แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - โยคี

หน้า: [1]
1
ไหว้ครูบูรพาจารย์ / ไหว้ครูปี 2565
« เมื่อ: 05 มี.ค. 2565, 12:58:23 »
เหรียญพิธีไหว้ครูประจำปี                                                   
วันเสาร์ ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2565
เนื้อทองคำ                      สร้าง 1 เหรียญ
เนื้อเงินหลังหลวงพ่อเปิ่น สร้าง 38 เหรียญ
เนื้อเงินหลังจาร               สร้าง 19 เหรียญ
เนื้อนวะ                           สร้าง  19 เหรียญ
เนื้อทองแดงลงสี             สร้าง  1000 เหรียญ
เนื้อทองแดงชุบทอง        สร้าง  2000 เหรียญ
เนื้อทองแดงรมดำ           สร้าง   20000 เหรียญ

4
พิธีพุทธาภิเษก วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564
นั้งปรกอธิฐานจิต โดย หลวงพ่อเจตน์ วัดนก พระอาจารย์ติ่ง พระอาจารย์อภิญญา วัดบางพระ






7
กุฎิใหญ่เปิด ให้เข้าสักการะหลวงปู่แล้ว ส่วนอื่นๆ ยังไม่เปิดสักยันต์


8
แจ้งข่าวให้ทราบ หยุดสักชั่วคราว ในสถานะการณ์โควิด19 ระบาดรอบ2 โดยไม่มีกำหนดจนกว่าสถานะการณ์จะดีขึ้น จากข้อความพระอาจารย์ในเฟสบุ๊ค

10
เริ่มเปิด สักยันต์ วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน 2563 กุฏิพระอาจารย์ต้อย 8.00 - 16.00 น.


12
ประกาศวัดบางพระ​ งดลงนะหน้าทอง​ งดสักยันต์​ งดเจิมรถ​ งดบูชาวัตถุมงคล ออกไป​ไม่มีกำหนด จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง


14
ประกาศ หยุดสักยันต์ตั้งแต่ 22 - 31 มีนาคม 2563 เป็นการชั่วคราว
เหตุเนื่องจากการระบาดของไวรัส โควิด-19 ในวงกว้างทั่วประเทศในขณะนี้ และเพื่อเป็นการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
ทางวัดบางพระ จึงหยุดการสักยันต์ตั้งแต่ 22 - 31 มีนาคม 2563 หรือ จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง จึงแจ้งมาเพื่อทราบ



15
วันคล้ายวันเกิดอายุครบ ๖๗ ปี ( ๔๗ พรรษา )
น้อมกราบถวายมุทิตาสักการะ
พระครูอนุกูลพิศาลกิจ ( สำอางค์ ปภสฺสโร )
เจ้าอาวาสวัดบางพระ ต.บางแก้วฟ้า อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
วันพฤหัสบดีที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๓
ขอให้สุขภาพแข็งแรง เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ให้ลูกหลาน ลูกศิษย์ลูกหานานๆ ครับ


16
 ประกาศวัดบางพระ

เรื่อง การงดการจัดพิธีไหว้ครูหลวงพ่อเปิ่น ประจำปี พ.ศ.๒๕๖๓

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ “ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 (Covid-19)” ที่ในประเทศจีน และอีกหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยในขณะนี้ ด้วยความห่วงใยของวัดบางพระ คณะสงฆ์วัดบางพระ โดยพระครูอนุกูลพิศาลกิจ (หลวงพ่อสำอางค์) เจ้าอาวาสวัดบางพระ เป็นประธาน ได้หารือกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลหลวงพ่อเปิ่น และคณะกรรมการการจัดงาน มีมติให้ “งด” การจัดพิธีไหว้ครูหลวงพ่อเปิ่น ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ทั้งนี้การงดการจัดพิธีฯ เป็นการให้ความร่วมมือกับทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดนครปฐม ซึ่งมีความกังวลใจในสถานการณ์การระบาดของไวรัสดังกล่าว เนื่องจากในพิธีไหว้ครูของทางวัดบางพระนั้นมีผู้เข้าร่วมพิธีเป็นจำนวนมากและทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และเพื่อเป็นการป้องกันการระบาดของโรค และอาจนำไปสู่การระบาดออกไปในวงกว้างมากกว่าที่เป็นอยู่
ดังนั้นจึงประกาศมาเพื่อทราบ

ขอเจริญพร
พระครูอนุกูลพิศาลกิจ
เจ้าอาวาสวัดบางพระ




17
ตัวอย่างเหรียญที่ระลึกไหว้ครู ปี ๒๕๖๓ จาก FB กุฏิใหญ่วัดบางพระ ปัณ ปัณณวิชญ์

















18
✨✨✨✨✨✨✨ประชาสัมพันธ์✨✨✨✨✨✨✨
แด่ศิษยานุศิษย์หลวงพ่อเปิ่น และผู้สนใจในพิธีกรรมทุกท่าน
ขอเชิญร่วมพิธีไหว้ครูหลวงพ่อเปิ่น ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๓
กำหนดจัดในวันเสาร์ที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ เวลา ๐๙.๓๙ น.
ณ มณฑลพิธีวัดบางพระ ต.บางแก้วฟ้า อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏🙏
!!!๑ ปี มีเพียงครั้งเดียว!!! กับงานพิธีไหว้ครูบุรพาจารย์ประจำปี
📣ร่วมด้วยช่วยกันแชร์ให้มาร่วมแสดงความกตัญญู บูชาครู📣


20
🍁ประกาศแจ้งอย่างเป็นทางการ🍁
เสื้อที่ระลึกเว็บไซต์วัดบางพระ รุ่น ๑๐
บริเวณคอเสื้อด้านหลังปักยันต์บัวแก้ว
เปิดให้บูชาในวันงานพิธีไหว้ครูหลวงพ่อเปิ่น ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๒ วันเสาร์ที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๒ ที่อาคารสำนักงานวัดบางพระ ( หน้ากุฏิใหญ่ )
ราคาตัวละ ๓๕๐ บาท ( มีจำนวนจำกัด )

https://www.facebook.com/Bp.or.Th/posts/2154360994624226?hc_location=ufi


22
เหรียญไหว้ครูปี 2562 เครดิตภาพ @กุฏิใหญ่วัดบางพระ ปัณ ปัณณวิชญ์




25
ประกาศ เนื่องด้วยวันที่ 6-15 พฤศจิกายน 2561 พระอาจารย์ติ่ง กับ อ.โบ๊ท ไปธุระ ไม่อยู่กุฏิ 10 วัน จึงแจ้งมา เพื่อทราบ

26
ขอเชิญร่วมงาน และ ร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคีวัดบางพระ ปี ๒๕๖๑
วันอาทิตย์ที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
ติดต่อร่วมบุญกฐินวัดบางพระ ๒๕๖๑ และรับวัตถุมงคลที่ระลึก
ได้ทุกวันที่หน้าตู้วัตถุมงคลบนกุฏิใหญ่วัดบางพระ ตั้งแต่เวลา ๐๗.๐๐ น. - ๑๖.๓๐ น.



29
ถ้าปีนี้ ท่านใดที่ยังไม่ได้ไหว้ครู หรือ ครอบเศียรครู ก็ขอเชิญร่วมพิธี
และ ถ้าท่านใดไหว้ครู ครอบเศียรครู แล้ว จะมาเข้าพิธีอีกก็ได้ครับ
เพื่อเป็นสิริมงคล

30
ในพานครูเป็นเนื้อทองแดงรมดำ
เหรียญแบบนี้ กะไหล่ 3 k บูชาที่กุฎิใหญ่


35

36
***เนื่องด้วยอยู่ในช่วงงานพระราชพิธีฯ และเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของทางการปกครองคณะสงฆ์ฯ
ทางวัดบางพระจึงประกาศงดสักยันต์ เริ่มตั้งแต่ วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป อย่างไม่มีกำหนด.***
***ยังเปิดให้ลงนะหน้าทอง-สาริกาลิ้นทอง ทุกวันตามปกติ ไม่ได้งด***


38
พิธีพุทธาภิเษก..ณ.อุโบสถ วัดบางพระ
เครดิตภาพ นุ้ย ศิษย์วัดบางพระ








39
20 พฤษภาคม 2560 นี้ เปิดฝั่งตะกรุดทองคำ กับ พระอาจารย์อภิญญา
จองที่ Facebook กุ้ง วัดบางพระ (ไม่รู้เต็มหรือยัง)

40
ชอเชิญร่วมแบ่งปัน สิ่งของเครื่องใช้ เพื่อเด็กๆชาวเขาที่อุ้มผาง จ.ตาก
กำหนดการเดินทาง วันที่ 5 มิถุนายน 2560
ท่านที่จะร่วมกุศลในครั้งนี้ โปรดมามอบให้ภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม นี้
เพื่อจะได้มีเวลารวบรวม แยกประเภท บรรจุหีบห่อ ก่อนไปให้เด็กๆ และ
ผู้ขาดโอกาสต่อไป




44
แดงเก รุ่น 2 เสาร์ ๕ สร้างโดยพระอาจารย์อภิญญา




45
เหรียญที่ระลึกพานไหว้ครู วัน เสาร์ ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2560


46
ข้อมูลจาก https://www.facebook.com/profile.php?id=100006492810561&fref=ts

เปิดบูชา เหรียญรุ่นเสื้อเกราะ ปี 2560 สมทบทุนสร้างอาคารฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพฤกษ์-อัมพาต 3 ชั้น โรงพยาบาลหลวงพ่อเปิ่น .. ( เนื้อเงินลงยา สีเขียว สีน้ำเงิน สีแดง สร้างสีละ 19 เหรียญ เหรียญละ 2500 บาท . เนื้อเงิน สร้าง 99 เหรียญ เหรียญละ 1500 บาท. เนื้อสตางค์ เนื้อนวะ สร้างเนื้อละ 59 เหรียญ เหรียญละ 800 บาท . เนื้อตะกั่ว สร้าง 29 เหรียญ เหรียญละ 1000 บาท. เนื้อทองแดง ชุบ 3 k สร้าง 1000 เหรียญ เหรียญละ 300 บาท. เนื้อทองแดง สร้าง 10000 เหรียญ เหรียญละ 100 บาท. (บูชาได้ที่ กุฎิใหญ่พระอุดมประชานาถ ) มีโค๊ตและหมายเลขกำกับทุกเหรียญ



47
ขอเชิญร่วมงาน
พิธีไหว้ครูบูรพาจารย์ หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ ปี ๖๐
วันเสาร์ที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๐ เวลา ๙.๓๙ น.
https://www.facebook.com/Bp.or.Th/


48
แจ้งข่าวแก่ศิษยานุศิษย์..
พระอาจารย์ประสิทธิ์ ธมฺมโชโต (หลวงพี่ต้อย) มรณภาพ
น้อมกราบถวายความอาลัยด้วยความเคารพยิ่ง
กำหนดสรงน้ำสรีระสังขารพระอาจารย์ประสิทธิ์ ธมฺมโชโต (หลวงพี่ต้อย)
วันศุกร์ที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๙ เวลา ๑๓.๐๐ น. เป็นต้นไป ณ วัดบางพระ จ.นครปฐม

https://www.facebook.com/Bp.or.Th/photos/a.130302737030072.21467.123218131071866/1199428750117460/?type=3&theater


49
ขอเชิญ ศิษยานุศิษย์มาร่วมงาน ครับ




50
สิ่งดีๆ ในวันสรงน้ำพระ ที่วัดบางพระ
ขอขอบคุณ น้องเก่งสิบทัศน์ ที่จัดให้




53
พระผงนั่งเสือ พิมพ์บล๊อคแตก ตะกรุดทองคำ ปี 2534 รุ่น สร้างหอสวดมนต์






55
เมตตาบารมี



56
เป็นพระผงยา เก่าครับ ไม่ทราบพระเกจิที่สร้าง



57
หลวงพ่อไสว ปิยะวัณโณ วัดปรีดาราม(ยายส้ม) อ.สามพราน จ.นครปฐม







59
เสือ เนื้อเรซิน ออกที่
วัดสิตาราม(วัดคอกหมู) เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ

หลวงพ่อเปิ่น ท่านได้ ร่วมปลุกเสกอธิฐานจิต เมื่อปี 253...กว่า
เสือแบบนี้ มีวางขายเกลื่อนไปในท้องตลาด ท่านใดจะเช่าหาบูชา
ต้องได้รับการยื่นยัน ว่าได้เช่ามาจากวัดด้วยจริง
ส่วนเสือชิ้นนี้ ผมได้รับมาจากพี่ที่รู้จักกัน สมัยตอนที่ท่าน บวชอยู่
ที่วัดคอกหมู







60
พญาเสือนั่ง รุ่น๑ และ เสือหมอบ รุ่น ๑ หลวงพ่อเปิ่น ท่านปลุกเสกอธิฐานจิต พร้อมวัตถุมงคล รุ่นอาเสี่ย


















64
ไม่ทราบว่าท่านใด ทราบประวัติความเป็นมา เหรียญนี้บ้างครับ ใครเสก




65
ภาพพิธีบูชาครูบูรพาจารย์ 2556 เข็มทองคะนองฤทธิ์  วัดบางแวก บางส่วน








พระอาจารย์อภิญญา ครอบเศียรครู




อาจารย์ตูน



พี่เอ นครลุง



วัตถุมงคลในงาน ถ้าผิดพลาดเรื่องราคา ก็ขอให้ตัดท่อนส่วนี้ไป ครับ









ฝั่งตะกรุด




กองเสบียง โรงทาน บรรดาศิยษ์ใจบุญ

ขนมจีนแกงไก่

ก๋วยเตียวหมู    

กระเพาะปลา    

ก๋วยเตียวเป็ด    

กุยช่าย          

ขนมปัง สังขยา  

บะหมี่หมูแดง    

ข้าวหมูแดง      

ก๋วยเตียวแคระ      

ก๋วยจั๊บ            

ทอดมัน          

หอยทอด        

66
สภาพสึก แต่ดูขลัง



67
พุทธศรัทธา

@--- พระราชทานน้ำหลวงสรงศพ ---@
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ)


 
วันนี้ (๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๖) สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ได้มรณภาพลง ด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือด เมื่อเวลา ๐๘.๔๑ น. ที่โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท สิริอายุรวม ๘๕ ปี ๖ เดือน ๖๔ พรรษา

เจ้าคุณพรหมสิทธิ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศวรมหาวิหาร เปิดเผยว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้จัดเตรียมสถานที่ภายในศาลาการเปรียญ รวมทั้งเครื่องประกอบเกียรติยศ อาทิ เตียงสรงน้ำ โกศไม้สิบสองเพื่อรอรับศพสมเด็จพระพุฒาจารย์ โดยในวันพรุ่งนี้ (๑๑ ส.ค. ๒๕๕๖) จะนำศพออกจากโรงพยาบาลสมิติเวช ในเวลา ๑๐.๐๐ น. มายังบริเวณวัดเพื่อให้ประชาชนสรงน้ำศพได้ ตั้งแต่เวลา ๑๓.๐๐ น. เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ในเวลา ๑๗.๐๐ น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จพระราชดำเนินในการพระราชทานน้ำหลวงสรงศพ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม รับศพไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ เป็นเวลา ๗ วัน

68
เมื่อวันอาสาฬหบูชา ได้ไปกราบหลวงพ่อเอนก ปัญญาวุฒโท วัดปรีดาราม (ยายส้ม) มา
ท่านได้เมตตาให้ วัตถุมงคล มา 3 อย่าง ให้ไม่เน้นปัจจัย ขอน้อบน้อมเป็นอย่างสูง




69
ไม่ค่อยชัด ครับ


70
เบี้ยแก้ หลวงพ่อคง (สัญญา) วัดกลางบางแก้ว




71
ไม่ทราบว่าที่วัดบางพระ จัดพิธีสรงน้ำพระ เนื่องในวันสงกรานต์ วันไหนครับ

72



สิ้น (พระครูประสิทธิ์) หลวงพ่อประสิทธิ์ วัดไทรน้อย เกจิอาจารย์ดัง ด้านตะกรุดโทน

'พระครูประสิทธิ์' อดีตเจ้าอาวาสวัดไทรน้อย เกจิอาจารย์ชื่อดัง ด้านตะกรุดโทน มรณภาพแล้วด้วยโรคปอดติดเชื้อ…


วันที่ 26 มี.ค.56 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระครูประสิทธิ์ (สิทธิกาโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดไทรน้อย หมู่ 1 ต.ไทรน้อย อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี เกจิอาจารย์ชื่อดังมรณภาพ ด้วยโรคปอดติดเชื้อ ที่ รพ.พระนั่งเกล้า จ.นนทบุรี ด้วยอายุ 88 ปี 65 พรรษา

พระครูนนทสิทธิการ หรือ พระครูประสิทธิ์ หรือชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อวัดไทรน้อย เป็นเกจิอาจารย์ชื่อดัง ด้านตะกรุดโทน ที่มีชื่อเสียง โด่งดัง เป็นที่รู้จักกันทั่วไป จนสร้างวัด สร้างโรงเรียน วัดไทรน้อยได้สวยงาม

พระครูไพบูลย์ อาธรกิจ เจ้าอาวาสวัดไทรน้อย กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ จะเดินทางไปรับศพ พระครูประสิทธิ์ อดีตเจ้าอาวาส โดยมีพิธีน้ำหลวงอาบศพ ในวันพุธที่ 27 มีนาคม 2556 เวลา 15.00 น. ขอเชิญลูกศิษย์ เข้าร่วมพิธีโดยพร้อมเพรียงกัน.

73
เป็นตะกรุดสามห่วง และ ตะกรุดหนังเสือ บูชาที่ตู้วัตถุมงคล ที่กองอำนวยการ
หลวงพี่ชะออม บอกว่าทัน หลวงพ่อเปิ่น ปลุกเสก เป็นของเก่าเก็บ มา 20 กว่าปีแล้ว
พี่น้อง ได้บูชามากันบ้างหรือเปล่า






74
ต่างกันที่ อักขระคาถาขอม (วัดศาลาแดง)


75
ข้อมูล www.thailongboat.com

การแข่งขันเรือยาวประเพณี
ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช
ณ แม่น้ำนครชัยศรี วัดบางพระ (หลวงพ่อเปิ่น) อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
ระหว่างวันที่ 24-25 พฤศจิกายน 2555
............................................


ประเภทไม่เกิน 55 ฝีพาย

1.พรพระแก้ว วัดพระนอนจักรสีห์ จ.สิงห์บุรี
2.สิงห์ปทุม จ.ปทุมธานี
3.เจ้าขุนเณร-กระทิงแดง วัดบางพระ จ.นครปฐม
4.เทพสองนาง วัดจรเข้ใหญ่ จ.สมุทรปราการ
5.เทพไพฑูรย์ กองบิน 46 จ.พิษณุโลก
6.เจ้าแม่ประดู่ทอง หน่วยต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง กองทัพเรือ จ.ชลบุรี


ประเภทไม่เกิน 40 ฝีพาย

1.ขุนรัตนาวุธ วัดบางพระ จ.นครปฐม
2.เทพส่องแสง วัดเจดีย์หอย จ.ปทุมธานี
3.สิทธิชัยนาวา จ.นครปฐม
4.เจ้าแม่ประดู่เงิน  หน่วยต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง กองทัพเรือ จ.ชลบุรี
5.เทพปทุม (จันทิมาพร)
6.พรพระแก้ว วัดพระนอนจักรสีห์ จ.สิงห์บุรี


## สำหรับรายชื่อเรือประเภทไม่เกิน 30 ฝีพาย จะนำเสนอในภายหลัง เนื่องจากคนเชิญเรือแบ่งหน้าที่เชิญกันในแต่ละประเภท
## จับสลากแบ่งสายวันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2555 เวลาไม่ทราบแน่นอนแต่ตอนเย็นๆ  สถานที่วัดบางพระ


76



[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

78
หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ เจ้าอาวาสวัดสังฆทาน ละสังขารแล้ว

เมื่อคืนวันที่ 24 ส.ค. 2555 เวลาประมาณ 21.39 น. ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมกตปุญโญ
ต. ปากน้ำ อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี   และได้เคลื่อนสรีระสังขารมายัง
วัดสังฆทาน ต.บางไผ่ อ.เมือง จ.นนทบุรี  แล้ว

ขอกราบไว้อาลัย หลวงพ่อครับ




79
ครับ ผมได้ของดี ราคาเบาๆ มา เมื่อวันที่ 3 มีนาคม (ไหว้ครู) มา จากแผลง หน้ากุฎิหลวงพี่ติ่ง
เป็น พระผงหลวงพ่อเปิ่น นั้งหมูป่า ปี 2534 ไม่ถึงร้อย






80
ได้รับ ความเมตตา จากหลวงพี่ติ่ง เมื่อวันสรงน้ำพระ 17 เมษายน




81
เมื่อวันที่ 30 เมษายน ผมได้มีโอกาส ไปขอบารมี พระอาจารย์ปุ้ม วัดศาลาแดง
โดยมี พระอาจารย์เพ็ง ลงเข็มให้ ท่านพระอาจารย์ปุ้ม เสกกำกับ
สังเกตุ จะเห็นอักขระคาถา ต่างกับวัดบางพระ


82
วันนี้ นำเสนอเหรียญ ส.ช. หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค ซึ่งผมได้มาเมื่อประมาณ 18 ปีที่แล้ว

ประวัติจัดสร้างเหรียญรูประฆังหลวงพ่อพรหม วัดช่องแค รุ่น  ส.ช.  

เหรียญ ส.ช. สร้างโดย พลโทสมุทร ชาตินันท์ ในปี พ.ศ.๒๕๑๓
แล้วนำมาให้หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค จ.นครสวรรค์ ปลุกเสกให้ประมาณ ๒ เดือน
จุดประสงค์ที่สร้างเหรียญรุ่นนี้ขึ้นมา เพื่อนำไปแจกทหารเสนารักษ์ ที่อาสาสมัครไปในราชการสงครามเวียดนามใต้ แจกให้ฟรี ๆ ไม่มีการจัดจำหน่ายที่วัด ฉะนั้นเหรียญรุ่นนี้ส่วนใหญ่จึงแพร่หลายอยู่ในทหาร

พุทธคุณที่กล่าวขวัญของเหรียญรุ่นนี้ ร่ำลือกันว่าใช้ดีทางแคล้วคลาด และด้านคงกระพันชาตรีสูง ขนาดถูกยิงยังไม่เป็นไรคือไม่ถูกตัว เรียกว่าดีทางแคล้วคลาด แต่บางรายถูกยิงจนเสื้อขาดกระจุยแต่ไม่เข้า เรียกว่าดีทางคงกระพันหรือหนังเหนียว

จำนวนสร้าง ประมาณ ๑๐,๐๐๐ เหรียญ มีเนื้ออัลปาก้าอย่างเดียว

เหรียญรูประฆัง  ส.ช.  คำว่า “ ส.ช.”  ที่อยู่ด้านหลังเหรียญ หมายถึง ชื่อและ นามสกุลย่อของผู้จัดสร้างเหรียญรุ่นนี้
คือ ส. ย่อมาจาก “สมุทร”     ส่วนตัว ช. ย่อมาจาก “ชาตินันท์”

เหรียญรุ่นนี้มีลักษณะพิเศษ ต่างจากเหรียญรุ่นอื่น ๆคือ เป็นรูปหลวงพ่อพรหมนั่งมารวิชัย ซึ่งเหรียญรุ่น อื่น ๆ เป็นรูปหลวงพ่อท่านนั่งสมาธิทั้งสิ้น


ลักษณะเหรียญ เป็นเหรียญปั๊มมีหูในตัว รูประฆัง

ด้านหน้า

เป็นรูปหลวงพ่อพรหมนั่งมารวิชัยอยู่ภายในระฆัง มีลวดลายสวยงาม

ด้านล่างมีอักษรเขียนว่า”หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค”


ด้านหลัง

ตอนกลางเป็นอักษรขอม ๙ ตัว คือ  อะ  สัง  วิ สุ โล ปุ สะ พุ  ภะ อยู่ภายในช่องกรอบยันต์ ตัวละ ช่อง รวม ๙ ช่อง  ด้นบนมี มะ อะ อุ ยันต์องค์พระ และตัวอุณาโลม ส่วนด้านล่าง มีอักษรขอม ๔ ตัว

คือ พระ พุ วะ เล  ด้านล่างสุด เป็นอักษร ส.ช.
 

ขนาดของเหรียญกว้างสุด ประมาณ ๒.๔ ซม. สูง ๓.๓ ซม.

ข้อมูล จากเว๊บพระ





83
เหรียญพญาเต่าเรือน หลวงปู่หลิว วัดไร่แตงทอง รุ่น สุขใจ เนื้อทองแดง
รูปถ่าย หลังตรายาง





 


84
เห็นเงียบๆ ก็เลยนำ มาให้ชมกัน ครับ
ตะกรุดหนังเสือ ยันต์เก้า หลวงพ่อจำเนียร วัดถ้ำเสือ จ.กระบี่


85
ฝีเข็ม หลวงพี่ญา นำมาให้ชมยามว่าง




86
สิงห์ป้อนเหยื่อย กรุบางระกำ พิษณุโลก  หรือ ฝักไม้ดำ / ฝักไม้ขาว
แต่องค์นี้ เป็นฝักไม้ขาว




87
ล็อคเก็ต หลวงพ่อเปิ่น ด้านหลังไม่มีมวลสารใดๆ ไม่ทราบปี แต่ได้มาเมื่อประมาณ ปี 36/37
ขอท่านที่มีความรู้ ช่วยไขปัญญหาหน่อย

อีกด้าน เป็นเหรียญหล่อหลวงพ่อเปิ่น รุ่นมหาเศรษฐี เนื้อขันลงหิน






88
เป็นเหรียญชิน หรือ ตะกั่ว ไม่ทราบว่า สร้างวาระใด พ.ศ.ไหน ใครดำเนินการ
ขอถาม ผู้รู้หน่อย ครับ :089:




89
พระปิดตาจัมโบ้ เนื้อผง ด้านหน้าโรยผงตะไบ ไตรมาส 2537 ด้านหลังดวงมหาเศรษฐ๊




90
เป็นเหรียญที่ได้รับแจก จากหลวงพ่อ ประมาณปี 253X




91
เป็นเหรียญชุบ จิ๊กโก๋ใหญ่ เป็นเหรียญที่ได้มาในการบูชาพานครู วันไหว้ครูประจำปี แต่จำปีไม่ได้
พร้อมลูกประคำ 1 พวง







92
เป็นเหรียญออกในวาระ สุริยุปราคาเต็มดวง 28 ต.ค. 2538
มีท่านอื่น นำเสนอแบบลงยามาแล้ว
ก็เสนอแบบทองแดงรมดำบ้าง ครับ

สุริยุปราคา




จันทรุปราคา



93
เป็นเหรียญพรหมสี่หน้า เนื้อทองแดง ด้านหลัง จารอักขระมอญ
แจกในงานไหว้ครู และ เป่ายันต์พรหมสี่หน้า ครั้งแรก ของ
หลวงพ่อชำนาญ อุตตมะปัญโญ วัดบางกุฎิทอง ปทุมธานี

พรหมสี่หน้า คือแก้วสี่ประการมีความหมายว่า

1.เป็นเลิศทางเมตตามหานิยม ลงนะเมตตาซักร้อยครั้งไม่เท่าเข้าพิธี เชิญพระพรหมเข้าตัวแม้ซักครั้งเดียว

2.มหากันแก้อุปสรรค แคล้วคลาดจากภัยอันตรายทั้งปวง คุณไสย ภูตผีปีศาจ อาถรรพณ์หายหมด

3.เปิดทางเงินทอง เร่งโชคลาภให้ไหลมาเทมาง่ายไม่ติดขัด การงานธุรกิจเจริญรุ่งเรือง ทำมาค้าขายดี เป็นเศรษฐี
 มั่งมีทรัพย์ ไม่อดอยาก ข้าวปลาอาหารบริบูรณ์

4.เสริมดวงให้ดวงดีอยู่เสมอ แก้เคราะห์กรรมอันเกิดจากดวงพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก กันทุกข์ภัยที่เกิดจาก ดวงดาว ราศี พระราหู และเบญจเพส









94
เป็นพระเนื้อดินเผา องค์ใหญ่พอควร เนื้อหาค่อนข้างหยาบ
พิมพ์ทรง เป็นพระพุทธ ทรงไก่  มีหลายคนบอกว่า เป็น
พระขุนแผน ทรงไก่ กรุเขาชนไก่ กาญจนบุรี
แต่ผมว่า ไม่น่าจะใช่  ก็ขอผู้มีความรู้ช่วย หาวัดให้หน่อย




95
เป็นวัตถุมงคล สำหรับเมตตาค้าขาย ของหลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร นครสวรรค์
เป็นงาช้าง นำมาแกะ เป็นนางกวัก ศิลปะธรรมดา แต่ดูดี :089: :089:




96
ระกริ่งพุทธโสธร รุ่นประวัติศาสตร์เปิดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปี43 วัดโสธรวรารามวรวิหาร จ.ฉะเชิงเทรา

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงประทานมวลสารหลัก อันได้แก่ ผงจิตรลดา, ผงพูทธคุณ,เส้นเกศา พร้อมทรงจารแผ่นโลหะสามกษัตริย์ เพื่อใช้ในพิธีเททองหล่อพระ และได้เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธี ณ พระอุโบสถ วัดบวรนิเวศวิหาร ในวันที่ 17 กันยายน 2543 อีกทั้งยังได้รับเมตตาจาก สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงครามจารแผ่นทองคำและมอบผงพุทธคุณในการจัดสร้างครั้งนี้ด้วย

สมเด็จพระมหาธีราจารย์ จุดเทียนชัย นำพระเกจิอาจารย์ที่นิมนต์มาร่วม 42 รูป นั่งปรกพุทธาภิเษก ณ ภายในอุโบสถ วัดโสธรวรวิหาร เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม 2543

พระกริ่งพุทธโสธร ถือเป็นพระกริ่งรุ่นแรกของวัดโสธรวรารามวรวิหาร ที่จัดสร้างได้งดงามโดยใช้รูปแบบของพระหลวงพ่อโสธรปี 2500 ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดเป็นต้นแบบ



พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นเจ้าพิธีกรรมในการจัดสร้าง โดยได้มอบ “สุดยอดมวลสารศักดิ์สิทธ์” ของ “ขุนพันธฯ”ที่เก็บมานาน เฉพาะรุ่นนี้ อาทิ เช่น

                - ว่าน 180 ชนิด ทำพิธีขุด ลงยันต์ทุกหัวว่านและบดด้วยตนเอง
                - ผงปูนบนยอดพระธาตุ นครศรีฯ
                - ผงทองคำเสาหลักเมืองนครศรี
                - ผงหลวงปู่ทวดวัดช้างให้ ปี 2497
                - ผงดินที่ฝังรกหลวงปู่ทวด สำนักสงฆ์ต้นเรียบ
                - ผงขมุตำราสมุดข่อย และขมุใบลาน
                - ผงพระดินดิบอายุกว่า 2,000ปี
                - ผงพระ กรุท่าเรือ กรุนางตรา
                - ผงพระรุ่นยอดขุนพล วัดพระธาตุฯ ปี 2479
                - ผงพระมหาว่าน อาจารย์นำ พัทลุง
                - ผงพระภูทราวดี ปี 2505
                - ขมุใบโพธ์ลังกาโบราณ ผงธูป และดอกไม้บูชา จากวัดต่างๆ
                - ผงดินรอยเท้าหลวงปู่ทวดเหยียบบนหินที่วัดพระโคะ สงขลา
                - ผงดินถ้ำฉัตฑัณ ถ้ำนางคลอด วัดเขาอ้อ พัทลุง
                - ผงดินยอดเขาอ้อ พัทลุง, ยอดเขาวัง เพชรบุรี
                - ผงดินกากยายักษ์ เขากระทะ, ผงไม้คนธีดำ เขาชัยสน พัทลุง
                - หินขี้เหล็กไหล ถ้ำเจ้าพ่อดำ วังหอน
                - ผงสำเร็จมหาราช พ่อท่านคล้ายวัดสวนขัน
                - ผงสำเร็จเมตรา อาจารย์หนูห่วง ท่าศาลา
                - ผงพระกรุเก่าต่างๆ ทั่วประเทศที่ท่านเก็บสะสมไว้

โดยมวลสารวัตถุมงคลทั้งหมด นำมาบดที่บริเวณ โบสถ์ลังกาพระนอน วัดพระธาตุฯ


 
 
 
 พระเกจิอาจารย์ที่มาร่วมปลุกเสก

1.พระครูประทีปธรรมสถิต(ชอบ) วัดถ้ำเขารังเสือ ราชบุรี
2.หลวงพ่อท่านเขียว วัดห้วยเงาะ ปัตตานี
3.หลวงพ่อลมูล วัดเสด็จ ปทุมธานี
4.พระครูกิตติสารโสภิต (รื่น) วัดช่องเขา สงขลา

พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช ท่านกล่าวว่า“ข้าพเจ้าจะตั้งใจทำพิธีในครั้งสำคัญนี้เป็นประวัติศาสตร์ ด้วยความยินดีและตั้งใจเป็นที่สุด ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโสธร  ผู้ที่ได้รับพระพุทธโสธร  รุ่นประวัติศาสตร์ ในครั้งนี้ จะมีความสุข ความเจริญ ตลอดไป”

พระกริ่งพุทธโสธรบูชาแล้ว ค้าขายดี แคล้วคลาด ปลอดภัย อภินิหารของหลวงพ่อพุทธโสธร มีมาแล้วมากมาย เป็นที่กล่าวขานกัน     

       

97
เหรียญลงยา ยันต์สี่ หลวงปู่เอี่ยม วัดโคนอน ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ
อนุสรณ์ ยกช่อฟ้าอุโบสถ วัดโคนอน 24 มี.ค. 2514
มีหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี เป็นประธานนั่งปรกปุกเสก  พร้อมเกจิอาจารย์รุ่นเก่าๆมากมาย เช่น
หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง หลวงพ่อทองอยู่ วัดหนองพะอง เป็นต้น




98
เหรียญหลวงพ่ออั้น วัดพระญาติ เสาร์๕ สิริชัย ออกเมื่อปี 2523
แต่เป็นเหรียญนี้ ไม่ทันหลวงพ่อ
ออกในโอกาสประมาณว่า งานพระราชทานเพลิง หลวงพ่ออั้น
หลวงพ่ออั้น วัดพระญาติ เป็นศิษย์สายตรง หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ
ดังนั้น เหรียญนี้ ก็อธิฐานจิต โดย หลวงปู่สี และ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ศิษย์
หลวงพ่อกลั่น เหมื่อนกัน
เป็นของดี ราคาถูก ควรเก็บรักษา และ บูชา อย่างยิ่ง




99
หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ รุ่นมหาเศรษฐี
วัดหัวลำโพง จัดสร้าง วัตถุประสงค์ สมทบทุนสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ โดยขอบารมี หลวงพ่อเปิ่น
หลวงพ่อเปิ่น ท่านอธิฐานจิตปลุกเสก 2 วาระ
ที่วัดบางพระ 1 ครั้ง
และ ที่วัดหัวลำโพง มีพิธีพุทธาภิเษก โดย 1.หลวงพ่อเปิ่น 2.หลวงพ่อพุฒ วัดกลางบางพระ
3.หลวงพ่อเชิญ วัดโคกทอง เป็นต้น








100
ไม่ทราบท่านใด พอจะทราบว่า ราหูองค์นี้ เป็นของ พระเกจิรูปใด วัดใด สำนักใด หาวัดมานานแลัว




101
พระปิดตา ฝั่งปรกใบมะขาม เสาร์๕ หลวงตาวาส  สีลเตโช วัดสะพานสูง จัดสร้างโดย วัดราษฏร์ประคองธรรม








102
เหรียญรุ่นแรก หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ หลังพระแม่ธรณี แบบไม่มีโค๊ด
วัดเพชรบุรี จ.สุรินทร์ ๒๕๔๑





103
หลวงพ่อสำอางค์ ท่านให้มาเมื่อหลายปีก่อน หลังจากที่ท่านเป่าครอบให้อีกครั้ง หลังสักมา
เป็น เหรียญหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ รุ่นมงคลโชค ปี 2539





 :114: :089:

104
หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย รุ่น ๒ (พระครูพิพัฒนิโรธกิจ)  :114: :114:ไม่ทันท่าน แต่ศิษย์สายท่านเสกไว้ดี



105
เป็นเหรียญ เหมาะสำหรับนักบิดมอเตอร์ไซค์
เหรียญ หลวงพ่อโก๊ะ วัดเก้าห้อง อายุ 85 ปี จ.อยุธยา
ที่ระลึกปฎิสังขรอุโบสถ ปี 2534 สมัยนั้น ดังมาก



106
เหรียญที่ระลึก การสร้างมณฑป วัดจันเสน
ครบ 6 รอบ หลวงพ่อโอด



107
    เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2554 ได้ไปกราบสักการะ สังขารหลวงพ่อเปิ่น เนื่องในวันคล้ายวันเกิด
หลวงพ่อเปิ่น ได้เที่ยวไปตามกุฎิต่างๆ พอดีได้ไปพบอาจารย์หนวด ท่านอาจารย์หนวดหันมาพบ
สหายเก่า สมัยทำงานอยู่สมุทรปราการ ซึ่งมากับผม ผมก็เลยได้รับอนิสงค์ กับเขาด้วย ได้รับมา
เป็นที่ระลึก :089:






108
เรียน ท่านผู้มีความรู้ เหรียญหลวงพ่อสุด ช่วยดูให้หน่อย ว่าแท้ หรือ เทียม
ขอบคุณครับท่าน



109
เมื่อข้าพเจ้า ไปไหว้พระ ที่วัดนาคปรก ภาษีเจริญ กทม. มา
แล้วก็ลอดใต้ท้องโบสถ์เก่าแก่ อายุ 263 ปี
จึงได้นำภาพมาเผยแผ่












110
ที่ระลึก พิธีไหว้ครู ปี2551-2552
พระลักษณ์หน้าทอง

ขออภัยภาพอาจจะไม่ชัด






111
น่าจะเป็นเหรียญ บูชาพานครู ปี 2545



Uploaded with ImageShack.us



Uploaded with ImageShack.us


112
เหรียญที่ระลึก ไหว้ครู ผมจำปีไม่ได้
ด้านหน้า เป็นรูป หลวงปู่หิ่ม  ด้านหลังเป็น หลวงพ่อเปิ่น




Uploaded with ImageShack.us



Uploaded with ImageShack.us

113
พระผงรูปเหมื่อน หลวงพ่อ
ด้านหลัง มีรูปพระพรหม แปดกร  วิหารธรรม เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา



Uploaded with ImageShack.us


Uploaded with ImageShack.us

114
เบี้ยแก้ รุ่นเก่า ของ หลวงพ่อเปิ่น ท่านสร้าง ข้างในเบี้ย จะบรรจุผงพุทธคุณ แร่สักดิ์สิทธิ์
เบี้ยนี้ได้มา เมื่อประมาณ ปี 2534 ที่ วัดนก



Uploaded with ImageShack.us



Uploaded with ImageShack.us


115
เหรียญนี้ ได้รับกับหลวงพี่เว็บ เมื่อ 2-3 ปีก่อน
จารเหรียญ โดย ท่าน 8 สาธุ



Uploaded with ImageShack.us



Uploaded with ImageShack.us



Uploaded with ImageShack.us




116
สมเด็จองค์ปฐมบรมมหาจักรพรรดิปางเปิดโลก

โครงการก่อสร้าง ที่
ณ สำนักปฏิบัติธรรมพุทธพรหมปัญโญ ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่



พระพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก ทรงพระนามว่า
"สมเด็จพระพุทธสิกขีทศพลญาณที่ ๑" บรมครูแห่งต้นพุทธวงศ์
พระพุทธองค์ทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง 40 อสงไขยกัปเศษ
ในการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณ เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ ได้ทรงอุบัติในโลกมนุษย์
ขณะนั้นคนมีอายุขัยประมาณ 8 หมื่นปี
พระพุทธองค์ทรงผนวชออกมหาภิเนษกรมณ์
เมื่อพระชนมายุได้ 4 หมื่น ปี หลังจากผนวชได้ 2 หมื่นปี
จึงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรู้
เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก
พระพุทธองค์ทรงโปรดเวไนยสัตว์ ประมาณ 2 หมื่นปี
จึงได้เสด็จดับขันธปรินิพาน


117
ของวัดบางพระ (หลวงพี่ญา+อาจารย์ปิ๊ก)+ วัดศาลาแดง (พระอาจารย์ปุ้ม) 



Uploaded with ImageShack.us

119
วัตถุมงคล รุ่น บูชาครู 54
ในส่วนของหลวงพี่ญา จัดสร้าง
และในส่วน ที่บูชามา ครับ










120
พระคาถาพระขรรค์เพชรสมเด็จพระพุทธเจ้า

ตั้งนะโมสามจบ

อิติสิทธิ พุทธัีงสมาธิ อิติสิทธิ ธัมมังสมาธิ อิติสิทธิ สังฆังสมาธิ

อิติสิทธิ สุตังสมาธิ อิติสิทธิ วินัยยัง สมาธิ อิติสิทธิ อภิธัมมัง สมาธิ

อิติสิทธิ นโมพุทธายะสมาธิ อิติสิทธิ ปาระมิตตาสมาธิ อิติสิทธิ มังรักขันตุสมาธิ

พระ คาถานี้ รวมเอาพระคาถาทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธัมมขันธ์ไว้สิ้น เสกข้าว น้ำกินอยู่ทนอาวุธแลคุณไสยทุกชนิด ภาวนาเป็นประจำทุกวัน เทพยดาพุทธภูมิ มงคลเจ้าที่ มารักษามีอายุยืนคุ้มภัยอันตราย ถ้าจะลงใบมีด เป็นพระขรรค์มงคลแล เสกเทียนสีผึ้ง ทำน้ำมนต์ก็ได้

แม้นมีทุกข์กังวลใดสำรวมจิตสวดภาวนา ศัตรูพ่ายแลด้วยพุทธบารมีของสมเด็จพระพุทธเจ้าในคาถานี้

121
คาถาอาคม / คาถาอาคม เจ้านายเมตตา
« เมื่อ: 23 ธ.ค. 2553, 12:15:18 »
คาถาอาคม เจ้านายเมตตา

นะโม 3 จบ

ปัญจะมังสิระสังขาตัง นาหาย นะกาโร โหติ สัมภะโว อิสวาสุ


(ให้สวดท่องภาวนา ๓ จบ ก่อนออกจากบ้าน แล้วเจ้านายจะเมตตา ปรับตัวให้เจ้านายรัก ทำงานขยัน)

122
พระผงจักรพรรดิ์ สำหรับทำกรรมฐาน สร้างตามตำรับ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก
โดย หลวงตาม้า วัดถ้ำเมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
ขอขอบคุณ วัดถ้ำเมืองนะ http://www.watthummuangna.com



   

สัพเพ พุทธา สัพเพ ธรรมมา สัพเพ สังฆา
พะลับปัตตาปัตเจกานัญ จะยัง พะลัง อรหันตานัน
จะเตเชนะ รักขังพันธามิสัพพะโส
พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ

123
เหรียญทำน้ำมนต์สมเด็จองค์ปฐม หลวงปู่ศรี มหาวีโร วัดป่ากุ้ง จ.ร้อยเอ็ด
พุทธานุภาพ สามารถป้องกันนิวเคลียร์ และหลายอย่าง
ใช้กล้องพิเศษ ถ่ายพลังงานออร่าได้ ตามภาพ
ผมก็มีเหมื่อนกัน
ขอขอบคุณ prommapanyo.com






124
บรรยากาศ งานไหว้ครูพระอาจารย์ปุ้ม วัดศาลาแดง



พระอาจารย์ป้อม วัดหนองม่วง ราชบุรี กำลังจารอักขระ

พระอาจารย์ปุ้ม วัดศาลาแดง กำลังจารอักขระ

อาจารย์ปุ้ม กำลังครอบเศียรครูฤาษี

อาจารย์ป้อม กำลังครอบเศียรครูฤาษี


125
เป็น ร่องรอยฝีเข็ม หลวงพี่หนึ่ง ที่ได้สักไว้ ในวันสรงน้ำพระสงการณ์ ปีนี้
ท่านว่า เป็นยันต์กระทู้เจ็ดแบก

126

                                     

เมื่อวันที่ 26 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสุวรรณาราม กรรมการมหาเถรสมาคม มรณภาพด้วยโรคชรา ที่โรงพยาบาลสงฆ์ เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา สิริรวมอายุ 102 ปี  
สำหรับประวัติ เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์นามเดิม พุฒ สุวัฒนกุล เกิดวันพุธ ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 8 ปีมะแม ตรงกับวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2450 บิดา นายเพ็ชร สุวัฒนกุล มารดา นางคำ ชาติภูมิ ที่บ้านมะขามเรียง ต.จำปา อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา เรียนหนังสือไทยและหนังสือขอมโดยหลวงพ่อ ซึ่งบวชอยู่ที่ วัดตะลุง จ.ลพบุรี เป็นผู้สอน  
ครั้นถึง พ.ศ.2466 ได้นำมาฝากไว้กับพระเจริญ คณะ 4 วัดสุทัศนเทพวราราม เริ่มเรียนนักธรรมปี 2467 และบรรพชาเป็นสามเณรในปีนั้น พ.ศ.2471
ได้อุปสมบทที่วัดบัวงาม อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระญาณไตรโลก (ฉาย) วัดพนัญเชิงเป็นพระอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์ปัด วัดสะตือ พระอธิการอุ่น วัดหนองแห้ว เป็นกรรมวาจาจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้วกลับลงอยู่ที่วัดสุทัศนฯ จากนั้นสอบเลื่อนเปรียญธรรมตามลำดับชั้น จน ปี 2493 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่พุทธิญาณมุนี พ.ศ.2499 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระวินัยธร จังหวัดพระนครธนบุรี  
พ.ศ.2502 วันที่ 10 ก.ค. ย้ายมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสุวรรณาราม ในปีนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานผ้าพระกฐิน
และในปีเดียวกันนี้ยังได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นชั้นราช ที่พระราชพุทธิญาณ พ.ศ.2508 เป็นเจ้าคณะอำเภอบางกอกน้อย พ.ศ.2509 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นชั้นเทพที่พระเทพญาณสุธีฯ พ.ศ.2521 ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมณศักดิ์พระธรรมราชานุวัตรวัดสุวรรณาราม ขึ้นเป็นรองสมเด็จพระราชาคณะชั้นหิรัญญบัฏที่ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
    พ.ศ.2539 ได้รับการสถาปนาเป็นชั้นสุพรรณบัฏ ที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ตำแหน่งทางคณะสงฆ์ และดำรงตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคม

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ ข่าวสด

127
ขออนุญาต นำภาพจาก เว็บ อาจารย์ถึง คงทน มาให้ชมกันครับ ดูเล่นๆ อย่าคิดมาก






128
คาถาหนุมาน (อาจารย์หนู กันภัย)
โอม หะนุมานตัง อุนุหะนะ อุทะนุ หะนุมานะ
ฤิทธิโลกา ฤิทธิพรหมมา หะหะหะ อะเบงคงเป อะหันตะวา
นะมะพะทะ

129
คาถาหนุมาน (ล.พ.พูล วัดไผ่ล้อม นครปฐม)
นะโม 3 จบ
โอม หะนุมานัง พะพลับพลานัง
พุทโธ อำโน พุทโธ กินนัง จะปาคะรัง จึงมาบังกายา

ธัมโม  อำโน ธัมโม กินนัง จะปาคะรัง จึงมาบังกายา
สังโฆ  อำโน สังโฆ กินนัง จะปาคะรัง จึงมาบังกายา
สัพเพชะนา พะหูชะนา เตชะสุเนมะ ภูจะนาวิเว

130
คาถาอารธนา วัดถุมงคล (ล.พ.เงิน วัดดอนยายหอม)
พุทธังคุ้ม ธัมมังกัง สังฆังรักษา สัมพันอันตราโย วินาสสันติ

131
คาถาอาคม / คาถาสาริกาลิ้นทอง
« เมื่อ: 27 ก.ย. 2552, 12:07:08 »
คาถาสาริกาลิ้นทอง
พุทธา อะเนนา มะลิยา สุสังคะเยมิ พุทธา อิริ มะลิยา สุสังคะเยมิ
พุทธา อิระปะโย เคมะคุณนะ ปักเขสะเมมะมิ อุนาโลมา ปันนะ วิชายะ เต

(ตอนท่องถึงคำว่า "มิ" ก็ให้แตะที่ลิ้นด้วยทุกครั้ง

132
คาถาเสกลิปสติก (สีผึ้ง)
มทุจิจจัง สุวามุปขัง ทิตสวานิมามัง ปิยังมะมะ เมตตม
ชิวหายะมะ ทุรัง ทะตวาจาจัง สุตทังสุตตะวา สัพเพชะนา พะหุชะนา
อิตถีชะนา สัมมะนุนะ พรามมะนา นุนะ ปะสังสันติ

 :080:

133
คาถาอาคม / คาถามัดใจ
« เมื่อ: 20 ส.ค. 2552, 06:21:46 »
คาถามัดใจ

นะโม 3 จบ

พุทธัง รัตตะนัง    ธัมมัง รัตตะนัง   สังฆัง รัตตะนัง
นะผูก โมมัด พุทรัด ธารึง ยะกรึงคะเร โอมสวาหะ

(ใช้สวดภาวนาก่อนนอน ทำให้คนรักคิดถึง)

134
คาถาอาคม / คาถามนต์รัก
« เมื่อ: 20 ส.ค. 2552, 06:17:15 »
     คาถามนต์รัก

นะโม 3 จบ

โอม นะปะโร รัน นะขุเภติ พุทธัง สะระติ จิตตัง สมาคะมา
ธัมมัง สะระติ จิตตัง สมาคะตา
สังฆัง สะระติ จิตตัง สมาคะตา

(ใช้ภาวนากับดอกไม้ก่อนที่จะส่งให้กับ คนรัก เมื่อเขา หรือ เธอ สูดดมดอกไม้ก็จะรักเขาตอบ)
 :114: :089:

135
คาถาอาคม / คาถามหาเสน่ห์
« เมื่อ: 20 ส.ค. 2552, 06:09:46 »
            คาถามหาเสน่ห์

นะโม 3 จบ

จันโทอะภะกันตะโร ปิติ
ปิโย เทวะมนุสสานัง
อิตภิโยปุริ โส มะ อะ อุ
อุ มะ อะ อิสวาสุ อิกะวิติ

(ให้ภาวนา 3 จบ ก่อนออกไปพบคน จะทำให้คนที่ไปพบเกิดความรักใคร่)

136
เป็นบล็อค ลายสักยันต์ เสือ ไม่รู้เรียกว่าเสืออะไร ขนาดฝ่ามือ ของพระอาจารย์ปุ้ม วัดศาลาแดง
นำมาให้ชมกัน ศิษย์ท่านใดใครทำมาก็ขออนุญาต ลงเผยแพร่ ตรับ


137
พระคาถาเรียกแม่พระธรณี

---- นางแม่พระธรณีเจ้าเอ๋ย อยู่แล้วหรือยัง สังขา ตังโลกังวิทู
---  ตันนิพุทติง จึงเอาดินเทใส่กลางกระหม่อม แล้วจึงเอาคาถานี้
     เสกฝุ่นทาตัว ทาหน้า เข้าต่อสู้ หรือชกมวย คงทนทรหดนัก
     หาฝกช้ำมิได้ เลยฯ

138
เพื่อเผยแผ่ คาถาที่เก็บมานาน

คาถาแคล้วคลาด (ล,ป,แช่ม วัดฉลอง ภูเก็ต)

นะโม 3 จบ
อะสิสันติ ธนูเจวะ สัพเพเต อาวุธานิ
จะภัคคะ ภัคคา วิจุณณานิ โลมัง
มา เม นะผุส สันติ
 :114:

139
เพื่อเผยแผ่ คาถาที่เก็บมานาน

คาถาเพชรหลีก  (หลวงปู่ทอง วัดราชโยธา)

นะโม 3 จบ
ยะมิอิสะ  พุทโธ
- ให้บริกรรมจับชายพกไว้ แทงมิถูกเลย -

140
เพื่อเผยแผ่ คาถาที่เก็บมานาน

คาถากวักเงินกวักทอง (ล,พ,แพ วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี)

นะโม 3 จบ
ทุสะ นิมะ ธะนัง โภคา เอหิ อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหิ เอหิจิตตัง ปิยังมะมะ

141
คาถาอาคม / คาถามหาลาภ (ล.พ.เกษม)
« เมื่อ: 19 ส.ค. 2552, 03:11:17 »
เพื่อเผยเแผ่ คาถาที่เก็บมาเป็น 10ๆ ปี

คาถามหาลาภ (หลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ ลำปาง)
จุดธูป 9 ดอก  นะโม 3จบ
สะมะณัง  วันทามิ  1 จบ
มหาลาโภ  ภะวะตุเม  15 จบ

142
อยากทราบว่าสมาชิกท่านใด ใช้เหรียญควัลตัม พลังสเคล่าร์ ลาวาหินภูเขาไฟ
ที่กำลังโ่ด่งดัง อยู่บ้าง
เอาแบบจริงๆนะครับ ไม่ได้ไปคัดข้อความที่อื่นมา
ว่าใช้แล้กำลังดีขึ้น หรือบำบัดโรคภัย ต่างๆหายหรือไม่
ขอขอบคุณ

143
เป็นเสือ กอดปลัดขิก ของตัวเอง ของ หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน ภาพไม่ชัด ขออภัยครับ









144
เบื้องหลัง ของผมเอง ระหว่าง หลวงพี่ญา / อ.ปิ๊ก วัดบางพระ + หลวงพี่ปุ้ม วัดศาลาแดง
ภาพไม่ค่อยชัด ใช้โทรศัพท์ถ่ายภาพ



พระพิคเณศ +ยันต์หน้าพระ ของ หลวงพี่ญา วัดบางพระ กระทู้ ๕ แถว ของ อ.ปิ๊ก วัดบางพระ ยันต์ไม่ทราบชื่อ หลวงพี่ตูน



เสือ หลวงพี่ญา



หนุมานเชิญธง + อักขระล้อม หลวงพี่ปุ้ม วัดศาลาแดง



หงษ์คู่ หลวงพี่ปุ้ม วัดศาลาแดง



พญานาคเกี่ยว หลวงพี่ปุ้ม วัดศาลาแดง


145
ขอแนะนำชม Blog วัดโตนด น่าสนใจดี  มีหลายเรื่อง ที่หลายคนอยากรู้
http://wattanod.blogspot.com/2008_04_01_archive.html

146
เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี ผู้ปกครองควรแนะนำ



147
        คาถาบูชา พระแม่กวนอิมโพธิสัตว์

โอม มณี เปง เม ฮง

คำว่า ‘โอม มณี เปง เม ฮง เป็นมหามนต์ 5 คำที่ศักดิ์สิทธิ์
สามารถชำระล้างกาย วาจา ใจของผู้ที่สวดมนต์ ท่องบ่นภาวนา
และปฏิบัติสมาธิด้วยเสียงมหามนต์ 5 คำนี้ ทั้งกาย ใจ จิตวิญญาณ
ที่มีความเป็นสัตว์นรก เปรต เดรัจฉาน อสูร หรือแม้กระทั่งความเป็นเทพในตัวเรา
ให้หมดสิ้น ให้เป็นกาย วาจา ใจ ที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ ประดุจหนึ่งเดียว
กับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์

มณี - คือ เสียงอันศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถขจัดความเป็นอสูร คือ
ความอิจฉาริษยา อาฆาต ปองร้าย พยาบาท และ ความเป็น
สัตว์โลก รัก โกรธ เกลียด ให้หมดสิ้นไปจากใจของเราได้

เปง - คือเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถขจัดความเป็นเดรัจฉาน
สภาพที่เป็นสัตว์ให้หมดสิ้นไปจากใจของเราได้

เม - คือเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถขจัดความเป็นเปรต
ความโลภให้หมดไปจากใจ

ฮง - คือเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถขจัดความเป็นสัตว์นรก ดุ
ร้าย ป่าเถื่อน ไร้ศีลธรรมให้หมดไปจากใจเราได้


มูลเหตุแห่งพระคาถา

ในครั้งที่พระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรกำลังเข้าสมาธิบำเพ็ญบารมีอยู่นั้น
หมู่มารได้มาราวีรังควาน แต่พระเมตตาพระองค์จึงไม่ได้ทรงตอบโต้
ยิ่งทำให้หมู่มารได้ใจราวีหนักขึ้น จนในที่สุดพระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรได้ทรงเปล่งพระวาจาออกมาสั้น ๆ
เพียง 6 คำ แต่เปี่ยมล้นด้วยบุญญาภินิหารอันยิ่งใหญ่ไพศาลมิอาจจะเปรียบประมาณได้
ซึ่งก่อกำเนิดมาจากก้นบึ้งแห่งดวงจิตที่ได้บำเพ็ญสั่งสมบุญบารมีมานานนับภพนับชาติไม่ถ้วน
ยิ่งกว่าเม็ดทรายในมหานทีคงคา พระคาถาอันกล่าวอ้างถึง บารมีธรรมแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหกประการ

พระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของชาวพุทธวัชรญาณ เป็นเสมือนหัวใจแห่งพุทธวัชรญาณ
ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ของพระคาถาบทนี้เอง ทำให้หมู่มารทั้งหลายต่างขวัญหนีแตกกระเจิงไปสิ้น
อีกทั้งเหล่าทวยเทพยดาบนชั้นฟ้าต่างต้องสะดุดลุกขึ้นมาโมทนาโดยทั่วถ้วน


ให้นั่งสมาธิแล้วสวดมหามนต์นี้ไปตามเสียงเพลง โอม มณี เปง เม ฮง
เบาๆ พอที่ตัวเราจะได้ยินจนจิตเราเริ่ม
เข้าสู่ความสงบ ใจของเราก็จะไม่อยากออกเสียง ก็ค่อยๆหยุด
สวด จิตก็จะดิ่งเข้าสู่สมาธิซึ่งจะเป็นความสงบที่แท้จริง สุข
สงบ สว่าง จะประจักษ์แก่ผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติจริงอย่างสม่ำเสมอ
เสียงทิพย์แห่งมหามนต์ที่เราปฏิบัติทุกวันอย่างสม่ำเสมอนี้
จะก้องอยู่ทุกขณะจิตไม่ว่าเราจะเดิน ยืน นั่ง นอน
‘ โอม มณี เปง เม ฮง ๆ ๆ จะก้องอยู่ทุกขณะ
จิต นับว่าเป็นวิธีที่ประเสริฐ์ในการฟื้นฟูชะรำจิตใจเราให้ใส
สะอาด บริสุทธิ์ จิตใจของผู้ปฏิบัติก็จะพ้นจากเครื่อง
พันธนาการของกิเลส ตัณหา อวิชชาทั้งหลาย

</TD></TR></TBODY></TABLE>
http://www.oknation.net/blog/buddhamantra/video/6905

148
คาถาอาคม / คาถาบูชา พระนารายณ์
« เมื่อ: 13 พ.ค. 2552, 05:45:06 »
เป็นแบบ วัดป่าเลไลย์ สุพรรณบุรี

คำบูชาพระนารายณ์ โอม...นะโม นารายณะ นามะ ภะวันตุเม ทุติยัมปิ...นะโม นารายณะ นามะ ภะวันตุเม ตะติยัมปิ...นะโม นารายณะ นามะ ภะวันตุเม ฯ
     
     บทอธิษฐานขอพรพระนารายณ์ โอม...ศานตาการัม ภุชะคะศะยะนัม ปัทมะนาภัมสุ เรศัม วิศวาธารัม คะคะนะสะทฤศัม เมฆะวรรณัม ศุภางคัม ลักษมีกานตัม กะมะละนะยะนัม โยคิภีร์ ธยานะคัมมยัม วันเทวิษณุมอภะวะภะยะหะรัม สรรวะโลกัยกานาถัม ฯ
     

149
                          พระคาถาโสฬสมงคล

โสฬะสะมังคะลัญเจวะ  นะวะโลกุตตะระธัมมะตา

จัตตาโรจะมหาทีปา

ปัญจะพุทธามหามุนี  ตรีปิฏะกะธัมมักขันธา

ฉะกามาวะจะราตะถา

ปัญจะทัสสะกะเวสัจจัง  ทะสะมังสีละเมวะจะ

เตรัสสะธุตังคาจะ

ปาฎิหารัญจะทะวาทัสสะ เอกะเมรุจะ  สุราอัฎฐะ

ทะเวจันทังสุริยังสัคคา

  ทะเวจันทังสุริยังสัคคา

สัตตะโพชฌังคาเจวะ  จุททัสสะจักกะวัตติจะ

เอกาทะสะวิสะณุราชา

สัพเพเทวามัง  ปะลายังตุ  สัพพะทาเอเตนะ

มังคะละเตเชนะ  สัพพะโสตถี  ภะวันตะ    เมฯ


กล่าวให้ปรากฏ  อุปเท่ห์โสฬส  บันดาลชายหญิง  ภาวนาทีหนึ่ง  สองทีดีจริง  สิบแปดทีดียิ่งมีผลานิงค์  ชักลูกประคำ  ร้อยแปดเลิศล้ำ  ให้ได้คาบทรงคงเกิดส่วนบุญ  มีผลานิสงค์ พบแล้วอย่างง  ไม่พบเร่งหา  ผู้ใดไม่พบบุญน้อยถอดถด เสียชิตเกิดมา  เป็นคนขัดสน  มืดมนต์หนักหนา  พบแล้วท่านว่าภาวนาประจำ  เหมือนชีวิตเกิดมา เป็นคนขัดสน มืดมนต์หนักหนา  พบแล้วท่านว่าภาวนาประจำ  เหมือนได้ดวงแก้วแถม ทองผ่องแผ้ว  กุศลชักนำ สิ่งใดปรารถนาภาวนาหัวค่ำ  กุศลเลิศล้ำ  ประมูลพูนมา  อุบาทว์จัญไร กันทั้งโรคภัย  ปรากฏคาถากลับจิตคิดเห็น  ๆ  อนัตตา  มิอาจมาทำลายตัวเรา ภาวนาภัยหัวค่ำทีหนึ่งประจำ  เที่ยงคืนและย่ำรุ่งเป็นสามทีเกิดสวัสดี  มีลาภทุกประการอาหารการกินปรีเปรมเกษมสันต์  ภาวนา  ๓-๗  เป็นสำเร็จการ ทุกค่ำสำราญกว่าคนทั้งหลาย  อายุวัณโณ  บรมสุขโขภัญโญทั้งปลาย  ถ้าไฟไหม้มาให้เสกข้าวสาร  สาดหว่านหลังคา ลมพาพัดหวลอย่าได้สงกา  ฝนตกลงมาภาวนาป้องกัน  ถ้าจะขายของเสกน้ำประพรม  สินค้าสารพันระบือลือสั่น  พากันเข้ามาค้าเรือ  เหนือใต้  เขียนคาถาไว้  แผ่นกระดาษปรารถนาเสกด้วยตัวเองปิดหัวนาวา  นำของสินค้าขายมีกำไร ถ้าเป็นความเสกน้ำล้างหน้าทาแป้งเสกเครื่องแต่งตน  เสกหมากอย่านาน กินแล้วยาตรา  กระทืบเท้าสามทีแปลกายบ่ายสู่คู่ความตามที่เป่าพ่นอย่าหนี  พลุ่งพล่านต้องเวทย์มนต์ถาคาพลัน  ให้ภาวนาเสกน้ำล้างหน้า  กันทั้งคุณไสยอุบาทว์  จัญไร  อัคคีโจรภัยตามความปรารถนา

                พระคาถาบทนี้  เป็นของหลวงปู่เอี่ยม  ปฐมนาม  วัดสะพานสูง  ปากเกร็ด  จ.นนทบุรี  ซึ่งท่านได้ใช้บทนี้  ปลุกเสกสร้างพระปิดตา  และ  ตะกรดทำให้มีพุทธคุณมาก  จนเป็นที่ต้องการของผู้คนทั้งหลายตราบเท่าทุกวันนี้

      หลวงปู่เอี่ยม  ปฐมนาม เกิดเมื่อ ๒๓๖๐  มรณะภาพ  เมื่อ ๒๔๓๙

http://www.freewebs.com/prawichai1/kata3.htm

150
มาย้ำ อีกครั้ง  7 พฤษภาคม 2552 ไหว้ครู พระ อ.ปุ้ม วัดศาลาแดง เวลาประมาณ 9.00 น. เห็นเขียนไว้ที่ไวท์บอร์ด
ก็ขอ เรียนเชิญทุกๆท่าน มาร่วมงาน แม้จะไม่ได้เคยสัก หรือฝั่งเข็มทอง มาก่อน กับพระอาจารย์ปุ้ม

นอกจากนี้ ก็มีพระอาจารย์ป้อม วัดหนองม่วง โพธาราม ราชบุรี ผู้สืบทอดเข็มทองคะนองฤทธิ์ มาร่วมงานด้วย (พระ อ.ปุ้ม บอกมา)
เป็นการไหว้ครูสายพ่อเที่ยง น่วมมานา /หลวงตาเผือด วัดมะกอก / หลวงพ่อพิมพ์มาลัย วัดหุบมะกร่ำ

8 พฤษภาคม 2552 พระอาจารย์ปุ้ม เททองหล่อ หลวงปู่ทวด วัดช้างให้ หน้าตักประมาณ 40 นิ้ว ที่โรงหล่อย่านกระทุมแบน สุมทรสาคร ผู้มีจิตศัทธา ขอเชิญร่วมงานอีกงานครับ

151
เป็นหนังกวาง ด้านหลัง เป็นรอยจารยันต์ นะหน้าทอง สูตร หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย มาเป็นชุด จำหน่ายในงานไหว้ครู 2552 หน้ากุฎิหลวงพี่ญา
และ หลวงพี่ญา ก็น่าจะนิมนต์ให้หลวงปู่ทิม วัดพระขาว ช่วยปลุกเสกด้วย





ตามด้วยกุมารทอง + ปู่ฤาษี พร้อมผ้ายันต์





นกสาริกา



แผ่นยันต์หอมเชียง



รูปหลวงพ่อ


152
ลายสักยันต์ เศียรพญานาค ของผมเอง ได้รับการบรรจงแต่งแต้ม โดยพระอาจารย์ปุ้ม วัดศาลาแดง
ภาพไม่ค่อยชัดนะครับ






153
ในทางไสยศาสตร์ไทยนั้น มีบททางถอดถอนที่เป็นบทใหญ่คือ
ธรณีสาร
มหาเถรตำแย
ถือว่าเป็นบทหลักในการถอดถอน คุณไสย คุณผี ทั้งมวล สำหรับมหาโองการเถรตำแยเป็นพระมนต์ในการถอนคุณไสยต่างๆๆ หลวงพ่อขวัญท่านก็ใช้บ่อยประจำ ในการถอนสิ่งอัปมงคลทั้งหลาย รวมทั้งยังสามารถถอนศาลหรือสิ่งอัปมงคลต่างๆได้ครับ พระโองการว่าดังนี้ครับ

โอม นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ เอหิ ตะถา ภะคะวา เอหิ มากูจะเรียกพระอิศวร พระนารายณ์ผู้เป็นเจ้า เธอจึงจะลงมาขว้างด้วยจักร์ พวกเหล่าอสูรยักษ์ก็ยันๆระยอๆ มึ งเร่งงันๆงอๆ ลงไปอยู่ใต้พระมหาสมุทร มึ งเร่งซุดๆลงไปใต้บาดาล มูละๆมูไรๆ หมู่ทหารมิอาจต้านทานทน ด้วยพระเวทย์พระมนต์ของกูได้ โอม มาละวา มหามาละวา กูจะเผ่าๆแหกๆ กูจะตีมึ งให้แตกแยกรุดซุดหนีเร็วพลันทันที กูจะปัดมึ งเสียบัดนี้ โอมนะโมเมมารา ฝ่ายฝูงมารแลฝูงผีทั้งหลาย มึ งเร่งยักย้ายออกไปให้พ้น หาไม่กูจะฟันด้วยพระขรรธ์ต้นให้ขาด กูจะฟาดด้วยพระขรรธ์ไชยศรีห้เด็ดระงับ จะสับด้วยมีดตรีเพ็ชร์ให้แหลกให้สูญ สวาหะ สวาโหม โอม นะโม พุทธัสสะ โอมนะโมธัมมัสสะ โอมนะโม สังฆัสสะ พระครูปัทยายให้กรรมสิทธิ์แก่กู หุลู หุลู สวาหาย @@
ขึ้นชื่อว่า โองการต้องอ่าน นะท่าน อ่านออกเสียงดังและห้าวๆๆ จดใส่สมุดข่อยเวลาอ่านก็ดูขลีง


นำมาจาก http://www.buddhakun.com/

154
สักโดย ศิษย์ฆารวาสสายวัดบางพระ อาจารย์ปิ๊ก เมืองทองธานี (หลวงพี่ติ่งครอบครูให้) สักเสร็จ ให้หลวงพี่ติ่ง เป่าครอบอีกที่ อาจารย์ปิ๊ก จะมาประจำกุฎิหลวงพี่ติ่ง วันศุกร์ กลับ วันจันทร์ ใครอ่านภาษขอมได้ ช่วยสาธยายให้หน่อย


155
ชื่อว่าพระ แต่ไม่ไหว้พระ

[wmv=660,460]http://www.thairealtv.com/video/week/08aug14/vdo562.wmv[/wmv]

