กระดานสนทนาวัดบางพระ
หมวด มิตรไมตรี => รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) => ข้อความที่เริ่มโดย: ball omnoi ที่ 23 พ.ย. 2554, 12:15:58
-
คือมีตะขาบเข้ามาในบ้าน ผมจึงจัดการฆ่ามันเพราะกลัวมันจะมากัดคนในบ้าน
แต่ผมก็กลัวบาปจึงกลับมาสวดมนตร์อุทิศส่วนกุศลให้มัน แล้วอย่างนี้ถือว่าผิดไหมครับ
พี่ๆโปรดจงชี้แนะด้วยครับ ขอบคุณครับ
-
องค์แห่งการฆ่าในศีลข้อ ๑ มี ๕ ข้อ
๑.เป็นสิ่งมีชีวิต - ๒.รู้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิต - ๓.มีจิตคิดจะฆ่า - ๔.พยายามฆ่า - ๕.สิ่งมีชีวิิตนั้นตายเพราะการพยายามฆ่าของเรา
ลองพิจารณาดู หากครบองค์ประกอบทั้ง ๕ ข้อข้างต้นนี้ ก็แสดงว่า ผิดศีลข้อที่ ๑ เรียกว่า "ศีลขาด"
เมื่อผิดศีลแล้วก็ตัดสินเองครับว่าบาปหรือไม่บาป?
-
แล้วผมจะต้องทำอย่างไรดีครับ
-
บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป นะครับ :050:
-
บาปมากบาปน้อย ก็แยกย่อยไปอีก
บุญคุณของสัตว์นั้น ถ้าฆ่าวัวควายที่เราใช้งาน ใช้ขี่ ใช้ไถนาเลี้ยงเรามา ก็บาปมากกว่า ฆ่าสัตว์ไม่มีคุณ
คุณธรรม ฆ่าผู้มีศีล คนดีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีีี คนมีประโยชน์ บาบมากกว่า ฆ่าโจร
ความพยายาม การฆ่าสัตว์ใหญ่ บาปมากการฆ่า สัตว์เล็ก
ธรรมะของพุทธศาสนาละเอียดลุ่มลึก เป็นลำดับ มีเหตุมีผลในตัวเอง
-
การฆ่าสัตว์ไม่ว่าจะมีเจตนาหรือไม่ ก็ถือว่าบาป แต่จะมากหรือน้อยก็อยู่ที่เจตนาครับ ตอนนี้เราไม่สามารถที่จะย้อนเวลาไปได้ สิ่งที่ทำได้คือขออโหสิกรรม และต่อจากนี้ก็พยายามระมัดระวัง
-
ส่วนตัวนะครับ เป็นผมก็คงทำเหมือนกันนะครับ มิฉะนั่นอาจคนที่อยู่ในบ้านได้ครับผม
เรื่องบาปแน่นอนอยู่แล้วครับ แต่จะมากจะน้อยก้ตาม เจตนาแหละครับผม
:: ผิดถูกประการใดขออภัย ::
-
ทำบุญไห้เค้า ครับ ขอขมา เค้า ครับ ทุกสิ่งมี ชีวิต ก็ รัก ชีวิตตัวเอง ทั้งนั้น ผมเองก็ บ่อยๆ ครับ งู เข้า บ้าน 2 รอบ แล้ว แต่ผม ไม่ เคย คิด ฆ่า เค้า ผม พยามจับ เค้า แล้ว เอาไป ปล่อย 2 ครั้ง แล้ว ครับ เรา คิดดี กับ เค้า เค้า ทำอะไร เรา หรอก ครับ
-
:048: ก็ เข้าใจในเหตุผลครับ..
เป็น ผม ผมก็จะทำ.. ถ้า ตะขาบ มีโอกาส จะกัดผู้มีพระคุณ หรือ ลูก-หลาน
บางครั้ง เป็น เรื่องที่ต้องตัดสินใจ มีเหตุความจำเป็นต้องทำ .. ไม่ใช่ ทำเป็นกิจวัตร หรือทำบ่อยๆครับ
ขอบคุณครับ
-
โปรดใช้วิจารณญยาณ ครับท่าน
จากประสบการณ์จริง
ในอดีตแถวๆบ้านผมส่วนมากเป็นบ้านชั้นเดียวไม่ยกพื้น มีสวน มีที่ดินรกร้าง มีโรงเพาะเห็ดหลายโรง เรื่องตะขาบแมลงสาบนี่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับชาวบ้านเป็นอย่างมากเพราะมันมาจากแถวโรงเพาะเห็ด
ประสบการณ์ครั้งที่ 1 ตอนเด็กผมนอนอยู่ในบ้านดีๆก็รู้สึกเจ็บที่หน้าอกและร้อน เมื่อดูที่รอยแผลเป็นรอย 2 รู เล็กๆ ข้างบ้านเขาบอกว่าโดนตะขาบกัด เขาเอาน้ำมันดองตะขาบมาใส่ให้ แต่ด้วยความที่แพ้พิษตะขาบทำให้มีรอยแผลเขียว บวมแดงและร้อน เป็นอยู่หลายวัน พอแม่ถามก็บอกว่ายังแดงเจ็บนิดๆ ก็คิดว่าไม่เป็นไร จนวันนึงครูใช้ไปช่วยงานที่ห้องพักครู แล้วครูถามว่าได้กลิ่นอะไรเหม็นๆไหม ให้ผมดูว่าเหยียบอะไรหรือนั่งทับอะไรหรือป่าว ปรากฏว่ากลิ่นมาจากแผลที่ตะขาบกัดหน้าอก มันมีกลิ่นออกมา ครูถามว่าโดนอะไรมาแล้วครูก็รีบพาส่งไปอนามัย ปรากฏว่าเป็นแผลเน่าเนื้อตายเป็นพังผืดเหนียวๆเพราะพิษตะขาบ ต้องคว้านเนื้อออกทิ้ง ประมาณนิ้วชี้ยัดเข้าไปได้ ซึ่งทรมาณมากเจ็บจนต้องกัดผ้าขนหนูที่พยาบาลเอามาให้ เขาไม่ใช้ยาชาเลย แทบสลบ เวลาไปทำแผลทุกครั้งต้องใช้สำลีคว้านเลือดโชกทุกครั้งเพื่อเรียกเนื้อให้เต็ม ไปล้างแผลทุกวันเกือบ 2 อาทิตย์
ประสบการณ์ครั้งที่ 2 กวาดเศษใบไม้และขยะที่ลานดินหน้าบ้าน มีตะขาบคลานออกมาจากกองไม้ ตัวโตประมาณดินสอ คลานมาไต่ที่เท้า ด้วยความตกใจจึงสะบัดโดยที่ยังไม่โดนกัด ด้วยความที่แพ้ ปรากฏว่าที่หลังเท้าบวมเป็นรอยรูปตีนตะขาบ นานหลายวัน คราวนี้ใช้มะนาวผสมดินสอพองทา ใช้รักษาได้ดีพอสมควร
ประสบการณ์ครั้งที่ 3 เป็นเรื่องของเด็กผู้หญิงแถวบ้านอายุ 7 ขวบ ระหว่างเวลาประมาณตี 4-5 ได้สะดุ้งตื่นเพราะมีเสียงเด็กร้องดังมากว่าเจ็บหู ร้องงองแง ก็ไม่ได้สนใจคิดว่าคงเป็นมดเข้าหู พ่อเด็กเขาเอาน้ำหยอดแล้วเอาไฟฉายส่องมีตะขาบตัวจิ๋วๆขาแดงๆออกมา เด็กร้องจนต้องไปโรงพยาบาล
ประสบการณ์ครั้งที่ 4 อันนี้ติดเรทน๊ะครับ หลังจากโดนมา 2 ครั้ง และคนแถวๆบ้านก็โดนกันบ่อย ก็เกิดอาการจิตระแวง ก่อนนอนต้องเลิกเสื่อน้ำมันขึ้นดู พลิกที่นอน สลัดผ้าห่ม ดูหมอน ฯลฯ เจอที่ไหนเป็นต้องทำลายแม้จะไปอยู่ซอกไหนมุมไหนก็ต้องรื้อให้เจอ แต่ก็ยังไม่วาย ด้วยความที่จิตระแวง อะไรไต่หน่อยหรือมีความรู้สึกว่ามีอะไรไต่จะสะดุ้งตื่นทุกที จนวันนึงก็พลาดจนได้ นอนอยู่ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรใต่ที่โคนขาแล้วเจ็บจี๊ดจึงขยำขยี้ๆๆๆๆลงไปในกางเกงตรงจุดที่เจ็บ พอถอดกางเกงออก มีซากตะขาบตัวเล็กๆเละอยู่ เอามะนาวผสมดินสอพองทา ก็ไม่ค่อยปวด วันต่อมา อวัยวะส่วนที่ใกล้จุดเกิดเหตุทั้งหมดบวมแดงและร้อน ขนาดบวมใหญ่กว่าเดิม เกือบ 3 เท่าไปหาหมอก็ให้กินยาแก้แพ้ อายแสนอาย เดินขากางไปร่วมอาทิตย์ ดีที่ไม่เป็นแผลเนื้อตาย
ทั้งหมดทั้งมวลนี้มิได้เกิดจากไปทำร้ายตะขาบก่อน ต่างคนต่างอยู่ไม่ทำร้ายมัน เจอก็ปล่อยๆไป จนเดี๋ยวนี้เห็นเป็นไม่ได้ ถ้าเจอจะไม่ปล่อยโดยเด็ดขาด กลัวจะกัดตัวเองและคนในครอบครัว ซึ่งหลายคนก็เคยโดนกัดมาแล้วทั้งนั้นแพ้พิษบ้างไม่แพ้บ้างอาการต่างกันไป
จนภายหลังมีความต้องการใช้ที่ดินให้เป็นประโยชน์มากขึ้นโรงเพาะเห็ดและสวนก็หายไปกลายเป็นตึกแถว ตะขาบก็ลดน้อยลงไป
อย่างกรณีของผมนี้ควรจะแยกกรณีบาป - บุญ ออกจากกันอย่างชัดเจนใช่ไหมครับ
-
ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นครับผม :054: :054: :054:
-
ตัวอย่างเรื่องจริงที่ปรากฎในพระสูตร
ในสมัยนั้นมีภิกษุอยู่รูปหนึ่ง กำลังนั่งเย็บผ้าจีวร บังเอิญเข็มไปแทงถูกตัวเรือดที่อยู่ในตะเข็บจีวรตาย ตัวเรือดมันมีขนาดเล็กมาก ๆ ท่านมองไม่เห็น และไม่มีเจตนาฆ่ามันด้วย ตัวเรือดนั้นก่อนตายก็ได้ผูกอาฆาตไว้ด้วยเช่นกัน "เจตนาไม่มี แต่เวรเกิดมีขึ้นแล้ว" *(เหตุที่กล่าวเพียงแค่ "เวร" โดยไม่มีคำว่ากรรม เพราะ กรรม หมายถึงการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา)*
ชาติต่อ ๆ มา พระภิกษุรูปนั้นก็กลับมาเกิดเป็นพระภิกษุอีกชาติหนึ่ง ส่วนตัวเรือดนั้นมาเกิดเป็นนายพรานป่า
วันหนึ่ง ในขณะที่พระภิกษุเดินสวนทางกับนายพราน เมื่อพระภิกษุเห็นนายพรานที่กำลังถือหอกอยู่ในมือ ก็เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย จึงหลบเข้าไปอยู่ในพุ่มไม้
ฝ่ายนายพราน เมื่อไม่เห็นพระภิกษุก็สงสัยว่าไปไหนเสียแล้ว ก็คิดขึ้นในใจว่าพระท่านคงกลัวที่เราถือหอกกระมัง เลยหลีกทางหายไป เมื่อคิดได้ดังนี้ นายพรานจึงพุ่งหอกทิ้งไปในพุ่มไม้โดยเจตนาแค่ว่า จะทิ้งหอกออกจากมือไว้ตรงนี้ก่อน
ผลปรากฎว่า หอกนั้นได้พุ่งเข้าหน้าอกพระภิกษุที่หลบอยู่ในพุ่มได้ มรณะภาพในทันที...
ขนาดไม่มีเจตนา ขนาดเป็นเพียงแค่ตัวเรือดที่เล็กมากๆ เวรยังตามมาสนองกันถึงเพียงนี้ ใคร่ครวญดูเถิด
แล้วผมจะต้องทำอย่างไรดีครับ
ในกรณีดังกล่าว เป็นกรรม คือเป็นการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา ชี้แจงให้เห็นคร่าว ๆ ก่อน กรรมจะให้ผลตามลำดับความหนักเบาของกรรมดังนี้
- ครุกรรม คือกรรมหนัก จะให้ผลก่อนเสมอ ในทางที่ดีคือ สมาบัติ ๘ ,ในทางที่ชั่วคือ อนันตริยกรรม ๕(ฆ่าบิดา,ฆ่ามารดา,ฆ่าพระอรหันต์,ทำให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต,ยังสงฆ์ให้แตกกัน) และสำหรับพระภิกษุสามเณร จะมีเพิ่มอีก ๑ คือ "อัญญสัตถุทเทส" คือ การนับถือศาสดาอื่นนอกจากพระพุทธเจ้า เช่น บวชในพระพุทธศาสนาแล้วไปนับถือไหว้ฤาษี,นับถือพราหมณ์ ฯ ถือว่าเป็นกรรมหนักร้ายแรง ใน "อภิฐาน ๖"
- พหุลกรรม คือกรรมทำมากจยเคยชิน จะส่งผลรองลงมาจากครุกรรม
- อาสันนกรรม คือกรรมจวนเจียนหรือกรรมใกล้ตาย
- กตัตตากรรม คือกรรมสักว่าทำ กรรมที่ทำไว้ด้วยเจตนาอ่อน หรือมิใช่เจตนาอย่างนั้นโดยตรง ต่อเมื่อไม่มีกรรมอื่นให้ผลแล้วกรรมตัวนี้ก็จะตามมาส่งผล
จะพ้นจากกรรมได้ ก็ต่อเมื่อกรรมเลิกให้ผล ไม่มีผลอีกแล้ว ที่เรียกว่า "อโหสิกรรม" นั่นเอง
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เมื่อได้ทำไปแล้ว ย่อมไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้ ก็หมั่นประกอบเหตุอันเป็นกุศลในปัจจุบันขณะไว้จะดีกว่า
ศีล แปลว่าปกติ เมื่อคนมีศีลก็ย่อมได้ชื่อว่าเป็นคนปกติ เพื่อเป็นการตอกย้ำซ้ำเติมความมั่นคงรักษาสัจจะในศีล เป็นไปได้ก็หมั่นอาราธนาศีลเป็นประจำทุกวัน เพียรระวังไม่ให้ผิดสัจจะคำพูดนั้นที่ได้กล่าวรับศีลมาเป็นข้อปฏิบัติในการดำรงชีวิตของตน
เมื่อทำบุญก็หมั่นอุทิศบุญไปให้เจ้ากรรมนายเวร(เพื่อประโยชน์คืออโหสิกรรมต่อกันในที่สุด) นี่ก็จะเป็นการเพิ่มบุญไปในตัวอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่า "ปัตติทานมัย" แปลว่า บุญเกิดจากการให้ส่วนบุญ บุญยิ่งอุทิศให้แก่ผู้อื่นก็ยิ่งได้บุญเพิ่มขึ้น ไม่ได้ลดลงแต่ประการใด เปรียบดังแสงเทียน เมื่อต่อไปให้ผู้อื่นมากขึ้นเท่าใด ความสว่างไสวก็ย่อมเพิ่มมากขึ้นฉันนั้น
ททโต ปุญฺญํ ปวฑฺฒติ - เมื่อให้ บุญก็เพิ่มขึ้น.
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
"อดีตที่ผิดพลาดลืมให้หมด บาปอกุศลทุกชนิดไม่คิดทำเพิ่มอีกเด็ดขาด หมั่นสั่งสมบุญให้เพิ่มขึ้นทับทวี ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน"
-
พระธรรมเจ้าบอกว่า ต้องฆ่าเอาก่อน ก่อนที่มันกำลังจะฆ่าเรา
-
โปรดใช้วิจารณญยาณ ครับท่าน
จากประสบการณ์จริง
ในอดีตแถวๆบ้านผมส่วนมากเป็นบ้านชั้นเดียวไม่ยกพื้น มีสวน มีที่ดินรกร้าง มีโรงเพาะเห็ดหลายโรง เรื่องตะขาบแมลงสาบนี่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับชาวบ้านเป็นอย่างมากเพราะมันมาจากแถวโรงเพาะเห็ด
ประสบการณ์ครั้งที่ 1 ตอนเด็กผมนอนอยู่ในบ้านดีๆก็รู้สึกเจ็บที่หน้าอกและร้อน เมื่อดูที่รอยแผลเป็นรอย 2 รู เล็กๆ ข้างบ้านเขาบอกว่าโดนตะขาบกัด เขาเอาน้ำมันดองตะขาบมาใส่ให้ แต่ด้วยความที่แพ้พิษตะขาบทำให้มีรอยแผลเขียว บวมแดงและร้อน เป็นอยู่หลายวัน พอแม่ถามก็บอกว่ายังแดงเจ็บนิดๆ ก็คิดว่าไม่เป็นไร จนวันนึงครูใช้ไปช่วยงานที่ห้องพักครู แล้วครูถามว่าได้กลิ่นอะไรเหม็นๆไหม ให้ผมดูว่าเหยียบอะไรหรือนั่งทับอะไรหรือป่าว ปรากฏว่ากลิ่นมาจากแผลที่ตะขาบกัดหน้าอก มันมีกลิ่นออกมา ครูถามว่าโดนอะไรมาแล้วครูก็รีบพาส่งไปอนามัย ปรากฏว่าเป็นแผลเน่าเนื้อตายเป็นพังผืดเหนียวๆเพราะพิษตะขาบ ต้องคว้านเนื้อออกทิ้ง ประมาณนิ้วชี้ยัดเข้าไปได้ ซึ่งทรมาณมากเจ็บจนต้องกัดผ้าขนหนูที่พยาบาลเอามาให้ เขาไม่ใช้ยาชาเลย แทบสลบ เวลาไปทำแผลทุกครั้งต้องใช้สำลีคว้านเลือดโชกทุกครั้งเพื่อเรียกเนื้อให้เต็ม ไปล้างแผลทุกวันเกือบ 2 อาทิตย์
ประสบการณ์ครั้งที่ 2 กวาดเศษใบไม้และขยะที่ลานดินหน้าบ้าน มีตะขาบคลานออกมาจากกองไม้ ตัวโตประมาณดินสอ คลานมาไต่ที่เท้า ด้วยความตกใจจึงสะบัดโดยที่ยังไม่โดนกัด ด้วยความที่แพ้ ปรากฏว่าที่หลังเท้าบวมเป็นรอยรูปตีนตะขาบ นานหลายวัน คราวนี้ใช้มะนาวผสมดินสอพองทา ใช้รักษาได้ดีพอสมควร
ประสบการณ์ครั้งที่ 3 เป็นเรื่องของเด็กผู้หญิงแถวบ้านอายุ 7 ขวบ ระหว่างเวลาประมาณตี 4-5 ได้สะดุ้งตื่นเพราะมีเสียงเด็กร้องดังมากว่าเจ็บหู ร้องงองแง ก็ไม่ได้สนใจคิดว่าคงเป็นมดเข้าหู พ่อเด็กเขาเอาน้ำหยอดแล้วเอาไฟฉายส่องมีตะขาบตัวจิ๋วๆขาแดงๆออกมา เด็กร้องจนต้องไปโรงพยาบาล
ประสบการณ์ครั้งที่ 4 อันนี้ติดเรทน๊ะครับ หลังจากโดนมา 2 ครั้ง และคนแถวๆบ้านก็โดนกันบ่อย ก็เกิดอาการจิตระแวง ก่อนนอนต้องเลิกเสื่อน้ำมันขึ้นดู พลิกที่นอน สลัดผ้าห่ม ดูหมอน ฯลฯ เจอที่ไหนเป็นต้องทำลายแม้จะไปอยู่ซอกไหนมุมไหนก็ต้องรื้อให้เจอ แต่ก็ยังไม่วาย ด้วยความที่จิตระแวง อะไรไต่หน่อยหรือมีความรู้สึกว่ามีอะไรไต่จะสะดุ้งตื่นทุกที จนวันนึงก็พลาดจนได้ นอนอยู่ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรใต่ที่โคนขาแล้วเจ็บจี๊ดจึงขยำขยี้ๆๆๆๆลงไปในกางเกงตรงจุดที่เจ็บ พอถอดกางเกงออก มีซากตะขาบตัวเล็กๆเละอยู่ เอามะนาวผสมดินสอพองทา ก็ไม่ค่อยปวด วันต่อมา อวัยวะส่วนที่ใกล้จุดเกิดเหตุทั้งหมดบวมแดงและร้อน ขนาดบวมใหญ่กว่าเดิม เกือบ 3 เท่าไปหาหมอก็ให้กินยาแก้แพ้ อายแสนอาย เดินขากางไปร่วมอาทิตย์ ดีที่ไม่เป็นแผลเนื้อตาย
ทั้งหมดทั้งมวลนี้มิได้เกิดจากไปทำร้ายตะขาบก่อน ต่างคนต่างอยู่ไม่ทำร้ายมัน เจอก็ปล่อยๆไป จนเดี๋ยวนี้เห็นเป็นไม่ได้ ถ้าเจอจะไม่ปล่อยโดยเด็ดขาด กลัวจะกัดตัวเองและคนในครอบครัว ซึ่งหลายคนก็เคยโดนกัดมาแล้วทั้งนั้นแพ้พิษบ้างไม่แพ้บ้างอาการต่างกันไป
จนภายหลังมีความต้องการใช้ที่ดินให้เป็นประโยชน์มากขึ้นโรงเพาะเห็ดและสวนก็หายไปกลายเป็นตึกแถว ตะขาบก็ลดน้อยลงไป
อย่างกรณีของผมนี้ควรจะแยกกรณีบาป - บุญ ออกจากกันอย่างชัดเจนใช่ไหมครับ
เห็นด้วยเลยครับ..
ประสบการณ์ คล้าย ๆ กับผม
แต่... ผมโชคดีที่ โดนตะขาบกัด แล้วไม่แพ้
ครั้งที่ 1 โดนกัดแล้ว ตัวร้อนๆ เหมือนไข้ขึ้น ส่วนที่แผลไม่มีแพ้ แค่บวมแดงแล้วหายไป แต่เป็นอยู่สักสามวันได้
ครั้งที่ 2 โดนกัดแล้ว จะเบาลง เหมือนร่างกายผม ชินแล้ว
แต่ ให้เลือกได้ ไม่อยากโดนกัดอีกเลย พิษยังไงก็คือพิษ
ขอบคุณนะครับ
พระธรรมเจ้าบอกว่า ต้องฆ่าเอาก่อน ก่อนที่มันกำลังจะฆ่าเรา
เห็นด้วยกับท่านครับ..