กระดานสนทนาวัดบางพระ

หมวด ธรรมะ และ นอกเหตุ เหนือผล => สนทนาภาษาผู้ประพฤติ, กฎแห่งกรรม และ ประสบการณ์วิญญาณ => กฎแห่งกรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: ทรงกลด ที่ 10 พ.ค. 2554, 07:47:50

หัวข้อ: คติธรรม/กรรม/อาพาธ.....หลวงปู่เจี๊ยะ...พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: ทรงกลด ที่ 10 พ.ค. 2554, 07:47:50
หลวงปู่เจี๊ยะ...พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง ๒๓
จาก หนังสือ ประวัติ พระครูสุทธิธรรมรังษี หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง
วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อำเภอสามโคก จังหวัดประทุมธานี

คติธรรม/กรรม/อาพาธ

แต่ก่อนมีค่าเป็นร้อยเป็นชั่ง...

ในปัจฉิมวัย ไม่ว่าในคราใดท่านประสบอาพาธหนัก นอนเป็นอัมพาตอยู่บนเตียง ท่านไม่แสดงความหวั่นไหว บ่งบอกความแข็งแกร่งนิสัยอาชาไนย อีกทั้งยังแสดงธรรมสอนลูกศิษย์ที่ไปเยี่ยมด้วยการเอาร่างกายของท่านเป็นเครื่องเปรียบเสมอว่า

“ตอนเป็นหนุ่มเป็นสาว มีค่าเป็นร้อยเป็นชั่ง พอเดี๋ยวนี้ ๕๐ สตางค์ก็ไม่มีใครเอา”

บางครั้งท่านก็จะเล่าเรื่องในอดีตที่เกี่ยวโยงมาถึงปัจจุบันให้ผู้อุปัฎฐากดูแลฟัง บางทีก็เป็นขำขันเป็นนิทาน เป็นธรรมะชั้นสูง หรือบอกเป็นนัย ๆ วันนี้จะมีใครมา ถ้าสังเกตและพิจารณาตามนั้นจะเป็นจริงทุกเรื่อง

กรรมที่เคยฆ่าหมา

ท่านเล่าถึงสาเหตุที่ต้องได้ทำการผ่าตัดหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท นอนแกร่วเป็นอัมพาตนี้ว่า ตอนเป็นหนุ่ม เราเลี้ยงหมูไว้แยะ ต้มข้าวเอาไปวางให้หมู หมามันมากินหมด โมโหจัดจึงเอาไม้คานเจ็กตีหมาโป้งเดียวจอดสลบ ด้วยความที่โกรธจัด แม้หมาตัวนั้นจะนอนแน่นิ่งเหมือนตายแล้ว ก็คงเอาไม้คานตีกระหน่ำอยู่อย่างนั้น ตีจนกระทั่งมันฟื้นขึ้นมาอีก ฟื้นขึ้นมาอีกตีซ้ำลงอีกแบบทารุณไร้เมตตาธรรม คราวนี้หมามันชักตาย...เสร็จเลย กรรมอันนี้แหละ เป็นกรรมในปัจจุบันชาติที่เราต้องชดใช้”

กรรมรีดลูกปลา

และที่เรามีอาการชาและแบบที่ผิวหนังรอบทวารหนัก ไม่สามารถนั่งตัวตรงเป็นเวลานานๆ ได้นั้น ก็เป็นกรรมในปัจจุบันซาติเช่นเดียวกัน คือ ตอนหนุ่ม ๆ เราชอบเลี้ยงปลาเข็ม ปลาหัวเงิน ตามประสาเด็กรุ่นๆ ทำสนุกสนาน เวลาปลาหัวเงินปลาเข็มมันท้องแก่ แต่ยังไม่ถึงเวลาคลอดลูก เราชอบรีดท้อง รีดเอาลูกมันออกมาก่อนเวลา เอามาเลี้ยง มันทันใจดี เมื่อรีดเอาลูกมันออก แม่มันก็ตาย ด้วยผลกรรมคือรีดลูกจากท้องปลาที่เผ็ดร้อนทารุณนี้ จึงเป็นกรรมที่ทำให้เราก้นชาและแสบทวารอยู่ไม่หาย


ขอบคุณที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jea/lp-jea-hist-01-23.htm (http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jea/lp-jea-hist-01-23.htm)
หัวข้อ: ตอบ: คติธรรม/กรรม/อาพาธ.....หลวงปู่เจี๊ยะ...พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: ทรงกลด ที่ 10 พ.ค. 2554, 07:50:28