156
วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม 2551 เป็นวันครอบครูใหญ่ประจำปี พิธีทำที่กุฎิหลวงพี่ติ่ง
ครอบเศียรฤๅษี พ่อแก่หลวยตน เศียรพระพิฆเณศ เป็นต้น
ไม่จำเป็นที่จะต้องศิษย์ สายวัดบางพระ เท่านั้นที่ครอบได้ ใครๆก็ครอบได้ ขอเรียนเชิญทุกๆท่าน :089:   

157
ภาพเก่าในอดีต ของหลวงพ่อ หลวงพี่ติ่ง ท่านให้มา และ เมตตาจารด้านหลังให้ด้วย เป็นมงคลอย่างยิ่ง




158
เนื่องจาก วัดทุ่งนางหลอก วัดเก่าที่หลวงพ่อเปิ่น ท่านได้เคยจำพรรษาอยู่สมัยหนุ่มๆ ได้มีกฐินตกค้าง
เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน ได้ติดต่อหลวงพี่ติ่ง ขอให้จัดกฐินไปทอด และหลวงพี่ติ่ง ก็ไปเรียนให้หลวงพ่อสำอางค์ ทราบ
และหลวงพ่อสำอางค์ ได้กำหนดการ ทอดกฐินวัดทุ่งนางหลอก ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2551 แจ้งมาเพื่อรับทราบ และ
ขวนขวายบุญต่อกัน

159
ณ บัดนี้ ที่กุฎิหลวงพี่ติ่ง ที่แสนใจดี มีศิษย์ฆารวาส สายวัดบางพระ
ท่านมีนามว่า อาจารย์ปิ๊ด มาจากกรุงเทพมหานคร มาช่วยหลวงพี่ติ่งสักหมึก ในช่วงทุกวัน
ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จากการสอบถาม พี่ๆที่อยู่กุฎิหลวงพี่ติ่ง เขาบอกว่า ลายสักสวยใช้ได้ และท่านจะกลับวันจันทร์

ค่าครูราคาปกติ 25 บาท
จึงแจ้งมา ให้ทราบทั่วกัน

160
ธรรมะ / นับถือด้วยศัทธา
« เมื่อ: 22 มิ.ย. 2551, 05:23:31 »
ชาวมุสลิม นับถือศาสนาอิสลาม เขาละหมาด วันละ 5 ครั้ง
เราชาวพุทธ นับถือพุทธศาสนา เดือนหนึ่ง ท่านเคยสวดมนต์ กี่ครั้ง
และเราๆ ท่านๆ นับถือศาสนาพุทธ ได้อย่างไร หรือนับถือตามกันมา หรือนับถือตามทะเบียนบ้าน
เคยเสียเวลา สละเวลา ปฎิบัติธรรม นั้งสมาธิ 5-10 นาที บ้างหรือไม่
หรือ เข้าวัด หาวัตถุมงคลอย่างเดียว  หรือ ไปขอสักยันต์ อย่างเดียว  แต่ก็ดีหน่อย ได้ทำทานบารมี
ถามใจตัวเอง ว่าศัทธาพุทธศาสนา แค่ไหน

ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา

162
เชิญทัศนาได้ตามใจใจชอบ ที่? ?
http://www.tumsrivichai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538684132&Ntype=40
อุตส่า หามาฝากกัน

163


หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน นนทบุรี

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


พระครูปิยนนทคุณ (หลวงปู่แย้ม ปิยวณฺโณ) วัดตะเคียน ตำบลบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เกิดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2459 ณ ตำบลเจ็ดริ้ว อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร โยมบิดาชื่อเพิ่ม โยมมารดาชื่อเจิม นามสกุลปราณี ประกอบอาชีพทำนา ในช่วงวัยเยาว์ท่านเรียนหนังสือจบแค่ประถมศึกษาปีที่ 1 เท่านั้น ก็ต้องออกมาช่วยบิดามารดาทำนา ครั้นพออายุครบบวชบิดามารดาจึงได้อุปสมบทให้ที่วัดหลักสองราษฎร์บำรุง อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร โดยมีพระครูสมุทรคณานุรักษ์ (หลวงพ่อป่อง) วัดกำแพง เจ้าคณะอำเภอบ้านแพ้ว เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการเหลือ เจ้าคณะตำบลหลักสอง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ชื่น รองเจ้าอาวาสวัดหลักสอง เป็นอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "ปิยวณฺโณ"

เมื่ออุปสมบทแล้วก็อยู่จำพรรษาที่วัดหลักสองราษฎร์บำรุง ท่านได้ตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง พร้อมทั้งได้ศึกษาสรรพวิชาและวิทยาคมจากหลวงพ่อสายแห่งวัดหลักสอง หลวงพ่อสายท่านนี้ได้รับการถ่ายทอดวิทยาคมจากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และยังเป็นศิษย์เอกของหลวงปู่รุ่ง วัดท่ากระบืออีกด้วย ต่อมาในปี พ.ศ.2489 ท่านก็ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดตะเคียน เนื่องจากท่านได้รับนิมนต์จากโยมลุงให้มาเป็นพระคู่สวดบวชหลานชายของโยมลุง ตอนนั้นที่วัดตะเคียนที่พระจำพรรษาอยู่แค่รูปเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นอีกเพียง 7 วันพระรูปเดียวของวัดตะเคียนเกิดมรณภาพลง โยมลุงก็เลยนิมนต์ขอให้หลวงปู่แย้มอยู่จำพรรษาที่วัดตะเคียนเพื่อให้ช่วยดูแลวัด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหลวงปู่เลยต้องอยู่ดูแลวัดตะเคียนจนถึงปัจจุบันนี้

หลวงปู่แย้มท่านได้สร้างวัตถุมงคลไว้หลายรุ่นด้วยกัน ซึ่งได้รับการขอร้องจากบรรดาลูกศิษย์ลูกหาและประชาชนที่เคารพศรัทธาและเลื่อมใสในตัวท่าน ขอให้ท่านสร้างให้ วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมมากก็คือ ตะกรุดโทนคอหมา เหรียญรุ่นแรก และเหรียญรุ่น 3 เหรียญรุ่นแรกสร้างเมื่อปี พ.ศ.2513 ส่วนเหรียญรุ่น 3 สร้างเมื่อปี พ.ศ.2520 เพื่อแจกในงานฉลองสมณศักดิ์รับพัดยศ ปัจจุบันเป็นที่นิยมกันในจังหวัดนนทบุรี เนื่องจากมีประสบการณ์ทางด้าน มหาอุดและแคล้วคลาด

พระครูปิยนนทคุณ หรือ หลวงปู่แย้ม ปิยวณฺโณ เจ้าอาวาสวัดตะเคียน ต.บางคูเวียง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี เจ้าตำรับ "ตะกรุดคลองตะเคียน" ได้รับการถ่ายทอดพุทธาคมจาก หลวงพ่อฉายวัดทุ่งสองห้อง สอนเรื่องยันต์และคาถาอาคม จนมีความรู้ความเชี่ยวชาญมาก โดยเฉพาะเรื่องของคนที่ถูกคุณไสย ถูกผีเข้า ไปหาท่านจะหายเป็นปลิดทิ้ง จนเป็นเรื่องเล่าขานที่แฝงไว้ด้วยความมหัศจรรย์ยิ่ง

"แย้ม ปราณี" เป็นชื่อและสกุลเดิมของหลวงพ่อแย้ม เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๔๕๙ ที่ ต.เจ็ดริ้ว อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร บิดาชื่อ เพิ่ม มารดาชื่อ เจิม

อายุครบ๒๐ ปี อุปสมบทตามประเพณี และเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้มารดาที่ล่วงลับไปแล้ว ที่วัดหลักสองบำรุงราษฎร์ มี พระครูคณาสุนทรนุรักษ์เจ้าคณะอำเภอบ้านแพ้วเป็นพระอุปัชฌาย์ เจ้าอธิการเหลือ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ชื่นเป็นพระอนุสาวนาจารย์ได้รับฉายาว่า "ปิยวณฺโณ"

พรรษาที่๒ หลวงพ่ออาพาธหนัก ต้องกลับไปรักษาตัวที่บ้านด้วยยาต้มแผนโบราณ หายดีแล้วจึงกลับไปอยู่วัดตามเดิม ต่อมาท่านจึงได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณจนแตกฉาน รักษาชาวบ้านจนมีชื่อเสียงโด่งดัง

ประมาณพรรษาที่๑๐ หลังจากเรียนคาถามาจากหลวงพ่อสาย วัดหนองสองห้อง จ.สมุทรสาคร ท่านบอกว่าใช้เวลาเรียนไม่นาน เนื่องจากวิชาที่เรียนมีมากจึงเลือกเรียนเพียงบางอย่างเท่านั้น ถ้าเรียนทุกอย่างคงไม่ไหว เพราะวิชามันเยอะแยะ ท่านจึงเลือกเรียนวิชาทำตะกรุด เพราะเอาไว้ป้องกัน และรักษาตัว จากภัยอันตราย วัดตะเคียนเมื่อสมัยก่อนเป็นป่าสวนส้มเขียวหวานเกือบทั้งหมด ถนนหนทางไม่สะดวกสบายเหมือนสมัยนี้

อักขระที่หลวงพ่อใช้ลงจารใน "ตะกรุดคลองตะเคียน" คือคาถาพระเจ้า ๕ พระองค์ หรือเรียกว่า "แม่ธาตุใหญ่" ซึ่งมีพุทธคุณเหนือยันต์ทั้งปวง รวมทั้งความเชื่อสืบต่อกันว่า ผู้ใดที่ท่องหรือบริกรรมพระคาถาบทนี้ด้วยจิตอันสงบและมั่นคงแล้ว จะมีพุทธคุณคุ้มครองครอบจักรวาล

หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มีพุทธคุณครบทุกด้าน เช่นเมตตามหานิยม แคล้วคลาด ป้องกันภัย มหาเสน่ห์ มหาอุด รวมทั้งไล่ภูตผี และใช้กันเสนียดจัญไรได้อีกด้วย

การดำน้ำเพื่อจารตะกรุดหลวงพ่อบอกว่ายันต์ที่จารมีตัวเดียว คือ "ยันต์มหาเบา" เป็นตำราจากหลวงพ่อสาย วัดหนองสองห้อง กับ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า

นอกจากนี้ยังมีคาถาที่เรียนมาจากอาจารย์ท่านอื่นๆอีกหลายท่าน ก็เรียนต่อๆ กันมา แล้วเอามาชนกัน บางทีก็ทำให้คาถาแตกต่างจากเดิมไปบ้างเล็กน้อย

พุทธคุณของยันต์มหาเบานั้นมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า ทหารที่ออกทัพจับศึก รวมทั้งเสือร้ายที่ออกปล้นชาวบ้าน เมื่อถึงคราวเกิดเหตุจวนตัว จะใช้หัวแม่เท้าจิกลงบนพระแม่ธรณี (พื้นดิน) แล้วเขียนเป็นวงกลม เป็นยันต์มหาสูญ

ระว่างที่เขียนก็บริกรรมคาถามหาอุด (อุดธังอัดโท หรือ โทอุดธังอัด) แล้วตามด้วยคาถาหัวใจพระแม่ธรณี (เม กะ มุ อุ) หากมีจิตที่เข้มแข็งและสงบนิ่ง เท่านี้ก็สามารถแคล้วคลาดจากอาวุธของศรัตรูได้

ยังมียันต์อีกตัวหนึ่งที่เขียนในลักษณะเดียวกับยันต์มหาเบา คือ ยันต์นอโมทั้งนี้ยันต์มหาเบาจะนิยมเขียนกันในหมู่พระเกจิอาจารย์ทางภาคกลางส่วนยันต์นอโมจะนิยมเขียนกันในหมู่พระเกจิอาจารย์ทางภาคใต้ ยันต์ทั้ง ๒ ตัวนี้มีพุทธคุณเด่นด้านมหาอุด แต่เขียนต่างกันคือ ยันต์มหาเบายันต์ที่เขียนไว้ในวงกลมคือ อัง ส่วนยันต์นอโม คือ นะ โดยมีการเขียนลากหางเป็นวงกลมปิด ส่วนจะกี่ชั้นนั้นไม่มีข้อกำหนดตายตัว

อุปเท่ห์การใช้ "ตะกรุด" หลวงพ่อแย้ม นอกจากข้อห้ามเรื่องด่าพ่อด่าแม่แล้ว สมัยก่อนยังห้ามรอดราวตากผ้า แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยถือกันแล้ว เพราะบ้านยังมีการปลูกกันเป็นหลายๆ ชั้น อันนี้ก็ยกเว้นไปได้ สิ่งสำคัญอย่าทำความชั่ว และอย่าไปด่าพ่อด่าแม่เขา ไม่เช่นนั้นความขลังของ "ตะกรุด" จะเสื่อมทันที และไม่คุ้มครอง

เมื่อพ.ศ.๒๔๘๙ โยมลุงนิมนต์ท่านไปเป็นพระคู่สวดบวชลูกชายที่วัดตะเคียนซึ่งมีพระอยู่รูปเดียว พอบวชได้ ๗ วัน พระรูปนั้นก็มรณภาพ ท่านจึงต้องมาอยู่วัดตะเคียนแทน จนถึงทุกวันนี้

เนื่องจากหลวงปู่อายุมากสุขภาพไม่ค่อยดีนัก ทางวัดจึงเปิดโอกาสให้ลูกศิษย์และผู้ที่เคารพศรัทธาเข้ากราบไหว้ได้วันละ ๑ รอบเท่านั้น คือ เวลา ๑๖.๐๐-๑๘.๐๐ น. ส่วนวันพระงดให้เข้ากราบไหว้ ในขณะที่บางวันท่านได้รับกิจนิมนต์ปลุกเสกวัตถุมงคลนอกวัด เพื่อความสะดวกติดต่อสอบถามได้ที่ วัดตะเคียนถนนนครอินทร์(พระราม ๕) ต.บางคูเวียง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี โทร.๐-๒๕๙๕-๑๘๕๑, ๐๘-๑๙๒๑-๐๙๔๖



หลวงปู่แย้มวัดตะเคียน


หลวงปู่แย้ม ปิยวณฺโณ (พระครูปิยนนทคุณ) เจ้าอาวาสวัดตะเคียน ต.บางคูเวียง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ปัจจุบัน อายุ ๙๑ ปี เจ้าของตำนาน ตะกรุดคอหมา อันโด่งดัง ได้สร้างชื่อประดับวงการพระเกจิเมืองไทย

ที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ทั่วแผ่นดินไทย ไม่ว่าจะเป็นคนยากจน หรือมหาเศรษฐี ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน นักการเมือง  ผู้ที่ทราบถึงความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ต่างก็เดินทางมาหาท่าน เพื่อขอพรขอบารมีจากท่านกันมิได้ขาดสายทุกวัน  วัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง ที่ท่านได้จัดสร้างขึ้นมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ต่างถูกสั่งจองและเช่าซื้อหากัน จนทำให้ราคาพุ่งขึ้นๆ ทุกวัน

 ส่วนที่มาของตำนาน ตะกรุดคอหมา นั้น มาจากครั้งเมื่อท่านได้ทำตะกรุดคล้องคอให้หมาในวัดของท่านทุกตัว เพื่อป้องกันภัยให้หมาของท่าน แต่แล้วคนก็มาแย่งหมาไปบูชากันเองจนหมดสิ้น

อันว่าตะกรุดที่ท่านได้ดำริริเริ่มสร้างผูกคอหมา ก็เนื่องมาจากว่า หลวงปู่แย้มท่านเป็นคนที่มีเมตตาต่อสรรพสัตว์สูง ท่านได้เลี้ยงหมาไว้หลายตัว บางครั้งหมาที่ท่านเลี้ยงไว้อาจไปทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้านใกล้ๆ วัดบ้าง ทำให้หมาของท่านถูกทำร้ายด้วยการปาก้อนหิน หรือรุนแรงจนถึงขั้นใช้ปืน ใช้มีดดาบทำร้าย ทำให้หมาบางตัวได้รับความทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก

 ครั้นหลวงปู่จะไปห้ามโยมไม่ให้ตีหมา ทำร้ายหมา ก็คงไม่เป็นผลอะไร คิดดังนั้นแล้ว จึงจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับทำตะกรุด ด้วยพิธีกรรมที่ไม่เหมือนใคร คือ ท่านจารตะกรุดในน้ำ ด้วยสมาธิจิตอันแน่วแน่ของท่าน เมื่อทำเสร็จแล้วจึงนำไปผูกคอหมาที่ท่านเลี้ยงไว้จนครบทุกตัว

 หลังจากนั้น หมาของท่านก็ไม่เคยได้รับความรุนแรงใดๆ อีกเลย ทำให้ชาวบ้านแถวนั้นเกิดความสงสัย ก็สอบถามกันไปสอบถามกันมาได้ความว่า หลวงปู่แย้มได้ผูกตะกรุดวิเศษไว้ที่คอหมาทุกตัว ก็เลยทำให้บรรดานักเลงแถวนั้นเกิดอยากลองของ ว่าจะแน่สักแค่ไหน ก็นำปืนมาลองยิงหมาดู

 ปรากฏว่าปืนแตก ! เป็นเหตุให้เกิดความฮือฮาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คนที่ต้องการตะกรุดแบบเร็วๆ ก็แย่งเอาที่คอหมา คนที่มีศีลธรรมดีหน่อยก็ไปบอกกล่าวขอจากหลวงปู่เอง กิตติศัพท์ของหลวงปู่ก็กระฉ่อนแต่นั้นมา จนชาวบ้านเรียกขานท่านว่า "ปู่แย้ม ตะกรุดคอหมา"

 เมื่อได้พูดถึงตะกรุดคอหมาแล้วว่าคงกระพัน หรือแคล้วคลาดอย่างไร ก็ทำให้ต้องพูดถึงวัตถุมงคลอีกอย่างที่เข้มขลังไม่แพ้กัน นั่นคือ "เสือปืนแตก" เล่ากันว่า มีนายตำรวจใน อ.บางกรวย ทราบข่าวว่าหลวงปู่แย้มสร้างเสือเนื้อตะกั่วขึ้นมา เพื่อหาปัจจัยสร้างวัด และมีคนเล่าให้ฟังถึงความขลังของวัตถุมงคลของหลวงปู่ จึงอยากลองของ ได้มาขอยืมจากลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้วัด เพื่อนำไปลอง

 ปรากฏว่า ยิงนัดแรกไม่ออก นัดที่สองไม่ออก ยิงอีกครั้งเป็นครั้งที่สาม ปืนแตกใส่มือได้รับบาดเจ็บ เป็นแผลเป็นมาจนทุกวันนี้

 การดำน้ำเพื่อจารตะกรุด ยันต์ที่จารมีตัวเดียว คือ "ยันต์มหาเบา" เป็นตำราจาก หลวงพ่อสาย วัดหนองสองห้อง กับ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า

 อุปเท่ห์การใช้ ตะกรุด หลวงพ่อแย้ม นอกจากข้อห้ามเรื่องด่าพ่อด่าแม่แล้ว สมัยก่อนยังห้ามลอดราวตากผ้า แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยถือกันแล้ว เพราะบ้านยังมีการปลูกกันเป็นหลายๆ ชั้น อันนี้ยกเว้นไปได้

 สิ่งสำคัญ คือ อย่าทำความชั่ว และอย่าไปด่าพ่อด่าแม่เขา ไม่เช่นนั้นความขลังของตะกรุดจะเสื่อมทันที และไม่คุ้มครอง

 พุทธคุณของยันต์มหาเบา นั้น มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า ทหารที่ออกทัพจับศึก รวมทั้งเสือร้ายที่ออกปล้นชาวบ้าน เมื่อถึงคราวเกิดเหตุจวนตัว จะใช้หัวแม่เท้าจิกลงบนพระแม่ธรณี (พื้นดิน) แล้วเขียนเป็นวงกลม เป็นยันต์มหาสูญ ระหว่างที่เขียนก็บริกรรมคาถามหาอุด (อุดธังอัดโท หรือ โทอุดธังอัด) แล้วตามด้วยคาถาหัวใจพระแม่ธรณี (เม กะ มุ อุ) หากมีจิตที่เข้มแข็ง และสงบนิ่ง เท่านี้ก็สามารถแคล้วคลาดจากอาวุธของศัตรูได้

 นอกจากนี้แล้ว หลวงปู่แย้มยังสร้างวัตถุมงคลไว้อีกหลายรุ่น เช่น ตะกรุดหนังเสือ รุ่นแรก ดอกเล็ก ตะกรุดหนังเสือ รุ่นแรก ดอกใหญ่ เสือปืนแตก รุ่นสอง เนื้อทองเหลือง พระสมเด็จ ผสมผงอิทธิเจ และผงมหาราช ของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ พระผงนางพญา ผสมผงอิทธิเจ และผงมหาราช ของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ พระสมเด็จ พิมพ์เล็บมือ ผสมผงอิทธิเจ และผงมหาราช ของหลวงพ่อสด พระผง พิมพ์ไข่ผ่าซีก ผสมผงอิทธิเจ และผงมหาราช ของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ

 ปัจจุบันหลวงปู่แย้ม ยังเป็นที่เคารพศรัทธาของบรรดาลูกศิษย์ ทั้งศิษย์เก่าศิษย์ใหม่ บางคนออกรถใหม่ก็นำมาให้ท่านเจิมให้ ด้วยบารมีอันแก่กล้าของท่าน รับประกันได้ว่า รถคันนั้นจะไม่มีวันเจออุบัติเหตุใหญ่ๆ แน่นอน

 บางคนทำการค้า การขาย บางช่วงบางโอกาสเศรษฐกิจบ้านเมืองไม่ดี ก็มาหาท่าน ขอเช่าบูชาธูปเสก นำไปจุดไหว้ ปรากฏว่า การค้าการขายดีขึ้นเป็นพิเศษ เรื่องธูปเสกของท่านนี้ ลูกศิษย์ลูกหานิยมบูชากันมาเป็นเวลานานกว่า ๑๐ ปีมาแล้ว เพราะว่าทุกคนไม่เคยผิดหวัง แถมหลวงปู่ยังย้ำพร้อมรับประกันให้ว่า ถ้าไม่ดีจริงให้มาต่อว่าได้เลย พร้อมทั้งยังอธิบายวิธีบูชาให้อีกด้วย

 ตั้งแต่อดีตหลวงปู่พยายามรวบรวมปัจจัยเพื่อนำมาสร้างเสนาสนะ และบูรณะวัดอยู่อย่างสม่ำเสมอมิได้ขาด จวบจนปัจจุบัน หลวงปู่ชราภาพลงมากแล้ว แต่ยังมีภาระซ่อมสร้างเสนาสนะที่ชำรุดทรุดโทรมอีกหลายอย่าง ทั้งยังขาดจตุปัจจัยอีกเป็นจำนวนมาก

 ในการซ่อมสร้างเพื่อให้สำเร็จลุล่วงไป จึงได้ดำริปรึกษาหารือกับคณะกรรมการวัด จัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นสุดท้าย เช่น พระชุดยอดขุนพล พระชุดนางพญา รูปเหมือนลอยองค์ โดยปัจจัยจากการเช่าบูชาทั้งหมดทางวัดจะนำไปบูรณะศาสนสถานในวัดทั้งหมด

 การสร้างวัตถุมงคลรุ่นสุดท้ายของหลวงปู่แย้ม นี้ ถือเป็นครั้งสำคัญของวัดตะเคียน มวลสารทั้งหมดได้จัดเตรียมมานานนับเดือน รวมทั้งได้นำมวลสารพระเครื่องยุคแรก ที่ท่านสร้าง และบรรจุในกรุนานกว่า ๖๐ ปี

 มวลสารหลักของพระรุ่นนี้ มีผงอิทธิเจ ผงมหาราชเก่า ผงวิเศษ ๑๐๘ ที่ท่านจารและเขียนขึ้นเอง ตามฤกษ์ยามที่ท่านกำหนด และปลุกเสกมานาน ผงไม้ตะเคียนอินทราณี ผงกะลาตาเดียวลงยันต์ จัน-สูรย์ ไม้มงคลแดง ไม้มงคลดำ ผงใบลาน ผงทองคำ ผงตะไบชนวน แผ่นจารยันต์พระเกจิอาจารย์ ๑๐๘ องค์ ผงตะไบชนวนโลหะที่ท่านเก็บไว้ ผงยาจินดาวาสนา รวมทั้งผงกระเบื้องหลังคาโบสถ์ ผงเสาโบสถ์มหาอุด ผงทองพระประธาน เป็นต้น

 โดยจะประกอบพิธีปลุกเสก ๙ วัน ตั้งแต่วันที่ ๒๑ มิถุนายน-๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๑ โดยแต่ละวันพิธีจะเริ่มตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ น. เป็นต้นไป

 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากหลวงปู่อายุมาก สุขภาพไม่ค่อยดีนัก คณะกรรมการวัดจึงเปิดโอกาสให้ลูกศิษย์ และผู้ที่เคารพศรัทธา เข้ากราบไหว้ได้วันละ ๑ รอบเท่านั้น คือ เวลา ๑๖.๐๐-๑๘.๐๐ น. ส่วนวันพระงดให้เข้ากราบไหว้ ในขณะที่บางวันท่านได้รับกิจนิมนต์ปลุกเสกวัตถุมงคลนอกวัด

 เพื่อความสะดวก ติดต่อสอบถามได้ที่วัดตะเคียน ถนนนครอินทร์ (พระราม ๕) ต.บางคูเวียง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี  โทร.๐-๒๕๙๕-๑๘๕๑, ๐๘-๑๙๒๑-๐๙๔๖






164
เวปวัดสะแก http://www.watsakae.net/ ระวัง Trojan-Downloader.JS.Agent.blv ที่หน้าเวป kaspersky จับได้

<a href="http://img67.imageshack.us/img67/3492/0001gj5.swf" target="_blank" rel="noopener noreferrer" class="bbc_link bbc_flash_disabled new_win">http://img67.imageshack.us/img67/3492/0001gj5.swf</a>
นะโมพุทธายะ พระพุทธไตรรัตนญาณ มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชาอัคคีธานัง วะรังคันธัง สิวลี จะมหาเถรัง อะหัง วันทามิ ทูระโต อะหัง วันทามิ ธาตุโย อะหัง วันทามิ สัพพะโส พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ



ประวัติหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

ชาติภูมิ

หลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ ท่านเกิดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2447 ตรงกับวันศุกร์ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะโรง เป็นวันเพ็ญวิสาขปุรณมี ณ
บ้านข้าวเม่า ตำบลข้าวเม่า อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โยมบิดาชื่อ พุด โยมมารดาชื่อ พ่วง นามสกุล หนูศรี มีพี่น้องร่วมมารดาเดียว
กัน 3 คน ตัวท่านเป็นคนสุดท้อง เมื่อหลวงพ่อถือกำเนิดได้ไม่นาน มารดาของท่านก็เสียชีวิต และเมื่อท่านอายุได้ 4 ปี บิดาของหลวงพ่อก็เสีย
ชีวิตอีก ทำให้หลวงพ่อกำพร้าตั้งแต่วัยเยาว์ ท่านจึงได้อาศัยอยู่กับยาย และ พี่สาวชื่อ สุ่ม เป็นผู้ดูแลเอาใจใส่ เมื่อท่านถึงวัยที่ต้องศึกษา ก็ได้ ศึกษาเล่าเรียนที่ วัดกลางคลองสระบัว วัดประดู่ทรงธรรม และวัดนิเวศธรรมประวัติ ตามลำดับ
เมื่อตอนที่ท่านยังเป็นทารกมีเหตุอัศจรรย์ที่ทำให้เชื่อว่าท่านจะต้องเป็นผู้มีบุญวาสนามาเกิด คือในช่วงหน้าน้ำหลาก คืนหนึ่งขณะที่บิดาและ
มารดากำลังทำขนมอยู่นั้น มารดาท่านได้วางตัวท่านไว้บนเบาะนอกชานบ้าน แต่ไม่ทราบด้วยเหตุใดตัวท่านได้กลิ้งตกลงไปน้ำ แต่เป็นที่น่า
อัศจรรย์ที่ตัวท่านกลับไม่จมน้ำ กลับลอยน้ำไปติดอยู่ข้างรั้ว กระทั่งสุนัขที่บ้านเลี้ยงไว้ มาเห็นเข้าจึงเห่าและวิ่งกลับไปกลับมา มารดาท่านจึงสง
ลัยว่าคงจะมีเหตุการณ์ผิดปกติ จึงได้ตามสุนัขออกมาดู ก็พบท่านลอยน้ำอยู่ติดกับข้างรั้ว

อุปสมบท
เมื่อท่านอายุได้ 21 ปี ก็ได้บรรพชาอุปสมบท เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2468 ตรงกับวันอาทิตย์แรม 4 ค่ำ เดือน 6
ณ อุโบสถวัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมี หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อแด่
เจ้าอาวาสวัดสะแก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อฉาย วัดกลางคลองสระบัว เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับ ฉายาว่า ? พรหมปัญโญ ?

ศึกษาธรรม
ในพรรษาแรกๆ นั้น หลวงพ่อดู่ ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัด ประดู่ทรงธรรม (ในสมัยนั้นเรียกว่าวัด ประดู่โรงธรรม) โดยศึกษากับ ท่านเจ้าคุณ
เนื่อง พระครูชม หลวงพ่อรอด (เสือ) เป็นต้น
ในด้านการปฏิบัติ วิปัสสนากรรมฐาน นั้น หลวงพ่อดู่ ได้ ศึกษา กับ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม ผู้เป้นพระอุปัชฌาย์ และ หลวงพ่อเภา ซึ่ง
เป็นศิษย์องค์สำคัญของหลวงพ่อกลั่น และ มีศักดิ์เป็นอาของท่าน เมื่อท่านบวชได้พรรษาที่ 2 ประมาณปลายปี พ.ศ. 2469 หลวงพ่อกลั่นก็ได้
มรณภาพ ท่านจึงได้ศึกษากับหลวงพ่อเภาเป็นหลัก นอกจากนี้ยังได้ศึกษาจากตำราที่มีอยู่ จากชาดกบ้าง ธรรมบทบ้าง และด้วยความที่ท่าน
เป็นผู้รักการศึกษา ท่านจึงได้เดินทางไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจาก พระอาจารย์อีกหลายท่าน ที่ จังหวัดสุพรรณบุรี สระบุรี ฯลฯ
เมื่อพ.ศ. 2486 ครั้นออกพรรษาแล้ว หลวงพ่อก็ออกเดินธุดงค์ จากวัดสะแก มุ่งหน้า สู่ป่าเขาแถบจังหวัดกาญจนบุรี ในระหว่างทาง ก็แวะ
นมัสการสถานที่สำคัญต่างๆ ทางพุทธศาสนา

นิมิตธรรม
ในคืนหนึ่ง ในช่วงก่อน ปี พ.ศ.2500 เล็กน้อย หลังจากที่ท่านสวดมนต์ทำวัตรเย็น และเข้าจำวัดแล้วนั้น เกิดนิมิตไปว่าได้ฉันดาว ที่มีแสงสว่าง
มากเข้าไป 3 ดวง ขณะที่ฉันนั้นรู้สึกว่า กรอบๆ ดี เมื่อฉันหมดก็ตกใจตื่น ท่านจึงได้พิจารณานิมิตที่เกิดขึ้น ก็เกิดความเข้าใจในนิมิตนั้นว่า
ดาวสามดวง ก็คือ ดวงแก้วไตรสรณาคมน์ นั้นเอง ท่านจึงท่อง
? พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ? ก็เกิดปิติขึ้นในจิตท่านอย่างท่วมท้น เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และมั่นใจว่า การยึดมั่นพระไตรสรณาคมน์ เป็นวิธี ที่เข้าสู่แก่นแท้ เป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา ท่านจึงกำหนดเอา พระไตรสรณาคมน์ เป็นองค์บริกรรมภาวนา

เมตตาธรรม
หลวงพ่อดู่ท่านให้การต้อนรับแขกอย่างเสมอเท่าเทียมกันหมด ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ ท่านจะพูดห้ามปรามหากมีผู้เสนอตัวเสนอหน้าคอยจัด
แจงเกี่ยวกับแขกที่มาหาท่าน เพราะท่านทราบดีว่ามีผู้ใฝ่ธรรมจำนวนมากที่อุตสาห์เดินทางมาไกล เพื่อนมัสการและซักถามข้อธรรมจากท่าน
หากมาถึงแล้งยังไม่สามารถเข้าพบได้โดยสะดวก ก็จะทำให้เสียกำลังใจ เป็นเมตตาธรรมอย่างสูงที่หลวงพ่อมีให้ศิษย์ทั้งหลาย และหากมีผู้
สนใจการปฏิบัติกรรมฐาน มาหาท่าน ท่านจะเมตตาสนทนาธรรมเป็นพิเศษอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย

หลวงปู่ทวด
ท่านให้ความเคารพในองค์หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ เป็นอย่างมากทั้งกล่าวยกย่อง ว่าหลวงปู่ทวดท่านเป็นผู้ที่มีบารมีธรรมเต็มเปี่ยม เป็นโพธิสัตว์
จะได้มาตรัสรู้ ในอนาคต ให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ยึดมั่น และระลึกถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อติดขัดในระหว่างการปฏิบัติธรรม หรือประสบ
ปัญหาทางโลก ท่านว่า หลวงปู่ทวดท่านคอยที่จะช่วยเหลือทุกคนอยู่แล้ว แต่ขอให้ทุกคนอย่าท้อถอย หรือละทิ้งการปฏิบัติ

สร้างพระ
หลวงพ่อดู่ท่านมิได้ตั้งตัวเป็นเกจิอาจารย์ การที่ท่านสร้าง หรืออนุญาตให้สร้างพระเครื่องหรือพระบูชา ก็เพราะเห็นว่า บุคคลจำนวนมากยังขาด
ที่ยึดเหนี่ยงทางด้านจิตใจ เพราะศิษย์ หรือ บุคคลนั้น มีทั้งที่ใจใฝ่ธรรมล้วนๆ กับ ยังต้องอิงกับวัตถุมงคล ท่านเคยพูดว่า ?ติดวัตถุมงคลยังดีกว่า ที่จะไปให้ติดวัตถุอัปมงคล? แม้ว่าหลวงพ่อดู่ท่านจะรับรองในความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องที่ท่านอธิฐานจิตให้ แต่สิ่งที่ท่านยกไว้เหนือกว่านั้น ก็คือการปฏิบัติ การภาวนา นี้แหละ เป็นสุดยอดแห่งเครื่องรางของขลัง บางคนมาหาท่านเพื่อต้องการของดีเช่นเครื่องรางของขลัง ซึ่งมักจะได้รับคำตอบจากท่านว่า ? ของดีนั้นอยู่ที่ตัวเรา พุทธัง ธัมมัง สังฆัง นี่แหละของดี ?

ปัจฉิมวาร
นับตั้งแต่ พ.ศ. 2527 เป็นต้นมาสุขภาพหลวงพ่อเริ่มทรุดโทรม เนื่องการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ด้วยเหตุจากการที่ต้องต้อนรับแขก และบรรดา
ศิษย์ทั่วทุกสารทิศ ที่นับวันก็ยิ่งหลั่งไหลกันมานมัสการท่านมากขึ้นทุกวัน แม้บางครั้งจะมีโรคมาเบียดเบียนอย่างหนัก ท่านก็อุตส่าห์ออกโปรด
ญาติโยมเป็นปกติ พระที่อุปัฏฐากท่าน เล่าว่า บางครั้งถึงขนาดที่ท่านต้องพยุงตัวเองขึ้นด้วยอาการสั่น และมีน้ำตาคลอเบ้า ท่านก็ไม่เคยปริปาก
ให้ใครต้องเป็นกังวลเลย ภายหลังตรวจพบว่า หลวงพ่อ เป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว แม้ว่าทางคณะแพทย์ จะขอร้องท่านให้เข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล  แต่ท่านก็ไม่ยอมไป
ประมาณปลายปี พ.ศ.2532 หลวงพ่อดู่พูดบ่อยครั้ง เกี่ยวกับ การที่ท่านจะละสังขาร ซึ่ง ในขณะนั้นหลวงพ่อดู่ท่านได้ใช้หลักธรรม ขันติ คือ
ความอดทนอดกลั้นระงับ ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นจากโรคภัย จิตของท่านยังทรงความเป็นปรกติสงบเย็น จนทำให้คนที่แวดล้อมท่านไม่อาจสังเกต
เห็นถึงปัญหาโรคภัยที่คุกคามท่านอย่างหนัก

วันอังคารที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2533 ช่วงเวลาบ่ายนั้น มีนายทหารอากาศผู้หนึ่งมากราบท่านเป็นครั้งแรก หลวงพ่อท่านได้ลุกขึ้นนั่งตอนรับ ด้วยใบหน้าที่สดใส ราศีเปล่งปลั่งเป็นพิเศษ จนบรรดาศิษย์ เห็นผิดสังเกต หลวงพ่อยินดีที่ได้พบกับศิษย์ผู้นี้ ท่านว่า ?ต่อไปนี้ ข้าจะได้หายเจ็บไข้ เสียที ? คืนนั้นมีคณะศิษย์มากรายท่าน ท่านได้พูดว่า ? ไม่มีส่วนใดในร่างกายที่ไม่เจ็บปวดเลย ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้าห้อง ICU ไปนานแล้ว ? พร้อมทั้งพูดหนักแน่นว่า ?ข้าจะไปแล้วนะ? และกล่าวปัจฉิมโอวาทย้ำให้ทุกคนตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ?ถึงอย่างไรก็ขอให้อย่าได้ละทิ้งการปฏิบัติ ได้ชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติ ก็เหมือนนักมวย ขึ้นเวทีแล้วต้องชก อย่ามัวแต่ตั้งท่า เงอะๆ งะๆ? หลังจากคืนนั้นหลวงพ่อก็กลับเข้ากุฏิ และละสังขารไปด้วยอาการสงบด้วยโรคหัวใจ ในกุฏิท่านเมื่อเวลาประมาณ 5 นาฬิกา ของ วันพุธที่ 17 มกราคมพ.ศ. 2533 รวมสิริอายุได้ 85 ปี 8 เดือน 65 พรรษา ยังความเศร้าโศกและอาลัยแก่ ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างยิ่ง อุปมาดั่งดวงประทีปที่เคยให้ความสว่าง ดับไป แต่เมตตาธรรมและคำสั่งสอนของท่านยังปรากฏ อยู่ในดวงใจของ ศิษยานุศิษย์ตลอดไป
จึงขอยกธรรมคำสอนของหลวงพ่อที่สอนให้ศิษย์ เข้าถึงธรรมด้วยการสร้างคุณงามความดีให้เกิดขึ้นที่ตนเองดังนี้

?ตราบใดก็ตาม ที่แกยังไม่เห็นความดีในตัวเอง
ก็ยังไม่นับว่า แกรู้จักข้า
แต่ถ้าเมื่อใด แกเริ่มเห็นความดีในตัวเองแล้ว
เมื่อนั้นข้าว่า แกเริ่มรู้จักข้าดีขึ้นแล้วล่ะ?


165
ที่มา

http://www.konmeungbua.com/webboard/aspboard_Question.asp?GID=5598


......ปฏิปทาพิเศษของพระโพธิญาณที่บำเพ็ญบารมีเฉพาะกิจ นอกเหนือจาก ปัญญาธิกะ สัทธาธิกะ วิริยะธิกะ ตัวอย่าง

เป็นบารมีเฉพาะกิจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุธเจ้า ๒๘ พระองค์
.......ความเสียสละของพระโพธิญาณที่ทำบารมีเกิน จึงถือว่าท่านหาความประเสริฐสุดให้แก่เหล่าพุทธบริษัทแต่ละยุค

แต่ละสมัยที่บำเพ็ญบารมีเกินปกติ
........ใคร่ให้พวกเราทั้งหลายมีความนอบน้อมในพระพุทธเจ้า แล้วระลึกถึงคุณท่านด้วยความจริงใจด้วยการปฏิบัติบูชา

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑


นมัสการพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์

นะโม เม สัพพะพุทธานัง
ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวง
อุปปันนานัง มะเหสินัง
ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ซึ่งได้อุบัติแล้ว คือ

๑. ตัณหังกะโร มะหาวีโร
ปฏิปทาพิเศษของพระตัณหังกรผู้กล้าหาญ

.๒. เมธังกะโร มะหายะโส
ปฏิปทาพิเศษของพระเมธังกรผู้มียศใหญ่

๓. สะระณังกะโร โลกะหิโต
ปฏิปทาพิเศษของพระสรณังกรผู้เกื้อกูลต่อชาวโลก

๔. ทีปังกะโร ชุตินธะโร
ปฏิปทาพิเศษของพระทีปังกรผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาอันรุ่งเรือง

๕. โกณฑัญโญ ชะนะปาโมกโข
ปฏิปทาพิเศษของพระโกณฑัญญะผู้เป็นประมุขแห่งหมู่ชน

๖. มังคะโล ปุสิสาสะโก
ปฏิปทาพิเศษของพระมังคละผู้เป็นบุรุษประเสริฐ

๗. สุมะโน สุมะโน ธีโร
ปฏิปทาพิเศษของพระสุมนะผู้เป็นธีรบุรุษมีพระหฤทัยงาม

๘. เรวะโต ระติวัฑฒะโน
ปฏิปทาพิเศษของพระเรวะตะผู้เพิ่มพูนความยินดี

๙. โสภิโต คุณสัมปันโน
ปฏิปทาพิเศษของพระโสภิตะผู้สมบูรณ์ด้วยพระคุณ

๑๐. อะโนมะทัสสี ชะนุตตะโม
ปฏิปทาพิเศษของพระอโนมทัสสีผู้สูงสุดอยู่ในหมู่ชน

๑๑. ปะทุโม โลกะปัชโชโต
ปฏิปทาพิเศษของพระปทุมะผู้ทำให้โลกสว่าง

๑๒. นาระโท วาระสาระถี
ปฏิปทาพิเศษของพระนารทะผู้เป็นสารถีประเสริฐ

๑๓. ปะทุมุตโต สัตตะสาโร
ปฏิปทาพิเศษของพระปทุมุตตระผู้เป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์

๑๔. สุเมโธ อัปปะฏิบุคคะโล
ปฏิปทาพิเศษของพระสุเมธะผู้หาบุคคลเปรียบมิได้

๑๕. สุชาโต สัพพะโลกัคโค
ปฏิปทาพิเศษของพระสุชาตะผู้เลิศกว่าสัตว์โลกทั้งปวง

๑๖. ปิยะทัสสี นะราสะโภ
ปฏิปทาพิเศษของพระปิยทัสสีผู้ประเสริฐกว่าหมู่นรชน

๑๗. อัตถะทัสสี การุณิโก
ปฏิปทาพิเศษของพระอัตถทัสสีผู้มีพระกรุณา

๑๘. ธัมมะทัสสี ตะโมนุโท
ปฏิปทาพิเศษของพระธรรมทัสสีผู้บรรเทาความมืด

๑๙. สิทธัตโถ อะสะโม โลเก
ปฏิปทาพิเศษของพระสิทธัตถะผู้หาบุคคลเสมอมิได้ในโลก

๒๐. ติสโส จะ วะทะตัง วาโร
ปฏิปทาพิเศษของพระติสสะผู้ประเสริฐกว่านักปราชญ์ทั้งหลาย

๒๑. ปุสโส จะ วะระโท พุทโธ
ปฏิปทาพิเศษของพระปุสสะผู้ประทานธรรมอันประเสริฐ

๒๒. วิปัสสี จะ อะนูปะโม
ปฏิปทาพิเศษของพระวิปัสสสีผู้ที่หาเปรียบมิได้

๒๓. สิขี สัพพะหิโต สัตถา
ปฏิปทาพิเศษของพระสิขีผู้เป็นศาสดาเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์

๒๔. เวสสะภู สุขะทายะโก
ปฏิปทาพิเศษของพระเวสสภูผู้ประทานความสุข

๒๕. กะกุสันโธ สัตถะวาโท
ปฏิปทาพิเศษของพระกกุสันโธผู้นำสัตว์ออกจากสันดารตัวกิเลส

๒๖. โกนาคะมะโน ระณัญชะโห
ปฏิปทาพิเศษของพระโกนาคมนะผู้หักเสียซึ่งข้าศึก คือ กิเลส

๒๗. กัสสะโป สิริสัมปันโน
ปฏิปทาพิเศษของพระกัสสปะผู้สมบูรณ์ด้วยสิริ

๒๘. โคตะโม สักยะปุงคะโว
ปฏิปทาพิเศษของพระโคตมะผู้ประเสริฐแห่งหมู่ศากยราช

เตสาหัง สิระทา ปาเท วันทามิ ปุริสัตตะเม วะจะสา มะนะสา เจวะ วันทาเมเต ตะถาคะเต
ข้าพเจ้าขอกราบไหว้พระบาทของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นด้วยเศียรเกล้า และขอกราบไหว้พระพุทธเจ้าเหล่านั้นผู้เป็นบุรุษ

อันสูงสุด ผู้เป็นตถาคตด้วยวาจาและใจทีเดียว

สะยะเน อาสะเน ฐาเน คะมะเน จาปิ สัพพะทา
ทั้งในที่นอนในที่นั่ง ในที่ยืน และแม้ในที่เดินด้วย ในกาลทุกเมื่อฯ

ตัณ เม สะ ที โก มัง สุ เร โส อะ ปะ นา ปะ สุ สุ
ปิ อะ ธะ สิ ติ ปุ วิ สิ เว กุ โก กะ โค นะมามิหัง

พระนามพระพุทธเจ้าตั้งแต่องค์แรกถึงองค์ปัจจุบัน โบราณจารย์ท่านถือว่าเป็นพระคาถาแก้วสารพัดนึก

166
ขอเชิญร่วมงานสมโภชพระบรมธาตุเจดีย์ วัดนกซอยพาณิชยการธนบุรี จรัญสนิทวงศ์ 13
วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม 2551 ตั้งแต่เวลา 9.00 น. - 17.00 น.
พระอาจารย์วัชระ  เอกวัณโณ  ผู้สืบทอดตำนานมหัศจรรย์พิธีกรรม
ครอบมงกุฎพระเจ้า สาวน้ำตาเทียน  เสริมบารมี เสริมดวง ต่อชะตา สะเดาะเคราะห์
ทายาทพุทธาคมของ
   หลวงพ่อสัมฤทธิ์ คัมภีโร   วัดถ้ำแฝด ต.เขาน้อย อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ผู้ค้นพบวัตถุธาตุกายสิทธิ์ แร่เหล็กไหลตาแรด สรรพคุณ 108 โดยเฉพาะทางด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี มีชื่อเสียงสืบมานานกว่า 40 ปี
บูชาพานครู 199 บาท มีวัตถุมงคลแถม (ไม่รู้มีอะไร) สอบถาม 02-4107755 , 02-4107849



ที่เกี่ยวข้อง http://www.watthamfad.com/Index_TH.htm

167
ถ้าผิดกฎ กติกา มรรยาท  ขอให้พิจารณา

แก้ไขใหม่ 18/06/2551












































168
เหรียญพระประธานพุทธมณฑล หลัง หลวงพ่อเปิ่น (ไม่ทราบปีที่ออก)
ล็อกเก๊ต ปี 33

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

169
 ขอแจ้งข่าว หลวงพ่อแล วัดพระทรง มรณภาพ แล้ว

   :'( :'( "หลวงพ่อแล"​เกจิ​เมืองเพชรมรณภาพ
   
เมื่อเวลา​ 11.39 ​น​. ​วันที่​ 10 ​มี​.​ค​. ​ผู้​สื่อข่าวรายงานว่า​ ​พระครูธรรมธรแล​ ​ทิตตโพ​ ​หรือ​หลวงพ่อแล​ ​อดีตเจ้าอาวาสวัดพระทรง​ ​ต​.​ท่าราบ​ ​อ​.​เมืองเพชรบุรี​ ​ซึ่ง​เป็น​พระ​เกจิชื่อดังของเพชรบุรี​ได้​มรณะภาพอย่างสงบที่​โรงพยาบาลเพชรรัตช์​ ​หลัง​จาก​อาพาธ​เพราะ​มีอาการติดเชื้อทางกระ​แสโลหิต​ ​ต้อง​เข้า​รักษาตัว​อยู่​ที่​โรงพยาบาลตั้งวันที่​ 16 ​พ​.​ย​. 50 ​จนกระทั่งมรณภาพลง​ ​สิริอายุ​ได้​ 92 ​ปี​ ​โดย​คณะศิษย์ของหลวงพ่อแล​ได้​นำ​ศพมา​เก็บ​ไว้​ที่กุฏิ​ ​เพื่อเตรียมพิธีรดน้ำ​ศพ​ใน​ที่​ 11 ​มี​.​ค​. ​เวลา​ 09.19 ​น​. ​หลัง​จาก​นั้น​จะ​ตั้งศพบำ​เบ็ญกุศล​ไว้​ที่กุฏิประมาณ​ 50-100 ​วัน​ ​แล้ว​ ​จะ​ได้​หารือ​กัน​ถึง​กำ​หนดวันฌาปนกิจต่อไป​

เดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=157211&NewsType=1&Template=1
ขอแสดงความไว้อาลัยด้วย :101:

170
ศึกษาได้จากเวบฯนี้ ครับ
http://hospital.moph.go.th/somdej17/history.html
http://somdej17.moph.go.th/histsdj/histsdj.html

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

171
 :058: :058: :058:

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

172





คาถาบูชาหลวงพ่อโต​ ​วัดบางพลี​ใหญ่​ใน​

​ตั้งนะ​โม​ ๓ ​จบ​

​อิมินาสักกา​เรนะ​   ​พุทธะมหานุภา​โว​
​อิมินาสักกา​เรนะ​   ​ธัมมะมหานุภา​โว​
​อิมินาสักกา​เรนะ​   ​สังฆะมหานุภา​โว​
​อิ​เมยันตา​ ​มหา​เตชา​   ​มหานุภาตะชาติกา​
​มหามังคะละ​ ​สัมพุทตา​   ​อันตรา​เยวินาสะกา​
​สัพพะถะสุขะ​ ​สัมพุทตา​   ​อเนกาคุณันตา​ ​นานับปะ​โก​
​สัพพะทุกขัง​ ​สัพพะภะ​ยัง​   ​สัพพะ​โรคัง​ ​วินาสสันติ​
​สัพพะลาภัง​ ​สัพพะสุขัง​   ​ภะวันตุ​เมฯ​


อภินิหาร และ ความศักดิ์สิทธิ์ ของหลวงพ่อโต /*-------------

...อันอภินิหารตลอดทั้งความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโตนั้น มีมากมายสุดคณานับซึ่งนับแต่ท่านได้แสดงอภินิหารล่องลอยมาตามกระแสน้ำในทะเล หรือแม้กระทั่งในมหาสมุทร จนกระทั่งได้ขึ้นประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถของวัดบางพลีใหญ่ใน ซึ่งเราท่านต่างก็จงคิดดูเองเถิดว่า มีหรือไม่ว่าโลหะชนิดใดที่จะลอยน้ำมาได้ ซึ่งองค์หลวงพ่อโตเองนั้นก็เป็นทองสัมฤทธิ์ทั้งองค์มีน้ำหนักมาก ถ้ามิใช่เพราะอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อ ทั้งท่านก็แสดงให้ประชาชนได้เห็นกันทั่วแถบตลอดทั้งลำน้ำเจ้าพระยา หรือแม้แต่ที่วัดบางพลีใหญ่ใน ซึ่งท่านประดิษฐานเป็นมิ่งขวัญของชาวบางพลีท่านก็ยังได้แสดงอภินิหารให้ประชาชนเห็นกันอยู่บ่อย ๆ ดังเช่นครั้งท่านประดิษฐานอยู่ในพระวิหารเก่า บางวันที่เป็นวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ กลางคืนผู้คนจะได้ยินเสียงพึมพำอยู่ในวิหารคล้ายเสียงสวดมนต์ ครั้นเมื่อเข้าไปดูก็ไม่เห็นมีใครอยู่ในนั้นเลยนอกจากหลวงพ่อ จนผู้คนที่เข้าไปดูขนลุกซู่ด้วยความเลื่อมใส


...บางคราวพระภิกษุและสามเณรในวัดจะเห็นพระภิกษุชราห่มจีวรสีคร่ำคร่า ถือไม้เท้าเดินออกมายืนสงบนิ่งอยู่หน้าวิหาร ผู้ที่พบเห็นต่างก็เรียกกันมาดู เมื่อทุกคนเห็นพร้อมกันดีแล้ว ภิกษุชรารูปนั้นก็เดินหายเข้าไปในวิหารตรงองค์ของหลวงพ่อ เป็นดังนี้หลายครั้งหลายหน บางครั้งจะมีผู้เห็นเป็นชายชรารูปร่างสง่างามมีรัศมีเปล่งปลั่งนุ่งขาวห่มขาวเข้ามาหาหลวงพ่อแล้วก็หายไปตรงพระพักตร์ของท่าน ซึ่งยังความปลาบปลื้มปีติแก่ผู้ที่ได้พบเห็น และที่ข้างวิหารนั้นมีสระน้ำย่อม ๆ อยู่ ในบางคราวจะมีปลาเงินปลาทอง หรือปลาตะเพียนเงินปลาตะเพียนทองขนาดใหญ่ ๒ ตัว ปรากฏให้เห็นลอยเล่นน้ำคู่กันอยู่ในสระนั้น ซึ่งในสระนั้นไม่เคยมีปลาตะเพียนเงินตะเพียนทองมาก่อนเลย ด้วยนิมิตนี้ทางวัดจึงได้จัดให้มีปลาตะเพียนเงินตะเพียนทองไว้สมนาคุณสำหรับบูชาไว้กับร้านค้าและบ้านเรือน ปรากฏว่าผู้ที่นำไปสักการะบูชาประสบลาภผลอย่างดียิ่งในการทำมาหากินและด้านโชคลาภ จึงถือว่าปลาตะเพียนเงินตะเพียนทองนี้เป็นปลาคู่บารมีของหลวงพ่อโต จึงมีผู้คนต่างนำไปสักการะบูชากันมากมาย เดิมแต่ก่อนนั้นหลวงพ่อโตประดิษฐานอยู่ในวิหารเก่าของวัดบางพลีใหญ่ใน ซึ่งมีอายุเก่าแก่นานคร่ำคร่าและทรุดโทรมลงไปมาก ทางวัดจึงพร้อมกันสร้างพระอุโบสถถวายท่านใหม่ ขณะที่ก่อสร้างก็ได้รื้อวิหารหลังเก่าออกและอาราธนาชะลอองค์หลวงพ่อมาพักอยู่ที่ศาลาชั่วคราว และได้ตัดต้นพิกุลหน้าวิหารซึ่งมีขนาดใหญ่ประมาณ ๓ คนโอบออกเสีย เพราะเห็นว่าขึ้นใหญ่โตและเกะกะบริเวณที่จะสร้างพระอุโบสถขึ้นใหม่ และในคืนวันหนึ่งตรงพื้นเบื้องหน้าห่างหลวงพ่อราว ๒ ศอกเศษ ได้ปรากฏว่ามีรอยมือรอยเท้าแสดงท่าคุกเข่ากราบหลวงพ่อรอยเท้าตอนเข้ามาไม่ปรากฏ ปรากฏแต่รอยเท้าตอนกลับเท่านั้น รุ่งขึ้นเช้าได้มีผู้คนแตกตื่นมาดูกันเป็นการใหญ่ ท่านผู้ใหญ่บางท่านบอกว่าเป็นรอยมือรอยเท้าของนางพิกุลที่มากราบลาหลวงพ่อ ซึ่งผู้ที่เฝ้าองค์หลวงพ่อที่ศาลานั้นได้กล่าวว่าตนเองได้กลิ่นหอมของดอกพิกุลมาก จึงผงกศีรษะขึ้นดูอย่างงัวเงียจึงได้เห็นผู้หญิงสาวสวยผมยาวจรดบั้นเอว นุ่งผ้าและห่มสไบสีคล้ายกลีบดอกจำปามาร่ำไห้กราบลาหลวงพ่อ เมื่อกราบลาหลวงพ่อแล้วก็เดินร่ำไห้ลงบันไดไป และแสดงอภินิหารฝากรอยมือรอยเท้าให้ปรากฏไว้ให้เห็น ต้นพิกุลต้นนี้หลังจากที่ได้ตัดแล้ว ต่อมาภายหลังได้แกะสลักเป็นรูปพระสังกัจจายน์ ประดิษฐานไว้ที่ด้านหน้าวิหารหลังเล็กข้างพระอุโบสถ พระสังกัจจายน์นี้ซึ่งแกะด้วยต้นพิกุลนี้มีชื่อเสียงมากในทางโชคลาภ มีผู้มาขอโชคกันบ่อย ๆ จนเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั่วไปอีกสิ่งหนึ่ง


...และเมื่อสร้างพระอุโบสถเสร็จใหม่ ๆ ก่อนจะอาราธนาหลวงพ่อเข้าไปประดิษฐานภายในพระอุโบสถได้วัดองค์ท่านกับช่องประตูพระอุโบสถ ช่องประตูใหญ่กว่าองค์ท่านประมาณ ๕ นิ้ว ซึ่งสามารถนำท่านชะลอผ่านประตูเข้าไปได้สบายมาก ครั้นเวลาอาราธนาหลวงพ่อเข้าสู่พระอุโบสถจริง ๆ กลับปรากฏว่า องค์หลวงพ่อใหญ่กว่าช่องประตูมาก จะทำอย่างไรก็ไม่สามารถนำท่านผ่านประตูเข้าไปได้ คณะกรรมการและประชาชนทั้งหลายเห็นเช่นนั้นก็พากันตกใจ ให้ความเห็นว่าต้องทุบช่องประตูออกเสียให้กว้าง เมื่อนำหลวงพ่อเข้าไปแล้วค่อยทำประตูกันใหม่ แต่บางท่านให้ความเห็นว่าหลวงพ่อโตคงจะแสดงอภินิหารให้ทุกคนได้เห็นเป็นอัศจรรย์ก็ได้ จึงพร้อมใจกันทั่วทุกคนจุดธูปเทียนบูชาอธิษฐานขอให้หลวงพ่อผ่านเข้าประตูพระอุโบสถได้ เพื่อเป็นมิ่งขวัญคุ้มครองชาวบางพลีสืบต่อไป เมื่อเสร็จจากอธิษฐานแล้ว ก็อาราธนาหลวงพ่อเข้าสู่ประตูพระอุโบสถใหม่ คราวนี้ทุกคนก็ต้องแปลกใจที่องค์หลวงพ่อผ่านเข้าประตูพระอุโบสถได้อย่างง่ายดาย โดยมีช่องว่างระหว่างองค์หลวงพ่อโตกับประตูพระอุโบสถเสียอีก นับว่าเป็นที่น่าอัศจรรย์ในอภินิหาร และความศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อโตยิ่งนัก


...นอกจากนั้น หลวงพ่อโตยังได้ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เจ็บป่วยทั้งหลายที่มาบอกเล่าบนบานกราบนมัสการท่าน บางท่านได้นำน้ำมนต์หลวงพ่อไปเพื่อเป็นสิริมงคล ปรากฏว่าโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นนั้นหายวันหายคืน แม้แต่กระทั่งรูปเหรียญหลวงพ่อโตชาวบ้านทั้งใกล้ไกลต่างพากันห้อยคอให้แก่บุตรหลานของตน เพราะเมื่อเด็กเผลอพลัดตกน้ำเด็กนั้นกลับลอยได้เป็นที่น่าอัศจรรย์ ตลอดทั้งพระเครื่องรางที่ทำเป็นรูปขององค์หลวงพ่อ ก็มีอภินิหารป้องกันภยันตรายต่าง ๆ ได้ และเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๐ หลวงพ่อได้กระทำให้เกิดปาฏิหาริย์ องค์ท่านซึ่งเป็นทองสัมฤทธิ์ เกิดนุ่มนิ่มไปหมดทั้งองค์ดังเนื้อของมนุษย์ หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับพากันลงข่าวอันอัศจรรย์นี้ทั่วไป ประชาชนพากันมาชมบารมีและความปาฏิหาริย์นี้อย่างเนืองแน่น และในปี พ.ศ.๒๕๒๒ ก็เกิดนิ่มขึ้นอีก ๑ ครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องแปลกและมหัศจรรย์มาก


...งานนมัสการหลวงพ่อโต
...ด้วยอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโตเป็นที่นับถือ และเป็นมิ่งขวัญของชาวบางพลี ตลอดจนพุทธศาสนิกชนทั่ว ๆ ไป ทางวัดจึงจัดให้มีการเฉลิมฉลององค์ท่าน โดยมีงานสมโภชเป็นประจำทุกปี งานนี้แบ่งออกเป็น ๓ วาระ ในแต่ละปีคือ
...๑. งานปิดทองรอยพระพุทธบาทจำลองและนมัสการหลวงพ่อโต เริ่มงานตั้งแต่วันขึ้น ๑๕ ค่ำ ถึง วันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๓ รวม ๓ วัน
...๒. งานนมัสการและปิดทองหลวงพ่อโต ซึ่งเป็นงานขององค์ท่านโดยตรง เริ่มงานตั้งแต่วันขึ้น ๑๕ ค่ำ ถึง วันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๔ รวม ๓ วัน
...๓. งานประเพณีรับบัวและนมัสการหลวงพ่อโต เริ่มงานตั้งแต่วันขึ้น ๑๑ ค่ำ ถึง ขึ้น ๑๔ ค่ำ หรือบางทีอาจยืดงานออกไปอีกตามความเหมาะสม งานประเพณีรับบัวนี้เป็นงานประเพณีของวัดมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีการจัดขบวนเรือแห่แหนหลวงพ่อโตองค์จำลองไปตามลำคลองสำโรง มีการประกวดเรือทุกประเภท แข่งเรือ การละเล่นกีฬาต่าง ๆ และมีมหรสพสมโภชมากมาย
...๔. งานทำบุญฉลองที่หลวงพ่อได้นิ่มนั้น ทำบุญฉลองในวันวิสาขบูชา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ของทุกปี.

...ข้อมูลโดยวัดบางพลีใหญ่ใน

173
เหรียญ ในหลวงพระชนน์พรรษา ครบ 3 รอบ ชุดนี้ ตำรวจนิยมใช้ติดตัว และหากันมาก มีแบบตอกโค๊ด สว. และไม่ตอกโค๊ด เหรียญนี้มีพิธีมังคลาภิเษก นะครับ




174
วัดนก จะมีงานประจำปีทุกปี ในเดือนกุมภาพันธ์
แต่เดิม ในวันที่ 9 กุมพาภันธ์ 2551 จะมีพิธีสะเดาเคราะห์ สืบชะตา แบบล้านนา
โดยมีครูบาน้อย เตชชะปํญโญ วัดศรีดอนมูล อ.สารภี จ.เชียงใหม่ เป็นเจ้าพิธี แต่เนื่องจากมี
เหตุสุดวิสัย ครูบาน้อย ไม่สามารถมาทำพิธีให้ได้ จากการติดภาระงานศพ ของครูบาผัด ผู้อาจารย์
ซึ่งมรณภาพ ไปเมื่อไม่นานนี้

ทางวัดนก จึงได้นิมนต์ ครูบาจันทรังษี วัดกู่เต้า อ.เมือง จ.เชียงใหม่ มาเป็นเจ้าพิธีสืบชะตา
สะเดาเคราะห์ แทน ซึ่งท่านครูบาเก่งทางโชคลาภ

ขอเชิญร่วมพิธี ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา 13.30 น. ค่าขันธ์ครู 199 บาท มีวัตถุมงคล แจกแถม มากมาย

โยคี มาบอกกล่าวให้ร่วมทำบุญกัน ข้อมูล คุณสมุทร วัดนก

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

175
หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก
++ เสก ?ปลัดขิก? จนกระดิกได้



เมื่อพูดถึง ?ปลัดขิก? นับเป็นเครื่องรางของขลังที่พระเกจิอาจารย์ดังในอดีตหลายองค์นิยมสร้างกันอาทิ หลวงพ่อเหลือ

วัดสาวชะโงก ฉะเชิงเทรา,หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ชลบุรี,หลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครก เพชรบุรี, ฯลฯ

ปลัดขิกของแต่ละท่าน ล้วนโด่งดัง-เข้มขลังด้วยประสบการณ์ เล่าขานสืบมาจนทุกวันนี้

หนึ่งในเกจิอาจารย์ที่สร้างตำนาน ?ปลัดขิก? จนดังสะท้านประเทศก็คือ ?หลวงพ่อยิด จนฺทสุวณฺโณ? อดีตเจ้าอาวาสวัด

หนองจอก อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ วิทยาคมของท่านนั้นแก่กล้าขนาดที่ว่า สามารถเสกปลัดขิกบินรอบวัด ก่อนจะ

แจกจ่ายให้ญาติโยม

นี่คือเรื่องจริงที่หลายๆ คนได้ประจักษ์กับสายตามาแล้ว

หลวงพ่อเกิดในสกุล ?สีดอกบวบ? เมื่อวันอังคารที่ 10 มิ.ย. 2467 ณ บ้านหัวหรวด ต.นาพันสาม อ.เมือง จ.เพชรบุรี เป็น

บุตรคนที่ 4 ในจำนวนพี่น้อง 7 คน ของนายแก้ว และ นางพร้อย

สมัยเด็กไปอยู่กับหลวงพ่อหวล (มีศักดิ์เป็นน้า) ที่วัดประดิษฐนาราม (วัดนาพรม) จนกระทั่งบวชเป็นเณรเมื่ออายุ 9 ขวบ

และได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ ภาษาขอม เลขยันต์ พร้อมกับเรียนวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อทองสุข วัด

โตนดหลวง

อายุ 14 ปีลาสิกขาออกมาช่วยครอบครัว ซึ่งย้ายไปประกอบอาชีพ ที่อ.กุยบุรี จนอายุ 20 ปีก็กลับมาอุปสมบทที่วัดนา

พรม มีหลวงพ่ออินทร์ (เจ้าคณะจังหวัดเพชรบุรีขณะนั้น) เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อหวล เป็นพระกรรมวาจารย์ พระ

อาจารย์พ่วง วัดสำมะโรง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางธรรมว่า ?จนฺทสุวณฺโณ? มีความหมายว่า ?ผู้มีวรรณะดุจ

พระจันทร์? และได้ศึกษาด้านวิชาอาคม เพิ่มเติมโดยฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงพ่อศุข วัดโตนดหลวง และได้ออกธุดงค์

ศึกษากรรมฐานหายเข้าป่าหลายปีจนได้กลับมาวัดนาพรหม ในปี พ.ศ. 2487 ก็ได้ทราบข่าวการป่วยของบิดา
ต่อมาบิดาเสียชีวิต ท่านจึงลาสิกขาออกมาดูแลมารดา และได้มีครอบครัว อยู่กินกับนางธิติจนมีบุตรหนึ่งคน
      ส่วนลูกศิษย์เก่า ๆ ที่ได้จากการสักจากหลวงพ่อ พอรู้ข่าวก็ได้มาสักกันเพิ่มขึ้นจนมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่มีบางคนที่ได้

รับการสักยันต์จากหลวงพ่อแล้วกลับประพฤติตนเป็นอันธพาล จนทางตำรวจท้องที่ต้องขอร้องอาจารย์ยิด(ขณะนั้น) ให้

เพลา ๆ การสักยันต์ลง
ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้งในปี พ.ศ.2517 ณ วัดเกาะหลัก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งขณะนั้นท่านอายุ 51

ปี หลังจากนั้นได้มาจำพรรษาที่วัดทุ่งน้อย ต.เขาแดง อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ต่อมาผู้มีจิตศรัทธาซึ่งเลื่อมใสในตัว

ท่านได้มอบที่ดิน 21 ไร่ 2 งาน ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ต.ดอนยายหนู อ.กุยบุรี ให้สร้างเป็นสำนักสงฆ์ชื่อ ?สำนักสงฆ์พุทธ

ไตรรัตน์? เมื่อปี พ.ศ.2518 ก่อนจะขออนุญาตสร้างเป็นวัดเมื่อปี พ.ศ.2527 ตั้งชื่อว่า ?วัดหนองจอก? ปี พ.ศ.2535

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงประทานพัดยศแก่ท่าน เป็น ?พระครูนิยุตธรรมสุนทร?

หลวงพ่อยิดนั้นได้ชื่อนักพัฒนาที่มีฝีมือรูปหนึ่ง เห็นได้จากการสร้างสรรค์พัฒนาให้วัดหนองจอก จนเป็นวัดที่สมบูรณ์มี

ถาวรวัตถุทางศาสนาครบ ยากที่จะหาวัดใดๆ สร้างได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้ ท่านยังพัฒนาจิตใจและการ

ศึกษาของเด็กและเยาวชนอย่างเต็มที่ โดยสนับสนุนด้านทุนการศึกษา,ทุนอาหารกลางวันแก่โรงเรียนหลายแห่งใน จ.

