แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ooo

หน้า: [1]
1
                               



                          ขอเชิญร่วมทำบุญในวันคล้ายวันเกิด หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ นครปฐม
            ประจำปี 2557 ณ วัดบางพระ  นครปฐม
                          10.30 น. เจรืญพระพุทธมนต์
                          11.00 น. ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ ประมาณ 100 รูป
                 เสร็จแล้วพระสงฆ์ให้พร  เป็นเสร็จพิธี



             


ศิษย์ตลาดพลู   ก๋วยช่าย
คุณกลอยและครอบครัว   ลูกชิ้นทอด           

2
                               





                                                          ขอขอบคุณ คุณเอ นครลุง

3
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ใหม่
« เมื่อ: 15 ก.ค. 2557, 10:05:18 »
                                           

4
คณะศิษย์หลวงพ่อเปิ่นได้ร่วมกันทำกิจการบุญกุศลร่วมกันในปีนี้ดังนี้
+สมทบสร้างโรงเจวัดบางพระ                    50,000.-
+สมทบสร้างอุโบสถวัดโพธิ์เผือก             142,500.-
+บ่านพักคนชราหลวงพ่อเปิ่น                    20.000.-
+สมทบสร้างเต๊นวัดบางแวก                     30.000.-
+ถวายหลวงพ่ออางค์(ก่อนและหลังไหว้ครู)  30,000.-
+สมทบกองทุนพระสังกัจจายน์               100,000.-  
+วัดมารวิชัย                                       20,000.-

5
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ...............
« เมื่อ: 21 ก.พ. 2556, 05:41:21 »



6
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / เจ้าภาพ
« เมื่อ: 07 ก.พ. 2556, 04:53:43 »
          

รายนามเจ้าภาพที่จะมาเลี้ยงเป็นโรงทานในปีนี้ ขณะนี้แจ้งความประสงค์มาแล้ว ดังนี้
 ๑ เจ๊แมวสุรินทร์ น้ำดื่ม น้ำแข็ง หอยทอด
 ๒ อาจารย์หวอ และศิษย์ชาวมาเลย์ สมทบอาหารน้ำ และร่วมเป็นเจ้าภาพโต๊ะจีนเลี้ยงพระในวันที่ ๒๔
๓ คุณตี้ คุณหมวย และผองเพื่อน น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ เช้าวันที่ ๒๓
 ๔ อาจารย์เอ้ วัดดอกไม้ ไก่ตุ๋นเบตง คืนวันที่ ๒๒
 ๕ ไอศครีม โดยคณะศิษย์หลวงพ่อเปิ่น
๖ คุณโอ๊ค(ศิษย์ อ.หนวด)และครอบครัว ชา กาแฟ
 ๗คุณเล็กและเพื่อน ๆ ก๋วยจั๊บ

7
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / เร็ว ๆ นี้
« เมื่อ: 10 ธ.ค. 2555, 09:44:35 »






8
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ช่วยกัน
« เมื่อ: 27 พ.ย. 2555, 09:14:31 »









 :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001: :001:

10
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ไหว้พระ
« เมื่อ: 06 ก.ย. 2555, 05:17:05 »



[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

11
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / อนุโมทน
« เมื่อ: 06 ส.ค. 2555, 05:55:59 »
01ผู้บริจาคทั่วไป       101,952.-
02พ.ต.อ.อดุลย์  รัตนภิรมย์   55,900.-
03ชาญและเพื่อน            30,000.-
04อาแว่น-อาซ้อ(ศิษย์ อ.ต้อย)     5,000.-
05คุณพรเพ็ญ  โพธิ์เจริญ         1,000.-
06คุณเอ+คุณกวาง                1,000.-
07คุณเผ่า  คลองเตย              15,000.-
08lan see maj                   3,000.-
09คุณริน  บางพระ             1,500.-
10ครอบครัวทองทับ            1,000.-
11ศิษย์ อ.ตั๊ก                    3,000.-
12ตุณตี้+คุณอุ้ม              1,500.-
13คุณจิราเดช    พลอยอร่าม        3,000.-
14คุณหมู(หนองแขม)              
 1,500.-15คุณสมพจน์  แพ่งประเสริฐ          500.-
16พระครูสรพาจน์โฆษิต              3,000.-
17คุณชู  คล้ายมงคล           1,500.-
18แม่จันทร์+คุณจุ๋ม+คุณเจน      1,500.-

(ยังมีต่อ)

12
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / นิดนึง
« เมื่อ: 04 ก.พ. 2555, 10:01:13 »

14
สำหรับท่านที่สั่งจองไว้ กำหนดรับสำหรับผู้จอง วันที่ ๒๘ มกราคม  ๒๕๕๕
แต่ยังไม่ให้บูชาทั่วไป

                                           





                                                                                     ขอบคุณ

15




อวิตถตา - ไม่ผิด ไปจากความเป็นอย่างนั้น
อนัญญถตา - ไม่เป็นไปโดยประการอื่นจากความเป็นอย่างนั้น
ธัมมัฏฐิตตา - เป็นความตั้งอยู่โดยความเป็นธรรมดาของธรรมชาติ
ธัมมนิยามตา - เป็นกฎตายตัวของธรรมดา
ทั้งหมดนี้มันยุ่งยากลำบากมากเรื่อง ไม่ต้องจำก็ได้จำคำว่า "ตถตา" ไว้คำเดียวพอ แปลว่า เป็นเช่นนั้น เป็นเช่นนั้นเอง การเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือเห็นเช่นนั้นเอง หรือจะแยกออกไปเป็นว่า มันปรุงแต่งกันออกไปเป็นสายยาว เป็นปฏิจจสมุปบาท กระทั่งว่ามีอายตนะ มีผัสสะ มีเวทนา มีตัณหา มีอุปาทาน มีทุกข์ มันก็คือเช่นนั้นเอง ที่ต้องทุกข์ก็เพราะว่าเป็นเช่นนั้นเองอย่างนั้น ขณะใดไม่ต้องทุกข์ เพราะว่า มันเป็นเช่นนั้นเองอย่างนั้น ฉะนั้น เรามีเช่นนั้นเองไว้เป็นเครื่องดับทุกข์เถอะ อะไรเกิดขึ้นมาก็เห็นเป็นเช่นนั้นเองไว้ก่อน แล้วก็จะไม่รัก จะไม่เกลียด จะไม่โกรธ จะไม่กลัว ไม่วิตกกังวลอะไรหมด เพราะมันเช่นนั้นเอง

ถ้ามันเกิดทุกข์ขึ้นมา เราก็เห็นเช่นนั้นเองของความทุกข์ แล้วก็หาเช่นนั้นเองของความดับทุกข์ที่มันเป็นคู่ปรปักษ์กัน เข้ามาซี่ "เช่นนั้นเอง" อย่างนี้มันเป็นทุกข์ "เช่นนั้นเอง" ที่มันดับทุกข์ก็เอาเข้ามา มาฟัดกันกับ "เช่นนั้นเอง" เช่นนั้นเองกับเช่นนั้นเองมันก็ฆ่ากันเอง ในที่สุดความทุกข์มันก็ดับไป เพราะเรามีเช่นนั้นเอง ฝ่ายดับทุกข์หรือฝ่ายพระนิพพาน พุทธศาสนาเรียนได้ในพริบตาเดียวก็ด้วยคำว่า "เช่นนั้นเอง" หัวใจของปฏิจจสมุปบาท สรุปอยู่ที่คำว่าเช่นนั้นเอง ปฏิจจสมุปบาทคือคำสอนทั้งหมดในพระพุทธศาสนา คือสอนว่าทุกข์เกิดขึ้นอย่างไรและดับไปอย่างไร สมตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "ฉันไม่พูดเรื่องอื่น ฉันพูดแต่เรื่องความทุกข์ และความดับทุกข์เท่านั้น เดี๋ยวนี้ก็ดี ต่อไปข้างหน้าก็ดี" คือให้ความทุกข์และความดับทุกข์นี้ มันรวมอยู่ในคำว่า "เช่นนั้นเอง" เรียกว่า "ตถตา" ก็ได้ "ตถาตา" ก็ได้ "ตถา" เฉยๆ ก็ได้ หมายถึงสิ่งทั้งปวงเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตามเหตุปัจจัย ไม่มีใครสร้าง ใครบันดาล ให้มีให้เกิดขึ้น แต่เป็นเช่นนั้นขึ้นมาเอง

ในพระไตรปิฎกมีอยู่ทั้ง 3 คำ : ทั้งตถา ทั้งตถตา ทั้งตถาตา ฉะนั้นใครถึงตถา คนนั้นคือตถาคต ตถา + คตะ, ตถา แปลว่า เช่นนั้นเอง, คตะแปลว่า ถึง ผู้ใดถึง ตถา ผู้นั้นชื่อว่า ตถาคต คือว่า ถึงความสูงสุดของสิ่งที่มนุษย์ควรจะได้จะถึง คือ ถึงเช่นนั้นเอง และ "เช่นนั้นเอง" ตัวใหญ่ที่สุด คือ พระนิพพาน"

[แก้] ข้อความอ้างอิงจาก ปัจจัยสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาทเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ พระตถาคตทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่เสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุอันนั้น คือ ธัมมฐิติ ธัมมนิยาม อิทัปปัจจัย ก็ยังดำรงอยู่ พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ย่อมตรัสรู้ทั่วถึงซึ่งธาตุอันนั้น ครั้นแล้ว ย่อมตรัสบอก ทรงแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น และตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงดู ดังนี้ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมี ชราและมรณะ ... เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ... เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ... เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ... เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ... เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ... เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ... เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ... เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ... เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร พระตถาคตทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่เสด็จอุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุอันนั้น คือ ธัมมฐิติ ธัมมนิยาม อิทัปปัจจัย ก็ยังดำรงอยู่ พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ย่อมตรัสรู้ ทั่วถึงซึ่งธาตุอันนั้น ครั้นแล้วย่อมตรัสบอก ทรงแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น และตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงดู ดังนี้ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร ภิกษุทั้งหลาย ความจริงแท้ ความไม่คลาดเคลื่อน ความไม่เป็นอย่างอื่น มูลเหตุอันแน่นอนในธาตุอันนั้น ดังพรรณนามาฉะนี้แล เราเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท

(ภิกฺขเว ยา ตตฺร ตถตา อวิตถตา อนฺถตา อิทปฺปจฺจยตา อย วุจฺจติ ภิกฺขเว ปฏิจฺจสมุปฺปาโท)

(ถ้าเขียนทับศัพท์จะได้ว่า -ภิกษุทั้งหลาย ตถตา อวิตถตา อนัญญถตา หลักอิทัปปัจจยตา ดังพรรณนามาฉะนี้แล เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท)

[แก้] อ้างอิง


ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%95%E0%B8%96%E0%B8%95%E0%B8%B2



มาดีไปดี ชีวิตมีหนทางเสมอ.................

16
รายนามพระมหาเถระเจริญพุทธมนต์   12 สิงหาคม 2554
*พระครูสุจิตราภรณ์                 วัดนก กรุงเทพฯ
*พระครูศรีสุตากร                   วัดกลางบางพระ  นครปฐม
*พระครูโกวิทสุตการ                วัดโคกเขมา   นครปฐม
*พระมหารัตนะ  สิทฺธิรตโน            วัดหนองกระโดน  นครปฐม
*พระครูสังฆรักษ์ชออม ขนฺติโก                  วัดบางพระ   นครปฐม 
*พระสมุห์ไพรวัน  คุณวนฺโต                วัดโคกเขมา   นครปฐม
*พระใบฎีกาวันชัย  วณฺณวุฑฺโฒ                      วัดเกาะวังไทร   นครปฐม
*พระอาจารย์สุรพจน์(หน่อย) ปาวจฺจโน                วัดนก  กรุงเทพฯ
*พระครูสังฆภาณวิจิตร(หม่อง)                      วัดพระขาว   อยุธยา
*พระครูใบฎีกาวิจิตร  ญาณโสภโณ         วัดปรินายกวรวิหาร   กรุงเทพฯ                             

17
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / test com
« เมื่อ: 26 ก.ค. 2554, 05:44:46 »

18
รายนามผู้มีจิตศรัทธาร่วมบุญวันไหว้ครู
 1 คุณแมว สุรินทร์  30,000.-สำหรับ ผลไม้/ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋น/น้ำ-น้ำแข็ง
 2คุณเต้-คุณอัฐ หน้าวัด 5,000.-สำหรับ  ผลไม้
 3คุณทราย ลูกชิ้น    250 กก
 4คุณต้อม สุวรรณภูมิและเพื่อน ๆ กะเพาะปลา และลูกชิ้น
 5คณะศิษย์วัดนก  ลูกชิ้นปิ้ง
 6คุณเล็ก ฝั่งธน+คุณเผือก(บ้านนอก) ก๋วยเตี๋ยว)                   
             

19
ที่มาhttp://moviestom.com/forum/upload/viewthread.php?tid=8903


ที่เราควรรู้ให้มีในใจไว้ มีการเห็นแก่ตัวด้วยวัตถุ ก็เห็นได้อย่างนี้ ทีนี้
การเห็นแก่ตัวด้วยความเห็นอย่างพวกเรา ทุกๆคนนะใครจะเรียนมา
จากธิเบตก็ได้ มาจากเซนก็ได้ จากเถรวาทก็ได้ คริสต์ก็ได้ แล้วก็กลับ
มารวมกัน อันนี้ก็ให้ทานความเห็นเหมือนกัน ของฉันถูก ของคุณผิด
ของฉันดี ของคุณไม่ดี อย่าให้ทาน ใครดีก็ดีไป ใครถูกก็ถูกไป ให้ทาน
หมดปัญหาแล้ว...

