แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - ทรงกลด

หน้า: [1]
1
การฝึกวิชามโนมยิทธิ
คำแนะนำการฝึกมโนมยิทธิ

โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร

            ต่อไปนี้จะขอแนะนำเนื่องในการเจริญมโนมยิทธิ คำว่า มโนมยิทธิ นี่เป็นกรรมฐานอย่างหนึ่งในกรรมฐาน ๔๐ เพราะกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้มี ๔๐ แบบ แล้วก็ ๔๐ แบบ ถ้าแบ่งเป็นหมวดก็ ๔ หมวด คือ
            หมวดที่ ๑ สุขวิปัสสโก
            หมวดที่ ๒ เตวิชโช
            หมวดที่ ๓ ฉฬภิญโญ
            หมวดที่ ๔ ปฏิสัมภิทัปปัตโต
            หมวดที่ ๑ ที่เรียกว่า สุขวิปัสสโก ท่านแปลว่า บรรลุมรรคผลได้อย่างแบบง่าย ๆ แต่ความจริงแล้วไม่ง่าย ยากมากแบบสุขวิปัสสโกนี่เวลาเจริญสมาธิตามที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททำอยู่ตามปกติ เป็นการทำจิตให้เป็นสมาธิเข้าถึงฌานสมาบัติ แล้วก็ตัดกิเลส ไม่สามารถจะเห็นผี เห็นนรก เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ได้ คือไม่มีทิพจักขุญาณ
            สำหรับ เตวิชโช นั้น มีความสามารถพิเศษอยู่ ๒ อย่าง คือว่ามีทิพจักขุญาณด้วย สามารถระลึกชาติด้วย และก็
            ฉฬภิญโญ (อภิญญาหก) แสดงฤทธิ์ได้ มีหูเป็นทิพย์ มีตาเป็นทิพย์
            ปฏิสัมภิทัปปัตโต มีความสามารถคลุมวิชชาสามและอภิญญาหก มีความฉลาดกว่า
            หมวดที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ไม่เหมือนกัน แต่วิธีปฏิบัติคล้ายคลึงกัน เอาในกรรมฐานทั้ง ๔๐ มาแยกปฏิบัติเป็นหมวดหมู่
            ทีนี้สำหรับการปฏิบัติ ถ้าจะถามว่าอย่างไหนเข้าถึงมรรคผลง่ายกว่ากัน ก็ต้องเป็นไปตามอัธยาศํยของบรรดาท่านพุทธบริษัท
            สำหรับ สุขวิปัสสโก พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับผู้ที่ต้องการเรียบ ๆ ไม่ต้องการฤทธิ์เดช ทำแบบสบาย ๆ จิตใจไม่ชอบจุกจิก
            สำหรับ เตวิชโช นั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับคนที่อยากรู้อยากเห็น ถ้ามีสิ่งปิดบังลี้ลับอยู่ ทนไม่ไหว ต้องหาให้พบ ค้นให้เห็น
            สำหรับ ฉฬภิญโญ นั้น สำหรับคนที่ต้องการมีฤทธิ์เดชพระพุทธเจ้าก็ทรงสอนไว้
            สำหรับ ปฏิสัมภิทาญาณ หรือปฏิสัมภิทัปปัตโต ท่านมีทั้งฤทธิ์ด้วย มีทั้งความเป็นทิพย์ของจิตด้วยมีความฉลาดด้วย สอนไว้เพื่อคนที่ต้องการรอบรู้ทุกอย่าง
            ฉะนั้นการที่พระพุทธเจ้าทรงสอน จึงเป็นไปตามอัธยาศัยของคน
            สำหรับวันนี้จะนำเอาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่วนหนึ่งที่เรียกว่า มโนมยิทธิ มาแนะนำแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท
            มโนมยิทธิ นี่คล้ายคลึงกับ เตวิชโช แต่ว่ามีกำลังสูงกว่า เป็นกรรมฐานเพื่อนเตรียมตัวที่จะปฏิบัติเพื่อ อภิญญาหก ต่อไปข้างหน้า
            สำหรับ เตวิชโช ก็ได้แก่ วิชชาสาม ก็มีทิพจักขุญาณ ซึ่งต่างกับ มโนมยิทธิ คือว่าท่านที่ได้ทิพจักขุญาณแล้วนั่งอยู่ตรงนี้ สามารถจะเห็นเทวดาหรือพรหมได้ สามารถจะคุยได้ แต่ไปหาไม่ได้ สามารถจะเห็นสัตว์นรก เห็นเปรต เห็นอสุรกายได้ แต่ว่าไม่สามารถจะไปหากันได้ เห็นอย่างเดียว

ที่มา
http://www.jidsai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539146167

2

พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร
ทุกคนผู้เข้ามานับถือพระพุทธศาสนา จะเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม จะถือบวชก็ตาม ต้องทำกิจเบื้องต้น คือ ปฏิญาณตนถึงพระรัตนตรัยนี้เป็นสรณะ คือ ที่พึ่ง หรือดังที่เรียกว่านับถือเป็นพระของตน เทียบกับทางสกุล คือ นับถือพระพุทธเจ้าเป็นพระบิดา ผู้ให้กำเนิดชีวิตในทางจิตใจของตน สัจธรรมที่เป็นหลักใหญ่ในพระพุทธศาสนา คือ อริยสัจ ๔


คิริมานนทสูตร
ในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระเชตะวันมหาวิหาร ครั้งนั้น ท่านคิริมานนท์อาพาธ(เจ็บป่วย) หนัก กระสับกระส่ายเพราะพิษไข้ ท่านพระอานนท์จึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากราบทูลให้เสด็จไปเยี่ยม พระพุทธองค์ตรัสว่า ถ้าอานนท์จะไปเยี่ยมพระคิริมานนท์จงแสดงสัญญา ๑๐ อย่าง ให้พระคิริมานนท์ฟังด้วย เพราะเมื่อฟังจบแล้วจะหายจากโรคาพาธนั้นโดยเร็วพลัน จากนั้นทรงแสดงสัญญา ๑๐ ให้ท่านพระอานนท์ได้เรียนและจดจำเพื่อนำไปแสดงแก่พระคิริมานนท์ต่อไป
สัญญา ๑๐
๑. อนิจจสัญญา
๒. อนัตตสัญญา
๓. อสุภสัญญา
๔. อาทีนวสัญญา
๕. ปหานสัญญา
๖. วิราคสัญญา
๗. นิโรธสัญญา
๘. สัพพโลเกอนภิรตสัญญา
๙. สัพพสังขาเรสุอนิฏฐสัญญา
๑๐. อานาปานสติ
สัญญา หมายถึง ความจำได้, ความหมายรู้ได้, หรือความกำหนดหมาย เป็นสัญญาชั้นสูงที่จะนำไปสู่ปัญญา มี ๑๐ ประการ คือ
๑. อนิจจสัญญา กำหนดหมายความไม่เที่ยงแห่งสังขาร หมายถึง การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงของอุปาทานขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดมาแล้วดับไป ผันแปรเปลี่ยนสภาพตลอดเวลา หรือเป็นสิ่งชั่วคราวตั้งอยู่ได้ชั่วขณะ
๒. อนัตตสัญญา กำหนดหมายความเป็นอนัตตาแห่งธรรม หมายถึง การพิจารณาเห็นความเป็นของมิใช่ตัวตนของอายตนะภายใน (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) และอายตนะภายนอก (รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์) ว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นสภาพว่างเปล่าหาสภาวะที่แท้จริงไม่ได้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง หรือไม่อยู่ในอำนาจบังคับของใคร
๓. อสุภสัญญา กำหนดหมายความไม่งามแห่งกาย หมายถึง การพิจารณาร่างกายนี้ทั้งหมด ตั้งแต่พื้นฝ่าเท้าขึ้นไปจนถึงปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีอยู่ในกายนี้ ๓๑ อย่าง เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน เป็นต้น พิจารณาจนเกิดเห็นความไม่งามของกายขึ้นในจิต
๔. อาทีนวสัญญา กำหนดหมายโทษแห่งกาย คือ มีอาพาธต่างๆ หมายถึง การพิจารณาเห็นว่า กายนี้มีทุกข์มาก มีโทษมาก ความเจ็บไข้ต่างๆ จึงเกิดขึ้นได้ในกายนี้ ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนฤดูกาล, วิบากกรรม, หรือการรักษาสุขภาพร่างกายไม่สม่ำเสมอ เป็นต้น
๕. ปหานสัญญา กำหนดหมายเพื่อละอกุศลวิตก และบาปธรรม หมายถึง การไม่รับเอาอกุศลวิตก ๓ (กามวิตก, พยาบาทวิตก, วิหิงสาวิตก) ที่เกิดขึ้น แต่กลับพยายามละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด และทำให้อกุศลทั้งหลายทั้งปวงไม่ให้เกิดขึ้นได้อีกต่อไป
๖. วิราคสัญญา กำหนดหมายวิราคะ คือ อริยมรรคว่า เป็นธรรมอันละเอียด หมายถึง การพิจารณาเห็นว่า ภาวะที่สงบ ประณีต คือ ความระงับแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง ความสิ้นไปแห่งตัณหา ความคลายกำหนัด และพระนิพพานเป็นภาวะที่สำรอกกิเลสได้จริง
๗. นิโรธสัญญา กำหนดหมายนิโรธความดับตัณหา คือ อริยผล ว่าเป็นธรรมอันละเอียด หมายถึง การพิจารณาเห็นว่าภาวะที่สงบ ประณีต คือ ความระงับแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง ความสิ้นไปแห่งตัณหา ความดับ และพระนิพพาน เป็นภาวะที่ดับตัณหาได้จริง
๘. สัพพโลเก อนภิรตสัญญา กำหนดหมายความไม่น่าเพลิดเพลินในโลกทั้งปวง หมายถึง การละอุปาทานในโลกที่เป็นเหตุตั้งมั่น ยึดมั่น และเป็นอนุสัยแห่งจิต งดเว้นไม่ถือมั่น รู้จักยับยั่งใจไม่ให้ไหลไปตามอำนาจตัณหา
๙. สัพพสังขาเรสุ อนิฏฐสัญญา กำหนดหมายความไม่น่าปรารถนาในสังขารทั้งปวง หมายถึง การพิจารณาความไม่ปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ จนเกิดความอึดอัด ระอาเบื่อหน่าย รังเกียจในสังขารทั้งปวง
๑๐. อานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออก หมายถึง การตั้งสติกำหนดอารมณ์กัมมัฏฐาน มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก ไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปในที่อื่น กำหนดจิตเฉพาะที่ลมหายใจเข้าออก
พระอานนท์ เมื่อได้เรียนทรงจำสัญญา ๑๐ ประการนี้ได้แล้วจึงได้ไปเยี่ยมไข้พระคิริมานนท์ แล้วกล่าวสัญญา ๑๐ นั้นแก่ท่าน เมื่อฟังจบแล้วท่านพระคิริมานนท์ได้หายขาดจากอาพาธนั้น
การที่ทุกขสัญญาไม่ปรากฏอยู่ในสัญญา ๑๐ ประการ ในคิริมานนท์สูตรนั้น มิใช่หมายความว่าไม่มีเรื่องทุกข์ร่วมอยู่ในที่นั้นด้วย เพราะทุกข์ได้ทรงแสดงไว้ในอาทีนวสัญญา การที่ทรงแสดงทุกข์ด้วยอาทีนวสัญญานั้น ก็โดยมีพระพุทธประสงค์ที่จะให้เหมาะแก่บุคคลผู้รับพระธรรมเทศนา คือ พระคิริมานนท์ผู้กำลังต้องอาพาธอยู่ จึงได้ทรงยกโรคาพาธต่างๆ อันเป็นอาการของทุกข์ขึ้นแสดง โดยความเป็นโทษของร่างกายเสียทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเป็นอันยุติว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงทุกข์ไว้ในที่นั้นโดยชื่อว่า อาทีนวสัญญา ฯ
(หนังสือบูรณาการแผนใหม่ นักธรรมชั้นเอก รวมทุกวิชา.กรุงเทพฯ:เลี่ยงเชียง,๒๕๔๗.)อริยสัจ ๔

เขียนโดย จิตติเทพ นาอุดม ที่ 02:13

ขอบคุณที่มา
http://buddhahastaught.blogspot.com/2010/11/blog-post.html

3
ขอขอบคุณ
:: ลานธรรมจักร ::
www.dhammajak.net
ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13090

ตอนที่ ๑ ต้นตระกูลภูไท บรรพบุรุษของหลวงปู่จาม
ตอนที่ ๒ วิถีชีวิตชาวภูไทในไทย
ตอนที่ ๓ กำเนิดเด็กชายจามในตระกูลสัมมาทิฎฐิ
ตอนที่ ๔ เรียนรู้ชีวิตปฐมวัย พ่อมอบสมบัติทิพย์ให้
ตอนที่ ๕ ชีวิตสามเณรน้อยที่เด็ดเดี่ยว
ตอนที่ ๖ สามเณรจาม เจอผีจริงเข้าแล้ว
ตอนที่ ๗ นิมิตสิ่งโบราณ
ตอนที่ ๘ ชีวิตวัยหนุ่มเรียนรู้ชีวิตทางโลก
ตอนที่ ๙ สงครามหัวใจ
ตอนที่ ๑๐ แม่วางเส้นทางชีวิต
ตอนที่ ๑๑ วิกฤติสร้างวีรบุรุษ
ตอนที่ ๑๒ อัศจรรย์เด็กผู้หญิง
ตอนที่ ๑๓ ทดสอบจิตใจตนเอง
ตอนที่ ๑๔ แสวงหามัชฌิมาเพื่ออริยมรรค
ตอนที่ ๑๕ เหตุการณ์ประหลาด
ตอนที่ ๑๖ ผีสางเทวดา
ตอนที่ ๑๗ เทพเป่าและนำทางไป
ตอนที่ ๑๘ ผจญผีที่ซากเจดีย์เก่า
ตอนที่ ๑๙ รู้แจ้งประจักษ์อนาคตอันไกลโพ้น
ตอนที่ ๒๐ ทำเพื่อชาติเพื่อแผ่นดินเพื่อพระพุทธศาสนา
ตอนที่ ๒๑ ชีวิตในบั้นปลาย
ตอนที่ ๒๒ (จบ) ส่งท้ายไว้ให้คิด


ตอนที่ ๑
ต้นตระกูลภูไท บรรพบุรุษของหลวงปู่จาม

“หลวงปู่จาม มหาปุญโญ” นามสกุล ผิวขำ มีต้นตระกูลเป็นชนเผ่าภูไท กลุ่มเจ้าครองนครหรือกลุ่มผู้ปกครองถิ่นฐานเดิมของภูไท อยู่ที่สิบสองปันนา สิบสองจุไท อาณาจักรน่านเจ้า มีสภาพภูมิอากาศหนาวจัด ต่อมาเมื่อมีประชากรมากขึ้น การทำมาหากินเริ่มอัตคัดขัดสนและขาดแคลน ส่วนหนึ่งได้อพยพมาหาแหล่งทำมาหากินโดยมาตั้งถิ่นฐานใหม่ที่เมืองแถง เขตประเทศเวียดนาม ซึ่งอยู่ห่างจากป้อมเดียนเบียนฟูประมาณ ๒๓ กิโลเมตร และที่เมืองอังคำ เขตประเทศลาว

ต่อมา ภูไทส่วนหนึ่งก็ได้อพยพต่อมาหาแหล่งที่ทำมาหากินที่เมืองพิน เมืองพะลาน เขตประเทศลาว ผู้ปกครองลาวสมัยนั้นคือเจ้าอนุวงศ์ ได้เกณฑ์ชาวภูไทไปเป็นทหารเพื่อขยายอาณาจักรและจัดกองทัพเพื่อมารบพุ่งกับชาวไทย (ชาวสยามประเทศ) แต่เนื่องจากชาวภูไทรักสงบ ไม่ต้องการรบพุ่งทำสงคราม จึงอพยพหนีมาอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำโขง โดยข้ามมาทางเรณูนคร มาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณดงบังอี่ (คำชะอี หนองสูงในปัจจุบัน)

ส่วนกลุ่มที่ข้ามมาทางท่าแขก จังหวัดนครพนมนั้น มาตั้งถิ่นฐานอยู่พรรณานิคม ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ชาวภูไทได้เข้ามาในประเทศไทย (สยาม) หลายระลอกในหลายรัชสมัยได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่แถวอำเภอกุสุมาลย์ อำเภอพรรณานิคม อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร อำเภอสหัสขันธ์ อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร และบางส่วนก็เลยไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในภาคกลางอีกหลายแห่ง ชาวภูไท เรียกตัวเองว่า ภูไท หรือผู้ไท สำเนียงอาจเพี้ยนกันบ้าง จึงอนุโลมเรียกภูไทหรือผู้ไทก็ได้ เพราะเข้าใจความหมายว่า เป็นกลุ่มเผ่าเดียวกันโดยความหมายที่แท้จริง คือ เป็นคนไทย เพราะชาวภูไทเองนั้น ภาคภูมิในความเป็นคนไทย หรือเป็นไท แปลว่า อิสระ รักสงบ

ภูไทมีภาษาของตนเอง พูดภาษามีสำเนียงหางเสียงท่วงทำนอง ไพเราะน่าฟัง เป็นภาษาไทยแบบภูไท มีขนบธรรมเนียมประเพณีของตนเอง แต่ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ถ้าหากพิจารณาเห็นว่าดีกว่า เหมาะสมกว่า เมื่อมาอยู่ในประเทศไทย (สยาม) ชาวภูไทมีความรักสามัคคีกัน สำหรับชาวภูไทตระกูลของหลวงปู่จาม ทางบ้านห้วยทรายเป็นเชื้อเจ้า ทางผู้หญิงอพยพมาจากเมืองวัง เรียนหนังสือเก่ง มีความคิดเฉียบคม ปัญญาเฉียบแหลม มีขุนบรมเป็นบรรพบุรุษต้นตระกูล เมื่อถูกจีนรุกรานจึงอพยพมาเรื่อยๆ ตามลำดับจากเมืองแถงสู่เมืองวัง เข้าสู่ประเทศไทย (สยาม) ตามลำดับ

4
ขอขอบคุณ

หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง
ผู้ถวายคำพยากรณ์ แด่ ร.๕
 
คัดลอกจาก http://www.lekpluto.com/index01/special03.html
และ
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-iam-wat-nung/lp-iam-wat-nung-hist-02.htm
====================================
(ขออนุญาตตัดตอนมาบางส่วน)

ในการเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่หนึ่ง เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๐ นั้น  ไม่ได้เป็นการเสด็จเพื่อแสวงหาความสำราญแต่อย่างใด   แต่เป็นการเสด็จเพื่อดำเนินพระราชวิเทโศบายด้านการต่างประเทศอย่างชาญฉลาด  เป็นการเสด็จเพื่อเจริญพระราชไมตรีกับราชวงศ์ต่าง ๆ  ของยุโรป    โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัสเซียและเยอรมัน ซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นของอังกฤษ และฝรั่งเศส ด้วยหลักการที่ว่า "ศัตรูของเพื่อนก็คือศัตรูของเรา"  เมื่อผูกสัมพันธ์กับรัสเซีย เยอรมัน และกลุ่มประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ได้แล้ว อังกฤษ และฝรั่งเศสก็จะไม่กล้ารุกราน หรือยึดเอาประเทศไทยเป็น "อาณานิคม" อีกต่อไป ซึ่งส่งผลทำให้ไทยเราดำรงความเป็นเอกราชมาจนทุกวันนี้

การเสด็จประพาสยุโรปในสมัยนั้น  ทำได้ทางเดียว คือ "ทางเรือ" ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางแรมเดือน การออกทะเลหรือมหาสมุทรนั้น แม้ในปัจจุบันที่มีการพัฒนาการเดินเรือ มีเรือที่มั่นคงแข็งแรง ประสิทธิภาพสูง  มีการติดต่อสื่อสารที่ทันท่วงที ก็ยังไม่วายจะ "อับปาง" เลยครับ หากออกเดินทางในช่วงมรสุม หรือ "สุ่มสี่สุ่มห้า"  ล่ะก็  เป็นเสร็จทุกราย       คนโบราณจึงสอนเอาไว้ว่า "อย่าไว้ใจทะเลคืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล มีภยันตรายรอบด้าน ทุกเวลานาที"  ท่านผู้อ่านลองหลับตาวาดภาพการเดินเรือในสมัยเมื่อร้อยกว่าปีล่วงมาแล้วซิครับ ว่ายากลำบาก และมีอันตรายเพียงใด แต่ล้นเกล้า ฯ     รัชกาลที่ ๕ท่านก็ทรงเสด็จ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย เป็นการเสียสละพระองค์อย่างสูงสุด ที่ไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในโลกจะทำได้  ตอนหน้าจะได้กล่าวถึงคำพยากรณ์และการแก้ไขเหตุร้ายแรงที่ประสบตามคำพยากรณ์    เป็นเรื่องของความเชื่อถือในคุณพระ และคาถาอาคม หากท่านเห็นว่า "ไม่ไร้สาระ" จนเกินไป


5
บุคคลที่ถูกห้ามบวชเป็นพระภิกษุ
 
 
คำชี้แจง

 
อาตมาได้รับคำถามจากหลายท่านอยู่บ่อยๆ  ในทำนองว่าคนที่เป็นชายไม่สมบูรณ์หรือผู้ที่มีใจสับสน  เช่นกายเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง  หรือพวกคนสองเพศ  หรือบางทีก็เรียกว่าเกย์  ภาษาไทยเราเรียกว่า  “กะเทย”  คนพวกนี้บวชได้ไหม?
 
อาตมาได้ชี้แจงว่า ตามพระวินัยกล่าวไว้ว่าบวชไม่ได้  แม้บวชแล้วก็ไม่เป็นพระหรือเณร  รู้เมื่อไรก็ให้เขาสึกเสีย  ถ้าเขามีศรัทธาก็ให้เขานุ่งขาวห่มขาวรักษาสิกขาบท ๕ - ๘  หรือรักษากุศลกรรมบถ ๑๐ ก็จะเกิดกุศลมหาศาล  เป็นเหตุเป็นปัจจัยในภายภาคหน้าต่อไป
 
เขาก็เล่าให้ฟังว่า  เห็นมีบวชกันอยู่ทั่วไปในที่ต่างๆ  บางแห่งอยู่กันเป็นหมู่เป็นกลุ่มก็มี  อาตมาก็บอกว่า นั่นเพราะว่าอุปัชฌาย์ไม่ทราบ หรือผู้ที่บวชไม่ทราบประเพณีของวินัยของพระพุทธเจ้าก็ได้  แต่เมื่อทราบก็ต้องชี้แจงให้เขาได้รับรู้  ให้เขาสึกเสียหรือสร้างกุศลกรรมอย่างอื่นยังมีทางที่ก่อให้เกิดบุญกุศลมากมาย  แต่ถ้าเขายังฝืนอยู่ในธรรมวินัยนี้มีแต่เสื่อม  และเป็นบาปมากๆ  เมื่อพระภิกษุผู้มีศีลต้องกราบไหว้หรือทำสามีจิกรรมเขาในเวลาเมื่อเข้าร่วมทำสังฆกรรมกับหมู่พระภิกษุ นอกจากจะทำสังฆกรรมให้วิบัติ  บวชพระไม่เป็นพระ  ทำสังฆกรรมเป็นคณะปูรกะ  ทำให้กรรมกำเริบคือเสียใช้ไม่ได้อีกด้วย   
 
ดังนั้นผู้ที่ทราบจงช่วยกันชี้แจงและบอกกล่าวให้รู้กัน เพื่อช่วยกันดูแลป้องกันพระศาสนา เพื่อสังฆมณฑลจะได้บริสุทธิ์ต่อไป.
“โพธิสัตตะ”
เรียบเรียงข้อความใหม่บางส่วนโดย พระวัชพล ปภาโต

.............................................................................................
ที่มา
http://sites.google.com/site/watluangpreechakul/prohibit-to-monk

6
วิญญาณที่ถูกลืม 1/2


 ว่ากันว่า  เมื่อร่างกายของคนเราสูญสลายไปแล้วนั้น  สิ่งที่จะยังคงเหลืออยู่ก็เป็นเพียงวิญญาณที่ล่องลอยรอเวลาไปเกิดใหม่ แต่ในบางครั้งอาจจะยังมีวิญญาณจำพวกหนึ่งซึ่งยังคงวนเวียนอยู่บนโลกนี้ โดยไม่มีโอกาสที่จะได้พบเจอกับความสุขครั้งใหม่ในชีวิตเลย  อะไรที่ทำให้วิญญาณเหล่านั้นต้องเผชิญกับชะตากรรมเช่นนี้  มันคือความผูกพันธ์ของวิญญาณเหล่านั้นที่มีต่อคนบนโลกมนุษย์ซึ่งไม่สามารถลบเลือนไปได้ หรือว่ามันจะหมายถึงความน่าสะพรึงกลัวบทใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้ากันแน่


 เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นกับครอบครัวของอัลเลน   โดยมีโรเบิร์ต เป็นหัวหน้าครอบครัว   ซึ่งอาศัยอยู่กับเบ็ตตี้  ภรรยาสาวและลูกชายวัย 5  ขวบ  ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชานเมืองแมนเชสเตอร์  ประเทศอังกฤษอย่างสงบมานาน จนกระทั่งในปี 1996 ที่ผ่านมา  ครอบครัวอัลเลนก็ต้องเจอะเจอกับเหตุการณ์อันน่าเศร้าสลดขึ้น  เมื่อเบ็ตตี้ ภรรยาสาวสวย ถูกฆาตกรใจอำมหิตฆ่าข่มขืนและนำศพไปหมกทิ้งในกอหญ้า  ห่างจากบ้านของเธอเพียงไม่กี่ร้อยเมตร  ซึ่งแม้ว่าในภายหลังฆาตกรจะถูกจับตัวมาลงโทษได้  แต่สิ่งที่ครอบครัวอัลเลนต้องสูญเสียไปนั้น มันยิ่งใหญ่เกินกว่าจะหาสิ่งใดมาทดแทนได้


 และนอกเหนือไปจากความเศร้าโศกเสียใจแล้ว สิ่งที่พวกเขาต้องประสบในเวลาต่อมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ ความน่าสะพรึงกลัวอันเกิดจากวิญญาณของเบ็ตตี้ซึ่งตามมาหลอกหลอน และสร้างความเขย่าขวัญให้กับครอบครัวอัลเลนโดยที่พวกเขาไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น ทั้งที่หลังจากเบ็ตตี้เสียชีวิตไปได้ 2 ปี เหตุการณ์ทุกอย่างนั้นยังคงดูเงียบสงบปราศจากเหตุการณ์ร้ายแต่อย่างใด ทุกวันโรเบิร์ตจะพาลูกชายของเขาไปเคารพสุสานของเบ็ตตี้ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านไปไม่กี่ร้อยเมตร และทำเช่นนี้เป็นประจำจนกระทั่งไม่นานโรเบิร์ตได้แต่งงานใหม่กับหญิงสาวชาวอังกฤษคนหนึ่ง และได้อพยพครอบครัวไปอยู่ทางตอนใต้ ซึ่งนับจากนั้นมาโรเบิร์ตก็ปล่อยให้สุสานของเบ็ตตี้ตั้งอยู่อย่างอ้างว้างโดดเดี่ยวปราศจากการเหลียวแล แม้กระทั่งลูกชายของเขาเองก็ไม่เคยถามถึงมารดาอีกเลย ซึ่งดูเหมือนว่าการที่วิญญาณของเบ็ตตี้ถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างเดียวดายเช่นนั้น มันได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวอันน่าสยดสยองที่ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้เลย


เหตุการณ์สยองขวัญดังกล่าว ได้เกิดขึ้นในหมู่บ้านใกล้เคียงที่โรเบิร์ตกับลูกชายพร้อมด้วยภรรยาใหม่ไปพักอาศัยอยู่  เรื่องราวมันเริ่มขึ้นมาจาก  ในตอนตีสองของทุกคืนซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับเวลาที่เบ็ตตี้ถูกฆาตกรรม มักจะมีคนเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินร้องห่มร้องไห้ไปตามทางเดินของหมู่บ้าน ปากของเธอก็พร่ำร้องหาสามีและลูกชายตลอดระยะทางที่เธอเดินผ่านไป  และไม่ว่าเธอจะเดินผ่านไปทางไหน ทุกคนจะได้กลิ่นเหม็นสาปสางโชยมาตลอดเวลา  และเมื่อเป็นเช่นนี้หลายครั้งเข้า  ชาวบ้านก็เริ่มตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนไม่เป็นอันทำอะไร  พอตกดึกทุกคนก็จะปิดประตูบ้านไม่มีใครกล้าออกไปไหน  เป็นอย่างนี้อยู่นาน จนชาวบ้านละแวกนั้นเริ่มทนไม่ได้  จึงได้จ้างวานหมอผีชื่อดังคนหนึ่งมาปัดเป่าวิญญาณของเบ็ตตี้ให้พ้นออกไปจากหมู่บ้าน  ซึ่งหลังจากนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวมาคอยสร้างความหวาดผวาให้กับพวกเขาอีก  แต่มันก็เป็นเช่นนั้นอยู่ได้ไม่นาน

ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=4075

7
กฎแห่งกรรม / ผีตุ๊กตา (ตปท.)
« เมื่อ: 02 เม.ย. 2555, 10:06:36 »

ผีตุ๊กตา(1/2)

เชื่อว่าเมื่อเล็กๆ     เด็กผู้หญิงทุกคนต้องเคยเล่นตุ๊กตากันมาบ้างแล้ว     แต่ถ้าสักวันหนึ่ง  ของเล่นชิ้นนี้ของคุณ ได้กลายสภาพเป็นตุ๊กตาผีสิง  คุณจะรู้สึกเช่นไร  เราไปฟังเรื่องราวอันน่าสยองขวัญ  ที่เกี่ยวกับตุ๊กตาผีกันดีกว่า
 ในปี ค.ศ. 1880 ที่หมู่บ้านโบเดก้า  ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของซานฟรานซิสโก  มีเด็กหญิงคนหนึ่งเสียชีวิตลง ในขณะที่มีอายุได้เพียง 8 ขวบ  สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับผู้ที่เป็นพ่อแม่อย่างมาก   และก่อนที่ศพของเธอจะถูกนำไปทำพิธีทางศาสนา   พ่อกับแม่ของเด็กหญิงคนนี้  ได้ตัดสินใจพิมพ์รูปแบบใบหน้าของเธอ  แล้วนำมาทำตุ๊กตา เพื่อไว้เป็นที่ระลึก  เนื่องจากยังทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


 นอกจากนี้เส้นผมยาวสีบรอนซ์ของเด็กหญิงคนนี้  รวมทั้ง ขนตา  และคิ้ว  ก็ถูกถอนออกมา 
เพื่อใส่ให้กับหุ่นตุ๊กตา ที่เป็นตัวแทนของเธอนั่นเอง ก่อนที่ตุ๊กตาตัวนี้จะถูกตั้งไว้ภายในบ้าน อยู่เป็นเวลาหลายปี  แต่เมื่อพ่อกับแม่ของเด็กผู้หญิงคนนี้เสียชีวิตลง 

 ตุ๊กตาตัวแทนของเธอ ก็มีคนมานำเอาไปเก็บรักษาไว้  จนสุดท้าย จึงได้ตกทอดมาเป็นสมบัติของ   พิพิธภัณฑ์เตุ๊กตาและของเล่น  โดยมีชาร์ลีน เวเบอร์  เป็นผู้ดูแลพิพิธภํณฑ์แห่งนี้
 พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาและของเล่น แต่เดิมเป็นเพียงโรงนาเก่าๆหลังหนึ่ง  ก่อนที่ชาร์ลีนจะดัดแปลงให้มาเป็นพิพิธภัณฑ์  เพื่อเก็บตุ๊กตาและของเล่น  และเปิดให้ผู้คนทั่วไปเข้าชมได้  ภายในจะมีตุ๊กตาขนาดต่างๆ   ตั้งแต่สูงครึ่งนิ้ว    ไปจนถึงสูงเท่าคนจริง     และมีตั้งแต่ตุ๊กตาที่สร้างขึ้นในปี  ค.ศ. 1930  ไปจนถึงตุ๊กตาสมัยศตวรรษที่ 19  ทั้งที่ทำจากกระดาษอัด กระเบื้องเคลือบ  ไม้ เศษผ้า  ขี้ผึ้ง  และ ตุ๊กตาที่สร้างด้วยเส้นผม ขนตา  และคิ้วของเด็กหญิงคนนี้ด้วย


 เรื่องราวของอาถรรพ์ลี้ลับ  จึงได้เกิดขึ้นตั้งแต่ชาร์ลีนได้ตุ๊กตาตัวนี้มา  ในคืนวันหนึ่ง  ขณะที่ชาร์ลีนกำลังนอนหลับอย่างสบายอยู่ในบ้านหลังใหญ่     ก็มีเสียงคล้ายเสียงกระจกแตก  ดังขึ้นในห้องเก็บตุ๊กตา ภายในพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ห่างจากบ้านหลังใหญ่ ไปอีกประมาณ 100 ฟุต


เสียงของมันดังมาก  จนทำให้ชาร์ลีนสะดุ้งตื่น  จากนั้นเธอก็รีบวิ่งไปที่ห้องเก็บตุ๊กตาทันที  ที่นั่นเธอเห็นตุ๊กตาเด็กผู้หญิง  นอนหงายอยู่กับพื้น  รอบบริเวณมีเศษกระจกแตกหล่นอยู่ทั่ว  ชาร์ลีนไม่แน่ใจว่า  ตุ๊กตาตัวนั้นหล่นลงมาจากบนชั้นวางได้อย่างไร  ในเมื่อหน้าต่างทุกบานในห้องนี้ถูกปิดสนิท  จึงไม่น่าจะมีลมเล็ดลอดเข้ามาได้  และจะว่ามีใครเข้ามาขโมยตุ๊กตา แต่เผลอปัดตกลงมา  ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้  เพราะก่อนที่ชาร์ลีนจะเข้ามาในห้อง  ประตูและหน้าต่างทุกบานก็ปิดสนิท  ไม่มีร่องรอยการงัดแงะแต่อย่างใด


แต่สิ่งที่ทำให้ชาร์ลีน รู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ก็คือ  ในขณะที่เธอกำลังจะนำตุ๊กตาขึ้นวางบนชั้นตามเดิมนั้น    เธอก็มีความรู้สึกว่า  ตุ๊กตาตัวนั้นกำลังจ้องมองเธออยู่  คล้ายกับถูกสายตาของคน  จ้องมองยังงัยยังงั้น  แต่ชาร์ลีนก็ไม่ได้เก็บเอามาวิตกอะไรมากมาย   เธอดิดว่าตัวเองคงตาฝาดไปเอง
แต่เหตุการณ์ประหลาด  ก็ยังคงเกิดขึ้นตามมาไม่มีหยุดหย่อน   ไม่เพียงแต่เกิดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์เท่านั้น  มันยังตามมาหลอกลอนเธอถึงที่บ้านอีกด้วย   เมื่ออยู่ดีๆ แมวที่ชาร์ลีนเลี้ยงไว้ก็ตายลงโดยไม่รู้สาเหตุ  แต่ก่อนที่มันจะตาย  เธอเห็นมันวิ่งพล่านไปมาทั่วบ้าน  คล้ายกับหนีอะไรบางอย่าง


ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=4007

8
กฎแห่งกรรม เรื่อง เวรกรรมตามลมปาก

เรื่องที่ฉันจะเล่าให้คุณได้ฟังนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแพง ลูกสาวคนเดียวของฉัน  ฉันเองก็ไม่รู้ว่า ชาติที่แล้ว ตัวเองทำบาปทำกรรมอะไรไว้ ในชาตินี้ ฉันจึงได้มีลูกสาวที่ดื้อ ปากเก่งและเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างไม่น่าเชื่อ
แพง : แม่ แม่เอาเสื้อหนูไปไว้ไหนน่ะ เสื้อสีฟ้าที่หนูพึ่งซื้อมา แม่เอาไปไว้ไหน บอกมานะ!!!! โอ๊ย ยาย ยายไปห่างๆ ได้ไหม หนูบอกแล้ว ว่าตัวยายน่ะเหม็นมาก เหม็นจนอยากจะอ้วกเลยล่ะ ออกไปห่างๆ ไป ...


 นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำในครอบครัวของฉัน บ้านของเราอาศัยอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 คน มี ฉัน สามี ลูก และแม่ของฉัน ... สามีของฉันทำงานเป็นข้าราชการ อยู่ที่กระทรวงแห่งหนึ่ง เงินเดือนที่ได้ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ก็นับว่ายังดี ที่พวกเราก็ไม่ได้ถึงกับขาดแคลน .... และด้วยความที่ฉันกับสามี มีลูกสาวเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นตั้งแต่เด็กๆ มา ไม่ว่าแกจะอยากได้อะไร ฉันกับสามีก็จะซื้อให้ หามาให้ ด้วยหวังว่าลูกจะได้รู้สึกถึงความรักและความห่วงใยที่เรามีต่อแก ... แต่ดูเหมือนว่า สิ่งที่ฉันเคยหวัง มันกลับไม่เคยเป็นอย่างที่หวัง


แพง : แม่...พรุ่งนี้หนูจะไปทัศนศึกษากับเพื่อน แต่หนูไม่มีเงินติดตัวเลย แม่เอาเงินให้หนู 500 ได้ไหม
แม่ : เอาไปทำไมตั้ง 500 ล่ะลูก หนูจะใช้อะไรเยอะขนาดนั้น
แพง : โอ๊ย 500 เนี่ยเหรอเยอะ ซื้อของชิ้นเดียวก็หมดแล้ว  ... แม่เอามาเหอะ อย่าพูดมากน่ะ หนู
ไม่อยากจะทะเลาะด้วย ... อ้อ แล้วพรุ่งนี้เย็นๆ เพื่อนหนูจะมากินข้าวด้วย อย่า
ลืมทำกับข้าวเผื่อนะคะ  แล้วก็บอกยายด้วยว่า ไม่ต้องมากินข้าวกับหนู เพราะยายกินข้าวหก
เลอะเทอะ หนูอายคนอื่นเขา ..


 นี่คือคำพูดที่ลูกใช้พูดกับฉัน  ... และเป็นคำพูดที่ลูกพูดถึงยายแท้ๆ ของแกเอง ... ฉันเองเคยห้ามปรามลูกด้วยการขู่ว่า ถ้าแกยังไม่เลิกพูดอย่างนี้ ชาติหน้า แกอาจจะมีปากเท่ารูเข็ม ...  แต่ผลที่ได้ตอบกลับมาก็คือ
แพง : ชาติหน้ามีจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ แล้วถ้าหนูจะมีปากเท่ารูเข็มจริงๆ หนูไปฆ่าตัวตายดีกว่า ... หนูไม่อยู่ให้โง่หรอก
 วันเวลาผ่านไป เหตุการณ์ต่างๆ ก็ดูเหมือนจะหนักข้อขึ้นทุกวัน ลูกสาวของฉันใช้คำพูดแสบๆ ทิ่มแทงคนในครอบครัวกันเองอยู่เสมอ ... ทำให้ฉันและสามีรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก ฉันกับสามีได้มานั่งปรึกษากัน ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพยายามหาทางออก แต่ยิ่งคิดอย่างไร ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีทางออกทางไหนเลย แม่ของฉันเองก็ได้แต่เตือนว่า


ยาย : เอ็งต้องระวังนังแพงไว้ให้ดีนะนังหนู  ปากมันน่ะ ชอบพูดจาดูถูกคนอื่นเขา ไอ้ลำพังมันดูถูกข้า ข้าก็ไม่โกรธ เพราะยังไงมันก็หลาน แต่ไอ้การที่มันไปไล่ปากเก่งกับคนอื่นเขาน่ะ ระวังมันจะเป็นเรื่องเข้าสักวัน


 ฉันเองก็รู้สึกหนักใจกับเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่คิดว่า เหตุการณ์ที่แม่บอกไว้ มันจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด
 วันนั้น แพงและเพื่อนได้นัดกันออกไปเที่ยวข้างนอก แต่ก่อนที่แกจะออกไป แกก็โวยวายขึ้นมา ซึ่งนั่นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันเหลืออดจริงๆ

ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=3985

9
วันตรุษไทย ประเพณีทำบุญวันสิ้นปี สมัยโบราณ



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก watyaichaimongkol.net, meeboard.com

          หากเอ่ยถึง วันตรุษไทย หลายคนคงไม่คุ้นเคยเท่ากับ วันตรุษจีน ทั้งที่ วันตรุษไทย ก็เป็นวันสำคัญของไทยที่มีประเพณีสืบต่อกันมา ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ว่าแล้ววันนี้ กระปุกดอทคอม จึงขอนำเรื่องราว วันตรุษไทย มาบอกกันต่อกันค่ะ

          วันตรุษไทย ตรงกับวันแรม 14 - 15 ค่ำ เดือน 4 และวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 รวม 3 วัน โดยถือเอาวันแรก คือ วันแรม 14 ค่ำ เป็นวันจ่าย เพื่อตระเตรียมสิ่งของไว้ทำบุญ และวันที่ 2 คือ วันแรม 15 ค่ำ เป็นวันทำบุญตักบาตร  มีการละเล่นสนุกสนานตามประเพณีท้องถิ่น ซึ่งจะเล่นกันจนถึงวันที่ 3 คือวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 4

          ทั้งนี้ คำว่า ตรุษ เป็นคำไทยที่แผลงมาจากภาษาสันสกฤต มี 2 ความหมาย โดยความหมายแรก แปลว่า ตัด หรือ ขาด หมายความถึง วันตรุษไทย ที่มีนัยว่า ตัดปีเก่าที่ล่วงมาแล้วให้ขาดไป ส่วนอีกความหมายหนึ่ง ตรุษ แปลว่า ความยินดี ความรื่นเริงใจ ความบันเทิงใจ ซึ่งหมายถึง วันตรุษสงกรานต์ หรือ วันสงกรานต์ ที่ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทย ทำให้ วันตรุษไทย เปรียบเสมือนวันสิ้นปี หรือเป็นประเพณีทำบุญส่งท้ายปีเก่านั่นเอง

          แต่ด้วยความที่ วันตรุษไทย มักจะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม ซึ่งใกล้กับ วันสงกรานต์ ทำให้ปัจจุบันการจัดงาน วันตรุษไทย ถูกรวบยอดไปจัดในวันสงกรานต์ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนไทยจึงไม่ค่อยรู้จัก วันตรุษไทย


ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/45859

10
ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่ท่อน ญาณธโร


วัดศรีอภัยวัน
ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย



๏ อัตโนประวัติ

“อย่ามีอคติ...อย่าลำเอียงกับใครเลย และอย่าขึ้นๆ ลงๆ อย่าเอารัดเอาเปรียบกันอีกเลย”

ความตอนหนึ่งจากธรรมโอวาทของ “พระราชญาณวิสุทธิโสภณ” หรือ “หลวงปู่ท่อน ญาณธโร” ที่คอยอบรมสอนสั่งสาธุชนให้ปฏิบัติตาม ด้วยกุศโลบายอันแยบคายในการแสดงพระธรรมเทศนา ให้ผู้ฟังนำไปขบคิดพินิจพิจารณาด้วยปัญญา

ท่านเป็นพระเถราจารย์ผู้ใหญ่สายวิปัสสนาธุดงค์กัมมัฏฐาน เป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านจิตตภาวนา การเทศนาธรรม และวิทยาคมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ

หลวงปู่ท่อน ญาณธโร มีนามเดิมว่า ท่อน ประเสริฐพงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พุทธศักราช 2471 ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะโรง ณ บ้านหินขาว ต.สาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายแจ่ม และนางทา ประเสริฐพงศ์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด 19 คน ท่านบุตรคนที่ 6 ปัจจุบัน สิริอายุได้ 79 พรรษา 59 (เมื่อปี พ.ศ.2550) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศรีอภัยวัน บ้านหนองมะผาง ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย และเจ้าคณะจังหวัดเลย (ธรรมยุต)


๏ การศึกษาเบื้องต้น

ในวัยเยาว์ สำเร็จการศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนบ้านหินขาว ต.สาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น แต่ด้วยฐานะทางบ้านยากจน ท่านจึงได้ลาออกจากโรงเรียนมาช่วยบิดามารดาทำงานหาเลี้ยงครอบครัว

ต่อมาได้เรียนต่อที่โรงเรียนผู้ใหญ่ที่บ้านหินขาว สอบเทียบได้ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4

หลังจากจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แล้ว ท่านไม่ได้เข้าศึกษาต่อ เพราะต้องเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว จึงเป็นเหตุให้ต้องออกจากโรงเรียนอีกครั้ง เพื่อมาทำงานหาเลี้ยงครอบครัว

ที่ีมา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=10700

11
ธรรมะ / ...นิทานคนบ้าหาบหิน
« เมื่อ: 13 มี.ค. 2555, 10:31:12 »
...นิทานคนบ้าหาบหิน

นั้นมีอยู่ว่า บ้านั้นท่านว่าบ้า ๑๐๘ บ้า ๓๒ บ้า นับไม่ได้ มีบ้าชนิดหนึ่ง ไม่โหดร้ายประการใด ได้บุง ได้ตาด ได้อะไรมาก็หาบไป เมื่อเห็นไม้ เห็นก้อนหิน เม็ดกรวดอะไรก็ตาม เก็บใส่ข้างหน้าข้างหลัง แล้วก็หาบเรื่อยไป ไม่ว่าเห็นอะไรอยู่ข้างถนนหนทางก็เก็บมาใส่ทั้งนั้น เรียกว่าเก็บก้อนหิน ของหนักมาใส่ หาบไป จนกระทั่งหาบไปไม่ได้ ก็เก็บออก เก็บออกพอเบาไปได้ก็หาบไปอย่างนั้นแหละ..เขาให้ชื่อว่าคนบ้า

คนบ้าชนิดนั้นไม่มีเรื่องราวกับใคร แต่มีเรื่องราวกับหิน เห็นของหนักแล้วก็เอามาใส่ เจ้าของก็หาบไป เมื่อหาบไป มันก็เบา ก็เก็บมาใส่ใหม่ เห็นของใหม่ก็เก็บใส่ใหม่ เป็นอยู่อย่างนี้ ตลอดวันตลอดคืน แก ทำมาอย่างนั้น นี้เรียกว่าเป็นนิทานอันหนึ่ง..

นิทานคนบ้าหาบหินนี้ เปรียบอุปมาเหมือนจิตใจของคนเรา

ไม่ภาวนา ไม่สงบ ก็ไม่สละออกไปจากอารมณ์ต่าง ๆ ที่เก็บเข้ามา ตาเห็นรูป ก็เก็บเอามาไว้ มาคิด มานึก มาปรุงแต่งในทางที่จะยึดเอาถือเอาเหมือนคนบ้าหาบหิน รูปดีก็อยากได้ ดิ้นรนวุ่นวาย รูปสวย รูปงาม ไม่ว่ารูปวัตถุ ข้าวของเครื่องใช้ไม้สอยก็ตาม รูปคน... เมื่อเห็นว่ารูปดี ก็อยากได้ ปรารถนา ดิ้นรนไปตามกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา มันเก็บเข้ามา ยึดเข้ามา..

ที่นี้ ในขณะที่รูปไม่ดี รูปน่าเกลียดน่ากลัว รูปน่าชัง ก็เก็บเข้ามาอีก ไปเกลียด ไปกลัว ไปชัง พาให้จิตใจไม่เป็นสมาธิภาวนา คือเป็นธรรมดาของจิตไม่สงบ ไม่มีภาวนาพุทโธอยู่ในดวงใจ เมื่อตาเห็นรูปในส่วนที่ดีก็หลงไปอีกอย่างหนึ่ง ในส่วนที่ไม่ดี ก็หลงไปอีกอย่างหนึ่ง วุ่นวายอย่างนั้นแหละ เหมือนกับว่า "คนบ้าหาบหิน"..

นอกจากตาเห็นรูป หูได้ฟังเสียง ก็คอยเก็บเข้ามา นอกจากเก็บเข้ามาแล้ว ตัวเองก็ชอบพูดชอบกล่าวแต่ในสิ่งที่ไม่นั้นแหละ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ธรรมะคำสั่งสอนมีตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ก็ไม่ท่องบ่นสาธยาย เอามาจดมาจำ แต่คำดุคำด่า ว่าร้ายป้ายสีให้แก่กัน วันนี้ชอบเอามาคิด เอามานึก แม้สิ่งนั้นจะล่วงเลยมานานแล้วก็ตาม จำไว้ ไม่ให้ลืม เขียนไว้ไม่ให้ลืม เป็นอย่างนี้มาตลอดกัป ตลอดกัลป์ ตลอดภพ ตลอดชาติ ไม่ว่ามนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลาย...มันเป็นอยู่อย่างนี้ ไม่รู้จักปล่อยวาง..


หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

โดย: ธรรมโอสถ

12
วันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555 เวลา 19:08:53 น.

บทความพิเศษ
 
เสฐียรพงษ์ วรรณปก


ท่านรูปนี้ เกิดในตระกูลพราหมณ์วัจฉโคตร นามเดิมว่า ปิลินทะ เรียกรวมกันว่า ปิลินทวัจฉะ เป็นชาวเมืองสาวัตถี

ท่านสนใจในเรื่องจิตเป็นพิเศษถึงกับออกบวชเป็นปริพาชกสำเร็จวิทยาการอันเรียกว่า "จูฬคันธาระ" นัยว่าทำให้มีฤทธิ์ และสามารถทายใจคนอื่นได้

ต่อมา วิชาจูฬคันธาระเสื่อม จึงคิดหาทางเรียนวิชามหาคันธาระ ตามที่ผู้รู้เล่าว่าผู้ที่เรียนสำเร็จแล้วจะไม่เสื่อม มีคนบอกว่าพระพุทธเจ้าทรงวิชาชั้นสูงนี้ จึงไปขอบวชเป็นศิษย์พระองค์

พระพุทธเจ้าตรัสบอกกรรมฐานที่เหมาะแก่จริตของท่านให้ไปบำเพ็ญ ท่านได้กรรมฐานจากพระพุทธเจ้า คิดว่าเป็นวิชามหาคันธาระ จึงตั้งอกตั้งใจปฏิบัติตาม ไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมปฏิสัมภิทา (ความแตกฉานในด้านต่างๆ)

คือแตกฉานในอรรถ แตกฉานในธรรม แตกฉานในนิรุตติ และแตกฉานในปฏิภาณ แตกฉานใน (อ่านในคำอธิบายใน พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของ ท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎกเอาก็แล้วกัน ถ้าอยากได้รายละเอียด)



ท่านมีอิทธิฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ แถมมีวาจาสิทธิ์อีกต่างหาก แต่ท่านมักมีคำพูดติดปาก ฟังไม่ค่อยไพเราะ คือคำว่า "ไอ้ถ่อย" (วสลิ) ไม่มีเจตนาพูดคำหยาบ แต่มันติดปากแก้ไม่หาย ภาษาพระเรียกว่า "เป็นวาสนา" ที่สั่งสมมายาวนานหลายภพหลายชาติ (คนละความหมายกับภาษาไทยที่ใช้กันอยู่นะครับ)

วันหนึ่ง มีพ่อค้าดีปลี ขนดีปลีผ่านหน้าท่านไป เพื่อเอาไปขายที่ตลาด ท่านปิลินทวัจฉะ จะถามว่า "บรรทุกอะไรมา ไอ้ถ่อย"

บุรุษเจ้าของดีปลีฉุนกึกเลย "พระอะไรวะ พูดจาไม่เข้ารูหูคน ไม่น่าเป็นพระเลย" จึงร้องตอบไปว่า "บรรทุกขี้หนูเว้ย ไอ้ถ่อย"

โต้ตอบสะใจแล้วก็ขับยานบรรทุกดีปลีต่อไป หารู้ไม่ว่าเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นกับตัวเอง พอไปถึงตลาดก็จอดยาน เตรียมขนดีปลีออกมาวางขาย ก็ตกตะลึงดุจถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ

ดีปลีได้กลายเป็นขี้หนูไปหมดทั้งเล่มเกวียน

บุรุษหนุ่มร้องเสียงหลง จนผู้คนพากันมารุมล้อม ถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเขาเล่าเรื่องราวให้ฟัง บุรุษคนหนึ่งในกลุ่มชนนั้นกล่าวว่า

"พระที่ท่านว่านั้น คงจะเป็นพระคุณเจ้าปิลินทวัจฉะ เป็นแน่นอน ท่านผู้มีอิทธิฤทธิ์ วาจาสิทธิ์ เพราะคุณล่วงเกินพระอรหันต์เข้า คุณจึงประสบชะตากรรมเช่นนี้ ทางที่ดีไปขอขมาท่านเสีย"

บุรุษหนุ่มเจ้าของดีปลี กลับไปตามหาพระปิลินทวัจฉะ พบท่านแล้วก็กราบขอขมาที่ได้ล่วงเกินท่านโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ทันทีที่ท่านกล่าวว่า "ข้ายกโทษให้ ไอ้ถ่อย ขอให้ขี้หนูกลายเป็นดีปลีเหมือนเดิม เท่านั้น ขี้หนูทั้งเล่มเกวียนก็กลับกลายเป็นดีปลีตามคำพูดของท่านจริงๆ

ี่
ที่มา
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1327052647&grpid=no&catid&subcatid

13
อภัยทานกับธรรมทานอย่างไหนอานิสงส์มากกว่ากัน

สวัสดีครับ กัลยาณธรรมทุกๆ ท่าน วันนี้ผมมีประเด็นที่ยังเป็นที่ถกเถียงและยังเป็นเรื่องที่หลายคนยังสงสัยคือ ระหว่างอภัยทานกับธรรมทานอย่างไหนได้บุญมากกว่ากัน เรื่องนี้ผมก็เคยสงสัยมานาน เพราะพระพุทธองค์ทรงสอนว่า สัพพะ ทานัง ธัมมะ ทานัง ชินาติ การให้ธรรมทานชนะการให้ทั้งปวง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่พระพุทธองค์จะสอนผิด แต่ก็มีอีกหลายท่านที่กล่าวว่า “อภัยทาน คือ ทานอันสูงสุด เป็นปรมัตถบารมี”
เรื่องนี้มีการถกเถียงกันมากในหมู่ชาวพุทธเรา หลายท่านมักหาทางออกง่ายๆ คือ สรุปว่าก็ดีทั้งสองอย่างนั่นแหล่ะ ทำทั้งสองไปเลย…อันนี้ก็เห็นด้วยครับ แต่ไม่ใช่คำตอบของคำถามนี้ ผมว่าเรามาหาคำตอบกันดีกว่าครับ
เรื่องอภัยทานกับธรรมทานนี้ แม้แต่อาจารย์ทางธรรมที่ผมนับถือ ก็ยังสอนไม่เหมือนกัน ท่านหนึ่งเป็นพระโสดาบัน ท่านสอนว่า ธรรมทานได้บุญมากกว่าอภัยทาน ส่วนอีกท่านหนึ่งเป็นพระอรหันต์ ท่านสอนว่า อภัยทาน ก็จัดเป็นธรรมทานประเภทหนึ่ง และเป็นทานสูงสุดในหมวดธรรมทาน ขออนุญาตนำ link มาให้ทุกท่านได้ลองพิจารณาก่อนครับ ว่าจะเชื่อหรือไม่อย่างไร…

อภัยทานคือทานอันสูงสุด-หลวงพ่อฤาษีฯ

ผมเคยไปอ่านบทความเรื่องนี้ในกระทู้ธรรมะตามเวบต่างๆ ก็มีผู้แสดงความคิดเห็นไปต่างๆ นานา หลายท่านสรุปว่า ธรรมทานได้บุญมากกว่า อภัยทาน เพราะยึดตามพุทธพจน์ที่ว่า “สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ “ คนที่กล่าวว่าอภัยทาน ได้บุญมากกว่าธรรมทาน ถือว่า ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งตัวผมเองไม่เห็นด้วยกับบทสรุปนี้ จึงตัดสินใจเขียนบทความนี้ขึ้น ทั้งๆ ที่จริงๆ ไม่อยากจะเขียนเรื่องที่เสี่ยงจะเป็นการโต้เถียงกับผู้ที่ไม่เห็นด้วย หรือดีไม่ดี เวบนี้อาจจะโดนด่า หาว่าสอนสิ่งที่ผิดๆ เป็นมิจฉาทิฏฐิก็เป็นได้ แต่ผมเองก็อดไม่ได้ที่จะแสดงบทสรุปที่ผมได้ศึกษามา เอาเป็นว่า ท่านผู้อ่านก็ลองพิจารณาดูเอาละกันนะครับ….

ที่มา
http://www.dhammatan.net/2011/08/ อภัยทานกับธรรมทาน/

14
มีเรื่องที่เคยกล่าวก่อนนี้คือ เรื่อง....

วิชาย่นระยะทางของท่านพระป่าอาจารย์ในดง
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23341.0



ย่นระยะทางทำได้จริง

โดย  ดร. มนัส โกมลฑา  (Ph.D. Integrated Sciences)
สาขาวิชามนุษยศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน

เรื่อง การย่นระยะทางนี้  พุทธศาสนิกชนในเมืองไทยคงได้รับรู้กันมาบ้างไม่มากก็น้อย

ในกรณีที่ว่านี้ ถ้าเป็นพุทธทั่วไปกับพุทธปฏิบัติธรรมก็จะมีความเชื่อว่า การย่นระยะทางพระอรหันต์  พระเกจิอาจารย์  หรือผู้ทรงวิทยาคุณสามารถทำได้จริงๆ   แต่กลุ่มที่เป็นพุทธวิชาการซึ่งเรียนมาก  เลยหลงเชื่อวิทยาการสมัยใหม่มากตามไปด้วย  ซึ่งส่งผลให้เลือกเชื่อพระไตรปิฎกในบางส่วนเท่านั้น

พุทธวิชาการหรือพวกที่บ้าปริยัติ จะเลือกเชื่อเฉพาะส่วนที่ยอมรับได้ของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอน

หลายๆ ส่วนในพระไตรปิฎก พูดได้ว่า ส่วนใหญ่ของพระไตรปิฎกเลย พุทธวิชาการเหล่านี้ไม่เชื่อว่าเป็นความจริง  ยกตัวอย่างที่จะเขียนต่อไปก็คือ เรื่องย่นระยะทางนี้  พุทธวิชาการไม่เชื่อว่าจะมีคนทำได้จริงๆ

แต่อย่างไรก็ดี ปัจจุบันนี้ ความรู้ที่ว่าฟิสิกส์ใหม่ โค่นทฤษฎี (theory) หรือกฎ (law) ของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนไปหมดแล้ว  เริ่มส่งผลในวงวิชาการของไทย

ในต่างประเทศเขารู้กันมานานแล้ว ว่า ทฤษฎี (theory) หรือกฎ (law) ของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไก/แยกส่วน/ลดทอนเป็นความรู้แคบๆ  ไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่เคยหลงเชื่อกัน  แต่ความรู้ที่ว่านี้ เริ่มมาส่งผลในเมืองไทย  คือ มาช้าหน่อย ก็ดีกว่าไม่มา

องค์ความรู้ของฟิสิกส์ใหม่ที่ยอมรับกันในปัจจุบัน มีลักษณะที่เหมือนกันกับองค์ความรู้ในศาสนาพุทธหลายอย่างหลายประการ  ที่สอดคล้องกับมากที่สุดก็คือ  ความจริงของฟิสิกส์ใหม่กับศาสนาพุทธขัดกับสามัญสำนึก (common sense) ของมนุษย์

เรื่องของการย่นระยะทางนี่ก็เช่นเดียวกัน  นักฟิสิกส์รุ่นใหม่เชื่อว่าทำได้จริง และสามารถพิสูจน์ได้ให้เห็นแบบจะจะ โดยทฤษฎีสัมพัทธภาพ (relative theory) ของไอน์สไตน์

ก่อนที่จะอธิบายถึงการย่นระยะทางแบบฟิสิกส์ใหม่ ต้องขออธิบายเรื่องความหมายของคำว่า “ย่นระยะทาง” เสียก่อน เพราะ คนจำนวนมากที่คิดว่า การย่นระยะทางเป็นไปไม่ได้เนื่องจากว่า เข้าใจความหมายของคำศัพท์แตกต่างกัน

คำว่าย่นระยะทางนี่ไม่ได้หมายถึง การทำให้หนทางหดสั้นลง หรือย่อโลกให้หดสั้นลง แต่หมายถึงว่า ใช้เวลาในการเดินทางน้อยลงกว่าเดิมที่เคยทำกันมา

คือ ย่นเวลา ไม่ใช่ย่นทาง

ตัวอย่างที่ 1

ในสมัยที่ผมเป็นเด็กๆ การจะเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปจังหวัดชัยนาทบ้านเกิดของผม จะต้องใช้ถนนพหลโยธิน ออกจากกรุงเทพฯ ก็ไปสระบุรี ลพบุรี โคกสำโรง ตากฟ้า ตาคลี ถึงจะไปชัยนาทได้  แต่เมื่อมีการตัดถนนสายเอเชียขึ้น ทำให้เป็นการย่นระยะทางได้มาก

จากกรุงเทพฯไปชัยนาทปัจจุบันใช้เวลาประมาณ 2 -3 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว ถ้าเป็นสมัยก่อนต้องใช้เวลาเป็นวันๆ  นี่ก็หมายถึงว่า การย่นระยะทางไม่ได้เป็นการทำให้ถนนพหลโยธินมันหดสั้นลง แบบย่นย่นโลกแบบนั้น  แต่มีการทำทางใหม่

การเดินทางด้วยถนนเส้นใหม่นั้น ใช้เวลาน้อยลงจากเดิม จึงเรียกว่าการย่นระยะทาง

ตัวอย่างที่ 2

เอาตัวอย่างทางน้ำบ้าง  ผมนี่เรียนปริญญาโทกับปริญญาเอกอยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงคุ้นกับเรื่องนี้เป็นอย่างดี

แม่น้ำเจ้าพระยาจากปากคลองบางกอกน้อยตรงข้างสถานีรถไฟบางกอกน้อย  ซึ่งตรงข้ามกับธรรมศาสตร์ ไปจนถึงปากคลองบางกอกใหญ่ข้างๆ วัดอรุณฯ นี่เมื่อก่อนเป็นพื้นดินนะครับ  ไม่ได้เป็นแม่น้ำเจ้าพระยาเหมือนปัจจุบัน

แม่น้ำเจ้าพระยาตัวจริงเสียงจริง เลี้ยวเข้าคลองบางกอกน้อยโค้งเป็นรูปเกือกม้าแล้วมาวกมาออกที่ปากคลอง บางกอกใหญ่ แถวๆ กรมอู่ทหารเรือ

ในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชแห่งกรุงศรีอยุธยา (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2077-2089) มีการขุดคลองลัดตรงนี้

พอมีการขุดคลองลัดให้น้ำไหลตรงๆ  จากคลองที่เล็กๆ แคบๆ จึงถูกน้ำกัดเซาะใหญ่ขึ้นมาเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาตัวจริงเสียงจริงในปัจจุบัน  ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยาเดิมก็กลายเป็นคลองบางกอกน้อยกับคลองบางกอกใหญ่ไป

การขุดคลองลัดนี่ก็ทำให้ย่นระยะทางได้มากอีกเช่นเดียวกัน

จะเห็นได้ว่า การย่นระยะทางที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ เป็นการใช้เวลาเดินทางในเวลาที่น้อยลงกว่าเดิม ไม่ได้หมายถึงว่า จะทำให้ผิวโลกย่นสั้นลง

ถ้าทำแบบนั้น บ้านช่องของคน ฯลฯ ตรงส่วนรอยย่นจะไปอยู่ที่ไหน คงจะถูกบีบอัดตายไปกันหมด


ที่มา
https://sites.google.com/site/manaskomoltha/withyasastr-kab-sasna/yn-raya-thang-thadi-cring

15
ธรรมะ / ธรรมะสร้างเสน่ห์
« เมื่อ: 30 ธ.ค. 2554, 05:54:23 »
ธรรมะสร้างเสน่ห์


คนเราเกิดมาทุกคนก็อยากมีรูปร่างหน้าตาสวยงาม หล่อเหลาเป็นที่ต้องตาต้องใจแก่ผู้พบเห็นทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ สถานเสริมความงาม และเครื่องสำอางค์ต่างๆจึงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่การมีหน้าตาดีอย่างเดียว ก็ใช่ว่าจะทำให้ผู้อื่นชื่นชอบเราได้ อีกทั้งรูปกายภายนอกก็เป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน ดังนั้น จึงมีผู้ค้นคิดวิธีการต่างๆนานาที่จะปรับปรุง แก้ไข และสร้างเสริมให้เราเป็นที่ชื่นชมและยอมรับของผู้อื่น ซึ่งสิ่งนี้จะเรียกว่า “ ความมีเสน่ห์ ” ก็ได้ “ เสน่ห์ ” ก็คือ ลักษณะที่ชวนให้รัก ให้ชอบ เชื่อว่าคนเราทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชาย หรือผู้อยู่ในวัยไหนๆ ต่างก็อยากให้ตนเป็นที่รักที่ชอบของคนอื่นทั้งนั้น

              “ การสร้างเสน่ห์ ” เป็นเรื่องของการประพฤติปฏิบัติที่จะทำให้คนนิยมชมชอบเรา ซึ่งต่างจากการ “ ทำเสน่ห์ ” อันเป็นเรื่องของไสยาศาสตร์ ที่อิงอยู่กับความเชื่อและเครื่องลางของขลัง ดังนั้น คนเราแม้จะไม่สวยไม่หล่อ ก็สามารถเป็น “ คนมีเสน่ห์ ” ได้ ส่วนวิธีการจะสร้างเสน่ห์ให้กับตัวเอง จะทำได้อย่างไร กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ขอนำเสนอ หลักธรรม บางประการที่ทุกคนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ เพื่อให้กลายเป็น “ คนมีเสน่ห์ น่ารัก ” เพิ่มขึ้นได้ ดังจะได้กล่าวต่อไป

              เมื่อพูดถึง “ หลักธรรม ” หรือ “ ธรรมะ ” คนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะวัยรุ่นจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องเชย ไกลตัว ใกล้วัด บางคนก็คิดว่าเป็นเรื่องของคนสูงอายุ ใกล้หมดไฟ ดูคร่ำครึ ไม่ทันโลก แต่โดยแท้จริง วิธีการสร้างเสน่ห์หรือผูกใจคนในหนังสือ How to หรือจิตวิทยาของต่างประเทศที่คนทั้งหลายคิดว่าเป็นเรื่องใหม่ ทันสมัย ถ้าอ่านจริงๆแล้ว ก็จะพบว่าไม่ได้ต่างจากหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีก่อนเลย จะไม่เหมือนกันก็เพียงการสื่อสารและภาษาที่ใช้เท่านั้น อีกทั้งหลักธรรมที่ว่าก็ยังมีอย่างหลากหลาย สามารถเลือกใช้กับบุคคลตามระดับสติปัญญา และสถานการณ์ต่างๆได้ด้วย แต่ในที่นี้ เราจะเลือกมาแต่ในส่วนที่จะช่วยเสริมสร้าง “ เสน่ห์ ” ให้เกิดขึ้นกับตัวเราเท่านั้น คือ

              ข้อแรก คนที่จะมีเสน่ห์ได้นั้น ท่านว่าต้องมี พรหมวิหารสี่ อันเป็นธรรมประจำใจของผู้ประเสริฐหรือผู้มีจิตใจดี ซึ่งประกอบด้วย เมตตา คือ ความรักและปรารถนาดีต่อผู้อื่น กรุณา คือ ความสงสาร อยากจะช่วยเหลือผู้อื่น เห็นใครเดือดร้อนก็อยากบำบัดทุกข์ยากให้แก่เขา มุทิตา คือความเบิกบานพลอยยินดีเมื่อเห็นคนอื่นได้ดีมีสุข พร้อมที่จะสนับสนุนส่งเสริมเขา ไม่อิจฉาริษยาเขา อุเบกขา คือ ความมีใจเป็นกลาง มองโลกตามความเป็นจริง ว่าใครทำดี ทำชั่วก็ได้รับผลกรรมตามนั้น พร้อมวางตนและปฏิบัติตามหลักการ เหตุผลและความเที่ยงธรรม หลักธรรมเรื่องนี้จะทำให้เราเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใสกับทุกคนอย่างจริงใจ และยังมีจิตใจดีพร้อมจะช่วยเหลือผู้อื่นอย่างจริงจัง ทำให้ใครก็อยากมาใกล้ มารู้จัก เพราะอยู่ใกล้แล้วรู้สึกร่มเย็น สบายใจ ดูอย่างท่านท้าวมหาพรหม ด้วยเมตตาของท่าน ใครขออะไรท่านก็ให้ ทำให้คนจากทั่วสารทิศไปกราบไปไหว้ท่านมิได้ขาด แต่คนอย่างเราๆคงไม่ต้องถึงกับใครมาขออะไรก็ให้ เพราะเช่นนั้นเราคงเดือดร้อนเอง เพียงแค่มีความรัก ความเมตตากับคนรอบข้าง แค่นี้ก็เป็นเสน่ห์เหลือเฟือแล้ว


ที่มา
http://www.m-culture.go.th/detail_page.php?sub_id=1642

16
คนละเรื่อง

         มีชายหนุ่มจากต่างจังหวัดไกลสามสี่คนเข้าไปหาหลวงปู่  ขณะที่ท่านพักผ่อนอยู่ที่มุขศาลาการเปรียญ  ดูอากัปกิริยาของเขาแล้วคงคุ้นเคยกับพระนักเลงองค์ใดองค์หนึ่งมาก่อนแล้ว  สังเกตุจากการนั่งการพูด  เขานั่งตามสบาย  พูดตามถนัด  ยิ่งกว่านั้นเขาคงเข้าใจว่าหลวงปู่นี้คงสนใจกับเครื่องรางของขลังอย่างดี  เขาพูดถึงชื่อเกจิอาจารย์อื่นๆ  ว่าให้ของดีของวิเศษแก่ตนหลายอย่าง  ในที่สุดก็งัดเอาของมาอวดกันเองต่อหน้าหลวงปู่  คนหนึ่งมีหมูเขี้ยวตัน  คนหนึ่งมีเขี้ยวเสือ  อีกคนมีนอแรด  ต่างคนต่างอวดอ้างว่าของตนดีวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้  มีคนหนึ่งเอ่ยปากว่า  หลวงปู่ฮะ  อย่างไหนแน่ดีวิเศษกว่ากันฮะ ฯ

        หลวงปู่ก็อารมณ์รื่นเริงเป็นพิเศษยิ้มๆ แล้วว่า

        "ไม่มีดี  ไม่มีวิเศษอะไรหรอก  เป็นของสัตว์เดียรัจฉานเหมือนกัน."


ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule.htm

17
พุทโธเป็นอย่างไร

         หลวงปู่รับนิมนต์ไปโปรดญาติโยมที่กรุงเทพฯ เมื่อ ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๑  ในช่วงสนทนาธรรม  ญาติโยมสงสัยว่าพุทโธ เป็นอย่างไร  หลวงปู่ได้เมตตาตอบว่า

         เวลาภาวนาอย่าส่งจิตออกนอก  ความรู้อะไรทั้งหลายทั้งปวงอย่าไปยึด  ความรู้ที่เราเรียนกับตำหรับตำรา   หรือจากครูบาอาจารย์  อย่าเอามายุ่งเลย  ให้ตัดอารมณ์ออกให้หมด แล้วก็เวลาภาวนาไปให้มันรู้  รู้จากจิตของเรานั่นแหละ  จิตของเราสงบเราจะรู้เอง  ต้องภาวนาให้มากๆเข้า  เวลามันจะเป็น  จะเป็นของมันเอง  ความรู้อะไรๆให้มันออกมาจากจิตของเรา

         ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนั่นแหละเป็นความรู้ที่ลึกซึ้งถึงที่สุด ให้มันรู้ออกมาจากจิตนั่นแหละมันดี คือจิตมันสงบ

         ทำจิตให้เกิดอารมณ์อันเดียว  อย่าส่งจิตออกนอก  ให้จิตอยู่ในจิต  แล้วให้จิตภาวนาเอาเอง  ให้จิตเป็นผู้บริกรรมพุทโธ  พุทโธอยู่นั่นแหละ  แล้วพุทโธ  เราจะได้รู้จักว่า  พุทโธ  นั้นเป็นอย่างไร  แล้วรู้เอง...เท่านั้นแหละ  ไม่มีอะไรมากมาย.

ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule.htm

18
ต่อจาก
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=19021.msg163400#msg163400
โดย นายธรรมะ เมื่อ ๑๘ ก.ย. ๕๓

มีไฟล์เสียงให้ฟัง

จาก http://www.fungdham.com/book/dule-gift.html

ข้อคิดข้อธรรมใน "หลวงปู่ฝากไว้"ของพระอริยเจ้า หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ที่บันทึกถ่ายทอดมาโดยพระโพธินันทะมุนี (สมศักดิ์ ปฺณฑิโต)นั้นเป็นข้อคิดข้อธรรม ตลอดจนปริศนาธรรมที่สั้นกระชับแต่กินความหมายอันลึกซึ้ง ซึ่งถ้ากระทำการโยนิโสมนสิการด้วยความเพียรแล้ว จะทำให้เข้าใจในสภาวธรรม ตลอดจนแนวการปฏิบัติได้เป็นอย่างดี

ปรารภธรรมะเรื่องอริยสัจสี่

        พระเถระฝ่ายกัมมัฏฐานเข้าถวายสักการะหลวงปู่ในวันเข้าพรรษาปี ๒๔๙๙  หลังฟังโอวาทและข้อธรรมะอันลึกซึ้งข้ออื่นๆ  แล้วหลวงปู่สรุปใจความอริยสัจสี่ให้ฟังว่า

จิตที่ส่งออกนอก    เป็นสมุทัย

ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก   เป็นทุกข์

จิตเห็นจิต    เป็นมรรค

ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต   เป็นนิโรธ

สิ่งที่อยู่เหนือคำพูด

         อุบาสกผู้คงแก่เรียนผู้หนึ่ง  สนทนากับหลวงปู่ว่า  "กระผมเชื่อว่า  แม้ในปัจจุบันพระผู้ปฏิบัติถึงขั้นได้บรรลุมรรคผลนิพพานก็คงมีอยู่ไม่น้อย  เหตุใดท่านเหล่านั้นจึงไม่แสดงตนให้ปรากฎ  เพื่อให้ผู้สนใจปฏิบัติทราบว่าท่านได้บรรลุถึงคุณธรรมนั้นแล้ว  เขาจะได้มีกำลังใจและความหวัง  เพื่อเป็นพลังเร่งความเพียรในทางปฏิบัติให้เต็มที่" ฯ

         หลวงปู่กล่าวว่า

         "ผู้ที่เขาตรัสรู้แล้ว  เขาไม่พูดว่าเขารู้แล้วซึ่งอะไร  เพราะสิ่งนั้นมันอยู่เหนือคำพูดทั้งหมด"[/size]

ขอบคุณที่มา
http://nkgen.com/pudule.htm

19
ต่อจากข้อธรรมะ.....อเหตุกจิต ๓......หลวงปู่ดูลย์
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=25775

แนวทางพิจารณา และ แนวทางปฏิบัติ โดยอาศัยธรรม "อเหตุกจิต"

แนวการพิจารณา และแนวทางปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
โดยอาศัยการพิจารณาในธรรม "อเหตุกจิต" ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล

กิริยาจิตที่แฝงอยู่ตาม อายตนะ หรือทวารทั้ง ๕ และ มโนทวาร มีดังนี้

                 ตาไปกระทบกับรูป เกิด จักขุวิญญาณ คือการเห็น จะห้ามไม่ให้ ตาเห็นรูป ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารต่างๆนาๆ(เช่นความคิด)   (ขอให้พิจารณาดูสภาวะธรรม หรือสภาวะแห่งธรรมชาตินี้ที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วเป็นจริงดังนี้เป็นธรรมดาหรือไม่)  แล้วไม่คิดปรุง

                 หูไปกระทบเสียง เกิด โสตวิญญาณ คือการได้ยิน จะห้ามไม่ให้ หูได้ยินเสียง ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารต่างๆนาๆ  แล้วไม่คิดปรุง

                 จมูกไปกระทบกับกลิ่น  เกิด ฆานวิญญาณ คือการได้กลิ่น จะห้ามไม่ให้ จมูกรับกลิ่น ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารต่างๆนาๆ  แล้วไม่คิดปรุง

                 ลิ้นไปกระทบกับรส เกิด ชิวหาวิญญาณ คือการได้รส จะห้ามไม่ให้ ลิ้นรับรู้รส ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารต่างๆนาๆ  แล้วไม่คิดปรุง

                 กายไปกระทบกับโผฏฐัพพะ เกิด กายวิญญาณ คือการสัมผัส จะห้ามไม่ให้ กายรับสัมผัส ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารต่างๆนาๆ  แล้วไม่คิดปรุง

                 ใจไปกระทบกับความคิด เกิด มโนวิญญาณ คือการรับรู้ความคิดนั้น  จะห้ามไม่ให้ ใจรับรู้ความคิด ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารต่างๆนาๆ  แล้วไม่คิดปรุง
 
วิญญาณทั้ง๖  นี้ เป็นกิริยาที่แฝงอยู่ในกาย และใจ ตามทวารนั้นๆ  ทำหน้าที่รับรู้สิ่งต่างๆ ที่มากระทบ เป็นสภาวะแห่งธรรมชาติของมันเป็นอยู่เช่นนั้น  ก็แต่ว่า เมื่อจิตอาศัยทวารทั้ง ๖ เพื่อเชื่อมต่อรับรู้เหตุการณ์ภายนอกและภายใน ที่เข้ามากระทบ แล้วส่งไปยังสำนักงานจิตกลางเพื่อรับรู้ เราจะห้ามมิให้เกิดมีเป็นเช่นนั้น ย่อมกระทำไม่ได้

ที่มา
http://nkgen.com/522.htm

20
อเหตุกจิต ๓


จากหนังสือ
"อตุโล ไม่มีใดเทียม"
บันทึกโดย พระโพธินันทะมุนี (สมศักดิ์ ปฺณฑิโต)
รวบรวมและเรียบเรียงโดย รศ. ดร.ปฐม นิคมานนท์
                                     

         ๑. ปัญจทวาราวัชชนจิต คือ กิริยาจิตที่แฝงอยู่ตาม อายตนะ หรือทวารทั้ง ๕ มีดังนี้
                 ตา ไปกระทบกับรูป เกิด จักขุวิญญาณ คือการเห็น จะห้ามไม่ให้ตาเห็นรูป ไม่ได้
                 หู ไปกระทบเสียง เกิด โสตวิญญาณ คือการได้ยิน จะห้ามไม่ให้หูได้ยินเสียง ไม่ได้
                 จมูก ไปกระทบกับกลิ่น เกิด ฆานวิญญาณ คือการได้กลิ่น จะห้ามไม่ให้จมูกรับกลิ่น ไม่ได้
                 ลิ้น ไปกระทบกับรส เกิด ชิวหาวิญญาณ คือการได้รส จะห้ามไม่ให้ลิ้นรับรู้รส ไม่ได้
                 กาย ไปกระทบกับโผฏฐัพพะ เกิด กายวิญญาณ คือการสัมผัส จะห้ามไม่ให้ กายรับสัมผัส ไม่ได้
        วิญญาณทั้ง ๕ อย่างนี้ เป็นกิริยาที่แฝงอยู่ในกายตามทวาร ทำหน้าที่รับรู้สิ่งต่างๆ ที่มากระทบ เป็นสภาวะแห่งธรรมชาติของมันเป็นอยู่เช่นนั้น  ก็แต่ว่า เมื่อจิตอาศัยทวารทั้ง ๕ เพื่อเชื่อมต่อรับรู้เหตุการณ์ภายนอก ที่เข้ามากระทบ แล้วส่งไปยังสำนักงานจิตกลางเพื่อรับรู้ เราจะห้ามมิให้เกิดมีเป็นเช่นนั้น ย่อมกระทำไม่ได้
        การป้องกันทุกข์ที่จะเกิดจากทวารทั้ง ๕ นั้น เราจะต้องสำรวมอินทรีย์ทั้ง ๕ ไม่เพลิดเพลินในอายตนะเหล่านั้น หากจำเป็นต้องอาศัยอายตนะทั้ง ๕ นั้น ประกอบการงานทางกาย ก็ควรจะกำหนดจิตให้ตั้งอยู่ในจิต เช่น เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็นไม่คิดปรุง, ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่คิดปรุง   ดังนี้ เป็นต้น (ไม่คิดปรุงหมายความว่า ไม่ให้จิตเอนเอียงไปในความเห็นดีชั่ว) [ถืออุเบกขาไม่คิดนึกปรุงแต่งเอนเอียงเข้าไปแทรกแซงนั่นเอง - webmaster]


ที่มา
http://nkgen.com/521.htm

21
ประสบการณ์วิญญาณ / แท็กซี่ผีสิง
« เมื่อ: 24 ธ.ค. 2554, 10:48:23 »
แท็กซี่ผีสิง (1/2)


จนบัดนี้  ผมยังไม่เคยลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผมในครั้งนั้นเลย แม้มันจะผ่านมานานหลายปี แต่เหตุการณ์เหล่านั้น  ก็ยังตามมาหลอกหลอนผมมาจนกระทั่งทุกวันนี้  ผมยังจำได้ในปีที่ถือว่า ชีวิตของผมตกต่ำสุดขีด  ในช่วงที่ประเทศไทยประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจอย่างหนัก  ต้องกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ  หลายบริษัทประสบภาวะขาดทุน จนต้องปิดกิจการลง  สถาบันการเงินที่ผมทำงานอยู่ ก็พลอยโดนหางเลขไปด้วย  ผมและเพื่อนๆอีกหลายร้อยคน  ต้องกลายเป็นคนตกงาน โดยที่ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเลย


 เพื่อนๆของผมบางคนทำใจไม่ได้กับชีวิตที่พลิกผันอย่างหนักขนาดนี้  และที่แย่ไปกว่านั้น  พวกเขายังมีครอบครัวที่ต้องดูแล ส่งเสียเงินทอง  พอไม่มีรายได้ขึ้นมา  ก็เลยไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร   ซึ่งผมเองก็ยังต้องรับผิดชอบชีวิตเมียและลูกอีกสองคน  จึงไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้มากมาย


ผมยังโชคดีที่มีเงินเก็บอยู่บ้าง  แต่มันคงช่วยประทังชีวิตครอบครัวของผมไปได้อีกไม่นาน  เพราะลูกสองคนของผมก็ยังต้องเรียนหนังสือ  ไหนจะค่าเทอม  ค่าหนังสือหนังหา  อุปกรณ์การเรียนอีกตั้งมากมาย  ยังไม่รวมค่าเช่าบ้าน  ค่าน้ำ ค่าไฟ ที่ผมเป็นผู้รับภาระอยู่เพียงคนเดียว  เนื่องจากภรรยาของผมสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง  ผมจึงไม่อยากให้เธอออกไปทำงานหนัก   แค่คิดขึ้นมาผมก็เริ่มปวดหัวแล้วหล่ะ  เพราะไม่รู้ว่าถ้าเงินเก็บหมด  ผมจะหาเงินที่ไหนมาเป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้านต่อไป  แถมตอนนั้นผมก็ยังหางานทำไม่ได้  แม้จะออกเดินสมัครงานเกือบทุกวัน  แต่ก็ไม่มีบริษัทไหนยอมรับผมเข้าทำงานเลย


จนวันหนึ่ง   ผมเดินผ่านหน้าอู่ซ่อมรถแท็กซี่ ก็เลยเกิดความคิดขึ้นมาว่า  ผมน่าจะลองมาขับรถแท็กซี่ดู  เผื่อจะหาเงินเข้าบ้านได้บ้าง  เพราะความรู้อย่างอื่นผมก็ไม่มี นอกจากวิชาการบัญชีที่ร่ำเรียนมา  นอกนั้นที่ผมพอจะทำได้ก็คือการขับรถนี่แหละ  เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมก็เลยไปปรึกษาภรรยา  ซึ่งผมรู้ว่าเธอจะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน  เพราะเราคงไม่มีทางเลือกอย่างอื่น


หลังจากบอกกล่าวภรรยาเรียบร้อยแล้ว  ผมจึงออกไปหาเช่ารถแท็กซี่มาขับ  พอดีมีคนข้างบ้านเขาเคยขับแท็กซี่มาก่อน  เขาจึงแนะนำให้ผมไปเช่ารถที่อู่เสี่ยโชค  โดยให้บอกว่าเขาแนะนำมา  ผมจึงทำตามที่เขาบอก  ซึ่งพอเสี่ยโชค รู้ว่าใครแนะนำผมมา  แกก็เลยเริ่มไว้ใจผมมากขึ้นและตกลงให้ผมเช่ารถมาขับ  โดยผมต้องเสียเงินประกันให้แกจำนวนหนึ่ง


ช่วงแรกผมต้องนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่หลังพวงมาลัยทั้งวัน  กว่าจะได้เงินพอค่าเช่ารถและค่าน้ำมัน  ส่วนที่เหลือก็เป็นรายได้ ซึ่งก็ไม่มากเท่าไหร่  พอส่งรถตามกะแล้ว ผมก็กลับบ้านนอน  เป็นอย่างนี้ประจำทุกวัน ต่อมาผมเห็นว่าขับรถเพียงกะเดียว  รายได้ยังไม่เพียงพอ  จึงเพิ่มเป็นสองกะ ทั้งกลางวันและกลางคืน
เพียงแค่คืนแรก  ผมก็ถูกต้อนรับน้องใหม่ซะแล้ว  หรือเรียกง่ายๆ ก็เจอดีงัยล่ะ  ขณะที่ผมกำลังขับรถตระเวนหาผู้โดยสารอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกันดังแว่วมาจากเบาะหลัง  ผมเลยหันไปมอง  ก็ไม่เห็นใคร เจอแต่เบาะว่างเปล่า  ถ้าเห็นก็คงจะแปลกหล่ะ  ก็ผมยังไม่ได้รับผู้โดยสารขึ้นมาบนรถเลยแม้แต่คนเดียว  แล้วจะไปเห็นใครได้ยังงัยล่ะ

สักพักรถก็มาติดไฟแดงตรงสี่แยกอสมท.  เสียงนั้นก็เงียบไป แต่ทันทีที่ผมเร่งเครื่องเตรียมออกรถ เมื่อเห็นสัญญาณไฟเขียว   เสียงทะเลาะกันก็ดังแข่งกับ   เสียงเครื่องยนต์ขึ้นมาอีก     คราวนี้ผมชักใจไม่ดีแล้วหล่ะ  จึงค่อยๆชำเลืองมองทางกระจกส่องหลัง  ก็ยังไม่เห็นใครอยู่ดี  จะว่าเป็นเสียงจากวิทยุ ผมก็ไม่ได้เปิดนี่นา  แล้วเสียงนั้นมันดังมาจากไหนกันล่ะ


ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ เวลาผ่านมาจนจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว  ผมยังไม่ได้ผู้โดยสารเลยซักคน ผมก็พยายามสอดส่ายสายตามองตลอดสองข้างทางแล้วนะ พอมองเห็นคนทำท่าเหมือนจะยืนรอรถแท็กซี่อยู่  ผมก็รีบโฉบเข้าไปใกล้ทันที แต่พอไปถึง ผู้โดยสารก็ไม่ยอมโบกมือเรียก  ตอนแรกผมก็นึกว่า เอ!! สัญญาณไฟว่างหน้ารถเราเสียรึเปล่า  แต่ลงไปดูแล้ว  มันก็ยังทำงานได้ปกติดีนี่นา

ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=4105

22
วิญญาณในทะเลสาบ (1/2)



   ทุกๆกลางเดือนกรกฎาคม  ซึ่งเป็นเดือนที่มีฝนตกหนักมากที่สุดในประเทศอินเดีย  ณ เมือง  เคราล่า  รัฐหนึ่งทางตอนใต้สุดของอินเดียตะวันตก ชาวเมืองจะต่างพากันหยุดงาน เพื่อออกมาฉลองเทศกาลปุราม  หรือพิธีเฉลิมฉลองก่อนเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลินั่นเอง แต่เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ชาวเมืองเคราล่าในหมู่บ้านคอทตายัม  กลับต้องประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา  ท่ามกลางเหตุการณ์สยองขวัญสั่นประสาท  ที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะได้เจอ

 โดยปกติแล้ว  ทุกๆเดือนกรกฎาคม  ชาวเมืองเคราล่าในแต่ละหมู่บ้าน  จะเตรียมเรือของพวกเขาเพื่อนำไปแข่งขันกันในพิธีฉลองเทศกาลปุราม  ซึ่งในวันเทศกาลนั้น   ชาวบ้านในหมู่บ้านคอทตายัมทั้งหญิงและชายต่างมุ่งหน้ามายังทะเลสาบเวมนาบาด  เพื่อเข้าร่วมพิธีอันศักดิ์สิทธิ์  พร้อมกับนำหม้อดินเปล่าๆติดตัวมาด้วย
เนื่องจากพวกเขาหวังว่าสายฝนจะโปรยปรายลงมา สร้างความชุ่มฉ่ำและนำพาโชคลาภมาให้แก่พวกเขา ซึ่งก่อนที่จะมีการแข่งขันพายเรือ  จะต้องมีพิธีสังเวยเรือโดยใช้ไก่เป็นเครื่องบูชา  จากนั้นชาวบ้านที่เป็นฝีพายก็จะลงไปนั่งประจำที่  ทุกคนต่างนุ่งโจงกระเบนและโพกหัวกันด้วยผ้าสีขาว  โดยมีนายเรือกางร่มสีแดงยืนคอยสั่งการอยู่กลางลำ

ในขณะที่ชาวเมืองต่างพากันวุ่นวาย  กับพิธีกรรมที่จะเริ่มขึ้นตรงหน้าในไม่ช้า ดูเหมือนว่าไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็น  บุรุษลึกลับคนหนึ่ง  ซึ่งเข้าไปร่วมอยู่ในขบวนฝีพายบนเรือลำหนึ่งด้วย  นั่นคงเป็นเพราะการแต่งกายของชายคนนั้น  ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นเลยแม้แต่น้อย  จึงทำให้ไม่มีใครรู้สึกผิดปกติ

แต่ในขณะที่เรือลำนั้นกำลังจะแล่นออกจากฝั่ง จู่ๆ  ก็เกิดคลื่นขนาดยักษ์พัดเข้ามากระแทกเข้ากับเรืออย่างจัง ส่งผลให้เรือลำใหญ่ถึงกับเอียงวูบ และพาร่างของฝีพายหลายสิบนาย จมหายลงไปในทะเลสาบทันที  ท่ามกลางความตกตะลึงของชาวบ้านที่ยืนมุงดูอยู่ริมฝั่ง

ไม่กี่นาทีต่อมา  ทั่วทั้งท้องทะเลสาบก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มกว่า 30 คน  โผล่พรวดขึ้นมาบนผิวน้ำ  พร้อมกับตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ  จากนั้นไม่นาน นักประดาน้ำกว่า 10 นายก็มาพร้อมกันที่ชายฝั่ง  และโดดลงไปช่วยเหลือพวกเขาทันที ในขณะที่ชาวบ้านที่อยู่บนฝั่งก็ต่างหาอุปกรณ์เท่าที่พอจะหาได้  โยนลงไปให้พวกเขาเหล่านั้นเกาะพยุงตัวเองเอาไว้

ทันทีที่ฝีพายกลุ่มแรกขึ้นมาจากน้ำได้ พวกเขาก็ละล่ำละลักบอกกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่บนฝั่งว่า ในทะเลสาบนั้นจะต้องมีสิ่งผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน เพราะขณะที่พวกเขาลอยคออยู่ในน้ำนั้น ต่างรู้สึกเหมือนกับว่า  มีมือของใครคนหนึ่งมาดึงขาของพวกเขาเอาไว้  ทั้งที่ทุกคนในนั้นต่างว่ายน้ำเป็น  แต่มือลึกลับดังกล่าวกลับมีแรงมาก  จนทำให้พวกเขาไม่สามารถพยุงตัวเองเอาไว้ได้   ยังดีที่ความช่วยเหลือมาทันท่วงทีไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจจะต้องจบชีวิตอยู่ใต้ท้องทะเลสาบแห่งนี้อย่างแน่นอน

หลังจากที่นักประดาน้ำช่วยเหลือเหล่าฝีพายขึ้นมาจากทะเลสาบได้หมด  โดยที่ไม่มีใครเป็นอะไร  เพียงแต่บางคนอาจจะได้รับบาดเจ็บ  ขณะที่แย่งกันว่ายเข้าฝั่งบ้างเล็กน้อย  แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่ไม่มีใครเสียชีวิต 
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ สร้างความตกตะลึงให้กับผู้คนที่อยู่ในพิธีเป็นอย่างมาก เพราะโดยปกติแล้ว ในระหว่างประกอบพิธีฉลองเทศกาลปุราม ที่จัดขึ้นเป็นประจำมานานหลายปี  น้ำในทะเลสาบจะสงบเงียบปราศจากคลื่นลม ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดลบันดาลให้เป็นเช่นนั้น  แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้   ทำให้พวกเขาต่างพากันสงสัยว่า  มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=4084

23
กฎแห่งกรรม เรื่อง ตัดชีวิต (1/2)

ฉันชื่อปอ เป็นนักศึกษาชั้นปีสี่ของมหาวิทยาลัยรัฐบาลแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ   ฉันไม่ขอบอกนะคะว่าเป็นมหาวิทยาลัยอะไร  เพราะอาจทำให้ใครบางคนไม่กล้าเอนทรานซ์เข้าไปเรียน ... ฉันเองเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเอง จะต้องเจอเรื่องลี้ลับเหล่านี้ แต่แล้ว ฉันก็ต้องมาเจอจนได้ ... บางคนบอกว่าฉันเป็นคนมีบุญ  ฉันเองพยายามคิดว่าก็อาจจะจริง เพราะคนทั่วไปคงจะไม่เจอกันง่ายๆ  และอีกอย่าง ใครคนนั้นที่มาบอกฉัน เขาก็มีเจตนาดี และต้องการให้ฉันนำเรื่องของเขาไปเล่าต่อ เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจ ไม่ให้คนที่รับฟังทำบาปทำกรรมกันอีก


เมื่อช่วงภาคเรียนซัมเมอร์ของปี 2545 ที่ผ่านมานี้ ฉันและเพื่อนอีกหลายคนได้ลงเรียนวิชาบังคับซึ่งวันๆ หนึ่ง ก็เรียนเพียงแค่ 2 ตัวเท่านั้น และเวลาที่เหลือ พวกเราก็จะได้ไปเที่ยวกัน “เฮ้ย ปอ  พิมพ์  สุ ไปเที่ยวกันไหม ?”  เสียงตะโกนดังมาจากข้างล่างหอพัก  ทำให้ฉันและเพื่อนอีกสองคนโผล่หน้าไปดูทางระเบียง“ไปไหนเหรอ ?” สุตะโกนถาม เมื่อเห็น โจ กับ แบ้งค์  เพื่อนร่วมรุ่น กำลังยืนข้างมอเตอร์ไซค์ ถือเบ็ดตกปลา และเงยหน้ามายังระเบียงห้องของพวกเรา “ไปตกปลาน่ะสิ ไม่เห็นเหรอ


ถือเบ็ดจะให้ไปซักผ้าหรือไง” แบ้งค์ตอบ “ไม่ไปหรอก ถ้าไปตกปลาน่ะ  พวกฉันไม่ชอบทำบาปย่ะ” ฉันตะโกนออกไป พร้อมกับเดินเข้าห้อง ฉันเองรู้สึกเคืองๆ พวกมันเล็กน้อย เพราะเคยเตือนไปหลายครั้งแล้ว ว่ามันเป็นบาปกรรม แต่พวกนั้นก็ไม่เคยเชื่อกันเลย ... ฉันเดินกลับเข้ามาได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงสตาร์ทมอเตอร์ไซค์และบึ่งออกไป ซึ่งคาดว่า คงจะเป็นโจกับแบงค์ที่ออกไปตกปลากันนั่นเอง ... ซึ่งสถานที่ประจำ ก็คงจะเป็นอ่างเกษตรแน่ๆ เพราะเคยได้ยินโจบอกว่าถ้าไปทางด้านหลัง เป็นป่ารกๆหน่อย ก็จะไม่มีใครเห็นและไม่มีใครมาเอาผิดทั้งคู่ได้แล้ว ...


เย็นวันนั้น ระหว่างที่ฉันและเพื่อนกำลังจะออกไปกินข้าว ฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่า น่าจะชวนพวกโจกับแบงค์ไปด้วย .... ฉันและเพื่อนเลยเดินไปเคาะประตูห้องของ 2 คนนั้น  เพราะคิดว่าน่าจะกลับกันมาแล้ว แต่เคาะอยู่สักพัก ก็ไม่มีเสียงตอบอะไร พวกเราก็เลยคิดกันว่า ทั้งคู่คงจะออกไปหาอะไรกินกันแล้วแน่ๆ  จึงออกไปข้างนอก ... หลังจากนั้น เวลาประมาณ 5 ทุ่ม ฉันก็กลับเข้ามาในห้อง ส่วนสุกับพิมพ์ขอแยกตัวเข้าไปในมหาวิทยาลัย ฉันเปิดทีวีและนั่งดูรายการไปได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู  (SFX: ก๊อกๆๆ) ฉันจึงรีบเดินไปเปิดประตู... แล้วก็พบว่า คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าก็คือ แบงค์นั่นเอง ...แบ้งค์มายืนอยู่หน้าห้องด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อย ตาเหม่อลอย  ที่มือมีปลาที่ถูกขอเกี่ยวไว้ 2-3 ตัว แล้วแบงค์ก็ถามฉันว่า  “อยากกินปลาไหม เราเอาปลามาฝากเยอะเลย” ฉันรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย


ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=3981

24
กฎแห่งกรรม / เวรกรรมตามลมปาก
« เมื่อ: 24 ธ.ค. 2554, 09:54:51 »
เวรกรรมตามลมปาก (1/2)


เรื่องที่ฉันจะเล่าให้คุณได้ฟังนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแพง ลูกสาวคนเดียวของฉัน  ฉันเองก็ไม่รู้ว่า ชาติที่แล้ว ตัวเองทำบาปทำกรรมอะไรไว้ ในชาตินี้ ฉันจึงได้มีลูกสาวที่ดื้อ ปากเก่งและเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างไม่น่าเชื่อ
แพง : แม่ แม่เอาเสื้อหนูไปไว้ไหนน่ะ เสื้อสีฟ้าที่หนูพึ่งซื้อมา แม่เอาไปไว้ไหน บอกมานะ!!!! โอ๊ย ยาย ยายไปห่างๆ ได้ไหม หนูบอกแล้ว ว่าตัวยายน่ะเหม็นมาก เหม็นจนอยากจะอ้วกเลยล่ะ ออกไปห่างๆ ไป ...


 นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำในครอบครัวของฉัน บ้านของเราอาศัยอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 คน มี ฉัน สามี ลูก และแม่ของฉัน ... สามีของฉันทำงานเป็นข้าราชการ อยู่ที่กระทรวงแห่งหนึ่ง เงินเดือนที่ได้ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ก็นับว่ายังดี ที่พวกเราก็ไม่ได้ถึงกับขาดแคลน .... และด้วยความที่ฉันกับสามี มีลูกสาวเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นตั้งแต่เด็กๆ มา ไม่ว่าแกจะอยากได้อะไร ฉันกับสามีก็จะซื้อให้ หามาให้ ด้วยหวังว่าลูกจะได้รู้สึกถึงความรักและความห่วงใยที่เรามีต่อแก ... แต่ดูเหมือนว่า สิ่งที่ฉันเคยหวัง มันกลับไม่เคยเป็นอย่างที่หวัง


แพง : แม่...พรุ่งนี้หนูจะไปทัศนศึกษากับเพื่อน แต่หนูไม่มีเงินติดตัวเลย แม่เอาเงินให้หนู 500 ได้ไหม
แม่ : เอาไปทำไมตั้ง 500 ล่ะลูก หนูจะใช้อะไรเยอะขนาดนั้น
แพง : โอ๊ย 500 เนี่ยเหรอเยอะ ซื้อของชิ้นเดียวก็หมดแล้ว  ... แม่เอามาเหอะ อย่าพูดมากน่ะ หนู
ไม่อยากจะทะเลาะด้วย ... อ้อ แล้วพรุ่งนี้เย็นๆ เพื่อนหนูจะมากินข้าวด้วย อย่า
ลืมทำกับข้าวเผื่อนะคะ  แล้วก็บอกยายด้วยว่า ไม่ต้องมากินข้าวกับหนู เพราะยายกินข้าวหก
เลอะเทอะ หนูอายคนอื่นเขา ..


 นี่คือคำพูดที่ลูกใช้พูดกับฉัน  ... และเป็นคำพูดที่ลูกพูดถึงยายแท้ๆ ของแกเอง ... ฉันเองเคยห้ามปรามลูกด้วยการขู่ว่า ถ้าแกยังไม่เลิกพูดอย่างนี้ ชาติหน้า แกอาจจะมีปากเท่ารูเข็ม ...  แต่ผลที่ได้ตอบกลับมาก็คือ
แพง : ชาติหน้ามีจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ แล้วถ้าหนูจะมีปากเท่ารูเข็มจริงๆ หนูไปฆ่าตัวตายดีกว่า ... หนูไม่อยู่ให้โง่หรอก
 วันเวลาผ่านไป เหตุการณ์ต่างๆ ก็ดูเหมือนจะหนักข้อขึ้นทุกวัน ลูกสาวของฉันใช้คำพูดแสบๆ ทิ่มแทงคนในครอบครัวกันเองอยู่เสมอ ... ทำให้ฉันและสามีรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก ฉันกับสามีได้มานั่งปรึกษากัน ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพยายามหาทางออก แต่ยิ่งคิดอย่างไร ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีทางออกทางไหนเลย แม่ของฉันเองก็ได้แต่เตือนว่า


ยาย : เอ็งต้องระวังนังแพงไว้ให้ดีนะนังหนู  ปากมันน่ะ ชอบพูดจาดูถูกคนอื่นเขา ไอ้ลำพังมันดูถูกข้า ข้าก็ไม่โกรธ เพราะยังไงมันก็หลาน แต่ไอ้การที่มันไปไล่ปากเก่งกับคนอื่นเขาน่ะ ระวังมันจะเป็นเรื่องเข้าสักวัน


 ฉันเองก็รู้สึกหนักใจกับเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่คิดว่า เหตุการณ์ที่แม่บอกไว้ มันจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด
 วันนั้น แพงและเพื่อนได้นัดกันออกไปเที่ยวข้างนอก แต่ก่อนที่แกจะออกไป แกก็โวยวายขึ้นมา ซึ่งนั่นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันเหลืออดจริงๆ


แพง : ยาย ยายทำบ้าอะไรเนี่ย .. ยายรีดเสื้อประสาอะไร ทำไมมันไหม้อย่างนี้ล่ะ ...เสื้อตัวนี้ แพงซื้อมาตั้งเท่าไร รู้มั๊ย ...  โง่จริงๆ เลย แก่แล้วยังไม่เจียมอีก รีดไม่เป็นวันหลังก็ไม่ต้องมาทำสิ ...
แม่ : แพง โวยวายอะไรกับคุณยายน่ะลูก
แพง : ก็คุณยายน่ะสิคะ ทำเสื้อแพงไหม้เป็นรู อย่างงี้จะไม่ให้ด่าได้ยังไงล่ะ แพงจะใส่วันนี้ด้วย
แม่ : แพง คุณยายเขาอุตส่าห์รีดให้นะลูก ขอโทษคุณยายเดี๋ยวนี้
แพง : แม่พูดอย่างงี้ได้ยังไง คุณยายเป็นคนผิดนะ จะให้แพงขอโทษน่ะเหรอ ไม่มีวันซะหรอก
แม่ : แม่บอกให้แพงขอโทษคุณยายเดี๋ยวนี้
แพง : แม่ฝันไปเถอะว่าแพงจะขอโทษคุณยาย...งี่เง่า!!
(SFX: ฉาด)
แพง : แม่
แม่ : แม่ไม่เคยสอนให้หนูเป็นคนอย่างนี้เลย แต่ทำไมหนูถึงกลายเป็นคนก้าวร้าวเห็นแก่ตัวอย่างนี้ แม่ทนมานานแล้วนะแพง ทำไมหนูทำแบบนี้
แพง : แม่ แม่จำไว้เลยนะ แม่ตบแพง ... แม่ตบตีลูกตัวเอง แม่จะต้องได้รับกรรม
(SFX: เสียงวิ่งออกไป)

ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jnId=3985

25
สำรวจตัวเองหรือยัง

 สำรวจตัวท่านเองให้ดีว่าทำไมทุกวันนี้มีแต่จนลงมีแต่ความทุกข์มีแต่หนี้สินใช้หนี้ไม่มีวันหมด
    ครอบครัวไม่ทีความสุขพยายามหาทางแก้ไขก็ไม่มีใครช่วย พอมีคนจะช่วยก็เหมือนมีอะไรมา
    ปิดหูปิดตามบังไม่ให้เห็นทางแก้ปัญหา ไหวพระขอพรและบนบาลศาลกล่าวก็ไม่ประสบผล
    สำเร็จ

 ตราบใดที่เจ้ากรรมนายเวรยังไม่มีความสุขยังรับทุกข์ทรมานอยู่ ตราบนั้นตัวท่านจะไม่มี
    วันที่จะมีความสุขได้เลยปัญหาครอบครัว ปัญหาหนี้สิน ปัญหาการทำงาน ปัญหาค้าขาย
    มีแต่ขาดทุน จะยิ่งทวีความรุ่นแรงมากขึ้น จนท่านคิดที่จะฆ่าตัวตาย

 ผมไม่ใช่เทวดาจะแก้กรรมให้ใครได้ แต่ผมรู้วิธี "หยุดเวรต่อเวร หยุดกรรมต่อกรรม"

 

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
วิธีหยุดเวรต่อเวร หยุดกรรมต่อกรรม

 วิธีหยุดเวรต่อเวรหยุดกรรมต่อกรรม เริ่มจาก
 หมั่นใส่บาตรพระกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้มากขึ้น ,รักษาศีล ๕ ให้ได้
 ทำสังฆทานในโอกาสที่ทำได้
 ทำทานกับทุกคน ปล่อยนกปล่อยปลาและสัตว์ที่ทุกข์


ที่มา
http://www.thailawyer.net/jaekrrnayva/jaekrrnayva/jaekrr.php

26


ที่มา
http://www.thailawyer.net/jaekrrnayva/jaekrr.php

27
ตำนวนบ้านผีสิง


ในขณะที่ทุกคนกำลังสนุกกับการสังสรรค์หลากหลายวิธี บ้างก็จัดงานเลี้ยง บ้างก็ไปหาเพื่อน บ้างก็ไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ซึ่งไม่เคยรู้กันมาก่อนเลยว่า

ประวัติของสถานที่นั้นๆเป็นมาอย่างไร วันหนึ่งกลุ่มเด็กวัยรุ่นได้ทำการเลี้ยงส่งเพื่อนๆด้วยการพาไปเที่ยวในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งไม่สามารถออกนามได้

สถานที่แห่งนั้น มีอุปกรณ์สร้างความสนุกหลากหลายชนิด ซึ่งก็มีบ้านมีผีสิงตามเคยเหมือนสวนสนุกอื่นๆ บ้านผีสิงแห่งนี้ไม่เป็นที่นิยมนักเพราะตั้งอยู่

บนบริเวณมุมอับของสวนสนุกซึ่งยากนักจะมองเห็นถ้าไม่สังเกตุจริงๆ นานทีจะมีผู้เล่นมาใช้บริการบ้านผีสิงนี้ บ้านผีสิงแห่งนี้ไม่มีใครทราบว่าประวัติเป็นมา

เช่นไร บ้างก็ว่าสั่งทำหุ่นต่างๆจากต่างเมือง ต่างประเทศบ้าง บ้างก็ว่าเก็บศพจากต่างเมืองมาทำความสะอาดและนำมาดัดแปลงและนำมาโชว์

กลุ่มวัยรุ่นที่เดินผ่านมาไม่มีใครสนใจเลยซักนิด ยกเว้นเพื่อนคนหนึ่งที่ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะคิกคัก วิ่งหลบเข้าไปในบ้านผีสิง จึงสร้างความสงสัยมากให้

แก่เด็กหนุ่มวัยรุ่น เขาจึงชวนเพื่อนๆ พากันเดินไปออกันอยู่หน้าบ้านผีสิง ในขณะที่กลุ่มเด็กหนุ่มกำลังเกี่ยงกันว่าใครจะเป็นผู้ที่เข้าไปก่อน มีมือซีดเซียว

เล็กเรียวโผล่ลอดออกมาจากประตูทางเข้าโทรมๆ และกระชากมือเพื่อนคนหนึ่งเข้าไปด้วยแรงมหาศาล

เด็กหนุ่มตัวปลิวกระเด็นเข้าไปในกระแทกประตูกำแพงเสียงดังโครมคราม และ กึกก้อง เพื่อนๆต่างตระหนกและทำอะไรไม่ถูกจึงพากันวิ่งตามเข้าไป

ทางเดินข้างในไฟสลัวมาก ! กลุ่มเด็กหนุ่มยังคงตระหนกกับเหตุการณ์นั้น เพื่อนคนหนึ่งบอกว่าได้ยินเสียงเพื่อนของเขาร้องครวญครางอยู่ทางมุมห้องด้าน

ซ้าย เขาจึงไปเดินเข้าไป ! กลุ่มเด็กหนุ่มเดินต่อไปตามทางเดิน ในขณะนั้นเพื่อนคนที่สองก็บอกว่า เหมือนจะได้ยินเสียงเพื่อนของเขาร้องห่มร้องไห้

เหมือนเสียใจอะไรซักอย่างแบบหนักอึ้งในขณะที่เพื่อนๆไม่มีใครได้ยินเลย เขาจึงเดินเข้าไป ! เหลือเด็กหนุ่มอีกสองคนที่ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร และไม่ได้

ยินเสียงอะไรเลย เขาเดิน เดิน และเดินต่อไปจนเห็นทางแยกซึ่งเป็นทางสามแยก คนหนึ่งไปทางซ้าย อีกคนหนึ่งไปข้างหน้า

ก่อนหน้านันเด็กหนุ่มที่ปลีกตัวไปทางด้านหน้าสะกิดใจว่า เพื่อนเค้าต้องอยู่ข้างมุมขวานั้นแน่ๆ เพราะเค้าเห็นคนวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วเกินจะมองทัน แต่ในเ

เสี้ยววินาทีนั้นเขาสังเกตุเห็น เด็กผู้หญิงวิ่งตามเพื่อนเขาไปด้วย เขาจึงเกิดความกลัวและเห็นแก่ตัวตามสัณชาติญาณ

เป็นเวลานานมากกว่าเพื่อนๆจะมาพบกันในทางออกของบ้านผีสิง

เหลืออีกคนหนึ่ง...ซึ่งยังเดินวนเวียนไปวนเวียนมา จนมาเจอ

ผีตัวที่ 1 เป็นผีผูกคอ เมื่อเดินผ่านก็มีเสียงจากเครื่องขยายเสียงทำงาน

ผีตัวที่ 2 เป็นผีคนคุก ผีตัวที่ 3 เป็นผีผมยาวปิดหน้าปิดตา เขาเดินต่อไป ต่อไปเป็นเวลานานจนมาถึงผีตัวสุดท้าย

ผีตัวที่ 13 ลักษณะของผีตัวนี้แปลกๆ เป็นเด็กสาวผมยาวสลวย อยู่ในห้องคนคุกเดินวนไปวนมาอยู่ในคุก เขาสงสัยมากว่าทำไมกลไกของผีตัวนี้ดูน่าสนใจ

ยิ่งนัก เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ เธอหยุดนิ่ง และท่าทางดูสงบ เธอค่อยๆหันหน้าขึ้นมาและถามว่า "เธอต้องการอะไร" เด็กหนุ่มตอบไปอย่างทันควันว่า

"ผมอยากออกไปจากที่นี่ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด" ผีเด็กสาว ยิ้ม เธอยิ้มและขำเสียงดังจนดูเหมือนเส้นเสียงในคอของเธอจะปิดปกติจนเธอสำรอกออกมาเป็น

เลือด !!

และทันใดนั้นเอง เด็กสาวเดินมาอย่างรวดเร็วและจับแขนเด็กหนุ่มพาวิ่งไปหาแสงจ้าซึ่งดูเหมือนจะเป็นทางออกแต่ ไม่ใช่ !!~ มันไม่ใช่

...

เคยมีตำนานว่า บ้านผีสิงทุกแห่งจะมีผีตัวจริงซุกซ่อนอยู่ ซึ่งตามหลักของศาสนาคริสต์แล้ว เลข13 เป็นเลขอัปมงคล

นั่นก็คือ ทุกบ้านผีสิง..........ผีตัวที่ 13 คือ ตัวจริง !!!!!!   


ที่มา
http://board.narak.com/topic.php?No=452365

28
หญิงชรากับบ้านปิดตาย ของจริง


ยามที่คุณเดินผ่านบ้านไม้เก่าๆที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ ในยามราตรีคุณรู้ศึกยังไง แต่สำหรับผมมีความรู้เหมือนมีคนจองมองผมอยู่ที่บ้านไม้หลังนั้น แต่ผมไม่กล้าพอที่จะกลับหันไปมองบ้านไม้หลังนั้น เพราะความหวาดกลัวสิ่งที่ไม่ใช้มนุษย์ และผมก็พญายามเดินหน้าต่อไป ด้วยอาการสั่นๆ และในที่สุดสิ่งที่ผมไม่อยากได้ยินก็เกิดขึ้น ผมได้ยินเสียงร้องโหยหวนของผู้หญิง เสียงนั้นมันดังมากๆ จงทำให้ผมสะดุ้งตกใจและวิ่งกลับบ้านอย่างรวดเร็ว...............................

เรื่องเกิดขึ้นที่จังหวัดชัยภูมิ อำเภอภูเขียว ตำบลxxxxx
มันเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ของชาวบ้านมีประมาน100คนได้และผมก็ต้องมาด้วยเพราะพ่อผมเป็นเจ้าภาพ จัดงานอยู่ที่สวนไกลออกจากหมู่บ้านเล็กน้อยเวลาประมาน 4 ทุ้มทุกคนที่นั้นก็กินอิมหนำสำราญกันอยู่ตามปกติ แต่สำรับพวกผม7คนนั้นก็เป็นพวกสำรวจชอบไปป่าบ้างไปหนองน้ำบ้าง และในที่สุดเวลาก็ลวงเลยมานานมากกับการสำรวจ นาฬิกาที่อยู่บนข้อมือของผมบอกเวลาว่า ตีหนึ่ง ผมก็เลยบอกทุกคนว่า"พี่จะเล่นผีถวยแก้ววะ ใครจะเล่นด้วย" มีคนประติดเสด3คน คือ ฟลุ๊ก แนน และแพ(กระเทย ทอม ทั้งนั้น)ผมก็เลยไม่ห้ามแต่กฎมีอยู่ว่าถ้าใครที่ไม่ได้เล่นเกมผีถ้วยแก้วนั้นห้ามมองดูหรืออยู่ด้วย ผมก็เลยบอกพวกเขาให้กับไปที่งาน และพวกผมก็เริมเล่นกัน 4 คนมี พิษ นน ฟรีม และผม(คิม)วิธีการล่นต้องกระดานให้พร้อมและก็จุดธูปเชินวิญาณและก็เอาควันธูปไส้เข้าไปในแก้วแต่เล่นไปมากวิญาณก็ไม่เข้าแก้วสักที่ จงเราจะเลิกเล่นแต่อยู่ดีๆ ก็มีคนเดินมาทางที่พวกผมกำลังเล่นกันอยู่ และเดินเข้าพูดว่าอยากเล่นแบบเจอผีไหม พวกผมทุกคนก็พูดว่า"อยากๆครับ" สภาพของชายแก่คนนั้นเหมือนกับคนจรจัดไม่มีผิดอายุราว 80 แต่ผมก็ไม่ได้นึกอะไรเขาบอกว่าตามมา แต่ก็มีไอ้ นน บอกว่า"ไม่ไว้ใจเลยพี่กลัวมันจับไปฆ่า" ผมก็เลยบอกว่าไม่ไปครับ เขาก็อยากให้พวกเราไป เขาก็เลยให้เราค้นตัวว่ามีอาวุธไหม และ ให้ดูบัตรประชาชนแต่ผมเห็นบัตรนั้นมันนานมากและหมดอายุไปนานแล้ว ผมก็เลยถามว่า"ตาทำไหมไม่ไปต่ออายุ"ชายแกคนนั้นบอกว่า"ตาไม่มีเวลาไปสักที่" ผมก็เลยไม่สนใจอะไร ทุกคนตัดสินใจว่า:ไปก็ดีไหนไหนก็เคยไปบ้านร้างมาแล้วตาแกแก่มากทำอะไรเราไม่ได้หลอก" และทุกคนก็ไปกันประมานครึ่งกิโลเมตรได้ และมาถึงบ้านร้างเก่าๆ และเราก็เริ่มเล่นกัน แต่ตาไปไหนไม่รู้ และในที่สุด ฟรีมก็พูดขึ้นว่า"คนอยู่ตรงหน้าต่าง"ผมก็เลยไม่เชื้อคิดว่าคงเป็นสัตว์มากกว่าคน เพราะสภาพบ้านนั้นไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถอาศัยอยู่ได้ เพราะเป็นบ้านร้างไม้เก่าที่อยู่ในป่าทึม แต่มันหน้ากลัวเกินกลัวคนจะมาอยู่ได้ ผมก็เลยบอกว่า"หน้าจะเป็นแมวมากกว่าวะ"และฟริมพูดอีก"คนๆไม่ใช้แมว"ผมก็เลยมองเข้าไปที่หน้าต่างก็เห็นฆญิงชรากำลังมองดูพวกผมอยู่ในตัวบ้านผมก็เลยร้องกรีดและกระโดดไปมา และทุกคนในนั้นก็เห็นเหม์อนผม และก็บอกว่า"ห้ามวิ่ง เดินไปด้วยกันจับมือกันไว้และเดินไปข้างหน้าช้า"ความรู้สึกต้องนั้นกลัวมากคิดอยู่ในใจ "มาได้ยังไงวะ"แต่เสียงหญิงชราก็ร้องขึ้นว่า"พวกมึนจะไปไหน กูพูดได้ยินไหม กูบอกว่ามาหากู กูจะเอามพวกมึนมาตายแทนกู"พูดอยู่อย่านั้นไปเรื่อยๆ พวกผมก็ร้องไห้(เขียนไปหน้ากลัวมากครับ)แต่ว่าลุงที่พาพวกผมมานั้นก็บอกว่า"จะไปไหนไปตายแทนเมียกูเดียวนี้"และหญิงชราคนนั้นมาทางด้านผมหน้าตามีเลือดเต็มตัวตาแดงผิวขาวเสื้อลายดอก แต่พวกผมก็ไปต่อไม่ได้ได้แต่ร้องไห้ จนมีร่างของคนแกคนหนึงไส้ชุดสีขาว เป้นผู้ชายพูดว่า"ปล่อยพวกเขาไปเถะฉันขอร้องเขายังเด็กอยู่นะฉันของ"ผมมีความรู้สึกเชื้อเรื่องผีขึ้นมาเลย และแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไปมีแต่ตาแกจรจังที่พาพวงเรามา ในต้องนั้นเหมือนมีพลังที่จะวิ่งออกไปจากที่นั้นได้ และพวกผมก็วิ่งไปสวนกับชายแกจรจัง และวิ่งต่อไปจงถึงงานเลียงเวลาประมานตี 4 ทุกคนในงานลวนกับกันเกือบหมดแล้ว ผมก็เลยเราเรื่องทั้งหมดให้ ตาจอม ฟัง ตายเขาบอก"สมัยก็บ้านหลังนั้นเป็นบ้านชาวสวนสองผัวเมียชราคู่หนึ่งอยู่อย่างมีความสุด แต่อยู่มาวันหนึ่งมีโจรมาปล้นบ้านและฆ่าหญิงชราทิ้งด้วยการเผาทั้งเป็น และสามีของหญิงชรากับไม่สามารถช่วยอะไรได้เลยแม้แต่นิเดียว และสุดท้ายเขาก็ตามหาคนที่จะไปตายแท้หญิงชรา เพื่อให้ได้ไปผุกไปเกิด" เรื่องนี้เป็นเรื่องผมไม่อยากจะเล่าเลยที่เพือนอยากให้เขียน ติดตามตอนต่อไปได้เลย เรื่อง คำสาปแห่งความรัก ลาก่อนนะครับของให้ไม่เจอผีหลอกเหมือนผม      

ที่มา
http://board.narak.com/topic.php?No=453659

29
ประสบการณ์วิญญาณ / ผีในคุก
« เมื่อ: 21 ธ.ค. 2554, 09:14:12 »
ผีในคุก


เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งที่อดีตเคยเป็นเรือนกักขังนัก โทษเก่ามาก่อน จึงไม่แปลกที่จะกลายเป็นดินแดนที่ใช้ประหารนักโทษมากมายหลายศพจนนับไม่ถ้วน!! นักเรียนชมรมสังคมต้องอยู่ศึกษาประวัติที่โรงเรียนจนดึก กว่าอาจารย์จะปล่อยกลับก็ล่วงเลยเวลามาเกือบสี่ทุ่ม ห้องสังคมนั้นตั้งอยู่ที่ตึก 5 ชั้น 3 บริเวณมุมด้านหลังสุด ดังนั้น เมื่อจะกลับก็ต้องเดินจากด้านหลังมาลงบันไดด้านหน้า ขณะที่ตามรายทางก็มีไฟเพียงไม่กี่ดวง

ระหว่างที่เหล่านักเรียนสังคมต่างรีบเดินออกมาเพื่อกลับบ้าน ปรากฏว่า “ลิง” ดันลืมโทรศัพท์มือถือไว้จึงต้องเดินกลับไปเอา พร้อมบอกให้ “นัด” เพื่อนสนิทรออยู่ตรงนี้อย่าไปไหน จะรีบไปรีบกลับ ขณะที่ครู และเพื่อนคนอื่นๆ ต่างรีบกลับจึงขอตัวไปก่อน ขณะที่ “นัด” รอเพื่อนอยู่เพียงลำพังนั้น ก็เกิดได้ยินเสียงเพลงคล้ายๆ รำสวด แล้วก็เสียงคนตะโกนโวยวาย “อย่าๆๆๆ ผมไม่ไป ปล่อยผม !!!! อย่าทำผมเลย” วินาทีนั้น “นัด” เริ่มแปลกๆ ที่ดึกแล้วจะมีใครมาตะโกนร้องแบบนี้ได้

เวลาผ่านไปสักพัก เสียงทุกอย่างเงียบไปจนน่าวังเวง “นัด” เริ่มรู้สึกกลัว พยายามมองซ้ายมองขวา แต่เพื่อนที่ไปเอาของก็ยังไม่กลับมา ตอนนี้เริ่มมีเสียงคล้ายๆ คนลากอะไรซักอย่างคล้ายโซ่แว่วมา มันเริ่มดังขึ้นๆ ๆ แล้วก็ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ๆ จังหวะนั้น “นัด” ทนไม่ไหวจึงคิดที่จะวิ่งหนีออกไป แต่พรึ่บบบ มีมือหนึ่งมาจับที่แขนของเธอไว้ แต่พอหันไปก็พบว่าคนที่มาจับมือคือ “ลิง” เพื่อนสนิทของเธอเอง.. “นัด” รีบถาม “ลิง” ว่าได้ยินเสียงคนลากอะไรหรือเปล่า ? ซึ่ง “ลิง” ก็ตอบกลับมาทันทีเลยว่า “ได้ยิน เสียงคล้ายโซ่ใช่ไหม” เท่านั้นแหละทั้งสองคนต่างจับมือวิ่งลงตึกแบบไม่คิดชีวิต

ระหว่างที่วิ่งลงตึกอยู่ดีๆ “นัด” สะบัดมือ “ลิง” ออกอย่างกระทันหัน!! แล้วเดินกลับไปทางเดิมราวกับเหมือนโดนสะกด “ลิง” รู้แล้วว่าเพื่อนต้องโดนอะไรบางอย่างแน่ๆ จึงวิ่งไปหาพร้อมเขย่าตัว และตบหน้าเรียกสติเพื่อนอย่างนัด” กับ “ลิง” ไม่รีรออะไรแล้ว ทั้งคู่รู้แก่ใจแล้วว่าเป็นสิ่งลี้ลับแน่นอน จึงรีบวิ่งลงตึกแบบไม่คิดชีวิตจนกระทั่งไปชนกับใครคนหนึ่ง โครมมม !! พอตั้งสติได้ก็รู้ว่าคนที่ชนนั้นคือ “คงพ่อของลิง” คนเก่าแก่ของโรงเรียน ทั้งสองจึงเล่าเรื่องที่เจอให้ลุงคงฟังทันที

หลังจากที่ได้ฟังเรื่องจากนักเรียนทั้งสอง ลุงคงถึงกับตกใจ พร้อมเตือนว่า “ทำไมถึงไม่รีบลงมาพร้อมกันเยอะๆ ที่นี่เฮี้ยนมาก ลุงยังไม่กล้าขึ้นไปเลย หลายปีก่อนเคยมีเด็กหายไปไม่มีแม้กระทั่งศพ” สองสาวได้ฟังถึงกับสั่นผวา ด้าน “นัด” ก็เล่าให้ฟังอีกว่า ตอนที่สะบัดมือ “ลิง” เพราะระหว่างวิ่งได้หันกลับไป เห็น “ลิง” ยืนอยู่ จึงสะบัดมือออกเพราะคิดว่าเป็นมือผี แต่พอเดินไปหา “ลิง” ร่างของลิงก็กลับเปลี่ยนเป็นผู้ชายเหมือนนักโทษมีโซตรวนคล้องขาอยู่ จากนั้นก็ไม่รู้เรื่องอีกเลย มารู้สึกตัวอีกทีถูกตบหน้า

นับแต่เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีใครได้พบเห็นสองสาวนักเรียนสังคมนั้นอีกเลย เพราะอาจจะลาออกไปเรียนที่อื่น แต่เรื่องนี้ก็ยังคงถูกบอกเล่าจากปากต่อปากสู่รุ่นน้องที่เข้ามาเรียนโรงเรียนแห่งนี้อยู่เรื่อยๆ..

