เห็นหน้าลุงใจคอมันหงุดหงิด ร้อนรุ่ม พอได้เห็นหน้าลุงแล้วสบายใจ และไม่ช้าลุงก็ชวนมันมาอยู่กับลุงเสียเลย ผมได้ถามลุงผู้เฒ่าว่า แล้วสีผึ้งนั้นอยู่ไหน? ขอผมดูหน่อย ท่านผู้เฒ่าบอกว่า เมื่อลุงได้เมียแล้วก็ไม่ได้ใช้อีกเลย เพราะหลวงพ่อท่านสั่งนักสั่งหนาว่าถ้าใช้กับผู้หญิงแล้วต้องเลี้ยงเขาเป็นลูกเมีย ห้ามทิ้งขว้าง ลุงได้แม่อ้ายยอดมาครองคนเดียวก็นับว่าพอใจแล้ว เลยหุ้มทองเก็บไว้ จนอ้ายยอดลูกหัวปีของลุงมันเป็นหนุ่มแล้ว ลุงจึงมอบให้มัน ก็ดูซิอ้ายยอดลูกชายลุงมีเมียตั้ง ๓ คน และอยู่บ้านเดียวกันทั้งนั้น หลานลุงมีเป็นพรวน มีเมียมากมันก็ไม่ดีหรอกหลาน หาเท่าไรไม่พอเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย แต่ก็ดีไปอย่าง อ้ายยอดมันได้เขาแล้วมันก็ไม่ทิ้งไม่ขว้าง เลี้ยงเป็นลูกเป็นเมียทุกคน อ้ายยอดลูกลุงน่ะ มันไม่เท่าไหร่หรอก มีเพียงแค่ ๓ คน เท่านั้น แต่ลูกศิษย์หลวงพ่อทาบที่เคยบวชอยู่กับท่านคนหนึ่งซิ เดี๋ยวนี้ย้ายไปอยู่จันทบุรี มีเมียอยู่บ้านเดียวกันถึง ๖ คน ทุกคนปรองดองกันดี ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันเลย แต่ลูกเป็นกระบุง แต่เขาก็มีฐานะดีนะ เรื่องสีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบ ถ้าใช้เรื่องผู้หญิงรับรองได้เยี่ยมจริง ๆ
ท่านพระอาจารย์เสี้ยน มนูญโญ เจ้าอาวาสวัดกระบกขึ้นผึ้ง ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานแท้ๆ ของหลวงทาบ ตลอดจน คุณปถม อาจสาคร อดีตสหกรณ์อำเภอบ้านค่าย และคุณประชา ตรีพาสัย เพื่อนผู้เขียนซึ่งจูงใจให้ผู้เขียนไปรู้จักกับหลวงปู่ทิมจนได้สร้างพระชุดชินบัญชรอันเป็นที่รู้จักกันทุกวันนี้ เคยเล่าเรื่องอานุภาพของสีผึ้งเขียวหลวงพ่อทาบ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รู้กันแพร่หลายทั่วจังหวัดระยองให้ฟังว่า
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๓ จ.ระยอง ได้จัดให้มีการประกวดนางสาวระยองขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อคัดคนส่งไปประกวดนางสาวไทยที่กรุงเทพฯ ในงานรัฐธรรมนูญที่วังสราญรมย์ อ. บ้านค่าย ก็สรรหาสาวงามส่งเข้าชิงชัยตำแหน่งนางสาวระยอง เหมือนกับอำเภออื่น ๆ เช่นกัน เมื่อได้สาวงามชาวอำเภอบ้านค่ายแล้ว ทางอำเภอก็นำสาวงามผู้นั้นมาขัดสีฉวีวรรณแล้วสอนกิริยามารยาทจนเป็นที่เรียบร้อย พอใกล้วันประกวดนางงามระยอง เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นไปได้ก็เกิดขึ้น สาวงามซึ่งจะเป็นตัวแทนสาวบ้านค่ายขึ้นเวทีประกวด เกิดสิวเห่อขึ้นเต็มหน้า เป็นที่ตกอกตกใจของคณะกรรมการอำเภอบ้านค่ายไปตามๆ กัน จะหาคนใหม่ก็ไม่ทัน ทุกคนต่างก็จนปัญญาไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไร แต่ถึงอย่างไรก็ต้องส่งสาวผู้นี้เข้าประกวดอยู่ดี เพราะเตรียมการไว้แล้ว แต่โอกาสที่สาวบ้านค่ายจะเป็นนางงามระยองคงหมดหวังแน่ ก่อนถึงวันประกวดคณะกรรมการอำเภอบ้านค่ายทนเสียงอ้อนวอนของผู้ปกครองเด็กไม่ได้ จึงยอมให้ผู้ปกครองเด็กสาวคนนั้นนำไปหาหลวงพ่อทาบ หลวงพ่อทาบท่านทำน้ำมนต์ให้อาบ แล้วให้สีผึ้งเขียวมาหนึ่งหัวไม้ขีดไฟ และยังปลุกเสกแป้งผัดหน้าให้อีกหนึ่งห่อ ทั้งกำชับให้เอาสีผึ้งติดตัวขึ้นไปบนเวทีประกวด และเวลาประกวดก็ให้ใช้แป้งที่ท่านปลุกเสกผัดหน้าขึ้นไปเดินบนเวทีทุกครั้ง ผลการตัดสินสาวงามระยองปี พ.ศ. ๒๕๐๓ นั้น ปรากฏว่าสาวน้อย อ. บ้านค่าย ได้ตำแหน่งนางสาวระยอง ทั้งๆ ที่ใบหน้าสิวขึ้นเยอะ ท่ามกลางความดีอกดีใจของชาวบ้านค่าย และความงุนงงของชาวอำเภออื่น ๆ และในปีต่อ ๆ มาอีก ๒ *** ๓ ปี ชาวอำเภอบ้านค่ายก็ได้นางสาวระยองติดต่อกัน และนางงามบ้านค่ายทุกคนต่างไปขอให้หลวงพ่อทาบรดน้ำมนต์ปิดนะหน้าทอง ได้สีผึ้งเขียวติดตัวและปลุกเสกแป้งผัดหน้าให้เช่นกัน
อาจารย์ปถม อาจสาคร เล่าว่า แป้งผัดหน้านั้น หลวงพ่อทาบท่านลงนะนวลจันทร์ และตั้งแต่นั้นมาชื่อเสียงในด้านเมตตามหานิยมของหลวงพ่อทาบ ก็ยิ่งโด่งดังขึ้น จนคนระยองถึงกับผูกวลียกย่องไว้ว่า ?อิทธิฤทธิ์หลวงพ่อเพ่ง เมตตามหานิยมหลวงพ่อทาบ อาคมหลวงพ่อทิม?
แม้หลวงพ่อทาบหรือท่านพระครูอรรถโกศล จะสงเคราะห์ผู้เกิดทุกข์เกิดร้อนด้วยการลงนะหน้าทอง อาบน้ำมนต์ ตลอดจนแจกสีผึ้งเขียว ให้ผู้เดือดร้อนจนสัมฤทธิ์ผลตามความปรารถนาแล้ว วิชาของท่านกลับมาย้อนทำลายใจของท่านเองเข้าจนได้ กล่าวคือพระลูกวัดท่านรูปหนึ่ง ซึ่งบวชอยู่รับใช้ใกล้ชิดท่านมาหลายปีเกิดอยากสึกไปครองเรือน จึงมาอ้อนวอนข อสีผึ้งเขียวท่านโดยบอกกับท่านตรง ๆ ว่า ชอบผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง หลวงพ่อทาบใจอ่อนเห็นใจในความรักของหนุ่มสาวซึ่งเป็นเรื่องของธรรมชาติหลวงพ่อทาบจึงให้สีผึ้งเขียวแก่ทิดสึกใหม่ผู้นั้นไปเพียงหนึ่งหัวไม้ขีด ทิดสึกใหม่คนนั้นก็เอาไปป้ายหญิงที่ตนรัก หญิงสาวก็หนีพ่อแม่ตามหนุ่มทิดสึกใหม่ผู้นั้นไปอย่างที่ใคร ๆ ก็คาดไม่ถึง
แต่ทว่าหญิงสาวคนนั้นก็คือ หลานสาวแท้ ๆ ของท่านเอง!!!
คุณลุงเจริญ เพชรนคร หลานแท้ ๆ ของหลวงพ่อทาบเล่าให้ผู้เขียนทราบถึงความเสียใจของท่าน โดยท่านพูดว่า ?นิ้วเราเองมาทิ่มตามเราเอง ต่อไปนี้จะไม่แจกสีผึ้งแก่คนในบ้านค่ายอีก? แต่สำหรับคนที่มาจากแดนไกล หรือคนต่างถิ่น หลวงพ่อทาบท่านจะดูลักษณะความจำเป็น แล้วท่านจึงจะให้สีผึ้งเขียวไป แต่ก็ให้เพียงคนละนิดปริมาณเท่าหัวไม้ขีดไฟเท่านั้น ผู้ได้สีผึ้งจากหลวงพ่อทาบจึงมักจะนำสีผึ้งนั้นไปหุ้มทองห้อยคอ เพราะถือเป็นของหายาก และกว่าจะได้มาจากหลวงพ่อทาบก็แสนจะยาก สีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบมีชื่อเสียงและนับเป็นเครื่องรางที่อยู่ในยุทธจักรมักนิยมพระเครื่องอย่างหนึ่งทีเดียว เมื่อหลวงพ่อทาบไม่ให้สีผึ้งแก่ใคร และแม้จะให้ก็มอบให้ปริมาณน้อยมากเพียงแค่หัวไม้ขีดไฟ ก็เลยเป็นสาเหตุให้ผู้คนมาแสวงหาสีผึ้งเขียวมากยิ่งขึ้น เพราะของใดๆ ก็ตาม ถ้าได้ยากผู้คนมักจะอยากได้ แต่สำหรับคนบ้านค่ายและคนระยองแล้วหมดโอกาส เพราะหลวงพ่อทาบจะไม่แจกคนในบ้านเดียวกันอีกแล้ว แต่ท่านบอกว่า ท่านจะทิ้งสีผึ้งให้เป็นสมบัติโลก ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันถ้าอยากได้ และยังไม่ลืมของ ๆ ท่าน
กว่าจะเป็น ?สีผึ้งเขียว?