ไม่เป็นไร ตายแล้วต่างคนต่างไป

ในบางวันมีผู้คนมากราบมากจนอลหม่าน อย่างเช่นวันคล้ายวันเกิด จะมีทั้งพระและฆราวาสมาจากทุกสารทิศ ผู้อุปัฏฐากใกล้ชิดจำเป็นต้องห้ามต้องกันผู้คนทั้งที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย ไม่ให้เข้ากราบ ปิดประตูห้อง บางคนก็บ่นหาว่ากีดกันไปต่าง ๆ นานา ผู้ที่เฝ้าอย่างใกล้ชิดก็รู้สึกกดดัน เครียดอยู่ไม่น้อย เมื่อกราบเรียนถามท่าน ท่านก็ตอบสั้น ว่า “ไม่เป็นไร ตายแล้วต่างคนต่างไป” คำสอนท่านเพียงสั้น ๆ นี้ทำให้ผู้ดูแลคลายทุกข์กังวลไปได้เลย

คาถาหลวงปู่เจี๊ยะ
 
วันไหนท่านปวดที่ขา ปวดเมื่อยตามเนื้อตามตัวหรือเจ็บปวดในที่อื่นใดก็ตาม ท่านก็จะให้ผู้ที่ดูแลท่องคาถาเป่าให้ท่าน ท่านบอกว่าเป็นคาถาดี โดยให้ท่องว่า

“นโม วิมุตฺตานํ นโม วิมุตฺติยา”

“ขอความนอบน้อมจงมีแก่ท่านผู้หลุดพ้นทั้งหลาย

ความนอบน้อมจงมีแก่ธรรมเป็นเครื่องหลุดพ้นทั้งทลาย”

หัวล้านจริง ๆ

บางวันท่านพูดตลกขำขันจนผู้คนที่มาเข้ากราบเฮตึง ๆ วันนั้นร่างกายท่านสดใสแข็งแรงขึ้นบ้างตามสภาพ มีคนขอให้ท่านจับหัวให้เป็นศิริมงคล

คนแรกผู้ชายผมยาว ๆ ท่านก็เคาะ ๆ คนที่สองผมเกรียนๆ ท่านก็เคาะ ๆ คนที่สามเป็นคนหัวล้าน หัวล้านเอามาก ๆ ท่านเคาะ ๆ แล้วลูบ ๆ คลำๆ ที่ศีรษะแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงดัง ๆ ทั้ง ๆ ที่ป่วยนอนอยู่บนเตียง ให้พรโยมหัวล้านคนนั้นว่า “หัวล้านหัวเหลือง หัวละเฟื้องสองไพ หัวล้านจริง ๆ ผู้หญิงชอบใจ”

คนที่นั่งอยู่เต็มบริเวณหัวเราะกันเฮ ๆ ด้วยว่าในวันนั้นอากาศมันร้อนอบอ้าว คนที่มากราบ เหงื่อไหลไคลย้อยไปตาม ๆ กัน ภายในจิตในใจของแต่ละคนคงบ่นๆ ถึงดินฟ้าอากาศ

ท่านจึงพูดขึ้นอีกว่า “มนุษย์ขี้เหม็น เคี่ยวเข็ญเทวดา ฝนตกก็แช่ง ฝนแล้งก็ด่า”

หนาวใจทำอย่างไร?

พอตกยามค่ำคืน แอร์ที่ห้องพยาบาลมันหนาว ท่านจะบอกธุระที่อุปัฏฐากบ่อย ๆ ว่าหนาวเว้ยๆ แล้วท่านก็พูดเป็นกลอนว่า “หนาวลมห่มผ้า หนาวฟ้าผิงไฟ” แล้วพระรูปหนึ่งก็พูดเล่นกับท่านแก้เครียดว่า

“ถ้าหนาวหัวใจละปู่”

“หนาวหัวใจ ต้องไปแม่สอด”

พระรูปนั้นอายม้วนหน้าแดง เพราะตัวท่านเองไปเที่ยวภาวนาทางภาคเหนือเคยแอบชอบสาวมูเซอ กะเหรี่ยง เกือบเอาตัวไม่รอด เกือบจะได้ถอดผ้าเหลืองทิ้งเป็นลูกเขยกะเหรี่ยงมาแล้ว

ขอบคุณที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jea/lp-jea-hist-01-23.htm
หัวข้อ: ตอบ: คติธรรม/กรรม/อาพาธ.....หลวงปู่เจี๊ยะ...พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: ทรงกลด ที่ 10 พ.ค. 2554, 07:54:11
พูดตรง ๆ