ที่มา
http://board.narak.com/topic.php?No=460486

30
ตายแล้วไปไหน โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง (1)




คราวนี้ก็จะได้นำเรื่องตายแล้วไปไหนมาเล่าอีกตามเคย เรื่องที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นเรื่องของพระที่ป่วยแล้วตาย เมื่อตายแล้วได้มีโอกาสพบเห็นทางที่มีความสุขและความทุกข์ ที่เรียกว่านรก สวรรค์ และนิพพาน ท่านเจ้าของเรื่องท่านรับรองว่าเป็นความจริงทุกประการ


ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะสงสัยว่า สวรรค์ นรก นั้นเป็นเรื่องที่น่าจะมีได้ แต่คำว่า นิพพานนี้ ตามที่เข้าใจกันตามตำราว่ามีสภาพสูญ คือสลายตัว ไม่มีอะไรเหลือ ความคิดเห็นนี้เป็นความเข้าใจของนักศึกษาทางศาสนามานานแล้ว แต่เมื่อมาพบเรื่องมีผู้ไปนิพพานเข้า ท่านอาจจะสงสัยว่าเรื่องกุขึ้น หรือเป็นอารมณ์ฝัน ตามที่ทางวัดเรียกว่าอุปาทาน คือยึดถือเกินไป เรื่องนี้จะมีอะไรเป็นเหตุผล ควรเชื่อหรือไม่เพียงใด ก็ขอยกให้เป็นภาระของท่านผู้อ่าน สำหรับผู้เล่าเรื่องนี้ขอเล่าตามที่ได้รับฟังมา


เรื่องที่จะนำมาเล่าต่อไปนี้ รับฟังมาจาก พระธนะศิริ กันตะศิริ พระวัดราชประดิษฐ์ จังหวัดพระนคร เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๗ เรื่องราวของท่านมีดังนี้

เมื่อปี ๒๔๘๘ ท่านมีอายุ ๑๙ ปี ท่านตายไปครั้งหนึ่ง และ พ.ศ. ๒๔๙๗ ท่านตายอีกครั้งหนึ่ง รวมการตายของท่านที่ตายแล้วฟื้นในชีวิตของท่านสองครั้งด้วยกัน เมื่อสมัยท่านอายุ ๑๙ ปี ท่านได้ติดตามญาติของท่านคนหนึ่งไปอยู่ทางภาคอีสานของประเทศไทย ท่านไม่ได้บอกไว้ว่าจังหวัดไหน เมื่อท่านเล่าให้ฟังก็มัวสนใจเรื่องที่ท่านเล่าให้ฟัง ไม่ได้ถามว่าจังหวัดไหนแน่ เอากันว่าท่านอยู่ภาคอีสานชั่วคราวก็แล้วกัน

วันหนึ่งท่านมีอาการปวดฟัน เนื่องจากโรคฟันหรือเหงือกเป็นฝี ที่เรียกว่าโรครำมะนาด ท่านมีอาการปวดมากจนเหลือที่จะทน ท่านจึงไปหาหมอรักษาและทำฟันที่ตั้งร้านรับรักษาและทำฟันในตลาดใกล้ ๆ บ้าน เพื่อให้หมอถอนฟันซี่นั้นออก เมื่อหมอถอนฟันแล้วท่านก็กลับบ้าน หมอที่ถอนฟันเป็นหมอจีน พวกหมอจีนนี้รู้สึกว่ามีวิชารอบรู้มาก มาถึงเมืองไทยแล้วเป็นทุกอย่าง เป็นช่างตัดผมก็ได้ ช่างทองก็เป็น ช่างปรุงอาหารให้คนไทย ทั้ง ๆ ที่อาหารที่คนไทยชอบแกก็ไม่ชอบกิน แต่แกก็สามารถทำให้คนไทยกินพากันติดอกติดใจในฝีมือปรุงอาหารของแก เป็นหมอปลูกฟัน หมอถอนฟัน หมอเสริมทรงเสริมสวย

เรื่องความสามารถของชาวจีนนี้เราทราบกันดี ไม่ว่าที่ไหนที่คนไทยด้วยกันเข้าไม่ถึง พี่แกเข้าถึงทุกด้าน ปริญญาที่ชาวจีนเรียนมานี้ คือปริญญาสามารถโดยไม่ต้องเข้ามหาวิทยาลัย น่าจะขอเรียนต่อจากแกบ้าง จะเป็นประโยชน์มาก

เอาแล้ว ว่าจะเล่าเรื่องของท่านศิริ แอบมายุ่งเรื่องเจ๊กให้อีก ขออภัยท่านผู้อ่านด้วย มาว่ากันเรื่องของท่านศิริต่อไป เมื่อท่านมาถึงบ้านแล้ว ก็เข้ามาพักตามปกติ (ท่านว่าอย่างนั้น) ครั้นเมื่อถามว่า อาการปวดหายสนิทดีแล้วหรือ ท่านบอกว่าปวดบ้างแต่ไม่มาก รู้สึกปวดเล็กน้อย มันปวดตุบ ๆ นิดหน่อย มีอาการคล้ายจะง่วงนอน ก็เลยเอนกายลงนอน ปรากฎเหมือนมีอะไรวิ่งซู่ซ่าตามมือและเท้า จะว่าลมพัดก็ไม่ชัด ว่าพิษความปวดก็ไม่เชิง มีอาการคล้ายมีตัวอะไรสักอย่างหนึ่ง วิ่งจากปลายเท้าและปลายมือ เข้ามารวมจุดกันที่หัวใจ ก็มีอาการคล้ายเคลิ้มหลับ แต่ไม่ใช่หลับสนิท มีอาการเหมือนฝัน

ตามความรู้สึกในขณะนั้น รู้สึกว่าตนเองนอนอยู่ในสภาพเดิมที่นอนอยู่ แต่ทว่าถูกปลุกให้รู้สึกตัวขึ้นด้วยน้ำมือของชายสองคน ชายสองคนนี้มีรูปร่างใหญ่โต ผิวดำล่ำสัน คนหนึ่งยืนอยู่ทางด้านศีรษะ อีกคนหนึ่งยืนอยู่ทางด้านปลายเท้า คนที่ยืนทางด้านศีรษะถือคบเพลิงทองเหลืองจุดแสงสว่างมาก ทั้งสองคนนั้นประมาณอายุก็เห็นจะราว ๆ ๓๐ ปี ทั้งคู่ เขาทั้งสองออกปากชวนว่า

 
“ไปกันเถอะ” ท่านถามว่า “จะไปไหน” เขาก็ชวนว่า “ไปเถอะน่า ไปด้วยกัน”


เมื่อเขาชวน ความจริงตามความรู้สึกแล้วก็ไม่อยากไปกับเขา แต่ดูเหมือนมีอำนาจอะไรในตัวเขาทำให้ท่านต้องลุกจากที่นอน แล้วก็เดินตามเขาไปอย่างคนว่าง่าย เมื่อท่านเดินตามเขาออกจากบ้าน คนที่ยืนทางด้านศีรษะเป็นคนถือคบเพลิงนั้น บอกกับเพื่อนเขาว่า

“นี่ไอ้เกลอ เอ็งนำไปคนเดียวก็แล้วกันนะ มันคนเดียวและยังเป็นเด็กคงไม่หนีหรอก ส่วนข้าจะไปธุระที่อื่นสักครู่”

เพื่อนเขารับคำแล้วเขาก็แยกทางไป ไม่ทราบว่าเขาไปไหน ท่านเล่าว่า เมื่อขณะที่ถูกคุมตัวมานั้น คนคุมเขาไม่ได้ดุด่าว่าหรือฉุดกระชากลากตัวแต่อย่างใด เขาให้เดินตามเขาไปตามปกติ พอถึงทางสามแพร่ง ตอนนี้ท่านชักไม่ไว้ใจตัวเอง เกรงว่าจะกลับบ้านไม่ถูก เมื่อเข้าถึงทางแยก ท่านพยายามสังเกตุทางที่เดินไว้ทุกระยะ ทั้งนี้เพื่อว่าเมื่อเวลากลับจะได้ไม่หลงทาง พยายามเหลียวซ้ายแลขวาไว้เสมอ


ที่มา
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=22898.0

31
ผีสาง ขมังเวทย์ ทำสวย รวยทางลัด ความเชื่อที่สังคมต้องทบทวน


ห้ามขึ้นบ้านใหม่ในวันเสาร์ ห้ามเผาผีในวันศุกร์ ห้ามแต่งงานในวันพุธ ห้ามโกนจุกในวันอังคาร หรือที่ท่องบ่นกันจนติดปากว่า ?วันพุธห้ามตัดพฤหัสห้ามถอน?(ตัดผม ตัดเล็บ ตัดต้นไม้ ถอนเสาเรือน หรือทำการโยกย้ายสิ่งของใดๆที่สำคัญ ) ที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่เป็นความเชื่อของคนรุ่น ปู่ ย่า ตา ยายแต่ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าความเชื่อเช่นนี้จะยังอยู่คู่สังคมไทย ขนานกับ ความเชื่อใหม่ๆที่เกิดขึ้นในโลกยุคไซเบอร์ดิจิตอลไร้พรมแดนสมัยนี้

เป็นที่รับรู้กันดีว่าเรื่องความเชื่อเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ในครั้งที่คนเรายังไม่มีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ โดยผู้คนในยุคสมัยนั้นต่างมีความเชื่อที่ผูกติดอยู่กับธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นสำคัญ บ้างก็เชื่อว่าพระอาทิตย์และพระจันทร์คือผู้ให้ชีวิตที่ดีแก่ชาวโลก

และเพื่อให้การดำเนินชีวิตปลอดภัยจากภยันตรายทางธรรมชาติทั้งปวง รวมถึงการระลึกถึงบุญคุณที่ธรรมชาติบันดลบันดาลสิ่งดีๆให้กับชีวิตผู้คนในโลก ความเชื่อโดยผ่านพิธีกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้คนจึงเกิดขึ้นโดยกระบวนการคิดของคนในสมัยนั้นๆ

ไม่ว่าจะเป็นการบูชาพระอาทิตย์ พระจันทร์ แม่น้ำ แผ่นดิน หรือแม้แต่ลม จนสมัยต่อมาผู้คนจึงได้มีศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเป็นหลักในการดำเนินชีวิต สอนให้คนทำในสิ่งที่ดีงามจึงจะได้รับผลจากการกระทำนั้นๆ

ปัจจุบันถึงแม้ว่าโลกจะแปรเปลี่ยนไปจากอดีตชนิดไม่เห็นหลังก็ตาม ด้วยกาลเวลาที่ได้ปรับเปลี่ยนพัฒนาผู้คนจากสังคมเกษตรแบบพึ่งพาตนเองและช่วยเหลือเกื้อกูลกันก็กลายเป็นสังคมอุตสาหกรรมจึงทำให้วิถีชีวิตของผู้คนเริ่มมีการแข่งขันและเอารัดเอาเปรียบกันและกัน เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการและอยู่เหนือผู้อื่น ความเชื่อเดิมๆจึงถูกปรับเปลี่ยนไปตามกระแสด้วยเช่นกัน จากที่เชื่อในวิถีแบบธรรมชาติที่สงบก็เปลี่ยนเป็นความเชื่อในวัตถุ แข่งขันกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน และนับถือ?เงินคือพระเจ้า?

หลังจากนั้นการดำเนินชีวิตของผู้คนบนโลกใบนี้ก็ใช่ว่าจะหยุดนิ่งเพียงเท่านั้น แต่กลับพัฒนาไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น มีการประดิษฐ์คิดค้นให้เกิดสิ่งแปลกใหม่ต่างๆที่จะสนับสนุนให้ผู้คนมีชีวิตที่สะดวกและสบายกว่าที่เคยเป็นในโลกของข้อมูลข่าวสารไซเบอร์ดิจิตอลที่ไร้พรมแดน

ความเชื่อเรื่อง ผีสางนางไม้ เป็นหนึ่งในความเชื่อที่มีมานานแล้วในสังคมโลกถึงแม้ว่าโลกจะพัฒนาไปมากน้อยเพียงไรแต่ความเชื่อเรื่องผีก็ยังเป็นความเชื่อที่อมตะ นิรันดร์ ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ในแต่ละรุ่นแต่ละสมัยจะยังคงกล่าวขานและเชื่อว่าผีมีจริง ผีหรอกคนได้ จนมักจะมีความเห็นและคำพูดที่ติดปากกันเสมอๆว่า ?ผีหลอก ผีดุ ผีสิง ผีเข้า?

ผีเป็นวิญญาณหลังความตายแล้ว ซึ่งมีทั้งผีดี และผีร้าย โดยในส่วนผีดีนั้นจะหมายถึงผีบ้านผีเรือนที่คอยปกปักษ์รักษาผู้คนในครอบครัวและชุมชนให้อยู่ดีมีสุข ส่วนผีร้ายก็มักจะเข้าใจได้ว่าหมายถึงผีที่เป็นวิญญาณเร่ร่อนพเนจรไปตามที่ต่าง ๆ ตายแล้วไม่ได้ไปผุดเกิด ซึ่งอาจทำร้ายผู้คนให้เกิดความเจ็บป่วยได้ โดยเฉพาะผู้ที่ไปล่วงเกินโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจก็ได้

แต่ในสถานการณ์โลกปัจจุบันนอกจากผีดีและผีร้ายที่กล่าวมายังมี ?ผีพนัน?เกิดขึ้นในสมัยนี้ด้วย ซึ่งผีประเภทนี้จะเข้า สิงร่างของคนที่อ่อนแอไม่มีภูมิคุ้มกันและขาดรากฐานในการดำเนินชีวิต โดยท้ายที่สุดก็จะทำลายคนๆนั้นให้ได้รับซึ่งความทุกข์ที่แสนสาหัสจนถึงขั้นหายนะกับชีวิตกลายเป็นอาชญากรที่ต้องไปใช้ชีวิตในคุกตารางก็มีให้พบเห็นกันบ่อยๆ

ที่มา
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=1578.0

32
อานิสงส์ถวายสังฆทานและ วิหารทาน


ผู้ถาม   
ถ้าเราตั้ง จิตจะถวายสังฆทาน แต่ว่าไม่ได้บอกเล่าคะ ?

หลวงพ่อ
   ถ้า ตั้งจิตแต่ไม่ได้บอกก็ไม่ได้ยิน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าพระนั่งฉันอยู่ตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไปหนูเอาของไปถวายเอาน้ำไปถวายถ้วยเดียว ก็เป็นสังฆทานทันที ไม่ต้องบอก ถ้ามีพระตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไปนะ ถ้าองค์เดียวต้องบอก แล้วเขาจะเก็บไว้เป็นสังฆทานเลย จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างอื่นคนรับก็ไปนรกซิ ผู้ให้ไปสวรรค์เพราะว่าถวายทานเป็นส่วนบุคคลกับถวายเป็นสังฆทาน อานิสงส์มันต่างกันหลายแสนเท่า แล้วก็ยังมีอีกเวลาหนึ่ง ถ้าพระออกจากสมาบัติ นี่คูณหนักเข้าไปอีกไม่รู้เท่าไร การถวายสังฆทานนี้มีอานิสงส์มาก ความจริงถ้าจะพูดถึงอานิสงส์กันจริง ๆ ละก็ รู้สึกว่าจะมากกว่าจัดงานที่บ้านที่วัดตั้งเยอะแยะ ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าถวายสังฆทาน เราทำกันแบบเงียบ ๆ ไม่มีกังวลการบำเพ็ญกุศลแต่ละคราว ถ้ามีกังวลมากอานิสงส์มันก็น้อย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าจิตที่เราเข้าสู่กุศล มันห่วงงานอื่นมากกว่า ไม่ตั้งจิตโดยเฉพาะและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการถวายสังฆทาน คำว่าสังฆทานก็หมายความว่า ถวายสงฆ์ในหมู่ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตามพระวินัยท่านเรียกกันว่าคณะสงฆ์ ถ้าต่ำกว่านั้นเป็นคณะบุคคล ถ้าบุคคลเดียวเป็นปาฏิปุคคลิกทาน ทานโดยเฉพาะ ทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระสงฆ์เป็นหมู่นี้มีอานิสงส์มาก

ผู้ถาม
   การที่เราทำบุญใส่บาตร ตามหน้าบ้านกับพระที่เรารู้จักตามวัด แล้วไปทำที่วัด อันไหนจะมีอานิสงส์มากกว่ากันเจ้าคะ…..?

หลวงพ่อ
   ถ้า ฉันตั้งแต่ ๔ องค์ขึ้นไป เป็นสังฆทานมีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ถ้าหากท่านฉันตั้งแต่ ๑ องค์ ถึง ๓ องค์ อย่างนี้เป็น”ปาฏิปุคคลิกทาน

ผู้ถาม
   มี อานิสงส์มากไหมคะ……?

หลวงพ่อ
   “มีโยม ถ้าเป็นปาฏิปุคคลิกทาน ถ้าวัดกันตามลำดับแย่นะ ไล่เบี้ยตั้งแต่ให้ทานกับ คนไม่มีศีล จนถึง พระอรหันต์ มีอานิสงส์ไม่เท่ากัน แต่จะพูดสรุปโดยย่อว่า
ให้ทานกับพระอรหันต์ ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานกับ พระพุทธเจ้า ๑ ครั้ง ให้ทานกับพระพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง
และถ้า ถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับ ถวายวิหารทาน ๑ ครั้ง
คือสร้างวิหาร มีการ ก่อสร้างเช่นสร้างส้วม ศาลา การเปรียญ กุฏิ โบสถ์ วิหาร เป็นต้น
การถวายสังฆทาน ๑ ครั้งในชีวิต และก็ถวายด้วยจิตที่บริสุทธิ์มีศรัทธาแท้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผลของสังฆทานนี้จะดลบันดาลให้แก่บุคคลผู้ถวายเกิดไปทุกชาติขึ้นชื่อว่าความ ยากจน เข็ญใจไม่มี ในแดนใดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากขัดสน คนที่ถวายสังฆทานแล้ว จะไม่เกิดในที่นั้นผลที่ให้ไปไกลมาก กล่าวว่า แม้ แต่พระพุทธญาณเองก็ยังไม่เห็นผลที่สุดของการถวายสังฆทาน
คำว่าไม่เห็นที่สุดของ การถวายสังฆทาน หมายความว่า แม้แต่บุคคลผู้เป็นเจ้าของสังฆทาน บำเพ็ญบารมีแล้ว แล้วเกิดไปอีกกี่แสนชาติก็ตาม จนกระทั่งเข้าพระนิพพาน อานิสงส์นั้นก็ยังไม่หมด คำว่าอานิสงส์ ยังไม่หมดก็เพราะว่าถ้าบุคคลใดบูชาบุคคลผู้ควรบูชา นี่เป็นอำนาจของการถวายสังฆทาน
ทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระ มีผลไม่เสมอกันอยู่อย่างหนึ่งคือ หมายความว่าถวายทานแก่พระที่มีจิตกำลังฟุ้งซ่านไปด้วยอำนาจของนิวรณ์ ๕ ประการ อย่างนี้เราถวายกี่หมื่นกี่แสน อานิสงส์มันก็ไม่มาก ถ้าหากว่าถวาย แก่ท่านผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าหากเข้าถึงจิตบริสุทธิ์ เรื่องบริสุทธิ์แค่ไหนก็ช่าง อย่างน้อยที่สุดก็มีขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ บางท่านก็เข้าถึงฌานสมาบัติ บางท่านที่เป็นพระอริยเจ้า ก็เข้าถึงผล สมาบัติ เป็นต้นอย่างนี้มีผลมาก”

ที่มา
http://www.dhammatan.net/2010/06/ การทำสังฆทาน/

33

ภาพล่างซ้าย

พระอาจารย์ฯท่านให้มาครับ :054:

Ravee Sajja> นะมามีมา มะหาลาภา นะมามีมา มีมามาก มาก อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหินะชาลีติ มานิมามา โชคลาภจงมาหาข้าพเจ้า



34
ห้องประสบการณ์การฝึกจิต
แนะนำ
ขั้นตอนการฝึกจิตเบื้องต้น


เวลานี้ แม้กระทั้งหมอก็กล่าวว่า โรคภัยทั้งหมดเป็นผลมาจากอารมณ์หรือความรู้สึกที่ถูกรบกวน
และเกิดการตึงเครียดในจิตใจ ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นการดีถ้าทุกคนอยู่ในความสงบ
และฝึกฝนจิตใจพร้อมกัน
Raja Yogi B.K. Jagdish Chander

ประโยชน์และความหมายของการฝึกจิต
ทุกคนควรมีการฝึกฝนจิตใจเป็นกิจวัตรซึ่งเป็นยาแก้ความเครียดที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเป็นวิธีการผ่อนคลายได้อย่างง่ายดาย
การฝึกจิตทำให้ท่านสร้างทัศนคติและตอบสนองชีวิตแบบใหม่ ท่านสามารถเข้าใจจิตใจของตนเองได้อย่างกระจ่าง
การฝึกจิตคือขบวนการฟื้นฟูชีวิต สร้างความพอใจ และใช้พรสวรรค์หรือความชำนาญพิเศษของตนเอง ในทางที่ดี
การฝึกจิต ต้องอาศัยการฝึกฝนเพื่อได้รับสิ่งที่ดีงาม และมีผลลัพธ์ที่พอใจ
โดยการฝึกจิตวันละนิดทุก ๆ วัน ไม่นานจะกลายเป็นธรรมชาติ และนิสัยได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นผลมาจากการสร้างความเพียรพยายามที่เข้มข้น

ขั้นตอนการฝึกจิตพื้นฐาน:

หาเวลาว่างสำหรับตนเองทุก ๆ เช้าและเย็น 10 หรือ 20 นาที
หาสถานที่ ที่สงบเพื่อให้มีการผ่อนคลาย ใช้แสงไฟหรี ๆ และใช้เสียงเพลงเบา ๆ ช่วยสร้างบรรยากาศที่เหมาะสม
นั่งตัวตรงในท่าที่สบายๆบนพื้นหรือบนเก้าอี้
ไม่หลับตา และไม่เปิดตาเกินไป มองไปยังจุดใดจุดหนึ่งข้างหน้า
หันความสนใจของท่านจากการเห็นและการได้ยินเพื่อเข้าไปสู่ภายในตนเองอย่างช้า ๆ
เฝ้าสังเกตการณ์ความคิดของท่านเอง
ไม่ควรพยายามที่จะหยุดคิด เพียงแต่เป็นผู้สังเกตการณ์ ไม่วิจารณ์หรือขจัดความคิดออกไป เพียงแต่เฝ้าดู
ค่อย ๆ ทำให้ความคิดช้าลง และแล้วท่านจะเริ่มรู้สึกสงบมากขึ้น
สร้างความคิดเกี่ยวกับตนเอง ให้มีเพียงความคิดเดียว เช่น ฉันคือดวงวิญญาณที่สงบ
นำความคิดนั้นไปสู่ฉากของจิตใจ จินตนาการว่าตนเองเต็มไปด้วยความสงบ เงียบ และนิ่ง
อยู่ในความคิดนั้นให้นานเท่าที่ทำได้ อย่าได้ต่อสู้กับความคิดอื่น หรือความทรงจำที่อาจเข้ามารบกวน เพียงแต่เฝ้าดูมันผ่านไป และกลับมาสร้างความคิดของท่านอีกครั้ง ฉันคือดวงวิญญาณที่สงบ
ยอมรับและพอใจในความคิดและความรู้สึกที่เป็นบวก ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากเพียงหนึ่งความคิด
มั่นคงอยู่ในความรู้สึกเหล่านี้ซักครู่ จงระวังความคิดที่ไม่เกี่ยวข้อง
สิ้นสุดการฝึกจิตของท่านโดยปิดตาของท่านซักครู่หนึ่ง และสร้างความสงบในจิตใจของท่านอย่างสมบูรณ์

ที่มา
http://www.iamspiritual.com/chai/meditation.html

35
วิธีฝึกจิตให้มีพลัง  (1/5)
พระธรรมเจติยาจารย์
(พระอาจารย์วิริยังค์ สิรินฺธโร)
วัดธรรมมงคล
โพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวดสติปัฏฐาน ๔ กระทู้ 16491 โดย: จอม 07 ก.ย. 48

ต่อไปนี้ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจที่จะทำความสงบกันต่อไป ในเบื้องต้นนี้อาตมาจะเป็นผู้นำ ทุกๆ คนให้ว่าตาม

ข้าพเจ้า ระลึกถึง คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ จงมาดลบันดาล ให้ใจของข้าพเจ้า จงรวมลงเป็นสมาธิ พุทโธ ธัมโม สังโฆ (3ครั้ง) พุทโธ พุทโธ พุทโธ

นี่ก็ให้นึกไว้ในใจ นั่งขัดสมาส ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาหงายทับมือซ้าย วางไว้บนตัก หลับตา นึก พุทโธในใจ กำหนดใจของเราไว้ที่ใจ การทำสมาธิ ต้องการความเป็นหนึ่ง ความเป็นหนึ่งเป็นต้นเหตุของการที่จะให้เกิดพลังจิต พลังจิตนั้นก็คือ กระแสธรรม ทำอย่างไรพลังจิตของเราจะเกิดขึ้นได้

การทำจิตให้เป็นหนึ่ง คือการที่จะทำจิตนี้ให้เกิดพลังจิต พลังจิตนี้ ที่จะเป็นกำลังที่จะทำวิปัสสนาต่อไปในกาลข้างหน้า แต่การที่จะเป็นหนึ่งได้นั้น ต้องอาศัยคำบริกรรม คำบริกรรมนั้น อย่างที่เราบริกรรมว่าพุทโธๆ เป็นคำบริกรรม ผู้ที่นึกพุทโธได้แล้ว ถือว่าจิตนั้น เริ่มที่จะเข้าเป็นหนึ่ง เมื่อจิตเป็นหนึ่งได้แล้ว พุทโธก็ไม่ต้องนึก

เมื่อเราไม่นึกพุทโธ แต่ว่าจิตของเราเป็นหนึ่งได้ ก็ถือว่าจิตของเราได้เลื่อนไปอีกขั้นนึง การที่เรากระทำสมาธินั้น เราจะต้องรู้ว่าเมื่อเวลาทำจิตของเราได้ผลอย่างไร เราจะต้องทำอย่างนั้นไปเสมอๆ เพราะว่าต่างคนก็ต่างมีนิสสัยวาสนาบารมีต่างกัน

เมื่อใครจะกำหนดจิตอย่างไรที่เป็นผลเป็นประโยชน์แก่ตนนั้น เราก็จะต้องกำหนดจิตอย่างนั้น และเมื่อกำหนดจิตอย่างนั้นอยู่ตลอดไป ความชำนาญเกิดขึ้น ความชำนาญนั้น ในภาษาบาลีท่านกล่าวว่า วสี

วสี แปลว่าความชำนาญ ความชำนาญนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการบำเพ็ญจิต เหมือนกันกับผู้ที่เขียนหนังสือเกิดความชำนาญ เค้าย่อมจะต้องเขียนได้อย่างสบาย แม้จะหลับตาเขียนก็ได้ เพราะความชำนาญ และเขาก็ได้ประโยชน์จากการเขียนนั้น อย่างรวดเร็ว

ผู้ที่บำเพ็ญจิตก็เช่นเดียวกัน ต้องแสวงหาความชำนาญให้เกิดขึ้น หรือเรียกว่าแสวงหาวสี การที่เราตั้งจิตนั้น เมื่อเราตั้งได้อย่างนี้ เราทำอย่างนี้ ก็เป็นอันว่าถูกต้อง เพราะความถูกนั้น อยู่ที่จิตเราตั้งได้ เมื่อจิตตั้งได้ ความตั้งของจิตนั้น ถือว่า สติ

สตินั้น เป็นสิ่งที่ทุกๆ คนจะต้องมี ถ้าสตินั้นขาดเมื่อไร การตั้งก็ตั้งไม่อยู่ เหมือนกันกับสิ่งที่เราจะตั้งขึ้นมาเป็นเสา หรือจะตั้งขึ้นมาเป็นสิ่งของ เป็นโต๊ะ เป็นเตียง ถ้าหากว่าขามันหัก หรือว่าขาไม่ดี เตียงก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ก็ต้องล้มกันลงไป ขาของเตียงก็ดี ขาของเก้าอี้ หรือเสาก็ดี ล้วนแล้วแต่เราสมมุติกันขึ้น แต่ถ้าหากว่าจะเปรียบเทียบ ก็เปรียบได้ด้วยสติ

สตินั้น คือความระลึก หรือเรียกว่าความตั้งอยู่ ความไม่วอกแวก จิตมันวอกแวกไปไม่ได้ในเมื่อมันมีสติ แต่พอขาดสติมันก็วอกแวกออกไป อย่างนี้เป็นลักษณะธรรมดา เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่เราจะทำสิ่งที่เรียกว่าสมาธิให้เข้มแข็ง หรือเป็นกำลังต่อไปนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องเสริม คือเสริมสตินี้ ให้มีกำลังยิ่งๆ ขึ้นไป

วิธีการที่จะเสริมสติ พระพุทธเจ้าแนะนำไว้ 4 ประการ คือ สติปัฏฐาน 4 มีกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นต้น กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หนึ่ง เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน สอง จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน สาม ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน สี่

สี่ประการนี้เป็นหลัก หรือเรียกว่าเป็นหน่วยของการส่งเสริมสติของเรานี้ให้มั่นคง ในจำนวนสติปัฏฐาน 4 นั้น พระพุทธเจ้ายกกายานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นอันดับหนึ่ง อันดับหนึ่งก็คือกาย จึงเป็นสิ่งที่เราเห็นกันอยู่ ทุกวันๆ และเป็นสิ่งเราได้สัมผัสอยู่ ทุกวันๆ เราจึงรู้และเข้าใจง่ายในการที่จะเอากายนี้มาเป็นการส่งเสริม หรือเรียกว่าเสริมสติของเราให้แก่กล้ายิ่งขึ้น วิธีการที่ท่านให้เอากายนี้เป็นการเสริมสตินั้น ท่านทำอย่างไร

ในบาลีท่านแสดงไว้ว่าให้เราพากันมีสติมองดูกายในอดีต อนาคต และปัจจุบัน กายในอดีตเป็นอย่างไร กายในอนาคตเป็นอย่างไร กายในปัจจุบันเป็นอย่างไร เรากำหนดจิตไว้ที่นั่น จะเป็นระยะหนึ่ง หรือว่านาน หรือไม่นาน ก็สุดแล้วแต่ แต่ถ้าหากว่าเรากำหนดลงไปได้ จะเป็นการเสริมสติขึ้นมาทันที

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/misc/lp-viriyang-03.htm

36
คาถาข้างพระที่ : คาถาของพระมหากษัตริย์


คาถาข้างพระที่หรือคาถาเจริญธาตุ เป็นคาถาของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่สมัยโบราณ ทรงเจริญพระคาถาเพื่อให้เจริญพระชนมายุ ป้องกันโภยภยันตรายต่างๆ ผู้ใดเจริญพระคาถานี้จะทำให้มีอายุยืนนาน ป้องกันสารพัดโรคาพยาธิครับ ตัวพระคาถามีดังนี้

พุทธัง ชีวิตัง อายุวัฒนัง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ธัมมัง ชีวิตัง อายุวัฒนัง ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

สังฆัง ชีวิตัง อายุวัฒนัง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิฯ


เขียนโดย ทศพรรษ พชร
ที่มา
http://roikamhom.blogspot.com/search/label/ ไสยศาสตร์

37

เรื่องผีในวังหลวง (สระพระองค์อรไทย)

สระนี้สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งอยู่บริเวณแถวนอก หลังเต๊งแดงตรงกับประตูกัญญาวดี อยู่ในเขตพระราชฐานชั้นใน ในพระบรมมหาราชวัง เป็นสระน้ำสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดกว้าง 10.00 เมตร ยาว 15.00 เมตร ลึก 4.00 เมตร ภายในสระก่ออิฐฉาบปูนโดยรอบ ที่ขอบสระทำเป็นทางเดินปูด้วยกระเบื้องซีเมนต์ มีบันได้ก่ออิฐฉาบปูนลงไป สามารถตักน้ำได้ 2 ทาง มีรั้วไม้ฉลุลายตามแนวทางเดินโดยรอบ มีประตูเข้า-ออก 2 ทาง สระนี้มีหลังคาคลุมเป็นโครงหลังคามุงด้วยสังกะสี ที่ขอบชายประดับด้วยไม้แผ่นฉลุลายโดยรอบทางเข้า ด้านทิศตะวันออก มีแท่นปูนจารึกคำอุทิศดังนี้



" ศุภมัสดุรัตนโกสินทร์ศก ๑๒๔ สุริยคติกาลที่ ๙ เดือนมีนาคม จันทรคตินิยม วันศุกร์ เดือนสี่ขึ้นสิบห้าค่ำ ปีมเสงสัปตศก จุลศักราช ๑๒๖๗ พระเจ้าน้องนางเธอพระองค์เจ้าอรไทยเทพกัญญา ทรงพระดำริห์ว่า จะใคร่บำเพ็ญอุทกทานให้เป็นสาธารณประโยชน์ทั่วไปในบรรดาผู้ซึ่งอยู่ในพระบรมมหาราชวังอันตั้งอยู่ ณ ที่ห่างไกลจากฝั่งน้ำ จึงนำพระประสงค์ขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระบรมราชานุญาตแลพระราชานุเคราะห์ให้ได้ขุดสระดังความประสงค์ จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้กองโยธาในกระทรวงวัง จัดการสร้างสระนี้ กว้าง ๕ วา ยาว ๗ วา ๒ ศอก ลึก ๒ วา ได้ลงเขื่อนถือปูนสิเมนมีบันไดลาดศิลาขึ้นลง ปลูกสร้างหลังคาครอบแลรั้วกั้นแล้วสำเร็จเงิน ๘,๖๖๑ บาท ๘ อัฐ จึ่งได้อาราธนาพระสงฆ์เจริญพระปริตพุทธมนต์รับอาหารบิณฑบาตรเป็นเบื้องต้นแห่งทาน แล้วได้มีการแจกสลากต่าง ๆ มีช้างแลกระบือเป็นอาทินับจำนวนถ้วน ๕,๐๐๐ สลาก ทรงบริจาคทั่วไปในบรรดาผู้ซึ่งอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ด้วยหวังพระทัยให้เป็นประโยชน์แลยินดีทั่วหน้า ดังอำนาจพระเมตตาแลสาธารณทานอันได้ทรงบำเพ็ญครั้งนี้ จงเป็นอุปการวิธีกางกั้นสรรพพิบัติอันตราย ให้พระโรคเสื่อมคลายทรงพระเจริญศุขศิริสวัสดิ์สิ้นกาลนาน ทรงอุทิศพระกุศลส่วนสาธารณทานนี้แด่ท่านทั้งหลายผู้ได้อนุโมทนาจงสำเร็จความปรารถนาในทางธรรม ทั้งประจุบันแลภายน่านั้นเทอญ "


ที่มา
http://roikamhom.blogspot.com/search/label/ ไสยศาสตร์

38
สาระดีเรื่องของจำนวนธูปบูชาพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ใช้กี่ดอกดี




ความหมายของ จำนวนธูป


ธูป 1 ดอก วิญญาณธรรมดา ที่ไม่ได้ขึ้นชั้นเทพ

ธูป 2 ดอก ใช้บูชาเจ้าที่เจ้าทาง

ธูป 3 ดอก ใช้บูชาพระรัตนตรัย (พระปัญญาคุณ พระกรุณาคุณ และพระเมตตาคุณ)

ธูป 5 ดอก ใช้บูชาพระฤาษี องค์เซียน เทพเจ้า ธาตุทั้งห้า หรือทิศทั้งห้า บูชาเสด็จพ่อ ร. 5

ธูป 7 ดอก ไหว้พระพรหม บูชาพระอาทิตย์ ถือคติคุ้มครองทั้ง 7 วันในสัปดาห์

ธูป 8 ดอก บูชาเทพเจ้าตามความเชื่อของชาวฮินดู

ธูป 9 ดอก บูชาพระพุทธคุณ ทั้งเก้า และพระเทพารักษ์

ธูป 11 ดอก บูชาพระโพธิ์สัตว์ และสมมุติเทพ

ธูป 10 ดอก ใช้บูชาเจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าเขา ตามความเชื่อของชาวจีน

ธูป 12 ดอก บูชาเจ้าแม่กวนอิม บูชาพระคุณของแม่

ธูป 16 ดอก บูชาเทพชั้นครู หรือ พิธีกลางแจ้ง ที่มีการอัญเชิญเทวดา ที่สำคัญหมายถึงสวรรค์ 16 ชั้น

ธูป 19 ดอก บูชาเทวดาทั้ง 10 ทิศ

ธูป 21 ดอก บูชาพระคุณของพ่อ

ธูป 32 ดอก ใช้สวดชุมนุมเทวดาทั้ง 4 ทิศ

ธูป 108 ดอก บูชาทุกสัพสิ่งสูงสุดทั่วทั้งโลกทุกชั้นฟ้า

หมอพิธีทั่วไปจะอิงตามตำรา และเสี่ยงทายโดยโยนหัวก้อย เป็นต้น ส่วนผู้มีญาณจะใช้วิธีไต่ถามกับเทพดาโดยตรง

**จริงๆ แล้ว ไม่ได้อยู่ที่ จำนวนธูปที่ เราจุดหรอก น่าจะอยู่ที่ จิตใจของคนที่ต้องการจะทำบุญมากกว่า ว่า เค้าคนนั้นมีจิตใจดี หรอไม่ !!!


เขียนโดย ทศพรรษ
http://roikamhom.blogspot.com/search/label/ ธรรมะ

39
ปัญหา พระพุทธเจ้าทรงอธิบายเปรียบเทียบความสุข อันเกิดแต่กามไว้อย่างไรบ้าง ? (1/2)



“..... ดูก่อนคหบดี เปรียบเหมือนสุนัขอันความเพลียเพราะความหิวเบียดเบียนแล้ว พึงเข้าไปยืนอยู่ใกล้เขียงของนายโคฆาต นายโคฆาตหรือลูกมือของนายโคฆาตผู้ฉลาด พึงโยนร่างกระดูกที่เชือดชำแหลออกจนหมดเนื้อแล้วเปื้อนแต่เลือดไปยังสุนัข ฉันใด....

“..... ดูก่อนคหบดี อริยสาวกก็ฉันนั้นแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคตรัสว่าเปรียบด้วยร่างกระดูก มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ในกามนี้มีโทษอย่างยิ่ง

“..... ดูก่อนคหบดี เปรียบเหมือนแร้งก็ดี นกตะกรุมก็ดี เหยี่ยวก็ดี พาชิ้นเนื้อบินไป แร้งทั้งหลาย หรือนกตะรุมทั้งหลาย หรือเหยี่ยวทั้งหลายจะพึงโผเข้ารุมจิกแย่งชิ้นเนื้อนั้น ฉันใด....

“..... ดูก่อนคหบดี อริยสาวกก็ฉันนั้นแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคตรัสว่า เปรียบด้วยชิ้นเนื้อ มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ในกามนี้มีโทษอย่างยิ่ง

“..... ดูก่อนคหบดี เปรียบเหมือนบุรุษพึงถือคบเพลิงหญ้าอันไฟติดทั่วแล้ว เดินทวนลมไปฉันใด.....

“..... ดูก่อนคหบดี อริยสาวกก็ฉันนั้นแล ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า กามทั้งหลายพระผู้มีพระภาคตรัสว่า เปรียบด้วยคบเพลิง มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก ในกามนี้มีโทษอย่างยิ่ง

“..... ดูก่อนคหบดี เปรียบเหมือนหลุมถ่านเพลิงลึกกว่าชั่วบุรุษหนึ่ง เต็มด้วยถ่านเพลิงอันปราศจากเปลว ปราศจากควัน บุรุษผู้รักชีวิต ไม่อยากตาย รักสุข เกลียดทุกข์ พึงมา บุรุษมีกำลังสองคนช่วยกันจับแขนบุรุษนั้นข้างละคน ฉุดเข้าไปยังหลุมถ่านเพลิง ฉันใด....

ที่มา
http://roikamhom.blogspot.com/search/label/ ธรรมะ

40
คาถาอาคม / บทสวดพิจารณาอาหาร
« เมื่อ: 10 ธ.ค. 2554, 12:05:39 »
บทสวดพิจารณาอาหาร

ปะฏิสังขา โยนิโส ปิณฑะปาทัง ปะฏิเสวามิ เรายอมพิจารณาโดยแยบคาย แล้วฉันบิณฑบาต

เนวะ ทวายะ ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเพลิดเพลิน สนุกสนาน

นะ มะทายะ ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเมามัน เกิดกำลังพลังทางกาย

นะ มัณฑะนายะ ไม่ให้เป็นไปเพื่อประดับ

นะ วิภูสะนายะ ไม่ให้เป็นไปเพื่อตกแต่ง

ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายัสสะ ฐิติยา แต่ให้เป็นเพียงเพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งกายนี้

ยาปะนายะ เพื่อความเป็นไปได้ของอัตภาพ

วิหิงสุปะระติยา เพื่อความสิ้นไปแห่งความลำบากทางกาย

พรัหมะจะริยานุคคะหายะ เพื่ออนุเคราะห์แห่งการประพฤติพรหมจรรย์

อิติ ปุรานัญจะ เวทะนัง ปะฏิหังขามิ ด้วยการทำอย่างนี้ เราย่อมระงับเสียได้ซึ่งทุกขเวทนาเก่า คือความหิว

นะวัญจะเวทะนัง นะ อุปปาเทสสามิ และไม่ทำทุกเวทนาใหม่ให้เกิดขึ้น

ยาตรา จะ เม ภะวิสสะติ อะนะวัชชะตา จะ ผาสุวิหาโร จาติ อนึ่ง ความเป็นไปโดยสะดวกแห่งอัตภาพนี้ด้วยความเป็นผู้หาโทษมิได้ด้วย และความเป็นอยู่โดยผาสุกด้วยจักมีแก่เรา ดังนี้

โดยสรุปการรับประทานแบบพุทธะ คือ มีสติกับการรับประทานอาหาร ดังนี้

ไม่เพลิดเพลิน สนุกสนานกับการรับประทานอาหาร ไม่คำนึงว่าอาหารจะทำให้สวยงามหรือเกิดกำลังกายแข็งแรง
แต่ รับประทานเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้อย่างสะดวก สบาย และเพียงเพื่อระงับเวทนา คือความหิว และไม่สร้างเวทนาอื่นขึ้นมาเพิ่ม เช่น อาการแน่นอึดอัดหรือสะสมเป็นไขมัน คือเกิดโรคอ้วนตามมา
จากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่า การเจริญสติ ทำให้การทำงานของสมองด้านขวาเด่นชัดขึ้น ซึ่งอาจมีผลทำให้ระบบการควบคุมในสมองกลับสภาพปกติ ดังนั้นการฝึกสติโดยสวดบทพิจารณาอาหารอย่างเข้าใจความหมายก่อนรับประทาน อาหารจะมีอานิสงค์จะช่วยควบคุมน้ำหนัก ป้องกันโรคอ้วนได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ


ที่มา
http://roikamhom.blogspot.com/search/label/ ธรรมะ

41
สะเดาะเคราะห์ตามความเชื่อ

          คนไทยเรานั้นเชื่อถือเรื่องโชคลางและบาปกรรมกันมาเป็นเวลานานมาแล้ว ส่วนหนึ่งเชื่อกันว่าเมื่อเรามีเคราะห์หรือทุกข์ร้อนต่างๆ นาๆ วิธีหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาสิ่งเลวร้ายต่างๆ ให้ทุเลาเบาบางลงไปบ้าง ก็คือการไปทำบุญ เข้าวัดเข้าวา และที่ขาดไม่ได้สำหรับคนไทยในสมัยก่อนนั้นก็คือการสะเดาะเคราะห์

          แต่การสะเดาะเคราะห์ดังกล่าวนี้ มีมากมายหลายอย่างที่เป็นสิ่งสืบทอดจนมาถึงปัจจุบัน บางครั้งเราเองก็เคยไปสะเดาะเคราะห์โดยการปล่อยสัตว์ต่างๆให้เป็นอิสระ แต่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้ด้วยซ้ำไปว่าการกระทำดังกล่าวส่งผลแก่ตัวเราอย่างไร ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราต้องการสะเดาะห์เคราะห์เพื่อผลบางอย่างเราจะต้องทำอย่างไร ลองอ่านบทความข้างล่างดู แล้วคุณจะทราบถึงเหตุผลที่คุณเองอาจจะไม่เคยทราบมาก่อน


การทำบุญโดยปล่อยสัตว์ต่างๆ
          1. การปล่อยปลาไหล เป็นการทำบุญสะเดาะเคราะห์เพื่อให้การกระทำใดๆ หรืองานบางอย่างที่เรามุ่งหวัง ราบลื่น ลื่นไหลเหมือนดังชื่อของปลาไหล ไม่มีติดขัด และอุปสรรคใดๆขัดขวาง

          2.การปล่อยเต่า เป็นการทำบุญสะเดาะเคราะห์เพื่อให้ตนหรือใครบางคนที่เราอธิษฐานถึง มีอายุมั่นขวัญยืน หรือถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ก็ขอให้หายจากการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นๆ

          3. การปล่อยหอยขม เป็นการทำบุญสะเดาะเคราะห์เพื่อขอให้ความทุกข์ ความขมขื่นที่เป็นอยู่ และเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลใจให้กับตัวเองจง หมดไป หรือหายไปพร้อมกับหอยขมที่เราปล่อยไป

          4. การปล่อยนก เป็นการทำบุญสะเดาะเคราะห์เพื่อขอให้ตัวเราจงพ้นจากความทุกข์ที่ผูกพันอยู่ในชีวิต พ้นจากปัญหา หรือเคราะห์ร้ายใดๆ ที่เหนี่ยวรั้งจิตวิญญาณของคุณให้เป็นทุกข์ ไร้อิสระ การปล่อยนกเป็นเสมือนกับการขอให้ตนได้เริ่มชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม

          5. การปล่อยปลาทั่วๆไป เป็นการทำบุญสะเดาะเคราะห์เพื่อขอให้มีความสุขร่มเย็นในชีวิต ทุกข์ใดๆที่ทำให้เดือดเนื้อร้อนใจ ขอให้หมดสิ้นไป แต่โดยความเป็นจริงแล้ว ถ้าคุณทำบุญโดยการซื้อสัตว์อะไรมาปล่อยก็ตาม คุณก็จะได้ผลบุญหนุนนำให้ชีวิตรุ่งเรือง หมดเคราะห์หมดโศกอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าถ้าคุณมีเรื่องทุกข์ร้อน หรือปรารถนาถึงเรื่องใดเป็นพิเศษ ก็ลองทำตามความเชื่อที่มีมาแต่โบราณเหล่านี้ดู เพราะอย่างน้อยที่สุดก็สร้างความสบายใจให้เกิดขึ้นแก่ตัวคุณได้

ที่มา
http://guru.sanook.com/pedia/topic/ สะเดาะเคราะห์ตามความเชื่อ/

42
ดารากับธรรมมะ บางส่วนกับชีวิต สรพงศ์ ชาตรี

ไม่เพียงแต่จะเป็นดาวที่ไม่เคยอับแสง แม้จะผ่านการแสดงภาพยนตร์มาแล้วเกือบ 500 เรื่อง สำหรับ‘สรพงศ์ ชาตรี’ หรือ ‘กรีพงศ์ เทียมเศวต’ อดีตพระเอกยอดนิยมและนักแสดง ผู้ได้รับรางวัลศิลปินแห่งชาติ ประจำปี 2551 สาขาศิลปะการแสดง ประเภทนักแสดงภาพยนตร์และละครโทรทัศน์

เพราะชีวิตในวัยย่างเข้า 60 ปีของเขา ยังเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยพลัง พร้อมจะทำสิ่งที่ตั้งใจให้บรรลุเป้าหมาย และปฏิญาณตนว่าจะขอทำหน้าที่นักแสดงผู้ซื่อสัตย์ต่อผู้ชมต่อไป ดังเช่นที่เขากล่าวไว้ในวันที่ได้รับรางวัลศิลปินแห่งชาติว่า

“ผมเป็นเด็กท้องทุ่ง พ่อแม่ปู่ย่า ตายาย ไม่เคยมีใครเป็นดารา ไม่เคยได้เรียนมหาวิทยาลัยที่สอนการเป็นดารา ดังนั้นสิ่งที่ได้มาต้องอาศัยความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ทำความดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่หวังผลตอบแทน”

ภายหลังว่างเว้นจากการเตรียมงานเพื่อทำบุญ 7 วัน 7 คืน ณ บ้านโนนกุ่ม ต.มิตรภาพ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา อันเป็นสถานที่ซึ่งเขาได้เป็นโต้โผ สร้างอุทยานและรูปปั้นหลวงปู่โต องค์ใหญ่ที่สุดในโลกขึ้นที่นั่น

นักแสดงผู้เป็นลูกหลานชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและเวลานี้ทำหน้าที่เป็นประธาน ‘มูลนิธิสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เมตตาบารมี’ ได้บอกเล่าถึงสิ่งหนึ่งที่เขาต้องการสานต่อและทำให้สำเร็จภายใน 20 ปี เพื่อเป็น การตอบแทนพระพุทธศาสนา และเป็นสัญญลักษณ์ให้ ชาวพุทธได้กราบไหว้ คือการสร้างพระนอนองค์ใหญ่ที่สุดในโลก

ชีวิตของนักแสดงผู้นี้ไม่ได้มาข้องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเอาในวัยที่สังขารของชีวิตเริ่มร่วงโรย เพราะนับแต่วัยเด็กเขามักติดตามพ่อแม่ไปทำบุญที่วัดอยู่เป็นประจำ

“จำความได้ก็ตามพ่อแม่ไปวัดแล้ว พ่อแม่ชอบไปทำบุญ ถึงวันโกนก็ต้องไปนอนวัด ตื่นเช้าขึ้นมาก็ต้องช่วยทางวัดล้างถ้วยล้างชาม ขัดกระถางธูป ล้างคณโฑมาใส่น้ำใส่ยาอุทัย ใส่ดอกมะลิ และยกตะลุ่ม (สำรับอาหารของชาวอยุธยา)ไปถวายพระ เหลือจากพระฉันเราก็ทาน แล้วก็ช่วยล้างเก็บ”

กิจวัตรดีงามเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาบอกว่าได้รับการปลูกฝังไว้ในวิถีชีวิต

“เป็นเรื่องปกติของคนอยุธยา และคนบ้านนอกทุกบ้าน ที่ถึงวันพระต้องไปทำบุญ และวันธรรมดาต้องใส่บาตร จัดเตรียมอาหารและขนมสารพัด”

ในวัย 11 ขวบ เขาได้รับการบรรพชาเป็นสามเณร กระทั่งอายุ 19 ปี จึงได้สึกออกมา และได้รับการชักชวนให้เข้าสู่วงการบันเทิงและมีชื่อเสียงในที่สุด

จากชีวิตสามเณรที่ต้องรักษาศีล 10 ไม่บกพร่อง ส่งผลให้ชีวิตฆราวาสของนักแสดงผู้นี้ เป็นชีวิตที่พยายามประคองตนให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมเรื่อยมา

“เวลาไปถ่ายหนัง หรือถูกเชิญไปร้องเพลงที่ไหนก็ต้องแวะไปวัด เวลาพักกองถ่าย คนอื่นเขาจะกินเหล้ากันเราก็ไปวัด หรือตกเย็นถ่ายหนังเสร็จ ก็ไปคุยกับ พระ ติดนิสัยมาตั้งแต่ตอนเป็นเณร อยู่กับพระมาตั้งแต่อายุ 11-19 ปี จึงทำให้คุยกับคนอื่นไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะเราไม่กินเหล้ากับเขา ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นสนุ้ก ไม่เล่นม้า ไม่เล่นหวย ชอบคุยกับพระมากกว่า ได้ถามปัญหาเกี่ยวกับธรรมะ มันได้ประโยชน์กับชีวิต”

ทีมา
http://chaiwat201149.blogspot.com/2011_03_01_archive.html

43
เอาไว้สอนวัยรุ่น คนหนุ่มสาวได้เลย


เรื่องสั้นแง่คิดดีๆ
อุบาย คลายความคิดถึง ของ หลวงพ่อชา สุภัทโท
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

จากหนังสือ “ชวนม่วนชื่น” ของพระอาจารย์พรหม



ในปีแรกที่อาตมาบวชเป็นพระที่ภาคอีสานของไทย
อาตมากำลังนั่งอยู่ใน ตอนหลังของรถคันหนึ่งกับพระฝรั่งอีกสองรูป
หลวงพ่อชาท่าน อาจารย์ของอาตมานั่งที่เบาะหน้า

จู่ๆหลวงพ่อชาก็หันหน้ามาข้างหลัง
และจ้องดูพระหนุ่ม ชาวอเมริกันซึ่งเพิ่งบวชใหม่ๆ ที่นั่งอยู่ข้างๆอาตมา
แล้วท่านก็พูดอะไรบางอย่างเป็นภาษาไทย

พระฝรั่งอีกรูป หนึ่งที่นั่งอยู่ในรถที่ท่านพูดภาษาไทยได้คล่อง จึงแปลให้พระฝรั่งรูปที่หลวงพ่อพูดด้วยว่า
“หลวงพ่อบอกว่า คุณกำลังคิดถึงแฟนของคุณที่อยู่ที่แอลเอนู่น”

พระบวชใหม่ชาวอเมริกันถึงกับอ้าปากค้างด้วย ความงงงัน..........

หลวงพ่อรู้ วาระจิตของท่าน
รู้ ว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่ แถมยังแม่นยำเสียด้วย.........

หลวงพ่อชายิ้ม แล้วพูดต่อว่า
“ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้จัดการได้ ให้เขียนจดหมายไปหาเธอ
ขอให้เธอส่งของส่วนตัว บางอย่างมาให้คุณ
เอา สิ่งที่ใกล้ชิดกับตัวเธอมากที่สุด
ที่คุณจะสามารถเอาออกมาชื่นชมได้ เมื่อคุณคิดถึงเธอ เพื่อจะเตือนคุณให้ระลึกถึงเธอ”

พระบวชใหม่ถามด้วยความประหลาดใจว่า
“โอ้ ! พระเจ้าเราทำได้หรือครับ”
หลวงพ่อชาตอบว่า “ทำได้”

เห็นทีพระท่านก็เข้าอกเข้าใจในเรื่องรักๆใคร่ๆ กระมัง……

สิ่งที่หลวงพ่อชากล่าวต่อไปนั้นต้องใช้เวลาอยู่หลายนาที

กว่าพระ ฝรั่งรูปที่เข้าใจภาษาไทยจะแปลออกมาได้
ล่ามของเราถึงกับต้องกลั้น หัวเราะให้อยู่และรวบรวมสมาธิเสียก่อน

“หลวงพ่อบอก ว่า…………………..”
ท่านพยายามที่จะเอ่ยคำออกมา
พลางปาดน้ำตาที่เล็ดจากการหัวเราะทิ้ง

“หลวงพ่อบอก ว่า................
คุณควรจะขอให้เธอส่งขี้ใส่ ขวดมาให้

แล้ว เมื่อไหร่ที่คุณคิดถึงเธอ
คุณก็จะได้หยิบขวดขี้ของ เธอออกมาสูดดม !

 :004:
เขียนโดย ชัยวัฒน์ ทองพริก :015:
http://chaiwat201149.blogspot.com/2011/03/blog-post_10.html

44

สาระธรรมอันอุดม

พระพุทธศาสนา กับคำสอนเรื่องเทวดา นรก และสวรรค์ ว่ากันอย่างไร



คำสอนเรื่องเทวดา

                 ในพระพุทธศาสนามีคำสอนเรื่องเทวดาไว้หลายประเภทรวมทั้งประเภทที่นับว่าสำคัญที่สุด คือที่ทุกคนอาจเป็นไปได้ในชาตินี้ โดยไม่ต้องรอให้ตายเสียก่อน นั้นก็คือการเป็นเทวดาได้โดยมีคุณธรรมอันเป็นคำสอนที่ต้องการให้ได้ประโยชน์และได้ผลจริง ๆ ในหมู่ผู้ฟัง เพราะการฟังเรื่องเทวดาบนสวรรค์ว่ามีสุขสมบัติอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ไม่ผิดอะไรกับฟังนิทาน พอเลิกแล้วก็แล้วไป ไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไรได้ หรืออาจปฏิบัติด้วยเชื่อว่าตายแล้วจะได้เป็นอย่างนั้นบ้าง แต่ก็รู้สึกว่าจะเลื่อนลอยเกินไป ต้องทุ่มความเชื่อลงไปจนเต็มที่จึงจะปลอบใจให้สบายได้ ด้วยเหตุนี้จึงสู้คำสอนที่ให้เป็นเทวดาด้วยคุณธรรมในชาตินี้ไม่ได้ เพราะตรงไปตรงมาและมีเหตุผลในหลักคำสอนที่ให้เกิดผลดีแก่เอกชนและแก่ส่วนรวมอย่างน่าพอใจ
                  ประเภทแห่งเทพหรือเทวดาที่แสดงไว้ในพระพุทธศาสนามีดังนี้ :-
                  ๑. สมมติเทพ เทวดาโดยสมมติ ได้แก่ พระราชา พระราชินี พระราชกุมาร และพระราชกุมารี
                  ๒. อุปปัตติเทพ เทวดาโดยกำเนิด ได้แก่ เทวดาจริง
                  ๓. วิสุทธิเทพ เทวดาโดยความบริสุทธิ์ อย่างสูง ได้แก่ พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้า

                  เทวดาทั้ง 3 ประเภทนี้ พอจะเห็นความได้ชัด คือ ในประเภทแรกสมมติเทพนั้น มนุษย์เราได้ยกย่องหัวหน้าขึ้นเทียบด้วยเทวดา
ทั้งนี้เป็นไปตามระบบราชาธิปไตยหรือประชาธิปไตยแบบมีพระมหากษัตริย์ การใช้ถ้อยคำแสดงคารวะก็เป็นไปโดยพิเศษ แต่เทวดาโดยสมมติอย่างนี้ ใคร ๆ จะเลือกเป็นตามชอบใจไม่ได้ เพราะจะต้องเป็นไปตามการสืบสกุลตามกฎมณเฑียรบาล ส่วนเทวดาประเภทที่ 2 ที่เรียกว่า อุปปัตติเทพนั้น ได้แก่ เทวดาจริง ๆ ซึ่งจะได้วินิจฉัยในตอนสุดท้ายที่ว่าด้วยสวรรค์นรกมีจริงหรือไม่ เทวดาประเภทนี้ กล่าวตามหลักพระพุทธศาสนาได้แก่ผู้เคยประกอบคุณงามความดีไว้ แล้วผลแห่งคุณงามความดีนั้นส่งสนองให้ได้ประสบสุขในเทวโลก ซึ่งดูเหมือนจะมีกล่าวไว้ในทุกศาสนา แต่คนสมัยใหม่ไม่ค่อยเชื่อ หาว่าเป็นเรื่องปดหรือเอาสวรรค์มาล่อให้คนทำความดี ฉะนั้นจึงควรได้รับการพิจารณาในลำดับต่อไป อย่างไรก็ตามเมื่อมาถึงเทวดาประเภทที่ 3 แล้ว จะเห็นได้ว่าพระพุทธศาสนาได้ใช้หลักตัดสินที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในการวินิจฉัยเรื่องเทวดาโดยให้หลักไว้ว่า ยังมีเทวดาอีกประเภทหนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเทวดาประเภทอื่น 2 ข้อข้างต้น คือ วิสุทธิเทพหรือเทวดาโดยความบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์ในที่นี้หมายถึงความบริสุทธิ์ทางกาย วาจา ใจ อันได้แก่ความประพฤติตนเป็นคนดีพร้อมนั้นเอง

                 คนที่ประพฤติตนดี มีความบริสุทธิ์ ย่อมชื่อว่าเป็นเทวดาสูงกว่าเทวดาโดยสมมติ สูงกว่าเทวดาบนสวรรค์ นี่แสดงว่าพระพุทธศาสนาไม่ได้ให้เกียรติเทวดาบนสวรรค์ยิ่งกว่ามนุษย์ที่ประพฤติปฏิบัติตนให้บริสุทธิ์สะอาดทางกายวาจาใจแต่ประการไร อาจกล่าวได้ว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแรกในโลกที่สอนเรื่องเทวดาบนพื้นโลกซึ่งทุกคนอาจเป็นได้ อันสูงกว่าเทวดาทุกประเภทซึ่งมีกล่าวไว้ในศาสนาต่าง ๆ ทั้งเป็นเรื่องที่มีเหตุผลอันอาจตรองตามและลงมือประพฤติปฏิบัติได้ด้วย

                  เทวดาโดยความประพฤติประเภทนี้ ที่ว่าอย่างสูง ได้แก่พระอรหันต์ผู้ละกิเลสได้ เป็นอันแสดงว่าอย่างต่ำก็มี ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ผู้ประกอบด้วยหิริความละอายแก่ใจ โอตตัปปะความเกรงกลัวต่อบาปทุจริต ประพฤติธรรมฝ่ายขาว คือ คุณงามความดี ชื่อว่ามีธรรมของเทวดา”

ที่มา
http://chaiwat201149.blogspot.com/2011/03/blog-post_28.html

45
พอดีได้อ่านเรื่อง...เล่าสู่กันฟัง...การอยู่ปริวาสกรรม
โดยพระอาจารย์ รวี สัจจะ...

http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=14047.msg127959#msg127959
ซึ่งมีการกล่าวถึง....กิจวัตร 10 ประการของพระสงฆ์
อยากรู้ว่ามีอะไรบ้าง จึงมาแบ่งกันกันครับ
=======================
กิจวัตร ๑๐ อย่างของพระสงฆ์ ที่ควรอ่านและปฏิบัติ

ของฝากสำหรับตัวข้าพเจ้าเองและเพื่อนพระภิกษุ
ประโยชน์ของกิจวัตร ๑๐ อย่าง

        1.   ลงอุโบสถ  ,  ได้ประโยชน์   6   อย่าง   อุ
1.       ได้ส่งเสริมพระธรรมวินัย
2.       ทำให้เกิดความสามัคคี
3.       มีความบริสุทธิ์
4.       มุตตกนิสัย
5.       คนเลื่อมใสศรัทธา
6.       พาให้เป็นแบบอย่างที่ดี

       2.   บิณฑบาต  เลี้ยงชีพ  ,  ได้ประโยชน์   6   อย่าง   บิณ
1.       ได้เจริญรอยตามยุคลบาท
2.       ได้โอกาสออกกำลังกายตอนเช้า
3.       ได้เข้าถึงความสำนึกในพระคุณแม่
4.       ได้เห็นทุกข์ในการแสวงหาอาหาร
5.       ได้เห็นความต้องการของประชาชน
6.       ได้ทำตนให้เป็นเนื้อนาบุญยิ่งขึ้น

        3.   สวดมนต์ไหว้พระ  ,  ได้ประโยชน์   6   สวด
1.       ได้เฝ้าพระพุทธเจ้า
2.       เข้าใจศาสนพิธี
3.       มีจิตเป็นกุศล
4.       ทำตนให้แกล้วกล้า
5.       ชาวบ้านศรัทธา
6.       รักษาสัทธรรม

        4.   กวาดวิหารลานเจดีย์  ,  ได้ประโยชน์   6   อย่าง  กวาด
1.       ได้ออกกำลังกาย
2.       ทำให้สถานที่สะอาด
3.       ปราศจากโรคภัย
4.       จิตใจคลายเครียด
5.       เสนียดจัญไรลดลง
6.       คงไว้ซึ่งศรัทธา

        5.   รักษาผ้าครอง  ,  ได้ประโยชน์   6   อย่าง   รัก
1.       ได้ตื่นแต่เช้า
2.       เอาใจใส่ในกิจวัตร
3.       ฝึกหัดจิตใจ
4.       ทำให้สุขภาพดี
5.       มีความจำเยี่ยม
6.       เตรียมตารางชีวิต

เขียนโดย ชัยวัฒน์ ทองพริก
ที่มา
http://chaiwat201149.blogspot.com/2011/03/blog-post_5876.html

46
ธรรมวิจยะ พระอาจารย์ชา สุภัทโท : ตอนที่ 1/2
วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 16:28:11 น.


http://www.matichonbook.com/index.php/newbooks/-855.html

บิณฑบาตเอาคนไม่เอาอาหาร

ระหว่างวันที่ ๕ พฤษภาคม ถึงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๒๐ พระอาจารย์ชา สุภัทโท เดินทางไปยังสหราชอาณาจักร

เป็นการเดินทางไปพร้อมกับพระสุเมโธ และพระเขมธัมโม

เป็นการเดินทางขณะที่พระอาจารย์ชา สุภัทโท มีอายุครบ ๕๙ ปี ในวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๒๐

เป็นการเดินทางขณะอยู่ในพรรษาที่ ๓๘ ของการอุปสมบท

นอกเหนือจากที่ได้เขียนเอาไว้ในหัวข้อ “บันทึกเรื่องการเดินทางไต่างประเทศ” แล้ว ครั้งหนึ่งระหว่างบรรยายแก่พุทธบริษัทที่วัดหนองป่าพง ภายใต้หัวข้อที่ตั้งขึ้นในภายหลังว่า “ธรรมที่หยั่งรู้ยาก”

พระอาจารย์ชา สุภัทโท ได้เล่าเรื่องบางเรื่องของการเดินทางไปยังสหราชอาณาจักรอย่างเปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวา
ดังได้สดับมา ดังนี้

อาตมาออกไปเมืองนอกซึ่งเขาไม่มีพระเหมือนบ้านเรา ก็เป็นเหตุให้มองเห็นพระพุทธเจ้าเสียแล้ว
พอเราออกไปบิณฑบาต เขามองไม่เห็นพระเลย เขามองเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้

คนที่คิดจะใส่บาตรสักคนหนึ่งก็ไม่มี มีแต่เขาพากันมองว่าตัวอะไรน่ะมานั่น โอ้โฮ...นึกถึงพระพุทธองค์
อาตมากราบท่านเลย

มันแสนยาก แสนลำบาก ที่จะฝึกคน เพราะเขาไม่เคยทำ ผู้คนที่ไม่เคยทำไม่รู้จัก นี่มันลำบากมาก

พอมานี่ นึกถึงเมืองไทย เราออกจากป่าไปบิณฑบาตเท่านั้นแหละ ไม่อดแล้ว ไปที่ไหนมันก็สบายมาก แต่เมื่อเราไปเมืองนอกอย่างนั้น มองๆ ดูไม่มีใครตั้งใจมาตักบาตรพระ บาตรเขายังไม่รู้จักเลย

เราสะพายบาตรไป เขานึกว่าเป็นเครื่องดนตรีเสียอีก

ถึงอย่างนั้นอาตมาก็ยังดีใจในสิ่งที่ได้ทำมาแล้ว โดยมากพระท่านไปเมืองนอกท่านไม่บิณฑบาตหรอก อาตมามองเห็นข้อนี้นึกถึงพระพุทธเจ้า

อาตมาต้องบิณฑบาต ใครจะห้ามก็จะบิณฑบาต

ไปทำกิจอันนี้ที่กรุงลอนดอนได้ ดีใจเหลือเกิน พวกพระไปด้วยกันก็ว่าบิณฑบาตทำไม มันไม่ได้อาหาร

“อย่าเอาอาหารสิ ไปบิณฑบาตเอาคน เอาคนเสียก่อน ขนมมันมากับคน”

ก็เหมือนท่านพระสารีบุตร ท่านไปบิณฑบาต อุ้มบาตรอยู่ในบ้านตั้งหลายครั้ง เขาก็ไม่ใส่บาตรสักขันเลย
เขามองดูแล้วเขาก็เดินหนี

มาถึงวันหนึ่งเขาก็ว่า “พระสมณะนี่มาอย่างไร ไป หนีไป”

พระสารีบุตรท่านก็ดีใจแล้ว ได้บิณฑบาตแล้ววันนี้ เพราะเขาสนใจเขาจึงไล่เรา ถ้าเขาไม่สนใจเขาไม่ไล่หรอก เขาไม่พูดกับเราหรอก

อาตมานึกถึงข้อนี้แล้วก็ไม่อาย เพราะพระพุทธเจ้าของเราท่านตรัสว่า
“ให้อายแต่สิ่งที่มันเป็นบาป ไม่เป็นบาปไม่ต้องอาย”

ก็เลยออกบิณฑบาตได้สัก ๗ วัน ตำรวจก็จ้องสะกดรอยตามมาห้ามให้หยุดเดินบิณฑบาต บอกว่าผิดกฎหมายในเมืองเขา

เราไม่รู้นี่ว่ามันผิด เราก็หยุด ที่ผิดเพราะเขาหาว่าเป็นขอทานบ้านเขาห้ามขอทาน

เราก็บอกว่า อันนั้นมันเป็นเรื่องของคน แต่นี่มันเรื่องของศาสนาพระพุทธศาสนาไม่ใช่ขอทาน ขอทานประการหนึ่ง การบิณฑบาตอีกอย่างหนึ่ง

ที่มา
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1321955820&grpid=no&catid=&subcatid=

49
ทำกรรมกับงู : งูพยาบาท

น้อง M มาปรึกษาเราว่า เป็นอะไรก็ไม่รู้ปวดท้อง  ทีแรกก็ฟังไปเรื่อยไม่ค่อยสนใจ ไอ้เราว่า ปวดท้องแล้วมาบอกตูยะหยังวะ  เลยไล่ไปหาหมา เอ้ย!! หาหมอ  แต่ M ก็ว่าไปหาแล้ว หมอบอกว่าไม่เป็นอะไร ในท้องทุกอย่างปกติดีหมด แต่ปวดมาตั้งหลายปีแล้ว เดี๋ยวก็ปวดๆ จนเข้าหมาลัยปีหนึ่งที่ปวดหนักขึ้น ปวดทีตัวงอ นอนกองพื้น ทำอะไรไม่ได้เลย  ถึงได้มาถามเราว่าตัวเองเป็น โรคเวรโรคกรรมรึเปล่า

อ่ะนะ… ถ้าถามมาอย่างนี้คืออยากให้เราดูกรรมให้ ก็เลยลองดูให้ค่ะ ซึ่งก็… เออว่ะ M จัง ไม่ได้ปวดท้องอาการธรรมดาๆ แล้วแบบนี้  เพราะจากที่เรามอง  M  มีจิตอาฆาตแปลกๆ ฟุ้งกระจายอยู่ด้านหลังด้วย เลยถามน้องเขาไปว่า