ประจวบฯ รวมทั้งร่วมสร้างสาธารณประโยชน์แก่สถานที่ราชการและหน่วยราชการมากมาย

สมัยยังชีวิต ท่านมีกิจนิมนต์ในการปลุกเสกพระเครื่องรางของขลังทั่วประเทศจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ในวันเสาร์ 5

ท่านปลุกเสกวัดแรกที่ จ.นครสวรรค์ วัดสุดท้ายที่วัดหนองจอก แต่ละวัดจะปลุกเสกวัดละ 30 นาที รวมทั้งหมดวันเดียว

ปลุกเสก 9 วัด

การรับแขกของหลวงพ่อยิดแต่ละวันนั้น บางวันแทบไม่ได้ลุกไปห้องน้ำเลย นอกจากฉันอาหารเพลเท่านั้น แม้แต่ยาม

อาพาธ ก็ยังแสดงความอดทน ออกมาต้อนรับญาติโยมเหมือนไม่เป็นอะไรเลย

ยิ่งเรื่องการเขียน การจารวัตถุมงคลด้วยแล้ว บางวันถึงขนาดไม่ได้ฉันข้าวก็มี เมื่อเขียน,จารเสร็จแล้ว ท่านจะเอานิ้วที่

ซีดแนบเนื้อติดกระดูกให้ผู้อยู่ใกล้ชิดดู จนต้องช่วยกันบีบนวดให้เพราะสงสารท่าน

พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ส่วนมากจะมีปัญหาเกี่ยวกับผู้ใกล้ชิด ลูกศิษย์ กลุ่มพุทธพาณิชย์ หาผลประโยชน์

จากการสร้างวัตถุมงคลเพื่อหวังผลกำไรจำนวนมหาศาล เช่นเดียวกับหลวงพ่อยิดซึ่งมีหลายกลุ่ม แต่ท่านจะไม่ว่าอะไร

ใครทั้งสิ้น

เมื่อมีผู้ถาม ท่านก็จะตอบว่า ?ใครที่ประพฤติตนหาผลประโยชน์จากพระ บุคคลนั้นต่อไปจะยากจน เพราะตัวเองจะป่วย

แล้วก็ใช้เงินจากการจำหน่ายพระมารักษาตัวจนหมดสิ้น และชีวิตก็จะอยู่ไม่มีความสุขภายในครอบครัว? และวาจาท่านก็

ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งเสียด้วย เพราะมีหลายคนที่เป็นไปตามคำพูดนั้น

เรื่องแปลกของหลวงพ่อยิดเรื่องหนึ่งก็คือ ท่านสรงน้ำปีละครั้ง ในเดือน 4 ในวันอาทิตย์แรกของข้างแรม สาเหตุก็เนื่อง

มาจาก ท่านได้รับปากกับอาจารย์ที่สอนวิชาอาคมให้สมัยที่ยังเป็นฆราวาส เมื่อเรียนจบแล้ว ท่านก็อาบน้ำ จนกระทั่งบวช

เป็นพระก็สรงน้ำปีละครั้งตลอดมาจนมรณภาพ

ลูกศิษย์และผู้เคารพศรัทธาจะเอาแปรงทองเหลืองขัดตัวท่าน ท่านจะยิ้มเพราะไม่เจ็บ และไม่ระคายผิวหนังแม้แต่น้อย

กระทั่งปี พ.ศ.2535 เป็นต้นมา จึงงดใช้แปรงขัดเนื่องจากหมอขอร้อง เพราะแม้ผิวหนังท่านจะคงกระพันจริง แต่เนื้อและ

เส้นโลหิตไม่ได้คงกระพันด้วย อาจจะเป็นอันตรายได้

ท่านมักจะสอนศิษย์เสมอว่า การที่จะปลุกเสกวัตถุมงคลให้ขลังนั้นจะต้องมีสมาธิ และสัจจะ โดยเฉพาะสัจจะสำคัญมาก

เพราะฉะนั้น วัตถุทุกชนิดเมื่อผ่านการปลุกเสกจากท่าน จึงเชื่อถือกันว่ามีความขลังและศักดิ์สิทธิ์มาก

ที่โด่งดังและรู้จักกันดีทั่วประเทศก็คือ ?ปลัดขิก? ซึ่งท่านปลุกเสกจนกระดุกกระดิกเคลื่อนไหวได้ เป็นที่อัศจรรย์แก่ผู้พบ

เห็น

แม้แต่ผู้ที่มีความรู้เป็นถึงนักเรียนนอกอย่าง ม.ล.ปาณสาร หัสดินทร อดีตรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ยังนับถือ

เพราะได้ประสบมากับตาตนเอง

คุณวิเศษในปลัดขิกที่ผ่านการปลุกเสกจากท่าน ใช้ดีในทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาด ค้าขาย เรื่องแมลงสัตว์กัดต่อย

เช่น ตะขาบ แตน ต่อ แมงป่อง เอาไปวนบริเวณที่กัดจะหายเป็นปลิดทิ้งทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความเชื่อความศรัทธาเป็นที่ตั้ง

แต่สิ่งหนึ่งที่ฝังอยู่ในใจศิษย์ตลอดมาก็คือภาพอดีตที่ฉายให้เห็นถึงคุณงามความดีที่
ท่านสร้างไว้ให้วัดหนองจอก,พระพุทธศาสนา และพุทธศาสนิกชนทั่วไป ซึ่งไม่มีวันลบเลือนไปง่ายๆ เด็ดขาด

มรณภาพ
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2538 สิริอายุ 71 ปี 30 พรรษา


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

176
ตะกรุดเสือเผ่น + ปลอกลูกปืน หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

177
คัดลอกมาถ่ายทอดอีกที่

อิทธิฤทธิ์อีกประการหนึ่งของมีดหมอนั้นก็คือ "การสังหารฝ่ายตรงข้ามที่มีวิชาอาคมหรือพวกหนังเหนียว พวกที่สักยันต์ตะกร้อ (อย่างเช่นจอมโจรตี๋ใหญ่) ถ้าจะกล่าวว่าใช้อาคมฆ่าคนที่มีอาคมคงจะได้กระมัง" เชื่อกันว่าสมัยที่เสือขาวจะถูกยิงเป้านั้น (เสือขาวเป็นจอมโจรเจ้าของฉายาขุนโจรร้อยศพ มีประวัติเหี้ยมโหดมากฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กแรกเกิด เสือขาวมีของดีที่อยู่กับตัวคือ "ลูกอมหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว จังหวัดฉะเชิงเทรา") หลวงพ่อดิ่งได้เตือนเสือขาวว่า "มึงจะต้องตายโหงหากไม่เลิกเป็นโจร" เสือขาวตอนนั้นกำลังทะนงตัว เพราะไม่มีอาวุธใด ๆ ทำอันตรายเสือขาวได้เลย ปืนก็ยิงไม่ออก มีดก็แทงไม่เข้า ความเป็นอมตะของเสือขาวนี้เอง ทำให้เกิดความลำพองใจไม่ฟังคำเตือนของหลวงพ่อดิ่งซึ่งเป็นอาจารย์ของตัวเอง ตำรวจชุดไล่ล่าซึ่งประกอบด้วย ร.ต.อ.พจน์ รัตนดิลก จ่าบุญมี แก่นกระโทก จ่าดวง เดชชาติ ได้มาหาหลวงพ่อดิ่งที่วัดบางวัว แล้วถามว่าจริงหรือที่ว่าเสือขาวนั้นหนังเหนียว หลวงพ่อดิ่งบอกว่า "จริง ไอ้ขาวมันหนังเหนียว ยิงฟันไม่เข้าหรอก แต่มันจะแพ้ดวงของมันเอง อาตมาบอกไม่ได้หรอกว่าจะสังหารไอ้ขาวได้อย่างไร เพราะมันจะเป็นการผิดศีล" >>
> >
ตำรวจชุดไล่ล่าลาหลวงพ่อดิ่งกลับ ในขณะนั้นมีตาเถรคนหนึ่งซึ่งรู้จักกับจ่าบุญมีได้มาบอกว่า "ถ้าจะสังหารไอ้ขาว จะต้องใช้ลูกปืนที่หัวกระสุนทำด้วยใบมีดหมอ มีดหมอต้องเป็นของหลวงพ่อโศก วัดปากคลอง จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งหลวงพ่อโศกเป็นพระสหายของหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว วิชาอาคมของหลวงพ่อดิ่งที่ลงไว้ หลวงพ่อโศกท่านจะจารแก้ไว้บนใบมีดหมอของท่าน" สมัยก่อนนั้นมีดหมอของหลวงพ่อโศก วัดปาคลองยังพอที่จะหาได้ไม่เหมือนในเวลานี้ ซึ่งหามีดหมอของท่านไม่ได้อีกแล้ว ซึ่งหาได้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเป็นของแท้หรือเปล่า เพราะของปลอมมีแยะเหลือเกิน ทำได้เหมือนของจริงจนแยกแยะไม่ออก เสือขาวได้ปะทะกับตำรวจชุดไล่ล่าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับทุกครั้ง เพราะกระสุนเพียงนัดเดียวมันก็เกินพอที่จะทำให้เสือขาวถึงกับทรุดท้องทะลุแม้ว่าจะไม่ตายแต่ก็คางเหลืองสิ้นลายของคำว่า "จอมโจรหนังเหนียว" นับตั้งแต่บัดนั้น เสือขาวถูกพิพากษาโทษให้ประหารชีวิต (ยิงเป้า) ซึ่งกระสุนที่เพชรฆาตใช้สังหารเสือขาว หัวกระสุนทั้งหมดที่ใช้ยิงทำจากใบมีดหมอของหลวงพ่อโศก วัดปากคลองทุกนัด >>
> >
การนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเครื่องราง - ของขลังผมอยากจะให้ท่านผู้อ่านเข้าใจว่า เรื่องวิชาอาคมอำนาจไสยศาสตร์ มันเป็นเรื่องลี้ลับแต่ไม่ใช่เรื่องไร้สาระไม่น่าเชื่อถือ ผมขอให้เชื่อเถิดว่าอำนาจของเครื่องราง - ของขลังนั้นมีจริง ๆ บางสิ่งบางอย่างเราอย่าไปยึดหลักของวิชาวิทยาศาสตร์มากจนเกินไปนัก เพราะวิทยาศาสตร์มันก็ไม่ใช่วิเศษมาจากไหน หลายต่อหลายครั้งที่หลักการทางวิทยาศาสตร์ ถูกหักล้างกันเองเมื่อความจริงปรากฏขึ้นในภายหลังปรากฏ เรื่องราวของมีดหมอคนในวงการพระเครื่อง ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปว่าเป็น "ของจริง" ต่างยอมรับกันว่ามี อิทธิ์ฤทธิ์จริง ๆ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากเราจะพบว่ามีพวกภัยสังคมเป็นจำนวนมาก ทำมีดหมอปลอมขึ้นมาหลอกขายชาวบ้าน ทำให้หลงผิดคิดว่าเป็นของแท้ แต่นำไปใช้ไม่ได้เกิดอิทธิ์ฤทธิ์จริงตามคำกล่าวขวัญถึง เป็นเรื่องที่ไม่มีทางปกป้อง และบทลงโทษตามกฎหมายก็เบาเหลือเกิน สิ่งที่ท่านจะต้องท่องให้ขึ้นใจก็คือ "หากของนั้นดีจริง.....ไม่มีใครหรอกครับเขาจะปล่อยให้หลุดมือไปเป็นของคนอื่น"
ที่มา http://www.devalai.com/story11.htm>>


179
ธรรมะ / ฤาษีกินเหี้ย
« เมื่อ: 06 ม.ค. 2551, 01:12:43 »
ฤาษีกินเหี้ย

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้หลอกลวงรูปหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีดาบสผู้มีตบะกล้าตนหนึ่ง เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้าน จึงได้สร้างศาลาไว้ให้ที่ชายป่าแห่งหนึ่งใกล้บ้าน ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นเหี้ยตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ที่จอมปลวกแห่งหนึ่ง ใกล้ที่จงกรมของดาบสนั้น มันจะไปหาดาบสวันละสามครั้งเป็นประจำทุกวัน เพื่อฟังธรรม ไหว้ดาบสแล้ว จึงกลับไปอยู่ที่อยู่ของตน

ต่อมาไม่นาน ดาบสนั้น ได้อำลาชาวบ้านไปที่อื่น ได้มีดาบสโกงตนหนึ่ง เข้ามาอาศัยในศาลานั้นแทน เหี้ยพระโพธิสัตว์ก็คิดว่า แม้ท่านผู้นี้ก็ทรงศีลเหมือนกัน จึงไปหาดาบสนั้นเช่นเดิม

อยู่มาวันหนึ่ง ฝนได้ตกมาในฤดูแล้ง ฝูงแมลงเม่าได้พากันบินออกจากจอมปลวกเป็นจำนวนมาก ฝูงเหี้ยก็ได้ออกมากินแมลงเม่าเหล่านั้น พวกชาวบ้านพากันออกมาจับเหี้ยแล้วปรุงเป็นอาหาร รสอร่อยนำมาถวายดาบส ดาบสได้ฉันเนื้อนั้นแล้วติดใจในรส เมื่อทราบว่าเป็นเนื้อเหี้ย จึงคิดได้ว่า

" มีเหี้ยใหญ่ตัวหนึ่งมาหาเราเป็นประจำ เราจะฆ่ามันกินเนื้อ "

จึงให้ชาวบ้านเอาเครื่องปรุงมาไว้ให้ ได้นั่งถือค้อนห่มคลุมผ้าอยู่ที่ประตูศาลา


เย็นวันนั้น เหี้ยโพธิสัตว์ ได้ไปหาดาบสตามปกติ ได้เห็นท่านั่งที่แปลกของดาบส คิดว่า " วันนี้ดาบส นั่งท่าที่ไม่เหมือนวันก่อน นั่งชำเลืองเราเป็นประจำ " จึงไปยืนดูอยู่ใต้ทิศทางลม ได้กลิ่นเนื้อเหี้ย จึงทราบว่า " ดาบสโกงนี้ คงฉันเนื้อเหี้ย ติดใจในรสแล้ว คราวนี้ หวังจะตีเรา เอาเนื้อไปแกงเป็นอาหารแน่ๆ " จึงไม่ยอมเข้าไปใกล้ ถอยกลับแล้ววิ่งหนีไป

ฝ่ายดาบสโกงทราบว่าเหี้ยรู้ตัวไม่ยอมมาแล้ว จึงลุกขึ้นขว้างค้อนตามหลังไป ค้อนได้ถูกเพียงหางเหี้ยเท่านั้น เหี้ยได้หลบเข้าไปในจอมปลวกอย่างรวดเร็ว โผล่เพียงศีรษะออกมาเท่านั้น กล่าวติเตียนดาบสด้วยคาถานี้ว่า

" นี่เจ้าผู้โง่เขลา จะมีประโยชน์อะไรแก่เจ้า ด้วยชฎาและการนุ่งห่มหนังเสือเหลือง
ภายในของเจ้าแสนจะรกรุงรัง เจ้าดีแต่ขัดสีภายนอกเท่านั้น "


อำนาจของความอยาก ทำให้คนลืมตัว

* เรื่องที่๘ ในอสัมปทานวรรค หน้า ๕๔๗-๕๕๐ พระสูตรและอรรถกถาแปล ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่มที่ ๓ ภาคที่๒

ที่มา : หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๑ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น


http://xchange.teenee.com/index.php?showtopic=60349

180
เหรียญบูชาครู ปี 2551 ออกแล้ว สวยงามมาก ขนาด 5 ซม.กว่า ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อ หันข้าง
ด้านหลัง หน้าเสืออยู่ ในยันต์ แปดทิศ ล้อมด้วยราหู 8 ตน
ผมขาดเทคโนโลยี ไม่มีภาพให้ชม   ใครมีช่วยลงให้สมาชิกชมภาพหน่อย

181
--------------------------------------------------------------------------------

"ข้อห้ามในการแขวนพระ" สิ่งสำคัญที่ควรศึกษา

โดย...รณธรรม ธาราพันธุ์

         ข่าวคนที่ถูกยิง  ถูกแทง  ถูกตีจนตาย ทั้งที่มีพระเต็มคอ  ตะกรุดเต็มเอว  พบเห็นได้ดาษดื่น บ่อยครั้งเป็นเหตุให้คนที่มีศรัทธาในของขลังเริ่มคลอนแคลน ที่ไม่ศรัทธาอยู่แล้วก็หยิบยกมาโจมตีว่า  ไม่เห็น  “วิเศษ”  ดังคำคุย
         เป็นเพราะอะไร
         จะมีสักกี่คนที่คิดเจาะลึกลงไปถึงเบื้องหลังของสาเหตุว่า ทำไมวัตถุมงคลเหล่านั้นจึงไร้      “ประสิทธิภาพ”  คิดแบบตื้นๆก็ต้องว่า ของขลังเหล่านั้นไม่ขลังจริง  คิดให้ลึกไปอีกหน่อยก็ต้องว่า ของนั้น  “เคยขลัง”  แต่ต้องมาเสื่อมเพราะใครคนนั้นเอง คิดแบบลึกสุดใจก็ว่า “กรรม”
        “กรรม”  แปลว่าการกระทำ ซึ่งมีทังทำดี-ทำชั่ว  พูดถึงตรงนี้ก็มีเสียงค้านกัน  “ตึม”  ว่า  แล้ว  “ไอ้เสือ”  ที่ปล้น  ฆ่าชิงทรัพย์ในยุคเก่าก่อนเล่า  เหตุใดจึง “หนังดี” ทั้งๆที่เขาเหล่านั้นก็ทำชั่ว แต่ความขลังก็ยังคงอยู่  ทำไมไม่เสื่อม
        ผมตอบทันที เพราะไม่ผิดครู...!!
        ใช่ว่าผมจะไม่เชื่อกรรม  ไม่เชื่อผลของกรรม  แต่กรรมบางอย่างก็ไม่อาจให้ผลได้ในปัจจุบัน  ทั้งคนที่เป็นเสือและคนที่เป็นเจ้าทรัพย์ ก็ล้วนแล้วแต่สร้างกรรมมาร่วมกัน  เป็นเหตุให้ต้องมาพบกันในลักษณะนั้น  เรื่องกรรมมันลึกซื้งซับซ้อนยากจะอธิบาย  ต้องคุยกับระดับพระมหาเถระอาจกระจ่างได้บ้าง
         แต่เรื่อง  “แรงครู”  คุยกับผมก็ได้
        หลวงพ่อพุธ  ฐานิโย  วัดป่าสาลวัน  จ.นครราชสีมา  เคยเล่าให้ผมฟังว่า  ท่านมีลูกศิษย์ผู้ชายอยู่  2  คน สมมตินามว่า  “ยอด”  กับ  “ยิ่ง”  ทั้งสองเป็นคนใจถึง เข้าทำนอง  “ใจนักเลง”  (ไม่ใช่อันธพาล) เขา  2  คนนับถึงหลวงพ่อพุธมาก  เคยมาขอพระจากท่าน  ท่านก็ให้เหรียญ รุ่นดีเซลราง  ซึ่งเป็นเหรียญรุ่นสองในชีวิตท่าน  แต่เป็นรุ่นแรก  ขณะที่มาเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสาลวัน แก่เขาไปคนละเหรียญ  เขาก็แขวนคอทันที
        แขวนไม่นาน  ยอดก็ประคองยิ่งมาต่อว่าหลวงพ่อเป็นการใหญ่ว่า  พระรุ่นเดียวกัน รับพร้อมกัน  แต่ทำไมไม่ขลังเลย  เจ้ายิ่งโดนยิงทะลุไส้แตก  เพราะอะไร หลวงพ่อเงียบไปในทันที  ไม่ใช่เงียบในลักษณะ  “จน”  แต่เป็นการ  “ตรวจสอบ”  บางอย่างโดยวิธีของท่าน  สักพักท่านก็พูดเย็นๆ  ขึ้นว่า
        “เพราะเพื่อนคุณไปเปิดประตูทอง”
        สองคนนั้นงง  อะไรคือประตูทอง  ท่านเฉลยต่อ  “ก็คุณ”  ชี้ไปที่คนถูกยิง  “ไปด่าแม่เขาเข้านะสิ  นั่นละเปิดประตูทอง”  สองหนุ่มก็กระจ่างใจในบัดดล จึงขอขมาหลวงพ่อแล้วเล่าถวายว่า
 เขาไปดื่มสุราในร้านอาหารแห่งหนึ่ง  พบกับคู่อริที่ไม่ชอบหน้ากันเลยเกิดตะลุมบอนขึ้น  เขามีกันสองคน  แต่พวกนั้นมีเกือบสิบ  ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ถอย  วาดลวดลายจนนักเลงมวยหมู่ตั้งตัวไม่ติด  1  ใน  10  นั่นก็เลยชักปืนขึ้นมาแล้วกระโดดเข้าล็อกคอหนุ่มยอด  เอาปืนกดขมับแล้วลั่นไกทันที
       เล่าถึงตอนนี้หลวงพ่อทำมือทำไม้ประกอบ  พลางว่า  “มันยิงดัง..แต๊บ...แต๊บ...แต๊บ...สามนัดแต่ไม่ออก”  ข้างหนุ่มยิ่งเห็นคู่อริเอาปืนจ่อหัวเพื่อนก็เข้าใจว่า  “ข้างหนุ่มยิ่งเห็นคู่อริเอาปืนจ่อหัวเพื่อนก็เข้าใจว่า “ขู่”  ให้กลัวเท่านั้น  จึงร้องตะโกนออกไปว่า  “...แม่!  แน่จริงคุณอย่าใช้ปืนสิวะ”  ไอ้คนยิงฉุนกึก  ใจกะจะฆ่าอยู่แล้วไม่ใช่แค่ขู่    เลยเบนกระบอกปืนไปที่คนปากเก่งแล้วลั่นไก
        “ปัง”
        แม่นยังกับจับไปวาง  กระสุนทะลุท้องทันที หนุ่มยิ่งถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้น  คู่อาฆาตเห็นท่าไม่ดี  เลยเผ่นตะโพงกันไปหมด  ทั้งสองจึงมีเรื่องมาต่อว่าหลวงพ่อด้วยประการฉะนี้
 ก็เหรียญรุ่นเดียวกันรับพร้อมกัน  อันหนึ่งยิงออก อันหนึ่งไม่ออก  ทำไมจะไม่แปลกใจ  เดชะบุญว่าหลวงพ่อมี  “จิตรู้” ที่แจ่มใส ท่านจึงทราบความเป็นมาเป็นไปของคนทั้งสอง แล้วตอบ  “เคลียร์”  ให้เข้าใจหาไม่แล้วหลวงพ่อคงถูกให้ร้ายว่าไม่เก่งจริง
        ได้โอกาสผมจึงเรียนถามว่า  “แสดงว่าพระของหลวงพ่อห้ามคนแขวนด่าพ่อด่าแม่ใช่ไหมครับ”  ท่านตอบว่า  “ไม่ใช่แต่ของหลวงพ่อดอก  ของใครก็ห้ามเหมือนกัน  เพราะพระสงฆ์เวลาปลุกเสกพระ ท่านก็เชิญคุณพระพุทธเจ้า  พระธรรม  พระสงฆ์  คุณบิดามารดา  ครูบาอาจารย์  มาเหมือนๆกัน  ฉะนั้นเมื่อไปลบหลู่คุณของท่านเหล่านั้น มันก็เท่ากับเราลบหลู่ครูบาอาจารย์ของเราด้วย”
        “สรุปว่าพระของหลวงพ่อห้ามอะไรบ้างครับ”
        ท่านยิ้มแล้วว่า  “พระของหลวงพ่อห้ามคนแขวนลบหลู่บุพการี  (คือพ่อแม่)  ของตัวเอง  และคนอื่น  ห้ามลบหลู่ครูบาอาจารย์ของคนอื่น  ถ้าทำได้อย่างนี้พระนั้นขลังจริง”
         นั่นเป็นข้อห้ามที่ฟังมาจากท่าน
         อาจื๊อ  (คุณเพียรวิทย์  จารุสถิติ)  เคยเล่าให้ผมฟังว่า  คนแขวนพระหลวงปู่ทิม  อิสริโก  วัดละหารไร่  ตั้ง 3 องค์ แต่ถูกยิงตาย ประดาศิษย์มาซักไซ้เอากับหลวงปู่ถึงกุฏิ  เพราะพระที่แขวนก็แท้ แต่ถูกยิงเข้า หมายความว่าอย่างไร  เรื่องนี้มันสั่นประสาท  “คนเป็น”  ที่ยังแขวนพระท่านเสียจริง  จึงต้องถาม
       ทำไมเป็นอย่างนั้น?
       ท่านเงียบไปอึดใจ ก่อนตอบว่า
       “พ่อแม่มัน มันยังไม่เอา จะให้พระเอามันได้อย่างไร”
        สืบไป  สืบมา ได้ความว่า เขาคนนั้นเป็นคนขี้เหล้า  ขี้พนัน  เมื่อขอเงินพ่อแม่ไม่ได้ก็ประเคนให้ด้วยแข้ง เข่า ไม่เอาพ่อเอาแม่จริงๆ
        นี่ถ้าหลวงปู่ไม่แจ่มแจ้งในเชิง “ฌาน”  ต้องจนแต้มอย่างไม่ต้องสงสัย
       นั่นเป็นเรื่องที่สองพระเถระต่างวัยต่างยุคสมัยบอกเล่าได้ตรงกัน  แสดงถึงข้อห้ามอย่างชัดเจนว่า  พ่อ-แม่ เป็นของสูง จะนำมาพูดจาบจ้วงล่วงเกินไม่ได้เลย  มิฉะนั้นจะมีผลดังที่เล่ามา
 ยังไม่จบเพียงนั้น
        เพื่อนผมคนหนึ่งแขวนเหรียญ  “พ.ฆ.อ.”  เนื้อเงิน  เป็นรูปสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์  (เจริญ ญาณวโร)  พระอุปัชฌาย์ของท่านเจ้าคุณนรฯอยู่ เหรียญนี้ท่านเจ้าคุณนรฯ ได้ทำการอธิษฐานจิตให้ถึง  2  ครั้ง  2  คราว   เรียกว่า  “ขลัง”  พอดู
        เมื่อผมพบเขาเรื่องที่คุยก็ไม่พ้นพระ ตอนหนึ่งผมถามว่ามีภรรยามาแล้วตั้ง  2  คน เวลาหลับนอนแบบนั้นถอดพระบ้างไหม  เขาตอบอย่างมั่นใจ  “ไม่ถอด” ผมตกใจมาก  แต่ก็ทำหน้าให้เป็นปกติ ถามต่อว่า  แล้วไปเที่ยวสถานบริการที่มีผู้หญิงแบบนั้น  ถอดไหม  “ไม่เคยถอด”  หนำซ้ำเขายังถามคืนว่า  “ถอดไปทำไม  พระอยู่ที่ใจ”
       เออ ! คนเรานี่ก็แปลก  ถ้าว่าพระอยู่ที่ใจจริง แล้วจะแขวนพระเครื่องไปทำไมเล่า  แล้วพระอะไรหนอที่เข้าไปสิงใจเพื่อนผมแล้วชวนมันไปเที่ยวที่อย่างว่า  ชวนมันไปกินเหล้า  ถ้าพระชนิดที่มันบอกมีจริง  โปรดอย่ามา  “อยู่ที่ใจ”  ผมเลย
       ผมเสียว !
       แล้ววันแห่งความพลิกผันในชีวิตของเขาก็มาถึง  เมื่อวันหนึ่งเพื่อนเอาปืนมาหยอก แล้วลั่นไกแบบหยอกๆ  ลูกปืนก็เลยออกแบบหยอกๆ  แต่ผลของมัน  “ไม่ใช่หยอก”
       เพราะมันทะลุปอดซ้าย แล้วไปหยุดอยู่ที่กระดูกสันหลัง  เมื่อแพทย์โรงพยบาลสมิติเวชดึงหัวกระสุนปืนออก น้ำไขสันหลังก็เยิ้มหนืบตามลูกกระสุนออกมาราวกับเยลลี่  ผลของมันก็คือทำให้เพื่อนของผมเป็นอัมพาตตั้งแต่เอวลงไปสุดปลายเท้าตลอดชีวิต
       สังเวยความดื้อ ด้วยวัยเพียง  24  ปี
        เมื่อผมไปเยี่ยม เขารำพึงว่า  “เชื่อนายเสียก็ดี”  ผมมาคิดดูว่าถ้าเขาต้องมีอายุขัยสัก  70  ปี  เขาต้องทรมานอย่างนี้ไปอีกตั้งเท่าไหร่  มันไม่คุ้มเลยกับที่เราเชื่อความเห็นของตนเองชนิดที่ไม่ยอมรับครูบาอาจารย์  เรื่องทำนองนี้ยังมีอีก
        รุ่นน้องของผมคนหนึ่งชื่อ  “จุ๊”  มาขอพระหลวงปู่ทิม  อิสริโก  จากผม เพราะรู้ว่าผมมีเยอะ  ผมก็ให้เหรียญห่วงเชื่อม  8  รอบไป  เขาก็รีบนำไปเลี่ยมพลาสติกแขวนคอ  วันหนึ่งเกิดอยากเที่ยวที่แบบนั้นประสาหนุ่มน้อย ก็ชวนน้องชายขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่โรงแรมเล็กๆ  แห่งหนึ่งในตัวเมืองชลบุรี
        ด้วยความที่ผมย้ำ  “ข้อห้ามสากล”  สำหรับพระทุกชนิดว่า
       1.  ห้ามด่าแม่
       2.  ห้ามเป็นชู้ลูกเมียเขา
       3.  ห้ามใส่พระเข้าสถานบริการทางเพศ หรือใส่มีเพศสัมพันธ์เด็ดขาด
       ถ้าฝ่าฝืน พระต้องเสื่อมแบบถาวรอย่างไม่ต้องสงสัย  หนุ่มจุ๊ก็ได้คิด ก่อนจะเข้าไปเลยถอดพระออกจากคอไปสวมให้น้องชาย นาม  “โจ้”  ไว้แทน และกำชับว่าให้คอยอยู่นอกรั้วนี้  ห้ามเข้าไปเด็ดขาด  พี่จะเข้าไปคุยกับเพื่อนเดี๋ยวออกมา  ว่าแล้วก็จ้ำอ้าวเข้าไป  ปล่อยให้น้องโจ้คอยอยู่นอกรั้ว
       ข้างหนุ่มโจ้รออยู่ครึ่งชั่วโมง  พี่ชายก็ไม่ยอมออกมา  แดดก็ร้อน  เลยคิดว่าขอเข้าไปหลบแดดที่ชายคาบ้านคงไม่เป็นไร  คิดแล้วก็ล็อกมอเตอร์ไซค์ พลางเดินมุ่งตรงไปที่ตึก เพียงแค่หนุ่มโจ้เดินผ่านประตูรั้วเหล็กเข้าไปเท่านั้นเขาก็ต้องตกใจชะงักอยู่กับที่เมื่อได้ยินเสียงวัตถุบางอย่างแตกดัง “เปรี๊ยะ”
       เสียงนั้นอยู่ใกล้เหลือเกิน  โจ้จึงก้มลงมองหารอบๆเท้า ด้วยเข้าใจว่าคงเหยียบเศษอะไร  แต่ก็ไม่พบ  ครู่เดียวก็เกิดเอะใจจึงล้วงสร้อยคอออกมาดู  ปรากฏว่าพลาสติกที่เลี่ยมเหรียญหลวงปู่ทิมเกิดการ  “ระเบิด”  ย่อยๆ จนพลาสติกแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย  เฉพาะตรงด้านหน้าที่เป็นรูปท่านเท่านั้นที่คงสภาพเดิม
        น่าอัศจรรย์จริงๆ
       โจ้ยืนงงคิดไม่ตกอยู่กับที่เป็นนานสองนาน เมื่อพอจะเข้าใจได้ลางๆ  ก็เผ่นพรวดออกมายืนข้างมอเตอร์ไซค์  พอพี่ชายตัวดีเดินตัวลอยกลับมาก็ฉะเสียยกใหญ่  คาดคั้นว่าที่เข้าไปไม่ใช่บ้านเพื่อนใช่ไหม  พี่ก็โวยวายว่ารู้ยังไง อย่ามามั่ว  โจ้จึงงัดพระออกมาให้ดู
       เลยเงียบไปอีกคน
       แล้วสารภาพเสียงอ่อย  “เออ!  นั่น...ซ่อง...”  จากนั้นก็ตรงมาหาผม  2  คนนั่นเลยได้ฟังเทศน์เสีย  3  ชั่วโมงรวด  ก็ผมเสียดายของผมนี่นา
       ผมเก็บเหรียญนั้นไว้ถึง  3  ปี  เพื่อเป็นตัวอย่างบอกเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง จนพระหลวงปู่หายากเข้า  คุณป๊อบ เจ้าของร้านข้าวมันไก่โอเชี่ยนจึงมาออดอ้อนขอเอาไป ไม่อย่างนั้นผมจะมีรูปเหรียญทั้งพลาสติกเดิมมาให้ชม
       เห็นไหมเรื่อง  “มาตุคาม”  กับพระเข้ากันได้เมื่อไร  กรณีหนุ่มจุ๊ถือว่าโชคดีที่หลวงปู่ทิมท่านเมตตา  “แสดง”  ให้รู้ว่าอาตมาไม่อยู่ด้วยละ  แต่กรณีท่านเจ้าคุณนรฯท่านไปแบบเงียบๆ  คนแขวนเลยไม่ทันระวังตัว  อันตรายจริงๆ   
       พูดเรื่องนี้มีอีกเยอะ  เพื่อนบางคนแขวนเหรียญหลวงปู่แช่ม  วัดฉลอง จ.ภูเก็ต  เข้าสถานบริการกลับออกมาเหลือแต่ตลับ เหรียญข้างในหายจ้อย สร้อยก็อยู่กับคอ ตลับก็ไม่ได้เปิด พระไปได้อย่างไร  อีกคนใส่ตะกรุดหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เกิดหักโป้งเป็น  2  ท่อน ทันทีที่ใต้ชั้น  2  ของที่อย่างว่า
       ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่
       เดี๋ยวจะเหมือนเพื่อนผมที่เอาอนาคตมาดับเพราะความดื้อรั้นของตัวเอง  ด้วยข้อห้ามสากลทั้งหมดนั้นใช่ว่าผมจะบัญญัติขึ้นมาเองเสียเมื่อไร  ผมก็ถามไถ่เอาจากครูบาอาจารย์เสียทั้งนั้นแหละครับ  ทุกองค์บอกเหมือนกันเดี๊ยะ  ผมก็ไม่กล้าดื้อกับท่านดอก
       เพราะยังเสกเองไม่เป็น
       ทั้งหลายทั้งปวงที่เล่ามานั้นเป็นเรื่องของข้อห้ามสากล  ทีนี้ก็เป็นเรื่องของ “ข้อห้ามเฉพาะ”  บ้างละ    ข้อห้ามเฉพาะ  คือ พระเครื่องหรือเครื่องรางของขลังประดามีที่ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ แต่ละสำนักจะบัญญัติเอาไว้ว่า ห้ามอย่างนั้น  อย่างนี้  หากว่าไม่ยอมทำตาม  ผลน่ะหรือ...
      เสื่อมสนิท
      เช่น พระหลวงพ่อมุม อินทปัญโญ  วัดปราสาทเยอร์  จ.ศรีสะเกษ  มีข้อห้ามเฉพาะ ดังนี้
      1.  ห้ามลอดไม้ค้ำต้นกล้วย
      2.  ห้ามใช้มือทั้งสองกอบน้ำในบึง  หนอง  คลอง ที่ตนลงเล่นมาดื่มกิน
      นี่คือข้อห้ามเฉพาะที่จำเป็นต้อง  “ถือ”  ต่อท้ายข้อห้ามสากล  คนชอบซื้อพระเคยฉุกคิดบ้างไหม หรือสนแต่ซื้อขายอย่างเดียว  ถ้าเป็นดังนั้น  อย่าแปลกใจเลยหากจะมีข่าวคนถูกยิงทะลุทั้งๆที่ใส่พระหลวงพ่อมุม
       โทษท่านได้ไหมว่า  “ไม่ขลัง”
       หรือ แหวนมหาสัตตโลหะของหลวงพ่ออั้น  คันธาโร  วัดพระญาติการาม  จ.พระนครศรีอยุธยา  ที่ห้ามแกว่งมือจุ่มนิ้ว ลงในแม่น้ำลำคลอง  หรือแหล่งน้ำธรรมชาติทั้งหลาย  มิฉะนั้นชักขึ้นมาจะเหลือแต่มือเปล่า
       แหวนไปไหน?
       ข้อนี้ไม่ทราบ ทราบแต่ว่าไปขอคืนได้ที่กฏิ  เพียงแต่ทนฟังท่านดุด่าเสียหน่อยเป็นค่าแหวน  นี่ลุงผมเจอมากับตัว  หรือตะกรุดมหาจักรพรรดิของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ  วัดสะแก  ที่มีข้อห้ามว่า  “อย่าพกพาต่ำกว่าเอว”  เพราะของๆท่านสำเร็จขึ้นด้วยบารมีของพระพุทธเจ้าเอาพระพุทธเจ้าไว้ต่ำได้หรือ!
       หรือของหลวงปู่หงษ์  พรหมปัญโญ  วัดเพชรบุรี  จ.สุรินทร์  ทุกชนิดมีข้อห้ามที่ว่า ไม่ให้กินเหล้ากินเบียร์อย่างเด็ดขาด  กินเมื่อใดเสื่อมเมื่อนั้น
      วลี  “ไปสุรินทร์ต้องกินสุรา”  คงถูกโค่น เพราะหลวงปู่นี่แหละ
       แล้วมันน่ากลัวดีไหม  ถ้าเก็บพระของหลวงปู่หงส์ตกทอดไป 10  ปี  20  ปี  ลูกหลานไม่รู้ข้อห้ามเอาใส่ไปกินเหล้า แล้วเกิดตีกัน ลูกหลานท่านจะเป็นอย่างไร
       เหล่านี้คือสิ่งที่ควรศึกษาให้รู้ก่อนแขวน
       ยังมีอีกเยอะแยะ  มากมายครับ  เขียนมากไปก็เกรงจะเป็น  “สอนพระสังฆราช”  อีก  จึงได้แต่วิงวอนผู้เลื่อมใสในพระเครื่องของขลังจงระวังระไว  จะแขวนจะคาดสิ่งใดโปรดตรวจสอบที่มาที่ไปก่อนเถิด  อย่าตามใจตัวเองจนเก่งเกินครู  ไม่อย่างนั้นท่านอาจจะต้องเสียใจในภายหลัง
       ขอให้จงรู้แจ้งเห็นจริงทุกท่าน  สวัสดีครับ...



182
ไม่มีคำอธิบาย ให้ยืดยาว





183
พระกริ่ง ร.ด.

เหรียญทั้งสองพิมพ์นี้ สร้างพร้อมพระกริ่ง สร้างขึ้นมาในปี พ.ศ. 2505 จัดสร้างโดยกรมรักษาดินแดง
ซึ่งได้นิมนต์ท่านเจ้าคุณนรฯ ปลุกเสกโดยญาณคือ ท่านได้สั่งให้จัดอาสนะไว้ต่างหาก เมื่อถึงหมายกำหนดการ
ท่านฯ ก็จะสวดแผ่เมตตาไปให้ ณ ที่กุฏิของท่านฯ
และในการปลุกเสกเหรียญพิมพ์นี้ได้มีพระเกจิอาจารย์จากวัดต่างๆ มานั่งปรกกันเป็นจำนวนมาก
ซึ่งในการทำพิธีปลุกเสกอยู่นั้น ได้มีหลวงพ่ออยู่องค์หนึ่ง สอบถามเจ้ากรมรักษาดินแดนว่า
เป็นพระรูปใดที่มานั่งปรกที่อาสนะข้างท่าน ท่านเจ้ากรมจึงได้กราบเรียนว่าเป็นอาสนะของท่านเจ้าคุณนรฯ
วัดเทพศิรินทราวาส ท่านบอกว่าเห็นมานั่งปรกอยู่ เสร็จแล้วก็ได้หายไปเสียเฉย ๆ
ซึ่งทุกคนที่ได้ยินได้ฟังก็แปลกใจ เพราะต่างก็เห็นว่าเป็นอาสนะที่ว่างเปล่า
ไม่มีใครมานั่งอยู่บนอาสนะนั้น

http://www.212cafe.com/boardvip/view.php?user=saktalingchan&id=355














184
ภูต​ ​ผี​ ​วิญญาณ​ ​เปรต
 



"​เรามีบุญ​ ​เขา​จึง​มาหา​เรา​"

เรื่องต่อไปนี้​เป็น​เรื่องจริง​จาก​คำ​บอกเล่าของหลวงพ่อพุธ​ ​ฐานิ​โย​ ​วัดป่าสาลวัน​ ​โคราช

มิติ​แห่งสัจธรรม
โรงพยาบาลทหารที่​โคราช​ ​บางเตียงที่มีคนไข้ตาย​อยู่​นั่น​ ​คนไข้คนหลังไปนอนนี่มันกระชากขาตกเตียง​ ​หัวหน้าพยาบาล​เขา​มาปรึกษา​ ​ทำ​อย่างไรหลวงพ่อ​ “​เออ​.. ​ฉัน​จะ​ไปแผ่​เมตตา​ให้​มัน​”
เพราะ​ฉะ​นั้น​ ​เรื่องภูตผีปีศาจอย่า​ไป​ใช้​เวทมนต์ขับไล่​เป็น​อันขาด​ ​แผ่​เมตตา​กับ​อุทิศ​ส่วน​กุศล​ให้​
เวลานี้หลวงพ่อ​จึง​แนะนำ​ให้​ชาวบ้าน​ทั้ง​หลายสวดมนต์​ไหว้พระ​อยู่​ที่บ้าน​ ​นั่งสมาธิ​อยู่​ที่บ้าน​ ​และ​ที่สำ​คัญที่สุดก็​แผ่​เมตตาอุทิศ​ส่วน​กุศลไป​ให้​พวกพเนจร​ทั้ง​หลายที่ล่องลอยหากิน​
คน​ใด​ที่มีประสบการณ์​เกี่ยว​กับ​เรื่องนี้บ่อยๆ​ ​คน​นั้น​แหละ​เป็น​คนมีบุญ​ ​เรามีบุญ​เขา​จึง​มาหา​เรา​ ​เขา​มาขอ​ความ​ช่วย​เหลือ​จาก​เรา​ ​แต่​เรากลัว​เขา​แล้ว​ไปคิดร้ายต่อ​เขา​ ​หาหมอเวทย์หมอมนต์มาขับไล่​เขา​ ​ถ้า​หากว่ามนต์​เก่ง​ ​เขา​ก็หนี​ไปพักหนึ่ง​ ​พอฤทธิ์ของมนต์​เสื่อม​เขา​ย้อนกลับมาทีหลัง​ ​เขา​จะ​เล่นงานเราหนักกว่า​เก่าอีก​ ​ธรรมชาติของมัน​เป็น​อย่าง​นั้น​

"ผีมาตบหน้า​"

ความ​แตกต่างของลัทธิศาสนา​และ​คำ​สอนของแต่ละศาสนา​จะ​มี​ความ​แตกต่าง​อยู่​ใน​ภพภูมิของมนุษย์​เท่า​นั้น​ ​เมื่อมนุษย์​ทั้ง​หลายตายไป​แล้ว​ ​ยัง​เหลือแต่กฎของกรรม​เป็น​สัจธรรม​ ​ใคร​จะ​ไปสอน​กัน​ว่าฆ่าสัตว์​ไม่​บาป​ ​หรือ​สัตว์​เกิดมา​เป็น​อาหารของมนุษย์ก็ตาม​ ​ฆ่าสัตว์บูชายัญพระ​เจ้า​ไม่​บาปก็ตาม​ ​เมื่อตายไป​เขา​จะ​ได้​รับผลกรรมที่​เขา​ทำ​ ​เขา​จะ​ได้​ความ​รู้สึกว่าพระสมณโคดมสอนถูก​ต้อง​ ​ศาสดาของ​เขา​สอนผิด​ ​เขา​จะ​ได้​ความ​อย่างนี้ทุกราย​ ​เพราะ​ว่ากฎแห่งกรรม​เป็น​กฎธรรมชาติ​ ​ไม่​ใช่​พระ​เจ้าองค์​ใด​มา​เสกสรรปั้นแต่งเอา​

หลวงพ่อพุธเคยโดนผีตบหน้า
ภูต​ ​ผี​ ​เทวดา​ ​นี้มีจริง​ ​ถ้า​ใคร​ยัง​ไม่​เคยโดนผีตบหน้าก็ปฏิ​เสธว่า​ไม่​มี​ ​ถ้า​ใคร​ไม่​เห็นผี​ ​เป็น​แต่​เพียงรับฟัง​ไว้​ ​อย่าปฏิ​เสธ​และ​รับรอง​ ​เพราะ​ใน​โลกนี้​ ​สิ่งที่​เรา​ยัง​ศึกษา​ไม่​ถึง​และ​มอง​ไม่​เห็น​ยัง​มี​อยู่​ ​ถ้า​หากว่าภูต​ ​ผี​ ​ปีศาจ​ ​เทวดา​ไม่​มี​ ​คัมภีร์ท่าน​ไม่​เขียน​ไว้​หลอกเด็ก​ ​ผู้​ที่​เขียนคัมภีร์ว่าภูต​ ​ผี​ ​ปีศาจ​ ​เทวดามีนี้​ ​เป็น​ผู้​ที่​เคยสัมผัสเห็นภูตผี​ ​มา​แล้ว​ ​เรื่องนี้หลวงพ่อ​จะ​นำ​มา​เล่า​ให้​ฟังย่อ​ ​ๆ

เมื่อปี​ ๒๕๐๑ ​มี​ผู้​ศรัทธามอบที่ดินแห่งหนึ่ง​ให้​ ​เป็น​ป่ารกชัฏ​(ปัจจุบันคือวัด​ใหม่​แสนสุข) ​อำ​เภอวารินชำ​ราบ​ ​อยู่​ห่าง​จาก​วัดหลวงพ่อชา​ ​สุภทฺ​โท​ ​วัดหนองป่าพง​ ​ประมาณสัก​ ๑ ​กิ​โลเมตร​ ​ซึ่ง​เคยเกิดเหตุฆ่า​กัน​ตาย​ใน​บริ​เวณ​นั้น​มาก่อน​
หลวงพ่อพาพระ​เณรไป​อยู่​ที่​นั้น​ ๔-๕ ​องค์​ ​เพื่อที่​จะ​สร้างวัด​ ​พอ​อยู่​ได้​ ๓ ​วัน​ ​ก็​เกิดผีมาตบหน้า​ ​ก่อนที่ผีมัน​จะ​มาตบหน้าหลัง​จาก​ที่นั่งสมาธิภาวนา​แล้ว​ ​ถึง​เวลาที่​จะ​จำ​วัด​ (นอน) ​พอมีอาการเคลิ้ม​ ​ๆ​ ​ลงไป​ ​ก็มองเห็น​เป็น​กลุ่มวิ่งมา​จาก​ตะวันตก​ ​แล้ว​ก็มาสัมผัส​กับ​ใบหน้า​เหมือน​กับ​ฝ่ามือตบ​ ​ทีนี้มานึกว่า​ เอ๊ะ​ ​ฝัน​หรือ​อย่างไร​ ​ถ้า​ฝันทำ​ไมเจ็บ​ ​ก็​เลยเกิดข้อสงสัยขึ้นมา​ ​เอ๊า​ ​ผี​จะ​ตบ​หรือ​ไม่​ตบก็ช่าง


"​เปรต"

วันนี้​ต้อง​มาดู​ให้​รู้​เรื่อง​กัน​ ​วัน​นั้น​เลยตัดสินใจ​ไม่​จำ​วัด​ ​เดินจงกรม​ ​นั่งสมาธิภาวนา​อยู่​ตลอดคืน​ ​พอเดินไป​ได้​สักหน่อยหนึ่ง​ ​ได้​ยินเสียงตก​ ​ตูม​ ​ลงมา​ ​เดินไปดู​ไม่​มีอะ​ไร​ ​เป็น​อยู่​อย่าง​นั้น​จนกระทั่ง​ถึง​ตี​ ๓ ​พอ​ถึง​ตี​ ๓ ​แล้ว​ไป​เข้า​ที่นั่งสมาธิ​ ​มองไปข้างหน้ามองเห็นแสงโตเบ้อเร่อ​ ​ขนาดตะ​เกียงเจ้าพายุมี​ ๒ ​แสง​ ​วิ่งวนไล่​กัน​อยู่​ ​ใน​ที่ตรง​นั้น​มีพระองค์หนึ่งไปจำ​วัด​อยู่​ที่​นั้น​ ​พอหลวงพ่อนึกว่าพระองค์​นั้น​จะ​ตื่น​หรือ​เปล่าหนอ​จะ​ได้​เห็นอะ​ไรพอ​เป็น​ขวัญตา​ ​พอนึกแค่​นั้น​แหละ​ ​แสง​ ๒ ​แสง​ ​ผละ​จาก​พระองค์​นั้น​วิ่งมาหาหลวงพ่อ​ ​หลวงพ่อก็กำ​หนดจิต​ เอ๊า​ ​ถ้า​แน่จริงมาชนหลวงพ่อ​ให้​ตายที​เดียว​ ​ให้​หลวงพ่อสำ​เร็จพระนิพพาน ​พอมัน​เข้า​มาระยะห่าง​ ๕ ​วา​ ​แสง​นั้น​ก็ตกลง​กับ​ดิน​ ​แล้ว​ก็หายไป​
ภายหลังมาทราบว่า​ ​ที่ดินตรง​นั้น​เป็น​ที่ผีสิง​ ​ไอ้มนต์ตาย​แล้ว​มันไป​เป็น​เพื่อน​กับ​ผีวัดหลวงพ่อชา​ ​เวลามันไปงานนี่​ ​มันไป​เป็น​คู่​ ​เวลามันไปไหนมัน​จะ​มี​แสงลอยวูบ​ ​ๆ​ ​ไป​ ​เหมือนตารถยนต์​ไป​เป็น​คู่​ ​วันพระวันเจ้า​ ​มัน​จะ​แสดงตัว​ให้​เห็นทุกครั้ง​ ​ก็​เลย​ได้​เห็นข้อเท็จจริงว่า​ ​ผีมันมีจริง​ ​ๆ​ ​วิญญาณมันมีจริง​ ​ๆ​ ​ถ้า​ใคร​ไม่​เห็น​แล้ว​ ​ก็อย่า​เพิ่งรับรอง​ ​พยายามดู​ให้​มันเห็นเสียก่อน​
เปรตสมภาร
สมภาร​เป็น​เปรต​เพราะ​เหตุอะ​ไร​ ​เพราะ​เหตุที่น้อมเอาลาภของสงฆ์​ไป​เป็น​ประ​โยชน์​ส่วน​ตัว​ ​ต้อง​อาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์​ ​น้อมลาภของสงฆ์​ไป​เป็น​ประ​โยชน์​ส่วน​บุคคล​ ​ต้อง​อาบัติปาจิตตีย์​ ​สงฆ์​ไม่​ได้​อนุญาต​ให้​ ​ท่านแสดงอาบัติ​ไม่​ตก​ ​พอท่านมรณภาพ​แล้ว​ ​จึง​ได้​มา​เป็น​เปรต
เรื่องนี้​อยู่​ที่วัดแห่งหนึ่ง​ใน​อำ​เภอเขื่อง​ใน​ ​จังหวัดอุบลฯ​ ​หลวงพ่อไปทอดกฐินที่วัดนี้​ ​ไป​ถึง​ตอนหัวค่ำ​ ​เหน็ดเหนื่อย​จาก​การเดินทางก็นอนพักตั้งแต่หัวค่ำ​ ​แล้ว​ตื่นขึ้นมาประมาณตี​ ๓ ​มันเมื่อยก็​เลยนอนกำ​หนดจิตไป​ ​พอจิตสว่าง​ ​มองเห็นกุฏิ​เก่า​ ​ๆ​ ​ร้าง​ ​ๆ​ ​อยู่​หลังหนึ่ง​ ​มีพระองค์หนึ่งยืน​จาก​พื้นนี่​โผล่หน้าออกทางช่องลม​ ​บ้านโบราณมันมี​ไม้​เป็น​ช่องลม​เป็น​ซี่ๆ​ ​แล้ว​ก็ร้องตะ​โกนมาว่า​ “​ผู้​มีบุญ​ ​กรุณา​ช่วย​ด้วย​ ​ผมพระครู​… ​เป็น​เปรต​อยู่​นี่นาน​แล้ว​”

185
อย่าย้ายหมวดนะครับ ถ้าใครสนใจตะกรุดเสาร์ห้า ปี 2540 ที่วัดนก พอมีอยู่ ผมเห็นในกล่อง มีอยู่ประมาณ 20 กว่าดอก
ระยะเวลการสร้าง 10 ปีมาแล้ว มีเนื้อตะกั่วและทองแดง ดอกธรรมดา(โค๊ดเลขทั่วไป) ดอกละ 100 บาท ดอกกรรมการโค๊ด ๕๕๕๕
 พร้อมหลอดใส่ตะกรุด ดอกละ 300 บาท


รูปแบบอ้างอิง

รูปสุดท้าย Up ผิด ต้องเป็นรูปนี้



186
   



ประวัติหลวงพ่อฟู​ ​วัดบางสมัคร​ ​อ​.​บางปะกง​ ​จ​.​ฉะ​เชิงเทรา​ จาก http://board.palungjit.com/showthread.php?p=215609

​ภาคตะวันออก​....​นอก​จาก​จะ​เป็น​ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์​ไป​ด้วย​ทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ​แล้ว​ ​ทางด้านพระ​เกจิอาจารย์ก็มีพระภิกษุ​

ผู้​มีวิชาอาคมที่​เปี่ยมล้นไป​ด้วย​เมตตา​และ​เชี่ยวชาญงานด้านนวกรรม​ ​เข้มขลังทางด้านพุทธาคม​อยู่​มากมาย​.....
.....หลวงพ่อฟู.....​หรือ​.....พระครูมนูญธรรมรัตน.....​ก็รวม​อยู่​ใน​กลุ่มพระ​ผู้​ทรงคุณเหล่า​นั้น​ด้วย​.....
​ปัจจุบัน​ หลวงพ่อฟู​ ​สิริอายุ​ได้​ 81 ​ปี​ ​พรรษาที่​ 61 ​เป็น​เจ้าอาวาสวัดบางสมัคร​ ​ต​.​บางสมัคร​ ​อ​.​บางปะกง​ ​จ​.​ฉะ​เชิงเทรา​ ​และ​ดำ​รงค์ตำ​

แหน่งที่ปรึกษา​เจ้าคณะอำ​เภอบางปะกง​ ​ใน​ปัจจุบัน​ (ท่านเคยดำ​รงค์ตำ​แหน่งเจ้าคณะอำ​เภอ​ ​มาก่อนหน้านี้​ )
​ใน​เส้นทางศิษย์ตถาคต​ผู้​เป็น​พุทธบุตรสืบสานพระพุทธศาสนา​ ​หลวงพ่อฟู​ได้​สืบทอดพุทธาคม​จาก​ครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง

มากมาย​ ​อาทิ​..... หลวงพ่อดิ่ง​ ​วัดบางวัว​ ​จ​.​ฉะ​เชิงเทรา​ .....​หลวงพ่อบุญมา​ ​วัดอุทยานที​ ​จ​.​ชลบุรี​.... ​หลวงพ่อคง​ ​วัดวังสรรพรส​ ​จ​.​

จันทบุรี​ .....​หลวงพ่อเริ่ม​ ​วัดจุกเฌอ​ ​จ​.​ชลบุรี​ ..... ​หลวงพ่อเม็ด​ ​วัดบึงกระจับ​ ​จ​.​ฉะ​เชิงเทรา.....​เป็น​ต้น
.....​หลวงพ่อฟู​ ​เป็น​พระ​เกจิ​เถราจารย์​ ​อาวุ​โสอีกรูปหนึ่ง​ใน​จ​.​ฉะ​เชิงเทรา​ ​ที่มาก​ด้วย​คุณธรรม​ - ​เมตตาธรรม​ ​เป็น​ที่​เคารพศรัทธาของ

ศิษยานุศิษย์​และ​สาธุชน​ทั่ว​ไป​ ​ไม่​ว่า​จะ​เป็น​ชาวบางปะกง​ ​ชาวแปดริ้ว​ ​หรือ​จังหวัด​ไกล้​เคียง​ ​ด้วย​เหตุที่ว่าท่าน​เป็น​ผู้​เชี่ยวชาญตำ​

หรับตำ​รายาสมุนไพรต่างๆ​ ​นำ​มาสงเคราะห์ญาติ​โยม​ผู้​เดือดร้อน​โดย​ไม่​คิดมูลค่า​ใดๆ​ทั้ง​สิ้น​.......
​ท่านเกิด​ ​เมื่อวันที่​ 3 ​ธันวาคม​ ​พ​.​ศ​.2465 ​ณ​.​บ้านบางสมัคร​ ​เข้า​สู่ร่มกาสาวพัสตร์​ ​เมื่ออายุครบ​ 20 ​ปี​ ​เมื่อวันที่​ 1 ​พฤษภาคม​ ​

พ​.​ศ​.2485 ​ณ​.​วัดบางสมัคร​ ​มีพระครูพิบูลย์คณารักษ์​ ( ​หลวงพ่อดิ่ง​ ​วัดบางวัว​ ) ​เป็น​พระอุปัชฌาย์​.....​หลวงพ่อชื่น​ ​วัดทองนพคุณ​ ​

เขตคลองสาน​ ​กรุงเทพฯ​ ​เป็น​พระกรรมวาจาจารย์​ ​และ​ ​พระครู​เมธีธรรมโฆสิต​ ( ​พระมหาจอม​ ) ​วัดบางสมัคร​ ​เป็น​พระอนุสาวนาจารย์​

​ได้​รับฉายาว่า​ " ​อติภัทโท​ " ​เมื่อท่าน​ได้​อุปสมบท​โดย​สมบูรณ์​แล้ว​ ​ท่าน​ได้​ศึกษาด้านคันถธุระ​ ​ที่วัดทองนพคุณ​ ​กทม​. ​จนสอบ​ได้​

นักธรรมโท​ ​และ​ต่อมา​เมื่อปี​ ​พ​.​ศ​.2487 ​หลวงพ่อฟู​ ​ท่าน​ได้​ไปจำ​พรรษาที่วัดอุทยานที​ ​จ​.​ชลบุรี​ ​เพื่อเรียนนักธรรมเอก​.....​พ​.​ศ​.2492

​ท่านสอบ​ได้​เปรียญธรรม​ 4 ​ประ​โยค​....​และ​ต่อมาพรรษาที่​16​พ​.​ศ​.2501 ​หลวงพ่อฟูท่าน​ได้​รับแต่งตั้ง​ให้​ดำ​รงค์ตำ​แหน่งเจ้าอาวาส

วัดอู่ตะ​เภา​ ​จ​.​ชลบุรี​ ​เป็น​พระกรรมวาจาจารย์​ ​และ​ตำ​แหน่งเจ้าคณะตำ​บลหนองไม้​แดง​ ​จ​.​ชลบุรีจนกระทั่งปี​ ​พ​.​ศ​.2503 ​ท่าน​ได้​รับ

การแต่งตั้ง​เป็น​พระอุปัชฌาย์​ ...
​ต่อมา​เมื่อ​ ​พ​.​ศ​. 2505 ​เจ้าอาวาสวัดบางสมัครว่างเว้นลง​ ​ชาวบ้าน​จึง​นิมนต์ท่านมา​ให้​เป็น​เจ้าอาวาสวัดบาวสมัครนับแต่​นั้น​เป็น​ต้นมา​ ​

ท่าน​ได้​พัฒนาวัดจน​เป็น​วัดที่​ใหญ่​โต​และ​กว้างขวาง​ ​มีพระอุ​โบสถ​ ​ที่​ใหญ่​ที่สุด​ใน​เขต​ ​อ​.​บางปะกง​ .....
​ใน​ปีพ​.​ศ​.2543 ​หลวงพ่อฟู​ ​ได้​รับรางวัลเสมาธรรมจักรทองคำ​ ​สาขา​เผยแพร่พระพุทะศษสนา​ ​จาก​สมเด็จพระ​เทพฯ​.....​ท่านมุ่งเน้น

ด้านการศึกษามาตลอด​ ​ท่าน​ได้​เป็น​กรรมการตรวจธรรมสนามหลวง​ ​และ​เป็น​ครูสอนพระปริยัติธรรมอีก​ด้วย​......
ด้านพุทธาคม​ ​และ​ ​ไสยศาสตร์.........​การศึกษาสรรพเวทวิทยาคม​จาก​ครูบาอาจารย์ต่างๆ​หลวงพ่อฟู​ให้​ความ​สนใจ​ ​และ​ตั้งใจศึกษา

อย่างแท้จริง​ ​เพราะ​ท่าน​ต้อง​การนำ​มา​ช่วย​เหลือเหล่าศิษยานุศิษย์สืบต่อไป​ ​เพื่อ​ให้​เกิดประ​โยชน์อย่างแท้จริง​.....
​บรรดาครูบาอาจารย์ที่สอนกรรมฐาน​และ​ถ่ายทอดวิชาอาคม​ให้​ ​หลวงพ่อฟู​ ​มี​อยู่​มากมาย​ ​เพราะ​นอก​จาก​ท่าน​จะ​ศึกษา​กับ​ครูบา

อาจารย์ที่มีตัวตน​แล้ว​ ​ท่าน​ยัง​ได้​ศึกษา​จาก​ตำ​หรับตำ​ราต่างๆ​ทั่ว​ไปอีก​ด้วย​.......
สำ​หรับวัตถุมงคล​ ​ที่หลวงพ่อฟู​ ​ท่านนำ​มา​แขวนตั้งแต่​เด็กๆ​ ​ก็คือ​ ​ปลัดขิกหลวงพ่ออี๋​ ​วัดสัตหีบ ​ซึ่ง​กัน​ผีพรายน้ำ​ได้​ ​เป็น​ความ​เชื่อ

สมัยก่อนสำ​หรับ​ผู้​คนที่มรบ้านช่องติดแม่น้ำ​ลำ​คลอง​ ​ต่างเกรงว่าลูกเด็ก​เล็ก​แดง​ ​จะ​ถูกผีพรายน้ำ​เอาตัวไป​ ​จึง​หาของ​ไว้​ป้อง​กัน​ให้​

เด็กๆ​เป็น​ต้น​.....​หลวงพ่อฟู​จึง​มี​ความ​สนใจ​ ​เมื่อท่านบวช​แล้ว​ท่าน​จะ​ต้อง​ขอเรียนวิชา​ ​กับ​หลวงพ่ออี๋​ ​ให้​ได้​ ​แต่หลวงพ่ออี๋​ ​กลับมา

มรณะภาพลง​ ​ใน​คราวที่หลวงพ่อฟู​ ​บวช​ได้​ไม่​นานนัก​.....
หลวงพ่อดิ่ง​ ​วัดบางวัว​ ​จ​.​ฉะ​เชิงเทรา ​นอก​จาก​จะ​เป็น​พระอุปัชาย์ของท่าน​แล้ว​ ​ยัง​เป็น​เกจิอาจารย์ที่มีอาคมขลังยิ่ง​ ​ชื่อเสียงของท่าน

โด่งดังไป​ทั่ว​เป็น​ที่รู้จักของประชาชน​ทั่ว​ไป​ ​วัตถุมงคลที่ขึ้นชื่อ​ ​ก็มี​เหรียญรุ่น​81 ​ตะกรุดเสือเสื้อยันต์​ ​และ​ลิงจับหลักแกะ​จาก​รากพุด

ซ้อน​เป็น​ต้น​.....ท่าน​ได้​วิชาดีคือวิชา​ ​สูญผี​ไล่ผีคาถาพระ​เจ้าสิบหกพระองค์​ ​อัน​เป็น​วิชาชั้นสูงสุดยอดของหลวงพ่อดิ่ง​ ​ซึ่ง​ท่าน​ไม่​

ยอมสอนวิชานี้​ให้​กับ​ใครมากนัก ​นอก​จาก​ศิษย์​ผู้​นั้น​เป็น​ผู้​มีคุณธรรม​เท่า​นั้น​ท่าน​ถึง​จะ​ให้​วิชานี้​เท่า​นั้น​ ​เพราะ​เกรงว่าลูกศิษ์​จะ​นำ​ไป​ใช้​

ใน​ทางที่ผิดๆ​......​วิชาการสร้างลิงจับหลัก​ ​ที่​แกะ​จาก​รากต้นพุดซ้อน​ ​ท่านก็​ได้​จาก​หลวงพ่อดิ่ง​ ......
หลวงพ่อคง​ ​วัดวังสรรพรส​ ​จ​.​จันทบุรี ​เป็น​อาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาทำ​เครื่องรางของขลัง​ ตะกรุดผ้ายันต์​ ​ปลัดขิก​ ​เสืออาคม​ ​

เสือสมิง​ ​การเขียน​และ​ลบผงอิทธิ​เจ​ ​ปถมัง​ ​ตรีนิสิงเห​ ​และ​การสร้างพระปิดตาให้​แก่หลวงพ่อฟูจนหมดสิ้น​....
หลวงพ่อบุญมี​ ​วัดบึงกระจับ​ ​จ​.​ฉะ​เชิงเทรา ​พระอาจารย์​ผู้​โด่งดังทางด้านการสร้างลูกอม​ ​ท่าน​ได้​ถ่ายทอด​ ​ให้​หลวงพ่อฟู​ ​พร้อม​ทั้ง​

วิชากรรมฐาน​ใน​การออกธุดงค์​ ​และ​ ​คาถาที่​ใช้​ภาวนา​ ​คือ​ ​อรหัง​ ​กับ​ ​นะ​ ​ขัตติยะ​ ​ซึ่ง​หลวงพ่อฟูนำ​มา​ใช้​จน​ได้​ผลที่ดียิ่ง​ใน​ด้านเมตตา

มหานิยม​.........
หลวงพ่อเริ่ม​ ​วัดจุกเฌอ​ ​จ​.​ชลบุรี ​เป็น​อาจารย์อีกรูปหนึ่งที่หลวงพ่อฟู​ ​ให้​ความ​เคารพมาก​ ​เพราะ​ท่าน​เป็น​เกจิฯ​ ​สายภาคตะวันออกที่มี

ชื่อเสียงมากทางฝั่งชายทะ​เลตะวันออก​ ......หลวงพ่อเริ่ม​ ​เป็น​ศิษย์สืบสานวิชา​ " ​ฝนแสนห่า​ " ​และ​ ​สีผึ้งเจ็ดจันทร์​ ​จาก​ ​หลวงปู่อ่ำ​ ​

วัดหนองกระบอก​ ​กับ​วิชา​ ​การทำ​ปลัดขิก​ ​และ​ ​หน้าผากหนังเสือ​ ​จาก​หลวงพ่ออี๋​ ​วัดสัตหีบ​ ​โดย​ตรง​.....​และ​วิชา​ทั้ง​หมดนี้​ได้​ตกมา​ถึง​

หลวงพ่อฟูจนหมดสิ้น​......
.....​หลวงพ่อเริ่ม​ยัง​ได้​วิชา​ ​ทำ​ผง​ 12 ​นักษัตร​ ​จาก​หลวงปู่​เทียนวัดโบสถ์​ ​วิชาการสร้างพระปิดตา​ ​และ​วิชา​โหราศาสตร์​จาก​สมเด็จ

พระสังฆราช​ ( ​อยู่​ ) ​วัดสระ​เกศ​ ​กทม​.​ด้วย​..... ​วิชา​เหล่านี้หลวงพ่อเริ่ม​ ​ได้​ถ่ายทอด​ให้​หลวงพ่อฟู​ ​ใน​ฐานะศิษย์​เอก​ ​จนครบถ้วนเช่น​

กัน​....​หลวงพ่อฟู​ ​ได้​นำ​วิชาหุงสีผึ้งเจ็ดจันทร์มาทำ​ใหม่​ ​โดย​ผสมของเก่า​ ​ของ​ ​หลวงพ่อเริ่มลงไป​ด้วย​ ​โดย​หลวงพ่อฟู​เป็น​ผู้​ผสมเอง​

ด้วย​ความ​ชำ​นาญ​ ​เมื่อ​ ​นำ​ออก​ใช้​ก็​เกิดผลดีด้านเมตตามหานิยม​ ​และ​ค้าขายดี​ ​เช่​เดียว​กัน​กับ​ของ​ ​หลวงพ่อเริ่ม​ ​ทุกประการ​.....
หลวงพ่อบุญมา​ ​วัดอุทยานที​ ​จ​.​ชลบุรี ​ได้​สอนตำ​ราพระ​เวทสายเกจิอาจารย์ชายฝั่งทะ​เลตะวันออก​ ​และ​สูตรการผสมผงสร้างพระปิด

ตาสายวัดเครือวัลย์​ ​จ​.​ชลบุรี​ ​ให้​แก่หลวงพ่อฟู​ ​และ​วิชาการทำ​ยาหอม​ ​ยาหม่อง​ ​น้ำ​มัน​ใส่​แผล​ ​จาก​สมุนไพรต่างๆ​ ​และ​หลวงพ่อฟู​

ได้​นำ​มา​ใช้​และ​แจกจ่ายประชาชน​ทั่ว​ไป​โดย​ไม่​คิดมูลค่า​ใดๆ​ทั้ง​สิ้น​.....
พระมหาจอม​ ( ​พระครู​เมธีธรรมโฆสิต​ ) ​อดีตเจ้าอาวาสวัดบางสมัคร ​รูปก่อน​ ​หลวงพ่อฟู​ ​ยัง​ได้​สอนวิชาการสร้างเสืออาคม​ ​จาก​ตำ​รา​

เดิม​ ​ของ​ ​หลวงพ่อปาน​ ( ​บางเหี้ย​ ) ​วัดคลองด่าน​ ​จ​.​สมุทรปราการ ​ให้​หลวงพ่อฟู​ ​ท่าน​จึง​นำ​มาสร้างตะกรุดหน้าผากเสือ​ ​ขึ้นจนโด่งดัง​

​อยู่​ใน​ขณนี้​ ​ครับ​......
​นับ​ได้​ว่า​ ​หลวงพ่อฟู​ ​ท่าน​ได้​รับการถ่ายทอดสรรพวิทยา​ ​ต่างๆ​จาก​อดีตพระ​เถราจารย์​ ​และ​ ​พระ​เกจิอาจารย์​ ​ต่างๆ​ที่​เป็น​ที่ยอมรับ

