แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - สาม เสมา

หน้า: [1]
1
เมื่อประมาณสัก ๒๐ กว่า ปีที่แล้วผมได้เริ่มไปสักกับพระอาจารย์ที่วัดบางพระ
ข้อห้ามเรื่องการสักในขณะนั้น ขณะที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อยังอยู่ก็คือ
๑. ห้ามเมียคนอื่น
๒. ห้ามด่าแม่
๓. ห้ามกินมะเฟื่อง
๔. ห้ามกินน้ำเต้า
๕. ห้ามลอดสะพานหัวเดี่ยว
๖. ห้ามลอดไม้ค้ำกล้วย

มีแค่ ๖ อย่าง เท่านั้น

2
รูปไม่ค่ยชัด แต่น่าจะเป็นยันต์ "พระพุทธเจ้าซ่อนหา" ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเปิ่นท่านใช้ลงตระกรุดประจำ
จะมีตัว "ณะ" (ณอเณร)๔ ตัวในช่อง ๔ ช่อง เคยเห็นคนนำแผ่นยันต์ไปให้หลวงพ่อท่านลง ท่านจะใช้ยันต์นี้ประจำ

หนึ่งในตระกรุดในคอผมก็เป็นยันต์นี้ ที่หลวงพ่อเปิ่นท่านเมตตาเขียนให้

3
ครั้งหนึ่งเคยไปกราบหลวงพ่อที่วัดเมื่อสัก ๒๐ ปีมาแล้ว พอดีมีเด็กวัยรุ่นนำฤาษีเป็นลายฉลุคล้ายๆกับหนังตะลุง
มาขอความเมตตาให้หลวงพ่อท่านเบิกเนตรให้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อเปิ่นท่านสอนสั่งด้วยความเมตตาว่า

"เรา (คือเด็กคนนั้น) ไม่ได้เรียนคาถาอาคมอะไร บูชาฤาษีไว้แล้วจะ "ร้อน" "

โดยส่วนตัวเห็นว่า ที่หลวงพ่อท่านเป็นห่วงก็เพราะว่า ถ้าบูชาดีก็ดีไป แต่ถ้าทำผิดอะไรนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ไม่ได้ร่ำเรียนมาแล้ว ครูฤาษีท่านอาจจะโกรธและจะให้โทษได้

ลองพินิจพิจารณาดูเอานะครับ


4
ครั้งหนึ่งนานมามากแล้ว เมื่อครั้งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อยังอยู่

มีคนนำหนังแกะสลัก คล้ายกับหนังตลุงเป็นรูปฤาษี มาให้หลวงพ่อท่านเบิกเนตร
สังเกตว่าคนที่นำมานั้นยังเด็กอยู่มาก หลวงพ่อท่านว่า "เราไม่ได้เรียนคาถาอาคมอะไร เล่นฤาษีแล้วจะร้อน"

ลองพิจารณาดูเอาเองนะ

5
คำว่า "เบญจเพศ" นั้น ในทางโหราศาสตร์ที่แท้จริง "ไม่เคยมีปรากฎ" ไม่ว่าจะตำราเล่มไหน
แค่แปลก็ไมมีความหมายอยู่แล้ว " ๕ เพศ " คืออะไรหรือ ?

ดังนั้นหมอดู ไม่ว่าพระหรือฆาราวาส ถ้าพูดว่าเบญจเพสขึ้นมา ก็แสดงว่า "มั่ว" ทั้งนั้น ไม่ได้รู้จริงอะไรหรอก

เท่าที่เคยศึกษาและค้นคว้าในศาสตร์ด้านนี้มากว่าสิบปี ที่พบและใกล้เคียงกับ
คำว่าเบญจเพศมากที่สุด คือคำว่า "เบญจอาเพศ" แต่คงต้องเล่ากันยาว ขอติดเอาไว้ก่อน ใครที่สนใจ
ลองไปหาอ่านจากตำราท่าน อ.เทพย์ สาริกบุตร ละกัน

ว่าแต่อยากรู้จริงว่า จะร้ายอย่างที่ว่าหรือไม่ ดังนั้น บอก "วัน เดือน ปี เวลา และสถานที่เกิด" มา
แล้วจะดูให้เป็นวิทยาทาน

6
กฎแห่งกรรม / ตอบ: คนฝืนดวง...?
« เมื่อ: 22 มิ.ย. 2554, 09:31:34 »
หมอดูกับโหร..ต่างกันอย่างไร
หลายๆคนเข้าใจว่าโหรหรือหมอดูเป็นคำที่ใช้เรียกชื่อ "ผู้ที่ทำหน้าที่พยากรณ์" ไม่ว่าจะอดีดหรืออนาคตให้กับเรา
แต่ว่า.."ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น"

การพยากรณ์นั้นมีมากมายหลายวิธี ถ้าในวิธีการทางพระพุทธศาสนา ผู้ที่สำเร็จอภิญญา มีหูทิพย์ มีตาทิตย์ ก็สามารถบอกอนาคตได้
อย่างถูกต้องแม่นยำ แต่ทว่า..กว่าที่คนเราจะฝึกฝนจนถึงขั้นนั้น บางคนต่อให้ฝึกไปทั้งชีวิต ก็ยังไม่สามารถทำได้เลย

ดังนั้นบุราณาจารย์ท่านจึงคิดคนวิธีที่จะล่วงรู้อนาคตได้ "ซึ่งโหราศาสตร์ก็เป็นหนึ่งในหลายๆวิธีนั้น"

โหรา..แปลว่า วันและคืน กล่าวคือจะใช้ดวงดาว อาทิตย์ จันทร์และดาวอื่นๆในจักราศีมาทำนาย
ดังนั้น "ผู้ที่เป็นโหรหรือผู้ที่ศึกษาโหราศาสตร์นั้น จะต้องศึกษาการโคจรของดาวในจักรวาลแล้วนำมาทำนาย"
พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ "ท่านจะนำตำแหน่งดาวในวัน เวลา และสถานที่เกิด (เรียกว่าดวงเดิม) มาสัมพันธ์กับตำแหน่งดาว
ณ เวลาที่จะทาย (เรียกว่าดาวจร หรือดวงจร) มาทำนาย"