“เวลาปวดเนี่ย มันจะปวดช่วงเอว เริ่มตั้งแต่กระดูกสันหลังแผ่มาจนถึงท้องใช่ไหม” (เอามือจับเอวน้อง M ด้วย กลมอป๊อกหาส่วนขอดไม่เจอเลย 555555)

M ก็ตอบมาว่า
“ใช่ๆ พี่ ใช่อย่างนี้เลย”

“แล้วมันจะจุกขึ้นมาจนถึงหน้าอกใช่ไหม”

M ก็ตอบว่า
“ใช่ๆ พี่รู้ได้ยังไงอ่ะ?” <<< อ้าว…ไม่รู้เรอะ ตูนี่แหล่ะกูรู รู้ทุกเรื่องเป็นรองแค่กูเกิ้ล 55555

ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจดูให้ (เพราะขี้เกียจ 55555) แต่เห็นว่าจิตอาฆาตแรงฟร่ะ ก็ไม่อยากยุ่ง (ก็เค้ากลัวเข้าตัวนี่) M ก็ถามต่อมาว่า

“ไม่รู้ Mโดนของรึเปล่า”

เราก็ว่า “ของอ่ะไม่โดนหรอก  แต่ขนาดนี้มันหนักเกินมือพี่ว่ะ”
อ่า…นะ ถ้าแดงเถือกมาเต็มหลังขนาดนี้คุณพี่ก็เผ่นเอาตัวรอดก่อนล่ะค่ะ 555555 อ่ะนะ… ก็เปล่าใจจืดใจดำ (แต่ขี้เกียจให้ เข้าตัวง่ะ) เลยบอก M ไปว่า ถ้าปวดท้องก็ให้แผ่เมตตาให้เขาไป แล้วก็หาเวลาไปหาหลวงพ่อซะ  เกินมือพี่แล้ว อย่างนี้ (หลวงพ่อที่พูดถึงคือพระที่เก่งมากมายค่ะ ไล่ผีก็ได้ แก้คุณไสย์ก็ได้ ทำครีมหน้าเด้งก็ได้ สบู่สมุนไพรก็สุดยอด สร้างห้องน้ำวัดได้เองอีก เก่งสุดๆ ไปเลยค่ะ อิ อิ)

ก็บอกเจ้า M ไปตามนั้นล่ะ หลังๆ เวลาสาวเจ้าป่วยก็จะแผ่เมตตา ก็จะเบาไปได้ช่วงหนึ่ง ทว่า… แค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น  เพราะเจ้า M ก็ไม่ยอมไปหาหลวงพ่อสักที  ซึ่งก็แบบ… อันนี้เราก็พอรู้อยู่อ่ะค่ะว่า หลวงพ่อท่านไม่ได้อยู่กรุงเทพ แถมท่านก็ยุ่งมากๆ เลยหาตัวจับไม่ค่อยได้เท่าไหร่ ขนาดนัดท่านแล้วบางวันไปหาไม่เจอยังมีเลย

ซึ่งช่วงหลังๆ นี่เจ้า M ก็อาการหนักใช่ย่อย… ที่ว่าหนักนี่คือไม่ได้ปวดท้องหนักนะคะ (เรื่องปวดท้องอ่ะ เขาเป็นอยู่แล้ว) แต่ที่ว่าหนักก็คือ เวลาปวดท้องแล้วน้องเขาจะหาตัวช่วยไง  ด้วยความว่าไอ้น้องรู้ว่าคุณพี่นั่งอยู่บ้านเฉยๆ ก็รู้ได้ว่าน้องปวดท้องยังไงแบบไหน  แล้วเวลามีใครตั้งจิตถึงเราเราก็จะรู้  ระยะหลังเวลาปวดท้องนะ แทนที่จะแผ่เมตตาตามเราบอก ไอ้เจ้า M มาดันเรียกหาเราเฉยเลย  <<<<แล้วช๊านจะไปทามอารายด๊ายยยยย >_<

ในส่วนของเรานี่…เวลามีใครตั้งจิตเรียก มันจะมีอาการปวดหัวค่ะ  บางทีจุก หอบขึ้นมาก็มี เลยจะรู้ได้ว่ามีใครกำลังตั้งจิตถึงเราอยู่ บางทีก็รู้ว่าใคร แต่บางทีก็ไม่รู้  มีอยู่วัน…เราก็ว่าเหมือนเราจะเป็นลม แล้วก็ปวดหัวมาก  ทำยังไงๆ ก็ไม่หาย  ที่ไหนได้อีกวันเจ้า M ดันมาเล่าให้ฟังเฉยเลยว่าปวดท้อง เลยเรียกหาตูทั้งคืน

M เล่นของ(ด้วยกระแสจิต 555) ขนาดนี้เราเลยคิดว่าไม่ไหวแล้ว ขืนรอ M ไปเจอหลวงพ่อ ไม่ใช่ M หรอก เรานี่แหล่ะท่าจะตายก่อน ก็เลยว่าจะจัดยาให้สักชุด ล้างพิษ ล้างลำไส้อะไรไปก่อน สุดท้ายก้ยอมแพ้ บอก M ไปว่า เอาดอกบัวมา 3 ดอก หนวดข้าวโพดกำมือหนึ่ง (พวกนี้เป็นยาสมุนไพรค่ะ) แล้วก็ธูปแหนบหนึ่ง เทียนขาวหนัก 1 บาท 3 เล่ม เงินพานครู 6 บาท (แบบว่าถ้าจะทำต้องไหว้ครู ถ้าผิดครูก็เรื่องใหญ่อยู่ <<< ลองมาแล้ว ถึงขั้นเข้า รพ.) เลย

วันต่อมา  เจ้าM เอาของมาให้ ที่ไหนได้….. แว๊กกก!! เพิ่งจะรู้ว่าเด็กเดี๋ยวนี้ไม่รู้จักเทียนหนัก 1 บาท เจ้า M ดันเอาเที่ยนไขขาวมาซะงั้น (ไม่เหมือนกันเที่ยนขาวนะ) แล้วบ้านเราก็ไม่ได้มีเทียนขาวด้วยนะ หาไปหามาเจอเทียนน้ำมนต์ แง่งๆ ใช้เทียนทำน้ำมนต์ไปก่อนก็ได้

..
ที่มา
http://ghost.renrengang.com/ghost73

50
ศูนย์วิปัสสนากัมมัฏฐาน สวนพุทธธรรม วัดชายนา

 เป็นวัดมหานิกาย
       เลขที่  ๑๙๓   ถนนพัฒนาการทุ่งปรัง   ต.ในเมือง  อ.เมือง  จ.นครศรีธรรมราช
      มีอาณาเขตทิศเหนือติดกับวัดโคกธาตุ  ทิศใต้จรดซอยมงคล  ทิศตะวันออกจรดถนนพัฒนาการทุ่งปรัง     ทิศตะวันตกจรดคลองสวนหลวง    มีเนื้อที่  ๑๒ ไร่  ๕๕ ตารางวา  



       วัดชายนาเป็นวัดสมัยกรุงศรีอยุธยา   โดยพิจารณาจากถาวรวัตถุอันสำคัญคือ โบสถ์  ซึ่งมีลักษณะเป็นโบสถ์ยุคแรกทางพระพุทธศาสนาที่นิยมทำขนาดความยาวไม่เกิน ๗ ก้าว กว้างพอจุพระครบองค์สังฆกรรมตามบัญญัติในพุทธศาสนาได้เท่านั้น   มีประตูเข้าด้านหน้าเพียงด้านเดียว  ไม่มีหน้าต่างแต่มีช่องหรือ    รูระบายอากาศที่ฝาผนัง   ผนังด้านหลังพระพุทธรูป เสาติดผนังและผนังด้านข้างมีร่องรอยภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังแต่ลบเลือนไปมาก  จากหลักฐานดังกล่าวนี้พร้อมด้วยกระเบื้องหลังคาเก่าที่ฝังจมดิน   ทรงหลังคา  ภาพเขียนสี  พระประธาน  และปราณีตศิลป์ที่ปรากฎบนบัวหัวเสาและฐานชุกชีนั้นเป็นฝีมือช่างสมัยอยุธยา     กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๘   ตอนที่ ๑๒๗ง. วันที่  ๒๑  ธันวาคม  ๒๕๔๔ เป็นโบราณสถานวัดชายนามีพื้นที่ประมาณ ๙๐ ตารางวา

       มีหลักฐานทางราชการปี ๒๔๗๓   ซึ่งมีการจัดทำบัญชีสำรวจที่ดินวัดร้างในแผนกสรรพากรจังหวัดนครศรีธรรมราช อันดับที่ ๒๓ ว่าวัดชายนา(ร้าง) ตั้งอยู่ใน ต.นา  อ.เมืองนครศรีธรรมราช  ไม่มีผู้เช่า   ต่อมามีการแจ้งสิทธิ์ครอบครองรับเอกสาร ส.ค.๑ เลขที่ ๑๐๐ ลงวันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๘
       จากการเป็นพื้นที่ว่างเปล่ามีโบสถ์เป็นจุดสำคัญและอยู่ไม่ไกลจากวัดพระมหาธาตุ  สภาพจึงเป็นดังสำนักสงฆ์มีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษาบ้างและบางขณะถูกปล่อยร้างสลับกันไป   หลักฐานที่ชัดเจนในการใช้อาณาบริเวณนี้เป็นที่ประกอบกิจกรรมทางพุทธศาสนา คือ  พ.ศ.๒๔๗๗  พุทธธรรมสมาคม สาขานครศรีธรรมราช  พยายามจัดหาสถานที่วิเวกสำหรับพระภิกษุสามเณรเพื่อปฏิบัติธรรมขั้นสูงโดยสะดวก และได้เลือกวัดชายนาซึ่งเป็นวัดร้างเปิดเป็นสถานที่วิปัสสนาธุระในวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๗๗      โดยนิมนต์พระมหาเงื่อม (พุทธทาสภิกขุ) เป็นผู้ทำพิธีเปิด ท่านได้แสดงพระธรรมเทศนาและได้ตั้งชื่อเรียกสถานที่วัดชายนานั้นว่า “สวนพุทธธรรมปันตาราม” แปลว่า สวนหรือป่าสงัดอันเป็นปัจจัยแห่ง    การบรรลุพุทธธรรม  จากนั้นสมาคมฯ ก็ได้นิมนต์พระมหาจุนท์ จากสวนโมกข์พลารามมาจำพรรษาเป็นองค์แรกสอนตามระบบ “อาณาปานสติ” อยู่ชั่วระยะหนึ่งแล้วก็จาริกไปสอนที่อื่นต่อไป

       ต่อมาพระอาจารย์ศรีนวล  จากสำนักนครพนม สอนแบบ “พุทโธ” อยู่ระยะหนึ่งแล้วจาริกไปสอนที่อื่นอีก
พระอาจารย์นุ่ม  จากสำนักภาคกลาง  สอนแบบ “อรหันต์” แล้วจาริกไปที่อื่น
พระอาจารย์สำคัญ  จากสำนักปากน้ำภาษีเจริญ จังหวัดนนทบุรี  สอนแบบ “สัมมาอรหันต์”  มีผู้สมัครเป็นศิษยานุศิษย์เป็นจำนวนมาก  แล้วก็จากไปที่อื่น
       พระอาจารย์เลื่อน  จากสำนักสงขลา  สอนแบบ “ยุบหนอพองหนอ”  อยู่ระยะหนึ่งแล้วจากไป
ดังนี้วัดชายนาจึงมีสภาพเป็นสำนักสงฆ์ที่มีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษาและบางขณะถูกปล่อยร้างสลับกันไป   จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๕๐๕   พระอาจารย์แป้น  ธมฺมธโร  (พระครูภาวนานุศาสก์, ๒๕๓๒)  มาจากสำนักสุพรรณบุรี   ได้เข้าบุกเบิกงานสอนการเจริญมหาสติปัฏฐานสี่อย่างจริงจัง  จนเป็นที่ยอมรับของพุทธศาสนิกชน  และได้ใช้ชื่อว่า “สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐาน สวนพุทธธรรม วัดชายนา” เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อเดิมว่า “สวนพุทธธรรมปันตาราม” และ “วัดชายนา”    

ที่มา
http://www.watchaina.com/index.php?option=com_content&task=view&id=25&Itemid=36

51
ขโมยของพระกับผู้หญิงหัวขาด

หลวงลุงที่เล่าถึงนี้ท่านคือ ‘หลวงปู่ศุข’ คับ…. ง่า…. แต่ไม่ใช่หลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่านะ <<< ถ้าวัดปากคลองฯ ท่านเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อที่เรานับถืออยู่ รู้จักเหมือนกัน แต่ไม่ใช่หลวงปู่ศุขที่กำลังกล่าวถึง (เรื่องของเรื่องคือชื่อเหมือนกันไง)

หลวงปู่ศุขหรือที่เราเรียกว่าหลวงลุง  ปัจจุบันยามนี้ท่านมรณะภาพไปนานมากแล้ว  ตอนยังมีชีวิตอยู่นั้นท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดเจริญวราราม (วัดน้อยคลองด่าน) และเรียกได้ว่าเป็นเกจิอาจารย์ที่มีวิชชา มีอภิญญาติดตัว มีญาณมองเห็นภูต ผี วิญญาณ เทพ เทวดา แถมทอล์คกิ้งเซฮัลโหลกันได้สบายๆ (สงสัยเราจะได้รับสืบทอด DNA ส่วนนี้มาอ่ะนะ) นอกจากจะมองเห็นพูดคุยกับสปีชี่ย์ต่างมิติ (ก็คุณผีนั่นแหล่ะ) ได้แล้ว ท่านยังรักษาโรคให้ป่วยได้ด้วย  เก่งแค่ไหนนั้นก็ขนาดรักษาคนเป็นมะเร็งหายได้นั่นแหล่ะ

วิธีการรักษาของหลวงลุงท่านจะใช้วิธีคุยกับเจ้ากรรมนายเวร ขอนุญาตกันก่อนว่าเขาจะยอมให้รักษาหรือไม่ จะยอมอโหสิกรรมให้คนป่วยได้ไหม ถ้ายอมเขาจะเอาอะไรบ้าง บางทีก็ต้องทำพิธีแก้กรรมกันก่อนถึงจะรักษาได้ ก็แล้วแต่ไปเคสไป<<<เก่งกว่าเรามากๆ เพราะข้าพเจ้ามีปัญญาแค่คุยกับเจ้ากรรมนายเวรเฉยๆ

ว่าแล้วก็นึกถึงได้อีกเรื่่องของหลวงลุง เป็นเรื่องก่อนที่เราจะเกิด (สมัยคุณป๋ายังหนุ่ม) คุณป๋าเล่าให้ฟังว่าไอ้คนบ้านข้างๆ มันลื่นล้มหรืออะไรยังไงเนี่ยแหล่ะ  ก็ไปนอนรพ.  หมอบอกว่าป่วยชิวๆ รักษาได้ ไม่ตายยาก  ตอนนั้นหลวงลุงยังไม่ได้บวช ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาเลยนะ ท่านนั่งเล่นอยู่ตรงท่าน้ำ คุณป๋าไปเรียก อยู่ดีๆ หลวงลุงก็บอกว่า

“ไอ้…(ชื่อคนข้างบ้าน)… มันตายคืนนี้แหล่ะ” เสร็จแล้วก็เดินกลับบ้าน คุณป๋าอย่างงงๆ เหวอๆ เลยว่าหลวงลุงรู้ได้ยังไงหว่าว่าเจานั้นอยู่ รพ. <<< แล้วก็นั่นแหล่ะ ไปแช่งเค้า คนนั้นเลยตายเลยในคืนนั้นนั่นแหล่ะ

ทีนี้ตอนที่หลวงลุงท่านมาอยู่บ้านเรา เป็นประมาณช่วงที่เรนอยู่ ป.3 หรือ ป.5 ได้ ความทรงจำไม่ค่อยเที่ยงตรงเท่าไหร่(<<ออกแนวเที่ยงบ่ายเป็นส่วนใหญ่) แต่คิดว่าน่าจะ ป.3 มากกว่า (ถ้าจำไม่ผิดนะ) คือช่วงนั้นหลวงลุงท่านอาพาธ ต้องเข้ามารักษาตัวในกรุงเทพฯ คุณป้าท่านก็เลยรับหลวงลุงเข้ามาให้มาอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน แล้วก็เลยสร้างบ้านหลักเล็กๆ อีกหลังให้หลวงลุงท่านอยู่โดยเฉพาะ

บ้านหลังนั้นตอนที่สร้างจะไปติดกับต้นมะม่วงต้นใหญ่อยู่หนึ่งต้น (ที่บ้านโรงเรียนตอนนั้นมีต้นมะม่วงเยอะมาก  คุณปู่ปลูกเอาไว้เกือบครบทุกสายพันธุ์มะม่วงเลย<<ปัจจุบันโดนคุณป้าตัดออกไปเกือบหมด วันที่ตัดตรงมะม่วง<<ทั้งที่เราห้ามแล้วนะ เพราะแต่ละต้นมีคนคุ้มครองอยู่ แล้ววันที่ตัดนั่นแหล่ะ หลังคาห้องน้ำำถล่ม แถมคุณป้ายังลื่นล้ม เจ็บรอบเอวผ่ากลางลำตัวเลย<<กรรมดีแท้ ห้ามแล้วแต้ๆ เลย เฮ้อ—) ตอนสร้างบ้านตอนนั้นคุณป้าก็จะตัดต้นมะม่วงต้นนี้ออกไปทีแล้ว แต่หลวงลุงท่านไม่ยอม บอกให้สร้างเว้นๆ ไปเพราะต้นมะม่วงมีเทวดาคุ้มครองอยู่ ดังนั้นบ้านเล็กๆ ที่สร้างขึ้นมาก็เลยมีรูให้ต้นมะม่วงอยู่ด้วย 1 รู

ช่วงนั้นหลังจากที่หลวงลุงท่านมรณะภาพไปแล้วบ้านหลังเล็กนี้เลยเกิดอาการน้ำท่วมยามฝนตก ก็สืบเนื่องมาจากรูที่ต้นมะม่วงนี้แหล่ะ แต่น่าแปลก เพราะตอนที่หลวงลุงท่านยังมีชีวิตและพักอยู่ที่นี่กลับไม่มีฝนรั่วลงมาเลย

บ้านหลังเล็กพอสร้างเสร็จหลวงลุงท่านก็ทำพิธี ให้บ้านหลังนั้นเป็นเขตวัดเสีย พวกเรา (คือเรนและพวกญาติๆ) ก็เลยเรียกบ้านเล็กหลังนั้นว่า ‘ กุฏิ ’

หลังจากกุฏิสร้างเสร็จก็เป็นเรื่องของการย้ายศาลพระภูมิ  (จุดเริ่มของการย้่ายศาลแต่ดันลืมย้ายบริวารไปด้วยไง) ศาลพระภูมินี่ทีแรกอยู่ส่วนหน้าบ้านค่ะ แต่พอหลวงลุงท่านมาสงสัยพระภูมิท่านจะเฮฮา (พระภูมิบ้านโรงเรียนท่านเฮอาปาร์ตี้ดีมากเลย) อยากมีเพื่อนคุย ท่านก็เลยขอย้ายมาอยู่หน้ากุฏิหลวงลุง (ท่านบอกผ่านมากับหลวงลุง<<คนเอ๊ย! พระที่ฟังท่านพูดรู้เรื่องอ่ะ) พอย้ายศาลมาที่ดินตรงศาลเดิมก็ว่างเป็นหลุม เลยเอาต้นพลับพลึงมาปลูกไว้ (ก็คือเรื่องผีมันอยู่ในต้นพลับพลึงค่ะ)

ทีนี้ก็ช่วงนั้นนั่นแหล่ะ ช่วงที่หลวงลุงท่านมาพักรักษาตัวอยู่ที่กุฏิ ตอนนั้นที่บ้านมีคนขับรถมาอยู่ด้วยคนหนึ่ง เป็นคนขับรถโรงเรียน (เหตุที่เรื่องผีในบ้านเค้าโดนจัดอยู่ในหมวด เรื่องผีในโรงเรียน ก็เพราะว่าบ้านเค้าเป็นโรงเรียนนี่แหล่ะค่ะ) คนขับรถก็มีลูกด้วยอีกหนึ่งคน  ปกติแล้วเรื่องดูแลหลวงลุงท่านตอนกลางวันๆ คุณม่ามี๊เราท่านจะเป็นผู้ดูแลรับใช้ใกล้ชิด ขาดเหลืออะไรก็จะจัดหาให้ แต่ตอนกลางคืนไม่ได้ ก็หลวงลุงท่านเป็นพระอ่ะ จะให้ผู้หญิงไปค้างด้วยได้ยังไง ตอนกลางคืนท่านก็เลยต้องอยู่รูปเดียวไปตามระเบียบ

และแล้ว… (เออวุ้ย!… ร่ายมาตั้งยาวเพิ่งจะเริ่มเข้าเรื่อง) คืนวันหนึ่งที่ไม่มีพระอาทิตย์ขึ้น (ก็แน่ล่ะ ประเทศไทยนะ พระอาทิตย์จะขึ้นตอนกลางคืนได้ยังไง เดี๋ยวปั๊ด!!) สรุปคือในคืนหนึ่งอยู่ๆ ก็มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น…

 

ที่มา
http://ghost.renrengang.com/ghost76-

52
ตอน คุณชุดแดง

…
วันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรกของชีวิตนักเรียน ม.ปลาย ที่โบว์เฝ้ารอมานาน โรงเรียนใหม่ของโบว์กว้างใหญ่จนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นโรงเรียนที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางกรุงเทพมหานคร โบว์รู้จากหนังสือนิเทศน์ของโรงเรียนว่า โรงเรียน จปญ.(ชื่อเต็มคือโรงเรียนจนปัญญา) แห่งนี้เป็นโรงเรียนเก่าแก่ที่ก่อตั้งมานานนับแต่สมัยรัชกาลที่ 5 นักเรียนในโรงเรียนส่วนหนึ่งเป็นนักเรียนไป-กลับที่มีผู้ปกครองมารับ-ส่ง ส่วนหนึ่งเป็นนักเรียนบ้านไกลและนักเรียนจากต่างจังหวัดที่อาศัยอยู่ในหอพักของโรงเรียน
และโบว์…  คือหนึ่งในนักเรียนทุนจากต่างจังหวัดที่ต้องพักอยู่กับคนมากหน้าหลายตา
ในหอพักของโรงเรียน

ความมากหน้าหลายตาของผู้คนหลากหลายในหอพักแห่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่โบว์กังวลเลยแม้แต่น้อย เพราะโบว์มั่นใจว่าตนเองเป็นคนที่มนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ดังนั้น สิ่งที่โบว์กำลังหวาดกังวลเป็นที่สุดภายในบ้านหลังใหม่หรือหอพักนักเรียนหญิงที่เธอจะต้อง
ใช้ชีวิตอยู่ในที่แห่งนี้ต่อไปเป็นเวลาอีก 3 ปีนั้นก็คือ  ประวัติศาสตร์อันยาวนานของตึกหอพัก
ที่ก่อสร้างมานานพร้อมๆ กับก่อตั้งโรงเรียนตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 นั้นต่างหาก

“โรงเรียนเราเป็นโรงเรียนเก่าแก่ มันก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมีเจ้าที่เจ้าทางอาศัยอยู่ เป็นธรรมดาที่จะมีผู้อาศัยที่อยู่ที่นี่มาก่อนพวกเรานานนัก”
รินรวี ประธานหอพัก นักเรียนชั้นมัธยม 6 กล่าวกับรุ่นน้อง ม.4 สมาชิกใหม่ของหอพัก
ในพิธีปฐมนิเทศน์เด็กหอ

“พี่ท่านจะพูดไปทำไมเนี่ย แค่เห็นสภาพตึกหอเก่ามืดขนาดนี้ก็น่ากลัวจะแย่แล้ว”
เสียงค่อนเล็กเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างที่นั่งของโบว์ เด็กสาวหันไปมอง ปรากฏคือน้อย เพื่อนเด็กหอที่เป็นรูมเมทของเธอนั่นเอง

“แม่เราก็บอกว่าตึกเก่าๆ มักจะมีอาถรรพณ์”
โบว์กระซิบตอบเพื่อน หากเพียงแค่นั้นก็กลับเงียบลง เพราะเหลือบไปเห็นสายตาอาฆาตของประธานหอพักที่จ้องเขม็งมายังพวกเธอ

“ห้องน้ำในหอเราเป็นห้องน้ำรวม” รินรวีกล่าวต่อเมื่อรุ่นน้องทั้งสองพากันเงียบเสียงซุบซิบลง

“ที่หน้าห้องน้ำของทุกชั้นจะมี คุณชุดแดง นั่งอยู่”

เสียงฮืออากลับดังขึ้นเมื่อประธานหอกล่าวถึงชื่อ ‘คุณชุดแดง’ นักเรียนใหม่ชั้น ม.4 แต่ละคนต่างหันมองหน้าสบสายตาต่อกันด้วยความหวาดหวั่น
คุณชุดแดง… จินตนาการภาพตามแล้วคนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าต้องคือผู้หญิงใส่ชุดสีแดงเป็นแน่ ทว่า แม้วันนี้จะเป็นวันเปิดเทอมวันแรก แต่ไม่ใช่วันเปิดหอวันแรก สาวๆ เด็กหอพวกนี้จากบ้านมาอยู่หอพักอย่างต่ำๆ ก็ก่อนเปิดเทอม 3 วัน หรือบางคนมาพักที่หอก่อนล่วงหน้าเป็นอาทิตย์ก็ยังมี

นับแต่วันแรกที่มาถึงหอ น้อง ม.4 แต่ละคนต่างได้ยินคำร่ำลือถึง คุณชุดแดง จากพวกรุ่นพี่ที่อยู่หอมาก่อน  น้อง ม.4 ต่างคาดเดา… คุณชุดแดง…น่าจะเป็นเจ้าที่เจ้าทางตนหนึ่งของหอพักแห่งนี้ เพราะจากที่ได้ยินพวกรุ่นพี่เล่าให้ฟัง คราวที่มีเรื่องเดือดร้อน มีเหตุไม่ดีเกิดขึ้นภายในหอพัก คุณชุดแดงจะต้องปรากฏกายขึ้นมาทุกครั้ง

โบว์จำได้แม่นยำเชียวว่าเธอได้ยินเรื่องราวของคุณชุดแดงนี่จากรุ่นพี่คนหนึ่งตั้งแต่วันแรกที่มาถึงหอ รุ่นพี่คนนั้นเล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์ของคุณชุดแดงให้โบว์ฟังว่า เมื่อตอนก่อนปิดเทอมใหญ่ มีอยู่วันหนึ่งที่ชั้น 3 ของหอพัก เด็ก ม.5 สี่คนที่เพิ่งจะเสร็จจากการสอบวันสุดท้ายต่างพากันมาจับกลุ่มเล่นผีถ้วยแก้ว ม.5 พวกนั้นคงลองดีกับประวัติของตึกหอพักอันเก่าแก่แห่งนี้ถึงได้กล้ามาเล่นผีถ้วยแก้วในตึกที่อายุมากกว่าร้อยปี แน่นอนว่า… ตึกหอพักแห่งนี้มีดีให้ลอง!

รุ่นพี่คนนั้นเล่าให้โบว์ฟังว่า ไม่รู้เป็นเพราะอาถรรพณ์ของเจ้าที่ดลบัลดาลให้เป็นไปหรืออย่างไร บางที เจ้าที่ของตึกคงอยากสั่งสอนกลุ่มเด็กลองของพวกนั้นก็ได้ เพราะในกลุ่มเด็ก ม.5 สี่คนที่เล่นผีถ้วยแก้วอยู่นั้น ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด แต่อยู่ๆ คนหนึ่งก็เกิดพลาดเอามือไปปัดโดนเทียนที่จุดเอาไว้ให้ล้มลง ไฟจากเทียนลุกติดกระดาษแผ่นผีถ้วยแก้ว ลามไปโดนผ้าม่านใกล้ๆ แล้วเกิดไฟลุกไปทั่วห้อง ทันใดนั้นเอง…!

..

ที่มา
http://ghost.renrengang.com/ghost-

53
คุณยายนักเดิน

สวัสดีครับ ผมนายVaga (วกะ)ครับชื่อนี้เป็นามแฝงครับ  มีเรื่องหนึ่งที่จะเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องของคุณยายนักเดินคนหนึ่งครับ

เรื่องนี้มันเกิดขึ้นตอนนั้นเด็กมาก แต่จำเหตุการณ์นี้ได้แม่นมาก เมื่อก่อนครอบครัวของผม อยู่บ้านพักข้าราชการแห่งหนึ่งซึ่งบ้านหลังนั้น เป็นบ้านไม้ 2 ชั้นและบ้านเป็นลักษณะหลังติดกันเป็นแถวยาวๆ

เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นในทุกคืน หลังจากที่ปิดไฟทั้งบ้านเพื่อเข้านอน จะมีเสียงเดินขึ้นเดินลงบันไดบ้านเป็นประจำ แรกๆก็นึกว่าข้างบ้านเค้าเดินขึ้นบันไดเพราะบันไดบ้านจะอยู่ติดกันเพียงแต่มีพนังบ้านกั้น

แต่ลองคิดดูซิครับว่าใครที่ไหนมันจะเดินขึ้นเดินลงบันไดได้ทั้งคืนจนเช้า

ตอนเด็กๆ ผมเป็นคนอยากรู้มาก วันหนึ่งก็เลยขอแม่นอนข้างล่างหน้าทีวีซึ่งเตียงนอนจะอยู่ติดกับบันไดเกิดเหตุเลย แต่แม่จะไล่ขึ้นไปนอนข้างบนให้ได้ไม่ทราบเพราะอะไร แต่ก็ต้องยอมความดื้อของผมให้นอนอยู่ข้างล่าง แม่ก็เลยกล่อมให้ผมหลับ แล้วก็ปิดไฟขึ้นไปข้างบน

สักพักเสียงเดินขึ้นลงบันไดมันก็เกิดขึ้นอีกจนผมต้องตื่นมามองหาต้นเสียง ผมมองไปที่บันไดเพราะเสียงมันมาจากตรงนั้น ผมเห็นเพียงแค่เงาของคนเดินขึ้นไปข้างบนและเดินลงมาข้างล่าง
ผมเห็นเพียงแต่เงาคนเป็นลักษณะคนตัวเล็กๆ และผมก็ไม่ทราบหลับไปครั้งไหนอีกครั้ง

เช้ามาก็เล่าให้แม่ฟัง แม่ก็บอกว่าฝันไป แต่ก็ยืนยันว่าเห็นจริงๆ แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ ผมอยู่บ้านหลังนั้นไม่กี่ปีก็ย้ายมาอยู่อีกหลังหนึ่ง

เสียงเดินขึ้นเดินลงบันไดก็ยังแคลงใจผมอยู่ รู้แต่ว่าคนเดินขึ้นเดินลงเค้ากลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งในบ้านไปแล้ว
จนกระทั้งผมย้ายบ้านครั้งที่ 3 ออกมาอยู่บ้านหลังปัจจุบัน ผมก็ถามแม่ถึงเรื่องนี้อีก แม่คงคิดว่าผมโตแล้วจึงเล่าให้ฟัง

แม่เป็นอีกคนหนึ่งในบ้านที่เห็นเหมือนผมที่ท่านว่าผมฝันเพราะกลัวผมจะกลัว ท่านบอกว่าคนที่เดินขึ้นลงบันไดเป็นคุณยายคนหนึ่งซึ่งอยู่ที่นั้นมานานแล้วก่อนที่ครอบครัวเราจะย้ายเข้าไป คุณยายแกจะเดินบันไดแบบนี้ทุกคืน และที่ๆ แกอยู่เป็นใต้หิ้งพระซึ่งอยู่ชั้นบนตรงหัวนอนพอดี

คุณแม่ก็ถามว่าไปเห็นยายแกได้ไง ผมก็ว่าไม่รู้เหมือนกันแต่มันเห็น

ครั้งหนึ่งน้าเขยผมก็มานอนที่บ้านหลังนั้นก็เจอยายแกนั่งอยู่ใต้หิ้งพระ แต่น้าผมก็ไม่กลัวเท่าไหร่ก็มาบอกแม่ แม่ก็ว่าอย่าไปกวนแก แม่ยังว่าก็ที่จะย้ายออกมาก็ชวนแกมาอยู่ที่บ้านหลังใหม่ด้วย
แต่แกบอกว่าแกจะอยู่ที่นี้แหละไม่ไปไหน ที่อยู่ใหม่เค้าก็มีคนอยู่ อยู่แล้วจะไม่ไปอยู่หรอก ขอให้โชคดีก็แล้วกัน ผมจึงถึงบางอ้อว่า ยายแกเป็นเจ้าที่ๆ อยู่บ้านหลังนั้นเอง

แต่ยายแกเดินเก่งมากเลยครับ มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับผมและครอบครัวอีกเยอะแล้วจะเล่าให้ฟังอีกครับ ขอบคุณครับ

ขอขอบคุณ…
คุณ Vaga (วกะ)

ขอบคุณที่มา
http://ghost.renrengang.com/

54
วิธีสร้างบุญบารมี  หน้าที่8
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ ๑๙

๓. การภาวนา
การเจริญภาวนานั้น เป็นการสร้างบุญบารมีที่สูงที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนา จัดว่าเป็นแก่นแท้และสูงกว่าฝ่ายศีลมากนัก การเจริญภาวนานั้น มี ๒ อย่าง คือ (๑) สมถภาวนา (การทำสมาธิ) และ (๒) วิปัสสนาภาวนา (การเจริญปัญญา) แยกอธิบายดังนี้ คือ


(๑) สมถภาวนา (การทำสมาธิ)
สมถภาวนา ได้แก่การทำจิตให้เป็นสมาธิ หรือเป็นฌาน ซึ่งก็คือการทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่านแส่ส่ายไปยังอารมณ์อื่นๆ วิธีภาวนานั้น มีมากมายหลายร้อยชนิด ซึ่งพระพุทธองค์ทรงบัญญัติแบบอย่างเอาไว้ ๔๐ ประการ เรียกกันว่า "กรรมฐาน ๔๐" ซึ่งผู้ใดจะเลือกใช้วิธีใดก็ได้ตามแต่สมัครใจ ทั้งนี้ย่อมสุดแล้วแต่อุปนิสัยและวาสนาบารมีที่ได้เคยสร้างสมอบรมมาแต่ในอดีตชาติ เมื่อสร้างสมอบรมมาในกรรมฐานกองใด จิตก็มักจะน้อมชอบกรรมฐานกองนั้นมากกว่ากองอื่นๆ และการเจริญภาวนาก็ก้าวหน้าเร็วและง่าย แต่ไม่ว่าจะเลือกปฏิบัติวิธีใดก็ตาม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาศีลให้ครบถ้วนบริบูรณ์ตามเพศของตนเสียก่อน คือหากเป็นฆราวาสก็จะต้องรักษาศีล ๕ เป็นอย่างน้อย หากเป็นสามเณรก็จะต้องรักษาศีล ๑๐ หากเป็นพระก็จะต้องรักษาศีลปาฏิโมกข์ ๒๒๗ ข้อให้บริบูรณ์ ไม่ให้ขาดและด่างพร้อย จึงจะสามารถทำจิตให้เป็นฌานได้ หากศีลยังไม่มั่นคง ย่อมเจริญฌานให้เกิดขึ้นได้โดยยาก เพราะศีลย่อมเป็นบาทฐาน (เป็นกำลัง) ให้เกิดสมาธิขึ้น อานิสงส์ของสมาธินั้น มีมากกว่าการรักษาศีลอย่างเทียบกันไม่ได้ ซึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสว่า "แม้จะได้อุปสมบทเป็นภิกษุรักษาศีล ๒๒๗ ข้อ ไม่เคยขาด ไม่ด่างพร้อยมานานถึง ๑๐๐ ปี ก็ยังได้บุญกุศลน้อยกว่าผู้ที่ทำสมาธิเพียงให้จิตสงบนานเพียงชั่วไก่กระพือปีก ช้างกระดิกหู" คำว่า "จิตสงบ" ในที่นี้หมายถึงจิตที่เป็นอารมณ์เดียวเพียงชั่ววูบ ที่พระท่านเรียกว่า "ขณิกสมาธิ" คือสมาธิเล็กๆ น้อยๆ สมาธิแบบเด็กๆ ที่เพิ่งหัดตั้งไข่ คือหัดยืนแล้วก็ล้มลง แล้วก็ลุกขึ้นยืนใหม่ ซึ่งเป็นอารมณ์จิตที่ยังไม่ตั้งมั่น สงบวูบลงเล็กน้อยแล้วก็รักษาไว้ไม่ได้ ซึ่งยังห่างไกลต่อการที่จิตถึงขั้นเป็นอุปจารสมาธิและฌาน แม้กระนั้นก็ยังมีอานิสงส์มากมายถึงเพียงนี้ โดยหากผู้ใดจิตทรงอารมณ์อยู่ในขั้นขณิกสมาธิแล้วบังเอิญตายลงในขณะนั้น อานิสงส์นี้จะส่งผลให้ได้ไปบังเกิดในเทวโลกชั้นที่ ๑ คือชั้นจาตุมหาราชิกา หากจิตยึดไตรสรณคมน์ (มีพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันสูงสุดด้วย ก็เป็นเทวดาชั้น ๒ คือ ดาวดึงส์)

สมาธินั้น มีหลายขั้นตอน ระยะก่อนที่จะเป็นฌาน (อัปปนาสมาธิ) ก็คือขณิกสมาธิและอุปจารสมาธิ ซึ่งอานิสงส์ส่งให้ไปบังเกิดในเทวโลก ๖ ชั้น แต่ยังไม่ถึงชั้นพรหมโลก สมาธิในระดับอัปปนาสมาธิหรือฌานนั้น มีรูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ ซึ่งล้วนแต่ส่งผลให้ไปบังเกิดในพรหมโลกรวม ๒๐ ชั้น แต่จะเป็นชั้นใดย่อมสุดแล้วแต่ความละเอียดประณีตของกำลังฌานที่ได้ (เว้นแต่พรหมโลกชั้นสุทธาวาสคือ ชั้นที่ ๑๒ ถึง ๑๖ ซึ่งเป็นที่เกิดของพระอนาคามีบุคคลโดยเฉพาะ) รูปฌาน ๑ ส่งผลให้บังเกิดในพรหมโลกชั้น ๑ ถึงชั้น ๓ สุดแล้วแต่ความละเอียดประณีตของกำลังฌาน ๑ ส่วนอรูปฌานที่เรียกว่า "เนวสัญญา นาสัญญายตนะ" นั้น ส่งผลให้บังเกิดในพรหมโลกชั้นสูงสุด คือชั้นที่ ๒๐ ซึ่งมีอายุยืนยาวถึง ๘๔,๐๐๐ มหากัป เรียกกันว่านิพพานพรหม คือนานเสียจนเกือบหาเวลาเริ่มต้น และสิ้นสุดมิได้ จนเป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นนิพพาน

การทำสมาธิเป็นการสร้างบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ ลงทุนน้อยที่สุด เพราะไม่ได้เสียเงินเสียทอง ไม่ได้เหนื่อยยากต้องแบกหามแต่อย่างใด เพียงแต่คอยเพียรระวังรักษาสติ คุ้มครองจิตมิให้แส่ส่ายไปสู่อารมณ์อื่นๆ โดยให้ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้น การทำทานเสียอีกยังต้องเสียเงินทอง การสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาโรงธรรมยังต้องเสียทรัพย์ และบางทีก็ต้องเข้าช่วยแบกหามเหนื่อยกาย แต่ก็ได้บุญน้อยกว่าการทำสมาธิอย่างที่เทียบกันไม่ได้

อย่างไรก็ดี การเจริญสมถภาวนาหรือสมาธินั้น แม้จะได้บุญอานิสงส์มากมายมหาศาลอย่างไร ก็ยังไม่ใช่บุญกุศลที่สูงสุดยอดในพระพุทธศาสนา หากจะเปรียบกับต้นไม้ก็เป็นเพียงเนื้อไม้เท่านั้น การเจริญวิปัสสนา (การเจริญปัญญา) จึงจะเป็นการสร้างบุญกุศลที่สูงสุดยอดในพระพุทธศาสนา หากจะเปรียบก็เป็นแก่นไม้โดยแท้


ที่มา
http://www.fungdham.com/book/prasungkarad.html

55
วิธีสร้างบุญบารมี หน้าที่1
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก องค์ที่ ๑๙
วัดบวรนิเวศวิหาร



บุญ ความหมายตามพจนานุกรมพุทธศาสน์ของพระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) กล่าวว่า บุญ คือ เครื่องชำระสันดาน ความดี กุศล ความสุข ความประพฑติชอบทางกาย วาจา และใจ กุศลธรรม

บารมี คือ คุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงยิ่ง

วิธีสร้างบุญบารมีในพระพุทธศาสนามีอยู่ ๓ ขั้นตอน คือการให้ทาน การถือศีล และการเจริญภาวนา ที่นิยมเรียกกันว่า "ทาน ศีล ภาวนา" ซึ่งการให้ทานหรือการทำทานนั้น เป็นการสร้างบุญที่ต่ำที่สุด ได้บุญน้อยที่สุด ไม่ว่าจะทำมากอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะได้บุญมากไปกว่าการถือศีลไปได้ การถือศีลนั้นแม้จะมากอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะได้บุญมากเกินไปกว่าการเจริญภาวนาไปได้ ฉะนั้น การเจริญภาวนานั้น จึงเป็นการสร้างบุญบารมีที่สูงที่สุด ได้มากที่สุด ในทุกวันนี้เรารู้จักกันแต่การให้ทานอย่างเดียว เช่นการทำบุญตักบาตร ทอดกฐินผ้าป่า สละทรัพย์สร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ส่วนการถือศีล แม้จะได้บุญมากกว่าการทำทาน ก็ยังมีการทำกันเป็นส่วนน้อย เพื่อความเข้าใจอันดี จึงขอชี้แจงการสร้างบุญบารมี อย่างไรจึงจะเป็นการลงทุนน้อยที่สุด แต่ได้บุญบารมีมากที่สุดดังนี้คือ

๑. การทำทาน
การทำทาน ได้แก่การสละทรัพย์สิ่งของสมบัติของตนที่มีอยู่ให้แก่ผู้อื่น โดยมุ่งหวังจะจุนเจือให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์และความสุขด้วยความเมตตาจิตของตน ทานที่ได้ทำไปนั้นจะทำให้ผู้ทำทานได้บุญมากหรือน้อยเพียงใด ย่อมสุดแล้วแต่องค์ประกอบ ๓ ประการ ถ้าประกอบหรือถึงพร้อมด้วยองค์ประกอบ ๓ ประการต่อไปนี้แล้ว ทานนั้นย่อมมีผลมาก ได้บุญบารมีมาก กล่าวคือ

องค์ประกอบข้อ ๑. "วัตถุทานที่ให้ต้องบริสุทธิ์"
วัตถุทานที่ให้ ได้แก่สิ่งของทรัพย์สมบัติที่ตนได้สละให้เป็นทานนั้นเอง จะต้องเป็นของที่บริสุทธิ์ ที่จะเป็นของบริสุทธิ์ได้จะต้องเป็นสิ่งของที่ตนได้แสวงหา ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ในการประกอบอาชีพ ไม่ใช่ของที่ได้มาเพราะการเบียดเบียนผู้อื่น เช่น ได้มาโดยทุจริต ลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกง ปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ ฯลฯ

ตัวอย่าง ๑ ได้มาโดยการเบียดเบียนชีวิตเลือดเนื้อสัตว์ เช่นฆ่าสัตว์ต่างๆ เป็นต้นว่า ปลา โค กระบือ สุกร โดยประสงค์จะนำเอาเลือดเนื้อของเขามาทำอาหารถวายพระเพื่อเอาบุญ ย่อมเป็นการสร้างบาปเอามาทำบุญ วัตถุทานคือเนื้อสัตว์นั้นเป็นของที่ไม่บริสุทธิ์ แม้ทำบุญให้ทานไป ก็ย่อมได้บุญน้อย จนเกือบไม่ได้อะไรเลย ทั้งอาจจะได้บาปเสียอีกหากว่าทำทานด้วยจิตที่เศร้าหมอง แต่การที่ได้เนื้อสัตว์มาโดยการซื้อหาจากผู้อื่นที่ฆ่าสัตว์นั้น โดยที่ตนมิได้มีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจในการฆ่าสัตว์ก็ดี เนื้อสัตว์นั้นตายเองก็ดี เนื้อสัตว์นั้นย่อมเป็นวัตถุทานที่บริสุทธิ์ เมื่อนำมาทำทานย่อมได้บุญมากหากถึงพร้อมด้วยองค์ประกอบข้ออื่นๆด้วย

ที่มา
http://www.fungdham.com/book/prasungkarad.html

56
อานิสงส์ของการมีสัจจะ  1/2
พระภาวนาวิสุทธิคุณ


มีสองตายายเขาพากันเดินจงกรมบนนอกชานเรือนตอนเดือนหงาย ไอ้ขโมยมาลักควาย นี่เรื่องตก ๓๐ ปีแล้ว สองคนตายายเดินจงกรมที่นอกชานเดือนหงาย ถ้าไม่ได้ชั่วโมงไม่เลิก ต้องได้ชั่วโมง ก็ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ช้า ๆ ใครจะไปเหนือมาใต้ข้าไม่สนใจ ใครจะเรียกข้าก็ไม่รับปาก แหมเดินดี เดินจงกรมมีสัจจะว่าเดินหนึ่งชั่วโมง ควายอยู่ใต้ถุน ขโมยมา ๔ คนก็มาลักควาย คนหนึ่งก็เฝ้าเจ้าของไว้ คนหนึ่งก็ไปเฝ้าทางปากตรอกไว้ คนหนึ่งตัดคอกใต้ถุนแล้วเอาควายออก มีความ ๓ ตัว ควายอ้วน ๆ เอาควายไปแล้วเปิดเลย คนที่มันเฝ้าเจ้าของมันยังอยู่ สุนัขหลับหมด ไม่รู้มันใช้สะกดหรืออย่างไรเราก็ไม่ทราบ หรือดาวหมามันขึ้นเราไม่รู้ เรียนหรือเปล่าดาวหมาขึ้นลักขโมยตอนนั้น ถ้าไม่เรียนจะบอกให้เอาไหม ดาวหมาขึ้นหลับหมดเลย ลักของได้ตอนนั้นนะ

อานิสงส์การเดินจงกรม ความออกนอกบ้านไปแล้ว คนที่มันเฝ้าอยู่ใต้ถุนบ้านเจ้าของดูว่าเจ้าของจะตื่นหรือเปล่า เดือนมันหงายนี่มันก็อะไรไม่รู้ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ เอ๊ะ ผีสิงหรือยังไง ก็เดินดูจนควายออกไปตั้งเยอะแล้ว ออกปากตรอกไปแล้ว เอ อะไรกัน นี่ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ขโมยที่เฝ้าคอกมันก็ถอยหลังเรื่อย มันอยากดู ถอยหลังมาเรื่อย ๆ ถอยหลังออกมาจากใต้ถุนเรื่อย ๆ ก็ดู อะไรกัน นึกว่าผีเรือนหรือยังไง เพราะไปลักควายมาหลายเจ้าไม่เคยมีผีอย่างนี้ ขโมยไม่ได้เรียนเดินจงกรม ถ้าขโมยมาเรียนซะแล้วก็ไม่เป็นอะไรนะ จะได้รู้ว่าเขาเดินจงกรม มันไม่รู้นี่ ถอย ๆ มาเหยียบเอาหมาเข้า หมาตื่นหมดบ้าน หมามีอยู่ ๑๐ ตัวเห่ากันใหญ่ เลยควายที่เอาไปแตกกันหมด ควายไม่หาย นี่อานิสงส์เดินจงกรมนะ มีข้าวของอะไรไม่ต้องไปจ้างใครเขาเฝ้า สองคนตายายก็เดินจงกรมไปซี ถ้าไม่เดินก็หลับเลย อันนี้เรื่องจริงที่ผ่านมา ๓๐ ปีแล้ว

มีเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องคล้ายกัน บ้านตาแป๊ะแก่คนหนึ่ง อยู่กันสองคนกับยายซิ้ม เขานัดหมายกันนั่งชั่วโมงหรือสองชั่วโมงจำไม่ได้ เวลานั่งแล้ว ใครจะเรียกมาหาใครจะมาลักขโมยไม่สนใจไม่ต้องฟังเสียง ถ้านาฬิกาไม่กริ๊งไม่เลิก ตั้งสัจจะและพระที่คล้องคอก็ไม่มี เมียนั่งโน้นผัวนั่งนี่ บ้านนั้นมีเครื่องลายครามเยอะแยะหมด แล้วก็มีลูกสาวคนหนึ่งผอม สะโพก ๒ ศอกได้มั้ง ขณะนี้ลูกสาวน่ะ สามีเป็นนายพันเอก อย่าไปออกชื่อเขาเลย เป็นลูกอาจารย์กองทัพอากาศ เดี๋ยวนี้ยังอยู่แต่ปลดเกษียณแล้ว

ก็ได้ความว่าลูกสาวมาเยี่ยมเตี่ยกับแม่ แล้วทีนี้เตี่ยกับแม่ก็นั่งบริกรรมพองหนอยุบหนอ ถ้าไม่ได้กำหนดไม่ออก ถือสัจจะ พอดีรถปิคอัพเข้ามา ขโมยปล้นมีเอ็ม ๑๖ มาก็ยิง ยิงเลย ยิงไม่ออก ยิงโด่งออก แล้วโจรก็มาคลำดูที่คอ สองคนก็ภาวนาพองหนอยุบหนอตลอด ลูกสาวกำลังรับประทานอาหารอยู่ กำลังจิ้มไก่ย่างใส่ปาก เคี้ยวไปยังไม่ทันกลืนนะ พอเสียงปืนโป้งปั้งทำไง ก็รีบเข้าไปใต้เตียง ไม่ชิงชันสูงคืบเดียวนะ เข้าไปได้สะโพกเบ้อเร่อเข้าได้สบายมาก แล้วก็ไก่ย่างยังอยู่ในปาก

มันเป็นเรื่องอัศจรรย์อันหนึ่ง ยิงก็ไม่ออก มันจะมาฆ่าตาแป๊ะคนนี้ มีเครื่องลายครามขนใส่รถหมด ข้าวของเงินทองขนใส่รถ ยายซิ้มพองหนอยุบหนอ คิดหนอ ๆ ก็พองหนอยุบหนอต่อไป แหมเขาแน่จริง ๆ ขโมยก็ขึ้นรถไปออกไปถึงตรอกนั้น ร้อนถึง จักรินเทวราช สั่งมาตุลีเทพบุตรบอกให้สารวัตรใหญ่เข้าไปในตรอกนี้ให้ได้ เกิดสังหรณ์ในใจ ตำรวจสารวัตรใหญ่เป็นพันตำรวจโทก็สั่งลูกน้องเข้าในตรอกนี้ซิ มันสงสัย ก็สวนกันรถขโมยพอดีเลย พอสวนรถขโมย มันเปิดไฟเห็นตำรวจมันก็โดด ตำรวจโดดตาม พอตำรวจโดดตามจับได้หมด

เลยผลสุดท้ายก็ถามว่า เอามาจากบ้านใคร โจรก็บอกกับตำรวจว่าเอามาจากบ้านตาแป๊ะนี่ เลยถอยหลังกลับไป พอรถขโมยไปจอดรถ รถสารวัตรใหญ่ไปจอด สองคนนั่งพองหนอยุบหนอ ยังไม่ออกจากกรรมฐานเลย เลยตำรวจก็ปลุกตาแป๊ะ ไม่ลุก สักประเดี๋ยวนาฬิกากริ่ง ตาแป๊ะก็ออกพอดีเจอตำรวจบอกว่า เอ...ไอ้ผู้ร้ายบอกว่าเอาปืนยิงไม่ออก เลยคลำที่คอบอกว่าไม่มีพระ ไม่มีพระเครื่องรางของขลังแต่ยิงไม่ออก บอกนี่โดนปล้นรู้ไหม ตาแป๊ะบอกรู้ แต่กำหนดได้ว่าอย่างนี้นะ รู้นะไม่ใช่ไม่รู้ ไม่ใช่เข้าพลสมาบัติ รู้เลยอย่าได้เอาไป รู้หนอ ๆ พองหนอ ยุบหนอต่อไป อยากได้เอาไป ๆ ถ้าเป็นของลื้อ ๆ เอาไป ถ้าเป็นของอั๊วอยู่ พองหนอ ยุบหนอ ๆ อยากได้เอาไป ๆ


ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

57
อานิสงส์ของการแผ่เมตตา   1/2
พระภาวนาวิสุทธิคุณ

อาตมาเมื่อหลายปีผ่านมานี้ ๕-๖ ปีแล้ว มีลูกประคำอยู่สายหนึ่ง เคยสวดมนต์รัตนมาลาเมื่อสมัยเดินธุดงค์ ลูกประคำสายนี้รักมาก อาตมาก็มีหมอนมีอะไรที่กุฏิอาตมานะ หนูนี่ไปกัดหมอนกัดอะไรเกลื่อนกลาดหมดเลยนะ กัดเต็มไปหมดที่บนกุฏิอาตมานี่น่ะ อาตมาก็พูดเล่น ๆ แต่จิตใจก็เคืองเหมือนกันนะ “ไอ้หนูไม่มีดีฆ่ามันเลย ให้เด็กไปซื้อกรงมาดักเลย หนูไม่ดี เดี๋ยวคืนนี้จะฆ่ามันให้หมด” พูด ๆ ลอย ๆ ออกมาอย่างนี้แหละ แต่จิตใจเราอาจไม่ถึงขนาดนั้น ก็พูดด้วยความโมโห ต้องเอามันเลย หนูมันไม่ดีกัดหมอนกัดพรมหมดไม่มีเหลือ แล้วลูกประคำอาตมาวางไว้ข้างที่อาตมาจำวัด

คืนนั้นแหละกัดลูกประคำแหลกเลย หนูกัดแล้วเอาไปลงร่องไปเลย ๘-๙ เม็ดหายไปแล้ว มานับดูไม่พอร้อยแปด ขาดไป ๘-๙ เม็ดแล้วยังไง ให้พระมาช่วยหา หาไม่เจอ บอกหลวงพ่ออยู่ใต้เพดานใต้ฝ้า เอาไม่ได้ ล้วงไม่ได้ ถ้าจะเอาได้ต้องงัดพื้นออกเอาไง เอ...งัดก็เสียหมดนะซี เขาตอกตะปูไว้แน่นนี่จะงัดอย่างไร มีร่องนิดเดียว พอเม็ดลูกประคำลงได้เห็นแต่ล้วงก็ไม่ได้ ลูกประคำอยู่ข้างล่าง ติดฝ้าทำยังไงดี

คืนนั้นถ้าใครเห็นเขาก็คงว่าอาตมาท่าจะยังไงเสียแล้ว อาตมาก็จุดธูปจุดเทียน เดินจงกรม นั่งสมาธิ ๆ เสร็จเรียบร้อยดีแล้ว ก็พูดว่า “พ่อหนูเอ๋ย พ่อหนู เมื่อคืนวานนี้ที่เราพูดกับเจ้าว่าหนูไม่มีดีจะฆ่าให้หมดเลยนั้น ขอโทษด้วยเหอะ จงอโหสิกรรมให้เราหน่อยนะ เราขอแผ่เมตตาให้เจ้า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอากล้วยให้กิน อย่ามากัดหมอนกัดเสื่อกัดพรมเป็นของสงฆ์เป็นบาปเป็นกรรมนะพ่อหนูนะ ขอแผ่เมตตาเจ้า จงอโหสิกรรมให้แก่เราเถิด ที่เราพูดพลั้งเผลสติไป”

เช้าขึ้นมาเป็นยังไงโยม ลูกประคำได้คืนหมด หนูคาบมาให้ที่นอนเลย เลยอาตมาก็มามีหมอตำรวจคนหนึ่งที่สิงห์บุรีนี่น่ะ มาอยู่กับอาตมาเป็นแรมปี แกก็มานั่งนอนอยู่ข้างล่าง รับใช้ในวัดนี้ แกรู้เรื่องนี้ดี เพราะเคยหาลูกประคำด้วยกัน เอาไฟส่องไปตามรู ว่ามันไปอยู่ข้างล่าง พอเช้าอาตมายังไม่ได้โยกย้ายลูกประคำวางหนูกัดบิ่นไป ๔-๕ ลูก บิ่นไป มันไปขบ มันมีรูยังพอจะใช้ได้ ก็ไปเรียก พระปลัดประสิทธิ์ มา เรียกลูกศิษย์มา แล้วก็เรียกหมอเยื้อน ชโลปถัมภ์ ที่เป็นสมาชิกสมาคมสิงห์บุรี เดี๋ยวนี้แก่มากแล้ว เป็นหมอตำรวจ ให้แกมาดู แกก็บอกว่า “แน้ มาได้ไง” ก็เอาไฟส่องดู ก็ขึ้นมาหมดแล้ว หนูเอามาคืน ด้วยการแผ่เมตตาน่ะ โยมจำไว้ หนูเอามาคืน

ผลสุดท้ายอาตมาก็ไปซื้อสายซอทอมาร้อยเรียบร้อย หมอเยื้อนอยู่กับอาตมาอีก ๒-๓ เดือน บอกหลวงพ่อไม่ให้อะไรผมไม่ว่าอะไร ผมขอลูกประคำได้ไหม แล้วอธิบดีสมพรก็อยากได้ คนโน้นก็อยากได้ คนนี้ก็อยากได้ จะให้ใครดี ก็พิจารณาคนใกล้ตัวก่อน ก็หมอเยื้อนมารับใช้เราเป็นปี ๆ ก็ให้หมอเยื้อนไป นี่ลูกประคำลูกนี้นะ หมอเยื้อนยังไปรักษาอยู่จนบัดนี้ นี่อำนาจเมตตาลองดูนะ ตั้งแต่นั้นมาหนูไม่เคยมากัดหมอนมุ้งเลยจดบัดนี้ นี่หนูก็เยอะ อาตมาก็ต้องให้กล้วยกิน แผ่เมตตากับมัน เอ้าลองดูนะ แล้วจะไม่มากัดของเราเลย


ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

58
สติปัฏฐาน ๔ ปิดอบายภูมิได้....1/2
พระภาวนาวิสุทธิคุณ

ญาติโยมเอ๋ย โปรดได้ทราบไว้เถอะ บุญกรรมมีจริง บาปกรรมมี ยมบาลจดไม่มี จิตนี้เป็นผู้จด จดทุกวันคือ อารมณ์ เรื่องจริงแน่ จดทุกกระเบียดนิ้ว บาปบุญคุณโทษบันทึกเข้าไว้ พอวิญญาณออกจากร่างไป มันก็ขยายออกมาใช้กรรมไป ถ้าเราทำดีก็ไปบังเกิดในสวรรค์ ทำชั่วก็ลงนรกไปแบบนี้

อาตมามาคิดดูนะว่าสวรรค์อยู่บนฟ้า นรกอยู่ใต้ดินก็คงไม่ใช่ ดูตัวอย่างที่เคยเล่าให้ญาติโยมฟัง
ตาเล่งฮ่วย ผูกคอตาย วิญญาณไปเข้ายายเภา ยายเภาเป็นคนไทยแท้ ๆ เกิดพูดภาษาจีนได้ ตอนนั้นอาตมาอยู่วัดพรหมบุรี อาตมาเป็นหมอไล่ผีแต่ไม่มีคาถา ถ้าเป็นหมอผีไม่ต้องใช้คาถา ทำปากขมุบขมิบ เทน้ำมนต์ราดส่งไป ผีจริงก็ร้อง ผีปลอมก็ร้อง พวกนี้โดนน้ำไม่ได้ร้องหมด อาตมาจับผีได้หมดแล้ว จริงปลอมรู้หมด

คนที่เป็นลมเพลมพัดไม่ต้องเสกคาถาหรอก เอาน้ำพ่นไปยังร้องเลย ร้องหวีดหวาด ๆ คนสติไม่ดี ไม่ใช่อะไรหรอก คนไม่มีสติเขาสวดภาณยักษ์กัน คนไม่มีสติดิ้นกันจะตาย คนมีสติเขาเฉย นี่จำไว้ มีสตินี่มีประโยชน์ คนไม่มีสติผีเข้าเจ้าสิง มีคนมาตามอาตมาไป พอไปถึงยายเภาพูดภาษาจีน เลยต้องให้เรือไปตาม ตาแป๊ะเลี่ยงเกี๊ยก ไว้ผมเปีย เป็นลุงเขยอาตมาให้มาเป็นล่าม
เขาบอกไม่ต้องไล่เขา เขาอยู่กับ ฮ่วยเซียเถ้า อยู่ตรงใกล้วัดพรหมบุรีนี่เอง

อาตมาถามว่า “ฮ่วยเซียเถ้า” คือใคร ทำไมถึงไปอยู่กับ “ฮ่วยเซียเถ้า” เขาบอกว่า “ชื่อ หลวงตามด เคยเป็นเจ้าอาวาสวัดกลางพรหมนคร อยู่เหนือตลาดปากบางนี่เอง อยู่ด้วยกัน ๒ คน ขุดดินถมถนนทุกวัน ถ้าไม่ขุดดินเขาเฆี่ยนตี และฮ่วยเซียเถ้าก็ขุดดินด้วย”
อาตมาได้ถามคนเฒ่าคนแก่ชื่อ บัวเฮง อยู่ตลาดปากบางบอกว่า ฮ่วยเซียเถ้ามีจริง ชื่อ สมภารมด อยู่วัดกลาง เป็นสมภารวัด จะสร้างถาวรวัตถุของวัด แต่เงินทองถูกมัคทายกโกงไปหมด ไม่รู้จะทำอย่างไร เสียใจเลยผูกคอตาย นี่เห็นไหมสมภารผูกคอตาย ไม่ได้เคยเจริญกรรมฐานเลย ตายมาตั้งห้าหกสิบปีแล้ว เดี๋ยวนี้ยังอยู่ ตาเล่งฮ่วยเล่าว่า อยู่กับฮ่วยเซียเถ้า ชื่อมด ก็ตรงกัน อาตมาถามว่า “อยู่ตรงไหนล่ะ ทานข้าวที่ไหน ลื้อมาทำไมล่ะ”
“อั๊วมาบอกให้ลื้อไปบอกหลานสาวอั๊วนะ ทำบุญไปให้อั๊วไม่ได้นะ อย่าทำเลย”
“แล้วกินที่ไหนล่ะ”
“อั๊วกับฮ่วยเซียเถ้าไปกินตามกองขยะ ที่เขาเอาเศษอาหารมาทิ้งกินกับหนอน”
“เอ้า! ที่ดี ๆ ทำไมไม่กินล่ะ”
“ไม่มีใครให้กิน มีอีกพวกหนึ่งขุดถนนเหมือนกัน แต่เขามีข้าวกิน พวกอั๊วไม่มีข้าวกิน ต้องไปกินที่มันเหลือ ๆ จึงจะกินได้ ไปบอกหลานสาวอั๊วชื่อ เจีย นะ บอกว่าไม่ต้องทำบุญไป อั๊วไม่ได้ ถ้าลื้ออยากทำบุญให้อั๊วนะ ฮ่วยเซียเถ้ามดบอกับอั๊ว บอกให้ลูกหลานเจริญวิปัสสนานะ และอั๊วจะได้”


ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

59
ภาพปริศนธรรม : ปฏิจจสมุปบาท
Posted by สอนสุพรรณ ,

  ... ช้างสารซ่านซับมัน    รันแรงร้ายเกินกำหนด
          ลือชาทั่วปรากฏ    มาลดกายให้กบกิน ...


                                               หนังสือสุภาษิตภาคใต้

          จากข้อความข้างต้น  หลาย ๆ ท่านอาจจะคิดสงสัยว่า  ช้างตัวใหญ่ยอมให้กบตัวเล็กนิดเดียวกินได้อย่างไร  คำถามนี้ยากเป็นความที่มีนัยแห่งข้อธรรมที่ลึกซึ้ง  ซึ่งผู้ประพันธ์สุภาษิตถอดความมาจากภาพปริศนาธรรม

          ภาพปริศนาธรรม เป็นการถ่ายทอด หรือ อธิบายข้อธรรมด้วยภาพมีองค์ประกอบเป็นภาพสัตว์ชนิดต่าง ๆ ทั้งประเภทจตุบาท ทวิบาท และสัตว์เลื้อยคลาน ได้แก่ ช้าง กบ นก งู  สาระในภาพสื่อให้เกิดความคิดในเชิงเปรียบเทียบ  เพื่อให้เห็นความเป็นไปตามสภาพธรรมของโลกโดยลำดับ 

          เนื้อหาของภาพเป็นเป็นตอน ๆ ต่อเนื่องกันเป็นชุด  ภาพปริศนาธรรมชุดนี้มี ๖ ตอน  ถ่ายทอดมาจากบทธรรมปฎิจจสมุปบาท



          ภาพที่ ๑  เริ่มต้นด้วยภาพสระน้ำ ๓ สระ  มีคำอธิบายประกอบภาพว่า  น้ำ ๓ สระคือตัณหาทั้งสาม ได้แก่

          ๑.  กามตัณหา หมายถึง ความทะยานอยากในกาม ได้แก่  กามคุณซึ่งสนองความต้องการทางประสาททั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย

          ๒.  ภวตัณหา หมายถึง ความทะยานอยากในภพ ได้แก่  ความอยากในภาวะของตัวตนที่  จะได้  จะมี  จะเป็น

          ๓.  วิภวตัณหา หมายถึง ความทะยานอยากในวิภพ ได้แก่  ความอยากในความพรากพ้นไปแห่งตัวตน  จากความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งอันไม่ปรารถนา



ภาพที่ ๒  เป็นภาพช้างมีน้ำ ๓ สระอยู่ภายในท้อง  มีคำอธิบายประกอบภาพว่า ช้างสาร คือ ชาติ  กลืนน้ำ ๓ สระ คือ ตัณหาทั้งสาม


ที่มา
http://www.oknation.net/blog/phaen/2007/10/05/entry-1

60
***เมื่อหลวงปู่เทพโลกอุดรเฉลยปริศนาธรรม***




มีเรือน แต่ไม่มีผู้อยู่…….
มีข้าวแต่ไม่มีผู้กิน……..
มีทาง แต่ไม่มีผู้คน……..


