กระดานสนทนาวัดบางพระ
หมวด ธรรมะ และ นอกเหตุ เหนือผล => สนทนาภาษาผู้ประพฤติ, กฎแห่งกรรม และ ประสบการณ์วิญญาณ => สนทนาภาษาผู้ประพฤติ => ข้อความที่เริ่มโดย: รวี สัจจะ... ที่ 22 ก.ค. 2552, 10:14:11
-
:059:เจริญสติตั้งแต่ตื่นนอน ทำภาระกิจส่วนตัวเสร็จแล้ว ครองผ้าอุ้มบาตรเดินลงจากกุฏิด้วยความมีสติ เดินภาวนาไปเรื่อย
จนถึงหมู่บ้าน รับบาตรไปพิจารณาธรรมไป มีสติสำรวมอินทรีย์ มองดูเฉพาะข้างหน้า ทอดตาลงในระยะที่พอมองเห็น อยู่กับสติ
ระยะทางไปกลับ 6 กิโลที่เดิน ได้รับรู้สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นมากมาย มีโยมถามว่าทำไมต้องออกไปบิณฑบาตรไกลอย่างนั้น
ก็ได้อธิบายให้โยมฟังว่า ประการแรก...ไปโปรดญาติโยมหมู่บ้านใหม่ที่ไม่เคยมีพระไปรับบิณฑบาตรมาก่อนเลยให้โยมได้ทำบุญ
ประการที่สอง...เพื่อเป็นการออกกำลังในยามเช้า เป็นการบริหารร่างกายไปในตัว ประการที่สาม เป็นเวลาแห่งการปฏิบัติธรรม
เพราะเดินไปองค์เดียว ไม่มีใครรบกวน ได้ภาวนาและเดินจงกรมไปในตัว...นั้นคือเหตุผลที่ออกไปบิณฑบาตรต่างอำเภอนอกเขต
เวลาแห่งการเจริญสติเจริญภาวนาในภาคเช้าประมาณชั่วโมงครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาส่วนตัวอย่างมากๆสำหรับเรา
เพราะเมื่อกลับถึงวัดมันก็มีภาระกิจมารออยู่แล้ว ญาติโยมมาเจิมรถ มารดน้ำมนต์ มาถวายสังฆทาน สวดมนต์ทำวัตรเช้า ฉันเช้า
ดูแลสั่งงานการก่อสร้าง แจกงานให้พระที่อยู่ร่วมกันไปปฏิบัติการตามหน้าที่ของแต่ละท่าน เราต้องบริหารเรื่องเวลาและภาระกิจให้
ลงตัวภายในหนึ่งวัน เวลาพักผ่อนก็คือเวลาที่เขียนบันทึกและแต่งบทกวี กลางวันต้องรับปรึกษาแก่ญาติโยมที่มาปรึกษาในทุกเรื่อง
ชีวิตในหนึ่งวันเราต้องจัดการบริหารเรื่องเวลาให้ลงตัว ให้ได้ทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ทั้งงานศาสนาและงานสังคม
คิดเสมอว่า...การทำงานคือการปฏิบัติธรรม ทุกอย่างที่ทำลงไปนั้น คือการสร้างบารมี เพื่อให้ใจเรามีปิติ มีกำลังใจ ไม่เบื่อที่จะทำ
สิ่งสำคัญคือเราต้องสร้างขวัญและกำลังใจให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา อย่าคิดว่าเป็นภาระ เป็นปัญหา คิดว่าเป็นหน้าที่ ที่เราต้องกระทำ
เพื่อสงเคราะห์และอนุเคราะห์แก่ผู้คนทั้งหลาย ที่เขามาหวังพึ่งเรา
:054:แด่ชีวิตในวันหนึ่งซึ่งไม่ไร้คุณค่า อาจจะไร้รูปแบบ แต่ไม่เคยไร้สาระ :054:
เชื่อมั่น-ศรัทธาในสิ่งที่ทำ-ปรารถนาดีต่อผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย
รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๐.๑๔ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายแดนประเทศไทย
-
สิ่งสำคัญคือเราต้องสร้างขวัญและกำลังใจให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา อย่าคิดว่าเป็นภาระ เป็นปัญหา คิดว่าเป็นหน้าที่ ที่เราต้องกระทำ
...กราบนมัสการขอบพระคุณพระอาจารย์ที่เมตตาสอนเรื่องการแบ่งเวลา และการสร้างกำลังใจในการทำงานครับ...