ส่วนศาสตร์การทำนายอื่นๆ เช่นการดูโหวงเฮ้ง ฮวงจุ้ย ดูเลข ๗ ตัว การจับยาม ฯลฯ "จะไม่ใช้ดาวในจักรวาลมาทำนาย"
ดังนั้น จำพวกหลังจะ "ไม่ใช่โหร" ส่วนจะเรียกว่าอย่างไรนั้น ก็สุดแล้วแต่ จะเรียกว่า หมอดู ซินแส หรออะไรก็ได้

ดังนั้น "โหรกับหมอดู จึงเป็นคนละคนกัน"

ส่วนที่ว่าจะฝืนดวงได้หรือไม่นั้นคงตอบไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม "กรรม ไม่มีผู้ใดฝืนได้"

7
หัวใจต่างๆนั้นจะไม่มีความหมาย เพราะว่าบุราณาจารย์ท่านถอดมาจากบทเต็มของแต่ละพระคาถา
ดังนั้นจึงแปลไม่ได้ เพียงแต่ให้รู้ว่าหัวใจนั้นๆ คืออะไร เช่นหัวใจเสือสมิงของวัดเราก็ กุรุสุกุ เป็นต้น

โดยปกติพระคาถาต่างๆ ท่านก็จะไม่แปลกัน เพราะว่าเมื่อแปล เมื่อรู้ความหมายแล้ว จิตเราอาจจะเสีย
อาจจะขาดความเชื่อมั่นถือมั่นได้ ยกตัวอย่างพระคาคาอิติปิโส บทสรรเสริญพุทธคุณ เมื่อแปลความหมายแล้ว
ก็เพียงแค่สรรเสริญในคุณของพระพุทธเจ้า แต่ทว่าบุราณาจารย์ท่านได้ถอดมาเป็นคาถาอย่างพิศดารนับร้อยๆพระคาถาและใช้ได้ผลอย่างมาก

เคยได้ฟังมากจากปากพระเดชพระคุณหลลวงปู่นะ วัดหนองบัว จ.ชัยนาท ตอนที่ไปปรณนิบัติรับใช้ท่านอยู่
ท่านบอกว่า อาจารย์ของท่านคือพระปลัดปั่น อดีดเจ้าอาวาสวัดหนองบัว เป็นคนที่รู้ภาษาบาลี รู้อักษรขอมเป็นอย่างดี
ดังนั้น พระปลัดปั่น ท่านจึงเป็นผู้ช่วยหลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า ลงตะกรุดและยันต์ต่างๆ โดยภายหลัง
ก็ได้ตกทอดมาถึงหลวงปู่นะ โดยท่านพระปลัดปั่นท่านว่า คาถาหลวงปู่ศุขไม่น่าจะขลังเลยเพราะท่านแปลออกนั่นเอง

ซึ่งถ้าเราสังเกตดีๆ จะไม่ค่อยพบพระเกจิที่เป็นพระมหาเปรียญ เพราะว่าพระมหาเปรียญเหล่านั้นแปลคาถาออก และทำให้ไม่เชื่อถือคาถาเหล่านั้น
ดังนั้นจึงทำของไม่ขลัง

ส่วนที่ท่านไพศรถามมา คำตอบคือดังนี้

๑. อิกะวิติ หัวใจพระพุทธเจ้า บทนี้ถอดมาจากบทพุทธคุณ อิติปิโส ฯ ธรรมดาๆนี่เอง

๒. สะระณะมะ อันนี้ไม่ทราบที่มา และไม่ค่อยพบเห็นมีคนใช้กัน

๓. ทุสะนะโส อันนี้ถอดมาจาก มีเปรต ๔ ตน อยู่ในนรก โดยเปรตทั้ง ๔ ได้มีโอกาสขึ้นมาในโลกมนุษย์ (จำช่วงเวลาไม่ได้แล้ว)
โดยเปรตตนแรกเมื่อขึ้นมาถึงโลกมนุษย์ ก็พูดว่า "ทุ ....." ตนที่ ๒ ก็พูดว่า "สะ....." ฯลฯ โดยสาเหตุที่พูดได้แค่คำเดียวเพราะว่า
มีปากเท่ารูเข็ม และสิ่งที่เปรตพยายามพูดก็แค่บอกประมาณว่า อย่าให้คนทำชั่ว ให้เกรงกลัวบาป (ตอนนี้อยู่ห่างจากตำรา จำความหมายเต็มๆ ไม่ได้ ขอโทษด้วย)
โดยบุราณาจารย์ ท่านก็จับเอาคำแรกมาเป็นหัวใจเปรต โดยท่านว่า พวกเปรต หรือพวกผีจะกลัว ซึ่งเมื่อพิจารณาดีๆ แล้วก็ไม่มีอะไร

และปกติครูบาอาจารย์ท่านจะไม่สอนกัน กล่าวคือสมมุติว่าเราจะไปปราบผี ปราบคนถูกผีเข้า แล้วอาจารย์สอนให้ใช้หัวใจเปรตในการปราบผี
แต่เมื่อเรารู้ความหมายแล้ว ก็เป็นว่าไม่เห็นมีอะไรเลย จิตเราก็ตก และเราจะไปปราบ ไปไล่ผียังไง เป็นต้น

การจะเล่นของ ต้องค่อยเป็นค่อยไป ใช้ปัญญาคิดพิจารณาให้มาก พยายามหาครูบาอาจารย์ที่คอยแนะนำสั่งสอนได้ มิฉะนั้นอาจจะออกนอกลู่นอกทาง
เข้ารกเข้าพงไปได้นะครับ