หลวงปู่ท่านเป็นพระที่พูดตรง ๆ ตรงจนบางครั้งตลกขำกลิ้งไปเลยก็มี อย่างเช่นเวลาเข้าห้องน้ำปวดท้องอึ ท่านจะอึออกยากมาก ต้องเบ่งเป็นเวลานาน ๆ เวลาท่านอึที่ห้องน้ำ พระจะช่วยให้ท่านขับถ่ายง่ายขึ้น พระจะพยามยามพูดว่า “เบ่ง อืดดดด์ ๆ ๆ ๆ ออก ๆ” ตามจังหวะกลั้นลมหายใจยาว ๆ เมื่อพระพูดมากเข้า ท่านจึงพูดสวนขึ้นทันที

“มึงเบ่งทำไมวะ มึงไม่ได้ขี้ กูเป็นคนขี้ เดี๋ยวกูเบ่งเอง กูขี้เอง มึงเบ่งแล้วกูจะขี้ออกหรือ?”

พระทั้งหลายที่อยู่ในห้องน้ำสุดที่จะกลั้นหัวเราะไว้ได้

รักสัตว์

หลวงปู่เจี๊ยะชอบเลี้ยงหมาไทยหลังอาน
สมัยก่อนที่ท่านจะอาพาธ ทานชอบเลี้ยงแมวกับหมา ท่านพูดกับแมวกับหมาเหมือนพูดกับคน บางทีท่านฉันข้าวไปด้วยป้อนข้าวแมวไปด้วย ท่านมีเมตตาเป็นสาธารณะจริง ๆ “มึงไปเที่ยวสาวไกล ๆ ระวังเถอะจะตาย” ท่านพูดกับหมาหลังอานของท่าน แล้วท่านก็พูดสั่งสอนตักเตือนต่าง ๆ เหมือนพูดกับคน

วันหนึ่งท่านสั่งให้พระจับหมาขังกรงไว้ ไม่ปล่อยให้มันไปเที่ยวไหน ๆ พระสงสารเห็นหมามันร้องเอ๋ง ๆ ก็ปล่อยออกไป พอปล่อยออกไปมันก็ไปเที่ยวหาตัวเมีย เขาก็เอามีดฟันคอมันตาย พวกพระจึงถึงบางอ้อว่า ที่ท่านขังไว้ไม่ปล่อยไปเพราะท่านรู้ว่าถ้าปล่อยไป เขาจะฆ่ามันตาย

เมียขโมย

แม้โยมผู้ชายที่มาดูแลท่านทุกวัน เขาซื้อรถใหม่จะมากราบเรียนท่าน พอเดินเข้าไปในห้อง ท่านถามทันทีว่าซื้อรถใหม่เหรอ ทำให้เขาเชื่อในวาระจิตของท่านเป็นอย่างยิ่ง แล้วท่านก็ถามโยมผู้ชายคนเดิมว่า

“เมียที่บ้าน เมียแต่งหรือเมียขโมย”

“เมียขโมยครับปู่”

เขาตอบพร้อมทั้งเสียงหัวเราะและอัศจรรย์ใจ เพราะความลับอันนี้เขาไม่เคยบอกใคร เพราะเมียคนนี้พาขโมยหนีหอบผ้าหอบผ่อนตามกันมาเป็นเวลา ๓๐-๔๐ ปีแล้วไม่เคยปริปากบอกใคร แต่ทำไมทำไมหลวงปู่จึงรู้ได้ หรือในบางครั้งท่านสอนอยู่บนเตียง ท่านก็จะพูดไปตามธรรมดาว่าวันนี้ คนนั้นจะมา คนนี้จะมา เมื่อถึงเวลาจริง ๆ คนที่ท่านพูดถึงก็มากราบท่านในวันที่ระบุจริง ๆ

ด้ามขวานมีเท่าไหร่กลึงให้ฟรีหมด

โยมคนหนึ่งมีโรงกลึงไม้อยู่แถวหัวลำโพง เมื่องานวันเกิดหลวงปู่ใกล้มาถึง พระจะนำไม้ไปจ้างกลึงด้ามขวานเพื่อแจกในงานทีละเยอะ ๆ แกเห็นพระเณรทำขวานเยอะ ๆ ก็เกิดความสงสัยว่า พระวัดนี้มันจะไปสู้รบออกศึกที่ไหน ถึงทำแต่ของมีคม แกจึงเดินทางมากราบหลวงปู่