ลุงเจริญ เพชรนคร เล่าว่าตัวท่านเองนั้น หลวงพ่อทาบได้เมตตาเลี้ยงดูมาตั้งแต่อายุได้ ๖ขวบ มีนิวาสสถานอยู่ ซากกอไผ่ ซึ่งไม่ห่างไกลจากวัดกระบกขึ้นผึ้งมากนัก ลุงเจริญได้เรียนรู้วิชาต่าง ๆ ของหลวงพ่อทาบไว้มากมาย ตำราสำคัญบางเล่มของหลวงพ่อทาบก็ตกอยู่กับลุงเจริญ นอกจากจะเป็นศิษย์ผู้ร่ำเรียนวิชาต่าง ๆ ของหลวงพ่อทาบแล้ว ตัวท่านเป็นนักเขียนภาพและช่างแกะสลักที่มีฝีมืออีกด้วย ท่านเป็นผู้แกะแพะหลวงพ่ออ่ำวัดหนองกระบอกมาตั้งแต่ครั้งแรกๆ และเมื่อหลวงพ่ออ่ำมรณภาพลง หลวงพ่อลัดวัดหนองกระบอกได้รับสืบทอดวิชาต่อ ท่านได้รับความไว้วางใจจากหลวงพ่อลัดให้เป็นผู้แกะแพะเขาควยถูกฟ้าผ่าอีกด้วย นอกจากนั้นยังเป็นผู้แกะพระปิดตาไม้รัก ของ หลวงพ่อทิม อิสริโก วัดละหารไร่ ซึ่งเรียกว่า ?พระปิดตารุ่นอธิบดี? ด้วย จากการที่ผู้เขียนได้มีโอกาสพบ ลุงเจริญ เพชรนคร โดยการแนะนำของพระครูนูญสาธุกิจ หรือพระอาจารย์เสียน เจ้าอาวาสวัดกระบกขึ้นผึ้งองค์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นผู้พาไปพบลุงเจริญถึงบ้าน ลุงเจริญมีศักดิ์เป็นลุงของพระอาจารย์เสียน ลุงเจริญได้เล่าเรื่องราวของหลวงพ่อทาบให้ผู้เขียนทราบดังเรื่องราวที่ได้เขียนไว้ตั้งแต่ตอนต้น ๆ
สำหรับเรื่องราวของสีผึ้งเขียวนั้นลุงเจริญเล่าว่า เมื่อหลวงพ่อทาบบวชได้ ๙ พรรษา ทราบว่า ครูภู่ คนอุบล ซึ่งมาได้เมียชื่อ นางเก๋า เป็นสาวงามชาวบ้านกอไผ่ เป็นผู้มีวิชาดี โดยเฉพาะเรื่องสีผึ้งนั้น นับว่าเป็นเอก มีผู้คนรู้กิตติศัพท์แล้วไปขอมาใช้ก็ได้ผลสมความปรารถนาทุกราย หลวงพ่อทาบหลังจากผิดหวังไม่ได้เรียนวิชาพัดโบกจากหลวงพ่อกาจ วัดหนองสนม จึงสนใจวิชาทำสีผึ้งของครูภู่ คนอุบล ซึ่งขณะนั้นท่านเป็นพระหนุ่มเพิ่งย่างเข้าพรรษาที่ ๙ อายุประมาณ ๓๐ ปี ไปมาหาสู่บ้านครูภู่อยู่เรื่อย ๆ เพื่อขอวิชาสีผึ้ง ครูภู่เห็นความเพียรและหน่วยก้านของหลวงพ่อทาบแล้ว ก็ยินดีจะมอบวิชาทำสีผึ้งนี้ให้ ซึ่งต่อมาก็มอบวิชานี้ให้อย่างหมดเปลือก
ลุงเจริญเล่าว่า การทำสีผึ้งที่ครูภู่ คนอุบล มอบให้หลวงพ่อทาบนั้น แท้ที่จริงแล้วก็คือ วิชาลบผงปถมัง ผงอิทธิเจ และผงตรีนิสิงเห นั้นเอง แต่วัสดุที่จะนำมาผสมผงปั้นเป็นแท่งดินสอนั้น ค่อนข้างจะหายาก ซึ่งต้องใช้ความมานะ อดทน และมีความเพียรในการการแสวงหา ได้แก่ ว่านต่างๆ หลายสิบชนิดไม้มงคลอีกหลายชนิด ประการสำคัญต้องหา ไม้แยงแย้ และไม้ไก่กุกมากวนสีผึ้ง ไม้แยงแย้นั้นพอหากันได้ เพราะหลังจากแสวงหามาถึง ๔ ปี หลวงพ่อทาบก็ได้ไม้แยงแย้มาสมใจนึก ส่วนไม้หายากที่สุดคือ ?ไม้ไก่กุก? ซึ่งต้องใช้ความสังเกตและมีมานะอดทน เพราะจะต้องเป็นไม้ไก่กุกที่ผู้ทำสีผึ้งต้องเห็นไม้ไก่กุกด้วยตาตนเอง
ไม้ไก่กุกจะเป็นไม้อะไรก็ได้ แต่ต้องเป็นไม้ที่ไก่ตัวผู้ใช้จะงอยปากจิก หรือเคาะดังกุ๊ก ๆ เพื่อหลอกให้ตัวเมียวิ่งมาหา โดยคิดว่าไก่ตัวผู้กำลังเรียกมาจิกอาหาร เมื่อไก่ตัวเมียวิ่งมาหาไม้ที่ไก่ตัวผู้เคาะกุ๊กๆ แล้วมองหาอาหารอยู่ ไก่ตัวผู้ได้โอกาสก็จะจิกคอและขึ้นทับทันที ไม้ชิ้นที่ไก่ตัวผู้ใช้จะงอยปากเคาะกุ๊ก ๆ นั้นแหละ คือ ?ไม้ไก่กุก? ถือว่าเป็นไม้อาถรรพณ์ที่เป็นต้นเหตุให้ไก่ตัวเมียวิ่งตามมาให้ตัวผู้ทับเพื่อสืบพันธุ์
ท่านเกจิอาจารย์ต่าง ๆ ถือเป็นเคล็ดว่าไม้ชิ้นนี้เป็นไม้ที่มีเสน่ห์อย่างสูง ที่ใช้ลวงให้ไก่ตัวเมียวิ่งมาหาได้ ต่างก็แสวงหาไว้เพื่อเอาไว้สร้างวัตถุมงคลหรือเครื่องรางของขลังเป็นเสน่ห์มหานิยม เมื่อได้ไม้ไก่กุกมาแล้ว หลวงพ่อทาบก็จะนำมาเอาว่านต่าง ๆ และไม้มงคล รวมทั้งไม้ไก่กุกด้วยมาบดป่นทำเป็นผงปั้นเป็นแท่งดินสอ หลังจากนั้นหลวงพ่อทาบจะเอาถาดทองเหลืองขนาดกลางมารอง มีกระดานชนวนวางอยู่บนถาดทองเหลือง หลวงพ่อทาบจะครองสีจีวรเรียบร้อย รำลึกถึงครูบาอาจารย์แล้วท่านก็จะลงผงอิทธิเจ ผงปถมัง และผงตรีนิสิงเห จากที่ได้เรียนมา ด้วยการใช้แท่งดินสอซึ่งสร้างจากว่าน และไม้มงคลต่าง ๆ ปั้นเป็นชอล์ก เมื่อเขียนบนกระดานชนวน ก็จะหลุดลอดแผ่นกระดานชนวนลงไปในถาดทองเหลือง
ลุงเจริญเล่าว่า ท่านได้นั่งสังเกตเห็นหลวงพ่อทาบลงผงเต็มกระดาน แล้วเคาะให้ลอดกระดานลงไปอยู่ในถาดทองเหลือง เสร็จแล้วหลวงพ่อทาบก็จะรวบรวมผงนั้นใส่ขวด มีอยู่วันหนึ่ง ขณะหลวงพ่อทาบกำลังนั่งสมาธิลบผงอยู่นั้น ชอล์กที่ท่านเขียนเกิดหักดังเปาะขึ้น หลวงพ่อทาบสะดุ้งขึ้นตัว และเพ้อเสียสติทันที เป็นอยู่หลายวัน รักษาอย่างไรก็ไม่หาย ลุงเจริญ เพชรนคร จึงไปตามครูภู่ที่บ้านซากกอไผ่มาดูอาการ และรักษา ครูภู่ ชาวอุบล เมื่อเห็นอาการหลวงพ่อทาบแล้วทำน้ำมนต์ให้หลวงพ่อทาบอาบ หลวงพ่อทาบอาบกินน้ำมนต์ของครูภู่อยู่ ๒ *** ๓ ครั้ง อาการก็กลับปกติ
สีผึ้งหลวงพ่อทาบสร้างขึ้นตามตำราของครูภู่ ชาวอุบล นั้นแรก ๆ ก็เป็นสีผึ้งธรรมดา ไม่มีสีเขียว ต่อเมื่อหลวงพ่อทาบมีชื่อเสียงทางด้านสีผึ้งมากขึ้น ท่านจึงได้นำใบของว่านชนิดหนึ่งผสมลงไปด้วย สีผึ้งก็เลยมีสีเขียวจนภายหลังเรียกกันว่า ?สีผึ้งเขียว? คุณลุงเจริญเล่าว่าสีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบนั้น ท่านทำเสร็จแล้วจะใส่ไว้ในโถโบราณซึ่งมีฝาครอบ ปรากฏว่าสีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบนั้นจะงอกหรือเพิ่มปริมาณได้ตามความแรงของกำลังวัน บางครั้งสีผึ้งจะฟูขึ้นจนติดฝาครอบโถเกาะกันเป็นวงคล้ายๆ กับดอกของใบพลู ซึ่งเป็นรูปคล้ายดอกใบพลูนี้แหละขลังนัก ศิษย์วัดกระบกขึ้นผึ้งเมื่อเปิดฝาโถเห็นเข้าก็จะเอาใบจาก ซึ่งใช้สำหรับมวนบุหรี่สูบมามาม้วนเป็นกรวยตักไป ใช้ได้ผลชะงัดนัก รายไหนรายนั้น มักหอบผ้าหอบผ่อนหนีตามคนป้ายไปและไม่เคยมีพลาดเลยสักรายเดียว ผมถามว่าต้องใช้ป้ายกี่ครั้งจึงจะสำเร็จ คุณลุงเจริญบอกว่าโดยมากมักครั้งเดียวก็สำเร็จ แต่ถ้าผู้หญิงบางคนดวงแข็งมีของดีคุ้ม หรืออำนาจดวงคุ้มครอง ก็ต้องใช้หลายหนหน่อย แต่สำเร็จทุกราย สีผึ้งของหลวงพ่อทาบนั้น มีเคล็ดวิธีการใช้ดุจเดียวกับหลวงปู่ทิม คือใช้ตามคำสั่งความสำคัญของนิ้วมือทั้ง ๕ นิ้ว นับแต่หัวแม่โป้งเรื่อยมาจนถึงนิ้วก้อยซึ่งเล็กที่สุด และวิธีจะใช้ป้ายผู้หญิงซึ่งหมายปองก็อย่าป้ายให้ต่ำกว่าบั้นเอวลงไป เวลาป้ายก็ให้ป้ายให้ถูกต้องเนื้อ อย่าให้ถูกผ้า เพราะจะได้ผลช้า
ครั้งที่ผมไปวัดกระบกขึ้นผึ้งเป็นครั้งแรกเมื่อหลายปีมาแล้ว ก็ปรารถนาจะไปกราบนมัสการรูปเหมือนหลวงพ่อทาบ แต่ก็ได้ทราบจากท่านพระครูมนูญสาธุกิจหรือพระอาจารย์เสียน หลานแท้ๆ ของหลวงพ่อทาบว่าที่วัดไม่มีรูปเหมือนหลวงพ่อทาบ ผมจึงเรียนถามว่าทำไมท่านอาจารย์จึงไม่สร้างรูปเหมือนหลวงพ่อทาบขึ้นเพื่อให้คนทั่ว ๆ ไปที่นับถือท่านได้มากราบไหว้บูชา พระอาจารย์เสียนตอบว่า หลวงพ่อทาบท่านสั่งกำชับไว้ไม่ให้สร้างรูปหล่อของท่านขึ้นเด็ดขาด ท่านบอกว่าสร้างไว้ต่อไปก็ไม่มีคนรู้จัก เมื่อหมดยุคนี้ (คงหมายถึงยุคคนที่ทันท่าน) แล้วคนยุคต่อไปเขาก็ไม่รู้จัก อย่างไปสร้างไว้เลย แม้รูปหล่อเท่าองค์จริงก็ไม่ได้สร้างไว้ตามคำสั่งของหลวงพ่อทาบ แต่พระอาจารย์เสียนก็ได้สร้างรูปหล่อหลวงพ่อทาบ ขนาด ๕ นิ้ว จำนวนหนึ่งประมาณ ๔๐๐องค์ โดยขอให้หลวงปู่ทิมเป็นผู้ปลุกเสก ซึ่งหลวงปู่ทิมก็ทำให้ด้วยความเต็มใจเพราะหลวงพ่อทาบ และหลวงปู่ทิมนั้น ท่านเป็นเพื่อนรักกัน

