แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - schoolbus

หน้า: [1]
1
สวัสดีครับ

เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นกับตัวผมที่เป็นผู้เขียนไปแล้วรอบหนึ่ง(รถคันสีดำพังยับ หาดูได้ตามเว๊ปไซด์ต่างๆ)
 แต่คราวนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเป็นประสบการณ์ตรงจากเพื่อนในกลุ่มลูกศิษย์คนสนิท
ของหลวงพ่อสืบ วัดสิงห์ จ.นครปฐม ที่ภายหลังจากพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลจนเริ่มเดินได้แต่พูดยังไม่ถนัด
แล้วได้พากันมากราบและเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองให้หลวงพ่อสืบฟังที่กุฏิ



เครดิตรูปภาพและเรื่องเล่าจากพี่ติ่ง เพื่อนผู้พาเจ้าของประสบการณ์มา และเป็นผู้เล่าให้ฟัง ...

เหตุเกิดขึ้นประมาณ ๐๖.๐๐ น.(เช้า)ขณะขับรถเดินทางกลับจากทำงานเกี่ยวกับOrganizeเพื่อกลับที่พัก
จนมาถึงบริเวณวงเวียนพระรามที่ ๕ จ.นนทบุรี(สถานที่เกิดเหตุ)ได้มีรถขับมาตัดหน้ากระทันหัน
ทำให้รถของเพื่อนพี่ติ่งที่ขับมาด้วยความเร็วสูงประมาณ ๑๓๐ กม/ชม.ต้องหักหลบแต่เนื่องจากมาเร็ว
จึงเสียหลักเอารถไม่อยู่ทำให้หมุนคว้าง ไปฟาดกับเสาไฟจนขาดไป ๑ ต้นและพลิกคว่ำกระเด็นข้ามเกาะ
ไปหลายตลบ ซึ่งใครที่เห็นสภาพนั้นก็คิดว่าไม่รอด จนกระทั่งรถมูลนิธิที่ตามหลังมาพอดีได้ทำการช่วยเหลือ
และนำส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงที เมื่อแพทย์ทำการตรวจอย่างละเอียดพบว่า
กระดูกต้นคอข้อที่ ๒ หัก และไหปลาร้าหักทั้งสองข้างแต่ไม่พบบาดแผลภายนอก

เพื่อนพี่ติ่งยังเล่าเสริมให้ฟังอีกว่า ตอนนั้นเข็มขัดนิรภัยก็ไม่ได้คาดซึ่งถ้าคาดอาจจะคอขาดไปแล้ว
เพราะหมอนรองคอของเบาะคนขับกระเด็นหายไปเลยและโชคดีมากๆที่ถังแก๊สที่อยู่ท้าย
ด้านหลังรถไม่ระเบิดไม่งั้นก็คงไม่รอด และเพื่อนพี่ติ่งก็ได้นำ สิงห์กะลาแกะและตะกรุดดอกเล็ก
ที่ใส่ไว้กับพวงกุญแจรถ
ให้หลวงพ่อสืบท่านดูพร้อมบอกว่าผมนำไปใส่พวงกุญแจรถไว้ตามที่
เคยได้รับคำแนะนำ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกรถยับทั้งคันเหลือเพียงตรงประตูที่ไม่เป็นไร ส่วนที่เหลือไม่สามารถ
ขายซากได้ต้องขายเป็นเศษเหล็กอย่างเดียว

ถ้ารวมประสบการณ์เกียวกับเรื่องรถก็นับครั้งไม่ถ้วนที่มีคนมาเล่าให้ฟัง
แต่ถ้าคอหักแล้วไม่ตาย นับว่าเป็นรายที่ ๒ ...


ขอบคุณครับ





2
 :001:สวัสดีครับ :001:
พอดีผมไปพบเจอมาจากเว๊ปเพื่อนบ้าน มีคนนำไปโพสต์ไว้ก็เลยเกิดสงสัยและอยากทราบจากท่านที่รู้อะครับ
เป็นเนื้อความส่วนหนึ่งของข้อความจากกระทู้นี้อะครับ
http://www.suankhlang.com/ipb//index.php?showtopic=593&st=3340&start=3340
ลองอ่านดูครับ
เมื่อประมาณ ๗๐ - ๘๐ ปีที่ผ่านมา หลวงพ่อเปิ่น ฯ ท่านเคยเดินทางมาย่านปากเกร็ด เพื่อศึกษาและฝากตัวเล่าเรียนวิชาลงเลขสักยันต์กับหลวงพ่อจำปา ฯ วัดสาลิโขภิรตาราม เดิมเรียกว่าวัดสาเลข เป็นวัดที่มอญสร้างไว้ตั้งแต่ครั้งสมัยอยุธยา วัดนี้เป็นวัดใหญ่วัดหนึ่งในย่านนี้ ที่กล่าวนี้ไม่เกินจริง เพราะสมัยปู่ย่า ตายาย จะเห็นวิหารของวัดสาเลข ความใหญ่โต ไม่มากน้อย มีความกว้างถึงเก้าห้อง จึงเรียกว่า วิหารเก้าห้อง ท่านลองนึกภาพเปรียบเทียบดูเอาเอง โบสถ์วัดสพานสูงมีความกว้างประมาณสี่ห้อง วัดสาเลข นั้นสมัยก่อนมีหลวงพ่อน้อย ฯ เป็นสมภาร ซึ่งเป็นคู่สวด คู่กับอาจารย์รุ่ง วัดท้องคุ้ง บวชให้หลวงปู่กลิ่น ฯ โดยมี หลวงปู่เอี่ยมเป็นอุปฌาย์ วัดสาเลข หรือวัดสาลิโข มีที่ตั้งอยู่ใกล้กับวัดสพานสูง ซึ่งหลวงพ่อจำปา ฯ นั้นท่านเก่งทางด้านสักยันต์ลายหมึกน้ำเงิน ส่วนวัดสพานสูง จะสักน้ำมัน โดยอาจารย์แปลก ร้อยบาง จึงสามารถแยกศิษย์สองสำนักออกได้อย่างชัดเจน ถ้าหลังแดง วัดสพานสูง ถ้าหลังดำ ต้องวัดสาลิโข ฯ สมัยก่อนบรรดาศิษย์ทั้งสองสำนักบางคน สำคัญผิดคิดว่าของที่อาจารย์ตัวเองดีกว่าของคนอื่น จึงมักจะมีเรื่องทะเลาะกันบ่อย เพียงเพื่ออวดสักดาความแน่ของตนเอง ซึ่งอาจารย์ทั้งสองสำนักนั้นไม่มีความประสงค์จะให้ลูกศิษย์ไปอวดอ้างความเหนียวของตนเอง และไม่ต้องการให้ศิษย์ทะเลาะกัน จากคำบอกเล่าของผู้สูงอายุไม่ต่ำกว่า ๘๐ ปี เล่าให้ฟังว่า อาจารย์แปลก ฯ ท่านก็เคยไปพักอาศัยอยู่ชายคาวัดสาลิโข เหมือนกัน ที่สำคัญ ยังเปิดลงกระหม่อมให้กับลูกศิษย์ด้วย ซึ่งหลวงพ่อจำปา ฯ ท่านก็มิได้ว่ากล่าวอะไร เพราะอย่างน้อย ถ้าอาจารย์แปลก ฯ สามารถมานอนค้างที่วัดสพานสูงได้ นั้นก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า อาจารย์แปลก ฯ ท่านต้องมีดีแน่ หลวงปู่กลิ่น ฯ ท่านจึงให้อยู่ได้ อาจารย์กับอาจารย์ ไม่ต้องคุยกันให้มากความ แต่บรรดาศิษย์ ไม่พยายามเข้าใจวัตถุประสงค์ของอาจารย์ เมื่อกล่าวถึงหลวงพ่อจำปา ฯ สมัยนั้นเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าถ้ามีโอกาสให้ท่านสักแล้ว มีความมั่นใจได้ว่าด้านคงประพันเป็นใช้ได้ ใครก็ตามถ้ามาเที่ยววัดสาลิโข ฯ ต้องสักหลัง หรือลงกระหม่อมอย่างน้อยก็ขึ้นชื่อว่าเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน เดินเข้าวัดได้อย่างสบายใจ เพราะกิติศัพท์ของวัดสาลิโข ฯ มีอยู่ว่า "ถ้าหนังไม่เหนียว อย่างมาเที่ยววัดสาลิโข" เพราะอย่างนี้กระมัง หลวงพ่อเปิ่น ฯ ท่านจึงเดินทางมาฝากตัวกับ หลวงพ่อจำปา ฯ วัดสาลิโข ฯ เมื่อกล่าวถึงหลวงพ่อวาส ฯ กับหลวงพ่อเปิ่น ฯ เข้าใจว่า หลวงพ่อเปิ่น ฯ ท่านคงจำหลวงพ่อวาส ฯ ได้ เพราะหลวงพ่อจำปา ฯ นั้นท่านเป็นหลวงน้า ของหลวงพ่อวาส ฯ ถ้าท่านทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อวาส ฯ สังเกตที่ตัวของหลวงพ่อวาส ฯ จะเห็นรอยสัก นั่นแหละ คือรอยสักยันต์ที่หลวงพ่อจำปา ฯ ท่านตั้งใจสักให้กับหลาน มีความต้องการมอบสิ่งดีที่สุดให้ไว้กับหลานของท่าน แต่ท่านทราบหรือว่ากว่าจะสักได้ หลวงพ่อจำปา ฯ ท่านเรียกหลวงพ่อวาส ฯ ไปหาถึงสามครั้งสามหน หว่านล้อมให้ใจอ่อนเพื่อจะบอกว่า จะสักให้ จนครั้งที่สามหลวงพ่อวาส ฯ จึงยอมให้หลวงน้าสักให้ นี่คือที่มา และที่สำคัญหลวงพ่อเปิ่น ฯ กับหลวงพ่อวาส ฯ ท่านเคยได้รับกิจนิมนต์ไปร่วมพิธีปลุกเสกหลายครั้งหลายหน หลายสถานที่ ยิ่งท่านจำได้ว่าเป็นหลานหลวงพ่อจำปา ฯ เป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน และจำพรรษาอยู่วัดสพานสูง ด้วย ประการสำคัญเข้าใจว่าท่านคงคุยกันและทราบว่าหลวงพ่อวาส ฯ เป็นเหลนหลวงปู่เอี่ยม ฯ เป็นหลานหลวงพ่อสุ่น ฯ วัดสาลากุน ด้วย จึงกล่าวได้ว่าทำไมหลวงพ่อเปิ่น ฯ ท่านจึงกล่าวเช่นนั้น

 :054:ผิดถูกประการใดต้องขออภัยครับ :054:

 :090:ขอบคุณครับ
:090:

3
 :001:สวัสดีครับ :001:
ความคืบหน้าต่อจากเบี้ยแก้รุ่นแรกหลวงพ่อสืบ วัดสิงห์ กระทู้เดิมครับ
ลิงค์กระทู้เดิม : http://www.bp.or.th/webboard/index.php?action=printpage;topic=14216.0
วันนี้จะขออนุญาตนำเสนอวัตถุมงคลอีกอย่างหนึ่งของ วัดสิงห์ ที่จะออกมาในระยะเวลาไกล้เคียงกับเบี้ยแก้รุ่นแรก แต่รอบนี้เป็นมีดหมอรุ่นแรกครับ มีจำนวนน้อยมากๆ คาดว่าจะออกมาให้พบเห็นหลังเสร็จพิธีในเสาร์5 ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างปลุกเสก
[/color]
จากข้อมูลเท่าที่เคยได้รับทราบกันมาและเคยลงในหนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ เรื่องการสยบอาถรรพณ์ตะเคียนทอง ของหลวงพ่อสืบ วัดสิงห์ ตามรายละเอียด
ดังที่กล่าวมาแล้วว่า “วัดสิงห์” เป็นวัดโบราณเก่าแก่หลังจากผ่านพ้นวันเดือนปีไปสู่หลายร้อยปี “วัดสิงห์” ก็เริ่มโรยราจนเกือบร้างเนื่องจาก “เจ้าอาวาส” ที่มาปกครองวัดนี้ถึง ๔ รูป ต่างมีเหตุต้อง “อาถรรพณ์ตะเคียนทอง” จนต้องลาสิกขาไปมีภรรยาเกือบทั้งสิ้น โดยเรื่องราวการต้อง “อาถรรพณ์ตะเคียนทอง” นี้มีว่า “มีต้นตะเคียนทองขนาดใหญ่ขึ้นอยู่ใกล้บริเวณ “พระมหาธาตุเจดีย์อิศวรนวโกฏิ” ซึ่งเป็นพระมหาธาตุเจดีย์ที่บรรจุ “รอยพระพุทธบาทคู่” และ “รอยพระหัตถ์พระพุทธเจ้า” ตลอดจน “พระบรมสารีริกธาตุ” ไว้ภายในโดยสร้างมาตั้งแต่ต้นสมัย “อู่ทอง” จึงมีความเก่าแก่ได้ชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ซึ่งขณะนั้นเอียงลงมาใกล้จะล้มลงเต็มที
 และในหลายสิบปีที่ผ่านมา “ต้นตะเคียนทองต้นใหญ่” ที่ขึ้นอยู่ใกล้พระมหาธาตุเจดีย์ก็ได้ “เกิดเหตุอาเพศ” เนื่องจากมี “ต้นโพธิ์” ที่ขึ้นทับซ้อน “ต้นตะเคียนทอง” ในลักษณะ “โอบกอด” ต้นตะเคียนทองเอาไว้แถมงอกงามเจริญอย่างรวดเร็ว หลังจากต้นโพธิ์ต้นนี้ขึ้นมาแล้ว “เจ้าอาวาสวัดสิงห์” เวลานั้นก็ประสบเหตุ “อาถรรพณ์” ต้องลาสิกขาออกไปมี “ภรรยา” โดยไม่มีเค้าลางมาก่อนสร้างความประหลาดใจแก่ชาวบ้านใกล้วัดสิงห์เป็นอย่างยิ่ง โดยผู้เฒ่าเล่าว่า “เป็นอาเพศของต้นโพธิ์ที่ขึ้นโอบต้นตะเคียนทอง” โดยที่ผู้คนต่างเรียกต้นโพธิ์แบบนี้ว่า “โพธิ์ปาราชิก” โดยเชื่อกันว่าต้นตะเคียนทองมีเพศเป็น “หญิง” ที่มี “เทพารักษ์” เป็น “เจ้าแม่ตะเคียนทอง” ส่วน “ต้นโพธิ์” นั้นเปรียบเสมือนดั่ง “พระสงฆ์” เมื่อไปทำการกอดรัด “ต้นตะเคียนทอง” จึงถือกันมาแต่โบราณว่าเป็น “โพธิ์ปาราชิก” ที่ได้แสดง “อาเพศ” ถึงตัว “เจ้าอาวาส” ของวัดด้วย
 ครั้นเจ้าอาวาสรูปแรกลาสิกขาแล้วก็มี “เจ้าอาวาส” อีก ๓ รูป ที่ต่างก็ต้องอาถรรพณ์เฉกเช่นกันคือต้องลาสิกขาไปมี “ภรรยา” ทั้งหมด ส่วนต้นตะเคียนทองที่มีต้นโพธิ์โอบกอดขึ้นทับอยู่นี้ก็งอกงามตลอดมา โดยชาวบ้านย่านนั้นหลาย ๆ คนอยากให้ตัดทิ้ง แต่ก็มีอีกพวกที่ไม่ยอมให้ตัด ก็คือพวกที่ได้รับผลจากการบนบานต่าง ๆ รวมทั้ง “ขอเลข” ก็ประสบผลสำเร็จมากมายจึงทำให้เกิดความ “ขัดแย้ง” กันขึ้นในหมู่ชาวบ้าน
 “พระครูอินทสิริชัย (ม้วน อินทสุวัณโณ)” อดีตเจ้าคณะตำบลท่าพระยา ซึ่งเป็นผู้ปกครอง “วัดสิงห์” อยู่ในขณะนั้นเห็นว่าวัดสิงห์ชำรุดทรุดโทรมมาก “เจ้าอาวาส” ที่ส่งไปกี่รูปก็ลาสิกขาไปมีครอบครัวหมดจึงพิจารณาเลือก “ศิษย์เอก” ซึ่งมีศีลาจารวัตรดี เคร่งครัดในพระธรรมวินัยไปเป็นเจ้าอาวาส เพื่อพัฒนาวัดสิงห์ให้เจริญรุ่งเรืองเพราะ “หลวงพ่อม้วน” ก็เป็นศิษย์ ผู้สืบพุทธาคมมาจาก “หลวงพ่อสุข วัดห้วยจระเข้” ซึ่งเป็นศิษย์เอกของ “หลวงปู่นาค” โดยที่ “หลวงพ่อม้วน” ก็ได้ถ่ายทอดพุทธาคมให้แก่ศิษย์เอกของท่านซึ่งก็   คือ “หลวงพ่อสืบ” จน แน่ใจว่าน่าจะเอาชนะ “อาถรรพณ์ที่วัดสิงห์”  ได้จึงตัดสินใจส่งไปเป็น เจ้าอาวาสที่วัดสิงห์
 ต่อมาหลังจาก “หลวงพ่อสืบ” มาอยู่วัดสิงห์แล้วก็ได้บำเพ็ญสมณธรรมอย่างเคร่งครัด พร้อมกับพัฒนาวัดสิงห์ให้เจริญขึ้นเป็นลำดับ ทุกวันเมื่อกลับจากบิณฑบาตตอนเช้า ก็มายืนหยุดอยู่หน้า “ต้นตะเคียนทอง” และ “ต้นโพธิ์ปาราชิก” พร้อมทำการอธิษฐานบารมีแผ่เมตตาให้เป็นประจำจึงเกิดเรื่องแปลกประหลาดคือ “ต้นตะเคียนทอง” และ “ต้นโพธิ์ปาราชิก” ที่เคยงดงามเขียวขจีกลับเริ่ม “เหี่ยวลง” และต่อมาก็ “แห้งตาย” ไปจึงเป็นที่ร่ำลือกันในบรรดาศิษย์ว่าเป็นเพราะ “บารมี” ของ “หลวงพ่อสืบ” ที่มีเหนืออาถรรพณ์ของ “เจ้าแม่ตะเคียนทอง” และ “โพธิ์ปาราชิก” ไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง
ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์
ในต้นปีนี้ด้วยบารมีที่หลวงพ่อสืบท่านมีและวิชาที่ท่านได้เคยร่ำเรียนมาทำให้ท่านจึงได้จัดสร้างมีดหมอเพื่อให้ลูกศิษย์ท่านได้มีไว้ครอบครอง เพื่อบูชาและป้องกันตัว โดยท่านตั้งใจจัดทำและปลุกเสกเดี่ยวตลอดมาเป็นระยะเวลานาน จนท่านออกปากว่าใช้ได้แต่ท่านก็ยังคงปลุกเสกต่อไปจนถึงเสาร์5ของปี(ประมาณช่วงเดือนกุมภาพันธ์)เป็นอันเสร็จพิธี
มีดหมอที่หลวงพ่อสืบ ท่านสร้างและปลุกเสกนี้มี 2 ขนาดด้วยกัน คือ
แบบที่1.มีดหมอขนาดใบประมาณ 5 นิ้ว ใบมีดนี้หลวงพ่อท่านได้ทำการสั่งตีขึ้นมาจากที่หมู่บ้านเหล็กน้ำพี้ ใน จ.อุตรดิตถ์ มีการแกะสลักลวดลายและชื่อของท่านหลวงพ่อสืบลงบนใบมีดและทำการจัดส่งใบมีดเพื่อไปทำด้ามและฝักที่ จ.นครสวรรค์ จนมีรูปแบบที่สวยงาม จึงนำมาเก็บรักษาและปลุกเสกที่วัดสิงห์เป็นระยะเวลานาน เท่าที่ทราบในรุ่นแรกใบประมาณ 5 นิ้ว ตอนนี้ที่วัดมีเพียง 8 เล่มเท่านั้น (ในอนาคตถ้ามียอดสั่งจองมากอาจจะมีการจัดทำเพิ่มแต่จะเป็นรุ่นต่อไปเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกศิษย์ท่าน)



แบบที่1.มีดหมอขนาดใบประมาณ 3 นิ้ว ใบมีดนี้หลวงพ่อท่านได้ทำการสั่งตีขึ้นมาจากที่หมู่บ้านเหล็กน้ำพี้ ใน จ.อุตรดิตถ์ มีการแกะสลักลวดลายและชื่อของท่านหลวงพ่อสืบลงบนใบมีดและทำการจัดส่งใบมีดเพื่อไปทำด้ามและฝักที่ จ.นครสวรรค์ จนมีรูปแบบที่สวยงาม จึงนำมาเก็บรักษาและปลุกเสกที่วัดสิงห์เป็นระยะเวลานาน เท่าที่ทราบในรุ่นแรกใบประมาณ 3 นิ้ว ตอนนี้ที่วัดมีเพียง 100 เล่มเท่านั้น (ในอนาคตถ้ามียอดสั่งจองมากอาจจะมีการจัดทำเพิ่มแต่จะเป็นรุ่นต่อไปเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกศิษย์ท่าน)



พอดีเมื่อวานนี้(05.01.53)เข้าไปกราบหลวงพ่อสืบท่านมา เท่าที่ทราบขณะนี้ทางวัดสิงห์เริ่มให้มีการสั่งจองวัตถุมงคลทั้งเบี้ยแก้และมีดหมอแล้วครับ(เพราะว่าวัตถุมงคลมีจำนวจำกัด เบี้ยแก้รุ่นแรกมีประมาณไม่เกิน 300 ลูกและมีดหมอมีตามจำนวนที่กล่าวไว้ข้างต้น)
อยากทราบข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามที่วัดสิงห์โดยตรง หรือเดินทางไปที่วัดด้วยตัวท่านเอง
ขอขอบคุณข้อมูลตรงจากทางวัดสิงห์ครับ

ขออภัยอย่างสูงกับทาง Web board ถ้ากระทู้นี้จะเข้าข่ายหรือกระทำผิดกฏข้อใดข้อหนึ่งของทางเว๊ป แต่เจตนานั้นเพื่อช่วยประชาสัมพันธ์วัดสิงห์โดยมิได้มีผลประโยชน์ส่วนตัวใดๆเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น เพื่อให้เพื่อนๆพี่น้องในโลกอินเตอร์เน็ตใด้รู้จักวัดและพระเกจิที่ปฏิบัติดีอีก 1 สำนักใน จ.นครปฐม ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ. ที่นี้
 :090:ขอบคุณครับ:090:
 :054:Schoolbus :054:
แผนที่ทางไปวัดสิงห์ครับ



4
 :001:สวัสดีครับ :001:
ตื่นนอนตอนเช้า 06.00 น. อาบน้ำแต่งตัว ออกเดินทางจากบางนาไปที่ อ.ดอนตูม เมืองนครปฐมพร้อมเพื่อนและน้องที่สนิท(ท่านกลอนและท่านสุรแผนจากเว๊ปสวนขลัง)ไปถึงที่หมายวัดสามง่าม ประมาณ 10.00น.ซึ่งขณะนั้นทางวัดได้ทำการเก็บบรรจุกรุจำนวน 87000 องค์ที่พระเจดีย์เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว ดังนั้นจึงได้เข้าไปร่วมในงานพิธีสรงน้ำหลวงปู่แย้มบริเวณหอฉัน ซึ่งมีลูกศิษย์ลูกหาของหลวงปู่แย้มมาเยอะมากและทางวัดได้จัดเตรียมโต๊ะจีนจำนวน 80 โต๊ะเพื่อเลี้ยงรับรองลูกศิษย์ท่าน เชิญชมภาพครับ(ขออภัย..ภาพถ่ายอาจไม่ชัดเนื่องจากเกิดการผิดพลาดทางเทคนิค)







วัตถุมงคลที่ได้รับแจกจากงานพิธีสรงน้ำครับ



หลังจากร่วมรับประทานอาหารเสร็จแล้วก็เริ่มเดินทางเพื่อกราบพระเกจิเมืองนครปฐม ครับ วัดแรกที่เดินทางไปคือ วัดบางพระ ตอนไปถึงประมาณเวลา 13.00 น. ไปที่กุฏิใหญ่เพื่อกราบสังขารหลวงพ่อเปิ่น และกราบหลวงพ่อสำอางค์แต่พอดีหลวงพ่อท่านติดเจิมรถให้ลูกศิษย์ท่าน ผมก็เลยไปให้อาหารปลาก่อนเพื่อรอเวลา หลังจากให้อาหารปลาเสร็จก็เลยขึ้นไปกราบท่านที่บนกุฏิ ลงนะหน้าทอง ประพรมน้ำมนต์ และขอท่านทำการถ่ายภาพ ก่อนเดินทางไปวัดต่อไป (ขออภัย..ภาพถ่ายอาจไม่ชัดเนื่องจากเกิดการผิดพลาดทางเทคนิค)







หลังออกจากวัดบางพระก็เดินทางมาต่อที่วัดท้องไทร มาถึงวัดประมาณ 14.15น. เข้ากราบหลวงปู่อั๊ป ถวายนมแด่ท่าน ท่านก็ผูกสายสิญย์ข้อมือ ประพรมน้ำมนต์และให้พร จึงขออนุญาตท่านถ่ายภาพก่อนออกเดินทางไปวัดต่อไป(ขออภัย..ภาพถ่ายอาจไม่ชัดเนื่องจากเกิดการผิดพลาดทางเทคนิค)



