ผู้เขียน หัวข้อ: นิทานสอนใจเรื่อง " ความอดทน "  (อ่าน 9963 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ suwatchai

  • การนิ่งเงียบต่อคนโง่คนสามหาว เป็นทางยาวสู่เกียรติที่ใฝ่ฝัน ทั้งรักษาในศักดิ์ศรีเป็นเกราะกัน ไม่หุนหันฉันท์หมาวัดที่จัญไร เราจงดูราชสีห์น่าเกรงขาม ทุกผู้นามเกรงกลัวได้ไฉน ไม่เคยเห่าเคยหอนไล่ผู้ใด แล้วไซร้ใยมีเกียรติเป็นราชันต์...
  • สมาชิกที่ถูกแบน
  • **
  • กระทู้: 241
  • เพศ: ชาย
  • Death Is Beautiful & Sweet ....
    • MSN Messenger - suwatchai.com@windowslive.com
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
นิทานสอนใจเรื่อง " ความอดทน "
« เมื่อ: 11 ต.ค. 2552, 10:36:54 »
นานมาแล้ว ยังมีชายคนหนึ่ง ตั้งสำนักทำการฝึกสอนศิษย์โดยกำหนดหลักเกณฑ์เอาไว้ว่าใครก็ตามที่ประสงค์จะมาฝากตัวเป็นศิษย์ของอาจารย์สำนักนี้ จะต้องปฎิบัติอาจารย์ให้ครบ ๓ ปี แล้วอาจารย์จึงจะถ่ายทอดวิชาไว้ให้ติดตัว

บรรดาชาวบ้านใกล้ไกลได้ทราบกิตติศัพท์ ต่างก็พาบุตรหลานมาฝากตัวเป็นศิษย์ วิชาที่อาจารย์จะอบรมสั่งสอนให้ก็ไม่มีอะไรมาก เช้าขึ้นก็สั่งงานให้ศิษย์ทำเป็นเฉพาะคน นับตั้งแต่การรู้จักรักษาความสะอาดของสำนักและบริเวณ ทุกคนต้องปฎิบัติงานในครัว ในห้องอาหาร ตัวอาจารย์จะเข้ามาควบคุมอย่างกวดขัน
ลูกศิษย์ส่วนมากเป็นชาย ไม่คุ้นเคยกับงานนี้ ด้วยความเกียจคร้านจึงพากันหนีกลับบ้านเป็นจำนวนมาก ฝ่ายพ่อแม่เมื่อลูกหลานเล่าให้ฟัง ต่างก็เชื่อลูก พากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า

"ถ้าอาจารย์แกสอนอย่างนี้ ข้าสอนเองก็ได้ "

มีพ่อแม่น้อยคนที่จะปรามลูกของตัวเองว่า

"ดีแล้วให้อาจารย์แกใช้แกหัด เอ็งจะได้เก่ง ไม่เลือกงาน"

ในจำนวนศิษย์มากมายหลายรุ่นนี้ มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ นายศิษย์ อดทนฝึกงานจนครบ ๓ ปี อาจารย์สั่งให้ทำอะไรก็ทำเสร็จสิ้นเรียบร้อยทุกอย่าง วันที่ปฎิบัติงานกับอาจารย์จนครบ ๓ ปีนั้น อาจารย์จึงเรียกมาพบ แล้วบอกว่า

"เอ็งเป็นเด็กดีมาก สั่งสอนอะไรก็ปฎิบัติตามได้เรียบร้อย เพราะฉะนั้นข้าจะให้วิชาแก่เอ็ง เพื่อเอาไปปฎิบัติหาเลี้ยงชีพในอนาคตสัก ๓ ข้อ เมื่อเกิดปัญหาอะไรขึ้นในภายหน้า ให้ทำตามคำที่ข้าสอนเสมอ ข้อปฎิบัติ ๓ ข้อ นายศิษย์จับคำแล้วท่องจนขึ้นใจ คือ