ปริศนาธรรมนี้ มีผู้กล่าวว่า เป็นคำสืบทอดมาจากพระกัสสปะเถรเจ้า จริงเท็จอย่างไรยากจะสืบสาว แต่ขอให้ศึกษาด้วยเหตุของภาวะธรรมเถิด
สมัยหนึ่ง มีคำเล่าว่า พระอรหันต์ผู้แตกนิกายออกไป ผู้ตกตายแล้วหรือปรินิพพานแล้ว มีกระดูกสารีริกธาตุ เป็นแก้วเพชรพลอย เฉลยความไว้ว่า

มีเรือน ไม่มีผู้อยู่………..เพราะโลกเกิดสงคราม คนจึงละบ้านช่องหลบภัย
มีข้าว ไม่มีผู้กิน…………เพราะระหว่างเกิดสงคราม คนหนีภัย จึงขนข้าวไปได้แต่น้อย
ส่วนเหลืออยู่ในเรือนร้าง จึงไม่มีคนกิน
มีทาง ไม่มีผู้เดิน……….เพราะสมัยโลกเจริญ มีแต่การตัดถนนหนทาง มีรถลามาก คนจึงเดิน
ทางด้วยพาหนะ ไม่ต้องเดินด้วยเท้าเช่นแต่ก่อน


ที่มา
http://www.buddhapoem.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=73890&Ntype=5

61
กฎแห่งกรรม / อานิสงส์ของการบวช
« เมื่อ: 30 พ.ย. 2554, 09:35:26 »
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=21981.msg180602#msg180602
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23200
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=10216
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=8477

อานิสงส์ของการบวช


 ๒๕๐๙ ย่างเข้า ๒๕๑๐ อาตมาได้ย้ายจากวัดชายนา ตำบลคลัง อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราชไปอยู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อไปถึงก็ได้รับข่าวเรื่องน่าสนใจขึ้น คือที่ตำบลพรุพี อำเภอบ้านนาสาร หมู่ที่ ๕ เรียกกันว่าหมู่บ้านห้วยบอน เหตุการณ์เกิดขึ้นทำให้คนจำนวนมากมาที่วัดสุคนธาวาสที่อาตมาอยู่ เพื่อมานิมนต์ให้ไปทอดผ้าป่าให้กับยายนายลอยผู้ตายไป ก็มีการเล่าและการเชื่อกันว่า เป็นความจริง เหตุการณ์นี้คือ แม่ของนายลอยได้สิ้นชีวิตไปแล้ว และยายก็สิ้นชีวิตไปแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้น่าเชื่อถือ คือ นายลอยเป็นคนชอบเล่นไพ่ ไม่ชอบเรื่องธัมโมธรรมะ หลังจากเล่นไพ่มา ๓ วัน ๓ คืน ในงานหนึ่งก็กลับไปนอนบ้าน การนอนนั้น หลับไปตั้งแต่ตอนบ่าย และก็ไปตื่นเอาตอนเที่ยงวัน และก็ไปเล่นไพ่ต่อ ไม่สนใจเรื่องสิ่งที่ตนได้พบเห็นในความคิดความฝัน ก็ไม่เล่าให้ใครฟัง ไม่พูดให้ใครฟัง


 อยู่มาช่วงหนึ่ง ยายของนายลอยที่ตายไปแล้ววิญญาณไปเจอลูกสาวคือแม่ของนายลอยตกนรกอยู่เรียกว่า อุสุตะนรก เป็นนรกขุมแรกของเมืองมนุษย์ ถัดจากมนุษย์ไป ยายคนนั้นเลยถามว่า ลูกสาวทำไมมาอยู่ที่นี่ ลูกสาวตอบจากในหลุมขุมนั้นว่า ลูกมาตกนรกอยู่ แต่แม่ต้องช่วยด้วย ลูกลอยมันโกหกว่า จะบวชให้แม่ แต่กลับไปเห็นยังไม่บวช ฉันทรมานมาก ขอให้แม่ไปช่วยบอกหลานของแม่ด้วย มันโกหก รับปากว่าบวช ยังไม่บวช ไปเล่นไพ่ต่อ



 อยู่ในเมืองนรกยังรู้ว่าลูกเล่นไพ่ต่ออีกยายเลยถามว่า จะให้ไปบอกได้อย่างไร เราเป็นวิญญาณ เขาเป็นมนุษย์ แม่ของนายลอยตอบว่า ให้แม่ไปประทับทรงที่หลานของแม่เอง คือนางละออง (นางละอองเป็นน้องของนายลอย) นายนายลอยก็รับปากลูกสาวว่า จะไปบอกให้และกลับจากขุมนรกนั้น มาถึงบ้านของนายลอย ซึ่งมีแต่น้องสาวอยู่บ้าน คือนางละออง ก็ได้มีการประทับทรงทันที

การประทับทรงนั้น เมื่อประทับทรงแล้ว นางละอองไม่รู้สึกตัว แต่คนผ่านหน้าบ้านมาเห็นยายนายลอยนั่งอยู่ก็แปลกใจว่า ยายนายลอยตายไปแล้ว ทำไมมานั่งอยู่ได้ หรือผีหลอก พอเดินผ่าน ยายนายลอยเลยถามว่า เอ้ย...มึงไปบอกไอ้ลอยที บอกให้มาบ้านด่วน มันไปโกหกแม่มันในเมืองนรกว่า จะบวชให้ แต่ไม่บวชไปเล่นไพ่ต่อช่วยบอกที คนที่เดินผ่านมาจำนวนมาก ก็ได้รับการฝากไปบอกทั้งหมด เมื่อทุกคนไปถึงบ้านงานศพ ไปบอกนายลอยว่า “ลอย ๆ ยายมึงมารอคอยอยู่ที่บ้าน มึงโกหกแม่มึงว่า มึงจะบวชให้ แต่ไม่บวช แม่มึงตกนรกอยู่นายลอยจึงว่า

“ยายมาได้อย่างไรล่ะ”  “บอกว่าโน้น ไปดูสิ นั่งรออยู่ที่บ้าน นายลอยก็นึกได้ว่า เอ...มิใช่ฝันแล้ว รับปากกับแม่แล้ว มิใช่ฝันแล้ว ก็เลยรีบเลิกจากการเล่นไพ่ไปบ้านทันที แต่มีคนหลายคนมาบอก ในงานศพว่า ยายนายลอยมารอคอยอยู่เช่นนั้น ทุกคนก็พากันแปลกใจ เลิกจากการเล่นไพ่ทั้งหมดไปบ้านนายลอย ไปถึงเห็นยายนายลอยนั่งอยู่ ทุกคนที่รู้จัก จำได้ แต่ไม่เห็นเป็นน้องสาวนายลอยคือนางละออง เห็นเป็นยายของนายลอย พอเห็นหน้านายลอยโผล่เข้าไปถึง ยายว่า “ลอย ๆ มึงโกหกแม่มึงว่า มึงจะบวช แต่ทำไมมึงไม่บวชล่ะ แม่มึงตกนรกอุสุตะนรก” ยาย ๆ มาได้อย่างไรนี่ ผมคิดว่าผมฝัน




 “ไม่ใช่ฝันซะแล้ว หลานลอยกูไปเจอแม่มึงแล้ว ตกนรกอยู่”
 นายลอยก็ได้บอกยายว่า แล้วยายมาได้อย่างไร เดี๋ยวนี้ยายอยู่ที่ไหน กินอยู่อย่างไร ยายบอกว่า ยายมีบ้านอยู่หลังหนึ่ง มุงหลังคาใบถัง มีน้ำอยู่ไหหนึ่ง มีขันน้ำด้วย แล้วก็มีข้าวกิน แต่ตอนนี้หลังคาได้พังไปหมดแล้ว ไปช่วยทำให้ที นายลอยก็ได้ถามว่าจะให้ไปทำได้อย่างไร และบ้านอยู่ที่ไหนไปทำได้อย่างไรละ ยายบอกว่า ลอยบ้านเกิดด้วยบุญ เขาสร้างหนำไว้ลูกหนึ่งคนไปกินน้ำที่นั่นแหละ หนำน้ำนั่นแหละ กินข้าวกินน้ำ ยายได้อานิสงส์ มีบ้านอยู่ มีน้ำ มีข้าว อาหารพร้อม การไปทำไม่ใช่ไปทำไปสร้างเหมือนบ้านมนุษย์ ให้เธอทอดผ้าป่าต่อพระสงฆ์ แล้วอุทิศบุญกุศลให้กับยาย ยายจะได้ทันทีเพราะลูกหลานเป็นผู้ทำให้ นายลอยว่าถ้าอย่างนั้นจะได้นิมนต์พระมาทอดผ้าป่า “แล้วลอยมึงไม่สงสารแม่มึงหรือ มึงก็ได้เห็นเขาด้วยตาเองมาแล้ว ทำไมต้องทำเฉยไม่บวชละ” ยายว่า
 นายลอยบอกว่า ยาย ผมไม่อยากบวช ผมไม่ศรัทธา ก็ไม่ใช่บวชด้วยศรัทธา ด้วยความชอบของตนเองบวชให้แม่ตนเอง บวชให้แม่พ้นทุกข์

ที่มา
http://www.oknation.net/blog/My-fais/2009/12/10/entry-45

62
ธรรมะ / ธรรมะอินเทรนด์......2
« เมื่อ: 28 พ.ย. 2554, 04:58:24 »
ธรรมะอินเทรนด์ : วิถีบัณฑิต
วันพุธ ที่ 23 พฤศจิกายน 2554 เวลา 0:00 น 



อตฺตานํ  ทมยนฺติ  ปณฺฑิตา

บัณฑิตย่อมฝึกตน

(พุทธสุภาษิต ๒๕/๑๖)


อัสดรหัตถีปักษีชาติ    แม้เปรื่องปราดปรีชาไวอยู่ไพรสณฑ์   

หากคนไม่ฝึกหัดไม่ดัดตน    ก็เก่งวนแต่กินอยู่สมสู่กัน
   
ครั้นมนุษย์นำมาพากันฝึก    สัตว์สำนึกเปลี่ยนไปใฝ่สร้างสรรค์

ปลาโลมาเปิดแสดงโชว์แข่งกัน    แต่ละวันหาเงินได้ไม่น้อยเลย
   
อัสดรหัตถียิ่งดีกว่า    เป็นดาราในหนังบ้างละเหวย

ดีเด่นดังอย่างโดดเด่นเสียจนเคย    บางตัวเลยได้ยศช้างอย่างฤาชา
   
สัตว์ประเสริฐเพราะคนฝึกสำนึกใหม่           จึงเติบใหญ่แตกต่างอย่างสัตว์สา

บัณฑิตชนฝึกตนบ้างสร้างวิชชา    พัฒนายิ่งกว่านั้นนับพันนัย

จากปุถุชนคนต่ำนำมาฝึก    ค่อยค่อยตรึกพัฒนาอัชฌาสัย

จากเห็นผิดเป็นเห็นถูกปลูกวินัย    จากพงษ์ไพร่เป็นพงษ์ปราชญ์ฉลาดชนม์
   
จากคนป่าเป็นคนเมืองผู้เรืองฤทธิ์    จากมืดมิดเป็นสว่างกระจ่างหน

จากกิเลสเกรอะกรังค่อยล้างตน    จึงหลุดพ้นเหนือกิเลสวิเศษไป
   
บัณฑิตชนเฝ้าฝึกตนทุกเวลา    จึงปรีชาประโชติดวงอย่างช่วงใส

ส่องสว่างกว่าดวงจันทร์ตะวันไว    เป็นเลิศไร้ผู้ปานเปรียบเทียบไม่ทัน.

ว.วชิรเมธี

ที่มา
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=671&contentID=177420

63
ธรรมะ / ธรรมะอินเทรนด์......1
« เมื่อ: 28 พ.ย. 2554, 04:41:30 »
ธรรมะอินเทรนด์ : 4.พาลลักษณ์
วันพุธ ที่ 02 พฤศจิกายน 2554 เวลา 0:00 น  



โย  พาโล  มญฺญติ  พาลฺยํ    ปณฺฑิโต  วาปิ  เตน  โส
    
พาโล  จ  ปณฺฑิตมานี    ส  เว  พาโลติ  วุจฺจติ
    
คนโง่  ที่ยังรู้ตัวว่าเป็นคนโง่  
    
ก็ยังพอมีโอกาสเป็นคนฉลาดได้บ้าง
    
ส่วนผู้ใดเป็นคนโง่ แต่กลับสำคัญตนว่าเป็นคนฉลาด  
    
คนนั้นปราชญ์ท่านเรียกว่า “จอมโง่”

(พุทธศาสนสุภาษิต ๒๕/๑๕)
    
เป็นคนเขลารู้ว่าเขลาเข้าทีอยู่    ยังมีลู่ทางฉลาดเป็นปราชญ์ได้

แต่คนเขลาสำคัญผิดตั้งจิตไว้    ว่าตนไซร้ช่างฉลาดเป็นปราชญ์จริง

คนเช่นนั้นปราชญ์ตำหนิดำริผิด    เขาลิขิตตนไม่ดีถูกผีสิง

ตัวของตัวไม่รู้จักไร้หลักอิง    ปราชญ์ท่านติงว่า “จอมโง่” โอ้คนพาล.

ว.วชิรเมธี


ที่มา
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=671&contentID=173349

64
ความสุขที่แท้จริง ... อยู่ที่ใจนี่เอง ...1/3
(จาก fwd mail)

จะหาความสุขได้จากที่ไหนๆ
 
พระธรรมเทศนา โดยพระพุทธพจนวราภรณ์ (หลวงปู่จันทร์ กุสโล)
วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ต.พระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
 
ความสุขคือความสบายกายสบายใจ เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการปรารถนา
ไม่ว่าจะทำกิจการงานอะไร จุดหมายปลายทางรวมอยู่ที่ความสุขทั้งนั้น
ความสุขเกิดจากไหน?
ก่อนจะให้คำตอบ จะขอเล่าเรื่องประสบการณ์ที่ได้ประสบมาให้ฟัง
คือเมื่อประมาณ ๑๐ กว่าปีผ่านไปแล้ว เวลาประมาณ ๔ ทุ่มเศษ
หลังจากที่ข้าพเจ้าอ่านหนังสือจนรู้สึกเมื่อย ข้าพเจ้าจึงลงไปเดินเล่นรอบๆ วิหาร
พอเดินไปถึงหน้าวิหาร ใกล้กับวิหารอินทขิล
โดยปรกติบริเวณรอบๆ แถวนี้ ไม่ค่อยจะมีใครไปเดินเพราะกลัว
“ทำไมถึงกลัว?”
เพราะสถานที่ตรงนั้นมีโบราณวัตถุเก่าแก่และชำรุดปรักหักพัง
เวลากลางคืนเป็นที่เปลี่ยว ทำให้เป็นสถานที่น่ากลัว
วันนั้น ข้าพเจ้าเดินไปหยุดอยู่สักครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงกุกๆ กักๆ
ข้าพเจ้าสะดุ้ง ขนหัวลุก รีบเดินกลับกุฏิทันที นึกในใจว่าโดนผีหลอกเข้าแล้ว
กว่าจะสงบจิตใจได้ตั้งนาน ไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นแก่ใคร เก็บเรื่องไว้ในใจ แล้วเข้านอน
 
รุ่งขึ้น ได้เวลาก็ออกบิณฑบาต เมื่อผ่านวิหารอินทขิล
ข้าพเจ้าจึงแวะไปดูที่ที่ได้ยินเสียงกุกๆ กักๆ เมื่อคืนวานนี้
ปรากฏว่าที่ตรงนั้นมีชายคนหนึ่งเป็นคนพเนจร ได้มานอนหลับอยู่อย่างสบาย
ข้าพเจ้าได้บทเรียนจากประสบการณ์ครั้งนี้ว่า
“ที่ที่ข้าพเจ้าหวาดหวั่นสะดุ้งกลัวที่สุดนั้น กลับเป็นที่ที่สุขสบายที่สุดของชายคนนั้น”
ข้าพเจ้ามีปัญหาต่อไปว่า “ทำไมสถานที่ที่เดียวกันทำให้เกิดความรู้สึกแก่คนได้ไม่เหมือนกัน
คนหนึ่งเกิดความรู้สึกสะดุ้งกลัว อีกคนหนึ่งได้อาศัยพักผ่อนหลับนอนได้อย่างสบาย?”
ความรู้สึกนี้เกิดกับข้าพเจ้าอยู่นาน ต่อมาภายหลังได้รับความเข้าใจในเรื่องนี้ว่า
วัตถุสถานที่เป็นเพียงสิ่งที่ทำให้เกิดอารมณ์
การที่เห็นวัตถุสถานที่ที่ใดที่หนึ่ง แล้วจะเกิดอารมณ์ดี อารมณ์เสีย
อารมณ์กลัว อารมณ์กล้า หรืออารมณ์รัก อารมณ์เกลียด อย่างไรนั้น
แล้วแต่พื้นจิตใจของคนที่เห็น
 
บ้างเห็นซากศพแล้วเกิดอารมณ์หวาดหวั่น กินไม่ได้ นอนไม่หลับ
เป็นภาพติดตาหลอกใจตัวเองให้กลัวอยู่ตลอดเวลา
ตรงกันข้าม คนบางคนเมื่อได้เห็นซากศพแล้วเกิดธรรมสังเวช
ได้คติสอนใจ มีอุตสาหะในการที่จะเว้นชั่ว ประพฤติดี
ข้าพเจ้ารู้จักกับชายคนหนึ่ง เขาเป็นชาวกสิกร
อาชีพของเขาคือทำเตาบ่มใบยาและทำสวนชา
เขาเล่าให้ฟังว่าเวลาที่เขามีความสุขใจที่สุด
คือเวลาที่เขาเข้าไปในโรงงาน ได้เห็นเครื่องจักรกำลังเดินเครื่องทำงานอยู่
เขาให้เหตุผลว่าเครื่องจักรที่กำลังเดินเครื่องอยู่
มันแสดงถึงความเคลื่อนไหว ผลิตผลประโยชน์อยู่ตลอดเวลา
ทำให้ชีวิตมีประโยชน์ เห็นแล้วสบายใจ

65
ธรรมะ / คุณค่าของเต๋า
« เมื่อ: 15 พ.ย. 2554, 05:18:44 »
คุณค่าของเต๋า

คนปัญญาระดับสูง พอได้ฟัง ..เต๋า.. ก็พากเพียรปฏิบัติ

คนปัญญาระดับกลาง แม้นมีวาสนาได้ฟัง ..เต๋า..แต่มักพากเพียรในเต๋าไม่ตลอด

คนปัญญาระดับต่ำ เนื่องจากความรู้น้อย จึงไม่แจ้งความสำคัญของเต๋า ประกอบด้วยจิตหลงมัวเมา ดีแต่แสวงหาความสุขทางโลก พอได้ฟัง..เต๋า..ก็หัวร่อเยาะ

555 ถ้าคนโง่พวกนี้ไม่หัวร่อย่อสิ ก็ไม่รู้ว่า คุณค่าของ.เต๋า..อยู่ที่ไหน
เขียนโดย : อมิตตาพุทธ

ที่มา
http://www.firodosia.com/showdetail.asp?boardid=4504

66
ฮือฮาหลวงพ่อสดเพลิงเผาบ้านวอดภาพถ่ายไม่เป็นไร
วันจันทร์ ที่ 14 พฤศจิกายน 2554 เวลา 10:12 น 



ฮือฮาปาฏิหาริย์ ภาพถ่ายหลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ อริยสงฆ์เมืองไทย ผู้ค้นพบวิชาธรรมกาย หล่นในกองเพลิงที่กำลังลุกโชนไหม้ห้องเช่าเผาผลาญ เตียงนอน ชั้นวางหนังสือ ตู้เย็น โทรทัศน์กลายเป็นเถ้าถ่าน แต่แสงเพลิงกลับไม่ทำลายภาพถ่ายได้แม้แต่น้อย เชื่อเป็นบุญบารมีแสดงอานุภาพ ทำให้ไม่มอดไหม้
   
เมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 13 พ.ย. พ.ต.ท.ประสิทธิ์ มั่นศรี พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ ที่ห้องแถวเลขที่ 57/15 พัทยาใต้ ซอย 6 หมู่ 10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จึงประสานขอรถน้ำจากหน่วยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเมืองพัทยา 2 คัน ไปตรวจสอบเป็นการด่วน
   
ที่เกิดเหตุเป็นห้องแถวให้เช่าชั้นเดียวปลูกติดกัน 5 ห้อง ภายในห้องพักเลขที่ 2 พบแสงเพลิงและกลุ่มควันสีดำพวยพุ่งออกมาเป็นจำนวนมาก จนต้องงัดประตูห้องและฉีดน้ำเข้าไปสกัดเพลิง ใช้เวลาประมาณ 20 นาที จึงสงบ จากนั้นได้เข้าตรวจสอบภายในห้องเกิดเหตุพบว่าทรัพย์สินภายในห้อง ประกอบด้วย เตียงนอน ชั้นวางหนังสือ ตู้เย็น และโทรทัศน์ ถูกเพลิงไหม้ได้รับความเสียหายกองเป็นเถ้าถ่าน แต่ขณะที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุอยู่นั้นถึงกับต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าภาพถ่ายหลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ ขนาดกว้าง 25 ซม. ยาว 30 ซม. ตกอยู่ที่พื้นข้างผนังห้อง แต่ไม่ถูกเพลิงไหม้เสียหายแต่อย่างใด
     
จากการสอบสวนนางกุณา ภูศรี อายุ 56 ปี เจ้าของห้องแถว ให้การว่า ต้นเพลิงเกิดจากห้องเช่าห้องที่ 2 ซึ่งมีชายไม่ทราบชื่อ อายุประมาณ 50 ปี ทราบเพียงว่ามีอาชีพเดินเร่ขายนาฬิกามาเช่าอยู่ โดยขณะเกิดเหตุไม่อยู่ภายในห้อง เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า สาเหตุน่าจะมาจากเจ้าของห้องจุดธูปเทียนบูชาพระไว้ก่อนออกจากห้อง แต่ธูปหรือเทียนอาจล้มไปไหม้ชั้นวางหนังสือ ก่อนลุกลามไหม้ทรัพย์สินต่าง ๆ มีเพียงภาพหลวงพ่อสด ที่ติดไว้ที่ผนังห้องเท่านั้นที่ไม่ถูกไฟไหม้ ทำให้ผู้ที่มาดูเหตุการณ์ต่างวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องราวราวปาฏิหาริย์และเป็นที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก เนื่องจากภาพตกอยู่ในกองเพลิงแต่กลับไม่ถูกเปลวเพลิงเผาไหม้ได้รับความเสียหายแม้แต่นิดเดียว
   
สำหรับชาติภูมิพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) เดิมชื่อ สด มีแก้วน้อย เกิดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2427 ตรงกับวันศุกร์ แรม 6 ค่ำ เดือน 11 ปีวอก ฉศก จุลศักราช 1246 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ณ บ้านสองพี่น้อง ต.สองพี่น้อง อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี เป็นบุตรคนที่สองของนายเงินและนางสุดใจ มีแก้วน้อย มีพี่น้องร่วมมารดาบิดา 5 คน
   
เมื่ออายุได้ 14 ปีโยมบิดาได้ถึงแก่กรรมท่านจึงรับภาระดูแลการค้าทางเรือแทนและเจริญรุ่งเรืองโดยลำดับ จนเป็นผู้มีฐานะดีคนหนึ่ง วันหนึ่งเมื่อท่านนำเรือเปล่ากลับบ้านพร้อมเงินรายได้จากการขายข้าวผ่านลัดคลองเล็กซึ่งชาวบ้านเรียกว่า คลองบางอีแท่น มีโจรผู้ร้ายชุกชุมท่านนึกถึงความตายขึ้นมา และได้อธิษฐานจิตว่า “ขอบวชจนตลอดชีวิต”
   
ครั้นอายุได้ 22 ปี ได้อุปสมบท ณ วัดสองพี่น้อง อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี มีฉายาว่า จนฺทสโร โดยมี พระอาจารย์ดี วัดประตูสาร เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวินยานุโยค (เหนี่ยง อินฺทโชโต) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์โหน่ง อินฺทสุวณฺโณ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่ออุปสมบท ท่านจึงเริ่มปฏิบัติสมถะ-วิปัสสนากรรมฐานกับพระอาจารย์เนียม วัดน้อย อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี ได้จำพรรษาอยู่วัดสองพี่น้อง 1 พรรษาเมื่อออกพรรษาที่วัดสองพี่น้องแล้ว ท่านจึงเดินทางมาจำพรรษา ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เพื่อศึกษาด้านคันถธุระและฝากตัวเป็นศิษย์อดีตพระเถราจารย์ยุคเก่าอีกหลายรูป
   
หลวงพ่อสด หรือหลวงพ่อวัดปากน้ำ เป็นผู้ค้นพบวิชาธรรมกายจากการปฏิบัติธรรมขั้นสูง เป็นหนึ่งในพระอริยสงฆ์ประเทศไทยที่ได้รับการเคารพนับถือจากพุทธศาสนิกชนทั่วไป ซึ่งท่านเคยทำนายวันและเวลามรณภาพล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำเหลือเชื่อ โดยในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 เวลา 15.05 น. ท่านได้มรณภาพอย่างสงบ ณ ตึกมงคลจันทสร วัดปากน้ำภาษีเจริญ สิริอายุ 74 ปี 3 เดือน 24 วัน 53 พรรษา.

ที่มา เดลินิวส์
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=38&contentID=175899

67
ฝึกนามรูป ฝึกธรรมกาย

 พรรษาที่ ๕ ปฏิบัติแบบ “นามรูป” ศึกษาจากฆราวาสบ้าง ศึกษาจากพระภิกษุบ้างและจากที่อื่นบ้าง ก็ได้มาศึกษาเรื่อง “นามรูป” ติดต่อกันนาน ทำได้สะดวกดี
 ทั้งนี้เพราะพิจารณานามรูปนี้ กำหนดไม่ยาก กำหนดว่า เห็นเป็นรูป-รู้เป็นนาม, รักเป็นรูป-รู้เป็นนาม, เดินเป็นรูป-รู้เป็นนาม, ย่างเป็นรูป-รู้เป็นนาม, เกลียดเป็นรูป-รู้เป็นนาม, รักเป็นรูป-รู้เป็นนาม



 ฉะนั้นอะไรเกิดขึ้นเป็นรูปทั้งหมด และตัวรู้เป็นนามทั้งหมดด้วย เพราะไม่ใช่ตัวเรา ของเราทั้งหมดแยกออกไป
 พอย่างเข้าพรรษาที่ ๖ อาตมาปฏิบัติแบบ “ธรรมกาย” ตอนนั้น พระอาจารย์แจ้ง สอนบ้างและศึกษากับพี่ชายบ้าง ซึ่งตอนหลังพระอาจารย์แจ้งก็สึกออกมา
 ขณะที่ศึกษากับพระอาจารย์แจ้ง อาตมาไปติดเพียง “กายทิพย์” แล้วก็เห็นว่าถึงทำไปก็ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ เป็นเพียงดวงของพระอรหันต์ เช่นดวงพระโสดา ดวงพระสกิทาคามี ดวงพระอนาคามี นี่เรียกว่าสำเร็จดวง แต่คนยังไม่ได้เป็น ก็เลยเลิก
 หลังจากนั้นผ่านนานแล้ว อาตมาก็ได้เข้าปริวาสกรรมที่วัดตโปทาราม จังหวัด ชลบุรี ได้เจอกับอาจารย์แก้ว ซึ่งเป็นฆราวาสเป็นผู้สอบอารมณ์ให้ผ่านพ้นไป จนถึง “ดวงพระอรหันต์” เมื่อถีงดวงพระอรหันต์ก็ดวงเป็น แต่คนยังไม่เป็น
 สรุปว่าวิชาธรรมกายนี้ ถึงแม้ว่าจะได้เพียง “กายทิพย์” ก็สามารถเอา “ดวง” ไปรักษาคน โดยทำดวงให้ใหญ่ก็ได้ เล็กก็ได้ แล้ววางไว้ที่หัวคนให้หายปวดหัว พอดวงหายแว๊บ แล้วก็หายปวด หายเมื่อย หายอาการต่าง ๆ คนก็นิยมให้อาตมารักษาอยู่ช่วงหนึ่ง
 อาตมาเห็นว่าหากทำอย่างนี้ต่อไปจะถูกรบกวนตลอด โดยไม่ได้มรรคผลอะไรเลย
 ความจริงวิชาธรรมกายนี้สามารถระลึกชาติหนหลังได้ เมื่อถึงกายทิพย์ดวงกำเนิด พอถึงดวงกำเนิดนี้ สามารถอธิษฐานให้รู้ว่าชาติก่อนเป็นอะไร พูดอย่างไร เสียงอย่างไร
 ฉะนั้นเมื่อได้ดวงแล้วใช้ให้มีกำลังก็ได้ ใช้ให้คนกลับใจก็ได้ แต่จะให้เป็นถึง “พระอรหันต์” คงไม่เป็น

http://www.oknation.net/blog/My-fais/2009/12/10/entry-36

68
ผีขึ้นจากหลุม


 พระอาจารย์จำเนียร สีลเสฏโฐ บวชพรรษาที่ ๑ วัดนารีประดิษฐ์ จำวัดในป่าช้า มีพระบวชใหม่ในพรรษานั้น แต่ท่านยังกลัวผี หลวงพ่อจำเนียรจึงต้องการฝึกพระบวชใหม่ ไม่ให้กลัวผีเมื่อกลัวสิ่งใดต้องเข้าไปหาสิ่งนั้น อยู่ใกล้สิ่งนั้นจึงจะหายกลัว ท่านจึงพาพระบวชใหม่ ใครบ้างที่อยากไปจำวัดในป่าช้าคืนนี้ มีผีตายท้องกลมมาฝังไว้ ซึ่งกิตติศัพท์ผีตายท้องกลมเขาว่าดุนักหนา


 ในหนังผีก็กล่าวถึงบ่อย ๆ ได้อาสาสมัครที่จะไปนอนในป่าช้า ๔ องค์ หลวงพ่อพาพระบวชใหม่เข้าป่าช้าจัดให้นอนใกล้ ๆ หลุมผีตายท้องกลม พอดีมีคนมาตามพระอาจารย์จำเนียรให้ไปไล่ผี เพราะผีมาเข้าคน พระอาจารย์จำเนียรจึงออกจากป่าช้ามาทำพิธีไล่ผีที่สิงอยู่ในคน จากนั้นจึงกลับเข้าไปในป่าช้าเพื่อจำวัดตามปกติ เดินไปได้ครึ่งทาง พบพระบวชใหม่ ๔ องค์วิ่งหน้าตาตื่น ละล่ำละลักบอกผีหลอก




 “ผีมันกำลังขึ้นมาจากหลุมพวกผมเลยวิ่งก่อน”
 พระใหม่กลับไปจำวัดที่กุฎิ พระอาจารย์จำเนียรเดินไปที่หลุมผีตายท้องกลมยืนดูอยู่ว่า เมื่อไหร่จะลุกออกมาจากหลุมก็ไม่เห็นมีทีท่าอะไร นั่งสมาธิอยู่ข้าง ๆ หลุม รอให้ลุกมาจากหลุมก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราจนเมื่อยจึงล้มตัวลงนอน ก็ได้ยินเสียงประหลาดดังขึ้น เสียงนั้นดังฟืดฟืด ปุดปุด ๆ มันเอาราแน่หรือ รีบลุกขึ้นนั่งเพ่งมองดูที่หลุมมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า


 เหตุการณ์เป็นปกติอีกลองนอนใหม่ ก็ได้ยินเสียงดังเหมือนเดิมอีก จึงนอนฟังพิจารณาหาเหตุผลของเสียง ก็ความจริงว่าเป็นเสียงศพขึ้นอืด น้ำเหลืองน้ำหนองดันขึ้นออกจากศพ แต่ถูกดินกดทับไว้ จึงแทรกตัวซึมกระจายไปตามดิน ยิ่งใกล้สว่างเสียงยิ่งดังมากขึ้น ดังชัดขึ้นก็เพราะศพบวมอืดมากขึ้นนั่นเอง
 ฟ้าสว่างแล้วจึงออกจากป่าช้าไปบอกพระบวชใหม่ ให้ท่านมาดูว่าผีไม่ได้ลุกมาจากหลุม อย่างที่ท่านเข้าใจ แท้ที่จริงมันเป็นเสียงอะไรกันแน่
 สาเหตุที่นอนจะได้ยินเสียงชัดก็เพราะศพอยู่ใต้ดิน หรือผิวดินเสียงจึงใกล้หูมากกว่าตอนนั่งหรือยืน

http://www.oknation.net/blog/My-fais/2009/12/10/entry-33

69
พบผีกลางวัน


 ขณะที่อยู่ วัดสุคนธาวาส ช่วงออกพรรษาแล้ว อาตมาได้เดินธุดงค์ทุกปี ไปไหนระหว่างออกพรรษาเงินก็ไม่เอา ไปไหนก็เดินหรือจะมีญาติโยมช่วยจ่ายค่ารถให้เป็นตอน ๆ บางครั้งมีพระติดตามช่วยจ่ายค่ารถให้ บางแห่งได้มีลูกศิษย์รับส่งให้เป็นช่วง ๆ บ้าง
 ตอนนั้นอาตมาไม่จับเงิน เพิ่งมาจับเงินที่วัดถ้ำเสือนี่เอง เพราะเป็นประธานสงฆ์ ต้องรับผิดชอบมากมายในกิจที่ต้องใช้เงิน



 อาตมาได้ออกเดินธุดงค์ทุกปี บางปีก็ได้เจอเสือเจอช้าง บางปีไปถึงเชียงราย เชียงของ ไปเพื่อศึกษาหาความรู้ต่าง ๆ จากผู้รู้ไปอยู่วัดนั้นคืนหนึ่ง วัดนี้คืนหนึ่ง แล้วเดินธุดงค์ต่อไป
 ครั้งหนึ่งอาตมาเจอพระภิกษุแก่องค์หนึ่งเดินป่ามานาน ชำนาญในเส้นทางเขมร ลาว และพม่า
 อาตมาได้ถามหลวงพ่อว่า
 “ท่านจะไปทางไหน”
 หลวงพ่อท่านท่านก็บอกว่า
 “ผมจะไปทางพม่า”
 อาตมาก็ขอร่วมเดินธุดงค์ไปด้วย จนกระทั่งจะเข้าพม่ากับท่าน ๆ ก็บอกว่า
 “อย่าโกนคิ้วนะ อยู่เป็นพระพม่าไปเลยแล้วเที่ยวได้หมด เพราะพระทางการก็ไม่เกี่ยวด้วยไม่ต้องทำพาสปอร์ตเดินทางอะไรเขาไม่เกี่ยว ขอให้ท่านอย่าโกนคิ้ว”
 ทั้งนี้วันหนึ่งพอฉันเช้าเสร็จก็เดินทางต่อ ท่านก็พูดว่า
 “ระหว่างเชียงของ เขตเชียงรายต่อแดนพม่า แถวนี้มีพวกผีกะเหรี่ยงอยู่ คุณอยากเห็นไหม
 ผีกระเหรี่ยงมันจะเดินนำหน้า ช่วงตอนเย็นพระอาทิตย์กำลังจะตก ผีพวกนี้จะเดินนำหน้าทันที คุณอย่าทัก อย่าพูดนะ แต่ดูได้ ถ้าพูดด้วยจะหายทันที”
 อาตมาก็เดินตามหลังท่านไป ก็คุยเรื่องอื่นบ้าง อะไรบ้าง แล้วท่านก็ชีให้อาตมาดู บอกว่า
 “เห็นหรือยังล่ะ”
 อาตมาบอกว่า
 “เห็นแล้ว”
 “แต่งตัวเหมือนพวกกะเหรี่ยงน่ะเต็มยศเลย ตานี้ไม่ปิด ลืมตาไปตลอดไม่กะพริบ เดินหันหลังให้ เราเดินไล่ไปเลย ไล่ไปให้ทัน”
 พอผีกระเหรี่ยงเดินออกข้างทางก็หายแวบไปเลย ไปไหนก็ไม่รู้ มองหาก็ไม่เห็น ก็เลยถามหลวงพ่อไปว่า
 “หลวงพ่อครับ มันหายไปไหนหาไม่เจอ”
 หลวงพ่อก็บอกว่า
 “เห็นเหมือนกันว่ามันเดินออกข้างทาง แล้วหายไปทันทีเลย”

http://www.oknation.net/blog/My-fais/2009/12/10/entry-46

70
กฎแห่งกรรม / เทวดาสร้างบันได
« เมื่อ: 04 พ.ย. 2554, 03:19:44 »
เทวดาสร้างบันได 1/3
(หลวงพ่อจำเนียร วัดถ้ำเสือ กระบี่)


http://www.tripdeedee.com/traveldata/krabi/krabi16.php

 อาตมาก็จะขอเล่าถึงเทวดามาช่วยสร้างบันไดหินได้อย่างน่าอัศจรรย์ เพราะเป็นงานใหญ่ใช้พลังมากหินผาก็หนัก ถ้าจ้างเขาทำ ๓ ปี ก็ไม่เสร็จ แต่แปลกที่สร้างเสร็จภายใน ๓ เดือน เรื่องนี้หม่อมเจ้าหญิงวิภาวดีรังสิต ได้บอกกับอาตมาว่าจะเชิญในหลวงเสด็จมาทอดพระเนตรถ้ำเสือ
 คือว่าทีแรกอาตมาให้ทำบันไดไม้ไว้ก่อนพอขึ้นลงเข้าไปในหุบเขาได้ ซึ่งบันไดนี้ใช้ได้ชั่วคราว
 อาตมาก็ว่าบันไดทำกับไม้เล็ก ๆ อย่างนี้ เดี๋ยวในหลวงเสด็จมาแล้วก็ย่อมมีคนมาก พอคนมากบันไดก็จะหักเสียหายหมด ให้ทำบันไดปูนเสียก่อน ขอให้ท่านหญิงช่วยติดต่อปูนที่โรงปูนราคาพอสมควรเพื่อมาทำบันไดก่อน
 ท่านหญิงก็รับว่าช่วยได้ อาตมาก็ตัดสินใจสร้างบันไดปูนก่อน แต่เทพเขาไม่ยอมให้สร้าง เขาอยากให้สร้างบันไดไม้ให้แข็งแรง
 พอท่านหญิงเสด็จกลับไปพักที่ทุ่งสง ที่ค่ายตำรวจตระเวนชายแดน ขณะนั้นท่านหญิงได้ปิดประตูใส่กลอนเรียบร้อยแล้วและกำลังเขียนหนังสือ ทันใดนั้นมีทั้งหญิงชาย เข้าไปในห้องเต็มไปหมด ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เปิดประตู

 ท่านหญิงก็ตกใจ จึงได้ถามว่า
 “ใคร...มาทำไม เอ...ปิดประตูอยู่แล้วเข้ามาได้อย่างไร”
 พวกนั้นก็บอกว่า
 “อย่าตกใจ พวกเราเป็นเทวดาอยู่ที่ถ้ำเสือ”
 ท่านหญิงถามว่า
 “แล้วพวกท่านมาทำไม”
 เทวดาก็บอกว่า
 “ช่วยบอกอาจารย์จำเนียรด้วยว่าให้ทำบันไดไม้ อย่าทำบันไดปูนได้ไหม ขอร้องแค่นี้ เพราะอาจารย์จำเนียรเกรงใจท่านหญิงมาก”
 ท่านหญิงก็ว่า
 “ได้ เพราะฉันก็รักธรรมชาติเหมือนกัน”
 แล้วพวกเทวดาก็กลับไป ส่วนท่านหญิงก็เอากระดาษมาเขียนจดหมาย เพื่อให้ตำรวจตระเวนชายแดนมาส่งให้อาตมา ยังไม่ทันสว่างเลยตำรวจก็ไปถึงวัดถ้ำเสือ
 อาตมาก็ถามว่า
 “มาทำไม”
 ตำรวจก็บอกว่า
 “ท่านหญิงให้เอาจดหมายมาให้อาจารย์”

ที่มา
http://www.oknation.net/blog/My-fais/2009/12/10/entry-54

71
โค่นต้นไม้ใหญ่ด้วยพลังจิต


 หลวงพ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ วัดพระธาตุน้อย ตำบลช้างกลาง อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นผู้ริเริ่มในการสร้างถนนจากจันดีไปนครศรีธรรมราช มีต้นไม้ใหญ่อยู่ ๑ ต้นที่ขวางเส้นทางของถนน


 ชาวบ้านตัดขาดแล้ว แต่ทำอย่างไรก็ไม่ยอมโค่นดึงก็ไม่ล้มจึง ไปนิมนต์หลวงพ่อท่านคล้ายมา ท่านบอกให้ทุกคนหนีออกมาให้พ้นรัศมีของต้นไม้ซึ่งจะล้มไปทางที่หลวงพ่อกำหนดให้ล้ม เมื่อประชาชนหลบไปหมดแล้ว หลวงพ่อหยิบผ้าผูกเงื้อนตาย นิ่งสักครู่ก็ดึงผ้าในมือขาดเป็น ๒ เส้น ทันทีที่ผ้าในมือหลวงพ่อท่านคล้ายขาดต้นไม้ใหญ่ ล้มไปในทิศทางที่หลวงพ่อท่านบอกว่า





 “มันจะล้มไปทางนี้ขอให้ถอยออกมาให้หมด” ก็เป็นความจริงทุกประการ
 ประชาชนที่เห็นเหตุการณ์มีหลายสิบคนที่ยังมีชีวิตอยู่ แม่ชีอิ่มวัดถ้ำเสือ จังหวัดกระบี่เป็นผู้หนึ่งที่ไปดูหลวงพ่อท่านคล้ายโค่นต้นไม้ด้วยพลังจิตของพระอรหันต์ทรงอภิญญา ๖ ปัจจุบันแม่ชีอิ่มยังมีชีวิตอยู่


ที่มา
http://www.oknation.net/blog/My-fais/2009/12/10/entry-49

72
ประลองกับจระเข้ 1/2




 พอตอนอายุได้ ๕ ขวบเศษ พ่อได้สอนคาถาป้องกันจระเข้ ป้องกันสัตว์ร้ายและบุคคลอื่นให้เกิดเมตตาต่อเรา เรียกว่า คาถาเมตตาพุทโธ           อาตมาก็ท่องจำจนขึ้นใจ


 ต่อมาวันหนึ่งมีชาวบ้านไปตักน้ำในคลอง ซึ่งคลองนั้นก็มีจระเข้อาศัยอยู่ด้วย ปรากฏว่าชาวบ้านคนหนึ่งถูกจระเข้ฟาดอาการสาหัส ฝูงจระเข้ได้พากันลอยคอโผล่หัวสลอนเลย น่ากลัวมาก พ่อรู้เรื่องจึงรีบมา อาตมากับพี่ชายก็ตามมาด้วย
 พอมาถึงพ่อได้แกล้งโยนขวานลงไปในคลอง แล้วบอกพี่ชายอาตมาว่า
     “เองลงไปงมเอาของขึ้นมาให้ข้า”


 พี่ชายผวาหน้าซีด บอกว่าไม่กล้าเพราะกลัวจระเข้คาบเอาไปกิน พ่อจึงหันมาบอกให้อาตมาลงไป
 อาตมาก็ผวาเหมือนกัน มีใครบ้างที่ไม่กลัวจระเข้คาบเอาไปกิน อาตมาจึงเกี่ยงให้ท่านลงไปงมเอาเอง แต่ท่านกลับบังคับให้อาตมาลงไป


 “ข้าสอนคาถาป้องกันสัตว์ร้ายทุกชนิดให้เอ็งแล้วจำไม่ได้หรือ คาถานั้นจะป้องกันจระเข้ได้ด้วย เองท่องคาถาแล้วลงไปงมเอาของขึ้นมาเลย ข้ารับรองจระเข้ไม่กล้าทำอะไรเอ็ง”


 ถ้าอาตมาไม่ลงไป ต้องถูกดุว่าทุกตีหนักแน่ มีความกลัวท่านมากกว่ากลัวความตาย อันที่จะเกิดจากจระเข้ในน้ำเสียอีก
 อาตมาจึงหลับตาพนมมือบริกรรมคาถาป้องกันสัตว์น้ำ ปลุกใจตัวเองให้เกิดความกล้าหาญ แล้วอาตมาก็กระโจนลงไปในน้ำดังตูม แต่ก็แปลกมากน่าอัศจรรย์ จระเข้มันไม่ทำอะไรมันมองดูเฉย ๆ

ที่มา
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=533545

73
ธรรมะ / สุจริต 3 ทุจริต 3
« เมื่อ: 04 ต.ค. 2554, 11:00:49 »
สุจริต 3  ทุจริต 3

อาจารย์ไกรวิท วงศ์อามาตย์ สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม  

สุจริต 3

สุจริต หมายถึง การประพฤติชอบ ประพฤติดี ส่งผลให้ผู้ประพฤติประสบกับสิ่งที่ดี? เช่น ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน พูดความจริง พูดจาไพเราะ ปรารถนาดีต่อผู้อื่น เป็นต้น

ความประพฤติชอบเกิดได้ 3 ทาง คือ
1.? กายสุจริต คือ การทำความดีทางกาย เช่น แบ่งปันสิ่งของให้เพื่อน
บริจาคเงินสร้างวัด บริจาคสิ่งของแก่ผู้ที่เดือดร้อน ช่วยครูถือหนังสือ เป็นต้น
2.? วจีสุจริต คือ การทำความดีทางวาจา เช่น พูดจาไพเราะ พูดแต่ความจริง พูดยกย่องเพื่อน??? พูดให้กำลังใจผู้อื่น เป็นต้น
3.? มโนสุจริต คือ การทำความดีทางใจ เช่น ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข คิดแต่สิ่งที่ดีงามถูกต้อง เป็นต้น

ความประพฤติชอบทั้ง 3 ทางนี้ เป็นสิ่งที่ดี ควรทำ เพราะเมื่อกระทำลงไปแล้วจะทำให้ตนเองและผู้อื่นมีความสุข และส่งผลให้สังคมส่วนรวมมีความสงบสุข

ทุจริต 3

ทุจริต หมายถึง การประพฤติชั่ว ประพฤติไม่ดี ส่งผลให้ผู้ประพฤติประสบกับสิ่งที่ไม่ดี และอาจทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนได้ เช่น หยิบเงินของพ่อแม่มาใช้โดยไม่ได้บอกกล่าว
โกหกเพื่อน พูดจาหยาบคาย เป็นต้น

ความประพฤติชั่วเกิดได้ 3 ทาง คือ
1.? กายทุจริต คือ การทำความชั่วทางกาย เช่น การลักขโมย การประพฤติผิดในกาม การทำร้ายผู้อื่น การฆ่าผู้อื่น เป็นต้น
2.? วจีทุจริต คือ การทำความชั่ว ความไม่ดีทางวาจา หรือการพูดไม่ดี พูดโกหกพูดหลอกลวง? พูดโป้ปดมดเท็จ เป็นต้น
3.? มโนทุจริต คือ การทำความชั่วทางใจ เช่น จิตคิดอิจฉาริษยา คิดปองร้าย? คิดโกรธเกลียด??? คิดอาฆาต พยาบาท โมโหฉุนเฉียว
เป็นต้น

ความประพฤติชั่วทั้ง 3 ทางนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ควรทำ ควรหลีกเลี่ยง เพราะเมื่อกระทำลงไปแล้วจะทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน ไม่มีความสุข และอาจส่งผลให้สังคมส่วนรวมเดือดร้อน


ที่มา
http://sassanapor4.com/th/index.php?option=com_content&view=article&id=94:-3-3-&catid=43:-2--&Itemid=99

74
เป็นหนังสือธรรมะที่อ่านง่ายย่อยง่าย อ่านสนุกด้วยครับ เลยนำมาให้ชาวเวปบางพระได้อ่านกันครับ
ในหนังสือมีทั้งหมด 20 ตอน จะทะยอยลงจนครบให้อ่านกันนะครับ

ขอบคุณที่มา
http://www.dhammajak.net/book/panya/

สารพันปัญญา (ธมฺมวฑฺโฒ ภิกฺขุ)

คำนำ

           พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีเหตุผล ไม่บังคับให้เชื่อถืออย่างงมงาย แต่สอนให้ใช้ปัญญาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต เมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้นก็ใช้ปัญญาค้นคว้าหาสาเหตุ แล้วพิจารณาหาทางแก้ไขที่ถูกต้อง ความทุกข์ก็ลดน้อยลง ชีวิตก็มีความสุขเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ชีวิตของผู้ที่เป็นอยู่ด้วยปัญญาจึงเป็นชีวิตที่ประเสริฐ

เนื้อหาของหนังสือนี้ว่าด้วยการใช้ สารพันปัญญา แก้ไขปัญหาต่างๆ จนสำเร็จลุล่วงด้วยดี นำมาเสนอเพื่อให้ท่านผู้อ่านเห็นคุณค่าของปัญญา อันเปรียบได้กับแก้วสารพัดนึกประจำชีวิต

ขออนุโมทนาท่านที่บริจาคทรัพย์ ท่านเจ้าของบทความ คติหรือข้อคิดที่ปรากฏในหนังสือนี้ รวมทั้งท่านที่ให้ความช่วยเหลือและคำแนะนำต่างๆ ทำให้การพิมพ์หนังสือนี้สำเร็จด้วยดี ท่านเหล่านี้ย่อมมีส่วนเป็นเจ้าของธรรมวิทยาทานนี้ด้วย หากมีความผิดพลาดใดๆ ในหนังสือนี้ ขอท่านผู้รู้ช่วยแนะนำแก้ไขหรือท้วงติงด้วย

ขออำนาจคุณพระรัตนตรัยและอำนาจแห่งธรรมวิทยาทานนี้ จงเป็นพลวปัจจัยให้สรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีปัญญา รู้จักบาปบุญคุณโทษ รู้จักผิดชอบชั่วดี นำปัญญามาเป็นประทีปส่องทางชีวิต แล้วก้าวเดินไปในทางที่ควรเดิน เว้นทางที่ควรเว้น บรรลุจุดหมายอันประเสริฐแห่งชีวิต่ของตน โดยทั่วหน้ากันเทอญ


ธมฺมวฑฺโฒ ภิกฺขุ
๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕

.........................

75
ขอบคุณ นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์

20 วิธีเพื่อการนอนหลับดี ป้องกันฝันร้าย+ผีอำ

อาจารย์แห่งเว็บไซต์สุขภาพ 'RealAge' มีคำแนะนำดีๆ เพื่อการนอนหลับแสนสบาย ผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กันฟังครับ [ RealAge ]
...

(1). '12 ไม่'

ไม่กินอาหารที่มีกาเฟอีนหลังอาหารกลางวัน เช่น กาแฟ ชา ชอคโกแล็ต โกโก้ น้ำอัดลมชนิดน้ำดำ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ฯลฯ
ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ (เหล้า เบียร์ ไวน์ ฯลฯ) 6 ชั่วโมงก่อนนอน (เหล้าทำให้กรนมากขึ้น หลับเร็วขึ้น แต่หลับตื้น และตื่นง่ายขึ้น)
...

ไม่ดู TV ก่อนนอน (ประมาณ 1-2 ชั่วโมง)... ถ้าเป็นรายการ TV เบาๆ ดูได้ เช่น สารคดี นิทานก่อนนอน ข่าวต่างประเทศ ฯลฯ ถ้าเป็นรายการเครียดๆ เช่น ข่าว 3 จังหวัดภาคใต้ ข่าวกลุ่มประท้วง 2 สีในไทย ฯลฯ ไม่ควรดู
ไม่สูบบุหรี่ก่อนนอน (บุหรี่ทำให้หัวใจเต้นแรง-เร็ว นอนหลับยากขึ้น)
...

ไม่เข้านอนทั้งที่หิว (หิวมากนอนหลับยาก อาจใช้วิธีเบาๆ สบายๆ เช่น ดื่มนมไขมันต่ำหรือนมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม 1/2 แก้ว ผลไม้ เช่น กล้วย แอปเปิล 1/2 ผล ฯลฯ)
ไม่กินอาหารมื้อใหญ่ 1-3 ชั่วโมงก่อนนอน (วิธีที่ดีคือ กินมื้อเย็นเป็นมื้อเล็กๆ มื้อเช้า-เที่ยงเป็นมื้อใหญ่)... ถ้าเป็นโรคกรดไหลย้อน (gastroesophageal reflux disease / GERD) ควรกินมื้อเย็นให้น้อยลงไปอีก
...

ไม่รอจนง่วงแล้วค่อยเข้านอน ทางที่ดีคือ เข้านอนก่อนง่วง... การเข้านอนหลังง่วงเต็มที่อาจทำให้ร่างกายปรับสภาพไม่ทัน เช่น ลุยทำงานดึกทำให้ร่างกายตื่นตัว อาจทำให้นอนดึกขึ้นเรื่อยๆ ฯลฯ
ไม่ออกกำลังหนักใกล้เวลานอน ให้ห่างออกไปสัก 1-3 ชั่วโมงน่าจะดี
...

ไม่ทำงานหน้าจอ (คอมพิวเตอร์) ก่อนนอน 1-2 ชั่วโมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรเขียนบล็อกเรื่องตื่นเต้นก่อนนอน (เรื่องเบาๆ เขียนได้ เช่น นิทานก่อนนอน ฯลฯ)
ไม่เปิดจอ (คอมพิวเตอร์) สว่างจ้าหลังพระอาทิตย์ตกดิน ควรปรับจอคอมฯ ตามเวลากลางวัน-กลางคืน กลางวันเปิดหน้าจอสว่างหน่อยได้ หลังพระอาทิตย์ตกดินควรเปิดไฟในบ้านให้สว่างน้อยลง เปิดจอคอมฯ ให้สว่างน้อยลง
...

ไม่เปิดเพลงเร็วๆ เร้าใจ หรือเพลงดังๆ ก่อนนอน 1-2 ชั่วโมง ควรปรับเสียงต่ำ (เบส) ตามเวลากลางวัน-กลางคืน กลางวันเปิดเบสดังหน่อยได้ (ไม่ควรดังจนรบกวนคนอื่น) หลังพระอาทิตย์ตกดินควรลดเสียงเบสให้เบาลง
ไม่นอนกอดอก (อาจทำให้ฝันร้าย หรือรู้สึกคล้ายผีอำได้จากแรงกดของมือและแขน)


ที่มา
http://health2u.exteen.com/20090503/entry-5

76
วิสุทธิ ๗ ความบริสุทธิ์ของ ศีล สมาธิ ปัญญา

คัดลอกมาจาก
บทเรียนพระอภิธรรมทางไปรษณีย์ชุดที่ ๑๐
เรื่อง วิปัสสนากรรมฐาน
บทที่ ๒ วิสุทธิ ๗

วิสุทธิ แปลว่า ความบริสุทธิ์ อันหมายถึงความบริสุทธิ์จากกิเลสที่เป็นไปทางกาย ทางใจ และทางปัญญา

กล่าวโดยย่อได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เป็นไปโดยบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสทั้งปวง ความหมดจดจากกิเลส มี ๓ ระดับ คือ หยาบ กลาง ละเอียด ทั้งทางกายทางจิตและปัญญา

ถ้าหมดจดจากกิเลสโดยศีล ก็หมดจดจากกิเลสอย่างหยาบ
โดยสมาธิ ก็หมดจดจากกิเลสอย่างกลาง
โดยปัญญา ก็หมดจดจากกิเลสอย่างละเอียด

วิสุทธิเป็นธรรมที่ละเอียดมากและเป็นธรรมชนิดนำไปสู่แดนเกษม คือพระนิพพาน
ผู้ที่จะบรรลุพระนิพพานได้นั้นต้องดำเนินไปด้วยวิสุทธิ คือ
ต้องดำเนินไปด้วยความหมดจดจากกิเลส วิสุทธิ ๗ นี้มีการดำเนินไปที่เกี่ยวเนื่องกับญาณ ๑๖

ดังนั้น จึงแสดงตารางความสัมพันธ์กันของวิสุทธิ ๗ และญาณ ๑๖ ไว้ที่หน้าสุดท้าย

วิสุทธิมี ๗ คือ
๑.สีลวิสุทธิ ความบริสุทธิ์แห่งศีล
๒.จิตตวิสุทธิ ความบริสุทธิ์แห่งจิต
๓.ทิฏฐิวิสุทธิ ความบริสุทธิ์แห่งความเห็นที่ถูกต้อง
๔.กังขาวิตรณวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ของญาณที่ข้ามพ้นความสงสัย
๕.มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ในการเห็นแจ้งของญาณว่า
เป็นทางปฏิบัติถูกและทางปฏิบัติไม่ถูก
๖.ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ในการเห็นแจ้งของญาณในทางปฏิบัติถูก
๗.ญาณทัสสนวิสุทธิ ความบริสุทธิ์ของความรู้ความเห็น

ขอบคุณที่มา
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=3669.msg13317#msg13317

77
ธรรมะ / อภิญญา 6
« เมื่อ: 12 ก.ย. 2554, 09:42:49 »
อภิญญา
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

อภิญญา แปลว่า ความรู้ยิ่ง หมายถึงปัญญาความรู้ที่สูงเหนือกว่าปกติ เป็นความรู้พิเศษที่เกิดขึ้นจากการอบรมจิตเจริญปัญญาหรือบำเพ็ญกรรมฐาน

อภิญญาในคำวัดหมายถึงคุณสมบัติพิเศษของพระอริยบุคคลซึ่งเป็นเหตุให้มีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ มี 6 อย่าง คือ

1.อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ เช่น ล่องหนได้ เหาะได้ ดำดินได้
2.ทิพพโสต มีหูทิพย์
3.เจโตปริยญาณ กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้
4.ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้
5.ทิพพจักขุ มีตาทิพย์
6.อาสวักขยญาณ รู้การทำอาสวะให้สิ้นไป
อภิญญา 5 ข้อแรกเป็นของสาธารณะ (โลกียญาณ) ข้อ 6 มีเฉพาะในพระอริยบุคคล
ถ้าพบผู้แสดงฤทธิ์ได้ อย่าพึ่งหมายว่าผู้นั้นจะเป็นอริยบุคคล

ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/อภิญญา

78
วิถีแห่งความรู้แจ้ง 1-2 ฉบับสมบูรณ์ ของ พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช         



ผู้เขียน พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช นามเดิม นายปราโมทย์ สันตยากร อุปสมบทที่วัดบูรพาราม
อ.เมือง จ.สุรินทร์ เมื่อ พ.ศ.2544 ช่วงก่อนอุปสมบทท่านได้เขียนบทความเกี่ยวกับการเจริญสติ เจริญวิปัสสนา หรือการดูจิต จากประสบการณ์ที่ได้รับการศึกษาและปฏิบัติมาจากหลวงปู่ดูลย์ อตุโล โดยใช้นามปากกาว่า อุบาสกนิรนามและสันตินันท์ หลังจากอุปสมบทแล้วท่านได้แสดงธรรมและเขียนหนังสือเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติภาวนา เพื่อพิมพ์แจกเป็นธรรมทานอีกหลายเล่ม
หนังสือวิถีแห่งความรู้แจ้ง แบ่งเป็นสองภาค คือ วิถีแห่งความรู้แจ้ง 1 พิมพ์แจกเป็นธรรมทานครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2544 และวิถีแห่งความรู้แจ้ง 2 พิมพ์แจกเป็นธรรมทานครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม 2545 เป็นงานเขียนที่มุ่งชี้แนวทางการปฏิบัติธรรมอันลัดสั้น ตามหลักวิปัสสนากรรมฐาน หนังสือนี้ไม่ใช่เพื่อความรอบรู้ในทางวิชาการเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเสมือนแผนที่บอกวิถีทางสู่ความ
พ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง จนถึงขณะนี้หนังสือทั้งสองภาคได้รับการตีพิมพ์เป็นธรรมทานมาแล้วเกือบแสนเล่ม และเมื่อปีพ.ศ.2549 สำนักพิมพ์พรีม่า พับลิชชิ่ง ได้รับอนุญาตให้นำมาจัดพิมพ์และจัดจำหน่าย
วิถีแห่งความรู้แจ้ง 1 เป็นการรวบรวมงานเขียนของพระปราโมทย์ ปาโมชฺโช ครั้งยังเป็นฆราวาส แบ่งเป็น 4 บท ได้แก่ 1) แด่เธอผู้มาใหม่ ที่กล่าวถึงเรื่องเรียบง่ายและธรรมดาที่เรียกว่าธรรมะ 2) แนวทางปฏิบัติธรรมโดยสังเขป กล่าวถึงการเจริญสติปัฏฐานที่ถูกต้อง โดยมีเครื่องมือในการปฏิบัติธรรม อันได้แก่ สติ และสัมปชัญญะ 3) แนวทางปฏิบัติธรรมของพระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) กล่าวถึงเหตุผลที่ท่านเน้นการศึกษาที่จิต โดยวิธีดูจิต และ 4) การดูจิต กล่าวถึงความหมาย วิธีการ และผลของการปฏิบัติ ซึ่งเป็นการอธิบายในเชิงวิชาการ
ส่วนวิถีแห่งความรู้แจ้ง 2 นั้นเป็นงานเขียนเมื่อได้อุปสมบทแล้ว หนังสือเล่มนี้ ได้กล่าวถึงสิ่งที่เป็นจุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนา อันได้แก่ความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง มีเนื้อหาที่กล่าวถึงว่าทุกข์คืออะไร ความทุกข์เกิดจากอะไร และอะไรคือทางแห่งความดับทุกข์ รวมถึงการแจกแจงเรื่องของการเจริญสติ อันได้แก่การเฝ้าสังเกตปรากฏการณ์ของรูปและนาม โดยการระลึกรู้ ถึง สภาวะธรรมที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง เจริญสติรู้ทันความปรุงแต่ง จนพ้นจากความปรุงแต่ง เข้าถึงความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง
ประเด็นหลัก/คุณค่าที่คู่ควรกับจิตตปัญญาศึกษา: หนังสือทั้งสองเล่มนี้ มีรายละเอียดอย่างสมบูรณ์ ในเรื่องของการเรียนรู้ศึกษาจิตใจตัวเอง ด้วยการมีสติ มีสัมปชัญญะ เป็นการเรียนรู้จิตใจตัวเองจากประสบการณ์ตรง ด้วยการใช้ภาษาที่เรียบง่ายในการอธิบายเรื่องราวต่างๆ ในหนังสือ จึงทำให้ผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจเนื้อหาได้ด้วยตัวเอง และสามารถปฏิบัติตามได้ไม่ยาก และเมื่อได้เรียนรู้จิตใจตัวเองจนเกิดปัญญา เข้าใจความจริงตามหลักของพุทธศาสนา คือเข้าใจความเป็นไตรลักษณ์ของจิตใจตัวเองได้แล้ว ปัญญาอันเป็นจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของพุทธศาสนา ก็จะส่งผลไปสู่การพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือการเข้าถึงความสุขที่แท้จริงต่อไป

ที่มา
http://www.jittapanya.com/index.php?option=com_content&view=article&id=202:-1-2-&catid=50:2010-03-01-08-40-53&Itemid=79

79
จริตของคนประเภทต่างๆ (จริต หรือ จริยา 6)         

จริต หรือ จริยา 6 (ความประพฤติปกติ, ความประพฤติซึ่งหนักไปทางใดทางหนึ่ง อันเป็นปกติประจำอยู่ในสันดาน, พื้นเพของจิต, อุปนิสัย, พื้นนิสัย, แบบหรือประเภทใหญ่ๆ แห่งพฤติกรรมของคน)
ตัวความประพฤติเรียกว่า "จริยา" บุคคลผู้มีความประพฤติอย่างนั้นๆ เรียกว่า "จริต"
1.ราคจริต (ผู้มีราคะเป็นความประพฤติปฏิบัติ, ประพฤติหนักไปทางรักสวยรักงาม) กรรมฐานคู่ปรับสำหรับแก้ คือ อสุภะและกายคตาสติ
2.โทสจริต (ผู้มีโทสะเป็นความประพฤติปฏิบัติ, ประพฤติหนักไปทางใจร้อนหงุดหงิด) กรรมฐานที่เหมาะ คือ พรหมวิหารและกสิณ โดยเฉพาะวัณณกสิณ
3.โมหจริต (ผู้มีโมหะเป็นความประพฤติปฏิบัติ, ประพฤติหนักไปทางเขลา เงื่องงง งมงาย) กรรมฐานที่เกื้อกูล คือ อานาปานสติและพึงแก้ด้วยมีการเรียน ถาม ฟังธรรม สนทนาธรรมตามกาล หรืออยู่กับครู
4.สัทธาจริต (ผู้มีศรัทธาเป็นความประพฤติปฏิบัติ, ประพฤติหนักไปทางมีจิตซาบซึ้ง ชื่นบานน้อมใจเลื่อมใสโดยง่าย) พึงชักนำไปในสิ่งที่ควรแก่ความเลื่อมใส และความเชื่อที่มีเหตุผล เช่น พิจารณาอนุสติ 6 ข้อต้น
5.พุทธิจริต หรือ ญาณจริต (ผู้มีความรู้เป็นความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไปทางใช้ความคิดพิจารณา) พึงส่งเสริมด้วยแนะนำให้ใช้ความคิดในทางที่ชอบ เช่น พิจารณาไตรลักษณ์ กรรมฐานที่เหมาะ คือ มรณสติ อุปสมานุสติ จตุธาตุววัฏฐานและอาหาเรปฏิกูลสัญญา
6.วิตกจริต (ผู้มีวิตกเป็นความประพฤติปฏิบัติ, ประพฤติหนักไปทางนึกคิดจับจดฟุ้งซ่าน) พึงแก้ด้วยสิ่งที่สะกดอารมณ์ เช่น เจริญอานาปานสติ หรือเพ่งกสิณ เป็นต้น

