แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - streetway21

หน้า: [1]
1
 :069: รู้สึกหลสวงพี่เก่งจะเคยโพสท์ไว้นานแล้วครับ  :095:

2
อยากได้ แต่ไม่มีปัจจัยอ่ะครับ ทำไงดี

3
เรื่องนี้ต้องขยาย...
 


 
 
 
 
 
อ่านแล้ว...สงสารช้างมากๆๆๆๆๆๆเลยล่ะ
 
 
 
ขออนุญาตเจ้าของบทความมาลงนะคะ

วันนี้เห็นอีกแล้ว ... ภาพควาญช้างพาช้างเดินร่อนเร่ข้างถนน
ถึงจะเห็นเป็นประจำจนเจนตา แต่ก็ใช่ว่าจะทำใจให้ชาชินได้

ครั้งนี้แย่ยิ่งกว่า ตรงที่ช้างที่เห็นยังเป็นลูกช้างอยู่เลย
สูงเท่าอกควาญช้างเอง.. แต่ขาลูกช้างเล็กมาก ไม่สมส่วน
สงสารเท้าบางๆ ต้องมาเดินบนคอนกรีตร้อนๆ
ถามควาญ ควาญบอกไม่ต้องห่วง เท้าช้างมันหนา
เราว่าไม่หนาเท่าหน้าควาญหรอกมั้ง
( อันนี้คิดในใจ กลัวควาญสั่งให้ช้างเหยียบหน้าเรา)

กล้วย อ้อย ที่คนซื้อจากควาญ...เพื่อให้ควาญเอาให้ช้างกินอีกทีเนี่ย..
เป็นตลกร้ายมากๆ แต่ตลกที่ขำไม่ออก เหมือนควาญจับช้างตัวเองเป็นตัวประกัน
ให้อดน้ำอดอาหาร แล้วรอให้คนอื่นเอาเงินมาไถ่ช้างของตัวเอง
แล้วควาญ ก็จะเอาเงินมาเลี้ยงตัวควาญเองเป็นส่วนมาก ( และเลี้ยงช้างอีกเป็นส่วนน้อย)
สรุป ...เราไม่ได้ซื้ออาหารเลี้ยงช้าง แต่จ่ายเงินเลี้ยงควาญมากกว่า

เมื่อก่อนเราก็เป็นหนึ่งในคนขี้สงสาร อดไม่ได้ต้องซื้อกล้วยซื้ออ้อยให้ช้าง
ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ถูกต้อง

แต่จากประสบการณ์ตรง " เ ห็ น ม า กั บ ต า "
คืนนั้นประมาณสี่ทุ่ม เรากับเพื่อนกลุ่มนึง ออกมาจากร้านอาหารที่กินเลี้ยงกัน

เจอช้างเช่นเดิม (สงสัยดวงสมพงษ์)
เราก็ทำอย่างเดิม (ซื้ออ้อยให้ช้าง)
แต่พอดีวันนี้มีเวลาเยอะ ประกอบกับมีที่นั่งแถวนั้น
เลยนั่งคุยกับเพื่อนไป ดูช้างไป

เริ่มเอะใจ
เฮ้ย... ทำไมช้างไม่เคี้ยวอ้อยหว่า ?
( เวลาไปปางช้าง เคยสังเกตว่าช้างจะเอาอ้อยเข้าปาก แล้วเคี้ยวหยับๆอยู่แป๊บนึง)
หรือว่าให้น้อยไป ช้างกลืนลงคอไปแล้ว จะรู้รสไหมนั่น ?
ไม่ได้การ เลยซื้อเพิ่ม สงสารช้าง ท่าจะหิว มันดึกแล้วคงไม่มีใครมาอุดหนุนแล้วล่ะ
คราวนี้เราจ้องซะตาเหลือก
อ้าว.. ยังไม่เคี้ยวอีกแฮะ อมไว้รึป่าวเนี่ย ?

สักพักควาญเห็นว่าเรามองมากๆ เลยจูงช้างเดินเลี่ยงไป ( อย่างเร็ว)
เรากับเพื่อนอีก 3-4 คน ก็ทำเป็นออกเดินมั่ง ทำเดินเม๊าท์แตกโดยบังเอิญไปทางเดียวกัน
( แต่จริงๆคือจะเดินตามไปดู)
คราวนี้ควาญออกอาการ เอาขอเกี่ยวหูให้ช้างวิ่งเลย เราก็เฮ้ย ทำไมน่ะ ?
ควาญวิ่งพาช้างข้ามถนนไปอีกฝั่ง แล้วงุดๆไปหลบอยู่ตรงมุมมืดๆ เรามองไม่ค่อยเห็นแล้ว เราไม่กล้าตามแล้วด้วย

โชคดีที่ตรงนั้น เพื่อนเราอีกคนออกมาจาก 7/11 ตรงหัวมุมแถวนั้นพอดี
( ลืมไปเลยว่า เพื่อนอีกคนออกมาก่อน มันบอกจะเดินไปซื้อของที่ 7/11 ฝั่งตรงข้าม)
เพื่อนคนนี้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ช่วงที่เราเจอช้าง ควาญช้างก็ไม่รู้ว่าคนนี้เพื่อนเรา

เราโทรมือถือไปบอกเพื่อนเรา บอกว่า " เฮ้ย อย่าเพิ่งพูดอะไรนะ ช่วยดูช้างกับควาญให้ที "
แล้วเราก็เล่าเหตุการณ์คร่าวๆให้ฟัง ก่อนวางหู
เพื่อนคนนี้เป็นผู้ชาย มันเลยกล้าเดินไปยืนแถวๆควาญช้างตรงมุมมืดๆ
เพื่อนแกล้งทำท่าเหมือนหลบคนเยอะๆมาคุยโทรศัพท์
แต่จริงๆไม่ได้กดโทรออก
ส่วนเราเดินกลับมารอฟังข่าวที่เดิม

สักพักเพื่อนคนนี้ เดินข้ามฝั่งกลับมา บอกว่า

" ควาญเอาขอเกี่ยวหูช้างอย่างแรง ตอนแรกช้างไม่ทำอะไร
ตอนหลังควาญเลยเอาขอเกี่ยว ฟาดเข้าหลังหูเลย ด้านคมๆนั่นแหล่ะ ช้างท่าจะเจ็บมาก มันร้องในลำคอ
แล้วคายอ้อยออกมา "

" อารายนะ!!!!!! " เราตกใจ
" ช้างคายอ้อยออกมา ...ออกมาเป็นมัดๆเลย สงสัยอ้อยที่เธอซื้อให้นั่นแหล่ะ " เพื่อนย้ำอีกที

เรางี้ฟังแล้วแทบร้องไห้
ควาญสอนช้างให้อมอ้อย จะได้ให้ช้างคายอ้อยในที่ลับตา แล้วเอาอ้อยกลับมาล้างเพื่อขายใหม่ได้เรื่อยๆ
โดยที่ช้างไม่ได้กินอะไรเลย!!!!

คิดดูช้างเดินบนพื้นคอนกรีตแข็งๆเป็นกิโลๆ ยิ่งน้ำหนักตัวกดทับเยอะ ก็ยิ่งระบม แล้วยังต้องมาอดอาหารอีก
นึกภาพมันอมอ้อยไว้ในปาก คงทั้งหวานทั้งน่ากิน แต่ช้างก็ไม่กล้ากิน เพราะถูกสอนมา
ตอนถูกสั่งให้คายครั้งแรก มันคงทำใจคายไม่ได้ คงหิวมาก
ต้องให้ควาญฟาดตะขอจิกเข้าไป มันเจ็บจนต้องคายออกมา
ยิ่งเราซื้ออาหารให้ช้างมากเท่าไหร่ ช้างก็ยิ่งโดนทำร้ายแบบนี้มากเท่านั้น...

ขอประณามควาญช้างที่ทำแบบนี้
คุณไม่ควรทำกับช้างผู้มีพระคุณกับคุณ
คุณอาศัยความสงสารของคนมาเลี้ยงตัวเองยังไม่พอ
คุณยังทำร้ายช้างด้วย นี่ไม่น่าอภัยให้ยิ่งกว่า

เราไม่รู้นะว่าควาญช้างกี่คนที่สอนช้างให้ทำแบบนี้ได้ เราได้แต่หวังให้มีคนนี้คนเดียว
แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเบื้องหลังเค้าทำแบบนี้กันหมด ?