ทาบ *** ทิม, ทาบ *** ทิม
ทุกครั้งที่หลวงพ่อทาบสร้างพระเครื่องหรือเหรียญรูปท่าน หลวงพ่อทาบก็จะนิมนต์หลวงปู่ทิมมาช่วยเพิ่มพลังจิตปลุกเสกทุกครั้ง จนอาจารย์ปถม อดีตสหกรณ์ จ.ระยอง ถึงกับพูดว่า ถ้าพระเครื่องหลวงพ่อทาบแล้ว ต้องถือว่าเป็นพระเครื่องหลวงปู่ทิม เพราะหลวงปู่ทิมมาปลุกเสกให้ ท่านอาจารย์ปถมได้พูดถึงสองพระอาจารย์ว่า ทาบทิม ทาบทิม หมายถึง ของของหลวงพ่อทาบก็คือของหลวงปู่ทิม ของหลวงปู่ทิม คือ ของหลวงพ่อทาบ
อาจารย์ปถมคุ้นเคยกับหลวงพ่อทาบและหลวงปู่ทิม ตลอดจนพระเกจิอาจารย์ของบ้านค่ายเป็นอย่างมาก เพราะท่านอาจารย์ปถมสนใจในเรื่องราวเหล่านี้ และได้ไปรับราชาการที่ จ. ระยอง ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๓ อาจารย์ปถมเล่าถึงการทำวัตถุมงคลของหลวงพ่อทาบว่า นอกจากหลวงพ่อทาบจะเชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงทางสีผึ้งเขียวดังกล่าวมาแล้ว ท่านยังมีความรู้ทางเครื่องรางอย่างอื่นเหมือนกัน ครั้งหนึ่งหลวงพ่อทาบได้เขี้ยวเสือมา ๙ เขี้ยว ท่านให้คุณลุงเจริญ เพชรนคร แกะเป็นเสือขึ้น ๙ ตัว ท่านให้เขี้ยวเสือตัวใหญ่ที่สุดเป็นจ่าฝูงแล้วภาวนาปลุกเสกเรียกรูปนาม ตั้งอาการ ๓๒ ภาวนา ปลุกเสกจนเสือทั้ง ๙ ตัว นั้น มีชีวิตชีวาขึ้น ท่านจึงปล่อยเข้าป่าหลังวัด มันก็วิ่งหลบเข้าป่าโดยมีจ่าฝูงนำหน้า หลังจากนั้นหลวงพ่อทาบก็ภาวนาเรียกเสือกลับ แต่ท่านเรียกว่าเท่าไรเจ้าเสียอาคมทั้ง ๙ ตัวก็ไม่กลับมา และหลังจากนั้นเป็นต้นมา หลวงพ่อทาบก็ไม่ดำริสร้างเขี้ยวเสือขึ้นมาอีกเลย ท่านพูดกับอาจารย์ปถมว่า ?เราไม่มีวาสนาบารมีทางนี้? คงหมายถึง ท่านไม่ตบะเดชะมหาอำนาจนั่นเอง
นอกจากสีผึ้งเขียว ซึ่งเป็นวัตถุมงคลอันมีชื่อเสียงของหลวงพ่อทาบจนติดอันดับสีผึ้งของสยามประเทศแล้ว หลวงพ่อทาบท่านยังได้สร้าง เหรียญรูปเหมือนขึ้น 2 รุ่น คือ รุ่นรูปไข่ และรุ่นดอกบัว นอกนั้นท่านก็ยังสร้างผ้ายันต์ไว้จำนวนหนึ่งคราวฝังลูกนิมิตผูกพัทธสีมา และก่อนจะมรณภาพไม่นาน ท่านได้สร้างพระเครื่องไว้อีกรุ่นหนึ่ง มีด้วยกันหลายพิมพ์ และได้นำเอาสีผึ้งผสมไว้ด้วย ทิ้งไว้เป็นสมบัติโลกให้แก่ผู้คนที่มีวาสนา ดังที่ท่านเคยลั่นวาจาไว้
?สมบัติโลก พระเครื่อง ?มรดกชิ้นสุดท้าย?
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๒ อาจารย์ปถมได้มาตำแหน่งสหกรณ์ จ. ระยอง ท่านเป็นผู้มีใจใฝ่ทางไสยเวทวิทยาคม สามารถทำผงลบผงพุทธคุณได้ เมื่อย้ายไปรับราชการ ณ ที่ใด ท่านก็มักจะสร้างพระ ณ ที่นั่น เมื่อท่านย้ายมารับราชการที่ จ.ระยอง จากการที่ได้เข้าไปคลุกคลีกับชาวบ้านอย่างใกล้ชิด เป็นเหตุให้อาจารย์ปถมได้คุ้นเคยกับเกจิอาจารย์ดังหลายรูป โดยเฉพาะที่ อ.บ้านค่าย เมื่อมาอยู่ก็เที่ยวสอบถามถึงความรู้ความสามารถของบรรดาเกจิอาจารย์ในท้องถิ่น ระยะนั้นพระเกจิชื่อดังก็มีหลวงพ่อโต วัดเขาบ่อทอง หลวงพ่อหิน วัดหนองสนม หลวงพ่อหอม วัดชากหมาก หลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง ซึ่งรูปนี้เก่งทางสีผึ้งเมตตามหานิยม ส่วนอีกรูปแปลกว่ารูปอื่น ๆ ไม่ค่อยพูดกับใคร มีบางคนไปหาท่านรูปนี้แล้วไม่พูด ต่างนั่งมองหน้ากันอยู่เป็นเวลานาน สองนานไม่พูดกับท่านก่อนท่านก็จะนั่งอยู่อย่างนั้นไม่พูดด้วยก็เคยมี ขรัวรูปนี้ถือสันโดษอยู่ วัดละหารไร่ ต.ตาสิทธิ อ.บ้านค่าย ท่านมีของดีคือ ตะกรุดมหานิทรา ถ้าวางบนเสาเอกของบ้าน คนในบ้านนั้นจะหลับเสมือนถูกสะกด พระรูปที่ว่านี้ก็คือ หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ สาเหตุที่อาจารย์ปถมได้รับการขอร้องจากหลวงพ่อทาบวัดกระบกขึ้นผึ้งให้ไปช่วยอำนวยการสร้างพระเครื่องครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตของท่านก็มาจากที่อาจารย์ปถมได้เห็นปฏิปทาของหลวงปู่ทิมมาก่อนนั้นเอง อาจารย์ปถมเล่าว่า เมื่อทราบว่า หลวงปู่ทิมเป็นพระแปลกไม่พูดจากับผู้ใดชอบอยู่เงียบ ๆ อย่างสันโดษ อีกทั้งฉันมังสวิรัติมื้อเดียว ท่านมีปฏิปทาแบบเดียวกับท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ที่อาจารย์ปถมนับถือ ดังนั้นในเวลาไปราชการตามท้องที่ ก็ถือโอกาสไปพักบ้านกำนันเสถียร ซึ่งอยู่หน้าวัดละหารไร่ และอีกทั้งยังเป็นโยมวัดคนหนึ่ง (หมายถึงกรรมการวัด) อาจารย์ปถมเริ่มเฝ้าสังเกตวัตรปฏิบัติ เห็นว่าท่านหลวงปู่ทิมเป็นพระที่มีอารมณ์เยือกเย็น มีจริยาวัตรสมถะน่าเคารพเลื่อมใส มักน้อย สันโดษ ไม่ช่างพูด ไม่คิดในสิ่งเสพติดทั้งหลายทั้งมวล คือไม่ฉันน้ำชา กาแฟ และไม่สูบบุหรี่ เมื่อเห็นปฏิปทา ท่านอาจารย์ปถม ก็เลยเอ่ยปากขอสร้างเหรียญโดยจะเป็นผู้ออกเงินสร้างเอง (ต้นปี พ.ศ. 2503) ท่านก็ส่ายหน้าไม่เอา อาจารย์ปถมจึงมุมานะลงมือสร้างผงลบผงปั้นเป็นองค์พระตามวิธีการที่ร่ำเรียนมาเสร็จแล้วก็ยกพระทั้งหมดซึ่งมีหลายพิมพ์ดังกันไปให้ท่านช่วยปลุกเสกได้
อาจารย์ปถมเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ท่านตอบว่า ?นี่ทำให้ไม่เป็น? ผมก็เลยกราบงาม ๆ ๓ ครั้ง แล้วบอกว่า ?นั่นแหละครับผมต้องการอาจารย์ที่เสกไม่เป็น? ท่านก็ยิ้มไม่พูดอะไร จากนั้นก็กราบลาท่าน และทิ้งของไว้ ต่อมาทราบจากศิษย์ผู้ใกล้ชิดของท่านว่า ท่านบอกศิษย์นั่งอยู่วันนั้นว่า ?คนนี้ฉลาดรู้ไหมในกล่องนั้นของวิเศษทั้งนั้น?