ที่มา : พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ผู้แต่ง พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต) หน้า 189-190
http://www.buddha4u.org/index.php?option=com_content&view=article&id=75&Itemid=74

80
หลักในการคบเพื่อนและคุณธรรมแห่งบัณฑิต

คนเราเกิดมาต้องมีเพื่อนกันทุกคน เพราะว่า เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่กันเป็นสังคม มีสัมพันธภาพเป็น สิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผลต่อการดำรงชีวิตของบุคคลหนึ่งอย่างที่สุด

คำสอนที่ว่า " คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล "

นั้นยังคงใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย การที่เด็กคนหนึ่งเกิดมาในสังคมหนึ่ง ซึ่งมีทั้งคนดีและ    ไม่ดีปะปนผสมกันไปนั้น ย่อมต้องส่งผลต่อเส้นทางเดินของเด็กคนนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ถ้าเราสังเกตดูให้ดี ให้ลึก และมีจิตใจเป็นกลาง เราจะพบว่าบุคคลที่ประสบความสำเร็จบนโลกใบนี้ล้วนมีเพื่อนดีกันทุกคน เพื่อนที่    ดีที่ว่านี้คือ บุคคลซึ่งปิดทองหลังพระคอยตักเตือนชี้แนะ คอยนำพาเราไปพบแต่สิ่งดี ๆ และนำสิ่งดี ๆ มาให้เรา    เสมอโดยโดยไม่หวังผลตอบแทน การที่เด็กสมัยนี้จะเป็นคนดีมีคุณธรรมได้นั้น นอกจากต้องได้รับความดูแลเอา    ใจใส่และให้การอบรมสั่งสอนจากพ่อแม่ครูอาจารย์แล้ว เพื่อนก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะนำพาให้เขาถึงฝั่งฝันสมใจ    ปองของทุก ๆ คนได้ง่าย ลองดูหลักในการคบเพื่อน และ ความหมายของการคบบัณฑิตกันดีกว่า เผื่อจะได้ความ    หมายของคำว่า มีศตรูเป็นบัณฑิต ดีกว่ามีมิตรที่เป็นพาลและนำไปไช้ในชีวิตประจำวันอย่างเกิดประโยชน์เราควร    มีหลักการคบเพื่อนอย่างไรบ้าง   

1)  คนพาลชอบชักนำไปในทางที่ผิด เช่นชักชวนไปกินเหล้าเมายา เที่ยวกลางคืน

2)  คนพาลไม่ชอบวินัย ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมืองและประพฤติผิดศีลธรรม

3) คนพาลชอบแต่สิ่งที่ผิด ชอบเห็นความพินาศของผู้อื่นเมื่อเวลาตัวเองทำผิดก็ภูมิใจ

4) คนพาลชอบทำในสิ่งทีไม่ใช่ธุระของตนคือ ชอบไปก้าวก่ายธุระหน้าที่ของผู้อื่น ปล่อยปละละเลย ชีวิตของตน   

5) คนพาลแม้พูดจาดี ๆ ด้วยก็โกรธ

เมื่อเห็นใครทีมีลักษณะเลวทรามเสียหายอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้ง 5 ประการ ให้ตั้งข้อสงสัยเลยว่า เขาเป็นคนพาลไม่ควรคบหาด้วย สำหรับบัณฑิตนั้นในทางธรรมหมายถึง ผู้รู้ดี รู้ชั่ว รู้ผิด รู้ถูก รู้บุญ รู้บาป ซึ่ง    อาจรับปริญญาหรือไม่ก็ตามแต่สามารถดำเนินชีวิตด้วยความรู้เหล่านั้นด้วยดี เมื่อเราคบบัณฑิตเป็นเพื่อน เราจะ    ได้รับการถ่ายทอดความประพฤติและนิสัยที่ดีจากบัณฑิต ทำให้เรามีโอกาสเจริญก้าวหน้าได้ง่ายขึ้น ทั้งด้านการ    งานเงินและชีวิตส่วนตัว ถึงแม้เราจะมีศัตรูเป็นบัณฑิตกับความเห็นผิดของเราเท่านั้น เมื่อเรากลับตัวเป็นคนดี บัณฑิตย่อมไม่ถือโทษโกรธเคือง แต่จะกลับเป็นมิตรแท้ให้แก่เราจนวันตาย เพราะฉะนั้นมีศัตรูเป็นบัณฑิตจึงดี    กว่ามิตรทีเป็นพาล

จัดทำโดย
นางสาวเฉลิมขวัญ ฉัตรทวีอุดม นางสาวประภัสสร พูลเกษม นางสาวสุทธ์สินี กิจแสงทอง นางสาวเขมจิรา เชษฐ์ชัยอมรกุล
โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย กรุงเทพมหานคร

ที่มา
http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m3-4/no09-24-32-38/page06.html

81
ธรรมะ / ....ตัณหา.......
« เมื่อ: 22 ส.ค. 2554, 09:32:47 »
ตัณหา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ตัณหา เป็นหลักธรรมข้อหนึ่งในพุทธศาสนา หมายถึง ความติดใจอยาก ความยินดี ยินร้าย หรือติดในรสอร่อยของโลก
ตัณหา ประกอบด้วย ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ เพลิดเพลินยิ่งนักในอารมณ์นั้นๆ และ ตัณหาย่อมเจริญแก่ผู้ประพฤติประมาท
ตัณหา ซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ครอบงำบุคคลใด ความโศกทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น ดังนั้น ความทุกข์ย่อมเกิดขึ้นบ่อยๆ เมื่อบุคคลยังถอนเชื้อตัณหาไม่ได้

ในหลักปฏิจจสมุปบาท ตัณหาเกิดจากเวทนาเป็นปัจจัย โดยมี อวิชชาเป็นมูลราก
ควรเห็นตัณหา เป็นดังเครือเถาที่เกิดขึ้น แล้ว จงตัดรากเสียด้วยปัญญา

ตัณหาแบ่งออกเป็น 3 อย่าง

กามตัณหา คือ ความอยากหรือไม่อยาก ใน สัมผัสทั้ง 5
ภวตัณหา คือ ความอยากทางจิตใจ เมื่อได้สิ่งนั้นมาแล้ว ไม่ต้องการให้มันเปลี่ยนแปลง
วิภวตัณหา คือ ความไม่อยากทางจิต ความอยากดับสูญ
ควรเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ 8 เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อกำหนดรู้ เพื่อความสิ้นไป เพื่อละตัณหา 3 อย่างนี้


อ่านเพิ่มเติมได้ในหัวข้อ...ตัณหา ๓...โดย คุณ ~@เสน่ห์เอ็ม@~
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=17788.msg155611

ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/ ตัณหา

82
จริต ๖ ศาสตร์ในการอ่านใจคน (โทสะจริต) 1/4

โทสะจริต


หากเราเป็นโทสะจริต
คนที่อยู่กลุ่มโทสะจริต หรือมีสภาวะอารมณ์เป็นอารมณ์โกรธ คนที่อยู่ในกลุ่มนี้โดยธรรมชาติแล้วเป็นบุคคลผู้มีหลักการของตนเองในการทำงานและในการกระทำต่างๆ และมักเป็นผู้เคารพกฎเกณฑ์และมีวินัยสูงกว่าจริตอื่นๆ และการที่ตัวเองมีหลักเกณฑ์ ระเบียบวินัยค่อนข้างสูง จึงทำให้ทนไม่ได้เมื่อมาเจอผู้ที่ไม่มีระเบียบวินัย ไม่มีเคารพหลักเกณฑ์ นอกจากนี้จะเป็นคนที่รักษาคำพูดรักษาเวลา จึงทำให้ทนไม่ได้มาเมื่อกับคนที่ไม่รักษาคำพูดไม่รักษาเวลา

กลุ่มโทสะจริตมักคาดหวังว่าโลกจะเป็นอย่างที่ตัวเอง และจากการที่ตัวเองมักจะมีระเบียบวินัยสูงกว่าคนปกติ ก็มักจะคิดว่าโลกควรจะเปลี่ยนไปเหมือนตัวเอง แต่เมื่อพบว่าโลกไม่ได้เป็นอย่างนั้น และไม่สามารถเปลี่ยนโลกได้ ก็เกิดความขุ่นเคืองลึกๆ อยู่ในใจอยู่เสมอ และพร้อมจะระเบิดออกมาได้เมื่อเจอกับผู้ที่ไม่มีความเป็นระเบียบวินัย หรือความไม่ถูกต้อง

การที่ยึดมั่นในหลักการและกฏเกณฑ์ต่างมากกว่าคนอื่นๆ ทำให้เป็นคนตรงไปตรงมา ทำให้บุคคลที่เป็นโทสะจริงมีสมาธิแรงมาก แต่ในทางกลับคนที่มีพื้นฐานจิตเป็นโทสะจริตมักมีสติค่อนข้างอ่อน เพราะไม่ได้ดูโลกตามความเป็นจริง ไม่ได้ดูว่าคนอื่นเขาคิดอย่างไร แตกต่างกันเราอย่างไร อันที่จริงแล้วคนกลุ่มก็แทบไม่สนใจดูคนอื่นหรือดูโลกเท่าไรเลย เพราะคิดว่าโลกหรือทุกคนควรจะเปลี่ยนตัวเองไปตามหลักการหลักเกณฑ์ที่ถูกต้อง นั้นคือ ทุกคนควรมีวินัย ควรตรงต่อเวลา ควรเคารพกฏเกณฑ์ โลกของกลุ่มโทสะจริตเป็นโลกที่ควรจะเป็น ไม่ใช่เป็นโลกที่เป็นอยู่จริง คนที่ไม่สามารถทำได้จะถูกดูว่าไม่มีความสามารถ และมีท่าทางเย้ยหยันโลก ดูถูกโลก กลุ่มโทสะจริตจึงไม่ค่อยมีความเมตรากับคนอื่นมากนัก เพราะมองว่า คนพวกนี้ทำตัวของตัวเอง ไม่รักษาคำพูด ไม่มีระเบียบวินัยเอง ดังนั้น เขาจึงได้รับผลจากกระทำของตัวเองดังกล่าว
คนประเภทโทสะจริตลึกๆ แล้วก็เป็นคนอ่อนข้างในเพราะไม่ค่อยได้รับความรักความอบอุ่น จึงมีความน้อยใจหรือต้องการความรักความอบอุ่นอยู่ลึกๆ แต่เมื่อไม่ได้รับการตอบสนอง เลยจำต้องยึดกรอบเกณฑ์ระเบียบเป็นเสมือนเป็นเกราะป้องกันความอ่อนแอภายใน และไม่ต้องการให้ใครได้เห็นความอ่อนแอดังกล่าว แต่การที่มีเกราะขึ้นมาป้องกันมากทำให้ไม่สามารถแสดงความรักความรู้สึกได้มากเท่าไร ทำให้จิตใจค่อนข้างขุ่นเคืองเป็นประจำ

เราจะสังเกตคนกลุ่มโทสะจริตได้อย่างไร

คนที่อยู่ในกลุ่มโทสะจริตจะมีวิธีการพูดที่ตรงๆ ไม่กลัวใคร การพูดจาจะมีพลัง เสียงดังฟังชัด ฟังแล้วน่าเกรงขาม เพราะมีสมาธิแรง แต่คำพูดค่อนข้างแรงและหนัก ฟังแล้วไม่รื่นหูคำพูดอาจไม่ไพเราะ เพราะไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนฟังเท่าไร นอกจากนี้ จะพูดค่อนข้างเร็ว เพราะไม่ได้ยินเสียงตัวเอง ทำให้ผู้อื่นรับรู้ พฤติกรรมดูหยาบและดูหนัก
นอกจากนี้ยังเป็นคนพูดชี้ถูกชี้ผิด เพราะคนที่เป็นโทสะจริตเป็นคนที่คิดว่าตัวเองมีหลักการ และยึดกฏเกณฑ์เป็นที่ตั้ง ดังนั้นจะมีสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้องอยู่ในใจเสมอ สิ่งไหนที่ไม่เป็นไปตามหลักการและกฏเกณฑ์ของตนเองแล้วย่อมไม่ใช่สิ่งที่ถูก เนื่องจากคนประเภทนี้มักจะเชื่อว่าตัวเองมีคุณธรรม มีวินัยสูง มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นประเภทเจ้าระเบียบ เจ้ากฏเกณฑ์ จึงมักจะใช้หลักเกณฑ์ของตนเองเข้าชี้ผิดชี้ถูกคนอื่นอยู่เสมอ เป็นคนที่เคารพกฏเกณฑ์จึงมักทนไม่ได้ที่เห็นใครละเมิดกฏเกณฑ์ขององค์กรหรือของสังคม ทำให้คนอื่นมองว่าเป็นพวกชอบจับผิด
หากจะดูวิธีการแต่งกายของคนที่มีลักษณะโทสะจริตจะเห็นได้ว่า ค่อนข้างเป็นระเบียบ การแต่งตัวค่อนข้างประณีต สะอาด สำหรับสีที่ชอบจะเป็นสีฉูดฉาดหรือไม่ก็สีเข้ม เช่น แดง สีส้มสด เหลืองสด เพราะทำให้อารมณ์นิ่งสงบและเข้าสู่ภาวะปกติ
คนในกลุ่มนี้จะมีการเดินที่รวดเร็วและตรงแน่ว เพราะเขารู้ชัดเจนว่าจะเดินไปทางไหน เนื่องจากเป็นคนที่เคารพเวลาและมีวินัย จึงไม่ค่อยวอกแวก และรู้สักตัดบทเก่ง ไม่เออระเหยลอยชาย
ดวงตาจะสว่างไสวและเป็นประกาย เพราะสมาธิสูง หน้าจะมีสีสันต์และพลังงาน แต่หน้าตาอาจไม่สวยไม่หล่อนัก เพราะจิตมีความขุ่นเคืองเป็นอารมณ์ ไม่แจ่มใสเบิกบาน ประกอบกับไม่มีความเมตราทำให้ไม่มีเสน่ห์และบารมีมากนัก


ที่มา
http://www.yimtamphan.com/?p=135

83
กราบขอบพระคุูณทีมงานฯ.....ที่ตอนนี้ มีเสียงธรรมให้ฟังให้ได้ศึกษา
ชอบฟัง ฟังแล้วได้ความรู้มากมาย
ฟังซ้ำก็ได้ ก็ดี ฟังได้เสมอครับ

ขอบพระคุณครับ :054:

84
กาสาวพัสตร์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

กาสาวพัสตร์ (อ่านว่า กาสาวะพัด) แปลว่า ผ้าที่ย้อมด้วยน้ำฝาด เป็นคำเรียกผ้าที่พระสงฆ์ใช้นุ่งห่ม ผ้านุ่งห่มของพระสงฆ์ไม่ว่าจะเป็นสีเหลือง สีแก่นขนุนหรือสีกรัก ก็เรียกว่าเป็นผ้ากาสวพัสตร์ทั้งสิ้น ถือว่าเป็นของสูง เป็นของพระอริยะ เป็นเครื่องนุ่งห่มของพระพุทธเจ้าที่ทรงประทานอนุญาตให้พระสาวกใช้ได้ จัดเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง
คำว่า กาสาวพัสตร์ ในความหมายรวมๆ ก็คือผ้าเหลืองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนา เช่น แม่พูดกับลูกว่า “ลูกเอ๋ย บวชให้แม่ได้เห็นชายผ้าเหลืองสักพรรษานะลูก” คำว่า ผ้าเหลือง ในที่นี้ก็คือผ้ากาสาวพัสตร์ นั่นเอง


ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/กาสาวพัสตร์

85
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ภิกษุณี
« เมื่อ: 20 ส.ค. 2554, 01:46:27 »
เห็นว่าท่านsaken6009 ไม่รู้จักภิกษุณี เลยขออนุญาตนำมาฝากให้อ่านกันครับ
=================
ภิกษุณี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ส่วนหนึ่งของศาสนาพุทธ

ภิกษุณี (บาลี: ภิกฺขุณี; สันสกฤต: ภิกฺษุณี; จีน: 比丘尼) เป็นคำใช้เรียกนักบวชหญิง ในพระพุทธศาสนา คู่กับ ภิกษุ ที่หมายถึงนักบวชชายในพระพุทธศาสนา คำว่า ภิกษุณี เป็นศัพท์ที่มีเฉพาะในพระพุทธศาสนา โดยเป็นศัพท์บัญญัติที่ใช้เรียกนักบวชหญิงในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ ไม่ใช้เรียกนักบวชในศาสนาอื่น
ภิกษุณี หรือ ภิกษุณีสงฆ์ จัดตั้งขึ้นโดยพระบรมพุทธานุญาต ภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนาคือพระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี โดยวิธีรับคุรุธรรม 8 ประการ ในคัมภีร์เถรวาทระบุว่าต่อมาในภายหลังพระพุทธเจ้าได้ทรงอนุญาตวิธีการอุปสมบทภิกษุณีให้มีรายละเอียดเพิ่มมากขึ้น จนศีลของพระภิกษุณีมีมากกว่าพระภิกษุ โดยพระภิกษุณีมีศีล 311 ข้อ ในขณะที่พระภิกษุมีศีลเพียง 227 ข้อเท่านั้น เนื่องจากในสมัยพุทธกาลไม่เคยมีศาสนาใดอนุญาตให้ผู้หญิงเข้ามาเป็นนักบวชมาก่อน และการตั้งภิกษุณีสงฆ์ควบคู่กับภิกษุสงฆ์อาจเกิดข้อครหาที่จะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อการประพฤติพรหมจรรย์และพระพุทธศาสนาได้ หากได้บุคคลที่ไม่มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาเข้ามาเป็นนักบวช
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ไม่ปรากฏว่ามีการตั้งวงศ์ภิกษุณีเถรวาทขึ้นในประเทศไทย อย่างไรก็ตามในประเทศพุทธเถรวาทที่เคยมี2หรือไม่เคยมีวงศ์ภิกษุณีสงฆ์ในปัจจุบัน3 ต่างก็นับถือกันโดยพฤตินัยว่าการที่อุบาสิกาที่มีศรัทธาโกนศีรษะนุ่งขาวห่มขาว ถือปฏิบัติศีล 8 (อุโบสถศีล) ซึ่งเรียกโดยทั่วไปว่า แม่ชี เป็นการผ่อนผันผู้หญิงที่ศรัทธาจะออกบวชเป็นภิกษุณีเถรวาท แต่ไม่สามารถอุปสมบทเป็นภิกษุณีเถรวาทได้[1] โดยส่วนใหญ่แม่ชีเหล่านี้จะอยู่ในสำนักวัดซึ่งแยกเป็นเอกเทศจากกุฎิสงฆ์
ภิกษุณีสายเถรวาทซึ่งสืบวงศ์มาแต่สมัยพุทธกาลด้วยการบวชถูกต้องตามพระวินัยปิฎกเถรวาท ที่ต้องบวชในสงฆ์สองฝ่ายคือทั้งภิกษุสงฆ์ และภิกษุณีสงฆ์ ได้ขาดสูญวงศ์ (ไม่มีผู้สืบต่อ) มานานแล้ว คงเหลือแต่ภิกษุณีฝ่ายมหายาน (อาจริยวาท) ที่ยังสืบทอดการบวชภิกษุณีแบบมหายาน (บวชในสงฆ์ฝ่ายเดียว) มาจนปัจจุบัน ซึ่งจะพบได้ในจีน, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น และศรีลังกา1
ปัจจุบันมีการพยายามรื้อฟื้นการบวชภิกษุณีในฝ่ายเถรวาท โดยทำการบวชมาจากภิกษุณีมหายาน และกล่าวว่าภิกษุณีฝ่ายมหายานนั้น สืบวงศ์ภิกษุณีสงฆ์มาแต่ฝ่ายเถรวาทเช่นกัน[2] แต่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าฝ่ายมหายานมีการบวชภิกษุณีสืบวงศ์มาโดยมิได้กระทำถูกตามพระวินัยปิฎกเถรวาท และมีศีลที่แตกต่างกันอย่างมากด้วย ทำให้มีการไม่ยอมรับภิกษุณี (เถรวาท) ใหม่ ที่บวชมาแต่มหายานว่า มิได้เป็นภิกษุณีที่ถูกต้องตามพระวินัยปิฎกเถรวาท และมีการยกประเด็นนี้ขึ้นเป็นข้ออ้างว่าพระพุทธศาสนาจำกัดสิทธิสตรีด้วย ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะพระพุทธเจ้าได้อนุญาตให้มีภิกษุณีที่นับเป็นการเปิดโอกาสให้มีนักบวชหญิงเป็นศาสนาแรกในโลก เพียงแต่การสืบทอดวงศ์ภิกษุณีได้สูญไปนานแล้ว จึงทำให้ในปัจจุบันไม่สามารถบวชสตรีเป็นภิกษุณีตามพระวินัยเถรวาทได้


ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/ภิกษุณี

86
ผลกรรมของหลวงพ่อ 1/4
พระครูภาวนาวิสุทธิ์

อาตมา มี ประสบการณ์เกี่ยวกับกฎแห่งกรรม ที่เราจะต้องรับใช้ เมื่อเรามีจิตมีปัญญาเกิด จะรู้กฎแห่งกรรมทันที
จากการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เวรกรรมตามสนองอาตมา จึงรู้บุญบาป เมื่อก่อนนี้อยู่กับยาย อาตมาไม่สนใจกับพระตลอดกาล เวลาไปวัดหาบของไปทำบุญที่วัด ยายก็ต้องให้เก็บเอาก้อนดินไปด้วย ใส่กระบุงไปข้างละ ๓ ก้อน ไปถึงวัดแล้วให้ไปโยนไว้ที่มันเป็นบ่อ เป็นหลุมอยู่ในวัด ยายบอกได้บุญ อาตมาบอกว่าคนอื่นเขาไม่หาบดินไปวัดกันหรอก มีบ้านเราบ้านเดียวอายเขาตาย
ยายบอกว่าเราไปวัดเหยียบดินติดเท่ามานี่เป็นกรรมนะ เป็นบาป ใช้หนี้สงฆ์ เป็นหนี้สงฆ์มากเป็นบาปเป็นกรรม แต่แกก็ไม่ได้อธิบาย เขาเล่ากันมาอย่างนี้แกก็จำมาอย่างนี้ ก็ทำมาอย่างนี้ไม่เหมือนคนเดี๋ยวนี้ว่าไม่บาป บาปได้ยังไงเหยียบแค่นิดเดียว
พระก็ถมเอาเองซิ นี่คนรุ่นใหม่เข้าใจอย่างนี้ แต่คนรุ่นเก่าถือนักถือเชื่อเข้าไว้ก่อนมันมีประโยชน์ มันได้กำไรชีวิต
คือเชื่อกฎแห่งกรรม อาตมาเป็นเด็กเมื่อมาบวชใหม่ ๆ ไปบ้านญาติที่เขาเป็นนักเลง เป็นโจร เป็นเสือ เขากินเหล้ากัน พอเห็น
พระมาเขาเก็บแก้วหมดเลย เอาหล้าแอบเลย ยังกลัวบาปนะ เดี๋ยวนี้ไม่ต้อง กินต่อหน้าพระเลยสบายมาก แถมงานศพเล่นไพ่
หน้าศพอุทิศส่วนกุศล แล้วพระก็สวดไป ไม่ได้เกรงกลัวต่อบาปกรรมแต่ประการใด เขาว่าบาปกรรมไม่มีแน่นอนเข้าใจอย่างนี้

สร้างกรรม-กินอาหารที่ยายถวายพระ

ตอนอยู่ที่โรงเรียนมัธยม ยังอยู่กะยาย ยายให้เอาอาหารไปถวายพระ แล้วเราก็เอาไปทานเสียเองทั้งคาว ทั้งหวาน
แล้วก็บอกว่าไปถวายสมภาร เดินจากบ้านไปไม่มีรถหรอก เดินไปเป็นระยะทาง ๑ กิโลเมตร อาตมาไปก็ไปเจอเพื่อนนักเรียน
ที่สร้างความดีมาด้วยกัน หนีโรงเรียนกันสะบัด เพื่อนบอกว่ายังไม่ได้กินข้าวเลย เราก็นึกเลยว่าจะเอาไปให้พระทำไม เราก็ยัง
ไม่ได้กินเลย พรรคพวก ๔-๕ คนด้วยกัน ก็เห็นด้วย เลยตั้งวงกินกันเสียเลยเรียบร้อยล้างปิ่นโตเสร็จกลับบ้าน ยายถาม ไปวัดเจอสมภารไหมล่ะ บอกยายว่าผมไม่ได้ขึ้นกุฏิหรอก ให้เด็กมันถ่ายปิ่นโตให้แล้วผมก็มา ยายบอกว่าต่อนี้ไปต้องรับพรด้วยนะ
รับพรสมภารมาแล้วก็มาบอกยาย ยายจะได้ชื่นใจแล้วบอกท่านด้วยว่ายายให้เอาอาหารมาถวาย วันหลังเอาอีกแล้ว ให้ไปอีกก็เจอเพื่อนอีก โรงเรียนปิด ก็แบบเดิม กินเสร็จแล้วไปตีผึ้งต่อ ยายถามว่า “เจอสมภารมั้ย” เจอครับ รับพรเสร็จผมก็มา แท้ ๆ สมภาร
ดันมาอยู่บนบ้านเรา มาไม่บอกเราเลย มานั่ง นั่งตั้งนานแล้ว วันนั้นสมภารไปฉันบ้านใต้ ฉันเสร็จแล้วก็มานั่งคุยกับยาย แวะมาเยี่ยมยาย เราไม่รู้ ไม่บอกเรา เราไม่ทันแหงนดูบนบ้าน สมภารนั่งยิ้ม ยายเป็นคนใจบุญ พระชอบมาเยี่ยม แต่อาตมารำคาญ
พอสมภารกลับไปแล้วโดนหนัก บอกว่าบาป ถามว่านี่กี่เที่ยวแล้ว เราบอกว่า ๒ เที่ยวแล้วครับ ยายบอกว่า นี่ต้องเป็นเปรต ปากเท่ารูเข็ม กินข้าวไม่ลง เราก็ถามว่าเปรตสูงกว่าต้นตาลมั้ย ยายบอกว่าไม่เห็น เราไม่เชื่อหรอก ว่าหลอกเราแต่เราไม่พูด เถียงไม่ได้

โกงค่าเรือจ้าง
ในเวลากาลต่อมาไปโรงเรียนต้องนั่งเรือจ้างข้ามฟากเดือนละ ๒๕ สตางค์ อาตมาโกงค่าเรือจ้างไม่ให้ค่าเรือจ้าง
กินก๋วยเตี๋ยวผัดไทย แถมเลี้ยงเพื่อนด้วยนะ ก็โกงค่าก๋วยเตี๋ยวเขาอีก

ยิงนก-หักคอ-หักขานก

ในเวลาต่อมา โรงเรียนปิดหลายวันเทอมสุดท้ายแล้ว ครูใหญ่โรงเรียนประชาบาลเขามาขอแรงอาตมาไปยิงปืน ไปยิงนก เราก็ไม่รู้บุญบาปมันมีจริงอย่างไร สนุกดีก็เอาปืนลูกซองดาวกระจาย ๕ นัด บอกกับโยมว่าจะไปติดวิชาตอนโรงเรียนปิด อยู่สัก
๗ วันจะกลับมา ขอสตางค์สัก ๑๐๐ แม่ก็ให้ตังค์ไป เราจะเอาปืนไปได้ยังไง ก็เอาที่นอนไปด้วยเอาเสื่อออกมาเอาปืนไว้ข้างใน
เช้ากินข้าวแล้วก็ออกตามทุ่งตามหนองยิงนกเป็ด นกกระสา พอยิงได้จับหักคอใส่ตะข้อง พอนกมันจิก จิกก็ถลกหนังเลย ทรมานเหลือเกิน เราไม่ทราบว่ามันจะมีบาปกรรมแต่ประการใด ล่วงมาอีกวันหนึ่ง ก็ไปยิงนกกระสาถูกปีกมันหักแล้วมันบินไม่ได้
เราก็ขับมัน เหนื่อยมาก แล้วก็จับได้ ทำไง หักขาเลย นกก็ดิ้นร้องไห้ตาย สรุปให้ฟังที่อาตมาทำบาปกรรม ต่อมาได้บวชใน
พระพุทธศาสนา พ่อแม่ให้บวชโดยไม่ได้เลื่อมใส ไม่ได้คิดว่าจะมาอยู่อย่างนี้ก่อนที่จะบวชก็ไปเรียนหนังสืออยู่ที่กรุงเทพฯ ไปอยู่โรงเรียนหลายโรงเรียนอยู่วัดก็ตั้งหลายวัด พอเสร็จจากเรียนหนังสือก็มาบวช กะว่าจะบวชสักพรรษาเดียวท่องเรียนหนังสือ
ไปจนจบหลักสูตร ก็ไปเจริญพระกรรมฐานออกป่าดงพงไพร

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

87
ปลาดุก ย่าง เป็นเหตุ 1/3
ปัญญา ฤกษ์อุไร

เมื่อเรารดน้ำมนต์หลวงพ่อแพเสร็จแล้ว คุณอำนวย ก็บอกข้าพเจ้าว่า ออกจากนี่เราจะไปวัดอัมพวันกัน วัดอัมพวัน
อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ออกไปทางถนนพหลโยธิน วัดตั้งอยู่ริมทางเลี้ยวเข้าไปประมาณ ๕๐๐ เมตรเท่านั้น ไหน ๆ ก็มาทำบุญ
วัดหลวงพ่อแพแล้ว ก็ควรจะเลยไปวัดอัมพวันสักหน่อยก็จะดี“ หลวงพ่อองค์นี้ดีทางไหน ”ข้าพเจ้าถามคุณอำนวยผู้แนะนำ
“ท่านเก่งทางนั่งทางใน และทางวิปัสสนากรรมฐาน” คุณอำนวยชี้แจง“ท่านเก่งทางวิปัสสนาก็เป็นเรื่องของท่านไม่เกี่ยวอะไรกะเราผู้เป็นฆราวาส” ข้าพเจ้ายังไม่หายสงสัย “เกี่ยวซิ ทำไมจะไม่เกี่ยว ยิ่งคนซวย ๆ อย่างผู้ว่ายิ่งเกี่ยวมากขึ้น เพราะอย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าเรื่องที่ซวยอยู่เวลานี้มันเป็นมาอย่างไร” คุณอำนวยชักฉุนเพราะความขี้สงสัยของข้าพเจ้า “รู้แล้วจะมีประโยชน์อะไร ไปพบท่านแล้วจะหายซวยกระนั้นหรือ” คุณอำนวยเกาหัวยิกยัก คงจะโมโหที่ข้าพเจ้าสงสัยไม่หยุด “อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร จึงได้รับเคราะห์กรรมถึงปานนั้น พระที่นั่งทางในได้นั้นย่อมมองเห็นอดีตและอนาคตของสัตว์โลกทุกชนิด เขาเรียกว่า มีทิพยจักษุ หรือญาณจักษุ อะไรทำนองนี้แหละ เข้าใจหรือยัง” เขาอธิบายจบพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ซาบซึ้งแล้วครับ” ข้าพเจ้าตอบยิ้ม ๆ คุณอำนวยค้อนประหลับประเหลือก คงนึกในใจว่าไม่ควรพาข้าพเจ้ามา ดูจะมีปัญหามากเหลือเกิน

  เราออกจากวัดพิกุลทองของหลวงพ่อแพ มุ่งตรงไปออกทางเข้าสิงห์บุรีตรงตัดกับถนนพหลโยธิน แล้ววิ่งมาตามถนนพหลโยธินมุ่งเข้ากรุงเทพฯ จากปากทางเข้าเมืองสิงห์บุรีมาได้ประมาณ ๘ ก.ม. ก็จะถึงวัดอัมพวัน วัดนี้ถ้ารถยนต์มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ จะอยู่ทางด้านขวามือ ที่ปากทางมีป้ายเขียนไว้ว่า ทางเข้าวัดอัมพวัน หน้าวัดมีโรงเรียนหลังใหญ่อยู่หลังหนึ่งชื่อโรงเรียนวัดอัมพวัน เมื่อผ่านโรงเรียนไปแล้วก็จะถึงตัววัด บริเวณวัดกว้างขวางและสะอาดสะอ้าน มีต้นไม่ใหญ่ ๆ หลายต้นร่มรื่นสมกับ
เป็นที่อยู่ของบรรพชิต

   เมื่อพวกเราไปถึง ท่านอยู่พอดีมีอุบาสกอุบาสิกานั่งอยู่ก่อนแล้ว ๔-๕ คน พอคณะของพวกเราประมาณสิบกว่าคนไปถึง บรรดาท่านเหล่านั้นก็ลาหลวงพ่อไป คุณอำนวยนำพวกเราไปนั่งใกล้ ๆ สำหรับข้าพเจ้านั้นให้ไปนั่งข้างหน้าใกล้ ๆ กับหลวงพ่อ หลวงพ่อมีตำแหน่งเป็น พระครูภาวนาวิสุทธิ์ ชาวบ้านแถบนั้นเรียกท่านว่า พระครูจรัญ เข้าใจว่าคงจะเป็นชื่อเดิมท่าน อายุประมาณ ๕๐ เศษ ดูท่าทางเป็นคนเคร่งศีลและวินัย การพูดจาตรงไปตรงมาไม่เกรงใจใครทั้งนั้น ทำถูกท่านก็ว่าถูก ทำผิด ท่านก็ว่าผิด อาศัยเหตุผลเป็นหลักในการพูด เมื่อคุณอำนวยไปหาท่านโอภาปราศรัยดี แสดงว่าคุณอำนวยเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิ คนหนึ่ง “มาวันนี้ก็ดีแล้ว อยู่ให้ถึงเย็น อาตมาจะให้เขาหุงอาหารไว้ให้กิน” ว่าแล้วท่านก็สั่งแม่ชีจัดการหุงข้าวทำกับข้าวเลี้ยงคณะคุณอำนวย โดยที่คุณอำนวยไม่ทันจะพูดว่ากะไร “ผมมาวันนี้ นอกจากมากราบนมัสการท่านแล้ว ก็ยังได้แนะนำเพื่อนมาคนหนึ่ง ที่เขาประสบเคราะห์กรรม อยากจะให้หลวงพ่อช่วยนั่งทางในดูสักทีว่าเรื่องราวมันไปยังไงมายังไงกัน ถึงได้มาประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้” คุณอำนวยบอกหลวงพ่อ “ไหนคนไหน” “คนนี้ครับ” ว่าแล้วคุณอำนวยก็ชี้มือมายังข้าพเจ้า “อ้อคนนี้เรอะ ท่าทางดีนี่ไม่เลวเลย แต่หน้าตาดูจะหมองคล้ำไปสักหน่อย คนกำลังมีเคราะห์ก็เป็นแบบนี้แหละ เดี๋ยวอาตมาจะนั่งหลับตาดูซิว่า
มันเรื่องอะไรกัน” พูดจบท่านก็นั่งหลับตาอยู่ครู่หนึ่ง พอลืมตาคุณอำนวยก็ถาม “เป็นไงหลวงพ่อ พอไหวไหม” “เฮ้อ! รายนี้อาการหนักมาก ความจริงดวงชะตาจะขาดอยู่แล้วตั้งแต่เดือนก่อนโน้น มีคนจะมาดักยิงที่บ้านพักแต่ยิงไม่ได้

ยมบาลก็ให้อภัยโทษอีก ๔๐ ปี บอกว่าสามีของเธอได้บวชในพระศาสนา ได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานอุทิศส่วนกุศลมาขอให้
อภัยโทษ ๔๐ ปี เหลือ ๒๐ ปีนี้เพราะเธอมีโทษ หนึ่งลักทองแล้วโยนความผิดไปให้คนอื่น สองที่บาปหนักคือ ลักข้าว ให้อภัยไม่ได้
เธอจะเอาอย่างนี้ไหม ก็เห็นว่าเธอมีคุณงามความดีสวดมนต์ไหว้พระเป็นหัวหน้าในเมืองนรกเจริญกรรมฐานในที่สุด จะให้กลับไปอยู่เมืองมนุษย์ ๒๐ ปี ไปใช้หนี้ผัว และจะต้องไม่กลับมาที่นี่ แต่ให้สัญญานะเจ้าจะต้องรักษาอุโบสถทุกวันพระ ทำได้หรือไม่ ประการที่สอง จะต้องไปสร้างกุฏิกรรมฐานเงิน ๑ ชั่ง ไม่เกินไม่ขาดเพื่ออุทิศส่วนกุศล มิฉะนั้นจะต้องกลับมาเมืองนรกอีก อย่างนี้นางก็รับปาก ก็มาเกิดใกล้บ้านตาปุ่นประมาณ ๒ กิโลกว่า ๆ มาเกิดเป็นลูกตาแป๊ะแก่ อยู่คนละตำบล แต่รู้จักกัน แป๊ะแก่ได้ภรรยามา ๑๕ ปี ไม่มีบุตร ภรรยาสาว แต่ผัวก็ ๕๐ กว่าแล้ว แต่เกิดมามีบุตรตอน ๑๕ ปีผ่านไป บุตรนั้นได้แก่นางสอิ้งนั่นเอง นางสอิ้งคนเดิมรูปร่างเหมือนยักษ์ขะหมูขีมีไฝฝีขี้แมลงวันเม็ดเบ้อเร่อ แล้วจอนตัดทัด ใบหู ดำปี๋ นุ่งผ้าโจงกระเบน ผอมเกร็ง อาตมารู้ เพราะดูรูปที่เขาแต่งงานกับตาปุ่น


ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

88
ธรรมะ / เทวดามีจริงหรือ?........
« เมื่อ: 10 ส.ค. 2554, 10:54:27 »
เทวดามีจริงหรือ? 1/3

ปัญหามีอยู่ว่า: ตามบาลีมีอยู่ว่า

เทวดาที่ปรารถนาสุคติ ปรารถนามาเกิดในโลกมนุษย์นั้น ย่อมเป็นการรับรองว่า เทวดามีตัวจริง และ สวรรค์ก็มีตัวจริง.

ถ้าเชื่อว่ามีจริงเช่นนี้ จะไม่เป็นเรื่องเหลวไหล ตามคติในยุคปัจจุบันไปหรือ?

ปัญหานี้ ผู้ถามได้ยึดเอาหลักที่อาตมาได้บรรยายไปในวันก่อนๆ ถึงตอนที่กล่าวว่า เทวดาที่ปรารถนาสุคติ หาที่อื่นไม่ได้ ไม่พบ ต้องมาหาในมนุษยโลก ซึ่งมีพระรัตนตรัย;

เลยยึดเอาว่า ถ้าอย่างนั้น บาลีก็ยืนยันว่า ตัวเทวดามีจริง สวรรค์มีจริง? อาตมาอยากจะขอตอบว่า ในบาลี มีกล่าวเช่นนั้นจริง และมีในรูปพระพุทธภาษิตจริง;

แต่ความหมายนั้น หมายถึง เทวดาเป็นตัวบุคคลาธิษฐาน เช่นนั้นจริงหรือไม่ เป็นอีกปัญหาหนึ่ง.

เรื่องเทวดานี้ ก็อยู่ในหลักเกณฑ์เดียวกันที่ว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า ถ้าไม่ "มองเห็น" ได้ด้วยตนเองแล้ว อย่าไปเชื่อตามดีกว่า เพราะฉะนั้น ส่วนที่พูดถึงตัวเทวดา หรือ สวรรค์นั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ.

ประเด็นสำคัญ มันอยู่ที่ว่า คนที่มัวเมาอยู่ด้วยกามคุณอย่างเทวดา และ จะเป็นเทวดาอยู่ที่ไหนก็ตาม ผู้ที่มัวเมาอยู่แล้ว ยากที่จะมีจิตใจที่โปร่งหรือแจ่มใสเพียงพอ ที่จะเข้าใจเรื่องดับทุกข์ หรือ เรื่องนิพพาน

เพราะฉะนั้น เทวดาเมื่อสำนึกถึงความที่ตนมัวเมาอยู่ในกามคุณ หรือในสวรรค์ได้ ก็เกิดความสลดสังเวชตัวเอง ว่าที่นี่ ไม่ใช่ที่เอาตัวรอดเสียแล้ว;

ควรจะเป็นในที่ที่ไม่มัวเมา ในกามคุณมากถึงเช่นนั้น; ควรจะเป็นที่ที่จะหาเรื่องราวของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเรื่องดับทุกข์นั้นได้โดยง่าย.

เพราะฉะนั้น โลกที่ดีที่น่าเกิด ก็ควรจะเป็นมนุษยโลก แทนที่จะเป็นเทวโลก.

เพราะฉะนั้น ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ควรจะอยู่ในที่ที่หาพบพระรัตนตรัยได้ง่าย หรือ ทำการดับทุกข์ได้ง่าย;


ที่มา
http://www.buddhadasa.com/dhamanukom/tevada83.html

89
ความกลัว 1/5

 ความกลัว เป็นสิ่งที่มีอำนาจมากสิ่งหนึ่ง ในบรรดา สิ่งที่ทำลาย ความสุข สำราญ หรือ รบกวนประสาท ของมนุษย์ เป็นอย่างยิ่ง ด้วยกัน

ความกลัวนี้ ย่อมมีลักษณะ และพิษสง มากน้อยกว่ากัน เป็นขั้นๆ ตามความรู้สึก อันสูงต่ำ ของจิต

เด็กๆ สร้างภาพ ของสิ่งที่น่ากลัว ขึ้นในใจ ตามที่ผู้ใหญ่ นำมาขู่ หรือได้ยิน เขาเล่า เรื่อง อันน่ากลัว เกี่ยวกับผี เป็นต้น สืบๆ กันมา แล้วก็กลัว เอาจริงๆ จนเป็นผู้ใหญ่ ความกลัวนั้น ก็ไม่หมดสิ้นไป


ความกลัว เป็นสัญชาตญาณ อันหนึ่งของมนุษย์ เหมือนกันหมด แต่ว่า วัตถุที่กลัว นั่นแหละต่างกัน ตามแต่เรื่องราวที่ตนรับ เข้าไว้ในสมอง

วัตถุอันเป็น ที่ตั้งของความกลัว ที่กลัวกันเป็นส่วนมากนั้น โดยมากหาใช่วัตถุ ที่มีตัวตน จริงจัง อะไรไม่ มันเป็นเพียงสิ่งที่ใจสร้างขึ้น สำหรับกลัวเท่านั้น ส่วนที่เป็น ตัวตน จริงๆ นั้น ไม่ได้ ทำให้เรากลัวนาน หรือ มากเท่าสิ่งที่ใจสร้างขึ้นเอง มันมักเป็น เรื่องเป็นราวลุล่วงไปเสียในไม่ช้านัก

บางที เราไม่ทันนึก กลัว ด้วยซ้ำไป เรื่องนั้นก็ได้มาถึงเรา เป็นไปตามเรื่องของมันและผ่านพ้นไปแล้ว มันจึงมิได้ทรมานจิตของมนุษย์มากเท่าเรื่องหลอกๆ ที่ใจสร้างขึ้นเอง

เด็กๆ หรือคนธรรมดา เดินผ่านร้านขายโลง ซึ่งยังไม่เคย ใส่ศพเลย ก็รู้สึกว่า เป็นที่น่ารังเกียจ หรือเป็นที่ อวมงคล เสียจริงๆ เศษกระดาษ ชนิดที่เขา ใช้ปิดโลง ขาดตก อยู่ในที่ใด ที่นั้น ก็มี ผี สำหรับเด็กๆ

เมื่อเอาสีดำ กับกระดาษ เขียนกันเข้า เป็น รูปหัวกระโหลก ตากลวง ความรู้สึกว่าผี ก็มาสิง อยู่ใน กระดาษ นั้นทันที

เอากระดาษฟาง กับกาวและสี มาประกอบกัน เข้าเป็น หัวคนป่า ที่น่ากลัว มีสายยนต์ ชักให้แลบลิ้น เหลือกตา ได้ มันก็พอที่ทำให้ใคร ตกใจเป็นไข้ได้ ในเมื่อนำไปแอบ คอยที่ชักหลอกอยู่ในป่า หรือที่ขมุกขมัว และแม้ที่สุด แต่ผู้ที่เป็นนายช่าง ทำมันขึ้นนั่นเอง ก็รู้สึกไปว่า มันมิใช่กระดาษฟาง กับกาวและสี เหมือนเมื่อก่อน เสียแล้ว ถ้าปรากฏว่า มันทำให้ใคร เป็นไข้ ได้สักคนหนึ่ง


เราจะเห็นได้ ในอุทาหรณ์ เหล่านี้ ว่า ความกลัวนั้น ถูกสร้างขึ้น ด้วยสัญญาในอดีตของเราเอง ทั้งนั้น เพราะปรากฏว่า สิ่งนั้นๆ ยังมิได้เนื่องกับผีที่แท้จริง แม้แต่นิดเดียว และสิ่งที่เรียกว่า ผี ผี , มันก็ เกิดมาจากกระแส ที่เต็มไปด้วย อานุภาพอันหนึ่ง อันเกิดมาจาก กำลังความเชื่อแห่งจิต
ของคนเกือบทั้งประเทศ หรือ ทั้งโลก เชื่อกันเช่นนั้น อำนาจนั้นๆ มัน แผ่ซ่าน ไปครอบงำจิตของคนทุกคน ให้สร้าง ผีในมโนคติ ตรงกันหมด
และทำให้เชื่อ ในเรื่องผี ยิ่งขึ้น และผีก็มีชีวิต อยู่ในโลกนี้ได้

จนกว่าเมื่อใด เราจะหยุดเชื่อเรื่องผี หรือ เรื่องหลอก นี้กันเสียที ให้หมดทุกๆ คน ผีก็จะตายหมดสิ้นไปจากโลกเอง จึงกล่าวได้ว่า ความกลัวที่เรากลัวกันนั้น เป็นเรื่องหลอก ที่ใจสร้างขึ้นเอง ด้วยเหตุผล อันผิดๆ เสียหลายสิบเปอร์เซ็นต์

ความกลัว เป็นภัยต่อความสำราญ เท่ากับความรัก โกรธ เกลียด หลงใหล และอื่นๆ หรือบางที จะมากกว่าด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่า ธรรมชาติ ได้สร้างสัญชาตญาณ อันนี้ให้แก่สัตว์ ตั้งแต่ เริ่มออกจากครรภ์ ทีเดียว, ลูกนก หรือ ลูกแมว พอลืมตา ก็กลัวเป็นแล้ว แสดงอาการหนี หรือป้องกันภัย ในเมื่อเราเข้าไปใกล้

ที่มา
http://www.buddhadasa.com/shortbook/fearghost.html

90
ประสบการณ์วิญญาณ / หลอนสุดขีด
« เมื่อ: 04 ส.ค. 2554, 10:28:39 »
หลอนสุดขีด

ขนหัวลุก
ใบหนาด

"นิศานาถ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของคนขี้ลืม

ดิฉัน มีเพื่อนข้างห้องที่เป็นโรคขี้หลงขี้ลืมอย่างร้ายกาจ และเพราะโรคเจ้ากรรมนี้เองค่ะที่ทำให้เกิดเรื่องสยองขวัญอย่างแทบจะเป็นไป ไม่ได้

ไม่ต้องคิดไปไกลถึงคนที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ หรือคนชราที่นับวันก็ยิ่งเป็นโรคขี้หลงขี้ลืมตามอายุขัย อย่างที่พูดกันติดปากว่า "หลงๆ ลืมๆ ตามประสาคนแก่" เพียงแค่เอ่ยถึงคนที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาวนี่ก็พอค่ะ

ทุกคนย่อมเคย รู้จักคนขี้ลืมกันทั้งนั้น และทุกคนที่ยอมรับความจริงก็ต้องพบว่าตัวเองเคยเป็นคนขี้ลืม จะมีข้อแตกต่างกันตรงที่มีอาการมากหรือน้อยเท่านั้นแหละ

ตั้งแต่วางของใช้ เช่น ปากกาหรือแว่นตาไว้แล้วจำไม่ได้ว่าวางไว้ที่ไหน

ลืมกุญแจบ้าน ลืมกุญแจรถ กระทั่งลืมกุญแจไว้ในรถที่ล็อกเรียบร้อยแล้ว

จำ ไม่ได้ว่าปิดไฟ ปิดแก๊สไว้หรือเปล่า? หลายๆ ครั้งถึงกับต้องย้อนกลับไปดูให้รู้แน่ ไม่งั้นก็ไม่สบายใจ กลัวจะเกิดอุบัติเหตุ จนถึงเข้าห้องนอนแล้วนึกไม่ออกว่าใส่กลอนหรือล็อกประตูเรียบร้อยหรือยัง?

ลืมลูกเล็กๆ ไว้ในรถประจำทาง แม้แต่ในรถแท็กซี่ก็เคยเป็นข่าวหลายครั้ง

ขนาดจะเดินทางไปต่างประเทศ พอถึงสนามบินแล้วเพิ่งนึกได้ว่าไม่ได้นำหนังสือเดินทางมาด้วยก็มีนี่คะ!

"เปิ้ล" เป็นเพื่อนข้างห้องเช่าที่ดินแดงนี่เอง นิสัยเราตรงกันตรงที่ชอบอยู่คนเดียว ไม่อยากชวนใครมาเป็นเพื่อนเพื่อแชร์ค่าห้อง ถือว่ารักอิสระเสรีเหนืออื่นใด ...แต่สิ่งที่แตกต่างกันสุดขั้วก็คือเปิ้ลเป็นโรคขี้หลงขี้ลืมขนาดหนัก ตอนที่รู้จักกันใหม่ๆ ยังคิดว่าเธอแกล้งทำด้วยซ้ำ

เดี๋ยวลืมกุญแจ ห้อง เดี๋ยวลืมกุญแจรถ เดี๋ยวลืมกระเป๋าสตางค์...ทั้งในห้องและที่ทำงาน เดี๋ยวลืมรหัสเอทีเอ็ม เดี๋ยวลืมว่ารุ่งขึ้นเป็นวันหยุด เดี๋ยวลืมว่านัดกับเพื่อนที่ศูนย์การค้าจนเพื่อนโทร.มาต่อว่า ขณะที่เปิ้ลเข้ามานั่งคุยจ๋อยๆ อยู่ในห้องดิฉัน แต่ไม่มีใครถือโกรธมากมายอะไรเพราะรู้นิสัยขี้ลืมของเธอดี

"ขวัญ" เพื่อนสนิทคนหนึ่งถึงกับแซวว่า....นี่เปิ้ล! ฉันว่าเธอเขียนชื่อแขวนคอไว้ดีกว่าว่ะ เผื่อเกิดลืมว่าตัวเองชื่ออะไรจะได้ดูป้ายไงล่ะ!

เปิ้ลได้แต่ยิ้ม แหยๆ ดูแล้วก็น่าสงสาร เพราะวันนั้นขวัญมาค้างที่ห้องเปิ้ล หาซื้ออะไรมากินกันสามคน พูดคุยปากกว้างเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ แต่ขวัญแซวซะจนดิฉันอดสงสารเปิ้ลไม่ได้ ...เราแนะนำให้เธอไปหาหมอเพื่อปรึกษาโรคลืมฉกาจฉกรรจ์ แต่เปิ้ลกลับค้อนควักให้

"จะบ้าเรอะ? จู่ๆ จะให้ฉันไปหาจิตแพทย์ เดี๋ยวใครก็นึกว่าฉันเป็นบ้าน่ะซี!"

ต้องยอมรับว่าคนไทยเรายังแยกไม่ออกหรอกค่ะ ทำให้คนที่มีปัญหาทางอารมณ์หรือจิตใจที่อาจรักษาได้ แต่ไม่กล้าไปพบจิตแพทย์เป็นส่วนใหญ่

จน กระทั่งวันหนึ่งก็เกิดเหตุร้าย เมื่อขวัญโดนรถเก๋งชนตายคาที่หน้าบริษัทที่สีลมนั่นเอง ขณะรีบร้อนจะออกไปหาอาหารกลางวันกินกับเพื่อนๆ แต่เธอเคราะห์ร้ายเพียงคนเดียว

เปิ้ลร้องห่มร้องไห้จนนัยน์ตาบวม เล่าว่าวันนั้นเธอไปกับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง ทั้งที่ส่วนมากจะไปกับขวัญ...พวกเราไม่มีโอกาสได้ไปงานศพเธอ เพราะญาติๆ จากภาคเหนือมารับศพไปบำเพ็ญกุศลที่บ้านเกิด

ความตายอาจจะเป็นการ เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ หรือไม่ก็เป็นการสาบสูญไปเลย ตามความเชื่อของคนบางกลุ่มก็ได้ค่ะ เพราะไม่มีวี่แววว่าใครจะพบเห็นหรือฝันถึงเธอเลยแม้แต่คนเดียว

จนกระทั่งวันเสาร์ถัดมา...

ขณะ ที่ดิฉันนอนตื่นสายจนตะวันโด่ง เพราะไม่ต้องรีบไปทำงานตามปกติ หลังจากทำธุระส่วนตัวแล้วก็ออกมาชงกาแฟ เปิดทีวีดูข่าว...เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

เปิ้ลก้าวเข้ามาดูข่าวนิด หน่อย แล้วเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะถามโพล่ง...ไอ้ขวัญล่ะ? หายไปไหน? เข้าห้องน้ำเหรอ? เล่นเอาดิฉันงุนงงไปพักหนึ่ง...ขวัญไหน? เปิ้ลก็มองเหมือนจะค้อนให้

"ยังจะแกล้งถามอีก ก็ไอ้ขวัญเพื่อนเปิ้ลไง! เมื่อคืนมันมานอนด้วย เม้าธ์กันจนดึก แต่ตื่นเช้ามานี่ไม่รู้ว่าหายไปไหน ...เลยนึกว่ามาคุยที่ห้องเธอน่ะซี!"

ดิฉัน ยอมรับว่าตกใจจนแข็งทื่อ อ้าปากค้าง ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว จ้องหน้าเปิ้ลก่อนจะหลุดปากแบบโพล่งออกมาว่า ...ขวัญตายไปตั้งหลายวันแล้ว จะมานอนค้างกับเธอได้ยังไง?

เท่านั้นแหละค่ะ เปิ้ลก็เบิกตากว้าง กรีดร้องสุดเสียง ก่อนจะเป็นลมล้มฮวบลงกองกับพื้น...อยู่ดีๆ นิสัยขี้หลงขี้ลืมของเธอ จำไม่ได้ว่าเพื่อนตายไปแล้ว ก็ทำให้ดิฉันหวิดจะหัวใจวายไปเลย...ขนหัวลุกค่ะ!

ที่มา
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREEzTVRJMU1nPT0=ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHhNaTB3Tnc9PQ==

91
ประสบการณ์วิญญาณ / คนดวงขาด
« เมื่อ: 02 ส.ค. 2554, 10:44:27 »
คนดวงขาด

"เมธิชัย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อคนเมา ขับรถ

สงกรานต์ปีนี้ทำให้ผมนึกถึงสงกรานต์ปีก่อน โดยเฉพาะเรื่องราวสยดสยองของอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้คนบาดเจ็บล้มตายปีละหลายร้อยหลายพัน...ไม่นึกว่าจะต้องประสบกับญาติมิตรตัวเองมาก่อนเลย

คำขวัญต่างๆ ล้วนออกมาปลุกเร้าให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเพิ่มความระมัดมากยิ่งขึ้นทุกๆ ปี

"ดื่มแล้วขับ ถูกจับแน่"

"ดื่มไม่ขับ-ขับไม่ซิ่ง"

เคยเห็นคำขวัญทำนองนี้ที่ต่างจังหวัด กระทบใจสุดๆ

"ขับคะนอง-จองโลง!!"

เรื่องสยองขวัญวันสงกรานต์เกิดกับ "พี่แพ็ต" เพื่อนบ้านผมที่คลองประปา บางซื่อนี่เองครับ

พี่แพ็ตเป็นหนุ่มใหญ่ อาชีพรับราชการทั้งผัวทั้งเมีย นิสัยดี อารมณ์รื่นเริงคุยสนุก ข้อเสียอย่างเดียวของพี่แพ็ตคือชอบดื่มเหล้าขนาดหนัก ถึงจะไม่ดื่มตอนกลางวันจนเสียงาน แต่ตกเย็นเป็นร่ำสุราจนน่ากลัวใจ

ยิ่งรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดด้วยแล้ว พี่แพ็ตกระหน่ำเหล้าชนิดไม่ยับยั้งจริงๆ เอ้า!

คนเมาขับรถก็น่ากลัวอยู่แล้ว แต่พี่แพ็ตขับซิ่งชนิดบ้าระห่ำ ผมเคยนั่งด้วยหนเดียวเข็ดจนตาย ถึงแม้พี่แพ็ตจะยืนยันว่าตั้งแต่ขับรถมาสิบกว่าปี ยังไม่เคยประสบอุบัติเหตุรุนแรงแม้ครั้งเดียวก็ตาม

เขาว่าพวกคอเหล้ามักจะมีเพื่อนฝูงมาก คงจะเป็นความจริงนะครับ เพราะเห็นพี่แพ็ตมีเพื่อนมากมายเหลือเกิน ขนาดผมอยู่บ้านรั้วติดกันยังรู้จักไม่หมด!

ระยะหลังๆ สังเกตว่าร่างกายของพี่แพ็ตชักจะอ่อนแอลง หรือเพราะดื่มหนักกว่าเดิมก็ไม่ทราบแน่ชัด บางคืนขับมาจอดหน้าบ้านแล้วขับรถเข้าประตูไม่ได้ ต้องทิ้งรถแล้วเดินโซเซเข้าไป บางคืนก็หลับผล็อยคาพวงมาลัย...เมียมาปลุกบ้าง หลับไปจนสว่างบ้าง ถึงจะไม่เกิดอุบัติเหตุก็น่าห่วงใยเต็มที

ผมเคยเตือน "เมาไม่ขับ" เป็นดีที่สุด ถ้าไม่นั่งแท็กซี่ก็ให้เพื่อนฝูงที่ไม่เมาขับให้ เมื่อถึงบ้านก็มีเพื่อนที่ขับรถตามมารับโชเฟอร์จำเป็นกลับไปด้วยก็จะดีมากๆ

พี่แพ็ตก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง จนกระทั่งเหตุร้ายอุบัติขึ้นมา!

สงกรานต์ปีนั้น ผมกับพี่แพ็ตไม่ได้ออกไปเที่ยวต่างจังหวัด ก็เหมือนกับทุกปีน่ะแหละครับ คือเราไม่ชอบไปเที่ยวหน้าเทศกาล ไม่อยากแย่งกันใช้ถนน แย่งกันอยู่ แย่งกันกิน...แต่หลายๆ คนก็ชอบ บอกว่าไปเที่ยวทั้งทีไม่ได้แย่งอยู่แย่งกินก็ไม่สนุกน่ะซี

ผมอยู่บ้านกับครอบครัวจริงๆ แต่พี่แพ็ตไม่มีโอกาสเพราะเพื่อนมาก ต้องไปดื่มกับคนนั้น ต้องไปเฮกับคนนี้ จนถึงวันหยุดสุดท้ายแกบอกผมว่า เรามาฉลองสงกรานต์กันที่บ้านดีกว่า! แต่ไม่วายมีเพื่อนพี่แพ็ตมาหาอีกสามคน รถยนต์หนึ่งคัน

ยินดีต้อนรับเต็มที่ ทั้งเหล้าและกับแกล้มเหลือเฟือ เมียพี่แพ็ตก็นำอาหารมาเพิ่มเติม...ทำท่าว่าจะเมาให้หมดสติอยู่ที่บ้านนั่นแหละ รุ่งขึ้นก็ไปทำงานแล้ว

ราวสองทุ่มเศษก็มีเพื่อนโทร.มาตามพี่แพ็ต บอกว่านัดไว้จะไปฉลองกันที่ร้านซีฟู้ดริมแม่น้ำบางปะกง เพื่อนอีกสามคนก็นึกขึ้นได้...พี่แพ็ตเลยต้องขอตัวไปพบเพื่อน ผมบอกให้นั่งรถเพื่อนไปเลย แต่พี่แพ็ตบอกว่าเอารถไปดีกว่า อยากกลับจะได้กลับทันที

ผมย้ำให้เพื่อนที่ชื่อโจ้ช่วยขับรถให้ พี่แพ็ตก็หัวเราะ โบกมือล่ำลา...

คืนนั้นผมใจคอหงุดหงิดวุ่นวายบอกไม่ถูก กว่าจะขึ้นนอนก็ราวห้าทุ่ม...ฝันเห็นพี่แพ็ตขับรถตะบึงมาในความมืดน่ากลัว เสียงโครมสนั่น! เล่นเอาสะดุ้งตื่น...เมื่อลุกไปดูที่หน้าต่างก็เห็นพี่แพ็ตเดินโซซัดโซเซเข้าบ้าน

ก่อนจะลับตา ดูเหมือนแกจะหันมาเงยหน้ามองผมในแสงไฟเยือกเย็น...

รุ่งขึ้นก็ได้ข่าวว่าพี่แพ็ตเกิดอุบัติเหตุตอนขากลับ รถพุ่งชนเสาไฟคอหักตายคาที่กับเพื่อนชื่อโจ้...พี่แพ็ตเมามากจนนอนอยู่เบาะหลัง โจ้ต่างหากล่ะครับที่เป็นคนขับน่ะ...ไม่รู้ว่าผีพี่แพ็ตมองผมอย่างตัดพ้อหรือเปล่า? ที่แน่ๆ คือขนหัวลุกครับ!


ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREV5TURVMU13PT0=

92
ปาฏิหาริย์การขออโหสิกรรม 1/2
สุวิไล บุญธวัชชัย

    ก่อนอื่นดิฉันขอขอบคุณสามีที่อนุญาตให้นำเรื่องนี้มาเล่า เพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้ที่มีคู่ครองติดสุราหรืออบายมุขอื่นๆ ที่กำลังท้อแท้กับชีวิต ได้มีกำลังใจสู้ชีวิตต่อไป

    ชีวิตของดิฉันตั้งแต่เล็กจนโต มีแต่ความสุขสบาย ได้รับความอบอุ่นจากคุณพ่อคุณแม่ ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนดีๆจนจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี หลังจากจบการศึกษาไม่นาน ก็ได้แต่งงานกับสามีซึ่งมีฐานะและพื้นฐานทางครอบครัวที่ใกล้เคียงกัน คุณพ่อของสามีมีกิจการค้าส่วนตัว เมื่อเข้าไปเป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวสามี คุณพ่อคุณแม่และน้องสาวของสามีดีต่อดิฉันมาก สามีก็ช่วยกิจการค้าของคุณพ่อ
ชีวิตสมรสของดิฉันราบรื่น ขณะที่มีลูกสาว ๓ คนที่น่ารัก (ลูกชายคนเล็กเกิดภายหลังวิกฤตการณ์ของครอบครัว) สามีเป็นคุณพ่อที่ดีของลูกๆ ไปไหนมาไหนจะไปทั้งครอบครัว วันหยุดส่วนใหญ่จะทำกิจกรรมร่วมกัน ไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปเที่ยวสวนสนุก แต่ความสุขทางโลกเป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืน มนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะเกิดมารวยหรือจน ต้องมาใช้กรรมที่ทำไว้ทั้งนั้น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดิฉันก็เช่นเดียวกัน หนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น เหตุการณ์ที่ทำให้ดิฉันเป็นทุกข์อยู่หลายปีเกิดขึ้นหลังจากแต่งงานประมาณ ๑๐ ปี สามีไปเข้าหุ้นทำการค้ากับเพื่อนๆ ตัวเขาไม่ได้เข้าไปบริหารแต่เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้กับบริษัท ทำไปได้ไม่นานก็เกิดขาดทุน ไม่มีใครเข้าไปรับผิดชอบ สามีดิฉันซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้จึงต้องเข้าไปสะสางหนี้สินทั้งหลาย

   ชีวิตของดิฉันแปรเปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน เพราะสามีต้องไปทำงานที่บริษัทใหม่ หน้าที่การงานที่เขาเคยรับผิดชอบอยู่ที่กิจการของคุณพ่อก็ต้องโอนให้ดิฉันดูแลแทนทั้งหมด ตอนกลางวันดิฉันต้องดูแลร้าน มีปัญหาเกี่ยวกับการค้าก็ต้องหาทางแก้ไขเอง เพราะคุณพ่อป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง เข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำ ไม่สามารถเป็นที่ปรึกษาได้ ตอนกลางคืนก็ต้องดูแลลูกสาว ๓ คน และลุกชายคนเล็กซึ่งยังเล็กอยู่
เหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีก เมื่อสามีดิฉันเข้าไปสะสางปัญหาต่างๆมากมายในบริษัทใหม่ ความเครียดกับงานก็เพิ่มมากขึ้น เขาเริ่มดื่มเหล้าเพื่อให้หลับในตอนกลางคืน จนกลายเป็นคนติดเหล้า ต้องดื่มทุกวัน เริ่มขาดสติและมีอารมณ์แปรปรวนเป็นประจำ บ่อยครั้งที่เขาไปงานสังคมและกลับบ้านดึก ดิฉันจะเป็นห่วงและไม่เข้านอนจนกว่าเขาจะกลับมา โรคปวดหลังที่เคยเป็นมาก่อนก็รุมเร้าดิฉันหนักขึ้น ถึงกลับเดินไม่ได้ต้องไปโรงพยาบาล ต้องทำกายภาพบำบัดเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ถึงจะหาย ดิฉันได้แต่ทุกข์กายทุกข์ใจอยู่คนเดียว ทุกครั้งที่กลุ้มใจมากๆก็จะเข้าห้องพระ จุดธูปอธิฐานขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยดิฉัน แม้จะสวดมนต์บทชินบัญชรคาถา เพื่อให้คลายทุกข์ ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ เนื่องจากดิฉันไม่ทราบวิธีการสวดมนต์ที่ถูกต้อง และไม่เข้าใจว่าสวดมนต์เพื่ออะไร ขณะที่ดิฉันแทบจะหมดอาลัยตายอยาก
อาจจะเป็นเพราะได้ทำบุญกุศลร่วมกับพี่สาวของดิฉัน อยู่มาวันหนึ่งพีสาวโทรศัพท์มาเล่าว่า ตั้งแต่ลูกๆเขาไปเรียนเมืองนอก เขาว่างมาก จึงหยิบหนังสือสวดมนต์เล่มหนึ่งที่ได้จากงานศพของคนรู้จัก มาสวดทุกเย็นหลังเลิกงาน เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว และรู้สึกว่าตัวเองใจเย็นลง จิตใจแจ่มใสขึ้น ตั้งแต่นั้นมาดิฉันก็หยิบหนังสือสวดมนต์ที่ได้รับจากงานศพเดียวกันมาสวดบ้าง (เป็นบทสวดมนต์เดียวกับที่หลวงพ่อจรัญแนะนำให้สวด)

   การสวดมนต์และแผ่เมตตาที่จะทำให้เป็นกิจวัตรประจำวันนั้น ทำได้ยากมาก เพราะการที่จะสำรวมกายสำรวมใจสวดมนต์ในตอนแรกๆ ต้องอดทนและฝืนใจตัวเองอย่างมากๆ คนส่วนใหญ่รวมทั้งตัวดิฉันเองมักจะพูดว่าไม่มีเวลาสวดมนต์ ทำงานเหนื่อยทั้งวัน สวดมนต์ทีไรง่วงทุกที แต่อย่างที่เขาพูดว่า เมื่อใดมีทุกข์เมื่อนั้นก็จะพบธรรมะ เมื่อความทุกข์เพิ่มทวีคูณ ดิฉันก็พยายามหาทางขจัดทุกข์ให้เร็วที่สุด จากที่เคยสวดบทง่ายๆและไม่เคยแผ่บทเมตตา ในช่วงแรกๆก็ได้เริ่มสวดบทพาหุงมหากา บทพุทธคุณ (อายุของตัวเองบวกหนึ่งจบ)  พร้อมทั้งอโหสิกรรมและแผ่เมตตาทุกครั้ง อานิสงฆ์จากการสวดมนต์ ทำให้ดิฉันมีสติอยู่กับตัวเองมากขึ้นและคลายจากความทุกข์ความกังวลเกี่ยวกับสามีลงมาก แต่ที่น่าอัศจรรย์คือ อานิสงฆ์จากการสวดมนต์ ทำให้ดิฉันได้พบวิธีการปฏิบัติธรรมเพื่อเจริญสติเป็นขั้นเป็นตอนเหมือนกับธรรมะจัดสรรให้
   
   หลังจากได้สวดมนต์ไม่นาน พี่สาวของดิฉันก็ได้นำหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” ของคุณสุทัสสา อ่อนค้อม มาให้อ่าน มีหลายอย่างในหนังสือเล่มนั้นที่เป็นพลังผลักดันให้ดิฉันใฝ่หาความรู้ทางธรรมะมากขึ้น ความศรัทธาต่อหลวงพ่อจรัญจากหนังสือเล่มดังกล่าว ทำให้พี่สาวและดิฉันขับรถไปที่วัดอัมพวันเพื่อฟังธรรมะจากหลวงพ่อโดยตรง ทุกครั้งที่ได้ฟังธรรมจากท่าน ดิฉันจะนำคำสอนจากท่านมาประยุกต์ใช้กับชีวิตตัวเอง ดิฉันเริ่มมอง ตัวเองและแก้ไขสิ่งที่ตัวเองบกพร่อง ซึ่งแต่ก่อนมักจะโทษว่าปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะคนอื่นทำมากกว่า โดยเฉพาะปัญหาสามีติดเหล้า  จะโทษว่าเป็นเพราะเขาที่ทำให้เราเป็นทุกข์   และจะโกรธเขาทุกข์ครั้งที่เห็นเขาดื่มเหล้า  แต่หลังจากได้สวดมนต์ปฏิบัติธรรม  และฟังธรรมจากหลวงพ่อทำให้ดิฉันอยู่กับตัวเองมากขึ้น  กลับมองปัญหาที่เกิดขึ้นว่า คงเป็นกฎแห่งกรรมที่เราทำไว้ชาติที่แล้ว จึงต้องมาประสบปัญหาเช่นนี้  ฉะนั้นเราควรอดทนใช้กรรมที่เราทำไว้ในอดีตอย่างมีสติ และไม่ควรเพิ่มกรรมใหม่ที่ไม่ดีในปัจจุบัน ดิฉันได้เริ่มต้นโดยขออโหสิกรรมจากสามี  และอโหสิกรรมให้เขาเช่นกัน  ไม่รื้อฟื้นสิ่งที่ไม่ดีในอดีต  ปรับปรุงตัวเอง ลดทิฐิ พูดจาดีๆกับเขา ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่จะให้เขาเลิกเหล้า หลังจากที่ดิฉันปรับปรุงแก้ไขตัวเองไม่นาน สามีของดิฉันก็ค่อยๆลดการดื่มเหล้าลง  จนถึงขณะนี้เขาเลิกดื่มแล้วและกลับมาเป็นคุณพ่อที่ดีของลูกๆ และเป็นสามีที่ดีของดิฉัน

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

93
จากสวดพาหุงมหากา  สู่การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน 1/2
ชลธิชา ชาญวิชา

ในกฎแห่กรรมเล่มที่ ๑๗ ข้าพเจ้ากล่าวถึงความมหัศจรรย์ของข้าพเจ้าคือ นายสมศักดิ์ ชาญวิชา ผู้ช่วยนายสถานีรถไฟลพบุรี ได้สวดพหุงมหากา และเกิดความเจริญรุ่งเรือง มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เป็นแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าปฏิบัติตามด้วยความศัทธาอย่างแรงกล้า

ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าสวดมนต์เสร็จจะอธิษฐานจิตว่า “ขอให้ข้าพเจ้าได้มีช่องทางทำมาหากิน เพื่อช่วยภาระค่าใช้จ่ายในบ้านเพราะบ้านที่สร้างยังต้องผ่อนอยู่ และขอให้พบกับญาติทางธรรม มาช่วยเหลือเกื้อกูลข้าพเจ้าด้วยเถิด” ไม่นานคำอธิฐานจิตเป็นไปดังปรารถนา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสรู้จักกับคุณณัฐวัชร – ศรินยา เมธารมณ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานคนที่ ๓ ของโลก ในบริษัทขายตรงแห่งหนึ่ง ทั้งสองคนเคยฝึกปฏิบัติธรรมกับคุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย


จากแม่บ้านธรรมดาคนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจทำงานกับบริษัทขายตรงแห่งนี้ หลวงพ่อทราบแล้วให้พรว่า “ให้อดทน ตั้งในทำงาน ก่อนสบายต้องลำบากก่อนเสมอ” หลวงพ่อจะแผ่เมตตาให้ ข้าพเจ้ารับพรจากหลวงพ่อแล้วทำงานด้วยความตั้งใจ พร้องทั้งไม่ลืมสวดมนต์แล้วแผ่เมตตาไปด้วย

งานของข้าพเจ้าเจริญรุ่งเรืองตามลำดับ เดือนแรกขึ้นตำแหน่งผู้จัดการ เดือนที่สองขึ้นตำแหน่งผู้จัดการอาวุโส ขายสินค้าทะลุเป้ามากมาย การทำงานครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สัจธรรมของชีวิตว่า “ตนเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งแห่งตน” เรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง ที่หลวงพ่อเคยสอยไว้ ข้าพเจ้านำมาปฏิบัติ ข้าพเจ้าทำงานด้วยคาวมจริงจัง กินน้อย นอนน้อย พักผ่อนน้อย ข้าพเจ้าเหนื่อยมาก ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ เลย ความสบายต้องลงทุนด้วยความลำบากก่อนเสมอ เป็นจริงดังที่หลวงพ่อพูด บางวันกลับถึงบ้านด้วยร่างกายเหนื่อยล้า ทำให้ไม่ได้สวดมนต์ไหว้พระ สวดบ้างไม่สวดบ้าง ทำให้หน้าที่การงานมีปัญหาและอุปสรรค ช่วงที่ข้าพเจ้ายังแก้ปัญหาไม่ได้รู้สึกสับสนมืดมนอยู่นั้น คืนหนึ่งข้าพเจ้าฝันไปว่า ได้เดินไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง เคว้งคว้างมาก มีผู้คนมากมาย มีหลวงพ่อเดินนำพาไป และมีเสียงหนึ่งมากระซิบที่ข้างหูหลายครั้งว่า “ต้องมาเจริญกรรมฐานเจ็ดวัน ชีวิตถึงจะเจริญรุ่งเรือง”

ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมาทบทวนความฝัน ตื้นตันใจจนน้ำตาไหลในความเมตตาปราณีของครูบาอาจารย์ ที่ถึงคราวลูกศิษย์อยู่ในฐานะลำบาก หลวงพ่อมีเมตตาเตือนสติ และส่องแสงสว่างแห่งปัญญามาให้

วันหนึ่งมีญาติธรรมโทรศัพท์มาถามข้าพเจ้าว่า จะเข้าปฏิบัติธรรมในโครงการปฏิบัติธรรมถวายเป็นกุศลแด่หลวงพ่อ เนื่องในโอกาสครบรอบ ๗๕ ปีของหลวงพ่อ ในวันที่ ๕ – ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๖ นี้หรือไม่ ข้าพเจ้ารีบตอบรับทันที ตั้งใจไปปฏิบัติกรรมฐานเจ็ดวัน เพื่อทดแทนคุณของครูบาอาจารย์ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยอยู่ถึงเจ็ดวันเลย ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะอดทนเพียงไร

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

94
การปฏิบัติธรรมมีผลจริงไม่ต้องสงสัยอีกแล้ว 1/3
รศ.พญ.ฐิตวี แก้วพรสวรรค์

   ดิฉันขอนอบน้อมระลึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม ที่ดิฉันเคารพบูชาอย่างสูงด้วยบทความนี้ และเพื่อป็นการสร้างเสริมศรัทธาแก่ผู้อ่านให้มั่นคงในพระรัตนตรัย อันเป็นสรณะที่เคารพบูชาสูงสุดของเราทั้งหลาย หากมีสิ่งใดผิดพลาด บกพร่องล่วงเกินประการใด ดิฉันกราบขออภัย ขออโหสิกรรม และขอน้อมรับไว้เพื่อพิจารณาแก้ไขต่อไป

      การที่คนเราจะมีโอกาสมาปฏิบัติธรรมวิปัสนากรรมฐานนั้นยากมาก มีน้อยคนนักที่จะมีโอกาสเช่นนี้เพราะผ้ที่จะปฏิบัติธรรมได้นั้นต้องมีความพร้อมทั้งร่ายกาย (ต้องสมบูรณ์แข็งแรง) จิตใจ (มีสุขภาพจิตไม่เป็นปัญหาต่อการปฏิบัติธรรม) และต้องมีกัลยาณมิตรชี้แนะสนับสนุน และถึงแม้จะมีความพร้อมทั้ง ๓ ด้าน คือ ร่างกาย จิตใจ และมีกัลยาณมิตรก็ตาม บางคนก็ยังไม่มีโอกาสได้ปฏิบัติธรรม เช่นตัวดิฉันเองเป็นตัวอย่าง


     ดิฉันเป็นจิตแพทยท์ และเป็นอาจารย์แพทย์ประจำภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทย์สาสตร์ศิริราชพยาบาล เป็นผู้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงพอ มีสุขภาพจิตปกติ และมียอดกัลยาณมิตร คือสามีของดิฉัน ที่คอยชักชวนสนับสนุนให้ดิฉันไปปฏิบัติธรรมมาเป็นเวลานานมาก (สามีของดิฉันเริ่มปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๗-๒๕๒๘ และได้ปฏิบัติต่อเนื่องทั้งที่ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ที่วัดอัมพวัน และได้จัดโครงการปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันทุกปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๒ เป็นต้นมา) แต่ดิฉันก็ไม่เคยไปปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานจริงจังสักที ถามว่าดิฉันทราบไหมว่าเป็นสิ่งที่ดี ก็ต้องตอบว่าทราบแน่นอน แต่ถ้าจะให้ไปปฏิบัติจริงๆก็ไม่ไป ดิฉันได้ลองคิดวิเคราะห์ถึงเหตุติดขัด-ขัดข้องของดิฉัน คิดว่ามีความติดขัด ๔ ประการ

๑.ติดธุระ
การเป็นแพทย์กับเรื่องติดธุระดูแล้วเป็นเรื่องสมเหตุสมผลมาก แต่ดิฉันคิดว่าเรื่องติดธุระเป็นเพียงข้ออ้างมากกว่า เพราะถ้าเมื่อคนเราให้ความสำคัญกับสิ่งใดแล้ว เราจะมีเวลาให้กับสิ่งนั้นเสมอ เพราะฉนั้นการที่เราอ้างว่าติดธุระ ไม่ว่าง ก็แสดงว่าเรายังให้ความสำคัญกับสิ่งนั้นน้อย (ดั้นนั้นถ้าคุณจะมาปฏิบัติอย่ารอให้ว่าง เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นคุณจะไม่มีเวลาว่างสำหรับการปฏิบัติธรรม ต่อเมื่อคุณมาปฏิบัติธรรมแล้วนั่นแหละคุณถึงจะเห็นความว่างได้เอง)

๒.ติดสบาย
ความสะดวกสบายที่คันเคยส่วนตัวเป็นเหตุอุปสรรคขัดข้องสำหรับบางคน รวมถึงตัวดิฉันเองด้วย เมื่อคิดว่าต้องมาอยู่รวมกันหลายคน การทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ จะไม่มีความสะดวกสบายที่คันเคยนานประการ ก็ทำให้ดิฉันติดขัดไม่อยากมาปฏิบัติธรรม

๓.ติดสุข
ดิฉันเคยกล่าวกับผู้อื่นอยู่บ่อยครั้งว่า ดิฉันคิดว่าชีวิตของดิฉันมีความสุขแล้ว ดิฉันมีโชคถึง ๓ ชั้น ชั้นที่ ๑ คือ
มีครอบครัวดี อบอุ่น ชั้นที่ ๒ คือ มีสามีดี เป็นกัลยาณมิตร ยอดเยี่ยม และชั้นที่ ๓ คือ มีอาชีพการงานที่ดี ดิฉันเป็นแพทย์และเป็นอาจารย์สอนแพทย์ซึ่งหลวงพ่อท่านเคยกล่าวว่า อาชีพที่บุญและเป็นอาชีพที่น่าสนันสนุนมี ๒ อย่างคือ อาชีพแพทย์และครูบาอาจารย์ ดังนั้นการที่ดิฉันเป็นแพทย์และอาจารย์แพทย์  จึงได้เป็นรวมทั้ง ๒ อย่าง

๔.ติดดี
ดิฉันคิดว่าดิฉันเองเป็นคนดีคนหนึ่งในสังคม เป็นจิตแพทย์ที่คอยแนะนำวิเคราะห์จิตใจของคนอื่น และอาจจะหลงตัวเองว่าเก่งแล้ว ดีแล้ว ซึ่งอาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ดิฉันไม่ค่อยมีความกระตือรือร้นที่จะต้องปฏิบัติธรรมพัฒนาจิตใจ-ปัญญาของตัวเอง

แต่หลังจากได้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแล้ว ดิฉันจึงเกิดปัญญารู้ว่าสิ่งที่ดิฉันเคยคิดมาก่อนนั้นผิดพลาดอย่างมหันต์ หากดิฉันยังติดอยู่กับสิ่งแหล่านี้ว่าเป็นความสุขความดีแล้วละก็ วันหนึ่งข้างหน้า ซึ่งต้องมีวันนั้นแน่นอน ดิฉันจะต้องเจ็บปวดสาหัส

จะเห็นได้ว่าผู้มีปัญญานั้นไม่จำเป็นต้องเป็นคนมีความรู้ความสามารถทางโลกสูง หรือมีฐานะร่ำรวยอะไร ในทางกลับกันคนที่มีความรู้ความสามารถสูงบางคนยังแสดงให้เห็นถึงความอ่อนด้อยทางปัญญาก็มีอยู่มากมาย

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

95
กฎแห่งกรรม / กรรมที่ต้องชดใช้
« เมื่อ: 01 ส.ค. 2554, 07:33:50 »
กรรมที่ต้องชดใช้ 1/2
เฉลา ขำวงษ์

   ดิฉันมีอาชีพรับราชการครู อยู่โรงเรียนกระทุ่มราย อำเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง ไม่ไกลกับวัดอัมพวันเท่าไร แต่ไม่มีโอกาสได้มาปฏิบัติธรรม มีแต่ฟังธรรมจากท่านทางโทรทัศน์บ้าง จากเทปบ้าง อ่านหนังสือของท่านบ้าง และเมื่อครั้งที่บิดาของดิฉันป่วยหนัก ดิฉันได้มีโอกาสสวดมนต์บทพาหุงมหากา ดิฉันได้รับบทสวดมนต์เป็นลายมือของญาติผู้ป่วยที่ไปรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอ่างทอง เมื่อบิดาเสียชีวิตได้ไม่นาน สามีของดิฉันก็เสียชีวิตอีกคนหนึ่งระยะเวลาห่างกันเพียง ๑ ปี ตลอดเวลาที่บุคคลทั้งสองป่วยด้วยโรคมะเร็ง ดิฉันดูแลปรนนิบัติอย่างดี พร้อมกันนั้นก็สวดมนต์ไปเรื่อยๆเท่าที่โอกาสจะอำนวย สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และพาหุงบางครั้งก็สวดคาถาชินบัญชรบ้าง

   หลังจากทำศพสามีแล้ว ตัวดิฉันเองก็แทบจะป่วยตายไปด้วย แต่เมื่อมีลูกต้องดูแลอีก ๒ คน ดิฉันจึงต้องหางานพิเศษทำ ดิฉันไปธุรกิจขายตรงกับบริษัทแห่งหนึ่ง ดิฉันทำมาค้าขึ้นได้ใช้หนี้สิน ซื้อรถยนต์ป้ายแดง ซื้อบ้าน และมีโอกาสไปต่างประเทศหลายประเทศ เที่ยวเมืองไทยเกือบทั่ว ได้ไปเป็นนักจัดรายการวิทยุหลายสถานี จนมีคนรู้จักดิฉันมากมาย ดิฉันเชื่อว่าเกิดจากอานิสงส์ของการทำความดี และสวดมนต์ไหว้พระ ใส่บาตรเกือบทุกวัน ยิ่งให้ยิ่งได้

   ต่อมาดิฉันได้มีโอกาสเข้ามาปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน หลังจากที่กลับมาอยู่บ้านได้ประมาณเดือนเศษๆก็ประสบอุบัติเหตุ น้ำมันร้อนๆในกระทะที่ทอดปลาอยู่หกราดมือและแขนทั้ง ๒ข้าง อาการปวดแสบปวดร้อนนั้นสุดที่จะบรรยายได้ มันทรมานมาก ดิฉันปฐมพยาบาลตัวเองแล้วพันผ้าไว้เพราะร้อนและปวดมาก ดิฉันข้นไปห้องพระ อาราธนาพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ขอบารมีจากท่านขอให้แผ่เมตตาช่วยดิฉันด้วย สวดมนต์ก็ผิดๆถูกๆ เปิดหนังสือสวดมนต์ใหม่ สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ สวดคาถาชินบัญชร อาราธนาหลวงพ่อโต ช่วยอีก ก็ยังปวดและร้อนเหลือเกิน อธิฐานจิตขอคาถาดับพิษไฟจากหลวงพ่อและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในห้องพระ  เมื่อเปิดหนังสือคู่มือชาวพุทธของหลวงพ่อที่แจก ก็พบคาถาดับพิษไข้ แต่ดิฉันขอดับพิษไฟ คือบทที่ว่า “อมอัคคี คงคานัง ระงับดับหาย สวาหะ” ดิฉันก็ว่าไปเป่าไปเรื่อยๆ ประมาณ ๑ ชั่วโมงเศษ ดิฉันสบายขึ้น และคืนนั้นนอนหลับสนิท อาจจะเป็นเพราะกำลังใจส่วนหนึ่ง และความมีสมาธิมากขึ้น และมาหยุดคิดว่ากรรมนี้เราต้องใช้เขาแล้วนะ เพราะว่าสมัยสาวๆทำกับข้าวเสร็จเคยสาดน้ำร้อนถูกสุนัขใต้ถุนบ้านบ่อยๆ เขาก็คงเจ็บปวดแบบนี้เหมือนกัน เขาถูกน้ำร้อน เราถูกน้ำมัน ใช้ทั้งต้นทั้งดอกเลย ดิฉันคิดถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญว่า ท่านเองบวชเรียนมีบุญบารมีขนาดนี้ ท่านยังต้องใช้กรรมเลย ก็แล้วเราล่ะเป็นใครถึงจะหนีกรรมพ้น ก็เลยไม่ทุกข์ทรมานและกระวนกระวายเกินไป

   เมื่อรักษาแผลน้ำมันลวกแล้ว ประมาณเดือนเศษๆ ดิฉันก็ฝันเห็นหลวงพ่อจรัญ พอตื่นขึ้นก็มาคิดว่า ทำไมเราเห็นหลวงพ่อนะ ท่านมาเพื่อจะบอกอะไรหรือว่าให้เราดีใจที่ได้ชดใช้หนี้กรรมไปส่วนหนึ่งแล้ว เราน่าจะไปวัดอัมพวันอีก อย่างน้อยก็จะได้ไปปฏิบัติธรรมเพื่อแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรบ้าง ไม่รู้ว่าเราทำอะไรไว้ และเขาจะมาทวงเราเมื่อไรอีก จะช้าหรือเร็วไม่ทราบได้ ต้องไปสะสมบุญไว้ก่อน

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

96
กรรมฐานสร้างชีวิตใหม่ 1/2
สวลักษณ์ ฉายาบรรณ

        ดิฉันเป็นครู อายุ 49 ปี มีบุตรชาย 2 คน ดิฉันแต่งงานเมื่ออายุ 26 ปี ชีวิตคู่มีปัญหา ดิฉันจึงต้องพึ่งหมอดู ไม่ว่าหมอดูที่ไหนแม่น ฉันก็จะกระเสือกกระสนดั้นด้นไปดูให้ได้ ไม่ว่าจะใกล้หรือไกลถูกหรือแพงจะดูหมด เรียกว่าบ้าหมอดูเลยที่เดียว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ดิฉันดีขึ้นเลยมีแต่เสียเงินเสียเวลา ความทุกข์ที่เกิดจากสามีเจ้าชู้ก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย กลับยิ่งมีมากขึ้น

     ดิฉันมีลูกชายคนแรกปี พ.ศ. 2542 และลูกชายคนที่ 2 ปี 2529 ชีวิตของดิฉันก็ดำเนินมาเรื่อย ๆ มีสุขบ้างแต่มีความทุกข์มากกว่า บางครั้งเคยถามตัวเองเหมือนกันว่า คนเราเกิดมาเพื่ออะไร แต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้

     เมื่อลูกชายคนแรกมีอายุ 15 ปี ซึ่งเป็นวัยที่อยากรู้อยากลอง เขาก็เริ่มมีพฤติกรรมก้าวร้าวเป็นนักเลง ชกต่อยกับคนอื่นจนเลยเถิดไปติดยา ในช่วงนี้ดิฉันได้ประสบกับมรสุมชีวิตหนักที่สุด มากกว่าปัญหาเรื่องความเจ้าชู้ของสามี เราหย่าร้างกัน ดิฉันได้เลี้ยงลูกทั้งสอง ดิฉันต้องรับภาระแก้ปัญาแต่เพียงผู้เดียวด้วยความสมัครใจของดิฉันเอง ลูกชายเริ่มนำของในบ้านไปขาย อะไรแลกเป็นเงินได้เป็นเอาหมด เพื่อจะได้เสพยา ดิฉันก็พยายามซื้อของคืน ลูกไปเป็นหนี้สินที่ตรงไหนก็ตามใช้หนี้ให้ ปัญหาก็ไม่ได้จบสิ้นกลับทวีความรุนแรงมากขึ้น ดิฉันไม่ทราบจะพึ่งใครได้ เคยคิดจะยิงตัวตายเพื่อประชดลูก จนดิฉันไปได้หนังสือสวดมนต์ของหลวงพ่อมาจากเพื่อนครูคนหนึ่ง เขาไม่ได้อธิบายอะไร บอกเพียงว่าลองสวดมนต์ดูซิ

     ดิฉันก็เริ่มสวดมนต์ด้วยความศรัทธาเพราะหวังว่าช่วยลูกของดิฉันได้ ดิฉันเป็นคาธอลิก การสวดมนต์จึงยากสำหรับดิฉัน แต่ในยามที่ดิฉันมีทุกข์อย่างนี้ อะไรก็ได้ที่คิดว่าเป็นหนทางช่วยลูกดิฉันจะทำหมด ดิฉันสวดมนต์ของหลวงพ่อโดยไม่ทราบว่าต้องมีการแผ่เมตตาอย่างไรเวลาผ่านไปได้ 3 เดือนเต็ม ๆ ผลก็ยังไม่เห็น ดิฉันไปตักบาตรทุกวัน เหตุการณ์ก็ไม่ดีขึ้นมาเลย

     เมื่อดิฉันเริ่มไม่มีเงินที่จะให้ลูกชาย เขาก็หันจากเป็นผู้เสพมาเป็นผู้ส่งของเสียเอง จนในที่สุดก็ถูกตำรวจจับ ต้องไปเสียค่าปรับในชั้นศาล เป็นครั้งแรกที่ต้องเห็นลูกชายถูกใส่กุญแจมือ และนั่งท้ายรถกระบะตำรวจเพื่อไปศาล หัวใจของแม่แทบแตกสลาย น้ำตาไหล ในสมองคิดว่าจะช่วยลูกอย่างไร มันเป็นภาพที่ตรึงอยู่ในใจของดิฉัน เมื่อได้ไปเสียค่าปรับที่ศาลก็กลับมาบ้าน ดิฉันคิดว่าลุกคงจะเข็ดขยาด แต่ลูกกลับไปมั่วสุมหนักกว่าเก่า ดิฉันได้พยายามบอกเขาว่า ไม่มีเงินจะไปเสียค่าปรับอีกนะ เขาเข้าออกจากทัณฑสถาน 5 ครั้ง บางครั้งอยู่ 1 เดือนก็ไปเสียค่าปรับออกมา ในที่สุดเมื่อหมดเงินก็ต้องปล่อยให้อยู่เช่นนั้น แต่ในใจมีแต่ความเศร้าหมอง คิดหาทางช่วยเหลือลูก

     วันเวลาผ่านไป ชีวิตของดิฉันมีแต่ความทุกข์ ดิฉันเหมือนตกอยู่ในนรก ใจหดหู่ ตั้งแต่แต่งงานจนถึงระยะลูกติดยามานี้ เป็นระยะเวลาหาความสุขในชีวิตไม่ได้

     จนกระทั่งในเดือนธันวาคม 2545 ได้คำชักชวนจากเพื่อนรักคือ คุณดวงกมล ยิ่งวรากุล ว่าไปวัดเถอะชีวิตจะได้ดีขึ้น จึงตัดสินใจไปวัดอัมพวัน ตอนนั้นดิฉันคิดว่าพระที่วัดนี้คงดูหมดแม่น และมีญาณพิเศษช่วยปัดเป่าทุกข์สุขของชาวบ้านที่ไปหาได้ ดิฉันเคยบ้าหมอดู จึงยิ่งมีความมุ่งมั่นที่จะไปพบหลวงพ่อ

     เมื่อดิฉันไปกราบหลวงพ่อที่กฏิ หลวงพ่อพูดกับเพื่อนที่กราบเรียนหลวงพ่อเรื่องสามีไปติดผู้หญิงว่า “สามีที่ดีต้องอยู่กับเรา สามีไม่ดีก็ไม่อยู่กับเรา  ก็ปล่อยเขาไป คนไม่ดีจะเอามาทำไม ทำกรรมฐานซิ สามีคนดีก็จะกลับมา” และหลวงพ่อก็หันมามองดิฉันและพูดว่า  “ลูกที่ติดยาก็จะดี” ดิฉันแปลกใจมากว่าหลวงพ่อทราบได้อย่างไรว่าดิฉันมีปัญหาเรื่องลูก

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

97
กรรมฐานคือเทียนส่องนำทางให้พ้นทุกข์ 1/2
สุกัญญา  รัตนบูรณะ

  ดิฉันศรัทธาและปฏิบัติตมาแนวทางของพระพุทธศาสนามาตั้งแต่เด็ก   เนื่องจากคุณปู่คุณย่า  คุณตาคุณยายรวมถึงคุณพ่อคุณแม่ได้แนะนำและนำให้ปฏิบัติ   เริ่มจาการหัดใส่บาตร   เข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม   ตอนแรกก็เป็นการถูกบังคับแกมเต็มใจปฏิบัติบ้าง   ตามประสาเด็กๆที่ต้องทำเพื่อไม่ให้โดนดุ   นานเข้ากลับกลายซึมซับเข้าสู่จิตใจกลายเป็นพฤติกรรมที่ประพฤติปฏิบัติอย่างต่อเนื่องโยมิต้องมีใครมาคอยเคี่ยวเข็ญให้ทำ

   ดิฉันเริ่มปฏิบัติธรรมจริงจังมากขึ้นเมื่ออายุประมาณ ๑๕ ปี  โดยไปถือศีลและปฏิบัติธรรมที่วัด  และแต่ละครั้งก็ชอบที่จะบำเพ็ญบุญอยู่ที่โรงครัว  เพราะรู้สึกเป็นสุขอย่างมากที่จะทำให้ผู้มาถือศีลปฏิบัติธรรมได้เกิดความสะดวกสบายในการกินอยู่  เห็นชุดขาวก็จะเป็นสุขเหลือเกิน  ได้ยินเสียงสวดมนต์ก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้น  ดิฉันไม่เคยทิ้งการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเลย  บางช่วงตั้งใจว่าจะให้ตัวเองได้เห็นทุกข์อย่างชัดเจน   และถือเป็นการทดสอบฝึกความอดทนของกายและใจด้วย   ดังนั้นหากมีเวลาไม่ว่าเป็นการไปปฏิบัติธรรมตามวัดต่างจังหวัดที่ทุรกันดาร   ไปทอดกฐินหรือผ้าป่าตามจังหวัดต่างๆ   หรือแนวปฏิบัติใดที่เป็นแนวของพระพุทธองค์ดิฉันปฏิบัติหมด โดยไม่ได้ยึดติดแนวใดเลย แต่จะนำหลักของแต่ละแนวมาปฏิบัติและยึดถือเพื่อมุ่งควบคุพฤติกรรมของตัวเองให้อยู่ในกรอบธรรมให้มากที่สุดเท่านั้น

   ขณะนี้ดิฉันอายุ ๓๐ ปีแล้ว  ระหว่างอายุ ๑๕ ปีถึง  ๒๐ ปีที่ผ่านมานี้  มีมรสุมชีวิตมากมายเหลือเกินเข้ามาให้ขบคิดแก้ไขและหาทางออกให้กับตัวเอง  ครอบครัว  รวมถึงคนรอบข้างอยู่ตลอดเวลา   ทุกข์มีมากกว่าสุข   เพราะทุกๆวันเต็มไปด้าวคำว่าต้องอดทนเมื่อมองย้อนไปถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา   ก็อดภาคภูมิใจในความอดทนของตัวเองไม่ได้   ส่วนหนึ่งก็รู้สึกขอบใจตัวเองที่นำพาตนเข้าสู่การสร้างสมบุญอย่างจริงจัง  สร้างความอดทนให้กับกายและจิตอยู่ตลอดขณะปฏิบัติธรรม  จึงทำให้คำว่าอดทนนั้นมีประโยชน์เหลือเกินเมื่อประสบทุกข์

   ปัญหาที่เกิดขึ้นกับครอบครัวดิฉันส่วนใหญ่มาจากปัญหาเรื่องเงินและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์   ในการตัดสินใจของผู้เป็นพ่อและแม่ในการลงทุนเพื่ประกอบอาชีพ  ผลที่ได้รับก็คือกลายเป็นภาระหนี้ผูกพันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการเป็นหนี้ ๑ รายก็เพิ่มเป็น ๒ ราย ๓ ราย   และต่อๆไปมากขึ้นทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย   จิตใจเกิดความหวาดระแวงเมื่อถูกทววงเงิน   เกิดความทุกข์ใจเศร้าใจอย่างหนัก  ส่งผลให้สุขภาพย่ำแย่ลง  ครอบครัวขาดความอบอุ่น  มีแต่ความเครียดอยู่ตลอดเวลา  ทะเลาะกันเป็นระยะๆ บ้านมิต่างอะไรกับไฟเลย   และไหนจะปัญหาภาระการผ่อนชำระนาคารที่มีค่างวดสูงจนธนาคารกำลังจะยึดบ้าน    ผนวกกับภาระเรื่องการเรียนของน้องชายซึ่งอยู่ระหว่างหัวเลี้ยวหัวต่อ  เพราะกำลังจะจบปริญญาตรีซึ่งต้องใช้เงินเพิ่มในการทำวิทยานิพนธ์

   ช่วงเวลานี้พี่สาวและน้องชายต่างออกจากบ้านไปอาศัยอยู่กับเพื่อนเพื่อไปให้พ้นจากปัญหา เหลือดิฉันคนเดียวที่ต้องรับรู้และแก้ไขปัญหาทุกเรื่อง  นอกจากนั้นดิฉันยังถูกหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานไม่เข้าใจ  พยายามที่จะสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นตลอดเวลา  โดยกดดันดิฉันทุกเรื่องที่จะทำได้  ไหนจะปัญหาสุขภาพอีกที่ป่วยโดยไม่มีสาเหตุอยู่หลายครั้ง   ซึ่งอาจเกิดจากความเครียดที่ดิฉันประสบอยู่ก็เป็นได้ ทุกปัญหาวิ่งเข้ามาในเวลาเดียวกันหมดเลย ทำให้สงสัยว่าคนทำดีต้องประสบอะไรเช่นนี้ด้วย ยิ่งคิดก็ยิ่งท้อทั้งทางโลกและทางธรรม

   ดิฉันต้องทำงาน ๗ วัน  ไม่มีวันหยุดเลย  เพื่อหาเงินมาผ่อนหนี้สินให้พ่อและแม่  ส่งธนาคารและส่งน้องเรียน  จนกระทั่งมันทุกข์ที่สุด  นั่นคือหาทางออกไม่ได้แล้ว    แก้ปัญหาไม่ได้แล้ว    ปลงตกแล้ว  คิดอยู่ในใจว่าบ้านจะถูกยึดก็ให้ยึดไปพ่อแม่จะถูกเจ้าหนี้แจ้งตำรวจจับหรือน้องจะเรียนไม่จบหรือตนเองจะถูกให้ออกจากงาน  ก็ต้องปล่อยไป  จะป่วยจนตายไปเลยก็ต้องปล่อยตามนั้น เมื่อคิดได้เช่นนั้นทำให้ดิฉันกลายเป็นคนนิ่งสงบ  ความเงียบเข้ามมาแทนที่ความสบสันและน้ำตา  จนงงกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อจิตนิ่งอยู่ได้สักพักก็ทำให้ดิฉันได้ข้อคิดขึ้นมาอย่างหนึ่งว่าเมื่อทุกข์จนถึงที่สุดจนชินกับความทุกข์นั้นแล้ว     จิตก็สงบนิ่งไปเองอาจเป็นเพราะทุกข์จนเกิดการปล่อยวางไปโดยไม่ตั้งใจกระมัง  จึงจารณาได้ว่าการปล่อยวางนี่เองที่นำมาซึ่งความสงบของจิต ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าในช่วงที่ทุกข์หนักนั้นกลับทำให้ดิฉันสุขใจมากกว่าทุกข์ใจ  เมื่อเทียบกับทุกข์ครั้งที่ผ่านมาทำให้เกิดกำลังใจที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับปัญหาใหญ่อีกครั้งค่อยๆแก้ไขปัญหาไปเรื่อยๆเท่าที่จะทำได้

   ประมาณปลายปี ๒๕๔๔ ดิฉันมีโอกาสได้ไปถือบวชที่วัดอัมพวันตามคำชักชวนของเพื่อน ซึ่งได้อ่านประวัติของหลวงพ่อและวัดอัมพวันทางอินเตอร์เน็ท  แล้วเกิดความศรัทธาอยากไปกราบหลวงพ่อและอยากได้ถือบวช เมื่อได้ไปถึงวัดดิฉันได้มีโอกาสได้พบหลวงพ่อจรัญ  ได้ฟังธรรมจากท่าน  ซึ่งได้ข้อคืดทางธรรมเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างมากทีเดียว  ดิฉันได้ถือบวชอยู่ที่นั่น ๓ วัน  รู้สึกศรัทธาหลวงพ่อและแนวปฏิบัติกรรมฐานอย่างมาก  หลังจากเสร็จสิ้นการบวชดิฉันได้นำแนวกรรมฐานมาปฏิบัติต่อที่บ้านอย่างต่อเนื่องมากบ้างน้อยบ้างตามความสามารถของสภาพกายและใจในขณะนั้น   ด้วยคิดว่าเราย่อมช่วยเหลือตัวเราเองก่อนไม่ว่าจะทางธรรมหรือทางโลก   หลายครั้งรู้สึกท้อต่อการปฏิบัติแต่ก็ไม่เคยคิดที่จะหยุดปฏิบัติ  ไม่ว่าจะเหนื่อยงานหรือท้อแท้กับปัญหาขนาดไหนก็จะปฏิบัติกรรมฐานอย่างต่อเนื่องทุกวัน ทำให้ดิฉันเริ่มมีสติมากขึ้นในการใช้ชีวิตประจำวัน มีทางออกในการแก้ไขปัญหาให้กับตัวเองมากขึ้น  เมื่อเกิดปัญหาขึ้นจะรู้จักเรียงลำดับปัญหาที่สำคัญมากไปจนถึงสำคัญน้อยจาก  นั้นก็จะนำเอาทุกปัญหามาคิดหาทางออก  ซึ่งบางปัญหาจะมีทางออกให้เลือกมากกว่า ๑ ทาง เมื่อได้ทางออกแล้วก็จะใจเย็นมากข้นในการแก้ไขโดยไม่คาดหวังมากนัก  นั่นคือหากแก้ไขได้ก็ดีไป  หากแก้ไขไม่ได้ก็จะไม่ฟูมฟาย  จะค่อยๆหาทางออกไปเรื่อยๆจนกว่าจะแก้ไขได้

   ทุกวันนี้ดิฉันไม่ละทิ้งการปฏิบัติกรรมฐานเลย  ในช่วงนี้จะเน้นที่การปฏิบัติในชีวิตประจำวันควบคู่ไปด้วย  นั่นคือการนำสติเข้ามาควบคุม กาย วาจา ใจ คือตามดูตามรู้เพื่อให้จิตละเอียดมากขึ้น  และเพื่อไม่ให้เกิดการสร้างอกุศลกรรมขึ้นอีก รู้สึกใจเย็นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด   ปล่อยวางสุขและทุกข์ได้มากขึ้น  รู้จักบริจาคทานมากขึ้น  มีความรักความเมตตาให้กับคนรอบข้าง  รู้จักให้อภัยมากขึ้น  และทำให้รู้จักมีความเกรงใจทุกคนมากขึ้น

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

98
กรรมฐานคือกิจวัตรประจำวัน1/3
ธนรัตน์ เลปนานนท์

  ข้าพเจ้าอายุ ๓๑ ปี กำลังศึกษาต่อระดับปริญาโท ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักวัดอัมพวัน และ พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญมาก่อน แต่เป็นคนที่สวดมนต์ไหว้พระอยู่แล้ว แม้จะไม่สม่ำเสมอเท่าใด อยากจะฝึกนั่งสมาธิมานานแล้วแต่ไม่มีโอกาศ จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนแปลงในชีวิต

  ระหว่างอายุ ๒๕ – ๒๗ ปี ข้าพเจ้าปฏิบัติงานในตำแหน่งนักกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา กรุงเทพฯ มีผู้ป่วยมาขอบคุณที่ได้ช่วยทำกายภาพบำบัดเขาจนดีขึ้น และไดมอบหนังสือเล่มหนึ่งให้ข้าพเจ้า ที่หน้าปกมีรู)พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ ข้าพเจ้ารับหนังสือนั้นมาแล้วไม่ได้สนใจจะหยิบอ่าน

  หลังจากนั้นไม่นาน ข้าพเจ้าได้รู้จักและคบหากับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งภาพหลังทราบว่าเขาเป็นคนมีครอบครัวแล้ว ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจมาก จนมีผลต่ออารมณ์และจิตใจ รวมทั้งสมาธิในการปฏิบัติงานเป็นนักกายภาพบำบัดด้วย ไม่ทราบว่าจะจัดการกับจิตใจอย่างไรให้ดีขึ้น ก็ได้แต่อาศัยการสวดมนต์ไหว้พระเป็นที่พึ่งทางใจ มีผู้แนะนำให้สวดมนต์บทพาหุงฯด้วยจะได้พ้นจากเรื่องทุกข์ใจ พยายามสวดมนต์มาสักระยะหนึ่ง รู้สึกว่าจิตใจสงบขึ้น ปัญหาก็เริ่มคลี่คลายไป แต่จิตใจยังไม่ได้รับการแก้ไขเท่าใดนัก

  ปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้าพเจ้าสอบเข้าศึกษาต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยมหิดลได้ จึงหันมาใส่ใจกับการศึษา ทำให้จิตใจดีขึ้นบ้าง แต่ถ้าหากอยู่คนเดียวก็มักจะคิดย้อนไปถึงเรื่องอดีตที่ผ่านมาอีก ทำให้ยังคงเสียใจอยู่ และคิดว่าทำไมต้องมาพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ด้วย ข้าพเจ้ากลายเป็นคนหงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน วู่วาม คิดจะทำอะไรอยากจะทำสิ่งใด ต้องให้ได้เดี๋ยวนั้น บางครั้งทำไปเลยโดยไม่คิดไตร่ตรองให้รอบคอบ ทำให้เกิดความเสียหายต่อตัวเองมาก เวลามีเรื่องราวอะไรมากระทบจะวิตกกังวลเศร้าโศกอยู่นานหลาย ๆ วัน

  ต่อมาประมาณปี ๒๕๔๕ – ๒๕๔๖ ข้าพเจ้าประสบปัญหาการคบกับเพื่อนชายอีกคนหนึ่ง ความที่จิตใจของตนเองยังไม่ได้รับการแก้ไข ยังเป็นคนหงุดหงิดง่าย เอาแต่ใจตัวเอง มีอะไรเกิดขึ้นนิดหน่อยก็โวยวายเป็นเรื่องใหญ่โต ทำให้มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยมาก คุณแม่เตือนก็ไม่ค่อยเชื่อฟัง จะเดื้อเงียบ ช่วงนั้นข้าพเจ้าไม่สบายใจมากร้อนรนกระวนกระวาย ไม่มีสมาธิในการเรียน ร้องไห้เสียใจบ่อย ๆ และนึกถึงคุณพ่อที่เสียชีวิตไปหลายปีแล้วเป็นอันมาก จึงต้องการที่จะบวชปฏิบัติธรรมอุทิศบุญกุศลให้ท่าน และเพื่อจิตใจของตัวเองสงบด้วย

   เพื่อนพาข้าพเจ้าไปบวชเนกขัมมะปฏิบัติ ถือศิล ๘ นุ่งขาวห่มขาว ที่วัดแห่หนึ่งเป็นเวลา ๓ วัน ตอนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนเองเพียงแต่เปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดปกติมาใส่ชุดขาวเท่านั้น ไม่ได้ความสงบของจิตใจเท่าใด พอกลับบ้านไปอารมณ์และจิตใจก็ยังไม่ได้รับการเยียวยาแก้ไข จนกระทั่งประมาณเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๖ คุณศุภรัตน์ ปรศุพัฒนา เพื่อนรุ่นพี่ืที่ศึกษาต่อระดับปริญญาเอกอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดล คณะเดียวกันกับข้าพเจ้า ได้ชักชวนให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันเป็นเวลา ๓ วัน (ศุกร์ – เสาร์ - อาทิตย์) ข้าพเจ้าได้วิธีการปฏิบัติกรรมฐาน การเดินจงกรม และการนั่งสมาธิที่ถูกต้อง ทำให้ข้าพเจ้าสามารถกำราบจิตใจของตนเองที่สับสนวุ่นวายไม่สงบสุขและเศร้าหมองลงได้มาก

  แม้ได้อยู่ปฏิบัติเพียงแค่ ๓ วัน แต่ข้าพเจ้าถือว่าได้พบสิ่งมีค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ในขณะปฏิบัติกรรมฐานนั้น ต้องประสบกับทุกขเวทนาตลอดทั้ง ๓ วัน เช่น เวลาเดินจงกรมก็มีอาการปวดหัวไหล่ เวลานั่งสมาธิก็ปวดขามาก มิหนำซ้ำยังมีความฟุ้งซ่านด้วย แต่ข้าพเจ้ากับรู้สึกว่าทุกขเวทนาและความฟุ้งซ่านที่เกิดขึ้นนั้น เป็นอาจารย์ที่มาสอนข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจสภาวะจิตใจของตนเองมากขึ้นว่า จิตที่มีความทุกข์และความร้อนกระวนกระวายนั้นเพราะเราคิดเราปรุงแต่และยึดมั่นถือมั่น ต่อเมื่อเราหยุดคิดหยุดปรุงแต่ปล่อยวาง จิตนั่นจะสงบนิ่ง และไม่หวั่นไหวต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบจิตใจ ทั้งนี้จะต้องมีสมาธิมาคอยควบคุมจิตของเราด้วย

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

99
อานิสงส์การเลี้ยงดูมารดาบิดา

พระธรรมสิงหบุราจารย์

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร ปุพฺพาจริยาติ อุจฺจเร
อาหุเนยฺยา จ ปุตฺตานํ ปชาย อนุกมฺปกาติ.

บัดนี้จักแสดงพระธรรมเทศนา พรรณนาอานิสง์ที่บุตรธิดาจะพึงได้จากการเลี้ยงมารดาบิดา เพื่อเตือนใจท่านผู้ฟัง ให้เกิดสำนึกในเรื่องนี้สืบต่อไป
คำว่า มารดา
แปลว่า ผู้นับถือบุตร คือ นับถือว่าเป็นลูกของตน
แปลว่า ผู้รักษาบุตร คือ รักษาลูกของตนให้มีความสุขกายสุขใจ
แปลว่า ผู้ยังลูกให้ดื่ม คือ ดื่มน้ำนม ดื่มเครื่องดื่มและดื่มรสอื่น ๆ
แปลว่า ผุ้อันบุตรพึงนับถือ คือลูกๆ ทุกคนต้องนับถือมารดาของตนยิ่งกว่าคนอื่น

คำว่า บิดา
แปลว่า เป็นที่ตั้งแห่งความยินดีของสัตว์โลกทั้งหมด หมายความว่า สัตว์โลก
คือผู้เกิดมา ทุก ๆ คนต้องมีพ่อ เมื่อเห็นพ่อก็ต้องดีใจชื่นใจด้วยกันทั้งนั้น
แปลว่า ผู้รักษาสัตว์โลกทั้งปวง หมายความว่า พ่อของลูกทุก ๆ คน ต้องรักษา
คุ้มครองป้องกันลูกของตนทุกวิถีทาง เพื่อให้ปลอดภัยมีความสุขทุกประการ
แปลว่า ผู้รักใคร่บุตร หมายความว่า พ่อทุกคนต้องรักใคร่นับถือ เอ็นดู สงสารลูกของตน

มารดาบิดามีพระคุณแก่บุตรธิดามาก ดังพุทธภาษิตที่ยกขึ้นเป็นหัวข้อเทศนาว่า พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร เป็นต้น
แปลว่า มารดาบิดาท่านว่าเป็นพรหม เป็นบุรพาจารย์ เป็นผู้ควรบูชาของบุตร


อานิสงส์การเลี้ยงดูมารดาบิดา 2

และเป็นผู้อนุเคราะห์หมู่สัตว์ฯ ซึ่งจะได้วิสัชนาต่อไป
คำว่า มารดาบิดาเป็นพรหมของบุตร หมายความว่า มารดา บิดาย่อมประกอบด้วยพรหมวิหารธรรมหรือธรรม ๔ ประการคือ เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา ในบุตร คือ ท่านปรารถนาให้บุตรธิดามีความสุข จึงอุตส่าห์ทะนุถนอมเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ตั้งใจคอยสอดส่องหาอุบายที่จะให้บุตรธิดา
ประสบสุขทุกเมื่อ เมื่อได้ทราบว่ากิจการใดจักเป็นไปเพื่อประโยชน์และสุขแก่ บุตรธิดา แม้จะต้องพร่าประโยชน์และสุขส่วนตนก็ยอม มุ่งความสุขสำราญแก่บุตรธิดาเป็นเบื้องหน้านี้คือท่านมีความเมตตาความรัก ท่านปรารถนาให้บุตรธิดาพ้นทุกข์ คอยสอดส่องถึงเหตุการณ์อันเป็น ที่ตั้งแห่งความเสื่อมเสีย อันจะพึงมีแก่บุตรธิดาเสมอ เมื่อทราบว่ามีทุกข์ขึ้นก็รีบ ขวนขวายแก้ไขป้องกันจนสุดความสามารถ นี้คือท่านมีกรุณาความสงสาร เมื่อท่านได้ทราบว่าบุตรธิดาของตนมีความสุขสำราญได้รับผลสำเร็จจากการงาน ได้ตำแหน่งหน้าที่ ท่านไม่อิจฉาริษยา มีแต่พลอยยินดีด้วยความจริงใจ ต้องการให้บุตรธิดาเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป นี้ท่านมีมุฑิตาความยินดีตาม เมื่อได้ทราบว่าบุตรธิดามีความสุขความเจริญตามสมควรแก่ฐานะแล้ว ก็ไม่จัดการแก้ไข หรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญใจแก่บุตร ธิดา แต่คอยเพ่งดูอยู่ว่าจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างใด ถ้าเปลี่ยนแปลงไปในทางไม่ดีจะได้ป้องกันและแก้ไข หาใช่วางเฉยโดยมิได้ทำอะไรก็หาไม่ นี้ท่านมี อุเบกขาคือความวางเฉย บิดามารดามีคุณธรรมคือ เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา ทั้ง ๔ นี้ประจำใจ จึงเรียกว่าท่านเป็นพรหมของบุตร คำว่า เป็นบุรพาจารย์ หมายความว่า ท่านเป็นอาจารย์คนแรกของบุตรก่อนอาจารย์อื่นทุกคน ท่านสอนให้นั่ง ให้เดิน ให้กิน ให้เรียก

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

100
วิปัสสนากรรมฐานแก้กรรม 1/4

พระธรรมสิงหบุราจารย์
________________________________________
   
      วันนี้จะเล่าเรื่องให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องการปฏิบัติเจริญวิปัสสนาแล้วสามารถแก้กรรมได้

   กล่าวถึงนายไกร  พัฒนทายาท  บ้านเดิมอยู่จังหวัดแพร่  เป็นลูกของมัคนายกวัด  สำเร็จการศึกษาแค่มัธยม ๖  ก็มาเข้างานที่สำนักงานไร่ยาสูบที่จังหวัดเพชรบูรณ์

   นายไกรเข้ามาทำงานโดยผู้จัดการคนก่อนรับไว้และช่วยเหลืออุปการะ ตั้งแต่เป็นเสมียนจนเลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าพัสดุ  ต่อมาเกิดมีการก่อสร้างโรงเรือนต่างๆ เพิ่มขึ้น         ผู้จัดการคนใหม่กับรองผู้จัดการไม่ถูกกันอย่างมากเลยทีเดียว

   นายไกรก็ทำบัญชีตะพึด  โกงหรือไม่โกงเขาไม่รู้         ผู้สอบบัญชีมาตรวจพบว่าผู้จัดการทุจริตในหน้าที่การก่อสร้าง เอาสิ่งของวัตถุก่อสร้างไปใช้ผิดประเภท

   ทางการก็สั่งพักงานผู้จัดการทันที  ข้างนายไกรก็กลุ้มอกกลุ้มใจเหลือเกิน  “เอ เราเป็นพยานจะต้องให้การ  อย่างไร ถ้าให้การไปตามจริง  เจ้านายจะติดคุก เราจะต้องติดร่างแหด้วย แต่ท่านก็เป็นเจ้านายเรานี่ แหม! พะอืดพะอมเหลือเกิน เราอุตส่าห์ตั้งใจทำงาน ตั้งแต่เป็นเสมียนจนเลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าพัสดุ เงินเดือนสูงขึ้น และลูกยังเล็กๆ ๓ คน  จะออกใหม่อีกคนเป็น ๔ คน ถ้าจะให้การตามจริงก็จะเป็นการแฉความผิดของผู้จัดการผู้มีพระคุณและเป็นเจ้านาย  ถ้าเราจะให้การโดยเล่ห์เพทุบายก็เป็นการโกงรัฐบาล” นายไกร    กลุ้มอกกลุ้มใจมาก

   ในที่สุดนายไกรก็ตัดสินใจตาย  บอกกับภรรยาและลูกเล็กๆ ว่าจะเข้ากรุงเทพฯนะ ก็เตรียมหีบเสื้อผ้า เตรียมยาไปเสร็จ ขึ้นรถยนต์ไปลงตะพานหิน ซื้อตั๋วรถไฟไปลงกรุงเทพฯ  แต่คงเป็นบุญวาสนาของเขา ก็เกิดร้อนอกร้อนใจลงเสียที่สถานีลพบุรี  ไม่ไปกรุงเทพฯ  แต่ได้บอกกับภรรยาไว้ว่าจะไปธุระราชการที่กรุงเทพฯ  ติดต่องานนิดหน่อยเท่านั้น  ด้วยความกลุ้มใจว่าตัวจะต้องโดนติดคุกด้วย  เสียอกเสียใจข้าวปลาไม่รับประทาน  มาลงที่สถานีลพบุรีเสร็จแล้วก็แบกหีบเทิ่งๆ ไป

   ตอนนั้นไฟฟ้าภูมิภาคไม่มีนะ  มีโรงไฟฟ้าเทศบาลอยู่ที่สวนสัตว์โน่น  ไปทางวัดไก่มีโรงไฟฟ้าของเทศบาล  สมัยเก่าไฟฟ้ายังไม่เข้า  เขาก็มีวิกอยู่ ๒ วิก  วิกนารายณ์กับวิกท่าขุนนาง  วิกท่าขุนนางเป็นวิกลิเก  วิกนารายณ์เป็นวิกหนัง  และนายไกรก็ไปพักโรงแรมทหารบก  ไฟฟ้าก็หรี่ตอนหัวค่ำ  แล้วก็นั่งเขียนหนังสือว่าจะกินยาตาย และก็ขอตายที่โรงแรมนี้  เขียนหนังสือว่าเขาเป็นใคร ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน  ทำไมต้องมากินยาตายที่นี่ด้วย ขอให้ทางโรงแรมได้รับทราบในเรื่องนี้ของเขาในค่ำคืนวันนั้น  แต่เขาก็ยังมีบุญอยู่  พอจะเอายาขึ้นมาจะดื่ม  ไฟฟ้าซึ่งริบหรี่อยู่เกิดสว่างพรึบขึ้นมาทันที  สว่างโล่งเลย ตกใจ! ยาหกไปหน่อยหนึ่งแล้วก็วางตั้งสติ  เขาเล่าให้ฟังอย่างนี้  ตั้งสติอารมณ์ใหม่ เอ! เมื่อตะกี้ไฟมันหรี่  มัน ๖ ทุ่มกว่า จะตี ๑ แล้ว หนังเลิกคนก็ใช้ไฟฟ้าน้อยลง  ไฟก็สว่างพรึบขึ้น

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

101
กฎแห่งกรรม / พระญวนแก้กรรม
« เมื่อ: 31 ก.ค. 2554, 11:10:59 »
พระญวนแก้กรรม 1/4

พระธรรมสิงหบุราจารย์
________________________________________
   
     วิปัสสนากรรมฐานแก้กรรมได้อย่างไร  กรรมเก่าต้องใช้หนี้ทั้งนั้น  แต่เรื่องใหม่นี่เราคงไม่ได้ทำกันอีก คนที่สร้างกรรมไว้แล้ว เมื่อสำนึกได้  ยอมรับผิด  ก็ต้องยอมรับชดใช้กรรม  ไม่ใช่บุญบาปล้างกันได้นะ  เราทำบุญไปแล้วล้างบาปที่ทำไว้คงไม่ได้ เป็นกฎตายตัว บุญไปตามบุญ  บาปไปตามบาป น้ำกับน้ำมันเข้ากันไม่ได้  ต้องแก้อย่างไร อาตมาจะเล่าให้โยมฟัง  เรื่องของพระญวนมาแก้กรรมที่วัดอัมพวัน โดยที่ไม่รู้จักอาตมามาก่อนเลย  เขาคงมีปุพเพกตปุญญตา เมื่อชาติก่อนคงจะมาแก้กรรมกันที่วัด  เพราะวัดอัมพวันนี้เก่าแก่

     เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อประมาณ ๓๐ กว่าปีมาแล้ว  ยุวพุทธิก - สมาคมฯ  จัดการฝึกอบรมพัฒนาจิต  โดยให้ชวนเชิญนักศึกษามาเข้าค่ายกันที่วัดอัมพวัน คุณสมพร  เทพสิทธา เป็นประธาน  อาจารย์วิศาล  อดีตผู้อำนวยการวิทยาลัยครูมหาสารคาม  ปลดเกษียณแล้วก็มาช่วยยุวพุทธฯ จัดงานอบรมพัฒนาจิต

     ที่วัดอัมพวันนี้  ตอนนั้นยังไม่มีหอประชุม  ก็ใช้ผ้าใบขึง  ศาลาก็ยังไม่เรียบร้อย  ห้องน้ำห้องส้วมก็ยังมีน้อย ไม่เหมือนปัจจุบันนี้  ให้นักศึกษาอยู่กลด  ยุวพุทธฯ ซื้อให้คนละอัน  เดี๋ยวนี้ยังฝากไว้ที่นี่

     นายบัวเฮียว  เป็นชาวญวน  อยู่ทางสกลนคร  รับจ้างฆ่าวัว  ฆ่าควาย  เงินเดือนก็ไม่พอเลี้ยงชีพ  ก็ไปอยู่กับเถ้าแก่คนจีน  รับจ้างฆ่าหมูต่อไป  ฆ่าวันละ ๔ ตัว ๕ ตัว  เขาเล่าให้อาตมาฟังว่าทางภาคอีสานถ้ามีงานเลี้ยงก็ต้องฆ่าวัว

    เริ่มหมดกรรม...วันหนึ่งเขาจะหมดเวรหมดกรรมของเขา  เขาก็เดินกลับไปที่พัก  ก็ไปเจอพระธุดงค์องค์หนึ่งปักกลดอยู่  เขาไม่เคยมีศรัทธากับพระ  แต่วันนั้นเห็นพระธุดงค์เกิดนึกเลื่อมใสอยากจะไปไหว้  เมื่อไปถึงแล้วก็กราบพระธุดงค์  ตักน้ำถวายท่าน  พระธุดงค์องค์นั้นก็ถามว่า  คุณชื่ออะไร  มีอาชีพการงานอะไร  บัวเฮียวก็เล่าถวายทุกประการ  พระท่านคงสงสารว่ามีอาชีพฆ่าวัวฆ่าควายฆ่าหมู ท่านก็แสดงธรรมให้ฟัง  ชี้ให้เห็นผิดถูก  ชี้บุญบาป  บัวเฮียวก็ซึ้งในธรรมะ  พระท่านก็แนะนำบอกว่าไปหาอาชีพอย่างอื่นเถิด  เป็นบาปเป็นกรรมเหลือเกิน ถ้าเชื่อก็ควรปฏิบัติตาม  บัวเฮียวเล่าว่า  นึกเลื่อมใสพระธุดงค์องค์นี้มาก  ไม่เคยไหว้พระ  ไม่เคยเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา  อาตมาก็ไม่ได้ถามว่า ท่านนับถือศาสนาอะไร กลับไปบ้านนอนไม่หลับ  คืนนั้นฆ่าหมูไม่ลงต้องแข็งใจฆ่าไปสักคืนหนึ่ง  รุ่งเช้าขอลาออก ไปบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา

     บวชแล้วก็ไปเดินธุดงค์ ๑๐ กว่าปี ศึกษาวิปัสสนา เจริญอานาปานสติ  พุท หายใจเข้า   โธ หายใจออก  ทำมาโดยมีสมาธิคร่าวๆ  ดิ่งเข้าไปโดยเอกัคคตารมณ์  เวลานั่งแล้วจะเห็นแต่หมูเห็นแต่วัวแต่ควายที่เคยฆ่า  ทำให้จิตใจเศร้าหมองตลอดเวลา ไม่สามารถจะแก้ได้เลย  ท่านก็เดินธุดงค์ไปเรื่อย  จากภาคอีสานไปกระทั่งเชียงใหม่  ถ้ำเชียงดาวท่านก็ไป  เจออาจารย์องค์โน้นองค์นี้มากมาย

ที่มา
http://www.fungdham.com/rule-of-fate.html

102
ธรรมะ / ...กายคตานุสติ...2
« เมื่อ: 27 ก.ค. 2554, 08:27:53 »
ภาค 1 เป็นเรื่องที่ท่านพระอาจารย์ฯได้ได้บันทึกไว้นานแล้ว
ดังข้อความข้างล่างนี้
เนื่องจากเป็นเรื่องที่น่าสนใจศึกษาปฏิบัติแล้ขยายความ จึงได้นำบทความอื่นๆมาให้อ่านกัน

"ยสฺสกสฺสจิ กายคตาสติ อภาวิตา อพหุลีกตา
ลภติ ตสฺส มาโร โอตารํ ลภติ ตสฺส มาโร อารมฺมณํ"

   ภิกษุไม่เจริญกายคตาสติอยู่ประจำแล้ว
ย่อมตกเป็นทาสของมาร มารอยู่เหนืออารมณ์
              ...กายคตาสติสูตร ๑๕/๑๘๖...

