4
« เมื่อ: 16 มิ.ย. 2552, 08:05:01 »
นั่งบริกรรมปากชมุมขมิบแล้วท่านก็อามือปล่อยความไป ควายค่อยๆเคลื่อนตัววิ่งได้แล้วคล่อยๆใหญ่ขึ้นอยู่ตรงมุมป่าช้า สองขาเขี่ยดินฝุ่นกลบนัยต์ตาความแดงเหมือนดวงไฟ แล้วหลวงปู่ยิ้มก็หยิบวัวขึ้นมาแล้วทำปากขมุบขมิบก่อนปล่อยวัวท่านได้เดินขีดเส้นเป็นวงกลมบอกกับก๋งพ้งว่าอย่าออกไปนอกเส้น เดี๋ยวจะปล่อยวันธนูและวควายธนูขวิดกันพอพูดเสร็จ หลวงปู่ยิ้มปล่อยวัวธนูๆค่อยๆวิ่งออกไปและขยายตัวใหญ่เท่าควาย หลวงปู่ยิ้มพูดขึ้นว่าไอ้เขาเก ไอ้ทองแดงขวิดกันให้ดูหน่อยสิ พอสิ้นเสียงหลวงปู่สั่งทั้งสองตัวใหญ่ผิดปกติกว่าวัวควายธรรมดา เลียงเขาต่อตีต่อกันเป็นแสงประกายไฟดังป็อบแป๊บๆทำให้ก๋งพ้ง กลัวมากเพราะเป็นเวลากลางคืน และในป่าช้าด้วย พอสักพักหนึ่งสียงขวิดกันก็หายไปแล้วหลวงปู่ยิ้มก็ถามอยากดูอะไรอีกไหม ให้ก๋งพ้งลุกขึ้นไปหยิบฟางห่างจากป่าช้านิดหน่อย ก๋งพ้งได้ฟางสองกำมือและส่งให้หลวงปู่ยิ้ม หลวงปู่ยิ้มจึงทำฟางให้เป็นหุ่นครทั้งสองคน แล้วนั่งบริกรรมคาถาเสกฟางให้เป็นหุ่นคนให้ตีกันให้ดูเป็นที่น่าแปลกประหลาดนักบางครั้งท่านจะถอนกลดไปจำวัดถ้ำผุพระ(ถ้ำขุนแผน) ภายในถ้ำขุนแผนนั้นมีศาลาทรงไทยเรือนเล็กอยู่หนึ่งหลังมีพระนอนใหญ่มากและพระพุทธรูปองค์ใหญ่ร่วมร้อยองค์ หลวงปู่ยิ้มท่านจะไปปักกลดบำเพ็ญภาวนาเพ่งกสิณไปบางครั้งอยู่เป็นเดือน ลูกศิษยืลูกหามาหาท่านจะต้องตามไปที่ถ้ำผุพระ แต่พอเข้าพรรษาท่านจะเดินมาปักกลดที่วัดหรือใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ที่ท่านบำเพ็ญวิปัสสนาของท่าน จนออกพรรษาเมื่อหมดหน้าฝน ลมตะวันออกเริ่มพัดมาน้ำใรแม่น้ำ (ต้นแม่น้ำแควใหญ่)เริ่มลดลงชาวกระเหรี่ยงเมืองท่ากระดาน ปัจจุบันคืออำเภอศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ได้ล่องแพเอาอาหารป่ามาแลกเสื้อผ้า กระปิ เกลือ หอม กระทียมกับชาวบ้านหนองบัวในแพที่ล่องอยู่นั้นส่วนมากจะมีช้าง5/10เชือก พอแลกข้าวของเสร็จจะเอาของที่แลกได้ไส่หลังช้างกลับเมืองท่ากระดานเก่าเป็นอย่างนี้ทุกๆปีของชาวกระเหรี่ยง มีอยู่ครั้งหนึ่งชาวชาวเมืองท่ากระดานได้ล่องแพมาจอดอยู่ที่ท่าน้ำหน้าวัดหนองบัว ได้เอาช้าง2เชือกลงจากแพเพื่อให้กินหญ้าอยู่ชายแม่น้ำในเขตวัด เป็นเวลาประมาณ4โมงเย็น ชาวกระเหรียงก็เริ่มหุงข้าวอยู่บนแพ ขณะนั้นนั้นฝนก็ตกลงมาทำให้ฟืนที่อยู่บนแพเปียก ไม่มีฟืนจะหุงข้าว พ่อบ้านกระเหรี่ยงชื่อผ่องเซง