-
แด่ชีวิตในวันหนึ่งซึ่งไม่ไร้คุณค่า อาจจะไร้รูปแบบ แต่ไม่เคยไร้สาระ
กราบนมัสการพระอาจารย์ ผมได้แนวคิดและการปฎิบัติอย่างมากกับประโยคนี้ครับ
-
วิธีทำบารมี 10 ให้เต็ม
(http://www.dhammatan.net/wp-content/uploads/2010/07/spd_20090422181536_b.jpg)
บารมี นี่เขาแปลตามภาษาบาลีแปลว่า เต็ม แต่เนื้อแท้จริง ๆ ต้องใช้กำลังใจให้เต็ม
ไม่ใช่เอาวัตถุมาเต็ม คือ
(1) ทานบารมี จิตใจท่านพร้อมแล้วหรือยังที่จะให้ทานตามความสามารถ
เพราะการให้ทานนี่เป็นการทำลายโลภะ ความโลภ
(คำว่าทานบารมีเต็ม ก็คือ จิตใจเรามีำกำลังใจเต็มในการให้ทาน มีความรู้สึกอยากให้อยู่ตลอด โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ให้เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นและธำรงค์พระุพุทธศาสนา เป็นการให้เพื่อลดความตะหนี่ในใจเราเอง
สำหรับวิธีปฏิบัติคือ หากใครใส่บาตรได้ทุกวันก็ถือว่าดีมาก แต่หากไม่สะดวกแนะนำให้ใส่บาตรวิระทะโย คือ นำเงินใส่กระป๋องทุกวัน แล้วค่อยรวบรวมไปทำบุญ)
ส่วนเสริม สำหรับบางท่านที่ไม่มีเงิน อาจใช้อย่างอื่นแทนเช่น ข้าวเปลือก ข้าวสาร หรือ ไม่มีข้าว ไม่มีเงิน แต่ต้องการให้ทานบารมีเต็ม ให้ปลูกพืชผัก แล้วตั้งใจว่า ผัก(เช่นพริก มะเขือ) ต้นนี้ เราจะไม่กิน ออกผลเมื่อไหร่ จะเอาไปถวายพระสงฆ์ทั้งหมด
.
(2) ศีลบารมี ศีลของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่องหรือเปล่า
ทุกวันท่านพิจารณาศีลของท่านหรือเปล่าว่าครบถ้วนไหม
(การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ต้องเจริญพรหมวิหาร 4 และกรรมบท 10 ควบคู่ไปด้วย)
(3) เนกขัมมบารมี การถือบวช หรือ การละออกจากกาม การถือบวชในที่นี้ก็หมายถึงว่าเป็นการระงับนิวรณ์ 5 ประการ โดยเฉพาะ
กามฉันทะ เห็นรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย และสัมผัสที่ต้องการการมั่วสุมไปด้วยกามารมณ์เป็นโทษ มันเป็น อนิจจัง ไม่มีการทรงตัว รูปมันสวยไม่จริงสวยนิดหนึ่ง แล้วก็แก่ไปเสื่อมไปทุกวัน เสียงผ่านหูแล้วก็หายไป กลิ่นหอมกระทบจมูกแล้วก็หายไป สัมผัสที่เรานึกว่าดี ความจริงมันเป็นปัจจัยนำโทษมา นี่หมายถึงว่าสัมผัสระหว่างเพศมันนำโทษมาให้ หากต้องการสัมผัสแบบนั้นงานมาก งานมันก็เกิดขึ้นมาก กำลังใจต้องรักษาไว้ซึ่งกันและกัน ต้องเอาใจคนโน้น ต้องเอาใจคนนี้หนักใจมาก
(4) ปัญญาบารมี นี่เราเห็นหรือยังว่าการเกิดเป็นทุกข์ เกิดมาแล้วนี่ภาระต่าง ๆ เต็มไปหมด
ที่พูดไปแล้วนี่มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นหาความสุขไม่ได้ ถ้าเราจะสุขได้จริง ๆ ก็ต้องวางการเกิดคือ
วางขันธ์ 5 นี่เป็น ปัญญาบารมี
(5) วิริยบารมี ได้แก่ความเพียร เรามีความเพียรครบถ้วนแล้วหรือยัง
คือใช้กำลังใจเป็นสำคัญ ไปหักห้ามความชั่วไม่ให้เข้ามายุ่งกับใจ
(6) ขันติบารมี แปลว่า ความอดทน การกระทำความดีที่ฝืนอารมณ์เดิมต้องอดทนเพราะใจมันคอยจะต่ำ มันคบกิเลส ตัณหา อุปาทาน คือ มีความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่เราก็พิจารณาเห็นว่าความรักเป็นโทษ ในเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นโทษ เราจะฝืนกำลังใจที่มันคบกันมานาน เราก็ต้องใช้ความอดทน ไม่อย่างนั้นเราก็จะทรงตัวอยู่ไม่ได้