8
เหรียญรุ่นนี้ เป็นเหรียญของหลวงพ่อเหรียญแรกที่ผมนิมนต์ขึ้นคอ รวมระยะเวลากว่า ๒๐ ปีแล้ว
ผมยังไม่เคยได้รับอุปัทวันตรายใดๆ แม้แต่ครั้งเดียวเลย

9
ถึงท่านทรงกลดและท่านที่สนใจ

ในมิติทางโหราศาสตร์นั้น ได้คติในการบูชาเทวดานพเคราะห์ซึ่งพระราหูก็เป็นหนึ่งในนั้น มาจากพราหมณ์ โดยจะแบ่งเป็นการบูชาดังนี้

๑. เมื่อมีดาวจรมาทำมุมร้ายๆกับดาวเดิม หรือพูดง่ายๆ ก็คือเมื่อตรวจดวงชาตาแล้วดวงไม่ดี
โดยอาจจะทำการบูชาที่ละดาว (ที่ละพระเคราะห์) เช่นเมื่อพระราหูจรมาให้โทษก็จะทำการบูชาพระราหู
หรืออาจจะทำการบูชาไปทุกดาวพระเคราะห์เลยก็ได้ โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยของผู้กระทำเป็นหลัก โดยจะใช้พระปริตร
ทางพระพุทธศาสนามาสวดเพิ่มเติ่มด้วย

๒.บูชาโดยการสวดรับและส่งดาวพระเคราะห์ โดยในกรณีนี้หลายๆท่าน "ยังเข้าใจผิด" อยู่
แต่เนื่องจากว่าคนในบ้านเมื่องของเรา หาที่พึ่งอะไรไม่ได้ ดังนั้นจึงทำไปเพราะไม่รู้ ทำไปเพื่อความสบายใจ เป็นต้น

  อันที่จริงการสวดรับส่งดาวพระเคราะห์นั้น โหรท่านจะทำต่อเมื่อ "เทวดาเสวยอายุ แทรก" เท่านั้น เช่นพระราหูเสวยอายุครบ
และพระศุกร์จะมารับช่วงเสวยอายุต่อ ดังนั้นจึงมีการสวดส่งพระราหู และสวดรับพระศุกร์เป็นต้น โดยวิธีการคำนวณหาดาวพระเคราะห์เสวย
อายุนั้น ก็มีมากมายหลายวิธีมาก เช่นคัมภีร์มหาทักษา (คิดจากวันเกิด) วิมโสตรีทักษา (พิจารณาจากดาวจันทร์ในจักราศี) ฯลฯ

  แต่ที่เห็นทำกันในปัจจุบันนั้น เป็นการทำเพื่อหากินกัน ทำเพราะความไม่รู้ หรืออื่นๆ โดยเห็นทำการบูชาเทวดากันเมื่อ "ดาวย้ายราศี" เช่นเมื่อวันที่ ๒๔ พค. ๕๔ ก็มีการบูชาพระราหูกัยยกใหญ่เพราะบอกกว่าพระราหูย้ายราศี บูชาแล้วจะรวย

  ในความเป็นจริงนั้น ดาวในจักราศี ต่างก็มีเวลาในการโคจรในแต่ละราศีอยู่แล้ว เช่น พระอาทิตย์จะย้ายราศีทุกๆ เดือน (ครบ ๑๒ ราศีเป็นหนึ่งปี)
พระจันทร์จะย้ายราศีราว ๒ วันครึ่ง (ครบ ๑๒ ราศีเป็น ๑ เดือน) พระราหูทุกๆ ๑ ปีครึ่ง  ฯลฯ ดังนั้น "ถ้าเราต้องบูชาเทวดาเมื่อดาวย้ายราศี" เราไม่ต้องบูชาพระจันทร์ ทุก ๒ วันครึ่งหรือ และเราไม่ต้องบูชาพระอาทิตย์ทุกๆเดือนหรือ  เราลองพิจารณาง่ายๆเช่นนี้

  ลูกศิษย์พระเดชพระคุณของหลวงพ่อเปิ่น เป็นผู้มีปัญญากันทุกคน ดังนั้นอย่าให้อวิชชา หรือความไม่รู้มาทำให้เราไขว้เขวได้

  ในการบูขานั้น บูชาอะไรก็ไม่เท่าบูชาพระรัตนตรัย บูชาบิดามารดา บูชาครูบาอาจารย์ ดั่งบทที่ว่า "ปูชาจะปูชนียานัง" คือบูชาสิ่งที่ควรบูชา
ส่วนเทพเทวดาทั้งหลาย เราก็บูชาได้ ส่วนจะเป็นอามิสบูชา หรือปฏิบัติบูชานั้น ก็แล้วแต่ละท่านจะพิจารณากันเอง

10
เพิ่มเติมครับ

ราหูที่ยกเมื่อวันที่ ๒๔ พค. ๕๔ ที่คุณภิญโญ และคุณลักษณ์ใช้ เป็นการคำนวณแบบสุริยยาตร์
ส่วนราหูที่ยกวันนี้ (๖ มิ.ย.๕๔) เป็นการคำนวณแบบดาราศาสตร์ ที่ตรงกับความเป็นจริงบนท้องฟ้า
ที่มีบอกในปฏิทินโหราศาสตร์ประจำปีตามแนวทางท่าน อ.เทพย์ สาริกบุตร ปรมาจารย์ทั้งด้านโหราศาสตร์
และไสยศาสตร์ ที่ท่านทั้งหลายที่ศึกษาจากตำราคงจะรู้จักชื่อท่านเป็นอย่างดี

11
ราหูในทางโหราศาสตร์นั้น "ไม่ใช่ดาว" แต่เป็นจุดตัดกันระหว่าง "เส้นระวิมรรค (ทางเดินของพระทิตย์)" และ "เส้นจัทรมรรค(ทางเดินของพระจันทร์)" โดยจุดตัดทางทิศเหนือแทน "พระราหู" และ ทางใต้แทน "พระเกตุ"