ออกจากวัดท้องไทร ก็เดินทางมาต่อที่วัดกลางบางแก้ว เพื่อกราบสังขารหลวงปู่เจือผู้เป็นอาจารย์(ตอนกราบท่านน้ำตาแทบไหลไม่เคยคิดว่าท่านจะจากไปเร็วอย่างนี้)



หลังจากออกจากวัดกลางบางแก้ว ก็เดินทางมาต่อที่วัดสิงห์ประมาณ 17.00น.หลังจากเช่าวัตถุมงคลที่วัดก็เข้ากราบหลวงพ่อสืบผู้เป็นอาจารย์ ถวายนมและสอบถามท่านเรื่องสุขภาพเพราะท่านอาพาพาธอยู่แต่ก็ยังต้องทำงานที่วัดอย่างหนัก นั่งสนทนากับท่านในเรื่องต่างๆรวมถึงความคืบหน้าเรื่องวัตถุมงคลของท่าน(จะนำเสนอในลำดับต่อไป)จนถึง18.00น.จึงขอนุญาติท่านให้น้องที่ไปด้วยถ่ายภาพคู่ท่านและกราบลาท่านเพื่อเดินทางไปวัดต่อไปก่อนกลับหลวงพ่อสืบท่านก็ประพรมน้ำมนต์และก็ให้พร ส่วนตัวหลวงพ่อสืบท่านเองก็จะต้องเตรียมตัวเพื่อไปร่วมสวดอภิธรรมหลวงปู่เจือผู้เป็นอาจารย์ ที่วัดกลางบางแก้วเชิญชมภาพครับ(ขออภัย..ภาพถ่ายอาจไม่ชัดเนื่องจากเกิดการผิดพลาดทางเทคนิค)




ออกจากวัดสิงห์เดินทางข้ามฟากมาที่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เพื่อกราบหลวงตาวาส วัดสะพานสูง ถึงวัดประมาณ 19.00 น. เข้ากราบหลวงตาวาส ถวายนม และท่านก็ให้พรพร้อมเมตตาให้ภาพถ่ายท่านขนาด 4x6 นิ้ว สนทนากับท่านสักพักและจึงกราบลาท่าน เพื่อเดินทางกลับที่พักย่านบางนาประมาณเวลา 19.30น. ถึงที่พักบางนา 21.00น.เดินทางเหนื่อยครับแต่อิ่มบุญมากๆ



 :090:ขอบคุณครับ :090:

5
 :025:สวัสดีครับ :025:

พอดีไปเห็นข้อมูลที่ท่าน ศิษย์หลวงพ่อเกิด (ขออนุญาตเอ่ยนาม)ที่เว๊ปสวนขลัง โพสต์เอาไว้เลยเก็บมาฝากครับ



ในปี พ.ศ.๒๔๘๐ ตรงกับปีทื่หลวงพ่อวาส สีลเตโช ท่านเป็นหางนาคเตรียมตัวบวช ณ พัทสีมาวัดสพานสูง ในยุคนั้นการบวชไม่เหมือนกับปัจจุบันผู้จะบวชต้องมาลงชื่อขอบวชก่อน ส่วนวันบวชขึ้นอยู่กับหลวงปู่กลิ่น ฯ ท่านจะเป็นผู้กำหนด ซึ่งจะบวชพร้อมกันทั้งหมด ในวันเดียวกัน ไม่ใช่นาคจะเป็นผู้เลือกวันบวช ถึงกำหนดต่างคนต่างแห่นาคมาที่วัด ใครลงชื่อก่อนก็บวชก่อน บวชเป็นคู่ ๆ เรียงตามลำดับกันไป ไม่มีการจัดโต๊ะจีนเลี้ยงฉลองกันเหมือนปัจจุบัน การเดินทางยากลำบากไม่เหมือนปัจจุบัน ถ้ามาทางเรือก็สดวกหน่อย สมัยก่อนของที่จะถวายพระไม่ว่าจะเป็นอุปัชฌาย์ คู่สวด พระอันดับ ได้เหมือนกันหมด ส่วนใหญ่จะนิยมเป็นน้ำมันก๊าดหนึ่งขวดสตางค์รูจำนวน ๓ อัน ด้ายหนึ่งขด เข็มหนึ่งอันเสียบปักไว้ที่ฝาขวดเท่านั้นเอง
สำหรับหลวงพ่อวาส ฯ เจ้าภาพใหญ่ก็คือโยมย่าของท่าน จัดเตรียมน้ำมันก๊าดถวายรูปละหนึ่งปี๊บ สมัยก่อนก็ราคาปี๊บละ ๑ บาท ถวายหมดทั้งวัด ที่นิยมถวายน้ำมันก๊าดก็เพราะว่ายุคนั้นยังไม่มีไฟฟ้า ใช้ตะเกียงน้ำมันสำหรับจุดท่องมนต์ในยามค่ำคืน ปัจจุบันตามวัดจึงนิยมจัดให้มีการหยอดเงินเติมน้ำมันตะเกียงกันอยู่ เพื่อหาเงินรายได้เข้าวัด ตอนที่หลวงพ่อวาส ฯ ท่านบวชนั้น มีพระสุเมธาจารย์   วัดปรมัยฯ เกาะเกร็ด เป็นอุปัชฌาย์ หลวงปู่กลิ่น หลวงพ่อสุ่น เป็นคู่สวด  หลังจากบวชเป็นองค์พระแล้ว เป็นธรรมดาจะต้องจัดเลี้ยงฉลองพระใหม่ ในงานนี้หลวงปู่กลิ่น หลวงพ่อสุ่นรวมทั้งพระลูกวัดก็รับนิมนต์ไปงานดังกล่าวที่บ้านหลวงพ่อวาส ฯ ด้วย คงไม่ธรรมดาแน่นอน หลวงปู่กลิ่นฯ ท่านก็ทราบว่าหลวงพ่อวาสฯ ท่านก็เลือดเนื้อเชื้อสายลำดับที่สี่ของหลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม มีศักดิ์เป็นเหลนทางสายคุณทวดอิ่ม ซึ่งคุณทวดอิ่มนั้นเป็นน้องสาวคนสุดท้องของหลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม ซึ่งจะกล่าวลำดับในโอกาสต่อไป
ส่วนหลวงพ่อสุ่นฯ วัดศาลากุน ผู้สร้างหนุมานอันเลื่องชื่อ ท่านก็มีความเกี่ยวข้องทั้งทางโยมพ่อ และโยมแม่ของหลวงพ่อวาส ฯ มีศักดิ์เป็นหลวงน้า และหลวงอา อย่างไรเสียความเป็นญาตก็ต้องไปร่วมงานแน่นอนแต่ไปในทางสงฆ์ เมื่อนิมนต์พระเข้าที่แล้วจึงรู้ทันทีว่าหลวงพ่อสุ่นท่านอาวุโสกล่าวหลวงปู่กลิ่น ฯ แน่นอน เพราะการนั่งในที่ที่จัดไว้นั้น หลวงพ่อสุ่นท่านนั่งเป็นลำดับแรก ต่อด้วยหลวงปู่กลิ่น ฯ (ทราบต่อมาในภายหลังว่าหลวงพ่อสุ่นกับหลวงปู่กลิ่นท่านสนิทสนมกันมาก ไม่ใช่แค่เป็นสหธรรมิกเท่านั้น ถึงขนาดหลวงพ่อสุ่นเคยเอยปากกับหลวงปู่กลิ่นว่า "ท่านกลิ่นถ้าผมสิ้นบุญก่อน ท่านต้องมาเป็นแม่งานจัดงานศพให้ผมนะ" เช่นเดียวกันหลวงปู่กลิ่นก็กล่าวกับหลวงพ่อสุ่นว่า "ท่านก็เหมือนกันถ้าผมหมดบุญ ท่านก็ต้องมาเป็นคนจัดงานศพให้ผมด้วยนะ" (ที่กล่าวมานี้เป็นคำบอกเล่าของ หลวงพ่อกุหลาบ เจ้าคณะอำเภอปากเกร็ด จ.นนทบุรี และเจ้าอาวาสวัดใหญ่สว่างอารมณ์ ซึ่งได้เล่าให้หลวงพ่ออ่าง เจ้าอาวาสวัดใหญ่สว่างอารมณ์ รูปปัจจุบันฟัง) ในงานดังกล่าวหลวงพ่อสุ่นได้มอบหนุมานพร้อมกับผ้ายันต์ให้หลวงพ่อวาส ฯ ไว้เป็นที่ระลึกด้วย ในเรื่องผ้ายันต์นั้นเจตนาเพื่อใช้ห่อพันตัวหนุมานผูกติดไว้ที่แขน หรือผูกกับเชือกสายสร้อยคล้องคอ เพราะสมัยก่อนไม่มีช่างเลียมพระเหมือนปัจจุบัน
ในยุคที่หลวงปู่กลิ่น ฯ เป็นสมภารนั้นมีพระบวชจำพรรษามากถึง ๗๐ กว่ารูป ท่านจะบวชให้เฉพาะพระหนุ่มอยู่จำพรรษาเท่าไรก็ได้ยิ่งนานยิ่งดี ส่วนใหญ่จะบวชอยู่ถึงสามพรรษา สาเหตุเพราะพรรษาแรกอุทิศให้ปู่ย่าตายาย พรรษาที่สองบวชให้พ่อแม่ผู้มีพระคุณ พรรษาที่สามบวชให้กับตัวเองและเจ้ากรรมนายเวร ส่วนคนแก่บวชได้แต่อยู่ตามกำหนดที่บนบานกล่าวขานไว้ ถ้าจะอยู่ต่อต้องไปอยู่วัดอื่น หลวงปู่กลิ่น ฯ ถ้าดูแล้วเหมือนท่านดุ พูดน้อย พระลูกวัดยำเกรงและกลัวท่านมาก มีเรื่องเล่าต่อมาว่า ครั้งหนึ่งพระลูกวัดจะตัดก้านบอนไล่แอบตีกันในยามค่ำคืนให้พระรูปอื่นตกใจกลัว คิดว่าเป็นผี เพราะวัดสะพานสูงในยุคนั้นเป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องผีนางตะเคียนยิ่งนัก หลวงปู่กลิ่น ฯ ท่านคงรำคาญหรืออย่างไรไม่ทราบ ท่านก็เดินย่องไป พระรูปที่ไล่ตีพระองค์อื่นเห็นเข้าตกใจต่างวิ่งหนีเข้ากุฏิปิดประตูเงียบ ซึ่งที่จริงหลวงปู่ ฯ ท่านกลัวว่าพระจะตกสะพานหล่นลงไปบาดเจ็บ เพราะกุฏิพระจะมีหอสวดมนต์อยู่กลางมีกุฏิเรียงรายล้อมรอบมีสะพานแล่นชานเชื่อมต่อกัน ไม้บางอันผุหักเป็นร่อง จะเป็นอันตรายแก่พระที่วิ่งไล่กันตอนกลางคืน
ในปีเดียวกันนั้น (พ.ศ.๒๔๘๐) เป็นปีที่หลวงปู่กลิ่น ฯ ท่านมีอายุครบ ๖ รอบ จึงมีดำริที่จะจัดงานทำบุญฉลองอายุ พร้อมกับจัดงานฉลองการบูรณะพระอุโบสถ์ ซึ่งได้รื้อซ่อมมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๗๐ ในครานั้นได้มอบหมายให้อาจารย์ผัน ฯ (อดีตเจ้าอาวาสวัดอินทราราม) และโยมผ่อง (ทั้งสองท่านนี้คือลูกพี่ลูกน้องของหลวงปู่วาส ฯ) พระทั้งวัดมี ๖๐ กว่ารูป แต่มีเพียงสองท่านนี้เท่านั้นที่ได้รับใช้หลวงปู่กลิ่น ฯ ในการทำพระเป็นของที่ระลึกสำหรับแจกในงาน ฯ ทั้งอาจารย์ผัน ฯ และโยมผ่อง ได้เล่าให้หลวงปู่วาส ฯ ฟังว่า ในการทำพระนั้นหลวงปู่กลิ่น ฯ ได้มอบผงพุทธคุณของหลวงปู่เอียม ฯ และผงลบของหลวงปู่กลิ่น ฯ เป็นมวลสารส่วนผสมหลักในการทำพระ โดยมีขั้นตอนในการทำเหมือนกับที่หลวงปู่วาส ฯ ทำพระปิดตานั่นเอง คือ ผสมผงกับข้าวสุก กล้วยน้ำว้า น้ำมันตั่งอิ๊ว ลงในครกแล้วตำให้เนื้อเข้ากันเป็นเนื้อเดียวกัน ตำให้ได้ที่เหมือนเนื้อแป้งปาท่องโก๋ เพราะเวลาพิมพ์จะง่าย และล่อนแกะออกง่ายไม่ติดพิมพ์ ขณะพิมพ์พระปิดตาพิมพ์ชลูดได้ซักหลักสิบองค์ หลวงปู่กลิ่นเดินลงมาเห็น (กุฎิของหลวงปู่กลิ่นติดกับกุฎิที่อาจารย์ผัน ฯ ทำพระอยู่ ซึ่งจะมีชานแล่นขวางเชื่อมต่อกัน) หลวงปู่ ฯ ได้กล่าวว่า "พอ ๆ ๆ ถ้าอย่างนี้ก็ไม่พอแจก องค์ใหญ่ เปลืองเนื้อ อย่างนี้ไม่เอาแล้ว ไปเอาพิมพ์ลำพูนมาทำ" เป็นอันว่าการพิมพ์พระปิดตาพิมพ์ชลชูดเป็นยุติ จึงเริ่มทำพิมพ์ลำพูนต่อ ตอนที่ทำพระเริ่มเดือนสี่ แต่เดือนห้าจะถึงกำหนดงาน ดังนั้นขั้นตอนการพิมพ์จึงต้องใช้เวลาที่รวดเร็ว หยิบเนื้อพระมาคลึงที่ผ่ามือถ้าหยิบมาก้อนใหญ่พระที่พิมพ์ก็องค์ใหญ่ ถ้าหยิบเนื้อมาน้อยพระที่พิมพ์ก็ออกมาองค์เล็ก พิมพ์พระจะมีหน้าเดียวพิมพ์ง่าย ตำเนื้อได้ที่ ออกมาตากแห้งเร็ว แล้วนำมาทาสีดำ จะไม่ใช้รักทา (หลวงปู่วาส ฯ เล่าว่าหลวงปู่กลิ่น ฯ ท่านแพ้รักจึงให้ใช้สีทาแทนรัก แต่เมื่อพิจารณาแล้ว สีมีส่วนผสมของทินเน่อร์มีคุณสมบัติทำให้สีแห้งเร็ว รักแห้งช้า ด้วยเวลาที่จำกัด จึงอาจเลือกใช้สีก็เป็นได้ แต่มีข้อสัณนิฐานอีกมุมหนึ่งบอกว่า หลวงปู่กลิ่น ฯ ท่านแพ้รักจึงให้ใช้สีแทน) เมื่อทำเสร็จก็ส่งขึ้นไปถวายให้หลวงปู่กลิ่น ฯ ปลุกเสก เป็นอันเรียบร้อย พร้อมแจกเป็นของชำร่วยในงาน ในงานดังกล่าวมีหนังสือที่ระลึกพิมพ์เกี่ยวกับประวัติของวัดและประวัติหลวงปู่เอี่ยม หลวงปู่กลิ่น ลำดับการปฏิสังขรวัด รายชื่อญาตโยมที่มีส่วนร่วมในการบริจาคทรัพย์ สิ่งของบันทึกไว้อย่างละเอียดชัดเจน โดยผู้ที่พิมพ์ถวายหลวงปู่ ฯ คือ พล.ต.พระอุดมโยธายุทธ ฯ (ซึ่งจะกล่าวในโอกาสต่อไป) มีจำนวน ๓,๐๐๐ เล่ม การจัดงานฉลองดังกล่าวมีมโหรสพฉลอง ๗ วัน ๗ คืน ทั้งละคร โขน หนังจอ หนังตะลุง (หนังแผ่น) หุ่นกระบอก ลิเก ลำตัด กระบี่กระบอง ตะกร้อ พลุไฟตะลัยไฟพะเนียง ฯลฯ อีกมากมายดูเป็นงานใหญ่ของวัด ทุกอย่างมีเจ้าภาพหมด เพราะบารมีหลวงปู่เอี่ยม ฯ หลวงปู่กลิ่น ฯ ท่านแผ่กระจายไปทั่ว มีลูกศิษย์ ลูกหา ผู้ศรัทธาเลื่อมใสมากมาย ทั้งคุณพระ คุณหลวง ผู้ราก มากมี ชาวนา ชาวสวน ชาวบ้าน ร้านตลาด พ่อค้าวานิชย์ ทั้งไทย จีน มาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง พร้อมเพรียง ในงานดังกล่าวไม่ต้องใช้เจ้าหน้าที่โปลิสมาคุมงาน ๗ วัน ๗ คืน ไม่มีเรื่องเกิดขึ้น เพราะบารมีหลวงปู่ ฯ ที่ทุกคนเกรงกลัวหนักหนา อาวุธคู่กายหลวงปู่ ฯ ไม่ใช่แค่พระธรรมคำสั่งสอนเท่านั้น หลวงปู่ ฯ ท่านมีอีด้วน (หางกระเบนปลายหางกุด) ใคร ๆ ก็กลัวนักกลัวหนา ถ้าถูกหลวงปู่ ฯ หวดเมื่อเป็นได้เรื่อง มีอันเป็นไปทุกราย ไม่ตายโหง ก็มีอันพิบัติ ถ้าสำนึกผิดก็นำดอกไม้ธูปเทียนใส่พานมาถวายแล้วให้หลวงปู่ ฯ อาบน้ำมนต์หวดซ้ำอีกหนึ่งที เป็นการแก้อาถรรน์ให้ แต่น้อยคนนักที่จะโดนหลวงปู่ ฯ หวด เพราะไม่คิดจะทำความผิดในเขตอาวาสของหลวงปู่ ฯ กล่าวกันว่าคนเมาเข้าวัด เป็นหายเมา คนเกเร เข้ามาวัดต้องสงบเสงี่ยม เจียมตัว ผ้าขาวม้าที่คาดพุงต้องเอาออกพาดบ่าสพายเฉียง ทั้งเด็กเล็ก ผู้ใหญ่ แก่เถ้า ผู้หญิงผู้ชายต้องมีผ้าสพายเฉียงกันทุกคน มีเรื่องเล่ากล่าวขานกันทุกวันนี้ ว่านาย...(ขออนุญาตไม่เอ่ยนาม เพราะไม่ได้ขออนุญาตลูกหลานเขาเอาชื่อมาเอ่ยอ้าง ถ้ายากทราบให้มาถามคนที่มีอายุรุ่น ๗๕ - ๘๐ ปีขึ้นไป) เป็นคนมีฐานะร่ำรวยในพื้นที่ตะกูลหนึ่งในย่านคลองภูมิ เกเรเข้ามาขโมยของในวัดถูกจับได้นำไปผูกมัดติดไว้ที่ต้นตะเคียนหน้าวัด เมื่อหลวงปู่ ฯ สอบสวนไล่เรียงได้ความว่าเข้ามาขโมยหลายครั้งแล้ว จึงได้ลงโทษด้วยการใช้อีด้วนหวดไปที่กลางหลังหนึ่งที แล้วไล่ให้กลับบ้านออกไปทางวัดโปรดเกษ ฯ ซึ่งอยู่ติดกับวัดสพานสูง เพราะหลวงปู่ ฯ ท่านรู้ว่ามีชาวบ้านรอจะทำร้ายอยู่ข้างวัดอีกด้านหนึ่ง ซึ่งด้วยความกลัวชาวบ้านจะดักทำร้าย นาย...จึงไม่มีโอกาสมาให้หลวงปู่ ฯ ตีแก้อาถรรน์ให้ จนตาย ผลปรากฎว่าจากฐานะร่ำรวย ก็สิ้นเนื้อประดาตัว คนในครอบครัวต้องภัยตายโหงกันจนทุกวันนี้ ครอบครัวนี้ก็จะตายโหงกันเสียส่วนใหญ่ เพราะคำสาบแฉ่งของหลวงปู่ ฯ ที่ว่า "มีลูกก็เสียปาน มีหลานก็ให้เสียโครต" เมื่อถึงกำหนดพิธีการเรียบร้อยหลวงปู่ ฯ จะแจกหนังสือหนึ่งเล่ม พระลำพูนคนละหนึ่งองค์ให้เฉพาะผู้มาช่วยงานด้วยทรัพย์ สิ่งของ สำหรับพระ เณรหลวงปู่ ฯ จะเรียกมารับแจกทุกองค์ ส่วนชาวบ้านนั้น หลวงปู่ ฯ ได้มอบหมายให้ทายกสายเป็นผู้มอบให้แทน โดยแจกทุกคนไม่เลือกหน้า ฐานะ แต่ห้ามขอไปฝากคนอื่น แต่ก็เป็นธรรมดา ทุกยุค ทุกสมัย ทุกคนมาก็จะต้องการได้เพิ่ม เพื่อเอาไปฝากคนที่บ้าน เมื่อปฏิบัติตามคำสั่งหลวงปู่ ฯ ก็ถูกมองในแง่ไม่ดี ดังนั้นตาสาย ฯ จึงได้นำความไปปรึกษาหลวงปู่ ฯ ว่าถ้าเป็นเช่นนี้ก็แจกหนึ่งองค์ ถ้าขอเพิ่มก็ให้จำหน่าย เสียเงินกันเสียบ้าง ไม่งั้นมีเท่าไรก็ไม่พอ เป็นแน่แท้ ด้วยเหตุด้วยผล หลวงปู่ ฯ จึงยอมให้มีการจำหน่ายเป็นครั้งแรก โดยกำหนดว่าถ้าต้องการองค์ใหญ่ก็เสียเงินสิบสตางค์ องค์เล็กราคาห้าสตางค์ จึงเป็นที่มาของชื่อพระ พิมพ์ห้าตังค์ กับพิมพ์สิบตังค์

