แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - 8

หน้า: [1]
1
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / อนูโมทนา
« เมื่อ: 13 ส.ค. 2557, 02:26:38 »
                                         





                                   
อนุโมทนากถา

 สัพพะโรคะวินิมุตโต
 สัพพะสันตาปะวัชชิโต
 สัพพะเวระมะติกกันโต
นิพพุโต จะ ตุ วัง ภะวะฯ
 สัพพีติโย วิวัชชันตุ
 สัพพะโรโค วินัสสะตุ
 มา เต ภะวัตวันตะราโย
 สุขี ทีฆายุโก ภะวะ
 อภิวาทะนะสีลิสสะ
 นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน
 จัตตาโร ธัมมา วัฑฒ้นติ
 อายุ วัณโณ สุขัง พะลังฯ
 

2
                          
สวัสดีวันปีใหม่พา
ให้บรรดาเราท่านรื่นรมย์
ฤกษ์ยามดีเปรมปรีดิ์ชื่นชม
ต่างสุขสมนิยมยินดี

ข้าวิงวอนขอพรจากฟ้า
ให้บรรดาปวงท่านสุขศรี
โปรดประทานพรโดยปรานี
ให้ชาวไทยล้วนมีโชคชัย

ให้บรรดาปวงท่านสุขสันต์
ทุกวันทุกคืนชื่นชมให้สมฤทัย
ให้รุ่งเรืองในวันปีใหม่
ผองชาวไทยจงสวัสดี

ตลอดปีจงมีสุขใจ
ตลอดไปนับแต่บัดนี้
ให้สิ้นทุกข์สุขเกษมเปรมปรีดิ์
สวัสดีวันปีใหม่เทอญ
(ที่มา เพลงพรปีใหม เพลงพระราชนิพนธ์อันดับที่ ๑๓ ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ เมื่อเสด็จนิวัตพระนครและประทับ ณ พระตำหนัก จิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต มีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานพรปีใหม่แก่บรรดาพสกนิกรไทยด้วยเพลง จึงทรงพระราชนิพนธ์เพลง 'พรปีใม่' และทรงพระ กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็จศิริ นิพนธ์คำร้องเป็นคำอำนวยพรปีให่ แล้วพระราชทานแก่วงดนตรี ๒ วง คือ วงดนตรี นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นำออกบรรเลง ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวงดนตรีสุนทราภรณ์ นำออกบรรเลง ณ ศาลาเฉลิมไทย ในวันปีใหม่ วันอังคารที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๕)


     

                             

3
                           

4
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ไหว้ครู
« เมื่อ: 26 ธ.ค. 2556, 04:11:56 »
                               

7
คุณภุชงค์ บุญชูยิ่ง และภรรย่า         2,000 บาท
คุณไตรทัศน์ เจริญสูงเนิน                200 บาท
08/08/2556

8
คุณประเวช ทันตา (berm)+ฤทัยรัตน์ มากจุ้ย       500 บาท
(ครั้งแรก คุณประเวชทำมาแล้ว  1,000 บาท)

9
คุณจีระนันท์ เทียนกาญจรนา*คุณมานิช นุชจำเริญ*ด.ช.ปพน นุชจำเริญ1,500 บาท
คุณอภิรัฐชัย มณฑ์สิริชัยกุล*คุณเบียร์+คุณต่าย*คุณเบียร์          4,500 บาท
คุณหนึ่ง เซ็นทรัลลาดพร้าว               1,500บาท
06/08/2556

11
                        

                        


                                                      สาธุ สาธุ สาธุ
                              สมทบทำบุญถวายกุศลหลวงพ่อเปิ่่น วันที่ 12 สิงหาคม 2556













12
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / อนุโมทนา
« เมื่อ: 23 ก.ค. 2556, 09:12:24 »
                                                              อนุโมทนาบญแด่ผู้รวมบุญในวันที่ 12 สิงหาคมปีนี้
+พระอาจารย์ต้อย  วัดบางพระ                   50,000.-
+คุณสุปรียา รุ่งเจริญไพศาลและครอบครัว      14,000.-
+อ.เจตน์(บ้านโป่ง)สามแยกกระจับและคณะศิษย์  15,469.-
+คุณอ้อม*คุณหรั่ง*คุณชาญ                    30,000.-
+พระครูสรพาจน์โฆสิต(พระอาจารย์หนุ่ม วัดบางแวก)  10,000.-

13
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / 2556
« เมื่อ: 18 ก.ค. 2556, 05:15:03 »

ขอบคุณ

14



**กราบขอบพระคุณ พระอาจารย์โด่ง ที่นำสัปปะรดมาเลี้ยง(และอนุโมทนาแด่ศิษย์ที่มาช่วยปอกสัปปะรดทุกท่าน)
**อนุโมทนาแด่ อ.หวอ จากมีนบุรี ที่นำก๋วยจั๊บมาเลี้ยง
**อนุโมทนาแด่ อ.เอ้ จากสำนักศิลป์ไสยเวทย์ ที่นำหมูย่างและข้าวเหนียวมาเลี้ยง
**อนุโมทนาแด่ ปลัดบั๊บ ที่นำน้ำอัดลมมาเลี้ยง(เป็นประจำ)
**อนุโมทนาและขออำนวยพร ให้ญาติโยม ศิษย์ ศิษยานุศิษย์ที่มาร่วมงาน
ขอให้เจริญยิ่งในธรรม และจิตแห่งเมตตา ตลอดไป
                                               เจริญพร
                                                 8

15
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / อนุโมทนา
« เมื่อ: 07 ม.ค. 2555, 04:57:36 »
ขออนุโมทนา ชาวคณะศิษย์หลวงพ่อเปิ่น เอลมานูเอล ได้ทำบุญเลี้ยงพระประจำปี เมื่อวันที่ ๑  มกราคม  ๒๕๕๕
ได้ร่วมกันถวายผ้าป่าเป็นจำนวนเงิน  ๔๕,๔๗๑.๗๕ บาท
จึงขอเจริญพร และอนุโมทนา ณ ที่นี้ อีกวาระหนึ่ง



16
กำหนดการทอดกฐินสามัคคี ณ วัดบางพระ ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ถ้าจะมาร่วมบุญ ขณะนี้ขอแนะนำเส้นทางเพชรเกษม
หรือสอบถามเส้นทางก่อนออกเดินทาง
                                ขอบคุณ

18
เพิ่มเติมครับ
อาจารย์หวอ  1.แกงเลียง 2.ปลาดุกย่าง 3.น้ำพริกกะปิ 4.ชะอมทอดไข่
เจ้สร้อย สรรพาวุธ 1.มัสมั่น
ศิษย์สายหัวตะเข้ 1.ทอดมัน
คณะศิษย์หลวงพ่อเปิ่น 1.ปลานิล
คุณพัชรี 1.ส้มตำ
คุณต้อม 1.กระเพราะปลา
คุณตี้กะหมวยและชาวคณะ 1.น้ำเต้าหู้ปลาท่องโก๋
อาจารย์เอ้ วัดดอกไม้        หมูย่าง
  **
ศิษย์วัดนก         ลูกชิ้นปิ้ง
อ.หวอ(เพิ่มเติม)             พะโล้หมู
คุณต้อม สุวรรณภูมิ (เพิ่มเติม) ลูกชิ้น  ไส้กรอก สำหรับทอดและปิ้ง

พระอาจารย์ต้อย ฝากมา**คุณเย็นจิต บุญชัยศรี(เจ๊แดง วัดราชฯ)  ทอดมัน  ลอดช่อง(วัดเจษฎ์)     

19
เพิ่มเติม
คุณณัฐภาส  จันทร์สมบูรณ์(ริน)             1,500.-
คุณชัยวัฒน์                      500.-                   
คุณสุชาติ-อาชาวิน             120.-
**และขออนุโมทนา คุณอ๊อฟ สามพราน และเพื่อน ๆ สำหรับส้มโอ 50 ใบ           

20
**** 

            ขอให้เจริญด้วยธรรม และ อายุ วรรณะ สุขะ พละ

21
************
        ขอนมัสการ และกราบขอบพระคุณ พระอาจารย์เมสัน(โด่ง)
 ได้จัดสร้างย่ามพระถวายในงานบุญหลวงพ่อเปิ่น โดยโยมสาธิต โยมสนองและเพื่อน
รับเป็นธุระนำมาถวาย
       ขออนุโมทนา และขอให้บรรลุธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป
                                            **นมัสการ**


22
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: wellcome back
« เมื่อ: 25 มิ.ย. 2553, 08:39:22 »
wellcome home
 :114: :114: :114:

23
ขออนุโมทนา และแสดงความยินดีด้วย
ขอให้เจริญยิ่งในธรรมแห่งตถาคต
                           888

24
**ขออนุโมทนา แด่ อาจารย์หนวด และศิษย์ ศิษยานุศิษย์ในหลวงพ่อเปิ่น
ที่ประกอบพิธีไหว้ครูที่ตำหนักหนองปรือ ค่าบูชาครูในวันนั้นท้งหมด 14,069.-
จะได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของพระอาจารย์ต่อไป**

                                              ขออนุโมทนา

25
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / อนุโมทนา
« เมื่อ: 02 ก.พ. 2553, 06:11:22 »
************ขออนุโมทนา คุณเผือก วัดนก ที่ได้ชักชวนเพื่อน ๆ ร่วมทำบุญสมทบสร้างพระรูปพระเจ้าตากสินมหาราช
เพีืิ่อประดิษฐาน ณ วัดนก เป็นจำนวนเงิน 20,000.-บาท
                                                            **ขออนุโมทนา**

26
ที่มาhttp://school.obec.go.th/nongjabtao/New_Web/pra_rat_pra_vut.htm




                            

       ในหลวงของเราชาวไทย
         •  วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๗๐ ตรงกับวันจันทร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๑๒ ค่ำ ปีเถาะ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช พระราชโอรสพระองค์เล็กในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ และหม่อมสังวาลย์ ประสูติ ณ โรงพยาบาลเมานท์ออเบร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสสาซูเสตต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เหตุที่ประสูติที่อเมริกา เพราะขณะนั้น พระบรมราชชนก เสด็จทรงศึกษาและปฏิบัติหน้าที่ราชการในต่างประเทศ ทรงมีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล    

 
         •  พระนาม “ ภูมิพลอดุลยเดช ” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้รับพระราชทานมาจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ มีความหมายว่า “ ผู้ทรงกำลังอำนาจไม่มีอะไรเทียบในแผ่นดิน ”
 
         •  หลังจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงประกาศสละราชสมบัติเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๔๗๗ รัฐบาลไทยในขณะนั้นได้กราบทูลเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ซึ่งเป็นพระบรมเชษฐาธิราช เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ ๘ แห่งราชจักรีวงศ์ จากนั้นในวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๔๗๘ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช ทรงได้รับเฉลิมพระนามเป็น “ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ” ในครั้งนั้นทั้งสองพระองค์ยังประทับอยู่ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
 
         •  ในปี ๒๔๘๐ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช สายพระเนตรสั้นลง เป็นเหตุให้ต้องทรงฉลองพระเนตรนับตั้งแต่นั้นมา
 
         •  ในปี ๒๔๘๘ หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลง รัฐบาลได้กราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ซึ่งขณะนั้นทรงพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษา เสด็จกลับมาประทับเป็นมิ่งขวัญของประชาชนชาวไทย ในการเสด็จนิวัตสู่ประเทศไทยครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในฐานะพระเจ้าน้องยาเธอฯ ได้เสด็จกลับมาด้วย โดยได้เสด็จถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๘๘ อันตรงกับวันพระราชสมภพ ขณะมีพระชนมายุครบ ๑๘ ปีบริบูรณ์
 
         •  ในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ ประชาชนชาวไทยต้องประสบกับความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง เมื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต อย่างกระทันหันด้วยพระแสงปืน ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง และในวันเดียวกันนี้เอง พระบรมวงศานุวงศ์และคณะรัฐมนตรีก็ได้กราบบังคมทูล อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็น พระมหากษัตริย์ลำดับที่ ๙ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ และได้มีการประกาศเฉลิมพระนามว่า “ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ” แต่เนื่องจากในขณะนั้นทรงมีพระชนมายุเพียง ๑๙ พรรษา ยังไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินด้วยพระองค์เองได้ อีกทั้งยังมีพระราชภารกิจเรื่องการศึกษา จึงได้มีการแต่งตั้งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร และพระยามานวรราชเสวี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
 
         •  วันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๔๘๙ ได้เสด็จกลับไปศึกษาต่อที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์พร้อมสมเด็จพระราชชนนี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธออีกครั้ง โดยก่อนจากประเทศไทยในครั้งนั้น ได้ทรงเสด็จไปถวายบังคมลาพระบรมศพพระบรมเชษฐาธิราชที่พระบรมมหาราชวัง ขณะที่ประทับรถยนต์พระที่นั่งไปยังสนามบินดอนเมือง ได้มีประชาชนคนหนึ่งตะโกนว่า “ อย่าละทิ้งประชาชน ” ซึ่งพระองค์ก็ได้ทรงมีพระราชนิพนธ์เรื่อง “ เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิตเซอร์แลนด์ ” ว่าทรงอยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า “ ถ้าประชาชนไม่ “ ทิ้ง ” ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะ “ ละทิ้ง ” อย่างไรได้ แต่รถวิ่งเร็วและเลยไปไกลเสียแล้ว ..”
 
         • เมื่อเสด็จกลับไปยังประเทศสวิสเซอร์แลนด์เพื่อศึกษาต่อ ก็ได้ทรงเปลี่ยนจากสาขาวิทยาศาสตร์ มาทรงศึกษารัฐประศาสนศาสตร์ และนิติศาสตร์ เพื่อเตรียมพระองค์ในการเป็นพระประมุขของประเทศ
 
         •  ในปี ๒๔๙๓ เมื่อเสด็จนิวัตกลับประเทศไทยแล้ว ได้ทรงกำหนดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลตั้งแต่วันที่ ๑๘ มีนาคม จนถึงวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๔๙๓ อันเป็นวันถวายพระเพลิงพระบรมศพ
 
         •  หลังจากนั้นใน วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯก็ได้ทรงจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ซึ่งพระราชพิธีราชาภิเษกครั้งนี้ นับเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกสำหรับพระมหากษัตริย์ไทยในยุคประชาธิปไตย ที่ได้ทรงจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่นเดียวกับปวงชนชาวไทย
 
         •  ในวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ ได้ทรงจัด พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพระมหากษัตริย์ปกครองแผ่นดินอย่างสมบูรณ์ โดยมีพระปรมาภิไธยว่า “ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ” ซึ่งในครั้งนั้นได้ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการว่า “ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม ” พร้อมกันนี้ได้ทรงสถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ พระอัครมเหสี ขึ้นเป็น “ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ”
 
         •  ในวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงผนวช ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง โดยมีสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช (หม่อมราชวงศ์ชื่น นภวงศ์) วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงเป็นพระราชอุปชฌาย์ และสมเด็จพระสังฆราชได้ถวายพระสมณฉายานามว่า “ ภูมิพโล ภิกขุ ” ทรงประทับจำพรรษา ณ พระตำหนักปั้นหยา วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงดำรงอยู่ในเพศบรรพชิตอยู่ ๑๕ วันจึงลาผนวชเมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ ในระหว่างทรงผนวช ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีเป็นผู้สำเร็จราชการทรงปฏิบัติราชการแผ่นดินแทนพระองค์ ซึ่งทรงปฏิบัติราชกรณียกิจในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้อย่างเรียบร้อยเป็นที่พอพระราชหฤทัย จึงได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี นาถ ในปีเดียวกันนี้เอง    

 
         •  ในปี ๒๕๐๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ได้ เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการครั้งแรกในรัชกาล โดยเริ่มจากประเทศสาธารณรัฐเวียดนาม อินโดนีเซีย และสหภาพพม่า และในปี ๒๕๐๓ ก็ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศในทวีปยุโรป รวม ๑๔ ประเทศ ตั้งแต่วันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๐๓-วันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๐๔ ซึ่งในการเสด็จฯเยือนต่างประเทศครั้งนั้น นอกจากจะช่วยกระชับความสัมพันธ์กับมิตรประเทศแล้ว ทั้งสองพระองค์ยังได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจจนบังเกิดผลสำเร็จ นำผลประโยชน์มาสู่ประเทศชาติและประชาชนชาวไทยมากมาย ทรงเป็นที่กล่าวขานถึงพระบารมีเลืองลือขจรไกล
 
         •  ในปี ๒๕๐๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเจริญพระชนมายุเสมอด้วยสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก จึงทรงโปรดเกล้าฯให้มีพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลในวโรกาสมหามงคลข้างต้นตามโบราณราชประเพณี ที่นิยมเฉลิมฉลองวโรกาสที่พระเจ้าอยู่หัวฯทรงเจริญพระชนมายุเสมอด้วยสมเด็จพระบรมราชบุรพการี
 
         •  ในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๑๔ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงกระทำ “ พระราชพิธีรัชดาภิเษก ” อันเป็นพิธีเฉลิม ฉลองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ ปี และในปี ๒๕๒๐ คณะบุคคลอันประกอบด้วยประชาชนทุกสาขาอาชีพ ได้พร้อมกันแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยการน้อมเกล้าฯถวายพระราชสมัญญา “ มหาราช ” พร้อมจัดงานถวายพระพรและเฉลิมพระเกียรติในวันเฉลิมพระชนมพรรษา โดยใช้ชื่อว่า “ ๕ ธันวามหาราช ” ต่อมาเพื่อความพร้อมเพรียงในหมู่พสกนิกรชาวไทยในอันที่จะถวายพระราชสมัญญา “ มหาราช ” จึงได้มีการสำรวจประชามติทั่วประเทศ ปรากฎว่าประชาชนมีความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น จึงได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ถวายพระราชสมัญญา “ มหาราช ” เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๐
 
         •  วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙ คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้น้อมเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญา “ อัครศิลปิน ” แด่พระองค์ ด้วยทรงเป็นเลิศในศิลปะหลายสาขา อาทิ ดุริยางคศิลป์ ทัศนศิลป์ และนฤมิตศิลป์ เป็นต้น คำว่า “ อัครศิลปิน ” หมายถึง ผู้มีศิลปะอันเลอเลิศ หรือผู้เป็นใหญ่ในศิลปินก็ได้ เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นอกจากจะทรงเป็นเลิศในศิลปะทั้งปวงแล้ว ยังทรงมีคุณูปการได้ทรงอุปถัมภ์แก่ศิลปินทั้งหลายด้วย
 
         •  วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๓๑ ได้มีการจัด “ ราชพิธีรัชมังคลาภิเษก ” อันเป็นพระราชพิธีเฉลิมฉลองเนื่องใน อภิลักษขิตสมัยที่ทรงครองราชสมบัติยาวนานกว่าสมเด็จพระมหากษัตราธิราชเจ้าแห่งราชอาณาจักรไทยทุกพระองค์ในอดีต ซึ่งเป็นมหามงคลวโรกาสที่หาได้ยากยิ่ง คือ ทรงครองราชย์สมบัติเป็นเวลา ๔๒ ปี ๒๒ วัน ซึ่งเป็นเวลาจำนวนปีและวันเท่ากับสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระอัยยิกาธิราช
 
         •  วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๓๙ เป็นวันที่ ทรงครองราชย์สมบัติครบ ๕๐ ปี รัฐบาลได้จัดงานเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่เพื่อถวายเป็นราชสักการะและถวายพระพรชัยมงคล พระองค์ได้โปรดเกล้าฯพระราชทานชื่องานว่า “ พระราชพิธีกาญจนาภิเษก ” นับเป็นมหามงคลสมัยพิเศษอีกวาระหนึ่งที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทย
 
         •  วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๓ ได้มีงาน “ พระราชพิธีสมมงคล พระชนมายุ ๗๓พรรษา เท่ากับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ” ( สมมงคล อ่านว่า สะ-มะ-มง-คล)คือวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระชนมายุได้ ๒๖,๔๖๙ วัน เท่ากับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
 
         •  วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙ ปีนี้ เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ได้ทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานชื่องานว่า “ พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ” ซึ่งหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งพสกนิกรชาวไทยต่างร่วมใจกันจัดกิจกรรมต่างๆเพื่อถวายเป็นราชสักการะ และร่วมเฉลิมฉลองวโรกาสมหามงคลครั้งนี้ทั่วประเทศ ที่สำคัญคือจะมีประมุขและพระบรมวงศานุวงศ์จากมิตรประเทศมาร่วมถวายพระพรด้วย    

 
         •  และใน วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ จะทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๘๐ พรรษา ซึ่งได้โปรดเกล้าฯพระราชทานชื่อมาแล้วว่า “ พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ”ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น คือเหตุการณ์สำคัญต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช “ ในหลวง ผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย ” ซึ่งตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์ นับตั้งแต่วันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ ตราบจนปัจจุบัน เป็นเวลา ๖๐ ปีเต็ม จนกล่าวได้ว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก ได้ทรงอุทิศพระวรกาย พระราชหฤทัย และพระสติปัญญาบำเพ็ญพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ทั้งปวงเพื่ออาณาประชาราษฎร์ของพระองค์อย่างมากมายมหาศาลตลอดมา จนยากยิ่งที่จะหาพระมหากษัตริย์พระองค์ใด หรือประมุขของประเทศใดในโลกมาเทียบเคียงได้ ดังนั้น ในโอกาสมหามงคลสมัยนี้ จึงขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยทั้งในและนอกประเทศได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ด้วยการตั้งใจ “ ทำความดี ” และ “ รู้รักสามัคคี ” ถวายเป็นพระราชสักการะ ให้สมกับที่พวกเราได้มีบุญเกิดบนผืนแผ่นดินไทย ที่มี “ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ” เป็นพระประมุขของชาติ
 
ขอขอบคุณ  คุณอมรรัตน์  เทพกำปนาท
กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติเป็นที่มาของบทความ
 


27



                                                     



28
ที่มาhttp://www.tongzweb.com/10-23.asp

(ภาพจากgoogle)
23 ตุลาคม วันปิยมหาราช
วันปิยมหาราช เป็นวันที่เหล่าพสกนิกรชาวไทย นำดอกไม้ธูปเทียนพวงมาลา มาถวายบังคมต่อพระบรมราชานุสรณ์ ของพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือพระปิยมหาราชเพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหาธิคุณนานาประการ ที่พระองค์มีต่อปวงชนชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้ พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพศืรินทราบรมราชินี ประสูติเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 ตรงกับวันอังคาร เดือน 10 แรม 3 คํ่า ปีฉลู ณ พระตำหนัก ตึกด้านหลังองค์พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง ทรงมีพระนามเดิมว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ครั้นมีพระชนมายุ 15 พรรษา ทรงได้รับเลื่อนกรมขึ้นเป็น กรมขุนพินิจประชานาถ
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิจประชานาถ จึงได้เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระบรมชนกนาถ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 ขณะนั้นพระองค์มีชนมายุย่างเข้า 16 พรรษา นับเป็นพระมหากษัริตย์องค์ที่ 5 แห่งพระบรมราชจักรีวงค์ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
หลังจากที่ขึ้นครองราชย์แล้วพระองค์ได้ทะนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าเพื่อหวังให้ทัดเทียมกับบรรดานานาอารยประเทศ ทรงโปรดให้มีการจัด การปฏิรูประเบียบแบบแผนการปกครอง เปลี่ยนแปลงแก้ไขจัดระเบียบราชการบริหารเสียใหม่ เพื่อให้เหมาะสมกับความ ต้องการของกาลสมัย ได้มีการแต่งตั้งตำแหน่งเสนาบดีและกระทรวงเพิ่มขึ้นใหม่ โดยแบ่งเป็น 12 ส่วน คือ กระทรวงมหาดไทย กรมพระกลาโหม กรมทำ กรมวัง กรมเมือง กรมนา กรมพระยาคลัง กรมยุติธรรม กรมยุทธนาธิการ กรมธรรมการ กรมโยธาธิการ และกรมมุรธาธิการ
นอกจากนี้ยังได้มีการให้ชำระกฏหมายและสร้างประมวลกฏหมายขึ้นมา สำหรับการศาลนั้นให้มีการตั้งกระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2434 การศาสนาได้ให้มีการชำระและพิมพ์พระไตรปิฏก โดยโปรดให้สร้างพระไตรปิฏกฉบับทองทึบด้วคัมภีร์ใบลาน เมื่อปี พ.ศ. 2431 ตราพระราชบัญญติลักษณะการปกครองสงฆ์ ในปี พ.ศ. 2445 และโปรดให้มีการสร้างวัดสำคัญๆเช่น วัดเบญจมบพิตร วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม วัดเทพศิรินทราวาส วัดราชาธิวาส (โปรดให้รื้อใหม่หมด ) วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ (บางปะอิน) วัดอัษฎางคนิมิตร และวัดจุฐาทิศธรรมสภาราม (อยู่ที่เกาะสีชัง )
อีกทั้งโปรดให้มีการบูรณะวัด ได้แก่ วัดศรีรัตนศาสดาราม วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ วัดมงกฏกษัตริยาราม พระพุทธบาทสระบุรี วัดสุวรรณดาราม ( พระนครศรีอยุธยา ) พระปฐมเจดีย์ทรงสร้างต่อมาจากสมเด็จพระบรมชนกนาถ
สำหรับการสาธารณูปโภค ได้มีการตั้งธนาคารไทยขึ้นในปี พ.ศ. 2447 โดยพระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ร่วมกับกลุ่มบุคคลคณะหนึ่ง ก่อตั้งะนาคารไทยแห่งแรกขึ้น เรียกว่า บุคคลัภย์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2445 ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจดทะเบียนเป็น บริษัท แบงค์สยามกัมมาจลทุน จำกัด ดำเนินกิจการตามแบบสากล โดยคนไทยทั้งคณะ
นอกเหนือจากนี้ยังมีกิจการ การไฟฟ้า เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลของพระองค์ ในปี พ.ศ. 2433 การประปา ในปี พ.ศ. 2452 การพยาบาลและสาธารณสุข พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นทุนประเดิมให้สร้างโรงพยาบาลวังหลัง ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น โรงพยาบาลศิริราช โดยเริ่มเปิดดำเนินงานในวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2431
การขนส่งและการสื่อสาร โปรดให้มีการสำรวจพื้นที่สร้างทางรถไฟ จากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2431 และในวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2434 ได้เสด็จพระราชดำเนินไปขุดดินก่อพระฤกษ์ เริ่มสร้างทางรถไฟสายนครราชสีมา นับเป็นรถไฟหลวงสายแรก (ทางรถไฟราษฎร์สายแรก คือ สายกรุงเทพ - ปากนํ้า ดำเนินงานโดยชาวเดนมาร์กคณะหนึ่ง เริ่มเปิดบริการเมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2436 ระยะทาง 21 กม. )
การไปรษณีย์ โปรดให้ตั้งกรมไปรษณีย์เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2426 เปิดกิจการเมื่อ วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2426 โดยเปิดใน พระนครเป็นปฐม ส่วนการโทรเลข ได้เริ่มงานในปี พ.ศ. 2412 โดยโปรดให้ชาวอังกฤษ 2 นายประกอบการขึ้น แต่ไม่สำเร็จ ทางราชการกระทรวงกลาโหมจึงรับช่วงมาทำเอง เมื่อปี พ.ศ. 2418 โทรเลขสายแรก คือ สายระหว่างกรุงเทพฯ กับ สมุทรปราการ ซึ่งยาว 45 กม. และยังมีสายใต้นํ้าที่วางต่อไปจนถึงประภาคารที่ปากนํ้าเจ้าพระยา
การโทรศัพท์ กรมกลาโหมได้นำมาใช้ในขั้นทดลองเมื่อปี พ.ศ. 2424 โดยติดตั้งจากกรุงเทพ ฯ ถึงสมุทรปราการ เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2429 กรมโทรเลขได้รับโอนงานมาจัดตั้งโทรศัพท์กลางขึ้นในพระนคร และเปิดให้ประชาชนเช่าใช้โทรศัพท์ ติดต่อสื่อสารกันด้วย
ด้านการศึกษา โปรดให้ตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เมื่อปี พ.ศ. 2141 โดยมีหลวงสารประเสริฐ (น้อย อาจาริยางกูร ) เป็นอาจารย์ใหญ่ ปี พ.ศ. 2422 โปรดให้ตั้งโรงเรียนขึ้นที่พระราชวังนันทอุทยาน สวนอนันต์ ธนบุรี ปี พ.ศ. 2424 โปรดให้ตั้งโรงเรียน กรมมหาดเล็กแล้วยกเป็นโรงเรียนนายทหารมหาดเล็ก ในปี พ.ศ. 2425 ย้ายไปอยู่พระตำหนักสวนกุหลาบ จึงเรียกกันว่า โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ นอกจากนี้ยังส่งเสริมเกี่ยวกับการศึกษาในต่างประเทศโดยทุนหลวง ฯลฯ
ในด้านวรรณคดี ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน ไกลบ้าน เงาะป่า ลิลิตนิทราชาคริต ฯลฯ และในรัชสมัยของ พระองค์ได้เกิดกวีนักปราชญ์คนสำคัญมากมาย อาทิเช่น พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย ) ผู้ประพันธ์แบบเรียนภาษาไทย 6 เล่ม และพรรณพฤกษากับสัตววาภิธาร ซึ่งแต่งใกล้ๆกันทั้งสองเรื่องในระยะ พ.ศ. 2427 เพื่อเป็นแบบสอนอ่นภาษาไทย นอกจากนี้ยังมี พระองค์เจ้าบรมวงค์เธอ กรมพระนราธิปประพันธพงค์ ซึ่งสร้างผลงานวรรณกรรมช้นเอกไว้มากมาย เช่น สาวเครือฟ้า อาหรับราตรี จดหมายเหตุลาลูแบร์ ทรงใช้พระนามแฝงว่า " ประเสริฐอักษร " กวีท่านอื่นๆ ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงค์เธอ พระะยาดำรงราชานุภาพ ผู้ทรงพระนิพนธ์ไทยรบพม่า นิราศนครวัด และ เทียนวรรณ ผู้มีผลงานทางวรรณคดีหลายเรื่อง
พระองค์ทรงโปรดให้มีการตั้งหอพระสุมดสำหรับพระนคร โดยรวมหอพระสมุดเดิม 3 นคร ในปี พ.ศ. 2417 ตั้งโบราณคดีสโมสร ในปี พ.ศ. 2450
ด้านการต่างประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงขึ้นครองราชย์ในช่วงที่กำลังมีการล่าอาณานิคม แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ทำให้ประเทศไทยรอดพ้นมาได้ แม้จะต้องเฉือนแผ่นดินบางส่วนให้ปไเรียกว่าเป็นการเสียแผ่นดิดแดน บางส่วน แต่ก็ยังสามารถรักษาเอกราชไว้ได้
การเลิกทาส
พระราชกรณียกิจอีกชิ้นหนึ่ง ที่แสดงถึงพระปรีชาสามารถของพระองค์ คือ การเลิกทาส โดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ โดยเริ่มให้มี ตราพระราชบัญญัติพิกัดเกษียณอายุลูกทาสลูกไท ขึ้นในปี พ.ศ. 2417 โดยกำหนดให้ลูกทาสที่เกิดแต่ปีมะโรง พ.ศ. 2411 อันเป็นปีแรกที่พระองค์ครองราชย์ให้ใช้อัตราค่าตัวใหม่ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติ พออายุครบ 8 ปี ก็ถือว่าค่าตัวเต็มค่าแล้วการเป็น ทาสอีก และระบุโทษแก่ผู้ซื้อขายไว้ด้วย
ในปี พ.ศ. 2420 เมื่อพระองค์มีชนมายุครบ 2 รอบ ได้บริจาคพระราชทรัพย์ไถ่ตัวทาสที่ขายตัวอยู่กับนายเงินคนเดียวมาครบ 25 ปี รวมทั้งลูกหลานทาสนั้น อีกทั้งพระราชทานที่ให้ทำกินด้วย พระราชดำริอันนี้มีผู้เจริญรอยตามมาก ช่วยให้ทาสเป็นอิสระได้เร็วขึ้น อีกทางหนึ่ง
ในปี พ.ศ. 2443 โปรดให้ตราพระราชบัญญัติลักษณะทาสนณฑลตะวันตกเแยงเหนือ ร.ศ. 119 ขึ้น โดยให้ลดค่าตัวทาสเชลย ทั้งปวงในมณฑลตะวันตกเฉียงเหนือ คือ เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน ให้เป็นอัตราเดียวกันหมด และเมื่ออายุครบ 60 ปีแล้ว ก็ให้เป็นไทแก่ตัว ส่วนทาสสินไถ่ถ้ามีอายุครบ 60 ปีแล้ว ยังหาเงินมาไถ่ไม่ได้ ก็โปรดให้เป็นไทเช่นกัน
ในวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2447 ทรงประกาศลดค่าตัวทาสในมณฑลบูรพา โดยให้นายเงินลดค่าตัวทาสลงเดือนละ 4 บาท จนกว่าจะหมด และห้ามการซื้อขายทาสกันต่อไป
ในปี พ.ศ. 2448 โปรดให้ตราพระราชบัญญัติทาสรัตนโกสินทร์ศก 125 ขึ้น เพื่อใช้บังคับทั่วพระราชอาณาจักร
ด้วยพระปรีชาสามารถและการมีสายพระเนตรอันยาวไกล ในอีก 30 ปีต่อมา นับแต่มีพระราชดำริให้มีการเลิกทาส ในเมืองไทยก็ปราศจากทาสโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้ประเทศไทยก็เจริญรุ่งเรืองเทียมเท่าบรรดาอารยประเทศ และรักษาความเป็นเอกราช ไว้ได้ตราบเท่าทุกวันนี้
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราชของปวงชนชาวไทย เสด็จสวรรคตในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 เมื่อมีพระชนมายุ 58 พรรษา รวมเวลาอยู่ในสิริราชสมบัตินับไดถึง 42 ปีเศษ การจากไปของพระองค์ยังความโศกเศร้ามาสู่พสกนิกร ของพระองค์โดยทั่วหน้า เมื่อถึงวันคล้ายวันสวรรคต จึงพร้อมใจกันนำพวงมาลาไปถวายบังคมพระบรมราชานุสรณ์ เพื่อรำลึกถึง พระมหากรุณาธิคุณ เป็นประจำทุกปี

29
อนุโมทนา
                                                                             (ภาพประกอบsanook.com)

30
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / อนุโมทนา
« เมื่อ: 13 ส.ค. 2552, 06:10:00 »
แด่ทุกท่าน

ศัพท์ธรรมคำวัด : อนุโมทนา

มีคำอยู่คำหนึ่งที่ชาวพุทธพูดกันจนติดปาก คำนั้นก็คือ ?อนุโมทนา? ความหมายของอนุโมทนาคืออะไร และเมื่อไหร่ที่ควรใช้คำนี้ คำตอบก็คือ...