(7) สัจจบารมี ความจริงใจ ที่เราตั้งใจจะห้ำหั่นกิเลสทั้ง 3 ประการให้มันสิ้นไป
เราจะไม่ละความพยายามทรงสัจจะเข้าไว้ จะไม่ยอมทิ้งสัจจะคือความจริงใจ
แต่ว่าการรักษาสัจจะต้องให้มันพอดีพอควร อย่าทำเกินพอดี การนั่งกรรมฐานเครียดเกินไป พระพุทธเจ้าไม่ใช้ ใช้อารมณ์ย่อหย่อนเกินไปไม่ใช้ ใช้อารมณ์พอดี ๆ เพื่อรักษาอาการของขันธ์ 5 ให้เป็นปกติ
(8) อธิษฐานบารมี อธิษฐานต้องตั้งใจไว้เลยว่า การปฏิบัติแบบนี้ เราต้องการพระนิพพาน ไม่ใช่สักแต่เพียงว่าทำเป็นแค่อุปนิสัย ถ้าอารมณ์คิดว่าเป็นแค่อุปนิสัยมันขี้เกียจง่าย ตั้งใจไว้เฉพาะว่าชาตินี้ทั้งชาติ อย่างเลวที่สุดเราจะเป็นพระโสดาบันให้ได้
(9) เมตตาบารมี เมตตาบารมีตัวนี้ก็เป็นตัว ตัดโทสะ ความพยาบาท ที่เป็นกิเลสตัวสำคัญ
สำหรับ ปัญญาบารมี นั้นตัดโมหะ
(10) อุเบกขาบารมี ทรงอารมณ์เฉย ในเมื่อกฎของกรรมที่เราทำไว้เป็นอกุศลในชาติก่อนที่เราทำมันมาให้ผล เราก็มีอารมณ์สบาย อะไรมันจะเกิดแก่เราบ้าง เราก็สบายที่เรียกว่า สังขารุเบกขาญาณ คือร่างกายมันจะแก่เราก็สบาย
เฉย
.เรารู้ว่าจะแก่ ถ้ามันจะป่วยใจเราก็สบาย เพราะรู้ว่ามันจะป่วย รักษาตัวเหมือนกัน หายก็หาย
ตายแหล่ก็ช่างมัน ของรักของชอบใจที่จะต้องพลัดพรากจากกัน เรารู้ว่านี่เป็นธรรมดา อารมณ์ใจก็เฉย
สบาย
เพราะรู้ว่าเป็นธรรมดา มันจะจากไปเราก็ห้ามมันไม่ได้ คนที่รักกันกับเราเขาประกาศเป็นศัตรูก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเขากับเรายังมีกิเลสกัน ต่างคนต่างมีกิเลส เขาจะไปมันเป็นเรื่องของเขาเราไม่ตาม ถ้าเขาจะมาเราก็ไม่ปฏิเสธพร้อมยอมรับ ใจสบายเป็น อุเบกขาบารมี ร่างกายมันจะตายจะพังก็ช่าง จัดเป็น อุเบกขาบารมี
กำลังใจรวมความว่าบารมีทั้ง 10 ประการ คือ
(1) จิตพร้อมจะให้ทาน
(2) จิตทรงศีลอยู่เสมอ
(3) เราพร้อมที่จะระงับนิวรณ์ 5 ประการ
(4) เรามีปัญญาที่จะรู้แจ้งเห็นจริงตามกฎของธรรมดา
มีอารมณ์ยอมรับนับถือกฎของธรรมดาเป็นปกติ
(5) เรามีความเพียรเพื่อจะทำลายกิเลสให้พินาศไป
(6) เรามีขันติความอดทน ทนต่อการฝืนอารมณ์เพราะอารมณ์มันคอยต่ำ เราจะดึงขึ้นสูง
มันก็จะคอยต่ำต้องทนดึงเข้าไว้
(7) สัจจะ เมื่อตั้งใจจะทำลายกิเลสแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำลายกิเลสกันเรื่อยไป ไม่ถอยกลับ
(8) อธิษฐานตั้งอารมณ์ไว้ตรงว่าเราจะเข้าไปหาพระนิพพานให้ได้ จะไม่ยอมถอยหลัง
จับจุดไว้จุดเดียวเท่านั้น
(9) เมตตา ประกาศตนเป็นคนมีความรักปรารถนาในการสงเคราะห์คนทั้งหมดและสัตว์ทั้งหมด
ไม่ถือว่าใครเป็นศัตรูร้ายของเรา
(10) อุเบกขา มีความวางเฉย วางเสียได้เมื่อกฎของกรรมจะเข้ามาสนองตน
บารมี 10 นี้ท่านให้ทบทวนทุกวันว่าเรามีครบหรือไม่ ขาดบกพร่องข้อใดบ้าง
http://www.dhammatan.net/2010/07/%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B5-10/