แกมากราบก็ไม่ได้เกิดศรัทธาเลื่อมใสอะไรมากมาย ก็เหมือน ๆ กับกราบพระทั่ว ๆ ไป พระอาจารย์เขียว (พระอุปัฏฐาก) ให้เส้นเกศาพลวงปู่ไปเป็นที่ระลึก แกเอาไปก็เอาไปไว้หิ้งพระ

วันหนึ่งแกทำความสะอาดหิ้งพระ จึงเอามาเปิดดูปรากฏว่า เส้นเกศาได้รวมตัวเป็นก้อนกลายเป็นพระธาตุที่สวยงาม ตั้งแต่นั้นมาการงานเข้ามาจนทำไม่หวาดไม่ไหว สิ่งดี ๆ อะไร ๆ ตามมาหมด แกเกิดศรัทธาเลื่อมใสอย่างมากเมื่อพระไปติดต่อกลึงด้ามขวานเป็นจำนวนมากเพื่อใช้แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ เขาบอกว่า สำหรับหลวงปู่เจี๊ยะแล้วมีเท่าไหร่เอามาเลย ไม้ที่นี่มีเท่าไหร่ให้หมดเลย งานอื่นไม่ต้องทำ ทำงานนี้งานเดียว งานพระอรหันต์อย่างนี้หาที่ไหนไม่มีอีกแล้ว (เขาพูดได้เยี่ยมจริงๆ)


ขอบคุณที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jea/lp-jea-hist-01-23.htm
หัวข้อ: ตอบ: คติธรรม/กรรม/อาพาธ.....หลวงปู่เจี๊ยะ...พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: ทรงกลด ที่ 10 พ.ค. 2554, 08:01:33
หลวงตาบัวมาเยี่ยม/พูดกันครั้งสุดท้าย

วันที่หลวงปู่เจี๊ยะจะเข้าโรงพยาบาลศิริราชเป็นครั้งสุดท้ายนั้น หลวงตามหาบัวท่านได้เดินทางไปเยี่ยมดูอาการป่วยของท่านที่วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม ในวันที่ ๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ท่านได้เข้าไปดูภายในภูริทัตตเจดีย์ได้เทศนาถึงความรักความเมตตาที่ท่านพระอาจารย์มั่นมีต่อหลวงปู่เจี๊ยะ และกล่าวชมสรรเสริญภูมิจิตภูมิธรรมของหลวงปู่เจี๊ยะเป็นอเนกปริยาย

หลังจากท่านเข้าชมภูริทัตตเจดีย์แล้วท่านจึงเดินทางมาที่กุฏิที่หลวงปู่เจี๊ยะพักอาพาธอยู่ได้ทักทายพร้อมกับลูบที่มือกล่าวว่า “หลวงตาบัวมาเยี่ยม”

“เราไม่พูดอะไรมากแหละเพราะจะเป็นการรบกวนท่าน” แล้วจึงนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงและได้เทศนาธรรมให้ประชาชนญาติโยมที่ติดตามมาเป็นจำนวนมากในเรื่องว่า “พระอรหันต์ละสังขาร” ประหนึ่งจะเป็นเครื่องหมายเตือนสานุศิษย์ให้ได้ทราบล่วงหน้าว่า คราวนี้เป็นคราวสุดท้ายของหลวงปู่เจี๊ยะแล้ว สังขารที่แบกหามมานานถึงกาลที่จะต้องทิ้งกันไปแล้ว

เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหลวงตาจะมา หลวงปู่เจี๊ยะท่านจะมีอาการไอไม่หยุดเมื่อหลวงตามาถึงเท่านั้นแหละอาการไอที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงนั้น ประหนึ่งว่าไม่เคยไอเลย หลวงปู่ท่านนอนนิ่งแสดงคารวะธรรมที่หลวงตามาเยี่ยม เป็นกิริยาแสดงความเคารพยิ่งแม้ในขณะที่ป่วย แม้หลวงตาจะเทศน์นานเท่าใด ท่านก็ไม่ไอเลยแม้แต่ครั้งเดียว พระบางรูปที่นั่งอยู่บริเวณนั้นถึงกับอุทานว่า

“อัศจรรย์! หลวงปู่เข้าฌานสมาบัติ”

แต่เมื่อหลวงตาเดินทางกลับเท่านั้นแหละ หลวงปู่เจี๊ยะกลับมาไออย่างรุนแรงเหมือนเดิม แม้ด้วยสายตาปุถุชนที่เห็นเรื่องนี้แจ่มชัดได้อย่างนั้นก็พอจะอนุมานได้ว่า เรื่องที่จะทำอย่างนี้ได้มิใช่วิสัยสามัญชนคนธรรมดาจะทำได้ ต้องเป็นผู้มีความรู้พิเศษมีภูมิธรรมชั้นสูงที่สามารถระงับเวทนาขันธ์ได้