นี้การให้ทานด้วยทิฏฐิมานะ คือความเห็นไม่มีเรื่อง ให้ได้ ไม่เห็นแก่ตัว
แล้ว นี่การให้ทานความเห็น ความมานะ ความยึดมั่นถือมั่น นี้ก็เป็นการ
ให้ทานไม่เห็นแก่ตัวอันหนึ่ง

อันนี้เป็นเรื่องแบ่งเบากิเลสเราออกไปเยอะเหมือนกัน อันนี้ก็เป็นเครื่อง
กันความตรัสรู้ของเราประการหนึ่ง นี้ก็เรียกว่าการให้ทาน...ฯ

~หลวงปู่ชา สุภทฺโท~

20
โลกธรรม ๘ ประการ

อนิจจัง ความไม่เที่ยง ยากเลี่ยงหลบ
ในโลกภพ มีเกิดดับ สลับหมุน
ใครยึดติด สำคัญผิด ปิดทางบุญ
มีแปดอย่าง ที่คอยหนุน ให้ขุ่นใจ

หนึ่งคือลาภ สองเสื่อมลาภ ควรทราบไว้
สามคือยศ ที่ใครๆ ล้วนอยากได้
สี่เสื่อมยศ เมื่อร่วงหล่น ทนทุกข์ใจ
ทั้งสี่อย่าง เกิดดับไว ใช่จีรัง

ข้อที่ห้า คำนินทา มีแน่ๆ
โดนทั้งเด็ก ทั้งคนแก่ แค่คล้อยหลัง
หกสรรเสริญ คนเยินยอ ชอบพอจัง
ข้อเจ็ดแปด สุข..ทุกขัง ใช่ยั่งยืน

โลกธรรม แปดประการ ควรอ่านไว้
เป็นธุลี เกาะที่ใจ ยากใครฝืน
คู่กับโลก ที่หมุนอยู่ ทุกวันคืน
มิมีทาง ให้เป็นอื่น จงตื่นมอง..เฟื่องฟ้า

พระไตรปิฎกเล่มที่ 23 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 15
อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ปัณณาสก์ เมตตาวรรค
โลกธรรมสูตร

โลกธรรมสูตร
[๙๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โลกธรรม ๘ ประการนี้ ย่อมหมุนไปตามโลก
และโลกย่อมหมุนไปตามโลกธรรม ๘ ประการ ๘ ประการเป็นไฉน คือ ลาภ ๑
ความเสื่อมลาภ ๑ ยศ ๑ ความเสื่อมยศ ๑ นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑
ทุกข์ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย โลกธรรม ๘ ประการนี้แล ย่อมหมุนไปตามโลก
และโลกย่อมหมุนไปตามโลกธรรม ๘ ประการนี้ ฯ
ธรรมในหมู่มนุษย์เหล่านี้ คือ ลาภ ๑ ความเสื่อมลาภ ๑
ยศ ๑ ความเสื่อมยศ ๑ นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑
ทุกข์ ๑ เป็นสภาพไม่เที่ยง ไม่แน่นอน มีความแปรปรวน
เป็นธรรมดา แต่ท่านผู้เป็นนักปราชญ์ มีสติ ทราบธรรม
เหล่านั้นแล้ว พิจารณาเห็นว่ามีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ธรรมอันน่าปรารถนา ย่อมย่ำยีจิตของท่านไม่ได้ ท่านย่อม
ไม่ยินร้ายต่ออนิฏฐารมณ์ ท่านขจัดความยินดีและความยินร้าย
เสียได้จนไม่เหลืออยู่ อนึ่ง ท่านทราบทางนิพพานอัน
ปราศจากธุลี ไม่มีความเศร้าโศก เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพ
ย่อมทราบได้อย่างถูกต้อง ฯ...

ขอบคุณhttp://www.tlcthai.com/club/view_topic.php?club=Budha_page&club_id=1078&table_id=1&cate_id=581&post_id=7669

21
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / `แจ้งข่าว
« เมื่อ: 26 ต.ค. 2553, 04:47:34 »
กำหนดเวลากลับจาก โรงพยาบาลมาพักฟื้นที่วัดบางพระ
ของพระอาจารย์ต้อย วันนี้ เวลาประมาณหลัง 12.00 น.

22
พระ อจ.ตั๊ก อาำพาธ
ด้วย โรคหัวใจ ไขมันในเส้นเลือด ฯลฯ
ขณะนี้กลับมาพักที่กุฎิแล้ว

23
เพื่อให้ญาติโยม และศิษยานุศิษย์ทราบและหายกังวลใจ
อาการอาพาธของพระอาจารย์ต้อย ดีขี้นมาก
อาการโดยรวม ยังอ่อนเพลียบ้างและคงยังไม่สะดวกที่จะรับญาติโยม
ขอให้ทุกท่านคลายกังวล และสบายใจได้

                             ขอบคุณ


ณ ขณะนี้ยังคงพักผ่อนอยู่ที่ รพ.หลวงพ่อเปิ่น
ถ้าจะไปกราบเยี่ยมเยียน ขอให้ดูเวลา และใช้ระยะเวลาที่เหมาะสม
                                                เจริญพร

24
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / แจ้งข่าว
« เมื่อ: 10 ส.ค. 2553, 09:17:32 »
อาจารย์บุญมี   ศิษย์ฆราวาสอาวุโส
ได้ถึงแก่อนิจกรรมแล้วเมื่อวานนี้ที่กาฬสิน
กำหนดงานประชุมเพลิง วันอาทิตย์ที่ 15    ที่กาฬสิน ณ วัดสว่างคงคา
๋๋๋๋๋๋๋๋๋๋๋๋๋๋๋๋๋๋๋+++++++++++++++-ขอแสดงความอาลัย และเสียใจ
กับครอบครัวของอาจารย์บุญมีมา ณ ที่นี้ด้วย





อาจารย์ บุญมี พุ่มทิพย์ (คุณตามี) ศิษย์เอกหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ
ได้ถึงแก่ อนิจกรรมแล้ว
เมื่อ วัน จันทร์ ที่ 9 สิงหาคม 2553 เวลา 20.40 น.อายุ 78 ปี

ตั้งศพ บำเพ็ญกุศล ณ อาศรม อ.อ๊อด (บุตรชาย) หลังวัดกลาง จ.กาฬสินธุ์

ขอเชิญ ศิษยานุศิษย์ ทุกท่าน ร่วมฟังสวดพระอภิธรรม อาจารย์ บุญมี พุ่มทิพย์
ณ อาศรม อ.อ๊อด หลังวัดกลาง จ.กาฬสินธุ์
ประวัติ อาจารย์ บุญมี พุ่มทิพย์ (ตามี) โดยย่อ
อาจารย์บุญมีพุ่มทิพย์ บวชเป็นพระภิกษุ ณ.วัดบางพระ จ.นครปฐม ศึกษาวิชาการสักยันต์ต่าง จากหลวงพ่อเปิ่น หลังจากลาสิกขาบท ได้มาพำนักอยู่ จ.กาฬสินธุ์พร้อมครอบครัว
หลวงพ่อเปิ่นเดินทางธุดงมากาฬสินธุ์ในปี พ.ศ.2510 อ.บุญมี พุ่มทิพย์ ได้ฝากตัว เป็นลูกศิษย์กับหลวงพ่อเปิ่น หลังจากนั้นหลวงพ่อเปิ่นก็ธุดงกลับมาที่กาฬสินธุ์ทุกปี และได้มาพักที่บ้าน อ.บุญมี ในแต่ละครั้งที่มา ได้มาพักอาศัยอยู่กับ อ.บุญมีนานถึง 7 วัน มีการจัดพิธีไหว้ครู ที่จ.กาฬสินธุ์ เป็นประจำ ทุกๆ ปี จนเป็นที่ไว้วางใจของหลวงพ่อเปิ่นจึงได้มอบหมาย ให้อ.บุญมี จัดพิธีไหว้ครูด้วยตนเอง ในครั้งแรกนั้นคือ ปี พ.ศ.2524
ตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา จนถึงปีพ.ศ. 2534 อ.บุญมี จีงมีลูกศิษย์สายภาคอีสาน ที่จังหวัดกาฬสินธ ุ์และจังหวัดใกล้เคียง ส่วนอาจารย์มนตรี พุ่มทิพย์ (อ. อ๊อด) ลูกชายอาจารย์บุญมี พุ่มทิพย์ ก็ได้มอบเป็นลูกบุญธรรม ให้กับหลวงพ่อเปิ่น ตั้งแต่อายุ 12 ขวบ ลูกศิษย์หลวงพ่อเปิ่นสายจังหวัดกาฬสินธุ์ และใกล้เคียง หลังจากนั้น ก็ได้ทำผ่าป่าไปวัดโคกเข่มา อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ในทุกๆปี จนกระทั่ง ได้มาอยู่ที่วัดบางพระสื่อสัมพันธ์กัน ศรัทธาหลวงพ่อเปิ่น จนมาถึงปัจจุบัน
อาจารย์บุญมี พุ่มทิพย์ ได้ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว เมื่อ วัน จันทร์ ที่ 9 สิงหาคม 2553
เวลา 20:40 น. ศิริอายุรวม 78 ปี.
http://kataakom.pantown.com/

                                                                              +++++++++++++++++

26
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / อยุธยา
« เมื่อ: 20 พ.ค. 2553, 09:01:37 »
วันนี้



27
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ส่าสุด
« เมื่อ: 03 พ.ค. 2553, 07:00:05 »
ผลงานล่าสุดของ อ.ตูน เมื่อวานนี้
ขอบคุณเจ้าของรอยสักด้วยครับ




28
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / เสาร์ ๕
« เมื่อ: 11 มี.ค. 2553, 08:42:00 »
+++++++++++++++กำหนดการพุทธภิเษก วัตถุมงคลชุด เสาร์ ๕
  ณ วัดบางพระ ในวันเสาร์ ที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๓ เวลาประมาณ ๐๖.๐๐ น.
                                โดย พระครูอนุกูลพิศาลกิจ

29
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / puhket
« เมื่อ: 14 ก.พ. 2553, 05:48:07 »
puhket



30
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / today
« เมื่อ: 11 ก.พ. 2553, 07:40:59 »
วันนี้อาจารย์หนวดทำบุญฉลองรูปหล่อหลวงพ่อเปิ่น
แล้วจะนำไปประดิษฐานที่ ตำหนักหนองปรือ กาญจนบุรี
ขออนุโมทนาผู้ร่วมบุญทุกท่านด้วยครับ

                   

                   

31
3 วัน เกือบเต็มแล้ว


32
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ยืนยัน
« เมื่อ: 20 ธ.ค. 2552, 09:00:12 »
ยืนยันสำหรับผู้รู้และเข้าใจ
แหล่งข่าวยืนยันว่า ลิงขาวไปแล้ว (จริง ๆ )

33
ยามเช้า


                           
                           


34
เด็ก ๆ เพื่อนบ้าน

                             


สามเณรน้อย ๆ

                               

35
ที่มาhttp://bbznet.pukpik.com/scripts2/view.php?user=watbansai&board=3&id=4&c=1&order=numtopic

  « เมื่อ 21/01/2009 , 13:00:56 »   Edit
--------------------------------------------------------------------------------

 


อานิสงส์การจัดสร้างพระพุทธรูป
หรือสิ่งพิมพ์อันเกี่ยวกับพระธรรมคำสอน

เป็นกุศลดังนี้

1. อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ
2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลาย ปวงภัยไม่มี คนคิดร้ายไม่สำเร็จ
3. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้วก็จะเลิกจองเวรจองกรรม
4. เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษเสือร้าย ไม่อาจเป็นภัยอยู่ในที่ใดก็แคล้วคลาดจากภัย
5. จิตใจสงบ ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคล รุ่งเรืองก้าวหน้าผู้คนนับถือ
6. มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฏ (เกินความคาดฝัน) ครอบครัวสุขสันต์ วาสนายั่งยืน
7. คำกล่าวเป็นสัจจ์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา หนี้สินจะหมดไป
8. คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์หายเข็ญ สตรีจะได้เกิดเป็นชายเพื่อบวช
9. พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาล้ำเลิศ บุญกุศลเรืองรอง
10.สิ่งที่สร้างจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็นเป็นเนื้อนาบุญ อย่างเอนกทุกชาติของ ผู้สร้างที่เกิดจะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้าปัญญาในธรรมแก่กล้าสามารถได้ 




36
http://www.learntripitaka.com/History/Out.html

      
วันออกพรรษา
          ความสำคัญ วันออกพรรษา ได้แก่ วันที่สิ้นสุดระยะการจำพรรษา คือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ในวันนี้พระสงฆ์จะประกอบพิธีทำสังฆกรรม ซึ่งเรียกว่า วันมหาปวารณา คือ การเปิดโอกาสให้ภิกษุด้วยกันว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ทั้งนี้เพราะในระหว่างพรรษานั้น พระสงฆ์บางองค์อาจมีข้อบกพร่องที่จำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุง การเปิดโอกาสให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนได้ เป็นวิธีที่จะรู้ถึงข้อบกพร่องของตน ทั้งนี้กระทำโดยเปิดเผย ไม่ถือเป็นเรื่องที่จะมาโกรธเคืองกันภายหลัง หรือเปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัยซึ่งกันและกัน
     การกระทำมหาปวารณา เป็นการสังฆกรรมอย่างหนึ่งแทนการสวดพระปาฏิโมกข์ (พระวินัย) ที่ได้กระทำกันทุกๆ ๑๕ วันในช่วงเข้าพรรษา
     การปฏิบัติตน
แม้การปวารณาจะเป็นเรื่องระหว่างพระสงฆ์ด้วยกัน แต่การออกพรรษาก็เป็นวาระสำคัญ
อีกวาระหนึ่งที่ชาวบ้านจะได้มีโอกาสทำบุญร่วมกัน โดยในวันรุ่งขึ้น คือ วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ มีประเพณีทำบุญ
ตักบาตร ที่เรียกกันว่า ทำบุญตักบาตรเทโว หรือเรียกเต็มๆ ว่า ตักบาตรเมโวโรหนะ
สืบเนื่องจากความเชื่อตามตำนานที่ว่าวันนี้เป็นวันคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จลงจากเทวโลกหลังจากที่ได้เสด็จกลับจากการไปโปรด พระพุทธมารดา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์บางวัดอาจจัดพิธีทำบุญตักบาตรธรรมดา แต่บางวัดก็จัดเป็น
งานใหญ่โต เสร็จจากการทำบุญตักบาตร พุทธศาสนิกชนจะไปฟังธรรม และรักษาอุโบสถศีล
     กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันออกพรรษา
๑. ทำบุญตักบาตร อุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ที่ล่วงลับ
๒. ไปวัดเพื่อปฏิบัติธรรม ฟังพระธรรมเทศนา
๓. ร่วมกุศลกรรม "ตักบาตรเทโว"
๔. ปัดกวาดบ้านเรือนให้สะอาด ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือนและสถานที่ราชการ และประดับธงชาติและธงธรรมจักตามวัดและสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา
     ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวันออกพรรษา
ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวันออกพรรษาที่นิยมปฏิบัติ คือ
๑. ประเพณีตักบาตรเทโว (วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ หลังจากออกพรรษาแล้ว ๑ วัน)
๒. พิธีทอดกฐิน (ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ กำหนด ๑ เดือนนับตั้งแต่วันออกพรรษา)
๓. พิธีทอดผ้าป่า (ไม่จำกัดกาล)
๔. ประเพณีเทศน์มหาชาติ (นิยมทำกันในวันขึ้น ๘ ค่ำ หรือ วันแรม ๘ ค่ำ กลางเดือน ๑๒ ในบางท้องถิ่นอาจนิยมทำกันในเดือน ๕ ต่อเดือน ๖ หรือในเดือน ๑๐)