ของประชาชน​ทั่ว​ไป​ ​และ​วิชาต่างๆ​ ​หลวงพ่อฟู​ ​ท่าน​ได้​นำ​มา​ใช้​อย่าง​ได้​ผลดีทุกด้าน​ ​โดย​เฉพาะด้านเมตตา​ ​มหานิยมท่าน​เป็น​เอก​ ​

ไม่​รองใคร​.....​สม​แล้ว​กับ​ ​สมยานามที่ศิษยานุศิษย์ขนานนาม​ให้​ท่านว่า​ "พระ​เกจิ​แห่งลุ่มน้ำ​บางปะกง​ "

188
อีกตำนานหนึ่ง ของเกจิอาจารย์ที่ชอบเสกเสือ หลวงพ่อเพี้ยน วัดเกรินกฐิน ลพบุรี
ตามนี้เลย http://www.wt81.org/indexx.php  พักนี้ไม่อยาก  ปั๊มบทความจากที่อื่นมาลง

http://img260.imageshack.us/my.php?image=maincenter3ku3.swf http://img403.imageshack.us/my.php?image=headgp9.swf
หวังว่า จะได้รับความศัทธา

189
เมื่อวันก่อน ไปเพชรบุรี แวะวัดชายนา ได้ไปกราบ หลวงพ่อตัด ให้หลวงพ่อลงกระหม่อม และบูชาตะกรุดดอกเล็ก ชุด 3 ดอก
ราคา 200 บาท แต่ตะกรุดตรีนิสิงเห ไม่ได้บูชา ตำรวจบ้านจ้องจับอยู่
มีภาพให้ชม ตะกรุดตรีนิสิงเห และ ยันต์เพชรพญาธร บูชา อย่างละ 100 บาท อยากได้ติดต่อ วัดชายนา




[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

190
หลวงพ่อคง ท่านก็ขี่เสือเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าขี่ก่อนหรือหลัง หลวงพ่อเปิ่น
เชิญรับชมได้ ณ บัดนี้ ที่ http://p.moohin.com/199.shtml

191
ผ่านไปพบเข้า ก็เลยนำมาฝาก



รูปถ่าย พร้อมยันต์จารมือ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

192
สำหรับท่านที่ยังไม่มี และอยากได้ ตะกรุดชินบัญชร ปี 40 วันนี้ผมไปเดอะมอลล์ บางแค
ไปพบตะกรุดชินบัณชร หลายสิบดอก มีทั้งเนื้อทองแดง และเนื้อตะกั่ว สภาพเก่า ชนิดว่า
กระดาษห่อมัดตะกรุดเก่ามาก ที่ศูนย์พระเครื่องแห่งหนึ่ง สายหลวงพ่อยิด ที่ชั้นจอดรถ
ของห้างเดอะมอลล์ เขาจำหน่ายดอกละ 300 บาท
    ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้จำหน่ายแต่อย่างใด สนใจไปติดต่อหาเอาเองนะครับ
สำหรับผู้ที่อยากได้

193
หลวงพ่อมาลัย เป็นอาจารย์ของโจรตี๋ใหญ่ ที่ตี๋ใหญ่ให้ความเคารพนับถือ อีกรูปหนึ่ง รองลงมาจากหลวงพ่อสุด วัดกาหลง
เป็นผู้เปี่ยมด้วยอาคม สายรามัญ

                                   

• ประวัติพระครูอุทัยธรรมสาคร (หลวงพ่อมาลัย) •  จาก http://www.watbangyapraek.org/luangphor_bio.html

• ชาติกาล
ข้าพเจ้าเป็นคนกรุงเทพมหานคร เกิดเมื่อวันอาทิตย์ ที่ 8 กันยายน 2483 ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 10 ณ บ้านเลขที่ 63 หมู่ 8 ตำบลแสมดำ อำเภอบางขุนเทียน จังหวัดกรุงเทพมหานคร คุณย่าตั้งชื่อว่า ไอ้หมา มีนามสกุลว่า แตงอ่อน บิดาชื่อ นายบุญธรรม แตงอ่อน มารดาชื่อ นางกิม แตงอ่อน มีพี่น้องด้วยกันทั้งสิ้น 6 คน รวมข้าพเจ้าด้วย เป็นผู้หญิง 5 คน และผู้ชายมีคนเดียวคือข้าพเจ้า ดังนี้
1. พี่บุนนาค แตงอ่อน
2. พี่ทับทิบ แตงอ่อน
3. พี่สุดใจ แตงอ่อน
4. นายมาลัย แตงอ่อน
5. นางทองอยู่ แตงอ่อน
6. นางสมรักษ์ แตงอ่อน
• ชีวิตวัยเยาว์

ตอนเป็นเด็กอายุประมาณ 10 ขวบ คุณแม่พาไปอยู่ที่บ้านคุณน้าทุเรียน คุณน้าแป้นและคุณเนย (มีศักดิ์เป็นน้องของคุณแม่) ที่โกรกกรากในจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นบ้านเกิดของคุณแม่ โดยนั่งเรือจากมหาชัยมาขึ้นหน้าวัดโกรกกรากนอก ข้าพเจ้ามาเที่ยวที่นี่อยู่บ่อยๆอยู่บ้านบางกระดี่บ้างมาอยู่สมุทรสาครบ้าง จนกลายเป็นคน 2 จังหวัด

คุณย่าของข้าพเจ้าท่านชอบดูลิเก ถ้าท่านรู้ว่างานไหนมีลิเก ท่านมักจะชวนหลานๆไปดูลิเกด้วย บางครั้งก็เดินไป บางคร้งก็ไปทางเรือ ขอให้รู้ว่ามีลิเกเท่านั้น คืนนั้นคุณย่าพาหลานไปดูลิเกงานบวชที่บ้านขอม คณะบุญเชิญ ท่วมศิริ ข้าพเจ้านั่งดูลิเกอยู่ใกล้ย่า ลิเกแสดงตลกย่าหัวเราะ พอนางเอกลิเกแสดงบทโศก ย่าก้อเอาผ้าสไบเช็ดน้ำตา ข้าพเจ้าก็หัวเราะ ย่าทุบข้าพเจ้าดังอั๊กหลบแทบไม่ทัน

เมื่อวัยหนุ่มอายุ 17 ปี ข้าพเจ้าชอบร้องเพลงเป่าออแหละกับเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน ไปเที่ยวตามงานวัดใกล้ๆบ้านเช่นวัดแสมดำ, วัดบางกระดี่, วัดลูกวัว ในปีนั้นข้าพเจ้าประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง ชื่อเพลง ลั่นทม ซึ่ง โฆษิต นพคุณ ขับร้องไว้ ข้าพเจ้าได้รางวัลมา 1 กล่อง ข้างในกล่องมีอะไรกล่องใหญ่ด้วย พอเปิดกล่องออกมาดู พบว่ามีผ้าห่มผืนใหญ่ 1 ผืน ข้าพเจ้าดีใจมาก และคืนต่อมาคือคืนที่สอง ข้าพเจ้านัดกับเพื่อนๆเอาไว้ว่าพรุ่งนี้ไปอีกสักคืน เมื่อถึงกำหนดข้าพเจ้านำเสื้อกางเกงหย่อนลงไปใต้ถุนบ้าน เพื่อไม่ให้พ่อ-แม่-พี่-น้อง รู้ว่าจะไปเที่ยวงานประจำปีวัดแสมดำ ช่างเคราะห์ร้ายจริงๆโยมพ่อของข้าพเจ้าทานเหล้าเมามาตั้งแต่ 6 โมงเย็น นอนขวางประตูทางออกเหมือนกับจะรู้ว่าข้าพเจ้าจะหนีไปเที่ยวงานวัดแสมดำ เพื่อนที่นัดกันเอาไว้ว่า 1 ทุ่มจะลงเรือจ้างหน้าบ้านมาเคาะอยู่ใต้ถุนบ้านใกล้ๆกับโยมพ่อของข้าพเจ้าที่นอนเมาขวางประตูทางออกอยู่ ข้าพเจ้าเหงื่อไหลออกมายังกับคนเพิ่งอาบน้ำ พอได้ยินโยมพ่อพูดขึ้นมาว่า คืนนี้คนแสมดำกับคนเกาะโพนัดว่าจะตีกันในงาน พวกมึงอย่ามาชวนลูกกูไปเลย พวกมึงไปกันเถอะ ข้าพเจ้าหัวใจแทบหยุดเต้นเพราะไม่ได้ไปเที่ยวงาน ซ้อมร้องเพลงไว้อย่างดีน่าเสียดายจัง

• เมื่อถูกเกณฑ์ทหาร

ข้าเจ้าถูกหมายเรียกเกณฑ์ทหารเมื่ออายุ 21 ปี ที่วัดบางขุนเทียน ข้าพเจ้าจับได้ใบแดง มีน้องสาวคือคุณทองอยู่ ติดตามข้าพเจ้าไปด้วย โยมพ่อ-โยมแม่ไม่ได้มาด้วย พอจับได้ใบแดงน้องสาวข้าพเจ้าร้องไห้ ข้าพเจ้าพูดว่า "ร้องไห้ทำไม จะบ้าหรือไงไม่อายชาวบ้านหรือ" ข้าพเจ้าทุบหัวน้องสาวไปหนึ่งครั้งแล้วก็นำเสื้อผ้ามาใส่เหมือนเดิม กลับมาถึงยังไม่ทันขึ้นบ้านเลย พอลงจากรถไฟสาย มหาชัย-แม่กลอง ข่าวมาเร็วมาก ได้ยินเสียงแว่วมาว่า "กูบอกมึงแล้วว่าให้จุดธูปเทียนบอกผีบ้านผีเรือน มึงไม่เชื่อกู ให้มึงกลับมาก่อน กูจะล่อมึง" ข้าพเจ้างงไปหมดโดนทั้งขึ้นทั้งร่อง ข้าพเจ้าไม่กลับไปบ้านเพราะพ่อ-แม่ เตรียมไม้ตะพดเอาไว้ มีคนส่งข่าวมาว่าอย่าเพิ่งเข้าบ้านน้ำกำลังเชี่ยว คืนนั้นข้าพเจ้าหนีไปนอนบ้านเพื่อน ที่บ้านตามหาข้าพเจ้าทั้งคืน มีคนไปบอกโยมพ่อ-โยมแม่ ว่าข้าพเจ้านอนอยู่บ้านคุณสำรวย เท่านั้นเอง โยมพ่อ-โยมแม่ ย่องไปจับข้าพเจ้าออกมา โดนตีหลายที ย่าผู้หวังดีเคยพาข้าพเจ้าไปดูลิเกพูดออกมาว่า "พวกมึงตีมันทำไมกัน ลูกพวกมึงแต่มันเป็นหลานกู" บรรยากาศเงียบ ข้าพเจ้าโดนไม้ตับจากตีเป็นแนวไปหมดตั้งแต่หลังจนถึงเท้า แนวระบมไปทั้งตัว คืนนั้นนอนหงายไม่ได้ต้องนอนตะแคง เจ็บหลัง ย่าฝนไพลสดด้วยฝาละมีทาหลังข้าพเจ้า ถามข้าพเจ้าว่าแสบไหมหลาน

• การศึกษาเล่าเรียน

ข้าพเจ้าเข้าเรียนตั้งแต่ป.เตรียม จนถึงป.4 จัดว่าเป้นคนเรียนหนังสือไม่เก่ง ซึ่งในสมัยนั้นไปโรงเรียนบ้างขาดเรียนบ้างเนื่องจากฐานะทางบ้านยากจน ประกอบอาชีพ ทำนา ตัดจาก ตัดฟืน รับจ้าง ข้าพเจ้าเป็นโรคหลายอย่าง ทั้งโรคผิวหนัง โรคไทฟอยด์ ผอมไม่ค่อยมีแรง แต่โชคดีที่ข้าพเจ้ามีโอกาสเป็นลูกศิษย์วัดรับใช้พระสงฆ์ สามเณร อยู่หลายปีจนเรียนภาษารามัญแตกฉานพอสมควร

• ทำบาปไม่ขึ้น

วันหน่งข้าพเจ้ารู้สึกตัวว่าข้าพเจ้าทำบาปไม่ขึ้น เรื่องมีอยู่ว่า ข้าพเจ้าไปสุ่มปลาด้วยกันกับเพื่อนหลายคน แต่น่าประหลาดใจที่ข้าพเจ้าจับปลาได้ไม่กี่ตัว แต่เพื่อนที่ไปด้วยกันได้มาเต็มตะข้อง จึงทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกท้อใจว่าดีเหมือนกันที่ตัวเองทำบาปไม่ขึ้น เพราะว่าถ้าทำบาปขึ้น ข้าพเจ้าคงจะไม่ได้อยู่จนถึงทุกวันนี้ คงเป็นตาแก่วกๆเงิ่นๆอยู่กลางทุ่งนาแน่ๆ

• ความจำที่ไม่มีวันลืม

วันนั้นเป็นวันลงแขกเกี่ยวข้าว ข้าพเจ้าไปเกี่ยวข้าวกลับมาเห็นคนเขาเชือดคอไก่เพื่อเลี้ยงคนที่มาร่วมงานในวันรุ่งขึ้น คืนนั้นข้าพเจ้านอนไม่หลับตลอดทั้งคืน บวกกับเสียงดังของพ่อที่นั่งทานเหล้ากับพวกในโรงนาจนเกือบตีหนึ่ง ข้าพเจ้าบอกกับท่านว่าพ่อดึกแล้วนอนกันบ้างเถิดพรรุ่งนี้ค่อยทานกันใหม่ก็ได้ เท่านั้นเองพ่อโกรธและนำไฟฉาย 2 ท่อน ปรี่เข้ามาตีศีรษะของข้าพเจ้าจนเซเห็นดาวระยิบระยับเต็มไปหมด จนกระทั่งข้าพเจ้าได้สติ จึงฉวยไม้คมแฝกวิ่งไปหาพวกเพื่อนๆพ่อที่มาทานเหล้ากับพ่อในคืนนั้น แต่ว่าไหวตัวทันและกลับไปเสียก่อน ในคืนนั้นข้าพเจ้านอนไม่หลับเพราะได้ยินว่า "อย่าให้กูเจออีกทีนะ" เช้าวันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าไปลงแขกเกี่ยวข้าว พอตกเย็นข้าพเจ้าเดินเลาะริมคลองมาเรื่อยและเห็นเพื่อนพ่อ 2 คน นั่งทานเหล้าอยู่ ข้าพเจ้าเดินไปหาพร้อมกับเคียวที่พันด้ายดิบเอาไว้อย่างดี ข้าพเจ้าถามทั้งสองคนนั้นว่าเมื่อคืนใครบอกว่า "อย่าให้กูพบ กูมาแล้วไง" แต่ทั้งสองคนไม่มีใครตอบหรือแสดงอาการอย่างไรออกมา ข้าพเจ้าจึงพูดทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง "ถ้าคิดฆ่ากู ต้องฆ่าให้ตาย ถ้าฆ่ากูไม่ตาย มึงสั่งลูกเมียมึงได้เลย กูต้องฆ่ามึงถึงมุ้งเลย มึงจำเอาไว้"

• มางานบวชหมู่บ้านกำพร้า

วันหนึ่ง แม่ได้นำข้าพเจ้ากับน้องอีกสองคนนั่งเรือโดยสารจากมหาลัย วิ่งเข้ามาในคลองบางหญ้าแพรก สมัยนั้นคลองบางหญ้าแพรกแคบและคดเคี้ยวมาก ไม่กว้างเหมือนในสมัยนี้ ถ้าลงน้ำจะเชี่ยวมาก พอถึงสะพานข้ามคลองบางหญ้าแพรก มีแม่ค้าซื้อผักมาขายทุกวัน แต่วันนั้นแดดร้อนน้ำเชี่ยวแรง ข้าพเจ้ามองไปที่หัวเรือลำหนึ่งเห็นผู้หญิงสองคนเถีนงและตบกันจนตกน้ำไปทั้งคู่ ข้าพเจ้าจึงถามแม่ว่าที่นี่คือที่ไหน แม่บอกข้าพเจ้าว่าหมู่บ้านบางหญ้าแพรก ข้าพเจ้าเลยพูดออกไปว่า "คนที่นี่ดุจัง ให้ผมมาอยู่มีเงินเดือนด้วยผมก็ไม่เอาเพราะเป็นหมู่บ้านคนดุ" แม่เลยพูดออกมาว่า "เอ็งจำเอาไว้ด้วยว่าเอ็งจะไม่มาอย่ที่นี่" ทำให้ข้าพเจ้าลืมคำนี้ไม่ลงและฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้ว่าข้าพเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?

• ข้าพเจ้าบวชเมื่อวันที่

ข้าพเจ้าบวชเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2509 เวลา 13.00น. ณ วัดบางกระดี่ ตำบลแสมดำ อำเภอบางขุนเทียน จังหวัดกรุงเทพมหานคร เมื่ออายุ 25 ปี พระเทพณานมุนี วัดราชโอรสาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ อาจารย์สง่า การวิโก วัดบางกระดี่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์สงวน อาสโภ วัดกำพร้าเป็นพระอนุสาวนาจารย์

• อุปสมบท

ข้าพเจ้าตั้งใจเอาไว้ว่าจะบวชพรรษาเดียวแล้วจะสึกเพราะฐานะทางบ้านยากจนและไม่มีใครช่วยพ่อ-แม่ ส่วนพี่ๆก็มีเหย้ามีเรือนกันไปหมดแล้ว เหลือน้องๆอีก 2 คน

• มาเที่ยววัดบางหญ้าแพรก

ครั้งขณะที่ข้าพเจ้าบวชเป็นพระ พรรษาแรกข้าพเจ้าก็สวดพระปาฏิโมกข์ภาษารามัญได้ชัดเจน จนเพื่อนๆพระด้วยกันขอคำแนะนำข้าพเจ้าหลายรูป แต่ก็ล้มเหลว วันหนึ่งมีคุณสุนทร เขาแกร่ง บ้านเดิมเขาอยู่บางกระดี่ ท่านบวชอยู่ที่วัดบางหญ้าแพรกและท่านชวนข้าพเจ้ามาเที่ยวที่วัดบางหญ้าแพรกด้วยกันกับเพื่อนพระด้วยกัน ในขณะนั้น พระครูสาคร อรรถโกวิท เป็นเจ้าอาวาสวัดบางหญ้าแพรกอยู่ อายุท่านประมาณเกือบ 70 ปี วันรุ่งขึ้นพระสุนทรท่านลาสิขาบทข้าพเจ้าเห็นกางเกง เสื้อสวยๆก็อยากสึกกับเขาบ้าง ท่านอาจารย์มหาจำนงค์คล้ายกับจะรู้ใจของข้าพเจ้าว่าอยากสึก จึงออกอุบายชวนให้ข้าพเจ้าอยู่สวดปาฏิโมกข์ด้วย ขณะนั้นข้าพเจ้าก็แบ่งรับแบ่งสู้ไม่รับปากทีเดียว จนทนการขอร้องไม่ได้ก็เลยรับปากว่าจะอยู่ช่วย ในปีแรกก็สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก โดยไม่เคยตกชั้นเลย

...คิดถึงวัด คิดถึงบ้าน...

• วันที่กลับวัดบางกระดี่

ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังจะเข้าพรรษาที่ 5 ข้าพเจ้าอยากลาสิขาบท โดยตัดเสื้อ กางเกง เอาไว้ 2 ชุดกว่า 3 ปี ไปถึงบ้านเวลาประมาณ 19.00น. ตั้งใจจะแจ้งให้พ่อ-แม่ได้ทราบ พอนั่งเสร็จเรียบร้อยญาติโยมมารออยู่ในบ้านประมาณ 6-7 คน เป็นเพื่อนของคนมอญซึ่งอยู่หมู่บ้านเดียวกัน อาราธนาศีล 5 ครั้นเสร็จแล้วพ่อก็เริ่มพูดก่อน เสร็จแล้วแม่ก็เริ่มพูดบ้าง พี่บ้างโยมที่ร่วมฟังบ้าง คืนนั้นข้าพเจ้าไม่ได้พูดเรื่องลาสิขาบทแม้แต่คำเดียวเป็นฝ่ายนั่งฟังพ่อ-แม่ พี่ๆญาติที่มาร่วมคืนนั้นพูดจนกลับประมาณ 21.00น. พอรุ่งเช้าก็มีโยมแหยบ โยมที่ให้ความช่วยเหลือข้าพเจ้ามาเล่าให้ฟังว่าอาจารย์ท่านพระมหาจำนงค์เขาจะปรึกษาเรื่องสำคัญ เมื่อจะสึกก็ไม่ว่าแต่ขอให้ไปพบท่านด้วย ขอร้องเถอะ ข้าพเจ้าได้ฟังคำขอร้องจากโยมที่มีบุญคุณเช่นนั้นก็คล้อยตามลงเรืออวนดุลมาด้วยกัน

• คำสั่งเสียของคุณพ่อ

หลังจากที่ข้าพเจ้าตามโยมแหยบมาที่วัดแล้ว ท่านอาจารย์ก็เรียกข้าพเจ้าไปพบ ซึ่งในปีนั้นสุขภาพท่านไม่ค่อยดี หมอที่โรงพยาบาลมหาชัยลงความเห็นว่าเป็นไทรอยด์ เสียงไม่ดี เสียงขัดทั้งปี ท่านอาจารย์บอกกับผมว่า คุณสึกออกไปโรคไทรอยด์คุณหายหรือเปล่า ผมคิดขึ้นได้ว่าคงไม่หาย และในปีนั้นพ่อกับโยมเกิดเขามาพบกันและถูกคอกันมาค้างอยู่หลายคืน และก่อนที่พ่อจะกลับพ่อสั่งโยมเกิดไว้ประโยคหนึ่งว่า "ช่วยดูแลพระลูกชายผมด้วย ผมคงไม่ได้มาเพราะสุขภาพไม่ค่อยดี" หลังจากที่พ่อลงเรือโดยสารกลับไปข้าพเจ้าก็ขึ้นหอฉันในวัด และนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวจนเกือบพลบค่ำ สมัยนั้นไฟฟ้าไม่มีข้าพเจ้ารู้สึกหงอยเหงาว้าเหว่ซึมเศร้าเหมือนคนไร้สติ เหมือนมีลางสังหรณ์ว่าจะต้องเกิดอะไรสักอย่าง จึงมีความรู้สึกออกมาอย่างนั้น คิดถึงพ่อคิดถึงแม่-พี่-น้อง ที่เคยอยู่ด้วยกันมาต้องมาอยู่ห่างกัน และในปีนั้นเองพ่อป่วยหนักมากด้วยโรคตับแข็งเพราะทานเหล้ามากจนเสียชีวิตลงเมื่อต้นปี และโยมแม่ก็เสียชีวิตลงในปลายปีเดียวกัน ทำให้ข้าพเจ้าคิดหาทางออก ไม่ได้ทำศพพ่อแม่ โดยเก็บท่านไว้ทั้งสองคน ทำตามบุญตามประเพณีของคนมอญ หลังจากที่ผมกลับมาจากวัดบางกระดี่ ท่านอาจารยืคง พูดกับข้าพเจ้าเหมือนรู้ใจว่า "คุณมาลัย คุณมีอะไรให้ผมช่วยเหลือ บอกมาอย่าเกรงใจ คุณเสียพ่อแม่ของคุณปีเดียวกันถึงสองคน ผมขอแสดงความเสียใจกับคุณด้วย" น้ำตาผมไหลพรากออกมาต่อหน้าท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ก็ทำตาแดงคล้ายกับข้าพเจ้าเหมือนกัน เสร็จแล้วข้าพเจ้าก็ขึ้นพักบนหอฉัน นอนนึกถึงคำสั่งเสียครั้งสุดท้ายของคุณพ่อ จนพล่อยหลับไป

• จำพรรษาที่วัดบางหญ้าแพรก

สมัยนั้นมีพระจำพรรษาไม่มาก ไม่เกิน 9 รูปทั้งวัด ข้าพเจ้าขึ้นแสดงพระปาฏิโมกข์ มีโยมฝั่งมอญ โยมเป๊อะ โยมแหยบที่มาคอยสังเกตการณ์และเอาใจใส่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่เคยลืมพระคุณท่านเหล่านี้เลย

• อาจารย์พระมหาจำนงค์ลาสิขาบท

มีปัญหาเกิดขึ้นภายในวัด พระอาจารย์ท่านลาสิขาบทจากเจ้าอาวาสโดยเข้าอุโบสถหลังเก่าและกล่าวคำลาต่อหน้าพระประธาน ข้าพเจ้าได้ถือถุงเสื้อผ้าของท่านและนั่งรอที่หน้าอุโบสถ ข้าพเจ้ามีความสลดใจมากที่ท่านทำลายตัวเองซึ่งเกิดความน้อยใจและไม่ยุติธรรม

 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส

เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2517 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ปีขาล พระเทพสาครมุนี (หลวงพ่อแก้ว) วัดสุทธิวาตวราราม (ช่องลม) มอบตราตั้งเจ้าอาวาสแก่ข้าพเจ้าโดยให้ดูแลพระภิกษุ สามเณร ภายในอาวาสให้เรียบร้อย นี่ถ้าหากข้าพเจ้าไม่เชื่อฟังคำครูอาจารย์ เป็นไปตามเพื่อนศิษย์ด้วยกันแล้วบัดนี้คงจะเป้นตาแก่อยู่บางกระดี่หรือมิฉะนั้นคงเป็นตาแก่เฝ้าบ้านมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองอย่างแน่นอน บางครั้งเมื่อข้าพเจ้าหวนรำลึกถึงชีวิตตอนนั้นยังสงสัยอยุ่ว่าเพราะอะไรเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าซังกะตายมาอยู่ทุกวันนี้

• ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลท่าฉลอม

ซึ่งสมัยนั้นพระครูโกมุทธรรมธาดา (พระมหาสมัย) วัดป้อมวิเชียรโชติการามเป็นเจ้าคณะอำเภอเมืองได้พิจารณาว่าในตำบลท่าฉลอม วัดใดที่มีเจ้าอาวาสที่ดำรงตำแหน่งก่อน ซึ่งข้าพเจ้าเป็นเจ้าอาวาสวัดอื่นๆจึงได้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะตำบลมาจนถึงทุกวันดวงชะตาดีก็มีผู้มอบให้

ข้าพเจ้าเป็นพระฐานานุกรมมา 2 ครั้ง เป็นพระครูวินัยธร เป็นพระครูปลัดพรหมจริยวัฒน์ของหลวงพ่อพระวิสุทธิวงษาจารย์ เจ้าคณะภาค 14 วัดเทพธิดาราม กรุงเทพฯ และมอบให้ท่านกำนันวิเชียร อากาศ ทำงานพระพุทธศาสนา

• อุบัติเหตุครั้งสำคัญในชีวิต

เมื่อข้าพเจ้าเป็นเจ้าอาวาสใหม่ๆ ครั้งหนึ่ง มีกิจนิมนต์ที่จ.อยุธยา คนขับรถขับรถเร็วมากพุ่งลงไปในครองชลประทาน ซึ่งลึกพอสมควร รถค่อยๆจมลงไป ข้าพเจ้าติดอยู่ในรถคันนั้นด้วยและเปิดประตูออกมาไม่ได้เพราะน้ำข้างนอกมากกว่าข้างในรถ แต่คงยังไม่ถึงคราวจมน้ำตาย บังเอิญรถไปค้างอยู่บนตอไม้ที่มีใครไปแช่น้ำเอาไว้ คนขับทุกกระจกออกมาจึงรอดตายมาได้

ครั้งที่ 2 มีผู้ไม่หวังดีนำดินระเบิดใส่แป๊บยาวประมาณ 60 ซ.ม. 2 กระบอกจ่อไว้ตรงศีรษะของข้าพเจ้าห่างไปประมาณ 1 เมตร โดยใช้ธูปเป็นชนวน แป๊บจะระเบิดเวลาประมาณ 24.00 น. แรงระเบิดทำให้ฝากุฏิแบบโบราณพังลงมาทั้งแถบ ข้าพเจ้านอนเฉย...

• คำเตือนของเทพยดา

อีกประการหนึ่งของการจัดตั้งมูลนิธิครั้งนี้ ก็ด้วยมานึกถึงคำตัดเตือนของเทพยดาตนหนึ่ง ที่ได้มากราบทูลพระพุทธเจ้า ในเรื่องการทำทรัพย์สมบัติของตนที่มีอยู่ให้เกิดความยั่งยืนว่า "ในขณะนั้นที่ไฟไหม้บ้านเรือน ทรัพย์สมบัติที่เจ้าของเรือนหอบออกมาไว้ด้านนอกเท่านั้น จึงจะมีประโยชน์ ส่วนทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ในเรือนที่ถูกไฟไหม้หามีประโยชน์ไม่เพราะย่อมย่อยยับไปกับกองไฟ เพราะเหตุนี้ ผู้มีปัญญาพิจารณาเห็นสังขารนี้ ที่ถูกไฟราคะ โทสะ โมหะ เผาไหม้อยู่ ถูกไฟคือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เผาไหม้อยู่ เป็นเสมือนเรือนที่ถูกไฟไหม้ จึงรีบขนทรัพย์สมบัติออกไว้นอกเรือนด้วยการแปรทรัพย์ภายนอกให้เป็นทรัพย์ภายในที่ไฟไหม้ไม่ได้ เขาย่อมใช้สอยทรัพย์ภายในนั้นทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า"
 
 

194
ขอแนะนำเกจิอาจารย์ ที่เป็นนักปฎิบัติ ผู้ขลังอาคม

[size=18]​​หลวงปู่ขุ้ย​ ​ฐิตธมโม​ ​เทพเจ้า​แห่งลุ่มแม่น้ำ​กง​​[/size]
"พระอธิการวิชัยรัตน์​ ​ฐิตธัมโม" ​หรือ​ ​หลวงปู่ขุ้ย​ ​แห่งวัดวับตะ​เตียน​ ​ต​.​ท่าด้วง​ ​อ​.​หนองไผ่​ ​จ​.​เพชรบูรณ์​ ​เป็น​พระภิกษุที่มี​ใจใฝ่ปฏิบัติธรรม​และ​รักษาธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด​ ​จน​ได้​รับ​ความ​เลื่อมใสศรัทธา​จาก​ญาติ​โยม​เป็น​อย่างยิ่ง​

​แม้ล่วงวัย​ 86 ​ปี​ 64 ​พรรษา​ ​แต่ร่างกาย​ยัง​ดู​แข็งแรง​ ​เดินเหินคล่องแคล่ว​ ​ขึ้น​เขา​ไปหาสมุนไพรมาทำ​เป็น​ยารักษา​โรค​ให้​แก่ชาวบ้าน​ได้​โดย​ไม่​เหน็ดเหนื่อย​

​นอก​จาก​นี้​ ​หลวงปู่ขุ้ย​ยัง​เป็น​พระ​เกจิสายพระครูวิชิตพัชราจารย์​ ​หรือ​ ​หลวงพ่อทบ​ ​วัดช้างเผือก​ ​อ​.​เมืองเพชรบูรณ์​ ​อีก​ด้วย​

​อัตโนประวัติ​ ​ถือกำ​เนิด​ใน​สกุล​ ​ท่อนทอง​ ​เมื่อวันที่​ 20 ​พฤษภาคม​ 2464 ​ที่บ้านท่ามะทัน​ ​ต​.​ท่าอีบุญ​ ​อ​.​หล่มสัก​ ​จ​.​เพชรบูรณ์​ ​โยมบิดา​-​มารดา​ ​ชื่อนายทองดี​และ​นางทองสุข​ ​ท่อนทอง​

​วัยเยาว์​เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่​ 4 ​ที่บ้านเกิด​ ​พออายุ​ได้​ 12 ​ปี​ ​บิดา​ถึง​แก่กรรม​ ​จึง​ได้​บรรพชา​ ​แต่​ด้วย​ความ​ศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา​ ​เมื่อเผาศพบิดา​เสร็จ​ ​โยมมารดา​ได้​ขอ​ให้​ลาสิกขา​ ​แต่สามเณร​ไม่​ยินยอม​

​จาก​นั้น​ได้​เดินทางไปหาหลวงพ่อทบที่วัดชนแดน​ ​เพื่อ​อยู่​รับ​ใช้​อุปัฏฐาก​ ​ตักน้ำ​ ​เทกระ​โถนน้ำ​หมาก​ ​ล้างบาตร​ ​ปัดกวาดเสนาสนะ​ ​ด้วย​ความ​เมตตาที่หลวงพ่อทบมีต่อสามเณรขุ้ย​ ​ท่าน​ได้​ถ่ายทอดสรรพวิชาคาถา​ ​การทำ​ตะกรุดโทน​ ​ลงเลขยันต์คาถา​ ​ผ้ายันต์​ ​และ​ได้​ศึกษาวิปัสนากัมมัฏฐาน​และ​กำ​หนดจิต​

​ผลสัมฤทธิ์​ได้​เกิดขึ้นอย่างรวด​เร็ว​ ​ส่งผล​ให้​สามเณรขุ้ยมี​ความ​ชำ​นาญอย่างยิ่ง​

​ครั้นอายุ​ได้​ 22 ​ปี​ ​สามเณรขุ้ย​ ​ได้​เข้า​พิธีอุปสมบท​ ​ที่วัดศรีมงคล​ ​อ​.​หล่มสัก​ ​เมื่อวันที่​ 4 ​มีนาคม​ 2486 ​โดย​มีพระมหาหยวก​ ​เจ้าคณะอำ​เภอหล่มสัก​ ​เป็น​พระอุปัชฌาย์​, ​พระอธิการคำ​ปัน​ ​เป็น​พระกรรมวาจาจารย์​ ​และ​พระอธิการวันดี​ ​เป็น​พระอนุสาวนาจารย์​ ​ได้​รับฉายาว่า​ ​ฐิตธมโม​ ​หมาย​ความ​ว่า​ ​ผู้​มีจิตใจตั้งมั่น​ใน​ธรรม​

​ภายหลังอุปสมบท​ ​อยู่​ปรนนิบัติรับ​ใช้​พระอุปัชฌาย์​ 2 ​พรรษา​ ​จึง​ได้​กราบลา​ ​เดินทางไปจำ​พรรษา​ยัง​วัดชนแดน​ ​เพื่อศึกษา​เล่า​เรียนวิทยาคม​และ​ปฏิบัติกัมมัฏฐาน​

​เมื่อการปฏิบัติธรรมแก่กล้า​ ​ท่าน​ได้​กราบลาหลวงพ่อทบ​ ​ออกเดินท่องธุดงควัตรไป​ยัง​สถานที่ต่างๆ​ ​ทั้ง​ใน​และ​ต่างประ​เทศ​

​ใน​ที่สุด​ ​หลวงปู่​ได้​เดินทางมา​ยัง​บ้านท่าด้วง​ ​ได้​เล็งเห็น​ความ​เจริญที่​จะ​เกิดขึ้นแก่หมู่บ้านนี้​ใน​อนาคต​ ​ประกอบ​กับ​มีป่า​ไม้​ ​แหล่งน้ำ​ไหลผ่าน​ ​ท่าน​จึง​ได้​หยุดธุดงค์​ ​และ​ชักชวนชาวบ้าน​ ​สร้างวัดขึ้นที่หมู่บ้านซับตะ​เคียน​

​หลวงปู่ขุ้ย​ ​อยู่​จำ​พรรษาชักชวนชาวบ้าน​เข้า​วัด​ ​ฟังธรรม​ ​รักษาศีล​ ​จน​เป็น​ที่ศรัทธา​เลื่อมใสของชาวบ้านตราบ​เท่า​ทุกวันนี้​ ​รวม​ทั้ง​ได้​รับแต่งตั้ง​จาก​คณะสงฆ์​ให้​เป็น​เจ้าอาวาสวัดซับตะ​เคียนแห่งนี้​

​ด้านวัตถุมงคล​ ​หลวงปู่ขุ้ย​ได้​รับการถ่ายทอดวิชา​จาก​หลวงพ่อทบ​ ​บรรดาคณะศิษยานุศิษย์ที่รู้​ใน​กิตติศัพท์ด้านวิทยาคมของท่าน​ ​จึง​ได้​ขอร้อง​ให้​ท่านจัดสร้างวัตถุมงคล​ ​เพื่อนำ​เงินมาจัดสร้างเสนาสนะ​ ​ศาลา​ ​อุ​โบสถ​

​ปัจจุบัน​ ​ได้​สร้างเสร็จเรียบร้อย​ ​สมดังเจตนารมณ์​

​วัตถุมงคลที่​ได้​รับ​ความ​นิยมสูงคือ​ ​ตะกรุดโทน​ ​ตะกรุด​ 9 ​ชั้น​ ​รูปหล่อลอยองค์​ ​และ​อีกหลายรุ่น​ ​วัตถุมงคลที่สร้างขึ้นมี​ผู้​มาขอบูชาหมดไป​ใน​เวลา​ไม่​นาน​ ​และ​ผู้​ที่​เช่าหาวัตถุมงคลของท่านต่างมีประสบการณ์​แคล้วคลาดต่างๆ​ ​มากมาย​

​นอก​จาก​นี้​ ​ท่าน​ยัง​รดน้ำ​มนต์​ให้​แก่ญาติ​โยม​ ​ใน​แต่ละวัน​จึง​มี​ผู้​เดินทางไปกราบไหว้หลวงปู่ขุ้ยจำ​นวนมาก​

​หลวงปู่ขุ้ย​เป็น​พระที่ทันสมัย​ ​ใช้​ธรรมะสั่งสอนชาวบ้าน​ ​ให้​รู้จักทำ​มาหากิน​ด้วย​ความ​สุจริต​ ​มี​ความ​อดทน​ ​ขยันหมั่นเพียร​ ​มิ​ให้​ลุ่มหลงมัวเมา​ใน​อบายมุข​ ​ใช้​ชีวิตอย่างสมถะ​ ​และ​พอเพียง​ ​ตามแนวพระราชดำ​ริ​เศรษฐกิจพอเพียง​ ​ของพระบาทสมเด็จพระ​เจ้า​อยู่​หัว​

​หลวงปู่ขุ้ย​ ​ถือ​เป็น​ผู้​นำ​ทางคุณธรรมศีลธรรมของชาวบ้านซับตะ​เคียนอย่างแท้จริง​ ​ด้วย​ความ​ที่​เป็น​พระที่ปฏิบัติดี​ ​ปฏิบัติชอบ​ ​ไม่​สะสม​ ​และ​ยึดติด​ใน​อติ​เรกลาภ​ ​ชาวบ้าน​ทั้ง​อำ​เภอ​ ​ต่างจังหวัด​ ​จึง​ให้​ความ​เคารพศรัทธา​ ​ด้วย​กุศลจิตอย่างแท้จริง​

​นับ​ได้​ว่า​ ​เป็น​พระดีอีกรูปหนึ่งแห่งเมืองมะขามหวาน
นำมาจาก http://www.phetchabun.police.go.th/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=294 เพื่อเผยแพร่ต่อไป

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

195
ธรรมะ / สมาธิสู่ใจสงบ
« เมื่อ: 19 ก.ย. 2550, 03:14:41 »
http://www.palungjit.com/board/attachment.php?attachmentid=82814

196
? ? เนื่องด้วย วันที่ 9 เดือน 9 (กันยายน) นี้ เป็นวันไหว้ครู ของ หลวงพ่อสิงห์ วัดไผ่เหลือง ต.บางม่วง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี
(ท่านเป็น อาจารย์ของ อดีตมือโปรกอลฟ์ มือ 1 ของโลก วีเจ ซิงค)์? งานเริ่ม 09.09 น. ผู้ไปร่วมงาน จะได้รับแจก ตะกรุด
ลูกปืน นะลือชา รุ่นแรก? ? จึงขอแจ้งข่าว ผู้เป็นลูกศิษย์ลูกหาทราบ โดยทั่วกัน

197
เห็นว่า โพสกระทู้ลายสัก กันเยอะ ผมก็ขอ เอาเรื่องงานบุญมาฝาก บ้าง
ขอเชิญ จับจอง จตุคามรามเทพ หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ รุ่น ทรัพย์ไหลมา
พิธีพุทธาภิเษก-เทวาภิเษก 12 ส.ค.2550 วัดบางพระ
สอบถามรายละเอียด โทร 081-6174971 , 086-9989938
ใครไม่ได้ไป อดได้ผ้ายันต์ จตุคามรามเทพ แย้งเอากันฟรี
เข้าวัด ไม่ได้ธรรมะ ก็ยังได้กุศล จากการบูชา ดอกไม้ ธูป เทียน และ วัตถุมงคล
ดวงตาจะเห็นธรรม เป็นเรื่อง อนาคต แต่ถ้าซื้อคุ๊กกี้ 1 กระป๋อง 4 คำ 60 บาท ไม่อร่อยและแพง

ข้อมูลจาก
http://uamulet.com/newsBoardDetail.asp?qid=19879
http://uamulet.com/newsBoardDetail.asp?qid=19956

:027:





Shot with CanoScan LiDE 25 at 2007-08-21





:017:

198

Shot at 2007-08-15
โบโรบุ​โดร์​ (Borobudur) ​หรือ​ที่คนไทยนิยมเรียกว่า​ "บรมพุทโธ" ​หรือ​ “​บุ​โรพุทโธ​” ​เป็น​พุทธสถานอันศักดิ์สิทธิ์​และ​ยิ่ง​ใหญ่​มาก​ ​นับ​เป็น​ความ​ภาคภูมิ​ใจของชาวพุทธ​ทั่ว​โลกที่มี​โบราณสถาน​ใน​ทางพุทธศาสนาอันเก่า​แก่​แห่งนี้​
​โดย​มีพระมหา​เจดีย์องค์​ใหญ่​อยู่​ตรงกลาง​ ​รายรอบ​ด้วย​พระ​เจดีย์องค์​เล็ก​อีก​ ๗๒ ​องค์​ ​ภาย​ใน​พระ​เจดีย์​แต่ละองค์ประดิษฐาน​ด้วย​ ​พระพุทธรูปศิลปะศรีวิชัย​ ​พระ​เจดีย์​ทั้ง​ ๗๒ ​องค์นี้​ ​ตั้งเรียงราย​อยู่​ ๓ ​ระดับ​ ​โอบล้อมพระมหา​เจดีย์องค์​ใหญ่​ ​ซึ่ง​เป็น​สัญลักษณ์สุดยอดของ​ "บุ​โรพุทโธ" ​โดย​เชื่อ​กัน​ว่าที่นี่คือ​ ​ศูนย์กลางแห่งพลังจักรวาล​
“​บุ​โรพุทโธ​” ​ตั้ง​อยู่​ใจกลางเกาะชวา​ ​อยู่​ห่าง​จาก​เมืองยอกยาการ์ตา​ ​ของอินโดนี​เซีย​ ​ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ​ ๔๐ ​กม​. ​สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่​ ๑๔ ​ใน​สมัยของ​ ​กษัตริย์ราชวงศ์​ไศเรนทรา​ ​แห่ง​ ​อาณาจักรศรีวิชัย​ ​กษัตริย์ชาวฮินดู​ ​ผู้​หันมานับถือพระพุทธศาสนา​ ​โดย​ที่ชนชาวศรีวิชัย​ใน​สมัย​นั้น​ส่วน​ใหญ่​ก็นับถือพุทธศาสนาลัทธิมหายาน​อยู่​แล้ว​ ​ด้วย​เหตุนี้​เกาะชวา​ใน​สมัย​นั้น​จึง​ถือ​เป็น​ศูนย์กลางพุทธศาสนาอันยิ่ง​ใหญ่ของอาณาจักรศรีวิชัย​
​ตามการสันนิษฐาน​ ​กษัตริย์พระองค์นี้​จะ​ต้อง​มีอำ​นาจ​และ​บารมีสูงส่งมาก​ ​จึง​สามารถ​แผ่​ความ​ยิ่ง​ใหญ่​เกรียงไกรจนทำ​ให้​ ​อาณาจักรศรีวิชัย​ ​มีขอบเขตกว้าง​ใหญ่​ไพศาล​ ​ความ​เจริญรุ่งเรืองแผ่ขึ้นมาจน​ถึง​ที่ตั้งของประ​เทศไทย​ใน​ปัจจุบัน​
​หลายคนเชื่อว่า​ ​กษัตริย์พระองค์นี้​ได้​อวตารลงมา​เป็น​ ​องค์จตุคามรามเทพ​ ​และ​ได้​สำ​เร็จ​เป็น​ ​พระ​โพธิสัตว์อวโลกิ​เตศวร​ ​ผู้​มี​แต่​ความ​เมตตา​เป็น​ที่ตั้ง​ ​อัน​เป็น​ความ​เชื่อของ​ผู้​เคารพศรัทธา​ใน​วัตถุมงคล​ ​องค์จตุคามรามเทพ​ ​ที่มีการจัดสร้าง​กัน​ขึ้นมา​ใน​ทุกวันนี้​
​ที่น่า​แปลกใจคือ​ ​รูปเคารพ​ ​องค์จตุคามรามเทพ​ ​ที่พบเห็น​กัน​ใน​ปัจจุบัน​ ​มีปรากฏ​เป็น​ภาพหินแกะสลัก​อยู่​ที่ฐานพระมหา​เจดีย์บุ​โรพุทโธ​ ​หลายภาพหลายปาง​ด้วย​กัน
ชาวชวา​ (อินโดนี​เซีย) ​ใน​ทุกวันนี้​ ​ไม่​ทราบหรอกว่า​ ​องค์จตุคามรามเทพ​ ​ที่คนไทยกำ​ลังเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้า​ใน​ทุกวันนี้มี​ความ​เป็น​มาอย่างไร​ ? ​แต่​เมื่อถาม​เขา​ว่า​ ​ภาพแกะสลักรูปเคารพเหล่านี้​ ​คือใคร​? ​เขา​บอกอย่างละ​เอียดว่า​ ​นี่คือพระ​โพธิสัตว์อวโลกิ​เตศวร​ ​องค์พิ​เศษ​ ​ผู้​มี​ความ​เมตตาสูง​ ​ใครขออะ​ไร​จาก​ท่าน​ ​จะ​ต้อง​ประสบ​ความ​สำ​เร็จสมหวังเสมอ​ ​นั่น​เป็น​ความ​เชื่อของชาวชวา​ ​ที่บังเอิญมาตรง​กับ​ความ​เชื่อของคนไทย​ ​ผู้​ศรัทธา​เลื่อมใส​ใน​ ​องค์จตุคามรามเทพ​ ​ใน​ทุกวันนี้​ ​อย่างเหลือเชื่อจริงๆ
จากคมชัดลึก

199
บทความ บทกวี / จตุคามรามเทพ ขาลง
« เมื่อ: 16 ส.ค. 2550, 11:54:52 »
 จากบทความในหนังสือพิมพ์ บางฉบับ + สื่อโทรทัศน์ มีการนำเสนอข่าว ว่าเป็นขาลง ของจตุคามรามเทพ
ราคาตกเหลือ องค์ละ 5 บาท  จากข้อเท็จจริงที่นำเสนอ ล้วนแต่เป็นเรื่องปันแต่ ให้ลดความเชื่อถือของ
องค์จตุคามรามเทพ โดยนำเสนอ เอาจตุคามรามเทพปลอม ที่มีวางขาย ที่ ท่าพระจันทร์ + ข้างวัดมหาธาตุ มานำเสนอ บิดเบือน

Shot at 2007-08-15

Shot at 2007-08-15

ผมไดนำข้อคามการโพส จากเวปพลังจิต มานำเสนอบางส่วน ดังนี้

จตุคามรามเทพตอนนี้มีสื่อหลายสื่อพยายาม​จะ​ลดกระ​แส​ความ​ดัง
​โดย​การนำ​เสนอข่าว​ใน​แง่ลบ​ ​ซึ่ง​บางข่าวก็จริงมีมูล
​และ​บางข่าวก็​เท็จ​ไม่​มีมูล​ ​เท่า​ที่ทราบ​จาก​เพื่อนๆ​ที่ทำ​งาน
​ใน​ด้าน​ความ​มั่นคง​ ​เขา​บอกว่าตอนนี้พวกนอกศาสนา
​พยายาม​จะ​โจมตีกระ​แสองค์จตุคามรามเทพ​
​เพราะ​เนื่อง​จาก​กระ​แสขององค์จตุคามทำ​ให้​ชาวพุทธ
​เกิด​ความ​รวมตัว​และ​ศรัทธา​ใน​พระพุทธศาสนาอย่างมากมาย
​หลายๆ​คน​ไม่​เข้า​วัดก็กลับมา​เข้า​วัด​ ​ทั้งๆ​ที่​เป็น​แค่​เปลือกนอก
​ไม่​ได้​เข้า​ใจ​ใน​หลักธรรมลึกๆ​มากนัก​ ​แต่ก็​เป็น​จุด​ให้​คนไทย
​รู้จัก​เข้า​วัด​เข้า​วา​ ​รู้จักหัดมีศีลถือศีล​ ​แม้​เพียง​จะ​หวัง​ใน​โชคลาภ
​แต่ก็​เป็น​กุศโยบายดึงคนหันมาปฏิบัติตน​ให้​อยู่​ใน​ศีล​ใน​ธรรมอย่างหนึ่ง
​กระ​แสจตุคามทำ​ให้​ชาวพุทธ​ทั่ว​ประ​เทศเกิด​ความ​ศรัทธา​ใน​พระพุทธศาสนา
​เนื่อง​จาก​องค์จตุคามท่าน​เป็น​พระ​โพธฺสัตย์​ใหญ่​องค์หนึ่ง
​ซึ่ง​ท่านก็ดำ​เนินรอยตามคำ​สอนขององค์พระพุทธเจ้า
​ผู้​ใด​ที่​จะ​ขอ​ ​ต้อง​มีศีล​ ​และ​สมาธิที่ดีพอควร​
​และ​ต้อง​มีการทำ​บุญทำ​กุศล​เข้า​วัด​เข้า​วา
​จาก​ที่​ไปเดินที่ท่าพระจันทน์​ ​จตุคามที่ราคาถูก​ ​ตามที่ลงข่าว​นั้น
​ล้วน​เป็น​จตุคามของปลอม​ทั้ง​นั้น​ ​ปั้ม​อยู่​ที่​ใน​ท่าพระจันทร์
​เมื่อก่อน​เขา​ขายส่ง​กัน​องค์ละ​30​บาท​ ​พร้อมกล่อง​
​มีพวกหัวใสหวังรวยทางลัดเช่า​แล้ว​กลับไปปล่อยที่ต่างจังหวัด​100-200​องค์​
​ใน​ราคา​100-1000​บาท​ ​แล้ว​เที่ยวหลอกลวงคนต่างจังหวัดว่า
​มา​จาก​ใต้​บ้าง​ ​มา​จาก​นครบ้าง​ ​คนต่างจังหวัด​ไม่​รู้
​ก็​เช่า​เสียเงินเสียทองไป​เป็น​จำ​นวนมาก
​โย​ไม่​รู้ว่าที่​แท้​เป็น​จตุคามท่าพระจันทน์นี่​เอง​
​จตุคามท่าพระจันทน์รุ่นที่ปลอมมมากมี
​โคตรเศรษฐี​49 ​เงินไหลมา​1 ​เองนไหลมา​2 ​วัดห้วยมงคล​ ​ราชันย์ดำ
​เรียกว่า​เกือบทุกรุ่นที่ดัง​ ​ท่าพระจันทน์มี​เกือบหมด
​ดัง​นั้น​ ​ข่าวที่ลง​ ​พยายามนำ​เสนอว่า​
​กระ​แสจตุคามลดลงเหลือแค่​50​สตางค์​ ​ล้วน​เป็น​จตุคามของปลอม​ทั้ง​สิ้น

​แต่​ต้อง​ยอมรับว่าการนำ​เสนอของสื่อ​ใน​ทางลบ​ ​เช่น​ใน​กรณีของหลวงหนุ่ย
​ทำ​ให้​ราคาจตุคามลดราคาลงจริงๆ​ ​และ​ทำ​ให้​กระ​แสซา​ไปจริงๆ

​แต่​ความ​นิยมของคนที่ศรัทธา​ยัง​คงมี​อยู่​ ​เพราะ​องค์จตุคามมีจริง
​และ​ก็ศักดิ์สิทธิ์จริง​

ที่มา http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=87209

200
ผมขอแนะนำ เวปที่ดีมีสาระครับ เป็นเวปของ หลวงปู่ทิม วัดพระขาว พระที่ทรงด้วยเมตตา

http://www.luangputim.com/home.html
http://www.luangputim.com/webboard/viewforum.php?f=1&sid=12a310bee6dffef261340b0130faff38



201
วันนี้เป็นวันดี มีพิธีพุทธาภิเษก-เทวาภิเษก หลายวัด เป็นงานหนักแก่บรรดาเกจิอาจารย์ ผู้ทรงคุณ ที่มีอายุหลายท่าน
ที่จะต้อง วิ่งลอกเดินสาย นั่งปรกปุกเสก หลายวัดอย่างรีบเร่ง (ด่วน) อาทิ หลวงปู่ทิม วัดพระขาว หลวงปู่แย้ม วัดสามง่าม
เมื่อง 2-3 วัน ก่อน หลวงพ่อทวีศักดิ์ ยังน๊อค เข้าโรงพยาบาลเลย (โหมงานปุลกเสกมาไปหน่อย)
อย่างไง ก็ขอให้บรรดาลูกศิษย์ ผู้ใกล้ชิด ช่วยดูแล ครูบาอาจารย์ให้มากหน่อย เพื่อที่ท่านจะได้อยู่ เป็นร่มโพธิ ร่มไทร
แก่สาธุชน ทุกชั้น วรรณะ ให้นานๆ ขอขอบคุณไว้ด้วยครับ

202
ธรรมะ / โคนันทิวิศาล
« เมื่อ: 08 ส.ค. 2550, 06:42:14 »



โคนันทิวิศาล

ใน​อดีตกาลนานมา​แล้ว

มีพราหมณ์คนหนึ่ง​ได้​ลูกวัวมา​เลี้ยงแกมี​ความ​รักดังลูก​ ​ให้​กินข้าวต้มข้าวสวยเหมือนมนุษย์​ ​และ​ตั้งชื่อว่า​ นันทิวิศาล ​โคนันทิวิศาลเติบโตขึ้น​โดย​ลำ​ดับ​ ​และ​มีกำ​ลังวังชา​แข็งแรงอย่างยิ่ง​ ​มันตั้งใจ​จะ​ตอบแทนบุญคุณที่พราหมณ์ที่​ได้​เลี้ยงดูตั้งแต่​เล็ก​จนเติบ​ใหญ่​

อยู่​มาวันหนึ่ง​ ​โค​ได้​ให้​พราหมณ์​ไปท้าพนัน​กับ​เศรษฐี

โดย​วางเงิน​กัน​หนึ่งพัน​ ​พราหมณ์​ได้​ทำ​ตามสั่ง​ ​ครั้น​ได้​เวลา​เขา​ก็บรรทุกเกวียน​ 100 ​เล่ม​ ​เต็ม​ด้วย​กรวดทราย​ ​แล้ว​จูงโคไปอาบน้ำ​ ​เอาพวงมาลัยมาคล้องคอ​ ​เสร็จ​แล้ว​นำ​ไปเทียมเกวียนยกปะฏักทำ​ท่า​เหมือน​จะ​แทง​ ​พร้อม​กับ​ขู่สำ​ทับ​ด้วย​คำ​หยาบว่า​ "​ไอ้​โคโกง​ ​เอ็งจงลากเกวียนออกไป​จาก​ที่นี่​เร็ว​เข้า​" ​ฝ่ายโค​ได้​ยินคำ​พูดเช่น​นั้น​ก็​เดือดดาล​ใน​ใจว่า "พราหมณ์คนนี้​เรียกเรา​ผู้​ไม่​โกงว่า​เป็น​โคโกง" ​ดังนี้หาสมควร​ไม่​ ​ก็สิ้นกำ​ลังใจ​ ​ยืนนิ่ง​ไม่​ยอมก้าวเดิน​ ​พราหมณ์​จะ​ออกปากไล่​ยัง​ไงก็​เฉย
 
เป็น​อันว่าวัน​นั้น​พราหมณ์​แพ้พนัน​ต้อง​เสียเงิน​ให้​กับ​เศรษฐีตามสัญญา

เขา​จึง​ปล่อยโคนันทิวิศาลไป​ ​ส่วน​ตัวเองก็​เดินคอตกกลับบ้าน​ ​ด้วย​ความ​เศร้าสร้อย​ไม่​เป็น​อันกินอันนอน​ ​ได้​แต่ซบเซา​อยู่​ทุกวัน​ ​โคนันทิวิศาลรู้ข่าว​จึง​กลับมา​ ​เห็นพราหมณ์นอนซบเซา​อยู่​ ​โค​จึง​พูดว่า ​นับแต่ข้าพเจ้ามา​อยู่​ใน​บ้านของท่านจน​ถึง​วันนี้​ ​ได้​เคยสร้าง​ความ​เสียหาย​ให้​กับ​ท่านบ้าง​หรือ​ไม่ ​พราหมณ์ตอบว่า​ ไม่​มี​เลย​ โค​จึง​กล่าวว่า​ ถ้า​อย่าง​นั้น​ทำ​ไมท่าน​จึง​เรียกข้าพเจ้าว่า​เป็น​โคโกง​ ​การที่ท่านแพ้พนัน​เป็น​ความ​ผิดของท่านเอง​ ​ถ้า​ท่านรู้สึกผิดดังนี้​แล้ว​ ​จงกลับไปพนัน​กับ​เศรษฐีอีก​ด้วย​ทรัพย์​ 2000  ทั้ง​กำ​ชับ​ให้​พราหมณ์พูดแต่คำ​เพราะๆ​ ​อย่า​ได้​พูดคำ​หยาบเหมือนที่​เคย​ ​ข้าพเจ้า​จะ​ทำ​ให้​ท่านชนะ​เศรษฐี​ให้​จง​ได้​

เมื่อ​ได้​ฟังคำ​ของโคพราหมณ์ก็​ได้​ไปท้าพนัน​กับ​เศรษฐี​ใหม่​ด้วย​ทรัพย์​ 2000 ​แล้ว​นำ​โคนันทิวิศาล​เข้า​เทียมเกวียน​ ​ส่วน​ตัวเองขึ้นั่งบนเกวียน​ ​เอามือลูบหลังโค​แล้ว​กล่าวอย่างไพเราะนิ่มนวลว่า​ "ลูกเอ่ย​ ​เจ้าจงลากเกวียน​ 100 ​เล่มนี้​ไปเถอะ​ ​พ่อพร้อม​แล้ว" ​โค​ได้​ยินดัง​นั้น​ก็​เกิดกำ​ลังใจ​ ​ลากเกวียน​จาก​ที่​ไป​ไม่​รอช้า​ ​ทำ​ให้​พราหมณ์ชนะ​เศรษฐี​ได้​ทรัพย์​ไป​ 2000 ​จัด​เป็น​กำ​ไรเสีย​ 1000 ​แล้ว​พราหมณ์ก็นำ​โคนันทิวิศาลกลับบ้านของตน​ ​ด้วย​ความ​โสมนัส​ ​ยินดีปรีดา​เป็น​ที่สุด​

ข้อคิดที่​ได้​จาก​นิทานธรรมะ​เรื่องนี้คือ

อันว่าธรรมดาคำ​หยาบคายนี้​ ​ย่อม​ไม่​เป็น​ที่พึงพอใจของ​ผู้​ใด​ ​อย่าว่า​แต่มนุษย์​เลย​ ​แม้​แต่สัตว์​เดรัจฉาน​ ​ก็​ไม่​ชอบคำ​หยาบคาย​ ​ดั้ง​นั้น​ ​ไม่​ว่า​เวลา​ใด​ ​บุคคลควรกล่าวแต่ถ้อยคำ​ที่​ไพเราะอ่อนหวาน​และ​นิ่มนวล​เป็น​ที่พึงพอใจของ​ผู้​อื่น​ ​ไม่​ควรกล่าวถ้อยคำ​ที่หยาบคาย​และ​แข็งกระด้าง​ไม่​เป็น​ที่พึงพอใจของ​ผู้​อื่น​เป็น​อันขาด​ ​ดังตัวอย่างนิทานที่กล่าว​ไว้​ข้างต้น​...