หลวงตาแสดงเรื่องพระสารีบุตรปรินิพพาน/พระอรหันต์ละสังขาร

(http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jea/lp-jea-pic-138-01.jpg)
หลวงตานั่งข้างเตียงอาพาธได้กล่าวธรรมเทศนาแบบสบายๆ เพื่อให้หลวงปู่เจี๊ยะรื่นเริงในธรรม
ในวันนั้นหลวงตานั่งข้างเตียงอาพาธได้กล่าวธรรมเทศนาแบบสบาย ๆ เพื่อให้หลวงปู่เจี๊ยะรื่นเริงในธรรม และเป็นเชิงเล่าเรื่องชาดกให้ลูกหลานฟังความว่า...

...พระสารีบุตรเถระ ทำวัตรแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วเข้าสู่ที่พักกลางวัน ปัดกวาด ปูแผ่นหนัง ล้างเท้า นั่งขัดสมาธิเข้าผลสมาบัติ ครั้นออกจากสมาบัติแล้วเกิดปริวิตกว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายปรินิพพานก่อนหรือหลังพระอัครสาวก ก็รู้ว่าอัครสาวกก่อน จึงสำรวจดูอายุของตน ก็รู้ว่าอายุสังขารของตนจักเป็นไปได้เพียง ๗ วันเท่านั้น จึงดำริว่าจักปรินิพพานที่ไหนหนอ?

คิดว่า ท่านราหุลปรินิพพานในดาวดึงส์ ท่านพระอัญญาโกญฑัญญะ ปรินิพพานในสระฉัททันต์ เราเล่าจะปรินิพพาน ณ ที่ไหน เกิดจิตปรารภขึ้นว่า มารดาของเราแม้เป็นมารดาพระอรหันต์ ๗ รูป ก็ไม่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ พิจารณาว่ามารดาจักบรรลุธรรมด้วยเทศนาของเรา ถ้าหากว่าเราพึงเป็นผู้ขวนขวายน้อยแล้วไซร้ จะเป็นที่ครหาว่ากล่าวได้ว่า “พระสารีบุตรเป็นที่พึ่งของเทวดาและมนุษย์มากมายนับไมได้ อนึ่งเล่า ตระกูล ๘๐,๐๐๐ ตระกูล เลื่อมใสในเรา บังเกิดในสวรรค์ แต่ไม่อาจกำจัดแม้เพียงความเห็นผิดของมารดาได้”

จึงตกลงใจว่า เราจักเปลื้องความเห็นผิดของมารดา แล้วจักปรินิพพานในห้องน้อยที่บ้านเกิด จึงเข้าไปทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อไปปรินิพพาน ว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ต่อไปนี้อีก ๗ วัน ถ้าพระองค์จักทอดเรือนร่างเหมือนวางภาระลง ขอพระพุทธองค์ทรงอนุญาต”

พระเถระรู้ว่า พระพุทธองค์มีพระประสงค์ให้แสดงฤทธิ์ คือตามธรรมดา พระพุทธองค์ไม่อนุญาตให้พระสาวกแสดงฤทธาศักดานุภาพ แต่คราวนี้เป็นคราวสุดท้ายที่พระสารีบุตรมากราบทูลลา เพื่อนิพพาน พระพุทธองค์จึงตรัสแก่พระสารีบุตรว่า

“สารีบุตร เธอจะแสดงอะไรให้เป็นที่ระลึกแก่พวกน้องๆ ก็จงแสดงเป็นที่ระลึก เป็นมหามงคลต่อไปอีกนาน”

เมื่อพระพุทธองค์ทรงอนุญาตแล้วพระเถระจึงแสดงปาฏิหาริย์ครั้งใหญ่ โลดสูง ๗ ชั่วต้นตาล ยืนอยู่ท่ามกลางอากาศ แล้วจึงลงมาแสดงธรรมกราบทูลพระศาสดาว่า ๑ อสงไขย กำไรแสนกัป นั่นเป็นการเห็นครั้งแรก นี้เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย

พระศาสดาตรัสกับเหล่าภิกษุผู้ยืนล้อมอยู่ว่า พวกเธอจงตามไปส่งพี่ชายใหญ่ของพวกเธอเถิด พี่ชายใหญ่ของเธอทั้งหลาย ลาโลก ลาสงสาร วัฏฎวนกองทุกข์ไปในคราวนี้แล้ว