ด้วยเหตุที่หลวงปู่ทิม และหลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้งท่านเป็นเกลอกัน เมื่อหลวงพ่อทาบจะสร้างพระผงก็มาหารือกับหลวงปู่ทิมถึงการทำผงให้ถูกต้องตามตำรา โดยหลวงพ่อทาบไม่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งจารผงและลบผงเอง หลวงปู่ทิมจึงแนะนำว่า ?โยมปถมนั่นแหละทำผงเก่ง และทำชะงัดนัก ยังเคยทำมาให้นี่เสกเลย? หลวงพ่อทาบจึงให้คนไปเชิญอาจารย์ปถมมาที่วัดกระบกขึ้นผึ้งและเอ่ยปากว่าจ้างให้ช่วยเป็นผู้อำนวยการสร้างพระผงให้ท่าน อาจารย์ปถมเล่าว่า ผมก็รับปากด้วยความยินดี โดยจะขอสร้างเป็นพุทธบูชาไม่ขอรับค่าจ้างน็นปฏิกิริยาจารย์ปถมได้รั้งสุดท้ขิ้นย ได้รับการขอร้องจากหลวงพ่อทาบวัดกร่ะม หลวงพ่อหอม วัดชากหมาก หลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง แต่อย่างใด แต่มีข้อแม้ว่าการปลุกเสกต้องนิมนต์หลวงปู่ทิมมาร่วมด้วย หลวงพ่อทาบไม่ขัดข้อง หลังจากนั้นไม่นานหลวงพ่อทาบก็อุตส่าห์ซ้อนรถมอเตอร์ไซด์ (สมัยนั้นถนนยังไปมาไม่สะดวก) ไปหาหลวงปู่ทิมเพื่อปรึกษาหารือในการสร้างพระในครั้งนี้และนิมนต์หลวงปู่ท   ิมไปปลุกเสกด้วย
อาจารย์ปถมท่านรู้ตัวดีว่าเป็นเพียงฆราวาสที่ยังข้องแวะอยู่ในโลกีย์ แม้จะทำผลเกิดความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์อย่างไรผู้คนทั่วไปคงจะเชื่อถือยาก ดังนั้นจึงไปขอผงวิเศษจากวัดโพธิสัมพันธ์ อ. ศรีราชา จ. ชลบุรี ซึ่งหลวงพ่อบุญมีเป็นผู้ทำขึ้น นอกจากนี้ยังได้นำผงซึ่งโยคีฮาเล็บสร้างให้วัดสารนาถ อ. แกลง จ. ระยอง มาร่วมด้วย ผงวิเศษนี้สร้างโดยศิษย์สายพระอาจารย์มั่นภูริทัตเถระ ประกอบพิธีสร้างขึ้นที่วัดสัมพันธ์วงศ์ กทม. เป็นผงซึ่งหลวงพ่อลี วัดอโศการาม นำไปสร้างพระผงของท่าน อาจารย์ปถมเล่าว่า ได้รวบรวมผงทั้งหมดได้ประมาณ ๑ บาตรเต็ม ๆ แล้วจึงนำเอาไปถวายหลวงพ่อทาบที่วัดกระบกขึ้นผึ้งเมื่อหลวงพ่อทาบเห็นผงทั้งหมดแล้ว ท่านหัวเราะชอบใจ และบอกว่า ?ผงนี้เฮี้ยวจริง ๆ มีทั้งนุ่ม ลึก และเข้มแข็ง? ผู้เขียนก็เลยเรียนถามว่า คำว่า ?เฮี้ยวจริง ๆ และนุ่มลึก หมายถึงอะไร? อาจารย์ปถม อาจสาคร ตอบว่า ?เป็นสำนวนที่หลวงพ่อทาบพูดเมื่อครั้งที่ผมเอาผงไปถวายท่าน ส่วนความหมายนั้นหมายความว่าผงนั้นขลังศักดิ์สิทธิ์และแรงจริง ๆ ท่านจึงใช้คำว่าเฮี้ยวจริง ๆ ส่วนนุ่มลึกคงหมายถึง แฝงไว้ด้วยความนุ่มนวลมีเสน่ห์ อันหมายถึงเมตตามหานิยมนั่นเอง? เมื่อได้ผงแล้ว หลวงพ่อทาบนำผงทั้งหมดประมาณ ๑ บาตรเต็ม ๆ ไปผสมเข้ากับผงเก่า ๆ ของท่าน ซึ่งมีทั้งคัมภีร์โบราณเผา ดินมงคลต่าง ๆ ตามที่ท่านได้เสาะแสวงหาได้ เมื่อได้ฤกษ์งามยามดีแล้ว หลวงพ่อท่านได้กดพิมพ์พระด้วยตัวท่านเองเป็นปฐมฤกษ์ หลังจากนั้นท่านได้ขอร้องให้ชาวบ้านนุ่งขาวห่มขาวอาราธนาศีลทุกคนช่วยกดพิมพ์ขึ้น โดยอาจารย์ปถมเป็นผู้อำนวยการสร้าง คือแนะนำการตำผงคลุกเคล้าผงและกดพิมพ์
สำหรับพระชุดนี้เป็นพระผงดำทั้งหมด มีพิมพ์สมเด็จ เป็นพิมพ์เก่าที่ผมได้มาจากวัดเนิน จ.ระยอง เป็นวัดร้างเก่าแก่ติดกับวัดลุ่มมหาชัยชุมพล พิมพ์พระแบบสมเด็จที่ได้มา เข้าใจว่าเป็นพิมพ์สมัยหลวงปู่สังข์เฒ่า ทำด้วยหินมีดโกน อีกพิมพ์หนึ่งเป็นพิมพ์แม่นางกวัก พิมพ์นี้ ลุงเจริญ เพชรนคร หลานหลวงพ่อทาบเป็นเป็นผู้แกะพิมพ์จากหินมีดโกนเช่นกัน ส่วนพิมพ์พระปิดตามี 5 พิมพ์ คือ พิมพ์ใหญ่เป็นพิเศษ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง พิมพ์เล็ก และพิมพ์จิ๋ว นอกจากนี้ยังมีพิมพ์กลีบบัว อีกพิมพ์หนึ่งทั้งหมดสร้างด้วยเนื้อผงดำ ได้พระประมาณ ๘๔,๐๐๐ องค์ เท่ากับพระธรรมขันธ์
ที่สำคัญหลวงพ่อทาบได้นำสีผึ้งเขียวผสมเองลงไปด้วย ดังนั้นพระทุกองค์จึงมีส่วนผสมของสีผึ้งเขียว เมื่อพิมพ์พระเสร็จแล้ว หลวงพ่อทาบท่านปลุกเสกพระชนิดมวยเดี่ยวแต่เพียงองค์เดียวประมาณหนึ่งพรรษาเต็ม ๆ เมื่อใกล้จะถึงงานผูกพันธสีมาอุโบสถ หลวงพ่อทาบจึงทำพิธีปลุกเสกเสริมข้อบกพร่องอีกครั้งหนึ่ง เรียกว่าทำเพิ่มเสริมหรืออุดช่องโหว่ โดยไปนิมนต์หลวงปู่ทิมมาเป็นประธาน นับเป็นงานครั้งแรกของหลวงปู่ทิมที่ท่านได้ออกจากวัดละหารไร่มาร่วมพิธีปลุกเสก ปีนั้น พ.ศ. ๒๕๐๕ หลวงปู่ทิมมีอายุ ๘๓ ปี พอดี อาจารย์ปถมเล่าว่า การปลุกเสกครั้งนั้นนับว่าเป็นครั้งแรกของบ้านค่ายที่ชาวบ้านนำพระเครื่องของตนมาร่วมในพิธีปลุกเสกเพื่อเสริมพลังด้วย และในงานนี้มีอยู่รายหนึ่งนำเอาน้ำมันใส่ผมตรานางสงกรานต์เข้าพิธีด้วยหลายหีบ คิดว่าเพื่อให้เกิดเสน่ห์มหานิยม เอาไว้เพื่อผสมกับน้ำมันใส่ผมอื่นๆ ที่จะใช้ประจำวัน