      
ประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวันออกพรรษา
     ประเพณีตักบาตรเทโว
การตักบาตรเทโว จะกระทำในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 คือหลังออกพรรษาแล้ว 1 วัน
ประวัติความเป็นมาของประเพณีการตักบาตรเทโว
ในสมัยพุทธกาล เมื่อ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมและเสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดาโดยจำพรรษาอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเวลา 1 พรรษา และเมื่อออกพรรษาแล้ว พระองค์ได้เสด็จกลับยังโลกมนุษย์ ณ เมืองสังกัสสนคร
การที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จลงมาจากชั้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เรียกตามศัพท์ภาษาบาลีว่า "เทโวโรหณะ"ในครั้งนั้นบรรดาพุทธศาสนิกชนผู้มีความศรัทธาเลื่อมใส เมื่อทราบข่าวต่างพร้อมใจกันไปรอตักบาตรเพื่อรับเสด็จกันอย่างเนืองแน่น จนถือเป็นประเพณีตักบาตรเทโวปฏิบัติสืบทอดกันมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
     พิธีทอดกฐิน
ประวัติการทอดกฐิน
ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ พระเชตวนาราม ซึ่งเป็นพระอารามที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีได้สร้างถวายเป็นพุทธนิวาส ได้มีภิกษุ 30 รูป ชาวเมืองปาฐา ซึ่งอยู่ด้านทิศตะวันตกในแคว้นโกศล เดินทางมาหมายจะเฝ้าพระพุทธองค์ที่เมืองสาวัตถี แต่มาไม่ทันเพราะใกล้ถึงวันเข้าพรรษา จึงเข้าพักจำพรรษา ณ เมืองสาเกต อันมีระยะทางห่างจากเมืองสาวัตถีราว 6 โยชน์
ภิกษุทั้ง 30 รูป ล้วนแต่เป็นผู้เคร่งครัดปฏิบัติธุดงค์และต่างมีความศรัทธาอย่างแรงกล้าที่จะได้เฝ้าพระบรมศาสดา เมื่อถึงวันออกพรรษาแล้ว ก็รีบเดินทางไปยังเมืองสาวัตถีโดยไม่มีการรั้งรอแม้ว่ายังเป็นช่วงที่ฝนยังตกหนักน้ำท่วมอยู่ทั่วไป แม้จะต้องฝ่าแดดกรำฝน ลุยฝน อย่างไรก็ไม่ย่อท้อ
เมื่อภิกษุทั้ง 30 รูป ได้เข้าเฝ้าพระบรมศาสดาสมความตั้งใจแล้ว ครั้นพระองค์ตรัสรู้ถามจึงได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทรงทราบ พระพุทธองค์จึงตรัสธรรมมิกถา ภิกษุเหล่านั้นก็ได้สำเร็จพระอรหันต์ผลในลำดับนั้น พระบรมศาสดาดำริถึงความยากลำบากของภิกษุเหล่านั้น จึงเรียกประชุมภิกษุสงฆ์ แล้วตรัสอนุญาตให้ภิกษุรับผ้ากฐินได้ สำหรับในเมืองได้ผ่านวันออกพรรษาแล้ว นางวิสาขาได้ทราบพุทธานุญาตและได้เป็นผู้ถวายผ้ากฐินเป็นคนแรก
     พิธีทอดผ้าป่า
ประวัติความเป็นมา
ในสมัยพุทธกาล เมื่อครั้งที่พระบรมศาสดายังมิได้ทรงอนุญาตให้พระภิกษุทั้งหลายรับจีวรจาก ชาวบ้าน พระภิกษุเหล่านั้นจึงต้องเที่ยวเก็บผ้าที่เขาทิ้งแล้ว เช่นผ้าเปรอะเปื้อนที่ชาวบ้านไม่ต้องการนำมาทิ้งไว้ ผ้าที่ห่อศพ ฯลฯ เมื่อรวบรวมผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยพอแก่ความต้องการแล้ว จึงนำมาทำความสะอาด ตัดเย็บ ย้อม เพื่อทำเป็นจีวร สบง หรือสังฆาฏิ ผืนใดผืนหนึ่ง การทำจีวรของภิกษุในสมัยพุทธกาลจึงค่อนข้างยุ่งยากหรือเป็นงานใหญ่ ดังที่กล่าวไว้แล้วในเรื่องพิธีทอดกฐิน
ครั้นชาวบ้านทั้งหลายเห็นความยากลำบากของพระสงฆ์ต้องการนำผ้ามาถวาย แต่เมื่อยังไม่มีพุทธานุญาตโดยตรง จึงนำผ้าไปทอดทิ้งไว้ ณ ที่ต่างๆ เช่น ในป่า ตามป่าช้า หรือข้างทางเดิน เมื่อภิกษุสงฆ์มาพบ ก็นำเอามาทำเป็นสบง จีวร พิธีการทอดผ้าก็มีความเป็นมาด้วยประการฉะนี้
สำหรับในเมืองไทย พิธีทอดผ้าป่าได้รับรื้อฟื้นขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ด้วยทรงพระประสงค์จะรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีในทางพระศาสนา
     ประเพณีงานเทศน์มหาชาติ
ประเพณี การเทศน์มหาชาติจัดเป็นการทำบุญที่สำคัญและมีความหมายที่สุดในสังคมไทย เนื่องจากเป็นประเพณีของพุทธศาสนิกชนชาวไทยที่ทำสืบเนื่องมาแต่โบราณจนถึง ปัจจุบันเพราะความเชื่อว่าถ้าผู้ใดได้ฟังเทศน์มหาชาติแล้วจะได้กุศลแรง และหากใครตั้งใจฟังให้จบใน วันเดียวจะได้เกิดร่วมและพบพระศรีอริยเมตตรัยโพธิสัตว์ซึ่งจะมาตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้าในอนาคต
ในพระราชสำนัก ปรากฏเป็นราชพิธีในวังหลวงมาแต่สมัยสุโขทัยแล้ว ในสมัยอยุธยาพระมหากษัตริย์ถึงกับทรงโปรดฯ ให้สร้างพระที่นั่งทรงธรรม ด้วยพระราชประสงค์ให้เป็นที่ทรงธรรมในงานพระราชพิธีเทศน์มหาชาติ พระราชพิธีนี้สืบเนื่องมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงเกณฑ์พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ ทำกระจาดใหญ่บูชากัณฑ์เทศนาคราวหนึ่ง แม้พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ครั้งที่ทรงดำรงอยู่ในสมณเพศก็ทรงหัดเทศน์กัณฑ์มัทรี จนกลายเป็นธรรมเนียมให้พระราชโอรสถวายเทศน์มหาชาติในวังหลวง
ในท้องถิ่น โดยเฉพาะในเขตภาคอีสานถือเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่สำคัญที่สุดของปีจะจัดขึ้นใน ราวเดือน 4 เรียกว่า บุญพระเวส ทั้งยังมีประเพณีเกี่ยวเนื่องกับเทศกาลนี้ด้วย เช่น พิธีแห่พระเวสเข้าเมืองและพิธีแห่ข้าวพันก้อนเพื่อบูชาคาถาพัน ทางภาคเหนือ ก็ให้ ความสำคัญกับการเทศน์มหาชาติมาก เห็นได้จากมีประเพณีสร้างหลาบเงินหรือแผ่นเงินแกะลาย แขวนห้อยรอบฉัตร ถวายเป็นเครื่องขันธ์ตั้งธรรมหลวงในงาน ทางภาคใต้นั้นประเพณีเทศน์มหาชาติได้ คลี่คลายไป เป็นประเพณีสวดด้านซึ่งคล้ายคลึงกับการสวดโอ้เอ้วิหารรายอย่างกรุงเทพฯ ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
     

















37
บทความ บทกวี / http://blog.eduzones.com/sanglam/7440
« เมื่อ: 02 ต.ค. 2552, 06:09:16 »
ที่มาhttp://blog.eduzones.com/sanglam/7440


ธรรมะสำหรับผู้ครองเรือน
ธรรมะสำหรับผู้ครองเรือน โดย พระมหาสุรศักดิ์ สุรเมธี นักศึกษาสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ........................................................ พระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กล่าวว่า “เป้าหมายแห่งการแต่งงานอยู่ที่การสร้างครอบครัวที่มีแต่ความรักใคร่กลมเกลียวโดยไม่มีการหย่าร้าง สามีภรรยาจะบรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่อมีการปฏิบัติธรรมร่วมกัน การปฏิบัติธรรมจะช่วยให้ชีวิตคู่เข้มแข็งมั่นคงพอที่จะฝ่ามรสุมต่างๆไปได้ ดังนั้น คู่สามีภรรยาที่ต้องการมีชีวิตการแต่งงานที่ยั่งยืนตลอดไปต้องร่วมกันปฏิบัติธรรม คำว่า ธรรม ในที่นี้หมายถึงคุณธรรมและจริยธรรม คุณธรรม ได้แก่ คุณสมบัติที่ดีภายในจิตใจ เช่น ความรัก ความสงสาร ซึ่งช่วยให้คนเราทำหน้าที่ของสามีภรรยาได้โดยไม่ต้องฝืนใจ จริยธรรม ได้แก่ หลักแห่งความประพฤติที่ดีงามที่จะต้องปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขของตนเอง ครอบครัว และสังคม จริยธรรมเป็นข้อปฏิบัติซึ่งกำหนดไว้โดยศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีและกฎหมายว่าอะไรเป็นหน้าที่ที่สามีภรรยาจะต้องทำเพื่อความผาสุกแห่งครอบครัว ” ๑ คำว่า ครอบครัว เป็นคำที่สำคัญและมีความหมายซ่อนปริศนาธรรมอยู่ภายใน แยกมาจากคำว่า ครอบ กับคำว่า ครัว คำว่า ครอบ มีความหมายว่า การเอาของที่มีลักษณะภายในโปร่งคล้ายๆ ขันคว่ำปิดเอาไว้ และ คำว่า ครัว มีความหมายว่า เรือนหรือโรงทำกับข้าว ในที่นี้คือ บ้านหรือเรือนนั่นเอง ดังนั้น ครอบครัว จึงหมายถึง การครอบคนสองคนไว้ในบ้านหรือเรือนเดียวกันไม่ให้จากกันไปไหน เมื่อทราบความหมายอย่างนี้แล้ว ก็จะทำให้เห็นภาพชัดว่า การมีครอบครัวก็คือการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันภายใต้หลังคาบ้านหรือเรือนเดียวกันไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ การที่คนสองคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนั้น ย่อมเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร เพราะความคิดเห็นของคนทั้งสองอาจมีไม่เหมือนกัน จำเป็นต้องมีการปรับหรือจูนความคิดเห็นเข้าหากัน เพื่อลดความบาดหมางกัน หรือโกรธเคืองกัน หากสามารถสร้างความคิดเห็นให้เป็นอย่างเดียวกันได้ ก็จะนำไปสู่การสร้างครอบครัวให้มีความสุข ดังนั้น จึงควรทราบหลักธรรมที่ใช้สำหรับการดำเนินชีวิตครอบครัว เพื่อสร้างความรัก ความเข้าใจกันให้มากขึ้น หลักธรรมที่อยากจะนำมาเสนอไว้ในที่นี้คือ หลักฆราวาสธรรม (ธรรมะสำหรับผู้ครองเรือน) ประกอบด้วย ๑. สัจจะ หมายถึง ความซื่อสัตย์ต่อกัน ความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ไม่นอกใจกัน สามีรักภรรยา ภรรยาก็รักสามีตอบ ต่างฝ่ายต่างจริงใจและซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่มีความลับต่อกัน พูดง่ายๆ คือ ให้รักเดียวใจเดียว อย่าเป็นคนหลายใจ อย่าหึงกันมากจนเกินเหตุ เพราะจะนำไปสู่การผิดใจกัน ทำให้เกิดการโกรธเคืองกันและอาจทำให้ชีวิตครอบครัวพังลงได้ ๒. ทมะ หมายถึง การรู้จักข่มใจ หักห้ามใจในเวลามีเรื่องราวที่ไม่สบายใจเกิดขึ้น เช่น เวลาโกรธ ก็ให้พยายามข่มใจไม่ให้โกรธ หรือแสดงความโกรธนั้นต่ออีกฝ่าย เพราะจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจหรืออาจโกรธตอบ อันจะนำไปสู่การทะเลาะกัน เป็นต้น ๓. ขันติ หมายถึง ความอดทน หมายความว่า ให้รู้จักอดทนต่อคำกล่าวติชินนินทาของอีกฝ่าย หรือคนอื่นๆ เขาจะว่าอะไรก็ให้พยายามอดทนเอาไว้ เก็บอารมณ์เอาไว้ อย่าแสดงออกตอบ เพราะหากแสดงออกตอบก็จะนำไปสู่การก่อวิวาทกัน โกรธเคืองกัน ผิดใจกัน เวลาที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโกรธ ก็ให้อีกฝ่ายพยายามอย่าโกรธตอบ หรือทางที่ดีที่สุดให้เดินหนีไปให้ไกล อย่าพูดด้วย รอให้อาการความโกรธสงบลงเสียก่อน จึงค่อยพูดด้วย เพราะในเวลาที่โกรธคนเรามักจะขาดสติ มักไม่ยอมรับฟังเหตุผลของอีกฝ่าย มักใช้กำลังในการแก้ปัญหา ขืนพูดด้วยก็จะเข้าสำนวนไทยที่ว่า “สีซอให้ควายฟัง” หรือ “เป่าปี่ให้ควายฟัง” ทำอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องหรอก เสียเวลาเปล่า ดังนั้น จึงต้องอดทนเอาไว้ ๔. จาคะ หมายถึง การเสียสละ กล่าวคือ การรู้จักเสียสละประโยชน์ส่วนตนให้แก่อีกฝ่าย หรือการรู้จักเสียสละความสุขของตนเพื่ออีกฝ่าย พยายามยอมกันในบางเรื่องหรือทุกเรื่อง สามียอมภรรยา ภรรยายอมสามี สามีรู้จักเสียสละต่อภรรยา ภรรยารู้จักเสียสละต่อสามี ต่างฝ่ายต่างรู้จักเสียสละต่อกัน ก็จะทำให้ชีวิตครอบครัวมีความสุขได้ หลักธรรมที่ได้หยิบยกเอามาฝากในโอกาสนี้ ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการสร้างความเข้าใจในการมีชีวิตครอบครัวได้เป็นอย่างดี สามารถปฏิบัติต่อกันได้อย่างถูกต้อง และสามารถประคับประคองชีวิตครอบครัวให้ดำเนินไปตามแนวทางแห่งความสุขและความสงบร่มเย็นได้ ทั้งมี เพราะต่างฝ่ายต่างมีหลักปฏิบัติต่อกัน ทำให้เห็นอกเห็นใจกัน และเข้าใจกันมากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะทำให้ผู้ครองเรือนทุกคนมีชีวิตครอบครัวที่มีความสุข ความเจริญ ไม่มีเรื่องที่ต้องคิดให้ปวดหัว สามารถขจัดปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ ทำให้รักกันมากขึ้น และสามารถใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า ตลอดจนถึงวันตายได้อย่างมีความสุข ..... เอกสารอ้างอิง ๑ พระธรรมโกศาจารย์. ธรรมกับความรักและการแต่งงาน (ออนไลน์). แหล่งที่มา : http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=569&menutype=1&

38
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / 25 ตุลาคม 2552
« เมื่อ: 01 ต.ค. 2552, 06:39:42 »
                   

39
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / 3 มุม
« เมื่อ: 28 ก.ย. 2552, 07:15:49 »
001                   

002                   

003                   


                                                                                           ขอบคุณ

40
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ลายเส้น
« เมื่อ: 24 ก.ย. 2552, 04:45:22 »
เป็นของอาจารย์ตูน ในวาระต่าง ๆ
                                           

                                           

                                             

41
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / to lemon
« เมื่อ: 16 ก.ย. 2552, 06:48:51 »
ไม่ต้องสงสัย

                         ขาหมูอร่อยมาก ๆ (ไม่รู้มีอีกหรือเปล่า :001:)

42
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / เชิญชวน
« เมื่อ: 07 ก.ย. 2552, 07:42:32 »
ในวันที่ 8 ตุลาคม 2552
           ขอเชิญร่วมทำบุญทอดผ้าป่า และถวายพระเพล ณ วัดนก กทม.
ในเวลาประมาณ 10.30 น. โดย หลวงพ่อต้อย วัดบางพระ

และในเวลา 15.19 น. ร่วมเทพระพุทธรูปประจำปีเกิดถวายกุศลแด่หลวงพ่อเปิ่น
ณ โรงหล่อพระวิชัย สามพราน นครปฐม (เข้าทางวัดหลวงพ่อไสว จะสดวกกว่า)
                                                  ขอบคุณ
           