ตลอดระยะเวลา ๗ วันที่พระสารีบุตรเดินทางกลับบ้านนาลกคามซึ่งเป็นบ้านเกิด เพื่อโปรดโยมมารดา ได้อนุเคราะห์ผู้คนด้วยธรรมเทศนาตลอด ถึงบ้านนาลกคาม (นาลันทะ) ในเวลาเย็น แล้วหยุดพักที่ต้นไทรใกล้ประตูบ้าน นายอุปเวรตะซึ่งเป็นหลานชายจึงมาพบเข้า ท่านจึงพูดว่า

“ย่าของเจ้าอยู่ในเรือนหรือ ไปบอกย่าเจ้าด้วยว่าเรากลับมาบ้าน ให้ช่วยจัดห้องน้อยที่เราเคยเกิดให้เราตัวด้วย และจัดที่พักสำหรับภิกษุ ๕๐๐ รูปด้วย”

หลานจึงนำเรื่องไปบอกแก่นางพราหมณีผู้เป็นโยมมารดา นางคิดว่า

“สารีบุตรบวซเมื่อหนุ่มเป็นคฤหัสถ์ เมื่อแก่สงสัยอยากสึกจึงกลับบ้าน”

ในเวลาพลบค่ำโรคลงโลหิตกำเริบอย่างหนัก เกิดเวทนาใกล้ตายแก่พระเถระ โยมแม่ท่านยืนอยู่ที่ประตูห้องคิดว่า บุตรของเราบวชแล้วมาตายแบบนี้น่าเสียใจจริง ๆ

ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ตรวจดูทราบว่า พระสารีบุตรจักปรินิพพานในห้องน้อยที่บ้านเกิด จึงรีบลงมาไหว้ ยืนอยู่ไม่นานท้าวสักกะจอมเทพ...ท้าวสุยามะ...ท้าวมหาพรหมก็พากันมาสักการะพระเถระแล้วเหาะจากไป

โยมมารดาเห็นเทวดามากราบไหว้และเหาะจากไป จึงเข้าไปในห้องพระเถระ สนทนาถามตอบกันว่า

“ลูกเป็นใหญ่กว่าท้าวมหาราชทั้ง ๔ หรือ?”

“ท้าวมหาราชนั้นก็เหมือนคนวัดนั่นแหละโยมแม่ ทรงถือพระขรรค์อารักขาตั้งแต่พระศาสดาทรงปฏิสนธิ”“ลูกเป็นใหญ่กว่าท้าวสักกะจอมเทพหรึอ?”

“โยมแม่เอ๋ย ท้าวสักกะนั้นก็เหมือนสามเณรน้อย ๆ ของพระศาสดา”

โยมแม่ของพระสารีบุตรคิดว่า บุตรของเรายังมีอานุภาพมากถึงเพียงนี้ แล้วพระบรมศาสดาจะมีอานุภาพมากสักเพียงไหน ความอัศจรรย์และปีติจึงเกิดขึ้นอย่างมาก

พระสารีบุตรจึงกล่าวว่า โยมแม่ สมัยพระศาสดาประสูติ ตรัสรู้ ประกาศธรรมจักร พันโลกธาตุหวั่นไหว แล้วจึงกล่าวพรรณนาพุทธคุณอย่างพิสดารจบลง โยมมารดาได้สำเร็จโสดาปัตติผล

ค่าน้ำนมข้าวป้อน ได้รับการชดใช้ด้วยธรรมะ จวนใกล้สว่าง พระเถระให้พระจุนทะยกท่านลุกขึ้นนั่ง ครั้นแสงอรุณปรากฏ มหาปฐพีเลือนลั่น ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ จากนั้นพระพุทธองค์โปรดให้สร้างพระเจดีย์

ขอบคุณที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jea/lp-jea-hist-01-23.htm
หัวข้อ: ตอบ: คติธรรม/กรรม/อาพาธ.....หลวงปู่เจี๊ยะ...พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: ทรงกลด ที่ 10 พ.ค. 2554, 08:03:46


หลวงตามหาบัวแสดงธรรมเรื่องพระอรหันต์กับธาตุขันธ์
 
เมื่อหลวงตาแสดงเรื่องพระสารีบุตรปรินิพพานจบลง ท้ายกัณฑ์เทศได้สรุปเรื่องพระอรหันต์กับธาตุขันธ์ดังนี้ว่า......