ในหนังสือ ?คำวัด? โดยพระธรรมกิตติวงศ์ ได้อธิบายความหมายของคำนี้ไว้ว่า

อนุโมทนา หมายถึง การแสดงความชื่นชมยินดีในบุญหรือความดีที่ผู้อื่นทำ การอนุโมทนานั้นอาจทำได้ด้วยการพูด เขียนหนังสือ หรือแสดงกิริยาก็ได้ เช่น เมื่อได้ยินเสียงย่ำฆ้องกลองที่วัดในตอนเย็น แสดงว่าพระท่านทำวัตรเย็นจบ ก็ยกมือขึ้นประนมไหว้ เปล่งวาจาว่าสาธุ เป็นการอนุโมทนาต่อพระสงฆ์ที่วัด หรือมีใครทำบุญ แล้วมาบอกให้ทราบ ทราบแล้วก็ยกมือขึ้นสาธุ เป็นการอนุโมทนาบุญของเขาด้วย

เรียกการพูดแสดงความยินดีในความดีของผู้อื่นว่า ?อนุโมทนากถา?

เรียกหนังสือรับรองการบริจาคที่วัดออกให้แก่ผู้บริจาคทรัพย์ทำบุญว่า ?อนุโมทนาบัตร หรือใบอนุโมทนา?

เรียกบุญที่เกิดจากการอนุโมทนาตามตัวอย่างข้างต้นว่า ?อนุโมทนามัยบุญ?

และการที่ภิกษุกล่าว สัมโมทนียกถา อันแปลว่า ถ้อยคำอันเป็นที่บันเทิงใจ ใช้เรียกการที่ภิกษุพูดแสดงความขอบคุณหรือกล่าวถึงประโยชน์และอานิสงส์ของความดี ของบุญกุศล ที่ทายกทายิกาได้ทำ เช่น ถวายอาหาร สร้างกุฏิ สร้างหอระฆัง เป็นต้น ไว้ในบวรพระพุทธศาสนา บางทีเรียกว่า อนุโมทนากถา

ส่วนในหนังสือศาสนพิธี เล่ม ๒ ฉบับมาตรฐาน โดยคณาจารย์แห่งโรงพิมพ์เลี่ยงเชียง ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า

ธรรมเนียมของพระภิกษุสามเณร เมื่อได้รับถวายปัจจัยสี่ ไม่ว่าจะเป็นภัตตาหาร หรือทานวัตถุใดๆ ก็ตามจากทายกทายิกา จะต้องทำพิธีอนุโมทนาทานนั้น ไม่ว่าจะได้รับรูปเดียวหรือหลายรูปก็ตาม ต้องอนุโมทนาทุกครั้ง จะละเว้นเสียมิได้ถือว่าผิดพระพุทธานุญาต ต่างแต่ว่าอนุโมทนาต่อหน้าหรือลับหลังเท่านั้น

ธรรมเนียมนี้ปฏิบัติกันมาแต่ครั้งพุทธกาลแล้ว ฉะนั้นการอนุโมทนาทานจึงเป็น ประเพณีมานานในหมู่สงฆ์ การประกอบพิธีอนุโมทนาลับหลังทา ยกทายิกามีวิธีเดียว คือ การบิณฑบาตที่ต้องออกรับในสถานที่ต่างๆ ทั่วไปไม่จำกัด กรณีเช่นนี้ไม่ต้อง อนุโมทนาต่อหน้าขณะที่รับบิณฑบาต แต่กลับมาถึงวัดฉันอาหารเรียบร้อยแล้ว จึงอนุโมทนา หรือยกไปอนุโมทนาในช่วงทำวัตรสวดมนต์ เช้า - เย็นก็ได้

ส่วนพิธีอย่างอื่นนอกจากนี้ควรจะอนุโมทนาต่อหน้าเสมอไปจึงจะสมควร พิธีอนุโมทนาแบ่งออกเป็นหัวข้อใหญ่ๆ ได้ ๒ หัวข้อคือ

๑. สามัญอนุโมทนา คือ การอนุโมทนาที่นิยมใช้ปฏิบัติกันโดยทั่วไป ไม่จำกัดงานหนึ่งงานใด ก็คงใช้คำอนุโมทนาแบบเดียวกัน

๒. วิสามัญอนุโมทนา คือ การอนุโมทนาด้วยบทสวดพิเศษคือ อนุโมทนาเฉพาะทาน เฉพาะกาล และเฉพาะเรื่อง

สำหรับคำว่า ?สาธุ? แปลว่า ?ดีแล้ว ชอบแล้ว? ดังนั้นการเปล่งวาจาว่าสาธุก็เพื่อแสดงความเห็นชอบด้วยชื่นชม หรือยกย่องสรรเสริญ เพื่ออนุโมทนาในบุญ หรือความดีที่ผู้อื่นทำนั่นเอง

ในพระไตรปิฎก ได้พูดเรื่องผลบุญของการอนุโมทนาที่ทำให้ไปเกิดในวิหารวิมานว่า

ท่านพระอนุรุทธเถระได้ถามนางเทพธิดาตนหนึ่งว่า เหตุใดมีวรรณะงามยิ่งนัก มีรัศมีส่องสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ สถิตอยู่เหมือนดาวประกายพฤกษ์ มีเสียงอันเป็นทิพย์น่าฟัง รื่นรมย์ใจ มีกลิ่นทิพย์อันหอมหวนยวนใจ เสียงของเครื่องประดับผมก็ดังเสียงไพเราะดุจเสียงดนตรี แม้พวงมาลัยบนศีรษะก็มีกลิ่นหอมชวนให้เบิกบานใจ หอมฟุ้งไปทั่วทุกทิศ ขอท่านจงบอก นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร ?

นางเทพธิดาตอบว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ นางวิสาขามหาอุบาสิกา เป็นสหายของดิฉัน อยู่ในเมืองสาวัตถี ได้สร้างมหาวิหารถวายสงฆ์ ดิฉันเห็นมหาวิหารนั้น แล้วมีจิตเลื่อมใสอนุโมทนา ก็วิมานอันเป็นที่รักนี้อันดิ ฉันได้แล้ว เพราะการอนุโมทนาด้วยจิตบริสุทธิ์แต่อย่างเดียวเท่านั้น วิมานนี้เป็นวิมานอัศจรรย์น่าดูน่าชม โดยรอบสูง ๑๖ โยชน์ เลื่อนลอยไปในอากาศ ได้ตามความปรารถนาของดิฉัน ดิฉันมีปราสาทเป็นที่อยู่อา ศัย อันบุญกรรมจัดแจงเนรมิตให้เป็นส่วนๆ งามรุ่งโรจน์ตลอดร้อยโยชน์โดยรอบทิศ วิมานอันมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ น่าอัศจรรย์ น่าดูน่าชมเช่นนี้ เกิดแต่ดิฉันเพราะกุศลกรรมทั้งหลาย ควรทำบุญโดยแท้

สรุปแล้วการอนุโมทนาเป็นสิ่งดี แต่สิ่งที่ดีกว่าก็คือ การลงมือทำความดี สร้างบุญกุศลนั้นๆ ด้วยตนเอง



.............................................................
ที่มาhttp://www.dhammajak.net/board :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114:
 
 
 

31
congratulation


Google   การค้นหาขั้นสูง
การตั้งค่า
ค้นหา:  เว็บ  หน้าที่เป็นภาษาไทย  เว็บจากประเทศไทย 

เว็บ ผลการค้นหา 1 - 10 จากประมาณ 2,880,000 รายการ สำหรับคำว่า ผู้การเสือ (0.16 วินาที)
หรือคุณหมายถึง: ผู้การเรือ 


ผลการค้นหา๕๕๕ ผู้การเสือ(ภาค 5)...ลพ.เปิ่นกับตำรวจ ๕๕๕
ปัจจุบัน ใครๆก็เรียกผมว่า ?ผู้การเสือ? ?ปัจจุบัน ผมเป็นรองผู้ว่าการ เทียบได้ ?พลตำรวจจัตวา? สมัยก่อนก็ขึ้น ?เจ้าพระยา? ครับ. ...
www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=8239.0 - แคช - ใกล้เคียง
๘๘๘ ผู้การเสือ(ภาค 8) แจกพระให้สมาชิกชมรม๘๘๘
งงๆ กรุงเทพฯ นี่ คนพลุกพล่าน) ร่วมนั่งปรกด้วยครับ... (ผู้การเสืออยู่ในพิธีนี้ด้วยครับ และลป.ทิม เมตตาปลุกเศกพระห้อยคอมาไว้ในมือท่าน...ตลอดพิธี ....... ครับ) ...
www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=8742.0 - แคช - ใกล้เคียง
ผลการค้นหาเพิ่มเติมจาก www.bp.or.th »
สั่ง ผบช.ภ.-ผู้การชลบุรี กลับถิ่น ไม่พบเอี่ยวเสื้อแดงล้มอาเซียนซัม ...
ผู้การชลบุรี กลับถิ่น ไม่พบเอี่ยวเสื้อแดงล้มอาเซียนซัมมิต! สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 และผู้บังคับการจังหวัดชลบุรี ...
www.thaiblognews.com/สั่ง-ผบชภ-ผู้การชลบุรี-ก/ - แคช - ใกล้เคียง
โรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ/ผศ.นพ.ณัฐวุฒิ รอดอนันต์ ...
25 มิ.ย. 2009 ... เป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากการเสื่อมของบริเวณจุดภาพชัดของจอตา ทำให้สูญเสียการมองเห็นส่วนกลางของภาพ หากพบในผู้มีอายุ 50 ปี ขึ้นไป ...
onknow.blogspot.com/2009/06/blog-post_159.html - แคช - ใกล้เคียง
ผู้การพะเยาคาดเสื้อแดงร่วมชุมนุม17มิ.ย.อาจมีแค่100คน
ผู้การพะเยาคาดเสื้อแดงร่วมชุมนุม17มิ.ย.อาจมีแค่100คน.
news.sanook.com/politic/politic_369259.php - แคช - ใกล้เคียง
คนเสื้อแดงบุกบ้านผู้การฯชม.
16 เม.ย. 2009 ... กลุ่มคนเสื้อแดงที่ให้การสนับสนุนวิทยุชุมชนคนรักเชียงใหม่ เอฟเอ็ม 92.5 เมกะเฮิร์ต ของกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ประมาณ 50 คน ...
76.nationchannel.com/playvideo.php?id=34468 - แคช - ใกล้เคียง
ผู้การปทุมธานีสั่งคุ้มกัน พล.อ.เปรม กันคนเสื้อแดง :- ข่าวด่วน
9 เม.ย. 2009 ... ผู้การปทุมธานีสั่งคุ้มกัน พล.อ.เปรม กันคนเสื้อแดง ข่าวด่วน ข่าววันนี้ ค้นหาข่าว อ่านข่าว อ่านข่าวย้อนหลัง สำนักข่าวทั่วไทย.
breakingnews.quickze.com/readnews-70680-+ผู้การปทุมธานีสั่งคุ้มกัน+พล.อ.เปรม+กันคนเสื้อแ... - แคช - ใกล้เคียง
รองผู้การฯสั่งระดมตร.นับพันรับมือเสื้อแดงชุมนุม 8 มี.ค.นี้ คมชัด ...
7 มี.ค. 2009 ... คมชัดลึก :รองผู้การฯขอนแก่น สั่งระดมตำรวจ 1000 นาย รับมือคนเสื้อแดงชุมนุมหน้าศาลากลางจังหวัด 8 มี.ค.นี้ มั่นใจไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ...
www.komchadluek.net/.../รองผู้การฯสั่งระดมตร.นับพันรับมือเสื้อแดงจัดชุมนุมพรุ่งนี้.html - แคช - ใกล้เคียง
ข่าว ผู้การพะเยาคาดเสื้อแดงร่วมชุมนุม17มิ.ย.อาจมีแค่100คน พล.ต.ต ...
ข่าว ผู้การพะเยาคาดเสื้อแดงร่วมชุมนุม17มิ.ย.อาจมีแค่100คน พล.ต.ต.ปราศรัย สังขะทรัพย์ ผบก.ภ.จว.พะเยา กล่าวเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ...
news.mjob.in.th/politic/cat3/news29959/ - แคช - ใกล้เคียง
รองผู้การภาค2แจงอนุฯพัทยายันไม่เห็นคนเสื้อน้ำเงิน
มีการเผชิญหน้ากันระหว่างกลุ่มมวลชนในพื้นที่กับกลุ่มคนเสื้อแดง จนมีการปะทะ มีผู้บาดเจ็บ 2 คน และผู้บาดเจ็บ ก็ได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนแล้ว จากนั้นวันที่ 11 ...
www.serichon.com/board/index.php?topic=26181.0 - แคช - ใกล้เคียง
หรือคุณตั้งใจจะค้นหาคำว่า : ผู้การเรือ 



 1  2
  3
  4
  5
  6
  7
  8
  9
  10
  ถัดไป

 
ค้นหา ภายใน ผลการค้นหา - เครื่องมือภาษา - เคล็ดลับ การค้นหา - ไม่พอใจหรือ ช่วยเราปรับปรุงสิ

หน้าแรก Google - โปรแกรมโฆษณา - ทางออกทางธุรกิจ - ข้อมูลส่วนบุคคล - เกี่ยวกับ Google ทั้งหมด

 

33
ข่าวฝากจากวัดพระขาว

ขอเชิญร่วมงานบำเพ็ญกุศลศพครบ ๑๐๐ วัน หลวงปู่ทิม

๒๘ ๒๙ ๓๐ มิถุนายนนี้ครับ

๒๘มิถุนายน ปลุกเสกใหญ่ วัตถุมงคลชุดครบ ๑๐๐ วันการมรณภาพ โดยพระเกจิชื่อดัง ร่วมพลังเพื่อหลวงปู่และวัดพระขาว

และจะมีพิธีเททองหล่อรูปเหมือนเท่าองค์จริง ของหลวงปู่ทิม ไว้ให้ได้กราบสักการะกัน

๓๐ มิถุนายน ทำบุญครบ ๑๐๐ วัน เชิญร่างหลวงปู่ประดิษฐาน ในหีบแก้ว ไว้บนมณฑปต่อไป






http://www.luangputim.com/webboard/viewtopic.php?t=620 :090:

34
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: 23 พ.ค. 2552
« เมื่อ: 24 พ.ค. 2552, 06:18:40 »
                           

35
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / 23 พ.ค. 2552
« เมื่อ: 05 พ.ค. 2552, 06:20:56 »
ในวันที่ 23 พ.ค. 2552
คณะศิษย์หลวงพ่อเปิ่น โดย พระครูอนุกูลพิศาลกิจ
ได้เป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรม หลวงปู่ทิม วัดพระขาว
ในเวลาประมาณ 19.00 น. ณ ศาลาการเปรียญ วัดพระขาว
ขอเชิญท่านที่เคารพ ศิษย์ ศิษยานุศิษย์ ร่วมเป็นเจ้าภาพร่วมกัน
**การเดินทาง ตามสดวกอัทธยาศัย**




                                 

36









                                                                                            ขอขอบคุณ คุณสายฟ้า เศรษฐบุตร ที่ช่วยบันทึกภาพ

37
ขอกราบคารวะ
และอาลัยยิ่งแด่ หลวงปู่ทิม พระผู้เมตตา ณ ที่นี้อีกวาระหนึ่ง






38
ขอแสดงความยินดี
กับ ลูกสาวผู้การ
ที่ได้รับเป็น ฝ่ายปฏิคมของบอร์ด
ขอให้เจริญยิ่งในความเสียสละนี้



:053: :053: :053: :053: :053: :053: :053: :053: :053: :053: :053: :053:
 :100:

39
ไปกราบสักการะเมื่อ 2 วันก่อน
ขอให้หลวงพ่อสุขภาพแข็งแรง นะครับ
                                     นมัสการ

42
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / อนุโมทนา
« เมื่อ: 03 มี.ค. 2552, 06:36:39 »
ขออนุญาติประกาศ และอนุโมทนา
ศิษยานุศิษย์ในหลวงพ่อเปิ่น ตลอดจนกระทั้ง ท่านทั้งหลายที่ศรัทธาเลื่อมใส
ในพระเดชพระคุณ หลวงพ่อเปิ่น ที่ได้ร่วมกันนำอาหารและเครื่องดื่ม
มาเลี้ยง สาธุชนทั้งหลายในโอกาส ไหว้ครูปีนี้ 7 มีนาคม 2552
(เท่าที่ทราบ ณ เวลานี้ ผิดพลาดขออภัย และน้อมรับผิดแต่ผู้เดียว(ไม่ชอบปัด โยนฯลฯ))
*หลวงพ่อเจตน์วัดนก                 5,000- บาท
*หมูปิ้งจากศิษย์วัดนก วัดบางพระ
*หอยทอดคุณฟู่บางแค และเพื่อน ๆ
*เจ๊แมว สุรินทร์ สมทบอาหารเครื่องดื่ม วันที่ 5 กุฏิหลวงพ่อติ่ง  10,000-
                    เครื่องดื่มกุฏิหลวงพ่อต้อย หลวงพี่ญา วันที่ 7- 10,000-
                    ร่วมทำบุญเลี้ยงพระวันที่ 8 กุฏิหลวงพี่ญา        20,000-
     และนำ กะเพาะปลา หอยทอด เย็นตาโฟ ข้าวมันไก่ มาเลี้ยงในวันที่ 7
     และมอบค่าผลไม้แจกในพิธี 10,000- (จัดซื้อแอ๊ปเปิ้ลไปแล้ว)*****
*คุณสุรินทร์ ตรงต่อศักดิ์  และเพื่อน ๆ  ก๋วยเตี๋ยว ไอศครีม
*คุณอ๊อด บางแค และเพื่อน ๆ  ข้าวหมูทอด ลูกชิ้นปิ้ง
*น่ำแข็งใส ลุงหวง คุณกุ้ง คุณเหมี่ยว  คุณเดช
*คุณเย็นจิตร บุญชัยศรี (เจ๊แดงวัดราชฯ) แกงส้ม ทอดมัน ลอดช่อง
*คุณแกละ ท่าน้ำศิริราช   ข้าวโพดคั่ว
*ลูก หลาน คุณแกละ      นำลูกชิ้นมาช่วย
*คุณทราย และคุณยอด     สมทบ น้ำมันพืช น้ำจิ้มไก่
*คุณฉันทร์ บางแค  เครื่องดื่มมาเลี้ยง
*อาจารย์เอ้ วัดดอกไม้ ข้าวต้มคืนวันที่ 6
**พระอาจารย์หนุ่ม วัดบางแวก ถวายปัจจัย 500-ดอลล่าห์สิงค์โปร์
**คุณตือปากน้ำ  สมทบค่าเครื่องดื่ม  3,000-


*คณะศิษย์หลวงพ่อเปิ่น ถวายปัจจัยเป็นค่าเครื่องบวงสรวงในพิธีวันที่ 7 มี ค   15,000- มอบให้ทางวัดไปแล้ว
***************คณะศิษย์ถวายค่าเครื่องบวงสรวงในพิธีเพิ่มเติม         5,000-**********
...         







อรุณสวัสดิ์   วันที่ 7 ชงกาแฟอร่อยให้หลวงปู่กาหลง อีกองค์

43
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ในวันงาน
« เมื่อ: 22 ก.พ. 2552, 07:10:08 »
เนื่องด้วยในวันงานวัดแต่ละปี มีผู้สนใจมาร่วมงานในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก

ในคนหมู่มากก็ย่อมมีนิสัยใจคอต่างกันไป มีทั้งดี และฉวยโอกาส

โปรดระวังทรัพย์สิน และสิ่งที่มีค่าจากมิจฉาชีพ

และ โปรดระวัง คนของขึ้นตะครุบแต่สาว ๆ และกระเป๋าสตางค์

ขอให้พวกเราช่วยกันดูแลกันด้วย

   เจริญพร


  :114: :058: :114:

44
วันไหว้ครู มีครับ




45
เสื้อไม่กี่ตัว ก็สับสนไปได้
เสื้อชุดนี้ถ้าเป็นการแลกเปลี่ยนกัน ก็น่าจะเรียกว่าซื้อขาย
แต่ถ้าเป็นสิ่งตอบแทนให้ผู้บริจาคทำบุญ ก็เรียกว่าทำบุญ
ถ้าแจก ก็คงเป็นของฟรี
ที่มาทีไป เสื่อชุดนี้มี 3 สี มีญาติโยมถวายไว้กับ
พระอาจารย์ต้อย พระอาจารย์ติ่ง และพระอภิญญา
องค์ละ 750 ตัว
และด้วยว่าในวันที่ 7 มีนาคม ตรงกับวันไหว้ครู มีผ้าป่าทอดที่ กูฎิพระอภิญญา เพื่อสร้างถาวรวัตถุไว้ภายในวัด
บางส่วนก็นำมาตอบแทนผู้ที่ทำบุญ  แต่เดิม ก็จะมอบให้ในวันที่ 7 มีนาคม แต่มีญาติโยมบางคนทักท้วงว่า น่าจะ
มอบให้ก่อน เพราะจะได้ใส่มาในวันไหว้ครู ก็เลยฝากพรรคพวกบอกบุญ

ถ้าคิดว่าเข้าข่ายซื้อขายก็จะลบกระทู้เอง
เพราะถ้า โพสเอง ก็จะคิดกันว่า ชงเองขายเอง
ชี้แจงพอสังเขป และขอโทษ ท่านnok2009ด้วย ที่ไหว้วานให้ post
จนสมาชิกหลาย ๆ ท่าน เข้าใจผิด

**ในเสื่อส่วนของพระอาจารย์ต้อย และพระอาจารย์ติ่งท่านจะทำอย่างไร ไม่ทราบ
เพียงแต่กล่าวอ้างถึง ที่มาที่ไปของเสื้อเท่านั้น
เพราะในส่วนนี้ของเสื้อได้มอบให้นักเรียนในท้องถิ่นทุรกันดาลไปบางส่วนแล้ว



46
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / *-*
« เมื่อ: 07 ก.พ. 2552, 07:07:24 »
*-*



*-*

48
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / happy chinese newyear
« เมื่อ: 24 ม.ค. 2552, 06:43:17 »
happy chinese newyear
ขอให้ทุก ๆ ท่านมีความสุขตลอดไปตราบนานเท่านาน







49
สวัสดีปีใหม่๒๕๕๒








:089: :089: :089: :089: :089: :089: :089: :089: :089: :089: :089: :089:

50
HAPPY NEW YEAR 2009







:114: :114: :114: :114: :114: :114: :114:

51
โดย หลวงพ่อติ่ง วัดบางพระ



52
 :050:



 :050: :050:




 :050: :050: :050:










53
วัดใกล้ ๆ พณิชยการธนบุรี
น่าจะพอมีอยู่บ้าง :002: :002:

54

หลวงพ่อท่านเมตตาเสก อะไรในกล่องให้เหอรครับ  อยากได้ครับ  :002:
ด้วยความเคารพครับ
   ขอเดาว่า
เกี่ยวกับเสือ หรือเปล่า?ครับ
 ขอแสดงความนับถือ
Gearmour






ถูกต้องครับ เสือ


002











 :001: :001: :001:



56
แท้ครับแต่วัดอื่นเป็นผู้สร้าง

58
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / วัดพระขาว
« เมื่อ: 14 ต.ค. 2551, 05:52:52 »
http://www.oknation.net/blog/somboontiew/2008/09/07/entry-1










61
และขอแสดงควาเสียใจ
สำหรับการจากไป  ของโยมบิดา พระปาด
มา ณ ที่นี้ด้วย

62
ขอเป็นกำลังใจในการทำสิ่งดี ๆ
อย่าคิดมาก  เดี๋ยวแก่เร็ว

63
ขอแสดงความเสียใจ
สำหรับการจากไปของโยมมารดา  พระอาจารย์ชออม(ผช.เจ้าอาวาส)

64
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ไหว้ครู
« เมื่อ: 30 ก.ค. 2551, 03:42:47 »
ขอเชิญร่วมพิธีไหว้ครู
สายหลวงพ่อพิมมาลัย 
อาจารย์ประคอง
ณ วัดบางแวก (ติดกับพณิชยการธนบุรี)
ในวันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม 2551
เวลา 08.39 น. เป็นต้นไป[
ประกอบพิธี โดยพระอาจารย์หนุ่ม

65
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / 1 พฤษคาคม 2551
« เมื่อ: 07 เม.ย. 2551, 06:33:57 »
หลวงรวย
วัดเขาวงศ์หนองม่วง
จ.ลพบุรี
กำหนดงานไหว้ครูในวันที่ 1 พ.ค.2551
ท่สนผู้สนใจขอเชิญร่วมงานดังกล่าว
:002:

66
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: ขอเชิญ
« เมื่อ: 02 เม.ย. 2551, 03:30:06 »
และในวันนี้เช่นเดียวกัน
อ.ทอง ตลาดพลู
ก็ทำพิธีไหว้ครูด้วย
ผู้ที่สนใจขอเชิญร่วมงาน

67
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ขอเชิญ
« เมื่อ: 19 มี.ค. 2551, 06:16:59 »
วัดหนองม่วงแจ้งข่าวมา
ขอเชิญร่วมงานไหว้ครู หลวงพ่อพิมพ์มาลัย
หลวงพ่อสวัสดิ์
สายวิชาฝังเข็มทอง
ในวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๑
เวลาประมาณ ๐๙.๐๐ น.
ณ วัดหนองม่วง โพธาราม ราชปุรี

โดยพระอาจารย์ป้อม
[/size]

68
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / วันแรก
« เมื่อ: 14 มี.ค. 2551, 06:06:14 »
ขอเชิญร่วนงานประจำปี
หลวงปู่ทิม วัดพระขาว   วันนี้เป็นวันแรก
มีตะกรุดลูกอมอุดผงขนาดกำลังดี ฯลฯ

69
ขอแสดงความอาลัย และกราบคารวะ




วานนี้เกจิดังแห่งเมืองขุนแผน สุพรรณบุรีหลวงพ่อดี วัดพระรูปได้ ละสังขารลงด้วย

อาการสงบด้วยวัย97ปี หลวงพ่อดี วัดพระรูปเป็นเกจิผู้เรืองวิทยาคมแห่งสุพรรณบุรี

เป็นต้นตำรับ ขุนแผนหลวงพ่อดี ผงสุพรรณ และอีกมากมาย จากข่าวหลวงพ่อดี

มีอาการจุกเสียด หลังจากฉันอาหารเพล และในตอนเย็นก็มรณภาพลง โดยทางวัดจะจัด

งานศพ ณ วัดพระรูป จังหวัด สุพรรณบุรี
http://www.oknation.net/blog/SAMSEN51/2008/02/19/entry-1

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

70
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / happy chiness newyear
« เมื่อ: 06 ก.พ. 2551, 06:30:56 »





?