****** วานผู้ใจบุญ ช่วยส่งเมล์ฉบับนี้ต่อไปด้วย******
1555 อาจจะติดยาก
แต่มีอีกหลายเบอร์ เมมไว้ เห็นที่ไหน โทรแจ้งเลย



มูลนิธิเพื่อนช้าง
0-2945-7124/6 ( เวลาทำการ จันทร์-ศุกร์)
โรงพยาบาลช้างของมูลนิธิเพื่อนช้าง ( 24 ชั่วโมง)
 08-1914-6113  08-1914-6113 , 0-5424-7869/70
สายด่วน คุณโซไรดา ซาลวาลา
 08-1936-3500  08-1936-3500
สายด่วน นายสัตวแพทย์ปรีชา พวงคำ
 08-1936-3681  08-1936-3681
ศูนย์วิทยุผ่านฟ้า
191
รายการวิทยุ "ร่วมด้วยช่วยกัน"
1677, 142
รายการวิทยุ "สวพ. 91"
1644, 0-2562-0033/34
รายการวิทยุ "จ.ส. 100"
1137, 0-2711-9160/60
ศูนย์รับแจ้งทุกข์และภัย กองป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรุงเทพฯ
1555
สายด่วนแจ้งช้างเร่ร่อน
1362
 
 
 

4
แอ่ววัด - แอ่วเวียงเชียงใหม่

     อาณาจักรล้านนา นับได้ว่าเป็นอาณาจักรที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนาสูงสุด จึงปรากฎให้เห็นวัดวาอารามในเขตอ. เมืองของจังหวัดเชียงใหม่อยู่มากมาย เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปสำคัญ ๆ ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของพุทธศาสนิกชน และเป็นแหล่งโบราณสถานที่รวบรวมเอาศิลปะ สถาปัตยกรรมที่วิจิตรบรรจงสวยงามที่ควรค่าต่อการอนุรักษ์ รักษาสืบไป
     ไหว้พระ 9 วัด ในเวียงเชียงใหม่ การไหว้พระ 9 วัด เป็นการเสริมสร้างความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิต โดยเฉพาะวัดที่มีชื่อดี นามมงคล จะช่วยเสริมบารมีในชีวิตของพุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธาอีกด้วย ซึ่งแต่ละวัดล้วนแล้วแต่เป็นวัดที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน และมีความสำคัญในจังหวัดเชียงใหม่

 

1. วัดเชียงมั่น ตั้งอยู่ที่ ถ. ราชภาคินัย ต. ศรีภูมิ โทร. 0 5321 3170
วัดเชียงมั่น เป็นวัดแรกที่สร้างขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ.1840 ศิลาจารึกวัดเชียงมั่น กล่าวว่า หลังจากที่พญางำเมือง พญาร่วง และพญามังราย สร้างเมืองเชียงใหม่เสร็จสมบูรณ์แล้ว ทั้งสามพระองค์ทรงโปรดให้ก่อเจดีย์ที่หอนอนบ้านเชียงมั่น ซึ่งใช้เป็นที่ประทับชั่วคราวเพื่อควบคุมการสร้างเมืองเชียงใหม่ ต่อมา พระองค์ทรงยกพระตำหนักที่ประทับถวายเป็นพระอาราม ให้ชื่อว่า “วัดเชียงมั่น” เป็นที่ประดิษฐานพระเสตังคมณี หรือพระแก้วขาว เป็นพระพุทธรูปแก้วผลึกสีขาวปางมารวิชัย เป็นที่เคารพ สักการะของชาวเชียงใหม่

2.วัดพระสิงห์ ตั้งอยู่ที่ ถ. สามล้าน ต. พระสิงห์ โทร. 0 5327 5139
วัดพระสิงห์ (พระธาตุประจำปีมะโรง) เป็นวัดที่สำคัญของนครเชียงใหม่ เพราะเป็นวัดที่มีประวัติยาวนานกว่า 655 ปี สมัยแรก วัดนี้ได้ชื่อว่า “วัดลีเชียงพระ” หมายความว่า วัดที่ตั้งใกล้ตลาดกลางเมือง ในสมัยกษัตริย์ลำดับที่ 8 แห่งราชวงศ์มังราย ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานในวัดนี้ จึงเรียกว่า “วัดพระสิงห์” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา วัดพระสิงห์ได้รับสถาปนาเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ประเภทวรมหาวิหาร วัตถุสถานในวัด ทั้งพระอุโบสถ วิหารลายคำ วิหารหลวง หอไตร และภาพจิตรกรรมในวิหารลายคำ จึงทรงคุณค่า วัดแห่งนี้จึงเป็นที่รวมของตัวอย่างศิลปกรรม และสถาปัตยกรรมล้านนามากที่สุด

3.วัดเจดีย์หลวง (วัดโชติการาม) ตั้งอยู่ที่ ถ. พระปกเกล้า ต. ศรีภูมิ โทร. 0 5334 2252
วัดเจดีย์หลวง เป็นวัดที่มีเจดีย์ใหญ่ที่สุด ตั้งอยู่กลางใจเมืองเชียงใหม่ วัดนี้สร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์องค์ ที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย (พญาแสนเมืองมา) เพื่อสนองดวงวิญญาณของพญากือนา ผู้เป็นบิดา ที่ไปบังเกิดเป็นเทวดาสิงสถิตย์อยู่ใต้ร่มไทรใหญ่เมืองพุกาม และต้องการให้พญาแสนเมืองมาสร้างเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุด ในปี พ.ศ. 2024 สมัยของพญาติโลกราชพระองค์โปรดให้ช่างสร้างเป็นเจดีย์องค์ใหญ่ สูงถึง 92 เมตร ฐานกว้างด้านละ 54 เมตร ต่อมาสมัยพระนางเจ้าจิระประภาครองเมืองเชียงใหม่ ได้เกิดแผ่นดินไหวทำให้ยอดเจดีย์โค่นลงมา จากนั้นกรมศิลปากรได้ดำเนินการบูรณะเสริมความมั่นคงองค์พระเจดีย์ในส่วนที่เหลืออยู่ ให้แข็งแรงเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์สืบไป

 4.วัดชัยมงคล ตั้งอยู่ที่ ถ. เจริญประเทศ ต. ช้างคลาน โทร. 0 5328 0671
วัดชัยมงคล อยู่ริมแม่น้ำปิง สร้างราวสมัยพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์นครเชียงใหม่ ในสมัยที่เชียงใหม่ถูกพม่าปกครอง วัดนี้ถูกเรียกว่า วัดอุปาเพ็ง หรือ วัดอุปาพอก จนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เปลี่ยนมาเรียกชื่อวัดนี้ว่า วัดชัยมงคล ลักษณะของเจดีย์วัดชัยมงคล เป็นศิลปะพม่า-มอญ

5.วัดดวงดี ตั้งอยู่ที่ ถ. พระปกเกล้า ต. ศรีภูมิ โทร. 0 5321 4728
วัดดวงดี เดิมชื่อ “วัดต้นหมากเหนือ” ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นหลังจากพญามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่แล้ว และมีเจ้านายเมืองเชียงใหม่องค์หนึ่งเป็นผู้คิดค้นการสร้าง ลักษณะของวิหารและโบสถ์เป็นแบบพื้นเมืองล้านนา มีลวดลายแกะสลักไม้ประดับสถาปัตยกรรมที่สวยงาม