พระราหูในทางโหราศาสตร์มีอัตราการโคจรราศีละ "ปีครึ่ง" โดยวันที่ ๖ มิ.ย.๕๔ จะยกย้ายจากราศีธนูมาราศีพิจิก โดยราหูจะเดินย้อนจักร (ตามเข็ม) ต่างกับดาวพระเคราะห์อื่นๆที่เดินตามจักร (ทวนเข็ม) อันที่จริงการคำนวณทางโหราศาตร์นั้น ในวันที่ ๖ นี้ จะเป็นการคำนวณแบบค่าเฉลี่ย ทางสากลเรียกว่า Mean Node โดยถ้าเป็นการคำนวณทางดาราศาตร์ที่แท้จริงจะเรียกว่า True Node ซึ่งราหูจะย้ายราศีตั่งแต่วันที่ ๓ พ.ค.แล้ว

ราหูในทางโหราศตร์นั้นจะเกี่ยวข้องกับพระอสุริทรราหูหรือไม่อย่างไรนั้น ยังหาที่มาที่ไปไม่ได้ รู้แต่ว่าเมือราหูจรเข้าไปอยู่ที่ราศีใด และไปต้องกับดวงชาตาของผู้ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดคราส (จันทรคราสและสุริยคราส) ความวิบัติมักจะบังเกิดกับชาตาผู้นั้น

12
ดิถีข้างขึ้นข้างแรมทางโหราศาสตร์หรือดาราศาสตร์นั้น จะต้องพิจารณาจาก "ระยะเชิงมุม"ระหว่าง "ดาวอาทิตย์ กับ ดาวจันทร์ " สมมุติว่า ดิถีขึ้น ๑๕ ค่ำ ดาวอาทิตย์ กับ ดาวจันทร์
จะต้องเล็งกันเป็นมุม ๑๘๐ องศาพอดี

ในทางโหราศาสตร์นั้น จะแบ่งดิถีเป็น ๒ ประเภทคือ
๑. ดิถีตลาด คือจะนับตามปฏิทินทั่วๆไป ที่แจกตามธนาคาร และจะเปลียนดิถีเมื่อขึ้นวันใหม่ของทุกวัน "ซึ่งจะไม่ตรงกับความเป็นจริงบนท้องฟ้า"

๒. ดิถีเพียร คือจะพิจารณาระยะเชิงมุมข้างต้น และ "จะตรงกับความเป็นจริงบนท้องฟ้า"
โดยดิถี่เพียรจะบอกในปฏิทินโหร เช่นปฏิทินโหรประจำปีตามแนวทาง ท่าน อ. เทพย์ สาริกบุตรเป็นต้น

ในเดือน ๕ ปีนี้ วันแรม ๕ ค่ำ ตามดิถีเพียรจะเป็นเริ่มตั่งแต่ วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ เม.ย. เวลา ๒๒.๒๙ น
จนถึงวันศุกร์ที่ ๒๒ เม.ย. เวลา ๒๑.๑๒ น เท่านั้น

ดังนั้นวันที่ ๒๓ เม.ย. ๕๔ จึงเป็นวันเสาร์ ๕ กระดาษตามปฏิทิน ไม่ใช่วันเสาร์ ๕ ที่แท้จริง

13
ไม้เท้าที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อถืออยู่นั้น พระอาจารย์ธนพงศ์ สำนักสงฆ์หนองหวาย
เป็นผู้แกะถวาย ตั่งแต่สมัยที่ท่านยังจำพรรษาที่วัดบางพระ น่าจะสิบกว่าปีมาแล้ว

14
รุ่นนี้ชื่อรุ่น สุริยะ
สร้างโดย พล.ต.ท.สุริยะ โมรานนท์ อดีด ผบช.ภ. ๑

15
สามเหรียญเสมา ที่คิดว่าเป็นสุดยอดของสายวัดบางพระของเรา
๑.หลวงปู่หิ่ม ๒.หลวงพ่อทองอยู่ ๓.หลวงพ่อเปิ่น


เส้นที่สอง
๑.เหรียญ ปี ๑๙ และเส้นเกษาหลวงพ่อเปิ่น ๒.เหรียญปี ๒๐ ๓.ตระกรุดยันต์พระพุทธเจ้าซ้อนหา ดอกนี้หลวงพ่อเปิ่นจารให้กับมือครับ

16
พระอาจารย์ธนพงศ์ ขันติธัมโม เจ้าสำนักสงฆ์หนองหวาย อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี
และศิษยานุศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเปิ่น สายสำนักสงฆ์หนองหวาย

ขอร่วมไว้อาลัยต่อการจากไปของโยมพ่อบุญมี มาด้วยความเคารพ

ปล. พระอาจารย์ธนพงศ์ ฝากคำไว้อาลัยต่อโยมพ่อบุญมี มา ณ ที่นี้

17
สวัสดีครับท่านเอ็มเมืองไรขิง
   ยินดีที่ได้สนทนาด้วยนะครับ

   ในความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ ที่วัดบางพระก็มีท่านพระครูอนุกูลพิศาลกิจครองอยู่แล้ว ท่านก็ได้รับมอบหมายจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อเปิ่นให้ปกครองดูแลวัด
ซึ่งท่านก็ทำได้ดี ยังไงวัดบางพระก็เป็นวัดบางพระอยู่วันยังค่ำละครับ หาได้ขาดผู้ที่สืบทอดวิชาไม่

    ส่วนหลวงพี่ หรือพระอาจารย์ท่านอื่นๆ ท่านจะอยู่ที่วัดบางพระ หรือจะขยับขยายไปที่อื่นหรือไม่นั้น เป็นสิ่งที่ผมตัดสินใจแทนท่านเหล่านั้นไม่ได้หรอกครับ
แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละท่านเอง แต่ถ้าท่านเหล่านั้นสามารถไปครองวัดอื่นอยู่ และเผยแพร่บารมีของหลวงพ่อให้คนรู้จักมากยิ่งขึ้น สาธุชนคนทั่วไปก็ยิ่ง
ได้รับรู้ถึงเกียรติคุณของหลวงพ่อมากยิ่งขึ้น เรื่องนี้สมควรที่เป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่ใช่หรือครับ หรือว่าท่านเอ็มเมืองไร่ขิงไม่อยากให้เกียรติคุณของหลวงพ่อเผยแพร่
ไปให้กว้างขวางกว่านี้ครับ