สำหรับพระเกจิอาจารย์ที่เข้าร่วมปลุกเสกก็มี หลวงพ่อหอม วัดชากหมาก หลวงพ่อเย็น วัดบ้านแลง หลวงพ่อลัด วัดหนองกระบอก สำหรับหลวงพ่อทาบ อาจารย์ปถมบอกว่าท่านไม่ได้มาร่วมนั่งปลุกเสก ได้แต่นั่งรับแขก เพราะท้องท่านเสีย ทันทีที่พิธีปลุกเสกเริ่มขึ้นก็มีสิ่งประหลาดเกิดขึ้น เพราะเทียนคู่ที่ตั้งอยู่เกิดหงิกงอ มีรูปคล้ายหงส์ ฝาขาดน้ำมันใส่ผมตรานางสงกรานต์ ก็เกิดระเบิดขึ้นพร้อมกัน ๓ *** ๔ ฝา ปลิวกระเด็นออกมาท่ามกลางความตกตะลึงของผู้เข้าร่วมในพิธี ทุกคนเชื่อว่าเป็นเพราะอานุภาพหลังจิตของหลวงปู่ทิม เพราะกล่องใส่น้ำมันอยู่ตรงหน้าหลวงปู่ทิมพอดี แม้ว่าอายุจะย่างเข้า ๘๓ ปี พรรษาที่ ๖๐ หลวงปู่ทิมท่านก็ลุกขึ้นเมื่อเลิกปรก ทั้ง ๆ ที่ในระหว่างนั่งปรก ทางเจ้าพิธีการได้แบ่งการปลุกเสกไว้ถึง ๔ ช่วง โดยปลุกเสกไปเกือบ ๒ ชม. ก็จะตีฆ้องครั้งหนึ่งเพื่อบอกกล่าวให้หลวงพ่อที่ปรกออกจากเข้าสมาธิ พักผ่อนดื่มน้ำชา กาแฟ ประมาณครึ่งชั่วโมง แต่หลวงปู่ทิมท่านนั่งปรกตลอด ๘ ชม. โดยไม่ลุกขึ้นผักผ่อนเลย และเมื่อท่านเลิกปรกเมื่อประมาณ 2 นาฬิกาเศษของวันใหม่แล้ว ท่านก็ไม่ยอมดื่มน้ำชาที่ทางเจ้าพิธีนำมาถวาย ท่านได้พูดเล่นกับอาจารย์ปถมว่า ?ให้เสกแบบนี้เมื่อตาย? จากนั้นก็กลับวัดเลย เมื่อศิษย์ถามว่า ?ทำไมหลวงพ่อไม่ฉันน้ำที่เขาถวาย และไม่รับปัจจัยที่เขาถวาย? หลวงปู่ทิมตอบว่า ?ถ้าฉันน้ำของเขา และรับปัจจัยที่เขาถวาย ก็จะไม่ได้บุญ เพราะเท่ากับรับจ้างเขาเสกพระ? ศิษย์ ถามต่อไปอีกว่า ?ทำไมต้องนั่งพนมมือเสก รูปอื่น ๆ เขานั่งสมาธิมือขวาทับมือซ้ายกันทั้งนั้น? ท่านตอบว่า  ?พนมมือเสกพระดีกว่า เพราะถ้าเกิดนั่งหลับ เมื่อนั้นคนเขาจะได้รู้ เพราะมือที่พนมไว้มันจะตก?
พระผงผสมสีผึ้งหลวงพ่อทาบ มีทั้งหมด ๙ พิมพ์ ดังกล่าวแล้ว และเมื่อทำพิธีปลุกเสกเสร็จแล้ว ประชาชาแถบนั้นให้ความสนใจมาก ที่วัดกระบกขึ้นผึ้งวันถัดมาก็มีงาน ผู้ที่ทำบุญตั้งแต่ ๑๐ *** ๒๐ บาท หลวงพ่อทาบก็จะแจกพระให้องค์หนึ่ง พระส่วนหนึ่งได้นำออกมาแจกในวันงาน และเก็บไว้แจกในวันต่อ ๆไป ส่วนอีกจำนวนหนึ่งหลวงพ่อทาบท่านได้บรรจุใส่ไหหลายใบ บรรจุไว้ในฐานพระประธานในอุโบสถ
ประสบการณ์พระผง
ในงานวัดกระบกขึ้นผึ้ง บรรดาหนุ่มในหมู่บ้านหลายแห่งได้มาพบกันในงานวัด และต่างก็ได้รับแจกพระเครื่องผงดำไปคนละองค์สององค์ ก็มีเรื่องเฮี้ยวเกิดขึ้นจนได้มีการเขม่นและเกิดวิวาทตีรันฟันแทงกันขึ้น เพราะบ้านค่ายนั้นเป็นดินแดนของหนุ่มชาวไร่อ้อย ชาวไร่มัน และหนุ่มโรงน้ำตาล ผู้คนมาจากทุกสารทิศ เรื่องตีรันฟันแทงมีขึ้นเป็นประจำทุกงาน ปกติหากวัดที่มีเกจิอาจารย์ดังๆ เป็นเจ้าวัด เวลามีงานท่านมักจะนำตะกรุดมหาระงับไปแอบฝังไว้ตรงลานวัด เพื่อระงับเหตุไม่ให้มีการทะเลาะกัน แต่หลวงพ่อทาบท่านไม่ได้ทำ แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีใครเลือดตกอย่างออกเลย ด้วยเหตุนี้พระเครื่องส่วนที่นำออกไว้แจกจึงหมดไปในเวลาไม่นาน และพระเครื่องชุดนั้นก็ดังระเบิด รายต่อมาสามล้อระยอง กำลังปั่นซาเล้งอยู่กลางถนน เสาไฟฟ้าเกิดหักลงเกือบจะทับรถ ซึ่งแล่นมาพอดี คนขับไม่เป็นอะไรเพราะในตัวมีพระผงซึ่งได้รับแจกมาจากหลวงพ่อทาบเพียงองค์เดียว เรื่องนี้ดังมากในตลาดยุดนั้น
ส่วนในด้านเมตตามหานิยม มีคนง่อยอยู่ใกล้วัดกระบกขึ้นผึ้งคนหนึ่ง นับถือหลวงพ่อทาบ และได้รับพระผงพิมพ์พระปิดตาไว้องค์หนึ่ง หลวงพ่อทาบสั่งว่าถ้าใช้ด้วยความศรัทธาและมั่นใจก็จะสัมฤทธิ์ผลทุกอย่าง ชายง่อยผู้นี้เป็นคนง่อยประเภทโด่ไม่รู้ล้ม มีภรรยาถึง ๖ คน ทุกคนอยู่กับชายง่อยด้วยความสามัคคี ไม่มีเรื่องทะเลาะกัน จนเป็นที่อิจฉาของเพื่อนบ้าน กิตติศัพท์เรื่องนี้เคยมีคนมาขอซื้อพระองค์นี้ แต่เจ้าตัวไม่ยอมขาย
ในด้านอยู่ยงคงกระพัน ศิษย์ของหลวงพ่อทาบคนหนึ่ง ใช้พระพิมพ์สมเด็จที่หลวงพ่อทาบปลุกเสก ติดตัวอยู่เป็นประจำ เคยถูกลอบยิงด้วยปืนลูกซองเต็มแผ่นหลัง แต่ไม่ระคายผิดหนัง มีเพียงรอยไหม้เป็นจุดเล็ก ๆ เท่านั้น อีกรายหนึ่งเป็นเรื่องราวขึ้นในสมัยหลวงพ่อทาบ มีหญิงคนหนึ่งชื่อ นางไม้ ใจกล้าใ อยู่บ้านหนองคอกหมู อ.บ้านค่าย ได้ออกไปเก็บผักเก็บหญ้ากลางทุ่ง ขณะนั้นฝนตกกำลังพรำ ๆ ฟ้าได้ผ่าถูกต้องนางไม้สลบที่ เสื้อผ้าที่สวมใส่ไหม้ไฟ สร้อยเงินที่ห้อยคอละลาย แต่พระพิมพ์หลวงพ่อทาบพิมพ์กลีบบัวยังอยู่ปกติ ผู้ที่มาช่วยปฐมพยาบาลร่างอันสลบไสลของนางไม้ต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน อิทธิปาฏิหาริย์หลายรูปแบบของพระเครื่องหลวงพ่อทาบมีมากมายหลายเรื่องในยุดนั้น จนเป็นที่กล่าวขวัญและเล่าลือกันทั่วไป
หลวงพ่อทาบ เจ้าตำรับสีผึ้งเขียวอันโด่งดังได้มรณภาพเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙ รวมอายุได้ ๘๙ ปี พรรษาที่ ๖๗ นับว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ ที่โด่งดังของภาคตะวันออก อีกรูปหนึ่ง ที่ผ่านมานี้ พระครูมนูญสาธุกิจ (เสียน) เจ้าอาวาสวัดกระบกขึ้นผึ้งรูปปัจจุบันได้ทำพิธีเปิดกรุพระผงดำหลวงพ่อทาบ ได้นำพระออกให้สาธุชนบูชา ได้เงินทั้งหมด ๓ ล้านบาทเศษ โดยมีครูบาอาจารย์ของโรงเรียนหลายแห่งของ อ.บ้านค่าย ร่วมเป็นกรรมการในการปิดกรุครั้งนั้น และพระทั้งหมดประมาณ ๔ *** ๕,๐๐๐ องค์หมดไปในช่วงเวลาเพียง ๓ *** ๔ วัน ผู้เขียนซึ่งเป็นศิษย์พระเกจิอาจารย์สายหลวงปู่สังข์เฒ่า? หลวงปู่ทิม *** หลวงพ่อวงศ์ *** หลวงพ่ออ่ำ *** หลวงพ่อลัด และหลวงพ่อทาบก็ได้เช่าบูชาพระเครื่องชุดผงดำหลวงพ่อทาบผสมสีผึ้งไว้จำนวนหนึ่ง