43
**พระเดชพระคุณ  พระครูสุภัทรคุณ(หลวงพ่อพวง)  วัดตะโน กรุงเทพฯ
    
   ละสังขารโดยสงบแล้วที่ โรงพยาลธนบุรี   เมื่อเช้าวานนี้
  กำหนดรดน้ำ วันนี้ จนถึงเวลา 17.00 น.
   ศิษย์ ศิษยานุศิษย์ ท่านที่เคารพ ขอเชิญร่วมแสดงความอาลัย โดยทั่วกัน
  
**  หลวงพ่อพวง เป็นศิษย์หลวงปู่โชติ เจ้าตำหรับ เชื่อกคาดเอว อันเลื่องชื่อ  **


 ขอกราบคารวะ และอาลัยรักยิ่งในฐานะ พระอาจารย์ มหาเถระที่น่ากราบไหว้บูชา
ขอให้ดวงวิญญาณสถิต ณ แดนนิพพาน เป็นที่สุด
                                                           กราบคารวะ
                                                            

                                                                          

*กำหนดบำเพ็ญกุศล ณ วัดตะโน  ซ.พณิชยการธนบุรี

44
บทความ บทกวี / ถวายสักการะ
« เมื่อ: 08 ส.ค. 2552, 04:52:09 »
                    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส


นะมัตถุ รัตตะนัตตะยัสสะ                                 สัทธัมเม ฐิตะคุณาภิปะยุตตัง
        เสฎฐัง สิสสานัง คะรุฏฐานิยัง                    อุตตะมะปะชานาถะวิสสุตัญจะ
มะหาเถรัง                                                  นะมามิหัง
       ตัสสะ ตัสสานุภาเวนะ                              สัพพะโสตถี ภะวันตุ เมฯ



45
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / แนะนำ
« เมื่อ: 07 ส.ค. 2552, 07:25:52 »
วันนี้ ถ้าท่านใด ดูรายการ *บันทึกลึกลับ*  ไม่ทัน
ลองแวะดูย้อนหลังได้ที่http://www.thaifreetv.net/tv/replay_tv.php
ผิดพลาดประการใดขออภัย

46
this morning

       
                         
                                       


                                                                                                                        :050: :050: :050:

47
ตัวอย่าง

                               

48
ที่มาhttp://www.palapanyo.com/content/node/257



บันทึกธรรม เรื่อง "โมหะมันให้มา"
เขียนโดย dy เมื่อ จ, 2008-01-14 13:41 Tags:

    * การแสวงหาความสุขของมนุษย์

โดยพระชุมพล พลปญฺโ
๓๐ พ.ย. ๒๕๓๖

.....โมหะมันมากำหนดให้ว่า

รูปอย่างนี้น่าดู รูปอย่างนี้ไม่น่าดู

ความจริง รูปที่น่าดูก็ไม่มี รูปที่ไม่น่าดูก็ไม่มี

.....โมหะมันมากำหนดให้ว่า

เสียงอย่างนี้น่าฟัง เสียงอย่างนี้ไม่น่าฟัง

ความจริง เสียงที่น่าฟังก็ไม่มี เสียงที่ไม่น่าฟังก็ไม่มี

.....โมหะมันมากำหนดให้ว่า

กลิ่นอย่างนี้น่าดม กลิ่นอย่างนี้ไม่น่าดม

ความจริง กลิ่นที่น่าดมก็ไม่มี กลิ่นที่ไม่น่าดมก็ไม่มี

.....โมหะมันมากำหนดให้ว่า

รสอย่างนี้น่าลิ้ม รสอย่างนี้ไม่น่าลิ้ม

ความจริง รสที่น่าลิ้มก็ไม่มี รสที่ไม่น่าลิ้มก็ไม่มี

.....โมหะมันมากำหนดให้ว่า

โผฏฐัพพะอย่างนี้น่าถูก โผฏฐัพพะอย่างนี้ไม่น่าถูก

ความจริง โผฏฐัพพะที่น่าถูกก็ไม่มี โผฏฐัพพะที่ไม่น่าถูกก็ไม่มี

.....โมหะมันมากำหนดให้ว่า

ธัมมารมณ์อย่างนี้น่ารู้ ธัมมารมณ์อย่างนี้ไม่น่ารู้

ความจริง ธัมมารมณ์ที่น่ารู้ก็ไม่มี ธัมมารมณ์ที่ไม่น่ารู้ก็ไม่มี


ทุกสิ่งทุกอย่างทุกประการ ถูกโมหะมันหลอกให้หัวหมุนหัวปั่นไปเอง


พระชุมพล พลปญฺโ

๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๖



*เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับนักปฏิบัติ*

ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วย

49
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / where3
« เมื่อ: 13 ก.ค. 2552, 04:21:22 »
part3

                           
                                               

50
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / where2
« เมื่อ: 09 ก.ค. 2552, 10:00:33 »






                                   



                                             :001: :001: :001:










51
****
คุณไพลาภ   ภัทรเหล่าตระกูล                             1,000.-
คุณสิริวัฒน์  อำนาจสมบูรณ์                                1,000.-
คุณเบิร์ด  บางแค                                               500.-
ผู้การเสือ                                                     3,500.-
พ.ต.อ.อดุลย์ รัตนภิรมณ์+เพื่อน นพต.29            12,000.-
นายก อบตแม่สาย+คุณเอนก                             1,000.-
คุณตี้                                                          1,500.-
คุณที+คุณมล                                               3,000.-
คุณต้อม (สุวรรณภูมิ)                                      1,300.-
คุณฉันทิภา  พูลเกษม                                     2,000.-
คุณอิ๊ก  สายไหม                                          3,000.-
พระเบิร์ด วัดบางพระ                                      1,500.-
คุณตุ้ย                                                      2,000.-
พระอาจารย์หนึ่ง+คณะศิษย์ 40,000+16,500+1,500.-***
(ยังมีต่อ)     

52
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / w h e r e
« เมื่อ: 02 ก.ค. 2552, 03:01:54 »
today





                                                                                                                    :114:

53
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / กรุงเก่า
« เมื่อ: 28 มิ.ย. 2552, 09:39:48 »
3 วัด ที่กรุงเก่า วันนี้
                         วัดตูม น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์

                         วัดโพธิ์เผือก พระเจ้าตาก

                         วัดพระขาว



                                                                                                                             :114: :114: :114: :114: :114:

54
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / new photo
« เมื่อ: 23 มิ.ย. 2552, 05:05:25 »
mr.rabbit show
                                                 
                                             

                                             

                                             

                                             ***********************************************************


55
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / มาแล้ว
« เมื่อ: 19 มิ.ย. 2552, 09:41:57 »
ขณะนี้ พระอาจารย์หนึ่ง ได้มาอยู่ที่วัดบางพระแล้ว
ประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนที่จะไปปฏิบัติธรรม
ในฤดูเข้าพรรษา 2552 ที่โคราช
ลูกศิษย์ สหธรรมมิก อย่าลืมแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนบ้าง

56
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / yesterday
« เมื่อ: 14 มิ.ย. 2552, 11:21:03 »




57
รูปภาพและวีดีโอสายวัดบางพระ / [*]-[*]
« เมื่อ: 08 มิ.ย. 2552, 01:05:29 »
1




                                               a


jam

58
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / today moring
« เมื่อ: 05 มิ.ย. 2552, 10:21:53 »
 :090: :090:

                                                     

                                                     

                                                     

                                                                                                                                   :114: :114: :114: :114:                     

59
*****

                                 


                                 

60
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ***/\***
« เมื่อ: 23 เม.ย. 2552, 02:21:38 »





                                 



thankyou   **google**

61
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ปีที่ 7
« เมื่อ: 20 เม.ย. 2552, 07:09:03 »
เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว

               

62
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / วัดพระขาว
« เมื่อ: 01 เม.ย. 2552, 06:55:35 »
ไปมา 2 วันแล้ว


63
อาลัยยิ่งแด่หลวงปู่ผู้เมตตา***************************



 :114: :114: :114: :114: :114: :114:




 :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114:







 :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114:

64
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / happy birthday
« เมื่อ: 18 มี.ค. 2552, 10:27:49 »
ขอให้หลวงพ่ออางค์ สุขภาพ แข็งแรง ทนุบำรุงวัดบางพระ
สืบสานปณิธานหลวงพ่อเปิ่นสืบไป*****




พรุ่งนี้แจกครับ  เท่าที่ทราบมีไม่มาก


                                                 




65
วันนี้บ้านอาจารย์หนวด









ที่เหลือให้ท่าน โองการฯ โพส ละกัน :027:

66
ไหว้ครูบูรพาจารย์ / **ไหว้ครู**
« เมื่อ: 08 มี.ค. 2552, 06:34:12 »
ด้วยบารมี หลวงพ่อเปิ่น ที่ปกปักรักษา ศิษย์ ศิษยานุศิษย์








67
เหนื่อย หิว ง่วง อดนอน สำหรับงานวัดมาตลอด  ทุกพิธี

 :053: :053: :053: :053: :053: :053: :053: :053: :053: :053: :053: :053: :090: :090: :090:

68
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / this morning
« เมื่อ: 04 มี.ค. 2552, 11:30:51 »

 :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114:

 :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114: :114:

69
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / เท่าที่มี
« เมื่อ: 19 ก.พ. 2552, 05:55:35 »
001




002


72
 :090: :090: :090:




 :090: :090: :090:




 :090: :090: :090:



73
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ขอแนะนำ
« เมื่อ: 18 ม.ค. 2552, 07:49:15 »
พระอาจารย์เชษฐ์ พระผู้ดูแลวัดถุมงคลของวัดบางพระทั้งหมด



74
งานทำบุญอายุวัฒนะหลวงปู่ทิม มีงาน 2 วัน
ในรูปเป็นงานวันแรก

76


















ขอพระองค์ทรงพระเจริญ



77


 :001:



 :001: :001:



 :001: :001: :001:




 :001: :001: :001: :001:





78
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / test
« เมื่อ: 16 ก.ย. 2551, 06:25:05 »
test





79
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / test
« เมื่อ: 25 ส.ค. 2551, 06:19:27 »








80
http://funny.hunsa.com/detail.php?id=11005

http://blog.hunsa.com/papamama/blog/25242

81
 :001:

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

82
กุมารทอง

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

83
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) /
« เมื่อ: 20 ม.ค. 2551, 06:27:49 »
อ หนวด จะมาช่วยสักที่วัดทุก เสาว์ อาทิตย์
เวาลานี้สร้างชื่อเสียงให้กับครูบาอาจารย์มาก ที่ ต่างประเทศ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

84
วัดนกครับ





85
สวนโมกฯ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

86
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y6094663/Y6094663.html

88
รูปภาพและวีดีโอสายวัดบางพระ / pic
« เมื่อ: 16 พ.ย. 2550, 10:46:34 »
 :001:

 :001:

 :001:



 :001: :001:

89
วัดห้วยมงคล


90
รูปภาพและวีดีโอสายวัดบางพระ / test
« เมื่อ: 12 พ.ย. 2550, 06:25:22 »
 :001:

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

91
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ข่าว
« เมื่อ: 04 พ.ย. 2550, 04:37:23 »
http://www.komchadluek.net/


พระโลหิตเกณฑ์ปรกติ พระพี่นางเธอฯรับสั่งได้ชัดขึ้น
3 พฤศจิกายน 2550 19:07 น.
ทรงพระดำเนินโดยใช้เครื่องช่วยพยุงได้คล่องขึ้น ส่วนสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ รับสั่งได้ชัดขึ้น พร้อมทรงเคลื่อนไหวพระหัตถ์ขวาได้ดีขึ้น พสกนิกรลงนามถวายพระพรในหลวง-สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ไม่ขาดสาย ?สพรั่ง ?ร่วมถวายพระพร เผยโชคดีของพสกนิกรชาวไทย ที่มีในหลวงเป็นหลักชัยคอยบำบัดทุกข์บำรุงสุขปกป้องคุ้มครองไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้นแก่ชาติบ้านเมือง ด้านคุณยายวัย 96 ปี พร้อมชาวเขาร่วมลงนามถวายพระพรของให้ทั้งสองพระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวร




เมื่อเวลา 18.20 น. วันที่ 3 พฤศจิกายน สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ เรื่องพระอาการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฉบับที่ 22 ความว่า วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รายงานว่า ผลของการถวายตรวจพระโลหิต ด้านโลหิตวิทยาอยู่ในเกณฑ์ปรกติ ทรงพระดำเนินโดยใช้เครื่องช่วยพยุงได้คล่องขึ้น

พร้อมกันนี้สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์เรื่อง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระประชวร ฉบับที่ 10 ความว่า วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ รายงานว่า เริ่มรับสั่งได้ชัดขึ้น ทรงเคลื่อนไหวพระหัตถ์ขวาได้ดีขึ้น คณะแพทย์ฯ ได้ถวายการรักษาทางกายภาพบำบัด และอาหารเสริมทางหลอดพระโลหิตเพิ่มขึ้น

บรรยากาศการลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ภายในห้องโถงศาลาศิริราช 100 ปี โรงพยาบาลศิริราช คลื่นมหาชนยังคงแสดงพลังสวมเสื้อเหลืองทยอยลงนามถวายพระพรทั้งสองพระองค์อย่างต่อเนื่อง โดยสำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนลงนามถวายพระพรตั้งแต่ช่วงเช้า ซึ่งประชาชนทุกหมู่เหล่าเดินทางมาลงนามถวายพระพรไม่ขาดสายเหมือนเช่นทุกวัน อีกทั้งเป็นช่วงวันหยุดทำให้ประชาชนพาครอบครัวมาลงนามถวายพระพรอย่างพร้อมเพรียงกัน

ทั้งนี้ตั้งแต่ช่วงเช้าบรรยากาศการลงนามถวายพระพรเป็นไปอย่างคึกคัก โดยชนเผ่าเหย้า หรือชาวฮิวเมี่ยน จาก อ.คลองลาน จ.กำแพงเพชร พระภิกษุจากวัดป่าธรรมดา อ.บัวลาย จ.นครราชสีมา พร้อมชาวบ้าน รวม 66 คน ลงนามถวายพระพร ขณะที่พระมหาสุนทร สุนทโร เลขาฯ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ เดินทางมาถวายพระพร พร้อมทูลเกล้าฯ ถวายพระพุทธรูปปางห้ามญาติ 1 องค์

คุณยายวัย96ถวายพระพร

จากนั้นคณะครูจากพาณิชยการราชดำเนิน นำนักเรียนทุนของโรงเรียนจากเผ่าม้ง จำนวน 23 คน มาสีไวโอลินและร้องเพลงดอกไม้ และเพลงกำลังใจ หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ที่ประดิษฐานอยู่ภายในศาลาศิริราช 100 ปี ต่อมาคณะครู-นักเรียนโรงเรียนโสตศึกษาอนุสารสุนทร จ.เชียงใหม่ จำนวน 450 คน ร่วมลงนามถวายพระพร เช่นเดียวกับนายสมัคร สำเภารัตน์ คณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย นายอทึก อัศวนนท์ ที่ปรึกษากฎหมายบริษัท ทรูวิชั่น จำกัด ที่ต่างก็เดินทางมาถวายพระพรด้วยเช่นกัน