วันตรุษจีน คือวันขึ้นปีใหม่ของจีน (วันที่ 1 เดือน 1 ของวันจีน) ถือเป็นเทศกาลใหญ่ ที่ประหนึ่งรวมเทศกาลวันตรุษ และอาจรวมเทศกาลไหว้สิ้นปี เข้ากับเทศกาลวันตรุษ ซึ่งจะต่างกับวันไทย และวันสากล ในขณะที่วันของไทย เป็นวันข้างขึ้น และข้างแรม เดือนหนึ่งมี 30 วัน ของจีนจะเป็นเดือนสั้น และเดือนยาว เดือนสั้นมี 29 วัน เดือนยาวมี 30 วัน
 วันจีนจะช้ากว่าวันข้างขึ้น ข้างแรม ในปฏิทินอยู่ 2 เดือน ยกตัวอย่าง วันไหว้พระจันทร์ ตรงกับวันที่ 15 เดือน 8 เมื่อดูในปฎิทินจะเป็นขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 หรือสมมติว่าวันที่ 31 ธันวาคม 2535 ตรงกับวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 2 ก็คิดกลับเป็นวันจีนจะเป็นวันที่ 8 เดือน 12 จากนั้นนับต่อจากวันที่ 8 ไปเป็นวันที่ 9 เดือน 12 ของจีน คือ วันที่ 1 มกราคม 2536 นับไปเรื่อยๆ จนครบวันที่ 30 เดือน 12 ของจีน ซึ่งจะตรงกับวันที่ 22 มกราคม 2536 ของไทย ดังนั้นวันตรุษจีน คือ วันที่ 1 เดือน 1 ของจีน ก็จะตรงกับวันที่ 23 มกราคม 2536

 วันสิ้นปีจะมีการไหว้ หลายอย่าง นิยมเรียกว่า "วันไหว้" มักเรียกวันก่อนหน้าวันไหว้ว่า "วันจ่าย" เพราะเป็นวันสุดท้ายที่จะจับจ่ายซื้อของไหว้ของใช้ต่างๆ ก่อนที่ร้านค้าจะปิดธุรกิจหลายวัน

 การไหว้ตรุษจีนจะนิยมเรียกกันว่า "วันชิวอิด" แปลว่า วันที่ 1 มีความน่าสนใจตรงที่ว่า คนจีนจะไหว้ "ไช้ซิ้งเอี๊ย" หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ"ในเวลากลางดึก เมื่อเวลาย่างเข้าวันตรุษหรือวันชิงอิดไช้ แปลว่า โชคซิ้ง และเอี๊ย แปลว่า เจ้า

นอกจากนี้เวลาไหว้ยังมีฤกษ์ยาม และทิศที่จะตั้งโต๊ะไหว้ ยังเป็นทิศ และเวลาเฉพาะในแต่ละปี เพื่อความเป็นสิริมงคล ของไหว้จะไหว้ง่ายๆ ด้วยส้ม และโหงวเส็กทึ้งกับนำชา ส้ม คนจีนเรียกว่า กา หรือ "ไต้กิก" แปลว่า โชคดี เพื่ออวยพรให้ลูกหลานโชคดี และใช้ให้เป็นของขวัญ...นำโชคมามอบให้แก่กันโหงวเส็กทึ้ง แปลว่า ขนม 5 สี ได้แก่? ถั่วตัด งาตัด ข้าวพอง ถั่วเคลือบน้ำตาล และฟักเชื่อม บางทีก็เรียกว่า "ขนมจันอับ" หรือ "แต่เหลียง" บางบ้านมีการไหว้อาหารเจแห้ง ให้แก่บรรพบุรุษด้วย บางบ้านนิยมเปิดไฟไว้ที่ศาลเจ้าที่ "ตี่จู่เอี๊ย" เพื่อรอรับวันที่เจ้าที่จะเสด็จกลับลงมาจากสวรรค์ในวันที่ 4 เดือน 1 ของจีน

 ในวันตรุษจีน หรือวันชิวอิด ในหมู่คนจีนจะทราบกันว่า นี่คือ "วันถือ" ถือที่จะทำในสิ่งที่ดี และไม่ทำในสิ่งที่ไม่ดี ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่สวยงาม ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดแต่ "หออ่วย" แปลว่า คำดีๆ ไม่อารมณ์เสียหงุดหงิด ไม่ทำงานหนัก เพื่อที่ว่าตลอดปีจะได้ไม่ต้องทำงานหนักนัก ไม่กวาดบ้าน เพราะอาจปัดสิ่งดีๆ มีมงคลออกไป แล้วกวาดความไม่ดีเข้ามา เริ่มต้นเช้าวันตรุษ คนในบ้านก็จะทักทายกันด้วยคำอวยพร "ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้" หมายถึง เวลาใหม่ให้สมใจ ปีใหม่ให้สมปรารถนา

อั้งเปา" ในวันตรุษจีน มีคำจีนโบราณเรียกว่า "เอี๊ยบซ้วยจี๊" เป็นเงินสิริมงคลที่ผู้ใหญ่ให้แก่ลูกหลาน เพื่ออวยพรให้มีสุขภาพแข็งแรง และเจริญก้าวหน้า? ธรรมเนียมหนึ่งในวันตรุษจีนคือการไป "ไป๊เจีย" หรือการไปไหว้ขอพร และอวยพรผู้ใหญ่ หรือญาติมิตร โดยส้มสีทอง 4 ผลห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าผู้ชาย ที่นิยมใช้กันแต่ส้มสีทอง ไม่ใช้ส้มเขียว เพราะสีทองเป็นสีมงคล ทองอร่ามเรืองจะอวยพรให้รุ่งเรือง เช่นเดียวกับส้ม ที่คนจีนเรียกว่า ไต้กิก แปลว่า โชคดี ส้มสีทองที่มอบแก่กันคือ นัยอวยพรให้ "นี้นี้ไต้กิก" แปลว่า ทุกๆ ปีให้โชคดีตลอดไป

ส้มสีทอง 4 ใบ เมื่อเจ้าบ้านรับไป จะเป็นการรับไปเปลี่ยนว่าเปลี่ยนส้ม 2 ใบของแขกกับ 2 ใบของที่บ้าน แล้วคืนส้ม 4 ใบคืน ให้แขกนำกลับไป 2 ใบของที่บ้าน แล้วคืนส้ม 4 ใบ คืนให้แขกนำกลับไป หมายถึง การที่ต่างฝ่าย ต่างให้โชคดีแก่กัน

 การติดฮู้ เป็นธรรมเนียมที่นิยมถือทำในวันตรุษจีน เช่น การติด "ฮู้" หรือยันต์แผ่นใหม่ เพื่อคุ้มครองบ้าน ติด "ตุ้ยเลี้ยง" หรือแผ่นคำอวยพรที่ปากทางเข้าบ้าน

 

ย้อนรอยมังกร

เขตสัมพันธวงศ์เป็นชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตามหลักฐานสามารถสืบขึ้นไปได้ถึงเมื่อครั้งสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งมีการบันทึกไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พวกชาวจีนออกจากพื้นที่ไปอยู่ที่สามเพ็ง หรือสำเพ็งปัจจุบัน เพื่อใช้เป็นพื้นที่ทำการก่อสร้างพระราชวัง

ภายหลังจากมีการลงนามในสนธิสัญญาบาวริ่งในสมัยรัชกาลที่ 4 แล้ว กรุงเทพฯ ก็มีกิจการค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้นตามลำดับ จึงมีการสร้างโกดังสินค้าขึ้นเป็นจำนวนมาก แหล่งค้าขาย และย่านคนจีนแห่งนี้มีอาณาเขตตั้งแต่บริเวณคลองโอ่งอ่าง
ไปจนถึงคลองผดุงกรุงเกษมซึ่งที่นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของย่านธุรกิจแห่งแรกของกรุงเทพฯ

ในช่วงรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 5 มีการตัดถนนหลายสายในเขตนี้ เริ่มจากถนนเจริญกรุง ในปี พ.ศ.2405 และถนนอื่นๆ อาทิ ถนนสามเพ็ง(สำเพ็ง หรือ ถนนวานิช1 ในปัจจุบัน) ถนนราชวงศ์ ๔นนอนุวงศ์ และถนนทรงวาด แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ การตัดถนน เยาวราช เมื่อปี พ.ศ. 2434 เพราะนับจากนั้นมา ถนนสายนี้ก็ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อคนจีน และคนไทย ทั้งในด้านการค้าขาย และการดำเนินชีวิตประจำวันจนตราบเท่าทุกวันนี้

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.china2learn.com/
(เรียนภาษาจีน พูดภาษาจีน ศึกษาที่ประเทศจีนได้ที่นี่)

? สิ่งที่ไม่ควรทำตอนวันขึ้นปีใหม่ (วันตรุษจีน)?
ควรหลีกเลี่ยงการทำงานบ้านในวันขึ้นปีใหม่(วันตรุษจีน)
เนื่องจากการทำงานบ้าน เช่น การซักล้าง หรือ การกวาดบ้านปัดฝุ่น จะเป็นการขับไล่ความโชคดีออกไป ดังนั้นการทำความสะอาดบ้านจึงควรเริ่มทำตั้งแต่ก่อนที่วันขึ้นปีใหม่จะมาถึง
ไม่ควรสระผมในวันเริ่มต้นและวันสุดท้ายของวันขึ้นปีใหม่ เนื่องจากการสระผมถือเป็นการชะล้างความโชคดีที่มาถึงในวันขึ้นปีใหม่
 
ไม่ควรใช้ของมีคมในวันขึ้นปีใหม่ ของมีคมต่างๆ เช่น มีด , กรรไกร , ที่ตัดเล็บ เนื่องจากถือว่าการกระทำของของมีคมนี้จะเป็นการตัดสิ่งหรืออนาคตที่ดี ที่จะนำมา ในวันขึ้นปีใหม่
ควรระมัดระวังในการใช้คำพูดที่มีความหมายไปในทางลบรวมทั้งหลีกเลี่ยงการโต้เถียงกัน คำที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยหรือความตายเป็นคำที่เราควรหลีกเลี่ยงในวันขึ้นปีใหม่
หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวกับงานศพ และการฆ่าสัตว์ปีก
ควรระมัดระวังในการทำสิ่งใดๆ ไม่ควรที่จะให้เกิดการสะดุด หรือ ทำสิ่งของตกแตก ซึ่งนั่นจะหมายถึงการนำความโชคไม่ดีเข้ามาในอนาคต
การเฉลิมฉลองในวันขึ้นปีใหม่ของจีนทั้ง 15 วัน
ในวันแรกของวันขึ้นปีใหม่ตามจันทรคติ คือวันแห่งการต้อนรับเทพเจ้าแห่งสวรรค์และ โลกมนุษย์ ในวันแรกนี้คนส่วนใหญ่ จะละเว้นจากการรับประทานเนื้อสัตว์ เพราะเชื่อว่าการทำเช่นนี้ จะทำให้พวกเขามีชีวิตที่ยืนยาว และมีความสุข
 
ในวันที่สองของวันขึ้นปีใหม่ ชาวจีนจะสวดอ้อนวอนต่อ บรรพบุรุษและต่อเทพเจ้า พวกเขาจะปฏิบัติต่อสุนัขและเลี้ยงมันเป็นอย่างดี เนื่องว่าชาวจีนเชื่อว่า วันที่สองนี้เป็นวันเกิดของสุนัขทุกตัว
ในวันที่สามและสี่ จะเป็นวันสำหรับลูกหลานจะไปเคารพอวยพรต่อบิดามารดา
ในวันที่ห้า จะเรียกวันนี้ว่าวัน Po Woo ในวันนี้ประชาชนจะอยู่กับบ้านเพื่อรอต้อนรับ เทพเจ้าแห่งความเงินทอง และจะไม่มีใครที่จะออกไป เยี่ยมครอบครัวและเพื่อนๆในวันนี้ เพราะจะเป็นการนำความโชคร้าย ไปสู่พวกเขาทั้งสองฝ่าย
ในวันที่หกจนถึงวันที่สิบของวันขึ้นปีใหม่ จะเป็นช่วงที่ชาวจีนออกไปเยี่ยม ญาติและเพื่อนๆ ตามอิสระ รวมไปถึงการไปสวดมนต์ที่วัดเพื่อให้มีสุขภาพและอนาคตที่ดี
ในวันที่สิบถึงวันที่สิบสอง จะเป็นวันที่เพื่อนและญาติ จะเชื้อเชิญกันไป รับประทานอาหารเย็น
? ?

 

 
 

?


ภาพจากการค้นหา www.google.com
 



[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

71
http://www.thairath.co.th/news.php?section=specialsunday02&content=77470

73
20 มีนาคม 2551


74
กำหนดการครอบครูใหญ่




75
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ส ค ส ๒๕๕๑
« เมื่อ: 23 ธ.ค. 2550, 05:26:30 »


76
พรุ่งนี้ เวลา 13.00 น.
มีพิธีพุทธาภิเษก อีกหนึ่งวัน
นำโดย หลวงพ่อแย้ม  วัดสามง่าม  หลวงพ่อแผ้ว  หลวงพ่อสำอางค์ ฯลฯ
ณ อุโบสถ  วัดบางพระ





77
วันนี้ได้รับเมตตาจากหลวงปู่ทิม  วัดพระขาว
รับอาราธณา มาอธิษฐานจิต ภาวนาปลุกเสก
วัดตถุมงคล  ณ  วัดบางพระ


ขอน้อมกราบคารวะ ณ ที่นี้กครั้งหนึ่ง
และถือโอกาสกราบของพระคุณ พระอาจารย์หม่อง ผช,เจ้าอาวาส/เลขาของหลวงปู่ ณ ที่นี้ด้วย
ที่เป็นธุระรับกิจนิมนต์
และขอขอบคุณ คุณทิวา คนขับรถประจำหลวงปู่ด้วย 
 

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

78
http://www.banfun.com/culture/loykrathong.html




 :002: :002: :002:

 ประเพณีลอยกระทง? ?
? ?
เทศกาลลอยกระทง

 
? ?
ประวัติความเป็นมา
 
? ? ? ? ? คติที่มาเกี่ยวกับวันลอยกระทงมีอยู่หลายตำนาน ดังนี้
1. การลอยกระทง เพื่อขอขมาแก่พระแม่คงคา
2. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้าตามคติพราหมณ์ คือบูชาพระนารายณ์ซึ่งบรรทมสินธุ์อยู่ในมหาสมุทร
3. การลอยกระทง เพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้า ในวันเสด็จกลับจากเทวโลก เมื่อครั้งเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเทศนาอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา
4. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระพุทธบาท ของพระพุทธเจ้า ที่หาดทรายริมแม่น้ำนัมมทานที เมื่อคราวเสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ
5. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ ซึ่งเป็นที่บรรจุพระเกศาของพระพุทธเจ้า
6. การลอยกระทง เพื่อบูชาท้าวพกาพรหม บนสวรรค์ชั้นพรหมโลก
7. การลอยกระทง เพื่อบูชาพระอุปคุตตะเถระ ซึ่งบำเพ็ญเพียรบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึกหรือสะดือทะเล?
? ?
ประวัติการลอยกระทงในเมืองไทย
 
? ? ? ? ? การลอยกระทงในเมืองไทย มีมาตั้งแต่ครั้งสุโขทัย เรียกว่า การลอยพระประทีป หรือ ลอยโคม เป็นงานนักขัตฤกษ์รื่นเริงของประชาชนทั่วไป ต่อมานางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์สนมเอกของพระร่วง ได้คิดประดิษฐ์ดัดแปลงเป็นรูปกระทงดอกบัวแทนการลอยโคม การลอยกระทงหรือลอยโคมในสมัยนางนพมาศ กระทำเพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทที่แม่น้ำนัมมทานที ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ในแคว้นทักขิณาบถของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเรียกว่า แม่น้ำเนรพุททา
? ?
การลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท
 
? ? ? ? ? รอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ที่ไปปรากฏอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ คือ ครั้งหนึ่งพญานาคทูลอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับ พญานาคทูลขออนุสาวรีย์ไว้กราบไหว้บูชา พระพุทธองค์จึงทรงประดิษฐานรอบพระพุทธบาทไว้ที่หาดทราย ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที เพื่อให้บรรดานาคทั้งหลายได้สักการะ บูชา
การลอยกระทงที่มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ ยังมีอีก 2 เรื่อง คือ
 1. การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ และ
 2. การลอยกระทงเพื่อต้อนรับพระพุทธองค์ในวันที่เสด็จกลับจากเทวโลก
? ?
ตำนานการลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี
 
? ? ? ? ? ?เมื่อครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกจากพระนครกบิลพัสดุ์ในเวลากลางคืนด้วยม้ากัณฐกะ พร้อมนายฉันทะมหาดเล็กผู้ตามเสด็จ ครั้นรุ่งอรุณก็ถึงฝั่งแม่น้ำอโนมานที เจ้าชายทรงขับม้ากัณฐกะกระโจนข้ามแม่น้ำไปโดยสวัสดี
เมื่อทรงทราบว่าพ้นเขตกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว เจ้าชายสิทธัตถะจึงเสด็จลงประทับเหนือหาดทรายขาวสะอาด ตรัสให้นายฉันทะนำเครื่องประดับและม้ากัณฐกะกลับพระนคร ทรงตั้งพระทัยปรารภจะบรรพชา โดยเปล่งวาจา "สาธุ โข ปพฺพชฺชา" แล้ว จึงทรงจับพระเมาลีด้วยพระหัตถ์ซ้าย พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ตัดพระเมาลี แล้วโยนขึ้นไปบนอากาศ พระอินทร์ได้นำผอบทองมารองรับพระเมาลีไว้ และนำไปบรรจุยังพระจุฬามณีเจดียสถานในเทวโลก
พระจุฬามณีตามปกติมีเทวดาเหาะมาบูชาเป็นประจำแม้พระศรีอริยเมตไตรยเทวโพธิสัตว์ซึ่งในอนาคต จะมาจุติบนโลกและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งก็ยังเสด็จมาไหว้ การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี จึงถือเป็นการไหว้บูชาพระศรีอริยไตรยด้วย
? ?
ตำนานการลอยกระทง เพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากเทวโลก
 
? ? ? ? ? ?เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวชจนได้บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หลังจากเผยพระธรรมคำสั่งสอนแก่สาธุชนโดยทั่วไปได้ระยะหนึ่ง จึงเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเทศนาธรรมโปรดพระพุทธมารดา ครั้งจำพรรษาจนครบ 3 เดือน พระองค์จึงเสด็จกลับลงสู่โลกมนุษย์ เมื่อท้าวสักกเทวราชทราบพุทธประสงค์ จึงเนรมิตบันไดทิพย์ขึ้น อันมี บันไดทอง บันไดเงิน และบันไดแก้ว ทอดลงสู่ประตูเมืองสังกัสสนคร บันไดแก้วนั้นเป็นที่ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลง บันไดทองเป็นที่สำหรับเทพยดาทั้งหลายตามส่งเสด็จ บันไดเงินสำหรับพรหมทั้งหลายส่งเสด็จ
ในการเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ครั้งนี้ เหล่าทวยเทพและประชาชนทั้งหลาย ได้พร้อมใจกันทำ การสักการบูชาด้วยทิพย์บุปผามาลัย การลอยกระทงตามคตินี้ จึงเป็นการรับเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากดาวดึงส์พิภพ (เป็นตำนานเดียวกับประเพณีการตักบาตรเทโวรับเสด็จพระพุทธองค์ลงจากดาวดึงส์)
 
การลอยกระทง เพื่อบูชาพระนารายณ์บรรทมสินธุ์
 
? ? ? ? ? ยังมีพิธีการลอยกระทงตามคติพราหมณ์อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งกระทำเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้า คือ พระนารายณ์ที่บรรทมสินธุ์อยู่ในมหาสมุทร นิยมทำกันในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 หรือ วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 เป็น 2 ระยะ จะทำในกำหนดใดก็ได้
? ?
ตำนานการลอยกระทง เพื่อบูชาท้าวพกาพรหม
 
? ? ? ? ? นิทานต้นเหตุเกี่ยวกับอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นนิทานชาวบ้าน กล่าวถึงเมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ มีกาเผือกสองตัวผัวเมียทำรังอยู่บนต้นไม้ในป่าหิมพานต์ใกล้ฝั่งแม่น้ำ วันหนึ่งกาตัวผู้ออกไปกากินแล้วหลงทานกลับรังไม่ได้ ปล่อยให้นางกาตัวเมียซึ่งกกไข่อยู่ 5 ฟองรอด้วยความกระวนกระวายใจ จนมีพายุใหญ่พัดรังกระจัดกระจาย ฟองไข่ตกลงน้ำ แม่กาถูกลมพัดไปทางหนึ่ง
? ? ? ? ? เมื่อแม่กาย้อนกลับมามีรังไม่พบฟองไข่ จึงร้องไห้จนขาดใจตาย ไปเกิดเป็นท้าวพกาพรหมอยู่ในพรหมโลก ฟองไข่ทั้ง 5 นั้นลอยน้ำไปในสถานที่ต่างๆ บรรดาแม่ไก่ แม่นาค แม่เต่า แม่โคและแม่ราชสีห์ มาพบเข้า จึงนำไปรักษาไว้ตัวละ 1 ฟอง ครั้งถึงกำหนดฟักกลับกลายเป็นมนุษย์ทั้งหมดไม่มีฟองไหนเกิดมาเป็นลูกกาตามชาติกำเนิดเลย กุมารทั้ง 5 ต่างเห็นโทษภัยในการเป็นฆราวาสและเห็นอานิสงส์ในการบรรพชา จึงลามารดาเลี้ยงไปบวชเป็นฤาษีทั้ง 5 ได้มีโอกาสพบปะกันและถามถึงนามวงศ์และมารดาของกันและกัน จึงทราบว่าเป็นพี่น้องกัน ฤาษีทั้ง 5 มีนามดังนี้
? ? ? ? ? คนแรก ชื่อ กกุสันโธ (วงศ์ไก่)
? ? ? ? ? คนที่สอง ชื่อ โกนาคมโน (วงศ์นาค)
? ? ? ? ? คนที่สาม ชื่อ กัสสโป (วงศ์เต่า)
? ? ? ? ? คนที่สี่ ชื่อ โคตโม (วงศ์โค)
? ? ? ? ? คนที่ห้า ชื่อ เมตเตยโย (วงศ์ราชสีห์)
? ? ? ? ? ต่างตั้งจิตอธิษฐาน ว่าถ้าต่อไปจะได้ไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ขอให้ร้อนไปถึงมารดา ด้วยแรงอธิษฐาน ท้าวพกาพรหมจึงเสด็จมาจากเทวโลก จำแลงองค์เป็นกาเผือก แล้วเล่าเรื่องราวแต่ทนหลังให้ฟัง พร้อมบอกว่าถ้าคิดถึงมารดา เมื่อถึงเพ็ญเดือน 11 เดือน 12 ให้เอาด้ายดิบผูกไม้ตีนกา ปักธูปเทียนบูชาลอยกระทงในแม่น้ำ ทำอย่างนี้เรียกว่าคิดถึงมารดา แล้วท้าวพกาพรหมก็ลากลับไป
? ? ? ? ? ตั้งแต่นั้นมา จึงมีการลอยกระทงเพื่อบูชาท้าวพกาพรหม แล้วเพื่อบูชารอยพระบาท ซึ่งประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที ส่วนฤาษีทั้ง 5 ต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้
? ? ? ? ? ฤาษีองค์แรก กกุสันโธ ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระกกุสันโธ
? ? ? ? ? ฤาษีองค์ที่สอง โกนาคมโน ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระโกนาคมน์
? ? ? ? ? ฤาษีองค์ที่สาม กัสสโป ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระกัสสปะ
? ? ? ? ? ฤาษีองค์ที่สี่ โคตโม ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสมณโคดม
? ? ? ? ? ฤาษีองค์ที่ห้า เมตเตยโย ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระศรีอาริยเมตไตรย
พระพุทธเจ้า 3 พระองค์แรก ได้มาบังเกิดบนโลกแล้วในอดีตกาล พระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 คือ พระพุทธเจ้าที่จะมาบังเกิดบนโลกในอนาคต ได้แก่ พระศรีอาริยเมตไตรย
? ?
ตำนานการลอยกระทง เพื่อบูชาพระอุปคุตต์
 
? ? ? ? ? การลอยกระทงเพื่อบุชาพระอุปคุตต์นี้ เป็นประเพณีของชาวเหนือและชาวพม่า พระอุปคุตต์เป็นพระอรหันต์เถระหลังสมัยพุทธกาล โดยมีตำนานความเป็นมาดังนี้
เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้โปรดให้สร้างพระสถูปเจดีย์และพุทธวิหารขึ้นทั่วชมพูทวีป มหาวิหารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ "อโศการาม" ซึ่งตั้งอยู่ในเขตแคว้นมคธ หลังจากที่สร้างพระสถูปเจดีย์ถึง 84,000 องค์สำเร็จแล้ว พระเจ้าอโศกทรงมีพระราชประสงค์จะนำพระบรมสารีริกธาตุของสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปบรรจุในในพระสถูปต่างๆ และบรรจุในพระมหาสถูปองค์ใหญ่ที่สร้างขึ้นใหม่มีความสูงประมาณครึ่งโยชน์ และประดับประดาด้วยแก้วต่างๆ ประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาให้ปาฎลีบุตร อีกทั้งต้องการให้มีการเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่เป็นเวลา 7 ปี 7 เดือน 7 วัน
แต่ด้วยเกรงว่าพญามารจะมาทำลายพิธีฉลอง มีเพียงพระอุปคุตต์ที่ไปจำศีลอยู่ในสะดือทะเลเพียงท่านเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถปราบพญามารได้ เมื่อพระอุปคุตต์ปราบพญามารจนสำนึกตัวหันมายึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้ว พระอุปคุตต์จึงลงไปจำศีลอยู่ในสะดือทะเลตามเดิม
พระอุปคุตต์นี้ไทยเรียกว่า พระบัวเข็ม ชาวไทยเหนือหรือชาวอีสานและชาวพม่านับถือพระอุปคุตต์มาก ชาวพม่าไม่ว่าจะมีงานอะไรเป็นต้องนิมนต์มาเช้าพิธีด้วยเสมอ ไทยเราใช้บูชาในพิธีขอฝนหรือพิธีมงคล ฯลฯ
 
? ?
ไปหน้า 2

--------------------------------------------------------------------------------
 

 

อ้างอิง : ประเพณี พิธีมงคล และวันสำคัญของไทย เรียบเรียงโดย ธนากิต


 
 BanFun.Com? Contacts : webmaster :: banfun@gmail.com ::
 
 

?