  ก็คิดต่างกันได้นะครับ ไม่ว่ากัน ผมคิดว่าผมไม่ได้ล่วงเกินพระอาจารย์หรือหลวงพี่องค์ใด อย่างน้อยที่สุดท่านเอ็มกับผมก็มี "จุดร่วมเดียวกัน" คือศรัทธาในบารมีของหลวงพ่อเปิ่น เหมือนกัน ส่วนจุดต่าง ก็ขอให้ต่างคนต่างสงวนไว้ละกันครับ ไม่อยากให้สำนักอื่นมาว่าได้ ว่าศิษย์วัดบางพระมาทะเลาะกันเอง

  อันที่จริงที่ผมแสดงความคิดเห็นไปนั้น ยังเบากว่าที่ท่านมหาข้างต้นกล่าวมาเยอะ ท่านเอ็มเมื่องไร่ขิง ลองคิดพิจารณาให้ดีๆ

18
ถึงท่านมหา (ไม่รู้ว่านอกวัดหรือในวัด)
 
  อันที่จริงก็ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับใครหรอกนะ เพราะเวปแห่งนี้ท่านเวปมาสเตอร์ท่านสร้างขึ้นมา
เพื่อให้บรรดาศิษยานุศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเปิ่นของพวกเรา "ได้มีเนื้อที่ในการแลกเปลียนพูดคุย
กันแบบพี่ๆน้องๆ ในสายวัดบางพระด้วยกัน" และทุกๆท่านที่เข้ามาในที่นี้ ก็ล้วนแต่ "แสวงจุดร่วม (คือองค์หลวงพ่อเปิ่น)
และสงวนจุดต่าง (คือต่างคนก็ต่างมีหลวงพี่,อาจารย์ ฯลฯ ที่นับถือของแต่ละคน) " โดยต่างก็ไม่ก้าวล่วงในครูบาอาจารย์
ที่ตนเองเคารพนับถือ
 
  แต่ว่าที่ท่านมหาแสดงความคิดเห็นมานั้น เป็นการ "ไม่สมควร" ปากท่านก็ไม่ลบหลู่ แต่ที่จริงท่านลบหลู่ไปแล้ว ไม่รู้ว่าคิดน้อยไปหรือไม่ได้คิด
ผมก็เป็นศิษย์วัดบางพระมาสัก ๒๐ ปีเห็นจะได้ ผมก็ "รู้ประวัติและพฤติกรรม" ของแต่ละอาจารย์ไม่น้อยไปกว่าท่านมหาหรอกครับ
แต่ก็ละที่จะกล่าวถึง ส่วนใครจะนับถือหลวงพี่ หรือพระอาจารย์องค์ใดนั้น ก็แล้วแต่บุญวาสนาของแต่ละท่านครับ ผมไม่มีความเห็น

  ผมก็เป็นลูกศิษย์พระอาจารย์พงศ์มาตั่งแต่เข้าวัดบางพระใหม่ๆ ติดตามท่านไปตอนที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเปิ่น ส่งไปเป็นสมภารวัดยางสูง (ไกล้ๆวัดหนองหวายนี่ละครับ)
ตอนท่านสึกมา ผมก็ยังติดตามท่านอยู่ ตอนท่านไปช่วยงานหลวงปู่นะ วัดหนองบัว ผมก็ไปอยู่กับท่าน และผมก็เป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมด้วยช่วยกันให้ท่านกลับมาบวชไหม่
จำได้ว่างานไหว้ครูปีสุดท้ายที่วัดบางพระที่หลวงพ่อยังอยู่ พระอาจารย์พงศ์ท่านก็ได้ร่วมพิธีด้วย ตอนพระเดชพระคุณหลวงพ่อเปิ่นละสังขาร พระอาจารย์ก็มาร่วมงานศพหลวงพ่อ บังเอินชาวบ้านวัดยางสูงมาพบท่าน ก็เลยนิมนต์ท่านไปอยู่ที่สำนักสงฆ์เทพย์นิมิต (ไกล้ๆวัดยางสูงเช่นกัน) และสุดท้ายชาวบ้านละแวกไกล้ๆกัน นิมนต์ท่านลงมาจากเขา (สำนักสงฆ์เทพย์นิมิต) และก็มาจำพรรษาที่สำนักสงฆ์หนองหวายจนถึงทุกวันนี้

  ดังนั้นไม่ทราบที่ท่านมหากล่าวว่า "รู้อดีด" นั้น คืออะไรครับ เห็นท่าน ปล. ไว้หลาย ปล.ด้วยกัน ผมยืนยันได้ว่า พระอาจารย์พงศ์ท่านยังเป็นสมมุติสงฆ์อยู่ (ไม่ทราบท่านมหา รู้จักหรือเปล่า) จะชั่วดีถี่หางอย่างไร ท่านก็ "ไม่เคย" ต้องอาบัติปราชิกเพราะเรื่องผู้หญิง หรือเรื่องเงินๆทอง ถึงท่านจะพูดจาโผงผาง ตรงไปตรง ฯลฯ อย่างไร ท่านก็ยังเป็นสมมุติสงฆ์ ที่ช่วย "สืบสานสายวิชาของหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ และสืบทอดพระศานา" เอาไว้