พระสมเด็จสีผึ้งเขียวหลวงพ่อทาบ วัดกระบกขึ้นผึ้ง
สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2505 โดยอาจารย์ปถม อาจสาคร เป็นผู้แนะนำ การตำ คลุกเค้าผงและกดพิมพ์พระ
ลักษณะ เป็นพระเนื้อผงผสมสีผึ้งเขียว สีดำเข้ม พิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก มีทั้งแบบปิดทองคำเปลวด้านหน้าและไม่ปิด
พุทธคุณ อานุภาพสุดยอดด้านเสน่ห์เมตตามหานิยม คงกระพัน แคล้วคลาดและโชคลาภค้าขาย
มวลสารส่วนผสม
1.ผงวิเศษเก่าของหลวงพ่อทาบ
2.สีผึ้งเขียวของหลวงพ่อทาบ
3.ผงปถมัง ผงอิทธิเจ ของอาจารย์ปถม อาจสาคร
4.ผงถ่านคัมภีร์ใบลานโบราณเก่าของหลวงพ่อทาบ
5.ผงวิเศษของหลวงพ่อบุญมี วัดโพธิสัมพันธ์ อ.ศรีราชา ชลบุรี
6.ผงดินมงคลของหลวงพ่อทาบ
7.ผงโยคีฮาเล็บ วัดสารนาถ อ.แกลง
ปลุกเสกครั้งที่ 2
หลวงพ่อทาบปลุกเสกเดี่ยว 1 พรรษาเต็ม เมื่อใกล้งานผูกพัทธสีมาวัดกระบกขึ้นผึ้ง
ปลุกเสกครั้งที่ 1 รายนามพระเกจิอาจารย์ที่นั่งปรกปลุกเสก ณ วัดกระบกขึ้นผึ้ง
1.หลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่ รับนิมนต์เป็นประธานพิธี
2.หลวงพ่อหอม วัดซากหมาก
3.หลวงพ่อเย็น วัดบ้านแลง
4.หลวงพ่อลัด วัดหนองกระบอก
พระเกจิอาจารย์ได้เข้าสมาธินั่งปรกปลุกเสกตั้งแต่ 18.00 น. ถึงประมาณ 02.00 น. ของวันใหม่
โดยเฉพาะเป็นครั้งแรกที่หลวงปู่ทิมอิสริโก รับนิมนต์มาปลุกเสกนอกวัดละหารไร่ และท่านได้นั่งปรกปลุกเสกรวดเดียว 8 ชั่วโมง โดยไม่หยุดพักฉันน้ำชา (ปกติจะลั่นฆ้องทุก 2 ชั่วโมงเพื่อให้พระคุณเจ้าได้ถอนสมาธิพักผ่อนอิริยาบถและฉันน้ำชาประมาณ 30 นาที)
ปลุกเสกครั้งที่ 2
หลวงพ่อทาบปลุกเสก 1 พรรษา ก่อนแจกให้ผู้ร่วมทำบุญงานผูกพัทธสีมาอุโบสถวัดกระบกขึ้นผึ้ง