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

79
อนุโมทนา







   สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในพรหมโลก จงคุ้มครองข้าพเจ้าและทุกท่าน ขอให้ข้าพเจ้าและทุกท่าน หมดทุกข์ หมดโศก หมดโรค หมดภัย หมดอันตราย หมดสรรพเคราะห์ หมดสรรพโศก หมดสรรพโรค หมดสรรพภัย หมดสรรพอันตราย ศัตรูหมู่มารทั้งหลายจงพ่ายแพ้ไป ศัตรูหมู่มารทั้งหลายจงเสื่อมสูญไป



--------------------------------------------------------------------------------

)





--------------------------------------------------------------------------------



 
 
 
(

--------------------------------------------------------------------------------

 
 


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

81
http://www.dhammajak.net/


            วันออกพรรษา เป็นวันที่พุทธบริษัททั้งชาววัดและชาวบ้าน ได้พร้อมใจกันกระทำบุญกุศลต่าง ๆ ตามคติประเพณีที่เคยประพฤติปฏิบัติสืบ ๆ กันมาแต่โบราณกาล เช่นมีการตักบาตรเทโว หรือเรียกตักบาตรดาวดึงส์ เป็นต้น "วันออกพรรษา" มีสาเหตุเนื่องมาจาก "วันเข้าพรรษา" ที่มีมาแล้วเมื่อวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๘ อันเป็นวันที่พระภิกษุทั้งหลายอธิษฐานใจเข้าอยู่พรรษาครบไตรมาส คือ ๓ เดือน ตามพระพุทธบัญญัติ โดยไม่ไปค้างแรมค้างคืนนอกสถานที่ที่ท่านตั้งใจอยู่ไว้ เมื่อมีวันเข้าพรรษาก็จำเป็นต้องมีวันออกพรรษา ซึ่งวันออกพรรษา ซึ่งวันออกพรรษาตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ (เพ็ญเดือน ๑๑) ของทุกปี วันออกพรรษา เป็นวันสุดท้ายแห่งการจำพรรษาของพระภิกษุสงฆ์ หมายถึงพระภิกษุสงฆ์ได้จำพรรษาครบกำหนดไตรมาส ตามพระพุทธบัญญัติแล้ว ท่านมีสิทธิ์ที่จะจาริกไปพักค้างคืนที่อื่นได้ ไม่ผิดพระพุทธบัญญัติและยังได้รับอานิสงส์ (ผลดี) คือ
๑.ไปไหนไม่ต้องบอกลา
๒.ไม่ต้องถือผ้าไตรครบชุด
๓. ลาภที่เกิดขึ้นแก่ท่านมีสิทธิ์รับได้
๔. มีโอกาสได้อนุโมทนากฐินและได้รับอานิสงส์คือได้รับการขยายเวลาของอานิสงส์นั้นออกไปอีก ๔ เดือน
            อนึ่ง มีชื่อเรียกวันออกพรรษาอีกอย่างหนึ่งว่า " วันปวารณา หรือ วันมหาปวารณา" มีความหมายว่าพระภิกษุทั้งหลายทั้งพระผู้ใหญ่และพระผู้น้อยต่างเปิดโอกาสอนุญาตแก่กันและกัน ให้ว่ากล่าวตักเตือนกันได้มีคำกล่าวปวารณาเป็นภาษาลี ว่า "สังฆัมภันเต ปะวาเรมิ ทิฎเฐนะ วา สุเตนะ วาปะริสังกายะ วา วะทันตุ มัง อายัส์มันโต อะนุกัทปัง อุปาทายะ ปัสสันโต ปฎิกะริสสามิ"

            แปลว่า ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ กระผมขอปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นหรือได้ฟังก็ตาม ขอท่านทั้งหลายโปรดอนุเคราะห์ ว่ากล่าวตักเตือนกระผมด้วย เมื่อกระผมมองเห็นแล้ว จักประพฤติตัวเสียเลยใหม่ให้ดี

            การที่พระท่านกล่าวปวารณา (ยอมให้ว่ากล่าวตักเตือน) กันไว้ ในเมื่อต่างองค์ต่างต้องจากกันไปองค์ละทิศละทางท่านเกรงว่าอาจมีข้อประพฤติปฏิบัติที่ไม่ดีไม่งามเกิดขึ้น โดยตัวท่านเองรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือมองไม่เห็นเหมือนผงเข้าตาตัวเอง แม้ผลจะอยู่ชิดติดกับลูกนัยน์ตา เราก็ไม่สามารถมองเห็นผลนั้นได้ จำเป็นต้องไหว้วานขอร้องผู้อื่นให้มาช่วยดูหรือต้องใช้กระจกส่องดู เพราะฉะนั้น พระท่านจึงใช้วิธีการกล่าวปวารณาตัดไว้เพื่อท่านรูปอื่นได้เห็นหรือแม้แต่ได้ยินได้ฟัง เรื่องดีไม่ดีไม่งามอะไรก็ตามให้กล่าวแนะนำตักเตือนได้ โดยไม่ต้องเกรงใจกันทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยด้วยเจตนาดีต่อกัน คือ พระผู้ใหญ่ก็กล่าวตักเตือนพระผู้น้อยได้และพระผู้มีอาวุโสน้อยก็สามารถกล่าวชี้แนะถึงข้อไม่ดีของพระผู้ใหญ่ได้เช่นกัน โดยที่พระผู้ใหญ่คือผู้มีอาวุโสท่านก็มิได้สำคัญตนผิดคิดว่าท่านทำอะไรแล้วถูกไปหมดทุกอย่าง

            การกล่าวปวารณา เท่ากับเป็นการช่วยระมัดระวังข้อประพฤติปฏิบัติที่ไม่ดีของพระรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดน้อยๆ นี้ที่จะลุกลามก่อความเสื่อมเสียไปถึงพระหมู่มาก และลุกลามไปถึงพระพุทธศาสนาอันเป็นจุดศูนย์ที่ใหญ่ได้ ท่านจึงใช้วิธีป้องกันไว้ก่อน ดีกว่าการแก้ไขในภายหลัง

            ตัวอย่าง วันออกพรรษาหรือวันมหาปวารณาที่พระภิกษุทั้งหลายกระทำเช่นนี้ เป็นเครื่องมือชี้ให้เห็นวิธีการคอยสังวร คือ ตามระวัง ไม่ประมาท ไม่ยอมให้ความเลวร้ายเกิดขึ้นได้ เหมือล้อมรั้วไว้ก่อนที่วัวจะหายไม่ว่าจะอยู่ในเทศกาลเข้าพรรษาหรือออกพรรษา พระท่านจะประพฤติดี ปฏิบัติชอบตามระบอบของพระธรรมวินัยอยู่ตลอดเวลา

            ส่วนพิธีของฆราวาสนั้นควรจะนำเอาพิธีปวารณาของพระท่านมาใช้ดูบ้าง ซึ่งจะมีผลดีที่เกิดขึ้นแก่กลุ่มชนที่อยู่รวมกัน ไม่ว่าครอบครัวและสังคมต่าง ๆ และมีพิธีกรรมของฆราวาสที่เกี่ยวเนื่องกันในวันออกพรรษานี้ก็ได้แก่การบำเพ็ญบุญกุศลต่าง ๆ เช่น การทำบุญตักบาตร รักษาศีล ฟังธรรม ณ วัดที่อยู่ใกล้เคียง

            มีการทำบุญอันเป็นประเพณีที่นิยมกระทำกันมานานแล้วในวันออกพรรษา ซึ่งเรียกว่า " ตักบาตรเทโว" หรือเรียกชื่อเต็มตามคำพระว่า "เทโวโรหนะ" แปลว่าการหยั่งลงจากเทวโลก หรือการตักบาตรนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ตักบาตรดาวดึงส์" และการตักบาตรเทโวนี้ จะกระทำในวันขึ้น ๑๕ เดือน ๑๑ หรือวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ก็ได้สุดแท้แต่จะเห็นพร้อมกัน

            การทำบุญตักบาตรเทโวนี้ ท่านจัดเป็นกาลนาน คือ หนึ่งปีมีหนึ่งครั้ง และการกระบุญเช่นนี้ โดยยึดถือว่าเป็นวันคล้ายกับวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก ตามตำนานกล่าวว่า


            เมื่อก่อนพุทธศักดิ์ราช ๘๐ ปี พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปจำพรรษา ณ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเทศนา "พระสัตตปรณาภิธรรม" คือพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ โปรดพระพุทธมารดา (ซึ่งทรงบังเกิดอยู่ในสวรรคชั้นดุสิต)

            ครั้นครบกำหนดการทรงจำพรรษาครบ ๓ เดือน พระพุทธเจ้าทรงปวารณาพระวัสสาแล้วเสด็จลง จากดาวดึงส์เทวโลกมาสู่มนุษย์โลก ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ โดย เสด็จลงทางบันไดแก้วทิพย์ ซึ่งตั้งระหว่างกลางของนับไดทองทิพย์อยู่เบื้องขวาบันไดเงินทิพย์อยู่เบื้องซ้ายและหัวบันไดทิพย์ที่เทวดาเนรมิตขึ้นทั้ง ๓ พาด บนยอดเขาพระสิเนรุราช อันเป็นที่ตั้งแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนเชิงบันไดตั้งอยู่บนแผ่นศิลาใหญ่ใกล้ประตูเมืองสังกัสสนคร และสถานที่นั้นประชาชนถือว่าเป็นศุภนิมิตรสร้างพระเจดีย์ขึ้นเป็น "พุทธบูชานุสาวรีย์" เรียกว่า "อจลเจดีย์"

            อนึ่งในวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาสู่มนุษย์โลกนั้น ประชาชนพร้อมกันไปทำบุญตักบาตรเป็นจำนวนมากสุดจะประมาณ พิธีที่กระทำกันในการตักบาตรเทโว ซึ่งถือตามประวัตินี้ก็เท่ากับทำบุญตักบาตร รับเสด็จพระพุทธเจ้าในคราวเสด็จลงมาจากเทวโลกนั่นเอง บางวัดจึงเตรียมการในคฤหัสถ์แต่งตัวเป็นเทวดาบ้าง เป็นพรหมบ้างแล้วอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานบนบุษบกที่มีล้อเคลื่อน และมีบาตรตั้งอยู่ข้างหน้าพระพุทธรูปใช้คนลากนำหน้าพระสงฆ์ พวกทายกทายิกาตั้งแถวเรียงรายคอยใส่บาตร เป็นการกระทำให้ใกล้กับความจริงเพื่อเป็นการระลึกถึงพระพุทธเจ้า ส่วนอาหารที่นำมาทำบุญตักบาตรในวันนั้น มีข้าว กับข้าวต้มมัดใต้ ข้าวต้มลูกโยนที่ห่อด้วยใบมะพร้าวหรือใบลำเจียกไว้หางยาวและข้าวต้มลูกโยนนี้มี ประวัติมาตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะตั้งใจอธิษฐานแล้วโยนไปให้ลงบาตรของพระพุทธเจ้า เนื่องจากมีคนมากเข้าไปใส่บาตรไม่ได้

ความมุ่งหมายของการปวารณากรรม
            ปวารณากรรม มีความมุ่งหมายชัดเจนปรากฏอยู่ในคำที่สงฆ์ใช้ปวารณาซึ่งกันและกัน ดังนี้
            - เป็นกรรมวิธีลดหย่อนผ่อนคลายข้อขุ่นข้องคลางแคลงที่เกิดจากความระแวงสงสัย ให้หมดไปในที่สุด

            - เป็นทางประสานรอยร้าว ที่เกิดจากผลกระทบกระทั่งในการอยู่ร่วมกัน ให้มีโอกาสกลับคืนดีด้วยการให้โอกาสได้ปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน

            - เป็นทางสร้างเสริมความสามัคคีในหมู่ให้กลมเกลียวอยู่ร่วมกันอย่างสนิทใจ

            - เป็นแนวปฏิบัติให้เกิดความเสมอภาคกันในการแสดงความคิดว่ากล่าวตักเตือนได้โดยไม่จำกัดด้วย ยศ ชั้น พรรษา วัย

            - ก่อให้เกิด "ภราดรภาพ" รู้สึกเป็นมิตรชิดเชื้อปรารถนาดี เอื้อเฟื้ออาทรเป็นพื้นฐาน นำไปสู่พฤติกรรมอันพึงประสงค์ที่ดีงานคล้าย ๆ กัน เรียกว่า ศีลสามัญญุตา

พิธีตักบาตรเทโว(วันพระเจ้าเปิดโลก)
            มีปรากฎในอรรถกถาธรรมบทว่าในขณะนั้นพระพุทธเจ้าจำพรรษาอยู่ในนครสาวัตถี พรรษาที่ ๒๕ ผู้คนในชมพูทวีปหันมาเลื่อมในพระพุทธศาสนาทำให้นักบวชของศาสนา อิจฉาเพราะเขาเหล่านั้นเดือดร้อนในการขาดผู้ค้ำจุนดูแลและขาดลาภสักการะจึงทำการกลั่นแกล้ง พระพุทธศาสนาโดยประการต่าง ๆ โดยเฉพาะในเรื่องฤทธิ์พระองค์และเหล่าสาวกของพระองค์เอง ศาสนาอื่นปลุกปั่นจนพระองค์ทรงห้ามเหล่าสาวกทั้งหลายแสดงฤทธิ์ พระองค์ก็งดแสดงฤทธิ์เช่นกัน จึงทำให้ศาลามีจุดที่จะทำให้ศาสนาอื่น เช่น อาจารย์ทั้ง ๖ และศาสนาเชน ทำการโฆษณาชวนเชื่อว่า พระพุทธศาสนานั้นมีพระพุทธเจ้า และสาวกสิ้นฤทธิ์หมดแล้วอย่าไปนับถือเลยสู้พวกตนไม่ได้ยังมีฤทธิ์เหนือกว่า ควรจะมานับถือพวกตนดีกว่าพระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า ถือขืนปล่อยไว้เฉยต่อไป โดยไม่ตอบโต้บ้าง อาจเป็นผลเสียต่อพระพุทธศาสนา ดังนั้นวันเพ็ญอาสาฬหะ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ คือแสดงฤทธิ์เป็นคู่ ๆ ซึ่งก็มีปรากฎเพียงครั้งเดียวในครั้งนั้นทำให้ผู้คนที่เคลือบแครงสงสัย หันมานับถือศาสนาอย่างมั่นคงอีกครั้ง ในวันรุ่งขึ้นแรม ๑ ค่ำ เดือนอาสาฬหะ เป็นวันอธิฐานเข้าพรรษา พระพุทธเจ้าทรงประกาศจำพรรษาที่สรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตามธรรมเนียมที่พระพุทธเจ้าทำกันมาเมื่อลาพระพุทธเจ้าทรงลาบริษัทแล้วก็เสด็จไป ณ ดาวดึงส์เทวโลกเพื่อโปรดพุทธมารดาด้วยพระอภิธรรม ๗ พอครบเวลา ๓ เดือนของการโปรดพระพุทธมารดาด้วยพระอภิธรรมทั้ง ๗ ในวันเพ็ญเดือน ๑๑ ก็เสด็จกลับลงมายังโลกมนุษย์ ณ ที่ประตูเมือง สังกัสสนคร ท้าวสักกเทวราชพร้อมด้วยบริวารตามลงมาเสด็จทางบันใดสวรรค์จนถึงขั้นพิภพ พระพุทธเจ้าทรงใช้อิทธิฤทธิ์บรรดาลให้โลกทั้ง ๓ มี เทวโลก , มนุษย์โลก , สัตว์นรก มองเห็นกันทั้งหมด จึงเรียกวันนั้นว่า วันพระเจ้าเปิดโลกพอวันรุ่งขึ้นเป็นวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ผู้คนในชมพูทวีปพากันมาใส่บาตรพระสงค์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข การตักบาตรในครั้งนั้นไได้นัดหมายกันมาก่อนเลยต่างคนก็ต่างมาด้วยศรัทธาจึงทำให้คนมามากมาย เมื่อมีมามากทำให้ไม่ถึงบาตรพระภิกษุสงฆ์ จึงเอาข้าวของตนห่อหรือปั้นเป็นก้อน โยนใส่บาตรพระด้วยเหตุนี้ต่อมาภายหลังจึงนิยมทำข้าวต้มลูกโยนใส่บาตรพระในวันเทโวณหณะ
 
พิธีตักบาตรเทโวโรหณะในสมัยปัจจุบัน

 
 
             ตอนรุ่งอรุณของวันตักบาตรเทโว พระภิกษุสามเณรลงทำวัตรในพระอุโบสถ พอพระอาทิตย์ขึ้นก็สมมติว่า พระลงมาจากบันใดสวรรค์ บางที่ก็มีดนตรีบรรเลงเพลงไทยเดิม สมมุติว่าเป็นพวกเทวดาบรรเลง ขับกล่อมตามส่งพระพุทธเจ้า ยังมีพวกแฟนตาซีอีก แต่งเป็นพวกยักษ์ เทวดา พระอินทร์ พรหม นางเทพธิดา นำหน้าขบวนพระภิกษุสามเณร ชาวบ้านก็จะใส่บาตรด้วยอาหารหวาน อาหารคาว ข้าวต้มลูกโยน ข้าวต้มมัดจึงเป็นสัญลักษณ์ของพิธีนี้
 

พิธีตักบาตรเทโวโรหณะในสมัยปัจจุบัน
            ตอนรุ่งอรุณของวันตักบาตรเทโว พระภิกษุสามเณรลงทำวัตรในพระอุโบสถ พอพระอาทิตย์ขึ้นก็สมมติว่า พระลงมาจากบันใดสวรรค์ บางที่ก็มีดนตรีบรรเลงเพลงไทยเดิม สมมุติว่าเป็นพวกเทวดาบรรเลง ขับกล่อมตามส่งพระพุทธเจ้า ยังมีพวกแฟนตาซีอีก แต่งเป็นพวกยักษ์ เทวดา พระอินทร์ พรหม นางเทพธิดา นำหน้าขบวนพระภิกษุสามเณร ชาวบ้านก็จะใส่บาตรด้วยอาหารหวาน อาหารคาว ข้าวต้มลูกโยน ข้าวต้มมัดจึงเป็นสัญลักษณ์ของพิธีนี้
ภาคกลาง
            จังหวัดนครปฐม ที่พระปฐมเจดีย์ พระภิกษุสามเณรจะมารวมกันที่องค์พระปฐมเจดีย์ แล้วก็เดินลงมาจากบันใดนาคหน้าวิหารพระร่วง สมมติว่าพระเดินลงมาจากบันใดสวรรค์ชาวบ้านก็คอยใส่บาตร

            จังหวัดอุทัยธานีซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาสูง ณ วัดสะแกกรัง พระภิกษุจะเดินลงมาจากเขารับบิณฑบาตรจากชาวบ้าน อนึ่ง ขบวนพระภิกษุสงฆ์นั้นที่ลงมาจากบันใดนั้นนิยมให้มีพระพุทธรูป นำหน้าสมมติว่าเป็นพระพุทธเจ้าจะใช้พระปางอุ้มบาตร ห้ามมาร ห้ามสมุทร รำพึง ถวายเนตรหรือปางลีลา โดยตั้งบนรถ หรือตั้งบนคานหาม มีที่ตั้งบาตรสำหรับอาหารบิณฑบาตร

            สำหรับบางที่ไม่นิยมตักบาตรเทโว แต่นิยมตักบาตรตอนเช้าถวายอาหารพระภิกษุแล้ว ฟังเทศน์รักษา อุโบสถศีล

            สำหรับที่นิยมตักบาตรเทโว จะทำบุญเป็น ๒ วันคือวันออกพรรษากับวันเทโว ในวันแรม 1 ค่ำเดือน ๑๑ ในวันออกพรรษานั้น ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ก็มีการฟังเทศน์ตอนสาย และรักษาอุโบสถศีล


ภาคใต้
            ประเพณีชักพระ (พระพุทธรูป) ทางภาคใต้เรียกว่า พิธีลากพระมีสองกรณี คือ ชักพระทางบก และชักพระทางน้ำ

            ถึงแม้ภาคนี้จะมีความแตกต่างไปจากภาคอื่น ภาคใต้ ก็มีจุดประสงค์ปรารภเหตุ การเสด็จลงมาของพระพุทธเจ้าจากเทวโลกมาถึงพื้นโลก ในวันปวารณาออกพรรษาเช่นเดียวกัน ก็จัดให้มีประเพณีแห่พระพุทธรูป ในวันแรม 1 ค่ำเดือน ๑๑ จึงนำมากล่าวในที่นี้ด้วยประเพณีชักพระ มี ๒ ประเภท คือ ชักพระทางบก กับชักพระทางน้ำ

            พิธีชักพระทางบก
            จังหวัดนครศรีธรรมราช ก่อนวันชักพระ ๒ วันจะมีพิธีใส่บาตรหน้าล้อ นอกจากอาหารคาวหวาน ยังมีสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของงาน " ปัด" คือข้าวต้มผัด น้ำกะทิห่อด้วยใบมะพร้าว บางที่ห่อด้วยใบกะพ้อ (ปาล์มชนิดหนึ่ง) ในภาคกลางเขาเรียกว่า ข้าวต้มลูกโยน ก่อนจะถึงวันออกพรรษา ๑ - ๒ สัปดาห์ทางวัดจะทำเรือบก คือเอาท่อนไม้ขนาดใหญ่ ๒ ท่อนมาทำเป็นพญานาค ๒ ตัว เป็นแม่เรือที่ถูกยึดไว้อย่างแข็งแรง แล้วปูกระดาน วางบุษบก (ร้านม้า)บนบุษบกจะนำพระพุทธรูปยืนรอบบุษบกก็วางเครื่องดนตรี ไว้บรรเลงเวลาเคลื่อนพระไปสู่บริเวณงานพอเช้าวัน ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ชาวบ้านจะช่วยกันชักพระ โดยถือเชือกขนาดใหญ่ ๒ เส้นที่ผูกไว้กับพญานาคทั้ง ๒ ตัวเมื่อถึงบริเวณงานจะมีการสมโภช และมีการเล่นกีฬาพื้นเมืองต่าง ๆ กลางคืนมีงานฉลองอย่างมโหฬาร การชักพระที่ปัตตานี มีอิสลามร่วมด้วย

            พิธีชักพระทางน้ำ
ก่อนถึงวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ทางวัดที่อยู่ริมน้ำ ก็จะเตรียมการต่าง ๆ ก็จะนำเรือมา ๒ - ๓ ลำ มาปูด้วยไม้กระดานเพื่อตั้งบุษบก หรือพนมพระประดับประดาด้วยธงทิว ในบุษบกก็ตั้งพระพุทธรูปในเรือบางที่ ก็มีเครื่องดนตรีประโคมตลอดทางที่เรือเคลื่อนที่ไปสู่จุดกำหนด คือบริเวณงานท่าน้ำที่เป็นบริเวณงานจะมีเรือพระหลาย ๆ วัดมาร่วมงาน ปัจจุบันจะนิยมใช้เรือยนต์จูง แทนการพาย เมื่อชักพระถึงบริเวณงานทั้งหมดทุกวัดที่มาร่วม จะมีการฉลองสมโภชพระ มีการเล่นต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน เช่นแข่งเรือปาโคลน ซัดข้าวต้ม เป็นต้น เมื่อฉลองเสร็จ ก็จะชักพระกลับวัด บางทีก็จะแย่งเรือกัน ฝ่ายใดชนะก็ยึดเรือ ฝ่ายใดแพ้ต้องเสียค่าไถ่ให้ฝ่ายชนะ จึงจะได้เรือคืน

            พิธีรับพระภาคกลาง
พิธีรับพระเป็นพิธีบูชาพระพุทธเจ้า ในโอกาสที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากการจำพรรษา ณ ดาวดึงส์เทวโลก พิธีนี้มักจะปรากฏในภาคกลางที่อยู่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง ที่เป็นคมนาคมทางน้ำ เช่น อำเภอบางบ่อ บางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ทางวัดจะอัญเชิญพระพุทธรูปยืนลงบุษบกในตัวเรือแล้วแห่ไปตามลำคลอง ชาวบ้านก็จะโยนดอกบัวจากฝั่งให้ตกในเรือหน้าพระ-พุทธรูป แล้วโยนข้าวต้ม ยังมีการแข่งขันเรือชิงรางวัลอีกด้วย

            ประเพณีตักบาตรพระร้อย
            "ประเพณีตักบาตรพระร้อย" หรือ ใส่บาตรพระร้อยรูป เป็นบุญประเพณีของชาวประเพณีโดยเฉพาะ ส่วนมากจัดพิธีขึ้นทางน้ำเนื่องด้วยแต่เดิมบ้านอยู่ติดริมน้ำลำคลอง จึงใช้เรือสัญจร พระส่วนมากจึงใช้เรือบิณฑบาต

            เนื่องมาแต่ความเชื่อเดิมว่าหลังวันเสด็จลงจากเทวโลก คือวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ หรือวันตักบาตรเทโว พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงนำพระภิกษุสงฆ์จำนวนเป็นร้อยออกบิณฑบาต ชาวประชาจึงหลั่งไหลมาถวายสักการะต้อนรับด้วยดอกไม้และบิณฑบาตทาน จึงมีพิธีตักบาตรเทโวขึ้น แต่ชาวปทุมธานีนิยมกำหนดเอาพระบิณฑบาตจำนวนร้อยรูป จึงเรียกว่า ตักบาตพระร้อยสืบมา

            ประโยชน์ของพิธีออกพรรษา
            ๑. เมื่อวันออกพรรษามาถึงเป็นการเตือนใจชาวพุทธว่า เวลาที่ผ่านไป ชีวิตก็ใกล้ตายเข้าไปทุกขณะแล้ว ควรเร่งทำกุศล และยังได้ถึงความปีติ ที่ได้บำเพ็ญกิจมาตลอดพรรษาและเป็นการเตือนสติอย่าให้จิตของตนละเลิกการทำกุศลไม่ให้ตกไปสู่ทางอบายมากเกินไป

            ๒. ประโยชน์ที่โดดเด่น คือประโยชน์ของการปวารณาที่สงฆ์การกระทำกันในวันออกพรรษาเพื่อ ให้สงฆ์ดำรงค์ความเป็นปึกแผ่นแน่นเหนียวยากแก่การทำลาย ถ้าคนในชาติเราทุกฝ่ายหันมา ปวารณากัน คือเปิดใจกัน เปิดเผยซึ่งกันและกัน หันหน้ามารวมพลังกันพัฒนาประเทศความทุกข์ก็จะบรรเทาเบาบางลง

            จากพิธีออกพรรษา
            ๑. เตือนสติว่าเวลาที่ผ่านพ้นไปอีกพรรษาหนึ่งแล้วได้คร่าชีวิตมนุษย์ ให้ผู้คนนั้นดำรงค์อยู่ในความไม่ประมาทและหันมาสร้างกุศล

            ๒. การทำบุญออกพรรษาเปิดโอกาสให้ผู้อื่นชำระความผิดของตนได้ คือหลักปวารณา ปกติคนเราคบกันนาน ๆ ก็จะเผย "สันดาน" ที่แท้ออกมาอาจจะไม่ดีนักแต่ตนเองไม่รู้ตัวแล้วมองไม่เห็น แต่ผู้อยู่ข้าง ๆ มองเห็นแต่ไม่กล้าเตือน ดังนั้นตนเองต้องปวารณาตัวให้ผู้อื่นชี้แนะได้ ความสัมพันธ์ก็จะดีขึ้นและยั่งยืน

            ๓. ได้ข้อคิดที่ว่า คนเราส่วนใหญ่มักจะลำเอียงเข้าข้างตนเองเป็นฝ่ายถูก ความผิดของคนอื่นเห็นง่ายส่วนตนเองนั้นความผิดนั้นเห็นยาก นี่แหละสัญชาตญาณของคนเรา

            ๔. เป็นการให้รู้ถึงการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีในการเปิดใจซึ่งกันและกันโดยไม่มีเล่ห์เหลี่ยมลับลมคมในใด ๆ ต่อในการคบหาหรืออยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข


--------------------------------------------------------------------------------

บรรณานุกรม
๑. จ. เปรียญ. ประเพณีและพิธีมงคลไทย. ธรรมบรรณาคาร. ๒๕๑๘ กรุงเทพ ฯ.
๒. สมปราชญ์ อัมมะพันธ์. ประเพณีและพิธีกรรมในวรรณคดี. โอ. เอส. พริ้นติ้ง เฮ้า.๒๕๓๖ กรุงเทพ ฯ.
๓. สุเมธ เมธาวิทยกุล. สังกัปพิธีกรรม. พริ้นติ้ง เฮ้า. ๒๕๓๒ . กรุงเทพ ฯ.
๔. แสงฉาย อนงคาราม. อานิสงค์จากพระไตรปิฎก. ส. ธรรมภักดี. กรุงเทพ ฯ.
๕. ประพันธ์ กุลวินิจฉัย เทศกาลและพิธีกรรมทางพุทธศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ ม.มจร กรุงเทพ ฯ.

............................
ข้อมูล และภาพจาก
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
http://www.onab.moe.go.th

 
 
 


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

82
ของดี ๆ ทั้งนั้น

83
หลายรุ่น
ที่นิยมสุด ๆ เนื้อโลหะรุ่นแรก

84
กราบคารวะหลวงพ่อด้วยความอาลัย และเสียดาย
เป็นการจากไปแห่งหลักชัยของพุทธศาสนาบ้านเรา
เสียดาย และอาลัย



85
หลวงพ่อเมสัน? วัดถ้ำเสือ กระบี่


องค์นี้ สุดยอด ครับ ยืนยัน
หลวงพ่อเมสัน (หลวงพ่อโด่ง)

87
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: ถาม
« เมื่อ: 19 ก.ย. 2550, 09:11:25 »
แข่งเรือยาวประเพณีประจำปี 2550 วัดบางพระ แข่งกันวันไหน คราบผม หรือ พร้อมทอดกฐิน
ปกติ พร้อมกฐิน ครับ

89
กำหนดการทอดกฐินสามัคคีวัดบางพระปี ๒๕๕๐
ตรงกับวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
เวลา ๑๐.๐๐ น, ณ วัดบางพระ








90
และในวันเดียวกัน
ที่วัดโพธิ์เผือก จ.อยุธยา
เวลาประมาณ 17.00 น.
มีพิธีเททองพระพิคเณศองค์ใหญ่
และเทวาภิเศก พระพิคเณศ
ณ ลานพิธี วัดโพธิ์เผือก ทุ่งมะขามหย่อง จ.อยุธยา
โดย พระอาจารย์ต้อม เจ้าตำหรับ ตะกรุด ๗ คัมภีร์

91
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: donation
« เมื่อ: 29 ส.ค. 2550, 09:51:39 »
ทาง ปณ. ก็ได้ครับ
ชื่อ...............................
วัดบางพระ
ต.บางแก้วฟ้า
อ.นครชัยศรี
จ.นครปฐม 73120

92
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / donation
« เมื่อ: 29 ส.ค. 2550, 03:02:11 »
ในแต่ละปี มีเด็กนักเรียน เป็นจำนวนมาก ขาดแคลน อุปกรณ์การศึกษาฯลฯ
พระอาจารย์ที่วัด และคณะศิษย์บางกลุ่ม ก็ได้รวบรวมบริจาค ไปตามโรงเรียนต่าง ๆ เท่าที่จะหาได้
สมาชิกท่านใดเห็นคุณค่าในการทำกิจกรรมนี้
โปรดสละเล็ก ๆ น้อย ๆ อาทีเช่น สมุด 2-3 เล่ม ปากกาดินสอ
เครื่องกีฬา เช่น ลูกฟุตบอล ปิงปอง ฯลฯ
เพื่อที่จะได้รวบรวมไปมอบให้โรงเรียนต่างๆ ต่อไป
**ติดต่อได้ที่**
หลวงพ่ออางค์? ?พระอาจารย์ต้อย? หลวงพี่ญา และคณะสงฆ์ วัดบางพระ**
 

93
**หลวงพ่อสำอางค์ ปภสฺสโร**
**พระประดิษฐ์ กตปุญฺโญ**

94
หลวงพ่อเสือคือใคร เล่าให้ฟังด้วยได้มั้ยครับ เพื่อนๆ
จรัญ 13 อยู่ แถวไหนคับ ช่วยบอกจุดใหญ่ๆๆก็จะดีมาก
หลวงพ่อเสือเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำวัดบางแวก
ประกอบพิธีเททอง โดย เสด็จเตี่ยฯ กรมหลวงชุมพรฯ ในสมัยนั้น
เป็นที่พึ่งของประชาชนในละแวกนั้นและใกล้เคียง ตามแต่อธิษฐาน
เพื่อนๆสมาชิก ช่วยบอกหน่อยวัดบางแวก อยู่ตรงไหนของ จรัญ 13 เหรอคับ
ช่วยบอกทางหน่อย ไม่เคยไปแถวนั้นอะคับ อยากไปนะ แต่มีคำถาม
1. ขอกำหนดการคร่าวๆๆได้มั้ยคับ ว่างานเริ่มกี่โมง และจบลงกี่โมง ในงานมีอะไรบ้าง
2. ไม่ได้เป็นศิษย์แต่ศรัทธาอยากไปร่วมงานได้มั้ยครับ
3. งานไหว้ครู คืออะไร
4. มีรูปหรือประวัติหลวงพ่อบ้างมั้ยคับ
5.เค้าจัดที่กุฏิไหน ละแวกไหน โซนไหนของวัดไปไม่ถูกคับ
6. มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างมั้ยคับ
7.ในงานมีประกอบพิธีอะไรบ้าง
2 กันยายน 2550
1.เวลาประมาณ 07.00 น.พุทธา เทวาภิเศก ในอุโบสถวัดบางแวก
2.ขอเชิญครับผม
3.คือ ........ไปดูเองดักว่า
4.****ติดไว้ก่อน
5.พุทธาภิเศกในอุโบสถ พิธีไหว้ครูที่ ศาลาการเปรียญ
6.ค่าครอบครูไม่น่าจะเกิน 100.-
7.พุทธาภิเศก/ไหว้ครู

95
หลังฝังตุกรุด 9 ดอก องค์ละ 2500.-
ที่วัดนกยังพอมีครับ

96
ดัน :114: :114: :114: :114:

97
*****/\******

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

98
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / แจ้งข่าว
« เมื่อ: 25 ส.ค. 2550, 04:52:09 »
ในวันที่ 25 สิงหาคม 2550
ตรงกับวันครบ 100 วัน
ของการจากไป ของ ดร.ไมตรี บุญสูง
ในส่วนของผู้เคารพรักที่นี้ ได้จัดงานทำบุญ 100 วัน
ที่วัดบางพระ เป็นการระลึกถึงคุณความดี และในความเป็นลูกบุญธรรม และลูกศิษย์หลวงพ่อเปิ่น
เวลา ประมาณ 10.00 น เจริญพุทธมนต์
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?11.00 น. ถวายภัตตาหารเพล
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? เสริจแล้วอนุโมทนา
หลังจากนั้นรับประทานอาหาร ในงานมีวัตถุมงคลมอบเป็นที่ระลึก
ณ กุฏิ พระอาจารย์ต้อย วัดบางพระ
ขอเชิญร่วมงานโดยทั่วกัน?

