"....เมื่อค่ำยามคืนอย่าไปเตียวเข้าป่า ปะพบเสือเยนมันจะลากไปกิ๋น.....".เป็นคำเตือนของผู้คนชาวล้านนาที่บอกกันต่อๆมาในวิถีชีวิต
ผู้คนสมัยก่อนต้องมีคาถาอาคมประจำตัวโดยเฉพาะชายชาตรีต้องเรียนคาถาคงกระพัน ข่ามคง หนังเหนียว บางคนเล่นหนักกว่านี้ถือคุณไสย์ที่เอาแรงสัตว์ร้ายมาป้องกันตัว เช่นควายธนู วัวธนู เสือโคร่ง หมูเขี้ยวตั๋น เอาเสียซะป๊ะอย่าง
อันว่าเรื่องผีเสือเยนก็มาจากผู้เล่นคาถาเสือโคร่งที่ร้อนแรงกล้านัยว่าข่ามคงกระพัน ฟันไม่เข้ายิงไม่ออก หรือถึงลูกปืนออกไปก็ไม่ถูกตัว อยู่รอดปลอดภัยดี ด้วยเหตุนี้ผู้คนที่เล่นพระคาถาเสื่อโคร่งต้องรักษาตนเองเรียกกันว่า " ถือ" คือถือคำสัตย์เช่นว่า ไม่กินฟักหม่น(ฟักเขียวเพราะจะทำลายมนต์ขลัง ไม่กินข้าวที่บ้านศพ(เพราะเกรงว่าศพจะทำลายมนต์ขลัง อย่างนี้เป็นต้น เมื่อถือพระคาถานี้แล้วส่วนมากก็เป็นของร้อนเพราะมีครูชั้นสูง ดังนั้นผู้รับพระคาถานี้ต้องยกครูแล้วสักรูปเสือเผ่นกำลังกระโดดขย้ำเหยื่อไว้ที่ร่างกาย เมื่อมีรูปเสือเผ่นก็ห้ามลอดมุดรั้ว เข้าใต้ถุนบ้านใต้ถุนครัวไฟ เมื่อถึงเวลาไหว้ครูต้องกระทำให้ถูกต้องเมื่อเวลาผ่านไปพระคาถาแก่กล้าบางครั้งก็ร้องออกมาเป็นเสียงเสือโคร่ง แก่กล้าไปอีกก็กลายเป็นตัวเสือเดินไปมา ลักษณะนี้เองผู้คนทั่วไปเรียกกันว่า "เสือเยน" บางถิ่นเรียกกันว่า เสือสมิง
คำว่า " เยน " ภาษาล้านนาหมายถึง อมนุษย์รากษสหรือสัตว์ที่เกิดจากคาถาอาคาต่างๆ ในชีวิตประจำวันเรามักได้ยินคำว่า "ฮ้ายเหมือนยักษ์เหมือนเยน" หมายถึงคนที่เกเรเหมือนยักษ์เหมือนรากษส ดังนั้นคำว่า" เสือเยน" คือเสือ-อมนุษย์ที่เกิดจากคาถาอาคมส่วนคำว่า "ผี"คือสิ่งที่ไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์แต่เป็นวิญญาณหรือสิ่งเร้นลับนั่นเอง สรุปแล้วผีเสือเยน คือผีที่เร้นลับที่เกิดจากเสือเยน ซึ่งมีหลายระดับ ผีเสือเยนทั่วไปมักเป็นคนที่เล่นของแล้วร้อนแรงกลายเป็นเสือเที่ยวไปกินคน สัตว์ชาวบ้าน หากคาถาลดความร้อนแรงลงก็กลับกลายเป็นคนดังเดิมบางครั้งแปลงร่างเป็นเสือให้ผู้คนได้กลัว หากมีข่าวเสือเยนที่ใด ผู้ที่มีคาถาปราบผี จะใช้ชายผ้าซิ่นมัดปากกระบอกสินาด(ปืน) แล้วยิงเสือเยนก็จะตายกลายเป็นศพร่างคนผีเสือเยนประเภทนี้ ตายไปแล้วก็เป็นผีดุร้ายอยู่ดี