  และที่ท่านมหากล่าวว่า "ของจริงหรือเปล่า " ไม่ทราบว่าอะไรจริงหรือไม่จริงครับ พระอาจารย์พงศ์นั้น ท่านของจริงแท้แน่นอน พระเดชพระคุณหลวงพ่อเปิ่นครอบครูให้ และท่านก็เป็นศิษย์รุ่นไกล้เคียงกับอาจารย์มี (ฆารวาสที่กาฬสินธ์) พระอาจารย์ต้อย พระอาจารย์ติ่ง เรื่องนี้พิสูจน์ได้จาก รูปภาพงานไหว็ครูที่มีผู้มาโพสในเวปแห่งนี้ อีกทั้งวัตถุมงคลของท่าน รวมถึงการสัก ท่านก็สักเสกของท่านเอง เพียงแค่รำลึกถึงครูบาอาจารย์ และองค์หลวงพ่อเท่านั้น ลุกศิษย์ลูกหาของท่านก็มีประสบการณ์มากมาย ถ้าท่านมหาเป็นศิษย์รุ่นเก่าจริงๆ ทำไมท่านไม่ลองไปกระซิบดังๆ ให้หลวงพี่หรือพระอาจารย์ที่สักกันอยู่ในวัดบางพระขณะนี้ ลองขยับขยาย ไปหาวัดอื่นครองกัน เพื่อช่วยเผยแพร่สายวิชาของหลวงพ่อเปิ่นให้กว้างไกลไปอีก ช่วยกันสร้างรูปหลวงพ่อเปิ่น ไว้ที่หน้าวัด อย่างที่พระอาจารย์พงศ์ท่านทำ สาธุชนคนที่อื่นจะได้รู้ว่า "หลวงพ่อเปิ่น ท่านมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ใช่มีแค่ที่วัดบางพระเท่านั้น" ถ้าองค์ไหนทำได้ องค์นั้นละครับ "ของจริง"

  ผมในฐานะที่รู้จักพระอาจารย์พงศ์ "ดี" ก็เลยมาช่วยตอบข้อสงสัยของท่านมหา ถ้าท่านมหายังมีข้อสงสัยอื่นใด ก็โพสเข้ามาถามในกระทู้แห่งนี้ได้เลยนะครับ ผมยินดีจะตอบข้อสงสัย
ของท่าน

สาม เสมา

19
ขอบคุณท่านโนบิตะที่นำภาพครูบาอาจารย์มาให้ชมนะครับ

เรื่องแสงปาฏิหาริย์นั้น ที่จริงในชุดที่พระอาจารย์พงศ์ถ่ายคู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อเปิ่นนั้น จะมีแสงบารมีอยู่ ๒ ภาพ
ภาพแรกก็ตามที่ท่านโนบิตะได้แสดงไว้แล้ว ส่วนอีกภาพหนึ่งเป็นภาพเดี่ยวหน้าตรงของหลวงพ่อเปิ่น ตอนท่านอธิษฐานบารมีให้
กับพระอาจารย์ ยังไงขอกลับไปค้นภาพก่อน ถ้ามีโอกาสจะนำมาลงให้ชมกันครับ

ภาพที่ว่านั้น เมื่อก่อนพระอาจารย์พงศ์ ก็ติดไว้ที่หน้ากุฏิท่านตั่งแต่สมัยอยู่ที่วัดบางพระครับ
ลูกศิษย์รุ่นก่อนๆ น่าจะเคยเห็น

20
สวัสดีคุณ gottkung
แหม่เรียกสรรพนามนำหน้าชื่อผมแล้วเห็นภาพเลยนะครับ (ว่าแก่)
อันที่จริงอายุยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ เพียงแค่เข้าวัดตั่งแต่เด็กๆ (ประมาณสัก ๒๐ ปีมาแล้ว) ก็เลยทำให้พอรู้เรื่องต่างๆบ้างเล็กๆน้อยๆนะครับ

เรื่องประวัติหลวงพ่อหลวงปู่ต่างๆที่เผยแพร่กันนั้น เราจะต้องพิจารณาให้ละเอียดถีถ้วนครับ
บางครั้งบางคราวก็ยกยอปอปั้นกันเกินขนาดก็มี เพราะส่วนใหญ่ที่ลงกันก็เสียตังส์ให้กับหนังสืออยู่แล้ว
ดังนั้นหนังสือก็จะต้องเชียร์เป็นธรรมดาครับ ผมเคยอยู่วงการหนังสือพระมาช่วงหนึ่ง ช่วยเขียนบทความครับ
ก็เลยพอรู้ต้นลึกหนาบางภายในวงการนี้อยู่บ้าง

ถามว่าหลวงพ่อเงินท่านเคยมาสักและเรียนวิชากับหลวงพ่อเปิ่นหรือไม่ พิจารณาในแง่ของความเป็นไปได้นะครับ
ตอบว่าท่านต้องเคยมาสักกับหลวงพ่อเปิ่นท่านอยู่แล้ว เพราะหลวงพ่อเปิ่นท่านดังมานาน คนนครปฐมสมัยก่อนที่ชอบเรื่อง
พวกนี้ ก็ต้องมาฝากหลังไว้กับหลวงพ่ออยู่แล้ว ถามว่าเคยมาเรียนวิชากับหลวงพ่อเปิ่นหรือไม่ อันนี้ตอบยากครับ

บางครั้งคนมาขอคาถาจากครูบาอาจารย์ดังๆบทสองบท ก็บอกว่าเป็นศิษย์เอกกันแล้ว ส่วนท่านหลวงพ่อเงินอายุก็รุ่นราวคราวเดียว
กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อเปิ่นของเราครับ ท่านก็อาจจะมาได้วิชาจากหลวงพ่อเราไปบ้างก็เป็นไปได้ครับ ครั้งหนึ่ง (นามมาแล้ว)
เคยอ่านหนังสือนะโมเกี่ยวกับประวัติของหลวงพ่อเงิน หนังสือบอกถึงว่ามาแลกเปลียนวิชากับหลวงพ่อเปิ่นเลยนะครับ ไม่ได้มาแค่ฝากตัว
เป็นศิษย์ ส่วนจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งครับ