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

99
ขอแสดงความยินดี

100
วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันอาสาฬหบูชา
วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา วันเข้าพรรษา          จากที่เกิดวันเข้าพรรษา เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์อยู่จำพรรษา เหตุเพราะสมัยก่อนฝนตกชุก การเดินทางสัญจรไปมาก็ไม่สะดวก อีกทั้งไปเหยียบต้นข้าวของชาวบ้าน ในสมัยที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้แล้ว และได้ให้พระภิกษุสงฆ์ออกไปตามเขตต่าง ๆ เพื่อประกาศพระศาสนา จนมีผู้ขออุปสมบทมากขึ้น จึงทำให้มีพระภิกษุสงฆ์ออกไปเผยแพร่พระศาสนากันมากขึ้น แม้ในฤดูฝนก็มิได้หยุดพัก การเดินทางก็ไม่สะดวก ทั้งยังเหยียบข้าวกล้าให้เกิดความเสียหาย ทำให้สัตว์เล็กน้อยตาย ประชาชนจึงพากันติเตียนว่า "ไฉนเล่า พระสมณศากยบุตรจึงเที่ยวไปมาอยู่ทุกฤดูกาล เหยียบข้าวกล้าและติณชาติให้ได้รับความเสียหาย ทำให้สัตว์เล็กน้อยตาย พวกเดียรถีย์และปริพพาชกเสียอีกยังพากันหยุดพักในฤดูฝน ถึงนกยังรู้จักทำรังที่กำบังฝนของตน"
          พระพุทธองค์ได้ทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงทรงบัญญัติเป็นธรรมเนียมให้พระสงฆ์อยู่จำพรรษาตลอด ๓ เดือนในฤดูฝน ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ไปจนถึงกลางเดือน ๑๑ ห้ามมิให้เที่ยวสัญจรไปมา

          วันเข้าพรรษาที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตไว้มีอยู่ ๒ วัน คือ
          ๑.ปุริมิกาวัสสูปนายิกา คือ วันเข้าพรรษาแรก ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ไปจนถึงวันเพ็ญ กลางเดือน ๑๑
          ๒.ปัจฉิมมิกาวัสสูปนายิกา คือ วันเข้าพรรษาหลัง ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ ไปจนถึงวันเพ็ญกลางเดือน ๑๒

          ภิกษุเข้าพรรษาแล้ว หากมีกิจธุระจำเป็นอันชอบด้วยพระวินัย พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาตให้ไปได้ แต่จะต้องกลับมา ยังสถานที่เดิมภายใน ๗ วัน พรรษาไม่ขาด ที่เรียกว่า "สัตตาหกรณียะ" เหตุที่ทรงอนุญาตให้ไปได้ด้วยสัตตาหกรณียะนั้นมี ๔ อย่างดังต่อไปนี้
          ๑. สหธรรมิกหรือมารดาบิดาเจ็บไข้ รู้เข้าไปเพื่อรักษาพยาบาล
          ๒. สหธรรมิกกระสันจะสึก รู้เข้าไปเพื่อห้ามปราม
          ๓. มีกิจสงฆ์เกิดขึ้น เช่น วิหารชำรุดลงในเวลานั้น ไปเพื่อหาเครื่องทัพพสัมภาะมาปฏิสังขรณ์
          ๔. ทายกต้องการบำเพ็ญบุญกุศลส่งคนมานิมนต์ ไปเพื่อบำรุงศรัทธาของเขาได้
          แม้ธุระอื่นนอกจากนี้ที่เป็นกิจจลักษณะอนุโลมเข้าในข้อนี้ด้วย

          ในเวลาจำพรรษาเมื่อมีอันตรายเกิดขึ้นจะอยู่ต่อไปไม่ได้ และไปเสียจากที่นั้น พรรษาขาด
          แต่ท่านไม่ปรับอาบัติ (ไม่เป็นอาบัติ) มีดังนี้ คือ
          ๑. ถูกสัตว์ร้าย โจร หรือปีศาจเบียดเบียน
          ๒. เสนาสนะถูกไฟไหม้ หรือน้ำท่วม
          ๓. ภัยเช่นนั้นเกิดขึ้นแก่โคจรคาม ลำบากด้วยบิณฑบาต ในข้อนี้ชาวบ้านอพยพจะตามเขาไปก็ควร
          ๔. ขัดสนด้วยอาหาร โดยปกติไม่ได้อาหารหรือเภสัชอันสบาย ไม่ได้อุปัฏฐากอันสมควร (ข้อนี้หากพอทนได้ก็ควรอยู่ต่อไป)
          ๕ .มีหญิงมาเกลี้ยกล่อม หรือมีญาติมารบกวนล่อด้วยทรัพย์
          ๖. สงฆ์ในอาวาสอื่นจวนจะแตกกันหรือแตกกันแล้ว ไปเพื่อจะห้ามหรือเพื่อสมานสามัคคีได้อยู่ (ในข้อนี้ ถ้ากลับมาทัน ควรไปด้วยสัตตาหกรณียะ)

          พระพุทธองค์ทรงอนุญาตการอยู่จำพรรษาในสถานที่บางแห่ง แก่ภิกษุบางรูปผู้มีความประสงค์ จะอยู่จำพรรษาในสถานที่ต่าง ๆ กัน สถานที่เหล่านั้น คือ
          ๑. ในคอกสัตว์ (อยู่ในสถานที่ของคนเลี้ยงโค)
          ๒. เมื่อคอกสัตว์ย้ายไป ทรอนุญาตให้ย้ายตามไปได้
          ๓. ในหมู่เกวียน
          ๔. ในเรือ

          พระพุทธองค์ทรงห้ามมิให้อยู่จำพรรษาในสถานที่อันไม่สมควร สถานที่เหล่านั้นคือ
          ๑. ในโพรงไม้
          ๒. บนกิ่งหรือคาคบไม้
          ๓. ในที่กลางแจ้ง
          ๔. ในที่ไม่มีเสนาสนะ คือไม่มีที่นอนที่นั่ง
          ๕. ในโลงผี
          ๖. ในกลด
          ๗. ในตุ่ม

          ข้อห้ามที่พระพุทธองค์ทรงห้ามไว้อีกอย่างหนึ่ง คือ
          ๑. ห้ามมิให้ตั้งกติกาอันไม่สมควร เช่น การมิให้มีการบวชกันภายในพรรษา
          ๒. ห้ามรับปากว่าจะอยู่พรรษาในที่ใดแล้ว ไม่จำพรรษาในที่นั้น

          อนึ่ง วันเข้าพรรษานี้ ถือกันว่าเป็นกรณียพิเศษสำหรับภิกษุสงฆ์ เมื่อใกล้วันเข้าพรรษาควรปัดกวาด เสนาสนะสำหรับจะอยู่จำพรรษาให้ดี ในวันเข้าพรรษา พึงประชุมกันในโรงอุโบสถไหว้พระสวดมนต์ ขอขมาต่อกันและกัน หลังจากนั้นก็ประกอบพิธีอธิษฐานพรรษา ภิกษุควรอธิษฐานใจของตนเองคือตั้งใจเอาไว้ว่า ตลอดฤดูกาลเข้าพรรษานี้ ตนเองจะไม่ไปไหน ด้วยการเปล่งวาจาว่า

          "อิมสฺมึ อาวาเส อิมัง เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ แปลว่า ข้าพเจ้าจะอยู่จำพรรษาในอาวาสนี้ตลอด ๓ เดือน"

          หลังจากเสร็จพิธีเข้าพรรษาแล้ว ก็นำดอกไม้ธูปเทียนไปนมัสการบูชาปูชนียวัตถุที่สำคัญในวัดนั้น ในวันต่อมาก็นำดอกไม้ ธูปเทียนไปขอขมาพระอุปัชฌาย์อาจารย์และพระเถระผู้ที่ตนเองเคารพนับถือ

อานิสงส์แห่งการจำพรรษา

          เมื่อพระภิกษุอยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือนได้ปวารณาแล้ว ย่อมจะได้รับอานิสงส์แห่งการจำพรรษา ๕ อย่าง ตลอด ๑ เดือนนับแต่วันออกพรรษาเป็นต้นไป คือ
          ๑. เที่ยวจาริกไปโดยไม่ต้องบอกลา ตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค ปาจิตตีย์กัณฑ์
          ๒. เที่ยวจาริกไปโดยไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับ
          ๓. ฉันคณะโภชน์และปรัมปรโภชน์ได้
          ๔. เก็บอติเรกจีวรได้ตามปรารถนา
          ๕. จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้นเป็นของพวกเธอ

          และยังได้โอกาสเพื่อที่จะกราลกฐิน และได้รับอานิสงส์พรรษาทั้ง ๕ ขึ้นนั้นเพิ่มออกไปอีก ๔ เดือน ในฤดูหนาว คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ไปจนถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ อีกด้วย

          ในวันเข้าพรรษานี้ตามประวัติ ชาวไทยเราได้ประกอบพิธีทางศาสนาเนื่องในวันเข้าพรรษา มาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย ซึ่งมีทั้ง พิธีหลวง และ พิธีราษฎร์ กิจกรรมที่กระทำก็มีการเตรียมเสนาสนะให้อยู่ในสภาพที่ดี สำหรับจะได้จำพรรษาอยู่ตลอด 3 เดือน จัดทำ เทียนจำนำพรรษา เพื่อใช้จุดบูชาพระบรมธาตุ พระพุทธปฏิมา พระปริยัติธรรม ตลอดทั้ง 3 เดือน ถวายธูป เทียน ชวาลา น้ำมันตามไส้ประทีปแก่พระภิกษุสงฆ์ที่อยู่จำพรรษาในพระอาราม

          สำหรับเทียนจำนำพรรษาจะมีการ แห่เทียน ไปยังพระอารามทั้งทางบกและทางน้ำตามแต่หนทางที่ไปจะอำนวยให้ เพื่อนำเทียนเข้าไปตั้งในพระอุโบสถหรือพระวิหาร แล้วก็จะจุดเทียนเพื่อบูชาพระรัตนตรัย

          สำหรับการปฏิบัติอื่น ๆ ก็จะมีการถวาย ผ้าอาบน้ำฝน การอธิษฐานตนว่าจะประพฤติปฏิบัติให้อยู่ในกรอบของศีลห้า ศีลแปด ฟังเทศน์ฟังธรรม ตามระยะเวลาที่กำหนดโดยเคร่งครัด ตามกำลังศรัทธา และขีดความสามารถของตน นับว่าวันเข้าพรรษาเป็นโอกาสอันดีที่พุทธศาสนิกชน จะได้ประพฤติปฏิบัติตนในกรอบของพระพุทธศาสนาได้เข้มข้นยิ่งขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

 
 

http://www.larnbuddhism.com/puttaprawat/day/khawpansa.html

101
004

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

102
003

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

103
002

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

104
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / วันนี้
« เมื่อ: 21 ก.ค. 2550, 09:12:47 »
001

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

105
ขอเชิญร่วมพิธี พุทธา เทวาภิเสก
09.00 น. วัดมารวิชัย อยุธยา
14.00 น.วัดนก กรุงเทพฯ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

106
***

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

107
คิดถึงสมุยจังเลย
มาก็เอาจตุคามมาฝากด้วย

108
ขอเชิญร่วมงานทำบุญ ระลึกถึง หลวงพ่อเปิ่น
ในวันที่ 12 สิงหาคม 2550
ในช่วงเช้า เวลาประมา 08.00 น.
หลวงปู่ทิมวัดพระขาว กดพิมพ์นำฤกษ์พระผงจตุคามรามเทพ รุ่นพิเศษ


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

109
จัดไปแล้วครับวันนี้
วันงานว่ากันใหม่

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

110
ได้รับข่าวจาก วัดบางแวกว่า
ลูกนำฤกษ์ วันที่ 7 สิงหาคม
ลูกละ 399.-
และรับพระวันที่ 2 กันยายน

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

111
ขออนุโมทนา
และเป็นกำลังใจ
ส่วนปัจจัย จะตามไปภายหลัง
แต่น่าเห็นใจหลวงพ่อไมท์ ดำอยู่แล้วกว่าจะสร้างเสร็จจะดำขนาดไหน

112
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / กวนอิม
« เมื่อ: 23 พ.ค. 2550, 05:55:52 »
องค์จตุคามรามเทพ รุ่นเพชรสมุย
ยังพอมีให้บูชาในราคาชุดละ 900 บาท
ที่ กุฏิ พระอาจารย์ต้อย
เพื่อนำปัจจัยไปสมทบสร้าง พระแม่กวนอิม
ฯลฯ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

113
วันที่ 15 พ.ค. 2550
กำหนดการโดยสังเขป
เวลา 10.00 น.พระสงฆ์เริญพระพุทธมนต์
         11.00 น.ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ทั้งวัด
                      และพระอาคันตุกะ
***************หลังจากนั้น ถวายผ้าป่าสามัคคี********
เสร็จแล้วขอเชิญรัปทานอาหารร่วมกัน***********************

114
ขอเชิญร่วมทอดผ้าป่า เพื่อสมทบทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ให้กับโรงพยาบาลหลวงพ่อเปิ่น
ในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๐
ณ   กุฏิ พระอาจารย์ต้อย  วัดบางพระ นครปฐม
เวลา ๑๐.๐๐ น.  ถวายผ้าป่า
เวลา ๑๑.๐๐ น.  ถวายภัตตาหารเพล
เสร็จพิธีขอเชิญร่วมรับประทานอาหาร
และรับวัตถุมงคลเป็นที่ระลึก
+++++++++++++ในงานครั้งนี้ขอขอบพระคุณ++++++++++++
++พระอธิการเมตไตร   เจ้าอาวาสวัดศิลางู
++ดร.ไมตรี  บุญสูง ศิษย์และลูกบุญธรรม หลวงพ่อเปิ่น
ที่ได้มอบวัตถุมงคล องค์จตุคามรามเทพ รุ่นเพชรสมุย
เพื่อมอบให้กับผู้ร่วมทำบุญในครั้งนี้ :054: :054: :054:

115
ฟันธง เก๊ 100% เป็นพิมพ์พระผงนั้งเสือ รุ่นแรก ปี 33
เก๊ครับ แต่ไม่เป็นไรครับ ขอแค่เรามีความเคราพ และ ศรัททาต่อองค์หลวงพ่อเปิ่น แค่นี้ก็พอเพียงแล้ว

116
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / แจ้งให้ทราบ
« เมื่อ: 22 เม.ย. 2550, 05:37:01 »
สำหรับผู้ที่จอง หรือต้องการ
องค์จตุคามรามเทพ รุ่นเพชรสมุย
เพื่อสมทบทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ให้กับ
โรงพยาบาลหลวงพ่อเปิ่น
มารับได้ในวันที่ 1 พ.ค. 2550
ที่วัดบางพระ กุฎิพระอาจารย์ต้อย และหลวงพี่ญา

117
ครบอีกปีแล้ว
หลวงพ่อยังอยู่คงมีความสุขมาก
ที่ลูกศิษย์รักใคร่กลมเกลียวกันดี
ช่วยกันทำความดี วัดวาอารามเจริญรุ่งเรือง
ระลึกถึงหลวงพ่อเสมอ
สิ่งที่หลวงพ่อพร่ำสอน ตักเตือน ยังจำได้เสมอ
ไม่เคยลืมเลือน ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ทำเท่าที่ ร่างกายจะทนทานได้
ส่วนจิตใจไม่มีอะไรทำให้มันเป็นอย่างอื่นได้ นอกจาก? ?หลวงพ่อเปิ่น
น้อมกราบคารวะหลวงพ่อตลอดกาล

118
กำหนดการฌาปนกิจศพ
คุณแม่หลวงพี่นันต์ ในวันที่ 21 มีนาคม 2550
ประมาณเวลา 14.00 -15.00 น.ทำพิธีที่วัดห้วยพลู
หลังจากนั้นเคลื่อนศพมาที่เมรุวัดบางพระ
เวลาประมาณ 16.00 น.ทำพิธีที่วัดบางพระ(เผาจริง)
จึงเรียนมาให้ทราบทั่วกัน

119
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / vcd
« เมื่อ: 05 มี.ค. 2550, 09:30:45 »
สมาชิกท่านใด สนใจอยากเป็นเจ้าของ vcd(ฉบับถ่ายทำกันเอง) ของงานไหว้ครูประจำปีนี้
โปรดแจ้งความประสงค์ไว้ที่ คุณ A บางแค

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

121
ขอแสดงความเสียใจ
ต่อการจากไปของ  คุณเฉลียว อุ่นศิริ (ป้าเหลียว /โยมเหลียว)
ในวันนี้เมื่อเช้า
สวดพระอภิธรรมคืนนี้เป็นคืนแรก
กำหนดฌาปนกิจศพ วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม 2550
เวลา 16.00 น.

122
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: jaturakam3
« เมื่อ: 10 ม.ค. 2550, 07:56:15 »
003

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

123
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: jaturakam2
« เมื่อ: 10 ม.ค. 2550, 07:51:55 »
002

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

124
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / jaturakam
« เมื่อ: 10 ม.ค. 2550, 07:45:43 »
001

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

125
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / happy newyear 2550****
« เมื่อ: 01 ม.ค. 2550, 06:33:23 »
there are better things waiting for you***********
i  wist you are loved***********
you are lucky******
you are healthy********
you are safe and happy
*****2550*********
and everytimes**********

126
002

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

127
001

128
และในวันที่ 11 พ.ย. 2549
เวลา  10.30 น.
ขอเชิญร่วมทำบุญทอดผ้าป่าสามัคคี สร้างกุฏิ พระอาจารย์แป๊ว
ในงานมีอาหาร และเครื่องดื่มเลี้ยง

129
ขอเชิญบริจาค สมุดดินสอปากกา เครื่องเขียน เพื่อนำไปมอบให้แก่เด็กนักเรียน
บริจาคทำบุญได้ที่
พระอาจารย์ต้อย
หลวงพี่ญา
ถ้าหลวงพ่อวัดห้วยขวางรับและสมทบบริจาคด้วยก็ยิ่งดี ขอกราบขอบพระคุณล่วงหน้า ao บอกหลวงพ่อด้วยนะ
**และเสื้อผ้าใช้แล้ว สภาพดี ใครมีเยอะไม่ได้ใช้แล้วก็ขอเชิญร่วมบริจาคได้นะครับ



130
ของดี พระอาจารย์ติ่ง อีกอย่าง คือ ๗ จิ้งจก ลองขอท่านดูนะครับ ขอบอก :095: :095: :095: :095:

131
 :052: :052: :052:
ได้ยอดเงินทำบุญ 165,165.00  บาท

132
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / คณะศิษย์
« เมื่อ: 08 ต.ค. 2549, 07:35:47 »
วันนี้คณะศิษย์หลวงพ่อเปิ่น ประกอบด้วย
เผ่า  คลองเตย   ทิดตุ้ย   แกละ  ข้าวโพด   เดช ชัย เพื่อน ๆ ชมรมมอเตอร์ไซด์
อ๊อด บางแค    เอ บางแค  และผองเพื่อน
โด้  กุ้ง  บางพระ ได้ร่วมกันทอดผ้าป่าถวาย หลวงพ่อเจตน์  วัดนก 
เพื่อสมทบทุนสร้างพระมหาเจดีย์วัดนกต่อไป :053: :053: :053: :053:
อิ่มท้อง และอิ่มบุญกัน   :052: :052: (วันนี้เจ้าเดิมไม่เมา5555) :007:

134
***

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

135
 :001: :001: :001:

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

136
กำหนดการทอดกฐิน วัดบางพระ ประจำปี 2549
ตรงกับวันที่  23  ตุลาคม  2549 
เวลา 10.00 น.
ขอเชิญศิษย์ ศิษยานุศิษย์ ท่านที่เคารพ และผู้ใฝ่ใจงานบุญกุศล ร่วมทำบุญทอดกฐินสามัคคีโดยพร้อมเพรียงกัน


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

137
_/\_

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

138
แจกครับ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

139
รายนานผู้ร่วมทำบุญวันที่ 12 สิงหาคม 2549
1.กำนันฉาย? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?  10,000.-
2chaokok liong & family? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?  200.-
3โชคชัย? ลาภศิริมงคล/ตะวัน? ศรีภุมมา? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? 1,000.-
4จ่ายูร? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? 1,000.-
5 อ.ต้อย? ศิษย์ s'pore? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?  10,000.-
6 อ.ต้อย ซองเล็ก2,000.ซองใหญ่9,500.รวม? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?  11,500.-
7คุณแม่แดง  วัดราชนัดดา ร่วมถวายพระสวดมนต์              5,000.-    และนำ แกงส้ม- ทอดมันปลากราย-ลอดช่องมหาชัย   มาเลี้ยง

140
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / รายนาม
« เมื่อ: 03 ส.ค. 2549, 06:27:25 »
รายนานผู้ร่วมทำบุญวันที่ 12 สิงหาคม 2549
1.กำนันฉาย                                                                   10,000.-
2chaokok liong & family                                                     200.-
3โชคชัย  ลาภศิริมงคล/ตะวัน  ศรีภุมมา                            1,000.-
4จ่ายูร                                                                              1,000.-
5 อ.ต้อย  ศิษย์ s'pore                                                       10,000.-
6 อ.ต้อย ซองเล็ก2,000.ซองใหญ่9,500.รวม                       11,500.-

141
 :001:


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

142
http://www.larnbuddhism.com/puttaprawat/day/khawpansa.html
 



วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา วันเข้าพรรษา          จากที่เกิดวันเข้าพรรษา เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์อยู่จำพรรษา เหตุเพราะสมัยก่อนฝนตกชุก การเดินทางสัญจรไปมาก็ไม่สะดวก อีกทั้งไปเหยียบต้นข้าวของชาวบ้าน ในสมัยที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้แล้ว และได้ให้พระภิกษุสงฆ์ออกไปตามเขตต่าง ๆ เพื่อประกาศพระศาสนา จนมีผู้ขออุปสมบทมากขึ้น จึงทำให้มีพระภิกษุสงฆ์ออกไปเผยแพร่พระศาสนากันมากขึ้น แม้ในฤดูฝนก็มิได้หยุดพัก การเดินทางก็ไม่สะดวก ทั้งยังเหยียบข้าวกล้าให้เกิดความเสียหาย ทำให้สัตว์เล็กน้อยตาย ประชาชนจึงพากันติเตียนว่า "ไฉนเล่า พระสมณศากยบุตรจึงเที่ยวไปมาอยู่ทุกฤดูกาล เหยียบข้าวกล้าและติณชาติให้ได้รับความเสียหาย ทำให้สัตว์เล็กน้อยตาย พวกเดียรถีย์และปริพพาชกเสียอีกยังพากันหยุดพักในฤดูฝน ถึงนกยังรู้จักทำรังที่กำบังฝนของตน"
          พระพุทธองค์ได้ทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงทรงบัญญัติเป็นธรรมเนียมให้พระสงฆ์อยู่จำพรรษาตลอด ๓ เดือนในฤดูฝน ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ไปจนถึงกลางเดือน ๑๑ ห้ามมิให้เที่ยวสัญจรไปมา

          วันเข้าพรรษาที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตไว้มีอยู่ ๒ วัน คือ
          ๑.ปุริมิกาวัสสูปนายิกา คือ วันเข้าพรรษาแรก ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ไปจนถึงวันเพ็ญ กลางเดือน ๑๑
          ๒.ปัจฉิมมิกาวัสสูปนายิกา คือ วันเข้าพรรษาหลัง ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ ไปจนถึงวันเพ็ญกลางเดือน ๑๒

          ภิกษุเข้าพรรษาแล้ว หากมีกิจธุระจำเป็นอันชอบด้วยพระวินัย พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาตให้ไปได้ แต่จะต้องกลับมา ยังสถานที่เดิมภายใน ๗ วัน พรรษาไม่ขาด ที่เรียกว่า "สัตตาหกรณียะ" เหตุที่ทรงอนุญาตให้ไปได้ด้วยสัตตาหกรณียะนั้นมี ๔ อย่างดังต่อไปนี้
          ๑. สหธรรมิกหรือมารดาบิดาเจ็บไข้ รู้เข้าไปเพื่อรักษาพยาบาล
          ๒. สหธรรมิกกระสันจะสึก รู้เข้าไปเพื่อห้ามปราม
          ๓. มีกิจสงฆ์เกิดขึ้น เช่น วิหารชำรุดลงในเวลานั้น ไปเพื่อหาเครื่องทัพพสัมภาะมาปฏิสังขรณ์
          ๔. ทายกต้องการบำเพ็ญบุญกุศลส่งคนมานิมนต์ ไปเพื่อบำรุงศรัทธาของเขาได้
          แม้ธุระอื่นนอกจากนี้ที่เป็นกิจจลักษณะอนุโลมเข้าในข้อนี้ด้วย

          ในเวลาจำพรรษาเมื่อมีอันตรายเกิดขึ้นจะอยู่ต่อไปไม่ได้ และไปเสียจากที่นั้น พรรษาขาด
          แต่ท่านไม่ปรับอาบัติ (ไม่เป็นอาบัติ) มีดังนี้ คือ
          ๑. ถูกสัตว์ร้าย โจร หรือปีศาจเบียดเบียน
          ๒. เสนาสนะถูกไฟไหม้ หรือน้ำท่วม
          ๓. ภัยเช่นนั้นเกิดขึ้นแก่โคจรคาม ลำบากด้วยบิณฑบาต ในข้อนี้ชาวบ้านอพยพจะตามเขาไปก็ควร
          ๔. ขัดสนด้วยอาหาร โดยปกติไม่ได้อาหารหรือเภสัชอันสบาย ไม่ได้อุปัฏฐากอันสมควร (ข้อนี้หากพอทนได้ก็ควรอยู่ต่อไป)
          ๕ .มีหญิงมาเกลี้ยกล่อม หรือมีญาติมารบกวนล่อด้วยทรัพย์
          ๖. สงฆ์ในอาวาสอื่นจวนจะแตกกันหรือแตกกันแล้ว ไปเพื่อจะห้ามหรือเพื่อสมานสามัคคีได้อยู่ (ในข้อนี้ ถ้ากลับมาทัน ควรไปด้วยสัตตาหกรณียะ)

          พระพุทธองค์ทรงอนุญาตการอยู่จำพรรษาในสถานที่บางแห่ง แก่ภิกษุบางรูปผู้มีความประสงค์ จะอยู่จำพรรษาในสถานที่ต่าง ๆ กัน สถานที่เหล่านั้น คือ
          ๑. ในคอกสัตว์ (อยู่ในสถานที่ของคนเลี้ยงโค)
          ๒. เมื่อคอกสัตว์ย้ายไป ทรอนุญาตให้ย้ายตามไปได้
          ๓. ในหมู่เกวียน
          ๔. ในเรือ

          พระพุทธองค์ทรงห้ามมิให้อยู่จำพรรษาในสถานที่อันไม่สมควร สถานที่เหล่านั้นคือ
          ๑. ในโพรงไม้
          ๒. บนกิ่งหรือคาคบไม้
          ๓. ในที่กลางแจ้ง
          ๔. ในที่ไม่มีเสนาสนะ คือไม่มีที่นอนที่นั่ง
          ๕. ในโลงผี
          ๖. ในกลด
          ๗. ในตุ่ม

          ข้อห้ามที่พระพุทธองค์ทรงห้ามไว้อีกอย่างหนึ่ง คือ
          ๑. ห้ามมิให้ตั้งกติกาอันไม่สมควร เช่น การมิให้มีการบวชกันภายในพรรษา
          ๒. ห้ามรับปากว่าจะอยู่พรรษาในที่ใดแล้ว ไม่จำพรรษาในที่นั้น

          อนึ่ง วันเข้าพรรษานี้ ถือกันว่าเป็นกรณียพิเศษสำหรับภิกษุสงฆ์ เมื่อใกล้วันเข้าพรรษาควรปัดกวาด เสนาสนะสำหรับจะอยู่จำพรรษาให้ดี ในวันเข้าพรรษา พึงประชุมกันในโรงอุโบสถไหว้พระสวดมนต์ ขอขมาต่อกันและกัน หลังจากนั้นก็ประกอบพิธีอธิษฐานพรรษา ภิกษุควรอธิษฐานใจของตนเองคือตั้งใจเอาไว้ว่า ตลอดฤดูกาลเข้าพรรษานี้ ตนเองจะไม่ไปไหน ด้วยการเปล่งวาจาว่า

          "อิมสฺมึ อาวาเส อิมัง เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ แปลว่า ข้าพเจ้าจะอยู่จำพรรษาในอาวาสนี้ตลอด ๓ เดือน"

          หลังจากเสร็จพิธีเข้าพรรษาแล้ว ก็นำดอกไม้ธูปเทียนไปนมัสการบูชาปูชนียวัตถุที่สำคัญในวัดนั้น ในวันต่อมาก็นำดอกไม้ ธูปเทียนไปขอขมาพระอุปัชฌาย์อาจารย์และพระเถระผู้ที่ตนเองเคารพนับถือ

อานิสงส์แห่งการจำพรรษา

          เมื่อพระภิกษุอยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือนได้ปวารณาแล้ว ย่อมจะได้รับอานิสงส์แห่งการจำพรรษา ๕ อย่าง ตลอด ๑ เดือนนับแต่วันออกพรรษาเป็นต้นไป คือ
          ๑. เที่ยวจาริกไปโดยไม่ต้องบอกลา ตามสิกขาบทที่ ๖ แห่งอเจลกวรรค ปาจิตตีย์กัณฑ์
          ๒. เที่ยวจาริกไปโดยไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับ
          ๓. ฉันคณะโภชน์และปรัมปรโภชน์ได้
          ๔. เก็บอติเรกจีวรได้ตามปรารถนา
          ๕. จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้นเป็นของพวกเธอ

          และยังได้โอกาสเพื่อที่จะกราลกฐิน และได้รับอานิสงส์พรรษาทั้ง ๕ ขึ้นนั้นเพิ่มออกไปอีก ๔ เดือน ในฤดูหนาว คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ไปจนถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ อีกด้วย

          ในวันเข้าพรรษานี้ตามประวัติ ชาวไทยเราได้ประกอบพิธีทางศาสนาเนื่องในวันเข้าพรรษา มาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย ซึ่งมีทั้ง พิธีหลวง และ พิธีราษฎร์ กิจกรรมที่กระทำก็มีการเตรียมเสนาสนะให้อยู่ในสภาพที่ดี สำหรับจะได้จำพรรษาอยู่ตลอด 3 เดือน จัดทำ เทียนจำนำพรรษา เพื่อใช้จุดบูชาพระบรมธาตุ พระพุทธปฏิมา พระปริยัติธรรม ตลอดทั้ง 3 เดือน ถวายธูป เทียน ชวาลา น้ำมันตามไส้ประทีปแก่พระภิกษุสงฆ์ที่อยู่จำพรรษาในพระอาราม