จาก เว๊ปไซต์ธรรมะ​ไทย

203
ประวัติ ของท่านบางส่วน ที่พอหาได้ครับ
เป็นเกจิ ที่คนย่านการค้า จักรวรรดิ์ สำเพ็ง พาหุรัด รู้จักกันดี
ตามลิงค์ http://www.uamulet.com/showAmuletBoardDetail.asp?qid=26367

ส่วนผม มีเหรียญ สร้างปี 2515 ทั้ง 2 แบบนะโม 3 จบ นะโม พุทธายะ มิอุมิ


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

204
บทความ บทกวี / มุทิตา
« เมื่อ: 06 ส.ค. 2550, 10:56:40 »
เนื่องจาก มีหลายท่านใช้ภาษาไทย ไม่ถูกต้องกับเหตุที่จะต้องใช้ภาษาบางคำ เช่น
คำว่า มุทิตา ในหนังสือพจนานุกรมนักเรียน ฉบับเฉลิมพระเกียรติ พ.ศ. 2530 ให้ความหมายไว้ว่า ความมีจิตยินดีในลาภยศสรรเสริญสุขของผู้อื่น
อย่างการใช้ว่า วันที่ 12 สิงหาคม 2550 ขอเชิญร่วมแสดง มุทิตา ต่อหลวงพ่อเปิ่น ในวาระคล้ายวันเกิด น่าจะไม่ถูกต้อง
น่าจะใช้ คำว่า ขอเชิญร่วมรำลึก ถึงหลวงพ่อเปิ่น ในวาระคล้ายวันเกิด ในวันที่ 12 สิงหาคม 2550 จะดีกว่า

205
ขออภัยสมาชิกทุกท่าน นอกเรื่องไปนิด

          อาจารย์ด้านนี้ พอมีอยู่ ผมไปให้ท่านอาบน้ำมนต์ ไล่สิ่งไม่ดี มีโชคมีลาภ อยู่บ่อยครั้ง พวกพ่อค้า แม่ค้า
ขึ้นท่านเยอะ โดยเฉพาะ พ่อค้า แม่ค้า แถวย่านพัฒน์พงษ์ ผมไปเป็นศิษย์ท่านรุ่นแรกๆ เกือบ 10 ปี แล้ว
ท่านชื่อ หลวงพ่อจืด นิมมมโล  อยู่ที่ สวนปฎิบัติธรรมโพธิเศรษฐี ตำบลบ่อพลับ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
ตัวสำนัก ไปทางอำเภอดอนตูม รถวิ่งสาย นครปฐม-ดอนตูม ห่างจากตัวเมืองไม่เกิน 6 กม. ท่านเป็นลูกศิษย์
หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา และ หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง (เจ้าตำหรับ ราหูกะลาตาเดียว วัวธนู ควายธนู)
วัตถุมงคล ที่มีชื่อเสียงของท่าน คือ ราหูกะลาตาเดียวแกะ ต่อเงิน ต่อทอง วัวธนู ควายธนู และ ลงนะ ขุนแผน
โดยเฉพาะ ต่อเงิน ต่อทอง เป็นที่นิยม ของบุคคลทั่วไป เด่นด้านโภคทรัพย์
ลองเข้า google  หา ควายธนู หลวงพ่อจืด
http://www.uamulet.com/PNewAmuletBoardDetail.asp?qid=203

206
เป็นเหรียญ หลวงพ่อแฉ่ง วัดพิกุลเงิน รุ่นแรก ด้านหลังเหรียญ เป็นยันต์ คล้ายยันต์แม่ทัพ (มหาทะมึน) ของวัดบางพระ(รูปล่าง)

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

207
จุดเริ่มต้น การสร้างองค์จตุคามรามเทพ วัดหลังบาง ต.บางแม่นาง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี
ไปพบเข้า จึงได้นำมาให้พิจารณา
http://www.stylethailand.com/prawat/pwm.htm

208


คลิ๊กที่รูป

209
สมาชิกท่านใดได้ไปสัก ในวันเสาร์ซึ่งเป็นวันที่ 7 ของสัปดาห์ ตรงกับวันที่ 7 เดือน 7 ปี คศ.2007 บ้างหนอ (วันดี)

210
คดีจตุคามรามเทพ














211
ผมก็ดูไม่ออกหรอกว่าเป็นอย่างไร อย่างไหนแท้ เทียม
http://www.watkositaram.com/forum/index.php?topic=704.0
http://www.uamulet.com/articleAmuletBoardDetail.asp?qid=1447

212
[wmv=460,360]http://www.ch7.com/website/news/scoop_clip/7wan0501.wmv[/wmv]

213
การที่ พระมหา​โมคคัลลานเถระ ยอมให้พวกโจรทุบจนกระดูกแหลกเหลว เพื่อชดใช้กรรมที่เคยทำไว้ในอดีตชาตินั้น ทำให้พระมหา​โมคคัลลานเถระ หมดกรรมจริง
แต่พวกโจรที่มาทำร้าย ผมว่ากลับมีกรรมเพิ่มขึ้น เพราะว่าได้ทำร้ายพระอรหันต์ คงจะต้องตก นรก หมกไหม้ไปอีกนาน แล้วการที่พระมหา​โมคคัลลานเถระ ทำอย่างนี้
จะหมกกรรมจริงหรือ เปล่า แม้ว่าท่านจะได้บรรลุพระอรหันต์ไปแล้ว ย่อมมีจิตใสสะอาด และอโหสิกรรมให้พวกโจรก็ตาม  กรณีเปรียบเทียบ ว่าพระเทวทัต ได้พลัก
ก้อนหิน ลงมาเพื่อปลงพระชนน์พระพุทธเจ้า กับอีกหลายกรณี ผลสุดท้าย พระเทวทัต ต้องถูกธรณีสูบ  ตกนรก นานแสนนาน ทั้งนี้ พระพุทธเจ้าคงไม่เจ็บแค้นผูกใจ
เจ็บ จองเวร จองกรรม เป็นแน่ และคงจะอโหสิกรรม ให้ด้วยซ้ำไป
กรณีพระมหา​โมคคัลลานเถระ ถ้าไม่ให้โจรทุบจนมรณะภาพ จะดีกว่าไหม หรือ ว่าอย่างไร ช่วยตอบที

214
ของวัดถ้ำเสือ กระบี่
[wmv=460,360]http://www.ch7.com/website/news/scoop_clip/7wan-1406.wmv[/wmv]

215
การลองของยิงว่าน (ไม่เข้า)


[wmv=460,360] http://www.ch7.com/website/news/scoop_clip/7wan-2305.wmv[/wmv]

216
     การสร้างตะกรุด และ ยันต์ ในความคิดของผม ถ้าเป็นแบบวิธีการสร้างที่ดี ต้องดีแบบดีนอก และดีใน
     การสร้างแบบดีนอกหมายถึง พิธีการจัดสร้างแล้วปลุกเสก เช่น การนำเหรียญรูปเหมื่อนทองแดง,ทองเหลือง /ปลอกลูกปืน/ยันต์ปั๊ม เป็นต้น
นำมาเข้าพิธีปลุกเสก/พิธีพุทธาภิเษก โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติ่ม
     การสร้างแบบดีในหมายถึง การจัดสร้างโดยหามวลสารต่างๆ มาประกอบ มาเขียนยันต์ กระดูกยันต์ ลงอักขระ แล้วกรึงบังคับไว้ ถ้าอักขระตัวใด
เขียนทับกระดูกยันต์ ถือว่าใช้ไม่ได้ ถ้าเป็นตะกรุดบางชนิดเวลาม้วนจะต้องว่าคาถากำกับอีก เสร็จแล้วก็ปลุกเสกซ้ำอีก
     ดังนั้น เวลาหาตะกรุด หรือยันต์ ต่างๆมาใช้ ควรพิจารณา ถึงวิธีการสร้างที่ดีทั้งนอก และดีทั้งใน จึงจะครบสูตรตามตำรา
  จะเห็นได้ว่า ตะกรุดตามแบบวัดบางพระ ส่วนใหญ่จะเป็นแบบดีนอก ดีใน ยกเว้น ตะกรุดยันต์หอมเชียง ปี 44 จะเป็นแบบปั๊ม แล้วเสก แต่ก็พอจะ
อนุโลมให้ เพราะหลวงพ่อเปิ่น มีสมาธิ จิต ภาวนา สูง ท่านอาจจะเขียนยันต์ในจิตขณะปลุกเสกลงตะกรุดไปพร้อมกัน

217
  แจกยันต์ท้าวเสสุวรรณ และเรื่องราวต่างๆ ตามลิงค์
http://www.pantip.com/tech/software/topic/SA2367509/SA2367509.html

218
มันเกิดปรากฎการณ์ ที่กล้องถ่ายรูป ดิจิตอล ถ่ายรูปติด ดวงกลม ลองดู
http://www.ch7.com/website/news/scoop_7days_0803.html

219
พระหนุ่ม ที่มีลูกศิษย์ลูกหาไม่น้อย เวลาไม่ถึง 10 ปี สร้างถาวรวัตถุไปไม่ใช่น้อย
หลวงพ่อชำนาญ วัดบางกุฎีทอง
http://www.luangporchamnan.com/

220
ขอโทษ นะครับท่านผู้จัดการเวบ ที่นี่น่าจะเป็นเวบสาระ ต่อบุคคลทั่วไป ทั้งที่ เป็นสมาชิกและไม่ใช่สมาชิก ส่วนเรื่องการบันเทิง
บุคคลย่อม ย่อมหาทางบันเทิงได้ ด้วยตนเอง ชอบเพลงก็เปิด วิทยุ/ซีดี/เทป เอง ผมงงจริงๆ
(แล้วสมาชิกท่านอื่นๆ คิดอย่างไร ช่วยบอกหน่อย)

221
พีธีเสกจตุคามรามเทพ มีอะไรแปลกๆ ตามลิงค์

http://www.ch7.com/website/news/scoop-7days-2105.html

[wmv=460,360]http://www.ch7.com/website/news/scoop_clip/7wan-2105.wmv[/wmv]

222
มาชมการลงทอง ที่วัดห้วยยอด? จังหวัดตรัง แล้วขอความคิดเห็นหน่อย

http://www.ch7.com/website/news/scoop-7days-1105.html

[wmv=285,287]http://www.ch7.com/website/news/scoop_clip/7wan-1105.wmv[/wmv]


223
ขอเชิญ เข้าไปชมที่ http://www.watkositaram.com/index.php?option=com_content&task=section&id=4&Itemid=42

มีครบทุกเรื่อง ลายสักก็มี


224
ขอเชิญ ร่วมทำบุญ จตุคามรามเทพ เนื้อแร่เหล็กไหลตามรายละเอียดนี้

http://www.watthamfad.com/WEB_THAI/Vat_TU_MongKol/jATUKRAM.htm


225
หลวงปู่รอด วัดสันติกาวาส ท่านเป็นลูกศิษย์ของ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ เทพเจ้าแห่งเมืองสี่แคว ปัจจุบันท่านยังมีชีวิตอยู่
หลายท่านอาจจะยังไม่รู้จักท่าน ผมเลยเอาลิงค์ ที่เกี่ยวของมาให้ชมกัน

http://www.uamulet.com/articleAmuletBoardDetail.asp?qid=1122

226
บทความ บทกวี / วันสงกรานต์ พ.ศ.๒๕๕๐
« เมื่อ: 12 เม.ย. 2550, 10:54:22 »
                                                                 ประกาศ สงกรานต์ ปี พ.ศ.๒๕๕๐

ปีกุน มนุษย์ผู้หญิง ธาตุน้ำ นพศก จุลศักราช ๑๓๖๙
ทางจันทรคติ เป็นอธิกมาส ปกติวาร


ทางสุริยคติ เป็นปกติสุรทิน


วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๕๐ เป็น วันมหาสงกรานต์
ตรงกับวันเสาร์ แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๕
เวลา ๑๒ นาฬิกา ๓๖ นาที ๓๗ วินาที



นางสงกรานต์ ทรงนามว่า มโหธรเทวี ทรงพาหุรัด
ทัดดอกสามหาว (ผักตบ) อาภรณ์แก้วนิลรัตน์
ภักษาหารเนื้อทราย พระหัตถ์ขวาทรงจักร
พระหัตถ์ซ้ายทรงตรีศูรย์ เสด็จนั่งมาเหนือหลังนกยูง เป็นพาหนะ



วันที่ ๑๖ เมษายน เวลา ๑๖ นาฬิกา ๔๐ นาที ๔๘ วินาที
เปลี่ยนจุลศักราช เป็น ๑๓๖๙ ปีนี้วันอาทิตย์เป็นธงชัย วันจันทร์เป็นอธิบดี
วันเสาร์เป็นอุบาทว์ วันพุธเป็นโลกาวินาศ



ปีนี้ วันเสาร์เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก ๔๐๐ ห่า
ตกในโลก ๔๐ ห่า ตกในมหาสมุทร ๘๐ ห่า ตกในป่าหิมพานต์ ๑๒๐ ห่า
ตกในเขาจักรวาล ๑๖๐ ห่า นาคให้น้ำ ๖ ตัว



เกณฑ์ธัญญาหาร ได้เศษ ๗ ชื่อปาปะ ข้าวกล้าในภูมินา
จะได้ผล ๑ ส่วน เสีย ๙ ส่วน



เกณฑ์ธาราธิคุณ ตกราศีปัถวี (ดิน) น้ำงามพอดี

227


                      ประ​เพณีสงกรานต์

[ถือ​เป็น​วันขึ้นปี​ใหม่​ของไทย​ ​ซึ่ง​ยึดถือปฏิบัติสืบ​เนื่อง​กัน​มา​แต่​โบราณ​ ​และ​เป็น​วัฒนธรรมประจำ​ชาติที่งดงามฝังลึก​อยู่​ใน​ชีวิตของคนคำ​ว่า​ ?​
สงกรานต์​? ​มา​จาก​ภาษาสันสฤต​ ​แปลว่า​ ​ผ่าน​หรือ​เคลื่อนย้าย​ ​หมาย​ถึง​ ​การเคลื่อนไทยมาช้านาน
การย้ายของพระอาทิตย์​เข้า​ไปจักรราศี​ใด​ราศีหนึ่ง​ ​จะ​เป็น​ราศี​ใด​ก็​ได้​ ​แต่​ความ​หมายที่คนไทย​ทั่ว​ไป​ใช้​ ​หมายเฉพาะวัน​และ​เวลาที่พระอาทิตย์​
เคลื่อน​เข้า​สู่ราศี​เมษ​ใน​เดือนเมษายน​เท่า​นั้น/color]


                     ​ตำ​นานเกี่ยว​กับ​กำ​เนิดวันสงกรานต์
กล่าว​ไว้​ว่า​ ​ก่อนพุทธกาลมี​เศรษฐีครอบครัวหนึ่ง​ ​อายุ​เลยวัยกลางคนก็​ยัง​ไร้ทายาทสืบสกุล​ ​ซึ่ง​ทำ​ให้​ท่านเศรษฐีทุกข์​ใจ​เป็น​อันมาก​ ​ข้างรั้วบ้าน
เศรษฐีมีครอบครัวหนึ่ง​ ​หัวหน้าครอบครัว​เป็น​นักเลงสุรา​ ​ถ้า​วันไหนร่ำ​สุราสุดขีด​ ​ก็​จะ​พูดเสียงดังแสดงวาจา​เยาะ​เย้ยเศรษฐีสบประมาท​ใน​ความ​
มีทรัพย์มาก​ แต่​ไร้ทายาทสืบสมบัติ​เสมอ​ ​วันหนึ่งเศรษฐี​จึง​ถามว่ามี​ความ​ขุ่นเคืองอะ​ไร​จึง​แสดงอาการเยาะ​เย้ย​และ​สบประมาท​ ​เฒ่านักดื่ม​จึง​
ตอบ​ ​ถึง​ท่านมั่งมีสมบัติมากก็จริง​ ​แต่​เป็น​คนมีบาปกรรมท่าน​จึง​ไม่​มีบุตร​ ​ตายไป​แล้ว​สมบัติก็ตก​เป็น​ของ​ผู้​อื่น​หมด​ ​สู้​เรา​ไม่​ได้​ถึง​แม้​จะ​ยากจน
แต่ก็มีบุตรคอยดู​แลรักษายามเจ็บไข้​ ​และ​รักษาทรัพย์สมบัติ​เมื่อเราสิ้นใจ



นับแต่​นั้น​มา​ ​เศรษฐียิ่งมี​ความ​เสียใจ​ ​จึง​พยายามไปบวงสรวงพระอาทิตย์​และ​พระจันทร์​ ​เพียรพยายามตั้งจิตอธิษฐานขอบุตร​ ​ทำ​เช่นนี้​เป็น​เวลา
ติดต่อ​กัน​ถึง​สามปี​ ​ก็​ไม่​ได้​บุตรดังที่ตนปรารถนาจนวันหนึ่ง​เป็น​วันนักขัตฤกษ์สงกรานต์​ ​ท่านเศรษฐีก็พาข้าทาสบริวารของตนมาที่​โคนต้นไทร​
ใหญ่​ต้นหนึ่ง​ ​ที่​อยู่​บนฝั่งแม่น้ำ​ที่อาศัยของนก​ทั้ง​หลาย​ ​ท่านเศรษฐี​ให้​บริวารล้างข้าวสาร​ด้วย​น้ำ​สะอาด​ถึง​ 7 ​ครั้ง​ ​แล้ว​จึง​หุงข้าวสาร​นั้น​ ​เมื่อสุก​
แล้ว​ยกขึ้นบูชาพระ​ไทร​ ​เทพเหล่า​นั้น​เกิด​ความ​สงสาร​ ​จึง​ขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์​ ​ทูลขอบุตรแก่​เศรษฐี​ ​พระอินทร์​จึง​บัญชา​ให้​เทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ​
?​ธรรมบาล​? ​ลงมา​เกิด​ใน​ครรภ์ของภรรยา​เศรษฐี​ ​เมื่อครบกำ​หนดภรรยา​เศรษฐีก็คลอดบุตร​เป็น​ชาย​ ​เศรษฐี​จึง​ตั้งชื่อว่า​ ​ธรรมบาลกุมาร​ ​เพื่อ
ตอบสนองพระคุณเทพเทวา​ ​เศรษฐี​จึง​สร้างปราสาทสูง​ 7 ​ชั้น​ ​ถวายเทพต้นไทร
​เมื่อธรรมบาลกุมารเจริญวัยขึ้น​ ​เป็น​เด็กที่มีปัญญา​เฉียบแหลม​ ​รอบรู้​ ​และ​วัยเพียง​ 7 ​ขวบก็​เรียนจบไตรเพท




228
เรียน สมาชิกทุกท่านทราบ วันเสาร์ที่ 7 เมษายน 2550 นี้ เหมาะกับการสักมาก เพราะตรงกับวันเสาร์ห้า ตามโบราณจารน์ได้กล่าวไว้
คือ ถ้าวันเสาร์ปีใด ตรงกับวันเสาร์ห้า วันนั้น เหมาะที่จะทำการทำพิธีปลุกเสกเลขยันต์ หรือ วัตถุมงคล ต่างๆ สิ่งใดที่ได้รับการปลุกเสกในวันนี้ จะขลังยิ่งกว่า
วันธรรมดา และถ้าจะทำการถอนอาคมก็ไม่สามารถถอนออกได้
       และปีนี้ตรงกับ วันเสาร์ที่ 7 เมษายน 2550
แรม 5 ค่ำ เดือน 5
  สมาชิกท่านใด คิดว่าจะสัก ก็ขอเชิญมาสักวันนี้ ท่านว่าแรงนัก

229
                                            หลวงพ่อไสว​ ​ฐิตวณฺ​โณ​ (พระครูสถิตโชติคุณ) ​วัดปรีดาราม​ ​นครปฐม


หลวงพ่อไสว​ ​ฐิตวณฺ​โณ​ ​หรือ​ ​ท่านพระครูสถิตโชติคุณ​ ​ท่านเกิดเมื่อวันที่​ 18 ​มกราคม​ ​พ​.​ศ​.2464 ​มีนามเดิมว่า​ ​ไสว​ ​พุทธสร​ ​โยมบิดาชื่อ​ ​

นายเสือ​ ​อดีต​เป็น​ผู้​ใหญ่​บ้าน​ ​โยมมารดาชื่อ​ ​อิ่ม​ ​เป็น​บุตรคนที่​ 3 ​ใน​จำ​นวนร่วมบิดา​-​มารดา​เดียว​กัน​ ​เกิด​ ​ณ​ ​บ้านตำ​บลราชคาม​ ​อำ​เภอบางไทร​ ​

จังหวัดพระนครศรีอยุธยา​ 
       
           หลัง​จาก​ที่​โยมบิดาของท่าน​ได้​เสียชีวิตลงไป​แล้ว​ ​ท่านก็​ได้​เร่ร่อนพเนจรไปตามสถานที่ต่างๆ​ ​หลายแห่ง​ด้วย​กัน​ ​จนกระทั่งต่อมา​ได้​มา​เป็น​

เด็กวัดปรีดาราม​ ​หรือ​วัดยายส้ม​ ​และ​ได้​ศึกษา​เล่า​เรียนหนังสือจนสำ​เร็จชั้นประถมศึกษา​ ​ณ​ ​โรงเรียนวัดปรีดารามแห่งนี้​  ​ครั้นต่อมา​เมื่อมีอายุ​ได้​ 16

​ปี​ ​พ​.​ศ​.2481) ​จึง​บรรพชา​เป็น​สามเณรตาม​ความ​ตั้งใจ​ ​ณ​ ​อุ​โบสถวัดปรีดาราม​ ​หรือ​วัดยายส้ม​ ​โดย​มีหลวงปู่​ใจ​ ​วัดเชิงเลน​ ​เป็น​พระอุปัชฌาย์​ ​เมื่อบวช​

​เป็น​สามเณร​แล้ว​ ​ท่านก็ตั้งใจศึกษา​เล่า​เรียน​ ​ปฏิบัติธรรม​ ​สวดมนต์​ไหว้พระ​เป็น​ประจำ​  ​นอก​จาก​นั้น​ท่าน​ยัง​สนใจด้านวิปัสสนาธุระ​และ​ด้านคันถธุระ​

​โดย​เฉพาะด้านคันถธุระ​ได้​ศึกษาพระปริยัติธรรม​ ​จน​สามารถ​สอบ​ได้​นักธรรมชั้นตรี​ ​โท​ ​ตามลำ​ดับ​ ​ทั้ง​ยัง​ได้​เป็น​ครูสอนพระปริยัติธรรมอีก​ด้วย
       
เท่า​ที่​ได้​สอบถามข้อมูล​จาก​บรรดาชาวบ้าน​ใน​ละ​แวก​นั้น​ ​และ​บรรดาศิษย์นุศิษย์ที่​เคารพนับถือ​ใน​ตัวท่านก็บอก​กัน​ว่า​ ​หลวงพ่อ​ ​ไสวท่าน​ได้​

ศึกษา​เล่า​เรียนวิชาต่างๆ​ ​หลายองค์​ด้วย​กัน​ ​เท่า​ที่พอ​จะ​สืบทราบ​ได้​ ​มีดังนี้​


1.​หลวงพ่อเงิน​ ​วัดดอนยายหอม​ ​สอนวิปัสสนากรรมฐาน​ ​และ​วิชามหาอุด​

2.​หลวงพ่อเจิม​ ​วิสุทฺธิญา​โณ​ ​อดีตเจ้าอาวาสวัดปรีดาราม​ ​ซึ่ง​ใน​พรรษา​แรกๆ​ ​นั้น​ ​พอท่านมี​เวลาว่างก็​จะ​ไปขอเรียนวิชาคาถาอาคม​ 

 ​เลขยันต์มนต์ต่างๆ​

3.​หลวงพ่อพูน​ ​เกสโร​ ​วัด​ใหม่​ปีนเกลียว​ ​จังหวัดนครปฐม​ ​ซึ่ง​เป็น​พระ​เกจิอาจารย์ยุคเดียว​กับ​หลวงพ่อแช่ม​ ​วัดตาก้อง​ ​หลวงพ่อพูน​ ​องค์นี้​เป็น​อดีต   

เกจิอาจารย์ขมังเวทที่หนังเหนียวคงกระพันชาตรียิ่งนัก​ ​ขนาด​ใช้​ฝ่ามือผ่า​ไม้รวก​ได้​

 4.​เสือย้อย​ ​ชูรอด​ ​อาจารย์ของหลวงพ่อไสว​ ​ซึ่ง​เป็น​ฆราวาสที่ชาวบ้าน​ให้​สมญานามว่า​ “​เสือย้อยใจยักษ์​” ​เสือย้อยคนนี้​ ​เป็น​คนบ้านถนนขาด​ ​

จังหวัดนครปฐม​ ​ซึ่ง​เก่งกล้า​ ​ทางด้านเวทมนต์คาถายิ่งนัก​ ​เจ้าหน้า​ ​ที่ตำ​รวจ​ใน​สมัย​นั้น​เคยปราบปราม​และ​ต้อง​การตัว​ ​แต่ก็​ต้อง​พบ​กับ​ความ​ผิดหวัง

แทบทุกครั้งที่​เผชิญหน้า​กัน​ ​เพราะ​ไม่​สามารถ​ทำ​อะ​ไรเสือย้อย​ได้​เลย​ ​ต่อมาภายหลังเสือย้อย​ได้​กลับตัว​เป็น​คนดี​ ​เลิกอาชีพ​เป็น​เสือปล้น​โดย​เด็ด

ขาด​  ​หลวงพ่อไสวเอง​ได้​มี​โอกาส​ได้​รู้จัก​กับ​เสือย้อย​ ​และ​ขอร่ำ​เรียนวิชา​ ​ยันต์หน้านาง​ ​หรือ​ที่​เรียกว่า​ ​ยันต์หน้าคนนะหน้าพระ​ ​โดย​ได้​รับการถ่าย

ทอดวิชาตำ​รับยันต์อย่างสมบูรณ์​แบบ​ ​ท่าน​ได้​ฝึกฝนสูตรสนธิต่างๆ​ ​จนเชี่ยวชาญ​และ​แม่นยำ​ ​ตลอด​ทั้ง​การบริกรรมภาวนาปลุกเสกยันต์หน้านางจน

เกิด​ความ​เชี่ยวชาญ​และ​ขลัง​ ​จน​เป็น​ที่​เชื่อมั่น​และ​ถือ​เป็น​เอกลักษณ์ประจำ​ตัวของท่าน​ ​ซึ่ง​ถ้า​สังเกต​ให้​ดี​จะ​เห็น​ได้​ว่า​เหรียญรูปเหมือนทุกรุ่นของ

หลวงพ่อไสว​จะ​ใช้​ยันต์หน้านางประทับ​อยู่​หลังเหรียญของท่าน​ ​แสดง​ให้​เห็นว่ายันต์นี้มีอานุภาพเต็มเปี่ยมมหาศาล​ ​ใช้​ได้​ใน​ทุกๆ​ ​ด้าน

5. ​อาจารย์​ยัง​ ​บ้านท่าช่อง​ ​จังหวัดเพชรบุรี​ ​เป็น​ศิษย์ของพระครูวัด​เขา​วัง​ ​พูด​ถึง​อาจารย์​ยัง​แล้ว​ ​ท่าน​เป็น​ ​อาจารย์สักยันต์ชื่อดัง​ ​ท่านเคยศึกษา​ ​

วิชาอาคม​ ​พุทธาคม​จาก​หลวงพ่อพูน​ ​แห่งวัด​ใหม่​ปีนเกลียว​ ​จังหวัดนครปฐม​ ​นอก​จาก​นี้ท่าน​ยัง​เก่งทางคาถาอาคม​ ​มาก​ ​สามารถ​สะ​เดาะลูกกุญแจ​

หรือ​กลอนประตู​ได้​อย่างปาฏิหาริย์​และ​เหลือเชื่อ​ ​ท่านเป่า​เพี้ยงเดียวลูกกุญแจ​ ​ก็​จะ​หลุดออกมา​

6.​พระอาจารย์ตู่​ ​วัดหนองดินแดง​ ​อำ​เภอเมือง​ ​จังหวัดนครปฐม​ ​ซึ่ง​หลวงพ่อไสว​ให้​ความ​เคารพนับถือมาก​และ​ยกย่อง​ให้​เป็น​หลวงน้า​ ​พระอาจารย์

ตู่องค์นี้สอนวิชา​ ​ตกวิญญาณ​ ​ให้​กับ​หลวงพ่อไสว​ ​วิชานี้นับว่า​เป็น​เรื่องแปลก​และ​อัศจรรย์​เร้นลับ​เป็น​อย่างยิ่ง​ ​คือ​เป็น​วิชาที่​สามารถ​ช่วย​นำ​วิญญาณ

ของ​ผู้​ที่ตกน้ำ​ตายขึ้นมาพ้น​จาก​การสิงสู่​อยู่​ใน​น้ำ​ ​(​ผู้​เขียนก็​เคยเห็น​กับ​ตามา​เหมือน​กัน​แต่หลายปี​แล้ว)​ ​ใครที่​ไม่​เคยเห็น​กับ​ตาอาจ​จะ​ไม่​เชื่อ​ ​แต่​ผู้​ที่​

เคยเห็นมา​แล้ว​อย่างเช่น​ผู้​เขียนก็​ต้อง​ยอมรับว่า​เป็น​วิชาที่มี​อยู่​จริง

7.​อาจารย์​แช่ม​ ​บ้านตะ​โกสูง​ ​เป็น​อาจารย์ฆราวาสที่ถ่ายทอดวิชา​แพทย์​ไทยแผนโบราณ​ ​ซึ่ง​อาจารย์​แช่ม​ ​คนนี้​เป็น​ศิษย์สายหลวงพ่อแช่ม​ ​วัดตา

ก้อง​ ​จังหวัดนครปฐม​

8.​อาจารย์​แพ​ ​เป็น​ฆราวาส​อยู่​บ้านโป่ง​ ​จังหวัดราชบุรี​ ​ได้​ถ่ายทอด​ ​วิชาการผ่า​ไม้รวก​ด้วย​มือ​ให้​กับ​หลวงพ่อไสว​ ​ซึ่ง​วิชานี้​เป็น​วิชาที่​แสดง​ให้​เห็น​ถึง​

ความ​อยู่​ยงคงกระพันชาตรี​ 

9.​พระอาจารย์ทองสุข​ ​วัดบางช้าง​ใต้​ ​ซึ่ง​เป็น​พระ​เกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก​ ​ใน​ยุคเดียว​กัน​กับ​หลวงพ่อมี​ ​วัดทรงคนอง​ ​อำ​เภอสามพราน​ ​

จังหวัดนครปฐม​  ​พระอาจารย์ทองสุของค์นี้ท่านมี​ความ​เก่งกล้า​ ​และ​เชี่ยวชาญหลายอย่าง​ ​อาทิ​เช่น​ ​พระปิดตาอันเลื่องชื่อ​ ​หลวงพ่อไสวเอง​ได้​เดิน

ทางไปร่ำ​เรียนวิชา​กับ​ท่าน​ถึง​วัดบางช้าง​ใต้​มา​แล้ว​

10. ​หลวงพ่อวงศ์​ ​วัดทุ่งผักกูด​ ​สอนวิชาคาถาอรหันต์​ 8 ​ทิศ​ ​และ​เหรียญธงไขว้อันลือลั่น​

11. ​หลวงพ่อเงิน​ ​วัดปรีดาราม​ ​สอนวิชา​เคี่ยวน้ำ​มันต่อกระดูก​

12. ​พระอาจารย์ย่าง​ ​สมุทร​- ​ปราการ​ ​สอนวิชาพ่นน้ำ​มันเดือดขับไล่​ ​คุณไสย​

13. ​พระอาจารย์สุดใจ​ ​ชมะนันท์​ ​สอนวิชาดั้นเมฆ​และ​ดู​เหตุการณ์ล่วงหน้า​

14. ​พระอาจารย์ขาว​ ​วัดสวนส้ม​ ​คลองบางยาง​ ​จังหวัดสมุทรสาคร​ ​สอบวิชาลงนะหน้าทอง​ ​เป่าทอง​เข้า​หน้าผาก

หลวงพ่อไสว​ ​วัดปรีดาราม​ ​ท่าน​ได้​ไปศึกษาวิชาอาคมต่างๆ​ ​จาก​พระ​เกจิอาจารย์​และ​ฆราวาสดังกล่าวข้างต้น​ ​แต่​ไม่​ทราบแน่ชัดว่าท่าน

ไปศึกษามาก่อน​และ​หลังอย่างไรมี​ ​พ​.​ศ​.​ใด​บ้าง​  ​พระ​เกจิอาจารย์​และ​ฆราวาสที่นำ​มา​เสนอ​ให้​ทราบ​ใน​เบื้องต้นนี้​  ​เป็น​เพียง​ส่วน​หนึ่ง​ ​ส่วน​ที่​ยัง​ไม่​

ทราบคาดว่า​ยัง​มีอีกหลายองค์​ด้วย​กัน​  ​จาก​หลักฐานดังกล่าวข้างต้นนี้​แสดง​ให้​เห็นว่า​ ​หลวงพ่อไสวท่าน​เป็น​พระ​เกจิอาจารย์ที่สนใจ​และ​ใฝ่รู้​ใน​การ

ศึกษาอย่างยิ่งยวด​ ​สม​กับ​เป็น​ยอดพระ​เกจิอาจารย์​ผู้​มี​ความ​เชี่ยวชาญ​ใน​ทุกๆ​ ​ด้าน​ 







[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

230
งานไหว้ครู ปี 50 อีกมุมหนึ่ง






หน่วยป้องกันเตรียมพร้อม



ช่างภาพพร้อม



พี่เขาก็พร้อมแล้ว


231
พระผงรุ่นเมตตาบารมี มีอยู่ 2 พิมพ์ คือ พิมพ์ใหญ่ กับ พิมพ์เล็ก เป็นพระผงที่มีประสพการณ์
กล่าวคือ เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว มีชายคนหนึ่ง ถูกวัยรุ่น ที่ซอยสำนักปู่สวรรค์  มาหาเรื่อง แล้วเกิดการวิวาท และถูกรุมทำร้าย
แล้วถูกเอาปืนยิงกลอกปาก แล้ววัยรุ่นก็หลบหนี้ไป เพราะคิดว่าอย่างไรไอ้คนที่ถูกยิงจะต้องไปเมืองผีแน่นนอน แต่เหตุการณ์
มันไม่เป็นไปอย่างนั้น ชายที่ถูกยิง แค่สลบเท่านั้น ลูกปืนตุงอยู่ที่ปาก ฟันร่วงแทบหมดปาก รอดตายอย่างปฏิหารย์

232
                                           

                                                                                ประวัติพระครูนิวาสธรรมขันธ์​ (หลวงพ่อเดิม)

                                                                                                   วัดหนองโพ​

                                                                                       อำ​เภอตาคลี​      ​จังหวัดนครสวรรค์

                                                                                       จาก​หนังสือ​ ​กิตติคุณหลวงพ่อเดิม

                                                                                           ธนิต​ ​อยู่​โพธิ์​ ​เรียบเรียง
  ชาติภูมิ​ ​หลวงพ่อเดิมถือกำ​เนิดเมื่อวันพุธ​ ​แรม​ ๑๓ ​ค่ำ​ ​เดือน​ ๓ ​ปีวอก​ ​จุลศักราช​ ๑๒๒๒ (แรม​ ๑๓ ​ค่ำ​ ​นั่นมิ​ใช่​วันพุธ​ ​เป็น​วันศุกร์ตรง​กับ​วันที่​ ๘ ​กุมภาพันธ์​ ​พ​.​ศ​. ๒๔๐๓ ​โยมบิดาชื่อ​ ​นายเนียม​ โยมมารดาชื่อ​ ​นางภู่​ ​มีพี่น้องร่วมบิดา​ ​มารดา​ ​คือ
๑.   ​หลวงพ่อเดิม​ ​เพราะ​เหตุที่​เป็น​บุตรชายคนแรกของบิดามารดา​ ​ปู่ย่าตายาย​จึง​ให้​ชื่อว่า​ “เดิม”      ๒.   ​นางทองคำ​ ​คงหาญ     ๓.   ​นางพู​ ​ทองหนุน   ๔.   ​นายดวน​ ​ภู่มณี
๕.   ​นางพัน​ ​จันทร์​เจริญ   ๖.   ​นางเปรื่อง​ ​หมื่นนรา​เดชจั่น
      ต่อมา​เมื่อวันอาทิตย์​ ​แรม​ ๑๓ ​ค่ำ​ ​เดือน​ ๑๑ ​ปีมะ​โรง​ ​โทศก​ ​ตรง​กับ​วันที่​ ๓๑ ​ตุลาคม​ ​พ​.​ศ​. ๒๔๒๓ ​โยม​ผู้​ชายของหลวงพ่อ​ได้​พา​ไปอุปสมบท​เป็น​พระภิกษุภาวะ​ ​ณ​ ​พัทธสีมาวัด​เขา​แก้ว​ ​อำ​เภอพยุหะดีรี​ ​จังหวัดนครสวรรค์​โดย​มีหลวงพ่อแก้ววัดอินทาราม​ (วัด​ใน)​ ​เป็น​พระอุปัชฌายะ​ ​และ​หลวงพ่อเงิน​ (พระครูพยุหานุศาสก์) ​วัดพระปรางค์​เหลือง​  ​ตำ​บลท่าน้ำ​อ้อย​ ​กับ​หลวงพ่อเทศ​ ​วัดสระทะ​เล​ ​ตำ​บลสระทะ​เล​ ​เป็น​คู่สวด​ ​เมื่ออุปสมบท​ ​พระอุปัชฌาย์​ให้​นามฉายาว่า​ “พุทฺธสโร”

      (  ​หลวงพ่อเงินวัดพระปรางค์​เหลืองนี้ต่อมา​เป็น​พระครูพยุหานุศาสก์​ ​เจ้าคณะ​แขวงพยุหะดีรี​ ​จังหวัดนครสวรรค์​ ​ประชากรนับถือ​กัน​ว่า​เป็น​พระ​ผู้​เฒ่าที่มีคาถาอาคมขลัง​ ​และ​มีชื่อเสียงทางรดน้ำ​มนต์
​เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า​เจ้า​อยู่​หัว​ ​เสด็จประพาสมณฑลนครสวรรค์ขึ้นไปตามลำ​น้ำ​เจ้าพระยา​ได้​เสด็จขึ้นแวะ​เยี่ยม​และ​โปรด​ให้​หลวงพ่อเงินรดน้ำ​มนต์ถวายเมื่อวันที่​ ๑๑ ​สิงนาคม​ ​พ​.​ศ​. ๒๔๔๙ )
         ครั้นอุปสมบท​แล้ว​ก็มา​อยู่​วัดหนองโพ​ ​และ​ได้​เริ่มเล่า​เรียนศึกษา​เป็น​จริง​เป็น​จัง​ใน​ระยะนี้​เพราะ​เหตุที่หลวงพ่อ​ไม่​มี​โอกาส​ได้​อยู่​วัด​อยู่​วา​เล่า​เรียนศึกษา​กับ​พระมาตั้งแต่​เยาว์วัย​ ​เหมือนกุลบุตร​ทั้ง​หลาย​โดย​ทั่ว​ไป​ใน​สมัย​นั้น​ความ​รู้​ใน​วิชาหนังสือ​และ​วิทยาการต่าง​ ​ๆ​ ​ซึ่ง​โดย​ปกติกุลบุตร​อื่นๆ​ ​ที่​เคย​เป็น​ศิษย์วัด​ ​เมื่อระยะ​เด็ก​เขา​ศึกษา​เล่า​เรียน​กัน​มา​แต่ก่อนบวช​ ​หลวงพ่อ​ต้อง​มา​เล่า​เรียนเอา​เมื่อตอนอุปสมบท​แล้ว​แทบ​ทั้ง​นั้น​ ​แต่หลวงพ่อ​เป็น​คนมีมานะพากเพียร​เป็น​ยอดเยี่ยม​
หลวงพ่อเคยเล่า​ให้​ฟังว่า​ “ท่านมีนิสัย​จะ​ทำ​อะ​ไร​แล้ว​ต้อง​ทำ​ให้​สำ​เร็จ​ ​คิดอะ​ไร​ไม่​ได้​เป็น​ไม่​ยอมหยุดคิด​ ​คิดมันไปจนออกจน​เข้า​ใจ​ ​ดูอะ​ไร​ไม่​ได้​เรื่อง​ไม่​ได้​ความ​ ​ก็คิด​ค้น​มันไปจนแตกฉาน”
พออุปสมบท​แล้ว​ ​หลวงพ่อก็ตั้งต้นศึกษา​ความ​รู้​เป็น​การ​ใหญ่​ ​เมื่อมาจำ​พรรษา​อยู่​ใน​วัดหนองโพตลอดเวลา​ ๗ ​พรรษา​แรก​ได้​ศึกษา​เล่า​เรียนพระธรรมวินัย​และ​ท่องคัมภีร์วินัย​ ๑๐ ​ผูก​  ​กับ​หลวงตาชม​ ​ซึ่ง​เป็น​ผู้​ครองวัดหนองโพ​อยู่​ใน​เวลา​นั้น​ ​และ​ศึกษา​เล่า​เรียนพระปริยัติธรรม​และ​วิชาอาคม​กับ​นายพัน​ ​ชูพันธ์​ ​ผู้​ทรงวิทยาคุณ​อยู่​ใน​บ้านหนองโพ​ ​ซึ่ง​เป็น​ศิษย์รุ่น​เล็ก​ของหลวงพ่อเฒ่า​และ​ยัง​มีชีวิต​อยู่​ใน​สมัย​นั้นภายหลังเมื่อนายพัน​ถึง​มรณกรรม​แล้ว​ ​ได้​ไปจำ​พรรษา​และ​ศึกษา​เล่า​เรียน​กับ​หลวงพ่อมี​ ​ณ​ ​วัดบ้านบน​ ​ตำ​บลม่วงหัก​ ​อำ​เภอพยุหะดีรี​ ​จังหวัดนครสวรรค์​ ​อยู่​วัดบ้านบน​ ๒ ​พรรษา​ ​ใน​ตอนนี้หลวงพ่อก็หา​โอกาสไปเรียน​และ​หัดเทศน์​กับ​พระอาจารย์นุ่ม​ ​วัด​เขา​ทอง​ ​และ​ไปมอบตัว​เป็น​ศิษย์​เรียนข้อธรรม​และ​วินัย​กับ​อาจารย์​แย้ม​ ​ซึ่ง​เป็น​ฆราวาส​และ​อยู่​ที่วัดพระปรางค์​เหลือง​ด้วย​ ​จนนับว่า​เป็น​ผู้​มี​ความ​รู้​แตกฉานพอแก่สมัย​นั้น​ก็​เริ่ม​เป็น​นักเทศ

                 
                                                                                                เป็น​นักเทศน์

เล่า​กัน​มาว่า​ ​หลวงพ่อเคยเทศน์​เก่ง​ ​ทั้ง​เทศน์คู่​และ​เทศน์​เดี่ยว​ ​ฉลาด​ใน​การวิสัชนาปัญหาธรรม​ ​และ​เข้า​ใจแยกแยะ​ให้​อรรถาธิบายข้อธรรม​ให้​ผู้​ฟัง​เข้า​ใจ​ได้​ง่าย​ ​จนปรากฏว่า​ใน​ครั้ง​นั้น​มีคนชอบ นิมนต์หลวงพ่อไปเทศน์​กัน​เนื่องๆ​ ​พูด​กัน​จน​ถึง​ว่า​ ​พอเทศน์​ใน​งานนี้จบ​ ​ก็มีคน​เข้า​ไปประ​เคนพานหมากนิมนต์​ไปเทศน์​ใน​งานโน้นอีก​ ​ติดต่อ​กัน​ไป
        หลวงพ่อ​เป็น​นักเทศน์​อยู่​หลายปี​ ​แต่​แล้ว​หลวงพ่อก็​เลิกเทศน์​ ​เหตุที่​เลิกเทศน์​นั้น​ ​เพราะ​หลวงพ่อปรารภว่า​
        “มัวแต่​ไปเที่ยวสอนคน​อื่น​ ​และ​เอาสตางค์​เขา​เสียอีก​ด้วย​ ​ส่วน​ตัวเอง​ไม่​สอนสักที​ ​ต่อไปนี้​ต้อง​สอนตัวเองเสียที”

​         ต่อแต่​นั้น​มาก็​เลิกเทศน์​เป็น​เด็ดขาด​ ​แม้​จะ​มี​ใครมานิมนต์​เทศน์อีกหลวงพ่อก็​ไม่​รับนิมนต์​ ​ถ้า​เจ้าของงาน​ต้อง​การ​จะ​ได้​พระ​เทศน์จริง​ ​ๆ​ ​หลวงพ่อก็ระบุ​ให้​ไปนิมนต์พระภิกษุรูป​อื่น​ไปเทศน์​แทน​ ​แต่​ถ้า​เป็น​ธรรมสากัจฉา​ ​หลวงพ่อก็ชอบฟัง​ ​และ​ถ้า​ปัญหาธรรมที่หยิบยกขึ้นมาวิสัชนา​กัน​นั้น​ ​แก้​ไข​กัน​ไม่​แจ่มแจ้งหลวงพ่อก็​ช่วย​วิสัชนา​แยกแยะอรรถาธิบาย​ให้​แจ่มแจ้งจนคลายข้อกังขา
          เมื่อเลิก​เป็น​นักเทศน์​แล้ว​ใน​พรรษาที่​ ๙ - ๑๐ ​และ​ ๑๑ ​หลวงพ่อ​ได้​ไปเรียนทางวิปัสสนา​กับ​หลวงพ่อเงิน​ (พระครูพยุหานุศาสก์) ​วัดพระปรางค์​เหลือง​ ​อำ​เภอพยุหะดีรี​ ​จังหวัดนครสวรรค์​ ​เรื่องเรียนวิปัสสนากรรมฐาน​นั้น​ ​หลวงพ่อปฏิบัติจริงจังตลอดมา​ ​ท่านนั่งตัวตรงตามหลักพระบาลีที่ว่า​ “นิสีทติ​ ​ปลฺลงฺกํ​ ​อาภุชิตฺวา​ ​อุชุ ​กายํ​ ​ปณิธาย​ ​ปริมุขํ​ ​สตึ​ ​อุปฏฺฐเปตฺวา​ - ​นั่งคู้บัลลังก์​ ​ตั้งกายตรง​ ​ตั้งสติกำ​หนดอารมณ์​ไว้​เฉพาะหน้า” ​หลวงพ่อนั่งตัวตรงเสมอมาจนอายุ​ ๙๐ ​เศษ​ ​ก็​ยัง​นั่งตัวตรง​



233
รายละเอียด เดี๋ยวน้อง กุ๊งกิ๊ง คงจะนำมาลงเสนอ นะครับ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

234
ขโมยภาพ มาจากเวป http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=4390 ท่านเจ้าของคงให้อภัยนะครับ

สักอย่างนี้ เรียกว่าอะไร หมวกเหล็ก ?



แลกมาด้วยความเจ็บ



ดูกันชัดๆ หน่อย



235
ราชันบูรพา






วัดคอหงษ์







236
จำไม่ได้ว่าเอามาจากไหน ถ้าซ้ำขออภัยด้วย


237
                            ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร



ท้าวเวสสุวรรณ เป็นอธิบดีแห่งอสูรย์หรือยักษ์ หรือเป็นเจ้าแห่งผี เรียกง่าย ๆ ว่า " นายผี " เป็นหนึ่งในบรรดาท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุ

มหาราชิกา ซึ่งมีท้าวมหาราชทั้งสี่ปกครอง คือ ท้าวธตรัฏฐะ ท้าววิรุฬหกะ ท้าววิรูปักขะ และท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวกุเวร) ประจำทิศต่างๆ ทั้งสี่ทิศโดยเฉพาะท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวกุเวร) เป็นใหญ่

ปกครองบริวารทางทิศเหนือ ว่ากันว่าอาณาเขตที่ท้าวเธอดูแลปกครองรับผิดชอบมีอาณาเขตใหญ่โตมหาศาล กว้างขวาง และเป็นใหญ่ (หัวหน้าท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4) กว่าท้าวมหาราชองค์อื่น
           ท้าวเวสสุวรรณ เป็นเทพแห่งขุมทรัพย์ เป็นมหาเทพแห่งความร่ำรวย มั่งคั่ง รักษาสมบัติของเทวโลก ทั้งเป็นเจ้านายปกครองดูแลพวกยักษ์ ภูติผีปีศาจทั้งปวง ( ในคัมภีร์เทวภูมิ กล่าวไว้ว่า

ท้าวเวสสุวรรณได้บำเพ็ญบารมี มาหลายพันปี รับพรจาก พระอิศวร พระพรหม ให้เป็นเทพแห่งความร่ำรวย ) นอกจากนี้หน้าที่ของท้าวเธอมีมากมาย เช่น การดูแลปกป้องคุ้มครอง พระพุทธศาสนา ,

ปกป้องคุ้มครองแก่ผู้นั่งสมาธิปฏิบัติพระกรรมฐาน เป็นต้น
           ในคัมภีร์โบราณ ได้กล่าวไว้ว่าผู้ใดหวังความเจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา ให้บูชารูปท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร
ภูมิที่อยู่ต่อจากมนุษยภูมิขึ้นไป มีเทวดาผู้เป็นใหญ่ เป็นมหาราชอยู่ ๔ องค์ คือ
๑. ท้าวธตรัฏฐะ  อยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครอง คันธัพพเทวดา
๒. ท้าววิรุฬหกะ  อยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครอง กุมภัณฑ์เทวดา
๓. ท้าววิรูปักขะ  อยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครอง นาคเทวดา
๔. ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ   อยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ เป็นผู้ปกครอง ยักขเทวดา
            มหาราชทั้ง ๔ นี้ เป็นผู้รักษามนุษยโลก หรือเรียกว่า ท้าวจตุโลกบาล ซึ่งมีสถานที่ปกครองตั้งแต่ตอนกลางของเขาสิเนรุ ลงมาจนถึงมนุษยโลก มีอาณาเขตแผ่ออกไปจดขอบจักรวาล

เทวดาทั้งหลายที่อยู่ในชั้นจาตุมหาราชิกาภูมินี้ทั้งหมด เป็นบริวารภายใต้อำนาจของมหาราชทั้ง ๔
            เมื่อเทียบเวลาระหว่างมนุษย์กับสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิแล้ว ๕๐ ปี ในมนุษย์ เท่ากับ ๑ วัน ของเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ

๑. ปัพพตัฏฐเทวดา เทวดาที่อาศัยอยู่ที่ภูเขา
๒. อากาสัฏฐเทวดา เทวดาที่อาศัยอยู่ในอากาศ
๓. ขิฑฑาปโทสิกเทวดา เทวดาที่มีความเพลิดเพลินในการเล่นกีฬา จนลืมกินอาหารแล้วตาย
๔. มโนปโทสิกเทวดา  เทวดาที่ตายเพราะความโกรธ
๕. สีตวลาหกเทวดา เทวดาที่ทำให้อากาศเย็นเกิดขึ้น
๖. อุณหวลาหกเทวดา เทวดาที่ทำให้อากาศร้อนเกิดขึ้น
๗. จันทิมเทวปุตตเทวดา  เทวดาที่อยู่ในพระจันทร์
๘. สุริยเทวปุตตเทวดา เทวดาที่อยู่ในพระอาทิตย์
      เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกานี้ มีอยู่ตั้งแต่กลางเขาสิเนรุจนกระทั่งถึงพื้นดินที่มนุษย์อยู่ มีชื่อเรียกตามที่อยู่ที่อาศัย ดังนี้
 ** อยู่บนพื้นดิน  เรียกว่า  ภุมมัฏฐะเทวดา
 ** อยู่บนต้นไม้  เรียกว่า  รุกขะเทวดา
 ** อยู่ในอากาศ (มีวิมานอยู่)  เรียกว่า  อากาสัฏฐะเทวดา
           ภุมมัฏฐเทวดา

238
บทความ บทกวี / อยากให้ดูเฉยๆ
« เมื่อ: 20 มี.ค. 2550, 01:43:53 »
พิธีครอบมงกุฎพระเจ้า

พระอาจารย์ วัชระ เอกวัณโณ

   ศิษย์เอกหลวงพ่อสัมฤทธิ์ คัมภีโร     

สาวน้ำตาเทียนสะเดาะเคราะห์ ปัดเป่าเคราะห์กรรม ล้างอาถรรพณ์


 



ถ้าเอ่ยชื่อ "วัดถ้ำแฝด" ตั้งอยู่ที่ ต.เขาน้อย อ. ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี ใครๆ ก็รู้จัก เป็นวัดที่เรียกได้ว่าเป็น เจ้าตำแหน่งแห่งเหล็กไหล ที่มีผู้คนหลั่ง

ไหลไปมากมายในแต่ละวัน

  อิติปิโสวิเสเสอิ   
  อิเสเสพุทธนาเมอิ   
  อิเมตังพุทธตังโสอิ   
  อิโสตังพุทธปิติอิ   

นี่คือสุดยอดพระคาถาเอกของโลกที่มีชื่อว่า "มงกุฏพระเจ้า" และเป็นพระคาถาที่เกี่ยวพันธ์กับวัดถ้ำแฝดมาช้านาน บ้างก็ว่ามงกุฏพระเจ้าก็สุดแต่จะ

เรียกกันไป แต่บรมครูอาจารย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซาบซึ้งแก่ใจกันดีว่า เป็นคาถาที่มีความศักดิ์สิทธิ์มีอภินิหารอัศจรรย์เป็นพระคาถาครอบ

จักรวาลสารพัดนึกทีเดียว

          วัดถ้ำแฝด เดิมมีเจ้าอาวาสชื่อ "หลวงพ่อสัมฤทธิ์ คัมฺภีโร" ท่านเป็นคนจังหวัดมหาสารคาม ท่านเป็นพระธุดงค์ เคยอยู่ป่าอยู่เขาบำเพ็ญจิต

บำเพ็ญสมาธิ อยู่กับความสงบวิเวกท่านจึงรักที่จะพำนักอยู่ในท่ามกลางธรรมชาติป่าเขาลำเนาไพร

          ชีวิตในป่าดงหลวงพ่อสัมฤทธิ์ได้พบสิ่งเร้นลับได้พบยอดพระเกจิอาจารย์ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในวิชาอาคมมากมายและหลวงพ่อได้มี

โอกาสศึกษาวิชาเวทย์มนต์ต่างๆ         

          หนึ่งในสุดยอดวิชาที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์ได้ทุ่มเทศึกษาจนรู้จริงและทำได้นั่นเป็นวิชาที่หลวงพ่อร่ำเรียนมาเพื่อช่วยหมู่มนุษย์ให้อยู่เย็นเป็นสุข

นั่นคือ

          วิชาสาวน้ำตาเทียน           

           วิชา "สาวน้ำตาเทียน" เป็นวิชาที่ต้องใช้อำนาจคาถาอาคมอำนาจจิตที่แน่วแน่ด้วยสมาธิ เพ่งจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนเรียกว่า  "เอกัค

คตาจิต"

                    ด้วยอำนาจแห่งอาคมขลังและอานุภาพดวงจิตที่เพ่งสู่ดวงเทียนที่กำลังลุกติดเป็นไฟหยาดหยดน้ำตาเทียนลงสู่บาตรน้ำมนต์ซึ่งตั้ง

อยู่เบื้องหน้า

            แล้วท่านเคยสังเกตไหมว่าตามปกติแล้วน้ำตาเทียนที่หยุดลงไปในน้ำแล้วมันจะแข็งและจับกลุ่มกันเป็นหย่อมๆ หยดๆ หรือเป็นเกล็ดทันที

            ที่หลวงพ่อสาวขึ้นมาจะยืดยาว ยิ่งดึงสาวขึ้นมายิ่งยาวเป็นการเสริมให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นั่นเอง

            แต่ น้ำตาเทียนที่หลวงพ่อสัมฤทธิ์  ค้มฺภีโร เพ่งด้วยอานุภาพจิต ที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับคาถาอาคมอันศักดิ์สิทธิ์พอหยดลงไปโดนน้ำมนต์

ในบาตรแทนที่จะจับตัวแข็งเป็นเกล็ดกลับอ่อนนุ่มเป็นเนื้อเหลว และหลวงพ่อท่านก็หยิบสาวขึ้นมาเป็นมงคลได้อย่างน่ามหัศจรรย์

            และที่อัศจรรย์ยิ่งไปกว่านั้น หลวงพ่อสัมฤทธิ์ เมื่อนำยอดวิชาส่วนน้ำตาเทียนมาเป็นพิธีสะเดาะเคราะห์ เสริมดวงบารมี และแก้อาถรรพณ์

ให้แก่ญาติโยมและสาธุชนที่ศรัทธาทั่วไป

            คือการสาวน้ำตาเทียนจากในบาตรน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นสายขึ้นมาวนรอบศีรษะของผู้เข้ารับการสะเดาะเคราะห์เสริมบารมี คนที่ดวงดี

ไม่มีเคราะห์ชะตาไม่ขาดไม่หักเห น้ำตาเทียนส่วนใครชะตาขาดหรือมีเคราะห์และชีวิตที่หักเหด้วยฤทธิ์อาถรรพณ์ ต่างๆ มาครอบงำอย่างใดอย่าง

หนึ่งน้ำตาเทียนที่ท่านค่อยๆ สาวขึ้นมาจากบาตรน้ำมนต์จะขาดทันที และไม่ยาวอีกด้วย นั่นแสดงถึงเจ้าของดวงชะตานั้น ดวงไม่ดีมีเคราะห์           

           หลวงพ่อสัมฤทธิ์ ท่านจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์ต่อดวงชะตา แก้อาถรรพณ์ ให้มีดวงชะตาเข้มแข็งหมดเคราะห์พ้นจากสิ่งเร้นลับ ครอบงำ

ต่างๆ ด้วยอำนาจจิตด้วยอานุภาพอาคมมหามนต์อันศักดิ์สิทธิ์

           นี่คือที่มาสุดยอดของวิชาสาวน้ำตาเทียนจากในบาตรน้ำมนต์ขึ้นมาวนรอบลงบนศีรษะนั้นเรียกว่าวิชา "ครอบมงกุฏพระเจ้า" อันเป็นสุด

ยอดวิชาอาคมสุดยอดพระคาถาเอกของโลกที่ได้กล่าวมาแต่ข้างต้น           

           มีคนจำนวนมากที่ได้รับความเมตตาจากวิชาครอบมงกุฏเจ้าสาวน้ำตาเทียน สะเดาะเคราะห์ เสริมดวงเสริมบารมีจนถึงต่อดวงชะตาอายุที่

ขาดด้วยแรงฤทธิ์อาถรรพณ์ของหลวงพ่อสัมฤทธิ์สงเคราะห์แก้ไขให้ จนหมดเคราะห์ หมดทุกข์มีชีวิตที่ดียืนยาว     


           พระอาจารย์วัชระ เอกวณฺโณ เป็นศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาสาวน้ำตาเทียน ครอบมงกุฏพระเจ้าจากหลวงพ่อสัมฤทธิ์ คมฺภีโร ทุกอย่าง

จนหมดสิ้น

            จากปากต่อปาก ความสงบแน่นิ่งเยือกเย็น สายตาทอดต่ำตลอดเวลามีบุคลิกลักษณะที่มั่นคงในวิชาอาคมที่ร่ำเรียนมา พระอาจารย์วัชระ

เอกวณฺโณ เป็นที่ประทับใจทุกๆ ท่าน ทุกอิริยาบถอันนุ่มนวล ปราศจากการเสแสร้ง  ขณะทำพิธีสาวน้ำตาเทียน สะเดาะเคราะห์เสริมดวงบารมีให้ผู้มี

เคราะห์กรรมที่มาเข้าทำพิธีจำนวนมากคนแล้วคนเล่าท่านมีเมตตาช่วยเหลือไม่มีเบื่อหน่ายแต่อย่างใด           

            ท่านสมแล้วกับศิษย์เอกของยอดพระเกจิอาจารย์เจ้าตำรับสาวน้ำตาเทียนและเจ้าตำรับเหล็กไหลตาแรด อันเลื่องลือมีเมตตามีความเย็น

ที่สัมผัสได้ มีอานุภาพจิตเป็นหนึ่งอันแน่วแน่มั่นคงมั่นใจมีวิชาอาคมอันศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดมาจากบูรพาจารย์อันเก่งกล้า         

            พระอาจารย์วัชระได้รับการแต่งตั้งจากทางการคณะสงฆ์ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดถ้ำแฝด สืบแทนหลวงพ่อสัมฤทธิ์ ที่ได้ถึงแก่มรณะ

ลง ชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านอาจารย์วัชระได้ขจรขจายเลื่องลือ ด้วยวิชาสาวน้ำตาเทียนที่ท่านได้ช่วย ผู้คนมานับไม่ถ้วน

            ค่าสะเดาะเคราะห์เพียงน้อยนิด ด้วยจำนวนเหรียญเท่าอายุ กับเสริมดวงขึ้นไปอีก 9 บาท เป็นการหนุนดวงชะตาบารมีให้สูงขึ้น ก้าวหน้า

อีกต่อไปอันจะเรียกว่าเป็นการบูชาครูก็ว่าได้นั่นคือ การทำบุญสะเดาะเคราะห์ล้างอาถรรพณ์นั่นเอง

            วัดถ้ำแฝด ยังคงเป็นที่พึ่งทางกาย ทางใจแก่สาธุชนทั้งหลายไม่ว่าจะยากมีดีจนไม่จำกัดไม่ปิดกั้น พร้อมที่จะปัดเป่าเคราะห์กรรมให้ทุก

ท่านมีชีวิตมีดวงชะตาที่สว่างไสวไม่ให้มืดมน           

            ณ ท้ายนี้จึงกล่าวได้ว่า พระอาจารย์วัชระ เอกวัณฺโณ ท่านเป็นที่พึ่งในการปัดเป่าอาถรรพณ์สะเดาะเคราะห์ เสริมดวงบารมี ให้มีสุข ความ

ร่มเย็นได้อย่างแน่นอนหรือจริงเท็จอย่างไรให้ท่านลองไปพิสูจน์ดู

            ท่านที่ปรารถนาจะขอความเมตตาอนุเคราะห์ขอบารมีท่านอาจารย์วัชระปัดเป่า เสริมดวงชะตา ล้างอาถรรพณ์ สอบถามทางวัดโดยตรงที่

หมายเลขโทร (034) 655-098, (01)4053160 หรือไปด้วยตัวเองที่วัดถ้ำแฝด ต.เขาน้อย อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี

จาก http://www.watthamfad.com/update.htm

 

239
วัตถุมงคลของท่าน

240
บทความ บทกวี / พญาครุฑ
« เมื่อ: 17 มี.ค. 2550, 01:26:38 »
                                                                             

บารมี​แห่งพญาครุฑ

สู่​ความ​เจริญรุ่งเรืองแห่งชีวิต

ตำ​นานพญาครุฑ

            ใน​ตำ​นานเมืองฟ้าป่าหิมพานต์นั้น​มี​เรื่องราวของสัตว์ที่มีอิทธิฤทธิ์มากมายหลายชนิดเช่น​ ​ราชสีห์ คชสีห์​ ​อันมีลำ​ตัว​เป็น​สิงห์​แต่มีศีรษะ​

เป็น​ช้าง​ ​กินรี​ ​กินนร​และ​สัตว์​แปลก​ ​ๆ​ ​อีกมากมาย​ ​ใน​บรรดาสัตว์​ทั้ง​หลาย​นั้น​มีสองอย่างที่นับว่า​เป็น​เทพเดรัจฉานมีฤทธิ์มากคือ​ ​หนึ่ง​เป็น​พญา

นาคราชจ้าวแห่งบาดาล​ ​และ​อีกหนึ่งคือพญาครุฑจ้าวแห่งเวหา

            นาค​และ​ครุฑต่าง​เป็น​สัตว์ที่คู่​กัน​ตามตำ​นาน​ ​มี​เรื่องราวเล่า​กัน​ว่าสัตว์กายสิทธิ์​ทั้ง​สองนี้มีบิดา​เดี่ยว​กัน​คือมหาฤาษีกัสยปะ​เทพบิดรแต่

คนละ​แม่​โดย​พญาครุฑ​นั้น​มีมารดา​เป็น​ภรรยาหลวง​ ​ส่วน​นาค​นั้น​มี​แม่​เป็น​ภรรยาคนรอง​ ​นาง​ทั้ง​สองนี้​ไม่​ถูก​กัน​มี​เรื่อง​กัน​ตลอดจน​ใน​ที่สุด​ความ​

ผิดใจ​กัน​นี้ลามไป​ถึง​ลูกของตน​ด้วย​ ​จึง​เป็น​เหตุ​ให้​นาค​และครุฑม่ถูก​กัน​ใน​เวลาต่อมา

            พญานาค​นั้น​มีวิมานอัน​เป็น​ทิพย์​อยู่​ใน​บาดาล​ ​ส่วน​ครุฑก็มีวิมานทิพย์​อยู่​ที่​เชิง​เขา​ไกรลาส​ ​กล่าวว่าองค์พญาครุฑ​นั้น​มีนามว่าท้าว

เวนไตย​ ​เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า​ ​ท้าวสุบรรณ​ ​มีกาย​เป็น​รัศมีสีทองมี​เดชอำ​นาจมากที่สุด​ใน​หมู่ครุฑ​ทั้ง​หลายอาศัยเกาะ​อยู่​ตามต้นงิ้ว​ ​อาศัยผลงิ้ว​

และ​น้ำ​ดอกไม้​จาก​ต้นงิ้ว​เป็น​อาหารทิพย์​ ​ลูกพญาครุฑ​จะ​โตขึ้นนับเวลาอายุ​เป็น​ข้างขึ้นข้างแรมตามจันทรคติ​ ​เติบโต​ด้วย​บุญกุศลที่​เคยทำ​มา​ ​

หากลูกครุฑตน​ใด​ที่มีบุญญาธิการมามาก​ ​อำ​นาจบุญ​จะ​บันดาล​ให้​เกิดผลงิ้วทิพย์​และ​น้ำ​หวาน​จาก​ดอกไม้มาบำ​เรอลูกครุฑตน​นั้น​ ​ๆ​ ​และ​ลูก

ครุฑตนดังกล่าว​จะ​จำ​เริญวัย​ได้​อย่างรวด​เร็ว

            ครุฑ​เป็น​สัตว์กึ่งโอปปาติกะ​ ​หรือ​กึ่งพวกกายทิพย์คล้ายชาวลับแล​และ​พวกพญานาค​อยู่​อีกมิติหนึ่ง​จาก​โลกของเรา​ ​ผู้​ที่​จะ​สามารถ​พบ

เห็นครุฑ​ได้​ต้อง​เคยมีบุญร่วม​กับ​พวก​เขา​มา​จึง​สามารถ​รับรู้​ถึง​กัน​และ​กัน​ได้​ ​เหมือน​กับ​ผู้​ที่​สามารถ​ติดต่อ​กับ​พญานาค​ได้​ก็​เช่น​กัน​ล้วน​ต้อง​เป็น​ผู้​

ที่มีวาสนาต่อ​กัน​มาตั้งแต่อดีต​ทั้ง​นั้น​ไม่​ใช่​เรื่องสาธารณะที่​จะ​รู้​กัน​ได้​ทั่ว​ไปเช่นเรื่องสามัญ

            เรื่องของครุฑ​เป็น​เรื่องราวที่มี​ความ​อัศจรรย์​โลดโผนยิ่งกว่า​เรื่องราวของพญานาคเสีย​ด้วย​ซ้ำ​ไป​ ​แต่คน​ทั่ว​ไป​ไม่​ค่อยรู้​กัน​เพราะ​ไม่​ได้​

ศึกษา​และ​อาจ​ไม่​ค่อยสนใจ​เท่า​ใด​นัก​ ​ความ​เป็น​จริง​แล้ว​เรื่องครุฑ​เป็น​เรื่องที่น่าศึกษามาก​ ​เพราะ​ทางฮินดู​เขา​นับถือครุฑว่า​เป็น​เทพเจ้าสำ​

คัญพระองค์หนึ่ง​ ​แม้​ใน​ทางไทยเรา​เอง​ ​ทางไสยศาสตร์ก็​ให้​ความ​นับถือเกี่ยว​กับ​ครุฑนี้มาก​ ​ดูอย่างตรา​แผ่นดินเองก็มีรูปลักษณะ​เป็น​ครุฑ​ ​จึง​

น่าสนใจว่า​ “ครุฑ” นั้น​คงมีอานุภาพบางอย่าง​และ​น่า​จะ​เป็น​สิ่งที่มี​อยู่​จริง​ใน​อีกมิติหนึ่งเช่นเดียว​กัน​กับ​พญานาค​ ​ถ้า​ท่านเชื่อว่าพญานาคมีจริง​ ​

พญาครุฑก็ย่อมมีจริงเช่น​กัน

           

พลังอำ​นาจที่​เทียบ​เท่า​ ​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า

            อำ​นาจของพญาครุฑ​นั้น​ท่านว่าลึกลับมากนัก​ ​ใน​ตำ​นานของฮินดูกล่าวว่าตั้งแต่​แรกเกิดมา​นั้น​พญาครุฑก็มีรัศมีกายที่สว่างไสว​เป็น​ที่

อัศจรรย์​ ​ส่อ​ให้​รู้ว่า​เป็น​ผู้​ที่มีบุญญาธิการ​ ​มีอานุภาพ​เป็น​อเนกอนันต์​ ​มีฤทธิ์วิชาผาดโผนพิสดาร​ทั้ง​นี้มี​เรื่องกล่าว​ไว้​อีกว่าครั้งหนึ่งพญาครุฑเคย

ลองฤทธิ์​กับ​องค์พระนารายณ์มหา​เทพหนึ่ง​ใน​สามของทางศาสนาพราหมณ์​ ​การรบ​กัน​นั้น​เป็น​ที่​เลื่องลือไป​ทั้ง​สามโลกธาตุ​ ​พญาครุฑ​สามารถ​

ต่อสู้​ด้วย​ความ​สามารถ​ ​รบ​กัน​ไป​เท่า​ใด​ก็หา​แพ้ชนะ​กัน​ไม่​ ​จน​ใน​ที่สุดพระนารายณ์​และ​พญาครุฑ​จึง​ตกลง​กัน​ว่าขอ​ให้​เสมอ​กัน​ใน​การรบระหว่าง

เรา​และ​ท่าน​ ​พระนารายณ์อนุญาต​ให้​พญาครุฑ​สามารถ​อยู่​เหนือเศียรตน​ได้​ ​และ​พญาครุฑก็นอบน้อม​โดย​การยินยอม​ให้​พระนารายณ์​สามารถ​

นำ​ตน​เป็น​พาหนะ​ไป​ยัง​สถานที่ต่าง​ ​ๆ​ ​ได้​เช่น​กัน

            จึง​ถือ​กัน​ใน​หมู่ครูบาอาจารย์กัน​ต่โบราณว่า​ “พญาครุฑ”  เป็น​เทพเดรัจฉานที่มีอานุภาพอิทธิฤทธิ์​เทียบ​เท่า​พระ​ผู้​เป็น​เจ้าอย่างพระ

นารายณ์​ ​อานุภาพของครุฑ​จึง​เป็น​ที่อัศจรรย์ของ​ทั่ว​โลกธาตุ​ ​นอก​จาก​นี้​ยัง​มีประวัติอีกว่ารพระอินทร์​เองก็​เคยลองฤทธิ์​กับ​พญาครุฑ​ใช้​วัชระ

ฟาดพญาครุฑ​ ​แต่องค์พญาครุฑ​เป็น​กายสิทธิ์หา​ได้​เป็น​อันตรายแต่อย่าง​ใด​ไม่​ ​พระอินทร์พยายาม​อยู่​หลายทางก็​ไม่​สามารถ​ทำ​อันตรายแก่

องค์ครุฑ​ได้​ ​จนพระอินทร์มี​ความ​เคารพ​ใน​อานุภาพของพญาครุฑว่ามีฤทธิ์​เดชเทียบ​เท่า​พระ​ผู้​เป็น​เจ้าจริง​ใน​ที่สุดพญาครุฑ​จึง​ได้​สลัดขนตน

เองออกมาหนึ่งเส้น​ให้​แก่พระอินทร์​เพื่อ​เป็น​เกียรติ​แก่พระอินทร์​ด้วย​เช่น​กัน

            จะ​เห็น​ได้​ว่าตามตำ​นานที่กล่าวมา​ “พญาครุฑ”  เป็น​เทพเดรัจฉานที่มีฤทธิ์ที่​ไม่​ธรรมดา​ ​ๆ​ ​เลยมีอานภาพมาก​ ​ด้วย​เหตุนี้ครูบาอาจารย์ที่

รู้จักศาสตร์ของครุฑ​เป็น​อย่างดี​จึง​นำ​เอาสัญลักษณ์​เกี่ยว​กับ​ครุฑ​ ​รูปครุฑต่าง​ ​ๆ​ ​มาทำ​สมาธิบูชา​เพื่อ​ให้​เกิดอิทธิพลังงานอันลี้ลับ​ ​ทั้ง​นี้​เพื่อการ

ปกป้องคุ้มครองบ้าง​ ​เพื่อ​ความ​เจริญรุ่งเรืองบ้าง​ ​ดังที่​เรา​จะ​ได้​เล่า​ให้​ท่านทราบต่อไป

 

สัญลักษณ์ครุฑ​ ​สัญลักษณ์​แห่งแผ่นดิน

            โดย​สรุป​จาก​ตำ​นาน​แล้ว​ครุฑคือสัตว์หิมพานต์อย่างหนึ่ง​ ​แต่​ไม่​ใช่​สัตว์สามัญธรรมดา​ เพราะ​พยาครุฑ​เป็น​สัตว์กึ่งเทพ​ ​เรียกว่า​ “เทพ

เดรัจฉาน”  ซึ่ง​มีอำ​นาจเทียบ​เท่า​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​เป็น​พาหนะของพระนารายณ์อย่างหนึ่ง​ใน​เมืองไทยเรานับถือว่าพระมหากษัตริย์​เป็น​สมมติ​เทพ​ ​

เป็น​องค์นารายณ์อวตาร​จึง​มีการ​ใช้​ธงรูปครุฑ​ ​และ​มีครุฑ​เป็น​สัญลักษณ์ประจำ​แผ่นดิน​ ​สามารถ​พบเห็นรูปครุฑ​ได้​จาก​เอกสารต่าง​ ​ๆ​ ​ของทาง

ราชการ​ ​และ​นับว่า​เอกสารเหล่า​นั้น​เป็น​เอกสารศักดิ์สิทธิ์​ ​หากราชการ​ผู้​ที่ทำ​หน้าที่​ผู้​ใด​มี​ความ​สุจริตจงรักภักดีต่อแผ่นดิน​ ​องค์พระมหากษัตริย์​ ​

และ​หน้าที่ของตน​ ​องค์พญาครุฑก็​จะ​ส่งพลังปกป้อง​ให้​มี​ความ​สุข​ ​ความ​เจริญ​ใน​หน้าที่

            นอก​จาก​นี้​ยัง​มี​เกร็ด​ความ​เชื่อว่าหากที่​ใด​มีอาถรรพ์​แรงท่าน​ให้​นำ​เอาตราครุฑไปติด​จะ​ทำ​ให้​อาถรรพ์​นั้น​เสื่อมสลายไป​ใน​ที่สุด​ ​ตรา

ครุฑล้างอาถรรพ์​ได้​จึง​เป็น​ที่​เชื่อถือ​กัน​มาตลอด​และ​ได้​รับ​ความ​เคารพบูชาว่า​เป็น​ของสูง​ ​เสมือนหนึ่งตัวแทนแห่งองค์พระประมุข​ ​ผู้​ใด​มี

สัญลักษณ์ครุฑ​ ​รูปครุฑบูชา​ไว้​ย่อม​ได้​อานิสงส์มาก​ ​อาทิ​ ​มี​ความ​เจริญแก่ตัวเอง​และ​ครอบครัว​เป็น​ต้น​ ​ดังนี้​แล้ว​ครุฑ​จึง​เป็น​ของสูงที่​เราควรรู้

ควรบูชาอย่างหนึ่ง

            คนโบราณมี​ความ​เชื่อสืบ​กัน​มาว่า​ “ครุฑ”  นั้น​เป็น​สัญลักษณ์​แห่ง​ความ​เจริญรุ่งเรือง​ ​มหาอำ​นาจ​ ​อย่างเด็ก​ผู้​ใด​ที่​เกิดมา​แล้ว​มีลักษณะ

ปากคล้ายพญาครุฑท่านว่าคน​ผู้​นั้น​จะ​เป็น​ผู้​มีบุญญาธิการมา​เกิด​ ​ภายภาคหน้า​จะ​ได้​เป็น​ใหญ่​เป็น​โต​ ​สมเด็จเจ้า​แตงโม​ ​พระสังฆราชพระองค์

หนึ่งท่านก็มีลักษณะปากดังครุฑปรากฏว่า​เป็น​ผู้​มีปัญญาดี​ ​และ​ได้​เป็น​สมเด็จพระสังฆราช​ใน​ที่สุด​ ​เรื่องครุฑนี้คนโบราณ​จึง​เชื่อถือ​กัน​มาก​ ​แม้​

เครื่องรางที่​เกี่ยว​กับ​ครุฑก็​เป็น​เครื่องรางที่มี​ความ​หมายมีอานุภาพโดดเด่นหลายประการดง​จะ​ได้​กล่าวต่อไป

 

พญาครุฑเครื่องหมายแห่งสิทธิอำ​นาจ​และ​ความ​เป็น​มงคล

            ครุฑ​นั้น​เป็น​เครื่องหมายของทางราชการ​อยู่​แล้ว​ ​เอกสารทางราชการ​ฉบับ​ใด​ ​ๆ​ ​ก็ล้วน​ต้อง​มี​เครื่องหมายพญาครุฑประทับ​อยู่​ด้วย​กัน​

ทั้ง​สิ้น​ ​แสดง​ให้​เห็นว่า​เป็น​เครื่องสำ​คัญ​เป็น​ตรา​แผ่นดิน​ ​เป็น​ตราของเจ้าฟ้ามหากษัตริย์​ ​เชื่อว่าหากข้าราชการ​ผู้​ใด​ให้​ความ​เคารพนับถือ​ใน​องค์

พญาครุฑ​ ​และ​ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของตนเอง​ ​ข้าราชการ​ผู้​นั้น​จะ​มี​ความ​สุข​ความ​เจริญ​ทั้ง​ชีวิต​และ​หน้าที่การงานสืบไป​ ​คุณไสย์อันตราย​ใด​ ​ๆ​ ​ก็​

ไม่​สามารถ​ทำ​อันตราย​ได้​เพราะ​เครื่องหมายของพญาครุฑนี่สำ​คัญมาก​ผู้​ที่รู้​เขา​จะ​ไม่​ข้าม​ไม่​เหยียบย่ำ​ ​ไม่​นำ​ไว้​ที่ปลายเท้า​เลย​เพราะ​เป็น​ของสูง​

​ของศักดิ์สิทธิ์​ ​หากเคารพนับถือ​ให้​ดีอำ​นาจพญาครุฑที่มี​อยู่​ใน​เอกสารราชการ​จะ​คุ้มครอง​ผู้​นั้น​ไม่​ให้​มีวันอับจน​ ​แต่คนสมัยนี้​ไม่​ใคร่​เชื่อถือ​กัน​