6.วัดลอยเคราะห์ ตั้งอยู่ที่ ถ. ลอยเคราะห์ ต. ช้างคลาน โทร. 0 5327 3873
วัดลอยเคราะห์ เดิมชื่อว่า วัดร้อยข้อ (วัดฮ้อยข้อ) สร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์องค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์มังราย วัดนี้จึงมีอายุราว 500 ปี ในสมัยที่ล้านนาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า วัดแห่งนี้ไม่ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ จึงมีสภาพทรุดโทรมมาก และกลายเป็นวัดร้างกว่า 20 ปี ต่อมา ในสมัยพญากาวิละปกครองล้านนา พระองค์ทรงบูรณะซ่อมแซมวัดให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ พระองค์ทรงกวาดต้อนพลเมืองเชียงแสนและโปรดให้ชาวเชียงแสนตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ เวียงชั้นนอกด้านขวาของประตูท่าแพ ทางทิศตะวันออกของเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นบริเวณวัดลอยเคราะห์ในปัจจุบัน ศิลปสถาปัตยกรรมเป็นแบบพื้นเมืองของชาวล้านนา มีพระพุทธรูปปางถวายเนตรและพระเจ้าทันใจ ประดิษฐานอยู่

7. วัดดับภัย ตั้งอยู่ที่ ถ. สิงหราช ต. ศรีภูมิ โทร. 0 5322 2964
วัดดับภัย เดิมชื่อ “วัดอภัย” หรือ “วัดตุงกระด้าง” มีตำนานเล่าว่า เมื่อพญาอภัยล้มป่วยทำการรักษาอย่างไรก็ไม่ทุเลา จึงตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าหลวงพ่อดับภัย อาการเจ็บป่วยก็หายไปพลัน พญาอภัยจึงให้บริวารลูกหลานตั้งบ้านเรือนบริเวณวัด และบูรณะปฏิสังขรณ์ จึงเรียกชื่อใหม่ว่าวัดดับภัย เป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมแบบพื้นเมืองล้านนา วัดแห่งนี้มีบ่อน้ำอยู่หน้าวิหาร เชื่อว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ สมัยพระเจ้าอินทวโรรส เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ 8 เสด็จกลับจากกรุงเทพ ฯ ต้องแวะมาวัดดับภัย เพื่อนำน้ำในบ่อนี้ไปสรงน้ำพระพุทธมนต์ ก่อนแวะไปวัดเชียงยืนเพื่อสืบดวงชะตา

8. วัดเชียงยืน ตั้งอยู่ที่ ถ. มณีนพรัตน์ ต. ศรีภูมิ โทร. 0 5321 1654
เป็นวัดโบราณแห่งหนึ่งซึ่งมีโบสถ์แปดเหลี่ยมที่เก่าแก่ด้วยรูปแบบศิลปะพม่า แม้ตัวโบสถ์จะทรุด โทรมตามกาลเวลา ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปพม่า ห้ามผู้หญิงเข้าตามความเชื่อของชาวล้านนาที่มีความเชื่อว่าสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาหรือพิธีสำคัญ ๆ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องการความสะอาดบริสุทธิ์ ตำนานกล่าว ไว้ว่า หากกษัตริย์องค์ใดจะขึ้นครองราชย์ต้องมานมัสการพระประธานที่วัดนี้ก่อน จนเป็นธรรมเนียม ประเพณี แต่ก็ยกเลิกไปเมื่อครั้งเชียงใหม่ตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า

 9. วัดหมื่นเงินกอง ตั้งอยู่ที่ ถ. สามล้าน ต. พระสิงห์
วัดหมื่นเงินกองเป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์มังราย เป็นสถาปัตยกรรมแบบพื้นเมืองล้านนา ในย่านสามล้านอันเป็นที่พักขุนนางชั้นสูง หมื่นเงินกองเป็น ชื่อของอำมาตย์ท่านหนึ่งในรัชกาลของพญากือนาที่ได้โปรด ฯ ให้ไปอาราธนาพระสุมนเถระที่กรุงสุโขทัยมาเผยแพร่ศาสนาในล้านนา จึงสันนิษฐานว่ามหาอำมาตย์ท่านนี้สร้างวัดนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ตนเอง

     นอกจากนี้ ยังมีวัดสำคัญอื่น ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ อาทิ วัดพันเตา ตั้งอยู่ที่ ถ. พระปกเกล้า ต. พระสิงห์ โทร. 0 5381 4689 วิหารเดิมเป็นหอคำ หรือท้องพระโรงหน้าของพระเจ้ามโหตรประเทศเป็นอาคารเครื่องไม้แบบพื้นเมือง ซุ้มประตูประดับไม้แกะสลักรูปนกยูง อันเป็นสัญลักษณ์ของเจ้านายฝ่ายเหนือ วัดกู่เต้า ตั้งอยู่ที่ ต. ศรีภูมิ ติดกับสนามกีฬาเทศบาลนครเชียงใหม่ เดิมชื่อว่าวัดเวฬุวนาราม มีเจดีย์ที่มีลักษณะแปลกไปกว่าเจดีย์อื่น ๆ ในเมืองไทย คือคล้ายกับผลแตงโมวางซ้อนกันอยู่หลายลูก ชาวบ้านจึงเรียกว่าเจดีย์กู่เต้า มีตำนานเล่าว่า เจดีย์กู่เต้านี้เป็นที่บรรจุอัฐิของเจ้าฟ้าสารวดีซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้าบุเรงนอง วัดแสนฝาง ตั้งอยู่ที่ ถ. ท่าแพ ต. ช้างคลาน เป็นย่านการค้าของพ่อค้าชาวพม่าที่มีศิลปะการก่อสร้างแบบพม่า นอกจากนี้ยังมีกุฏิเจ้าอาวาสซึ่งสร้างมานานกว่า 100 ปี วัดบุพพาราม ตั้งอยู่ที่ ถ. ท่าแพเยื้องกับวัดแสนฝาง เป็นวัดคู่เมืองเชียงใหม่ พระเมืองแก้วโปรดให้สร้างเมื่อ พ.ศ. 2039 ภายในหอมณเฑียรธรรมประดิษฐานพระพุทธรูปไม้สักขนาดหน้าตักกว้าง 1 วาเศษ มีอายุประมาณ 400 ปี ตามประวัติเล่าว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงยกทัพจากเมืองอยุธยาเพื่อขึ้นมาปราบอริราชศัตรูที่มารุกรานเมืองเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2147 จนทัพศัตรูได้ล่าถอยไปทางเมืองแหงและเมืองต๋วน สมเด็จพระนเรศวรฯจึงพักรบและสร้าง “พระพุทธนเรศศักดิ์ชัยไพรีพินาศ” องค์นี้ขึ้น วัดป่าเป้า ตั้งอยู่ที่ ถ. มณีนพรัตน์ ต. ศรีภูมิ เป็นวัดเงี้ยวแห่งแรกในเมืองเชียงใหม่ สร้างขึ้นเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2426 ลักษณะของพระธาตุที่วัดป่าเป้านี้เป็นแบบไทยใหญ่ มีการจัดประเพณีปอยส่างลองขึ้นเป็นประจำในเดือนเมษายนของทุกปี วัดช่างฆ้อง ตั้งอยู่ที่ ถ. ลอยเคราะห์ ต. ช้างม่อย สร้างเมื่อ พ.ศ. 1900 โดยชาวบ้านช่างฆ้องที่อพยพมาจาก 
เชียงแสน
สมัยต้นรัตนโกสินทร์ ภายในวัดมีหอไตรซึ่งเป็นตึกสองชั้นตกแต่งด้วยลายปูนปั้นและไม้ฉลุเป็นศิลปะผสมระหว่างจีนและพม่า ด้านนอกอาคารมีภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพระเจ้าสิบชาติฝีมือช่างพื้นบ้าน ซึ่งยังคงสมบูรณ์อยู่ พระสิงห์หยกวัดอู่ทรายคำ แกะสลักจากหยกประเภท Jadeite น้ำหนัก 900 กิโลกรัม เป็นศิลปะแบบเชียงแสนประยุกต์ และได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเศียร พระพักตร์มีสีใส ลักษณะสงบเย็น พระสิงห์หยกประดิษฐานอยู่ที่วัดอู่ทรายคำ ตั้งอยู่ที่ ถ. ช้างม่อยเก่า ต. ช้างม่อย โทร. 0 5323 4210 วัดโลกโมฬี โทร. 0 5340 4039 ตั้งอยู่ที่ ถ. มณีนพรัตน์ ต. ศรีภูมิ เดิม วัดโลกโมฬี มีสภาพเป็นวัดร้าง เมื่อคราวเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้รับการรื้อฟื้นจากการเป็นวัดร้างให้เป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ โดยคณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่