เช่นเดียวกับนางผ่อง อาพัดนอก หญิงชรา วัย 96 ปี เดินทางจากบัวใหญ่ จ.นครราชสีมา เพื่อมาถวายพระพรโดยเฉพาะ จากนั้น Mr.Alne Aspelin อายุ 63 ปี ได้บินตรงจากสวีเดน พร้อมภรรยาชาวไทย มาลงนามถวายพระพร พร้อมกล่าวว่า รู้ข่าวพระอาการประชวรจาก นสพ.ในประเทศสวีเดน จึงถือโอกาสพาภรรยากลับประเทศไทยเพื่อถวายพระพรและพักผ่อนด้วย นอกจากนี้ยังมีคณะครูและนักเรียนโรงเรียนบ้านถ้ำโกบ นำนักเรียนมาแสดงรำมโนราห์ ถวายพระพร โดยคำร้องได้ประพันธ์ขึ้นใหม่เพื่อถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยเฉพาะ ซึ่งเมื่อแสดงเสร็จก็ได้รับเสียงปรบมือจากผู้ที่มาลงนามถวายพระพรในศาลาศิริราช 100 ปี

สมเด็จพระเทพฯเข้าเฝ้าในหลวง

ขณะเดียวกัน สำนักพระราชวังนำพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ และปฏิทินแบบพกพาซึ่งเป็นภาพพระบรมฉายาลักษณ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉายพระรูปร่วมกับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ มาแจกจ่ายให้แก่ประชาชนที่มาลงนามถวายพระพรเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่าน

ส่วนที่บริเวณลานพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลศิริราชกางเต็นท์คอยอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่ปักหลักติดตามพระอาการประชวรของทั้งสองพระองค์อย่างใกล้ชิดตลอดทั้งวัน

ขณะที่บรรยากาศการลงนามถวายพระพรในช่วงบ่ายยังคงมีประชาชน บุคคลสำคัญทยอยมาลงนามถวายพระพรทั้งสองพระองค์อย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลา 14.50 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินยังอาคารเฉลิมพระเกียรติเพื่อเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเฝ้าติดตามพระอาการประชวรสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โดยมีประชาชนรอรับเสด็จอยู่เป็นจำนวนมาก และต่างเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้อง

"สพรั่ง"เผยโชคดีของพสกนิกรไทย

จากนั้นในเวลา 15.20 น. พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม มาลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทั้งนี้ พล.อ.สพรั่ง ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นที่น่ายินดีหลังจากที่ได้ฟังแถลงการณ์ความคืบหน้าพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าพระองค์ดีขึ้นแล้ว และนับเป็นโชคดีของพสกนิกรชาวไทยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระชนมายุยิ่งยืนนานเป็นหลักชัยให้ประเทศชาติ ทำให้ทุกคนสามารถมีความหวั ง เพราะไม่ว่าบ้านเมืองจะมีสถานการณ์อย่างไรก็สามารถผ่านพ้นไปได้ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคอยบำบัดทุกข์บำรุงสุขปกป้องคุ้มครองไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้นแก่ชาติบ้านเมือง

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะทหารสามารถทำอะไรให้พระองค์ได้บ้าง พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นข้าราชการทหารก็ยึดถือคติที่ยึดถือมาตลอด คือไม่ย่อท้อและแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด นอกจากนี้ในส่วนพระอาการประชวรของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ หลังจากที่ได้ทราบจากแถลงการณ์ก็รู้สึกเหมือนคนไทยทุกคนทั่วไป พระองค์ทรงเปรียบเสมือนยิ่งกว่าญาติผู้ใหญ่ พ่อแม่ เมื่อญาติผู้ใหญ่ไม่สบายก็รู้สึกเป็นทุกข์ ทั้งนี้หากสามารถเนรมิตได้ก็อยากให้พระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวร มีพระสุขภาพที่แข็งแรง


พระบรมฯพระราชทานขนม

ต่อมาเมื่อเวลา 15.56 น. คุณหญิงจินตนา ภักดิ์ศรีวงศ์ ประธานโครงการเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ นำตัวแทนจากโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ มาขับร้องเพลงถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ พร้อมขับร้องเพลง "ร่มโพธิ์ทองแห่งไทย" ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นขับร้องเพลง "เจ้าฟ้าสุดบูชา" ถวายพระพรแด่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายทั้งสองพระองค์

เมื่อเวลา 16.00 น. ที่ลานพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก รพ.ศิริราช สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ทรงให้ พล.อ.ต.ธีรพงษ์ วรรณสำเริง ผู้ช่วยหัวหน้าสำนักงานราชเลขานุการในพระองค์ นำกะหรี่ปั๊บ จำนวน 4,000 กล่อง พระราชทานแก่ประชาชนที่มาถวายพระพร

ส่วนบรรยากาศในช่วงเย็นพสกนิกรชาวไทยมาลงนามถวายพระพรอย่างต่อเนื่อง โดยประชาชนจำนวนมากยังคงถวายความจงรักภักดีเฝ้าพระอาการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ อย่างเนืองแน่น พร้อมติดตามคำแถลงการณ์ของสำนักพระราชวังเกี่ยวกับพระอาการของทั้งสองพระองค์ ที่จะออกมาในช่วงค่ำด้วยใจจดใจจ่อเหมือนเช่นทุกวัน


 

 

 

92
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ทาน ทาน
« เมื่อ: 30 ต.ค. 2550, 08:39:03 »
 ทำทานที่ให้กุศลแรงและสูง (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ฯ)
โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ทาน

การทำทาน ได้แก่การสละทรัพย์สิ่งของสมบัติของตนที่มีอยู่ให้แก่ผู้อื่น โดยมุ่งหวังจะจุนเจือให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์และความสุขด้วยความเมตตาจิตของตน ทานที่ได้ทำไปนั้น จะทำให้ผู้ทำทานได้บุญมากหรือน้อยเพียงใด ย่อมสุดแล้วแต่องค์ประกอบ ๓ ประการ ถ้าประกอบถึงพร้อมด้วยองค์ประกอบทั้ง ๓ ประการต่อไปนี้แล้ว ทานนั้นย่อมมีผลมาก ได้บุญบารมีมาก กล่าวคือ

องค์ประกอบข้อที่ ๑. "วัตถุทานที่ให้ต้องบริสุทธิ์"
วัตถุทานที่ให้ ได้แก่สิ่งของทรัพย์สมบัติที่ตนได้สละให้เป็นทานนั้นเอง จะต้องเป็นของที่บริสุทธิ์ ที่จะเป็นของบริสุทธิ์ได้จะต้องเป็นสิ่งของที่ตนเองได้แสวงหา ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ในการประกอบอาชีพ ไม่ใช่ของที่ได้มาเพราะการเบียดเบียนผู้อื่น เช่น ได้มาโดยยักยอก ทุจริต ลักทรัพย์ ฉ้อโกง ปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ ฯลฯ

ตัวอย่าง ๑ ได้มาโดยการเบียดเบียนชีวิตและเลือดเนื้อสัตว์ เช่นฆ่าสัตว์ต่าง ๆ เป็นต้นว่า ปลา โค กระบือ สุกร โดยประสงค์จะเอาเลือดเนื้อของเขามาทำอาหารถวายพระเพื่อเอาบุญ ย่อมเป็นการสร้างบาปเอามาทำบุญ วัตถุทานคือเนื้อสัตว์นั้นเป็นของที่ไม่บริสุทธิ์ แม้ทำบุญให้ทานไป ก็ย่อมได้บุญน้อย จนเกือบไม่ได้อะไรเลย ทั้งอาจจะได้บาปเสียอีก หากว่าทำทานด้วยจิตที่เศร้าหมอง แต่การที่จะได้เนื้อสัตว์มาโดยการซื้อหามาจากผู้อื่นที่ฆ่าสัตว์นั้น โดยที่ตนมิได้มีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจในการฆ่าสัตว์นั้นก็ดี เนื้อสัตว์นั้นตายเองก็ดี เนื้อสัตว์นั้นย่อมเป็นวัตถุทานที่บริสุทธิ์ เมื่อนำมาทำทานย่อมได้บุญมากหากถึงพร้อมด้วยองค์ประกอบข้ออื่น ๆ ด้วย

ตัวอย่าง ๒ ลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกง ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ รวมตลอดถึงการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง อันเป็นการได้ทรัพย์มาในลักษณะที่ไม่ชอบธรรม หรือโดยเจ้าของเดิมไม่เต็มใจให้ทรัพย์นั้น ย่อมเป็นของที่ไม่บริสุทธิ์ เป็นของร้อน แม้จะผลิดอกออกผลมาเพิ่มเติม ดอกผลนั้นก็ย่อมเป็นของไม่บริสุทธิ์ ด้วยนำเอาไปกินไปใช้ย่อมเกิดโทษ เรียกว่า "บริโภคโดยความเป็นหนี้" แม้จะนำเอาไปทำบุญ ให้ทาน สร้างโบสถ์วิหารก็ตาม ก็ไม่ทำให้ได้บุญแต่อย่างไร สมัยหนึ่งในรัชการที่ ๕ มีหัวหน้าสำนักนางโลมชื่อ "ยายแฟง" ได้เรียกเก็บเงินจากหญิงโสเภณีในสำนักของตนจากอัตราที่ได้มาครั้งหนึ่ง ๒๕ สตางค์ แกจะชักเอาไว้ ๕ สตางค์ สะสมเอาไว้เช่นนี้จนได้ประมาณ ๒,๐๐๐ บาท แล้วจึงจัดสร้างวัดขึ้นวัดหนึ่งด้วยเงินนั้นทั้งหมด เมื่อสร้างเสร็จแล้วแกก็ปลื้มปีติ นำไปนมัสการถามหลวงพ่อโตวัดระฆังว่าการที่แกสร้างวัดทั้งวัดด้วยเงินของแกทั้งหมดจะได้บุญบารมีอย่างไร หลวงพ่อโตตอบว่า ได้แค่ ๑ สลึง แกก็เสียใจ เหตุที่ได้บุญน้อยก็เพราะทรัพย์อันเป็นวัตถุทานที่ตนนำมาสร้างวัดอันเป็นวิหารทานนั้น เป็นของที่แสวงหาได้มาโดยไม่บริสุทธิ์ เพราะว่าเบียดเบียนมาจากเจ้าของที่ไม่เต็มใจจะให้ ฉะนั้น บรรดาพ่อค้าแม่ขายทั้งหลายที่ซื้อของถูก ๆ แต่มาขายแพงจนเกินส่วนนั้น ย่อมเป็นสิ่งของที่ไม่บริสุทธิ์โดยนัยเดียวกัน

วัตถุทานที่บริสุทธิ์เพราะการแสวงหาได้มาโดยชอบธรรมดังกล่าว ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นของดีหรือเลว ไม่จำกัดว่าเป็นของมากหรือน้อย น้อยค่าหรือมีค่ามาก จะเป็นของดี เลว ประณีต มากหรือน้อยไม่สำคัญ ความสำคัญขึ้นอยู่กับเจตนาในการให้ทานนั้น ตามกำลังทรัพย์และกำลังศรัทธาที่ตนมีอยู่


องค์ประกอบข้อที่ ๒. "เจตนาในการสร้างทานต้องบริสุทธิ์"
การให้ทานนั้น โดยจุดมุ่งหมายที่แท้จริงก็เพื่อเป็นการขจัดความโลภ ความตระหนี่เหนียวแน่นความหวงแหนหลงใหลในทรัพย์สมบัติของตน อันเป็นกิเลสหยาบ คือ "โลภกิเลส" และเพื่อเป็นการสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุขด้วย เมตตาธรรมของตน อันเป็นบันไดก้าวแรกในการเจริญเมตตา พรหมวิหารธรรมในพรหมวิหาร ๔ ให้เกิดขึ้น ถ้าได้ให้ทานด้วยเจตนาดังกล่าวแล้ว เรียกว่าเจตนาในการทำทานบริสุทธิ์ แต่เจตนาที่ว่าบริสุทธิ์นั้น

ถ้าจะบริสุทธิ์จริงจะต้องสมบูรณ์พร้อมกัน ๓ ระยะ คือ

(๑) ระยะก่อนที่จะให้ทาน ก่อนที่จะทานก็จะมีจิตที่โสมนัสร่าเริงเบิกบานยินดีที่จะให้ทาน เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุขเพราะทรัพย์สิ่งของของตน

(๒) ระยะที่กำลังลงมือให้ทาน ระยะที่กำลังมือให้ทานอยู่นั้นเอง ก็ทำด้วยจิตใจโสมนัสร่าเริงยินดีและเบิกบานในทานที่ตนกำลังให้ผู้อื่น

(๓) ระยะหลังจากที่ได้ให้ทานไปแล้ว ครั้นเมื่อได้ให้ทานไปแล้วเสร็จ หลังจากนั้นก็ดี นานมาก็ดี เมื่อหวนคิดถึงทานที่ตนได้กระทำไปแล้วครั้งใด ก็มีจิตใจโสมนัสร่าเริงเบิกบาน ยินดีในทานนั้น ๆ
เจตนาบริสุทธิ์ในการทำทานนั้น อยู่ที่จิตใจโสมนัสร่าเริงเบิกบานยินดีในทานที่ทำนั้นเป็นสำคัญ และเนื่องจากเมตตาจิต ที่มุ่งสงเคราะห์ผู้อื่นให้พ้นความทุกข์ และให้ได้รับความสุขเพราะทานของตน นับว่าเป็นเจตนาบริสุทธิ์ในเบื้องต้น แต่เจตนาที่บริสุทธิ์เพราะเหตุดังกล่าวมาแล้วนี้ จะทำให้ยิ่ง ๆ บริสุทธิ์มากขึ้นไปอีก หากผู้ใดให้ทานนั้นได้ทำทานด้วยการวิปัสสนาปัญญา กล่าวคือ ไม่ใช่ทำทานอย่างเดียว แต่ทำทานพร้อมกับมีวิปัสสนาปัญญา โดยใคร่ครวญถึงวัตถุทานที่ให้ทานนั้นว่า อันบรรดาทรัพย์สิ่งของทั้งที่ชาวโลกนิยมยกย่องหวงแหนเป็นสมบัติกันด้วยความโลภนั้น แท้ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงวัตถุธาตุประจำโลก เป็นสมบัติกลาง ไม่ใช่ของผู้ใดโดยเฉพาะ เป็นของที่มีมาตั้งแต่ก่อนเราเกิดขึ้นมา และไม่ว่าเราจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม วัตถุธาตุดังกล่าวก็มีอยู่เช่นนั้น และได้ผ่านการเป็นเจ้าของมาแล้วหลายชั่วคน ซึ่งท่านตั้งแต่ก่อนนั้น ได้ล้มหายตายจากไปแล้วทั้งสิ้น ไม่สามารถนำวัตถุธาตุดังกล่าวนี้ติดตัวไปได้เลยจนในที่สุดก็ได้ตกทอดมาถึงเรา ให้เราได้กินได้ใช้ไดยึดถือเพียงชั่วคราว แล้วก็ตกทอดสืบเนื่องไปเป็นของคนอื่น ๆ ต่อ ๆ ไปเช่นนี้ แม้เราเองก็ไม่สามารถจะนำวัตถุธาตุดังกล่าวนี้ติดตัวไปได้เลย จึงนับว่าเป็นสมบัติผลัดกันชมเท่านั้น ไม่จากไปในวันนี้ก็ต้องจากไปในวันหน้า อย่างน้อยเราก็ต้องจากต้องทิ้งเมื่อเราได้ตายลงนับว่าเป็นอนิจจัง คือไม่เที่ยงแท้แน่นอน จึงไม่อาจจะยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเราได้ถาวรได้ตลอดไป แม้ตัววัตถุธาตุดังกล่าวนี้เอง เมื่อมีเกิดขึ้นเป็นตัวตนแล้ว ก็ต้องอยูในสภาพนั้นให้ตลอดไปไม่ได้ จะต้องเก่าแก่ ผุพัง บุบสลายไป ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนแต่อย่างไร แม้แต่เนื้อตัวร่างกายของเราเองก็มีสภาพเช่นเดียวกับวัตถุธาตุเหล่านั้น ซึ่งไม่อาจจะตั้งมั่นให้ยั่งยืนอยู่ได้ เมื่อมีเกิดขึ้นแล้วก็จะต้องเจริญวัยเป็นหนุ่มสาวแล้วก็แก่เฒ่าและตายไปในที่สุด เราจะต้องพลัดพรากจากของอันเป็นที่รัก ที่หวงแหน คือทรัพย์สมบัติทั้งปวง