เท่า​ใด​นัก​ ​เรื่องพญาครุฑ​จึง​ดูล้าสมัยไปเสีย​ ​ไม่​เหมือน​ใน​สมัยก่อนที่​ไหนว่า​กัน​ว่าผี​แรง​ ​ผี​เฮี้ยน​ ​เอาตราพญาครุฑไปติด​ไว้​ความ​อาถรรพ์ของ

สถานที่​นั้น​ ​ๆ​ ​ก็​จะ​หายไป​ใน​ทันที

 

อำ​นาจพญาครุฑ

            สิทธิอำ​นาจพญาครุฑสัตว์กายสิทธิ์ที่​ไม่​มี​ผู้​ใด​สามารถ​ฆ่า​ให้​ตาย​ได้​มีอายุยืนเสมือนว่า​เป็น​อมตะ​นั้น​ ​นับ​เป็น​เรื่องลี้ลับที่​ผู้​รู้พยายาม​ค้น​

คว้า​ ​และ​เสาะหาที่มา​แห่งพลังอำ​นาจดังกล่าว​ ​จนเกิดการสร้างเครื่องรางต่าง​ ​ๆ​ ​ขึ้น​ ​อำ​นาจพญาครุฑ​สามารถ​จำ​แนก​ได้​ถึง​ ๘ ​ประการ​ ​โดย​นับ

เอาอำ​นาจหลัก​ ​ๆ​ ​ได้​ดังนี้คือ

๑.     เป็น​มหาอำ​นาจอันยิ่ง​ใหญ่​ ​เป็น​สิทธิอำ​นาจอันเฉียบขาด

๒.    สามารถ​ลบล้างอาถรรพ์​และ​คุณไสย์ทั้ง​ปวง​ ภูติผีปิศาจกลัว​ไม่​กล้า​เข้า​ใกล้

๓.    เป็น​สื่อนำ​ความ​เจริญรุ่งเรือง​ ​ยศถาบรรดาศักดิ์มาสู่ชีวิตหน้าที่การงาน

๔.    ปกป้องคุ้มครอง​ ​ป้อง​กัน​ภัย​เป็น​คงกระพัน

๕.    เป็น​เมตตามหานิยม

๖.     นำ​ความ​ร่มเย็น​เป็น​สุขมา​ให้

๗.    ทำ​มาค้าขายดี​เป็น​สื่อนำ​โชคลาภนานาประการ

๘.    สัตว์ร้าย​ ​เขี้ยวงาสารพัด​ ​งู​เงี้ยวเขี้ยวขอ​ ​อสรพิษ​ไม่​กล้ากล้ำ​กราย​เข้า​ใกล้​ ​เพราะ​เกรงตบะบารมีขององค์พญาครุฑ​เป็น​ที่สุด

 

อำ​นาจพญาครุฑ​ยัง​มีมากกว่านี้อีกมาก​ ​แล้ว​แต่ท่าน​ใด​จะ​รู้จัก​ใช้​ ​ใน​ตำ​ราทางไสยเวทพุทธาคมมี​ทั้ง​การ​ใช้​ยันต์ครุฑ​ให้​ผลดี​ใน​ทางคงกระพัน

ชาตรี​ ​มีนะพญาครุฑ​ใช้​ลงตบ​เข้า​หน้าผาก​เป็น​คงกระพันชาตรี​กัน​เขี้ยวงาอสรพิษ​ได้​ ​ทั้ง​นะพญาครุฑนี้​เมื่อประสิทธิ์ลงไป​ยัง​ตัวคน​ผู้​ใด​แล้ว​ยัง​

สามารถ​ทรหดอดทน​ ​เดิน​ไกล​ไม่​เหนื่อย​ ​เป็น​วิชาตัวเบาชั้นยอด​ ​และ​เป็น​เมตตามหานิยมชั้นสูงอีก​ด้วย​ ​ยัง​มีคาถาพญาครุฑ​ซึ่ง​เมื่อกล่าวพระ

คาถานี้งูพิษรวมไปจน​ถึง​ตะขาบแมงป่อง​และ​สัตว์ร้ายต่าง​ ​ๆ​ ​ทั้ง​หลาย​จะ​หลบหนี​ไปสิ้น​โดย​พระคาถาพญาครุฑท่านว่าดังนี้

“โอมพญาครุฑ​จะ​เห็นผล​ ​หลีกไป​ให้​พ้น​ ​พญาหน​จะ​เดินทาง​ ​เคาะงอ​ ​เคาะงอ”

ก่อนว่าพระคาถานี้​ให้​นมัสการพระรัตนตรัยเสียก่อน​ด้วย​นะ​โม​ ๓ ​จบ​และ​ท่องพระคาถานี้ก่อนออกเดินทางตั้งสติส่งจิตไป​ถึง​พญาครุฑ​จะ​

ปลอดภัยทุกประการ

 

สักการะ​ให้​ถูกวิธี

            การบูชาพญาครุฑประกอบกับ​พยาปักษาชาติอันมีฤทธิ์​ทั้ง​หลาย​นั้น​ ​ท่าน​ให้​สักการะคุณพระพุทธ​ ​พระธรรม​ ​พระสงฆ์​ ​จาก​นั้น​ให้​ตั้ง

จิตระลึก​ถึง​พญาครุฑท่าน​ ​ด้วย​การทำ​สมาธิภาวนา​เป็น​สื่อ​ถึง​องค์พญาครุฑว่า “ครุฑโธ” ​จนจิตสงบ​หรือ​ระลึกชื่อ​ ​พญาวายุภักษ์​ ​หรือ​ ​ท่องคำ​ว่า​

“การะวิ​โก” ​อัน​เป็น​คาถาหัวใจพญาการเวกก็ว่า​ได้​ ​จาก​นั้น​เมื่อเห็นว่าจิตสงบลงบังเกิดเสียงนกร้องระงม​ ​จาก​บริ​เวณที่มีนก​อยู่​ใกล้​ ​ๆ​ ​จนบางครั้ง

อาจมีนกมาบินเวียนวน​อยู่​เป็น​ทักษิณาวัตรอย่างน่าอัศจรรย์​ ​หรือ​มีฝูงนกมาทานอาหารที่​เรา​เซ่นไหว้​ ​อาการเหล่านี้​แสดง​ให้​เห็นว่า​เป็นศุภมงคล

อย่างประ​เสริฐ​แล้ว​ ​สื่อ​ให้​เห็นว่าจิตเราพิธีกรรมเราที่ตั้ง​ถึง​องค์พญาครุฑ​และ​เหล่าพญาปักษาชาติ​ทั้ง​หลายอันมีฤทธิ์​นั้น​ท่านรับรู้​แล้ว​ ​และ​ท่าน​

ทั้ง​หลาย​จะ​ช่วย​เหลือเราอย่างสุดวาม​สามารถ​โดย​ตลอด

 

พญานก​กับ​สมถกรรมฐาน

พญานกอย่างพญาครุฑ​ ​พญาวายุภักษ์​ ​พญาครุฑ​ ​หรือ​เอกสารที่มีสัญลักษณ์ของพญาครุฑ​อยู่​เพียง​เท่า​นี้ก็​เท่า​กับ​ว่าท่านมี​ความ​เคารพ​เป็น​การ

บูชาพญาครุฑอย่างหนึ่งไป​ใน​ตัว​และ​ที่สำ​คัญคือการเคารพต่อชาติ​ ​ศาสนา​ ​พระมหากษัตริย์​ ​อัน​เป็น​การปฏิบัติบูชาต่อพญาครุฑ​โดย​ตรงเชื่อแน่

ว่าองค์พญาครุฑที่​อยู่​ใน​เครื่องหมายราชการ​ ​ย่อมปกปักรักษาท่านอย่างแน่นอน​ ​และ​หากท่านหวังผลอย่างยิ่ง​ใน​การบูชาก็ลองทำ​กรรมฐาน​ใน​

ข้ออาณาปานสติดู​เถิดเชื่อแน่ว่าท่านย่อม​สามารถ​ส่งจิต​ถึง​องค์พญาครุฑ​และ​เหล่าบรรดา​เหล่าปักษาชาติ​ทั้ง​ปวง​ได้​แน่นอนครับ


จากเวป http://www.devalai.com/story3.htm

241
มักกะลีผล

พระราชสุทธิญาณมงคล

H9007

 

          เมื่อสมัย​เป็น​เด็ก​ ​อาตมา​อยู่​กับ​คุณยาย​ ​ตอน​นั้น​อาตมา​ไม่​ได้​สนใจเรื่องบุญกุศล​ ​และ​เรื่องพระ​เวสสันดรแต่ประการ​ใด​ ​แต่คุณยายสนใจมาก​ใน​เรื่องเทศน์คาถาพัน​ ​และ​เทศน์มหาชาติ​ ​ฟังจบถือว่า​ได้​บุญมาก

          คุณยายนิมนต์พระมา​ ๓ ​องค์​ ​องค์หนึ่งเดินพระคาถาพันจบหนึ่งพัน​ ​อีกสององค์ปุจฉาวิสัชนา​ ​แล้ว​ว่า​แหล่ว่าทำ​นอง​ด้วย​ ​ตั้งแต่บ่ายโมง​ถึง​ห้า​โมงเย็น​ ​ทุกรายการจบลง​ใน​วัน​นั้น​ ​ปีหนึ่งคุณยาน​จะ​ต้อง​มีคาถาพัน​ ๒ ​ครั้ง

          อาตมา​เป็น​เด็กก็​ไม่​เข้า​ใจ​ ​ยาย​ให้​ฟังก็คอยรีบวิ่งไปเล่น​ ​ยาย​จึง​เอา​เชือกผูกขา​ไว้​กับ​เสา​ให้​จบหนึ่งพัน​ ​เลยฟังแย่​แลย​ ​ฟังส่งเดช​ไม่​รู้​เรื่อง​ ​ตอนมาบวช​จึง​ได้​ทราบข้อเท็จจริง​ ​ได้​ฟังเรื่องพระ​เวสสันดรจอมปราชญ์​ ​มีป่าหิมพานต์

          พอดีคุณยายมาซักไซ้อาตมา​ ​จึง​ได้​บอก​กับ​คุณยายว่า​ ​เรื่องพระ​เวสสันดรโกหก​ ​ไม่​จริง​ ​ไม่​ยอมรับ​และ​ไม่​ยอมเชื่อ​ ​คุณยาย​จึง​ได้​เล่า​ให้​ฟังว่า

          หลานเอ๋ย​ ​ตอนยาย​เป็น​สาว​ ​ๆ​ ​เคยทำ​ปิ่นโตไปส่งหลวงพ่อช้าง​ ​หลวงพ่อช้างเคยไปป่าหิมพานต์​ ​ท่าน​ได้​สำ​เร็จญานสมาบัติ​ ​เป็น​เจ้าอาวาส​อยู่​วัดตึกราชา​ ​อำ​เภอเมือง​ ​จังหวัดสิงห์บุรี​ ​ยายไปส่งปิ่นโตทุกวัน​ ​ท่านฉันข้าวเวลา​เดียว​อยู่​ใน​ป่าช้า

          วันหนึ่งไปพบแขกคนหนึ่งมา​จาก​ไหน​ไม่​ทราบ​ ​ยายถามหลวงพ่อ​ ​ท่านบอกว่า​ ​แขกมันเหาะมา​จาก​ป่าหิมพานต์มาตกขา​แข้งหักไป​ไม่​ได้​ ​ท่าน​จึง​รักษา​ให้​ ​ยัง​อยู่​ด้วย​กัน​ที่นี่​ ​ยายก็รับฟัง​ ​เพราะ​ยาย​ยัง​เป็น​รุ่น​ ​ๆ​ ​สาว​ ​ไปส่งปิ่นโตแทนยายชวด

          ใน​ที่สุดแขกหาย​แล้ว​ก็​เล่า​ให้​หลวงพ่อฟังว่า​ ​ตัว​เขา​เป็น​โยคี​ ​เหาะมา​จาก​ป่าหิมพานต์​ ​เหาะมา​ ๒ ​คน​ ​คนหนึ่งสำ​เร็จฌาน​ ​แต่​แขกคนนี้สำ​เร็จปรอท​จาก​พระ​โยคีที่สำ​เร็จฌาน​ ​ทำ​ปรอท​ให้​อม​ ​แล้ว​ก็​เหาะมา​ได้​ ​พอดี​เกิดมา​เถียง​กัน​ ​เลยปรอทหล่น​ ​แขกก็​เลยตากขาหัก​ ​เชื่อ​ไม่​เชื่อ​ไม่​เป็น​ไรนะ

          ผลสุดท้ายแขกก็อ้อนวอนหลวงพ่อช้าง​ให้​ไปส่งที่ป่าหิมพานต์​ ​และ​บอกว่าที่ป่าหิมพานต์สนุกสนาน​ ​มี​ผู้​หญิง​ ​มี​ทั้ง​ต้นมักกะลีผล​อยู่​ปากทางที่​จะ​เข้า​ไปเฝ้าองค์พระ​เวสสันดรจอมปราชญ์​ ​ผู้​มีปัญญา​ ​อยู่​ที่ป่าหิมพานต์​โน้น​ ​เลย​เขา​หิมาลัย​ ๑๖ ​โยชน์​ ​แขกเล่า​ไว้​ชัด

          หลวงพ่อช้างก็บอกว่า​ไม่​อยากไปรู้​ ​แต่​แขกก็อ้อนวอนมาตามลำ​ดับ​ ​ก็​เสียอ้อนวอนแขก​ไม่​ได้​ ​แขกบอกว่า​ถ้า​หลวงพ่อไปนะ​ ​ไปรับประ​เคนของใคร​ ​อย่าฉัน​ ​ถ้า​ฉัน​จะ​กลับ​ไม่​ได้​แน่นอน​ ​ถ้า​หลวงพ่อสำ​เร็จแค่ฌานสมาบัติ​ไม่​ให้​ฉัน

          ใน​เมื่อ​เป็น​เช่นนี้​ ​หลวงพ่อช้างบอก​ไม่​ไป​ ​แขกบอกมีมักกะลีผล​ ​แขกก็คิด​ถึง​บ้าน​ใน​ป่าหิมพานต์ของ​เขา​ ​ก็​ให้​ตำ​ราปรอท​ ​ขอ​ให้​หลวงพ่อช้างทำ​ปรอท​ให้​ ​ใส่​ปากอมก็​เหินไป​ได้​ ​หลวงพ่อช้างก็บอกว่า​ยัง​งั้น​ได้​ ​ท่านสำ​เร็จฌานไป​ได้​องค์​เดียว​ ​แต่​เอา​แขก​ใส่​ย่ามไปคง​ไม่​ได้

          ใน​ที่สุดก็​ให้​ยายของอาตมา​ไปซื้อปรอท​ ​ซื้อยาซัด​ ​อาตมา​ยัง​ได้​ตำ​รา​ไว้​ ​ณ​ ​บัดนี้​ ​ซัดปรอท​แล้ว​ก็​ไปส่งแขกที่ป่าหิมพานต์​ ​ไปพบมักกะลีผลก็มา​เล่า​ให้​ยายฟัง​ ​ตอน​นั้น​อาตมา​ยัง​เป็น​เด็ก​ ​เวลาต่อมายายอายุ​ ๙๙ ​ก็​ถึง​แก่​ความ​ตาย​ ​อาตมาก็ฝังใจเรื่องนี้ตลอดมา

          เคยเห็นรูปที่​ เหม​ ​เวชกร ​เขียน​ไว้​ที่ฝาผนังวัดพระปรางค์มุนี​ ​เขียนต้นมักกะลีผลเหมือนของจริง​ด้วย​ ​ใบเหมือนใบมะม่วง​ ​มีลูกพวงหนึ่ง​ ๕ ​ผล​ ​แต่อาตมาก็​เชื่อแน่​ไม่​ได้​ว่าต้นไม้ออกลูก​เป็น​คน​ ​เสพสังวาส​ได้​เหมือนคนเรา​ ​ก็​ไม่​ยอมเชื่อ​ด้วย​ประการ​ใด

          ใน​เวลาต่อมา​ ​อาตมามาบวช​ ​จิตสำ​นึกเดิมมัน​ยัง​นึก​ถึง​เรื่องนี้​อยู่​ ​เพราะ​ยายเล่าทุกวัน​ ​เล่าละ​เอียด​ด้วย​ ​เพราะ​มีคาถาพันปีละ​ ๒ ​ครั้ง​ ​มีพระ​เทศน์ปุจฉาวิสัชนา​ ​ว่าทำ​นอง​ด้วย​ ​ยายว่า​ได้​ครบ​ทั้ง​ ๑๓ ​กัณฑ์​ ​ตั้งแต่ทศพร​ถึง​นครกัณฑ์​ ​ยาย​ไม่​ค่อยรู้หนังสือแต่ว่า​ได้​ ​เพราะ​จำ​พระ​เทศน์​ได้

นารีผล หรือ มักกะรีผล  ของหลวงพ่อเปิ่น สร้าง




แถมเรียงเบอร์


242
บทความ บทกวี / หลักการสักยันต์
« เมื่อ: 09 มี.ค. 2550, 04:45:07 »
สักยันต์

 

                          การสักยันต์ ​คือการที่​ใช้​เข็มสักสมัยเก่า​นั้น​ใช้​เข็มเดี่ยว​ ​การสักยันต์​ ​มีสองแบบคือ

               ๑.  ​สักยันต์​ ​แบบน้ำ​มัน

               ๒.  ​สักยันต์​  ​แบบหมึก

                   การ​ ​สักยันต์​ ​แบบน้ำ​มัน ​ใน​สมัยก่อนมีการ​ใช้​ ​ว่าน​เป็น​หลักว่านที่​จะ​ใช้​ก็มีการแบ่งออก​เป็น​สองประ​เภท​

                                        ก​. สักยันต์​ ​ว่านประ​เภทคงกระพัน ​ใช้​ว่านทางด้านคงกระพัน​เป็น​หลัก​ ​ซึ่ง​ใน​สมัยโบราณ์​ ​ได้​มีการ​ใช้​ว่าทางด้าน​

อยู่​ยงคงกระพันมา​เป็น​เวลานาน​แล้ว​ ​เห็น​ได้​ชัด​ใน​สมัยกรุงศรีอยุธยา​ ​ศึกบางระจัน​ ​หรือ​ใน​ยุกของ​ ​หลวงปู่ศุข​  ​วัดปากคลองมะขามเฒ่า​ ​ท่านก็​

ได้​ใช้​ว่านทางด้านคงกระพัน​เป็น​หลัก​เป็น​ยุคสมัย​นั้น​ ​มีการรบทับจับศึก​อยู่​ตลอดเวลา​ ​เป็น​เรื่องของชายชาตรี​ ​สมัย​นั้น​ที่​ต้อง​มีของดี​ไว้​ป้อง​กัน​ตัว​

​ป้อง​กัน​บ้านเมือง​  ​ว่านที่​ใช่​ทางด้านคงกระพันคือ​ ​ว่านหนุมาน​ ​ว่านสบู่​เลือดตัว​ผู้​  ​ตัวเมีย​ ​ว่านนิลพัด​ ​ว่านพระ​เจ้าห้าพระองค์​  ​ฯลฯ​

                              ​ว่านทางด้านคงกระพัน​ ​ที่​ใช้​แล้ว​แต่ละอาจารย์นำ​ผสมผสาน​ให้​เกิดพุทธานุภาพตามใจปราดถนา​ ​แล้ว​นำ​มาผลม​กับ​ ​น้ำ​

มันงา​ ​เขี้ยว​ ​เท่า​นั้น​เองตามคุณสมบัติของว่านทางด้านคงกระพัน​

                              ​ข้อห้ามทางด้านคงกระพันมีมากมาย​ ​ใน​ปัจจุบันนี้​เป็น​ที่ถือ​กัน​ได้​ยากเลย​ไม่​มีผล​กับ​ผู้​ที่​ ​สักยันต์​ ​ประ​เภทว่านคงกระพัน​

เท่า​ใด​นัก

                                       ข​. สักยันต์​ ​ว่านทางด้านเมตตา  ​ใช้​ว่านทางด้านเมตตา​เป็น​หลัก​ ​เช่น​ ​ว่านางกวัก​ ​นางโลม​ ​ว่างจังงัง​ ​ว่าน

เสนห์จันท์ขาว​  ​ว่างช้างผสมโขลง​ ​ซึ่ง​นำ​มาบดละ​เอียด​แล้ว​เคี่ยว​กับ​น้ำ​มันงา​ ​เพื่อ​ให้​เข้า​ที่​กัน​แล้ว​จึง​นำ​มาปลุกเสกตามพิธีกรรมทางด้านเมตตา​ ​

โดย​หลัก​จะ​ไม่​ใส่​ ​ว่านประ​เภทคงกระพัน​ ​หรือ​หนังเหนียว​เข้า​ไป​ด้วย​ ​เพราะ​ทำ​ให้​คุณภาพเสียหายเกิดขึ้น​ ( ​แต่มีบางอาจารย​ใส่​อยู่​ )

                            การสักยันต์​ ​แบบหมึก ​โดย​มาก​จะ​ใช้​แบบพิมพ์​ ​หรือ​บางครั้ง​ผู้​มี​ความ​ชำ​นาน​จะ​สักขึ้นมา​เอง​โดย​ไม่​ใช้​แบบพิมพ์​เลยก็มี​ ​

ส่วน​ผสมก็มีหมึกจีน​ ​เป็น​หลัก​ ​แต่​เดียวนี้มีการแปลงออกไป​โดย​ใช้​หมึกสี​ ​เช่น​ ​แดง​ ​เขียว​ ​น้ำ​เงิน​ ​ซึ่ง​เป็น​หมึกทางด้านพวกสักเล่นมากกว่า​ ​ที่​จะ​

ลงอาคม

                             ​การลงหมึก​นั้น​ส่วน​ใหญ่​เป็น​ภาพหนุมาน​ ​เสือ​ ​หมู​ ​และ​ยันต์ต่างๆ​ๆ​ ​เพื่อ​ไว้​ให้​เกิดอำ​นาจ​ ​บางราย​ไว้​ป้อง​กัน​ตัว​ ​แต่​ใน​การ

ลงภาพหมึกหนึ่งน้ำ​มัน​ต้อง​เรียกสูตร​ ​หรือ​เรียกคาถาตลอดระยะ​เวลาการสัก​ไม่​ใช่​ ​สักยันต์​ ​ไปคุยไป​ ​ผลที่​ได้​ไม่​มีอะ​ไรเกิดขึ้น​ ​นอก​จาก​ภาพที่

สวย​เท่า​นั้น

                              ​แต่ขอบอก​ไว้​ก่อนว่าการสักยันต์​ ​การลงยันต์​ ​ผู้​ที่​เข้า​รับการสักยันต์​ต้อง​รู้ว่าตนเอง​ ​อยากสักเพื่ออะ​ไร​ ​มิ​ใช่​สักตามคำ​

ลำ​ลือ​ ​หรือ​สัก​เพราะ​เชื่อคำ​โฆษณา​ ​เพราะ​ว่าดวงบางดวงสักยันต์บางประ​เภท​ไม่​ได้​  ​เช่น

                             ​อยากสักยันต์​เมตตา​ ​แต่มียันตหนุมาร​ ​อยู่​ ​ยันต์หนุมาร​ ​เป็น​ยันต์ทางด้านคงกระพัน​ ​ออกทางด้านสายรบ​  ​สายต่อสู้​ ​แล้ว​

จะ​เมตตา​ได้​ไง​ ​ดังคำ​โบราณ์​เข้า​เรียกว่า

                                ​บารมี​ไม่​ถึง​ ​แต่อยาก​ได้​  ​เอามา​แล้ว​ไม่​เจริญ​  ​เอา​ไม่​ทำ​อะ​ไรละ


หลักการสักยันต์

             หลักการสักยันต์

                               การสักยันต์​ ​ปัจจุบันนี้มีการสำ​นักสักยันต์​เกิดขึ้น​เป็น​จำ​นวนมาก​ ​แถมบางสำ​นัก​ยัง​มีการ​ใช้​สื่อโฆษณา​เพื่อ​ให้​ประชน​

หรือ​คนที่อยากศึกษาวิชาอาคมตามบรรมครู​ทั้ง​หลาย​ได้​มีการบรรหยัดเอา​ไว้​ ​ไม่​ได้​ผล​เท่า​ที่ควร​ ​แถม​ยัง​เสียเงินเสียทอง​เป็น​จำ​นวนมากอีก​ด้วย​

​กลับกลาย​เป็น​การทำ​ให้​วิชาการที่มีมา​แต่​โบราณกาลเสื่อมเสียไป​เป็น​อย่างมาก​ ​และ​ไม่​เห็นแก่บาปกรรมที่​ได้​กระทำ​ ​ทั้ง​ยัง​อวจอ้างสรรพคุณต้าง​

​ๆ​ที่ตนเองสักยันต์อีก​ด้วย

                    ​อาจารย์​เขียว​ ​ยัง​มีการยึดถือรูปแบบเดิม​ ​แต่ก่อนที่​จะ​มีการสักยันต์​ ​อาจารยเขียว​ ​ได้​คนพบตำ​รา​โบราณ์​ ​ของครู​ผู้​เฒ่า​ ​ได้​บรร

ทึกเอา​ไว้​ว่า​ ​ก่อนมีการดำ​เนินการสักยันต์​ ​ให้​ดำ​เนินการทำ​น้ำ​มนต์ก่อนทำ​การสักยันต์​ ​เสียก่อนเพื่อ​ให้​ได้​ผล

                    ​การทำ​น้ำ​มนต์ของ​ ​อาจารย์​เขียว​  ​ได้​พิจารณาตามหลักแห่ง​ความ​เป็น​จริงว่า​ ​ถ้า​คนเรา​ไม่​ทำ​ความ​สะอาดร่างกายก่อนการที่​จะ​

ลงของ​หรือ​การสักยันต์​ ​ผลที่​ได้​รับ​จะ​ไม่​ได้​เลย​ ​เปรียบเสมือน​กับ​ ​แจ​กัน​ ​ถ้า​เก็บ​ไว้​นานแรมปี​ ​ไม่​มีการขัด​ ​เรา​จะ​เอาทองลงไป​ได้​ไงละ​ ​หรือ​ถ้า​

เรามีรถยนต์​ ​ไม่​เคยล้างรถ​ ​แต่​จะ​ขัดเงารถยนต์ของตนเอง​ ​รถ​นั้น​จะ​เงา​หรือ​ไม่​ละ​ ​ด้วย​เหตุผลที่กล่าว​ ​อาจารย์​เขียว​ ​ได้​ทำ​น้ำ​มนต์​ด้วย​บทมนต์

พิธีการแก้อาถรรพ​ ​ถอดถอนอวมงคล​ ​แก้อุบาท์​ทั้ง​ปวง​ ​แก้​ต้อง​ธรณีศาล​ ​หรือ​ชาย​ใด​หรือ​หญิง​ใด​ที่มี​ใฝ่ปาน​ใน​ที่ลับก็ตาม

                     ​โดย​ผู้​ที่​จะ​มาดำ​เนิการสักยันต์​ต้อง​นำ​สิ่งของเหล่านี้มา​เอง

                        1.  ​ใบศรีปากชาม​ 1 ​คู่

                        2.   ​มะพร้าว​   1  ​กล้วยน้ำ​ไท​   1

                        3.   ​ผลไม้​  9 ​อย่าง

                        4.   ​เทียนทำ​น้ำ​มนต์​ 9 ​เล่ม

                        5.   ​ดอกไม้ธูปเทียน

                        6.  ​ค่าครู​  99 ​บาท

                   ​ได้​รับน้ำ​มนต์​ไป​แล้ว​ให้​อาบ​เป็น​เวลา​  3  ​วัน​ ​ให้​อาบกลางแจ้ง​ ​ตอนเที่ยงวัน

                     ​เมื่อ​ได้​อาบน้ำ​มนต์​เสร็จเรียบร้อย​แล้ว​ ​อาจารย์​เขียว​จึง​จะ​ดำ​เนินการสักยันต์​ ​หรือ​ลงของมงคล​ให้​กับ​ผู้​ที่​ต้อง​การสักยันต์​ได้

                   ข้อห้ามของ​ผู้​ที่สักยันต์

                         ​ข้อห้ามของ​ผู้​สักยันต์​นั้น​ ​โดย​หลัก​นั้น​ก็​เหมือน​กับ​ทั่ว​ไป​ ​แต่อาจารยื​เขียว​ได้​แยกออก​เป็น​สองสายคือ​ ​ข้อห้ามทางสายคง

กระพัน​ ​หนึ่ง​ ​ข้อห้ามสายทางเมตตา​ ​อีกหนึ่ง

                          ​ข้อห้ามทางสายคงกระพัน

                            1. ​ห้ามกินฟัก​                           

                            2. ​ห้ามกินแฟง​               

                            3. ​ห้ามกินปลา​ไหล​                     

                            4. ​ห้ามลอดสะพานหัวเดียว​     

                            5. ​ห้ามลอกปลีกล้วย​                   

                            6. ​ห้ามผิดลูกผิดเมีย​เขา

                            7. ​ห้ามด่าพ่อแม่

                          ข้อห้ามทางสายเมตตา

                           1. ​ห้ามด่าบิดามารดา​                   

                           2. ​ห้ามผิดลูกเมีย​เขา

                     ​แต่​ใน​ยุคสมัยนี้​ ​การที่​ผู้​ที่สนใจการสักยันต์​ ​และ​ ​เป็น​ผู้​ที่​เล่นวิชาทางด้านคงกระพันจริง​ ​ๆ​ ​แล้ว​จะ​ถือตามข้างต้น​ ​คง​เป็น​ไป​ไม่​ได้​

​เพราะ​ขนาด​ใน​กรุงเทพ​ยัง​มีสะพานลอยมากมายเลย​ ​หรือ​ ​แฟลต​ ​อาพาทเม้นต์​  ​คอนโด​ ​ก็​เดิน​เข้า​ไม่​ได้​แล้ว​ ​และ​อีกอย่าง​ ​ใน​ปัจจุบันนี้​ ​ไม่​มี

การรบทัพ​  ​จับศึก​ ​อีก​แล้ว​มี​แต่ทางด้านเมตตา​   ​ค้าขาย​ ​ให้​เจ้านายชอบ​  ​ค้าขายเจริญรุ่งเรื่อง​ ​จึง​ได้​มี​

                       ​การสักยันต์​ ​ทางด้านเมตตา​ ​สักยันต์ค้าขาย​ ​สักยันต์​เสริมดวง​  ​สักยันต์หนุนดวงว่า​กัน​ไปตามแต่ละสำ​นัก​ ​ที่​เขา​โฆษณา​กัน​

                                       ​แต่ก่อนที่ทำ​อะ​ไร​ ​ถ้า​ไม่​เอาดวงตนเองมาประกอบ​ ​หรือ​ตามหลักวิชาที่ถูก​ต้อง​  ​ลงไป​แล้ว​หรือ​สักยันต์​ไป​แล้ว​ ​

แทนที่​จะ​ดวงดี​ ​กลับดวงตกไป​ได้​นะ​ ​เรียกว่า​ไม่​รู้ถาม​ผู้​รู้ดีกว่า​ ​แต่บางอาจารย์ดูดวง​ไม่​เป็น​ก็​ต้อง​ระวัง​ไว้​เอา​ด้วย​นะ



หลักพิจารณาการสักยันต์ว่าควรลงอะ​ไรดี

หลักการพิจารณาการสักยันต์

          ๑. ​สักยันต์​เพื่ออะ​ไร​

          ๒. ​อาจารย์​ผู้​สักยันต์

                 ๑. ​สักยันต์ ​เพื่ออะ​ไร​  ​การสักยันต์​ ​ใน​ปัจจุบันนี้​ ​เริ่ม​เป็น​ที่นิยมของบุคคล​ใน​ชั้นวงการต่างๆ​ ​มากมาย​ ​โดย​เฉพาะดารา​ ​หรือ​การโป

รโมททางสื่อต่าง​ ​ๆ​ ​ทำ​ให้​ประชาชนนิยม​ ​การสักยันต์​ ​เป็น​จำ​นวนมากขึ้น​ ​ไม่​ว่าวัยรุ่น​ ​หรือ​ ​วัยทำ​งาน​ ​บางคนไปสักกราฟิกไปเลยก็มี​ ​แต่​ใน​ที่นี้​ ​

อาจารย์​เขียว​ ​จะ​กล่าว​ใน​เรื่องของการสักยันต์ที่น่า​จะ​ลง​หรือ​ที่​ผู้​สนใจการสักยันต์​ ​เพื่อเสริมบารมี​ให้​ตนเองมีชีวิต​ ​ใน​หน้าที่การงาน​  ​หรือ​ครอบ

ครัว​ ​เจริญรุ่งเรื่อง​ ​เป็น​ที่​เมตตาต่อบุคคล​ทั้ง​หลาย​ ​โดย​ขอ​ให้​ยึดหลักดังนี้

                     ​ก​.  ​วัตถุประสงค์ของตนเอง​ใน​การสักยันต์​ ถ้า​ต้อง​การภาพสวยก็​ต้อง​ดูที่อาจารย์​ไหน​ ​สักยันต์​ได้​สวยมิ​ใช่​แบบไข่ปลา​ ​และ​

ราคา​ต้อง​ไม่​เกี่ยง​  ถ้า​ต้อง​การสักภาพทางด้านอาคม​   ​ให้​แยกออกไปอีกว่า​จะ​ลงทางด้าน​ใด​ ​ทางคงกระพัน​ ​ควรพิจารณาว่า​ใน​ยุคนี้​เหมาะ​กับ​

เรา​แล้ว​หรือ​ยัง​ ​มีการรบทัพจับศึก​หรือ​ไม่​ ​แต่​ถ้า​อยากลงก็​ไม่​เป็น​ไรนะ​ ​ส่วน​ทางด้านเมตตาก็พิจารณาว่า​เรา​จะ​ลงเพื่อ​ใช้​ทางด้าน​ใด​ใน​หน้าที่การ

งาน

                   2. อาจารย์​ผู้​สักยันต์  ​ใน​ยุคนี้นับตั้งแต่หลวงพ่อเปิ่น​ ​มรณะภาพไป​แล้ว​ ​หลวงพ่อแล​ ​ท่านก็มิ​ได้​สักยันต์อีก​ ​นับแต่มีอาจารย์คา

รวาอ​ ​แถวปทุมท่านหนึ่งที่​ได้​มีชื่อเสียง​เพราะ​การาต่างประ​เทศมาสักยันต์​ ​พร้อม​ทั้ง​ดารา​ไทยมาสักยันต์​

                        ​ดาราต่างประ​เทศมาสักยันต์​กับ​อาจารย์ท่านนี้​เพราะ​อะ​ไร​ ​ถ้า​พิจารณา​ ​เพราะ​ชาวต่างชาติ​ ​ชอบศิลปไทย​ ​การสักของท่าน

อาจารย์นี้​ ​สักลายเส้นสวยเหมือนการเขียน​ ​จึง​มาสัก​ ​ทางด้านพุทธคุณ​เข้า​รู้​หรือ​ไม่​ไม่​มี​ใครทราบ

                         ​ส่วน​ดารา​ไทยสัก​กัน​นั้น​เพราะ​แห่ตาม​กัน​มามีผลทางด้านไหน​ ​ให้​ถามแต่ละคนเอา​เอง​ ​อาจารย์​ไม่​ขอตอบ

                        ​อาจารย์ที่สักยันต์​นั้น​ได้​สักยันต์ตรงตามตำ​ราของอาจารย์สมัยโบราณ์​ ​จริง​หรือ​ไม่​ ​มีที่มาที่​ไป​หรือ​ไม่​ ​บางท่านอ้างว่า​เรียน​

จาก​หลวงพ่อต่างๆ​ๆ​ ​ก็มี​เช่นอ้างเรียน​จาก​หลวงปู่ทิม​  ​วัดระหารไร่​   ​หลวงพ่อก่วย​ ​ก็มี​ ​แต่​แท้ที่จริงเรียน​หรือ​ไม่​ต้อง​ดูอายุ​ ​ของอาจารย์​ ​และ​การ

เดินทางของท่าน​เป็น​หลัก​ด้วย

                     ​บางอาจารย์ชอบโจมตีสำ​นัก​อื่น​ว่าสัก​ไม่​ถูก​ ​สักผิด​ ​แล้ว​ไปแก้​ไขยันต์ที่อาจารย์​เขา​สัก​ ​โบราณ์กาล​เขา​ว่าผิดนัก​ ​เพราะการแก้​

ไขยันต์ หรือ​มีการสักทับยันต์เข้า​เรียกว่าวิบัติ ​ทำ​ให้​ผู้​ที่ถูกแก้​ไขวิบัติ​เกิดขึ้น​ใน​ครอบครัว

        ​ฉะ​นั้น​ผู้​ที่สนใจการสักยันต์​ต้อง​พิจารณา​ให้​ดีๆ​ๆ​นะครับ​


นำมาจาก เวป  http://www.checkduang.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=151986

243
บทความ บทกวี / ตำนานหลวงพ่อโสธร
« เมื่อ: 09 มี.ค. 2550, 12:57:14 »
นำมาจาก คุณเอก มารวิชัย แห่งเวป หลวงปู่สุภา

ตำ​นาน​
​จังหวัดฉะ​เชิงเทรา​ ​มีตำ​นานที่​เป็น​เรื่องเล่าสืบต่อ​กัน​มา​เป็น​เวลาช้านาน​ ​คือ​ ​ตำ​นานหลวงพ่อพระพุทธโสธร​ ​หรือ​หลวงพ่อโสธรตำ​นานของหลวงพ่อพระพุทธโสธร​ ​มีการเล่าขาน​กัน​สืบต่อมาว่า​ ​ใน​สมัยลานช้างลานนา​เศรษฐีพี่น้อง​3​คน​ซึ่ง​อาศัย​อยู่​ทางเหนือ​
มีจิตเลื่อมใสศรัทธา​จะ​สร้างพระพุทธรูปเพื่อเสริมสร้างบารมี​และ​เพิ่มพูนผลานิสงส์​ ​จึง​ได้​เชิญพราหมณ์มาทำ​พิธีหล่อพระพุทธรูปต่าง​ ​ๆ​ ​ตามวันเกิด​ ​อันมีปางสมาธิ​ ​ปางดุ้งมาร​และ​
ปางอุ้มบาตร​ ​แล้ว​ทำ​พิธีบวงสรวงชุมนุมเทวดาตามโหราศาสตร์​ ​เพื่อทำ​พิธีปลุกเสก​ ​แล้ว​อัญเชิญ​
เข้า​สู่วัด​ใน​กาลต่อมา​ ​ได้​เกิดยุคเข็ญขึ้น​ ​พม่า​ได้​ยกทัพมาตี​ไทยหลายครั้งหลายหน​
จนครั้งสุดท้าย​ ​คือ​ ​ประมาณครั้งที่​ 7 ​ก็ตี​เมืองแตก​ ​และ​ได้​เผาบ้านเผา​เมืองตลอดจน​
วัดวาอารามต่างๆ​ ​หลวงพ่อ​ 3 ​พี่น้อง​จึง​ได้​ปรึกษา​กัน​ ​เห็นว่า​เป็น​สถานการณ์คับขัน​
จึง​ได้​แสดงอภินิหารลงแม่น้ำ​ปิง​ ​แล้ว​ล่องมาทาง​ใต้​ตลอด​ 7 ​วัน​ ​จนกระทั่งมา​ถึง​แม่น้ำ​เจ้าพระยา​ ​ตรงบริ​เวณที่ปัจจุบันเรียกว่า​“​สามแสน​” ​จึง​ได้​แสดงอภินิหารลอย​ให้​ชาวบ้าน​
ชาวเมืองเห็น​ ​ชาวบ้านนับแสน​ ​ๆ​ ​คน​ ​ได้​ทำ​การฉุดหลวงพ่อ​ทั้ง​
3 ​องค์​ ​ถึง​ 3 ​วัน​ 3 ​คืน​ ​ก็ฉุด​ไม่​ขึ้น​ ​ตำ​บล​นั้น​จึง​ได้​ชื่อว่า​ “​สามแสน​” ​ซึ่ง​ได้​เพี้ยน​เป็น​ “​สามเสน​” ​ใน​ภายหลังหลวงพ่อ​ทั้ง​ 3 ​องค์ลอย​เข้า​สู่พระ​โขนงลัดเลาะจนไป​ถึง​แม่น้ำ​บางปะกง​
ผ่านคลอง​ซึ่ง​ปัจจุบันเรียกว่าคลองชักพระ​ ​ก็​ได้​แสดงอภินิหาร​
ลอยขึ้นมา​ให้​ชาวบ้าน​ได้​เห็นอีกครั้ง​ ​ชาวบ้านประมาณ​3 ​พันคนพยายามชักพระขึ้น​จาก​น้ำ​ ​ก็​ไม่​สำ​เร็จ​ ​คลองนี้​จึง​ได้​นามว่า​ “​คลองชักพระ​” ​ต่อมา​ทั้ง​ 3 ​องค์​ ​ได้​ลอยทวนน้ำ​ต่อขึ้นไปทางหัววัดอีก​ ​สถานที่​นั้น​จึง​เรียกว่า​“​วัดสามพระทวน​” ​ซึ่ง​ต่อมา​เรียกเพี้ยน​เป็น​ “​วัดสัมปทวน​”
​หลวงพ่อ​ได้​ลอยต่อไปตามลำ​น้ำ​บางปะกง​ ​เลยผ่านหน้าวัดโสธรไปจน​ถึง​คุ้งน้ำ​ใต้​ ​วัดโสธร​แล้ว​แสดงอภินิหาร​ให้​ชาวบ้านเห็นอีกชาวบ้าน​ได้​ช่วย​กัน​ฉุดก็​ยัง​ไม่​สำ​เร็จ​
จึง​ได้​เรียกหมู่บ้าน​และ​คลอง​นั้น​ว่า​ “​บางพระ​” ​ต่อ​จาก​นั้น​ก็ลอยทวนน้ำ​วน​อยู่​หัวเลี้ยวตรงกองพันทหารช่างที่​ 2
​สถานที่ลอยวน​อยู่​นั้น​จึง​เรียกว่า​ “​แหลมหัววน​” ​และ​คลองก็​ได้​ชื่อว่า​ “​คลองสองพี่น้อง​” ​มาจนทุกวันนี้​
​ต่อ​จาก​นั้น​ ​พระพุทธรูปองค์ที่​ใหญ่​ได้​แสดงอภินิหารลอยไป​ถึง​แม่น้ำ​แม่กลอง​ ​จังหวัดสมุทรสงคราม​ ​ชาวประมง​ได้​ช่วย​กัน​อาราธนาท่านขึ้นประดิษฐาน​ไว้​ ​ณ​ ​วัดบ้านแหลม​ ​มีชื่อเรียกว่า​ “​หลวงพ่อบ้านแหลม​” ​อีกองค์หนึ่ง​ได้​แสดงปฏิหาริย์ล่อง​เข้า​ไป​ใน​คลองบางพลี​ ​ชาวบ้าน​
ได้​อาราธนาขึ้นประดิษฐานที่วัดบางพลี​ ​จังหวัดสมุทรปราการ​ ​มีชื่อเรียกว่า​ “​หลวงพ่อโตบางพลี​”
​ส่วน​พระพุทธรูปองค์สุดท้าย​ ​หรือ​หลวงพ่อพระพุทธโสธร​นั้น​ได้​แสดงอภินิหาร​
ลอยมาขึ้นที่หน้าวัดหงส์​ (จังหวัดฉะ​เชิงเทรา​, 2539 : 34-37) ​ซึ่ง​เป็น​ชื่อเดิม​
ของวัดโสธรวรารามวรวิหาร​ ​วัดนี้​แต่​เดิม​เป็น​วัดราษฎร์​ ​สร้างขึ้นตอนปลายกรุงศรีอยุธยา​ ​ตามประวัติ​นั้น​ ​แต่​แรกมีชื่อว่า​ “​วัดหงส์​” ​เพราะ​มี​ “​เสาหงส์​” ​อยู่​ใน​วัด​ ​เป็น​เสาสูงมียอด​เป็น​ตัวหงส์​อยู่​บนปลายเสา​ (จังหวัดฉะ​เชิงเทรา​, 2540 : 27)
​วัดนี้มีลักษณะดี​ ​ตั้ง​อยู่​บนแหลม​เป็น​สถานที่ศักดิ์สิทธิ์​ ​และ​เป็น​ที่ธรณีสงฆ์​ ​รักษา​ ​พระศาสนาสืบต่อไป​ได้​ ​ตามธรรมเนียมจีน​ ​สถานที่นี้​เรียกว่า​ “​ที่มังกร​” ​ถ้า​ได้​ประทับ​ ​ณ​ ​สถานที่นี้​ ​จะ​เกิดรัศมีบารมี​และ​มี​ความ​ศักดิ์สิทธิ์​ ​ที่​จะ​รักษาบ้านเมือง​และ​พุทธศาสนาสืบต่อไป​ ​หลวงพ่อพระพุทธโสธร​
จึง​ได้​ตัดสินใจขึ้นประทับ​ ​ณ​ ​วัดหงส์​แห่งนี้​ ​ใน​เดือนยี่ติดต่อเดือนสาม​
​ตามประวัติกล่าวว่า​ ​เมื่อองค์หลวงพ่อ​ได้​แสดงอภินิหารลอยมาขึ้นที่หน้าวัดหงส์​ได้​มีชาวบ้าน​
ยก​และ​ฉุด​เป็น​จำ​นวนมาก​ ​แต่​ไม่​สามารถ​เชิญหลวงพ่อฯ​ ​ขึ้น​จาก​น้ำ​ ​จนกระทั่ง​ได้​มีอาจารย์​ผู้​หนึ่ง​ ​รู้วิธีการอัญเชิญหลวงพ่อ​โดย​ตั้งพิธีบวงสรวง​ใช้​ด้ายสายสิญจน์คล้อง​กับ​พระหัตถ์หลวงพ่
อพุทธโสธร​ ​แล้ว​อัญเชิญขึ้นมาบนฝั่ง​ ​โดย​ใช้​คน​ไม่​กี่คนก็​สามารถ​อัญเชิญขึ้นประดิษฐาน​ใน​วิหารสำ​เร็จ​ ​ตาม​ความ​ประสงค์​ ​จึง​ได้​จัด​ให้​มีการสมโภชน์ฉลององค์หลวงพ่อ​ ​หลัง​จาก​ที่​ได้​ประทับที่วัดหงส์​เรียบร้อย​แล้ว​ ​ชื่อเสียงหลวงพ่อ​ยัง​ไม่​ปรากฏ​ ​ซึ่ง​หลวงพ่อ​ต้อง​การชื่อเดิมของท่าน​ ​จำ​เดิมองค์หลวงพ่อประทับ​
ที่วัดศรี​เมืองทางภาคเหนือ​ ​ซึ่ง​มีชาวบ้านขนานนามหลวงพ่อว่า​ “​พระศรี​” ​องค์หลวงพ่อมี​ความ​ประสงค์​
จะ​ใช้​นามว่า​ “​หลวงพ่อพุทธศรี​โสธร​” ​จึง​มี​เหตุการณ์ดลบันดาล​ให้​เกิดพายุพัดเอาหงส์ที่ตั้ง​อยู่​บนยอดเสาหงส์ลงมา​ ​ชาวบ้าน​ ​จึง​แก้​ไข​เป็น​เสาธง​ ​จึง​เปลี่ยน​จาก​วัดหงส์​เป็น​ “​วัดเสาธง​” ​อยู่​ต่อมา​ไม่​นานก็​เกิดพายุอีก​ ​พัดเสาธงหัก​ ​จึง​เปลี่ยน​จาก​วัดเสาธง​ ​เป็น​ “​วัดเสาธงทอน​” ​ต่อมาชาวบ้านเห็นว่า​ไม่​เพราะ​ ​จึง​ได้​ขนานนามว่า​ “​วัดศรี​โสทร​” ​ใน​ที่สุดหลวงพ่อก็ดลบันดาล​ให้​เปลี่ยนชื่อ​เป็น​วัดโสธร​ ​และ​ต่อมา​ได้​มีข้าราชการ​ได้​ไปนมัสการหลวงพ่อที่วัด​ ​เล็งเห็น​ความ​สำ​คัญของวัด​ ​จึง​ได้​เสนอแต่งตั้ง​ให้​เป็น​วัดหลวง​และ​ขนานนามหลวงพ่อว่า​ “​หลวงพ่อโสธร​ ​หรือ​หลวงพ่อพระพุทธโสธร​” ​ตั้งแต่บัด​นั้น​เป็น​ต้นมา​ (บรรณาธิการ​ฉบับ​พิ​เศษ​, ​ม​.​ป​.​ป​. : 29)
​สำ​หรับประวัติ​ความ​เป็น​มาของหลวงพ่อพระพุทธโสธร​นั้น​ ​มีนักโบราณคดี​และ​ผู้​ทรงคุณวุฒิหลายท่าน​ ​ที่มี​ความ​เห็นแตกต่าง​กัน​ออกไปดังนี้​ (พิพิธวิหารกิจ​และ​คณะ​,2542:50 – 52)
​ก​. ​ความ​เห็นของนักโบราณคดี​ ​พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า​เจ้า​อยู่​หัว​ ​รัชกาลที่​ 5 ​ได้​รับการยกย่องว่า​ ​ทรงพระปรีชา​ ​สามารถ​ ​ใน​ทางปกครอง​เป็น​ยอดเยี่ยม​ ​ทรง​เป็น​นักโบราณคดี​
นักประวัติศาสตร์​ ​และ​อื่น​ ​ๆ​ ​ได้​ทรงบันทึก​ไว้​ใน​จดหมาย​ถึง​มกุฏราชกุมาร​ ​เมื่อเสด็จประพาสมลฑลปราจีนบุรี​ ​ร​.​ศ​.127 ​ความ​ตอนหนึ่งว่า​”…​พระพุทธรูป​ ​ว่า​ด้วย​ศิลา​แลง​ทั้ง​นั้น​ ​องค์ที่สำ​คัญว่า​เป็น​หมอดี​นั้น​ ​คือ​ ​องค์ที่​อยู่​กลางดูรูปตัก​และ​เอวงาม​ ​ทำ​เป็น​ทำ​นองเดียว​กัน​กับ​พระพุทธเทวปฏิมากร​ ​แต่ตอนบนกลายไป​เป็น​ด้วย​ฝีมือ​ผู้​ที่​ไปปั้นว่า​ ​ลอยน้ำ​ก็​เป็น​ความ​จริง​เพราะ​เป็น​พระศิลาคง​จะ​ไม่​ได้​ทำ​ใน​ที่นี้​”
​พระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า​เจ้า​อยู่​หัว​ ​พอ​จะ​สรุป​ได้​ว่า​ ​พระพุทธโสธรนี้​เป็น​พระศิลา​ (แลง) ​ไม่​ได้​ทำ​ใน​จังหวัดฉะ​เชิงเทรา​ ​และ​คง​จะ​มา​จาก​ที่​อื่น​
​นอก​จาก​พระบรมราชวินิจฉัยดังกล่าว​แล้ว​ ​ยัง​มีนักโบราณคดีอีก​ 2 ​ท่าน​ ​ได้​ให้​ทรรศนะ​เกี่ยว​กับ​พระพุทธโสธร​ ​ดังต่อไปนี้คือ​
(1) ​หลวงรณสิทธิพิชัย​ ​เมื่อครั้งดำ​รงตำ​แหน่งอธิบดีกรมศิลปากร​ ​ได้​บันทึก​ไว้​ใน​เรื่องการสำ​รวจของโบราณ​ใน​เมืองไทย​ ​เกี่ยว​กับ​ ​พระพุทธโสธรนี้​
“…​หลวงพ่อโสธร​เป็น​พระพุทธรูปปางสมาธิหน้าตักกว้าง​ 1.65 ​เมตร​ ​สูง​ 1.98 ​เมตร​ ​เป็น​พระพุทธรูปที่บูรณะขึ้น​ใน​ปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา​ ​หรือ​ต้นสมัยรัตนโกสินทร์​ ​และ​ช่าง​ผู้​บูรณะ​นั้น​เข้า​ใจว่า​จะ​เป็น​ฝีมือช่าง​ผู้​มีภูมิลำ​เนา​อยู่​ทางภาคอีสาน​ ​ประวัติที่ข้าพเจ้าพึงกล่าว​ได้​นั้น​มี​เพียง​เท่า​นี้​ ​และ​ที่กล่าวนี้​โดย​อาศัยวัตถุที่​เห็น​เท่า​นั้น​”
​เหตุผลที่สันนิษฐานว่าพระพุทธโสธร​ได้​บูรณะ​หรือ​สร้างขึ้น​ ​ใน​ปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา​หรือ​ต้นสมัยรัตนโกสินทร์​นั้น​ ​ใน​ฐานะที่​ ​นายมานิต​ ​วัลลิ​โภดม​ ​ภัณฑารักษ์​เอกของกรมศิลปากร​ใน​สมัย​นั้น​ได้​ร่วมเดินทางไปสำ​รวจโบราณวัตถุ​กับ​หลวงรณสิทธ
ิพิชัย​
ใน​ครั้ง​นั้น​ด้วย​ ​ได้​ชี้​แจงว่าที่สันนิษฐานเช่น​นั้น​ก็สังเกต​จาก​วงพระพักตร์​ ​ชายสังฆาฏิ​ ​ทรวงทรง​ ​และ​ลีลา​ใน​การสร้าง​โดย​เฉพาะช่างฝีมือ​ใน​ภาคอีสาน​ ​การสร้างพระพุทธรูป​ไม่​สู้​จะ​เปลี่ยนแปลง​
ไป​จาก​เดิมมากนัก​
(2) ​นายมนตรี​ ​อมาตยกุล​ ​อดีตหัวหน้ากองประวัติศาสตร์​ ​กรมศิลปากร​ ​ได้​ให้​ทรรศนะ​ไว้​ใน​เรื่องนำ​เที่ยวฉะ​เชิงเทรา​ ​กล่าว​
ความ​ไว้​ตอนหนึ่งว่า​”…​พระพุทธโสธร​เป็น​พระพุทธรูปปางสมาธิ​ ​ลงรักปิดทอง​ ​มีขนาดสูง​ 10 ​เมตร​ 98 ​เซนต์​ ​หน้าตักกว้าง​ 1 ​เมตร​ 65 ​เซนต์​ ​เท่า​ที่ตรวจดูรูปภายนอก​ซึ่ง​ลงรักปิดทอง​ไว้​ ​ปรากฎว่า​เป็น​พระพุทธรูปฝีมือช่างแบบลานช้าง​ ​หรือ​ซึ่ง​เรียก​กัน​เป็น​สามัญว่า​ “​พระลาว​” ​พระพุทธรูปแบบนี้นิยมทำ​กัน​มากที่​เมืองหลวงพระบาง​ใน​ประ​เทศอินโดจีน​ ​ฝรั่งเศส​ ​และ​ทางภาคอีสานของประ​เทศไทย​”
​พระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า​เจ้า​อยู่​หัว​ ​และ​ความ​เห็นของนักโบราณคดีอีกสองท่าน​ ​ที่​ได้​กล่าวนามมา​แล้ว​ ​พอ​จะ​สรุป​ได้​ว่า​ ​หลวงพ่อโสธร​ไม่​ได้​ทำ​ขึ้น​ใน​จังหวัดฉะ​เชิงเทรา​ ​แต่​ได้​นำ​มา​จาก​ที่​อื่น​ ​เพราะ​พระพุทธโสธรทำ​ด้วย​ศิลา​แลง​ ​พระพุทธรูป​เป็น​ฝีมือแบบชาวลานช้าง​หรือ​ที่​เรียกว่า​ ”​พระลาว​” ​ได้​บูรณะ​หรือ​สร้างขึ้น​ใน​ปลายกรุงศรีอยุธยา​ ​หรือ​ต้นสมัยรัตนโกสินทร์​
​ข​. ​ข้อสันนิษฐานของ​ผู้​ทรงคุณวุฒิ​ ​ตามพระพุทธประวัติของพระพุทธโสธร​
จัดพิมพ์​โดย​นายทองใบ​ ​ภู่พันธ์​ ​ณ​ ​สำ​นักวัดพิกุลเงิน​ ​อำ​เภอบาง​ใหญ่​ ​จังหวัดนนทบุรี​ ​เมื่อวันที่​
13 ​กุมภาพันธ์​ 2492 ​ได้​บรรยายข้อสันนิษฐาน​ไว้​ดังต่อไปนี้​ ​โดย​ได้​จาก​การสัมภาษณ์​กับ​ท่านเจ้าคุณเทพกวี​ ​อดีตเจ้าคณะมณฑลปราจีนบุรี​ ​วัดเทพศิรินทราวาสว่า​ ​ขณะที่ท่านเจ้าคุณเทพกวี​ ​ดำ​รงตำ​แหน่ง​เป็น​เจ้า​
คณะมณฑลปราจีนบุรี​ ​เมื่อปี​ ​พ​.​ศ​. 2472 ​ถึง​ ​พ​.​ศ​. 2482 ​ได้​ความ​ต้อง​กัน​เป็น​ส่วน​มากว่า​ ​พระพุทธโสธรที่ประดิษฐาน​อยู่​ใน​พระอุ​โบสถวัดโสธรปัจจุบันนี้​ ​เดิมที่​เสด็จปาฏิหารย์ลอยมา​
ตามกระ​แสน้ำ​จาก​ทางเหนือลำ​แม่น้ำ​บางปะกง​ ​เป็น​พระพุทธรูปปางสมาธิ​แกะ​ด้วย​ฝีมือหยาบ​ ​ๆ​ ​ขนาดหน้าตักกว้างประมาณ​ 2 ​คืบเศษ​ ​ไม่​มีพุทธลักษณะงดงามอะ​ไร​ ​ข้อที่ว่า​จะ​ลอยมา​จาก​แห่งหนตำ​บลไหน​ ​ตั้งแต่​เมื่อ​ใด​นั้น​ยัง​ไม่​มี​ใครสอบสวน​ได้​ความ​ ​ส่วน​ที่ว่าพระพุทธโสธรเสด็จลอยตามน้ำ​มาจริง​หรือ​ไม่​นั้น​ ​ท่านเชื่อว่าพระพุทธโสธรเสด็จลอยน้ำ​มาจริง​ ​เพราะ​เชื่อว่าลอยน้ำ​ได้​และ​ท่าน​ยัง​มี​เหตุผล​
พอ​จะ​สันนิษฐาน​ได้​ว่าพระพุทธโสธรองค์นี้​เป็น​พระที่​แกะสลัก​ด้วย​ไม้​โพธิ์​เข้า​ใจว่า​
สร้างขึ้น​โดย​ฝีมือชาวเวียงจันทร์​หรือ​ลาวนครเชียงรุ้ง​ ​หรือ​ลาวโซ่งอย่าง​ใด​อย่างหนึ่ง​ ​เพราะ​
เคยทราบมาว่า​ ​พวกลาวชาวพื้นเมืองที่กล่าวนี้นิยมสร้างพระพุทธรูป​ด้วย​ไม้​โพธิ์​
และ​น่าคิดว่าพระพุทธรูปเสด็จลอยน้ำ​มา​จาก​ทางเหนือลำ​แม่น้ำ​บางปะกง​ ​และ​ได้​สันนิษฐาน​
ต่อไปว่าน่า​จะ​ลอยมา​จาก​ตำ​บล​ใด​ตำ​บลหนึ่ง​ใน​ท้องที่อำ​เภอพนมสารคาม​ ​อยู่​ตอนเหนือ​
ของจังหวัดฉะ​เชิงเทราขึ้นไป​ ​โดย​ท้องที่สองฟากฝั่งแม่น้ำ​บางปะกง​ ​ตอนนี้​ ​ใน​ระหว่างสมัยรัชกาลที่​ 3 ​ใน​แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า​เจ้า​อยู่​หัว​ ​ตั้งแต่​ ​ปี​ ​พ​.​ศ​.2367 ​ถึง​ ​พ​.​ศ​.2394 ​ต่อ​เนื่อง​
กัน​มาจน​ถึง​ต้นสมัยรัชกาลที่​ 4 ​ใน​แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า​เจ้า​อยู่​หัว​ ​ประ​เทศไทยมีสงคราม​
ติดพัน​กับ​แคว้นต่าง​ ​ๆ​ ​ใน​ความ​อารักขาของอินโดจีน​ ​ฝรั่งเศส​ ​เช่น​ ​เมืองเวียงจันทร์​ ​เมืองเชียงตุง​ ​เมืองเชียงรุ้ง​ ​และ​ลาวโซ่ง​ ​เหล่านี้​เรื้อรัง​อยู่​ช้านาน​ ​เมื่อกองทัพฝ่าย​ใด​ตีดินแดนของข้าศึก​ได้​ ​ก็กวาดต้อน​ผู้​คนพลเมือง​
ตลอดจนเสบียงอาหาร​ ​ช้าง​ ​ม้า​ ​โค​ ​กระบือ​ ​และ​อาวุธยุทโธปกรณ์​ ​ใน​ดินแดนของข้าศึกที่ยึด​ได้​ ​ส่ง​เข้า​มาควบคุม​
รักษา​ไว้​ใน​ดินแดนของตน​ ​และ​ให้​ครอบครัวเชลยเหล่า​นั้น​ตั้งรกราก​ ​ทำ​มาหากิน​อยู่​เป็น​หมู่​เป็น​พวก​ ​อยู่​ภาย​ใน​
เขตที่อันมีกำ​หนดจนกว่าสงคราม​จะ​สงบ​ ​และ​มีการเจรจา​แลกเปลี่ยนเชลย​กัน​ใน​ภายหลัง​ ​โดย​เฉพาะ​
อย่างยิ่งท้องที่ตำ​บลต่าง​ ​ๆ​ ​ใน​อำ​เภอพนมสารคามนี้​ ​แต่ก่อนพื้นที่ราบ​เป็น​ป่า​ไม้กระยา​เลยนานาชนิด​ ​อุดมสมบูรณ์​ไป​ด้วย​แร่ธาตุต่าง​ ​ๆ​ ​เช่น​ ​แร่ตะกั่ว​ ​แร่​เหล็ก​ ​และ​อื่น​ ​ๆ​ ​อยู่​เป็น​อันมาก​ ​ใน​ท้องที่ที่กล่าวนี้​
​ีครอบครัวลาวเวียงจันทร์ตั้งรกรากทำ​มาหากิน​อยู่​หลายร้อยครัวเรือนตลอดมาจน​ถึง​ยุคปัจจ
ุบันก็​ยัง​ปรากฏว่า​
ครอบครัว​ ​ลูกหลานเหลน​ ​ตั้งถิ่นฐานบ้านช่องกลาย​เป็น​คนพื้นเมืองไปเลย​เข้า​ใจว่าครอบครัวที่ถูกกวาดต้อน​
มา​เป็น​เชลยนี้​เอง​ ​ได้​สร้างพระพุทธโสธรขึ้น​ด้วย​ไม้​โพธิ์​ ​หรือ​มิฉะ​นั้น​ก็อาจสร้างมา​จาก​เมืองเวียงจันทน์​
หรือ​แคว้นลาวแคว้น​ใด​แคว้นหนึ่งที่กล่าวข้างต้น​ ​เมื่อเจ้าของถูกกองทัพไทยกวาดต้อนเอาตัวมา​
ก็​เลยอาราธนาพระพุทธรูปองค์นี้มา​ด้วย​ ​เพื่อ​ช่วย​ป้อง​กัน​อันตรายภัยพิบัติอัน​จะ​พึงบังเกิดขึ้น​
เมื่อตน​ต้อง​พลัดพราก​จาก​บ้านเกิดเมืองมารดร​ ​ต่อมา​จะ​เป็น​โดย​บังเอิญ​หรือ​โดย​เจตนาอย่างไร​
ก็ยากที่​จะ​สันนิษฐาน​ ​พระพุทธโสธร​จึง​เสด็จลอยตามน้ำ​มาจน​ถึง​วัดแหลมหัววน​ ​ซึ่ง​เป็น​ที่ตั้ง​
กองพันทหารช่างที่​ 2 ​อยู่​ใน​ปัจจุบันนี้​ ​และ​ใน​ที่สุดพระสงฆ์​และ​ชาวบ้านไปพบพระพุทธโสธรลอยน้ำ​อยู่​ ​จึง​อาราธนาขึ้นมาประดิษฐาน​ไว้​ ​ณ​ ​พระอุ​โบสถวัดโสธร​ ​แล้ว​เลยถวายพระนามไปตามชื่อ​
ของวัดโสธรแต่​นั้น​เป็น​ต้นมา​
​ค​. ​คำ​บอกเล่าสืบต่อ​กัน​มา​ ​นอก​จาก​ที่ปรากฏ​ใน​ตำ​นานเรื่องหลวงพ่อพุทธโสธร​ ​คำ​กลอนประพันธ์​โดย​นายเพิ่ม​ ​อยู่​อินทร์​ ​ดัง​ได้​กล่าวมา​แล้ว​ใน​ตอนต้นว่า​ ​ได้​ปลอมแปลง​
เป็น​พระพุทธรูปเสด็จลอยมาตามลำ​น้ำ​บางปะกง​ ​เพื่อ​จะ​ลองดีคนทาง​ใต้​ ​นอก​จาก​นั้น​แล้ว​นายทองใบ​ ​ภู่พันธ์​ ​สำ​นักวัดพิกุลเงิน​ ​ยัง​ได้​กล่าว​ไว้​ใน​หนังสือพุทธประวัติของพระพุทธโสธร​ ​ซึ่ง​ได้​จาก​การสัมภาษณ์​ ​เจ้าคุณเทพกวี​ ​วัดเทพศิรินทร์​ ​ความ​อีกตอนหนึ่งว่า​ “….​ใน​ระหว่างที่ฉันดำ​รงตำ​แหน่งเจ้าคณะมณฑล​อยู่​ ​ทราบ​จาก​คนพื้นเมืองจังหวัดฉะ​เชิงเทราที่มีอายุสูง​ ​ๆ​ ​ว่าพระพุทธโสธร​นั้น​ ​เมื่อมีกิติศัพท์​
แพร่หลายเลื่องลือไปตามท้องถิ่นต่าง​ ​ๆ​ ​แล้ว​ ​พระภิกษุสงฆ์​ใน​วัดโสธร​ ​ตลอดจนทายกทายิกา​
​ผู้​มีศรัทธา​เลื่อมใส​ใน​อภินิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธโสธรต่างพา​กัน​ปริวิตกเกรงกล
ัวไปว่า​ ​สักวันหนึ่งอาจมี​ผู้​ลักลอบเอาพระพุทธโสธรไปเสียที่​อื่น​ ​ฉะ​นั้น​ ​จึง​พร้อมใจ​กัน​จัดสร้าง​
พระพุทธรูปจำ​ลองแบบไม้ธรรมดาขึ้น​ ​แล้ว​นำ​เอา​ไปสวมครอบปิดบังพระองค์จริง​
ของพระพุทธโสธร​ไว้​เสียภาย​ใน​ ​เพื่อ​เป็น​การพรางตา​ ​และ​ต่อมา​จะ​เป็น​ด้วย​เห็นว่า​
พระพุทธรูปจำ​ลอง​ด้วย​ไม้ที่ทำ​มา​แล้ว​ครั้งก่อน​ ​ยัง​ไม่​เป็น​การปลอดภัยเพียงพอ​
ที่​จะ​ป้อง​กัน​ไม่​ให้​โจร​ผู้​ร้ายมาลัก​หรือ​จะ​อย่างไร​ไม่​ปรากฏชัด​ ​จึง​ได้​มีการทำ​พระพุทธรูป​
แบบไม้ชนิดเดียว​กับ​ครั้งก่อน​ ​แต่มีขนาด​ใหญ่​กว่าขึ้นอีก​เป็น​ครั้งที่สอง​ ​และ​แล้ว​ก็ปฏิบัต​
ิ​เช่นเดียว​กับ​ที่ทำ​มา​เมื่อคราวแรก​ ​คือ​ ​เอาสวมครอบซ้อนพระพุทธรูปจำ​ลองครั้งแรก​
ลงไปอีกชั้นหนึ่ง​ ​ใน​กาลต่อมา​จะ​เกิด​ความ​คิดพิ​เศษอะ​ไรขึ้นมากกว่าครั้งก่อน​ ​ๆ
​จึง​ปรากฏว่าคราวนี้​ได้​ใช้​ปูนพอกทับพระพุทธรูปจำ​ลองเมื่อครั้งที่สองเสียแน่นหนา​ใหญ่​โ