  10. วัดศรีสุพรรณ แวะนมัสการหลวงพ่อพุทธปาฏิหาริย์ พระพุทธรูปเก่าแก่ อายุกว่า 500 ปี คู่วัดเมื่อเริ่มสร้าง (พ.ศ.2043) ในสมัยพญาแก้ว( พระเมืองแก้ว ,พ.ศ.2038 - 2068) ประดิษฐานในอุโบสถเงิน ศาสนสถานแห่งแรกของโลก ที่สร้างและประดับด้วยเงิน วัสดุแทนเงิน (แผ่นภาพอลูมิเนียม) สลักลายตามแบบศิลปะไทย บนรากฐานแห่งการคงไว้ซึ่งมรดกทางวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นการทำเครื่องเงินและการดุนลายแผ่นโลหะ
     ประวัติของกลุ่มหัตถศิลป์ล้านนา วัดศรีสุพรรณ ... ภูมิปัญญาท้องถิ่นหัตถกรรมเครื่องเงินเป็นมรดกที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ แสดงถึงอาชีพและวิถีชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของชาวบ้านศรีสุพรรณ บ้านหมื่นสาร ถนนวัวลาย อำเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จากอดีตที่มีความเจริญรุ่งเรือง แต่ปัจจุบันกลับเข้าสู่สภาวะของความเสื่อมถอยมากยิ่งขึ้น ดังเป็นที่ประจักษ์แก่คนในท้องถิ่น
     จุดเริ่มต้นของการก่อตั้งกลุ่ม เกิดจากความตระหนักถึงการอนุรักษ์และพัฒนามรดกชิ้นนี้ ของเจ้าอาวาสวัดศรีสุพรรณ และนายช่างดิเรก สิทธิการ ร่วมกับภูมิปัญญาชาวบ้านในท้องถิ่น จึงได้จัดกิจกรรมแข่งขันฝีมือการดุนลายและออกร้านเครื่องเงินในโอกาสจัดงาน "มรดกล้านนา ภูมิปัญญาท้องถิ่น 500 ปี วัดศรีสุพรรณ" เมื่อ 30 มีนาคม 2543 นับเป็นจุดเริ่มต้นการก่อตั้งกลุ่มและมีพัฒนาการตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน
     For more information please contact us : www.watsrisuphan.org , info@watsrisuphan.org, 053-200332, 053-202751 fax.053-202751





ที่มา : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ เขต ๑
http://www.tatchiangmai.org/chiangmai/chiangmai/chiangmai.php
 
 

5
   แม่ไม่มี แม่ไม่เด่น แม่ไม่ดัง
แต่แม่ยัง เลี้ยงดูลูก ให้โตได้
ตัวแม่นี้ แม้อด ไม่เป็นไร
เพียงลูกได้ อิ่มท้อง แม่ยอมทน
   แม่ทนอด แม่ทนหิว แต่ไม่ท้อ
ขอเพียงพอ ประทังชีพ ไม่ขัดสน
เพื่อลูกน้อย ของแม่ เติบโตจน
ให้เป็นคน พลเมือง เลื่องลือนาม
   เติบโตใหญ่ ใจกล้า และสามารถ
เชิดชูชาติ ศาสนา กษัตริย์สาม
สถาบัน หลักใหญ่ ให้งดงาม
ปรากฏตาม นามสยาม ชนชาติไทย

(ขอขอบคุณกลอนของหลวงพี่เก่งครับ)

6
ออกจากเซ็นทรัลรัตนาธิเบศน์ ขับไปกลับรถแล้วขับไปทางบางบัวทอง ขับตรงๆมาจนสุดถนนคือถนนกาญจนาภิเษกให้เลี้ยวซ้ายไปทางปิ่นเกล้า ขับตรงมาเรื่อยๆอยู่ทางขนานพอถึงช่วงตัดปิ่นเกล้านครไชยศรีให้ขับขึ้นสะพานชิดขวาไว้ขึ้นโค้งจะลงสู่ถนนปินเกล้านครไชยศรี แล้วขับตรงไปผ่านพุทธมณฑลสาย2 3 4 5 6 7 8 พอสุดถนนขึ้นสะพานทิ้งโค้งเข้าถนนเพชรเกษม ขับไปสักพักจะมีโลตัสนครไชยศรีอยู่ขวามือแต่ตอนนี้แยกนี้กำลังก่อสร้างสะพานให้ขับเลยไปแล้วหาที่กลับรถ กลับรถแล้วขับย้อนมาเลี้ยวซ้ายที่แยกนครไชยศรี เข้าไปเจอสามแยกให้เลี้ยวซ้าย ขับชมวิวไปเรื่อยๆดูป้ายข้างทางไปด้วย ป้ายวัดกลางบางพระจะมากหน่อยขับมาตามป้าย เจอสามแยกอีกครั้ง ก่อนเจอแยกจะเจอปั๊มปตทเปิดใหม่มีเซเว่น ถ้าเหนื่อยก็แวะกินน้ำก่อนน่ะครับ พอเจอแยกให้เลี้ยวซ้ายอีกที ขับไปอีกหน่อยจะเจอสี่แยกไฟแดง ให้เลี้ยวขวาแล้วขับต่ออีกไม่กี่นาทีก็จะถึงวัดบางพระ ทางเข้าอยู่ตรงเชิงสะพานข้ามแม่น้ำ เลี้ยวขวาเข้าวัด ค่อยๆขับไปน่ะครับ ถนนที่ขับมารถส่วนใหญ่ทำความเร็วกันพอสมควรครับ   

ไม่ต้องขี่เลยแยกโลตัส นครชัยศรีแล้วไปหาที่กลับรถหรอกครับ แค่ขี่มาถึงสะพานข้ามแม่น้ำให้เลี้ยวซ้ายกลับรถใต้สะพานข้ามแม่น้ำแล้วเลี้ยวเข้าถนนพุทธมลฑลสาย ๗ แล้วเลี้ยวไปทางอำเภอนครชัยศรี ตรงมาตามทางจะเจอสี่แยกไฟแดงแล้วก็ก็ให้ตรงมาตามทางเลยครับ มีป้ายบอก เดินทางไม่ยาก ขอให้ถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพครับ

7
ไพเราะและเห็นภาพชัดเจนมากครับ

8
ส่วนผสมของเหล้า!
 วันหนึ่งไอ้ขี้เมามันเดินเข้ามาหาพระในวัด...

มันบอกว่าหลวงพี่ชอบด่าคนกินเหล้า...
ว่าโง่ยิ่งกว่าหมา... อยากจะทดสอบหลวงพี่หน่อย...

ที่หลวงพี่บอกว่าเหล้าไม่ดีนะ... หลวงพี่รู้หรือเปล่าว่า...
เหล้านะมีส่วนผสมอะไรบ้าง... ?

หลวงพ่อก็ตอบไปว่า..เรื่องง่ายๆ... ทำไมพระจะไม่รู้

คนโบราณเขาเล่าว่า... เหล้ามันผสมด้วยเลือดสัตว์ 5 ชนิด... คือ...

1. เลือดเสือ... กินเข้าไปแล้วดุมาก...มึงช่วยหามกูไปตีกับมันหน่อย...
2. เลือดงู... ....กินแล้วเดินไม่ตรงทาง...คดไปคดมา...
3. เลือดนก......กินแล้วคุยทั้งวันทั้งคืน...ไม่รู้เอาเรื่องอะไรมาพูด...
4. เลือดหมู..... กินแล้วนอนตรงไหนก็นอนได้...หมาเลียปากก็ไม่รู้สึก...
5. เลือดหมา....กินแล้วเห่าตะพึด...กระทั้งลูกเมียตัวเองมันก็จะกัด...

พูดเสร็จอาตมาก็รีบเดินเข้ากุฏิ...เพราะพระไม่มีประกันชีวิต..