...พระอรหันต์ท่านหมดกิเลสทุกอย่างแล้ว ก็มีแต่ความรับผิดชอบในธาตุขันธ์ ไม่ได้เป็นในหัวใจท่านผู้สิ้นกิเลสแล้ว เรียกว่าท่านรับผิดชอบตั้งแต่ท่านบรรลุธรรมตรัสรู้ธรรมแล้ว จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของลมหายใจขาด ท่านก็ปล่อยเลย

พระอรหันต์กับธาตุขันธ์มีความรับผิดชอบเสมอกันกับโลกทั่ว ๆ ไป เป็นแต่เพียงท่านไม่ยึด เช่นเดินไปกำลังจะเหยียบรากไม้แต่คิดว่านั่นเป็นงู ท่านก็ต้องมีการกระโดดข้ามหรือหลบเป็นธรรมดา หรือท่านจะลื่นหกล้ม ท่านก็พยายามช่วยตัวเองไม่ให้ล้ม ต่างกันกับคนทั่ว ๆ ไปตรงที่ว่า คนทั่วไปจิตใจร้อนวูบ ๆ เพราะอุปาทานยึดมั่น ส่วนจิตพระอรหันต์ท่านเพียงแต่แย็บเท่านั้น ต่างกันตรงนั้น

อย่างที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน บรรดาพระอรหันต์ปลงธรรมสังเวช คือขันธ์ท่านแสดงอาการเช่นน้ำตาร่วง ไม่ใช่จิตใจของท่านเป็น เวลาท่านจะไปจริง ๆ ขันธ์ ๕ เป็นวาระสุดท้าย ส่วนนอกนั้นก็ปล่อยไปหมดแล้ว รับทราบเป็นธรรมดา ส่วนธาตุขันธ์รับทราบตลอดทั้ง ๆ ที่ปล่อยแล้ว เจ็บก็บอกว่าเจ็บ ปวดก็บอกว่าปวด หนาวก็บอกว่าหนาว ร้อนก็บอกว่าร้อน แต่เป็นอยู่ภายในขันธ์ล้วนๆ อันนั้นชอบ อันนี้ไม่ชอบ ล้วนอยู่ภายในวงขันธ์ ไม่ได้เข้าถึงจิต ถ้าว่าอันนี้ดี ก็ดีอยู่ในวงขันธ์ ไม่ได้ยึดมั่น อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในโลก ถ้าหากว่าจะเทียบแล้ว เหมือนเรานั่งอยู่นี่ มีเด็กหรือผู้คนสัญจรไปมา เราไม่ว่าเขารบกวน แต่เขาเป็นของเขาอย่างนั้น พันธุ์ก็ไม่ได้ว่ารบกวนจิตใจ เป็นเพียงรับทราบกัน

นี่แหละสมมุติมันหดเข้ามา เจ็บท้องปวดศีรษะหมดไป จะหดเข้าไป ความรับผิดชอบในวงขันธ์หดเข้ามา จะเข้ามาจุดที่บริสุทธิ์ตามธาตุขันธ์ที่บริสุทธิ์ พอหดเข้ามาความทุกข์ร้อนในร่างกายจะหมดไป ๆ สุดท้ายความทุกข์ทั้งหลายในร่างกายนี้ไม่มีเลย เงียบไปหมด นี้เรียกว่าสมมุติครั้งสุดท้ายของขันธ์จะดับวูบลง ขณะที่ลมหายใจขาด พอลมหายใจขาดปั๊บ ขันธ์ดับวูบลง จิตดวงที่บริสุทธิ์รับทราบจะดีดออกเป็นธรรมชาติ ในขณะที่ท่านจะดับขันธ์นั้น ท่านไม่มีทุกข์อะไรเลย บรรดาพระอรหันต์ไม่มี คนทั้งหลายมีความทุกข์ความเดือดร้อน ดีไม่ดีตกเตียงไปก็มี ไม่มีสติสตังเพราะความทุกข์มากนะ แต่พระอรหันต์ท่านไม่เป็นอย่างนั้น เวลาจะไปจริง ๆ ความทุกข์ทั้งหลายหดเข้ามาหมด ตาเหมือนตาไม้ไผ่ หูก็หูกะทะ อวัยวะต่าง ๆ เป็นเหมือนซุงทั้งท่อน คือความรู้อันนี้หดเข้าแล้ว ทุกขเวทนาอยู่ในขันธ์ พอความรู้หดไป ทุกขเวทนาก็หมด ก็เหลือแต่ความรู้ที่ปล่อยความรับผิดชอบออกไป พอปล่อยปั๊บพร้อมกับลมหายใจออกไป ขาดปั๊บหมด นี่แหละสมมุติทั้งมวลหมดในวาระสุดท้ายคือขันธ์ ๕ ท่านไปง่ายๆ ท่านไม่ลำบากลำบนไม่เหมือนพวกเรา พระอรหันต์ท่านนิพพานง่าย ๆ ใต้ร่มไม้ชายเขาที่ไหน