ส่วนผีเสือเยนระดับสูงมักเป็นผู้ที่มีพระคาถาอาคมแรงแต่มีเมตตาสูง ถือศีลบริสุทธิ์แม้บางครั้งร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นร่างเสือเยน เขายังมีความรู้สึกที่ดี เพราะบำเพ็ญบารมีตะบะแก่ล้า ไม่ทำร้ายใครๆ เมื่อกลับเป็นร่างคนก็บำเพ็ญตะบะต่อไป จนเฒ่าจนแก่ บางคนเข้าวัดถือศีลแล้วบวชเป็น" ตุ๊ปู่" หมายถึงคนมีอายุมากราวๆ สี่หรือห้าสิบปีขึ้นไปแล้วเข้าบวชเป็นพระสงฆ์ คำว่าพระสงฆ์หรือภิกษุภาษาล้านนาเรียกกันว่า " ตุ๊เจ้า "
อย่างไรก็ตามแม้จะบวชเป็นพระหรือตุ๊ปู่ตุ๊เจ้าแต่พระคาถาเสือโคร่งก็ยังติดตัวไปจนมรณภาพสิ้นอายุขัยวิญญาณจะไปเกิดเป็นปู่เจ้าสมิงพรายเฝ้าป่าเฝ้าภูเขาใหญ่น้อย สร้างบารมีให้พระคาถาเข้มข้น ขลัง ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
ปู่เจ้าสมิงพราย หมายถึง ผี(พราย)ตุ๊ปู่หรือตุ๊เจ้าที่เป็นสมิง(เสือเยน)ด้วยว่าพระคาถาที่แก่กล้ามักเรียกลมฝน บันดาลให้เกิดอาถรรพ์ในป่าใหญ่ดงหนา ป่าคาดงกว้าง เก่งไม่เก่งลองนึกถึงท่านปู่เจ้าสมิงพรายในเรื่องพระลอดูเถอะครับ ขนาดไม้ยางลำต้นใหญ่เจ็ดอ้อมคนยังเสกเรียกเอาให้ยอดโน้มลงมาดิน แล้วปู่ท่านก็ผูกยันต์หนีบไว้กับปลายไม้เสร็จสรรพก็ดีดมือปล่อยปลายไม้ตั้งขึ้นดังเดิมพาเอายันต์หนีบเสน่ห์แขวนห้อยลอยลมบนแกว่งไปมาส่งคลื่นมนต์ไปยังพระลอให้หลงใหลพระเพื่อนพระแพง ดังตัวอย่างต่อไปนี้ " ......ปู่เอาไม้เลียงไม้ไล่ ไม้ไผ่แขวนลูกลม เขียนตนกลมอยู่กลาง เขียนสองนางข้างแลองค์ สองอนงค์กอดรูปท้าว โน้มน้าวชักชวนมา ยันต์มายารายรอบ รายขอบทั้งสี่คู่ ปู่ชุบมนตร์เมิลไม้ ยางใหญ่ได้เจ็ดอ้อม ปู่ปั่นมือตีค้อม ยอดตั้งติดดิน..." อ่านแล้วเห็นภาพชัดๆเลยว่า พระคาถาปู่เจ้าสมิงพราย(ผีเสือเยนตุ๊ปู่ตุ๊เจ้า)แกว่นกล้าแต๊ๆชนาดไม้ยางสูงลิ่วลิบยังเสกให้ยอดโน้มลงมาให้ผูกยันต์เสน่ห์หรือเรียกกันว่ายันต์หนีบของล้านนา
อันว่ายันต์หนีบล้านนามีหลายประเภท มีทั้งแบบรูปหุ่นเรียกกันว่า " อิ่น" บางรูปแบบเป็นแผ่นทองเหลือง แผ่นเงินเขียนรูปคนที่จะใส่เสน่ห์ไว้แล้วพับหนีบ บางรูปแบบใช้ไม้ไผ่ตัดแต่งเป็นรูปคน บางครั้งปั้นดินเหนียวร่างคนแฝด โอย...ซะป๊ะซะปื๊น...แล้วแต่พ่อหมอจะทำกัน แต่มีอย่างหนึ่งที่เหมือนหรือคล้ายกันคือพระคาถาเสน่ห์มักลงท้ายด้วยคำว่า......โอม สวาหุมติ้ด......
ส่วนพระคาถาที่ใช้ลมเป็นกระสายพัดโบกกระพือมนต์คาถาให้ผู้ถูกเสน่ห์ร้อนรนใจที่พบเช่นว่า "คาถาป๋าไหลลม โดยการผูกผมกับรูปปลาไปแขวนชายเฟยไม้ให้ลมพัด ส่งพลังให้คนที่ถูกกระทำใจสั่นหวั่นหวิวนึกอยากจะมาหาเจ้าของยันต์ พระคาถาขึ้นต้นว่า ....อมน้ำไหลหลิดหลิด ป๋าไหลแล่นแวนแวน....(ขอสวนไว้เน้อ)...........อมสวาหุมติด "