จากคำเทศนาของพระพิศาลธรรมพาที (พระพยอม กัลยาโณ)
 
 

9
ตอนนี้ยังไม่เปิดให้เข้าชมนะครับ ทราบมาว่าประมาณปีหน้าจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ แต่จะเป็นเมื่อใดนั้น ติดตามข่าวสารได้จากทางเวปบอร์ดครับ

10
ปกติไม่ค่อยได้ติดตามรายการโทรทัศน์สักเท่าไร จะพยายามหาโอกาสดูครับ

12
ขอบคุณที่แบ่งปันประสบการณ์นะครับ แต่ถ้าจะให้ดีครับ ต้องใช้ "ฉันเพล" ครับไม่ใช่ "ฉันเพลน"

13
    การได้เข้าวัดในเวลาที่ว่างเว้นจากภารกิจการงานเช่นวันเสาร์ วันอาทิตย์และวันหยุดราชการ เป็นการเสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิต เพราะจะได้ประกอบศาสนกิจต่างๆที่เป็นเหตุของความสิริมงคลทั้งหลาย เช่นการกราบพระ บูชาพระด้วยดอกไม้ ธูป เทียน  ดังในพุทธภาษิตที่แสดงไว้ว่า ปูชา จ ปูชนียานัง เอตัมมังคลมุตตมังการได้บูชาสิ่งที่สมควรแก่การบูชาเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง การบูชาพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยดอกไม้ ธูป เทียน เป็นได้ทั้งอามิสบูชาและปฏิบัติบูชา  อามิสบูชาเป็นการบูชาด้วยเครื่องสักการะเช่นดอกไม้ ธูป เทียน   ส่วนปฏิบัติบูชาคือการพัฒนาจิตใจด้วยการเจริญพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ คือการระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณดอกไม้ ธูป เทียน เป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ อย่างธูป ๓ ดอก หมายถึงพระพุทธคุณ ๓ ประการ ได้แก่ พระกรุณาคุณ พระปัญญาคุณ และ พระวิสุทธิคุณ

    พระกรุณาคุณคือความสงสารที่พระพุทธองค์ทรงมีแก่สัตว์โลกทั้งหลายที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้ธรรมและหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว พระองค์ไม่ได้ทรงเก็บพระธรรมที่ทรงรู้ทรงเห็นไว้ตามลำพัง  แต่ทรงอุทิศเวลาตลอด ๔๕พรรษา คือตลอดเวลาของพระชนมายุที่เหลืออยู่ตั้งแต่วันตรัสรู้จนกระทั่งถึงวันเสด็จดับขันธปรินิพพาน  พระพุทธองค์ทรงใช้เวลานี้สั่งสอนสัตว์โลกให้รู้จักเรื่องบาปบุญ คุณโทษ เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ มรรค ผล นิพพาน   เรื่องการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าพระพุทธองค์ไม่ได้ทรงสั่งสอนแล้ว สัตว์โลกทั้งหลายก็ยังจะต้องจมอยู่ในกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเพราะไม่รู้จักทางออก เป็นเหมือนคนตาบอด ไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความสุข  อะไรคือเหตุที่จะนำมาซึ่งความทุกข์ อะไรคือผลของการกระทำดีและชั่ว  ไม่มีใครรู้กัน 

    แต่หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และประกาศพระธรรมคำสอนแล้วจึงได้รู้กัน เมื่อได้ยินได้ฟังธรรมแล้วนำเอาไปปฏิบัติก็สามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ หลุดพ้นจากทุกข์ได้ ดังที่พระอริยสงฆสาวกได้น้อมเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติจนกระทั่งได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ  พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เปรียบเหมือนยารักษาโรค สัตว์โลกทั้งหลายเปรียบเหมือนคนไข้  ถ้าไม่มียารักษาโรค  ย่อมไม่หายจากโรคภัยไข้เจ็บ จึงต้องอาศัยหมอที่มีความกรุณาอย่างพระพุทธองค์ประทานธรรมโอสถมาให้ เมื่อรับประทานแล้วก็จะหายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย  นี่คือพระกรุณาคุณของพระพุทธเจ้า

    พระปัญญาคุณหมายถึงความรู้ความฉลาดของพระพุทธเจ้าที่สามารถแหวกว่ายให้พ้นจากกองเพลิงกองไฟแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้  ซึ่งไม่มีใครสามารถทำได้แม้แต่คนเดียวในโลกนี้  มีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่มีปัญญามีความรู้ความฉลาดที่สามารถนำพาพระองค์ให้พ้นจากกองทุกข์นี้ได้   ก่อนที่พระพุทธองค์จะทรงตรัสรู้  พระพุทธองค์ก็ทรงแสวงหาครูอาจารย์ผู้รู้ต่างๆ เพื่อที่จะได้สอนท่านให้รู้จักวิธีการหลุดพ้นจากกองทุกข์  แต่ก็ไม่มีใครรู้เลยในโลกนี้แม้แต่คนเดียว  พระพุทธองค์จึงต้องใช้ความอุตสาหะความพยายาม ขันติความอดทน ทดลองไปเรื่อยๆ โดยอาศัยใช้เหตุใช้ผลใช้สติปัญญาอันแหลมของพระองค์ ลองผิดลองถูกไปจนกระทั่งในที่สุดก็พบทางที่จะนำพาไปสู่ความสงบสุข  ทางที่จะนำพาไปสู่ความสิ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างสิ้นเชิง

    พระวิสุทธิคุณ หมายถึงพระทัยของพระพุทธเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง กิเลสตัณหาทั้งหลาย  ที่เกิดจากการประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยสติด้วยปัญญา พระทัยของพระพุทธองค์ทรงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา ทรงปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นที่ยังอยู่ในกองทุกข์หลุดพ้นจากทุกข์ไป ทรงอุทิศเวลาและสติปัญญาสั่งสอนสัตว์โลกโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ จากสัตว์โลกแม้แต่นิดเดียว การสั่งสอนของพระพุทธองค์แต่ละครั้งจะไม่มีบาตรวางไว้ข้างหน้าเพื่อเรี่ยไรกัณฑ์เทศน์เอาเงินเอาทองจากญาติโยม  นี่ไม่ใช่เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนธรรมโดยไม่คิดเงินคิดทอง ไม่เรี่ยไรเงินทองจากผู้ฟัง  เพราะพระองค์มีพร้อมอยู่แล้วในพระทัยของพระองค์  พระพุทธองค์ทรงร่ำรวยด้วยพระอริยทรัพย์ ไม่มีทรัพย์อะไรจะเท่าเทียมกับพระอริยทรัพย์ที่มีอยู่ในจิตใจ  เพราะผู้ใดมีพระอริยทรัพย์อยู่ในจิตใจแล้วย่อมมีแต่ความอิ่มเอิบใจ มีแต่ความพอ เปรียบเหมือนกับตุ่มน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำแล้ว  จะใส่น้ำเข้าไปเท่าไรน้ำก็จะล้นออกมา  นี่คือพระทัยของพระพุทธเจ้าผู้ที่มีความบริสุทธิ์ในจิตใจ  สั่งสอนสัตว์โลกด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ปรารถนาแม้แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจากผู้ที่พระพุทธองค์ทรงช่วยเหลือ  แม้กระทั่งคำว่าขอบอกขอบใจหรือความสำนึกในบุญคุณพระพุทธองค์ก็ไม่เคยปรารถนา ไม่เคยหวังอะไรจากสัตว์โลกแม้แต่นิดเดียว

    แต่สำหรับสัตบุรุษคนดี เมื่อได้รับความช่วยเหลือแล้วย่อมสำนึกในพระคุณของผู้ให้  ดังที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าทุกๆครั้งที่ได้พบเห็นพระพุทธรูป  ด้วยการน้อมจิตน้อมใจกราบนมัสการในองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ด้วยความสำนึกในพระคุณอันใหญ่หลวงที่พระพุทธองค์ทรงได้มอบให้กับสัตว์โลกทั้งหลาย  แม้ในพระทัยของพระพุทธองค์จะไม่มีแม้แต่นิดเดียวที่จะคิดถึงสิ่งตอบแทนจากสัตว์โลกทั้งหลาย  พระโอวาทของพระพุทธองค์ทุกๆบท ทุกๆบาทเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้ฟังโดยถ่ายเดียว  ไม่มีประโยชน์ของผู้แสดงอยู่แม้แต่น้อยนิด  นี่คือลักษณะของวิสุทธิคุณ คือจิตที่ชำระแล้ว ไม่มีความโลภ ความอยาก นี่คือการเจริญพระพุทธคุณที่เรียกว่าพุทธานุสติ  ทุกครั้งที่จุดธูป ๓ ดอก ขอให้ระลึกถึงพระกรุณาคุณ พระปัญญาคุณ และ พระวิสุทธิคุณ  เพราะเมื่อระลึกถึงแล้ว  จะทำให้เกิดปัญญานำพาไปสู่การดับทุกข์ได้  แต่ถ้าจุดธูปไปโดยที่ไม่ได้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว  ไม่ระลึกถึงพระคุณอันประเสริฐ ๓ ประการ  ก็จะไม่ได้ปฏิบัติบูชา  จะได้แต่เพียงอามิสบูชา   