ขอขอบคุณข้อมูลโดยละเอียด และขออนุญาตท่าน ศิษย์หลวงพ่อเกิด ที่เว๊ปสวนขลัง ด้วยครับ




 :090:ขอบคุณครับ :090:

6
   พระครูพิทักษ์วีรธรรม หรือ หลวงพ่อสืบ ปริมุตโต เจ้าอาวาสวัดสิงห์,เจ้าคณะตำบลท่าพระยาและอีกตำแหน่งของท่านคือ รองประธานมูลนิธิปิยสีโล(รองจากหลวงปู่เจือ) เป็นที่ทราบกันดีว่า หลวงปู่เจือและหลวงพ่อสืบนั้นจะมีความสนิทและมักคุ้นกันมาตั้งแต่สมัยท่านหลวงพ่อสืบยังเป็นเด็กโดยหลวงพ่อสืบมักจะเรียกหลวงปู่เจือว่าพี่เจือ จนแทบจะพูดได้ว่าถ้ามีการปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงปู่เจือต้องมีหลวงพ่อสืบร่วมปลุกเสก และถ้ามีการปลุกเสกวัตถุหลวงคลของหลวงพ่อสืบก็จะมีหลวงปู่เจือท่านร่วมปลุกเสก จากเรื่องราวตรงนี้เองความผูกพันฉันท์พี่และน้องได้กลายเป็นความผูกพันธ์ของศิษย์และอาจารย์เมื่อหลวงพ่อสืบท่านได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์กับหลวงปู่เจือ หลวงปู่เจือท่านก็ได้รับหลวงพ่อสืบเป็นศิษย์และถ่ายทอดวิชาทำเบี้ยแก้ให้หลวงพ่อสืบได้ศึกษา ซึ่งโดยนิสัยส่วนตัวของหลวงพ่อสืบนั้นถ้าท่านยังศึกษาวิชาจากครูบาอาจารย์ของท่านไม่ถ่องแท้แบบรู้แจ้งฯท่านก็จะไม่จัดสร้างวัตถุมงคลออกมาเพราะท่านเกรงว่าถ้าทำออกไปแล้วไม่ดีจริงหรือใช้ไม่ได้จริงๆก็จะเสียชื่อถึงครูบาอาจารย์ของท่าน หลวงพ่อสืบท่านจึงเพียรพยายามศึกษาวิชาการทำเบี้ยแก้ตลอดมา จนกระทั่งถึงวันฤกษ์งามยามดีในพิธีปลุกเสกวัตถุมงคล รุ่นไตรมาส ของวัดสิงห์ หลวงปู่เจือท่านก็มาร่วมปลุกเสกด้วยที่วัดและท่านหลวงปู่เจือก็ได้อนุญาตและทำการจับมือหลวงพ่อสืบตีเบี้ยแก้นำฤกษ์หรือที่เรียกว่าเบี้ยครู (เสมือนกับว่าหลวงพ่อสืบท่านได้สำเร็จวิชาการทำเบี้ยแก้จากหลวงปู่เจือแล้ว)
    หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาหลวงพ่อสืบท่านก็ได้ตั้งใจและเพียรทำเบี้ยแก้ในนามของวัดสิงห์ขึ้นด้วยตัวของท่านหลวงพ่อสืบและลูกศิษย์ภายในวัดสิงห์ที่ช่วยร่วมแรงร่วมใจกันจัดสร้างทำเบี้ยแก้ขึ้น โดยไม่มีการว่าจ้างโรงงานหรือบุคคลอื่นมาจัดสร้างให้ เพื่อไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของผู้เป็นครูบาอาจารย์ และไม่ทำให้ตัวหลวงพ่อสืบท่านเสียสัตย์ที่ว่า “ของๆเรา ถ้าจัดทำออกไปแล้วต้องดีจริงและใช้ได้จริงๆ”ดังที่ทุกท่านได้เห็นและรับทราบจากประสบการณ์ในเรื่องเหรียญและตะกรุดของท่านหลวงพ่อสืบมาโดยตลอด