เมื่อเจตนาในการให้ทานบริสุทธิ์ผุดผ่องดีพร้อมทั้งสามระยะดังกล่าวมาแล้ว ทั้งยังประกอบไปด้วยวิปัสสนาปัญญาดังกล่าวมาแล้วด้วย เจตนานั้นย่อมบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ทานที่ได้ทำไปนั้นย่อมมีผลมาก ได้บุญมากหากวัตถุทานที่ได้ทำเป็นของบริสุทธิ์ตามองค์ประกอบข้อ ๑ ด้วย ก็ย่อมทำให้ได้บุญมากยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก วัตถุทานจะมากหรือน้อย เป็นของเลวหรือประณีตไม่สำคัญ เมื่อเราได้ให้ทานไปตามกำลังทรัพย์ที่เรามีอยู่ย่อมใช้ได้ แต่ก็ยังมีข้ออันควรระวังอยู่ก็คือ "การทำทานนั้นอย่าได้เบียดเบียนตนเอง" เช่นมีน้อย แต่ฝืนทำให้มาก ๆ จนเกินกำลังของตนที่จะให้ได้ เมื่อได้ทำไปแล้วตนเองและสามี ภริยา รวมทั้งบุตรต้องลำบาก ขาดแคลน เพราะว่าไม่มีจะกินจะใช้ เช่นนี้ย่อมทำให้จิตเศร้าหมอง เจตนานั้นย่อมไม่บริสุทธิ์ ทานที่ได้ทำไปแล้วนั้น แม้วัตถุทานจะมากหรือทำมาก ก็ย่อมได้บุญน้อย

จากคุณ : อ้ายหนุ่มพลังม้า   - [ 27 ต.ค. 50 07:44:59 ]   




93
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / จีวรพระ
« เมื่อ: 23 ต.ค. 2550, 05:40:23 »
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?p=43428&sid=c6ae39ebf1d9b97501a2bd6d6189379f


--------------------------------------------------------------------------------
 
 
 

จะเลือกถวายจีวรสีใด
โดย อาจารย์ธรรมจักร สิงห์ทอง


จีวร ถือว่าเป็นธงชัย หรือเครื่องหมายของพระอรหันต์ มีหลักฐานปรากฏในพระคัมภีร์อุบาลีเถราปทาน ว่า

"บุคคลเห็นผ้ากาสาวพัสตร์ที่ (แม้) เปื้อนอุจจาระที่ถูกทิ้งไว้ตามถนนหนทาง ก็ควรประนมมือไหว้ผ้านั้น อันเป็นธงชัยของพระอริยเจ้า ด้วยเศียรเกล้า"

ในฉัททันตชาดก ติงสนิบาต กล่าวว่า "พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาช้างฉัททันต์ กำลังจะเดินตรงเข้าไปทำร้ายนายพรานป่าใจบาป ผู้คิดจะฆ่าตน แต่พอมองเห็นจีวรที่นายพรานชูให้เห็นกลับคิดได้ว่า ผู้มีธงชัยหรือเครื่องหมายแห่งพระอรหันต์ ไม่ควรถูกฆ่า จึงไม่ได้ทำร้าย และให้อภัยแก่นายพรานปล่อยให้รอดไป..."

ในคัมภีร์สมันตปาสาทิกา กล่าวว่า "สมัยที่พระพุทธองค์ยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่ พระธนิยะได้ตัดไม้เป็นสมบัติของหลวงจำนวนมาก มีความผิดตามกฎหมายบ้านเมืองโทษฐานถึงขั้นประหารชีวิต แต่พระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์ผู้ครองกรุงราชคฤห์ ก็ทรงมีรับสั่งให้พระราชทานอภัยโทษ เพราะทรงเห็นแก่จีวร (ผ้าเหลือง) ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องหมายของพระอรหันต์นั่นเอง"


๏ กำเนิดแบบตัด-เย็บจีวร

วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จถึงทักขิณาคิรีชนบท พร้อมด้วยพระภิกษุจำนวนหนึ่ง ได้ทอดพระเนตรเห็นท้องนาของชาวมคธแล้ว มีรับสั่งกับพระอานนท์ว่า "อานนท์ เธอสามารถออกแบบตัดเย็บจีวรให้มีรูปร่างอย่างนี้ได้หรือไม่"

พระอานนท์กราบทูลว่า "สามารถทำได้พระเจ้าข้า" หลังจากนั้นพระอานนท์ได้ออกแบบทำจีวรให้มีรูปร่างตามพุทธประสงค์ถวาย คือมีลักษณะคล้ายผืนนาที่มีคันนาคั่นเป็นระยะๆ พระพุทธองค์ตรัสสรรเสริญว่า "พระอานนท์เป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด สามารถเข้าใจคำสั่งของเราได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ถูกต้อง และชัดเจน"

ที่พระพุทธองค์มีรับสั่งให้ออกแบบจีวรเช่นนั้น เพราะมีพระประสงค์ ๓ ประการ คือ

๑. ผ้าที่มีราคาแพงๆ หากตัดเป็นชิ้นๆ จะทำให้ผ้าราคาตก แทบไม่มีใครต้องการ

๒. เมื่อนำเศษผ้าที่ตัดแล้วมาเย็บติดกัน จะทำให้เกิดรอยตะเข็บ มีตำหนิขาดความสวยงาม

๓. ยิ่งนำไปย้อมเปลี่ยนสีพร้อมทั้งทำเครื่องหมาย (ทำพินทุ ใช้ปากกาหรือดินสอทำเป็นจุดที่ผ้าจีวร) ทำให้สีของผ้าเศร้าหมอง ไม่มีค่าไม่มีราคา ไม่เป็นที่ต้องการของใคร ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าสนใจ ไม่มีประโยชน์สำหรับใครๆ โจรผู้ร้ายไม่แย่งชิง แบบจีวรที่ถูกกำหนดตัดเย็บมาแต่โบราณ จึงถือเป็นแบบอย่างใช้มาจนถึงปัจจุบัน

สีของจีวร แต่เดิมพระภิกษุใช้มูลโค (โคมัย) หรือดินแดงย้อมจีวร ทำให้สีของจีวรเป็นสีคล้ำไม่เหมาะสม มีการทักท้วงกันขึ้น จึงนำความกราบบังคมทูลให้พระองค์ทรงทราบ พระพุทธเจ้ามีดำรัสว่า

"ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำย้อม ๖ ชนิดสำหรับย้อมจีวร คือ น้ำย้อมจากรากไม้ น้ำย้อมจากต้นไม้ น้ำย้อมจากเปลือกไม้ น้ำย้อมจากใบไม้ น้ำย้อมจากดอกไม้ และน้ำย้อมจากผลไม้"

เมื่อย้อมเสร็จแล้วจีวรจะออกมาเป็นสีกรัก สีเหลืองหม่น หรือสีเหลืองเจือแดงเข้มเหมือนย้อมด้วยแก่นขนุน แต่ทรงห้ามไม่ให้ภิกษุย้อมจีวรด้วย ขมิ้น ฝาง แกแล มะหาด เปลือกโลท เปลือกคล้า ใบมะเกลือ คราม ดอกทองกวาว ฯลฯ

สีจีวรที่ต้องห้าม คือ

๑. สีเขียวคราม สีเหมือนดอกผักตบชวา

๒. สีเหลือง สีเหมือนดอกกรรณิการ์

๓. สีแดง สีเหมือนชบา

๔. สีหงสบาท (สีเหมือนเท้าหงส์) สีแดงกับเหลืองปนกัน

๕. สีดำ สีเหมือนลูกประคำดีควาย

๖. สีแดงเข้ม สีเหมือนหลังตะขาบ

๗. สีแดงกลายๆ แดงผสมคล้ายใบไม้แก่ๆ ใกล้ร่วง (เหมือนสีดอกบัว)

มีบางแห่งระบุว่าสีต้องห้าม คือ สีดำ สีคราม สีเหลือง สีแดง สีบานเย็น สีแสด และ สีชมพู ถ้าจีวรมีสีตรงตามนี้ ให้ภิกษุย้อมใหม่ ถ้าทำลายสีเดิมไม่ออกก็ให้นำไปใช้เป็นผ้าปูลาดสำหรับรองนั่ง หรือใช้งานอื่นๆ หรือใช้ซับในระหว่างจีวรสองชั้นก็ได้


๏ สีจีวรที่พระพุทธเจ้าและพระอัครสาวกใช้

การที่จะยืนยันว่าพระพุทธเจ้าทรงใช้จีวรสีใดย่อมเป็นการยากที่จะระบุให้ชัดเจนได้ เนื่องจากไม่เคยมีใครได้พบเห็นพระพุทธองค์ด้วยตัวเอง แต่สามารถประเมินได้จากหลักฐานพระคัมภีร์ในหลายแห่งที่พอเปรียบเทียบได้ คือ

๑. พระผู้มีพระภาคเจ้า (พระพุทธเจ้า) ทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาซึ่งมีสีดุจทอง ออกจากระหว่างบังสุกุลจีวรอันมีสีแดง

๒. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนุ่งผ้าสองชั้นที่ย้อมดีแล้ว ทรงห่มจีวรมหาบังสุกุล ได้ขนาดสุตตประมาณ ปานผ้ารัตตกัมพล (ผ้าสีแดง)

๓. พระผู้มีพระภาค ทรงห่มบังสุกุลจีวรอันประเสริฐสีแดง มีสีคล้ายสียอดอ่อนของต้นไทร

สีจีวรของพระอัครสาวกมีหลักฐานปรากฏว่า ๑. แม้พระมหาเถระทั้งหลาย มีพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ เป็นต้น ห่มบังสุกุลจีวร มีสีแดงเหมือนเมฆ ๒. พระมหาเถระทั้งหลาย มีพระมหากัสสปะ เป็นต้น ห่มบังสุกุลจีวรมีสีแดงเหมือนเมฆ

สีจีวรของพระเถระผู้ใหญ่ในสมัยพุทธกาล ก็เหมือนกับสีจีวรของพระพุทธเจ้า คือ สีแดง ตรงตามพระบรมพุทธานุญาต คือ สีเหลืองเจือแดงเข้ม ที่ใช้ย้อมด้วยแก่นขนุน คือสีกรักนั่นเอง

สีจีวรของพระสงฆ์ไทยปัจจุบัน ในสมัยพุทธกาล แม้พระภิกษุสงฆ์จะย้อมจีวรด้วยสีธรรมชาติแท้ๆ แต่ก็เชื่อว่าสีคงจะไม่ออกมาเป็นมาตรฐานเดียวกันหมดแน่นอน คงจะมีผิดเพี้ยนแตกต่างกันไปบ้าง แม้ในยุคปัจจุบันก็มีการใช้สีจีวรต่างๆ แต่พอแยกออกได้ ๒ สี คือ สีเหลืองเจือแดงเข้ม และ สีกรักสีเหลืองหม่น

วัดใดจะใช้จีวรสีไหนก็ได้ ไม่มีข้อห้าม เพราะถือว่าถูกต้องตรงตามพระบรมพุทธานุญาตทั้ง ๒ สี แต่ถ้าเป็นพระภิกษุสามเณรที่ยู่ในวัดเดียวกัน ก็น่าจะใช้จีวรสีเดียวกัน ส่วนสีที่นิยมในพระราชพิธีในพระบรมมหาราชวัง (วัดพระแก้ว) นิยมใช้สีกรัก หรือสีเหลืองหม่น เป็นมาตรฐานเดียวกัน ตลอดจนผ้าไตรที่ทางฝ่ายพระราชพิธีจัดเตรียมไว้ถวายพระด้วย ทั้งนี้ เพื่อความสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อย และปฏิบัติมาจนถึงปัจจุบัน

ผู้มีจิตศรัทธาต้องการถวายผ้าจีวรแก่พระสงฆ์ควรทราบ

๑. ข้อควรปฏิบัติ คือ จะเลือกซื้อจีวรแบบไหนสีใดไปถวายพระวัดใด ต้องคำนึงถึงคุณภาพของผ้า ที่พระท่านสามารถใช้สอยได้อย่างเหมาะสม อีกอย่างหนึ่งคือ ต้องเลือกสีให้ถูกต้องตรงตามความนิยมของแต่ละวัด เช่น วัดบวรนิเวศ ใช้สีกรักหรือเหลืองหม่น วัดสระเกศ ใช้สีเหลืองเจือแดงเข้ม เป็นต้น

๒. จุดประสงค์การถวายผ้าจีวร เพื่อให้พระภิกษุหมดภาระในการแสวงหาผ้านุ่งห่ม ไม่ต้องกังวลใจ มีเวลาปฏิบัติธรรมอย่างเพียงพอ และเป็นการช่วยให้พระภิกษุมีผ้านุ่งห่ม ป้องกันเหลือบยุง บำบัดความหนาว ป้องกันความร้อน ป้องกันไม่ให้ป่วยไข้เพราะร้อนและหนาวเกินไป และรักษาสุขภาพอนามัยคือใช้ชายจีวรกรองน้ำดื่มเมื่อถึงคราวจำเป็น

๓. อานิสงส์การถวายจีวร ผู้ถวายต้องตั้งเจตนาบริจาคให้เป็นทานบารมีที่บริสุทธิ์จริงๆ ไม่ให้เกิดการเสียดาย จึงบังเกิดเป็นบุญมหาศาล แยกได้ดังนี้

(๑) สามารถตัดบาปออกไปจากจิตใจได้เด็ดขาด

(๒) กำจัดกิเลสขวางโลก คือ ความโลภ ความตระหนี่ถี่เหนียว ให้บรรเทาเบาบางจนจางหายไปในที่สุด

(๓) ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นสุขสดใสใจเบิกบาน

(๔) เกิดความภาคภูมิใจที่มั่นคงอยู่ในบุญกุศล

(๕) พ้นจากความยากจน ความลำบากขัดสนทุกภพทุกชาติ

(๖) มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยปัจจัย ๔ ทุกภพทุกชาติ

(๗) เกิดชาติใดภพใดจะเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม ผิวพรรณผุดผ่องแจ่มใส