          สำหรับเทียนจำนำพรรษาจะมีการ แห่เทียน ไปยังพระอารามทั้งทางบกและทางน้ำตามแต่หนทางที่ไปจะอำนวยให้ เพื่อนำเทียนเข้าไปตั้งในพระอุโบสถหรือพระวิหาร แล้วก็จะจุดเทียนเพื่อบูชาพระรัตนตรัย

          สำหรับการปฏิบัติอื่น ๆ ก็จะมีการถวาย ผ้าอาบน้ำฝน การอธิษฐานตนว่าจะประพฤติปฏิบัติให้อยู่ในกรอบของศีลห้า ศีลแปด ฟังเทศน์ฟังธรรม ตามระยะเวลาที่กำหนดโดยเคร่งครัด ตามกำลังศรัทธา และขีดความสามารถของตน นับว่าวันเข้าพรรษาเป็นโอกาสอันดีที่พุทธศาสนิกชน จะได้ประพฤติปฏิบัติตนในกรอบของพระพุทธศาสนาได้เข้มข้นยิ่งขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

 
 

 

143
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ปีนี้ 11 กค 49
« เมื่อ: 11 ก.ค. 2549, 06:26:46 »
 


 
http://www.watkoh.com/data/ssn_phitee/khawphansa.php :001:
 


 วันเข้าพรรษา
วันเข้าพรรษา กำหนดเป็น 2 ระยะ คือ ปุริมพรรษา และปัจฉิมพรรษา
1. ปุริมพรรษา คือ วันเข้าพรรษาต้น ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี หรือราวเดือนกรกฎาคม และออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ราวเดือนตุลาคม
2. ปัจฉิมพรรษา คือ วันเข้าพรรษาหลัง สำหรับปีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หลัง หรือราวเดือนกรกฎาคม และจะออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ราวเดือนตุลาคม ความหมายของวันเข้าพรรษา คือ เป็นวันที่พระภิกษุสงฆ์อธิษฐานว่าจะพักประจำอยู่ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ตลอดระยะเวลาฤดูฝนมีกำหนด 3 เดือนตามพระวินัยบัญญัติ โดยไม่ไปค้างแรมในที่อื่น เรียกกันโดยทั่วไปว่า "จำพรรษา"

"เข้าพรรษา" แปลว่า "พักฝน" หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำ แม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยียบข้าวกล้าและพืชอื่นๆ จนเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน คือ เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ถ้าปีใดมีเดือน 8 สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือนแปดหลัง และออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เว้นแต่มีกิจธุระเจ้าเป็นซึ่งเมื่อเดินทางไปแล้วไม่สามารถจะกลับได้ในเดียวนั้น ก็ทรงอนุญาตให้ไปแรมคืนได้ คราวหนึ่งไม่เกิน 7 คืนเรียกว่า สัตตาหะ
หากเกินกำหนดนี้ถือว่าไม่ได้รับประโยชน์ แห่งการจำพรรษา จัดว่าพรรษาขาด ระหว่างเดินทางก่อนหยุดเข้าพรรษา หากพระภิกษุสงฆ์เข้ามาทันในหมู่บ้านหรือในเมืองก็พอจะหาที่พักพิงได้ตามสมควร แต่ถ้ามาไม่ทันก็ต้องพึ่งโคนไม้ใหญ่เป็นที่พักแรม ชาวบ้านเห็นพระได้รับความลำบากเช่นนี้ จึงช่วยกันปลูกเพิง เพื่อให้ท่านได้อาศัยพักฝน รวมกันหลาย ๆองค์ ที่พักดังกล่าวนี้เรียกว่า "วิหาร" แปลว่าที่อยู่สงฆ์

เมื่อหมดแล้ว พระสงฆ์ท่านออกจาริกตามกิจของท่านครั้งถึงหน้าฝนใหม่ท่านก็กลับมาพักอีกเพราะสะดวกดี แต่บางท่านอยู่ประจำเลย บางทีเศรษฐีมีจิตศัรทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็เลือกหาสถานที่สงบเงียบไม่ห่างไกลจากชุมชนนัก สร้างที่พัก เรียกว่า "อาราม" ให้เป็นที่อยู่ของสงฆ์ดังเช่นปัจจุบันนี้ โดยปรกติเครื่องใช้สอยของพระ ตามพุทธานุญาตให้มีประจำตัวนั้น มีเพียงอัฏฐบริขารอันได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ เข็ม บาตร รัดประคด หม้อกรองน้ำ และมีดโกน และกว่าพระท่านจะหาที่พักแรมได้ บางทีก็ถูกฝนต้นฤดูเปียกปอนมา ชาวบ้านที่ใจบุญจึงถวายผ้าจำนำพรรษา หรือผ้าอาบน้ำฝนสำหรับให้ท่านได้ผลัดเปลี่ยน และถวายของจำเป็นแก่กิจประจำวันของท่านเป็นพิเศษในเข้าพรรษานับเป็นเหตุให้มีประเพณีทำบุญเนื่องในวันนี้สืบมา

การที่พระภิกษุสงฆ์ท่านโปรดสัตว์อยู่ประจำเป็นที่เช่นนี้ เป็นการดีสำหรับสาธุชนหลายประการ กล่าวคือ ผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามพระพุทธบัญญัติก็นิยมบวชพระ ส่วนผู้ที่อายุยังไม่ครบบวชผู้ปกครองก็นำไปฝากพระ โดยบวชเป็นเณรบ้าง ถวายเป็นลูกศิษย์รับใช้ท่านบ้าง ท่านก็สั่งสอนธรรม และความรู้ให้ และโดยทั่วไป พุทธศาสนิกชนนิยมตักบาตรหรือไปทำบุญที่วัด นับว่าเป็นประโยชน์ การปฏิบัติตน ในวันนี้หรือก่อนวันนี้หนึ่งวัน พุทธศาสนิกชนมักจะจัดเครื่องสักการะเช่น ดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องใช้ เช่น สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น มาถวายพระภิกษุ สามเณร ที่ตนเคารพนับถือ ที่สำคัญคือ มีประเพณีหล่อเทียนขนาดใหญ่เพื่อให้จุดบูชาพระประธานในโบสถ์อยู่ได้ตลอด 3 เดือน มีการประกวดเทียนพรรษา โดยจัดเป็นขบวนแห่ทั้งทางบกและทางน้ำ แม้การเข้าพรรษาจะเป็นเรื่องของภิกษุ แต่พุทธศาสนิกชนก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ ทำบุญรักษาศีลและชำระจิตใจให้ผ่องใส

ก่อนวันเข้าพรรษาชาวบ้านก็จะไปช่วยพระทำความสะอาดเสนาสนะ ซ่อมแซมกุฏิวิหารและอื่นๆ พอถึง วันเข้าพรรษาก็จะไปร่วมทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรมและรักษาอุโบสถศีลกันที่วัด บางคนอาจตั้งใจงดเว้น อบายมุขต่างๆ เป็นกรณีพิเศษ เช่น งดเสพสุรา งดฆ่าสัตว์ เป็นต้น อนึ่ง บิดามารดามักจะจัดพิธีอุปสมบทให้บุตรหลาน ของตนโดยถือกันว่าการเข้าบวชเรียนและอยู่จำพรรษาในระหว่างนี้จะได้รับ อานิสงส์อย่างสูง


กิจกรรมสำหรับพุทธศาสนิกชนในวันเข้าพรรษา
๑. ร่วมกิจกรรมทำเทียนจำนำพรรษา
๒. ร่วมกิจกรรมถวายผ้าอาบน้ำฝน และจตุปัจจัย แก่ภิษุสามเณร
๓. ร่วมทำบุญ ตักบาตร ฟังธรรมเทศนา รักษาอุโบสถศีล
๔. อธิษฐาน งดเว้นอบายมุขต่างๆ

ประโยชน์ในการเข้าพรรษาของพระภิกษุ
1. เป็นช่วงที่ชาวบ้านประกอบอาชีพทำไร่นา หากภิกษุสงฆ์เดินทางจาริกไปในสถานที่ต่างๆ อาจไปเหยียบต้นกล้า หรือสัตว์เล็กสัตว์น้อยให้ได้รับความเสียหายล้มตาย
2. หลังจากเดินทางจาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนามาเป็นเวลา 8 - 9 เดือน พระภิกษุสงฆ์จะได้หยุดพักผ่อน
3. เป็นเวลาที่พระภิกษุสงฆ์จะได้ประพฤติปฏิบัติธรรมสำหรับตนเอง และศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยตลอดจนเตรียมการสั่งสอนประชาชน เมื่อถึงวันออกพรรษา
4. เพื่อจะได้มีโอกาสอบรมสั่งสอนและบวชให้กับกุลบุตรผู้มีอายุครบบวช อันเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อไป
5. เพื่อให้พุทธศาสนิกชน ได้มีโอกาสบำเพ็ญกุศลเป็นการพิเศษ เช่น การทำบุญตักบาตรหล่อเทียนเข้าพรรษา ถวายผ้าอาบน้ำฝน รักษาศีล เจริญภาวนา ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม งดเว้นอบายมุข และมีโอกาสได้ฟังพระธรรมเทศนาตลอดเวลาเข้าพรรษา


 ศาสนธรรม | ศาสนบุคคล | ศาสนวัตถุ | ศาสนพิธี 
วัดเกาะวาลุการาม ต.สวนดอก อ.เมือง จ.ลำปาง 52000 โทร.0-5432-3426, 0-5421-7528
Watkoh walukaram Lampang Thailand : webmaster@watkoh.com

 
 :001:

144
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / โปรดทราบ
« เมื่อ: 10 ก.ค. 2549, 07:29:57 »
 :001:
ในระยะเวลาเข้าพรรษาทุกปี โดยคำสั่งของพระเถระในเขตจังหวัดนครปฐม ได้สั่งไว้นานแล้วไม่ให้ทำการ สักยันต์ให้แก่ภิกษุ สามเณร  ในระยะเวลาเข้าพรรษา เพื่อจะได้ศึกษาหาความรู้
แต่สำหรับบุคคลทั่วไป ทำการสักปกติครับ
ขอเสริมเล็กน้อย ในวันพระถ้าไม่จำเป็นจะต้องสักหรือถ้าจะสักในเวลาเย็น ๆ ก็อย่าสักเลย หลวงพ่อ หลวงพี่ พระอาจารย์ จะได้ทำวัตร ฟังพระปาฏิโมกข์ ทำกิจวัตรในพรรษาได้เต็มที่

145
 :001: :001: :001: :001: :001:http://beam.to/buddha



 
พระผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ในการประดิษฐานพุทธศาสนาขึ้นในโลก
เพื่อนำมวลมนุษยชาติไปสู่สันติสุข อันไม่มีสุขอื่นใดในโลกเสมอเหมือน
 
 
[ Home ] [ มหัศจรรย์แห่งพุทธศาสนา ] [ พระพุทธเจ้า ] [ พระพุทธเจ้าทรงสอนอะไร ] [ พุทธประวัติ ] [ พุทธศาสนาในเมืองไทย ] [ วันสำคัญ ]
 
 วันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม 2549
 
นามของพระพุทธเจ้า
 คำแปล คำอธิบายเพิ่มเติม
พระพุทธเจ้า
 พระผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตาม ในภัทรกัปปัจจุบันนี้ มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกแล้ว
๔ องค์ คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมน์ พระกัสสปะ และ
องค์ปัจจุบัน คือพระโคดมพุทธเจ้า ซึ่งศาสนาของพระองค์
จะมีอายุ ๕,๐๐๐ ปี จากนั้นพระเมตเตยยะหรือพระศรี
อริยเมตไตรย จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป
พระโคตมพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าที่มีโครตสกุลว่าโคตม
 ทรงมีพระราชประวัติโดยย่อ ตามที่ปรากฏในพระสูตร คัมภีร์พุทธวงส์ แห่งขุททกนิกาย ดังนี้.-
                พระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโคดม (โคตมพุทธ) เจริญในศากยสกุลพระนครอันเป็นถิ่นกำเนิด ชื่อกบิลพัสดุ์ พระบิดาคือพระเจ้าสุทโธทนะ พระมารดามีพระ นามว่ามายาเทวี
            มีปราสาท ๓ หลังชื่อ สุจันทะ โกกนุท และ โกญจะ มเหสีพระนามว่ายโสธรา โอรสพระนามว่าราหุล ทรงครอง ฆราวาสอยู่ ๒๙ ปี
           ทอดพระเนตรเห็นนิมิต ๔ ประการแล้ว เสด็จออก   ผนวชด้วยม้าเป็นราชยาน
           บำเพ็ญทุกรกิริยาอยู่ ๖ ปีบรรลุสัมโพธิญาณที่ ควงไม้อัสสัตถพฤกษ์ (คือต้นโพธิ์ได้แก่ไม้อัสสัตถะ) ประกาศธรรมจักรที่ป่าอิสิ ปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี
           พระอัครสาวกทั้งสอง คือ พระอุปติสสะ (พระสารีบุตร) และพระโกลิตะ (พระมหาโมคคัลลานะ) พุทธอุปัฏฐากชื่อว่า
พระอานนท์ พระอัครสาวิกาทั้งสองคือ พระเขมาและพระอุบล วรรณา อุบาสกสองผู้เป็นอัครอุปัฏฐาก คือ จิตตคฤหบดี
และหัตถกอุบาสก ชาวเมืองอาฬวี อุบาสิกาสองผู้อัครอุปัฏฐา ยิกา คือนันทมารดาและอุตราอุบาสิกา   
           มีสาวกสันนิบาต (การประชุมพระสาวก) ครั้งใหญ่ ครั้งเดียว ภิกษุผู้เข้าร่วมประชุม ๑,๒๕๐ รูป
           คำสั่งสอนของพระองค์ผู้เป็นศากยมุนี เจริญแพร่หลาย กว้างขวาง งอกงามเป็นอย่างดี บริสุทธิ์ผ่องแผ้วเป็นประโยชน์ แก่ประชาชนจำนวนมาก

         (ต้องการทราบโดยละเอียด คลิกที่นี่)
 ตถาคต   เป็นคำที่พระพุทธเจ้าทรง แปลความหมายได้หลายนัย เช่น
   เรียกหรือตรัสถึงพระองค์เอง - พระผู้เสด็จมาแล้วอย่างนั้น คือเสด็จมาทรงบำเพ็ญพุทธ 
    จริยา เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก เป็นต้น
    - พระผู้ตรัสอย่างนั้น (หรือมีพระวาจาที่แท้จริง)
    - พระผู้ทำอย่างนั้น คือ ตรัสอย่างใดทำอย่างนั้น ทำอย่างใด 
    ตรัสอย่างนั้น 
สุคโต  เสด็จไปดีแล้ว คือทรงมีทางเสด็จที่ดีงามอันได้แก่อริยมรรค เสด็จที่ใดก็ทรง
    ทำประโยชน์ให้แก่มหาชนในที่นั้น 
โลกวิทู  ทรงรู้แจ้งโลก คือทรงรู้แจ้งสภาวะแห่งโลก คือสังขารทั้งหลาย ทรงทราบ
    อัธยาศัยสันดานของสัตวโลกที่เป็นไปต่างๆ ทำให้ทรงบำเพ็ญ
    พุทธกิจได้ผลดี 
 
 :001: :001: :001:

146
 :001: :001: :001: :001:อาสาฬหบูชา
         ประวัติความเป็นมา
     วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันเพ็ญ เดือน 8 ก่อนวันเข้าพรรษา 1 วัน เป็นวันที่พุทธศาสนิกชนแสดงความเคารพต่อพระสงฆ์
อาสาฬหเป็นชื่อเดือน ๘ อาสาฬหบูชาย่อมาจากคำว่าอาสาฬหบูรณ มีบูชา แปลว่า การบูชาพระในวันเพ็ญเดือน ๘ ถ้าปีใดมีเดือน ๘ สองครั้ง ก็จะ เลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ หลัง

     หลังจาก สมเด็จพระพุทธองค์ ได้ตรัสรู้ในวันเพ็ญ เดือน 6 แล้ว ได้ทรงใช้เวลาทบทวนสัจธรรมและทรงคำนึงว่าธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้นี้ลึกซึ้งมาก ยากที่ผู้อื่นจะรู้ตาม แต่อาศัยพระกรุณานี้เป็นที่ตั้ง จึงทรงพิจารณาแบ่งบุคคลออกเป็น 4 ประเภท(บัว 4 เหล่า) คือ
๑. อุคฆฏิตัญญู ดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ
๒. วิปัจจิตัญญู ดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำ
๓. เนยยะ ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ
๔. ปทปรมะ ดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม

      จึงทรงมีพระกรุณาธิคุณ ระลึกอาฬารดาบสและอุททกดาบสว่า มีกิเลสเบาบางสามารถตรัสรู้ได้ทันที แต่ท่านทั้ง 2 ได้ตายแล้ว จึงทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ ได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่ปัญจวัคคีย์ ทั้ง 5 คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสชิ ซึ่งล้วนแล้วแต่ เป็นผู้อุปฐากพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งยังทรงบำเพ็ญทุกข์กิริยาอยู่ พระธรรมที่ พระพุทธองค์ทรงเทศนาในครั้งนี้มี ชื่อ ธรรมจักกัปปวัตนสูตร ซึ่งมี อริยสัจ ๔ หรือความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการได้แก่
๑. ทุกข์ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ
๒. สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
๓. นิโรธ ความดับทุกข์
๔. มรรค ข้อปฎิบัติให้ถึงความดับทุกข์

         และหลังจากแสดงพระธรรมเทศนาแล้ว ท่านโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นคนแรก ได้กราบฑูลขอบวชและพระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาต โดยทรงทำการอุปสมบทให้แบบ เอหิภิกขุอุปสัมปทา นับเป็น"ปฐมสาวก" ของพระพุทธเจ้า

         ดังนั้นในวันนี้จึงเป็นวันแรกที่มี พระรัตนตรัยครบองค์สาม คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงเทศนาเป็นกัณฑ์แรก จึงเรียกเทศฯกัณฑ์นี้ว่า "ปฐมเทศนา" หรืออีกนัยหนึ่งอาจจะกล่าวได้ว่านับเป็นวันแรก ที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนา
 
     

จะเห็นได้ว่า ปรากฏการณ์สำคัญ ๆ ในวันนี้มีถึง 4 ประการ ด้วยกันคือ
1. เป็นวันแรกที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา
2. เป็นวันแรกที่พระพุทธองค์ทรงได้ปฐมสาวก
3. เป็นวันแรกที่พระสงฆ์เกิดขึ้นในโลก
4. เป็นวันแรกที่บังเกิดรัตนะครบสาม เป็นพระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ

 
   
  กลับหน้าแรก วันเข้าพรรษา 
http://www.learntripitaka.com/History/asalha.html
 :001: :001: :001: :001: :001:

147
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / **30*1
« เมื่อ: 01 ก.ค. 2549, 06:02:50 »
**---**
   ..

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

148
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: 30 /06/49
« เมื่อ: 01 ก.ค. 2549, 05:58:52 »
6

149
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: 30 /06/49
« เมื่อ: 01 ก.ค. 2549, 05:56:13 »
5

150
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: 30 /06/49
« เมื่อ: 01 ก.ค. 2549, 05:51:26 »
4

151
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: 30 /06/49
« เมื่อ: 01 ก.ค. 2549, 05:47:51 »
3

152
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: 30 /06/49
« เมื่อ: 01 ก.ค. 2549, 05:44:25 »
2

153
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / 30 /06/49
« เมื่อ: 01 ก.ค. 2549, 05:41:36 »
001

154
 :001:30คุณทรงวิทย์      พาณิชย์เจริญรัตน์                                200.-

155
 :001:28 ลูกศิษย์พระอาจารย์ต้อย? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? 500.-(12/08/49)
? ? ? ? 29.ลูกศิษย์พระอาจารย์ต้อย chua kok liong &family? ? ? ? ? ? ? 200.-

156
 :001:27 คุณเผ่า   คลองเตย( 4 )                                                             500.-

157
 :001:

158
 :001:24 กำนัน ฉาย? ขวัญเต่า? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?10,000.-(12 /08/49)
? ? ? ? ?25พ.จ.อ.ประยูร? ?ชาวโพงพาง? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? 1,000.-
? ? ? ? ?26คุณโชคชัย? ลาภสริรมงคล/นางตะวัน ศรีภุมมา? ? ? ? ? 1,000.-

159
23 คุณเผ่า  คลองเตย และคณะศิษย์(ครั้งที่3)                4,000.-

160
 :001:

161
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ค่าครู
« เมื่อ: 07 มิ.ย. 2549, 04:30:03 »
พานครูวัดบางพระ ตามที่หลวงพ่อเปิ่นได้กำหนด มีดังนี้
-ดอกไม้-ธูป-เทียน
-บุหรี่
-ค่าครู 25 บาท
สำหรับการสักในแต่ละครั้ง
ไม่มีเรียกร้องมากกว่านี้
ส่วนผู้มารับการสักต้องการถวายส่วนตัว หรือทำบุญในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  แล้วแต่ศรัทธา
****ค่าครู 25 บาทนี้ หลวงปู่ได้กำหนดเมื่อครั้งสร้างโรงพยาบาล และก็จำนวนนี้จนกระทั่งปัจจุบัน
ในส่วนของค่าครูแต่เดิมหลวงปู่ก็จะนำไปสร้างสาสธารณะกุศลต่าง ๆ

162
ลงนะหน้าทองได้ทุกวันครับ
พานครูที่วัดจัดไว้ให้แล้วครับ
ค่าครู  25.-บาท
ส่วนจะทำบุญเท่าไร ก็ตามกำลังศรัทธาครับ :039:

163
22 คุณเผ่า  คลองเตย (ครั้งที่ 2 ฝาก คุณเอ มา)                                       1,500.-
23ศิษย์วัดเกาะฯ                                                                                     500.-











ปล  พิมพ์ผิด ขาดตก  รายนามท่านใด ก็ขออภัยด้วย
[/color]

165
 :001:
16? คุณเดช(หมู) คุณชัย คุณm ชมรมมอเตอร์ไซด์? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?5,000.-
17? คุณภารดี? ?ธณฉันท์ธร? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? 500.-
18คุณแกละ ข้าวโพดศิริราช? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? 1,000.-
19คุณเผ่า? คลองเตย? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? 15,000.- :005:
20ผู้ใหญาสมาน  จันทร์ทอง                                                                                 300.-
21ด.ต.ธวัชชัย  กลิ่นเกลา,ด.ต.ยุทธนา  แสงทวีวรรณ์                                        3,000.-

166
  :053: :053: :053: :053: :053:สุขสันต์วันคล้ายวันเกิดนะครับ :053: :053: :053:

167
ตะกรุดหอมเชียงปี 44 ชนิดผูกข้อมือ
<a href="http://img355.imageshack.us/my.php?image=nokian700904yv.jpg" target="_blank"><img src="http://img355.imageshack.us/img355/2060/nokian700904yv.th.jpg" border="0" alt="Free Image Hosting at www.ImageShack.us" /></a>
ตะกรุดหอมเชียง ปี2544 จัดสร้างเป็นที่ระลึกในวาระไหว้ครูปีมะเส็ง  2544 อยูในชุดหอมเชียง
มีเนื้อทองคำ(ดอกเล็ก) เนื้อดีบุก (ดอกเล็ก และดอกใหญ่อุดเทียนชัยฯลฯ) เป็นแผ่นปั๊มเนื้อทองเหลือง
เป็นชุดไหว้ครูชุดสุดท้ายที่หลวงปู่ปลุกเสก ก่อนละสังขาร และเป็นครั้งแรกครั้งเดียวที่หลวงปู่อนุญาติให้ใช้ยันต์หอมเชียง
พระชุดไหว้ครูปี2544 จึงน่าบูชา และสะสมไว้ทุกแบบทุกพิมพ์

168
************เหรียญเมตตาบารมีหลังปลาตะเพียน สร้างทั้งหมด 3 เนื้อ ในวาระที่หลวงปู่สร้างสะพานข้ามหน้าวัด ปี 2530
 :050: เนื้อเงิน   (หายากมาก)   น่าจะไม่เกิน  200 เหรียญ
 :050:เนื้อนวะ  (ยิ่งหายาก)       น่าจะไม่เกิน 300 เหรียญ
 :050:ทองแดง(มากประสบการณ์) น่าจะไม่เกิน 5000 เหรียญ   ราคาบูชา 300-500 บาท 
จำนวนสร้างผิดพลาดอย่างไร ก็ขออภัยด้วย

169
ผมอยากจะบูชาสมเด็จสร้างสะพาน ปี 2530 ตะกรุด 3ดอก และ เหรียญเมตตาบารมีหลังปลาตะเพียน แบ่งให้บูชาได้ไหม ราคาเป็นอย่างไรโดยเฉพาะ เหรียญเมตตาบารมีหลังปลาตะเพียน ขอความกรุณาตอบผมด้วยนะ ....ที่ ?ธนินธร....mackei30@hotmail.com
:050:ทั้ง 2 รายการที่ว่า วัดนกยังพอมีให้บูชาอยู่ครับ ถ้าสดวกยังไงลองติดต่อดูนะครับ   
วัดนก   02-4107849  :050: 02-4107755

170
:053: :053: :053: :016: :053: :015: :053: :053: :053:
ขออนุโมทนาผู้ที่ร่วมเป็นเจ้าภาพ สร้างย่ามถวายพระ และเป็นเจ้าภาพอาหารเลี้ยงญาติโยมในงานวันที่ 30 มิถุนายน 2549 (ในส่วนที่ทำบุญกับ พระอาจารย์ต้อย หลวงพี่ญา)
1 พระครูสุจิตตราถรณ์ เจ้าอาวาสวัดนก? ? ? ?5,000.-
2พระอาจารย์หนุ่ม วัดบางแวก กทม.? ? ? ? ? ?5,000.-
3เจ๊แมว สุรินทร์? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?5,000.-
4พ.ต.อ.สมพร(ผู้การเสือ) จารุมิลินทร์? ? ? ? ? 1,000.- (และได้ปวารณา ทำบุญกับหลวงพ่อเปิ่น ตลอดกาลนาน)
5พ.ต.อ.อดุลย์ รัตนภิรมย์ และกลุ่มพื่อน (29)? ?7,500.-
6ครูจ้อย เบิร์ด? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?1,000-
7 สาวสมชายและพี่สาว? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?1,000-


คุณสุรินทร์? ตรงต่อศักดิ์ และเพื่อน? ?รับเป็นเจ้าภาพเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว เหมือนวันไหว้ครู
พี่อ๊อด และ อ๊อดบางแค? เขตภาษีเจริญ รับเป็นเจ้าภาพเลี้ยงกะเพาะปลา? ? ?

172
 :053: :053: :053:
วันนี้ประดิษฐาน? พระโพธิสัตย์กวนอิม


173
      สิ่งที่เป็นมงคล ( มงคล ๓๘ )

      มนุษย์เราไม่ว่าหญิงหรือชาย? เด็กหรือผู้ใหญ่? ยากจนหรือมั่งมี? ล้วนแต่ต้องการสิ่งที่ดีงาม? เป็นมงคล
แก่ชีวิตของตนทั้งสิ้น? แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่ามงคลคืออะไร? และอะไรที่เป็นมงคล

      นานมาแล้วในสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติบังเกิดขึ้น? ได้มีการถกเถียงกันในชมพูทวีป
ว่าอะไรเป็นมงคล? ต่างคนต่างก็แสดงสิ่งที่เป็นมงคลตามความเห็นของตน? แต่ไม่อาจตกลงกันได้ว่า? อะไรแน่เป็น
มงคล? การถกเถียงกันมิได้เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์เท่านั้น? หากได้ลุกลามไปถึงพวกเทวดาและพรหม? ในสรวงสวรรค์
ด้วย? ?ถึงกระนั้นก็ยังหาข้อยุติไม่ได้จวบจนเวลาล่วงไป ๑๒ ปี? ?สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าคือพระพุทธเจ้าของเรา
พระองค์นี้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก? พวกเทวดาในดาวดึงส์เทวโลกจึงได้พากันเข้าไปเฝ้าท้าวสักกะเทวราช? (คือพระอินทร์)
ผู้เป็นพระราชาในภพดาวดึงส์ทูลถามถึงมงคล? ท้าวสักกะตรัสถามว่า? ท่านทั้งหลายได้ทูลถามเรื่องนี้กับ
พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วหรือยัง? เมื่อทรงทราบว่ายัง? จึงได้ทรงตำหนิว่าพวกท่านได้ล่วงเลย? พระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้ทรงแสดงมงคลแล้วกลับมาถามเรา? ?เป็นเหมือนทิ้งไฟเสีย? ?แล้วมาถือเอาไฟที่ก้นหิ้งห้อย? ?ตรัสแล้วชวนกันไป
เฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระวิหารเชตวัน? ใกล้กรุงสาวัตถีในแคว้นโกศล? ถวายบังคมแล้วยืนอยู่? ณ? ที่ควร? ท้าวสักกะ
ทรงมอบหมายให้เทวดาองค์หนึ่งเป็นผู้ทูลถามเรื่องนี้

      ในเวลานั้นเทพเจ้าในหมื่นจักรวาล? เนรมิตกายให้ละเอียดมาแออัดประชุมกัน? เพื่อมงคลปัญหาในที่
นั้นด้วย? ?จนพระเชตวันสว่างไสวไปทั่วด้วยรัศมีกายของเทวดาเหล่านั้น? ?ถึงกระนั้นก็มิอาจบดบังพระรัศมี? ?ซึ่ง
เปล่งออกจากพระกายของพระพุทธเจ้าได้? ?เทวดาองค์ที่ได้รับมอบหมายให้ทูลถามมงคลปัญหากะพระพุทธเจ้า?
ได้ทูลถามปัญหากะพระพุทธเจ้าว่า? "เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมากหวังอยู่ซึ่งความสวัสดี? ได้พา
กันคิดสิ่งที่เป็นมงคล (แต่ไม่อาจคิดได้)? ขอพระองค์โปรดตรัสบอกอุดมมงคล"

      พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสให้ทราบว่า มงคลมีอยู่ ๓๘ มงคล? ด้วยพระคาถา ๑๐ คาถาใน มงคลสูตร๑
ตามลำดับดังนี้

   ๑.พระไตรปิฎก? เล่ม? ๒๕? ขุททกนิกาย? ขุททกปาฐะ? ข้อ ๕-๖

   คาถาที่ ๑. มี ๓ มงคลคือ
   ๑.? ?อเสวนา จ พาลานํ การไม่คบคนพาล
   ๒.? ?ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา การคบบัณฑิต (คือ ท่านผู้รู้ทั้งหลาย)
   ๓.? ?ปูชา จ ปูชนียานํ การบูชาบุคคลที่ควรบูชา

   คาถาที่ ๒. มี ๓ มงคลคือ
   ๔.? ?ปฏิรูปเทสวาโส จ การอยู่ในประเทศ(ถิ่น)ที่สมควร
   ๕.? ?ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา การได้กระทำบุญไว้แล้วในปางก่อน
   ๖.? ? อตฺตสมฺมาปณิธิ จ การตั้งตนไว้ชอบ? ?

   คาถาที่ ๓. มี ๔ มงคลคือ
   ๗.? ?พาหุสจฺจญฺจ การสดับตรับฟังมาก
   ๘.? ? สิปฺปญฺจ การศึกษาศิลปะ
   ๙.? ? วินโย จ สุสิกฺขิโต วินัยที่ศึกษาดีแล้ว
   ๑๐.? ?สุภาสิตา จ ยา วาจา วาจาสุภาษิต? ?

   คาถาที่ ๔. มี ๔ มงคลคือ
   ๑๑.? ?มาตาอุปฏฺฐานํ การบำรุงมารดา
   ๑๒.? ?ปิตุอุปฏฺฐานํ การบำรุงบิดา
   ๑๓.? ?ปุตฺตทารสฺส สงฺคโห การสงเคราะห์บุตรและภรรยา
   ๑๔.? ?อนากุลา จ กมฺมนฺตา การงานไม่อากูลคั่งค้าง? ?

   คาถาที่ ๕. มี ๔ มงคลคือ
   ๑๕.? ?ทานญฺจ ทาน การให้
   ๑๖.? ?ธมฺมจริยา การประพฤติธรรม
   ๑๗.? ?ญาตกานญฺจ สงฺคโห การสงเคราะห์ญาติ
   ๑๘.? ?อนวขฺขานิ กมฺมานิ การกระทำการงานที่ไม่มีโทษ? ?

   คาถาที่ ๖. มี ๓ มงคลคือ
   ๑๙.? ?อารตี วีรตี ปาปา การงดการเว้นจากบาป
   ๒๐.? ?มฺชชปานา จ สญฺญโม การสำรวมจากน้ำเมา
   ๒๑.? ?อปฺปมาโท จ ธมฺเมสุ ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย

   คาถาที่ ๗. มี ๕ มงคลคือ
   ๒๒.? ?คารโว จ ความเคารพ
   ๒๓.? ?นิวาโต จ การอ่อนน้อมถ่อมตน
   ๒๔.? ?สนฺตุฏฺฐี จ ความสันโดษ
   ๒๕.? ?กตญฺญุตา ความกตัญญูรู้คุณ
   ๒๖.? ?กาเลน ธมฺมสฺสวนํ การฟังธรรมตามกาล? ?

   คาถาที่ ๘. มี ๔ มงคลคือ
   ๒๗.? ?ขนฺตี จ ความอดทน
   ๒๘.? ?โสวจสฺสตา ความเป็นผู้ว่าง่าย
   ๒๙.? ?สมณานญฺจ ทสฺสนํ การเห็นสมณะ
   ๓๐.? ?กาเลน ธมฺมสากจฺฉา การสนทนาธรรมตามกาล? ?

   คาถาที่ ๙. มี ๔ มงคลคือ
   ๓๑.? ?ตโป จ ความเพียรเผากิเลส
   ๓๒.? ?พฺรหฺมจริยญฺจ การประพฤติพรหมจรรย์
   ๓๓.? ?อริยสจฺจานทสฺสนํ การเห็นอริยสัจ
   ๓๔.? ?นิพฺพานสจฺฉิกิริยา จ การทำนิพพานให้แจ้ง? ?

   คาถาที่ ๑๐. มี ๔ มงคลคือ
   ๓๕.? ?ผุฏฺฐสฺส โลกธมฺเมหิ จิตฺตํ ยสฺส น กมฺปติ จิตของผู้ใดถูกโลกธรรมกระทบแล้วไม่หวั่นไหว
   ๓๖.? ?อโสกํ ความไม่เศร้าโศก
   ๓๗.? ?วิรชํ จิตที่ปราศจากธุลี คือกิเลส
   ๓๘.? ?เขมํ จิตที่ถึงความเกษมจากโยคะ

      พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงมงคล ๓๘ ด้วยพระคาถา ๑๐ คาถาเหล่านี้แล้ว? ได้ทรงแสดงอานิสงส์ของมงคลไว้ใน
คาถาสุดท้าย? ( คือคาถาที่ ๑๑ )? ว่า? "เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายกระทำมงคลทั้งหลายดังนี้แล้ว? เป็นผู้ไม่พ่ายแพ้ในที่ทั้งปวง?
ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทุกสถาน? ข้อนั้นเป็นมงคลอันสูงสุดของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น"

http://www.84000.org/tipitaka/book/bookpn06.html


174
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: 30/06/2549
« เมื่อ: 21 เม.ย. 2549, 04:09:49 »
? ? ? ? ? ? ? ๒๕.? ความกตัญญู?
              ขยายความมงคลข้อที่ ๒๕? ความกตัญญูเป็นอุดมมงคล? กตัญญูนั้นคือความเป็นผู้รู้คุณ? ที่ผู้อื่น
กระทำแล้วแก่ตน? ?เมื่อใครเขาทำคุณให้แก่เรา? ?ไม่ว่ามากหรือน้อย? ?ก็นึกถึงคุณของเขา? ?คิดจะตอบแทนคุณ
ของเขา? การตอบแทนคุณเรียกว่า? กตเวที? ?กตัญญูจึงมาคู่กับกตเวทีเสมอ? ?พระพุทธเจ้าตรัสถึงบุคคลที่หาได้
ยาก? ๒? จำพวกคือ?

              บุพการี? ผู้ที่กระทำคุณแก่เราก่อนมีบิดามารดา? ครู? อาจารย์? เป็นต้น ๑?
              กตัญญูกตเวที? ผู้ที่รู้คุณที่เขาทำแล้วแก่ตนและตอบแทนคุณผู้นั้น? ?มีการตอบแทนคุณ? มารดาบิดา
ครูอาจารย์? เป็นต้น ๑

              ก็มารดาบิดา? ท่านให้กำเนิดและเลี้ยงดูเรามาก่อนใครๆ? ส่วนครูอาจารย์ก็ให้วิชาความรู้แก่เรารอง
มาจากบิดามารดา? ?ท่านเหล่านี้จึงเป็นผูทำคุณแก่เราก่อน? สมควรที่เราจะตอบแทนคุณท่านในเมื่อมีโอกาส?
การกระทำเช่นนี้ได้รับการยกย่องสรรเสริญในเวลามีชีวิตอยู่? กับเป็นเหตุให้เกิดในสุคติโลกสวรรค์เมื่อตายไป
แล้ว

              เรื่องราวของผู้ที่มีความกตัญญูนั้นมีมากทั้งในอดีตและปัจจุบัน? ?อย่างท่านพระอานนท์กตัญญูรู้คุณ
ของพระบรมศาสดา? ?ยอมเอาตนเข้าขวางช้างนาฬาคีรีที่พระเทวทัตปล่อยมา? ?หวังจะให้ทำร้ายพระพุทธเจ้า?
แต่ด้วยอำนาจพระเมมตา? ?ช้างไม่อาจทำร้ายพระพุทธเจ้าได้? ?แม้ท่านสารีบุตรก็ได้รับยกย่องจากพระบรม
ศาสดาว่าเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที? กล่าวคือท่านพระสารีบุตรเคยได้อาหารทัพพีหนึ่งจากราธะพราหมณ์ก็
ไม่ลืม? ?เมื่อราธะพราหมณ์ต้องการจะบวชเมื่อแก่? พระสงฆ์ไม่ยอมบวชให้? พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า?
ใครรู้จักพราหมณ์ผู้นี้บ้าง? ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า? ท่านรู้จัก? เพราะเคยถวายอาหารแก่ท่าน? ๑? ทัพพี?
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงรับสั่งให้? ท่านพระสารีบุตรเป็นอุปัชฌาย์บวชให้? ?ด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจาเป็นภิกษุ
ในพระศาสนา

              ความกตัญญูรู้คุณท่าน? จึงเป็นเหตุให้ได้รับความสุข? ?ความเจริญทั้งในโลกนี้และโลกหน้า? ?
ความกตัญญู? จึงจัดเป็นอุดมมงคลอีกประการหนึ่ง

              คาถาที่ ๗. มี ๕ มงคลคือ
              ๒๒.? ?คารโว จ ความเคารพ
              ๒๓.? ?นิวาโต จ การอ่อนน้อมถ่อมตน
              ๒๔.? ?สนฺตุฏฺฐี จ ความสันโดษ
              ๒๕.? ?กตญฺญุตา ความกตัญญูรู้คุณ
              ๒๖.? ? กาเลน ธมฺมสฺสวนํ การฟังธรรมตามกาล

http://www.84000.org/tipitaka/book/bookpn06.html

 :057: :057: :057: :057: :057: :057: :057: :057: :057: :057: :057: :057: :057: :057: :057: :057: :057: :057: :057: :057:

175
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / วันสงกรานต์
« เมื่อ: 11 เม.ย. 2549, 06:00:13 »
กำหนดการสรงน้ำพระ วันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน 2549
เวลาประมาณ 13.30 น.
ณ ศาลาตักบาตร วัดบางพระ

176
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ขอเชิญ
« เมื่อ: 15 มี.ค. 2549, 11:30:26 »
ได้รับแจ้งจาก หลวงพ่อเจ้าอาวาสว่า กำหนดการบำเพ็ญกุศล หลวงพ่อเปิ่น ตรงกับวันที่ 
30  มิถุนายน 2549

177
เริ่มเตรียมงาน**** :008: :008: :008:




178
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / วัดบางพระ
« เมื่อ: 22 ก.พ. 2549, 06:01:34 »
 :058: ในวัดบางพระของพวกเราจะมีพิธีกรรม/กิจกรรมประมาณว่าทำกันมาจนเป็นปกติ
 :054: งานประจำปีกลางเดือนยี่ (หลวงปู่หิ่ม)ประมาณมกราคมทถกปี
 :058: งานกลางเดือน ๔ หรืองานไหว้ครูประจำปี
 :058: ๓๐ มิถุนายน วันคล้ายวันมรณภาพหลวงพ่อเปิ่น
 :058: ๑๒ สิงหาคม วันเฉลิมพระชนพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
 :058: ส่วนวันสำคํญทางศาสนาอาทิ วันเข้าพรรษาฯถือเป็นธรรมเนียมปฎิบัติปกติ :058:


182
ใจดีมากเลย :027:


183

  วิปัสสนา
 

 

ทุกข์เกิดจากอะไร

ทุกข์มี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1.) ทุกข์ในอริยสัจ 4
2.) ทุกข์ในไตรลักษณ์

ทุกข์ในอริยสัจ 4 ก็คือทุกขเวทนาหรือความรู้สึกที่เป็นทุกข์ ซึ่งก็คือความทุกข์ในความหมายของคนทั่ว ๆ ไปนั่นเอง ทุกขเวทนามี 2 ทางคือ ทุกข์ทางกาย กับทุกข์ทางใจ

ทุกข์ทางกาย หมายถึงทุกข์ที่มีกายเป็นเหตุ ได้แก่ ทุกข์ที่เกิดจากความหนาว ความร้อน ความป่วยไข้ ความบาดเจ็บ ความหิวกระหาย ความเสื่อมสภาพของร่างกาย ทุกข์ที่เกิดจากการที่ต้องคอยประคบประหงม ดูแลบำรุงรักษาทำความสะอาดร่างกาย และความทุกข์อื่น ๆ อันมีกายเป็นต้นเหตุอีกเป็นจำนวนมาก ทุกข์ทางกายเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดมาคู่กับร่างกาย เป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยาก ตราบใดที่ยังมีร่างกายอยู่ก็ต้องทนกับทุกข์ทางกายนี้เรื่อยไปไม่มีวันพ้นไปได้ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้ที่สร้างสมบุญบารมีมาอย่างมากมาย มากกว่ามนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ก็ยังต้องทนทุกข์ทางกายนี้จนกระทั่งถึงวันปรินิพพาน สมกับคำที่ว่า การเกิดทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป

ทุกข์ทางใจ หมายถึงทุกข์ที่เกิดจากการปรุงแต่งของใจ ทุกข์ทางใจนี้ส่วนหนึ่งมีทุกข์ทางกายเป็นสิ่งเร้าให้เกิด เช่น เมื่อได้รับบาดเจ็บหรือป่วยไข้ขึ้นมาทำให้เกิดทุกข์ทางกายขึ้นแล้ว ต่อมาก็เกิดความกังวลใจ ความหวาดกลัวขึ้นมาอีกว่าอาจจะรักษาไม่หาย อาจจะต้องสูญเสียอวัยวะไป หรืออาจจะต้องถึงตาย ซึ่งความกังวลความหวาดกลัวเหล่านี้จะก่อให้เกิดทุกข์ทางใจขึ้นมา ทุกข์ทางใจอีกส่วนหนึ่งเกิดขึ้นโดยไม่มีทุกข์ทางกายเป็นต้นเหตุ เช่น ความทุกข์จากการประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักที่พอใจ ความทุกข์จากการพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักที่พอใจ ทุกข์จากการไม่ได้ในสิ่งที่ปรารถนา ทุกข์จากความโกรธความขัดเคืองใจ ทุกข์จากความกลัว ทุกข์จากความกังวลใจ ความคับแค้นใจ ทุกข์จากความกลัวว่าความสุขที่มีอยู่จะต้องหมดไป ทุกข์จากความกลัวความทุกข์ยากลำบากที่อาจจะมีขึ้นในอนาคต ทุกข์จากการกลัวความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ เสื่อมสรรเสริญ และทุกข์ทางใจอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน
กล่าวโดยสรุป ทุกข์ทางใจทั้งหมดล้วนมีต้นเหตุมาจากความโลภ ความโกรธ และความยึดมั่นถือมั่น .

ทุกข์จากความโลภ ตามหลักอภิธรรมแล้วความโลภจะไม่ประกอบด้วยความทุกข์ เพราะความโลภจะเกิดขึ้นพร้อมกับความดีใจ หรือเกิดพร้อมกับความรู้สึกเฉย ๆ ( อุเบกขา ) เท่านั้น ที่กล่าวว่าความทุกข์ที่มีต้นเหตุมาจากความโลภในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าความทุกข์นั้นเกิดพร้อมกับความโลภ แต่เป็นความทุกข์อันมีความโลภเป็นเบื้องต้น และมีความทุกข์เป็นเบื้องปลาย อันได้แก่ ความทุกข์ที่เกิดจากความกลัวจะไม่ได้ในสิ่งที่ตนอยากได้ ทุกข์จากการที่ต้องดิ้นรนขวนขวายเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนอยากได้ เป็นต้น

ทุกข์จากความโกรธ ความโกรธนั้นไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็นำทุกข์มาให้เมื่อนั้น เพราะความโกรธจะทำให้จิตใจต้องเร่าร้อนดิ้นรน เกิดความกระทบกระทั่งภายในใจ ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ความโลภนั้นในเบื้องต้นยังพอจะนำความสุขมาให้ได้บ้าง ( ในขณะที่เกิดความเพลิดเพลินยินดี ) แต่ความโกรธนั้นนำมาแต่ความทุกข์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ตัวอย่างของความทุกข์จากความโกรธเช่น ทุกข์จากความไม่พอใจ ขัดเคืองใจ คับแค้นใจ กังวลใจ ความกลัว ความหวาดระแวง ความมองโลกในแง่ร้าย ความไม่สบายใจ ความอิจฉาริษยา ความพยาบาทอาฆาตแค้น เป็นต้น

ทุกข์จากความยึดมั่นถือมั่น สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรูปธรรมหรือนามธรรม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายวัตถุหรือฝ่ายจิตใจก็ตาม ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นเข้าแล้วก็ล้วนนำทุกข์มาให้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะยึดว่าเป็นเรา เป็นของของเรา เป็นตัวเป็นตนของเรา ยึดว่าเป็นเขา เป็นของของเขา ยึดว่าเป็นสิ่งที่เราชอบใจ เป็นสิ่งที่เราไม่ชอบใจ ยึดว่าเป็นคนที่เคยทำร้ายเรา เคยด่าเรา ยึดว่าเป็นญาติพี่น้อง เป็นศัตรู เป็นครูอาจารย์ เป็นผู้ที่เราเคารพนับถือ ยึดว่าเป็นนาย เป็นบ่าว เป็นเพื่อน เป็นหน้าที่การงาน ฯลฯ ไม่มีสิ่งใดเลยที่ยึดมั่นถือมั่นแล้วจะไม่นำทุกข์มาให้ แม้แต่ยึดในบุญกุศล ความดี มรรค ผล นิพพาน ก็ตามที ( อริยบุคคลนั้นไม่ยึดในรูปนามทั้งหลาย ไม่ยินดีในการเกิดก็จริง แต่ก็ไม่ได้ยึดมั่นในมรรค ผล นิพพาน )
เพราะการยึดในสิ่งที่เราไม่ชอบใจก็ย่อมจะทำให้เกิดความขัดเคืองใจ โกรธ ไม่พอใจ คับแค้นใจ กลัว ฯลฯ พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นต้นเหตุของความทุกข์จากความโกรธนั่นเอง ส่วนการยึดในสิ่งที่เราชอบใจก็จะทำให้เกิดทุกข์อันมีต้นเหตุมาจากความโลภ นอกจากนี้ยังจะทำให้เกิดทุกข์จากความกลัวการพลัดพรากสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไป ทุกข์จากการต้องคอยทนุถนอม บำรุงรักษา เก็บรักษาไว้ ต้องคอยปกป้อง ห่วงใย ต้องคอยดูแลเอาใจใส่ไม่เป็นอิสระ และถ้าต้องสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไปก็จะยิ่งเป็นทุกข์ขึ้นไปอีกมากมายนัก ส่วนการยึดในบุญนั้นก็ต้องเป็นทุกข์จากการรอคอยว่าเมื่อไรผลบุญถึงจะตอบสนอง ยึดในบาปก็เป็นทุกข์กลัวกรรมจะตามสนอง
กล่าวโดยสรุปก็คือ ยึดสิ่งไหนก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้น ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดเลยความทุกข์ทางใจทั้งหลายก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นกับเราได้เลย .

ทุกข์ในไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์ก็คือสามัญลักษณะ 3 ประการคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คำว่าทุกข์ในไตรลักษณ์ก็หมายถึงทุกขัง ในไตรลักษณ์หรือที่เรียกว่าทุกขลักษณะนั่นเอง ซึ่งหมายถึงการที่สิ่งทั้งหลายทั้งปวงยกเว้นนิพพาน ล้วนอยู่ในสภาวะที่ถูกเหตุถูกปัจจัยทั้งหลาย บีบคั้นให้แปรปรวนไปอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถทนอยู่ในสภาพเดิมได้ตลอดไป (ดูเรื่องทุกขเวทนากับทุกข์ในไตรลักษณ์ ในหมวดวิปัสสนา (ปัญญา) ประกอบ)
ทุกข์ในไตรลักษณ์นี้เป็นลักษณะอันเป็นสามัญ คือเป็นเรื่องธรรมดาของสังขารธรรมทั้งหลายที่จะต้องเป็นไปอย่างนั้น เป็นกฎอันเป็นพื้นฐานของธรรมชาติ เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นเพียงผลของเหตุของปัจจัยเท่านั้นเอง ไม่มีสิ่งใดเลยที่มีอำนาจเหนือตน ตราบใดที่ยังไม่เข้าสู่สภาวะแห่งนิพพานแล้ว ก็จะต้องเผชิญกับทุกข์ในไตรลักษณ์นี้ด้วยกันทั้งสิ้น
ทุกข์ในอริยสัจ 4 ก็อยู่ในสภาวะทุกข์ในไตรลักษณ์ด้วย นอกจากนี้สุขเวทนาและอุเบกขาเวทนาก็ยังไม่พ้นจากทุกข์ในไตรลักษณ์ เพราะทั้งสุขและอุเบกขาก็ล้วนถูกเหตุปัจจัยต่าง ๆ บีบคั้นให้แปรปรวนไปอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
 
 

184
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: 13/02/2549
« เมื่อ: 13 ก.พ. 2549, 05:55:13 »
๏ หลักการทำสมาธิเบื้องต้น ๏
จิตของคนทั่วๆ ไปที่ไม่เคยทำสมาธินั้น ก็มักจะมีสภาพเหมือนม้าป่าพยศที่ยังไม่เคยถูกจับมาฝึกให้เชื่อง มีการซัดส่ายไปในทิศทางต่างๆ อยู่เป็นประจำ การทำสมาธินั้นก็เหมือนการจับม้าป่านั้นมาล่ามเชือก หรือใส่ไว้ในคอกเล็กๆ ไม่ยอมให้มีอิสระตามความเคยชิน เมื่อตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ม้านั้นก็ย่อมจะแสดงอาการพยศออกมา มีอาการดิ้นรน กวัดแกว่ง ไม่สามารถอยู่อย่างนิ่งสงบได้ ถ้ายิ่งพยายามบังคับ ควบคุมมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดิ้นรนมากขึ้นเท่านั้น

การจะฝึกม้าป่าให้เชื่องโดยไม่เหนื่อยมากนั้นต้องใจเย็นๆ โดยเริ่มจากการใส่ไว้ในคอกใหญ่ๆ แล้วปล่อยให้เคยชินกับคอกขนาดนั้นก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ ลดขนาดของคอกลงเรื่อยๆ ม้านั้นก็จะเชื่องขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่แสดงอาการพยศอย่างรุนแรงเหมือนการพยายามบีบบังคับอย่างรีบร้อน เมื่อม้าเชื่องมากพอแล้ว ก็จะสามารถใส่บังเหียนแล้วนำไปฝึกได้โดยง่าย

การฝึกจิตก็เช่นกัน ถ้าใจร้อนคิดจะให้เกิดสมาธิอย่างรวดเร็วทั้งที่จิตยังไม่เชื่อง จิตจะดิ้นรนมาก และเมื่อพยายามบีบจิตให้นิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ จิตจะยิ่งเกิดอาการเกร็งมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งนั่นจะหมายถึงความกระด้างของจิตที่เพิ่มขึ้น (จิตที่เกร็งจะเป็นจิตที่กระด้าง ซึ่งต่างจากจิตที่ผ่อนคลายจะเป็นจิตที่ประณีตกว่า) แล้วยังจะทำให้เหนื่อยอีกด้วย ถึงแม้บางครั้งอาจจะบังคับจิตไม่ให้ซัดส่ายได้ แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าจิตมีอาการสั่น กระเพื่อมอยู่ภายใน

เหมือนการหัดขี่จักรยานใหม่ๆ ถึงแม้จะเริ่มทรงตัวได้แล้ว แต่ก็ขี่ไปด้วยอาการเกร็ง การขี่ในขณะนั้นนอกจากจะเหนื่อยแล้ว การทรงตัวก็ยังไม่นิ่มนวลราบเรียบอีกด้วย ซึ่งจะต่างกันมากเมื่อเปรียบเทียบกับการขับขี่ของคนที่ชำนาญแล้ว ที่จะสามารถขี่ไปได้ด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายอย่างสบายๆ ราบเรียบ นุ่มนวล ไม่มีอาการสั่นเกร็ง

หลักทั่วไปในการทำสมาธินั้น พอจะสรุปเป็นข้อๆ ได้ดังนี้

1.) หาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการทำสมาธิให้มากที่สุดก่อนที่จะทำสมาธิ เพื่อจะได้ประหยัดเวลาไม่ต้องลองผิดลองถูก และไม่หลงทาง ป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นเพราะความไม่รู้ หรือเข้าใจผิด นอกจากนี้ยังป้องกันความฟุ้งซ่านที่อาจจะเกิดขึ้นจากความลังเลสงสัยอีกด้วย

2.) เลือกวิธีที่คิดว่าเหมาะสมกับตนเองมากที่สุด แล้วลองทำไปสักระยะหนึ่งก่อน ถ้าทำแล้วสมาธิเกิดได้ยากก็ลองวิธีอื่นๆ ดูบ้าง เพราะจิตและลักษณะนิสัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน วิธีที่เหมาะสมของแต่ละคนจึงต่างกันไป บางคนอาจจะเหมาะกับการตามดูลมหายใจ ซึ่งอาจจะใช้คำบริกรรมว่าพุทธ-โธ หรือ เข้า/ออก ประกอบ บางคนอาจจะเหมาะกับการแผ่เมตตา บางคนถนัดการเพ่งกสิณ เช่นเพ่งวงกลมสีขาว ฯลฯ

ซึ่งวิธีการทำสมาธินั้นมีมากถึง 40 ชนิด เพื่อให้เหมาะกับคนแต่ละประเภท แต่ที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญมากที่สุด ก็คืออานาปานสติ คือการตามสังเกต ตามรู้ลมหายใจเข้าออกนั่นเอง (ดูรายละเอียดได้ในเรื่องนิวรณ์ 5 และวิธีแก้ไข ในหมวดสมถกรรมฐาน (สมาธิ) ในหัวข้อวิธีแก้ไขนิวรณ์ 5/อุทธัจจกุกกุจจะ และในเรื่องอานาปานสติสูตร ในหมวดวิปัสสนา (ปัญญา) ) เพราะทำได้ในทุกที่ โดยไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์ใดๆ เลย ทำแล้วจิตใจเย็นสบาย ไม่เครียด

3.) อยู่ใกล้ผู้รู้ หรือรีบหาคนปรึกษาทันทีที่สงสัย เพื่อไม่ให้ความสงสัยมาทำให้จิตฟุ้งซ่าน

4.) พยายามตัดความกังวลทุกอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นออกไปให้มากที่สุด โดยการทำงานทุกอย่างที่คั่งค้างอยู่ให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่จะทำสมาธิ หรือถ้าทำสมาธิไปแล้ว เกิดความกังวลถึงการงานใดขึ้นมา ก็ให้บอกกับตัวเองว่าตอนนี้เป็นเวลาทำสมาธิ ยังไม่ถึงเวลาทำงานอย่างอื่น เอาไว้ทำสมาธิเสร็จแล้วถึงไปทำงานเหล่านั้นก็ไม่เห็นเสียหายอะไร ถ้าแก้ความกังวลไม่หายจริงๆ ก็หยุดทำสมาธิแล้วรีบไปจัดการเรื่องนั้นๆ ให้เรียบร้อยก่อนก็ได้ ถ้าคิดว่าขืนนั่งต่อไปก็เสียเวลาเปล่า เมื่องานนั้นเสร็จแล้วก็รีบกลับมาทำสมาธิใหม่

5.) ก่อนนั่งสมาธิถ้าอาบน้ำได้ก็ควรอาบน้ำก่อน หรืออย่างน้อยก็ควรล้างหน้า ล้างมือ ล้างเท้าก่อนจะทำให้โล่งสบายตัว เมื่อกายสงบระงับ จิตก็จะสงบระงับได้ง่ายขึ้น

6.) ควรทำสมาธิในที่ที่เงียบสงบ อากาศเย็นสบาย ไม่พลุกพล่านจอแจ

7.) ก่อนนั่งสมาธิควรเดินจงกรม (เดินกลับไปกลับมาช้าๆ โดยยึดจิตไว้ที่จุดใดจุดหนึ่งในเท้า ข้างที่กำลังเคลื่อนไหว เช่น ปลายเท้า หรือส้นเท้า โดยควรมีคำบริกรรมประกอบ เช่น ขวา/ซ้าย ฯลฯ) หรือสวดมนต์ก่อน เพื่อให้จิตเป็นสมาธิในระดับหนึ่งก่อน จะทำให้นั่งสมาธิได้ง่ายขึ้น

8.) การนั่งสมาธินั้นควรนั่งในท่าขัดสมาธิ หลังตรง (ไม่นั่งพิงเพราะจะทำให้ง่วงได้ง่าย) หรือถ้าร่างกายไม่อำนวย ก็อาจจะนั่งบนเก้าอี้ก็ได้ นั่งบนพื้นที่อ่อนนุ่มตามสมควร ทอดตาลงต่ำ ทำกล้ามเนื้อให้ผ่อนคลาย อย่าเกร็ง (เพราะการเกร็งจะทำให้ปวดเมื่อย และจะทำให้จิตเกร็งตามไปด้วย) นั่งให้ร่างกายอยู่ในท่าที่สมดุล มั่นคง ไม่โยกโคลงได้ง่าย มือทั้ง 2 ข้างประสานกัน ปลายนิ้วหัวแม่มือแตะกันเบาๆ วางไว้บนหน้าตัก หลับตาลงช้าๆ หลังจากนั้นส่งจิตไปสำรวจตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ให้ทั่วทั้งตัว เพื่อดูว่ามีกล้ามเนื้อส่วนใดที่เกร็งอยู่หรือไม่ ถ้าพบก็ให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนนั้นให้หายเกร็ง โดยไล่จากปลายเท้าทีละข้าง ค่อยๆ สำรวจเลื่อนขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงสะโพก แล้วย้ายไปสำรวจที่ปลายเท้าอีกข้างหนึ่ง ทำเช่นเดียวกัน จากนั้นก็สำรวจจากสะโพก ไล่ขึ้นไปจนถึงยอดอก แล้วสำรวจจากปลายนิ้วมือทีละข้าง ไล่มาจนถึงไหล่ เมื่อทำครบสองข้างแล้ว ก็สำรวจไล่จากยอดอกขึ้นไปจนถึงปลายเส้นผม ก็จะเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ทั่วร่างกาย จากนั้นหายใจเข้าออกลึกๆ สัก 3 รอบ โดยมีสติอยู่ที่ลมหายใจ ตรงจุดที่ลมกระทบปลายจมูก พร้อมกับทำจิตใจให้รู้สึกผ่อนคลายลงเรื่อยๆ หลังจากนั้นจึงเริ่มทำสมาธิตามวิธีที่เลือกเอาไว้

9.) อย่าตั้งใจมากเกินไป อย่าไปกำหนดกฎเกณฑ์ว่าวันนั้นวันนี้จะต้องได้ขั้นนั้นขั้นนี้ เพราะจะทำให้เคร่งเครียด จิตจะหยาบกระด้าง และจิตจะไม่อยู่กับปัจจุบัน เพราะมัวแต่ไปจดจ่ออยู่กับผลสำเร็จซึ่งยังไม่เกิดขึ้น จิตจะพุ่งไปที่อนาคต เมื่อจิตไม่อยู่ที่ปัจจุบันสมาธิก็ไม่เกิดขึ้น

ให้ทำใจให้สบายๆ ผ่อนคลาย คิดว่าได้แค่ไหนก็แค่นั้น แล้วค่อยๆ รวมจิตเข้ามาที่จุดที่ใช้ยึดจิตนั้น (เช่นลมหายใจ และคำบริกรรม) แล้วคอยสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในขณะนั้น (เช่น ความหยาบ/ละเอียด ความยาว ความลึก ความเย็น/ร้อน ของลมหายใจ) จิตก็จะอยู่ที่ปัจจุบัน แล้วสมาธิก็จะตามมาเอง ถ้าฟุ้งซ่านไปบ้างก็คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาของจิต อย่ากังวล อย่าอารมณ์เสีย (จะทำให้จิตหยาบขึ้น) เพราะคนอื่นๆ ก็เป็นกันทั้งนั้น เมื่อรู้ตัวว่าฟุ้งออกไปแล้ว ก็ใจเย็นๆ กลับมาเริ่มทำสมาธิใหม่ แล้วจะดีขึ้นเรื่อยๆ เอง

10.) ใหม่ๆ ควรนั่งแต่น้อยก่อน เช่น 5 - 15 นาที แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็น 20, 30, 40, ... นาที ตามลำดับ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจค่อยๆ ปรับตัว เมื่อนั่งไปแล้วหากรู้สึกปวดขาหรือเป็นเหน็บ ก็ขอให้พยายามอดทนให้มากที่สุด ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ จึงจะขยับ เพราะทุกครั้งที่มีการขยับตัวจะทำให้จิตกวัดแกว่ง ทำให้สมาธิเคลื่อนได้ และโดยปรกติแล้วถ้าทนไปได้ถึงจุดหนึ่ง เมื่ออาการปวดหรือเป็นเหน็บนั้นเกิดขึ้นเต็มที่แล้ว อาการปวดหรือเป็นเหน็บนั้นก็จะหายไปเอง และมักจะเกิดความรู้สึกเบาสบายขึ้นมาแทนที่ ซึ่งเป็นอาการของปิติที่เกิดจากสมาธิ

11.) การทำสมาธินั้น เมื่อใช้สิ่งไหนเป็นเครื่องยึดจิต ก็ให้ทำความรู้สึกเหมือนกับว่า ตัวเราทั้งหมดไปรวมเป็นก้อนกลมๆ เล็กๆ อยู่ที่จุดยึดจิตนั้น เช่น ถ้าใช้ลมหายใจ (อานาปานสติ) ก็ทำความรู้สึกว่าตัวเราทั้งหมดย่อส่วนเป็นตัวเล็กๆ ไปนั่งอยู่ที่จุดที่รู้สึกว่าลมกระทบอย่างชัดเจนที่สุด เช่นปลายรูจมูกข้างใดข้างหนึ่ง หรือริมฝีปากบน เป็นต้น ให้ทำความรู้สึกที่จุดนั้นเพียงจุดเดียว ไม่ต้องเลื่อนตามลมหายใจ เหมือนเวลาเลื่อยไม้ ตาก็มองเฉพาะที่จุดที่เลื่อยสัมผัสกับไม้เพียงจุดเดียว ไม่ต้องมองตามใบเลื่อย ก็จะรู้ได้ว่าตอนนี้กำลังเลื่อยเข้าหรือเลื่อยออก เมื่อจิตอยู่ที่จุดลมกระทบเพียงจุดเดียว ก็จะรู้ทิศทาง และลักษณะของลมได้เช่นกัน

12.) ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็อย่าตกใจ อย่ากลัว อย่ากังวล เพราะทั้งหมดเป็นเพียงอาการของจิต พยายามตั้งสติเอาไว้ให้มั่นคง ตราบใดที่ไม่กลัว ไม่ตกใจ ไม่ขาดสติ ก็จะไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้น ทำใจให้เป็นปรกติ แล้วคอยสังเกตสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ถ้าเห็นภาพที่น่ากลัวปรากฏขึ้นมา หรือรู้สึกว่าได้สัมผัสกับสิ่งที่น่ากลัวใดๆ ก็ตาม ให้แผ่เมตตาให้สิ่งเหล่านั้น แล้วคิดว่าอย่าได้มารบกวนการปฏิบัติของเราเลย ถ้าไม่หายกลัวก็นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้เป็นที่พึ่งทางใจ แล้วพยายามอย่าใส่ใจถึงสิ่งที่น่ากลัวนั้นอีก ถ้าแก้ไม่หายจริงๆ ก็ตั้งสติเอาไว้ หายใจยาวๆ แล้วค่อยๆ ถอนจากสมาธิออกมา เมื่อใจเป็นปรกติแล้วถึงจะทำสมาธิใหม่อีกครั้ง สำหรับคนที่ตกใจง่าย ก็อาจนั่งสมาธิหน้าพระพุทธรูป หรือนั่งโดยมีเพื่อนอยู่ด้วย ก่อนนั่งก็ควรสวดมนต์ไหว้พระก่อน แล้วอธิษฐานให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครอง

13.) ถ้าจิตไม่สงบ ก็ลองแก้ไขตามวิธีที่ได้อธิบายเอาไว้ในเรื่องนิวรณ์ 5 และวิธีแก้ไข ในหมวดสมถกรรมฐาน (สมาธิ) ซึ่งได้อธิบายเอาไว้อย่างละเอียดแล้ว

14.) เมื่อจะออกจากสมาธิ ควรแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายก่อน โดยการระลึกถึงความปรารถนาให้ผู้อื่น และสัตว์ทั้งหลายมีความสุขด้วยใจจริง จากนั้นก็อุทิศส่วนกุศลที่ได้จากการทำสมาธินั้น ให้กับเจ้ากรรมนายเวร ผู้มีพระคุณ และสรรพสัตว์ทั้งหลาย (ระลึกให้ด้วยใจ) แล้วหายใจยาวๆ ลึกๆ สัก 3 รอบ พร้อมกับค่อยๆ ถอนความรู้สึกจากสมาธิช้าๆ เสร็จแล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้น บิดเนื้อบิดตัวคลายความปวดเมื่อย แล้วจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ

15.) เมื่อตั้งใจจะทำสมาธิให้จริงจัง ควรงดเว้นจากการพูดคุยให้มากที่สุด เว้นแต่เพื่อให้คลายความสงสัยที่ค้างคาอยู่ในใจ เพราะการคุยกันนั้นจะทำให้จิตฟุ้งซ่าน คือในขณะคุยกันก็มีโอกาสทำให้เกิดกิเลสขึ้นมาได้ ทำให้จิตหยาบกระด้างขึ้น และเมื่อทำสมาธิก็จะเก็บมาคิด ทำให้ทำสมาธิได้ยากขึ้น โดยเฉพาะการคุยกับคนที่สมาธิน้อยกว่าเรา นอกจากนี้ ควรเว้นจากการร้องรำทำเพลง การฟังเพลง รวมถึงการดูการละเล่นทั้งหลาย เพราะสิ่งเหล่านี้จะเพิ่มกามฉันทะ ซึ่งเป็นนิวรณ์ชนิดหนึ่ง (ดูเรื่องนิวรณ์ 5 และวิธีแก้ไข ในหมวดสมถกรรมฐาน (สมาธิ) ประกอบ) อันเป็นอุปสรรคต่อการทำสมาธิ



185
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: 13/02/2549
« เมื่อ: 13 ก.พ. 2549, 05:50:57 »
อานาปานสติ ก็เป็นการทำสมาธิอีกวิธีหนึ่ง โดยหลักการที่สำคัญก็คือการเพ่งลมหายใจเข้าออก คือจะรวมจิตไว้ที่การรับรู้ลมหายใจเข้าออก เพื่อไม่ให้จิตซัดส่ายคิดไปในเรื่องต่างๆ
โดยปรกติแล้วจะยึดจิตไว้ที่ปลายจมูกหรือริมฝีปากด้านบน ตรงจุดที่รู้สึกถึงการกระทบ ของลมหายใจ ที่ชัดเจนที่สุด

(อาจารย์บางท่านแนะนำว่า ผู้ชายให้ยึดจิตไว้ที่จุดกระทบของลมหายใจจากรูจมูกข้างขวา
ผู้หญิงให้ยึดจิตไว้ที่จุดกระทบของลมจากรูจมูกข้างซ้าย)

แล้วคอยสังเกตลักษณะของลมหายใจอยู่ที่จุดนั้น โดยไม่ต้องเลื่อนจิตตามลมหายใจ เหมือนเวลาเลื่อยไม้ ตาก็มองเฉพาะที่จุดที่เลื่อยสัมผัสกับไม้เพียงจุดเดียว ไม่ต้องมองตามใบเลื่อย ก็จะรู้ได้ว่าตอนนี้กำลังเลื่อยเข้าหรือเลื่อยออก เมื่อจิตอยู่ที่จุดลมกระทบเพียงจุดเดียว ก็จะรู้ทิศทาง และลักษณะของลมได้เช่นกัน

การสังเกตนั้น คือสังเกตว่ากำลังหายใจเข้าหรือออก ลมหายใจยาวหรือสั้น ลมหายใจเย็นหรือร้อน ลมหายใจหยาบหรือละเอียด (ดูเรื่องอานาปานสติสูตร ในหมวดวิปัสสนา (ปัญญา) ประกอบ)

พร้อมกันนั้นก็มีคำบริกรรมประกอบไปด้วย เช่น หายใจเข้าบริกรรมว่าพุท หายใจออกบริกรรมว่าโธ หรืออาจจะบริกรรมตามลักษณะของลมหายใจในขณะนั้น เช่น เข้า-ออก หรือ ยาว-สั้น หรือ เย็น-ร้อน หรืออาจจะใช้วิธีการนับเลข 1 - 10 ก็ได้ ( ดูเรื่องนิวรณ์ 5 และวิธีแก้ไข ในหมวดสมถกรรมฐาน (สมาธิ) ประกอบ ในตอนกลางๆ ค่อนไปทางท้าย เกี่ยวกับวิธีแก้ไขอุทธัจจกุกกุจจะ จะมีคำอธิบายวิธีนับลมหายใจอธิบายเอาไว้อย่างละเอียด )
 
คำว่าจริยา หมายถึงลักษณะอันเป็นพื้นฐานของจิต หรือนิสัยอันเป็นพื้นเพของบุคคลแต่ละคน
คำว่าจริต ใช้เรียกบุคคลที่มีจริยาอย่างนั้นๆ เช่น คนมีโทสจริยา เรียกว่า โทสจริต

จริตนั้นแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 6 ประเภท หรือ 6 จริต คือ

๑.ราคจริต คือผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางราคะ รักสวยรักงาม ละมุนละไม ชอบสิ่งที่สวยๆ เสียงเพราะๆ กลิ่นหอมๆ รสอร่อยๆ สัมผัสที่นุ่มละมุน และจิตใจจะยึดเกาะกับสิ่งเหล่านั้นได้เป็นเวลานานๆ
๒.โทสจริต คือผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางโทสะ ใจร้อน วู่วาม หงุดหงิดง่าย อารมณ์รุนแรง โผงผาง เจ้าอารมณ์
๓.โมหจริต คือผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางโมหะ เขลา เซื่องซึม เชื่อคนง่าย งมงาย ขาดเหตุผล มองอะไรไม่ทะลุปรุโปร่ง
๔.วิตักกจริต หรือวิตกจริต คือผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางฟุ้งซ่าน คิดเรื่องนี้ทีเรื่องนั้นที เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่สามารถยึดเกาะกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้นานๆ
วิตก แปลว่าการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ หรือการเพ่งจิตสู่ความคิดในเรื่องต่างๆ ไม่ได้หมายถึงความกังวลใจ วิตกจริตจึงหมายถึง ผู้ที่เดี๋ยวยกจิตสู่เรื่องโน้น เดื๋ยวยกจิตสู่เรื่องนี้ ไม่ตั้งมั่น ไม่มั่นคงนั่นเอง
๕.ศรัทธาจริต หรือสัทธาจริต คือผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางศรัทธา น้อมใจเชื่อ เลื่อมใสได้ง่าย ซึ่งถ้าเลื่อมใสในสิ่งที่ถูกก็ย่อมเป็นคุณ แต่ถ้าไปเลื่อมใสในสิ่งที่ผิดก็ย่อมเป็นโทษต่างจากโมหจริตตรงที่โมหจริตนั้นเชื่อแบบเซื่องซึม ส่วนศรัทธาจริตนั้นเชื่อด้วยความเลื่อมใส เบิกบานใจ
๖.ญาณจริต หรือพุทธิจริต คือผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางชอบคิด พิจารณาด้วยเหตุผลอย่างลึกซึ้ง ชอบใช้ปัญญาพิจารณาตามความเป็นจริง ไม่เชื่ออะไรโดยไม่มีเหตุผล

โดยความเป็นจริงแล้ว คนเรามักมีจริตมากกว่า 1 อย่างผสมกัน เช่น ราคโทสจริต ราคโมหจริต โทสโมหจริต ราคโทสโมหจริต สัทธาพุทธิจริต สัทธาวิตกจริต พุทธิวิตกจริต สัทธาพุทธิวิตกจริต เป็นต้น เมื่อรวมกับจริตหลัก 6 ชนิด จึงได้เป็นบุคคล 14 ประเภท หรือ 14 จริต

ซึ่งบุคคลแต่ละจริตก็เหมาะที่จะทำกรรมฐานแต่ละชนิดแตกต่างกันออกไป

 
กรรมฐานสำหรับแต่ละจริต

ย่อความจากพระไตรปิฎก : พระสุตตันตปิฎก เล่ม 21 ขุททกนิกาย
มหานิทเทส สาริปุตตสุตตนิทเทส

ในพระสูตรนี้ ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวถึงพระพุทธเจ้าเอาไว้ ดังนี้

[๘๘๑] ...

[๘๘๙] ...... พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบว่า บุคคลนี้เป็นราคจริต บุคคลนี้เป็นโทสจริต บุคคลนี้เป็นโมหจริต บุคคลนี้เป็นวิตักกจริต บุคคลนี้เป็นศรัทธาจริต บุคคลนี้เป็นญาณจริต.

พระผู้มีพระภาคย่อมตรัสบอกอสุภกถาแก่บุคคลผู้เป็นราคจริต. ย่อมตรัสบอกเมตตาภาวนาแก่บุคคลผู้เป็นโทสจริต. ทรงแนะนำบุคคลผู้เป็นโมหจริตให้ตั้งอยู่ในการเรียน ในการไต่ถาม ในการฟังธรรมตามกาลอันควร ในการสนทนาธรรมตามกาลอันควร ในการอยู่ร่วมกับครู. ย่อมตรัสบอกอานาปานสติแก่บุคคลผู้เป็นวิตักกจริต. ย่อมตรัสบอกพระสูตรอันเป็นนิมิตดี ความตรัสรู้ดีแห่งพระพุทธเจ้า ความเป็นธรรมดีแห่งพระธรรม ความปฏิบัติดีแห่งพระสงฆ์ และศีลทั้งหลายของตน อันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส แก่บุคคลผู้เป็นศรัทธาจริต. ย่อมตรัสบอกธรรมอันเป็นนิมิตแห่งวิปัสสนา ซึ่งมีอาการไม่เที่ยง มีอาการเป็นทุกข์ มีอาการเป็นอนัตตา แก่บุคคลผู้เป็นญาณจริต.

วิเคราะห์/เพิ่มเติม

1.) การเจริญสมถกรรมฐานนั้นมีหลายวิธี ในพระพุทธศาสนานั้นได้รวบรวมเอาไว้ได้ถึง 40 วิธี (ขอให้ดูรายละเอียดในเรื่องสมาธิ 40 วิธี ในหมวดสมถกรรมฐาน (สมาธิ) ประกอบ) ซึ่งกรรมฐานแต่ละชนิดนั้นก็เหมาะสมกับแต่ละบุคคลแตกต่างกันไป ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับจริต พื้นฐาน ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อม เวลา โอกาส และบุญบารมีที่เคยสั่งสมมาของแต่ละคน การเจริญกรรมฐานที่เหมาะสมกับตน ย่อมมีความเจริญก้าวหน้าได้รวดเร็วกว่ากรรมฐานชนิดอื่น
2.) ผู้เป็นราคจริตนั้น เป็นผู้ที่มีกิเลสหนักไปทางด้านราคะ คือความเพลิดเพลินยินดี ซึ่งเป็นโลภะชนิดหนึ่ง พระพุทธเจ้าจึงทรงให้กรรมฐานที่เป็นปฏิปักษ์กัน คืออสุภกรรมฐาน คือให้พิจารณาถึงความไม่สวยไม่งาม เป็นของเน่าเหม็น น่ารังเกียจของสิ่งต่างๆ ตลอดไปจนถึงซากศพ ซึ่งเป็นสภาพที่จะต้องเกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในอนาคต อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อลดกิเลสด้านนี้ลงไป
3.) ผู้เป็นโทสจริตนั้น เป็นผู้ที่มีจิตใจเร่าร้อน มักโกรธ ขัดเคืองใจได้ง่าย พระพุทธเจ้าจึงทรงให้เจริญเมตตาภาวนา คือการแผ่เมตตา ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข ออกไปในทิศต่างๆ อย่างไม่มีประมาณ ซึ่งเป็นสภาวจิตที่ตรงข้ามกับโทสะ เพื่อปรับพื้นฐานจิตให้เย็นขึ้น
ผู้เป็นวิตักกจริตนั้น จิตใจมักซัดส่ายไปมาอยู่เสมอ จึงทรงให้อานาปานสติ คือให้ใช้ลมหายใจเป็นเครื่องยึดจิตเอาไว้ ไม่ให้ซัดส่าย
ที่กล่าวถึงในพระสูตรนี้ เป็นการให้กรรมฐานตามจริต แต่ความเหมาะสมของกรรมฐานสำหรับแต่ละบุคคลนั้น นอกจากเรื่องของจริตแล้ว ก็ยังมีเหตุปัจจัยในด้านอื่นๆ อีก ดังที่กล่าวแล้วในข้อ 1. ดังนั้น ชนิดของกรรมฐานจึงมีมากกว่าที่กล่าวถึงในพระสูตรนี้
 

 
 
นั่งแล้วตัวสั่นและขาขยับได้เอง

ผู้สนใจท่านหนึ่งได้ถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางผู้ดำเนินการเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ แก่ท่านอื่นๆ ด้วย จึงขออนุญาตนำมาลงเอาไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้

คำถาม

เมื่อผมนั่งสมาธิมันจะมีอาการที่เกิอขึ้นกับร่างกายแต่ละครั้งไม่เหมือนกันเลยครับ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ครั้งงนี้ที่ผมทำมันมีอาการแปลกๆครัล คือขณะที่นั่งไปได้ไม่นานนักจะมีอาการสั่นของร่างกายเกิดขึ้น นานพอสมควรหลังงจากนั้นจะเกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อขา(คล้ายกับเป็นตะคริว) หลังจากนั้นขาก็เหยียดออกและหดเข้า จากนั่งสมาธิชาขวาทับขาซ้าย เปลี่ยนไปเป็นนั่งสมาธิท่าอื่นๆ ซึ่งมันเกิดการเปลึ่ยนแปลงไปหลายท่า ซึ่งมันทำให้ผมเสียสมาธิพอสมควร แต่ผมก็พยายามกำหนดพุทโธไว้ ไม่ทราบว่าอาการเหล่านี้เกิดจากอะไร และมีวิธีแก้ไขอย่างไร

ตอบ

ความจริงอาการที่เล่ามานั้น ก็คืออาการที่รูปนามกำลังแสดงธรรมชาติของมันให้เห็นนั่นแหละครับ คือแสดงให้เห็นถึงความไม่เที่ยง ความแปรปรวนไป ความไม่อยู่ในอำนาจของใคร ไม่เป็นไปตามที่ใจปรารถนา ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ ฯลฯ (ดูเรื่องรูปนามกำลังแสดงธรรมชาติให้เห็น ในหมวดวิปัสสนา (ปัญญา) ประกอบ)

สิ่งที่ควรทำต่อไปก็คือ *** อย่าตกใจ อย่ากลัว อย่ากังวลใดๆ ทั้งสิ้น *** เพราะการทำสมาธิ หรือวิปัสสนาก็ตาม จะมีสิ่งแปลกๆ เกิดขึ้นได้เสมอ บางครั้งอาจจะแปลกอย่างไม่น่าเป็นไปได้เลยก็ได้ ถ้าไม่หายกลัวจริงๆ ก็หยุดนั่งก่อน แล้วไหว้พระสวดมนต์ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองเพื่อเป็นกำลังใจ เพราะถ้านั่งด้วยความกลัวอาจเสียสติได้ (ถ้านั่งไม่ได้ก็ใช้วิธีเดินจงกรมไปก่อน อย่าฝืนนั่งด้วยความกลัว หรืออาจนั่งโดยมีเพื่อนอยู่ใกล้ๆ ด้วย)

เมื่อหายกลัวแล้วจึงนั่งต่อไป แล้วก็รับรู้ตามสภาพที่ปรากฏในขณะนั้น อาจใช้คำบริกรรมประกอบตามอาการที่กำลังเกิดขึ้นนั้นด้วย (เช่น สั่น เหยียดขา ฯลฯ เพื่อเพิ่มความหนักแน่นของจิต และสติ) แล้วก็คอยดูคอยสังเกตมันต่อไปเรื่อยๆ มันก็จะแสดงธรรมชาติของมันออกมาเรื่อยๆ ต่อไปอีก

ที่สำคัญอีกอย่างคือต้องมีสติให้มั่นคง อย่าเผลอ ถ้ามีอาการทางกาย วาจา หรือทางใจอย่างไรเกิดขึ้น (ทั้งในขณะทำกรรมฐาน และเวลาอื่นๆ) ก็ให้มีสติยั้งคิด พิจารณาว่าสิ่งนั้นสมควรหรือไม่ ถ้าสมควรทำก็ทำ ถ้าไม่สมควรก็อย่าเผลอปล่อยกาย ปล่อยใจไปตามนั้น (เช่น ถ้าคิดว่ายังไม่ควรเหยียดขาก็อย่าเหยียดออกไป)

ถ้าห้ามไม่ได้จริงๆ ก็หยุดพักจากการนั่งสมาธิในครั้งนั้นก่อน แล้วเดินจงกรมแทน โดยมีสติอยู่ที่การเคลื่อนไหวของเท้า ซึ่งจะเรียกสติได้ง่ายกว่าการนั่งสมาธิ (ถ้าเผลอปล่อยให้เป็นไปโดยขาดสติ จะถูกจิตใต้สำนึก หรืออะไรก็แล้วแต่ครอบงำเอาได้ แล้วต่อไปจะแก้ได้ยาก อาจถึงขั้นเพี้ยนได้ง่ายๆ)

อาการสั่นของร่างกายนั้น เมื่อเกิดขึ้นก็ขอให้ทำความรู้สึกตัวไปทั่วร่างกาย (มีสัมปชัญญะ) โดยเฉพาะจุดที่สั่นนั้น พร้อมกับมีสติประกอบด้วย แล้วทำความรู้สึกผ่อนคลายที่กล้ามเนื้อส่วนที่สั่นนั้น อย่าให้กล้ามเนื้อเกร็ง แล้วประคองสติเอาไว้ให้ได้ตลอด อย่าเผลอปล่อยกายใจไปโดยไม่ได้พิจารณาว่าควรหรือไม่ควร อย่าปล่อยให้จิตใต้สำนึก หรือสิ่งใดมาครอบงำจิตได้

ถ้าไม่หายก็ลืมตาสักพัก หรืออาจต้องเดินจงกรมสลับเป็นช่วงๆ (ก่อนนั่งทุกครั้งควรเดินจงกรมเพื่อฝึกสติก่อน) ถ้าอาการลักษณะนี้เกิดขึ้น อย่าได้เสียดายสมาธิครับ ต้องรีบเพิ่มกำลังของสติก่อน ก่อนที่จะมีปัญหาอื่นตามมา

เพราะอาการเช่นนี้มักเกิดจากการที่สติมีกำลังอ่อนกว่าสมาธิ จนตามสมาธิไม่ทัน ต้องฝึกสติโดยเดินจงกรมให้มากๆ ครับ รวมทั้งในชีวิตประจำวันก็ควรกำหนดรู้ในทุกอิริยาบถที่กระทำ และมีสติยั้งคิด พิจารณาว่าควรหรือไม่ควรก่อนพูด ทำ คิดในสิ่งต่างๆ และคอยห้ามใจไม่ให้เผลอกระทำในสิ่งที่ไม่สมควร ก็จะเพิ่มกำลังของสติได้มาก เพื่อปรับอินทรีย์ให้สมดุลกัน (อินทรีย์ 5 คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ถ้าสมดุลกันแล้วกรรมฐานก็จะเจริญก้าวหน้าได้ดี)
 

186
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / 13/02/2549
« เมื่อ: 13 ก.พ. 2549, 05:44:57 »
http://www.dhammathai.org :100:




187
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: 10/02/2549
« เมื่อ: 10 ก.พ. 2549, 08:14:51 »
10/02/2549/3




188
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: 10/02/2549
« เมื่อ: 10 ก.พ. 2549, 08:12:01 »
นะโม นมัสการ..... :057:

189
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: 10/02/2549
« เมื่อ: 10 ก.พ. 2549, 08:07:47 »
10/02/2549/2





190
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / 10/02/2549
« เมื่อ: 10 ก.พ. 2549, 08:01:07 »
10/02/2549 :058:





191
:059: :059: :059: thankyou to ais for wallpapers

192
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / chiness newyear to everybody
« เมื่อ: 27 ม.ค. 2549, 05:44:20 »
:052: :052: :052:

193
เปิดตัว a บางแฆ


194
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / Re: 7777777
« เมื่อ: 12 ม.ค. 2549, 04:18:28 »
แท่นที่เตรียมไว้ประดิษฐาน หลวงพ่อเปิ่น ในพิพิธภัณฑ์

195
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / Re: 7777777
« เมื่อ: 12 ม.ค. 2549, 04:15:25 »
มณฑลพิธีไหว้ครู

196
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / Re: 7777777
« เมื่อ: 09 ม.ค. 2549, 07:41:01 »
 :058: :058: :058: :058: :058: :058:

แถมนิดนึง
โปรดสุภาพและให้เกียรติ แด่ สตรีเพศ เด็ก ผู้สูงอายุ  และ ภิกษุสามเณร


197
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / Re: 7777777
« เมื่อ: 09 ม.ค. 2549, 07:35:13 »
:057: :057: :057: :057: :057: :057: :057: :058: :058: :058:9 มีนาคม 2549 เวลาประมาณ 9.09 น พระอาจารย์ติ่ง บวงสรวงบูชา หลังจากนั้น ทำพิธีครอบครูให้ ศิษยานุศิษย์
11 มีนาคม 2549 เวลาประมาณ 9.39 น. พิธีไหว้ครูบูรพคณาจารย์ประจำปี โดยการนำของ หลวงพ่อสำอางค์ (พระครูอนุกูลพิศาลกิจ)
ค่าครูเท่าเดิม มีอาหารบริการตลอด(จนกว่าอาหารจะหมด)
**คำแนะนำ** อย่าแต่งตัวหรือประดับของมีค่าราคาแพง และระวังรองเท้าด้วย ตลอดกระทั่งยวดยานพาหนะที่นำมา หมวกกันน๊อค
และอย่ารับฝากของจากคนแปลกหน้า เพราะมักจะมีพวกมิจฉาชีพมาร่วมไหว้ครูด้วยทุกปี**
**และในขณะไหว้ครู ของขึ้นหรือไม่ กระทบกระทั่งกัน นิดหน่อย มากน้อยก็อย่าถือสากัน (ระวังโดนล้วงกระเป๋าดีกว่า)
***ขอชมเชยมาณที่นี้ ลูกศิษย์อาจารย์แป๊ว เหนื่อยมากที่สุดทุกปี ในเรื่องทำความสะอาด ขอชมเชย ขอให้ได้รับบุญกุศลเต็มที่
และรับทราบด้วยว่า สมัยหลวงพ่อเปิ่นยังมีชีวิตอยู่ท่าน ยกย่องและชมเชย อาจารย์แป๊วและคณะศิษย์ในเรื่องดังกล่าวอยู่เสมอ ๆ :053:
 :053: :053: :053: :053: :053:

198
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / Re: ของดี
« เมื่อ: 23 ธ.ค. 2548, 09:14:15 »
กราบขอบพระคุณ ธัมมะปาลมหาเถระ แห่งวัดศากยะสิหะวิหาร
และ พระอาจารย์ทุกรูป วัดไทยลุมพินี
ที่เอื้อเฟื้อ ที่พัก อาหาร และข้อมูลต่าง ๆ ณ ที่นี้อีกครั้ง ด้วยความเคารพ และระลึกถึง






199
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / Re: ของดี
« เมื่อ: 23 ธ.ค. 2548, 08:57:46 »
 :008:






200
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / Re: ของดี
« เมื่อ: 23 ธ.ค. 2548, 08:50:16 »
 :053: :050:




201
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ของดี
« เมื่อ: 23 ธ.ค. 2548, 08:44:38 »
เอามาฝากนะครับ




202
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / Re: เกริ่นนำ
« เมื่อ: 23 ธ.ค. 2548, 07:58:52 »
 :050: ต่อ


203
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / เกริ่นนำ
« เมื่อ: 23 ธ.ค. 2548, 07:45:31 »
 :045:


207
 :050: ติดต่อร่วมบุญกุศลโดยตรงได้ที่วัดบางพระ กูฏิเจ้าอาวาส โทร.034389333

209
วันนี้หลวงพ่อสำอางค์ได้ทำพิธีเททองรูปเหมือน หลวงปู่นำฤกษ์เมื่อเช้านี้ในเวลา 09.09 น. :016:

210
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / Re: หนุมาน...
« เมื่อ: 07 ธ.ค. 2548, 09:21:42 »

1 แบบเก่าทำใหม่
2ของเก่าหลวงปู่หิ่ม

211
ได้ข่าวว่าไหว้ครูปี๔๙ มีจิ้งจก แน่นอน แต่ไม่ทราบว่า
เนื้ออะไร โลหะ หรือเนื้อผง
แต่ไม่แน่ใจว่าจะใส่ปลัดไปด้วยหรื อเปล่า
คุณ  true  ชอบแบบไหนลองแสดงความคิดมา
ช่วย ๆ กันคิดแบบ แล้วกัน

212
:)
 ขอบคุณเวบ  ท่านเดียวครับ ผมไม่ได้ทำอะไรเลยครับ อิอิ

213
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / Re: t e s t
« เมื่อ: 03 ธ.ค. 2548, 09:11:18 »

เอามาฝากก่อนนอน


214
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / Re: t e s t
« เมื่อ: 03 ธ.ค. 2548, 06:36:24 »
ขอมอบให้ในยามเช้าวันเสาร์ก่อนทำงานนะครับ ;D
ขอ 5 ดาวบ้าง อยากได้




215
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / Re: t e s t
« เมื่อ: 02 ธ.ค. 2548, 07:54:33 »
5 stars/
i interest

217
 :) ;) :D ;D >:( :( :o 8) ??? ::) :P :-[ :-X :-\ :-* :'(
TEST  TEST

http://matanaandrea.googlepages.com/50-02.jpg

218
สวยงามมาก

219
ลองสนทนากับอาจารย์ดู แต่คิดว่า แล้วแต่อาจารย์พิจารณาจะดีกว่า :-\ :-\ :-\


หน้า: [1]