ขอขอบคุณพี่สมพร ที่ส่งประวัติมาแบ่งกันศึกษาครับ

72
คำขวัญประจำจังหวัด  ผลไม้รสล้ำ  อุตสาหกรรมก้าวหน้า  น้ำปลารสเด็ด เกาะเสม็ดสวยหรู  สุนทรภู่กวีเอก  จังหวัดระยองเป็นดินแดนแห่งพุทธสาวกหาดทรายสวยงามจ.ระยองตั้งอยู่บนพื้นที่ลุ่มชายฝั่งทะเล  อ่าวไทย  ภาคตะวันออกของไทย  ทิศเหนือติดชลบุรี  ทิศใต้ติดอ่าวไทย  ทิศตะวันออกติดกับจังหวัดจันทบุรี  ทิศตะวันตกติดกับชลบุรี  ระยองแบ่งเขตการปกครอง  6  อำเภอ  1  กิ่งอำเภอ  คือ  อำเภอเมืองระยอง  อำเภอแกลง  อำเภอปลวกแดง  อำเภอเวียงจันทร์  กิ่งอำเภอเขาชะเมา  จึงเป็นจังหวัดที่น่าท่องเที่ยวเชิงอนุลักษณ์และยังมีสุดยอดพระเกจิอาจารย์ที่หน้ากราบหลายรูปทั้งในอดีตไม่ว่าจะเป็นสุดยอดบูรพาจารย์แดนบูรพาอย่างหลวงปู่ทิม(วัดระหารไร่)  หลวงปู่อ่ำ(วัดหนองกระบอก)  หลวงปู่ทาบ(วัดกระบกขึ้นผึ้ง  หลวงปู่หอม(วัดชากหมาก)  หลวงปู่โต(วัดเขากระโดน)  ซึ่งแม้แต่ละรูปถึงกาลมรณภาพไปนานแล้วแต่คุณธรรมคุณงามความดีพลังปฏิหารย์ตลอดจนวัตถุมงคลของท่านต่างเป็นที่แสวงหากันมากในขณะนี้เพราะท่านเป็นพระแท้พระดีที่เป็นทองแท้ที่ไม่กลัวไฟเป็นของจริงที่พิสูจน์ได้  ซึ่งในยุคปัจจุบันพระเกจิอาจารย์ในเมืองระยองที่มีชื่อเสียง  นอกจากหลวงปู่สิน  วัดระหารใหญ่  หลวงพ่อสาคร  วัดหนองกรับ  ก็ยังมีหลวงปู่นาค  นาคเสโนที่ในเมื่อตอนที่แล้วได้นำเสนอเยี่ยมชมวัด  วัดหนองพะวาได้ค้างชีวประวัติของพระครูสุทธิธรรมนาถ  (หลวงปู่นาค  นาคเสโน)  เจ้าคณะตำบลบางบุตร  เจ้าอาวาสหนองพะวา  ตำบลบางบุตร  อำเภอบ้านค่าย  จังหวัดระยอง  หลวงปู่นาคเกิดเมื่อวันอังคารที่  20  ธันวาคม  พ.ศ.2481  โยมบิดาชื่อ  นวล  โยมมารดาชื่อ  ฟ้อ  หลวงปู่นาคเป็นบุตรคนที่ 2  ในจำนวนพี่น้อง 10  คน  คือ 1.โยมฟุ้ง  2.พระครูสุทธิธรรมนาถ(นามเดิม)  นาค  3.พระอาจารย์จำเนียร(นามเดิมเนียร)  4.โยมน้อย  5.โยมนิด  6.โยมช้อย  7.โยมแช่ม  8.โยมชื่น  9.โยมชม  10.โยมชิน  หลวงปู่นาคได้บรรพชาอุปสมบท  ณ  พัทธสีมา  วัดหนองกระบอกโดย  พระครูวิจิตรธรรมมานุวัตร  หลวงพ่อรัตน์  ศิษย์เอกผู้สืบทอดวิชาแพะมหาเมตตาจากหลวงพ่ออ่ำ  วัดหนองกระบอก  โดยมีหลวงพ่อเคียงวัดไผ่ล้อมเป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้รับฉายา  นาคเสโน  เมื่อหลวงปู่นาคได้อุปสมบทแล้วนั้นท่านก็ทำกิจวัตรปฏิบัติกิจของสงฆ์โดยครบถ้วน  โดยใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมกัมฐานด้วยความตั้งใจจนกระทั่งท่านสอบได้นักธรรมตรี  โท  และพ.ศ.  2508  ท่านสอบได้นักธรรมเอกสมกับที่หลวงปู่นาคท่านได้ตั้งใจไว้เป็นพระหนุ่มที่ทรงความรู้ตามวิทยฐานะนักธรรมชั้นเอก  ซึ่งในสมัยก่อนนั้นจะหายากยิ่ง  เพราะท่านอยู่บ้านนอกและนอกอำเภอเปรียบเสมือนเพชรแท้แห่งศาสนาที่เปล่งแสงประกายเจิดจรัสงดงามที่กลางป่าเขาลำเนาไพรที่ใครๆเห็นก็คงต้องชื่นชมเพชรแห่งศาสนาเม็ดงามเม็ดนี้ท่านยังชอบเดินธุดงค์กัมฐานปฏิบัติธรรมไปทั่วประเทศไทย  เขมร  พม่าจึงทำให้ท่านพบครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นมากมายดังคำบรรยายไปในตอนที่แล้ว  เมื่อปี 2530  ท่านยังได้รับตำแหน่งเจ้าคณะตำบลบางบุตรเจ้าอาวาสวัดหนองพะวา  เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม  2540  ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปฌาย์ที่คอยบวชกุลบุตร  กุลธิดาในจังหวัดระยองและพื้นที่ใกล้เคียงที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา  หลวงปู่นาคจึงมีลูกศิษย์ลูกหาที่เคารพท่านอยู่ในเวลานี้อยู่ในหลายจังหวัดใกล้เคียงมากมายทั้งหญิงและชายคนทำงานทุกสาขาอาชีพที่เคยได้พบกราบไหว้สนทนากับท่านล้วนต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันต่างพูดถึงท่านในทางดีงามว่าหลววงปู่เป็นเพชรแท้ของจังหวัดระยองเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณอีกรูปหนึ่ง  วัตถุมงคลของท่านที่ท่านจัดสร้างน้อยมากแต่ประสบการณ์หรือคุณวิเศษในตัววัตถุมงคลนั้นมากค่ามหาศาลดุจของดีที่มีค่าราคาควรเมืองเหมือนเรื่องราวอภินิหารที่เกิดจากวัตถุมงคลของหลวงปู่นาคนั้นที่มากมายหลายเรื่องราวต่างกันที่ต่างศิษยานุศฺษย์ต่างนำมาเล่าล้วนเป็นประสบการณ์ตรงที่กระผมรู้สึกภาคภูมิใจมากที่ได้มีโอกาสได้กราบพระดีของเมืองระยองอีกรูปหนึ่งและได้นำประวัติสุดยอดพระเกจิอาจารย์ที่หน้ากราบไหว้อย่างสนิทใจ  ดังลูกศิษย์ของหลวงปู่นาคคือคุณสิริชัยพ่อค้าขายผลไม้ปลีกส่ง  อยู่ในตัวจังหวัดระยองพาครอบครัวไปถวายภัตตราหารเพลที่วัดหนองพะวาได้เล่าให้หลวงปู่นาคฟังถึงเศรษฐกิจและปัญหากิจการค้าขายที่ไม่ดีสงสารชาวสวนผลไม้หลวงปู่ได้ฟังและยิ้มกล่าวว่าเธอเป็นพ่อค้าที่ไม่เอาเปรียบเดี๋ยวเธอก็จะรวยเองหลวงปู่นาคได้มอบพระสมเด็จพร้อมกำชับว่าแม้ว่าองค์พระแตกหรือหักก็ให้นำมาเปลี่ยนองค์ใหม่ไม่ต้องนำไปทิ้งเพราะว่ามวลสารที่ท่านจัดสร้างล้วนเป็นสุดยอดมวลสารที่ท่านได้นำมาจากการเดินธุดงค์ตั้งแต่ปี 2507 ? 2512 ซึ่งเป็นมวลสารของบรรดาสุดยอดพระเกจิอาจารย์ที่ท่านพบและได้ขอบิณฑบาตรมวลสารศักดิ์สิทธิ์จากครูบาอาจารย์ครูบาอาจารย์ก็ได้มอบให้เป็นผงมวลสารวิเศษไว้สำหรับป้องกันสิ่งชั่วร้ายทั้งคุณไสย์ทั้งปวงเมื่อคุณสิริชัยได้รับมอบสมเด็จของหลวงปู่นาคไปบูชาคล้องคอประมาณ 2 อาทิตย์  ชีวิตเขาก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีมากขายของดี  จากลูกค้าน้อยต่างดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาขนาดบางวันฝนตกหนักทุกร้านไม่มีลูกค้าเลย  ร้านส่งผลไม้ของคุณสิริชัยก็ยังค้าขายดียังกับเทน้ำเทท่าคุณสิริชัยจึงนำพระสมเด็จไปใส่ตลับทองคำและขอบูชาเพิ่มอีกหลายองค์แต่หลวงปู่ก็เมตตามอบให้ขอเพียงศิษยานุศิษย์ที่มาด้วยใจเคารพรักศรัทธา  ทางทีมข่าวก็ได้รับความเมตตาจากหลวงปู่มอบพระสมเด็จให้มาหลายองค์  คุณสิริชัยบอกว่าพระสมเด็จที่หลวงปุ่มอบให้อีกองค์ผมจะนำไปบูชาไว้บนหิ้งบูชาพระที่บ้านเพื่อปกป้องคุ้มครองภัยให้บ้านเพราะฟังหลวงปู่กล่าวถึงมวลสารที่ท่านตั้งใจจัดสร้างแล้วรู้สึกเคารพศรัทธาว่าแม้แต่สมเด็จหักก็สามารถคุ้มครองได้โดยเฉพาะภูตผีปีศาจทั้งหลาย  ทุกวันนี้คุณสิริชัยจึงเป็นลูกศิษย์อีกคนของหลวงปู่นาคที่จะนำภัตตาหารมาถวายเพลเป็นประจำอีกท่านหนึ่งที่เคารพรักศรัทธาซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวที่พบกับศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่นาค  ไม่ว่าจะด้านเมตตา  ค้าขาย  คงครบฟันท่านก็ไม่เป็นรองใคร  แต่ท่านจะเมตตาค้าขายเป็นหลักเหมือนดังคุณนกอาชีพรถขายกับข้าวสารที่ขับรถตระเวนไปทั้งแถวแถบหมู่บ้านจัดสรรของอำเภอลำลูกกา  ตระเวณวิ่งขายตั้งหลายหมู่บ้านได้ไปกราบนมัสการหลวงปู่นาคที่ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนแล้วเกิดศรัทธาเพราะชื่อท่านเป็นมงคลนาม  เงินทองนาคซึ่งเป็นนามที่ผู้คนล้วนพึงปรารถนา  พอยิ่งได้รับรู้ประวัติและมาพบศิษยานุศิษย์ที่ตรงมาพบหลวงปู่นาคและกล่าวถึงว่าได้พระสมเด็จหลวงปู่ไปล้วนพบประสบแต่สิ่งดีงามเป็นเงาตามตัวเป็นมงคล  ทำมาค้าขายคล่องพอได้บูชาประมาณ  3  อาทิตย์ก็ถูกหวยซึ่งคุณนกก็โทรไปเล่าให้บรรดาญาติสนิทมิตรสหายฟังว่าได้พรสมเด็จหลวงปู่นาคมาไม่นานค้าขายคล่องจากเคยตระเวนไปหลายหมู่บ้านน้ำมันก็แพงตอนนี้ไปแค่  2  หมู่บ้านของหมดรถยังมีเวลาพักผ่อนเพิ่มขึ้นคุณนกเชื่อว่าเป็นเพราะสมเด็จที่หลวงปู่นาคมอบให้เชื่อในพลังอภินิหารของสมเด็จที่หลวงปู่ได้เมตามอบให้ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นจากหลังมือเป็นหน้ามือในยุคเศฐกิจที่ฟืดเคลืองทำมาค้าขายต่างยื้อแย่งทำมาหากินนี้เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เหนือคำบรรยายในยุคเศฐกิจที่มืดมนคุณนกจึงอยากให้ผู้ที่กำลังผจญกับปัญหาได้มานมัสการหลวงปู่ดูสักครั้งแล้วคุณจะรู้ว่าอภินิหารนั้นมีจริงเหมือนดังคุณไผ่บ้านอยุ่จังหวัดพิจิตรเป็นอีกผู้หนึ่ง ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับวัตถุมงคลของหลวงปู่นาคโดยเรื่องราว ที่เกิด กับคุณไผ่เกิดขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2548 ขณะขี่รถจักรยานยนต์กลับจากการเก็บเงินค่ามะพร้าวที่บ้านผลิตไอศครีมในจังหวัดพิจิตร ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 15.00 น. ระหว่างขี่รถจักรยานยนต์ไปเก็บเงินเฉกเช่น ที่ปฏิบัติตามปกติทุกวันบนถนนสายหนึ่งบนเส้นทางที่ค่อนข้างเปลี่ยวมีป่ารกชัดมีชาย 2 คน ถือปืนลูกซองยาว ขวางทางพร้อมใช้ปืนโบกให้หยุดในลักษณะประสงค์ร้ายเพราะมันเหมือนเตรียมการปล้นนั้นเอง ซึ่งพอเห็นเป็นเช่นนั้น คุณไผ่ก็ทราบทั้นที ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น กับนาทีชีวิตจึงชลอรถแล้วค่อยๆขี่เข้าไปหา 2 คน ร้ายแต่พอเข้าไปใกล้ ๆ ในระยะทางประมาณ 3 เมตร ตัดสินใจเร่งเครื่องจักรยานยนต์พ่งเข้าชนอย่าง ไม่คิดชีวิต ชายที่ถือปืนสามารถกระโดดหลบทันคุณไผ่จึงซี่รถหนีอย่างไม่คิดชีวิตเพราะในขณะนั้น
คุณไผ่มีเงินมากพอสมควรโดยใส่ไว้ในกระเป๋าเป้ข้างหลังแต่เมื่ออยู่ ๆ จะมีคนทำการปล้นเอาง่ายๆจึงไม่ยอมที่จะเสียเงินละเพราะเมื่อในใจไม่กลัวเสียอย่างคนเราตายเป้นตายไม่ยอมให้จี้จึงตัดสินใจขับรถพุ่งชนแล้วรีปหนีไปเพราะเหตุการณ์เป็นเช้นนั้นเพราะเจ้าคนเถื่อปืนยาวจึงเล้งปืนไร่หลังแล้วยิงปืนยาวตามทันทีปรากฎว่ากระสุนด้านส่วนอีกคนก็ยิงตามขณะซิ่งรถหนีเขาหมอบลงต่ำพร้อมกับเร่งเคลื่องรถเพื่อหนีเต็มที่เนื่องจากมีความเชื่อมันในสนเด็จหลวงปูนาคที่เขาพกพาติดตัวเป็นประจำจึงตัดสินใจไม่ยอมให้โจรทปล้นเงินเอาง่ายๆและผลก็คือเขาสามารถลอดพ้นนจากอันตรายจากนาทีวิกฤตของชีวิตมาได้เพราะแม้จะถุกยิงแต้กระสุนก็ด้านก็ยิ่งไม่ออกเลยประสบการณ์ครั้งล่าสุดที่คุณไผ่เกิดขึ้นเมื่อเดินธันวาคม 50 โดยปีนั้น คุณไผ่ได้ไปรวมงานแต่งงานของคนต่างหมู้บ้านเขาได้ขี่รถจักรยานยนต์ พร้อมเพื่อนไปรวมงานแต่งเพื่อไปรับประทานอาหารในงานเลี้ยงช่วงเวลาเย็นขณะกลับบ้านเป็นเวลาพลบค่ำระหว่างกำลังขี่รถจักรยานยนต์ไปตามท้องถนนด้วยความเร็วพอประมาณ