พิจารณาอีกแง่หนึ่งก็คือ ลูกศิษย์รุ่นแรกๆของหลวงพ่อที่ช่วยหลวงพ่อสัก เข้าใจว่าชื่อหลวงพี่สิทย์ ท่านร้อนวิชาหรืออะไรประมาณนี้ครับ
โดยท่านสักและหลวงพ่อยังไม่ได้ครอบให้ แต่ว่าอยู่ในวัดไม่เป็นไร แต่หลวงพี่ท่านไปสักนอกวัด เลยมีปัญหาขึ้น สุดท้ายท่านไปจำพรรษา
ที่วัดถ้ำน้ำ และมรณภาพที่นั่น ตรงนี้ก็เข้าใจได้ว่า หลวงพ่อเงินท่านอาจจะได้วิชาสายวัดบางพระไปจากหลวงพี่รูปนี้ก็ได้ครับ

เอาไว้ถ้ามีโอกาสจะไปสอบถามรายละเอียดมาให้ครับ วันนี้ผมเล่นด้นสดเท่าที่นึกได้ครับ

21
หลวงพ่อเงิน วัดถ้ำน้ำ ที่จริงท่านก็เป็นคนนครชัยศรีบ้านเรานี่ละครับ
ท่านอยู่แถววัดท่ามอญ หรือวัดไทยาวาส ตอนวัยรุ่นท่านเป็นนักเลงเก่า
เล่นของมาตั่งแต่ยังหนุ่ม ที่จริงท่านสนิทกับญาติผู้ใหญ่ของผมเองละครับ

ครั้งหนึ่งเคยมีเรื่องมีราวถึงกับฆ่ากันตาย ท่านจึงไปติดคุกอยู่หลายปีอยู่
เมื่ออกมาท่านจึงบวชมาถึงทุกวันนี้ ที่จริงมีหลายๆอย่างที่ไม่สามารถพูดออกอากาสได้ครับจึงละไว้แค่นี้ก่อน

วัดถ้ำน้ำนี้อันที่จริงก็ผูกพันธ์กับวัดบางพระของเรานะครับ
ลูกศิษย์หลวงพ่อรุ่นแรกๆ ไปนั่งสมาธิที่นั้น และก็มรณะภาพที่นั่นเช่นกัน

เรื่องเก่าๆครับ นำมาเล่าให้ฟังตามประสาคนมีอายุแล้วครับ :011:



22
กราบนมัสการพระอาจารย์พงศ์ด้วยครับ

อย่างน้อยที่สุด ท่านก็ได้ช่วยนำสายวิชา ตลอดจนบารมีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเปิ่นไปช่วยกันเผยแพร่นะครับ

อันที่จริงพระอาจารย์ท่านอื่นๆ น่าจะชวยกันนำสายวิชา ตลอดจนบารมีของหลวงพ่อเปิ่นไปช่วยกัน
เผยแพร่ด้วยกันนะครับ น่าจะไปครองวัด หรือสร้างวัดไหม่ๆ สาธุชนทั้งหลายจะได้รู้ว่า ลูกศิษย์หลวงพ่อเปิ่นท่าน
ได้ร่วมกันสร้างวัด สร้างพระศาสนากันอย่างกว้างขวางนะครับ

ผมคิดว่าที่วัดบางพระของหลวงพ่อท่าน มีอะไรต่างๆครบหมดแล้ว ดังนั้นพระอาจารย์ท่านต่างๆ น่าจะลองขยับขยาย
ไปสร้างวัดอื่นๆกันบ้างนะครับ

ด้วยความเคารพในบารมีของหลวงพ่อเปิ่น ตลอดจนครูบาอาจารย์สายวัดบางพระ



23
ที่จริงยันต์กระทู้ ๗ แบก ก็คือบทอิติปิโสแปดทิศนั้นเอง โดยชื่อกระทู้ ๗ แบก เป็นชื่อเรียกยันต์แถวแรกคือ" อิระชาคะตะระสา"
จากนั้นก็ต่อด้วยฝนแสนหา ไล่ไปถึงนารายณ์แปลงรูป "อะวิสุนุสสานุสติ" จนครบ ๘ แถว รวมเป็น ๕๖ คาถา

พระคาถาอิติปิโส ๘ ทิศ ก็คือบทอิติปิโสธรรมดาที่เราท่านทั้งหลายท่องบ่นกันนั่นเอง โดยจะเขียนลงตามแนวตั่ง
แต่เวลาอ่านจะอ่านตามแนวนอน บทอิติปิโส ก็คือบทที่สรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า โดยบุราณาจารย์ท่านรจนา
ไว้อย่างพิสดารมากมายนัก อุปเทห์การใช้นั้นท่านว่าฝอยท่วมหลังช้าง เช่นบทอิติปิโสรัตนมาลาที่แบ่งคาถาในแต่ละ
ตัวอักษรเป็นหนึ่งคาถาเป็นต้น