 ลักษณะเบี้ยแก้ของท่านจะเป็นแบบเบี้ยเปลือยมีตะเข็บ(อาจจะมีการถักเชือกและจุ่มรัก) ขนาดนั้นจะไกล้เคียงกับของหลวงปู่เจือผู้เป็นอาจารย์ของท่าน ใต้ท้องเบี้ยแก้ด้านล่างจะตอกโค๊ตของวัดสิงห์ เพื่อป้องกันความสับสนในอนาคต ซึ่งในชุดแรกของการจัดสร้างออกมานี้ไม่น่าจะเกิน 300 ลูก(แต่ท่านจะทยอยทำเพิ่มออกมาอีกในภายหลังเพื่อให้ลูกศิษย์ท่านได้มีไว้บูชาและติดตัว) เจตนาจัดสร้างเพื่อหาทุนบูรณะถาวรวัตถุภายในวัดสิงห์ คาดว่าน่าจะแล้วเสร็จและออกมาให้ได้พบเห็นกันในปลายเดือนมกราคมหรือต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ส่วนความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบเป็นระยะครับ





อยากทราบข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามที่วัดสิงห์โดยตรง หรือเดินทางไปที่วัดด้วยตัวท่านเอง
ขอขอบคุณข้อมูลตรงจากทางวัดสิงห์ครับ  :054: :054: :054:
ขออภัยภาพถ่ายอาจจะไม่ชัดครับ
ขอบคุณครับ
:090: :090:

7
เมื่อเช้าวันนี้พอตื่นขึ้นมาและโทรไปที่วัดก็ทราบข่าวว่าหลวงพ่อสืบท่านไม่สบายและก็เลยได้ให้แฟน ขับรถยนต์จากบางนารีบเดินทางไปกราบหลวงพ่อสืบที่กุฏิครับ ไปถึงที่กุฏิก็พบเห็นท่านกำลังพักผ่อน จึงเข้าไปกราบท่านและทราบจากท่านว่าตอนนี้ท่านไม่สบายเป็นไข้หวัดมีอาการไอมาตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา ตัวผมเองเมื่อสอบถามท่านเสร็จก็เลยไม่ได้อยู่สนทนากับท่านนานเพราะไม่อยากรบกวนหลวงพ่อท่าน อยากให้หลวงพ่อท่านได้พักผ่อนเยอะๆ หลังจากถวายสิ่งของให้หลวงพ่อสืบท่านเสร็จก็เลยขอลาท่านเพื่อเดินทางกลับ และวันนี้ก็โชคดีสุดๆและดีใจมากๆ ก่อนกลับหลวงพ่อสืบท่านได้เมตตามอบ ตะกรุดนวหรคุณเกื้อหนุนชีวิตแบบดอกเล็ก(สำหรับผู้หญิง)และเหรียญไตรมาสเนื้อกะไหล่ทองให้แฟนผมเก็บไว้ใช้ และก็รดน้ำมนต์พร้อมให้พร ... หลังจากออกมาจากกุฏิหลวงพ่อสืบก็แวะไปที่ตู้บุชาวัตถุมงคลเพื่อบูชาตะกรุดโสฬสสะกดไพรีและสนทนากับหลวงตาปลื้มสักพัก จึงกราบลาหลวงตาปลื้มและป้ายงค์กลับกรุงเทพฯ :054: :054:

ตะกรุดโสฬสสะกดไพรี :025: :025:



ตะกรุดนวหรคุณเกื้อหนุนชีวิตแบบดอกเล็ก(สำหรับผู้หญิง)และเหรียญไตรมาสกะไหล่ทอง ที่หลวงพ่อสืบท่านเมตตามอบให้แฟนผมมาไว้ใช้  :090: :090:




**อ้อเกือบลืมบอกและประชาสัมพันธ์ ผมได้ถ่ายภาพความคืบหน้าเบี้ยแก้ของหลวงพ่อสืบ ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่เจือ ท่านมาให้ชมแล้วนะครับ( :054:พรุ่งนี้จะโพสต์ให้ชมครับ ตามคำเรียกร้อง เนื่องจากวันนี้ทำรูปไม่ทันและก็เหนื่อยมากครับ :054:)

8
 :001: :001: พอดีไปออกกำลังกายที่สวนหลวง ร9 ทุกวันอะครับ ทางสวนหลวงเขามีงานพรรณไม้งามอล่ามสวนหลวง ในวันที่ 1ธค - 13 ธค 2552 ซึ่งกิจกรรมงานพิเศษอย่างนี้ทางสวนหลวง ร9 เขาเปิดให้ใช้บริการถึง20.00น.เลยนะครับ ก็เลยเก็บมาฝาก ภาพที่ผมนำเสนอนี้เป็นภาพบางส่วนภายในสวนหลวง ร9 เพราะพื้นที่กว้างใหญ่มากทำให้ไม่สามารถเก็บภาพมาให้ชมได้หมด  ถ้าท่านใดว่างหรือสะดวกที่จะเดินทางก็ลองไปชมได้นะครับ สวยงามและยิ่งใหญ่มากๆทางการเขาจัดขึ้นเพื่อในหลวงของเรา  :001: :001:

 :002: :002: ภาพยามเย็น ภาพนี้เริ่มจากประตูที่เข้าทางฝั่ง เสรี เซนเตอร์ครับ



 :002: :002: ถ้ามองไปทางซ้ายจะเห็นแปลงดอกไม้จัดอย่างสวยงามและซุ้มขายของที่มีร้านค้ามากมาย






 :002: :002: เมื่อเดินตรงไปเมื่อท่านหิวเดินข้ามสะพานไปทางซ้าย ก็จะพบกับศูนย์อาหารท่ามกลางธรรมชาติราคาไม่แพงอย่างที่คิด(ราคาเหมือนทานอาหารอยู่ข้างทางริมถนนทั่วไป)



 :002: :002: เชิญชมภาพบรรยากาศรายทางที่ผมเดินออกกำลังกายไปด้วยและก็ถายภาพไปด้วยนะครับ(โดยผมเริ่มเดินวนจากทางด้านซ้ายมาขวา)









 :002: :002: ในยามค่ำก็จะมีการจัดแสดงแสงไฟและงานดนตรีเวที ตามมุมต่างๆของสวนหลวง ร9



















 :090: :090: ภาพสุดท้ายนี้เป็นภาพที่ตั้งใจถ่ายภาพมาให้ชม เป็นกังหันน้ำชัยพัฒนาเป็นอีก 1 ในโครงการและผลงาน ที่ทำให้ทั้งโลกต่างยอมรับในพระอัจฉริยภาพของพระเจ้าอยู่หัวของไทยเรา  :090: :090:



ถ้าหัวข้อที่ข้าพเจ้านำเสนอนี้ออกแนวโฆษณาเชิญชวนหรือผิดกฏข้อใดข้อหนึ่งของเว๊ปก็ขออภัยมา ณ.ที่นี้ครับ  :054: :054:

9
ไปอ้อนวอนขอเขามาอะครับแต่ไม่รู้ว่าดูดี(แท้)รึเปล่า อยากได้ผู้รู้และเชี่ยวชาญช่วยดูให้ทีอะครับ

ขอบคุณครับ  :054: :054:


10
 :001: :001: คือผมมีเรื่องสงสัยมานานแล้วอะครับ ก็เมื่อก่อนที่จะเลี้ยงกุมารทองของวัดสามง่ามผมไปงานสวดภาณยักษ์ประจำอะครับ แต่หลังจากเลี้ยงกุมารทองของวัดสามง่ามก็มีบางคนบอกว่าไม่ควรไปสวดภาณยักษ์เพราะเดี๋ยวของเสื่อม(หมายถึงกุมารทอง)แต่บางคนก็บอกว่าเข้าพิธีได้เพื่อเป็นการทำบุญเสริมบารมีให้กุมารทอง ตัวผมเองก็เลยงง อะครับว่าตกลงแล้วกุมารทองของวัดสามง่ามนี้ถ้าเลี้ยงแล้วสามารถไปร่วมพิธีสวดภาณยักษ์ได้รึเปล่าครับ อยากได้ผู้รู้ช่วยมาแก้ไขความข้องใจให้ด้วยครับเพราะทุกวันนี้เวลาไปงานสวดภาณยักษ์กับเพื่อนผมก็จะเลี่ยงอยู่ออกไปอยู่ข้างนอกงานตลอดไม่กล้าเข้าไปร่วมภายในงานครับ  :001: :001:

 :054: :054:ขอบคุณครับ  :054: :054:

11
 :027: :027:  :027: :027: ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดีชาวสุรินทร์นับถือท่านมาก ถ้าดูที่ด้านพุทธคุณของท่าน(โดยไม่สนใจเรื่องราคาในการซื้อขายวัตถุมงคล)ก็มีประสบการณ์มากในพื้นที่  :027: :027: :027: :027:











ประวัติหลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ สุสานทุ่งมน(วัดเพชรบุรี)จังหวัดสุรินทร์

อ่านข้อมูลตามลิงค์  http://www.amulet.in.th/forums/view_topic.php?t=626

12
 :027: :027: :027:  :001: :001: ฤาษีสมพิศ ญาณโสภี ท่านเป็นฤาษีที่โด่งดังที่สุดในขณะนี้ สาเหตุที่ทำให้ท่านโด่งดังคือการที่ท่านปลุกเสกวัตถุมงคลในกะทะน้ำมันเดือด จนเป็นข่าวครึกโครมจนกระทั่งมีรายการทีวีช่องหนึ่งต้องพาท่านไปออกรายการเมื่อประมาณกลางปีที่ผ่านมา  ณ.ปัจจุบันท่านเปิดสำนักสักยันต์อยู่ที่คลองสาม :001: :001: :027: :027:

























 :001: :001: ประวัติ ฤาษีสมพิศ ญาณโสภี  :001: :001:

ตามลิ้งค์ข้อมูล http://fws.cc/poosompis/index.php?topic=9.0

  :054::054: :054: ขอขอบคุณ ภาพประกอบบางส่วนจากลิงค์ข้อมูล http://www.ongtep.com/detail.php?id=208  :054: :054: :054:

13
 :004: :004: :001: :001:  ให้โลกรู้ว่าเมืองไทยมีดี    :001: :001::004: :004:
 

:027: :027: หลังเดินทางกลับจากปราสาทเขาพนมรุ้งและมุ่งเข้าสู่ ถ.มิตรภาพ ก็แวะรายทางเข้าชมอีก 1 สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ของประเทศไทย ซึ่งตั้งอยู่ที่ จ.นครราชสีมา  :027: :027:














  :001: :001: ที่ตั้ง  :001: :001:

:001: :001: อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย เป็นหนึ่งในอุทยานประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ที่ตั้งอยู่ในตัวอำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ประกอบด้วยโบราณสถานสมัยอาณาจักรขอมที่ใหญ่โตและงดงาม  :001: :001:


 :001: :001: ประวัติ  :001: :001:

เมืองพิมายเป็นเมืองที่สร้างตามแบบแผนของศิลปะขอม มีลักษณะเป็นเวียงสี่เหลี่ยม ชื่อ พิมาย น่าจะมาจากคำว่า วิมาย หรือ วิมายปุระ ที่ปรากฏในจารึกภาษาขอมบนแผ่นหินตรงกรอบประตูระเบียงคดด้านหน้าของปราสาท จากหลักฐานศิลาจารึกและศิลปะสร้างบ่งบอกว่า ปราสาทหินพิมายคงเริ่มสร้างขึ้นสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๑ ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ในฐานะเทวสถานของศาสนาพราหมณ์ รูปแบบของศิลปะเป็นแบบบาปวนผสมผสานกับศิลปะแบบนครวัด ซึ่งหมายถึงปราสาทนี้ได้ถูกดัดแปลงมาเป็นสถานที่ทางศาสนาพุทธในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
เมื่ออิทธิพลของวัฒนธรรมขอมเริ่มเสื่อมลงหลังรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ และมีการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยในเวลาต่อมา เมืองพิมายคงจะหมดความสำคัญลง และหายไปในที่สุด เนื่องไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับเมืองพิมายเลยในสมัยสุโขทัย
ในปี พ.ศ. ๒๔๗๙ กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทหินพิมายเป็นโบราณสถาน และได้จัดตั้งเป็น อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย ในวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๒ โดยได้ดำเนินการปรับปรุงจัดตั้งถึง ๑๓ ปี ร่วมมือกันระหว่างกรมศิลปากร และประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ – ๒๕๓๒ ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จฯ พระราชดำเนิน เป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอุทยาน


 :054: :054: :054: ให้โลกรู่ว่า เมืองไทยมีดี  :054: :054:

14
 :027: :027: พระปิดตาเนื้อตะกั่ว สร้างจากเศษมุมตะกรุคมาหลอม  :001: :001:



 :027: :027: รูปเหมือนหลวงพ่อตัด รุ่น 2  :027: :027:



 :027: :027: เหรียญหล่อเสมาหลวงพ่อตัด  :027: :027:



 :027: :027: เหรียญเลื่อนสมณศักดิ์ 2552 (เหรียญคัด นวะ โค๊ด 399 และ อัลปาก้า 299)  :027: :027:



 :027: :027: เหรียญเม็ดแตงเลื่อนสมณศักดิ์ 2552  :027: :027:


15
 :027: :027: พระยอดขุนพลเนื้อเงินลงยา 3 สี (สร้างน้อย)  :027: :027:



 :027: :027: เหรียญฉลองอุโบสถ เนื้อเงิน  :027: :027:



 :027: :027: เหรียญซุ้มเรือนแก้ว เนื้อเงิน  :027: :027:


16
  :002: :002:แบ่งๆกันชมครับ :002: :002:

:001: :001:บริเวณทางก่อนขึ้นปราสาท :001: :001:


 
:001: :001:ทางเข้าภายในตัวปราสาท :001: :001:



:001: :001:ภายในตัวปราสาทที่เคยเป็นข่าวถูกกลุ่มคนมาประกอบพิธีกรรมและทุบทำลาย :001: :001:



 :001: :001:บริเวณโดยรอบตัวปราสาท :001: :001: ( :004:ได้นายแบบเป็นคุณพ่อและหลานสาว :004:)



 :002: :002:ที่ตั้ง :002: :002:

:001: :001:อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง หรือ ปราสาทหินพนมรุ้ง ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 2 (บ้านดอนหนองแหน) ตำบลตาเป๊ก อำเภอเฉลิมพระเกียรติ ห่างจากตัวเมืองบุรีรัมย์ลงมาทางทิศใต้ประมาณ 77 กิโลเมตร ประกอบไปด้วยโบราณสถานสำคัญ ซึ่งตั้งอยู่บนยอดภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว สูงประมาณ 200 เมตรจากพื้นราบ (ประมาณ 350 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง) คำว่า พนมรุ้ง นั้น มาจากภาษาเขมร คำว่า วนํรุง แปลว่า ภูเขาใหญ่ :001: :001:
 
:002: :002: ประวัติ :002: :002:

:001: :001:ปราสาทหินพนมรุ้งเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย มีการบูรณะก่อสร้างต่อเนื่องกันมาหลายสมัย ตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 ถึงพุทธศตวรรษที่ 17 และในพุทธศตวรรษที่ 18 พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งอาณาจักรขอมได้หันมานับถือพุทธศาสนาลัทธิมหายาน เทวสถานแห่งนี้จึงได้รับการดัดแปลงเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนา ในช่วงแรกปราสาทหินพนมรุ้ง สร้างขึ้นจากหินทรายสีชมพู ตั้งอยู่บนยอดเขาพนมรุ้งสูง 1,320 ฟุตจากระดับน้ำทะเล ชื่อพนมรุ้งแปลว่าภูเขาใหญ่ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 15-18
จารึกต่าง ๆ ที่นักวิชาการได้อ่านและแปลพอจะสรุปได้ว่า พระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 3 กษัตริย์แห่งเมืองพระนคร (พ.ศ. 1487-1511) ได้สถาปนาเทวาลัยถวายพระอิศวรที่เขาพนมรุ้ง ซึ่งในสมัยแรก ๆ คงยังไม่ใหญ่โตนัก ต่อมาพระเจ้าชัยวรมันที่ 5 (พ.ศ. 1511-1544) ได้ทรงอุทิศที่ดินและข้าทาสถวายแด่เทวสถานพนมรุ้ง ในสมัยพุทธศตวรรษที่ 17 นเรนทราทิตย์ เจ้านายแห่งราชวงศ์มหิทรปุระที่ปกครองดินแดนแถบนี้ (ซึ่งเป็นต้นตระกูลของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ผู้สร้างนครวัด) ได้สร้างปราสาทแห่งนี้ขึ้นและได้ทรงบำเพ็ญพรตเป็นโยคี ณ ปราสาทพนมรุ้ง :001: :001:

 :002: :002:สถาปัตยกรรมและโบราณสถาน :002: :002:

 :001: :001:ปราสาทหินพนมรุ้งสร้างขึ้นเนื่องในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ซึ่งนับถือ พระศิวะเป็นเทพเจ้าสูงสุด ดังนั้นเขาพนมรุ้งจึงเปรียบเสมือนเขาไกรลาสที่ประทับของพระศิวะองค์ประกอบและแผนผังของปราสาทพนมรุ้งได้รับการออกแบบให้มีลักษณะเป็นแนวเส้นตรง และเน้นความสำคัญเข้าหาจุดศูนย์กลาง นั่นคือปราสาทประธานซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ด้านขวาของบันไดทางขึ้นสู่ศาสนสถานมีอาคารที่เรียกว่า พลับพลา อาคารนี้อาจจะเป็นอาคารที่เรียกกันในปัจจุบันว่า พลับพลาเปลื้องเครื่อง ซึ่งเป็นที่พักจัดเตรียมองค์ของพระมหากษัตริย์ ก่อนเสด็จเข้าสู่การสักการะเทพเจ้าหรือประกอบพิธีกรรมในบริเวณศาสนสถาน :001: :001:

 :002: :002:เหตุการณ์ทุบทำลาย :002: :002:

 :001: :001:คืนวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวนเข้าทุบทำลาย รูปปั้นทวารบาลและสัตว์พาหนะ รวมถึงมีการเคลื่อนย้ายศิวลึงค์ โดยลักษณะเป็นการทำลายแขนเทวรูปก่อน แล้วจึงนำแขนเทวรูปไปทุบกับใบหน้าสัตว์พาหนะอื่นๆ โดย เทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการประวัติศาสตร์อิสระกล่าวว่า การใช้ข้อมือของของทวารบาลเป็นตัวทำลาย นั้นเพราะน่าจะเป็นวัสดุแข็งที่พอจะทำลายสิงห์ ทำลายนาค หรือโคนนทิได้ คงไม่ใช่เรื่องของรายละเอียดที่จะต้องเน้นว่าเอามือทวารบาลไปทุบ  ดุสิต ทุมมากรณ์ หัวหน้าอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ระบุว่า เทวรูปที่ถูกทำลายเสียหายมีของจริงเพียงเศียรนาค 4 เศียร จาก 11 เศียร นอกนั้นเป็นเทวรูปที่จำลองขึ้นแต่มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี โดยวันที่ 26 พฤษภาคม นายช่างศิลปกรรม อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้งร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร ได้เริ่มบูรณะซ่อมแซมโดยเริ่มจาก ซ่อมหัวสิงห์ 2 ตัว ที่ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของปราสาทก่อน โดยวัสดุที่ใช้ในการซ่อมแซมคือ เหล็กไร้สนิม ที่ใช้เป็นแกนยึด ส่วนวัสดุประกอบคือ ยางพารา หินทรายเทียม สีฝุ่น ขุยมะพร้าว ปูนปลาสเตอร์ และเชื่อมประสานด้วยอิพ็อกซี โดยกรมศิลปากรระบุว่าจะใช้เวลา 1 เดือนในการบูรณะปฏิสังขรณ์ :001: :001:

17
 :001: :001: ภาพรถโรงเรียนในต่างแดน พอดีไปค้นเจออะครับ  :001: :001:
 :054: :054:ขออนุญาตและขอขอบคุณข้อมูลจาก http://dek-d.com/board/view.php?id=1298295 :054: :054:

  :095: :095: :095: :025: :025: :025: :025: :025: :095: :095:


18
 :004: :004:คุณผู้อ่านที่ใช้อินเตอร์เน็ตในการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวก็ควรต้องระมัดระวังความผิดตาม พ.ร.บ.นี้ด้วยนะครับ เพราะเขาห้ามยอมความ เนื่องจากต้องการปกป้องเด็กและเยาวชนที่ยังไม่มีวุฒิภาวะ ซึ่งทุกวันนี้เด็ก ๆ และเยาวชนเหล่านั้นมีสถิติการเข้ามาใช้อินเตอร์เน็ตกันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน ส่วนการเขียนแสดงความคิดเห็น (ในทางใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น) ตามเว็บบอร์ดต่าง ๆ ก็ต้องคอยระมัดระวังนะครับ เพราะโทษตาม “พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์” สูงกว่าโทษหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาหรือเผยแพร่ภาพลามกอนาจารตามกฎหมายอาญา เช่น เดิมคุณกล่าวหาผู้อื่นทางเว็บบอร์ดคุณอาจมีโทษหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาตามกฎหมายอาญาคือจำคุก 2 ปี และปรับไม่เกิน 2 แสนบาท แต่ความผิดหมิ่นประมาทชนิดเดียวกันนี้ (รวมทั้งการใส่ภาพตัดต่อลงในเว็บทำให้ผู้อื่นเสียหาย) ตาม พ.ร.บ.การกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 คุณจะมีโทษเพิ่มเป็นจำคุก 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 600,000 บาทเลยนะครับ ขอบอก :002: :002:

 :001: :001: ถ้าข้อมูลผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยไว้ ณ.ที่นี้ :001: :001:
     ขออำนาจและบารมีหลวงพ่อเปิ่นคุ้มครอง
              ขอบคุณครับ

19
  :001: :001: ขอนำเสนอวัตถุมงคล หลวงปู่วาส สีลเตโช แห่งวัดสะพานสูง จ.นนทบุรี เท่าที่ผมพอมีเก็บสะสมบ้าง  :001: :001:
 :002: :002: หลวงปู่วาส ท่านเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์แปลก ร้อยบางหรือ แปลก เรือลอย(1 ใน 4 ศิษย์หลวงปู่เอี่ยม) และทันหลวงพ่อทองสุขแน่นอน เป็นพระปฏิบัติดี สมถะ เมตตา สันโดษ พื้นที่ให้ความเคารพนับถือกันมาก เรื่องพุทธคุณเป็นอีก 1 รูปที่ถือว่าสุดยอดพื้นที่จะทราบกันดี ปัจจุบันท่าน อายุ 95 ปี   :002: :002:
 :001: :001:ขออนุญาตลงลิงค์ ประวัติอันสุดยอดของ อาจารย์แปลก ที่เป็นท่านอาจารย์ของ หลวงปู่วาส  :001: :001:
ขอบคุณข้อมูล ประวัติอาจารย์แปลก จากเว๊ป http://www.sittloungpormhui.com/board/index.php?topic=2560.0


 :001: :001: 1.เหรียญรุ่น 1 หลวงปู่วาส พศ 2531  :001: :001:




 :001: :001: 2.เหรียญรุ่น 2 หลวงปู่วาส พศ 2536  :001: :001:



 :001: :001: 3.เหรียญรูปไข่ หลวงปู่วาส พศ 2549  :001: :001:



 :001: :001: 4.พระร่วงรางปืน หลวงปู่วาส   :001: :001:



 :001: :001: 5.มเหศวร หลวงปู่วาส   :001: :001:



 :001: :001: 6.เหรียญเสมาหลวงปู่เอี่ยม หลังยันต์โสฬสมงคล  :001: :001:



 :001: :001: 7.เหรียญข้าวหลาม หลวงปู่วาส ตัดหลังยันต์โสฬสมงคล  :001: :001:



 :001: :001: 8.พระปรกใบมะขาม หลวงปู่วาส  :001: :001:



 :001: :001: 9.เหรียญหลวงปู่ทวด หลวงปู่วาส สร้าง  :001: :001:



 :001: :001: 10.พระหลวงปู่ทวด หลวงปู่วาส สร้าง  :001: :001:



 :001: :001: 11.พระปิดตาผงพุทธคุณจุ่มรัก พิมพ์ชลูด  :001: :001:



 :001: :001: 12.พระปิดตาผงพุทธคุณจุ่มรัก จัมโบ้  :001: :001:



 :001: :001: 13.พระสมเด็จเนื้อผงพุทธคุณ  :001: :001:



 :001: :001: 14.ตะกรุดจุ่มรักถักเชือกยันต์โสฬสมงคล เนื้อเงิน ขนาด 4" หลวงปู่วาส ๖(สร้างน้อย)  :001: :001:



 :001: :001: 15.ตะกรุดยันต์เก้า เนื้อเงิน ขนาด 2.5"  :001: :001:



 :001: :001: 16.ตะกรุดพอกรักถักเชือก หลวงปู่วาส ขนาด 3"  :001: :001:



 :001: :001: 17.ตะกรุดหนังเสือจุ่มรักถักเชือก หลวงปู่วาส ขนาด 3.6"(สร้างน้อย)  :001: :001:



 :001: :001: 18.รูปหลวงปู่เอี่ยมด้านหลังหลวงปู่วาสจาร  :001: :001:



 :001: :001: 19.รูปอาจารย์แปลกด้านหลังตรายาง  :001: :001:



 :001: :001: 20.รูปหลวงปู่วาสด้านหลังจาร  :001: :001:




 :001: :001: ถ้าข้อมูลที่ข้าพเจ้านำเสนอผิดพลาดประการใด ต้องขออภัย ณ.ที่แห่งนี้ด้วยครับ :001: :001:

20
 :002: :002:เป็นเหรียญที่ข้าพเจ้าพอจะมีเก็บสะสมบ้างครับ :002: :002:
 

:001: :001: 1.เหรียญเสมารุ่นแรก พศ 2551 เหรียญนี้ประสบการณ์เยอะมาก ทั้งที่ผู้อื่นบอกเล่าและตัวข้าพเจ้าได้ประสบด้วยตนเอง :001: :001: ข้อมูล ประสบการณ์ ตามลิงค์(http://www.bp.or.th/webboard/index.php/topic,13226.msg121486.html#msg121486)



 

:001: :001: 2.เหรียญยันต์เฑาะห์สีหราชา เหรียญนี้เท่าที่สอบถามจากหลวงพ่อท่านบอกว่า สร้างหลังเหรียญเสมา ประมาณ2เดือน เนื่องจากมีญาตโยมที่เป็นผู้หญิงบอกกล่าวกับท่านว่าเหรียญเสมารุ่นแรกใหญ่เกินไปไม่เหมาะกับเด็กและผู้หญิงคล้องใส่ เหรียญเป็นเหรียญที่ประสบการณ์เยอะมากอีกเหรียญหนึ่ง ทำการปลุกเสกพร้อมเหรียญรุ่นแรก(คณาจารณ์ร่วมปลุกเสก หลวงพ่อตัด วัดชายนา หลวงพ่อเอื้อม วัดวังแดงใต้ หลวงพ่อสืบ วัดสิงห์ และเกจิอีกหลายรูป) :001: :001:

 


:001: :001: 3.เหรียญเสมาหนุมานเหิรหาว เป็นอีก1เหรียญที่ขอแนะนำเป็นเหรียญประสบการณ์เยอะตั้งแต่เริ่มสร้าง คนพื้นที่น่าจะรู้กันดี:001: :001:

 


:001: :001: 4.เหรียญไตรมาส เหรียญนี้หลวงพ่อท่านตั้งใจทำและปลุกเสกตลอดพรรษาที่ผ่านมา :001: :001:

 


:001: :001: 5.ตะกรุดหนังกลองตะโพน ประสบการณ์ที่พบเจอด้วยตนเองก็ถือว่าสุดยอดครับ :001: :001:

 


:001: :001: 6.ตะกรุดนวหรคุณ เกื้อหนุนชีวิต ประสบการณ์นั้นไม่ต้องบรรยายครับ(เคยลงอยู่ในนิตยสารลานโพธิ์) :001: :001:

 


:001: :001: 7.ตะกรุดวิปัสสีตรีราชา เป็นตะกรุดที่ข้าพเจ้านำมาใหม่หลังจากมพบประสบการณ์ด้วยตนเอง:001: :001:

 

:001: :001: :001: :001:

 

:001: :001:ถ้าข้อมูลที่ข้าพเจ้านำเสนอผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ.ที่นี้ด้วยครับ :001: :001:

21
  :004: :004:เป็นเหรียญที่ข้าพเจ้าพอจะมีเก็บสะสมบ้างครับ  :004: :004:
 :001::001: 1.เหรียญยิ้มหวาน หลวงปู่เอี่ยม

 :001: :001: 2.เหรียญฉลองอายุครบ 6 รอบ พศ 2517

 :001: :001: 3.เหรียญที่ระลึกสร้างศาลาการเปรียญ

 :001: :001: 4.เหรียญ 3 อาจารย์

 :001: :001: 5.เหรียญที่ระลึกฉลองศาลาการเปรียญ

 :001: :001: 6.เหรียญรูปไข่เล็ก พศ 2520

 :001: :001: 7.เหรียญ พี.ที.ซี 45-46 สร้างถวาย พศ 2520

 :001: :001: 8.เหรียญหลวงพ่อทองสุข พศ 2521

 :001: :001: 9.เหรียญศาลหลักเมือง นาหมื่น

 :001: :001: 10.เหรียญศิษย์สร้างถวายบูชาครู พศ 2522

 :001: :001: 11.เหรียญฉลองอายุครบ 80 ปี บริบูรณ์ พศ.2525

 :001: :001: 12.เหรียญพระราชทานเพลิงศพ พศ.2526

 :001: :001: 13.เหรียญข้าวหลามตัด(ผิวล้าง ไม่ค่อยสวย)

 :001: :001: 14.เหรียญข้าวหลามตัด 100 ปี (หลวงพ่อ เปิ่น วัดบางพระ หลวงพ่อ ไสว วัดปรีดาราม เป็นเจ้าพิธี)

22
  :004: :004:แม้สังขารจะยังไม่เอื้ออำนวย แต่ก็ยังรักที่จะท่องเที่ยว:004: :004:
 :001: :001:ภายในตลาดน้ำอัมพวา ยามค่ำคืนผู้คนมาท่องเที่ยวงานลอยกระทงมากมายจริงๆครับ :001: :001:




 :001: :001:ขออนุญาตแนะนำร้านขายน้ำและขนมไทยที่อร่อยมากๆ(มาทีไรก็ไม่เคยพลาดที่จะแวะชิม) :001: :001:

 :001: :001:ก่อนเข้าชมอุทยาน ร.2 ตรงด้านข้างศาลาทำบุญไว้พระ จะพบกับเพื่อนตัวน้อยแสนรู้ที่มาคอยรับบริจาคหาทุนเพื่อซื้ออาหารให้ตนเองและเพื่อนๆ (เห็นกี่ครั้งก็ยังยิ้มเสมอและก็ต้องบริจาคสตางค์ทุกครั้ง):001: :001:

 :001: :001:ภายในอุทยาน ร.2 เปิดให้เข้าชมและจัดงานยามค่ำคืนแบบยิ่งใหญ่จริงๆ :001: :001:


 :001: :001:กระทงกาบกล้วยของขึ้นชื่อในประเพณีลอยกระทงแม่กลอง :001: :001:


 :001: :001:การแสดงภายในอุทยาน ร.2 :001: :001:

 :001: :001:บรรยากาศยามเช้าที่ริมแม่น้ำแม่กลอง(อากาศดีมากๆ) :001: :001:

 :004: :004:แม้สังขารจะยังไม่เอื้ออำนวย(จากที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์) แต่ใจก็ยังรักที่จะท่องเที่ยว :004: :004:

23
 :001: :001:เรื่องราวที่ข้าพเจ้าจะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง กับตัวข้าพเจ้าเองและเป็นความเชื่อส่วนบุคคล (ไม่อยากให้กลายเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ) ถ้าผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ.ที่นี้ด้วยครับ :001: :001
เมื่อวันที่ 19 สค 2552 ข้าพเจ้าและผู้รับเหมาอีกจำนวน 2 คน(ผู้รับเหมาคนหนึ่งขับ อีกคนนั่งข้างคนขับ ส่วนข้าพเจ้านั่งหลัง)ได้ขับรถออกจากกรุงเทพฯ  มุ่งตรงไปจ.ระยอง ไปตามทางบนถนนทางหลวงหมายเลข ๗  ด้วยความเร็วสูงประมาณ ๑๔๐ กม./ ชม.  ซึ่งระหว่างทางฝนตกอย่างหนักมองทางไม่ชัดเจน  และข้าพเจ้าซึ่งนั่งมาเบาะหลังสังเกตว่ารถส่วนใหญ่ชนิด ๔ ล้อจะหลบจอดอยู่ข้างทาง ส่วนรถที่ยังแล่นอยู่บนท้องถนนจะเปิดไฟฉุกเฉิน แต่รถที่ข้าพเจ้านั่งไปนั้น ผู้ขับยังคงขับรถด้วยความเร็วสูง พร้อมทั้งยังขับฉวัดเฉวียนแซงซ้าย แซงขวามาตลอดทาง จนถึงที่เกิดเหตุประมาณกิโลเมตร ๓๘-๓๙ ขณะนั้นฝนเริ่มซาลง  ผู้ขับได้ขับรถแซงรถคันหน้าโดยเปลี่ยนจากเลนซ้ายมาเลนขวา ก็มาเจอน้ำ ผู้ขับจึงได้ทำการห้ามล้อกะทันหัน แต่เนื่องจากรถที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูง จึงทำให้รถเสียหลัก  พุ่งเข้าชนแท่งปูนกั้นกลางถนน  ทำให้รถเสียหลักพลิกคว่ำไปประมาณสองตลบ ตกลงไปในร่องลึกกลางถนน และเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าซึ่งนั่งโดยสารมาในรถด้านหลังได้รับบาดเจ็บสาหัส (ผู้ขับและผู้นั่งด้านหน้าบาดเจ็บเล็กน้อยเพราะมีเข็มขัดนิรภัยและAirbag) จากนั้นมีพลเมืองดีเข้ามาให้การช่วยเหลือนำข้าพเจ้าส่งที่ รพ กรุงเทพ-พัทยา และส่งตัวต่อมาที่ รพ ราชวิถี เพราะต้องผ่าตัดโดยด่วน เนื่องจาก กระดูกคอข้อที่ 5และ6หัก ข้อที่ 7 เคลื่อนกดทับเส้นประสาท แต่ทีน่าแปลกคือร่างกายภายนอกของข้าพเจ้าไม่พบบาดแผลใดๆเลย และรักษาตัวอยู่ที่ รพ ราชวิถีรวม 50 วัน (ออกจากรพ 09 ตค 2552) ซึ่งขณะรักษาตัวอยู่นั้น ผู้ที่มาเยี่ยมข้าพเจ้านั้น ต่างถามเป็นคำถามเดียวกันว่า "ข้าพเจ้ามีของดีอะไร ทำไมสภาพรถยับเยินและคอหักแต่ไม่ตาย" ข้าพเจ้าได้แต่ตอบไปว่าตอนนั้นข้าพเจ้าไม่ได้คิดถึงอะไร นอกจาก พ่อแก้ว แม่แก้ว แต่ถ้าพูดถึงของดีที่พกติดตัวในวันนั้น ข้าพเจ้าพกตะกรุด หนังกลองตะโพน และ เหรียญรุ่นแรก ของ หลวงพ่อสืบ วัดสิงห์ ติดตัวเท่านั้น
 :001: :001:เรื่องที่ข้าพเจ้าเล่าให้ฟังนี้ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ของผู้ที่ชอบขับรถเร็วขณะฝนตกหนัก เพราะว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา นอกจากจะทำให้สูญเสียทรัพย์สินแล้ว อาจทำให้ผู้ที่ร่วมทางไปด้วยได้รับบาดเจ็บ ยกตัวอย่างข้าพเจ้าที่ออกจาก รพแล้วแต่ยังต้องพักรักษาตัวอีกอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งมันไม่คุ้มค่าเลย:001: :001:




 :001:ภาพถ่ายซากรถนี้ เป็นภาพรถที่ข้าพเจ้านั่งไปและทางญาตได้ข้าพเจ้าไปขอคัดสำเนามาจากโรงพักที่เขาเขียว :001:


 :001:ภาพขณะข้าพเจ้ารักษาตัวอยู่ที่ รพ และภาพรอยแผลจากการผ่าตัดกระดูกที่คอ :001:

 :001:ภาพเหรียญรุ่นแรกที่ข้าพเจ้าพกติดตัวในกระเป๋าสะพาย ส่วนตะกรุดหนังกลองข้าพเจ้ายังไม่ได้ถ่ายภาพมาให้ชมต้องขออภัยครับ :001:

24
 :001: :001:เป็นวันที่รู้สึกดีที่สุด และดีใจมากๆ ตื่นแต่ 05.45น. ขับรถออกเดินทางจากบางนา 06.30น. พร้อมกล้องตัวน้อยถึงจังหวัดนครปฐมตอน 8.00น เริ่มต้น เข้ากราบ หลวงพ่อสืบ วัดสิงห์หรือ หลวงพ่อสืบ ปืนเสีย และได้สนทนากับท่านอยู่สักพักนึงท่านใจดีมากๆ :001: :001:


 :001: :001:แล้วจึงขอตัวจากหลวงพ่อสืบท่านเพื่อเดินทาง ไปกราบ หลวงปู่เจือ ที่วัดกลางบางแก้ว :001: :001:



 :001: :001:อยู่วัดกลางบางแก้วจนกระทั่งเวลาประมาณ 11.00 น.จึงเดินทางไปต่อเพื่อเดินทางไปร่วมพิธี สรงน้ำ หลวงปู่อั๊ป วัดท้องไทร ภายในวัดวันนี้คนเยอะมากๆแถมอากาศร้อนแต่ลูกศิษย์ท่านทุกคนก็ไม่มีใครท้ออยู่รอเพื่อให้ได้กราบท่าน แต่ปีนี้ไม่ได้สรงน้ำเนื่องจากสุขภาพท่านไม่ค่อยแข็งแรง :001: :001:









 :001: :001:อยู่ที่วัดท้องไทรจนถึงประมาณ 14.00น.พอกราบหลวงปู่เสร็จจึงเดินทาง พาลูกๆ(กุมารทอง)ไปกราบหลวงปู่แย้มที่วัดสามง่าม  ตอนนี้หลวงปู่แย้มท่านเหนื่อยมาก เพราะหลังจากออกรายการทีวี มีผู้คนไปกราบท่านเยอะมากๆ:001: :001:


 :001: :001:ออกจากวัดสามง่ามแล้วจึงไปต่อที่วัดบางพระ แต่ไปถึงประมาณ 16.30น. งานที่วัดบางพระเสร็จแล้วแต่ยังมีคนอยู่ในกุฏิหลวงพ่อเปิ่นพอสมควร จึงได้เข้าไปกราบไหว้รูปเหมือนหลวงพ่อเปิ่นที่กุฏิของท่าน(แต่พอดีไม่ได้ถ่ายรูปมาเนื่องจากการ์ดเต็ม) จึงเดินทางกลับ บางนา เป็นวันที่เหนื่อยมากๆแต่ก็เป็นวันที่มีความสุขที่สุดแล้วในปีนี้ :001: :001:

25
ประวัติวัดละหารไร่
ที่ตั้ง วัดละหารไร่ ตั้งอยู่หมู่ที่8 ต.หนองละลอก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง จาก กทม.ใช้เส้นทาง 314 ชลบุรี-ระยอง ก่อนถึงระยอง1กม.มีสามแยกบ้านค่าย ปากทางมีบิ๊กซีระยอง ให้เลี้ยวซ้าย ไปทางบ้านค่าย วิ่งไป13กม.มีป้ายบอกทาง วัดละหารไร่ ซ้ายมือเลี้ยวซ้ายเข้าไปประมาณ1กม.วัดอยู่ขวามือ
 วัดละหารไร่นี้ก่อตั้งเมื่อประมาณปี พ.ศ.2354 โดยหลวงพ่อ สังข์เฒ่า รองเจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่สมัยนั้น เห็นว่าพื้นที่ทางฝั่งคลองด้านตรงข้ามทางทิศเหนือของวัดละหารใหญ่มีทำเลดีเหมาะแก่การปลูกพืชผัก จึงได้หักล้างถางพงใช้เป็นพื้นที่ปลูกพืชผัก ขั้นแรกได้สร้างที่พักร่มเงาไว้ เมื่อถึงเวลาเข้าพรรษาก็จำพรรษาที่วัดละหารใหญ่ ต่อมามีผู้คนไปทำไร่ในแถบไกล้ๆที่นั้นมากขึ้น เห็นว่ามีพระสงฆ์อยู่ เมื่อถึงวันพระก็จัดภัตตาหารไปถวายเป็นประจำ ต่อมาได้มีพระภิกษุไปอยู่เพิ่มมากขึ้น จึงได้ก่อสร้างกุฏิวิหาร พระสงฆ์ก็มาจำพรรษาอยู่ที่นั่น ตั้งชื่อว่า วัดไร่วารี ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น วัดละหารไร่
 ในภายหลังทางวัดละหารไร่ได้มีพระภิกษุแก่อาวุโสขึ้น หลวงพ่อสังข์เฒ่าจึงมอบให้ปกครองกันเอง ส่วนตัวท่านได้กลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่ (ทราบว่าภายหลังได้รับการนิมนต์จากเจ้าเมืองระยองไปเป็นเจ้าอาวาสวัดเก๋ง จ.ระยอง) มอบหมายให้ หลวงพ่อแดง เป็นเจ้าอาวาสแทน แต่ต่อมาได้มีเจ้าอาวาสอีกหลายรูปปกครองวัดละหารไร่ คือ หลงพ่อเกิด หลวงพ่อสิงฆ์ หลวงพ่อจ๋วม ต่อมาหลวงพ่อจ๋วมได้ลาสิขาบท ทำให้วัดละหารไร่ขาดพระภิกษุจำพรรษาเป็นเวลา3เดือน ในขณะนั้น หลวงพ่อทิม อิสริโก(งามศรี) ได้เดินทางกลับจากจังหวัดชลบุรี พุทธศาสนิกชนบ้านละหารไร่จึงพร้อมใจกันนิมนต์เป็นเจ้าอาวาส
 เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2450 หลวงพ่อทิมจึงได้สร้างอุโบสถขึ้นหลังหนึ่งทำด้วยไม้ ปัจจุบันได้เลื่อนย้ายมาห่างจากที่เดิมประมาณ20วา และบูรณะให้อยู่ในสภาพเดิม ปีพ.ศ.2483 หลวงพ่อทิมได้มอบศาลาการเปรียญเป็นสถานที่เปิดสอนนักเรียนเพื่อให้บุตรหลานได้ศึกษาเล่าเรียน ต่อมาชาวบ้านเห็นดีด้วยจึงได้ร่วมใจสร้างอาคารเรียนแบบ ป.1 ข ขึ้นหลังหนึ่ง และเริ่มทำการสอนเมื่อวันที่ 17 พค. 2483 โดยมีนายเสียน จันทนีเป็นครูใหญ่
 ปีพ.ศ. 2478 พระอธิการทิม อิสริโก ได้รับการแต่งตั้งจากคณะสงฆ์ให้เป็นพระครูชั้นประทวน โดยส่งหมายและตราตั้งไว้ทางเจ้าคณะจังหวัดระยอง แต่หลวงปู่ทิมก็ยังไม่ยอมไปรับและไม่บอกใคร ทางจังหวัดจึงมอบหมายให้เจ้าคณะอำเภอมามอบให้ที่วัดเอง  ท่านจึงได้รับเป็น  พระครูทิม อิสริโก และได้รับเป็นพระคู่สวด  ปีพศ.2497  ทางคณะสงฆ์ได้แต่งตั้งพระครูทิม อิสริโก เลื่อนชั้นเป็นพระครูสัญญาบัตร  ท่านก็ยังไม่ยอมรับอีก  และไม่บอกญาติโยมให้รู้  จนทางเจ้าคณะอำเภอด้มีหนังสือส่งไปยังวัด  ไวยาวัจกรได้ทราบและนำเรื่องนี้ปรึกษาชาวบ้านและคณะกรรมการวัดให้ทราบ  จึงอาราธนาหลวงปู่ทิมมารับสัญญาบัตรพัดยศเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2507
  ปีพ.ศ. 2514 นายธง  สุขเทศน์  และชาวบ้านวัดละหารไร่  จึงได้ร่วมใจกันสร้างอุโบสถขึ้นใหม่โดยหลวงพ่อทิมมอบเงินให้เป็นทุนขั้นแรก 30,000 บาท  ทำพิธีวางศิลาฤกษ์  เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2515  ด้วยบารมของหลวงพ่อทิม  อุโบสถก็สำเร็จภายในระยะเวลาเพียงปีเศษเท่านั้น และได้ขอพระราชทานวิสุงคามเสมาทำพิธีฝังลูกนิมิตเมื่อต้นปี พ.ศ.2517
ขอขอบคุณข้อมูลจาก พี่ mahalap (คุณธีระ)ครับ :001: :001: :001:

26
 :002: :002:ผมขอบอกว่าให้ใช้วิจารณญาณส่วนบุคคลนะครับ เพราะผมไม่ต้องการให้กลายเป็นโฆษณาชวนเชื่อ :002: :002: เรื่องมีอยู่ว่าผมทำงานเกี่ยวกับด้านวิศวกรรม และพอดีในวันที่ 7 - 14 . 06 . 52 ผมได้รับคำสั่งให้ไปควบคุมงานแถวพุทธมนฑลสาย1 เป็นงานขุดพื้นดินเพื่อวางท่อร้อยสายไฟยาว ประมาณ 79 เมตร ลึกจากพื้นดินประมาณ 1 เมตร และจะต้องฝังท่อพักจำนวน 3 จุด ซึ่งจะต้องขุดดินเพื่อฝังท่อพักลึกประมาณ 1 เมตร 10 เซนติเมตร(ดูภาพประกอบ) ซึ่งที่ฐานท่อพักผมจะต้องทำการเทปูนรองพื้นที่ก้นหลุม หนาประมาณ 10 ซม. เหตุเกิดที่ท่อพักหลุมสุดท้าย(ตามภาพประกอบ)ในระหว่างที่ผมรอปูนเซ็ตตัวอยู่นั้น ผมได้เดินตรวจรอบๆ แต่แล้วก็ต้องงงเพราะว่าหลุมบ่อพักสุดท้ายเกิดเรื่องแปลกเมื่อมีรอยเท้าเด็กมาปรากฏที่ก้นหลุม ซึ่งลึกจากพื้นดินประมาณ 1 เมตร(ตามภาพประกอบ)ผมจึงเรียกช่างมาถามแบบเล่นๆว่า มีใครพาเด็กหรือลูกมาเลี้ยงในท่อบ้างรึเปล่า เมื่อช่างของผมมาเห็นก็ต่างตกใจ และถามผมว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ผมก็เลยหัวเราะแบบล้อเล่นและตอบช่างของผมไปว่าสงสัยลูกผมเองมั๊ง เพราะธรรมดาผมจะพกพากุมารของหลวงปู่แย้มแบบพกพาอยู่2องค์ คือรุ่นฐาน9และรุ่น95 แต่โดยส่วนตัวผมก็ยังงงๆว่ามันเกิดได้อย่างไรจึงนำเรื่องแปลกแต่จริงมาฝากครับ
 :002: :002:ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่าโปรดใช้วิจาณญาณส่วนบุคคลครับ โดยส่วนตัวผมเป็นคนอยู่แถบวัดสพานสูงจังหวัดนนทบุรีครับ(ไม่มีส่วนได้เสียกับวัดสามง่ามอยู่แล้ว :002: :002:

27


 
 :085: :085: :085:ถ้าเพื่อนๆท่านใดต้องการรูปของท่านแบบไม่มีโลโก้Schoolbusเพื่อนำไปอัดรูปและนำไปให้ท่านจารเพื่อสักการะบูชาก็ทำการPost Email addressไว้นะครับแล้วผมจะดำเนินการส่งเมลล์ให้ครับ 21; 21; 21;

29
ถ้ามีโอกาสไปแถวปากเกร็ด ขอเชิญไปร่วมทำบุญที่วัดบางจากและวัดสะพานสูงนะครับ
 - วัตถุมงคลของหลวงพ่อเปรื่อง(เจตนาดี)จัดสร้างขึ้นเพื่อหาทุนสร้างพระประธานริมแม่น้ำเจ้าพระยา(ตอนนี้ก่อสร้างแล้วเสร็จราว80%)และทำนุบำรุงวัด ภายในวัดอากาศร่มรื่น หลวงพ่อท่านก็ใจดีมีเมตตาสามารถนั่งสนทนากับท่านได้ทั้งวัน ปัจจุบันท่านอายุ 78 ปี
 - วัตถุมงคลของหลวงตาวาส(เจตนาดี)จัดสร้างขึ้นเพื่อหาทุนในการซ่อมแซมโบสถ์และทำนุบำรุงวัด ภายในวัดร่มรื่น ปกคลุมด้วยต้นไม้ และมีวังมัจฉาเพื่อทำบุญให้อาหารปลา หลวงตาท่านก็มีเมตตามาก ปัจจุบันท่านอายุ 94 ปี(แต่ไม่ควรรบกวนท่านมากนะครับเพราะท่านอายุเยอะแล้วให้ท่านได้พักผ่อนบ้าง)
 - เชิญชมภาพวัตถุมงคลของท่านที่ทางผมพอจะรวบรวมได้ครับ(รูปภาพอาจไม่ชัดเจนต้องขออภัย) :005: :005: :005:
(แอทMailผมแล้วชมที่www.hi5.com(Mail : pratch_ake@hotmail.com)

หน้า: [1]