เพราะว่าอากาศครื้มท้องฟ้าไม่มีดาวเหมือนฝนจะตก เขาได้เกิดอุบัติเหตุเพราะเมื่อเขาหักหลบรถคันอื่นประจวบกับถนนลื่นถนนลาดยางจึงทำให้รถจักยานยนต์คว่ำลงข้างถนน ขณะนั้นสิบล้อตามมาข้างหลังติด ๆ แต่สิบล้อได้หลักหลบรถจักยานยนต์ ของคุณไผ่ที่กำลังประสบณ์อุบัติเหตุได้ทันท่วงที โดยตัวคุณไผ่และเพื่อนได้ตกลงไปข้างถนน ผลคือ รถจักรยานยนต์พังแต่น่าแปลกใจมาก


เมื่อตัวเขาและเพื่อนไม่มีบาดแผลใด ๆ เลยทั้งสองคน เนื่องจากคุณไผ่มีความเชื่อว่าเขาได้แขวนพระสมเด็จหลวงปู่นาคเพียงองค์เดียวเท่านั้น นี้เป็นข้อพิสูจน์ว่าปาฏิหารย์ของวัตถุมงคลของหลวงปู่นาค

สามารถช่วยคุ้มครองป้องกันอันตรายแคล้วคลาดจากสิ่งชั่วร้ายด้วยอำนาจแห่งบารมีพุทธคุณของวัตถุมงคลพระสุทธิธรรมนาถ (นาค) นาคเสโน เจ้าอาวาสวัดหนองพะวา  เจ้าคณะตำบลบางบุตร อำเภอบ้านคาย จังหวัดระยอง

73
พอจะมีประวัติหลวงนาควัดหนองพะวา จ. ระยอง บ้างไหมครับ
อยากรู้มากๆๆเลย

74
วิธีใช้ตื่นนอนตอนเช้าอาบน้ำเสร็จให้อราธนาตามใบกำกับที่ท่านให้มา
ข้อห้าม
1.ห้ามด่าพ่อแม่
2.ห้ามให้ของลับ
3.ห้ามด่าว่าฉิบหาย

75
เมื่อวานอาทิตย์ผมก็ได้ไปกราบท่านมาครับ
ท่านเมตตากับผมมากเลยครับ
แล้วขอให้ท่านช่วยพรมน้ำมนต์ให้แล้วท่านก็ได้พระผงสมเด็จที่ทำแจกตอนปิดทองลูกนิมิตรอีกดว้ย
ท่านยังบอกให้พกติดตัวได้ยิ่งดีเกิดอุบัติเหตุอะไรมาก็ช่วยได้(ยกเว้นคนที่ชะตาขาดเท่านั้นที่ช่วยไม่ได้)
ตอนนอนก็ให้พระที่ให้มาออกให้หมด   
แต่ก็ยังอยากได้ลูกออมเสือปืนดับ ท่านก็บอกว่าหมดแล้วเหลือแต่เสือตัวเล็กที่ทำให้เช่าตอนปิดทองลูกนิมิตร
แต่ก็ใช้ได้เหมือนกันหลวงยังบอกอีกว่ามีเรื่องมีราวไม่ต้องกลัวใช้ได้เลย

76
ดูรูปแล้วมีความเข้มขังจริงๆๆ

77
เออ...แล้วจะเช่าได้ที่ไหนบ้างอยากได้ไว้กับเขาบ้าง

78
อยากได้ไว้บูชากับเขาบ้างไม่ทราบว่าจะหาเช่าได้ที่ไหนบ้าง

79
ช่วยแนะหน่อยครับวาจะหาเช่าวัตถุมงคลของหลวงปู่กาหลงได้ที่ไหนบ้าง

หน้า: [1]