๑. เดินดีกว่านั่ง

๒. นั่งดีกว่านอน

๓ ทำงานดีกว่าอยู่เฉยๆ

จนนายศิษย์กราบลาอาจารย์กลับบ้าน เมื่อถึงบ้านก็ยังไม่เข้าใจคำสอน ๓ ข้อของอาจารย์ นำความไปเล่าให้พ่อแม่ฟัง พ่อให้ความเห็นว่า ข้อปฎิบัติ ๓ ข้อนั้นไม่ใช่วิชาวิเศษอะไรเลย ฝ่ายแม่ได้ยินก็บอกว่า

"เอาเถอะ อาจารย์ว่าเป็นของดี ลูกก็ไปนอนคิดทบทวนดูให้ดีก็แล้วกัน"

นายศิษย์นำคำสอนมาครุ่นคิด รุ่งขึ้นก็ทดลองคำที่อาจารย์ให้ในข้อที่ ๑ คือเดินดีกว่านั่งว่าจะดีอย่างไร จึงแต่งตัวออกจากบ้าน เขาไปพบประกาศฉบับหนึ่งในหมู่บ้านเขียนว่า

"เรามหาเศรษฐีแห่งเมืองนี้ มีลูกสาวอยู่คนเดียว เราต้องการให้ลูกสาวของเราแต่งงานกับชายหนุ่ม ที่สามารถเข้าไปอยู่ร่วมห้องกันสองต่อสองกับลูกสาวของเรา โดยไม่แตะต้องตัวให้เกิดราคีและอัปยศ ถ้าอยู่ได้ครบ ๗ วัน เราจึงจะจัดพีธีแต่งงานและยกสมบัติให้ครอบครอง"

เมื่ออ่านประกาศแล้ว นายศิษย์ก็กลับบ้านนำความไปเล่าให้พ่อแม่ฟังเพื่อขออนุญาติ เมื่อได้รับอนุญาติแล้ว นายศิษย์จึงเดินทางไปพบเศรษฐีตามประกาศนั้น และขออาสาปฎิบัติตามข้อตกลงทั้งปวง เสร็จแล้วจึงได้รับทราบว่าจะมีคนเฝ้าอยู่หน้าห้องตลอดเวลา หากได้ยินเสียงหญิงสาวร้อง ก็จะถูกทำโทษถึงตาย กระนั้นนายศิษย์ก็ยังยืนยัน จะลองอาสาปฎิบัติดู

ก่อนที่เศรษฐีจะส่งตัวนายศิษย์เข้าไปในห้อง นายศิษย์ขอดาบจากเศรษฐีเล่มหนึ่ง เศรษฐีก็ยอมให้ เมื่อเข้าไปอยู่ในห้องแล้ว เขาก็ปฎิบัติตามข้อแรกที่อาจารย์สั่งสอนไว้คือ "เดินดีกว่านั่ง" เขาเดินสำรวจความเรียบร้อยของห้องอย่างถี่ถ้วน จนไม่มีเวลามองดูลูกสาวเศรษฐีเลย ด้วยเขาสืบรู้มาว่าชายหนุ่มที่อาสามาก่อนหน้าเขานั้นตายก่อน ๗ วันโดยไม่มีใครรู้สาเหตุการตาย

ตกเย็นก็มีคนนำข้าวปลาอาหารมาให้กินอย่างดีในห้อง พอตกกลางคืนเขาก็นึกถึงคำสั่งสอนของอาจารย์ได้ว่า "นั่งดีกว่านอน" เขาก็ไม่นอน เมื่อเฝ้าสังเกตดูความเรียบร้อยในห้องแล้ว เขาก็นั่งพิงฝาแหงนมองดูเพดาน เขาจึงได้เห็นว่าเพดานนั้นมีช่องเล็กๆอยู่ เขาทำเช่นนั้นจนถึงวันที่หก  เขาก็เห็นงูใหญ่เลื้อยลงมาจากเพดาน เขาก็ปล่อยให้มันเลื้อยลงมา พอได้ระยะจึงเงื้อดาบฟันงูนั้นตาย ลูกสาวเศรษฐีได้ยินเสียงคมมีดก็ตกใจตื่นและร้องขึ้นเมื่อเห็นซากงู คนทั้งหลายรวมทั้งเศรษฐีก็กรูกันเข้ามาในห้อง