นี่แหละพระพุทธศาสนาของเราเป็นศาสนาชั้นเอกพิสูจน์ด้วยตน พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่สงสัยประจักษ์ผลเป็นพยาน ตลอดจนบาปบุญ นรกสวรรค์ นิพพานท่านเจิดจ้าอยู่ภายในใจนี้ พวกเราตาบอดว่าไม่มี สิ่งที่ว่าไม่มี มันเผาเรา เวลาตายก็เผาตัวเอง

...เป็นเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์

...เมื่อหลวงตาเทศนาธรรมจบเวลา ๑๔.๐๐ น. ท่านจึงลุกขึ้นมองหลวงปูเจี๊ยะอย่างเพ่งพินิจสุขุมกล่าวคำบอกลาว่า “ผมกลับก่อนนะ” คำนี้เป็นคำสั่งลากันครั้งสุดท้ายของพระมหาเถระทั้งสอง

หลังจากหลวงตากลับไป ๒ ชั่วโมง อาการป่วยของหลวงปู่เจี๊ยะก็กำเริบทรุดหนัก มีไข้สูง หอบเหนื่อย พระคิลานุปัฏฐากได้ติดต่อพระอาจารย์เขียวเพื่อคิดต่อรถพยาบาลโดยด่วน

เวลาประมาณ ๑๙.๐๐ น. แพทย์ผู้ดูแลได้แก่รองศาสตราจารย์นายแพทย์ชัชวิน ระงับภัย และรองศาสตราจารย์แพทย์หญิงพิมพ์ประไพ เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา ได้จัดรถพยาบาลรับท่านไปที่โรงพยาบาลศิริราช

ระหว่างทางท่านมีอาการเขียว ออกซิเจนในเลือดต่ำ จึงได้นำท่านไปยังโรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอสเพื่อรักษาเบื้องต้นจนปลอดภัย และเดินทางไปยังโรงพยาบาลศิริราชต่อไป รองศาสตราจารย์นายแพทย์สุชาย สุนทราภาและรองศาสตราจารย์นายแพทย์สถาพร มานัสสถิตย์ ได้ช่วยกันดำเนินการรับหลวงปู่ไว้ในหอผู้ป่วยวิกฤต

ผลเอ็กซ์เรย์ปอดพบมีสารน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดข้างขวา แพทย์ที่หอผู้ป่วยวิกฤตระบบทางเดินหายใจได้ทำการใส่ท่อช่วยระบายเลือดออกจากช่องเยื่อหุ้มปอดข้างขวา ได้น้ำปนเลือดประมาณ ๑,๔๐๐ ซีซี และได้ตรวจพบเซลล์มะเร็งในน้ำปนเลือดจากช่องเยื่อหุ้มปอด คณะแพทย์ผู้รักษาได้ตัดสินใจไม่ถวายยาต้านมะเร็งเนื่องจากประเมินแล้วว่า สภาพร่างกายของท่านคงรับกับภาวะแทรกซ้อนของยาไม่ได้ จึงถวายการรักษาตามอาการเพื่อให้ท่านมีทุกขเวทนาทางกายน้อยที่สุด

ขอบคุณที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jea/lp-jea-hist-01-23.htm
หัวข้อ: ตอบ: คติธรรม/กรรม/อาพาธ.....หลวงปู่เจี๊ยะ...พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: saken6009 ที่ 10 พ.ค. 2554, 09:31:13
คติธรรม/กรรม/อาพาธ 36; 36;
ขอขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่นำบทความดีมากๆมาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ  :016: :053: :015:   

ติดตามอยู่ครับ อ่านแล้วเพลินดีมากๆครับ และ ได้ความรู้ดีมากๆครับผม :053: :053: 

(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน ขอบคุณครับ) :054: :054:
   
   
หัวข้อ: ตอบ: คติธรรม/กรรม/อาพาธ.....หลวงปู่เจี๊ยะ...พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง ๒๓
เริ่มหัวข้อโดย: โบตั๋นสีขาว ที่ 10 พ.ค. 2554, 06:33:06
ขอบคุณมากคะ สำหรับเรื่องราวดีๆหลายบทความ อ่านแล้วได้ความรู้มากคะ   :090: :050: :090: