แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - streetway21

หน้า: [1]
1
เรื่องนี้ต้องขยาย...
 


 
 
 
 
 
อ่านแล้ว...สงสารช้างมากๆๆๆๆๆๆเลยล่ะ
 
 
 
ขออนุญาตเจ้าของบทความมาลงนะคะ

วันนี้เห็นอีกแล้ว ... ภาพควาญช้างพาช้างเดินร่อนเร่ข้างถนน
ถึงจะเห็นเป็นประจำจนเจนตา แต่ก็ใช่ว่าจะทำใจให้ชาชินได้

ครั้งนี้แย่ยิ่งกว่า ตรงที่ช้างที่เห็นยังเป็นลูกช้างอยู่เลย
สูงเท่าอกควาญช้างเอง.. แต่ขาลูกช้างเล็กมาก ไม่สมส่วน
สงสารเท้าบางๆ ต้องมาเดินบนคอนกรีตร้อนๆ
ถามควาญ ควาญบอกไม่ต้องห่วง เท้าช้างมันหนา
เราว่าไม่หนาเท่าหน้าควาญหรอกมั้ง
( อันนี้คิดในใจ กลัวควาญสั่งให้ช้างเหยียบหน้าเรา)

กล้วย อ้อย ที่คนซื้อจากควาญ...เพื่อให้ควาญเอาให้ช้างกินอีกทีเนี่ย..
เป็นตลกร้ายมากๆ แต่ตลกที่ขำไม่ออก เหมือนควาญจับช้างตัวเองเป็นตัวประกัน
ให้อดน้ำอดอาหาร แล้วรอให้คนอื่นเอาเงินมาไถ่ช้างของตัวเอง
แล้วควาญ ก็จะเอาเงินมาเลี้ยงตัวควาญเองเป็นส่วนมาก ( และเลี้ยงช้างอีกเป็นส่วนน้อย)
สรุป ...เราไม่ได้ซื้ออาหารเลี้ยงช้าง แต่จ่ายเงินเลี้ยงควาญมากกว่า

เมื่อก่อนเราก็เป็นหนึ่งในคนขี้สงสาร อดไม่ได้ต้องซื้อกล้วยซื้ออ้อยให้ช้าง
ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ถูกต้อง

แต่จากประสบการณ์ตรง " เ ห็ น ม า กั บ ต า "
คืนนั้นประมาณสี่ทุ่ม เรากับเพื่อนกลุ่มนึง ออกมาจากร้านอาหารที่กินเลี้ยงกัน

เจอช้างเช่นเดิม (สงสัยดวงสมพงษ์)
เราก็ทำอย่างเดิม (ซื้ออ้อยให้ช้าง)
แต่พอดีวันนี้มีเวลาเยอะ ประกอบกับมีที่นั่งแถวนั้น
เลยนั่งคุยกับเพื่อนไป ดูช้างไป

เริ่มเอะใจ
เฮ้ย... ทำไมช้างไม่เคี้ยวอ้อยหว่า ?
( เวลาไปปางช้าง เคยสังเกตว่าช้างจะเอาอ้อยเข้าปาก แล้วเคี้ยวหยับๆอยู่แป๊บนึง)
หรือว่าให้น้อยไป ช้างกลืนลงคอไปแล้ว จะรู้รสไหมนั่น ?
ไม่ได้การ เลยซื้อเพิ่ม สงสารช้าง ท่าจะหิว มันดึกแล้วคงไม่มีใครมาอุดหนุนแล้วล่ะ
คราวนี้เราจ้องซะตาเหลือก
อ้าว.. ยังไม่เคี้ยวอีกแฮะ อมไว้รึป่าวเนี่ย ?

สักพักควาญเห็นว่าเรามองมากๆ เลยจูงช้างเดินเลี่ยงไป ( อย่างเร็ว)
เรากับเพื่อนอีก 3-4 คน ก็ทำเป็นออกเดินมั่ง ทำเดินเม๊าท์แตกโดยบังเอิญไปทางเดียวกัน
( แต่จริงๆคือจะเดินตามไปดู)
คราวนี้ควาญออกอาการ เอาขอเกี่ยวหูให้ช้างวิ่งเลย เราก็เฮ้ย ทำไมน่ะ ?
ควาญวิ่งพาช้างข้ามถนนไปอีกฝั่ง แล้วงุดๆไปหลบอยู่ตรงมุมมืดๆ เรามองไม่ค่อยเห็นแล้ว เราไม่กล้าตามแล้วด้วย

โชคดีที่ตรงนั้น เพื่อนเราอีกคนออกมาจาก 7/11 ตรงหัวมุมแถวนั้นพอดี
( ลืมไปเลยว่า เพื่อนอีกคนออกมาก่อน มันบอกจะเดินไปซื้อของที่ 7/11 ฝั่งตรงข้าม)
เพื่อนคนนี้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ช่วงที่เราเจอช้าง ควาญช้างก็ไม่รู้ว่าคนนี้เพื่อนเรา

เราโทรมือถือไปบอกเพื่อนเรา บอกว่า " เฮ้ย อย่าเพิ่งพูดอะไรนะ ช่วยดูช้างกับควาญให้ที "
แล้วเราก็เล่าเหตุการณ์คร่าวๆให้ฟัง ก่อนวางหู
เพื่อนคนนี้เป็นผู้ชาย มันเลยกล้าเดินไปยืนแถวๆควาญช้างตรงมุมมืดๆ
เพื่อนแกล้งทำท่าเหมือนหลบคนเยอะๆมาคุยโทรศัพท์
แต่จริงๆไม่ได้กดโทรออก
ส่วนเราเดินกลับมารอฟังข่าวที่เดิม

สักพักเพื่อนคนนี้ เดินข้ามฝั่งกลับมา บอกว่า

" ควาญเอาขอเกี่ยวหูช้างอย่างแรง ตอนแรกช้างไม่ทำอะไร
ตอนหลังควาญเลยเอาขอเกี่ยว ฟาดเข้าหลังหูเลย ด้านคมๆนั่นแหล่ะ ช้างท่าจะเจ็บมาก มันร้องในลำคอ
แล้วคายอ้อยออกมา "

" อารายนะ!!!!!! " เราตกใจ
" ช้างคายอ้อยออกมา ...ออกมาเป็นมัดๆเลย สงสัยอ้อยที่เธอซื้อให้นั่นแหล่ะ " เพื่อนย้ำอีกที

เรางี้ฟังแล้วแทบร้องไห้
ควาญสอนช้างให้อมอ้อย จะได้ให้ช้างคายอ้อยในที่ลับตา แล้วเอาอ้อยกลับมาล้างเพื่อขายใหม่ได้เรื่อยๆ
โดยที่ช้างไม่ได้กินอะไรเลย!!!!

คิดดูช้างเดินบนพื้นคอนกรีตแข็งๆเป็นกิโลๆ ยิ่งน้ำหนักตัวกดทับเยอะ ก็ยิ่งระบม แล้วยังต้องมาอดอาหารอีก
นึกภาพมันอมอ้อยไว้ในปาก คงทั้งหวานทั้งน่ากิน แต่ช้างก็ไม่กล้ากิน เพราะถูกสอนมา
ตอนถูกสั่งให้คายครั้งแรก มันคงทำใจคายไม่ได้ คงหิวมาก
ต้องให้ควาญฟาดตะขอจิกเข้าไป มันเจ็บจนต้องคายออกมา
ยิ่งเราซื้ออาหารให้ช้างมากเท่าไหร่ ช้างก็ยิ่งโดนทำร้ายแบบนี้มากเท่านั้น...

ขอประณามควาญช้างที่ทำแบบนี้
คุณไม่ควรทำกับช้างผู้มีพระคุณกับคุณ
คุณอาศัยความสงสารของคนมาเลี้ยงตัวเองยังไม่พอ
คุณยังทำร้ายช้างด้วย นี่ไม่น่าอภัยให้ยิ่งกว่า

เราไม่รู้นะว่าควาญช้างกี่คนที่สอนช้างให้ทำแบบนี้ได้ เราได้แต่หวังให้มีคนนี้คนเดียว
แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเบื้องหลังเค้าทำแบบนี้กันหมด ?


****** วานผู้ใจบุญ ช่วยส่งเมล์ฉบับนี้ต่อไปด้วย******
1555 อาจจะติดยาก
แต่มีอีกหลายเบอร์ เมมไว้ เห็นที่ไหน โทรแจ้งเลย



มูลนิธิเพื่อนช้าง
0-2945-7124/6 ( เวลาทำการ จันทร์-ศุกร์)
โรงพยาบาลช้างของมูลนิธิเพื่อนช้าง ( 24 ชั่วโมง)
 08-1914-6113  08-1914-6113 , 0-5424-7869/70
สายด่วน คุณโซไรดา ซาลวาลา
 08-1936-3500  08-1936-3500
สายด่วน นายสัตวแพทย์ปรีชา พวงคำ
 08-1936-3681  08-1936-3681
ศูนย์วิทยุผ่านฟ้า
191
รายการวิทยุ "ร่วมด้วยช่วยกัน"
1677, 142
รายการวิทยุ "สวพ. 91"
1644, 0-2562-0033/34
รายการวิทยุ "จ.ส. 100"
1137, 0-2711-9160/60
ศูนย์รับแจ้งทุกข์และภัย กองป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรุงเทพฯ
1555
สายด่วนแจ้งช้างเร่ร่อน
1362
 
 
 

2
แอ่ววัด - แอ่วเวียงเชียงใหม่

     อาณาจักรล้านนา นับได้ว่าเป็นอาณาจักรที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนาสูงสุด จึงปรากฎให้เห็นวัดวาอารามในเขตอ. เมืองของจังหวัดเชียงใหม่อยู่มากมาย เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปสำคัญ ๆ ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชน และเป็นแหล่งโบราณสถานที่รวบรวมเอาศิลปะ สถาปัตยกรรมที่วิจิตรบรรจงสวยงามที่ควรค่าต่อการอนุรักษ์ รักษาสืบไป
     ไหว้พระ 9 วัด ในเวียงเชียงใหม่ การไหว้พระ 9 วัด เป็นการเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิต โดยเฉพาะวัดที่มีชื่อดี นามมงคล จะช่วยเสริมบารมีในชีวิตของพุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธาอีกด้วย ซึ่งแต่ละวัดล้วนแล้วแต่เป็นวัดที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน และมีความสำคัญในจังหวัดเชียงใหม่

 

1. วัดเชียงมั่น ตั้งอยู่ที่ ถ. ราชภาคินัย ต. ศรีภูมิ โทร. 0 5321 3170
วัดเชียงมั่น เป็นวัดแรกที่สร้างขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ.1840 ศิลาจารึกวัดเชียงมั่น กล่าวว่า หลังจากที่พญางำเมือง พญาร่วง และพญามังราย สร้างเมืองเชียงใหม่เสร็จสมบูรณ์แล้ว ทั้งสามพระองค์ทรงโปรดให้ก่อเจดีย์ที่หอนอนบ้านเชียงมั่น ซึ่งใช้เป็นที่ประทับชั่วคราวเพื่อควบคุมการสร้างเมืองเชียงใหม่ ต่อมา พระองค์ทรงยกพระตำหนักที่ประทับถวายเป็นพระอาราม ให้ชื่อว่า “วัดเชียงมั่น” เป็นที่ประดิษฐานพระเสตังคมณี หรือพระแก้วขาว เป็นพระพุทธรูปแก้วผลึกสีขาวปางมารวิชัย เป็นที่เคารพ สักการะของชาวเชียงใหม่

2.วัดพระสิงห์ ตั้งอยู่ที่ ถ. สามล้าน ต. พระสิงห์ โทร. 0 5327 5139
วัดพระสิงห์ (พระธาตุประจำปีมะโรง) เป็นวัดที่สำคัญของนครเชียงใหม่ เพราะเป็นวัดที่มีประวัติยาวนานกว่า 655 ปี สมัยแรก วัดนี้ได้ชื่อว่า “วัดลีเชียงพระ” หมายความว่า วัดที่ตั้งใกล้ตลาดกลางเมือง ในสมัยกษัตริย์ลำดับที่ 8 แห่งราชวงศ์มังราย ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานในวัดนี้ จึงเรียกว่า “วัดพระสิงห์” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา วัดพระสิงห์ได้รับสถาปนาเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ประเภทวรมหาวิหาร วัตถุสถานในวัด ทั้งพระอุโบสถ วิหารลายคำ วิหารหลวง หอไตร และภาพจิตรกรรมในวิหารลายคำ จึงทรงคุณค่า วัดแห่งนี้จึงเป็นที่รวมของตัวอย่างศิลปกรรม และสถาปัตยกรรมล้านนามากที่สุด

3.วัดเจดีย์หลวง (วัดโชติการาม) ตั้งอยู่ที่ ถ. พระปกเกล้า ต. ศรีภูมิ โทร. 0 5334 2252
วัดเจดีย์หลวง เป็นวัดที่มีเจดีย์ใหญ่ที่สุด ตั้งอยู่กลางใจเมืองเชียงใหม่ วัดนี้สร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์องค์ ที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย (พญาแสนเมืองมา) เพื่อสนองดวงวิญญาณของพญากือนา ผู้เป็นบิดา ที่ไปบังเกิดเป็นเทวดาสิงสถิตย์อยู่ใต้ร่มไทรใหญ่เมืองพุกาม และต้องการให้พญาแสนเมืองมาสร้างเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุด ในปี พ.ศ. 2024 สมัยของพญาติโลกราชพระองค์โปรดให้ช่างสร้างเป็นเจดีย์องค์ใหญ่ สูงถึง 92 เมตร ฐานกว้างด้านละ 54 เมตร ต่อมาสมัยพระนางเจ้าจิระประภาครองเมืองเชียงใหม่ ได้เกิดแผ่นดินไหวทำให้ยอดเจดีย์โค่นลงมา จากนั้นกรมศิลปากรได้ดำเนินการบูรณะเสริมความมั่นคงองค์พระเจดีย์ในส่วนที่เหลืออยู่ ให้แข็งแรงเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์สืบไป

 4.วัดชัยมงคล ตั้งอยู่ที่ ถ. เจริญประเทศ ต. ช้างคลาน โทร. 0 5328 0671
วัดชัยมงคล อยู่ริมแม่น้ำปิง สร้างราวสมัยพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์นครเชียงใหม่ ในสมัยที่เชียงใหม่ถูกพม่าปกครอง วัดนี้ถูกเรียกว่า วัดอุปาเพ็ง หรือ วัดอุปาพอก จนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เปลี่ยนมาเรียกชื่อวัดนี้ว่า วัดชัยมงคล ลักษณะของเจดีย์วัดชัยมงคล เป็นศิลปะพม่า-มอญ

5.วัดดวงดี ตั้งอยู่ที่ ถ. พระปกเกล้า ต. ศรีภูมิ โทร. 0 5321 4728
วัดดวงดี เดิมชื่อ “วัดต้นหมากเหนือ” ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นหลังจากพญามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่แล้ว และมีเจ้านายเมืองเชียงใหม่องค์หนึ่งเป็นผู้คิดค้นการสร้าง ลักษณะของวิหารและโบสถ์เป็นแบบพื้นเมืองล้านนา มีลวดลายแกะสลักไม้ประดับสถาปัตยกรรมที่สวยงาม

6.วัดลอยเคราะห์ ตั้งอยู่ที่ ถ. ลอยเคราะห์ ต. ช้างคลาน โทร. 0 5327 3873
วัดลอยเคราะห์ เดิมชื่อว่า วัดร้อยข้อ (วัดฮ้อยข้อ) สร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์มังราย วัดนี้จึงมีอายุราว 500 ปี ในสมัยที่ล้านนาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า วัดแห่งนี้ไม่ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ จึงมีสภาพทรุดโทรมมาก และกลายเป็นวัดร้างกว่า 20 ปี ต่อมา ในสมัยพญากาวิละปกครองล้านนา พระองค์ทรงบูรณะซ่อมแซมวัดให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ พระองค์ทรงกวาดต้อนพลเมืองเชียงแสนและโปรดให้ชาวเชียงแสนตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ เวียงชั้นนอกด้านขวาของประตูท่าแพ ทางทิศตะวันออกของเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นบริเวณวัดลอยเคราะห์ในปัจจุบัน ศิลปสถาปัตยกรรมเป็นแบบพื้นเมืองของชาวล้านนา มีพระพุทธรูปปางถวายเนตรและพระเจ้าทันใจ ประดิษฐานอยู่

7. วัดดับภัย ตั้งอยู่ที่ ถ. สิงหราช ต. ศรีภูมิ โทร. 0 5322 2964
วัดดับภัย เดิมชื่อ “วัดอภัย” หรือ “วัดตุงกระด้าง” มีตำนานเล่าว่า เมื่อพญาอภัยล้มป่วยทำการรักษาอย่างไรก็ไม่ทุเลา จึงตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าหลวงพ่อดับภัย อาการเจ็บป่วยก็หายไปพลัน พญาอภัยจึงให้บริวารลูกหลานตั้งบ้านเรือนบริเวณวัด และบูรณะปฏิสังขรณ์ จึงเรียกชื่อใหม่ว่าวัดดับภัย เป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมแบบพื้นเมืองล้านนา วัดแห่งนี้มีบ่อน้ำอยู่หน้าวิหาร เชื่อว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ สมัยพระเจ้าอินทวโรรส เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ 8 เสด็จกลับจากกรุงเทพ ฯ ต้องแวะมาวัดดับภัย เพื่อนำน้ำในบ่อนี้ไปสรงน้ำพระพุทธมนต์ ก่อนแวะไปวัดเชียงยืนเพื่อสืบดวงชะตา

8. วัดเชียงยืน ตั้งอยู่ที่ ถ. มณีนพรัตน์ ต. ศรีภูมิ โทร. 0 5321 1654
เป็นวัดโบราณแห่งหนึ่งซึ่งมีโบสถ์แปดเหลี่ยมที่เก่าแก่ด้วยรูปแบบศิลปะพม่า แม้ตัวโบสถ์จะทรุด โทรมตามกาลเวลา ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปพม่า ห้ามผู้หญิงเข้าตามความเชื่อของชาวล้านนาที่มีความเชื่อว่าสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาหรือพิธีสำคัญ ๆ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องการความสะอาดบริสุทธิ์ ตำนานกล่าว ไว้ว่า หากกษัตริย์องค์ใดจะขึ้นครองราชย์ต้องมานมัสการพระประธานที่วัดนี้ก่อน จนเป็นธรรมเนียม ประเพณี แต่ก็ยกเลิกไปเมื่อครั้งเชียงใหม่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า

 9. วัดหมื่นเงินกอง ตั้งอยู่ที่ ถ. สามล้าน ต. พระสิงห์
วัดหมื่นเงินกองเป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์มังราย เป็นสถาปัตยกรรมแบบพื้นเมืองล้านนา ในย่านสามล้านอันเป็นที่พักขุนนางชั้นสูง หมื่นเงินกองเป็น ชื่อของอำมาตย์ท่านหนึ่งในรัชกาลของพญากือนาที่ได้โปรด ฯ ให้ไปอาราธนาพระสุมนเถระที่กรุงสุโขทัยมาเผยแพร่ศาสนาในล้านนา จึงสันนิษฐานว่ามหาอำมาตย์ท่านนี้สร้างวัดนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ตนเอง

     นอกจากนี้ ยังมีวัดสำคัญอื่น ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ อาทิ วัดพันเตา ตั้งอยู่ที่ ถ. พระปกเกล้า ต. พระสิงห์ โทร. 0 5381 4689 วิหารเดิมเป็นหอคำ หรือท้องพระโรงหน้าของพระเจ้ามโหตรประเทศเป็นอาคารเครื่องไม้แบบพื้นเมือง ซุ้มประตูประดับไม้แกะสลักรูปนกยูง อันเป็นสัญลักษณ์ของเจ้านายฝ่ายเหนือ วัดกู่เต้า ตั้งอยู่ที่ ต. ศรีภูมิ ติดกับสนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่ เดิมชื่อว่าวัดเวฬุวนาราม มีเจดีย์ที่มีลักษณะแปลกไปกว่าเจดีย์อื่น ๆ ในเมืองไทย คือคล้ายกับผลแตงโมวางซ้อนกันอยู่หลายลูก ชาวบ้านจึงเรียกว่าเจดีย์กู่เต้า มีตำนานเล่าว่า เจดีย์กู่เต้านี้เป็นที่บรรจุอัฐิของเจ้าฟ้าสารวดีซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้าบุเรงนอง วัดแสนฝาง ตั้งอยู่ที่ ถ. ท่าแพ ต. ช้างคลาน เป็นย่านการค้าของพ่อค้าชาวพม่าที่มีศิลปะการก่อสร้างแบบพม่า นอกจากนี้ยังมีกุฏิเจ้าอาวาสซึ่งสร้างมานานกว่า 100 ปี วัดบุพพาราม ตั้งอยู่ที่ ถ. ท่าแพเยื้องกับวัดแสนฝาง เป็นวัดคู่เมืองเชียงใหม่ พระเมืองแก้วโปรดให้สร้างเมื่อ พ.ศ. 2039 ภายในหอมณเฑียรธรรมประดิษฐานพระพุทธรูปไม้สักขนาดหน้าตักกว้าง 1 วาเศษ มีอายุประมาณ 400 ปี ตามประวัติเล่าว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงยกทัพจากเมืองอยุธยาเพื่อขึ้นมาปราบอริราชศัตรูที่มารุกรานเมืองเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2147 จนทัพศัตรูได้ล่าถอยไปทางเมืองแหงและเมืองต๋วน สมเด็จพระนเรศวรฯจึงพักรบและสร้าง “พระพุทธนเรศศักดิ์ชัยไพรีพินาศ” องค์นี้ขึ้น วัดป่าเป้า ตั้งอยู่ที่ ถ. มณีนพรัตน์ ต. ศรีภูมิ เป็นวัดเงี้ยวแห่งแรกในเมืองเชียงใหม่ สร้างขึ้นเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2426 ลักษณะของพระธาตุที่วัดป่าเป้านี้เป็นแบบไทยใหญ่ มีการจัดประเพณีปอยส่างลองขึ้นเป็นประจำในเดือนเมษายนของทุกปี วัดช่างฆ้อง ตั้งอยู่ที่ ถ. ลอยเคราะห์ ต. ช้างม่อย สร้างเมื่อ พ.ศ. 1900 โดยชาวบ้านช่างฆ้องที่อพยพมาจาก 
เชียงแสน
สมัยต้นรัตนโกสินทร์ ภายในวัดมีหอไตรซึ่งเป็นตึกสองชั้นตกแต่งด้วยลายปูนปั้นและไม้ฉลุเป็นศิลปะผสมระหว่างจีนและพม่า ด้านนอกอาคารมีภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพระเจ้าสิบชาติฝีมือช่างพื้นบ้าน ซึ่งยังคงสมบูรณ์อยู่ พระสิงห์หยกวัดอู่ทรายคำ แกะสลักจากหยกประเภท Jadeite น้ำหนัก 900 กิโลกรัม เป็นศิลปะแบบเชียงแสนประยุกต์ และได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเศียร พระพักตร์มีสีใส ลักษณะสงบเย็น พระสิงห์หยกประดิษฐานอยู่ที่วัดอู่ทรายคำ ตั้งอยู่ที่ ถ. ช้างม่อยเก่า ต. ช้างม่อย โทร. 0 5323 4210 วัดโลกโมฬี โทร. 0 5340 4039 ตั้งอยู่ที่ ถ. มณีนพรัตน์ ต. ศรีภูมิ เดิม วัดโลกโมฬี มีสภาพเป็นวัดร้าง เมื่อคราวเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้รับการรื้อฟื้นจากการเป็นวัดร้างให้เป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ โดยคณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่

  10. วัดศรีสุพรรณ แวะนมัสการหลวงพ่อพุทธปาฏิหาริย์ พระพุทธรูปเก่าแก่ อายุกว่า 500 ปี คู่วัดเมื่อเริ่มสร้าง (พ.ศ.2043) ในสมัยพญาแก้ว( พระเมืองแก้ว ,พ.ศ.2038 - 2068) ประดิษฐานในอุโบสถเงิน ศาสนสถานแห่งแรกของโลก ที่สร้างและประดับด้วยเงิน วัสดุแทนเงิน (แผ่นภาพอลูมิเนียม) สลักลายตามแบบศิลปะไทย บนรากฐานแห่งการคงไว้ซึ่งมรดกทางวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นการทำเครื่องเงินและการดุนลายแผ่นโลหะ
     ประวัติของกลุ่มหัตถศิลป์ล้านนา วัดศรีสุพรรณ ... ภูมิปัญญาท้องถิ่นหัตถกรรมเครื่องเงินเป็นมรดกที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ แสดงถึงอาชีพและวิถีชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของชาวบ้านศรีสุพรรณ บ้านหมื่นสาร ถนนวัวลาย อำเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จากอดีตที่มีความเจริญรุ่งเรือง แต่ปัจจุบันกลับเข้าสู่สภาวะของความเสื่อมถอยมากยิ่งขึ้น ดังเป็นที่ประจักษ์แก่คนในท้องถิ่น
     จุดเริ่มต้นของการก่อตั้งกลุ่ม เกิดจากความตระหนักถึงการอนุรักษ์และพัฒนามรดกชิ้นนี้ ของเจ้าอาวาสวัดศรีสุพรรณ และนายช่างดิเรก สิทธิการ ร่วมกับภูมิปัญญาชาวบ้านในท้องถิ่น จึงได้จัดกิจกรรมแข่งขันฝีมือการดุนลายและออกร้านเครื่องเงินในโอกาสจัดงาน "มรดกล้านนา ภูมิปัญญาท้องถิ่น 500 ปี วัดศรีสุพรรณ" เมื่อ 30 มีนาคม 2543 นับเป็นจุดเริ่มต้นการก่อตั้งกลุ่มและมีพัฒนาการตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน
     For more information please contact us : www.watsrisuphan.org , info@watsrisuphan.org, 053-200332, 053-202751 fax.053-202751





ที่มา : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ เขต ๑
http://www.tatchiangmai.org/chiangmai/chiangmai/chiangmai.php
 
 

3
    การได้เข้าวัดในเวลาที่ว่างเว้นจากภารกิจการงานเช่นวันเสาร์ วันอาทิตย์และวันหยุดราชการ เป็นการเสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิต เพราะจะได้ประกอบศาสนกิจต่างๆที่เป็นเหตุของความสิริมงคลทั้งหลาย เช่นการกราบพระ บูชาพระด้วยดอกไม้ ธูป เทียน  ดังในพุทธภาษิตที่แสดงไว้ว่า ปูชา จ ปูชนียานัง เอตัมมังคลมุตตมังการได้บูชาสิ่งที่สมควรแก่การบูชาเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง การบูชาพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยดอกไม้ ธูป เทียน เป็นได้ทั้งอามิสบูชาและปฏิบัติบูชา  อามิสบูชาเป็นการบูชาด้วยเครื่องสักการะเช่นดอกไม้ ธูป เทียน   ส่วนปฏิบัติบูชาคือการพัฒนาจิตใจด้วยการเจริญพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ คือการระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณดอกไม้ ธูป เทียน เป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ อย่างธูป ๓ ดอก หมายถึงพระพุทธคุณ ๓ ประการ ได้แก่ พระกรุณาคุณ พระปัญญาคุณ และ พระวิสุทธิคุณ

    พระกรุณาคุณคือความสงสารที่พระพุทธองค์ทรงมีแก่สัตว์โลกทั้งหลายที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้ธรรมและหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว พระองค์ไม่ได้ทรงเก็บพระธรรมที่ทรงรู้ทรงเห็นไว้ตามลำพัง  แต่ทรงอุทิศเวลาตลอด ๔๕พรรษา คือตลอดเวลาของพระชนมายุที่เหลืออยู่ตั้งแต่วันตรัสรู้จนกระทั่งถึงวันเสด็จดับขันธปรินิพพาน  พระพุทธองค์ทรงใช้เวลานี้สั่งสอนสัตว์โลกให้รู้จักเรื่องบาปบุญ คุณโทษ เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ มรรค ผล นิพพาน   เรื่องการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าพระพุทธองค์ไม่ได้ทรงสั่งสอนแล้ว สัตว์โลกทั้งหลายก็ยังจะต้องจมอยู่ในกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเพราะไม่รู้จักทางออก เป็นเหมือนคนตาบอด ไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความสุข  อะไรคือเหตุที่จะนำมาซึ่งความทุกข์ อะไรคือผลของการกระทำดีและชั่ว  ไม่มีใครรู้กัน 

    แต่หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และประกาศพระธรรมคำสอนแล้วจึงได้รู้กัน เมื่อได้ยินได้ฟังธรรมแล้วนำเอาไปปฏิบัติก็สามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ หลุดพ้นจากทุกข์ได้ ดังที่พระอริยสงฆสาวกได้น้อมเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติจนกระทั่งได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ  พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เปรียบเหมือนยารักษาโรค สัตว์โลกทั้งหลายเปรียบเหมือนคนไข้  ถ้าไม่มียารักษาโรค  ย่อมไม่หายจากโรคภัยไข้เจ็บ จึงต้องอาศัยหมอที่มีความกรุณาอย่างพระพุทธองค์ประทานธรรมโอสถมาให้ เมื่อรับประทานแล้วก็จะหายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย  นี่คือพระกรุณาคุณของพระพุทธเจ้า

    พระปัญญาคุณหมายถึงความรู้ความฉลาดของพระพุทธเจ้าที่สามารถแหวกว่ายให้พ้นจากกองเพลิงกองไฟแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้  ซึ่งไม่มีใครสามารถทำได้แม้แต่คนเดียวในโลกนี้  มีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่มีปัญญามีความรู้ความฉลาดที่สามารถนำพาพระองค์ให้พ้นจากกองทุกข์นี้ได้   ก่อนที่พระพุทธองค์จะทรงตรัสรู้  พระพุทธองค์ก็ทรงแสวงหาครูอาจารย์ผู้รู้ต่างๆ เพื่อที่จะได้สอนท่านให้รู้จักวิธีการหลุดพ้นจากกองทุกข์  แต่ก็ไม่มีใครรู้เลยในโลกนี้แม้แต่คนเดียว  พระพุทธองค์จึงต้องใช้ความอุตสาหะความพยายาม ขันติความอดทน ทดลองไปเรื่อยๆ โดยอาศัยใช้เหตุใช้ผลใช้สติปัญญาอันแหลมของพระองค์ ลองผิดลองถูกไปจนกระทั่งในที่สุดก็พบทางที่จะนำพาไปสู่ความสงบสุข  ทางที่จะนำพาไปสู่ความสิ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างสิ้นเชิง

    พระวิสุทธิคุณ หมายถึงพระทัยของพระพุทธเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง กิเลสตัณหาทั้งหลาย  ที่เกิดจากการประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยสติด้วยปัญญา พระทัยของพระพุทธองค์ทรงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา ทรงปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นที่ยังอยู่ในกองทุกข์หลุดพ้นจากทุกข์ไป ทรงอุทิศเวลาและสติปัญญาสั่งสอนสัตว์โลกโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ จากสัตว์โลกแม้แต่นิดเดียว การสั่งสอนของพระพุทธองค์แต่ละครั้งจะไม่มีบาตรวางไว้ข้างหน้าเพื่อเรี่ยไรกัณฑ์เทศน์เอาเงินเอาทองจากญาติโยม  นี่ไม่ใช่เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนธรรมโดยไม่คิดเงินคิดทอง ไม่เรี่ยไรเงินทองจากผู้ฟัง  เพราะพระองค์มีพร้อมอยู่แล้วในพระทัยของพระองค์  พระพุทธองค์ทรงร่ำรวยด้วยพระอริยทรัพย์ ไม่มีทรัพย์อะไรจะเท่าเทียมกับพระอริยทรัพย์ที่มีอยู่ในจิตใจ  เพราะผู้ใดมีพระอริยทรัพย์อยู่ในจิตใจแล้วย่อมมีแต่ความอิ่มเอิบใจ มีแต่ความพอ เปรียบเหมือนกับตุ่มน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำแล้ว  จะใส่น้ำเข้าไปเท่าไรน้ำก็จะล้นออกมา  นี่คือพระทัยของพระพุทธเจ้าผู้ที่มีความบริสุทธิ์ในจิตใจ  สั่งสอนสัตว์โลกด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ปรารถนาแม้แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจากผู้ที่พระพุทธองค์ทรงช่วยเหลือ  แม้กระทั่งคำว่าขอบอกขอบใจหรือความสำนึกในบุญคุณพระพุทธองค์ก็ไม่เคยปรารถนา ไม่เคยหวังอะไรจากสัตว์โลกแม้แต่นิดเดียว

    แต่สำหรับสัตบุรุษคนดี เมื่อได้รับความช่วยเหลือแล้วย่อมสำนึกในพระคุณของผู้ให้  ดังที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าทุกๆครั้งที่ได้พบเห็นพระพุทธรูป  ด้วยการน้อมจิตน้อมใจกราบนมัสการในองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ด้วยความสำนึกในพระคุณอันใหญ่หลวงที่พระพุทธองค์ทรงได้มอบให้กับสัตว์โลกทั้งหลาย  แม้ในพระทัยของพระพุทธองค์จะไม่มีแม้แต่นิดเดียวที่จะคิดถึงสิ่งตอบแทนจากสัตว์โลกทั้งหลาย  พระโอวาทของพระพุทธองค์ทุกๆบท ทุกๆบาทเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้ฟังโดยถ่ายเดียว  ไม่มีประโยชน์ของผู้แสดงอยู่แม้แต่น้อยนิด  นี่คือลักษณะของวิสุทธิคุณ คือจิตที่ชำระแล้ว ไม่มีความโลภ ความอยาก นี่คือการเจริญพระพุทธคุณที่เรียกว่าพุทธานุสติ  ทุกครั้งที่จุดธูป ๓ ดอก ขอให้ระลึกถึงพระกรุณาคุณ พระปัญญาคุณ และ พระวิสุทธิคุณ  เพราะเมื่อระลึกถึงแล้ว  จะทำให้เกิดปัญญานำพาไปสู่การดับทุกข์ได้  แต่ถ้าจุดธูปไปโดยที่ไม่ได้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว  ไม่ระลึกถึงพระคุณอันประเสริฐ ๓ ประการ  ก็จะไม่ได้ปฏิบัติบูชา  จะได้แต่เพียงอามิสบูชา   

    ส่วนการจุดธูปแล้วก็ขอพรให้พระทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้ เป็นสิ่งที่ไม่อยู่ในคำสอนของพระพุทธองค์  พระพุทธองค์ทรงสอนให้เราเป็นที่พึ่งของตัวเราเอง ด้วยการประพฤติปฏิบัติตนทางกายวาจาใจ ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ไม่ได้สอนแม้แต่คำเดียวว่า เวลาจุดธูปเทียนแล้วขอให้ร่ำให้รวย ขอให้เรียนจบ หรือขอให้มีลูกมีเต้า หรือขอให้ได้ตำแหน่งต่างๆ พระพุทธองค์ไม่เคยสอนให้ขอ  แต่พระพุทธองค์ทรงสอนให้ทำ ให้มีความอุตสาหะวิริยะ ความขยันหมั่นเพียร อยากได้อะไรก็พยายามหามาด้วยลำแข้งลำขาด้วยสติปัญญาของตน อย่ารอพึ่งคนอื่น  ถ้ารอพึ่งคนอื่นก็จะกลายเป็นขอทานไป  ก็ต้องขอไปตลอดชีวิต  แต่ถ้าหามาได้ด้วยสติปัญญา ด้วยความขยันหมั่นเพียรของตนแล้ว  ต่อไปจะต้องการอะไรในโลกนี้ก็จะสามารถหามาได้ด้วยตนเอง  เพราะพึ่งตนเองได้  มีตนเป็นที่พึ่งของตน  ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น 

    แสงเทียนหมายถึงแสงสว่างแห่งธรรม จิตใจของปุถุชนอย่างเราอย่างท่านยังต้องอาศัยแสงสว่างแห่งธรรม  เพราะยังมืดบอดอยู่ มีความหลง มีอวิชชาครอบงำทำให้เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นสุขเป็นทุกข์ เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นของเที่ยง  เห็นสิ่งที่ไม่เป็นตัวตนว่าเป็นตัวตน  นี่คือความหลง  ถ้าตราบใดยังคิดว่ามีตัวตนอยู่  นั่นแหละคือความหลง  ถ้าตราบใดยังคิดว่าโลกนี้มีความสุขที่ยังแสวงหาได้อยู่ นั่นก็คือความหลง  ถ้ายังคิดว่ายังมีสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอนอยู่ในโลกนี้ นี่ก็คือความหลง  เพราะตามความเป็นจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  ไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน  ไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่ให้ความสุขที่แท้จริง ไม่มีอะไรที่จะเป็นของๆเราอย่างแท้จริง  ทุกสิ่งทุกอย่างต้องหมดสิ้นไป  ต้องมีการพลัดพรากจากทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ต้องจากไปหรือหมดไป  เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเราเป็นของของเรา  ดังที่ได้ทรงแสดงไว้ว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา  ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของๆตน

    เราจึงต้องอาศัยพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อเป็นแสงสว่างชี้ทางให้เห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง เช่นเดียวกับเวลาที่อยู่ในที่มืด ไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร ไม่รู้ว่าเป็นแมวหรือสุนัข ถ้าไม่มีแสงสว่างจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร  แต่ถ้ามีแสงไฟก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างฉันใด  แสงสว่างแห่งธรรมก็เช่นกัน เป็นแสงสว่างที่ทำให้เห็นว่าอะไรเป็นอะไร อะไรคือบาป อะไรคือบุญ อะไรคือเหตุ อะไรคือผล อะไรคือนรก อะไรคือสวรรค์  สิ่งเหล่านี้เป็นของจริงที่มีอยู่ แต่จิตใจมืดบอดจึงไม่เห็นสิ่งเหล่านี้  เมื่อไม่เห็นจึงไปเถียงพระพุทธเจ้า ไปปฏิเสธคำสอนของพระพุทธเจ้า หาว่าพระพุทธเจ้าสอนให้คนงมงาย สอนให้คนเชื่อ ไม่ให้คนคิด

    ความจริงแล้ว  พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เชื่อ และทรงสอนให้คิดด้วย  สิ่งที่ยังไม่รู้ยังไม่เห็นก็ต้องเชื่อไปก่อน  สิ่งที่ต้องคิดก็ต้องคิด เหมือนกับพ่อแม่สอนลูก  เมื่อลูกยังเด็กอยู่ ยังคิดเองไม่ได้ก็ต้องเชื่อไปก่อน ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ใจคอโหดร้ายพอที่จะสอนให้ลูกไปทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม  พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกมีความสุขความเจริญทั้งนั้น  ลูกๆจึงเชื่อพ่อแม่ได้อย่างตายใจ  ในเบื้องต้นจึงควรเชื่อพ่อแม่ไปก่อนเพราะยังคิดไม่เป็น เมื่อโตแล้วคิดเป็นแล้วก็จะรู้ดีรู้ชั่วเอง

    ชาวพุทธก็เหมือนกัน  ในเบื้องต้นยังไม่มีสติปัญญาพอที่จะแยกแยะได้ว่าอะไรคืออะไร  ก็ต้องเชื่อไปก่อน  เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า เชื่อบาป เชื่อบุญ เชื่อนรก เชื่อสวรรค์ แล้วประพฤติปฏิบัติตามจนเห็นเช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น  เมื่อเห็นแล้วจะไม่เชื่อก็ได้  อย่างพระ สารีบุตร หลังจากที่ท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว  พระสารีบุตรได้เปล่งอุทานว่า  บัดนี้เราไม่ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าอีกต่อไป เพราะสามารถมองเห็นได้ด้วยตนเอง  เหมือนกับคนตาบอดที่รักษาตาให้ดีแล้ว ไม่ต้องให้คนอื่นนำทางอีกต่อไป  นี่คือ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน ไม่ต้องพึ่งอะไรอีกต่อไปแล้ว  พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันตสาวกทั้งหลายก็ดี ท่านไม่ต้องพึ่งอะไรแล้ว เพราะท่านมีสรณะในตัวของท่านแล้ว  คือมี พุทธะ ธรรมะ สังฆะ อยู่ในใจ  นี่คือเรื่องของการจุดเทียนบูชาพระ คือการจุดแสงสว่างแห่งธรรมให้สว่างไสวขึ้นมาภายในใจด้วยการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม 

    ส่วนดอกไม้ที่ใช้บูชาพระที่มีสีต่างๆ เช่น สีขาว สีเหลือง สีแดง ก็หมายถึงพระอริยบุคคลทั้งหลาย ที่มาจากทุกเพศทุกวัย มีทั้งหญิงทั้งชาย นักบวช ฆราวาส เด็ก และ ผู้ใหญ่  เพราะการบรรลุเป็นพระอริยบุคคลไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศกับวัย  แต่ขึ้นอยู่กับสุปฏิปันโน คือการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ  ผู้ใดสามารถประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ได้ ผู้นั้นก็สามารถบรรลุเป็นพระอริยบุคคลได้ ดอกไม้มีความสวยงามด้วยสีสัน พระอริยบุคคลก็มีความสวยงามด้วยความประพฤติ 

    ทุกครั้งที่บูชาพระรัตนตรัยด้วยดอกไม้ ธูป เทียน ก็ขอให้บูชาทั้งอามิสบูชา และ ปฏิบัติบูชา  คือบูชาด้วยดอกไม้ ธูป เทียน และบูชาด้วยการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ  ด้วยการเจริญ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ เป็นการตัดทุกข์  ตัดภพตัดชาติให้น้อยลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีเหลืออยู่อีกต่อไป


ขอให้เจริญในธรรมครับ
 

 

 

4
มาฝึกสติกันเถอะ
ปลูกสติ ... ให้เบิกบาน



การดูจิต (การฝึกสติ)

การดูจิตคืออะไร ?

พูดว่า ?ดูจิต? ท่านที่ไม่เคยได้ยินอาจจะงง ที่จริงการดูจิตคือ ?การฝึกสติ? นั่นเอง ... สติ แปลว่าความระลึกได้  ดังนั้นการดูจิตจึงไม่ได้มีความหมายอะไรซับซ้อนไปกว่า ?ความรู้สึกตัว? เมื่อใดที่เรามีความรู้สึกตัวนั่นหมายความว่าเรามีสติอยู่นั่นเอง



[รู้สึกตัวที่ว่าคือรู้อะไร ?/u]

หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า สติปัฏฐาน 4 มาบ้าง การมีสติก็คือการฝึกสติปัฏฐาน 4 ,  สี่อย่างที่ว่านั้นคือ กาย เวทนา จิต ธรรม ฟังดูอาจจะงง พูดง่าย ๆ ก็คือเมื่อใดเราเกิดความรู้สึกในสิ่งใดที่ชัด ก็ให้รู้อันนั้น การรู้นั้นรู้อะไร ก็เช่น หากเดินอยู่ก็รู้ว่าเดินอยู่, นั่งก็รู้ว่านั่ง, ยืนก็รู้ว่ายืน, นอนก็รู้ว่านอน, ดีใจก็รู้ว่าดีใจ, โกรธก็รู้ว่าโกรธ, สุขก็รู้ว่าสุข, ทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์, จะขยับซ้าย แลขวา หันหน้า มองหลัง เคลื่อนไหวใด ๆ ก็รู้ตามนั้น คิดก็รู้ว่าคิด, จะฟุ้งซ่านก็รู้ว่าฟุ้งซ่าน เผลอลืมไม่มีสติก็รู้ว่าเผลอ   

กล่าวโดยย่อคือให้มีความรู้สึกตัวผ่านอายตนะทั้ง 6 ได้แก่ ตา (รูป), หู (เสียง), จมูก (กลิ่น), ลิ้น (รส), กาย (สัมผัส), ใจ (ความรู้สึก-ความคิดปรุงแต่ง) รู้ไปเรื่อยๆ ตามอารมณ์หรือสภาวธรรมที่ปรากฏ ?ตามจริง? ในขณะนั้น ๆ

รู้แบบนี้มันจะเครียดไหม ? ขอตอบว่าไม่เลย การมีความรู้สึกตัวนั้นทำแบบสบาย ๆ ให้เป็นธรรมชาติตามปกติ ไม่ต้องไปเพ่ง ไปจ้อง ไปบังคับ ไปควบคุม ง่าย ๆ คือเป็นปกติอย่างที่เคยเป็นนั่นหละ เพียงแต่มีความรู้สึกตัวอยู่เนือง ๆ อยู่เสมอ


รู้ไปเพื่ออะไร ?

สตินั้นหากนำมาใช้กับทางโลกทั่วไปก็ย่อมมีประโยชน์มหาศาลอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการงาน, ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ๆ การคิดอ่านย่อมเป็นระบบ, จิตย่อมมีสมาธิในการทำกิจการงานใด ๆ , อารมณ์มักจะเป็นปกติ ไม่ค่อยโกรธ เครียด หรือทุกข์ใจอะไรมาก ๆ กล่าวโดยรวมคือย่อมเกื้อกูลชีวิตประจำวันทางโลกได้อย่างดีซึ่งเป็นประโยชน์ที่ค่อนข้างเห็นได้ชัดเจน

หากแต่ถ้ารู้เนือง ๆ มาก ๆ เข้าจนเป็นมหาสติ ก็จะได้ประโยชน์จากทางธรรมด้วย การที่เรามีสติอยู่เนือง ๆ รู้ตัวบ้าง ไม่รู้บ้าง ทำอย่างติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ก็เพื่อให้สติเกื้อกูลต่อการ ?เห็นความจริง? ความจริงนี้เป็นสิ่งที่ใกล้ตัวเราที่สุดก็คือกายกับใจของเรา แต่เราไม่เคยรู้สึกถึงความจริงนี้เลย

จุดหมายของการรู้ก็เพื่อให้เห็นความจริง อันได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ว่ากายและใจของเรานั้นเป็นสิ่งไม่เที่ยง  เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวเรา เนื่องจากสัมมาสติทำให้เราได้เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามสภาวธรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่นับครั้งไม่ถ้วน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนในที่สุดจิตจะยอมรับความจริงในข้อนี้ (หรือที่ท่านพระพุทธทาสชอบเรียกว่าให้ละตัวกู ของกู)  อันนำไปสู่หนทางแห่งการดับทุกข์ ที่เป็นจุดมุ่งหมายสำคัญของพระพุทธศาสนา   


[ดูจิตมีอะไรดี ?/u]

ดูจิต คือการเรียนธรรมะที่ ?เรียบง่ายและธรรมดาที่สุด? ไม่จำเป็นต้องรู้คำศัพท์ทางศาสนายาก ๆ หรือนั่งท่องพระไตรปิฎก เพราะจุดมุ่งหมายคือการเรียนรู้กายและใจของตัวเอง ให้ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น (อุปทาน) อันเป็นสาเหตุทำให้เรา ๆ มีความทุกข์กัน


การดูจิตสามารถทำได้ ?ทันที? , ?ที่นี่? และ  ?เดี๋ยวนี้? ซึ่งคนจำนวนไม่น้อยมักเข้าใจผิดว่าการปฏิบัติธรรมต้องทำอะไรที่มันดูยาก ๆ, เคร่งเครียด, น่าเบื่อ, หรือต้องใช้เวลา เนื่องจากตนไม่มีเวลาจึงไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ ซึ่งความจริงเราสามารถเรียนธรรมะด้วยการฝึกสติได้ตลอดเวลา ด้วยใจที่ปกติสบาย ๆ ไม่ว่าจะดูทีวี, กินข้าว, เล่นเน็ต, อาบน้ำ, ไปเที่ยว, ออกกำลังกาย ฯลฯ ล้วนสามารถฝึกสติได้ทั้งสิ้น


ธรรมทั้งปวงรวมที่จิต (ตามที่ครูบาอาจารย์ได้กล่าวไว้) ดังนั้นการดูจิตคือการเรียนรู้ธรรมะภาคปฏิบัติที่เป็นเส้นทางตรง ไม่อ้อม ช่วยให้ถึงจุดหมายปลายทางได้ไวขึ้นและไม่หลงทาง


หากพูดถึงในแง่ของบุญกุศลสำหรับคนชอบทำบุญ  การดูจิตเปรียบเสมือนการทำวิปัสสนากรรมฐาน จึงเป็นภาวนาบารมี ซึ่งเหนือกว่าศีลและทาน (อ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือ "วิธีสร้างบุญบารมี" สมเด็จพระสังฆราชฯ) ดังนั้นจึงเสมือนเป็นการทำบุญโดยไม่เสียสตางค์ และเป็นบุญสูงสุด ทำได้ทุกที่ ทุกเวลาตามกำลังสติที่เรามี


เส้นทางนี้มีกัลยาณมิตรที่เดินเส้นทางเดียวกันมากมาย เมื่อติดปัญหาหรือไม่เข้าใจสิ่งใดจึงมีช่วยตอบข้อสงสัยได้ มีแหล่งข้อมูลให้ศึกษาอยู่เยอะ (เสียงธรรมของพระอริยเจ้าในเว็บนี้ก็มักสอนเรื่องสติอยู่บ่อย ๆ) ถึงที่สุดแล้วหากศึกษาด้วยตัวเองเต็มที่แล้วยังมืดบอดอยู่ ก็มั่นใจได้ว่ามีพระสุปฏิปันโนที่สามารถตอบข้อซักถามของเราได้แน่นอนในยุคปัจจุบัน

ต้องดูนานแค่ไหน ?

อันนี้ไม่สามารถตอบได้ เพราะขึ้นอยู่กับความเอาใจใส่และบารมีของแต่ละท่าน ใครขยันเดินก็ไปได้ไกลว่า (แล้วต้องเดินให้ถูกทางด้วย) แต่มั่นใจได้ว่าถึงแน่เพราะมีพุทธวัจนะรับรองไว้ว่า บุคคลใดเจริญสติปัฏฐานอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง ย่อมหวังความดับทุกข์ได้แน่นอนอย่างเร็ว 7 วัน  อย่างกลาง 7 เดือน หรืออย่างช้า 7 ปี

จะเห็นได้ว่าแม้คนที่คิดว่าตัวเองไม่ได้มีบุญบารมีอะไร ฉันจะทำได้หรือ ?  ก็มั่นใจได้เลยว่าทำได้แน่นอนตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ แต่โดยทั่วไปหากฝึกสติในระดับหนึ่งแล้ว จะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างชัด จิตจะรู้ ตื่น เบิกบาน ไม่ค่อยมีอารมณ์โกรธ หงุดหงิด หรืออารมณ์เพี้ยน ๆ ทั้งหลายเท่าใดนัก



มีอานิสงส์อย่างไร ?

อย่างที่ได้กล่าวไว้แล้ว ในเบื้องปลาย อานิสงส์ของการเจริญสติคือความดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง หากอานิสงส์เบื้องปลายมันดูเหมือนจะห่างไกลจากความรู้สึกเราก็ขอให้ลองมาดูใกล้ ๆ ตัว ท่านอาจจะเคยได้ยินว่ามีคนเข้ากรรมฐานที่วัดแล้วชีวิตเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เช่น เลิกติดเหล้าติดการพนัน, หน้าที่การงานดีขึ้น, การค้าเจริญขึ้น แล้วก็อาจเกิดความสงสัยว่ามันเกี่ยวกันอย่างไร

หากท่านลองพิจารณาดูให้ดีจะเห็นว่า ความหายนะ ความเลวร้ายในชีวิตของคนเราล้วนมาจากการขาดสติทั้งสิ้น เช่นการโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง, การทะเลาะตบตีกันในครอบครัว, การปล้นฆ่า, สามีมีผู้หญิงอื่น, ติดการพนัน, กินเหล้าเมายา ฯลฯ โดยรวมคือการละเมิดศีล 5 อันเป็นธรรมแห่งความ ?ปกติ? ของคนเรา

คนเราทุกคนล้วนมีกิเลสตัณหา มีความโลภ โกรธ หลงด้วยกันทุกคน ดังนั้นหากขาดสติเมื่อไร ก็พร้อมที่จะเผลอทำกรรมชั่วได้เสมอ ในขณะที่ฝ่ายกรรมดี อันได้แก่ ทาน ศีล ภาวนา ก็แทบจะไม่ได้ทำเลย

การมีสติจึงเสมือนเป็นตัวช่วยคุมให้เรามีความเป็น ?ปกติ? คืออยู่ในกรอบของศีล เช่น เมื่อเราโกรธมาก ๆ ก็จะรู้ตัวไม่ทำการประทุษร้ายใคร, โลภมาก ๆ ก็จะรู้ตัวไม่ไปทำการปล้นหรือโกงใคร ฯลฯ  ดังนั้นกรรมชั่วจึงแทบไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย ในขณะที่ฝ่ายกรรมดีคือ ศีล และภาวนาได้ทำทุกวันจนเป็นอาจิณกรรม

เมื่อเปรียบเทียบฝ่ายที่ไม่ค่อยมีสติกับฝ่ายที่สติดีในทางคณิตศาสตร์ก็จะเห็นภาพชัดขึ้น ฝ่ายแรกนั้นดูเหมือนจะมีเรื่องให้ติดลบอยู่เนือง ๆ อาจจะได้คะแนนบวกบ้างในบางครั้ง ส่วนฝ่ายที่สองนั้นเรื่องติดลบแทบไม่เกิด แต่ได้คะแนนบวกอยู่ทุกวัน เมื่อเวลาผ่านไปเป็นหลายเดือน หลายปีผลรวมด้านกุศลกรรมของทั้งสองคงจะต่างกันอย่างเทียบไม่ติดเลยทีเดียว นี้เป็นเหตุผลหนึ่ง

แต่ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือคำสอนของหลวงพ่อจรัญซึ่งหากพิจารณาดูก็จริงทีเดียว ผู้ที่มีสติสัมปชัญญะดีมักจะเป็นคนที่ขยัน เบิกบาน มีความคล่องแคล่ว ว่องไว ใครมีหน้าที่อะไรก็จะปฏิบัติตามหน้าที่ตัวเองได้อย่างดี เช่นเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่, เป็นสามีที่ดีต่อภรรยา ครอบครัวมีแต่ความอบอุ่น การงานก็จะมีความเจริญก้าวหน้าอันเกิดจากความขยัน ความมีสติก่อให้เกิดสมาธิ ปัญญาจึงตามมา สามารถแก้ไขปัญหาชีวิตได้ นี้จึงเป็นอานิสงฆ์ของการเจริญสติที่เห็นได้ชัดเจน

????????????????????????????       


ขอให้เจริญในธรรมกันทุก ๆ ท่าน
เราพูดถึงอยู่เสมอถึงคำว่า ?สติปัญญา?
เราใช้ปัญญาอยู่เสมอก็จริง  แต่สตินั้นแท้จริงแล้ว
เรานำออกมาใช้น้อยนัก ทั้งที่สตินั้นมีคุณค่าต่อชีวิต
และจำเป็นแก่ชีวิต มีคุณค่าเหลือที่จะประมาณได้
(พระธรรมสิงหบุราจารย์ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี)

 

จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ
(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)

ที่มา : ฟังธรรม.คอม

5
เอามาให้ชมกัน เพราะเก่ามาก

6
เข้ามาวันแรกหลังจากที่ไม่ได้เข้ามาเลยเกือบ 3 ปี

หน้า: [1]