กล่าวโดยสรุป พุทธคุณของยันต์นี้ก็ครอบจักรวาลครับ

คงเป็นประโยชน์บ้างนะครับ

24
   น่ายินดีที่ยังมีท่านที่รู้จักพระอาจารย์พงศ์นะครับ หลายๆท่านโดยเฉพาะน้องใหม่ๆจะไม่รู้จักท่าน
ท่านเป็นพระบ้านนอก ใจนักเลงครับ คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น สมัยตอนที่หลวงพ่อยังอยู่
หลวงพ่อท่านกล่าวว่า อะไรก็ดีหมด เสียที่ปากไม่ค่อยดี คือท่านพูดตรงเกินไปจนบางคนรับไม่ได้
ที่วัดบางพระ ก็มีทั้งที่ชอบและไม่ชอบท่าน อันนี้ก็เป็นเรื่องปกตินะครับ พระพุทธเจ้ายังมีพวกเดีรถีร์คอย
ตำหนิติเตียนเลย
    ท่านสักโดยไม่ต้องใช้บล็อค เพราะท่านเป็นช่างอยู่แล้ว ทั้งวาดเขียน แกะสลัก ปูนปั้นได้ทุกเรื่อง
ท่านเป็นคนที่จิตมั่นคงมาก ปลุกของอะไรก็ขึ้น เคยมีประสบการณ์ตรงกับปู่ฤาษีที่ท่านปั้น อันที่จริงตอนปั้นผมก็ช่วยท่าน
ผสมปูนเองครับ แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะขลังจริงๆ กล่าวคือ ท่านตั่งโต๊ะบูชาไว้ที่หน้าปู่ฤาษีและวางกล้วยบูชาไว้ พอดีต้องการจะใช้โต๊ะ
ก็เลยยกโต๊ะออกและเอาถาดกล้วยตั่งไว้ด้านล่าง ปรากฎว่า "ไฟฟ้าดับพรึบ" ทั้งกุฏิเลย ที่แรกก็คิดว่าบังเอิน ฟิวส์อาจจะขาดก็ได้
   แต่ที่ไม่บังเอินก็คือ เอาไขควงเช็คไฟจิ้มดู ปรากฏว่ามีไฟทุกเส้น ทุกปลั๊กเลย แต่เปิดอะไรก็ไม่ติด จากนั้นจึงได้ไปจุดธูปขอขมา
ที่ปูฤาษี ไฟจึงติดตามปกติครับ (ตอนนี้ฤาษีองค์ที่ว่านี้ พระอาจารย์ท่านไปถวายไว้ที่วัดถ้ำอัศจรรย์ ที่ประจวบฯ)

   ถ้ามีโอกาสจะมาเล่าให้ฟังไหม่ครับ วันนี้เอารูปงานครูปี ๓๘ ไปดูกันก่อนครับ


25
คาถาที่คุณ MEW เป็นคาถาที่ล้อมยันต์แปดทิศของวัดเราเองละครับ

ไม่ทราบว่าใครบอกให้ครับ เท่าที่ผมทราบจะไม่อ่านตามที่ภาษาขอมเขียนนะครับ

26


ด้านบนคือชื่อคุณพ่อ ด้านล่างคือคุณแม่ครับ

โชคดีครับ

27
ช่วยตอบให้นะครับ

เมื่อก่อนสมัยหลวงพ่อท่านยังอยู่ แต่ท่านวางเข็มแล้ว พวกหลวงพี่ต่างๆที่หลวงพ่อท่านอนุญาติให้สักแทนท่านได้ก็สักกันตามกุฏิต่างๆ (แต่ไม่มากเหมือนตอนนี้) โดยหลังจากสักแล้ว ผู้ที่สักนิยมมาให้หลวงพ่อท่านเป่าเสกให้อีกครั้งหนึ่ง อันนี้อาจเป็นเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวผู้สักเองก็ได้ อันนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลครับ

แต่ปัจจุบันหลวงพ่อท่านละสังขารไปแล้ว แล้วเราจะให้ใครเป่าให้ละครับ ?? บางคนอาจจะไปให้ท่านเจ้าอาวาส(อาจารย์สำอางค์) เป่าอีก อันนี้ก็แล้วแต่ความเชื่อหรือความมั่นใจของแต่ละคนครับ อันที่จริงถ้าผู้ที่สักให้เราได้รับการครอบจากหลวงพ่อมาแล้ว (ในทัศนะของผม) ก็ไม่จำเป็นต้องเป่าอีกก็ได้ครับ แต่ถ้ายังไม่มั่นใจอีกก็แล้วแต่จิตศรัทธาครับ :050:

คงเป็นประโยชน์บ้างนะครับ

28
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: old pic01
« เมื่อ: 03 ก.ค. 2552, 09:07:22 »


รูปนี้เป็นงานไหว้ครูปี ๓๘ ครับ จากซ้ายไปขวา ด้านหลังของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเปิ่นนะครับ
- พระอาจารย์พงษ์ ปัจจุบันอยู่วัดหนองหวาย กาญจนบุรี
- ไม่เห็นหน้า (จีวรสีส้ม) พระอาจารย์พันธ์
- พระอาจารย์ติ่ง
- พระอาจารย์นัน
- พระอาจารย์ ?? จำชื่อไม่ได้ครับ โทษที
- พระอาจารย์วัดจำปา (จีวรสีเดียวกับหลวงพ่อ)
- พระอาจารย์ต้อย
- พระอาจารย์ญา

29
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ตอบ: old pic01
« เมื่อ: 03 ก.ค. 2552, 08:51:57 »
ขออนุญาตุบรรยายภาพแรกบนสุดนะครับ จากขวาไปซ้าย

-พระอาจารย์พงษ์ ปัจจุบันอยู่ที่วัดหนองหวายเมืองกาญฯ
-อาจารย์บุญมี (ตอนนี้เป็นฆารวาสอยุ่ที่กาฬสินธ์)
-พระเดชพระคุณหลวงพ่อของพวกเราทุกคน
-พระอาจารย์ติ่ง
-องค์สุดท้ายภาพไม่ชัด น่าจะเป็นพระอาจารย์ต้อยนะครับ

30

ของผมได้การันตีจากพี่ดม (แผงพระตรงหอระฆัง) ผู้ล่วงลับไปแล้วครับ ลองเทียบกันดูครับ

31

ลองชมของผมบ้างครับ

33
ลองดูเสมาของผมบ้างนะครับ เผื่อจะชอบ

34
วัดที่ญี่ปุ่นก็ออกเครื่องรางเหมือนกับบ้านเราละครับ ส่วนใหญ่เป็นลักษณะคล้ายๆกับพวกผ้ายันต์หรือกระดาษยันต์ต่าง ที่แปลกและเห็นมีทุกวัดก็คือ จะมีป้ายกระดานเล็กๆเอาไว้เขียนอธิษฐานและแขวนไว้ ที่จริงบ้านเค้าก็เชื่อเรื่องพวกนี้เหมือนกับบ้านเราละครับ แต่คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะยังสับสนเรื่องศาสนา คือนับถือทุกอย่าง คำถามที่ถามแล้วคนญี่ปุ่นจะคิดนานที่สุดก็คือ what is your religion ? (คุณนับถือศาสนาอะไร)

หน้า: [1]