ในมงคลสูตรบทแรก สอนว่า อย่าคบคนพาล ให้คบบัณฑิต
แสดงถึงศาสนาพุทธแบ่งคนเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ คนพาล และ บัณฑิต
คนพาล คือ คนมักโกรธ พยาบาท ชอบชักชวนไปทางชั่ว
บัณฑิต ผู้ไม่โกรธ ชักชวนให้ทำความดี
ถ้าแบ่งตามคุณธรรม ศาสนาพุทธก็แบ่ง มนุษย์เป็น ๕ ประเภท คือ
1. มนุษย์เทโว มนุษย์ใจเป็นเทวดา คือ มี หิริ ( ความละอายต่อบาป) และโอตตัปปะ(เกรงกลัวผลของบาป)
2. มนุษย์ภูโต มนุษย์ใจเป็นมนุษย์ รักษา ศีล5 ให้บริบูรณ์
3. มนุษย์เปโต มนุษย์ใจเป็นเปรต มีความโลภมาก ไม่รู้จักพอ
4. มนุษย์เดรัจฉาโน มนุษย์ใจเป็นสัตว์ ปฏิบัติตัวเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน ไม่เว้นลูกเขาเมียใคร
อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องคิดว่าใครจะเดือดร้อนเพราะเรา
5. มนุษย์เนรยิโก มนุษย์ใจเป็นสัตว์นรก ปฏิบัติตัวเยี่ยงสัตว์นรก โหดร้าย ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ไม่มีจิตสำนึก
ถ้าแบ่งตามสติปัญญา ศาสนาพุทธก็แบ่ง มนุษย์เป็น ๔ ประเภท คือ
1.มีสติปัญญา ฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เปรียบเสมือน ดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ (อุคฆฏิตัญญู)
2.มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เปรียบเสมือน ดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำ (วิปัจจิตัญญู)
3.มีสติปัญญาน้อย แต่ เป็นสัมมาทิฏฐิ เปรียบเสมือน ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ (เนยยะ)
4.ไร้สติปัญญาและยังเป็น มิจฉาทิฏฐิ เปรียบเสมือน ดอกบัวที่จมอยู่ในโคลนตม (ปทปรมะ)
พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
วันที่ 11 ธันวาคม 2512
"ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด
การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี
หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีปกครองบ้านเมืองและคุมคนไม่ดี
ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้"
ที่มา : มุมสงบของชีวิต ศาลาธรรม