ลูกสาวจึงเล่าความจรึงและชี้ไปที่ซากงู แล้วบอกว่านายศิษย์ไม่ได้แตะต้องเนื้อตัวของตนเลย เศรษฐีจึงยกลูกสาวและทรัพย์สินให้นายศิษย์ตามสัญญา แต่นายศิษย์ขอคืนทรัพย์สมบัติ ไม่รับเป็นของตน ขอเพียงอย่างเดียวให้มีสิทธิ์ขอใช้บ้างเมื่อจำเป็น

นายศิษย์ได้ลูกสาวเศรษฐีเป็นเมียแล้ว ก็นึกถึงคำสั่งสอนของอาจารย์ ข้อที่ ๓ ว่า "ทำงานดีกว่าอยู่เฉยๆ" จึงปรึกษากับเมีย ขอออกจากบ้านไปทำงาน รับขนของจากท่าเรือไปยังตลาด เมียทัดทานอย่างไรก็ไม่ฟัง เขายังคงยืนกรานที่จะไปทำงาน พร้อมกับขอเกวียนและวัวเทียมไปด้วย

นายศิษย์เริ่มรับจ้างขนของตลอดวันไม่กลับบ้าน เพราะเมียเขาทำอาหารกลางวันมาส่งให้ ข่าวนี้รู้ถึงนายสำเภาว่าลูกเขยเศรษฐีมารับจ้างขนของ นายสำเภาไม่ยอมเชื่อ เพราะไม่เคยปรากฎมาก่อนว่าลูกเขยเศรษฐีจะมาทำงานต่ำต้อยอย่างนี้ นายสำเภาจึงเลือกนายศิษย์มาถาม นายศิษย์จึงตอบว่าเป็นความจริง กระนั้นนายสำเภายังหัวเราะเยาะ และพูดขึ้นเองโดยได้มีการท้าทายว่า

"เอาเถอะ ถ้าแกเป็นลูกเขยเศรษฐีจริงแล้ว มาแบกของขับเกวียนอย่างนี้จริง ข้าจะยอมยกสำเภาและสินค้าให้เจ้า ตัวข้าเองจะยอมเป็นลูกจ้างแกด้วย"

ปรากฎว่ากลางวัน วันนั้น เมื่อเมียนายศิษย์ลูกสาวเศรษฐีมาส่งข้าวกลางวันให้นายศิษย์ โดยนั่งแคร่มีคนหาม สำรับกับข้าวคาวหวานก็จัดวางบนเสลี่ยง มีข้าทาสบริวารติดตามขบวน แล้วลงมือปฎิบัติต่อนายศิษย์อย่างดี
นายสำเภาเห็นกับตา และหลังจากคุยถามเมียนายศิษย์ และบ่าวไพร่แล้วจึงยอมเชื่อ แพ้พนัน ออกปากยกสำเภาพร้อมทั้งสินค้าทั้งหมดให้นายศิษย์ และยอมเป็นลูกจ้างในเรือตามสัญญา แตานายศิษย์ไม่ยอมรับของเหล่านั้น ขอให้นายสำเภารักษาไว้ตามเดิม เพียงแต่ขออนุญาติ ให้ตนได้เป็นผู้รับเหมาขนสินค้าแต่เพียงผู้เดียว

นายศิษย์ได้ทำงานขนสินค้าด้วยความขยันขันแข็ง จนในที่สุดก็กลายเป็นเศรษฐี มิได้รับทรัพย์สมบัติหรือมรดกของใครเลย ผู้คนพากันสรรเสริญ ไปจนถึงเมืองไกล


**********************************************************

ความไม่โลภในลาภ ความไม่หลงระเริงในยศศักดิ์
จะทำให้เจริญในการสร้างฐานะและชีวิตด้วยความภาคภูมิใจ[
/b]

คนเราเรียนก็ยังไม่รู้วันจบ งานก็ยังไม่รู้วันสำเร็จ
เป็นขี้ข้าที่ดี ก็ยังทำไม่ได้
ไฉนเลยจึงอยากเป็น อยากได้ในสิ่งที่ตนไม่คู่ควร...[/
b]