(๘) ทำให้บังเกิดความอิ่มบุญ เย็นใจตลอดเวลาทุกครั้งที่นึกถึง


๏ คำถวายจีวร

อิมานิ มะยัง ภันเต จีวะรานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ อิมานิ จีวะรานิ สะปะริวารานิ ปฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ

หรือจะกล่าวเฉพาะคำแปลก็ได้ คือ ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายจีวร พร้อมทั้งของบริวารเหล่านี้ แก่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์ โปรดรับจีวร พร้อมทั้งของบริวารเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนานเทอญ

 


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

95
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROd01ERTJNREl4TVRBMU1BPT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBd055MHhNQzB5TVE9PQ==



 
"พระธรรมรัตนากร" เป็นพระเถระอีกรูปหนึ่ง ที่สร้างคุณูปการต่อวงการสงฆ์แห่งแดนใต้อย่างอเนกอนันต์ เป็นที่โจษขานเลื่องลือไปไกล ทุ่มแรงกายแรงใจให้งานแบบถวายชีวิต กอปรด้วยศีลาจารวัตรอันงดงาม ตั้งอยู่ในศีล ดำรงตนตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด

เปรียบประดุจสะพานบุญ เชื่อมต่อศรัทธาแห่งชาวบ้านในชุมชนกับวัด มิให้ห่างเหินไปไกลกัน

ปัจจุบันพระธรรมรัตนากร สิริอายุ 79 พรรษา 59 ดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าคณะใหญ่หนใต้ เจ้าคณะภาค 18 และเจ้าอาวาสวัดกะพังสุรินทร์ ต.ทับเที่ยง อ.เมือง จ.ตรัง

อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า สงัด ลิ่มไทย เกิดเมื่อปี พ.ศ.2471 ที่บ้านหนองไทร ต.นาโยงเหนือ อ.นาโยง จ.ตรัง โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายเปลี่ยน และนางทองอ่อน ลิ่มไทย

ในช่วงวัยเยาว์ จบการศึกษาชั้นประถมปีที่ 4 จากโรงเรียนเพาะปัญญา

พ.ศ.2483 บรรพชาเป็นสามเณร ที่อุโบสถวัดมงคลสถาน อ.นาโยง จ.ตรัง โดยมีพระครูวิบูลย์ศีลวัตร (แดง) วัดนิคมประทีป อ.เมือง จ.ตรัง เป็นพระอุปัชฌาย์

ก่อนย้ายมาอยู่ที่วัดจอมไตร อ.นาโยง จ.ตรัง เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ.2486 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี

พ.ศ.2487 สอบนักธรรมชั้นโท-เอก ตามลำดับ ที่สำนักเรียนวัดควนวิเศษ อ.เมือง จ.ตรัง

ด้วยความมุ่งมั่นศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลี จึงย้ายไปที่วัดคูหาสวรรค์ จ.พัทลุง จนสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค

พ.ศ.2491 เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดจอมไตร อ.นาโยง จ.ตรัง โดยมีพระครูสังวรโกวิท เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูพิบูลธรรมสาร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระผุด มหาวีโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์

พ.ศ.2492-2494 สอบได้เปรียญธรรม 4-5-6 ตามลำดับ ก่อนย้ายมาอยู่ที่วัดกะพังสุรินทร์ พ.ศ.2504 สามารถสอบเปรียญธรรม 7 ประโยค

ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดกะพังสุรินทร์ พ.ศ.2514 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลบ้านโพธิ์

พ.ศ.2527 ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะจังหวัดตรัง พ.ศ.2541 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะภาค 18

ล่าสุด พ.ศ.2550 ได้รับการแต่งตั้งเป็นรักษาการเจ้าคณะใหญ่หนใต้

ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2516 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระปิฎกคุณาภรณ์

พ.ศ.2527 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชปริยัติยาภรณ์

พ.ศ.2536 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพวิมลเมธี

พ.ศ.2541 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมรัตนากร

พระธรรมรัตนากรเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ของจังหวัดตรังและภาคใต้ ที่พุทธศาสนิกชนให้ความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง

แม้จะล่วงวัย 79 ปีแล้วก็ตาม แต่ท่านยังให้ความสนใจในการหาความรู้ใหม่ๆ เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลานอกเหนือไปจากการศึกษาความรู้ด้านหลักธรรมคำสอนแห่งพุทธองค์พระพุทธเจ้าเพียงอย่างเดียว อาทิ ท่านสามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการทำงานจัดระบบสารบัญได้อย่างคล่องแคล่ว และสามารถใช้งานอื่นได้ในระดับหนึ่ง

พระธรรมรัตนากรให้ความสำคัญในเรื่องการศึกษาพระปริยัติธรรมยิ่งนัก โดยท่านเป็นผู้รับผิดชอบในการสอนหนังสือด้วยตนเองมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2498 มาจนถึงปัจจุบัน มีพระภิกษุ-สามเณรที่สนใจศึกษาบาลีและนักธรรมเป็นจำนวนมาก

แต่เดิมที่ดินวัดกะพังสุรินทร์มีจำนวน 16 ไร่ ท่านได้ขอซื้อที่ดินด้านหลังขยายออกไปเพิ่มขึ้นเป็น 24 ไร่ และได้อนุญาตให้โรงเรียนเทศบาลมาใช้พื้นที่ด้วย ปัจจุบันคือ โรงเรียนเทศบาล 2 วัดกะพังสุรินทร์

นอกจากนี้ วัดกะพังสุรินทร์ยังให้การสนับสนุนทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่เรียนดีอย่างต่อเนื่องกันมาในทุกปีอีกด้วย รวมไปถึงการช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนในโอกาสต่างๆ เช่น เมื่อครั้งที่เกิดน้ำท่วมหนักในพื้นที่ อ.พิปูน จ.นครศรีธรรมราช ท่านได้รวบรวมทุนทรัพย์จำนวนกว่า 100,000 บาท ช่วยเหลือผู้ประสบภัย

พระธรรมรัตนากรได้ยึดหลักควรยกย่องผู้ที่สมควรยกย่อง และตักเตือนผู้ที่สมควรตักเตือน ดังนั้น หากพระสังฆาธิการรูปใดที่ประพฤติดีต้องยกย่อง และต้องให้ได้รับเกียรติมีสมณศักดิ์

พร้อมกันนั้น พระธรรมรัตนากรยังได้อบรมพระในปกครองอยู่เสมอว่า ในการทำงานจะต้องไม่กลัวผิดพลาด แต่จะต้องตั้งใจทำงานนั้นให้ดีที่สุด และจะต้องไม่ตื่นเต้นเมื่อเกิดการผิดพลาด โดยพร้อมที่จะแก้ไขอยู่ตลอดเวลา

ปัจจุบันศาสนกิจของท่านต้องข้ามเขตพื้นที่การปกครองไปยังประเทศมาเลเซียด้วย การทำงานจะเน้นไปในการในการสนับสนุนส่งเสริมพระพุทธศาสนา และได้มีการตั้งคณะกรรมการที่เรียกว่า "คณะกรรมการส่งเสริมพระพุทธศาสนา ไทย-มาเลเซีย" (กศทม.) โดยมีเจ้าคณะภาค 18 เป็นประธาน และมีรองเจ้าคณะรัฐมาเลเซีย เป็นรองประธาน

พระธรรมรัตนากรกล่าวถึงวัดในประเทศมาเลเซียว่า มีประมาณ 33 วัด มีพระสงฆ์กว่า 200 รูป โดยรัฐที่มีวัดมากที่สุดคือ รัฐเคดาร์ รัฐปะลิศ และรัฐกลันตัน รองลงมาคือ รัฐปีนัง และรัฐกัวลาลัมเปอร์ ที่น่าสนใจคือ พระที่นั่นสามารถพูดภาษาไทยได้อย่างชัดเจน อาจมาจากวัฒนธรรมดั้งเดิม ที่ก่อนหน้านี้รัฐดังกล่าวคือประเทศไทยนั่นเอง ก่อนที่จะมีการแบ่งแยกประเทศออกไป นอกเหนือจากพระที่โน่นจะทำหน้าที่สอนสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ยังทำหน้าที่สอนภาษาไทยให้ชาวมาเลเซียที่สนใจอีกด้วย

"อาตมามีโอกาสเดินทางไปด้วยครั้งหนึ่ง สังเกตเห็นว่าสถานที่ที่ไปแสดงธรรมยังมีเพียงพระพุทธรูปขนาดเล็กๆ เท่านั้น ครั้นเดินทางกลับมาเมืองไทย จึงได้จัดส่งพระพุทธรูปขนาดใหญ่ จำนวน 7 องค์ เพื่อไปตั้งประดิษฐานในอุโบสถ สร้างความยินดีให้กับพระและชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง"

หากเปรียบต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาแก่มวลสรรพสัตว์ฉันใด พระธรรมรัตนากรคงเปรียบได้กับต้นโพธิ์ใหญ่ แผ่ปกคลุมร่มเงาธรรม ปกปักคุ้มภัยอันตรายแก่มวลประชาฉันนั้น

เส้นทางสายธรรมพระราชอุทัยกวี แม้จะไม่ได้โลดโผนพิสดาร มากด้วยอภินิหารแต่ประการใด แต่ด้วยความเป็นพระแท้ ผู้มีจิตยึดมั่นในคำสอนแห่งองค์พระศาสดา เอาใจใส่หน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ด้วยดี ทำให้เกิดความเรียบร้อย นำมาซึ่งความสงบร่มเย็นแก่หมู่คณะสงฆ์ ตลอดถึงฆราวาสญาติโยมพี่น้องชาวปักษ์ใต้กันถ้วนหน้า

ยึดมั่นในหลักธรรมคำสอนพระพุทธศาสนาและเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ทุกคน

รับภาระเป็นแม่ทัพธรรมหนใต้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย

หน้า 1

 

 
 
   
     
   
 
   
   
 


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

97
http://www.siamha.com/issue/data/5/00000042-1.html
หลังจากที่ตัวแทนสมัชชาชาวพุทธแห่งชาติทั้งพระสงฆ์และฆราวาสได้ออกมาเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยศิลปากรระงับการจัดแสดงและถอดรางวัลภาพ ?ภิกษุสันดานกา? ของนายอนุพงษ์ จันทร ที่ชนะเลิศการประกวดผลงานศิลป กรรมแห่งชาติครั้งที่ 53
 
เพราะดูเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามพระสงฆ์ไทย แต่ทาง ม.ศิลปากรก็ยังยืนยันจะจัดแสดงต่อไปนั้น เมื่อวันที่ 1 ต.ค. นายเสถียร วิพรมหา ประธานชมรมพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทยพิทักษ์ชาติ ศาสนา กษัตริย์ เปิดเผยว่า
 
ทางเครือข่ายชาวพุทธจะยังเดินหน้าต่อสู้เรื่องนี้ต่อไป โดยในวันที่ 5 ต.ค. จะยื่นหนังสือต่อ ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษา ธิการ (ศธ.) เพื่อขอให้ตรวจสอบเรื่องนี้โดยด่วน รวมทั้งจะประสานงานไปยังเครือข่ายชาวพุทธในทุกจังหวัดที่จะมีการนำภาพไปจัดแสดงให้ออกมาชุมนุมประท้วงด้วย

นายเสถียร กล่าวต่อไปว่า นอกจากภาพภิกษุสันดานกาแล้วตนยังได้ตรวจสอบพบว่ามีภาพที่วาดโดยนายอนุพงษ์อีก 1 ภาพใช้ชื่อภาพว่า ?หมา-นุษย์? เป็นภาพสีอะคริลิกซึ่งเป็นภาพของสุนัขห่มจีวรนอนหมอบอยู่และมีอีกามาเกาะอยู่บนหลัง ซึ่งตนและชาวพุทธหลายคนดูแล้วรู้สึกรับไม่ได้เช่นกัน
 
เนื่องจากเป็นการลบหลู่ และสร้างความเสื่อมเสียให้แก่พระพุทธศาสนาอย่างมาก และเมื่อดูในพระไตรปิฎกก็ไม่ได้มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับภาพในลักษณะดังกล่าว ซึ่งตนได้นำภาพดังกล่าวไปให้พระผู้ใหญ่หลายรูปดูแล้วต่างก็ไม่เห็นด้วย และดูจะมีความรุนแรงมาก กว่าภาพภิกษุสันดานกา ทั้งนี้ตนจะนำภาพดังกล่าวไปมอบให้กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ได้พิจารณาด้วย

?ภาพดังกล่าวมีการจัดพิมพ์ขายรวมอยู่ในงานเขียนของนายอนุพงษ์เล่มละ 300 บาท ดังนั้นผมจึงอยากเรียกร้องให้ทาง ม.ศิลปากร และผู้วาดภาพออกมาแสดงความรับผิดชอบกับสิ่งที่ได้กระทำและควรจะต้องขอโทษต่อคณะสงฆ์ด้วย? นายเสถียร กล่าว.



98
ธรรมะ / http://www.larnbuddhism.com/grammathan/
« เมื่อ: 21 ก.ย. 2550, 08:31:06 »
 
คำบูชาพระรัตนตรัย   คำขอขมาพระรัตนตรัย   คำสมาทานพระกรรมฐาน




คำบูชาพระรัตนตรัย

โยโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ สวากขาโต เยนะ ภะคะวะตา ธัมโม สุปะฏิปันโน ยัสสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ตัมมะยัง ภะคะวันตัง สะธัมมัง สะสังฆัง อิเมเหิ สักกาเรหิ ยะถาระหัง อาโรปิเตหิ อะภิปูชะยามะ สาธุโน ภันเต ภะคะวา สุจิระปะรินิพพุโตปิ ปัจฉิมาชะนะตานุกัมปะมานะสา อิเม สักกาเร ทุคคะตะปัณณาการะภูเต ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ ฯ

อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ)
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบ)

คำขอขมาพระรัตนตรัย
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะฯ (ว่า 3 จบ)
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต ฯ หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยทางกายหรือวาจาก็ดี และด้วยเจตนาหรือไม่มีเจตนาก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ

คำสมาทานพระกรรมฐาน
ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ศิษย์หลวงพ่อปาน
(นำ) หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส ฯ
(รับ) นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ( 3 จบ)
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปริจัจชามิ
ข้าแต่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้า(ทั้งหลาย) ขอมอบกาย ถวายชีวิต แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้า(ทั้งหลาย) ขออาราธนาบารมี พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย สืบ ๆ กันมา มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคเป็นที่สุด ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นสู่ภาวะพระกรรมฐานทั้ง 40 ทัศ พระปิติทั้ง 5 และวิปัสสนาญาณทั้ง 9 ขอพระกรรมฐานทั้ง 40 ทัศ พระปีติทั้ง 5 และวิปัสสนาญาณทั้ง 9 จงมาบังเกิดปรากฎ ในกายทวาร ในวจีทวาร ในมโนทวาร ของข้าพระพุทธเจ้า ณ กาลบัดนี้เถิด

ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นสู่ภาวะแห่งเมฆจิต สามารถกำหนดจิตรู้ภาวการณ์ต่าง ๆ ทั้งเหตุ ผล อดีต อนาคต และปัจจุบันได้ทุกขณะจิต ที่ปรารถนาจะรู้ เมื่อรู้แล้ว ขอให้เห็นภาพนั้นได้ชัดเจนแจ่มใส และพยากรณ์ได้ ตามความเป็นจริงทุกประการ เหตุใดที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้น ได้โดยมิต้องกำหนดจิต แม้แต่ประการใด ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด





กฎการปฏิบัติกรรมฐาน


       การปฏิบัติพระกรรมฐานในพระพุทธศาสนา มีกฎของการปฏิบัติเพื่อผลของการบรรลุเป็นระดับไป ดังจะยกมาโดยย่อดังนี้

อธิศีลสิกขา

      อธิ แปลว่า ยิ่ง เกิน หรือล่วง ซึ่งมีความหมายอย่างเดียวกัน คำว่า ยิ่ง หมายถึง การปฏิบัติยิ่งกว่า หมายถึง การปฏิบัติเคร่งครัดกว่าปกติ หรือรักษาศีลยิ่งกว่าชีวิตนั่นเอง เกิน ก็หมายถึงปฏิบัติกเกินกว่าที่ปฏิบัติกันตามปกติ ล่วง ก็หมายถึงการปฏิบัติล่วง คือ เกินที่กระทำกันตามปกติ การปฏิบัติตามนี้จัดเป็นอธิศีล การปฏิบัติเป็นอธิศีล ท่านได้แนะนำไว้ดังนี้ จะรักษาศีลไว้ด้วยดี มิให้ขาด มิให้ทำลาย แม้แต่ศีลจะมัวหมอง ก็มิยอมให้เป็น คือ ไม่แนะนำให้คนอื่นทำลายศีล และไม่ยินดีต่อเมื่อเห็นผู้อื่นทำลายศีล การปฏิบัติพระกรรมฐาน ก่อนที่จะหวังให้ฌาณสมาบัติอุบัติแก่จิตใจนั้น ต้องมีศีลบริสุทธิ์เสียก่อน เมื่อรักษาศีลได้แล้ว จนถึงขั้นไม่ต้องระวัง หมายความว่า ละเสียได้จนชินไม่มีการพลั้งเผลอแล้ว ขั้นต่อไปปฏิบัติดังนี้

ระงับนิวรณ์ 5


เห็นโทษของกามฉันทะ
เห็นโทษของการจองล้างจองผลาญ
คอยกำจัดความง่วงเหงาหาวนอน
คอยควบคุมอารมณ์ไม่ให้ฟุ้งซ่าน
ตัดความสงสัยในมรรคผลเสีย
เจริญพรหมวิหาร 4
แผ่เมตตา แผ่ไปทั่วทุกทิศโดยคิดไว้ด้วยความบริสุทธิ์ใจว่าเราจะเป็นมิตรแก่คนและสัตว์ทั่วโลก
กรุณา จะสงสารหวังสงเคราะห์สัตว์และมนุษย์ทั้งปวง
มุทิตา จะไม่อิจฉาริษยาคนและสัตว์ทั้งหลาย จะส่งเสริมและรู้สึกเมื่อผู้อื่นได้ดีมีโชค
อุเบกขา วางเฉยเมื่อผู้อื่นพลาดพลั้ง ไม่ซ้ำเติม และตั้งใจหวังสงเคราะห์เมื่อมีโอกาส
      การรักษาศีลบริสุทธิ์ ด้วยการไม่ล่วงเอง ไม่ใช้ให้ผู้อื่นล่วง และไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นล่วง และตัดความพอใจในนิวรณ์ 5 โดยระงับนิวรณ์ได้ เมื่อขณะปฏิบัติ และทรงพรหมวิหาร 4 ได้อย่างครบถ้วนอย่างนี้ อารมณ์จิตเป็นฌาน และฌานจะไม่รู้จักเสื่อมเพราะพรหมวิหาร 4 อุ้มชู สมาธิตั้งมั่น วิปัสสนาผ่องใส เรียกว่า พรหมวิหาร 4 เป็นกำลังใหญ่ในการปฏิบัติสมณธรรมทุกระดับ

      การรักษาศีลบริสุทธิ์ เป็นอธิศีลสิกขา การกำจัดนิวรณ์ และทรงพรหมวิหาร เป็นอธิจิตตสิกขา คือทรงฌานสมาบัติไว้ได้ เรียกว่า มีความดีในระดับเปลือกของความดีในพระพุทธศาสนาเท่านั้น

ความดีระดับกระพี้

      ท่านมีศีลบริสุทธิ์ กำจัดนิวรณ์ 5 ได้ ทรงพรหมวิหาร 4 แล้ว สร้างฌานพิเศษ มีปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติที่ล่วงมาแล้วได้โดยไม่จำกัดชาติ ทำได้อย่างนี้ท่านเรียกว่า มีความดีระดับกระพี้ของความดีในพระพุทธศาสนา

ความดีระดับแก่น

      เมื่อท่านรักษาศีลบริสุทธิ์ กำจัดนิวรณ์ 5 ได้ ทรงพรหมวิหาร 4 ได้ปุพเพนิวาสสานุสสติญาณ และบรรลุทิพยจักษุญาณ สามารถรู้ว่าสัตว์ตายแล้วไปเกิดที่ไหน สัตว์ที่มาเกิดนี้มาจากไหน อาศัยกรรมอะไรเป็นเหตุ นี้พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นความดีที่ทรงความเป็นสาระแก่นสาร ความดีระดับนี้เป็นความดีระดับวิชชาสาม ผู้ใดทรงความดีตามที่กล่าวมาแล้วนั้นได้ครบถ้วนแล้ว ถ้าจะปฏิบัติเพื่อธรรมเบื้องสูงเพื่อพรหมจรรย์แล้ว อย่างช้าไม่เกิน 7 ปี อย่างกลางไม่เกิน 7 เดือน อย่างเร็วไม่เกิน 7 วัน ก็จะเข้าถึงอรหัตตผล เป็นพระอริยบุคคลระดับยอด ถ้าจะปฏิบัติเพื่อมรรคผลและพระนิพพาน มีการปฏิบัติดังต่อไปนี้

บารมี 10
      บารมี แปลว่า ทำให้เต็มไม่บกพร่อง ไม่ละเลยเหินห่่างและบกพร่อง ประคับประคองไว้เป็นปกติ

ทาน ทาน แปลว่า การให้ ต้องมีจิตใจจดจ่อเพื่อการให้ด้วยจิตใจที่หวังการสงเคราะห์อยู่เป็นปกติ การมีให้ด้วยการสงเคราะห์มีแก่เราเมื่อใด เมื่อความความสบายสุขใจ การให้นี้ต้องไม่พิจารณาบุคคลถึงสุขภาพและฐานะ ถือเอาเพียงว่าเขาต้องการความช่วยเหลือจากเรา ก็ช่วยตามต้องการ และไม่หวังการตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น
ศีล ศีลแปลว่า ปกติ การรักษาอาการตามความพอใจของปกติชนที่มีความปรารถนาอยู่เป็นสุข เราก็ไม่ทำลายปกติความปรารถนาความพอใจของชาวโลก ฉะนั้น ศีลท่านจึงแปลว่า ปกติ คือรักษาอารมณ์ปกติของจิตใจของคนและสัตว์ไม่ต้องการให้ได้รับความเดือดร้อน ไม่ทำให้ศีลขาด ไม่แนะนำให้คนอื่นทำ และไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นทำผิด รักษาได้ระดับนี้จึงจะเป็นศีลเพื่อมรรคผล
สัจจะ สัจจะแปลว่า ความตั้งใจจริง เราจะไม่ยอมเลิกละความตั้งใจเดิม แม้แต่จะต้องตายก็ตาม
วิริยะ วิริยะแปลว่า ความเพียร ถ้ามรรคผลนิพพานที่เราปรารถนานี้ยังไม่ปรากฎเพียงใด เราจะไม่ละความพยายามประพฤติปฏิบัติไป โดยไม่คำนึงถึงอุปสรรค
เนกขัมมะ เนกขัมมะแปลว่า การถือบวช หมายถึงการอดในกามารมณ์ โดยตัดใจไม่ไยดีในอารมณ์ยั่วเย้าด้วยอำนาจกามฉันทะ คือความพอใจในกามารมณ์
ปัญญา ปัญญาแปลว่า ความรู้ ที่เกิดขึ้นจากการพินิจพิจารณา แปลว่า ความเฉลียวฉลาดก็ได้ ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษของ ความเกิด แก่ เจ็บ พลัดพราก ว่าเป็นทุกข์ จนเกิดนิพพิทา ความเบื่อหน่ายต่อการเกิดในชาติภพ จนกระทั่งได้สังขารุเปกขาญาณ คือไม่มีความหวั่นไหวในเมื่อความทุกข์ใด ๆ เกิดขึ้นแก่สังขาร
ขันติ ขันติแปลว่า ความอดทนหรืออดกลั้น ไม่ยอมให้อารมณ์ฝ่ายชั่วเข้ามาล้างอารมณ์วิปัสสนาญาณได้
เมตตา เมตตาแปลว่า ความรักที่ปราศจากความใคร่ด้วยอำนาจกิเลส หมายถึง รักด้วยความปรานี ไม่มีอารมณ์ในส่วนของกิเลสเจือปน
อธิษฐาน อธิษฐานแปลว่า ความตั้งใจมั่น ทั้งนี้หมายถึงตั้งใจไว้ถูกต้อง
อุเบกขา อุเบกขาแปลว่า ความวางเฉย มายถึงเฉยต่ออารมณ์ที่เป็นทุกข์และสุขอันเป็นวิสัยของโลกีย์

      บารมีทั้ง 10 อย่างนี้ นักวิปัสสนาญาณต้องมีครบถ้วน แล้วต้องปฏิบัติได้เป็นปกติ ตามความพอใจเป็นปกติ 


 

100
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ผมชื่อ oof
« เมื่อ: 05 ก.ย. 2550, 09:11:20 »
 :002:

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

101
 :002:

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

102
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / past times
« เมื่อ: 30 ส.ค. 2550, 05:44:20 »
ถ้า post ซ้ำ ก็ขออภัย :057:

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

103
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / intro
« เมื่อ: 14 ส.ค. 2550, 10:47:00 »
ผู้การเสือ ศิษย์หลวงพ่อเปิ่น ผู้ใจบุญ
และเต็มไปด้วยไมตรีจิต

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

104
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ขอเชิญ
« เมื่อ: 14 ส.ค. 2550, 10:42:01 »
ขอเชิญร่วมพิธีไหว้ครูบูรพาจารย์สายเข็มทอง
ตำหรับหลวงพ่อพิมมาลัย หลวงพ่อสวัสดิ์
และครูบาอาจารย์สายตุกรุดมอญมหาเสน่ห์
ณ วัดบางแวก ซ.จรัลสนิทวงศ์ 13
ในวันที่ 2 กันยายน 2550
ตั้งแต่เวลา 07.00 น.
โดย พระอาจารย์หนุ่ม

105
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / tomorrow
« เมื่อ: 11 ส.ค. 2550, 05:58:01 »
พิธีเริ่มในเวลาเช้า
มีแจกผ้ายันต์
ธงหลวงพ่อเปิ่นจตุคาม สวยมาก

106
พระหลวงพ่อเปิ่น จตุคาม รุ่น ทรัพย์ไหลมา
เปิดพิมพ์นำฤกษ์ วันที่ 12 สิงหาคม 2550
โดยพระเกจิอาจารย์
นำโดย หลวงปู่ทิม วัดพระขาว หลวงพ่อสำอางค์ วัดบางพระฯลฯ
ทำบุญบูชา องค์ละ1000 บาท
สมทบทุนพัฒนา โรงพยาบาลหลวงพ่อเปิ่นฯลฯ
ประสงค์จะจับจองได้ที่
**หลวงพ่อต้อย****หลวงพ่อติ่ง**
034239070

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

107
มาร่วมรณรงค์ให้บรรจุคำว่า ?พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเป็นประจำชาติ...? ไว้ในรัฐธรรมนูญ
http://www.bpct.org/index.php?option=com_content&task=view&id=599&Itemid=49
http://www.phrathai.net/forum/index.php?topic=49.msg61;topicseen#msg61

108
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / http://www.mbu.ac.th/
« เมื่อ: 14 มิ.ย. 2550, 08:19:03 »
ท่าน  โองการ..................
เพื่อน เวป.............ยังร่วมอดข้าวประท้วงเลย   เมื่อหัวค่ำก็สัมภาษณ์ tv  ไม่ใช่การเมืองอย่างที่คุณคิด
แต่เป็นเรื่องของชาวพุทธ 

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

109
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / อ.ห น ว ด
« เมื่อ: 01 มิ.ย. 2550, 05:36:05 »
อ.หนวด ไป มาเลย์ กลับวันที่ ๔ มิ.ย.


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

110
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / 1 มีนาคม 2550
« เมื่อ: 28 ก.พ. 2550, 12:46:01 »
วันที่ 1 มีนาคม 2550
หลวงพ่อติ่งครอบครูแต่เช้าอเลย
หลวงพ่อบอกว่าปีนี้ จะครอบครูไปทางเมตตามหานิยม
ลูกศิษย์หลวงปู่ หลวงพ่อ จะได้มีเงินมีทองมาก ๆ
ไปไหนมาไหน มีแต่คนรัก คนเมตตา
สาธุ สาธุ

111
เดินผ่านไปเจอพอดี

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

113
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ทำบุญมา
« เมื่อ: 02 ก.พ. 2550, 09:10:58 »
show

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

114
สวยจัง

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

115
เกิดการผิดพลาดอีกแล้วคราบ............ผู้ดูแล ระบบ.............ตอนนี้ผมอยู่ที่ห้องใครก็ไม่รู้เช่นกัน..........เข้าระบบ ?ก็เข้ามาที่ห้อง นี้เลย.........(ผมเปียกปูน)........ไงรองช่วยตรวจสอบให้ด้วยน่ะคราบปัญหานี้เป็นบ่อยคราบ.....

117
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ในวัด
« เมื่อ: 20 ก.ค. 2549, 05:09:04 »
ในวัด

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

118
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / รูปครับ
« เมื่อ: 27 มิ.ย. 2549, 09:37:42 »
 :001: :001: :001: :001: :001: :001:

119
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / see u
« เมื่อ: 17 มิ.ย. 2549, 03:11:21 »
 :001:

120
*****^ . . ^*****




122
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / วัดนก
« เมื่อ: 17 พ.ค. 2549, 07:34:09 »
หลวงพ่อเปิ่นพุทธาภิเศกครั้งสุดท้ายที่วัดนก

123
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ปัจจุบัน
« เมื่อ: 10 พ.ค. 2549, 06:13:01 »
//////หลวงพ่อรวย? วัดตะโก? จ.อยุธยา





////หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก็ว จ.อยุธยา





124
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / พิพิธภัณฑ์
« เมื่อ: 25 เม.ย. 2549, 05:13:21 »
บางส่วนกำลังตกแต่ง

125
 :008: มีผู้ถาม ฝากถาม ว่าไหว้ครูปีนี้ board ของพวกเรา มีของแจกสมาชิก และผู้เยี่ยมชมหรือเปล่าครับ :025:

127
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / สอบถาม
« เมื่อ: 21 ม.ค. 2549, 05:30:07 »
ในวันไหว้ครูมีเสื้อยันต์ออกให้บูชามั๊ยครับ  ถ้ามีราคาเท่าไหร่ดรับ

128
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / 7777777
« เมื่อ: 08 ม.ค. 2549, 11:53:17 »
7777777อย่าลืมมาครอบครู วันที่ 9 มีนาคม นาคราบ............................

หน้า: [1]