    ส่วนการจุดธูปแล้วก็ขอพรให้พระทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้ เป็นสิ่งที่ไม่อยู่ในคำสอนของพระพุทธองค์  พระพุทธองค์ทรงสอนให้เราเป็นที่พึ่งของตัวเราเอง ด้วยการประพฤติปฏิบัติตนทางกายวาจาใจ ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ไม่ได้สอนแม้แต่คำเดียวว่า เวลาจุดธูปเทียนแล้วขอให้ร่ำให้รวย ขอให้เรียนจบ หรือขอให้มีลูกมีเต้า หรือขอให้ได้ตำแหน่งต่างๆ พระพุทธองค์ไม่เคยสอนให้ขอ  แต่พระพุทธองค์ทรงสอนให้ทำ ให้มีความอุตสาหะวิริยะ ความขยันหมั่นเพียร อยากได้อะไรก็พยายามหามาด้วยลำแข้งลำขาด้วยสติปัญญาของตน อย่ารอพึ่งคนอื่น  ถ้ารอพึ่งคนอื่นก็จะกลายเป็นขอทานไป  ก็ต้องขอไปตลอดชีวิต  แต่ถ้าหามาได้ด้วยสติปัญญา ด้วยความขยันหมั่นเพียรของตนแล้ว  ต่อไปจะต้องการอะไรในโลกนี้ก็จะสามารถหามาได้ด้วยตนเอง  เพราะพึ่งตนเองได้  มีตนเป็นที่พึ่งของตน  ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น 

    แสงเทียนหมายถึงแสงสว่างแห่งธรรม จิตใจของปุถุชนอย่างเราอย่างท่านยังต้องอาศัยแสงสว่างแห่งธรรม  เพราะยังมืดบอดอยู่ มีความหลง มีอวิชชาครอบงำทำให้เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นสุขเป็นทุกข์ เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นของเที่ยง  เห็นสิ่งที่ไม่เป็นตัวตนว่าเป็นตัวตน  นี่คือความหลง  ถ้าตราบใดยังคิดว่ามีตัวตนอยู่  นั่นแหละคือความหลง  ถ้าตราบใดยังคิดว่าโลกนี้มีความสุขที่ยังแสวงหาได้อยู่ นั่นก็คือความหลง  ถ้ายังคิดว่ายังมีสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอนอยู่ในโลกนี้ นี่ก็คือความหลง  เพราะตามความเป็นจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  ไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน  ไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่ให้ความสุขที่แท้จริง ไม่มีอะไรที่จะเป็นของๆเราอย่างแท้จริง  ทุกสิ่งทุกอย่างต้องหมดสิ้นไป  ต้องมีการพลัดพรากจากทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ต้องจากไปหรือหมดไป  เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเราเป็นของของเรา  ดังที่ได้ทรงแสดงไว้ว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา  ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของๆตน

    เราจึงต้องอาศัยพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อเป็นแสงสว่างชี้ทางให้เห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง เช่นเดียวกับเวลาที่อยู่ในที่มืด ไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร ไม่รู้ว่าเป็นแมวหรือสุนัข ถ้าไม่มีแสงสว่างจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร  แต่ถ้ามีแสงไฟก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างฉันใด  แสงสว่างแห่งธรรมก็เช่นกัน เป็นแสงสว่างที่ทำให้เห็นว่าอะไรเป็นอะไร อะไรคือบาป อะไรคือบุญ อะไรคือเหตุ อะไรคือผล อะไรคือนรก อะไรคือสวรรค์  สิ่งเหล่านี้เป็นของจริงที่มีอยู่ แต่จิตใจมืดบอดจึงไม่เห็นสิ่งเหล่านี้  เมื่อไม่เห็นจึงไปเถียงพระพุทธเจ้า ไปปฏิเสธคำสอนของพระพุทธเจ้า หาว่าพระพุทธเจ้าสอนให้คนงมงาย สอนให้คนเชื่อ ไม่ให้คนคิด

    ความจริงแล้ว  พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เชื่อ และทรงสอนให้คิดด้วย  สิ่งที่ยังไม่รู้ยังไม่เห็นก็ต้องเชื่อไปก่อน  สิ่งที่ต้องคิดก็ต้องคิด เหมือนกับพ่อแม่สอนลูก  เมื่อลูกยังเด็กอยู่ ยังคิดเองไม่ได้ก็ต้องเชื่อไปก่อน ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ใจคอโหดร้ายพอที่จะสอนให้ลูกไปทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม  พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกมีความสุขความเจริญทั้งนั้น  ลูกๆจึงเชื่อพ่อแม่ได้อย่างตายใจ  ในเบื้องต้นจึงควรเชื่อพ่อแม่ไปก่อนเพราะยังคิดไม่เป็น เมื่อโตแล้วคิดเป็นแล้วก็จะรู้ดีรู้ชั่วเอง

    ชาวพุทธก็เหมือนกัน  ในเบื้องต้นยังไม่มีสติปัญญาพอที่จะแยกแยะได้ว่าอะไรคืออะไร  ก็ต้องเชื่อไปก่อน  เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า เชื่อบาป เชื่อบุญ เชื่อนรก เชื่อสวรรค์ แล้วประพฤติปฏิบัติตามจนเห็นเช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น  เมื่อเห็นแล้วจะไม่เชื่อก็ได้  อย่างพระ สารีบุตร หลังจากที่ท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว  พระสารีบุตรได้เปล่งอุทานว่า  บัดนี้เราไม่ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าอีกต่อไป เพราะสามารถมองเห็นได้ด้วยตนเอง  เหมือนกับคนตาบอดที่รักษาตาให้ดีแล้ว ไม่ต้องให้คนอื่นนำทางอีกต่อไป  นี่คือ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน ไม่ต้องพึ่งอะไรอีกต่อไปแล้ว  พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันตสาวกทั้งหลายก็ดี ท่านไม่ต้องพึ่งอะไรแล้ว เพราะท่านมีสรณะในตัวของท่านแล้ว  คือมี พุทธะ ธรรมะ สังฆะ อยู่ในใจ  นี่คือเรื่องของการจุดเทียนบูชาพระ คือการจุดแสงสว่างแห่งธรรมให้สว่างไสวขึ้นมาภายในใจด้วยการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม 

    ส่วนดอกไม้ที่ใช้บูชาพระที่มีสีต่างๆ เช่น สีขาว สีเหลือง สีแดง ก็หมายถึงพระอริยบุคคลทั้งหลาย ที่มาจากทุกเพศทุกวัย มีทั้งหญิงทั้งชาย นักบวช ฆราวาส เด็ก และ ผู้ใหญ่  เพราะการบรรลุเป็นพระอริยบุคคลไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศกับวัย  แต่ขึ้นอยู่กับสุปฏิปันโน คือการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ  ผู้ใดสามารถประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ได้ ผู้นั้นก็สามารถบรรลุเป็นพระอริยบุคคลได้ ดอกไม้มีความสวยงามด้วยสีสัน พระอริยบุคคลก็มีความสวยงามด้วยความประพฤติ 

    ทุกครั้งที่บูชาพระรัตนตรัยด้วยดอกไม้ ธูป เทียน ก็ขอให้บูชาทั้งอามิสบูชา และ ปฏิบัติบูชา  คือบูชาด้วยดอกไม้ ธูป เทียน และบูชาด้วยการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ  ด้วยการเจริญ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ เป็นการตัดทุกข์  ตัดภพตัดชาติให้น้อยลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีเหลืออยู่อีกต่อไป


ขอให้เจริญในธรรมครับ
 

 

 

14
มาฝึกสติกันเถอะ
ปลูกสติ ... ให้เบิกบาน



การดูจิต (การฝึกสติ)

การดูจิตคืออะไร ?

พูดว่า ?ดูจิต? ท่านที่ไม่เคยได้ยินอาจจะงง ที่จริงการดูจิตคือ ?การฝึกสติ? นั่นเอง ... สติ แปลว่าความระลึกได้  ดังนั้นการดูจิตจึงไม่ได้มีความหมายอะไรซับซ้อนไปกว่า ?ความรู้สึกตัว? เมื่อใดที่เรามีความรู้สึกตัวนั่นหมายความว่าเรามีสติอยู่นั่นเอง



[รู้สึกตัวที่ว่าคือรู้อะไร ?/u]

หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า สติปัฏฐาน 4 มาบ้าง การมีสติก็คือการฝึกสติปัฏฐาน 4 ,  สี่อย่างที่ว่านั้นคือ กาย เวทนา จิต ธรรม ฟังดูอาจจะงง พูดง่าย ๆ ก็คือเมื่อใดเราเกิดความรู้สึกในสิ่งใดที่ชัด ก็ให้รู้อันนั้น การรู้นั้นรู้อะไร ก็เช่น หากเดินอยู่ก็รู้ว่าเดินอยู่, นั่งก็รู้ว่านั่ง, ยืนก็รู้ว่ายืน, นอนก็รู้ว่านอน, ดีใจก็รู้ว่าดีใจ, โกรธก็รู้ว่าโกรธ, สุขก็รู้ว่าสุข, ทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์, จะขยับซ้าย แลขวา หันหน้า มองหลัง เคลื่อนไหวใด ๆ ก็รู้ตามนั้น คิดก็รู้ว่าคิด, จะฟุ้งซ่านก็รู้ว่าฟุ้งซ่าน เผลอลืมไม่มีสติก็รู้ว่าเผลอ   

กล่าวโดยย่อคือให้มีความรู้สึกตัวผ่านอายตนะทั้ง 6 ได้แก่ ตา (รูป), หู (เสียง), จมูก (กลิ่น), ลิ้น (รส), กาย (สัมผัส), ใจ (ความรู้สึก-ความคิดปรุงแต่ง) รู้ไปเรื่อยๆ ตามอารมณ์หรือสภาวธรรมที่ปรากฏ ?ตามจริง? ในขณะนั้น ๆ

รู้แบบนี้มันจะเครียดไหม ? ขอตอบว่าไม่เลย การมีความรู้สึกตัวนั้นทำแบบสบาย ๆ ให้เป็นธรรมชาติตามปกติ ไม่ต้องไปเพ่ง ไปจ้อง ไปบังคับ ไปควบคุม ง่าย ๆ คือเป็นปกติอย่างที่เคยเป็นนั่นหละ เพียงแต่มีความรู้สึกตัวอยู่เนือง ๆ อยู่เสมอ


รู้ไปเพื่ออะไร ?

สตินั้นหากนำมาใช้กับทางโลกทั่วไปก็ย่อมมีประโยชน์มหาศาลอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการงาน, ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ๆ การคิดอ่านย่อมเป็นระบบ, จิตย่อมมีสมาธิในการทำกิจการงานใด ๆ , อารมณ์มักจะเป็นปกติ ไม่ค่อยโกรธ เครียด หรือทุกข์ใจอะไรมาก ๆ กล่าวโดยรวมคือย่อมเกื้อกูลชีวิตประจำวันทางโลกได้อย่างดีซึ่งเป็นประโยชน์ที่ค่อนข้างเห็นได้ชัดเจน

หากแต่ถ้ารู้เนือง ๆ มาก ๆ เข้าจนเป็นมหาสติ ก็จะได้ประโยชน์จากทางธรรมด้วย การที่เรามีสติอยู่เนือง ๆ รู้ตัวบ้าง ไม่รู้บ้าง ทำอย่างติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ก็เพื่อให้สติเกื้อกูลต่อการ ?เห็นความจริง? ความจริงนี้เป็นสิ่งที่ใกล้ตัวเราที่สุดก็คือกายกับใจของเรา แต่เราไม่เคยรู้สึกถึงความจริงนี้เลย

จุดหมายของการรู้ก็เพื่อให้เห็นความจริง อันได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ว่ากายและใจของเรานั้นเป็นสิ่งไม่เที่ยง  เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวเรา เนื่องจากสัมมาสติทำให้เราได้เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามสภาวธรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่นับครั้งไม่ถ้วน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนในที่สุดจิตจะยอมรับความจริงในข้อนี้ (หรือที่ท่านพระพุทธทาสชอบเรียกว่าให้ละตัวกู ของกู)  อันนำไปสู่หนทางแห่งการดับทุกข์ ที่เป็นจุดมุ่งหมายสำคัญของพระพุทธศาสนา   


[ดูจิตมีอะไรดี ?/u]

ดูจิต คือการเรียนธรรมะที่ ?เรียบง่ายและธรรมดาที่สุด? ไม่จำเป็นต้องรู้คำศัพท์ทางศาสนายาก ๆ หรือนั่งท่องพระไตรปิฎก เพราะจุดมุ่งหมายคือการเรียนรู้กายและใจของตัวเอง ให้ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น (อุปทาน) อันเป็นสาเหตุทำให้เรา ๆ มีความทุกข์กัน


การดูจิตสามารถทำได้ ?ทันที? , ?ที่นี่? และ  ?เดี๋ยวนี้? ซึ่งคนจำนวนไม่น้อยมักเข้าใจผิดว่าการปฏิบัติธรรมต้องทำอะไรที่มันดูยาก ๆ, เคร่งเครียด, น่าเบื่อ, หรือต้องใช้เวลา เนื่องจากตนไม่มีเวลาจึงไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ ซึ่งความจริงเราสามารถเรียนธรรมะด้วยการฝึกสติได้ตลอดเวลา ด้วยใจที่ปกติสบาย ๆ ไม่ว่าจะดูทีวี, กินข้าว, เล่นเน็ต, อาบน้ำ, ไปเที่ยว, ออกกำลังกาย ฯลฯ ล้วนสามารถฝึกสติได้ทั้งสิ้น


ธรรมทั้งปวงรวมที่จิต (ตามที่ครูบาอาจารย์ได้กล่าวไว้) ดังนั้นการดูจิตคือการเรียนรู้ธรรมะภาคปฏิบัติที่เป็นเส้นทางตรง ไม่อ้อม ช่วยให้ถึงจุดหมายปลายทางได้ไวขึ้นและไม่หลงทาง


หากพูดถึงในแง่ของบุญกุศลสำหรับคนชอบทำบุญ  การดูจิตเปรียบเสมือนการทำวิปัสสนากรรมฐาน จึงเป็นภาวนาบารมี ซึ่งเหนือกว่าศีลและทาน (อ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือ "วิธีสร้างบุญบารมี" สมเด็จพระสังฆราชฯ) ดังนั้นจึงเสมือนเป็นการทำบุญโดยไม่เสียสตางค์ และเป็นบุญสูงสุด ทำได้ทุกที่ ทุกเวลาตามกำลังสติที่เรามี


เส้นทางนี้มีกัลยาณมิตรที่เดินเส้นทางเดียวกันมากมาย เมื่อติดปัญหาหรือไม่เข้าใจสิ่งใดจึงมีช่วยตอบข้อสงสัยได้ มีแหล่งข้อมูลให้ศึกษาอยู่เยอะ (เสียงธรรมของพระอริยเจ้าในเว็บนี้ก็มักสอนเรื่องสติอยู่บ่อย ๆ) ถึงที่สุดแล้วหากศึกษาด้วยตัวเองเต็มที่แล้วยังมืดบอดอยู่ ก็มั่นใจได้ว่ามีพระสุปฏิปันโนที่สามารถตอบข้อซักถามของเราได้แน่นอนในยุคปัจจุบัน

ต้องดูนานแค่ไหน ?

อันนี้ไม่สามารถตอบได้ เพราะขึ้นอยู่กับความเอาใจใส่และบารมีของแต่ละท่าน ใครขยันเดินก็ไปได้ไกลว่า (แล้วต้องเดินให้ถูกทางด้วย) แต่มั่นใจได้ว่าถึงแน่เพราะมีพุทธวัจนะรับรองไว้ว่า บุคคลใดเจริญสติปัฏฐานอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง ย่อมหวังความดับทุกข์ได้แน่นอนอย่างเร็ว 7 วัน  อย่างกลาง 7 เดือน หรืออย่างช้า 7 ปี

จะเห็นได้ว่าแม้คนที่คิดว่าตัวเองไม่ได้มีบุญบารมีอะไร ฉันจะทำได้หรือ ?  ก็มั่นใจได้เลยว่าทำได้แน่นอนตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ แต่โดยทั่วไปหากฝึกสติในระดับหนึ่งแล้ว จะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างชัด จิตจะรู้ ตื่น เบิกบาน ไม่ค่อยมีอารมณ์โกรธ หงุดหงิด หรืออารมณ์เพี้ยน ๆ ทั้งหลายเท่าใดนัก



มีอานิสงส์อย่างไร ?

อย่างที่ได้กล่าวไว้แล้ว ในเบื้องปลาย อานิสงส์ของการเจริญสติคือความดับทุกข์อย่างสิ้นเชิง หากอานิสงส์เบื้องปลายมันดูเหมือนจะห่างไกลจากความรู้สึกเราก็ขอให้ลองมาดูใกล้ ๆ ตัว ท่านอาจจะเคยได้ยินว่ามีคนเข้ากรรมฐานที่วัดแล้วชีวิตเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เช่น เลิกติดเหล้าติดการพนัน, หน้าที่การงานดีขึ้น, การค้าเจริญขึ้น แล้วก็อาจเกิดความสงสัยว่ามันเกี่ยวกันอย่างไร

หากท่านลองพิจารณาดูให้ดีจะเห็นว่า ความหายนะ ความเลวร้ายในชีวิตของคนเราล้วนมาจากการขาดสติทั้งสิ้น เช่นการโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง, การทะเลาะตบตีกันในครอบครัว, การปล้นฆ่า, สามีมีผู้หญิงอื่น, ติดการพนัน, กินเหล้าเมายา ฯลฯ โดยรวมคือการละเมิดศีล 5 อันเป็นธรรมแห่งความ ?ปกติ? ของคนเรา

คนเราทุกคนล้วนมีกิเลสตัณหา มีความโลภ โกรธ หลงด้วยกันทุกคน ดังนั้นหากขาดสติเมื่อไร ก็พร้อมที่จะเผลอทำกรรมชั่วได้เสมอ ในขณะที่ฝ่ายกรรมดี อันได้แก่ ทาน ศีล ภาวนา ก็แทบจะไม่ได้ทำเลย

การมีสติจึงเสมือนเป็นตัวช่วยคุมให้เรามีความเป็น ?ปกติ? คืออยู่ในกรอบของศีล เช่น เมื่อเราโกรธมาก ๆ ก็จะรู้ตัวไม่ทำการประทุษร้ายใคร, โลภมาก ๆ ก็จะรู้ตัวไม่ไปทำการปล้นหรือโกงใคร ฯลฯ  ดังนั้นกรรมชั่วจึงแทบไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย ในขณะที่ฝ่ายกรรมดีคือ ศีล และภาวนาได้ทำทุกวันจนเป็นอาจิณกรรม

เมื่อเปรียบเทียบฝ่ายที่ไม่ค่อยมีสติกับฝ่ายที่สติดีในทางคณิตศาสตร์ก็จะเห็นภาพชัดขึ้น ฝ่ายแรกนั้นดูเหมือนจะมีเรื่องให้ติดลบอยู่เนือง ๆ อาจจะได้คะแนนบวกบ้างในบางครั้ง ส่วนฝ่ายที่สองนั้นเรื่องติดลบแทบไม่เกิด แต่ได้คะแนนบวกอยู่ทุกวัน เมื่อเวลาผ่านไปเป็นหลายเดือน หลายปีผลรวมด้านกุศลกรรมของทั้งสองคงจะต่างกันอย่างเทียบไม่ติดเลยทีเดียว นี้เป็นเหตุผลหนึ่ง

แต่ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือคำสอนของหลวงพ่อจรัญซึ่งหากพิจารณาดูก็จริงทีเดียว ผู้ที่มีสติสัมปชัญญะดีมักจะเป็นคนที่ขยัน เบิกบาน มีความคล่องแคล่ว ว่องไว ใครมีหน้าที่อะไรก็จะปฏิบัติตามหน้าที่ตัวเองได้อย่างดี เช่นเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่, เป็นสามีที่ดีต่อภรรยา ครอบครัวมีแต่ความอบอุ่น การงานก็จะมีความเจริญก้าวหน้าอันเกิดจากความขยัน ความมีสติก่อให้เกิดสมาธิ ปัญญาจึงตามมา สามารถแก้ไขปัญหาชีวิตได้ นี้จึงเป็นอานิสงฆ์ของการเจริญสติที่เห็นได้ชัดเจน

????????????????????????????       


ขอให้เจริญในธรรมกันทุก ๆ ท่าน
เราพูดถึงอยู่เสมอถึงคำว่า ?สติปัญญา?
เราใช้ปัญญาอยู่เสมอก็จริง  แต่สตินั้นแท้จริงแล้ว
เรานำออกมาใช้น้อยนัก ทั้งที่สตินั้นมีคุณค่าต่อชีวิต
และจำเป็นแก่ชีวิต มีคุณค่าเหลือที่จะประมาณได้
(พระธรรมสิงหบุราจารย์ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี)

 

จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ
(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)

ที่มา : ฟังธรรม.คอม

16
ส่วนภาพหลวงพ่อสำอางค์ ก็ถ่ายเองที่เชียงราย :085: 02;

17
กราบนมัสการหลวงพ่อเปิ่น    ....    :054: :054: :054:


เรียนคุณ streetway21 การให้เครดิสเป็นสิ่งที่ดีในโลกอินเตอร์เน็ต ...  :089:


ไม่รู้จะให้เครดิสกับใครนี่ครับ ก็ผมมีรูปอยู่เองนี่นา และก็สแกนเองด้วย

19
ใครจะชนะก้ได้ครับ ขอแค่ดูสนุกก็พอ เพราะมันไม่ใช่ลิเวอร์พูล 555

21
สิ้นหลวงพ่อเปิ่นก็มีหลวงพ่อสำอางค์


23


ภาพนี้ที่กุฏิเก่าริมน้ำครับ

25
เอามาให้ชมกัน เพราะเก่ามาก

26
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ
ศิวลึงค์ก็เป็นสัญญลักษณ์แทนความเป็นเพศชาย  :   โยนีแทนความเป็นเพศหญิง
เป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่ง ของฮินดู

27
สวยมากครับ บารมีหลวงพ่อเปิ่นคุ้มครองครับ

28
ขอเสริมนิดครับ ไม่แน่ใจว่าคิวรถตู้ย้ายไปรึยัง ถ้ายังก็อยู่ตรงข้างโรงหนัง เมเจอร์รังสิตนะครับ

ที่แยกท่านาขณะนี้กำลังก่อสร้างสะพานอยู่นะครับ แล้วเวลาต่อรถเมล์เข้าวัด ให้ดูป้ายหน้ารถด้วยนะครับว่า "บางพระ"

เพราะถ้าป้ายเป็น "ดอนตูม" รถเมล์จะไม่ผ่านวัดบางพระ

29
ในงานวันไหว้ครู วันเสาร์ที่ ๗ มี.ค. นี้ นะครับ ทำบุญเล่ม ละ ๓๐๐ บาท

30
ทำไมภาพไม่ขึ้นครับ

31
เข้ามาวันแรกหลังจากที่ไม่ได้เข้ามาเลยเกือบ 3 ปี

หน้า: [1]