จะ​ประจักษ์​แก่​ผู้​ที่​ไปนมัสการปัจจุบันนี้ว่า​ ​พระพุทธโสธรมีขนาดหน้าตักกว้าง​ถึง​ 3 ​ศอกเศษ​
ซึ่ง​ความ​จริงพุทธศาสนิกชนรุ่นเรา​ ​ๆ​ ​หา​ได้​เคยเห็น​ ​พระพุทธโสธรพระองค์จริง​ไม่​”
​ความ​ศักดิ์สิทธิ์​และ​อภินิหารของหลวงพ่อพระพุทธโสธร​ ​ขจรขจายไป​ทั่ว​ ​เมื่อ​ใด​ที่​เกิด​
ความ​สิ้นหวัง​หรือ​ทุกข์ร้อน​ใน​ชีวิต​ ​ชาวบ้านมัก​ใช้​วิธีบนบานศาลกล่าว​กับ​ “​หลวงพ่อ​” ​ที่ตนเคารพนับถือ​ ​เพื่อ​ให้​ได้​สิ่งอัน​ต้อง​ประสงค์​หรือ​เพื่อขจัด​ความ​ทุกข์​นั้น​ ​ครั้นเมื่อตน​ได้​สิ่งอันประสงค์​ ​ความ​เลื่อมใส​
ศรัทธาก็ยิ่งเพิ่มทวี​ ​จนองค์หลวงพ่อกลาย​เป็น​ศูนย์รวมจิตใจ​และ​ที่พักพิงของคนไทย​ทั่ว​ทั้ง​ประ​เทศ​
……​ตามหนังสือประวัติหลวงพ่อโสธร​ ​ที่ท่านพระราชเขมากร​ (ก่อ​ ​เขมทสสี​ ​ป​.​ธ​. 7) ​ตเจ้าอาวาสวัดโสธร​ได้​เขียน​ไว้​ (พิพิธวิหารกิจ​และ​คณะ​, 2542 : 62) ​มี​ความ​ตอนหนึ่งว่า​เมื่อหลวงพ่อ​ได้​มา​
ประดิษฐาน​อยู่​ใน​วัดโสธร​แล้ว​ ​ประชาชนชาวเมืองนับถือมาก​ ​กล่าว​กัน​ว่า​ถ้า​ได้​บอกหลวงพ่อ​แล้ว​สินค้าก็ซื้อง่าย​
ขายคล่อง​เป็น​เทน้ำ​เทท่า​ ​ครั้นต่อมา​เมื่อการคมนาคมทางบกสะดวกขึ้น​จึง​มี​ผู้​คนไปนมัสการมากขึ้น​ ​ผู้​ใด​เจ็บไข้​ได้​ป่วยก็มาขอ​ความ​คุ้มครองรักษา​จาก​หลวงพ่อโสธร​ ​มัก​จะ​ได้​ผลสม​ความ​ปรารถนา​เป็น​ส่วน​มาก​ ​มูลเหตุอีกอันหนึ่งที่กิตติศัพท์​ความ​ศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโสธร​ได้​แผ่​ไพศาลไป​ใน​ท้อง
ที่ต่างเล่า​กัน​ว่า​ ​ใน​สมัยหนึ่งบ้านโสธรเกิดทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพ​ ​ฝนแล้ง​ ​ข้าวกล้า​ใน​นา​ ​ผลไม้​ใน​สวนเหี่ยวแห้ง​ ​สัตว์พาหนะ​เกิดโรคระบาดล้มตาย​ ​ผู้​คน​ทั้ง​เด็ก​และ​ผู้​ใหญ่​เป็น​โรคฝีดาษต่างพา​กัน​อพยพหนี​ ​ทิ้งบ้านช่องเอาตัวรอด​ ​ใน​กาลครั้ง​นั้น​ยัง​มีบุรุษหัวหน้าครอบครัวหนึ่ง​ ​เมื่อเกิดโรคระบาดนี้ขึ้น​ ​ตนหาที่พึ่ง​ไม่​ได้​ก็หัน​เข้า​หาพระ​เป็น​สรณะที่พี่งที่ยึดถือ​จึง​ไปนมัสการอธิษฐานบนบานข
อ​ความ​
คุ้มครองรักษา​จาก​หลวงพ่อโสธร​ ​ใน​พระอุ​โบสถ​ ​เอาขี้ธูปบ้าง​ ​ดอกไม้​เหี่ยวแห้งที่บูชา​แล้ว​บ้าง​
​กับ​ทั้ง​อธิษฐานหยดเทียนขอน้ำ​มนต์​จาก​ ​หลวงพ่อบ้าง​แล้ว​มากิน​ ​มาทา​และ​อาบ​ ​ปรากฏว่า​
ได้​ผลสม​ความ​ปรารถนา​โรคหาย​เป็น​ปกติ​ ​ด้วย​ความ​ดี​ใจที่​โรคหายสม​ความ​ประสงค์​ ​จึง​จัด​ให้​มีการสมโภชแก้บนถวาย​ ​แต่​นั้น​มากิตติศัพท์​ความ​ศักดิ์สิทธิ์ของ​ ​หลวงพ่อโสธร​
ก็​แพร่สะพัดไป​ใน​ที่ต่าง​ ​ๆ​ ​กว้างขวางมากขึ้น​ ​จน​เป็น​ที่​เลื่องลือนับถือ​กัน​ว่า​ “​หลวงพ่อโสธรศักดิ์สิทธิ์​” ​ผู้​ใด​ปรารถนาสิ่ง​ใด​ ​ที่ชอบ​ ​ที่ควร​ ​ท่านก็ประสิทธิ์ประสาท​ให้​สม​ความ​ประสงค์​ ​ความ​ศักดิ์สิทธิ์​
ของหลวงพ่อมีมากมายเหลือ​จะ​พรรณนา​ให้​หมดสิ้น​ได้​ ​จน​ใน​กาลต่อมา​ถึง​รัชกาลที่​ 5 ​พระบาทสมเด็จ​
พระจุลจอมเกล้า​เจ้า​อยู่​หัว​ ​มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ​ ​ให้​ข้าราชการ​ใน​จังหวัดฉะ​เชิงเทรา​เข้า​ถือ​
น้ำ​พิพัฒน์สัตยา​ใน​พระอุ​โบสถอัน​เป็น​ที่ประดิษฐานองค์หลวงพ่อโสธร​ ​ซึ่ง​แต่​เดิมมากระทำ​
ที่วัดปิตุลาธิราชรังสฤษดิ์​ (วัดเมือง) ​กระทำ​ต่อ​ ​ๆ​ ​มาจนสิ้นสมัยการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์​
​ความ​ศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโสธร​ ​แม้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า​ ​กรมพระยาวชิรญาณวโรรส​ ​ก็​ได้​ทราบกล่าว​ไว้​ใน​ขณะ​เสด็จตรวจคณะสงฆ์​ใน​มณฑลปราจีนบุรี​ ​พ​.​ศ​. 2459 ​ว่า​
“………​พระประธาน​ใน​พระอุ​โบสถวัดนี้​ ​เป็น​พระศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวจังหวัดนี้นับถือมาก​ ​มีคนมานมัสการ​ไม่​ขาด​ ​และ​มีการไหว้ประจำ​ปี​ ​กำ​หนด​ใน​วันเพ็ญเดือน​ 12 ​ถึง​วันนี้​ ​มี​เรือมา​เป็น​อันมาก​ ​นอก​จาก​ไหว้พระ​ ​มีการออกร้าน​และ​แข่งเรือ​……” (พิพิธวิหารกิจ​และ​คณะ​, 2542 : 63)
​จาก​ความ​เชื่อของชาวพุทธ​ ​หลวงพ่อพุทธโสธรเปรียบเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทรอันยิ่ง​ใหญ่​
ให้​สรรพสัตว์​ได้​พำ​นักอาศัย​ ​กางกั้นสรรพภัยอันตราย​และ​ความ​เดือดร้อนลำ​เค็ญ​ ​ดล​ให้​เกิด​ความ​
อยู่​เย็น​เป็น​สุข​ ​เป็น​แพทย์​ผู้​วิ​เศษพยาบาล​ผู้​อาพาธ​ให้​หายขาด​ ​เป็น​สรณะที่พึ่งพาของหมู่พระบริษัท​
ผู้​ถูกภัยคุกคาม​ ​เป็น​ผู้​พยากรณ์ทำ​นายโชคชะตาวาสนา​ ​เป็น​ผู้​บันดาล​ให้​ทุกท่าน​ผู้​กราบหลวงพ่อ​
เป็น​สัพพัญญู​ผู้​สำ​เร็จวิชา​ทั้ง​ทางโลก​และ​ทางธรรม​ ​และ​เป็น​บรมครูของเทวดา​และ​มนุษย์​

ปล. http://luangpoosupa.invisionzone.com/index.php?showtopic=3411/color]

244
ไหนๆ ก็ต้องผ่าน วัดกลางบางพระ อยู่แล้ว ขอเพื่อนสมาชิก แวะเวียนเข้าไปชมบารมี ของหลวงพ่อพุฒ วัดกลางบางพระ
ซะหน่อย ท่านเป็น ศิษย์ ร่วมอาจารย์ กับ หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ ของเรา แต่ท่านมีอายุมากกว่า และเป็น ศิษย์รุ่นพี่
ของหลวงพ่อ ของเรา และมีวัตถุมงคลมากมาย หลายอย่าง ลองเข้าไปชมดู

ประวัติ หลวงพ่อพุฒ สุนทโร วัดกลางบางพระ

พระครูสุนทรวุฒิคุณ (หลวงพ่อพุฒ สุนทโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดกลางบางพระ ตำบลบางพระ อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม

นามเดิมนั้นท่านมีชื่อว่า พุฒ นามสกุล หาญสมัย เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2453 ตรงกับวันศุกร์ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 12 ปี จอ ณ บ้านเลขที่ 8 หมู่ที่ 4 ตำบลบางพระ อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม บิดาของท่านชื่อ นายขำ หาญสมัย มารดาของท่านชื่อนางปาน หาญสมัย ซึ่งท่านมีพี่น้องด้วยกัน 5 คน คือ 1. นางสาวบุญรอด หาญสมัย (ถึงแก่กรรมแล้ว) 2. พระครูสุนทรวุฒิคุณ (หลวงพ่อพุฒ สุนทโร) 3. นางปุ่น นาคละมัย 4. นายปั่น หาญสมัย 5. นางบุญนาค กลั่นสนิท (ถึงแก่กรรมแล้ว)

การศึกษาเล่าเรียนนั้น หลวงพ่อพุฒ ท่านได้ความรู้ติดตัวและได้เรียนมาจากวัด ซึ่งต่อมาหลวงพ่อพุฒได้จบการศึกษาสายสามัญ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนวัดบางพระ อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ครอบครัวของท่านแต่เดิมมีอาชีพทำนา

เมื่อท่านอายุได้ 20 ปี เข้ารับการคัดเลือกของราชการทหารให้เข้ารับราชการ หรือที่เราเรียกกันว่า ?เกณฑ์ทหาร? ในที่สุดท่านก็ต้องเข้ารับใช้ชาติเป็นทหารรักษาพระองค์อยู่ถึง 2 ปี ได้กลับมาช่วยครอบครัว บิดา มารดา ของท่านทำงานอย่างขยันขันแข็งจนผู้คนในหมู่บ้าน และละแวกใกล้เคียง ชื่นชมยินดีส่งเสริมให้การทำงานอย่างจริงจังของท่าน ชีวิตความเป็นอยู่ก็อยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีงามจนชาวบ้านในท้องถิ่นต่างเสนอให้ทางราชการแต่งตั้งท่านเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 ตำบลวัดละมุด อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม

ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2489 ผู้ใหญ่พุฒก็ตัดชีวิตทางโลกเข้าสู่ร่มกาสาวพัตรในรูปพระสงฆ์ ณ พัทธสีมา วัดบางพระ ตำบลบางแก้วฟ้า อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของท่าน โดยมีเจ้าอธิการหิ่ม อินทโชโต เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ทองอยู่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์เปลี่ยน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ โดยได้รับฉายาว่า สุนทโร

เมื่อหลวงพ่อพุฒ หรือพระภิกษุพุฒในสมัยนั้น อุปสมบทใหม่ ๆ ท่านก็มีความมุ่งมั่นในการศึกษาพระธรรมวินัย และเมื่อท่านมีโอกาส ท่านก็ศึกษาตำรับตำราต่าง ๆ ซึ่งค่อนข้างจะแปลกกว่าพระรูปอื่น เพราะท่านไม่ชอบปล่อยเวลาให้ล่วงไปอย่างไร้ค่า ซึ่งตำรับตำราในสมัยนั้นก็หายากไม่มีมากมายเหมือนในสมัยปัจจุบัน หนังสือที่ท่านให้ความสนใจเป็นพิเศษส่วนมากก็จะเป็นหนังสือประเภทธรรมะ และตำรายาแผนโบราณ และในปีแรกนั้น พ.ศ. 2489 ท่านก็สามารถสอบนักธรรมชั้นตรีได้ ต่อมาอีก 2 ปี คือในปี พ.ศ. 2491 ท่านก็สามารถสอบนักธรรมชั้นโทและชั้นเอกได้มาโดยลำดับ

หลังจากที่หลวงพ่อพุฒได้อุปสมบทและศึกษาพระธรรมวินัย ตลอดจนวิชาคาถาอาคมต่าง ๆ รวมทั้งได้ออกธุดงค์ได้เพียง 6 พรรษา ในปี พ.ศ. 2495 เจ้าอาวาสองค์ที่ 6 แห่ง วัดกลางบางพระได้มรณภาพลงตามสังขาร ทางคณะสงฆ์ ชาวบ้าน ตลอดจนกรรมการได้นิมนต์หลวงพ่อพุฒ ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสของวัดกลางบางพระเป็นองค์ที่ 7 สืบต่อมา ได้รับนามว่า ?พระอธิการพุฒ? ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2495 หลังจากที่พระอธิการพุฒ ในสมัยนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสของวัดกลางบางพระ ก็ได้ทำการพัฒนาวัด บูรณะปฏิสังขรณ์ เรื่อยมา โดยได้เริ่มมีการวางผังวัดใหม่เพื่อสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ ซึ่งในสมัยนั้นวัดเป็นที่ลุ่มพอสมควร ต้องทำการถมดินเป็นจำนวนมาก โดยได้รับแรงศรัทธาจากชาวบ้านในสมัยนั้น ซึ่งต้องใช้แรงงานคน ชาวบ้านก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ต่อมาได้ทำการซ่อมแซมบูรณะพระอุโบสถขึ้นใหม่อีกครั้ง เพราะชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ซึ่งในอดีตพระอธิการดาได้ทำการบูรณะซ่อมแซมมาแล้ว 1 ครั้ง เมื่อบูรณะพระอุโบสถเป็นที่เรียบร้อยแล้วในปี พ.ศ. 2497 ก็ได้ดำเนินการก่อสร้างศาลาการเปรียญของวัดกลางบางพระ ซึ่งใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างประมาณ 3 ปีเศษ

ในด้านการศึกษานั้น หลวงพ่อได้รับการแต่งตั้งให้ดูงานด้านการศึกษามาโดยลำดับ คือ พ.ศ. 2496 เป็นครูสอนพระปริยัติธรรม เป็นเจ้าสำนักเรียนวัดกลางบางพระ เป็นกรรมการสอบธรรมสนาม หลวง พ.ศ. 2500 เป็นกรรมการอุปถัมภ์โรงเรียนวัดกลางบางพระ พ.ศ. 2515 เป็นกรรมการอุปถัมภ์โรงเรียนสหศึกษาบาลี องค์พระปฐมเจดีย์ พ.ศ. 2529 เป็นประธานหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล พ.ศ. 2530 เป็นหน่วยรับพิเศษของเจ้าคณะใหญ่หนกลาง
วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2542 หลวงพ่อมีอาการเหนื่อยและอ่อนเพลีย จึงไปนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลห้วยพลู ต่อมาในวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2542 อาการของหลวงพ่อยัง ไม่ดีขึ้นระบบการทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย เริ่มไม่มีประสิทธิภาพ รุ่งเช้าวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2542 เวลาประมาณ 08.45 น. หลวงพ่อได้จากพวกเราไปด้วยอาการอันสงบ คณะศิษยานุศิษย์ได้นำศพของหลวงพ่อกลับมายังวัดกลางบางพระและได้รับพระราชทานน้ำสรงศพ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2542 เวลา 17.00 น. อย่างสมเกียรติท่ามกลางความอาลัยของคณะศิษยานุศิษย์ สิริรวมอายุของหลวงพ่อได้ 88 ปี 2 เดือน 8 วัน

จากคุณงามความดีที่ท่านได้สร้างสมปฏิบัติมา จึงได้รับพระราชทานสมศักดิ์ตามลำดับ คือ
1. ได้รับพระราชทานเป็นพระครูชั้นประทวน ในนามพระครูพุฒ สุน?ทโร เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2509 อายุ 54 ปี พรรษา 20
2. ได้รับพระราชทานเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ในนามพระครูสุนทรวุฒิคุณ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2513 อายุ 58 ปี พรรษา 24
3. ได้รับพระราชทานเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2518 อายุ 63 ปี พรรษา 29
4. ได้รับพระราชทานเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2534 อายุ 80 ปี พรรษา 45
5. ได้รับตราตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์จากสมเด็จพระพุทธโฆษจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536 อายุ 82 ปี พรรษา 47

วัตถุมงคลที่ท่านสร้างไว้มีมากแต่ที่จะพอนำมากล่าวได้ก็คือ
- เหรียญรุ่นแรก สร้างเมื่อ พ.ศ. 2505 แจกเปิดโรงเรียนวัดกลางบางพระ เมื่อวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2509 เป็นเหรียญรูปทรงเสมาหลวงพ่อหน้าตรงครึ่งองค์ เห็นสังฆาฏิทำด้วยสตางค์แดงผสมทองแดง และอีกชนิดหนึ่งทำด้วยทองเหลืองฝาบาตร ซึ่งเป็นพิมพ์เดียวกัน หน้าเหรียญเขียนว่า ?พระอธิการพุฒ สุน?ทโร? ซึ่งในปัจจุบันหายากพอสมควร
- เหรียญรุ่นที่สองสร้างเมื่อ พ.ศ. 2513 เมื่อครั้งรับพระราชทานเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี เป็นเหรียญเต็มองค์นั่งขัดสมาธิ เขียนใต้ฐานว่า ?พระครูสุนทรวุฒิคุณ? บนเขียนว่าวัดกลางบางพระ
- เหรียญรุ่นที่สามเป็นเหรียญเสมา สร้างเมื่อ พ.ศ. 2522 เป็นเหรียญรูปหล่อหลวงพ่อครึ่งองค์ สร้างเป็นที่ระลึกในงานฉลองพระครูสัญญาบัตรชั้นโท
- เหรียญรุ่นที่สี่เป็นเหรียญกลมหลวงพ่อครึ่งองค์ด้านหลังเป็นหนังสือ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2528
- เหรียญรุ่นที่ห้าเป็นเหรียญเสมารูปหลวงพ่อเต็มองค์ นั่งถือไม้เท้า ด้านหลังเขียน ?ที่ระลึกในงานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นชั้นเอก? สร้างเมื่อ พ.ศ. 2533
- เหรียญรุ่นที่หกเป็นเหรียญเสมาหลวงพ่อเต็มองค์นั่งทับปืนและลูกระเบิด ซึ่งเป็นเหรียญยอดนิยมที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ?เหรียญปืนไขว้? หรือ ?เหรียญนั่งทับปืน? สร้างเมื่อ พ.ศ. 2533
- เหรียญรุ่นที่เจ็ดเป็นเหรียญเสมารูปหลวงพ่อครึ่งองค์ด้านหน้าเขียนว่า ?หลวงพ่อพุฒ อายุ 80 ปี? สร้างเมื่อ พ.ศ. 2533
- เหรียญรุ่นที่แปดเป็นเหรียญรูปไข่หลวงพ่อนั่งเต็มองค์ถือไม้เท้า ด้านหลังเขียนว่า ?ที่ระลึกในงานฉลองพระเกตุจุฬามณี? สร้างเมื่อ พ.ศ. 2534
- เหรียญรุ่นที่เก้าเป็นเหรียญเสมาหล่อปืนไขว้ ?นั่งทับปืน? มีทั้งเนื้อเงิน เนื้อนวะ และเนื้อทองแดง สร้างเมื่อ พ.ศ. 2533
- เหรียญรุ่นที่สิบเป็นเหรียญกงจักรหลวงพ่อนั่งทับปืน สร้างเมื่อ พ.ศ. 2533
- นอกจากนี้ยังมีวัวธนูบูชาและห้อยคอ ราหูอมจันทร์ แกะจากกะลาตาเดียวทั้งที่เป็นลูกและห้อยคอ พระผงรุ่นต่าง ๆ ตะกรุด สี และอื่น ๆ อีกมากที่หลวงพ่อท่านได้สร้างไว้ให้ลูกศิษย์ได้บูชา

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

245
บทความ บทกวี / คางคก-รู้ใจตนเอง
« เมื่อ: 08 ก.พ. 2550, 07:01:45 »
                                                                                   คางคก-รู้ใจตนเอง

คางคกตัวหนึ่งเกิดมาก็นานแล้วนะ ใก้ลเวลาจะตายแล้วมั้งท่า มันอาศัยอยู่ใค้ถุนของศาลาวัดหนี่ง ขณะที่มันนอนฝันหวานถึงหน้าแฟนสาวที่นัด

ว่าจะไปหาในวันนั้นอยู่ "กินข้าวโว้ยกินข้าว" คิดว่าเสียงแฟนสาวชวนกินอาหารที่ไหนได้กลับเป็นเสียงของสามเณรรูปหนี่งกำลังเอาข้าวให้ไก่กิน

มันเห็นไก่กำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั้นก็พลันนีกขี้นมาว่า "หากกูได้เป็นไก่คงดี เพราะไก่ไม่ต้องทำอะไรเลยสามเณรก็เอาอาหารมา

ให้กิน ยังกะเราเป็นนายของเณร "ว้าว!...หนีเร็วพวกเรา.." เสียวไก่ร้องบอกเพื่อนที่กำลังกินอาหารอยู่ในขณะที่ไอ้ด่าง...หมานักเลงประจำวัด

กำลังวิ่งมาเพื่อแย่งข้าวกิน ไก่ทุกตัวต้องวิ่งหนีอย่างฉุกละหุกเกือบเอาชีวิตไม่รอด เพราะไก่ทุกตัวต่าวรู้ว่าไอ้ด่างมันเอาจริง ไม่ได้ขู่เล่น คางคก

เห็นดังนั้นก็พลันนึกขึ้นว่า ว้าว..
เป็นหมาดีกว่าหวะ เก่งกว่าไก่อีกตั้งเยอะ เณรเอาข้าวให้ไก่หมาก็แย้งกินได้ เณรเอาข้าวให้หมา ไก่แย่งกินไม่ได้ เป็นหมาดีกว่า ในขณะที่ที่มัน

กำลังนึกอยู่นั่น ก็ได้ยิงเสียงไอ้ด่างร้องขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า "โอ้ย..เจ็บโว้บ...เจ็บ" ก็เจ็บหนะสิ ไอ้ด่างมันโดนเด็กวัดเตะ โทษมาแย่ง

อาหารไก่ เลยโดนเด็กวัดอัดไปหลายที ซี่โครงแทบหัก ไอ้ด่างไปนอนครางอยู่ตั้งนาน ไม่ไหวเว้ย...นึกว่าเป็นหมาจะแน่
ยังโดนเด็กวัดอัดจนได้ แย่กว่าเด็กวัดนี่หว่า เป็นเด็กวัดดีกว่า ตอนนั้นมันอยากเป็นเด็กวัดมาก เด็กวัดไปไหนมันก็พยายามตามแอบดูเพราะ

ความชื่นชม ช่วงบ่ายของวันนั้น เด็กวัดไปนอนที่ศาลาท่าน้ำ มะนก็แอบไปดูด้วย แต่เผอิญที่ตนงนั้นแมลงวันเยอะมากแมลงวันหลายตัวได้บิน

ไปกวนเด็กวัดที่นอนอยู่ เด็กวัดบอกว่า ไม่ไหวแล้วโว้ย คนจะนอนกวนอยู่ได้ แล้วก้เก็บเสื่อเดินไปหาที่นอนใหม่ คางคกเห็นดังนั้นก็คิดว่า

อะไร...เด็กเอ้ย..นึกว่าแน่ที่แท้แพ้แมลงวัน ว้าสู้แมลงวันก็ไม่ได้
เป็นแมลงวะนดีกว่าบินเก่งชอบอะไรไม่ชอบชอบขี้งี้...แหมเท่ดีไม่เหมือนใครเป็นแมลงวันดีกว่า"อ้าว!...นึกว่าแน่ โดนกินจนได้" คำอุทานอย่าง

ตกใจของเจ้าคางคกที่เผอิญแมลงวันตัวหนึ่งบินเข้ามาใก้ลๆ แล้วมันแค่ตวัดลิ้นเท่านั้น แมลงวันก็กลายเป็นอาหารอันโอชะของมัน เฮ้อ...เรา

หลงผิดไปตั้งนาน นึกว่านั้นก็เก่งนี่ก็เก่ง...ที่ไหนได้ สู้เราไม่ได้ซักอย่าง เป็นตัวเรคางคกจอมตะปุบนี่แหละดีที่สุดในโลกแล้ว คระบเชื่อคางคก

เถอะเป็นอะไรไม่สู้เป็นตัวเราหรอกของมำตัวของเราให้ดีที่สุดเป็นพอ


โดย ฐิติพงศ์

คัดลอกโดย  โยคี

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

246
ธรรมะ / แจ้งข่าว ผู้มีศัทธา
« เมื่อ: 08 ก.พ. 2550, 04:00:59 »
แจ้งข่าวประชาสัมพันธ์ ผู้ที่มีศัทธา จังหวัดเชียงใหม่ และใกล้เคียง

++ งานอธิษฐานจิต เข้านิโรธกรรมปีที่ 14 ครูบาน้อย วัดศรีดอนมูล

?ครูบาน้อย เตชปญฺโญ? วัดศรีดอนมูล ต.ชมภู อ.สารภี จ.เชียงใหม่ พระสุปฏิปันโน แห่งล้านนาไทย ผู้เจริญรอยตามแนวทางปฏิบัติธรรมของครูบาเจ้าศรีวิชัยนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ของล้านนาไทย กำหนดอธิษฐานจิต เข้านิโรธกรรมปีที่ 14 ตรงกับวันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา 07.09 น. และกำหนดอธิษฐานจิตออก จากนิโรธกรรมวันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา 07.09 น.

ขอเชิญสาธุชนและคณะศิษยานุศิษย์ร่วมงานบุญวันออกนิโรธกรรม โดยภาคเช้า เมื่อออกจากนิโรธกรรมแล้วครูบาน้อยจะถวายพานพุ่มสักการบูชารูปเหมือนครูบาเจ้าศรีวิชัยและรูปเหมือนครูพรหมจักรสังวร ณ ศาลาบูรพาจารย์วัดศรีดอนมูล หรือศาลา 120 ปี ครูบาเจ้าศรีวิชัยจากนั้นพระสงฆ์ 9 รูป ให้ศีลให้พรแก่บรรดาพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมทำบุญตักบาตรครูบาน้อยแสดงธรรม เชิญชวนสาธุชนเจริญภาวนา

หลังจากนั้นครูบาน้อย ครูบาผัดจะออกบิณฑบาตอาหารแห้งพร้อมพระสงฆ์ทั้ง 9 รูป เวลา 10.00 น. พระเถรานุเถระ จำนวน 108 รูป เจริญพระพุทธมนต์ประกอบพิธีสืบชะตาหลวงแบบล้านนาไทยเต็มรูปแบบ พระคณาจารย์เรืองเวทวิทยาคมนั่งอธิษฐานจิตตลอดพิธี เสร็จพิธีสืบชะตาหลวงก็จะเป็นพิธีเปิด อาคารบารมี 9 คณาจารย์ ถนน 9 คณาจารย์ ห้องน้ำ ห้องสุขา สร้าง เพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสที่ครูบาผัด วัดศรีดอนมูลมีอายุครบ 82 ปี และร่วมเฉลิมพระเกียรติในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีและในกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสร็จพิธีแล้วขอเชิญรับประทานอาหารเจจากโรงทานที่เตรียม ไว้รอบบริเวณวัด ภาคบ่ายจะเป็น การบำเพ็ญกุศลทอดผ้าป่าสามัคคีเพื่อสมทบทุนสร้างเจดีย์ 9 คณาจารย์ มอบทุนการศึกษาให้เยาวชน มอบข้าวสารอาหารแห้งให้สถานสงเคราะห์ต่างๆ เพื่อเป็นการสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ยากไร้ โดยครูบาน้อยได้บริจาคเป็นทานติดต่อ กันมาทุกปี

ครูบาน้อย วัดศรีดอนมูล อธิษฐานจิตเข้านิโรธกรรม ติดต่อกันมา ปีนี้นับเป็นปีที่ 14 การอธิษฐานจิตเข้านิโรธกรรม บำเพ็ญภาวนาตามแบบบูรพาจารย์ พระอริยสงฆ์ของชาวล้านนาไทย ได้แก่ ครูบา เจ้าศรีวิชัย ท่านได้กำหนดแนวทางไว้ ครูบาน้อยยึดถือเป็นแบบอย่างปฏิบัติธรรมตามแนวทางของท่านได้อย่างเคร่งครัด สม่ำเสมอ ไม่มีขาดตกบกพร่อง การเข้านิโรธกรรมเป็นแนวทางการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง ของพระสุปฏิปันโนผู้ประกอบไปด้วยความมักน้อย สันโดษ วิเวก ปรารถนาในการฝึกหัดขัดเกลากิเลส ปฏิบัติเพื่อให้ถึงพร้อมในหลักธรรมคำ สอนอย่างแท้จริง ครูบาเจ้าอาวุโสของภาคเหนือหลายรูปได้อธิษฐานจิตเข้านิโรธกรรมอยู่เสมอ นับตั้งแต่ ครูบาเจ้าศรีวิชัย ครูบาพรหมมา พรหมจกฺโก ครูบาคำปัน ครูบาหล้าตาทิพย์ ครูบาเกษม เขมโก ครูบาบุญชุ่ม เป็นต้น การอธิษฐานจิตเข้านิโรธกรรมต้องปลีก ตัวไปจากหมู่คณะ ไม่ติดต่อสื่อสารกับใคร บำเพ็ญภาวนาอยู่ในสถานปฏิบัติธรรมตาม ที่กำหนด งดฉันภัตตาหาร ดื่มเฉพาะน้ำที่บรรจุอยู่ในบาตรขนาดใหญ่เพื่อรักษาสภาพร่างกายและระบบต่างๆ ให้เป็นปกติ โดยมีพลังจิตตานุภาพเป็นหลักสำคัญในการเข้าออกนิโรธกรรม ในวันเข้านิโรธกรรม จะมีการนิมนต์พระสงฆ์ 14 รูป มาเป็นสักขีพยานตรวจสอบสถานปฏิบัติธรรมเจริญชัยมงคลคาถา และทำพิธีปิดประตูสถานปฏิบัติธรรม สถานปฏิบัติธรรม ดังกล่าวมีขนาดกว้าง 5 วา ยาว 5 วา มุงด้วยฟาง อยู่ในเขตราชวัตรฉัตรธง 7 ชั้นห้ามผู้คนเข้าออกระหว่างเข้านิโรธกรรม

ทุกปีที่ครูบาน้อยอธิษฐานจิตเข้านิโรธกรรม จะมีประชาชนทั่วไปมาร่วมอนุโมทนาบุญ กุศลโดยเฉพาะวันออกนิโรธกรรม มีผู้คนมาเฝ้ารับการออกนิโรธกรรมจำนวนหลายพันคน หรือจะกล่าวว่านับหมื่นคนก็ได้ มีทั้งชาวไทย ชาวต่างประเทศทุกอาชีพ ทุกเพศ ทุกวัย แม้กระทั่งชาวเขาที่เลื่อมใสศรัทธาการเข้านิโรธกรรมของครูบาน้อย โดยผู้คนเหล่านี้จะพากันมาร่วมงานนิโรธกรรมติดต่อกันทุกปี ทั้งนี้เพราะเชื่อตามคตินิยมตั้งแต่ครั้งโบราณกาลที่กล่าวไว้ว่า ผู้ใดมีโอกาสได้ทำบุญกับพระที่ออกนิโรธสมาธิจะมีอานิสงส์มหาศาล ทำให้พ้นจากความยากจนเข็ญใจ มีโชคลาภ ได้ทรัพย์สินเงินทอง ถึงพร้อมด้วยมนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ แคล้วคลาดปลอดภัยจากพิบัติภัยทั้ง หลายทั้งปวง ได้รับแต่ความเป็นสิริมงคลถึงพร้อมด้วยความเจริญรุ่งเรืองตลอดกาล พิธีอธิษฐานจิตเข้านิโรธกรรมนับเป็นพิธีสำคัญมีความ น่าเลื่อมใสศรัทธา มีความ ศักดิ์สิทธิ์ด้วยบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ยากที่ผู้ใดจะประพฤติปฏิบัติได้เสมอเหมือนครูบาน้อย เตชปญฺโญ เพราะวัตรปฏิบัติของท่านเคร่งครัดมาก ท่านฉันภัตตาหารวันละ 1 มื้อ เป็นอาหารเจ ตื่นจากจำวัดประมาณตี 4-5 นั่งสมาธิ เดินจงกรม เจริญภาวนา ออกบิณฑบาตโปรดญาติโยมบริเวณวัด หลังจากฉันภัตตาหารเพลก็เจริญภาวนา นั่งสมาธิ เดินจงกรม เป็นกิจวัตรประจำวัน มีผู้เพียร พยายามจะประพฤติปฏิบัติธรรมในลักษณะที่อ้างว่าได้รูปแบบแนวทางไปจากครูบาน้อย วัดศรีดอนมูล บ้างก็แอบอ้างว่าเป็นศิษย์ครูบาน้อย ประกอบพิธีเข้านิโรธกรรมเพื่อหวังประโยชน์อื่นๆ อันไม่ใช่แนวทางที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยท่านกำหนดไว้ เรื่องนี้ครูบาน้อยท่านฝากให้ช่วยกันสอดส่องดูแลเพื่อความมั่นคงในการปฏิบัติธรรมตามรูปแบบ ของบูรพาจารย์

ครูบาน้อยจึงเป็นภิกษุที่มุ่งมั่นแน่ว แน่ในการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานอยู่เสมอ ทั้งศึกษาจากหลวงพ่อครูบาผัดเองและ ศึกษาจากหนังสือที่ผู้รู้ต่างๆ ได้เขียนไว้สำนักปฏิบัติที่โด่งดังในภาคเหนือ มากที่สุด คือ พระครูบาเจ้าศรีวิชัยวัดบ้านปาง อ.ลี้ เป็น และ ครูบาพรหมมา พรหมจักโก วัดพระพุทธบาทตากผ้า อ.ป่าซาง ซึ่งเป็นศิษย์เอกของครูบา เจ้าศริชัย ครูบาน้อยได้ฝากตัว เป็นศิษย์ศึกษาในเรื่องของกัมมัฏฐานจากหลวงพ่อครูบาพรหมมา พรหมจักโก ซึ่ง ปัจจุบันนี้ท่านจะเรียกว่า อาจารย์ ใหญ่ ครูบาอาจารย์อีกรูปหนึ่งที่ประสิทธิ์ ประสาทวิชาความรู้ให้ครูบาน้อยก็คือหลวงปู่หล้าตาทิพย์ ( พระครูจันทสมานคุณ ) ได้เมตตาสอนครูบาน้อยเรื่องการสืบ ชะตาแบบล้านนาไทย การทำน้ำพระพุทธมนต์ โองการธรณีสารตำรับล้านนาไทยซึ่งครูบา น้อยได้ใช้สงเคราะห์ประชาชนอยู่เป็นประจำ นอกจากนี้ครูอาจารย์ที่ สอนครูบาน้อยในเรื่องอักขระภาษาล้านนาเรื่องของคาถาเมตตามหานิยม ตำรับตำรายาสมุนไพร ที่ท่านนับถือและเคารพสักการะมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็คือ หลวงพ่อพระครู มงคลคุณาธร ( หลวงปู่ครูบาคำปัน ) วัดหม้อคำตวง รวมทั้งครูบาชัยวงศา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ก็เมตตาอบรมสั่งสอนการ เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานให้จนมีความรู้ความเชี่ยวชาญ

ครูบาน้อยท่านได้ ธุดงควัตรไปตามป่าเขาลำเนาไพรแถบภาคเหนือ อานิสงส์ของการธุดงควัตรทำให้มีพลัง จิตตานุภาพเข้มแข็งแกร่งกล้าไปตามลำดับ ครูบาน้อย เตชปญฺโญ จึงเป็นพระอริยสงฆ์ที่ถึง พร้อมในหลักการปฏิบัติธรรมได้แก่ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ อย่างแท้จริง

247
ขอขอบคุณ ท่าน Gearmour ที่เอื่อเฟื้อภาพ

เรื่องนี้ เคยมีการนำเสนอ ออกรายการทีวี รายการชั่วโมงพิศวง
จัดโดยนายป๋อง  ได้นำไปชมพิธีล้างป่าช้า แห่งหนึ่ง ที่จังหวัดชลบุรี
ระหว่างทำการล้าวป่าช้านั้น ก็ได้ขุดพบ ซากศพ ที่มีแต่แผ่นหนังมนุษย์
 ไม่เน่าไม่เปื่อย  และที่ด้านหลังแผ่นหนังนั้น ก็มีลายสักยันต์ ไว้เต็มหลัง
แล้ว ด้านล่าง จะมีรอยสัก เขียนไว้ว่า ที่ระลึก แห่งความคงกระพัน
เจ้าหน้าที่ล้างป่าช้า พร้อมทีมงาน ได้เข้ามาดู พร้อมวิพากษ์ วิจารกันไป
ต่างๆ นานา จนมีคนหนึ่ง ไม่เชื่อเรื่องความคงกระพัน ได้รับอาสาทดลอง
โดยการ เอามีดปลายแหลมแทงแล้วกรีด แผ่นหลังนั้น ปรากฎว่า อำนาจ
ความแหลมคมของมีดนั้น ไม่สามารถระคายผิวได้ แม้แต่น้อย ลองหลายครั้ง
ก็ไม่เข้า จึงเกิดความกลัวที่ได้ลบหลู จึงไปนิมนต์พระเกจิอาจารย์ เจ้าพิธีมา
ทำพิธีล้างอาถรรณ์ โดยการทำพิธีแผ่เมตตา และน้ำมนต์ พรมที่แผ่นหลังนั้น
เป็นเสร็จพิธี หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่คนเดิม ได้ลองเอามีด กรีดและแทง อีก
ปรากฎว่า เข้าครับ จึงได้ตัดชิ้นส่วนไปทำพิธีทางศาสนา ต่อไป

นี่แหละ แผ่นหนังมนุษย์ ดังกล่าว

248


หลวงพ่อจำลอง วัดเจดีย์แดง ในงานพุทธาภิเษก องค์พ่อจตุคามรามเทพ วัดหนองตาแต้ม

ไฟล์ 1 http://s39.photobucket.com/albums/e177/pbundit/?action=view&current=AVSEQ02_toVCD.flv

ไฟล์ 2 มอบพระและตะกรุต http://s39.photobucket.com/albums/e177/pbundit/?action=view&current=AVSEQ02_toVCD_1.flv

ไฟล์ 3 พรมน้ำมนต์ http://s39.photobucket.com/albums/e177/pbundit/?action=view&current=AVSEQ02_toVCD_2.flv

ไฟล์ 4 http://s39.photobucket.com/albums/e177/pbundit/?action=view&current=AVSEQ02_toVCD_3.flv

ไฟล์ 5  ตอนลงมีด http://s39.photobucket.com/albums/e177/pbundit/?action=view&current=AVSEQ02_toVCD_4.flv

ไฟล์ 6 เป็นยางบอน http://s39.photobucket.com/albums/e177/pbundit/?action=view&current=AVSEQ02_toVCD_5.flv

ไฟล์ 7 http://s39.photobucket.com/albums/e177/pbundit/?action=view&current=AVSEQ02_toVCD_6.flv

ขอขอบคุณท่าน Gearmour และ ทายาทพรรคมาร แห่ง เวป คนรักมีด มานะโอกาสนี้

249
การสักยันต์ สาย หลวงพ่อประเทือง

http://kaewsukko.tripod.com/amulet_2.htm

ลายสัก













250
สำหรับศิษย์ บางท่าน ที่ยังไม่ได้เห็น

? ? ? ? ? ? ? ? ? ? อุโบสถ(หลังเก่าจริงๆ)


? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?เขื่อนแม่น้ำ หน้าวัด



? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?หลวงปู่หิ่ม (อาจารย์ของหลวงพ่อ)



? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?หน้าบรรณ (ไม่รู้เขียนถูกหรือเปล่า) ต้นแบบ พระผงขี่เสือ


? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ?นี่ซิ สุดยอด


251
   แจ้งข่าวต่อกัน ให้บรรดาลูกศิษย์ได้รับทราบ   ขอขอบคุณท่าน Gearmour มา ณ. โอกาสนี้

เรียน​ ​เหล่าศิษยานุศิษย์​และ​เพื่อพี่น้องกัลยาณมิตร​ทั้ง​หลาย​ ​พระปฏิบัตดีปฏิบัติชอบอีกรูปหนึ่ง​ได้​จาก​เรา​ไป​แล้ว​วันนี้​ ​คือ​ ​หลวงพ่อประ​เทือง​ ​อติกฺกนฺ​โต​ (พระครูวิทิตพัชราจาร) ​วัดด่านเจริญชัย​ ​อ​.​ศรี​เทพ​ ​จังหวัด​ ​เพชรบูรณ์​ ​ได้​ละสังขาร​ (มรณะภาพ) ​แล้ว​อย่างสงบ​ ​ด้วย​โรคชรา​ ​เวลา​ 16.19 ​น​. ​ณ​.​โรงพยาบาลเมือง​ใหม่​ลพบุรี​ ​จ​.​ลพบุรี​ ​จึง​เรียนมา​ยัง​เหล่าลูกศิษย์ลกหาของหลวงพ่อ​ได้​ทราบ​ทั่ว​กัน​ครับ​.. ​ตอนนี้ร่างของหลวงพ่อ​ได้​นำ​กลับ​ถึง​วัด​แล้ว​ถ้า​ลูกศิษย์ท่าน​ใด​จะ​ไปเคารพศพหลวงพ่อเรียนเ
ชิญ​ได้​ที่วัดเลยครับ​.. / thaiput007@hotmail.com ​โทร​.084-6245007
- ​วันนี้ช่วงบ่ายวันนี้​ ​ทางกระผม​ได้​รับแจ้งข่าว​จาก​ทางลูกศิษย์​ไกล้​ชิดหลวงพ่อ​ ​คือ​ ​จ​.​ส​.​อ​.​สุรชัย​ ​ใจซื่อ​ ​ลูกศิษย์ที่รับใฃ้หลวงพ่อมานาน​ ​ได้​โทรมา​แจ้งข่าวว่าหลวงพ่อประ​เทืองของพวกเรามรณะภาพ​แล้ว​อย่างสงบ​ ​ณ​.​โรงพยาบาลเมือง​ใหม่​ลพบุรี​ ​จ​.​ลพบุรี​ ​จึง​เรียนมา​ยัง​ลูกศิษย์ที่​เคารพนับถือของหลวงพ่อทราบ​โดย​ทั่ว​กัน​ ​โดย​ส่วน​ตัวกระผมเอง​แล้ว​รู้สึกเสียใจมากต่อการ​จาก​ไปของหลวงพ่อครั้งนี้​ ​สังขารร่างกายของหลวงพ่อช่วงหลังมานี้​ไม่​ค่อยดี​ ​แต่ก็​ยัง​รับแขก​อยู่​ตลอดเวลา​ ​ท่าน​เป็น​พระที่มี​เมตตามาก​ ​ท่านที่​เคยไปพบท่าน​จะ​เห็นรอยยิ้ม​อยู่​บนหน้าท่านตลอดเวลา​ ​กระผม​ใน​นามศิษย์ของหลวงพ่ออีกคนหนึ่งขอแสดง​ความ​เสียใจต่อการ​จาก​ไปของหลวงพ่อ​ด้วย​ครับ
​หลวงพ่อ​จาก​ไปแต่สังขารแต่​ความ​ดีของหลวงพ่อ​ยัง​อยู่​ตลอดเวลาครับ​ / thaiput007@hotmail.com ​โทร​.084-6245007

​ด้วย​ความ​เคารพครับ
ข้อ​ความ​โดย​คุณ​thaiput ​แห่งเวปพลังจิตครับ
​ขอแสดง​ความ​นับถือ
Gearmour

252
เชิญร่วมสร้าง เสื้อยันต์ หลวงปู่ทวด พิทักษ์ชาติ ไปแจกทหารภาคใต้         
 

 http://www.palungjit.com/board/showthread.php?t=60229 
         
 







253
ทุกปี ที่วัดบางพระจะมีพิธีไหว้ครูบูชา   เป็นประจำทุกปี  แต่ต้องถามบรรดาลูกศิษย์ลูกหาในสายสัก
วัดบางพระ เราไปไหว้ครูเพื่ออะไร ทำไมถึงต้องไปไหว้ครู เห็นที่มีการโพสกัน ก็กล่าวถึง แต่เรื่อง
ของขึ้นบ้าง ของไม่ขึ้นบ้าง สักอย่างนี้แล้ว จะของขึ้นไหม แต่ก็ต้องขอเรียนว่า ในพิธี มีของขึ้น ขึ้น
จริงๆ เป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่มีปรุงแต่ง ซึ่งออกมาดูดีมาก แต่ก็มี หลายคน ที่ของไม่ขึ้นจริง แต่
ด้วยว่า เคยสักมามาก หรือมาเยอะก็แล้วแต่ หรือเคยอวดโชว์เพื่อนไว้ ว่าข้าฯ มีของ ยังไรก็ต้องขึ้น
 ก็ได้แสดง อาการเหมื่อนของขึ้น ด้วยการแสดงปฎิกิริยาต่าง ให้เหมื่อนของขึ้น ทำเสียงบ้าง ทำท่าทางบ้าง
เพื่อให้เพื่อน สนใจ เห็นว่า โกเก๋  โดย เฉพาะ ของขึ้นปลอม หรือ เก๊ นั้น ครูบาอาจารย์ได้บอกไว้ว่า
เสียงที่ออกมา จะออกจากปาก ไม่ได้ออกจากลำคอ เป็นของขึ้นปลอม (แล้วก็ขึ้นปลอมทุกปี)
บางที่ขึ้นปลอม แบบว่า จะเข้าไปทำร้ายคนอื่น ด้วยวิธีชกต่อย (เห็นบ่อย) ดังนั้น จึงเรียนถาม
บรรดา ศิษย์ ร่วมสำนักว่า ไปไห้วครูเพื่ออะไร จำเป็นไหม ว่าจะต้องของขึ้น   

254
บทความ บทกวี / บารมี หลวงพ่อ
« เมื่อ: 12 ม.ค. 2550, 07:59:43 »
ข้อมูลจาก เวป คนรักมีด ของท่าน Gearmour

http://www.konrakmeed.com/webboard/upload/index.php?showforum=5

ขอขอบพระคุณ ท่าน Gearmour ที่อนุญาต ให้เอามาลง เพื่อเผยแพร่ กิตติคุณของหลวงพ่อ


หลวงพ่อเปิ่น​ ​วัดบางพระ​
ด้วย​ความ​เคารพครับ
ยันต์ของ​ ​พ่อเปิ่นท่านเยอะ​เหลือเกิน​ ​ท่าน​เป็น​พระที่​เก่ง​และ​เรียนมา​เยอะ
จิตท่านดี​และ​ถึง​ด้วย​ ​ที่วัด​ ​ที่ตำ​บล​ ​นั้น​บารมีท่าน​ ​ทั้ง​นั้น​ ​ทั้ง​วัด​ ​โรงเรียน​ ​โรงพยาบาล​ ​สะพาน​ ​ศูนย์คนชรา​ ​อื่นๆ​อีกมากมาย​ ​สมัยก่อนเค้า​จะ​สัก​กัน​ที่กุฎิท่าน้ำ​
ก่อนที่​จะ​สร้างกุฎิสัก​ ​ค่าครู​ ​สมัยก่อน​ ​สิบสองบาท​ ​ดอกไม้​ ​ธูปเทียน​ ​บุหรี่หนึ่งซอง​ ​มาขึ้นเอาตอนหลวงพ่อ​จะ​สร้างสะพาน​ ​เป็น​ ​ยี่สิบห้าบาท
ยันต์ครู​แรกที่​ให้​คือ​ ​เก้ายอด​ ​แต่จริงๆ​ ​แล้ว​ ​คนแทบ​นั้น​ที่​ได้​ไปคือเสือครู​ ​ซึ่ง​ท่าน​จะ​สัก​ไว้​ที่หน้าอก​ ​นกสาริกา​ ​ที่​แขน​ใต้​ข้อพับ​ ​ผมเห็น​จะ​เป็น​พวก​ ​ผู้​ใหญ่​บ้าน​ ​ผู้​ช่วย​ ​หมอ​ ​อบต​. ​แทบ​ ​ต​. ​คลองโยง​ ​ต​.​ศาลายา​ ​มีติดตัว​ทั้ง​นั้น​
ยันต์ของท่าน​ ​เอาที่​เคยเห็น​
เก้ายอด​ ​แปดทิศ​ ​งบน้ำ​อ้อย​ ​แม่ทัพ​ (มหาปัดทมึน) ​ซึ่ง​ยันต์นี้​ถ้า​วาง​ไว้​กลางหลังดีๆ​ ​อาจารย์สัก​เป็น​ท่านเดียว​กัน​ ​มอง​ไกลๆ​ ​จะ​เห็น​เป็น​รูปหน้า​เสือ​อยู่​กลางหลัง​(เต็มหลัง)
ยันต์ครู​ ​ยัง​มีอีก​ ​หลายยันต์​ ​แต่อธิบาย​เป็น​คำ​พูด​ไม่​ได้​หมด​ ​ยันต์ที่​เป็น​รูป​ ​ที่นิยมมากคือเสือ​ ​เป็น​เรื่องจริงๆ​(เห็นมา​กับ​ตัวเอง) ​ถ้า​ไปสักเสือรูปตัวมา​ ​ถ้า​ตัว​เล็กๆ​ ​ท่าน​จะ​ไม่​เป่า​ให้​ ​ท่าน​จะ​ให้​ไปเอามา​ใหม่​ ​ตัว​ใหญ่ๆ​ ​ผมเคยเห็นลุงคนหนึ่ง​ ​ท่าน​เป็น​ศิษย์ที่หลวงพ่อสักเสือ​ให้​เอง​กับ​มือ​ ​แต่​แก่​อยู่​ไกล​ ​นานแกมาที่​ ​แก​จะ​ให้​ลูกศิษย์หลวงพ่อสักเสือเพิ่มอีก​ ​จนครั้งสุดท้ายที่พบ​กับ​ ​ท่านสักเสือ​ใน​ตัวครบ​ ​สิบเอ็ดตัว​ ​ผม​ยัง​แซวท่านเลยว่า​ ​ลุง​จะ​เอา​ไปดองเหล้าหรอ​ ​ท่านชอบเสือตัว​ใหญ่ๆ​ ​ขอย้ำ​ว่า​ใหญ่ๆ​ ​ที่ประสบมา​เวลาท่านเป่า​ให้​ ​ยันต์​ ​เสือ​ ​จะ​เย็นวาบ​จาก​หัวไป​ถึง​ข้อเท้า​เลย
นอก​จาก​เสือ​แล้ว​ ​ยัง​มีหนุมาน​ ​องคต​ ​พาลี​ ​สุพรีล​ ​ลิงลม​ ​แหวกฟองน้ำ​ ​พ่อแก่​ ​สิงห์​ ​กระทิง​ ​แรด​ ​ช้าง​ ​คางคก​ ​แล้ว​ที่ผมว่า​ไม่​เหมือนใคร​ ​คือดำ​ดื้อ​ ​กับ​แดงเก​ ​เป็น​รุป​ ​คนเอามือชี้ขึ้นฟ้า​ทั้ง​สองมือ​ ​แดงเก​ ​อาจ​จะ​ถือดอกบัว​ ​หรือ​มีด​ ​ด้วย​แล้ว​แต่อาจารย์​ ​ว่า​กัน​ว่า​ถ้า​สัก​ไว้​ด้วย​กัน​ ​จะ​เกเร​ ​แบบสุดๆ​ ​ถ้า​อาจารย์สัก​ ​มอง​ไกล​ ​จะ​ไม่​สัก​ไว้​คู่​กัน​ ​หัวใจ​จะ​ลง​ด้วย​ ​หัวใจคนพาล​ ​ต่าง​จาก​ ​คิงคองของหลวงตา​อยู่​วัดสามกระบือเผือก​ (พิมพ์​ไปขนลุกไป)
จริงๆ​แล้ว​มียันต์อยุ่รูปท่าน​ไม่​สัก​ให้​ใคร​ ​คือรูปองคุลีมารตอน​เป็น​โจร​ ​เล่าว่าท่านสัก​ให้​ไปคนเดียว​ (ทุกวันนี้​ยัง​มีชีวิต​อยู่)​
ข้อห้ามของท่าน​ ​ห้ามด่า​แม่​ ​ห้ามผิดลูกผิดเมียเค้า​ ​ห้ามกินน้ำ​เต้า​ ​มะ​เฟือง​
(ห้ามน้อยกว่าหลวงพ่อแล​ ​วัดพระทรงอีก) ​แต่​เรื่องของกิน​ ​ตัวท่านเอง​เป็น​พระ​ ​ถ้า​ใคร​ไม่​รู้ถวายเลี้ยงท่าน​ ​ท่านก็ฉัน​ ​ท่านบอก​กับ​ลูกศิษย์ว่า​ ​ของกินของฉัน​ ​อย่าคิดอะ​ไร​
ลูกศิษย์ท่านเหนียว​ไม่​เหนียว​ไม่​รู้​ ​แต่ตัวท่านเอง​ ​สามารถ​ลูบคมหยักของมีดแมงมุมรุ่นตำ​รวจ​ ​ได้​ (มีดผมเอง) ​ผม​ยัง​เตือนท่านเลยว่าพ่อมีดคมนะ​ ​ท่าน​กับ​ลูกศิษย์​ใกล้​ชิด​ ​ยัง​หัวเราะ​ ​เป็น​เรื่องสนุกเลย​ (มีพระอีกองค์ทำ​ได้​เหมือน​กัน)
นอก​จาก​สักท่านทำ​ได้​อีกหลายอย่าง​ ​สมัยก่อนลงนะหน้าทอง​ ​ท่าน​ไม่​ต้อง​ใช้​น้ำ​มันจัน​ช่วย​ ​ตบหาย​ ​แบบของหลวงพ่อไสว​ ​วัดปรีดาราม​ ​สามพราน​
ท่านทำ​อะ​ไรดีหมด​ ​ถ้า​คนที่มาขอ​ความ​ช่วย​เหลือท่าน​เป็น​คนดี​

พูด​ถึง​หมูทองแดง​ ​ผมจำ​ไม่​ได้​ว่าท่านมีกี่พิมพ์​ ​แต่​ ​จะ​สัก​ไว้​รอบเอว​ ​เป็น​เรื่องน่า​แปลกอย่าง​ ​หมูของท่านผม​ถึง​อักขระตัวสุดท้าย​ ​จะ​ไม่​ค่อยอยาก​เข้า​ (หมึก​ไม่​ติด​ ​อันพูด​ได้​เลยว่าจริง)

ท่านลงมีด​ ​ลงปืน​ ​ให้​ผม​ ​ท่านเตือน​และ​ให้​สติ​อยู่​เสมอ​ ​ให้​ทำ​ดี​ ​ผมจำ​คำ​ท่าน​ได้​แม่น​ ​ฆ่าคน​ไม่​มี​ความ​ผิด​ ​บวช​ไม่​ได้​อนาคามี​ ​คนตายเค้า​ไม่​รับ​ ​นะ​

ท่านรดน้ำ​มนต์​ได้​ขลังเหมือน​กัน​ ​ถ้า​แต่ก่อน​ ​ลูกศิษย์ท่านถูกยิง​ ​ถูกแทงมา​แล้ว​ไม่​เข้า​ ​ท่าน​จะ​รดน้ำ​มนต์​ให้​

ผมเคย​ได้​นวดแข้งนวดขา​ให้​ท่านหลายครั้ง​ ​น่า​เสียดายที่ตอนรับราชการเต็มตัว​แล้ว​ ​ไม่​ค่อย​ได้​ไปกราบท่าน​ ​แม้นตอนที่ท่านเสีย​ ​ไม่​ได้​ไปแม้นกระ​ทั้ง​ฟังสวด​

จริงๆ​ ​ยัง​มี​เรื่องราว​ ​ของหลวงพ่อเปิ่นอีกเยอะ​ ​แต่​ ​ที่นึก​ได้​แค่นี้​

ทุกวันนนี้​ ​อาจาย์อางค์​ ​ที่​เป็น​เจ้าอาวาส​ ​ผมยืนยันว่าท่านเก่ง​ ​เป่ายันต์​ได้​ขลัง​
วัดบางพระ​ยัง​ที่พึ่ง​ได้​ ​สำ​หรับคนชอบการสักยันต์​

เรื่องพระ​เครื่อง​และ​เครื่องรางของท่านผมสะสม​ไว้​เยอะมาก​ ​ไว้​จะ​ค่อยๆ​เอามา​ให้​ชม​กัน​ครับ

จาก​ประสบการณ์ของผม
ขอแสดง​ความ​นับถือ
Gearmour

ปล​.​คาถาอาราธนา​ ​วัตถุมงคลหลวงพ่อเปิ่น​

นะ​โม​ 3 ​จบ​
พระพุทธธังรักษา​ ​พระธัมมังรักษา​ ​พระสังฆังรักษา​ ​พระบิดารักษา​ ​พระมารดารักษา
อิระชาคะตะระสา​ ​นะมะนะอะ​ ​นอกอนะกะ​ ​กอออนออะ​ ​นะอะกะอัง​
อะสังวิสุ​โลปุสะพุภะ​
สังวิทาปุกะยะปะ​ ​อาปามะจุปะ​ ​ทีมะสังอังขุ​ ​ปาสุอุชา​ ​สะทะวิปิปะสะอุ​ ​ตะมัตถังปะกา​เสนโต​ ​สัตถา​ ​อาหะ​ ​กัน​หะ​ ​เนหะ​ ​นะ​โมพุทธายะ​ ​นะมะพะทะ​ ​จะ​พะกะสะ​ ​มะอะอุฯ


เหนือ​อื่น​ใด​ตอนหลวงพ่อมีชีวิต​อยู่​ ​ท่านเน้น​ให้​ดู​แล​ ​และ​เคารพพระ​ใน​บ้าน​ ​ให้​ดีที่สุด​ด้วย​ครับ
ขอแสดง​ความ​นับถือ
Gearmour :048:


ด้วยความเคารพ
   
      โยคี

255
เป็นลายภาพยันต์ต่างๆ เอาไว้ชมกันเล่นๆ

                                                                              หนุมานตัวที่ 9


                               เสือคู่


                               เสือเผ่น อาจารย์หนู กันภัย


                               พญาน่าคราช





[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

256
เริ่ม สักเก้ายอด


อาจารย์แป๋ว กำลังแทง




ไม่ใช่ตัวผมนะครับ


รวมๆ แล้วได้แค่เนี้ย


257
ถ้ามีใครเคย โพสไว้แล้ว ก็ขออภัยด้วย เป็นลายมือของ หลวงพ่อ
สมัยท่านยังไม่ได้ละสังขาร บันทึกเป็นตำราไว้

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

258
ได้เตรียมท่า ไว้สำหรับงานนี้ หรือยัง[/size

รอจังหวะอยู่


นี่ก็รอ


ได้จังหวะแล้ว


พญาอินทรี


ปลาไหลก็มา


พุงไปข้างหน้า


อยู่ทำไม ไปบ้างดีกว่า


มารับน้ำมนต์ ของหลวงพ่อ

259
นำมาจาก ชมรมรักกุมาทอง http://gumaro.is.in.th/?md=content&ma=show&id=8

ก่อน​อื่น​นั้น​
1. ​เรา​จะ​ต้อง​คิดก่อนว่า​เรา​จะ​เลี้ยงเค้า​เพื่ออะ​ไร​ ​ถ้า​คุณตอบว่าอยากเห็นเค้ามากระ​โดดโลดเต้นเหมือน​ใน​ละครก็​ ​อย่า​เลี้ยงเลยครับ​
2. ​คุณพร้อมที่​จะ​ดู​แล​และ​เลี้ยงเค้ามั้ย​ ​ถ้า​ไม่​พร้อมก็​ ​อย่า​เลี้ยงครับ​
3. ​การเลี้ยงกุมาร​นั้น​เรื่องสัจ​จะ​เป็น​สำ​คัญนะ​ ​บอกว่า​ให้​ตอนไหนก็​ต้อง​ให้​ตอน​นั้น​
4. ​ถ้า​ทำ​ตามทุกๆ​ข้อที่ผมกล่าวมา​ได้​นั้น​ ​เริ่มเลี้ยง​ได้​เลย​

​เมื่อคุณสมบัติผ่าน​แล้ว​ต่อไปคือ​
1. ​คิดดูว่า​จะ​เลี้ยงกุมารเทพ​ ​หรือ​พราย​
2. ​เมื่อคิดออก​แล้ว​ให้​คุณศึกษาหาวัด​หรือ​สำ​นักที่มีการสร้างเสกกุมารทองขึ้นมา​ ​และ​ที่สำ​คัญเรา​ต้อง​ศรัทธา​ใน​อาจารย์​ผู้​สร้าง​และ​องค์กุมารทองที่บูชา​นั้น​ด้วย​ ​เพราะ​ศรัทธา​เป็น​แรงที่ทำ​ให้​เกิดปาฏิหารย์​ 3. ​ศึกษาวิธีการบูชาของแต่ละสำ​นักที่​เรา​จะ​ไปนำ​กุมารทองมา​
​ปล​. ​บางท่านอาจ​จะ​ใช้​วิธีซื้อหุ่นกุมารทองมา​แล้ว​นำ​ไป​ให้​สำ​นัก​ ​หรือ​วัดท่านผูกกุมารทอง​ให้​ ​อัน​นั้น​ก็​แล้ว​แต่​ความ​ชอบครับ​
กุมารเทพ​
​ข้อดี​
1. ​เรา​ไม่​ต้อง​เซ่นเลี้ยง​ด้วย​อาหารหยาบ​
2. ​ไม่​ให้​โทษแก่​ผู้​เลี้ยงเมื่อเรา​ไม่​ได้​เซ่นดู​แล​
3. ​หน้าตาจิ้มลิ้ม​ (อันนี้​ไม่​เกี่ยว​ ​แต่ลูกของผมบอกมา)
​ข้อเสีย​
1. ​เมื่อบนบาลอะ​ไร​แล้ว​ได้​ผลช้าหน่อย​
2. ​ไม่​ค่อยแสดงฤทธิ์​เดช​ให้​เห็น​


​กุมารพราย​
​ข้อดี​
1. ​แสดงฤทธิ์บ่อยๆ​
2. ​ได้​ผล​เร็ว​เมื่อบนบาล​แล้ว​
​ข้อเสีย​
1. ​ต้อง​เซ่นเลี้ยง​ด้วย​อาหารหยาบอย่างขาดมิ​ได้​ (ยกเว้นบางตำ​หรับ)
2. ​หากขาดการเซ่นเลี้ยง​แล้ว​อาจ​ให้​โทษแก่​ผู้​เลี้ยง​ได้​(ยกเว้นแต่อาจารย์​ผู้​สร้าง​นั้น​กำ​กับ​มาดี)

​ขั้นตอนเมื่อเรา​ได้​กุมารมา​แล้ว​
1. ​เมื่อเรา​ได้​กุมารมา​แล้ว​ให้​เราจัดการตั้งชื่อ​ให้​กับ​เขา​ ​โดย​แบ่ง​ได้​ดังนี้​
1.1 ​ชื่อที่​เน้นโชคลาภ​ ​เช่น​ ​ทองมา​ ​เรียกทรัพย์​ ​พูลเงิน​ ​พูลทอง​ ​ทองไหลมา​ ​เป็น​ต้น​
1.2 ​ชื่อที่​เน้นทางดุดัน​ ​เฝ้าบ้าน​ ​แคล้วคลาด​ ​เช่น​ ​ชัย​ ​เพชรมั่น​ ​คง​ ​กล้า​ ​แกร่ง​ ​เป็น​ต้น​
2. ​ก่อนนำ​เข้า​บ้าน​ให้​ทำ​ตามนี้​
2.1 ​หาที่ตั้ง​ให้​เหมาะสม​โดย​ ​ไม่​อยู่​สูงกว่าพระ​ ​หรือ​ ​ต่ำ​ติดพื้น​ ​และ​ไม่​ควรหันหน้า​ไปทาง​ ​ทิศตะวันตก​
2.2 ​จุดธูปกลางแจ้ง​ 12 ​ดอก​ ​บอกกล่าวเจ้าที่​เจ้าทางดังนี้​
​ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิฐานบอกกล่าวแด่​ ​พระภูมิ​ ​เจ้าที่​ ​ผีปู่​ ​ผีย่า​ ​ผีตา​ ​ผียาย​ ​ผี​เหย้า​ ​ผี​เรือน​ ​และ​สิ่งศักดิ์สิทธิ์​ทั้ง​หลายที่​
​อยู่​ภาย​ใน​สถานที่​ ​แห่งนี้​ ​วันนี้ข้าพเจ้า​ได้​นำ​ ​เจ้า​...... ​เข้า​มา​เลี้ยงภาย​ใน​บ้าน​ ​เพื่อ​ให้​เจ้า​..... ​เฝ้าทรัพย์สิน​ ​ให้​โชค​ให้​ลาภ​
​ขอ​ให้​ ​พระภูมิ​เจ้าที่​ ​ผีปู่​ ​ผีย่า​ ​ผีตา​ ​ผียาย​ ​และ​สิ่งศักดิ์สิทธิ์​ทั้ง​หลายเปิดทาง​ให้​เจ้า​.... ​เข้า​มา​อยู่​อาศัย​ใน​บ้าน​ได้​สะดวก​ด้วย​ถิด​
2.3 ​เมื่อทำ​การเปิดทาง​ให้​กับ​เจ้ากุมารลูกของคุณ​แล้ว​ ​ให้​นำ​กุมารมาตั้ง​ ​ณ​ ​ที่ที่​เตรียม​ไว้​แล้ว​จุดธูปบอกกุมาร​ ​โดย​ ​พราย​ 1 ​ดอก​ ​เทพ​ 5 ​ดอก​ ​ว่า​
​เจ้ากุมารทองของพ่อเอ๋ย​ ​ต่อไปนี้​เจ้าชื่อ​ ..... ​และ​ต่อไปนี้คนนี้คือพ่อของเจ้า​ ​พ่อ​จะ​เรียกเจ้าว่า​ ..... ​มา​อยู่​ที่บ้าน​
​ให้​ช่วย​กัน​ดู​แลบ้านเฝ้าบ้าน​ให้​ดี​ ​ช่วย​กัน​ทำ​มาหากินนะ​ ​แล้ว​พ่อ​จะ​ซื้อของเล่น​ให้​ ​เวลาพ่อไปไหนก็​ไป​กัน​ ​เวลาพ่อกินอะ​ไรก็กิน​กัน​นะ​ ​ไม่​ต้อง​รอ​ให้​พ่ออนุญาติ​ ​อยาก​ได้​อะ​ไรอยากกินอะ​ไรมาบอกพ่อนะ​(หากมีกุมาร​อยู่​แล้ว​ให้​กล่าวเพิ่มว่า​ ​เจ้า​...(ชื่อกุมารองค์​เดิม).... ​วันนี้พ่อนำ​ ​น้องเค้ามา​อยู่​ด้วย​นะ​ ​อยู่​ด้วย​กัน​ก็รัก​กัน​นะ​ช่วย​กัน​ดู​แลบ้าน​ ​หา​เงินหาทองอย่าทะ​เลาะ​กัน​นะ)

​ทุกๆ​วันพระ​ให้​เรานำ​ข้าวปลาอาหาร​ ​หรือ​ขนม​ ​หรือ​ผล​ ​ไม้​ ​ดอกไม้​ ​มาบูชา​ ​เค้า​แล้ว​บอกกล่าวเค้าว่า​ให้​ช่วย​กัน​หา​เงินหาทอง​ ​เฝ้าบ้านดู​แลคน​ใน​บ้าน​ ​ขาดเหลืออะ​ไรบอกพ่อนะ​


​สำ​นึกของ​ผู้​ที่​เลี้ยงกุมารทอง​
1. ​คุณ​ต้อง​ระลึก​ไว้​เสมอว่ากุมาร​นั้น​คือลูกของคุณ​ ​เสมือนคนจริงๆ​
2. ​หมั่นหาของเล่นขนมมา​ให้​เค้า​
3. ​หมั่นคุย​กับ​เค้า​
4. ​หากเบื่อ​แล้ว​คิด​จะ​เลิกเลี้ยง​ ​นั้น​ควรนำ​เค้า​ไปปล่อย​โดย​ให้​ผู้​ที่มีพลังจิต​ ​หรือ​พระปลดปล่อยเค้า​ไป​
​หมายเหตุ​ ​คุณลองคิดว่าคุณเบื่อลูกคุณ​แล้ว​คุณขายลูกคุณสิ​ ​มันคืออะ​ไร​
​สุดท้ายนี้ขอ​ให้​คนที่รักกุมารทองทุกๆ​คน​นั้น​ ​มีกุมารทองน่ารักๆ​ ​เก่งๆ​กัน​ทุกคนเน้อ​

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

260
หลวงพ่อโอภาสี เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ที่เล่าขานกันมา
ซึ่ง หลวงพ่อโอภาสี เป็นอาจารย์ อีกท่านหนึ่ง ที่ได้สอน กรรมฐาน ว่าดว้วย เตโชกสิน
ให้แก่ หลวงพ่อเปิ่น ของเรา สมัยท่านยังหนุ่มๆ


เนื้อ​ความ :

    คัด​จาก​หนังสือคุณทองทิว​ ​สุวรรณทัต

    บรรดา​เกจิอาจารย์​ทั้ง​หลาย​ซึ่ง​มีอภินิหาร​หรือ​คุณธรรมอันวิ​เศษที่มรณภาพไป​แล้ว​นั้น​  ​ถ้า​ใครเอ่ย​ถึง​ ​หลวงพ่อโอภาสี​ ​ก็คง​จะ​อดอัศจรรย์​ใน​คุณวิ​เศษอันสืบ​เนื่อง​จาก​ผลการปฏิบัติของท่าน​ไม่​ได้​  ​และ​ด้วย​เหตุนี้​จึง​มี​ผู้​อ่านหลายท่านขอ​ให้​ผู้​เขียนนำ​ประวัติของท่านมา​เล่าสู่​ให้​ฟัง​กัน​บ้าง