ผู้มีวิชาอาคมทางไสยสาตร์มาก ชาวบ้านเมืองท่ากระดานกลัวเกรงมาก จึงพูดด้วยใจห้าวหาญไม่กลัวใคร เมื่อฟืนไม่มีหุงข้าว ก็เอาเสาศาลาเก่าๆวัดนี้เป็นฟืนหุงข้าวก็แล้วกัน พ่อบ้านกระเหรี่ยงจึงนั่งพนมมือหันหน้ามาทางศาลาเก่าๆแล้วหยิบขวานฟันไปที่หน้าแข้งตัวเองได้สิบกว่าครั้ง แล้ววางขวานลงสั่งให้ลูกน้องวิ่งขึ้นไปเอาฟืนที่ศาลาเก่านั้นลงมาที่แพเพื่อหุงข้าวค้มกิน ช้างที่ปล่อยก็กินต้นไม้ที่วัดปลูกแทบจะไม่เหลือเลย พอฝนหยุดตกหลวงพ่อเหรียญกับ ก๋งพ้ง ปู่ชื่น ได้ออกจากห้องเพื่อจะไปไล่ช้างเดินผ่านศาลาเก่าเห็นชาวกระเหรี่ยงหยิบไม้ท่อนที่โคนเสาศาลาเก่า หลวงพ่อเหรียญ ก๋งพ้ง ปู่ชื่น ก็ตกใจจึงกลับมาบอกหลวงปู่ยิ้ม หลวงปู่หัวเราะ หึ หึ สั่งให้ก๋งพ้งไปหยิบกะลามา2ลูกแล้วเดินลงจากกฎิของท่าน มายืนดูชาวกระเหรี่ยงแล้วเดินมาที่ช้าง2เรียกเห็นช้างกินหญ้าอย่างเพลิดเพลิน หลวงปู่นั่งยองๆอยู่พักหนึง ช้างทั้งสองเชือกก็เกิดอาการหมุมติ้วและเกิดลมปั่นฝุ่นคลุ้งไปหมด พอฝนจางช้างทั้งสองเชือกตัวเล็กนิดเดียว ยืนอยู่ข้างหน้าหลวงปู่ หลวงปู่จึงเอากะลาที่ถือมาครอบครอบไปที่ช้างสองตัวแล้วเดินกลับยืนอยู่ที่หน้าวัดที่ชาวกระเหรี่ยงผูกแพ หลวงปู่หัวเราะ ฟืนก็ไม่เปียกทำไมมุหุงข้าวล่ะเดี๋ยวมึดเด็กเล็กคงจะหิวนะโยม ย่องเซง หลวงปู่เดินกลับเข้ากุฎิได้สักพักหนึ่ง หลวงปู่เรียก ก๋งพ้ง ปู่ชื่น ให้เอาข้าวที่เหลือกับกับข้าวไปให้ชาวกระเหรี่ยงกินสิ เพราะเขาหิวแล้ว ชาวกระเหรียงกินข้าวที่ทางวัดจัดให้จนอิ่ม พ่อบ้านชาวกระเหรี่ยงก็เอ๊ะใจ ทำไมฟืนที่เอามาหุงข้าวทั้งๆที่แห้งทำไมก่อไฟเท่าไหร่ก็ไม่ติดจึงคิดอยู่ในใจ พ่อบ้านชาวกระเหรี่ยงลุกขึ้นมาชักชวนลูกบ้านอีกสิงคนเดินขึ้นจากแพไปดูช้างที่ปล่อยไว้กินหญ้า ทั้งสามคนหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ จึงกลับมานอน พอตื่นขึ้นเช้ารีบตามหาช้างอีกก็ไม่เจอจนนายทั้งสามคนจึงเข้ามากราบหลวงปู่ยิ้มให้ช่วยตามช้างให้ที หลวงปู่หัวเราะ หึ หึ แล้วเรียกก๋งพ้ง ให้ไปเอากะลาที่ครอบช้างออก พอก๋งพ้ง ปู่ชื่นกลับมา หลวงปู่ก็บอกชาวกระเกรียงทั้งสามคน ลองไปดูสิว่ามีช้างหรือเปล่า ชาวกระเหรี่ยงตรงไปที่กุฎิหลวงปู่ชาวกระเหรี่ยงขึ้นไปกราบอีกครั้งเพื่อขอรับผิดหลวงปู่ยิ้ม และพูดขึ้นว่าอย่าคิดว่ามีวิชาแล้วรังแกผู้อื่นคราวนี้ยกโทษให้แต่คราวหน้าอย่าทำอีกนะ หนังควายที่ท่านส่งมาเมื่อคืนนี้เอากลับไปด้วย ปีหน้าฉันจะทำศาลา