    ระหว่างปี​ 2484-2485  ​ผู้​เขียน​ยัง​เรียนหนังสือ​อยู่​จำ​ได้​ว่า​ผู้​คน​ทั้ง​ใน​กรุงเทพฯ​และ​จังหวัด​ใกล้​เคียงพา​กัน​ไปชุมนุมที่หน้าวัดบวรนิ​เวศวรวิหาร​  ​นับแต่ถนนหน้าวัดบวรฯ​ไปจนจรดตลาดบางลำ​ภูมีคน​เข้า​แถวเต็มไปหมด​  ​ได้​ความ​ภายหลังว่ามารอหลวงพ่อโอภาสี​  ​แจกพระ​เครื่องที่ท่านทำ​พิธีปลุกเสก
    ใน​ครั้ง​นั้น​  ​ชื่อเสียงของ​ ​หลวงพ่อโอภาสี​  ​โด่งดังไปทั่งสารทิศ​  ​เพราะ​พิธีกรรมของท่านแปลกพิสดารเกินกว่าคนธรรมดา​จะ​กระทำ​ได้​  ​กล่าวคือ​  ​ท่านขนเอาสมบัติพัสถาน​ใน​กุฏิของท่าน​ ​ไม่​ว่า​จะ​เป็น​ตู้​โต๊ะ​ ​หนังสือตำ​รา​  ​ถ้วยโถโอชามอัน​เป็น​ของเก่า​แก่มีราคา​  ​ตลอดจนกองธนบัตรที่มีคนมาถวาย​  ​มากองสุม​ ​ณ​ ​บริ​เวณสนามหญ้า​  ​แล้ว​จุดไฟเผาท่ามกลาง​ความ​ตกตะลึงของพระภิกษุสามเณร​  ​และ​ผู้​คนที่พบเห็น​เป็น​อย่างยิ่ง​  ​พอไฟมอดลง​แล้ว​ท่านก็​เดินหายไป​ใน​กุฏิ​เพื่อสวดมนต์ภาวนาของท่านต่อไป
    การประกอบพิธีกรรมอันประหลาดของท่าน​ซึ่ง​มีติดต่อ​กัน​หลายครั้ง​ใน​สมัย​นั้น​  ​ทำ​ให้​วัดบวรนิ​เวศวรวิหารพลุกพล่านไป​ด้วย​ผู้​คน​เป็น​ประวัติการณ์​  ​จึง​เป็น​เหตุ​ให้​หลวงพ่อโอภาสี​ต้อง​ออกจาวัดบวรฯ​ใน​เวลาต่อมา​  ​และ​ใน​ที่สุดท่านก็​ไป​อยู่​ที่อาศรม​ ​ณ​ ​ตำ​บลบางมด
    เรื่องราวอันน่ามหัศจรรย์ของพระภิกษุ​ผู้​ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมี​ความ​รู้​ใน​พระธรรม​ ​พระวินัย​ ​จนสอบ​ได้​เปรียบแปดประ​โยคท่านนี้​  ​ผู้​เขียน​ได้​พยายามรวบรวมเรื่องราวของท่าน​จาก​หนังสือบางเล่ม​  ​และ​จาก​ท่าน​ผู้​รู้บางท่าน​  ​พอ​ได้​ใจ​ความ​มา​เสนอดังต่อไปนี้
    หลวงพ่อโอภาสี​ ​หรือ​ ​พระมหาชวน​ ​โอภาสี​ (ป​.8)​เกิดที่จังหวัดนครศรีธรรมราช​ ​เมื่อ​ ​พ​.​ศ​.2441 ​เรียนหนังสือจบขั้นมัธยมปีที่​ 6 ​แล้ว​บรรพชา​เป็น​สามเณรที่วัดโพธิ์​ ​จังหวัดนครศรีธรรมราช​  ​สอบ​ได้​นักธรรมโท​จึง​เดินทางมาศึกษาบาลีควบคู่​ไป​กับ​นักธรรมเอก​ ​ณ​ ​วัดบวรนิ​เวศวรวิหาร​  ​กรุงเทพฯ​  ​จนสอบ​ได้​เปรียญ​ 8 ​ประ​โยค​ ​จาก​นั้น​ได้​หันมาปฏิบัติตามลำ​พัง​  ​เป็น​สำ​คัญกระทั่ง​ใน​วันหนึ่งท่าน​ได้​ประกาศว่า
    "มหาชวน​นั้น​ตายไป​แล้ว​  ​บัดนี้​เหลือแต่​โอภาสี​ผู้​ปรารถนา​ใน​ความ​หมดสิ้น​จาก​อาสวะ​ทั้ง​หลาย"
    ท่านเจ้าคุณราชธรรมนิ​เทศ​  ​เคยเล่า​ให้​ผู้​เขียนฟังว่า
    "มีสิ่งที่น่าประหลาด​อยู่​เรื่องหนึ่ง​ ​ที่​เกี่ยว​กับ​หลวงพ่อโอภาสี​เห็น​เขา​พูด​กัน​ว่า​  ​เมื่อครั้งท่าน​ยัง​เป็น​พระมหาชวน​นั้น​ที่​แก้มซีกขวาของท่าน​ยัง​ไม่​มี​ไฝฝ้า​  ​แต่ครั้นมา​เป็น​หลวงพ่อโอภาสีกลับมีปานดำ​ขึ้นที่​แก้มจนเห็น​ได้​ชัด​  ​ไม่​ทราบว่าปาน​นั้น​เกิดขึ้นมา​ได้​อย่างไร​  ​เพราะ​คนเรามัก​จะ​มีปาน​หรือ​ไฝก็มี​กัน​แต่​เล็ก​แต่น้อย​  ​นี่ท่าน​เป็น​ผู้​ใหญ่​แล้ว​  ​อายุตอน​นั้น​ประมาณ​ 40 ​ทำ​ไมปานเกิดขึ้นมา​ได้​ก็​ไม่​ทราบ"
    เกี่ยว​กับ​เรื่องอภินิหารของหลวงพ่อโอภาสี​นั้น​ดู​จะ​มีหลายประการ​  ​โดย​เฉพาะ​ได้​แก่การมีหูทิพย์​ ​ตาทิพย์​ ​และ​วาจาสิทธิ์​ ​ท่านกล่าวคำ​ใด​ออกมา​ไม่​ใคร่​จะ​พลาด​จาก​คำ​นั้น​  ​ซึ่ง​อาจ​จะ​สืบ​จาก​ผลการปฏิบัติอย่างแรงกล้าของท่านก็​เป็น​ได้
    มี​เรื่องเล่าว่า​  ​เคยมีสุภาพสตรีสูงอายุท่านหนึ่ง​  ​มี​ความ​ศรัทธาหลวงพ่อโอภาสี​เหลือเกิน​  ​ถึง​แก่ปรารถ​กับ​ญาติพี่น้องที่บ้านว่า​ ​อยาก​ได้​เส้นผมของหลวงพ่อ​ไว้​บูชา​  ​ครั้นต่อมาสุภาพสตรีท่าน​นั้น​ไปนมัสการหลวงพ่อ​  ​พอก้มลงกราบ​  ​ยัง​ไม่​ทัน​จะ​กล่าวอะ​ไรหลวงพ่อก็ยกมือจับเส้นผมของท่าน​  ​พร้อม​กับ​บอกว่า
    "ผมของอาตมาสั้นออกอย่างนี้​  ​จะ​ตัดไป​ให้​โยม​ได้​อย่างไร"
    สุภาพสตรีท่าน​นั้น​ถึง​แก่นั่งตกตะลึงพูด​ไม่​ออก
    ครั้งหนึ่ง​ได้​มีสุภาพสตรี​ผู้​สูง​ด้วย​อำ​นาจวาสนาท่านหนึ่งพาบริวารไปนมัสการหลวงพ่อที่สวนส้มบางมด​  ​ได้​สนทนาปราศรัย​กับ​ท่าน​เป็น​อันดี​  ​ชั่วครู่หลวงพ่อเหลือบไปเห็นแหวนเพชร​ใน​นิ้วมือของสุภาพสตรีท่าน​นั้น​  ​เปล่งประกายสุกสกาว​จึง​ถามว่า
    "​ถ้า​อาตมา​จะ​ขอแหวนวงนี้​จาก​คุณโยม​  ​จะ​เสียดายไหม"
    สุภาพสตรีท่าน​นั้น​ถอดแหวนออก​จาก​นิ้วนางประ​เคนท่านแทนคำ​ตอบทันที​  ​ท่ามกลาง​ความ​ชื่มชมของบริวาร​  ​หลวงพ่อรับ​ไว้​  ​หยิบพลิกดู​ไปมา​แล้ว​หันไปหยิบค้อนที่​อยู่​ข้างหลัง​  ​วางแหวนเพชรที่​ไม่​รู้ว่ากี่กะรัตลงบนพื้น​แล้ว​ตอก​ด้วย​ค้อนบัดนี้​!
    สุภาพสตรีท่าน​นั้น​เกือบ​เป็น​ลม
    หลวงพ่อโอภาสีมองหน้าพลางเปรยออกมาว่า
    "ของดีๆ​อย่างนี้​  ​จะ​สูญ​ได้​อย่างไร"
    สุภาพสตรี​ผู้​นั้น​หมดกำ​ลังใจ​จะ​สนทนาต่อ​  ​อ้อมแอ้มๆ​ออกมาสอง​-​สามประ​โยค​  ​ก็นมัสการลากลับ​ไม่​เหลียวหลัง
    ปรากฏว่า​เย็นวัน​นั้น​  ​หลัง​จาก​อาบน้ำ​ชำ​ระกายเรียบร้อย​แล้ว​ ​เปิดโถแป้งออกมา​  ​ตั้งใจ​จะ​หยิบแป้งขึ้นมาผัด​  ​กลับเห็นแหวนเพชรวงที่หลวงพ่อโอภาสีทุบจนแตกกระจาย​เป็น​เสื่ยงๆ​วาง​อยู่​ใน​นั้น​ชัดแจ้ง​...​เป็น​วงแหวนสมบูรณ์​เหมือนเดิม​ไม่​ผิดเพี้ยน​!
    อีกคราวหนึ่ง​  ​คุณหลวงประ​เสริฐรัฐวิจารณ์​ ​เจ้าหน้าที่ชั้น​ผู้​ใหญ่​ขององค์การท่า​เรือฯ​  ​ผู้​รู้จักคุ้นเคย​กับ​หลวงพ่อมาช้านาน​  ​ได้​เข้า​ไปนมัสการ​และ​สนทนา​ด้วย​  ​จน​ได้​เวลาพอสมควร​จะ​ลากลับหลวงพ่อกลับบอกว่าประ​เดี๋ยวก่อน​  ​แล้ว​ท่านก็ลุก​เข้า​ไป​ใน​อาศรมถือธนบัตรใบละ​ 100 ​จำ​นวนสองใบมายื่น​ให้​คุณหลวงพลางบอกว่า​ "​เก็บ​ไว้​ให้​ดี​ ​เป็น​เงินก้นถุง"
    คุณหลวงก้มลงกราบรับ​ไว้​ด้วย​ความ​ปิติยินดี​  ​แต่​เมื่อกลับมาบ้าน​แล้ว​  ​ท่านนึกไป​ถึง​เพื่อนคนหนึ่ง​ซึ่ง​ไปรับราชการ​อยู่​ที่กรุงวอชิงตัน​  ​อเมริกา​ใน​ขณะ​นั้น​  ​เพราะ​เพื่อน​ผู้​นี้​เคยปรารถ​กับ​ท่านว่าอยาก​ได้​เงินก้นถุงของหลวงพ่อโอภาสีมานาน​แล้ว​แต่​ไม่​มี​โอกาส​จะ​ได้​กับ​เขา​  ​คุณหลวงประ​เสริฐคิด​ถึง​เพื่อนผุ้​นั้น​ก็อยาก​จะ​สละ​เงินก้นถุงที่ตน​ได้​มา​ให้​แก่​เพื่อนไปก่อน​  ​ด้วย​คิดว่าท่าน​อยู่​ใกล้​กับ​หลวงพ่อ​  ​วันหน้าคง​จะ​มี​โอกาสขอ​ได้​ใหม่​  ​ท่าน​จึง​จัดแจงจดหมายเลขธนบัตรเอา​ไว้​  ​แล้ว​ส่งเงิน​นั้น​ไป​ให้​เพื่อนที่วอชิงตันทันที
    ต่อมาอีกสามสี่วัน​  ​คุณหลวงไปนมัสการหลวงพ่ออีกครั้ง​  ​พอหลวงพ่อเห็นหน้าท่านก็หยิบธนบัตรใบละ​ 100 ​สองใบส่ง​ให้​คุณหลวง​  ​พลางหัวเราะบอกว่า
    "​ไม่​ต้อง​ตกใจดอกคุณหลวง​  ​เขา​ไปเที่ยววอชิงตันมา​!"
    ก่อนที่หลวงพ่อ​จะ​มรณภาพเพียง​ไม่​กี่วัน​  ​พุทธสมาคมแห่งประ​เทศอินเดีย​ได้​นิมนต์​ให้​หลวงพ่อเดินทางไปร่วมประชุมสงฆ์​ทั่ว​โลก​  ​หลวงพ่อรับนิมนต์​  ​ทั้ง​ได้​ส่งสานุศิษย์​ผู้​ติดตามอัน​ได้​แก่​ ​นายสนิท​ ​วชิรสาร​ ​กับ​ ​นายยี​.​อี​.​เอิร์ด​  ​เดินทางล่วงหน้า​ไปก่อนหนึ่งสัปดาห์​  ​ส่วน​หลวงพ่อ​จะ​เดินทางไป​โดย​ลำ​พัง​ใน​วันที่​ 31 ​ตุลาคม​ 2498
    หลวงพ่อบ๋าวเอิง​  ​ทราบข่าวว่า​ ​หลวงพ่อโอภาสี​จะ​ไปอินเดียก็​จะ​ขอติดตามไป​ด้วย​  ​แต่หลวงพ่อบอกว่า
    "ขณะนี้ท่านมีธุระมาก​  ​อย่า​เพิ่งไปดีกว่า​  ​และ​อาตมา​ไปครั้งนี้ก็​ไม่​ต้อง​ใช้​พาสปอร์ตเหมือนคน​อื่น​เขา​  ​จึง​ให้​ร่วมไป​ไม่​ได้​"
    ภายหลัง​จาก​ ​นายสนิท​ ​วชิรสาร​ ​กับ​ ​นาย​ ​ยี​.​อี​.​เอิร์ดเดินทางไป​ถึง​อินเดีย​  ​ได้​พำ​นัก​อยู่​ใน​พุทธวิหารแห่งหนึ่ง​  ​ซึ่ง​ทางพุทธสมาคมอินเดียจัด​ไว้​รับรอง​   ​ครั้นเวลา​เช้า​ตรู่ของวันที่​ 31 ​ตุลาคม​ 2498 ​นายยี​.​อี​.​เอิร์ด​  ​ได้​เห็นภาพของหลวงพ่อโอภาสีลอยเด่น​อยู่​เหนือศีรษะ​  ​ใบหน้าของท่านอิ่มเอิบสดใส​  ​ภาพ​นั้น​ปรากฏเพียงชั่วครู่ก็​เลือนหายไป
    ครั้นตกบ่าย​ได้​มีคน​เข้า​มาบอกแก่คน​ทั้ง​สองว่า​  ​มีพระ​แก่รูปหนึ่งรอพบ​อยู่​ข้างนอก​  ​จึง​รีบชวน​กัน​ออกไป​  ​กลับพบหลวงพ่อโอภาสียืนรอ​อยู่​! ​ท่านบอกว่า
    "ฉันมาตามคำ​พูด​  ​ไม่​มีอะ​ไรมาห้ามฉัน​ได้​  ​อย่า​แปลกใจเลย"
    ศิษย์​ทั้ง​สองดีอกดี​ใจ​  ​รีบพาหลวงพ่อ​เข้า​ไป​ยัง​พุทธวิหารพลางขอตัวเพื่อไปเอาของ​ใน​ห้องพักของตน​  ​เตรียม​จะ​นำ​หลวงพ่อออกชมบ้านเมืองอินเดีย​  ​แต่​ใน​ขณะ​นั้น​เอง​  ​มีบุรุษไปรษณีย์นำ​โทรเลขมาส่ง​  ​คน​ทั้ง​สองเปิดโทรเลขอ่านดู​แล้ว​ต้อง​ยืนตัวแข็ง​เพราะ​ข้อ​ความ​มีว่า​ "หลวงพ่อโอภาสีมรณภาพ​เช้า​วันที่​ 31 ​ตุลาคม​ 2498 ​กลับด่วน"
    ปัจจุบันศพของหลวงพ่อโอภาสี​ยัง​คง​อยู่​ใน​อาศรมบางมดเชิญ​ผู้​มีจิตศรัทธา​ไปนมัสการ​ได้

262
เหมื่อนพ่อแก่

นี่ก็อีก

เสือมาแล้ว

อันนี้ไม่รู้

263
:008:สำหรับ คนใจกล้าแต่กลัวเข็ม และคนไม่กลัวเข็ม แต่ไม่กล้าสัก :005:
ไปหาพระของ หลวงพ่อมาแขวน

264
หาซื้อได้ ตามตลาดนัดใหญ่ๆ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

265
ภาพยันต์ และเสื้อยันต์ ไปพบมาเห็นว่าสวยดี ก็นำมาฝากคงไม่ถูกตำหนิอีกนะ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

266
วันพ่อ ก็ต้องรูปหลวงพ่อ

267
คัดลอกเขามานะ

 สูตรการสร้างยาจินดามณี

เมื่อกล่าวถึงผงยาจินดามณี ต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เป็นสูตรการสร้างวัตถุมงคล ที่ส่งให้ชื่อเสียง
ของวัดกลางบางแก้ว โดยเฉพาะหลวงปู่บุญโด่งดังขจรขจาย อุปเท่ห์การใช้ยาจินดามณีนั้นมีคุณครอบ
จักรวาล แม้แตาสามารถฉุดกระชากจิตวิญญาณที่ใกล้จะดับสูญ ให้กลับฟื้นคืนสติขึ้นมาสั่งเสียข้อความต่างๆ
แก่ญาติโยมได้ สูตรการสร้างยาจินดามณีนี้ เป็นของเก่าแก่ดั่งเดิมสืบทอดมาหลายชั่วอายุคนแล้ว สำหรับ
หลวงปู่บุญนั้นท่านก็ได้รับสืบต่อมาจากพระปลัดทอง ซึ่งเป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่าน

กรรมวิธีการสร้างนั้น ประกอบด้วยพิธีกรรมและเครื่องยาแยกเป็นสองส่วน ส่วนที่เป็นเครื่องยานั้น
ตำรับโบราณได้พรรณาเอาไว้อย่างกว้างๆ ตามตำราว่า

"จินดามณีโอสถอันพิลาส" ประกอบดอกคลาด ดอกจันทร์เกสรบุษบัน เปราะหอม กำยานโกฐสอ
โกฐเขมา ทองน้ำประสาน เปลือกกุมชลธาร กรุงเขมาเท่ากัน ผสมแล้วตำบดพิมเสน ชะมดน้ำผึ้ง รวงรัน
กฤษณา น้ำมะนาว น้ำมะเขือขื่นคั้นผสมยาเข้าด้วยกัน บดปั้นตากกินเป็นยาวาสนาเลิศล้ำตำราในโลกแผ่นดิน
อุปเท่ห์กล่าวไว้ ผู้ใดได้กินจะสวัสดิโสภิณกว่าคนทั้งหลาย พัสดุเงินทองจักพูนกูลนองกว่าโลกหญิงชาย
นำมาบูชาอหิวาต์ก็มิวาย ระงับอันตรายทั้งสี่กิริยาโทษหนักเท่าหนัก มาตรแม้นประจักษ์ถึงกาลมรณา
ถ้าแม้นใครกินซึ่งยาวาสนากลับน้อยถอยคลาเคลื่อนคลายหายเอย

นอกจากนี้ยังได้แยกเครื่องยาไว้อย่างละเอียดว่า สมุนไพชนิดใดจะเอาส่วนไหนประกอบกับอะไร
บดเป็นผงละเอียด เคล้ากับตัวประสานสมุนไพรนั้นมีมากมายหลายชนิด แยกออกเป็นสันส่วนว่า ส่วนไหน
ใช้เท่าใด และให้ลงหรือเสกด้วยคาถาอย่างไรบ้าง เมื่อปลุกเสกเครื่องยาแต่ละส่วนตามคาถาที่กำกับแล้ว
ก็เอาเครื่องยามาผสมกับมีคาถาฤาษีประสมยาประกอบไว้อีกโสดหนึ่ง ในเรื่องสัดส่วนของสมุนไพรตลอดจน
สมุนไพรนอกจากที่ได้กล่าวไว้ในเบื้องต้นนั้น และพระคาถากำกับการเสกสมุนไพรมากมายหลายบท

จากนั้นท่านได้แจกแจงรายละเอียดเอาไว้ในส่วนการลงลูกหินและแม่หิน ซึ่งจะใช้บดยาว่า
"แม่หินต้องลงอักขระเลขยันต์อีกแบบหนึ่งและมีคาถาประกอบขณะบดยา"

การจัดพิธีท่านให้เลือกเอาวันเพ็ญขึ้น ๒๕ ค่ำกลางเดือน ๑๒ ซึ่งหากปีใดได้ราชาฤกษ์หรือเพชรฤกษ์
จัดว่าดีเยี่ยมให้จัดเครื่องสังเวยเทวดาบัตรพลีต่างๆ รวมทั้งราชวัตร ฉัตรธงภายในพระอุโบสถ และมีสายสิญจน์
รอบพระอุโบสถแต่ละทิศให้ลงยันต์ประจำทิศด้วยผ้าแดง ด้านหน้าพระอุโบสถแต่ละทิศ ให้ลงยันต์ตรีนิสิงเห
และยันต์จินดามณีประกอบไว้เป็นพิเศษด้วย เมื่อได้ฤกษ์ให้ชุมนุมเทวดา แล้วให้พระภิกษุและฆราวาส
ที่ร่วมพิธีพร้อมกัน โดยเฉพาะฆราวาสนั้น หากเป็นหญิงให้ใช้สาวพรหมจารีย์ ซึ่งรักษาศีลอุโบสถ (ศีล ๘)
มาแล้ว ๓ วัน ส่วนชายก็ให้รักษาศีลอุโปสถเช่นกัน

ผู้ร่วมพิธีปั้นเม็ดยา หรือกดพิมพ์พระจะต้องภาวนาพระคาถาไปด้วย ไม่ว่าเม็ดยา หรือพระพิมพ์ที่ปั้น
และกดเสร็จแล้วจะต้องนำไปปลุกเสกด้วยมนต์ขลังอีกอย่างน้อย ๗ เสาร์ ๗ อังคาร

การสร้างยาจินดามณีนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ยาวาสนา" ซึ่งมิใช่มีเฉพาะตำหรับของวัดกลางบางแก้ว
เท่านั้น วัดอื่นก็มีสร้างกัน เช่น วัดปากครองบางครก อ.บ้านแหลม จ. เพชรบุรี ก็มีการสร้างในสมัยของ
หลวงพ่อโศก (พระครูอโศกธรรมสาร) เกจิอาจารย์ผู้พระเดื่องนาม ในการสร้างปลัดขิก พระขรรค์และ
ผ้ายันต์ราชสีห์เส้นคู่ ตำหรับการสร้างผงยาจินดามณีของวัดปากคลองบางครกนี้ ก็มีกรรมวิธีการสร้างและ
อุปเท่ห์การใช้อย่างเดียวกันกับของวัดกลางบางแก้ว ผู้เขียนเข้าใจว่าคงเป็นตำราที่สืบทอดแตกแยกกัน
ออกไป เมื่อได้พูดถึสูตรผงยาจินดาตรีของทั้ง ๒ สำนักแล้ว ก็อยากจะนำอุปเท่ห์การใช้มาเขียนลงไว้
อย่างชัดเจน โดยขอกล่าวถึงอุปเท่ห์การใช้ยาจินดามณีตำหรับวัดกลางบางแก้วก่อน

ใครได้รับประทานยาจินดามณีแล้วจะบันดาลให้เกิดศิริสวัสดีและลาภผล หากบูชาเอาไว้จะป้องกัน
และรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ แม้แต่อหิวาตกโรคผู้ใดมีไว้จะปราศจากอันตรายใดๆ ในทุกอิริยาบถผู้ใดต้อง
โทษทัณฑ์ก็จะบรรเทาเบาบางลงได้ ผู้ใดป่วยหนักแม้แทบจะสิ้นชีวิต หากได้รับประทานอาจินดามณีแล้ว
ก็จักรอดตายฟื้นหายจากโรคนั้นสำหรับวิธีการใช้ยาขอยกเอามาเพียงบางส่วนดังนี้

ถ้าใช้รักษาอหิวาตกโรคให้เอายอดทับทิมต้มผสมกับกานพลูและน้ำปูนใส แล้วฝนเม็ดยาใส่ลงไป
ดื่มรับประทานหายจากโรคแล

แก้โรคเสมหะดีขึ้น(คนป่วยถ้าเสมหะตีขึ้นแล้ว มักจะไม่รอด) ให้ใช้ดีหมีผสมน้ำร้อน แล้วใส่ยาจินดามณี
ผสมลงไปรับประทาน

ถ้าเกิดคดีความขึ้นโรงขึ้นศาล ให้เอายาใส่น้ำเสกด้วย "เอกัง จินดามณีมันตัง" เป็นเมตตามหานิยม
แล้วเอาน้ำประพรมศรีษะ เอาเม็ดยาอมไว้ตลอดเวลา จะชนะความทั้งสิ้นแล

หากจะให้ปัญญาดี ให้เสกด้วยพระคาถาต่อไปนี้ ๓ คาบ
"ตะโตโส ปัณฑิโต ปิหิโส อัตถะ ทัสสีมะโหสะ โถ" แล้วอมยาจะท่องมนต์คาถาสารพัดวิชา จำได้สิ้น
ที่หลงลืมก็จะระลึกได้อุปเท่ห์การใช้ผงยาจินดามณี ของวัดกลางบางแก้วนี้ยังมีอีกมาก เอาไว้กล่าวถึงใน
บทเฉพาะเกี่ยวกับพระคาถาอาคมของหลวงปู่บุญ

สิทธิการิยะ จะกล่าวถึงสรรพคุณวิเศษของยาจินดามณี ตำหรับวัดปากคลองบางครก (อันที่จริง
ก็ตำรับเดียวกันนั่นแหละครับ เพียงแต่แตกแยกออกไปเท่านั้น)

แก้โรคในจักษุ ๖ แก้ในจมูก ๓ ประการในลิ้น ๖ ประการ ในฟันในท้อง ๔ ประการ แก้ไขบั้นปลาย
ก็ได้แก้ลมมหาสดมภ์ แก้ลมราชยักษ์กุมภัณฑ์ยักษ์ แก้อ่อนเปลี้ยเพลียใจ คลื่นไส้เอาเจียรเป็นยาครรภ์
รักษา แก้หัวพิษ หัวกาฬ ละลอกน้ำ ละลอกไฟ

ผิวเป็นอัมพฤก อัมพาต ตายไปทั้งตัวก็ดีฝ่ายซ้ายขวาก็ดี ตีนมือ คาง ขากรรไกร ก็ดีหาสมประดี
ไม่ได้ไซร้ ให้เอาหญ้าฝรั่ง พิมเสนทองคำ บดด้วยยาละลายกรองลงไปได้สติลืมตามีน้ำตาไหล น้ำลายยืด
แล้วหายแล ถ้าคนไข้บีบมือเหมือนจะออกคำ แต่ออกมิได้ให้เอาดีหมีก็ได้ถ้าไม่มีดีงูก็ได้ ต้มน้ำให้ละลาย
ประมาณครึ่งถ้วยพริก ใส่เหล้าครึ่งให้กินเถิดถึงเสลดหางวัวตีขึ้นก็จับกลับหาย หายมากแล้ว

ถ้าผู้บ่าวสาว ชักดิ้นงักงอ หมดสติตีนมือเกร็ง มีมายาต่างๆ เหมือนผีสิงก็ดีกัดฟันหน้าเบี้ยว ให้เอาพิมเสน
มาบดด้วยยาใส่ฝิ่นรำหัส ให้ต้มน้ำขิงทุบ เอาน้ำอุ่นเยี่ยวหนูให้กิน ถ้ามิฟังให้เอาหัวหอม ๓-๔ หัวตำ คั้นน้ำ
บดยาให้กิน แก้กำหนัดกามราคะขึ้น เป็นลมเบื้อนสูงสงบและเลือดระดูทำพิษให้เอาเสนียด คำฝอยต้ม

แก้สวิงสวาย หน้ามืดตาลาย กระวนกระวายเป็นทุกข์ระส่ำทรวง หัวใจเต้นดังตีปลาเหงื่อกาฬแตก
บดยาใส่น้ำดอกไม้สด น้ำมะลิ บังหลวง กระดังงาก็ได้ ทั้งกินทั้งดมหายใจแลแก้ร้อนใน น้ำดอกไม้เทศ
แก้ทราง ละลายน้ำพ่น ชะโลมตัวหายแล

แก้เลือดตก น้ำมะขามเปียกครึ่งชามแกงแซกเหลือตัวผู้ แก้ลมบ้าหมู น้ำมะนาว แก้ไอมะนาวแทรกเกลือ

ตกลงป่วง ลงราก โรคห่า ละลายน้ำยา ด้วยน้ำฝนกินให้อิ่มหายพลัน ถ้ามิฟังเอาเปลือกมะม่วง ๓
เปลือก ต้มใส่ปูนน้อยหนึ่ง ต้ม ๓ เอา ๑ ละลายกินเถิดหาย

แก้บิดมูกเลือด ขมิ้นข้น ๓ แว่น ทายาฝิ่นหรือขี้ยากรอบงโรยลงปิ้งไฟเกรียม บดด้วยน้ำปูนใสใส่ยา
๑ เม็ดกิน ๓ ที หายดีนัก แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อใช้น้ำขิงต้ม

แก้โรค อุปทม ทุเลาวสา มุตกิต มุตฆาต ยักน้ำกระสายธาตุ ๔ ต้ม ให้ถ่ายใช้เกลือหนัก ๑ ชั่ง
ธาตุหนักก็เพิ่มขึ้น ใบมะขามต้มเป็นกระสาย

องคชาติปวดแสบในลำปัสสาวะ เมื่อปัสสาวะเป็นกำลังบานไม่รู้โรยขาว ทั้งห้าต้นแทรกสารส้ม
รำหัสละลายยากินเถิดหาย มักหนักถ่วงท้องน้อย บางครั้งมีแน่นให้เอาใบมะดัน ๙ ใบลงด้วยนวหรคุณต้ม
แทรกสารส้มกินหาย เมื่อทุเลาแล้วแต่งยาชื่อกษัยองคสุตรกินเสียหายแล

แก้หัวพิษ หัวกาฬ หัวละลอก ใช้น้ำครำฝนยาทาใช้น้ำขี้เถ้าดินเผาไฟก็ได้ใบมหากาฬตำก็ได้

แก้บาดทะยัก เอาผักปราบตำใส่ปูน น้ำมะนาวบีบลงในยานี้ทาหาย ถ้าชักกระตุกแล้วให้รีบทาเถิด
ยักยาอื่นตายแล

อนึ่งทารกแรกเกิด ให้เอายาฝนกับน้ำผึ้งรวงแล้วหยอดให้ทารกนั้นกิน ๓ วันแรกเสียงจะดีนักแล
เลี้ยงง่ายปัญญาดีแล

ถ้าให้มีปัญญาพาที ให้เสกด้วยพระคาถานี้ ๓ จบ แล้วอมยาไว้จะเล่าบ่นมนต์คาถาสารพัดวิชาจำได้สิ้น
ที่เลือกลืมหลงก็นจะรำลึกได้แล

ให้เสกด้วยมนต์มหาจินดาติดตัวไปเป็นเสน่ห์บังเกิดลาภผลที่ตนปรารถนาแล

ให้เสกด้วย พัสสมิงกิเนนโตฯ สู้ความชนะ

ให้เสกด้วย เอกจินดา มณีมนตํ ติดตนไปเป็นมหานิยมภาวนา อุอากะสะ ทำการไร่นามิเหนื่อยแล

ให้ภาวนาด้วยบท ยันทุนนิมิตตัง จบหนึ่งเอายาติดตัวไว้กลัวลางนิมิตร้ายแล

อมยาแล้วนั่งเหนือลมภาวนา อิตถีจิตตํ ปิยํ มะมะ รักและหลงเรา จากไปมิได้แล

เมื่อจะเดินทางไปสารทิศ เข้าหายเจ้านายผู้ใหญ่ ใช้ยานี้แช่น้ำใช้น้ำนั้นสระหัวอมยา แล้วภาวนา
สัตถาเทวมนุสสานัง พุทโธ ภควาติ ๗ คาบผู้ใหญ่ เจ้านายหายโกรธ ช่วยเหลือเราทุกทางเลย

ถ้าเผชิญด้วยหมู่ศัตรูหมู่ร้าย ให้อมยาแล้วภาวนาพามานา อุกะสะนะทุ ๘ คาบ ชนะศัตรู ศัตรูทำร้าย
มิได้ แคล้วคลาดสารพัดแล

เอายาติดตัวไปป้องกันสรรพโรคภ้ย ป้องกันเสนียดจัญไร กันย่ำยีด้วยคุณไสย คุณผี คุณคน สารพัด
พิษ ผิดสำแดง เมื่อต้องยาเบื่อมา เอารากมะปรางหนึ่ง หัวนุมานกระทบแท่งหนึ่ง ฝนทำน้ำกระสาย หรือ
เอาแต่อย่างหนึ่งก็ได้กินเถิดมิเป็นไรอย่าประมาทเลย เคยแก้ยาสั่งมาแล้ว ถ้าติดตัวไปมิต้องเราแล

ให้มีติดตัวถึงราวอับจนจะได้ใช้ ตามืด หูมืด ใช้ได้ทุกเมื่อ มีอำนาจวิเศษคุณมากตีค่าไว้ถึง ๘ ชั่งทองแล

ที่ต้องเอาเกล็ดและฝอยของยาจินดามณีหรือยาวาสนาตำรับวัดปากคลองบางครก อ.บ้านแหลม
จ.เพชรบุรี มาลงไว้เสียยืดยาว ก็เพราะว่าต้องการให้ผู้อ่านเทียบเคียงกันดูว่าทั้งตัวยาและอุปเท่ห์การใช้นั้น
มีส่วนเหมือนและคล้ายคลึงกันมากซึ่งก็ไม่ใช้เรื่องแปลก เพราะสูตรดั่งเดิมของการสร้างยาจินดามณีนั้น
เป็นศัตรูเก่าแก่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เพียงแต่แตกสาขาออกไปหลายสาย โดยเฉพาะสายวัดกลางบางแก้วนั้น
ได้สืบทอดมาแต่ท่านเจ้าคุณวัดราชนัดดาที่มามีชื่อเสียงแพร่หลายกว่าสายอื่นนั้น ก็คงเนื่องจากตบะบารมี
ของหลวงปู่บุญท่านสูงส่งและแก่กล้ากว่าเท่านั้นเอง แต่ก็ใช้ว่าสูตรยาจินดามณีของสำนักอื่นไม่มีหรือมี
แต่จะด้อยสรรพคุณกว่าก็หาไม่ เพราะอันพระเถราจารย์เจ้าในยุคเก่าๆ นั้น ท่านเชี่ยวชาญเข้มขลังไม่แพ้กัน
หรอกครับ แต่ละท่านต่างก็ยกย่องซึ่งกันและกัน แต่มาชั้นหลังรุ่นพวกเราเหล่าลูกศิษย์ชักจะมีคติถือครูบา
อาจารย์ถือสำนัก แบ่งพรรคแบ่งพวกกันเสียแล้ว ผู้เขียนไม่เห็นด้วยเลยครับ อย่างไรเสียก็ควรจะช่วยกัน
รักและอนุรักษ์ของเก่าแก่ดั่งเดิมเอาไว้เถอะครับ แม้จะต่างวัด ต่างสำนักกันก็อย่าได้มองข้ามหรือดูแคลน
กันนักเลย
 พระคาถาเสกยาจินดามณี

"จินดามณี ปิยังมันตัง ยะสังธาสังโกนัง อุปะสันติ สิเนหัง มาตาปิตาวะ โอระหัง ปะโพตันจะ
มหาราชา ตะวังมังโปสัตถุ โนทีปัง กาเรเทโว สุโป เสทิ กิญจิ เทโว เย สักโก ปัชชัง ทัสมิง กินเนวา
ทัตตาปิยัง กันตัง สาริปุตโต ภวันตุ เม สิทธิลาภัง ชนานะเย มณีจินดา ปิยัง จะ ธะนังสัพเพชะนา
พหูชะนา ปิยังมะมะ"

มนต์จินดาบทนี้มีคุณเป็นเอนกประการ ขอให้ผู้มีเม็ดยาหรือพระยาจินดามณี หมั่นท่องบนภาวนาเป็นประจำ
จะช่วยเสริมอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์ของยาให้บังเกิดสรรพคุณเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ แต่หากท่านยังไม่มีเม็ดยา
หรือพระยาจินดามณี ถ้าจะจดจำเอาไว้สวดภาวนาอยู่เป็นนิจก็ไม่ถือว่าเป็นความผิด พุทธคุณนั้นมากหลาย
โดยจะขอจำแนกแจกแจงตามวิธีใช้ดังต่อไปนี้

ขอทบทวนบทที่เขียนไปแล้ว ๒ บทด้วยคือ

ถ้าเกิดคดีความขึ้นโรงขึ้นศาล ให้เอายาใส่น้ำเสกด้วย "เอกัง จินตามณีมันตัง" เป็นเมตตามหานิยม แล้ว
เอาน้ำปะพรมศรีษะ แล้วอมเม็ดยาไว้ตลอดเวลาจะชนะความสิ้นแล และเป็นเมตตามหานิยมแก่คนทั้งปวง

ถ้าให้ปัญญาดีเสกด้วยคาถาบทนี้ ๓ จบ "ตะโต โส ปัณฑิโต ปีหิโส อัตถะทัสสิ มะโหสะโถ" แล้วอมยา
จะท่องบ่นมนต์คาถาสารพัดวิชาจำได้สิ้นที่หลงลืมก็จะรำลึกได้

ถ้าป้องกันงูและสัตว์พิษ ให้ท่องมนต์บทนี้ "เอกัง จินตามณี นาคา มันตัง" งูทุกชนิเจะไม่อาจทำอันตรายได้

ถ้าอยากจะให้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในการงานท่านให้ภาวนามนต์ต่อไปนี้ "อุ อา กะ สะ"

ถ้าต้องการให้เหตุร้ายกลายเป็นดี ท่านให้ภาวนามนต์ต่อไปนี้ ให้ภาวนาด้วยบท
"ยันทุนนิมิตตัง อวมังคะลัญจะ"

ถ้าอยากให้คนรัก รักเราเป็นนิรันดร์ท่านให้อมเม็ดยาเอาไว้ แล้วนั่งเหนือลมภาวนามนต์
"อิตถี จิตตัง ปิยัง มะมะ"

เมื่อจะเดินทางไปสารทิศใด เข้าหาเจ้านาย ผู้ใหญ่ ให้เอายาแช่น้ำ ใช้น้ำนั้นสระผม อมเม็ดยา ไว้แล้ว
ภาวนา "สัตถา เทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ" ๗ คาบ ผู้ใหญ่เจ้านายหายโกรธ ช่วยเหลือเราทุกเมื่อ

ถ้าเผชิญศัตรูหมู่ปัจจามิตร ท่านให้อมเม็ดยาแล้วภาวนาว่า "พามานา อุ กะ สะ นะ ทุ" ๘ คาบ ชนะศัตรู
ศัตรูทำร้ายเรามิได้ แคล้วคลาดสารพัดแล

268
เพื่อ เป็นการเผยแพร่เกียรติคุณ ของหลวงพ่อ ขอขอบคุณ คุณเขี้ยวเพชร

http://img120.imageshack.us/img120/826/pic69862as1.jpg
http://img157.imageshack.us/img157/6417/anspic466272ag3.jpg
http://img134.imageshack.us/img134/2574/anspic466312yb0.jpg
http://img244.imageshack.us/img244/3716/anspic466341bp8.jpg
http://img291.imageshack.us/img291/3010/anspic466342ml6.jpg

269
กุมารทอง อุ้มทรัพย์ รุ่น มหามงคล 79 สร้างเมื่อ 12สิงหาคม 2544
คาถาบูชา นะโม 3 จบ กุมาโรมา มะมะ เอหิจิตตัง ปิยังมะมะ โสกุมาโร นะโมพุทธายะ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

270
ผมว่า หลวงพ่อสำอางค์ เจ้าอาวาส องค์ปัจจุบัน ได้พัฒนาวัดบางพระ ของพวกเราให้เจริญก้าวหน้า โดยการสร้างถาวรวัตถุหลายอย่าง เช่น
       1) ซ่อมแซม ปฏิสังขร อุโบสถ์ หลังเก่าสมัยกรุงศรีฯ ให้คงทนถาวร ไม่ให้เสือมสลายตามกาลเวลา
       2) ปรับปรุงภูมิทัศน์ บริเวณเขื่อนริมน้ำ และปลูกต้นไม้สวยงาม
       3) ปรับปรุงพระสิวลี
       4) สร้างที่สักการะ พระโพธิสัตว์กวนอิม ให้สวยงาม
       5) สร้างมุขหรือมณฑป สำหรับ รูปหล่อหลวงพ่อเปิ่นขี่เสือ ให้สวยงาม
       6) บูรณะระฆังยักษ์ สมัยหลวงพ่อเปิ่นเททอง ให้แล้วเสร็จ
       7) สร้างฆ้องยักษ์ และได้นำขึ้นแขวนในซุ้ม รูปราหู
       8) สร้างรูปเหมื่อน องค์ใหญ่ หน้าลานวัด เป็นต้น
ผมว่าวัดของเราพัฒนาไปจริงๆ
          ขอขอบคุณ คุณFOX ที่ได้โพสท์รูปไว้ :054:

271
ทดสอบ ตาม ลิงค์  http://img240.imageshack.us/img240/7449/3268ro7.jpg

272
วิชาอาคม ไสยศาสตร์ นั้นมีจริง วิชาคงกระพันชาตรี แม้ในปัจจุบันฏ้ยังหลงเหลือให้เห็นอยู่บาง ดังภาพ ต่อไปนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่ ของวัดบางพระ แต่ว่าเป็นการยืนยันว่ามีอยู่จริง

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

273
ไม่ทราบใครอยู่ใกล้วัด ช่วยตอบหน่อย  วันแข่งขันเรือยาวประเพณี ชิงถ้วยพระราชทาน วัดบางพระมีแข่งวันไหน :010:

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

274
ปัจจุบันนี้อะไรๆก็เปลี่ยนไป สังคมก็เปลี่ยนไป จิตใจมนุษย์ก็เปลี่ยนตาม
แต่สิ่งหนึ่งที่มิเคยเปลี่ยนคือคำว่าศิษย์กับอาจารย์
วันนี้ตัวผู้เขียนเองได้นั่งนึกย้อนไปถึงเรื่องราวต่างๆนานาที่ผ่านเข้ามาในชีวิตในการเป็นนักข่าวผ่านสงครามทั้งในและนอกประเทศมามากมายหลายสนามรบ
ก็มีเพียงรอยสักยันต์และพระเครื่องของหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา
เป็นเครื่องเตือนใจเสมอมา
สมัยก่อนเมื่อ50ปีที่แล้วพระเกจิที่ขึ้นชื่อลือชาก็มีไม่กี่ท่าน
แบ่งเป็นตามภูมิภาค ภาคเหนือก็หลวงปู่แหวน ครูบาศรีวิชัย
ภาคกลางก็อาจเป็นสายลุ่มแม่น้ำนครชัยศรี หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม หลวงพ่อเพิ่ม
วัดกลางบางแก้ว หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ
ภาคใต้ก็มีหลายท่านไม่จะเป็นสายเข้าอ้อ สายหลวงปู่ทวด(อาจารย์ทิม อาจารย์นอง)
สายอีสานก็มีมากมายนับไม่ถ้วนเรียกได้ว่าทุกภาคมีเพชรเม็ดงามกันทุกที่แตกต่างกันไป
หลังจากสิ้นบุญหลวพ่อจง ผมก็ไปพึ่งหลวงพ่อสุด วัดกาหลง
ที่ตี๋ใหญ่เคยไปพึ่งบารมีแต่ผมไม่เคยเห็นตี๋ใหญ่เลย
เคยไปเฝ้าทำข่าวก็ล้มเหลวทุกครั้ง เคยถามหลวงพ่อท่านว่าตี๋ใหญ่มีอะไรดี
ท่านตอบผมว่า มันไม่มีอะไรดีหรอก ของที่มันได้ก็เหมือนที่ข้าให้เองนั้นแหละ
แต่ที่มันอาจจะมีมากกว่าใครๆก็คือความเชื่อ มัรเชื่อในครูบาอาจารย์มาก
วิชาที่มันร่ำเรียนก็หัดท่องจำเอาจนขึ้นใจหมั่นฝึกบ่อยๆก็เก่งเองก็เหมือนมีดที่ได้รับการลับอยู่บ่อยๆเพียงแต่มันใช้มีดไปในทางที่ผิดไปปล้นจี้เขา
กรรมมันเลยตามทัน ก็คงเป็นที่ประจักษ์กันอยู่แล้วว่าตี๋ใหญ่เสียชีวิตอย่างไร
ก็เพราะตี๋ใหญ่เองกลับมาหาหลวงพ่อสุด
เพื่อมาขอของดีที่ทำหลุดหายไปเมื่อหนีตำรวจครั้งสุดท้าย
แต่หลวงพ่อท่านรู้ล่วงหน้าว่าต้องมาขอของอีกท่านกลัวว่ามันจไม่จบไม่สิ้น
เพราะความเป็นพระเจ้าคนมาขอความช่วยเหลือยังไงก็ต้องช่วย
ก็คงเหมือนหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระเพชรเม็ดง
มอีกเม็ดหนึ่งที่ใครมาขอให้ท่านสักยันต์ในสมัยก่อน ก็สักให้ทุกรายไป
จนเกิดเรื่องการลองของกันจนตาย (จะเล่ารายละเอียดในช่วงหน้า)
กลับมาเรื่องตี๋ใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
เมือมาหาหลวงพ่อไม่พบตี๋ใหญ่จึงออกจากวัดไปโดยไม่เหลียวใจว่าจะเกิดเรื่องแต่ตัวหลวงพ่อท่านรู้อยู่แล้วว่ากรรมของมันตามมาเอาคืนแล้ว
ตำรวจได้ซุ่มดักรออยู่แล้วจากการให้เบาะแสของลูกน้องตี๋ใหญ่คนหนึ่ง
การยิงตอบโต้กันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับจอมโจรชื่อดังได้เกิดขึ้นตัวผู้เขียนเองเสียดายที่ไม่ได้เก็บภาพไว้ทันเพราะกว่าจะรู้ข่าวก็จบเรื่องเสีย
เพราะสมัยนั้นไม่มีมือถือเทคโนโลยีที่ทันสมัย
พอไปถึงที่เกิดเหตุก็ได้ไปสอบถามจากชาวบ้านได้ความว่าตัวตี๋ใหญ่เอวมิได้เกรงกลัวตำรวจเลยกลับยิงตอบโต้เหมือนจะรู้ว่าวันนี้เป็นวันตัดสินชะตาตัวเอง
กระสุนปลิวไปปลิวมายังกับสงครามย่อยๆแต่ไม่มีลูกใดเลยที่ถูกตัวตี๋ใหญ่
จนเวลาผ่านไปพอสมควรเหตุการณ์ทุกอย่างก็ปิดฉากลง สิ้นสุดตำนานอันลือลั่น
จอมโจรจอมขมังเวทย์ ยุคนั่นเลยเป็นยุคที่นักเลงหัวไม้ทั้งน้อยใหญ่
มือปืนทั่วสารทิศ วิ่งเข้าหาหลวงพ่อสุด วัดกาหลง เป็นแถว
ท่านจึงตัดสิ้นใจเลิกสักยันต์ คงเหลือไว้เพียงวัดถุมงคล เพียงน้อยชิ้น
เพราะแม้แต่วัตถุมงคลของท่าน
ตัวท่านเองก็มิอยากสร้างเพราะกลัวคนจะนำไปใช่ในทางที่ผิด
ส่วนใหญ่ที่เราเห็นๆกันศิษย์สร้างให้ทั้งนั้น
ตัวผู้เขียนอยู่รับใช้ท่านจนวาระสุดท้าย
หลังจากนั้นตัวผู้เขียนเองก็ได้ไปพบกับหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ
ไม่ใช่จากใครที่ไหนหรอก แต่เป็นข่าวดังบนหน้าหนังสือพิมพ์ในสมัยนั้น
พาดหัวข่าว "กลุ่มวัยรุ่นคึกคนองลองของกันกลางทุ่ง เสียบดับสวนทวารคาที่ "
เหตูเกิดเพราะได้มีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งย่านบางพระ นั่งดื่มสุรากัน
เกิดคุยโวโอ้อวดถึงอาจารย์ที่ตัวเองไปสักยันต์ว่าเหนียวแค่ไหน
วัยรุ่นอีกคนก็ไปสักกับอีกอาจารย์หนึ่งมาย่านนั้นก็เกิดความหมั่นไส้
เมื่อโดนท้าเข้ามากๆก็เกิดการลองของขึ้นมา
หยิบขวดเหล้าทำปากฉลามแทงไปที่หน้าอกเต็มแรงเสือขาดกระจุยเห็นลายเสือเผ่นอันโด่งดัง
เมื่อเจ้าตัวก่อเหตุได้ใจว่าตัวเองหนังเหนียวเลยท้าขึ้นอีก
ความโกรธทวีความรุนแรงขึ้น
ชักมีกฟันหญ้ายาวศอกว่าฟันไปที่หลังล้มลงตามแรงมืองานนี้คาดว่าไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต
เจ้าตัวดียังลุกขึ้นมามองหน้ากวนประสาทล้อเลียน ถึงครูบาอาจารย์ฝั่งตรงข้าม
เอาละสิเล่นถึงครูใครจะยอม พวกล่อไม้ไผ่ด้ามแหลม ดึงแขนขาเสียบสวนทวาร
***ตัวร้ายร้องลั่นทุ่งด้วยความเจ็บปวด เลือดพุ่งกระจายไปทั่ว
จบตำนานสยอง***หนุ่มหน้ามนคนชอบลองของ จะสมน้ำหน้าก็กระไรอยู่คนตายไปแล้ว
คนสักยันต์หรือคนมีครูอย่างเราๆเขาไม่ทำกันอย่างนี้หรอกมันเป็นการดูถูกครูบาอาจารย์
เรื่องยังไม่จบแค่นั่นเดือดร้อนถึงหลวงพ่อเปิ่น
ซึ่ง***ตัวการหนังเหนียวเรื่องนี้เป็นบุคคลที่มาสักยันต์กับท่าน
ผู้เขียนเองไม่อยากใช้คำว่าศิษย์กับบุคคลประเภทนี้
ทางตำรวจได้มาขอร้องว่าให้หลวงพ่อเลิกทำการสักยันต์เพราะคนที่รับการสักยันต์บางบุคคลได้ไปทำการผิดกฎหมาย
เกเร หลวงพ่อท่านตอนแรกก็ยังมิได้ตัดสินใจเลิก เพียงแต่ตอบไปว่า
ศิษย์ของท่านมีมามายนับไม่ถ้วนมิสามารถควบคุมได้ทุกคน
และคนที่มาสักยันต์เขามาขอความช่วยเหลือ
ความเป็นพระจะปฎิเสธยังไงละ...เพียงไม่นานก็มีพระผู้ใหญ่มาบีบท่านให้เลิก
ก็เลยปิดตำนานเข็มสักอันลือลั่นของลุ่มแม่น้ำนครชัยศรีคลเหลือเพียงแต่พระลูกวัดที่คอยเป็นลูกมือท่านช่วยสักยันต์ให้และให้ท่านคอยเป่ากำกับอีกครั้งหนึ่ง

ตัวผู้เขียนได้เข้าไปหาท่านก็ตอนท่านเลิกสักยันต์แล้วตอนนั้นก็มีท่านเจ้าสัวชื่อดังของภูเก็ตทราบข่าวความดังของหลวงพ่อท่าน
เข้าไปหาพร้อมๆกับตัวผู้เขียนเองท่านคือดร.ไมตรี บุญสูง
คนวงการพระเครื่องและคนภาคใต้รู้จักท่านดี
ดร.ไมตรีท่านผู้นี้แหละศิษย์ฆราวาสแถวหน้าอีกท่านในสายเขาอ้อ
เป็นลูกศิษย์อาจารย์ชุม ไชยคีรีผู้โด่งดังจากผู้ร่วมสร้างพระเสด็จกลับ
ท่านดร.ไมตรีได้มาขอสักยันต์กับหลวงพ่อเปิ่น
แต่น่าเสียดายท่านได้ออกวาจาไปแล้วว่าวางเข็มไม่สักให้ผู้ใดแล้ว
ท่านดร.ได้แต่เก็บความต้องการไว้ในใจตลอดมาจนวัหนึ่งหลวงพ่อท่านเห็นความตั้งใจอันแน่วแน่
จึงรับดร.ไมตรีเป็นลูกบุญธรรม และทำการสักยันต์สร้อยสังวาลย์ให้
นับว่าเป็นรอยสักสุดท้ายของตำนานเสือเผ่นอันโด่งดัง
ซึ่งการรับดร.ไมตรท่านเป็นลูกบุญธรรมนั่นเป็นการไม่ผิดสัจจะแต่อย่างใดเพราะท่านเอยวาจาว่าจะไม่สักยันต์ให้ศิษยืคนใดแต่ดร.ไมตรีเป็นลูกก็ไม่ได้ผิดข้อตกลงอันใด
เป็นความอันชาญฉลาดของหลวงพ่อท่านที่สามารถแก้ปัญหาไปได้
ตัวผู้เขียนเองก็พยายามขอร่วมแจมด้วยแต่บารมีไม่ถึงเลยได้แค่ลายสักยันต์ของอาจารย์ญาไป
แต่ท่านก็เมตตาเป่ากำกับให้ทุกครั้ง
ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าถึงจะไม่ได้รับการสักยันต์จากท่านแต่ถ้าเราระลึกถึงและมีจิตศรัทธา
ก็เหมือนกัน ตัวผู้เขียนได้ทำการสักเสือเผ่นไว้ที่หน้าอก มีเก้ายอดแปคทิศ
ตบท้ายด้วยหมูทองแดง
ประสบการณ์ที่เกี่ยวกับการสักยันต์ของท่านนั้นก็มากมายเหลือเกินแต่ครั้งที่จำได้เสมอไม่เคยลืม
พึงเข้าใจว่าของแรงเป็นอย่างนี้เอง
ก็ตอนที่ตัวผู้เขียนถูกลูกหลงจากการทำข่าวพฤษภาทมิฬ
คนที่อยู่ในเหตุการณืวันนั้นคงทราบโดยเฉพาะนักข่าวอย่างเราๆ เป็นตายเท่ากัน
กระสุนโดนเข้าเต็มอก ไม่ใช่ดอกเล็กๆนะ เอ็ม16เม็ดเท่าดินสอแท่งใหญ่
ตัวกระเด็นไปไกลมากคิดว่าไม่รอดแน่แล้ว วันนั้นพระติดตัวก็มีแค่หลวงพ่อจง
หลวงพ่อสุด หลวงพ่อเปิ่น และลายสักยันต์หลวงพ่อเปิ่น
เพื่อนร่วมชะตากรรมเล่าให้ฟังว่า ตัวผู้เขียนไม่ได้แค่โดนนัดเดียว
เพราะดูจากกระเป๋ากล้ง และเสื้อกั๊กที่ใส่รูไม่ต่ำกว่าห้านัด
เห็นกระเด็นไปไกลมากไม่นึกว่าจะรอดทุกคนนอนก้มลงกับพื้นเสียงร้องดังลั่น
คนตกใจกันทั่วตัวเพื่อนผู้เขียนเองกว่าจะลุกขึ้นตามหาเจอก็เกือบครึ่งชั่วโมง
โดนหิวไปอยู่ข้างริมถนน ข้าวของแตกหักเสียหายไปหมด รอดมาได้
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
คุณครูบาอาจารย์โดยแท้ที่รอดมาได้สิ่งศักสิทธิ์เวลาท่านช่วยก็มาช่วยตอนที่เราเดือดร้อนจริงๆและ***จำพวกชอบลองของ
ของขึ้นแบบคิดไปเองเลิกเถอะหลานๆเอ๋ย!!
เป็นการดูถูกครูบาอาจารยืชีวิตมันจะไม่เจริญเอานะ ตัวเราเองนั่นแหละรู้ดี
อย่าสร้างกระแสความนิยมของขึ้นหรือการลองของเลย
ตัวหลวงพ่อท่านเองก็เคยพูดต่อหน้าศิษย์นับพันเลย ว่า
พวกของขึ้นมันจิตอ่อนคิดไปเอง ความศักสิทธิ์เกิดจากความศรัทธา
และความเชื่อมั่น ครูบาอาจารย์ก็จะคุ้มครองเอง
เด็กๆสมัยนี้คงไม่เคยได้ยินคำนี้เพราะคงไม่ทันหลวงพ่อ
ลองเอาคำถามนี้ไปถามหลวงพ่อแล วัดพระทรง หรือหลวงพ่อ
ที่สักยันต์ชั้นแนวหน้าคนไหนดูก็ได้ ว่าของขึ้นเป็นอย่างไร
แต่ตัวผู้เขียนเองไม่ปฎิเสธว่าไม่มีเลยทีเดียว
แม้แต่ตัวผู้เขียนเองก็เคยของขึ้นเมื่อได้ไปสักยันต์กับอาจารย์เสือ
ก่อนหน้านี้ผู้เขียนเคยเล่าเรื่องท่านไปบางส่วน
ตัวผู้เขียนได้ไปทำการสักยันต์พาลีกับท่าน
ตัวลูกศิษย์อาจารย์เสือท่านเตือนว่าสักของพวกลิงพวกหนุมาณจากอาจารย์เสือไประวังหน่อยนะเดี๋ยวจะมีเรื่องมีราวรับน้องกันเสียก่อน
ตัวผู้เขียนเองก็แก่คราวลุงแล้วจะให้ไปรับน้องสถาบันไหน
เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงนั่งทานข้าวต้มกับลูกน้อง
โดนมือดีข้างโต๊ะทะเลาะกันมีของแถมโยนขวดมาโดนศรีษะดังเปรี้ยง ของขึ้นเลย
พึ่งเคยเป็นครั้งแรกในชีวิต
ตอนฟุบตัวลงไปเหมือนคนกึ่งหลับกึ่งตื่นแต่เห็นตัวเราเองไปลุยกับวัยรุ่นกลุ่มใหญ่อย่างลืมอายุ
ลูกน้องเล่าให้ฟังว่าตัวผู้เขียนเมื่อโดนขวดล้มลงไปแล้วก็ลุกขึ้นหน้าตาดุดันร้องเสียงกระโฉกโหกหาก
พ่มตัวกระโดดปล้ำตะลุ่มบอนอย่างไม่เกรงกลัวเรียกได้ว่า5ต่อ1
พวกวัยรุ่นทั้งรุ่มทั้งต่อย
แต่ก็สู้แบบไม่รู้สึกเหนื่อยจนพวกวัยรุ่นวิ่งหนีเตลิดไปรู้สึกอีกทีก็หน้าบวมแต่ไม่ยักมีเลือดแต่บวมมากๆดูหน้าตากันไม่ออกเลย
ลูกน้องรีบวิ่งมาดูบอกคำเดียวว่าต้องเย็บแต่
ตัวผู้เขียนเองแค่นำผ้าเย็นมาลูบหน้าสักพักก็ยุบเองสร้าความประหลาดใจให้ลูกน้องมาก
ว่าอายุอานามก็ขนาดนี้แล้วเอาแรงมาจากไหน ตัวผู้เขียนก็ได้แต่ยิ้มและบอกว่า
ของดีเขาไม่ให้อวดกัน พวกขี้อวดไปไม่รอดหลอก
นั้นถือประสบการณ์ของชายวัยใกล้ปลดเกษียณ ที่ทำให้เด็กรุ่นลูกเห็น
กลับไปคราวนี้ได้พูดคุยกับเรื่องนี้กับท่านอาจารย์เสือ
ท่านบอกว่าครูของสายท่านแรงมากนะอย่าได้ล้อเล่น
การที่โดนคราวนี้ท่านเตือนให้มีสติ ทำอะไรให้ครองสติเอาไว้
พวกกินเหล้าเมายาไม่มีสติครูบาอาจารย์ท่านไม่ชอบหลอก
ท่านขึ้นให้เห็นว่ามีอยู่จริงให้รักษาเอาไว้ให้ศรัทธาและเชื่อ
อย่าเอาไปใช้อย่างไม่มีความคิด พอถึงเวลาเข้าจริงๆแล้วใครจะมาช่วยเรา
ถ้าตัวเราเอาไปลองของจนไม่เหลืออะไรแล้ว
แล้วทำไมตอนสักยันต์ถึงไม่ขึ้นเหมือนท่านอาจารย์อื่นๆละ..เป็นคำถามที่ผู้เขียนถามเพราะความอยากรู้

ท่านตอบว่าก็อย่างที่พูดนั่นแหละขึ้นซะตอนนี้แล้วเอาเข้าจริงอย่างที่เอ็งไปเจอแล้วใครจะช่วย
เออจริง !! ซุปเปอร์แมนไม่ได้บินมาช่วยเราทุกวัน
ถ้าวันหนึ่งเรามัวแต่ลองของเพราะความอยากรู้เอาอขาจริงคงลำบาก
แต่โดยส่วนตัวของผู้เขียนคิดว่าท่านอาจารย์เสือไม่อยากทำให้ของขึ้นทั้งๆบางทีมีศิษย์มาให้ปลุกก็ขึ้นบ่อยๆ
อาจเป็นเพราะท่านไม่อยากให้เกิดความคึกคะนองได้ใจ
ตัวผู้เขียนเคยเขียนประวัติท่านลงในคอลัมน์พระเครื่องเล่มหนึ่งนานมาแล้วเมื่อ5-6ปีก่อนตอนท่านอยู่คลองถม

ท่านอาจารย์เสือถึงจะมีอายุน้อยกว่าตัวผู้เขียนแต่ความนับถือของผู้เขียนเองมิได้น้อยตามอายุเลย
เพราะชื่อเสียงของท่าน และความที่ท่านเป็นคนตรง พูดจริงทำจริง
มิเคยมีประวัติที่เสียหายอันใด เรียนมาจากพระอาจารย์จริง
เรียนจากท่านไหนมามีหลักฐานเป็นภาพถ่าย ตำราทุกท่าน มิได้โคมลอยขึ้นมา
การที่เป็นอาจารย์ทางสายนี้ได้ต้องรู้ทุกด้าน รู่เรื่องราวที่สืบทอดกันมา
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีที่มาและที่ไป มีครูถึงมีศิษย์
ไม่ใช่เอายันต์ใครมาและบอกว่าเป็นของตัวเอง
ตัวท่านอาจารย์เสือไม่เคยพูดว่าท่านเป็นผู้วิเศษเลยท่านจะเรียกตัวเองว่าศิษย์มีครู
เราเป้นแค่ผู้มีวิชา วิชาเกิดจากการเรียนรู้ ต้องมีครู
ถึงเรียนมาจากหนังสือก็เป็นครูเหมือนกัน ตัวเราเอง
ที่ทำของเสกของได้ดีก็เพราะครูบาอาจารย์ท่านมาช่วยเราเกิดมาตัวเปล่ามิได้มีอะไรติดตัวมา
ท่านเป็นคนถ่อมตัวมาก คมในฝัก เป็นคนเก็บตัวไม่ค่อยชอบพบปะผู้คน
มีความเป็นส่วนตัวสูง พระเกจิอาจารย์ที่เก่งๆก็เป็นแบบนี้หลายท่าน
ท่านเคยพูดกับผู้เขียนหลายครั้งว่าอยากจะหยุดสักยันต์
เพราะธุรกิจทางบ้านเยอะมากไม่มีเวลาดูแลทั่วถึง
ไหนจะกิจของสงฆ์ที่มาให้ช่วยสร้างพระ ปลุกเสกวัตถุมงคล
แค่นี้วันๆก็ไม่พักผ่อนแล้ว
เดี๋ยวนี้ใครจะพบท่านต้องนัดล่วงหน้าไม่อย่างงั้นส่วนใหญ่อด
ท่านอาจารย์เสือมักพูดกับศิษย์ทุกคนเสมอๆว่าเอาของดีเราเก็บไว้บูชาเมื่อเราไม่อยู่หรือไม่มีเวลาช่วยแล้ว
ยังมีของๆเราไว้ช่วยเหลือ จะไม่โดนใครหลอกลวง
มีลูกศิษย์ท่านหนึ่งทำกิจการโดนคู่แข่งกลั่นแกล้ง ทั้งคดีฟ้องร้อง
ส่งคนมาข่มขู่แถมร้ายสุดโดนทำของใส่ มาหาอาจารย์เสือตามคำแนะนำของเพื่อน
ท่านไม่พูดอะไรมากมอบวัวธนูตัวเล็กไปตัวหนึ่งและแนะนำวิธีใช่ให้แล้วบอกไม่ต้องห่วงอะไรพ่อวัวบูชาเขาดีๆยึดติดเข้าไว้ให้มากๆ
ทุกอย่างจะสมหวัง ปรากฎว่า
ผ่านไปอาทิตย์หนึ่งศิษย์คนนี้กลับมาพร้อมบายศรีชุดใหญ่มาถวายให่อาจารยืเสือบอกทุกอย่างสำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อคดีความชนะ
คนที่ส่งมาทำร้ายก็เกิดอุบัติเหตุปางตาย
ของที่ถูกส่งมาได้ข่าวว่าอาจารย์ผู้กระทำเป็นบ้าเป็นบอไป
เป็นเรื่องที่หน้าประหลาดมากสำหรับวัวธนูของท่านถ้าใครได้ไปหาท่านจะเห็นวัวธนูที่ท่านบูชาอยู่เรียงรายคอยเป็นกำแพงกั้นผู้ที่ไม่หวังดีมาทำร้ายอาจารย์และยังสามารถให้โชคให้ลาภแก่ศิษย์ได้
มีศิษย์ท่านหนึ่งเปิดร้านค้าTattoo บริเวรใกล้เคียง รถที่ซื้อมาป้ายแดงหาย
มาขอความช่วยเหลือท่านอาจารย์เสือ
ท่านให้บอกลองบนพ่อวัวดูสิท่านเก่งนักเรื่องนี้ เพียงแค่เดือนเดียว
รถกลับมาจอดในสภาพเดิมป้ายยังแดงอยู่ทั้งๆในใจเจ้าของคิดว่าปานนี้คงข้ามฝากไปชายแดนหรือไม่ก็เป็นอะไหล่ไปแล้ว
ต้องกลับมาแก้บนพ่อวัวยกใหญ่
หลายๆท่านไปหาอาจารย์เสือมักถูกพ่อกุมารทั้งหลายที่ท่านเลี้ยงอยูแกล้งประจำบางคนโดนจี้เอว
โดนสะกิตหลังจนตกใจกันเป็นแถว
ท่านอาจารย์เสือบอกว่ากุมารของฉันเลี้ยงมาเป็น30ปีเลี้ยง
ทุกองค์ก็แรงๆทั้งนั่นละนะซนจนห้ามไม่อยู่บางคนโดนเข้าฝันให้ซื้อขนม
น้ำแดงมาฝาก บางคนบนอะไรก็ได้อย่างรวดเร็ว
ของดีๆท่านมีเยอะมากเรียกได้ว่าอยากได้อะไรบนได้ทุกอย่าง
...ท่านที่เดือดร้อนร้องมาขอความช่วยเหลือดู
ส่วนตัวผู้เขียนเองเมื่อปลายปีบนขอรถประจำตำแหน่งสักคัน
ก็สมหวังอย่างหน้าประหลาดใจแก้บนกันยกใหญ่
ช่วงเร็วๆนี้ท่านอาจารย์เสืออาจต้องไปที่เขมรบ่อยครั้งเพื่อไปทำธุระ
ยังไงท่านใดต้องการไปพบท่านกรุณาโทรล่วงหน้านัดท่านด้วย ส่วนศิษย์พี่
ๆน้องๆทั้งหลายอย่าลืมนะครับทุกวันพฤหัสเราครอบครูกันทุกอาทิตย์เพื่อความเป็นศิริมงคล
ขออโหสิกรรมในสิ่งที่เราทำผิดไปกับครูบาอาจารย์ บุหรี้ พวงมาลัย เงินพานครู19
บาทเท่าเดิม

275
เหรียญรุ่นแรก วัดโคกเขมา ปี 2506


276
ถ้าเราสักน้ำมันกับหลวงพี่ติ่งแล้ว(เก้ายอด/แปดทิศ) จะขอสักหมึกยันต์ชนิดเดียวกัน กับ หลวงพี่ญา /หลวงพี่ต้อย/หลวงพี่แป้ว จะน่าเกลียดหรือเปล่า

หน้า: [1]