ทบทวนในสติปัฏฐาน ๔...
เริ่มจากฐานกายในแต่ละบรรพ
โดยเจริญกายคตาสติควบคู่กันไปในบางอารมณ์
เริ่มจากกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก รู้ลมสั้น รู้ลมยาว รู้ลมหายใจปกติ
เจิญอยู่ในอานาปานบรรพจนจิตพบความสงบระงับแห่งลมหายใจ
จดจำทางเดินของจิตในแต่ละขั้นของอารมณ์ธรรมกรรมฐาน
เวลาเราเปลี่ยนอิริยาบทของกายก็ให้มีสติกำหนดรู้อยู่ตลอด
เป็นการเจริญสติพิจารณาอยู่ในอิริยาบทบรรพทุกขณะ
มีสัมปชัญญะรู้ตัวในการเคลื่อนไหวจิตอยู่ในสัมปชัญญะบรรพ
จิตพิจารณากายให้เห็นถึงความน่าเกลียดของร่างกาย
จนเกิดความจางคลายเบื่อหน่ายในตัวตนเป็นการเจริญสติในปฏิกูลปนสิการ
แยกกายของเราให้เห็นเป็นอาการสามสิบสอง ซึ่งประกอบมาจากธาตุทั้ง ๔
คืนร่างกายของเรานี้สู่ธรรมชาติเห็นกายเป็นเพียงธาตุที่จิตมาอาศัย
ไม่นานก็ต้องทิ้งไปตามกาลเวลาพิจารณาอยู่ในธาตุบรรพ
เมื่อจิตออกจากกายด้วยความสลายเสื่อมไปของธาตุที่รวมกัน
กายนั้นย่อมมีความเสื่อมสลายกลายเป็นซากศพมีลักษณะต่างๆ
๙อย่างของการเสื่อมสลายจนเกิดความจางคลายในกายนี้
จิตพิจารณาในนวสีถิกาบรรพลักษณะของกายที่เป็นซากศพ
จิตก็พบกับความเป็นจริงของกายนี้ที่จิตเข้ามาอยู่อาศัย
เกิดความรู้ความเข้าใจ จิตจางคลายจากการยึดถือในตัวตน
ฝึกฝนพิจารณาในฐานกายให้มีความช่ำชองในทุกบรรพของฐานกาย
เมื่อพื้นฐานหนักแน่นมั่นคงแล้วความเสื่อมในธรรมทั้งหลายย่อมไม่เกิดขึ้น
มีแต่ความเพิ่มพูนงอกงามเจริญในธรรมเพราะมีพื้นฐานที่ดีและถูกต้องมั่นคง
การปฏิบัติธรรมทั้งหลายต้องเริ่มจากพื้นฐานซึ่งคือกายของเรานี้เอง....
 :059:แด่กายคตานุสติกรรมฐานที่เป็นพื้นฐานแห่งสติปัฏฐาน ๔ :059:
                  เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ด้วยไมตรีจิต
                            รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๒๗ กันยายน ๒๕๕๒ เวลา ๑๒.๑๘ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายแดนประเทศไทย
ที่มา
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=12608.0

103
ธรรมะ / สีลานุสติ
« เมื่อ: 26 ก.ค. 2554, 08:19:21 »
สีลานุสติ 1/9


              มาว่าเรื่องกรรมฐานของเราต่อ จริงๆ แล้วการปฏิบัติกรรมฐานนั้น เราต้องเป็นคนจริงจัง สม่ำเสมอ และต้องมีปัญญาประกอบด้วย การที่เราจริงจังสม่ำเสมอ ผลของการปฏิบัติถึงจะมี
              เพราะว่าการที่เรามาปฏิบัติกรรมฐานกัน เป็นการฝืนกระแสโลก เหมือนกับการว่ายทวนน้ำ ถ้าหากว่าเราไม่พยายามว่ายเข้าไว้ ให้ตลอดเวลาอย่างสม่ำเสมอ มันก็จะลอยตามกระแสไป
              การปล่อยให้ลอยตามกระแสไปนั้น ถ้าเรากำลังยังดีอยู่ ถึงเวลาตะเกียกตะกาย ว่ายขึ้นมาใหม่ มันยังมีกำลังที่จะว่าย แต่ระยะทางอาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้น เพราะว่าเราปล่อยลอยไป สมมติว่าหนึ่งวัน แล้วเราก็ตั้งหน้าตั้งตาว่ายกลับมา
              พยายามที่จะทำ พยายามที่จะว่าย เป็นเวลาหนึ่งวัน ระยะห่างอาจจะได้เท่าเดิม แล้วเราปล่อยลอยไปอีก ว่ายใหม่ก็จะได้แค่เดิม หรือถ้าหากว่ามันล้าเสียแล้ว เราเองก็อาจจะได้ระยะทางไม่เท่าเดิม หรือน้อยกว่าเดิม
              ถ้าปล่อยให้มันลอยไปอีก คราวนี้ระยะทางมันก็จะยิ่งไกลมากขึ้น กลายเป็นว่าเราเป็นคนขยัน ทำงานทุกวัน แต่ผลงานไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว พอทำไป ทำไป หลายท่านก็หมดกำลังใจ ท้อ และก็เลิกทำไปโดยปริยาย

             บรรดากรรมฐานต่าง ๆ นั้น ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ มีถึง ๔๑ แบบ คือสมถกรรมฐาน ๔๐ กอง แล้วก็มีมหาสติปัฏฐาน ๔ อีกแบบหนึ่ง เพื่อให้มีกรรมฐาน ที่เหมาะกับจริต นิสัยของแต่ละคน ซึ่งมันแตกต่างกันไป

              จริต คือ ความเป็นไปของจิต มี ๖ อย่าง ด้วยกัน คือ


              พุทธิจริต ประกอบไปด้วยความฉลาดเป็นปกติ
              ศรัทธาจริต ประกอบไปด้วยน้อมใจเชื่อเป็นปกติ
              โทสะจริต เป็นคนมักโกรธเป็นปกติ
              วิตกจริต เป็นคนที่คิดไม่ได้ตรองไม่ตก ละล้าละลังเป็นปกติ
              โมหะจริต เป็นบุคคลที่มีกำลังใจมืดมนเป็นปกติ
              ราคะจริต เป็นบุคคลที่มีความรักสวยรักงามเป็นปกติ

             ในแต่ละจริตนั้น มันล้วนแล้วแต่มีอยู่ในใจของเรา ครบถ้วนสมบูรณ์ทั้ง ๖ ประการ เพียงแต่ว่า อย่างใดอย่างหนึ่งที่มันจะเด่นขึ้นมา อันนี้ต้องสังเกตเอง เราเป็นคนฉลาด ฟังอะไรครั้งเดียวจำได้ สามารถที่จะทำอะไรได้คล่องตัว มีความเข้าใจแตกฉาน ในสิ่งต่าง ๆ หรือไม่ ?

ที่มา
http://www.grathonbook.net/book/grammathan40/05.html

104
มรณานุสติกรรมฐาน

         มรณานุสสติ แปลว่า นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ เรื่องของความตายเป็นของธรรมดาของสัตว์และมนุษย์ที่เกิดมา เมื่อมีความเกิดมาได้แล้ว ก็ต้องตายในที่สุดเหมือนกันหมด ความตายนี้รู้สึกว่าเป็นปกติธรรมดาของคนและสัตว์ทั่วไป ท่านผู้อ่านจะสงสัยว่า เมื่อความตายเป็นของ
ธรรมดาที่ใคร ๆ ก็ทราบว่าตัวจะต้องตาย แล้วพระพุทธเจ้ามาสอนให้นึกถึงความตายเพื่อประโยชน์อะไร ? ปัญหาข้อนี้ตอบไม่ยาก เพราะธรรมดาของคนที่มีกิเลสทั่วไป รู้ความตายว่าเป็นของธรรมดาจริง แต่ทว่า เห็นว่าเป็นธรรมดาสำหรับผู้อื่นตายเท่านั้น ถ้าความตายจะเข้ามาถึงตนเองหรือญาติ คนที่รักของตนเข้า ก็ดิ้นรนเอะอะโวยวายไม่ต้องการให้ความตายมาถึงตนหรือคนที่ตนรัก พยายามทุกทางที่จะไม่ยอมตายปกติของคนเป็นอย่างนี้ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า เกิดมาแล้วต้องตาย ไม่ว่าใครจะหนีความตายไม่ได้ การดิ้นรน เอะอะโวยวายต้องการให้ความตายไปให้พ้นนี้เป็นการดิ้นรนเหนือธรรมดาไม่มีทางทำได้สำเร็จ จะทำอย่างไร ความตายก็ต้องจัดการกับชีวิตแน่นอน เมื่อกฎธรรมดาเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอน คือย้ำตามความเป็นจริงว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลายความตายนั้นเป็นสิ่งปกติธรรมดาไม่มีใครจะหลีกหนีพ้น ความตายนี้แบ่งออกเป็นสาม
อย่างด้วยกัน คือ

         ๑. สมุจเฉทมรณะ ความตายขาดตอน หมายถึงความตายของพระอรหันต์ท่านเสร็จกิจแห่งพรหมจรรย์ คือสิ้นกิเลสแล้ว เหตุที่จะต้องทำให้เกิด คือกิเลสและตัณหาที่จะควบคุมบังคับท่านให้เกิดอีกไม่มี ท่านมรณะแล้วท่านไม่ต้องกลับมาเกิดอีก เรียกว่า สมุจเฉทมรณะ แปลว่าตายขาดตอนไม่กลับมาเกิดอีก

         ๒. ขณิกมรณะ แปลว่า ตายเล็กๆ น้อย ๆ ท่านหมายเอาความตาย คือ ความดับ หรือการเคลื่อนไปของชีวิต ที่มีการเคลื่อนไปวันหนึ่ง ๆ วันเวลาล่วงไป ชีวิตก็เคลื่อนไปใกล้จุดจบสุดยอดคือ  ตายดับทุกขณะ การผ่านไปของชีวิตท่านถือเป็นความตาย คือ ตายทุกลมหายใจออกและเกิดต่อทุกๆ ลมหายใจเข้า อาหารเก่าที่บริโภคเข้าไปเป็นการหล่อเลี้ยงชีวิตชั่วคราวเมื่อสิ้นอำนาจของอาหารเก่า ร่างกายต้องการอาหารใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงแทนแต่ถ้าไม่ได้อาหารใหม่เข้าไปทดแทนชีวิตก็จะต้องดับ ชีวิตที่ทรงอยู่ได้ก็เพราะอาหารใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงไว้ เมื่อสิ้นสภาพของอาหารเก่า ท่านถือว่าร่างกายต้องตายแล้วไปยุคหนึ่ง พอได้อาหารใหม่มาทดแทน ชีวิตก็เกิดใหม่อีกวาระหนึ่ง การเกิดการตายต่อเนื่องกันทุกวันเวลาอย่างนี้ ถ้าอาหารเก่าหมดสภาพไม่บริโภคใหม่ หรือลมหายใจออกแล้ว ไม่หายใจเข้า สภาพของร่างกายก็จะสิ้นลมปราณ คือตายทันที ที่ทรงอยู่ได้อย่างนี้ก็เพราะได้ปัจจัยบางอย่างค้ำจุนทดแทนกันเข้าไป ท่านสอนให้มองเห็นสภาพของสังขารร่างกายว่ามีความตายเป็นปกติทุกวันเวลาอย่างนี้ท่านเรียกว่า ขณิกมรณะ แปลว่า ตายทีละเล็กละน้อย หรือตายเล็ก ๆ น้อย ๆ

         ๓. กาลมรณะ และ อกาลมรณะ กาลมรณะ แปลว่า ตายตามกาลตามสมัยที่ชาวโลกนิยม เรียกว่า ถึงที่ตาย คือสิ้นอายุ อย่างชนิดที่ไม่มีการแก้ไขได้ อกาลมรณะ แปลว่า ตายในโอกาสที่ยังไม่ถึงกาลควรตาย แต่ต้องตายเพราะกรรมบางอย่างที่เป็นอกุศลเข้ามาบีบคั้นให้ตาย การตายประเภทหลังนี้พอมีทางต่อให้อายุยืนยาวต่อไปได้ตามสมควรแก่กรรมในอดีต จะต่อให้เลยพอดีนั้นไม่ได้ พวกตายตามแบบกาลมรณะตายไปแล้วเสวยผลกรรมทันที แต่พวกที่ตายตามแบบอกาลมรณะนี้ ตายแล้วยังไม่ไปเสวยผลกรรมทันที ต้องไปเป็นสัมภเวสี แสวงหาที่เกิดก่อน คือรอกาลที่จะถึงกาลมรณะก่อน เมื่อถึงเวลาแล้วจึงจะได้รับผลกรรมดีและกรรมชั่วที่ทำไว้ขณะที่ยังไม่ได้รับผลกรรมที่ทำไว้นั้นต้องลำบากในเรื่องอาหารและที่อยู่ ท่องเที่ยวไปตามความต้องการ พวกตายแบบอกาลมรณะนี้ ที่ชาวโลกนิยมเรียกว่า ตายโหงนั่นเอง เช่น ถูกฆ่าตายคลอดลูกตาย รถทับตาย ฟ้าผ่าตาย ฆ่าตัวตาย งูกัดตาย รวมความว่าตายแบบผิดปกติ ไม่ใช่ป่วยตายตามธรรมดาเรียกว่า อกาลมรณะ คือตายก่อนกำหนด ตายทั้งนั้น การตายแบบนี้ ถ้ามีท่านผู้รู้ช่วยเหลือสามารถช่วยให้พ้นตายได้ เช่น ที่นิยมเรียกกันว่า สะเดาะเคราะห์หรือต่ออายุ การสะเดาะเคราะห์หรือต่ออายุนั้น ต้องทำโดยธรรมจริง ๆ และรู้จริงจึงใช้ได้แต่ถ้าต่อแบบหมอต่อยังมืดมนท์ด้วยกิเลสแล้วไม่มีทางสำเร็จผล ไม่ต่อดีกว่า ขืนต่อก็เท่ากับไปต่อชีวิตหมอให้มีความสุข  ส่วนผู้ต่อกลายเป็น ผู้ต่อทุกข์ไป เรื่องต่ออายุนี้มีเรื่องมาในพระสูตรคือเรื่องของท่าน อายุวัฒนสามเณร

ที่มา
http://www.luangporruesi.com/499.html

105
ธรรมะ / มรรค ๘ อินทรีย์ ๕
« เมื่อ: 22 ก.ค. 2554, 08:58:25 »
มรรค ๘ อินทรีย์ ๕

สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ

   บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

   สติปัฏฐานเป็นหลักปฏิบัติทั้งเพื่อสมาธิ และทั้งเพื่อปัญญา แต่ว่าก็ต้องเป็นสติปัฏฐานที่ปฏิบัติให้ตั้งขึ้นในจิต ให้จิตเป็นสติปัฏฐาน จึงจะเป็นสมาธิและเป็นปัญญาได้ ทางปฏิบัตินั้นพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงสั่งสอนไว้ และก็ปรากฏในพุทธประวัติ ว่าพระองค์ได้ทรงปฏิบัติมาแล้ว ดังที่มีเล่าว่าตั้งแต่เป็น ..ตั้งแต่ทรงเป็นพระราชกุมาร ได้ตามเสด็จพระพุทธบิดาไปในพระราชพิธีแรกนาขวัญ ขณะที่พระพุทธบิดาทรงประกอบพระราชพิธีแรกนาขวัญอยู่ พระราชกุมารน้อยได้ประทับรออยู่ภายใต้ร่มหว้า ในขณะนั้นพระหทัยของพระองค์ก็รวมเข้ามา กำหนดลมหายใจเข้าออกของพระองค์เอง ก็ทรงได้สมาธิที่ท่านแสดงว่า ปฐมฌาน อันแปลว่าฌานที่ ๑ ซึ่งก็เป็นอัปปนาสมาธิ สมาธิที่แนบแน่น แต่ว่าสมาธิที่ทรงได้นั้นก็เสื่อมไป

ที่มา
https://sites.google.com/site/smartdhamma/mrrkh-8-xinthriy-5

106
ตายแล้วฟื้นของคุณครูบุญชู บันทึกสภาพเมืองนรก 1/2

   วันนั้นเป็นวันที่ ๕ ก. พ ๒๔๙๕ ฉันได้ไปทำกิจวัตรประจำวันของฉันคือเป็นครูน้อยประจำโรงเรียนประชาบาล ต. สามโก้ ๔ (วัดมงคลธรรมนิมิตร) อ.วิเศษไชยชาญ จ. อ่างทอง ตามปกติ แต่วันนั้นเป็นวันที่ฉันรู้สึกเกียจคร้าน ไม่มีกำลังใจที่จะสอนเด็กประกอบกับความง่วงผิดปกติ ซึ่งฉันก็ไม่ได้ไปอดนอนที่ไหนมา แต่เป็นเพราะเหตุใดไม่ทราบทำให้ฉันง่วงนอนอยากจะหลับ เป็นเหตุทำให้จิตใจของฉันไม่เป็นปกติ แต่ฉันก็ทนสอนต่อไปจนหมดเวลา ๑๕.๑๕ น. ซึ่งเป็นวันเวลาเลิกทำการสอน

   พอปล่อยเด็กกลับบ้านแล้วฉันก็เดินมาบ้านซึ่งห่างจากโรงเรียนประมาณ ๓ เส้นเศษ ฉันมาถึงบ้านก็ผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว และปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน คือหุงข้าว กวาดบ้าน ถูบ้าน อาบน้ำ ตนเองและบุตร เมื่อเสร็จงานบ้านแล้ว ฉันก็นำเสื่อมาปูและนอนเล่นกับบุตร ๒ คน ในขณะนั้นเวลา ๑๖. ๓๐ น. เศษต่อมาฉันก็หลับไปเมื่อไรไม่ทราบมารู้สึกตัวต่อเมื่อตัวของฉันเองมายืนอยู่ใต้ร่มไม้ มีร่มมะพร้าว ขนุน มองดูสวยงามมาก มะพร้าวและขนุนกำลังมีผลดก แต่ก็ไม่ทราบว่าที่ฉันยืนอยู่นี้เป็นที่ใด

   ฉันมองไปรอบ ๆ ตัวบังเอิญสายตามองไปบนถนนสายหนึ่ง ยาวเหยียดไปข้างหน้า ด้วยความอยากรู้ฉันยกเท้าจะขึ้นไปเที่ยวถนนสายนั้น  แต่ยังมิทันที่เท้าของฉันจะถูกพื้นถนนก็ต้องสะดุ้ง เพราะได้ยินเสียงพูด แต่เสียงดังเหลือเกิน ดังคล้ายตวาด มาจากทางข้างหน้าของฉันว่า
“ อ้อ...บุญชู เหมอะเลยมาเถิด นายให้มารับ ถึงเวลาแล้ว ” ฉันได้ยินดังนั้นก็บอกเขาไปว่าไม่ไปหรอก พร้อมกับผละวิ่งหนีทันที
แต่ชายทั้งสี่คนก็เดินตามและพูดว่า “ ถึงเวลาแล้ว ไม่ไปไม่ได้ ”
ฉันก็หันไปบอกเขาว่า “ ลุงไปบอกนายเถิดว่า ฉันผัดไปก่อน ฉันยังไม่ไปไหนหรอก ”
แต่เขาก็ตอบมาอีกว่า “ผัดกับข้าไม่ได้ เอ็งต้องไปผัดเอง”
เมื่อหมดหนทางเลี่ยงฉันจึงบอกว่า “ ถ้าเช่นนั้นต้องคอยก่อน ฉันต้องไปบอกคนทางบ้านเสียก่อน เพราะที่มาเที่ยวนี้ไม่มีใครรู้ ”
แล้วฉันก็เดินมาหน้าบ้านและเดินเข้ารั่วบ้านขึ้นบันไดไป ก็พบว่าบนบ้านสว่างไปด้วยตะเกียงเจ้าพายุและมีชาวบ้านมานั่งกันอยู่เต็มบ้านพร้อมทั้งร้องไห้ ฉันขึ้นบันไดได้ก็ผละวิ่งจากตรงบันไดไปหาสามีของฉัน ซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆหมอ ฉันเสียหลักสะดุดชายเสื่อล้มลงไป
เมื่อฉันลุกขึ้นมา ชาวบ้านใกล้เคียงที่มานั่งอยู่บนบ้านข้าง ๆ ฉันนั้นต่างพากันถอยหนีไปรวมกันอยู่หน้าครัวหมดและต่างก็ชิงกันถามว่า
“ ครูฟื้นแล้วหรือ ครูไม่ตายหรือ ครูไม่ได้หลอกพวกฉันไม่ใช่หรือ”
ฉันก็บอกพวกนั้นว่า “ อย่ากลัวฉันเลย ฉันอยากจะพูดอะไรด้วยสักหน่อย แล้วก็จะไปเพราะเขามารับฉันแล้ว ฉันอยู่ไม่ได้ฉันยังไม่อยากตาย ขอผัดเขา เขาไม่ยอมบอกให้ไปผัดกับยมบาลเองฉันจึงจะต้องไป และฉันขอร้องด้วยขอให้เก็บศพฉันไว้ ๓ วันก่อน ถ้าไม่กลับหมายความว่าเขาไม่ยอม จึงค่อยเผา”

พอดีได้ยินเสียงสุนัขหอนขึ้นและได้ยินเสียงเรียก ฉันจึงบอกว่า “ โน้นเขาเรียกเร่งมาแล้ว ฉันไปล่ะ ลาก่อนทุก ๆ คน ” นายเจ๊กที่เป็นหมอแกจึงเอาธูปเทียนมาให้ฉัน และบอกว่า “ พระอรหํ พระอรหํ” ตอนนี้ฉันเกือบจะหมดสติแล้ว รับคำพระอรหํได้สองครั้งก็หมดสติวูบไป มาารู้สึกตัวว่าตัวของฉันเองได้เดินอยู่บนถนนสายนั้นเสียแล้ว

    ในระยะที่ฉันฟื้นและตายไปใหม่นี้คือฟื้นตอนประมาณ ๒๒. ๐๐ น. และตายไปใหม่ประมาณ ๒๒ . ๐๖ น. ตลอดทางที่เดินไปนั้นฉันอยู่ตรงกลาง มีคนขนาบข้าง ๒ คน เดินมาพักใหญ่จึงมาพบโต๊ะตั้งข้างทางเดินมีอาหารหลายชนิดตั้งอยู่บนโต๊ะ มีเหล้า ข้าว หมู ไก่ ขนมจีนน้ำยาและขนมอีกหลายชนิดคนทั้งสี่ตรงเข้าไปที่โต๊ะและเรียกฉัน “บุญชูยังไม่ได้กินข้าว มากินเสียซิ”
ฉันก็ตรงเข้าไปกินกับเขา เมื่ออิ่มแล้วก็ถามเขาว่า “ ของใครนี่เรามากินของเขาไม่ว่าเอาหรือ ”
คนที่มีท่าทีว่าจะเป็นหัวหน้าบอกฉันว่า “ ไม่มีใครว่าหรอกเพราะเขาเซ่นผี ไว้อีกสองวันข้าจะกลับมาเอา” ฉันถามว่าบ้านใครเล่า
เขาบอกว่า “ โน้นไงเล่า บ้านนางหล่ำ หัวตะพานเขาทำบุญต่ออายุไว้ อีกสองวันเถิดข้าจะมาเอาตัวไป” ฉันมองตามมือก็เห็นบ้านหลังนี้อยู่ข้าง ๆ บ้านมีลูกกรงสีเขียวต่อจากบ้านนางหล่ำมาอีกพักใหญ่ จึงพบขบวนคนยืนอยู่สองฟากถนนต่างไชโยโห่ร้องรับฉัน และร้องบอกกันว่า “ พวกเรามาอีกคนแล้วโว้ย ”ฉันบอกกับเขาว่า “ ฉันไม่มาเป็นพวกแกหรอก ” พวกนี้ส่วนมากไม่นุ่งผ้ากันเลย

   จากพวกนี้ไปก็ถึงสวนดอกไม้ใหญ่ ดอกสวยมากเป็นทองคำทั้งดอก ใบสีเขียวเป็นมันเหมือนมรกต ฉันตรงเข้าไปจะเก็บก็ถูกห้ามไม่ให้เก็บ เขาบอกว่าถ้ายังอยากจะกลับละก้ออย่าเก็บ ถ้าเก็บแล้วเอ็งจะกลับไม่ได้ ฉันต้องเดินผ่านมาด้วยความเสียดาย

ที่มา
http://www.oknation.net/blog/WRITE/2010/11/18/entry-1

107
ธรรมะ / ธรรมสมาธิ ๕
« เมื่อ: 22 ก.ค. 2554, 09:29:50 »
ธรรมสมาธิ ๕
 
       ธรรมที่ทำให้เกิดความมั่นสนิทในธรรม เกิดความมั่นใจในการปฏิบัติธรรมถูกต้อง กำจัดความข้องใจสงสัยเสียได้ เมื่อเกิดธรรมสมาธิ คือความมั่นสนิทในธรรม ก็จะเกิดจิตตสมาธิ คือความตั้งมั่นของจิต

       ห้าประการได้แก่
       ๑. ปราโมทย์ (ความชื่นบานใจ ร่าเริงสดใส)       
       ๒. ปีติ (ความอิ่มใจ, ความปลื้มใจ)
       ๓. ปัสสัทธิ (ความสงบเย็นกายใจ, ความผ่อนคลายรื่นสบาย)
       ๔. สุข (ความรื่นใจไร้ความข้องขัด)
       ๕. สมาธิ (ความสงบอยู่ตัวมั่นสนิทของจิตใจ ไม่มีสิ่งรบกวนเร้าระคาย)

       ธรรม หรือคุณสมบัติ ๕ ประการนี้ ตรัสไว้ทั่วไปมากมาย เมื่อทรงแสดงการปฏิบัติธรรมที่ก้าวมาถึงขั้นเกิดความสำเร็จชัดเจน ต่อจากนี้ ผู้ปฏิบัติจะเดินหน้าไปสู่การบรรลุผลของสมถะ (คือได้ฌาน) หรือวิปัสสนา แล้วแต่กรณี ดังนั้น จึงใช้เป็นเครื่องวัดผลการปฏิบัติขั้นตอนในระหว่างได้ดี และเป็นธรรมหรือคุณสมบัติสำคัญของจิตใจที่ทุกคนควรทำให้เกิดมีอยู่เสมอ
 
 
 พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

ที่มา
https://sites.google.com/site/smartdhamma/

108
ธรรมะ / พระอภิธรรม
« เมื่อ: 19 ก.ค. 2554, 11:18:22 »
ประวัติพระอภิธรรม

เรียบเรียงโดย นายวิศิษฐ์ ชัยสุวรรณ
คัดลอกจาก http://www.geocities.com/gogfox/aphithum2.html

     ในสัปดาห์ที่ ๔ หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ตรัสรูแล้ว พระองค์ทรงพิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับพระอภิธรรมซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับปรมัตถธรรม (จิต เจตสิก รูป นิพพาน) อันเป็นแก่นของธรรมะใน พระพุทธศาสนาอยู่ตลอด ๗ วัน ในขณะที่ทรงพิจารณาเรื่องของเหตุ เรื่องของปัจจัยในปรมัตถธรรม อันเป็นที่มาของคัมภีร์มหาปัฎฐานอยู่นั้นก็ปรากฎฉัพพรรณรังสี (รัศมี ๖ ประการ) มีสีเขียว สีเหลือง สีแดง สีเทา สีเงิน และสีเลื่อมพรายเหมือนแก้วผลึก แผ่ออกมาจากพระวรกายอย่างน่าอัศจรรย์
 
    ในช่วง ๖ พรรษาแรกของการประกาศศาสนา พระพุทธองค์ยังมิได้ทรงตรัสสอนพระอภิธรรมแก่ผู้ใด เพราะพระอภิธรรมเป็นธรรมะที่เกี่ยวข้องกับปรมัตถธรรมล้วน ๆ ยากแก่การที่จะอธิบายให้เข้าใจได้โดยง่าย บุคคลที่จะรับอรรถรสของพระอภิธรรมได้นั้นต้องเป็นบุคคลที่ประกอบด้วยศรัทธาอันมั่นคงและได้เคยสั่งสมบารมีอันเกี่ยวกับปัญญาในเรื่องนี้มาบ้างแล้วแต่กาลก่อน แต่ในช่วงต้นของการประกาศศาสนานั้นคนส่วนใหญ่ยังมีศรัทธาและมีความเชื่อในพระพุทธศาสนาน้อย ยังไม่พร้อมที่จะรับคำสอนเกี่ยวกับปรมัตถธรรมซึ่งเป็นธรรมะอันลึกซึ้งได้  พระองค์จึงยังไม่ทรงแสดงให้ทราบ เพราะถ้าทรงแสดงไปแล้วความสงสัยไม่เข้าใจหรือความไม่เชื่อย่อมจะเกิดแก่ชนเหล่านั้น เมื่อมีความสงสัยไม่เข้าใจหรือไม่เชื่อแล้ว ก็จะเป็นเหตุให้เกิดการดูหมิ่นดูแคลนต่อพระอภิธรรมได้ ซึ่งจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี

    ล่วงมาถึงพรรษาที่ ๗ พระพุทธองค์จึงได้ทรงแสดงพระอภิธรรมเป็นครั้งแรก โดยเสด็จขึ้นไปจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทดแทนคุณของพระมารดาด้วยการแสดงพระอภิธรรมเทศนาโปรดพุทธมารดา ซึ่งได้สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ประสูติประองค์ได้ ๗ วัน และได้อุบัติเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตมีพระนามว่า สันตุสิตเทพบุตร ในการแสดงธรรมครั้งนี้ได้มีเทวดาและพรหมจากหมื่นจักรวาลจำนวนหลายแสนโกฎิมาร่วมฟังธรรมด้วย โดยมีสันตุสิตเทพบุตรเป็นประธาน ณ ที่นั้น

   พระพุทธองค์ทรงแสดงพระอภิธรรมแก่เหล่าเทวดาและพรหมด้วย วิตถารนัย คือ แสดงโดยละเอียดพิสดารตลอดพรรษา คือ ๓ เดือนเต็ม สำหรับในโลกมนุษย์นั้นพระองค์ได้ทรงแสดงแก่พระสารีบุตรเป็นองค์แรก คือในระหว่าง ที่ทรงแสดงธรรมอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นพอได้เวลาบิณฑบาต พระองค์ก็ทรงเนรมิตพุทธนิมิตขึ้นแสดงธรรมแทนพระองค์แล้วพระองค์ก็เสด็จไปบิณฑบาตในหมู่ชนชาวอุตตรกุรุ เมื่อบิณฑบาตเสร็จแล้ว ก็เสด็จไปยังป่าไม้จันทร์ ซึ่งอยู่ในบริเวณป่าหิมวันต์ใกล้กับสระอโนดาต เพื่อเสวยพระกระยาหาร โดยมีพระสารีบุตรเถระมาเฝ้าทุกวัน หลังจากที่ทรงเสวยแล้วก็ทรงสรุปเนื้อหาของพระอภิธรรมที่พระองค์ได้ทรงแสดงแก่เหล่าเทวดาและพรหมให้พระสารีบุตรฟังวันต่อวัน (พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่พระสารีบุตรด้วย สังเขปนัย คือ แสดงอย่างย่นย่อ) เสร็จแล้วพระองค์จึงเสด็จกลับขึ้นสู่ดาวดึงส์เทวโลกเพื่อแสดงธรรมต่อไป ทรงกระทำเช่นนี้ทุกวันตลอด ๓ เดือน เมื่อการแสดงบนเทวโลกจบสมบูรณ์แล้ว การแสดง พระอภิธรรมแก่พระสารีบุตรก็จบสมบูรณ์ด้วยเช่นกัน เมื่อจบพระอภิธรรมเทศนา เทวดาและพรหม ๘๐๐,๐๐๐ โกฎิ ได้บรรลุธรรมและสันตุสิตเทพบุตร (พุทธมารดา) ได้สำเร็จ เป็นพระโสดาบันบุคคล เมื่อพระสารีบุตรได้ฟังพระอภิธรรมจากพระบรมศาสดาแล้ว ก็นำมาสอนให้แก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านโดยสอนตามพระพุทธองค์วันต่อวันและจบบริบูรณ์ในเวลา ๓ เดือนเช่นกัน การสอนพระอภิธรรมของพระสารีบุตรที่สอนแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้เป็นการสอนชนิดไม่ย่อเกินไป ไม่พิสดารเกินไป เรียกว่า นาติวิตถารนาติสังเขปนัย

   ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปนี้ เคยมีอุปนิสัยมาแล้วในชาติก่อน คือในสมัยศาสนาของพระกัสสปสัมมา สัมพุทธเจ้า ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปนี้เป็นค้างคาวอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ขณะนั้นมีภิกษุผู้ทรงพระอภิธรรม ๒ รูปที่อาศัยอยู่ในถ้ำนั้นเช่นกัน กำลังสวดสาธยายพระอภิธรรมอยู่ เมื่อค้างคาวทั้ง ๕๐๐ ตัวได้ยินเสียงพระสวดสาธยายพระอภิธรรม ก็รู้เพียงว่าเป็นพระธรรมเท่านั้นหาได้รู้ความหมายใด ๆ ไม่ แต่ก็พากัน ตั้งใจฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อสิ้นจากชาติที่เป็นค้างคาวแล้วก็ได้ไปเกิดอยู่ในเทวโลกเหมือนกันทั้งหมด จนกระทั่งศาสนาของพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นจึงได้จุติจากเทวโลกมาเกิดเป็นมนุษย์และได้บวชเป็นภิกษุในศาสนานี้ตลอดจนได้เรียนพระอภิธรรมจากพระสารีบุตรดังกล่าวแล้ว นับแต่นั้นมา

   การสาธยายท่องจำและการถ่ายทอดความรู้เรื่องพระอภิธรรมก็ได้แพร่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง ภายหลังที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ หลังจาก ถวายพระเพลิงได้ ๕๒ วัน ท่านมหากัสสปเถระ พระอุบาลีเถระ พระอานนทเถระ พร้อมด้วยพระอรหันต์รวมทั้งสิ้น ๕๐๐ องค์ ซึ่งล้วนเป็นปฏิสัมภิทัปปัตตะ (ปฏิสัมภิทัปปัตตะ = ผู้ที่ได้ปฏิสัมภิทา ๔ คือผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจธรรมะอย่างแตกฉาน สามารถแยกแยะและขยายความได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง มีปฏิภาณไหวพริบ มีโวหารและวาทะที่จะทำให้ผู้อื่นรู้ตามเข้าใจตามได้โดยง่าย) ฉฬภิญญะ (ผู้มีอภิญญา ๖ อันได้แก่ ๑ แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ ๒ มีหูทิพย์ ๓ ทายใจผู้อื่นได้ ๔ ระลึกชาติได้ ๕ มีตาทิพย์ ๖ สามารถทำลายอาสวะกิเลสให้สิ้นไป) และเตวิชชะ (ผู้ที่ได้วิชชา ๓ อันได้แก่ ๑ ระลึกชาติได้ ๒ รู้การจุติและการอุบัติของสัตว์ ๓ มีปัญญาที่ทำอาสวะกิเลสให้สิ้นไป) ได้ช่วยกันทำสังคายนา พระธรรมวินัย ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และได้กล่าวยกย่องพระอภิธรรมว่าเป็นหมวดธรรมที่สำคัญมากของพระพุทธศาสนา การทำสังคายนาครั้งนี้ มีพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นศาสนูปถัมภก

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/dhamma/abidhamma-05.htm

109
เรื่องพระอภิธรรมค่อนข้างยาว(มาก)
ขอย่อยเป็นเรื่องๆไว้เพื่อศึกษากันนะครับ
========================

การสวดพระอภิธรรมในงานศพ
เรียบเรียงโดย นายวิศิษฐ์ ชัยสุวรรณ
คัดลอกจาก http://www.geocities.com/gogfox/aphithum2.html

     ทุกท่านคงจะพบคำว่า สวดพระอภิธรรม หรือ ตั้งศพสวดพระอภิธรรม ในบัตรเชิญหรือในหน้าหนังสือพิมพ์เพื่อเชิญไปร่วมงานบำเพ็ญกุศลแด่ท่านผู้วายชนม์อยู่บ่อย ๆ ที่ว่า สวดพระอภิธรรม นั้น เมื่อท่านอ่านมาถึงตรงนี้ย่อมทราบดีแล้วว่าหมายถึงอะไร
ตามหลักฐานของท่านผู้รู้กล่าวว่ามีการนำเอาพระอภิธรรมมาสวดในพิธีศพของพุทธศาสนิกชนชาวไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาและท่านได้ให้ความเห็นไว้ว่าการบำเพ็ญกุศลในงานศพเพื่ออุทิศให้ ผู้วายชนม์นั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก ความกตัญญูต่อผู้วายชนม์ซึ่งจากไปไม่มีวันกลับ การที่ พุทธศาสนิกชนชาวไทยนำเอาคัมภีร์พระอภิธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องกับประเพณีนี้นั้นตามข้อสันนิษฐาน คงจะเกิดจากเหตุผลประการต่าง ๆ ดังนี้

ประการแรก เป็นเพราะ พระอภิธรรม ไม่กล่าวถึงสัตว์ ไม่กล่าวถึงบุคคล ไม่มีตัวตน เรา เขา แต่ทรงจำแนกธรรมออกเป็นกุศล อกุศล และอัพยากฤต (ธรรมที่ไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล) ทรงกระจายสรีระกายซึ่งเป็นกลุ่มก้อนออกเป็นขันธ์ ๕ บ้าง อายตนะ ๑๒ บ้าง ธาตุ ๑๘ บ้าง อินทรีย์ ๒๒ บ้าง อัน เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยซึ่งต้องมีการเสื่อมสลายไปตามสภาวะมิสามารถตั้งอยู่ได้ตลอดไป การได้ฟังพระอภิธรรมจะทำให้ผู้ฟังน้อมนำมาเปรียบเทียบกับการจากไปของผู้วายชนม์ ทำให้เห็นสัจจธรรมที่ แท้จริงของชีวิต ท่านโบราณบัณฑิตคงจะเห็นว่าในงานเช่นนี้เป็นโอกาสอันดีที่ท่านผู้ฟังและท่านผู้ ร่วมบำเพ็ญกุศลในงานศพจะสามารถพิจารณาเห็นความจริงของชีวิตได้โดยง่าย จึงได้นำเอาพระอภิธรรมมาแสดงให้ฟัง

อีกประการหนึ่ง เพราะเห็นว่าในการตอบแทนพระคุณพุทธมารดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ท่านได้เสด็จขึ้นไปทรงแสดงพระอภิธรรมเทศนาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพุทธมารดาซึ่ง สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ดังนั้น เมื่อบุพพการีอันได้แก่ มารดา บิดา ถึงแก่กรรมลง ท่านผู้เป็นบัณฑิตจึงได้นำเอาพระอภิธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องในการบำเพ็ญกุศลให้แก่ผู้วายชนม์ โดยถือว่าเป็นการสนองพระคุณมารดา บิดา ตามแบบอย่างพระจริยวัตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อมา แม้ว่าท่านผู้วายชนม์จะมิใช่มารดาบิดาก็ตาม แต่การนำเอาพระอภิธรรมมาแสดงในงานศพก็ถือเป็นประเพณีไปแล้ว

ประการสุดท้าย เพราะเชื่อว่า พระอภิธรรมเป็นคำสอนขั้นสูงที่มีเนื้อหาละเอียดลึกซึ้ง เกี่ยวกับปรมัตถธรรม ๔ ประการ หากนำมาแสดงในงานบำเพ็ญกุศลให้แก่ผู้วายชนม์แล้ว ผู้วายชนม์จะได้บุญมากการสวดพระอภิธรรมก็คือการนำเอาคำบาลีขึ้นต้นสั้น ๆ ในแต่ละคัมภีร์ของพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์มาเรียงต่อกัน การสวดพระอภิธรรมนี้บางทีเรียกว่า สวดมาติกา ถ้าเป็นงานพระศพบุคคลสำคัญในราชวงศ์เรียกว่า พิธีสดับปกรณ์ ซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า สัตตปกรณ์ อันหมายถึง พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ นั่นเอง (สัตต = เจ็ด ปกรณ์ = คัมภีร์ ตำรา)
ต่อมาภายหลังมีผู้รู้ได้นำเอาคาถาในพระอภิธัมมัตถสังคหะ ของพระอนุรุทธาจารย์มาสวดเป็นทำนอง สรภัญญะ (คือการสวดเป็นจังหวะสั้น  ยาว) เรียกว่า สวดสังคหะ โดยนำเอาคำบาลีในตอนต้นและตอนท้ายของแต่ละปริจเฉท ซึ่งมีทั้งหมด ๙ ปริจเฉทมาเรียงต่อกันเป็นบทสวด

110
พระประวัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)

http://www.soonphra.com/geji/putachan/

    เรื่องประวัติของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ อันเนื่องด้วยการศึกษาพระปริยัติธรรมนั้น ได้ฟังผู้หลักผู้ใหญ่เล่ากันมาว่า ท่านได้เล่าเรียนในสำนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (นาค) เปรียญเอก วัดระฆัง เป็นพื้น และได้เล่าเรียนต่อสมเด็จพระสังฆราช (สุก) วัดมหาธาตุบ้าง นอกจากนี้จะได้เล่าเรียน ที่ใดอีกบ้าง หาทราบไม่ เล่าว่าเมื่อเป็นนักเรียนท่านมักได้รับคำชมเชยจากครูบาอาจารย์เสมอว่ามีความทรงจำดี ทั้งมีปฏิภาณอันยอดเยี่ยม ดังมีเรื่องเล่าขานกันว่า........

    เมื่อท่านเรียนพระปริยัติธรรมในสำนักสมเด็จพระสังฆราช (สุก) นั้น ก่อนจะเรียนท่านกำหนดว่า วันนี้ท่านจะเรียนตั้งแต่นี่ถึงนั่น ครั้นถึงเวลาเรียนท่านก็เปิดหนังสือออกแปลตลอด ตามที่กำหนดไว้ท่านทำดังนี้เสมอ จนสมเด็จพระสังฆราชรับสั่งว่า "ขรัวโตเขามาแปลหนังสือให้ฟัง เขาไม่ได้มาเรียนหนังสือกับฉันดอก" ยังมีข้อน่าประหลาดอีกอย่างหนึ่ง ที่ท่านเรียนรู้ปริยัติธรรมแต่ไม่เข้าแปลหนังสือเป็นเปรียญ (ในสมัยก่อนนั้น การสอบพระปริยัติธรรมไม่ได้ออกเป็นข้อสอบเหมือนทุกวันนี้ การสอบในครั้งนั้นต้องสอบพระปริยัติธรรมต่อพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นการสอบด้วยปากเปล่า สุดแต่ผู้เป็นประธานกรรมการ และกรรมการจะสอบถามอย่างใด ต้องตอบให้ได้ ถ้าตอบไม่ได้ก็หมายความว่าตกเพียงแค่นั้น)

     พระอาจารย์องค์สำคัญที่สุดของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ คือสมเด็จพระสังฆราช "ไก่เถื่อน” (สุก) (สมเด็จพระสังฆราช (สุก) พระองค์นี้ เดิมอยู่วัดท่าหอย ริมคลองคูจาม ในแขวงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ดูพระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๑) เมื่อรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงอาราธนามาตั้งเป็นพระราชาคณะที่พระญาณสังวร ด้วยทรงเห็นว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงในทางวิปัสสนาธุระเป็นที่นับถือของชนทั้งหลาย ถึงกับกล่าวกันว่า ทรงไว้ซึ่งเมตตาพรหมวิหารแก่กล้าถึงกับสามารถเลี้ยงไก่เถื่อน ให้เชื่อง ได้เหมือนไก่บ้าน ทำนองเดียวกับที่สรรเสริญพระสุวรรณสาม โพธิสัตว์ในเรื่องชาดก ต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมเด็จพระสังฆราช ในรัชกาลที่ ๒ เมื่อพ.ศ. ๒๓๖๓ คนทั้งหลายจึงพากันถวายพระฉายานามว่า "พระสังฆราชไก่เถื่อน" และได้เสด็จมาประทับ ณ วัดมหาธาตุเพียง ๑ ปี ก็สิ้นพระชนม์ทรงพระชันษาได้ ๙๐ เมื่อถวายพระเพลิงศพแล้ว โปรดฯ ให้ปั้นรูปบรรจุอัฐิไว้ในกุฏีหลังหนึ่ง ด้านหน้าพระอุโบสถ


    อัจฉริยภาพ ในการสร้างพระสมเด็จฯ นั้น เข้าใจว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้รับการศึกษามาจากพระอาจารย์พระองค์นี้ กล่าวคือ พระวัดพลับ ของสมเด็จพระสังฆราช (สุก) นี้ (สร้างตอนดำรงสมณศักดิ์เป็นพระญาณสังวร ครองวัดพลับ วัดนี้อยู่ในคลองบางกอกใหญ่ ฝั่งเหนือ จังหวัดธนบุรี เป็นวัดโบราณมีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ตัววัดเดิมอยู่ทางด้านริม เดี๋ยวนี้ค่อนไปทางตะวันตก ) เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงอาราธนา พระอาจารย์สุก (สังฆราชไก่เถื่อน) มาจากวัดหอย จังหวัดพระนาคศรีอยุธยานั้น ท่านขออยู่วัดอรัญญิก จึงโปรดให้อยู่วัดพลับแล้วสร้างพระอารามหลวงเพิ่มเติมขยายออกมาอีก
 
    สมเด็จพระญาณสังวรนี้ ทรงเป็นพระอาจารย์ทางคันถธุระและวิปัสสนาธุระเจ้านายมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ก็ดี ล้วนเคยศึกษาวิปัสสนาธุระ ในสำนักสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) ทั้งนั้น ที่วัดนี้ยังมีตำหนักจันทร์ ซึ่งเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เมื่อทรงผนวช นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ยังโปรดให้ซ่อมพระอาราม แล้วพระราชทานเปลี่ยนนามวัดเสียใหม่ว่า "วัดราชสิทธาราม" ถึงในรัชกาลที่ ๔  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ โปรดให้สร้างพระเจดีย์ ทรงเครื่องไว้ข้างหน้าพระอาราม ๒ องค์ ๆ หนึ่งนามว่า "พระศิราศนเจดีย์" (พระเจดีย์องค์นี้ทรงอุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ อีกองค์หนึ่ง ทรงขนานนามว่า "พระศิรจุมภฎเจดีย์" (พระเจดีย์พระองค์นี้ทรงสร้างเป็นส่วนพระองค์เอง ทั้งนี้เพื่อเป็นที่ระลึกว่า ได้เคยมาทรงศึกษาพระวิปัสสนา ในสำนักสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) )

    เมื่อพิเคราะห์ดูแล้วจะเห็นได้ว่า มีลักษณะของเนื้อ เหมือนเนื้อของพระสมเด็จฯ (ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ) ที่สุด แต่พระวัดพลับมีอายุในการสร้างสูงกว่าพระสมเด็จฯ ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เอาแบบอย่างส่วนผสมผสานมาดัดแปลง และยิ่งพระสมเด็จฯ พิมพ์ทรงหลังเบี้ยด้วยแล้วก็ยิ่งสังเกตได้ว่า ดัดแปลงเค้าแบบมาจากพระวัดพลับทีเดียว

    อนึ่ง การทรงไว้ซึ่งความเมตตากรุณา อันเป็นที่รักแห่งมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานนั้นเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีคุณลักษณะคล้ายคลึงสมเด็จพระสังฆราชพระอาจารย์พระองค์นี้มาก เข้าใจว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีความเลื่อมใสและเจริญรอยตามพระอาจารย์แทบทุกอย่าง................

คัดลอกจาก
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/monk-raja/monk-raja-04-hist.htm

111
อ้างถึงคำสอนของท่านพระอาจารย์และข้อความที่ท่านเคยเขียนไว้ดังนี้

ในหัวข้อ    สภาวะธรรม...ปิติ...
:054:"ปิติ" เป็นสมมุติบัญญัติที่ให้ความจำกัดความของสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นในขณะเจริญภาวนา  อาการปิตินั้นคือการปรับธาตุในตัวเราให้มีความเหมาะสมกับสภาวะจิตที่จะเกิดขึ้นในขณะนั้น ซึ่งจะปรากฏออกมาได้มากมายหลายอย่าง หลายประการ แต่จะสรุปเป็นหัวข้อใหญ่จำกัดไว้ได้ 5 ประการ ตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ ซึ่งอาการของปิตินั้น ที่แสดงอกมาแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับธาตุในกายและจิตในขณะนั้นว่าเป็นอย่างไร จึงไม่เป็นไปเหมือนกันในแต่ละครั้งและแต่ละคน ปิติคือการเริ่มต้นที่จะเข้าสู่ความสงบ
 :059:ถ้าอยากจะศึกษาเรื่องอารมณ์ของปิติให้ละเอียดเราต้องไปศึกษาแนวการปฏิบัติของพระสังฆราชสุก(ไก่เถื่อน)คือการปฏิบัติแบบปิติ5
ซึ่งสมัยก่อนครูบาอาจารย์ท่านเคยปฏิบัติกันมา ก่อนที่จะหันมาภาวนา"พุทโธ"ในสมัยหลวงปู่มั่น และอานาปานุสติในสมัยหลวงพ่อพุทธทาส
ซึ่งแนวปฏิบัติกรรมฐานปิติ5นั้นจะแสดงอย่างละเอียดเรื่องอาการของปิติทั้งหลาย(ฝากไว้เป็นข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการแสวงหาความรู้)

 :054:อาการที่เรารู้สึกคล้ายกับกายเราโยกคลอนนั้นเกิดจากธาตุลมในกายของเรากำลังปรับให้มีความพอดี และจิตของเราในขณะนั้นเข้าไปจับอยู่กับลมในกาย คือการหายใจของเรา และเรากำลังรวมจิตเราเข้ากับลม ซึ่งสภาวะของธาตุลมนั้นมันพัดไหวเคลื่อนที่ไปตลอดเวลา มันจึงทำให้เรารู้สึกคล้ายว่า ร่างกายของเรากำลังโยกคลอน เอนไปเอนมา ทั้งที่กายของเรายังตั้งตรงอยู่ตามปกติ (อาจจะมีอาการก้มหน้าลงและเงยหน้าขึ้นบ้างในบางครั้ง)ถ้าเราไปตามลมทีหายใจเข้าและหายใจออก
 :059:เราอย่าไปกังวลใจว่าใครจะคิดอย่างไรในการปฏิบัติของเรา ขอให้เรามีสติระลึกรู้ว่าเรากำลังทำอะไร และสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นอย่างไร
รู้เท่าทันอารมณ์ ไม่หลงไปในอารมณ์ที่เกิดขึ้น(ไปยินดีและพอใจอยากจะให้มันเกิดขึ้นอีก) ไม่ไปยึดติดในอารมณ์เหล่านั้น เพราะทุกอย่างตั้งอยู่ในพระไตรลักษณ์"เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป..อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"อารมณ์ปิติเหล่านั้นไม่เที่ยงแท้ ถ้าเข้าไปยึดถือก็เป็นทุกข์ เป็นสิ่งที่ยึดถือไม่ได้เพราะแปรเปลี่ยนไปตามเหตุและปัจจัย "จังหวะ เวลา โอกาศ สถานที่ และบุคคล" จงฝึกฝนปฏิบัติต่อไปอย่าหวั่นไหวและย่อท้อ และขอให้ความเจริญในธรรมจงบังเกิดมีแก่ท่านทั้งหลายผู้ใฝ่ธรรม...
 :059:เชื่อมั่น-ศรัทธา-ปรารถนาดี-ไมตรีจิต-แด่มิตรผู้ใฝ่ธรรม :059:
                          รวี สัจจะ-สมณะไร้นาม
๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๔.๒๖ น. ณ ศาลาน้อยริมน้ำโขง ชายแดนประเทศไทย

ที่มา
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=10614.0

112
ต่อจากตอนที่ 5
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23685
==========================================

จิตหลอก

    ตอนใดที่จิตของเรามีความแน่วแน่บริสุทธิ์แท้จริง ความรู้มันก็จริง ถ้าช่วงใดที่จิตของเราไม่แน่วแน่และมีกิเลสเจือปน หรือเราอยากรู้อยากเห็น มันจะโกหกเราทันที เพราะฉะนั้น ทางผิดทางถูกอย่าไปสำคัญมั่นหมายในสิ่งรู้ทั้งหลายเหล่านั้น อะไรมันจะมีก็มี อะไรมันจะเป็นก็เป็น เช่นอย่างรู้ว่าคนโน้นเขาจะเป็นอย่างนี้ คนนี้เขาจะเป็นอย่างนั้น มันก็เป็นแต่เพียงอารมณ์สิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติเท่านั้น เราอย่าไปยึด ถ้าหากว่าเราไปสำคัญมั่นหมายว่าเรารู้จริงเห็นจริงแล้ว ทีหลังมันจะโกหกเรา

   หลวงพ่อเคยทดลองดูแล้วตอนที่เขากำลังเล่นหวยกัน ทีแรกมีโยมอุปัฏฐากคนหนึ่งเขาก็นับถือว่าหลวงพ่อนี่คือลูกของเขาคนหนึ่งเหมือนกัน วันหนึ่งไปเยี่ยม เขาพูดขึ้นมาอย่างนี้ ทีลูกบ้านลูกเมืองเขาบอกหวยบอกเบอร์พ่อแม่ได้ ทีลูกเรานี่ไม่เห็นบอกสักที หลวงพ่อก็เลยบอกว่า โยมเอาจริงไหม ถ้าเอาจริงแล้ว มาสัญญากันไว้ก่อน ถ้าหลวงพ่อไม่บอกแล้วอย่าไปซื้อ ทีนี้พอสัญญากันเรียบร้อย หลวงพ่อก็มานั่ง แล้วมันก็เกิดนิมิตขึ้นมาทีเดียว ๕ งวด งวดแรกหลานมาจังหันก็เขียนใส่ซองส่งไปให้ พอหลานเอาไป ก็เอาไปให้พ่อมันดู อันนี้มันไม่ออกหรอก ฉีกทิ้ง ใบที่สอง อันนี้มันไม่ออกหรอก ฉีกทิ้ง ทีนี้แกทนไม่ไหว มันผ่านมางวดสองงวดแล้ว แกทนไม่ไหว แกอยากเล่น พอเสร็จแล้วแกก็มาเอง หลวงพ่อบอกว่าเที่ยวนี้ให้ซื้อ ๐๖ กับ ๔๒ แกก็ไปซื้อแต่ ๔๒ มันก็ออก ๐๖ เที่ยวหลังไปขออีก เอา เที่ยวนี้ให้ซื้อ ๔๒ แกก็บอกว่า ๔ กับ ๒ มัน เป็น ๖ มันออกมาแล้ว มันจะออกมาได้อย่างไร ใครไปตั้งกฎหมายบังคับ พอเสร็จแล้วมันก็ออก ๔๒

   มาภายหลังนี่.. เอาล่ะ หลวงพ่อเลิกบอกแล้ว แต่ว่าไม่บอกโยม แต่เราก็มาทำเพื่อพิสูจน์ทดสอบของเราเอง มานั่งเข้าได้ตั้ง ๕ งวดอีกเหมือนกัน ตอนนี้ไม่บอกใคร เขียนใส่แผ่นกระดาษแล้วก็เอาใส่ไว้ในลิ้นชักว่ามันจะออกไหม พอผ่านไปแล้วมันออกหมดทุกตัว เอาละ ทีนี้จะบอกญาติบอกโยมบ้างล่ะ ไปนั่ง..มันมาสวยกว่าเก่า แล้วก็มามากด้วย มาตั้ง ๑๐ งวด เป็นคู่ ๆ มาตั้ง ๑๐ คู่ มาตอนนี้ บอกปั๊บ งวดแรก ไม่ออก งวดที่ ๒ ก็ไม่ออก งวดที่ ๓ ไม่ออก งวดที่ ๔ ที่ ๕ ไม่ออก เอ้า หยุดบอก พองวดที่ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ออกหมดทุกงวด นี่มันเล่นตลกเรา อย่างนี้แหละ

   สิ่งที่เรารู้อย่างอื่นๆ ก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้น จะรู้จริงหรือไม่จริงไม่สำคัญ เราอย่าไปสำคัญมั่นหมาย เอาตรงที่ว่ามันรู้ปัจจุบันนี้จิตของเราเป็นอย่างไร มันเศร้าหมองหรือมันผ่องแผ้ว แล้วมัน มีแนวโน้มไปทางบาปหรือไปในทางบุญ แล้วมันมุ่งที่ยึดมั่นในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์แน่วแน่หรือเปล่า ดูกันที่ตรงนี้ ส่วนจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่าไปสำคัญมั่นหมาย แม้แต่ความรู้ในธรรมะนี่ พอมันโผล่ขึ้นมา เอ๊ะ.. อันนี้มันอะไรนี่ อย่าไปสนใจ เอาเพียงแต่รู้ว่า เรามีความคิด มีอารมณ์จิตเท่านั้น ผิดถูกอย่าไปสำคัญมั่นหมาย ความผิดความถูกมันมีสิ่งที่ตัดสิน อันใดที่เรารู้แล้วมันไม่ชวนเราไปทำผิดศีล ๕ ข้อใดข้อหนึ่ง นั่นแหละถูกต้อง

   เดี๋ยวนี้นักปฏิบัติมาเถียงกันเฉพาะว่า สมาธิขั้นนั้นเป็นอย่างไร ญาณขั้นนั้น ฌานขั้นนั้นเป็นอย่างไร มัวอยู่เฉพาะตรงนี้ แต่ตัวใน ตัวจิตนี่ไม่ดู อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือก็ไปเที่ยวกล่าวตู่แต่ชาวบ้านเขา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่จิต อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่ไม่ดู สิ่งอื่นๆ นอกจากจิตของเราแล้วมันไม่มีอะไรเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตของเรานี้เอง พอเรากระทบอารมณ์ที่ทำให้โกรธ พอจิตของเราเที่ยงมันก็ไม่หวั่นไหว กระทบอารมณ์ที่ทำให้รักให้ชอบ ถ้าจิตของเราเป็นปกติ ไม่หวั่นไหว มันก็เที่ยง ถ้ามันหวั่นไหวเมื่อไรก็ไม่เที่ยง เขาด่ามามันโกรธ มันก็ไม่เที่ยง ถ้าด่ามาแล้วมันไม่โกรธไม่เคียดอันนั้นมันเที่ยง


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0943.html

113
ประวัติแม่ชีบุญเรือน โตงบุญเติม

ฆราวาสผู้เปี่ยมด้วยธรรม


         คุณแม่บุญเรือน กลิ่นผกา เกิดเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 4 ปีมะเมียขึ้น 15 ค่ำเวลา 11.20 น. หรือตรงกับวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2437 ท่านได้กำเนิดในครอบครัว ที่มีฐานะค่อนข้างยากจน มีนายยิ้ม กลิ่นผกา เป็นบิดา และมี นางสวน กลิ่นผกา เป็นมารดา สถานที่เกิดอยู่ที่คลองสามวา อำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร

         ต่อมาบิดามารดาของท่านได้ย้ายไปอยู่ที่ตำบลบางปะกอก อำเภอราษฎร์บูรณะ จังหวัดธนบุรี อยู่ในละแวกบ้านชาวสวน และมีฐานะเป็นชาวสวนในเวลาต่อมา คุณแม่บุญเรือน ท่านก็ได้เติบโตมาในละแวกบ้านชาวสวน ที่ตำบลบางปะกอกใหญ่นั่นเอง

         นายยิ้ม บิดาของคุณแม่บุญเรือน มีภรรยาทั้งสิ้น 3 คน คนแรกก็ได้แก่ นางสวน มีบุตรด้วยกันสองคน คนโตคือ นางทองอยู่ ได้เสียชีวิตไปนานแล้ว คนที่สองก็ได้แก่ คุณแม่บุญเรือน กลิ่นผกานั่นเอง

         ภรรยาคนที่สอง ชื่อนางเทศ มีบุตรด้วยกันสามคน ได้แก่ นายเนื่อง นางทองคำ และนางทิพย์ ซึ่งทั้งสามคนนี้ ถือเป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน
ภรรยาคนที่สาม ไม่มีใครจำชื่อได้ และไม่มีใครยืนยันว่า นายยิ้ม ได้มีบุตรกับภรรยาคนนี้หรือไม่

         การศึกษาเล่าเรียนและชีวิตในครอบครัว

         ชีวิตในวัยเยาว์ คุณแม่บุญเรือน เป็นผู้ได้รับความรักความทะนุถนอมจากบิดามารดา เป็นอันมาก พอเหมาะสมกับฐานะของครอบครัว ท่านได้รับการศึกษาให้รู้ภาษาไทย พออ่านออกเขียนได้ และเชื่อว่าท่านได้รับการฝึกสอน จากบิดามารดา ให้มีความรอบรู้ และ สามารถทำหน้าที่เป็นแม่บ้านแม่เรือนเป็นอย่างดี พอเหมาะสมกับสมัย เนื่องจากปรากฏต่อมาในภายหลังว่า คุณแม่บุญเรือน มีความสามารถในการทำกับข้าวมีรสอร่อยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริก อาหารจำพวกแกง และ ต้ม ท่านก็สามารถทำได้อย่างดี นอกจากนี้ก็ยังมีความสามารถในการเย็บจักร ตัดเสื้อผ้าได้

         เหล่านี้เป็นความสามารถที่เป็นที่ประจักษ์แก่คนที่รู้จักทุกคน

         ฝึกหัดเป็นหมอนวดและสนใจในงานบุญ

         เมื่ออายุราว ๆ 15 ปี ท่านได้รับการฝึกสอนจากในครอบครัว ให้รู้จักการนวด ซึ่งท่านได้ให้ความสนใจอยู่เป็นอันมาก จนในที่สุด ท่านได้รับครอบวิชาหมอนวด และ ตำราหมอนวด จากปู่ของท่าน คืออาจารย์กลิ่น ซึ่งในขณะนั้นถือว่า เป็นหมอนวดผู้มีชื่อเสียง

         จากการได้รับมอบตำราหมอนวด ทำให้ท่านได้ศึกษาวิธีการนวด จากตำราดังกล่าวจนเกิดความชำนาญ และกลายเป็นแม่หมอผู้มีชื่อเสียงในการนวดต่อมาในภายหลัง

         ขณะเป็นวัยรุ่น ท่านได้รู้จักกับคุณลุงของท่าน คือหลวงตาพริ้ง ซึ่งเป็นพระภิกษุ อยู่ที่วัดบางปะกอก ด้วยความคุ้นเคยกับหลวงตาพริ้ง ผู้เป็นลุงนั่นเอง ท่านได้เริ่มนำอาหารไปถวายอยู่บ่อย ๆ ทำให้ท่านได้รับการอบรมสั่งสอนให้รู้จักธรรมะ และ คุณธรรมในการดำเนินชีวิต ตามแนวคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้เริ่มเลื่อมใสศรัทธา และมีใจรัก ในงานบุญงานกุศลมากขึ้นอันน่าจะถือได้ว่า นี่เป็นปฐมเหตุสำคัญที่ทำให้ท่านบำเพ็ญกรณียกิจเป็นนักบุญในพระพุทธศาสนาในเวลาต่อมา หลวงตาพริ้ง จึงเป็นพระภิกษุที่คุณแม่บุญเรือนมีความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก และวัดบางปะกอกนี้ก็น่าจะเป็นวัดที่ทำให้ท่านเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา จนนำไปสู่การบำเพ็ญภาวนาในเวลาต่อมา


         ชีวิตสมรสและบุตรธิดา

         เมื่อมีอายุพอสมควร ก็ได้ทำการสมรสกับ ส.ต.ท.จ้อย โตงบุญเติม ซึ่งขณะนั้นเป็นตำรวจประจำสถานีตำรวจนครบาลสัมพันธวงศ์ ได้อยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาที่ดีตลอดมา แต่ก็ไม่มิบุตรธิดาด้วยกัน และเนื่องจากไม่มีบุตรธิดาด้วยกัน ทำให้คุณแม่ บุญเรือน โตงบุญเติมได้รับอุปการะเด็กหญิงชายอื่นบ้าง แต่มีผู้ที่ท่านรับอุปการะแต่มีอายุได้ 6 เดือนจนเติบใหญ่เป็นเวลายาวนานคนหนึ่งในฐานะบุตรบุญธรรมคือ นางอุไร คำวิเทียน จนกระทั่ง นางอุไร มีอายุ ได้ 19 ปีจึงได้สมรสกับ ร.ต.ท.เต็ม คำวิเทียน นางอุไร กับ ร.ต.อ.เต็ม อยู่กินกันมาจนมีบุตรสาวคนหนึ่งชื่อว่า นิดา คำวิเทียน นับว่าเป็นหลานยายที่คุณแม่บุญเรือนให้ความเมตตาเป็นอย่างยิ่ง

         ชีวิตสมรสระหว่างคุณแม่บุญเรือน และ ส.ต.ท.จ้อย โตงบุญเติม อยู่กินกันมา จนกระทั่งในปี 2479 ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุได้ 42 ปี ส.ต.ท.จ้อย ได้ถึงแก่กรรมลง เนื่องจากได้เข้าไปช่วยดับเพลิง เมื่อครั้งเพลิงไหม้ใหญ่ตลาดน้อย อำเภอบางรัก ต่อจากนั้นมา คุรแม่บุญเรือนก็ได้ครองความเป็นโสด บำเพ็ญงานบุญ และได้ใช้นามสกุล โตงบุญเติม ของสามีตลอดมา และได้อุปการะเลี้ยงดูนางอุไร คำวิเทียน จนกระทั่งอายุ 19 ปี และได้สมรสกับ ร.ต.ท.เต็ม คำวิเทียน ซึ่งขณะนั้นเป็นตำรวจประจำอยู่ที่โรงพักกลาง ดังนั้นจึงมีอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ที่คุณแม่บุญเรือน ได้ไปอาศัยอยู่ที่บ้านพักของทางราชการ ที่โรงพักกลาง

         ในระหว่างครองชิวิตร่วมกับ ส.ต.ท.จ้อย โตงบุญเติม คุณแม่บุญเรือน ได้ประกอบอาชีพตัดเย็บผ้า เป็นการช่วยสามีอีกแรงหนึ่ง และรับรักษาโรคโดยเป็นหมอนวด ซึ่งการเป็นหมอนวดเพื่อรักษาโรคนั้น ท่านทำเป็นการกุศลไม่มีสินจ้าง นอกจากนั้นท่านยังมีความสามารถในการทำคลอด หรือเป็นหมอตำแยแผนโบราณด้วย ซึ่งทำให้ท่านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากในขณะนั้น

         ด้านการตัดเย็บเสื้อผ้าด้วยจักรท่านก็ทำได้อย่างดี จนทำให้ครอบครัวท่านมีฐานะที่มั่นคงพอสมควร ในระหว่างนี้ท่านก็ใช้เวลาในการบำเพ็ญบุญ ถือศีล สวดมนต์ ฟังธรรม ด้วยความเคารพเลื่อมใสอย่างแท้จริง ท่านได้ไปประกอบการบุญที วัดสัมพันธวงศ์ เป็นประจำ และได้เริ่มฝึกหัดวิปัสสนากัมมัฏฐาน ตั้งแต่มีอายุประมาณ 30 ปี หลัง ส.ต.ท.จ้อย ถึงแก่กรรม ท่านได้ไปพักอยู่ที่โรงเรียนช่างกลสมบุญดี มักกะสันอยู่ระยะหนึ่ง จนกระทั่ง นางอุไร คำวิเทียน บุตรบุญธรรม ได้ทำการสมรสแล้ว ท่านจึงได้ย้ายไปอยู่ บ้านพักของทางราชการ ที่โรงพักกลางต่อไป

         ขณะที่ยังใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับ ส.ต.ท.จ้อย ด้วยความเลื่อมใสในพุทธศาสนา ได้ไปฟังพระสวดมนต์ ฟังธรรมที่วัดสัมพันธวงศ์อยู่บ่อย ๆ ทั้งได้ฝึกหัดทำวิปัสสนากัมมัฐานที่วัดนี้ด้วย ต่อมา ส.ต.ท.จ้อย ผู้เป็นสามี ได้ลาอุปสมบท ที่วัดสัมพันธวงศ์ เป็นเวลา 1 พรรษา ทำให้คุณแม่บุญเรือน ได้มีความใกล้ชิดและผูกพันในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เมื่อสามีสึกออกมาแล้ว คุณแม่บุญเรือน ก็ได้ลาสามีบวชเป็นชีและอยู่ปฏิบัติธรรมที่วัด สัมพันธวงศ์ ได้พากเพียรพยายามฝึกวิปัสสนากัมมัฏฐาน ได้อยู่ปฏิบัติที่ศาลาวัดสัมพันธวงศ์ จนทำให้เกิดความเข้าใจ และ ปลอดโปร่งในธรรมะ รักความสงบประกอบการกุศลต่าง ๆ ช่วยปักหมอนสำหรับธรรมาสน์พระสวดปาฏิโมกข์เป็นต้น

ที่มา
http://kumarntalk.net/webboard-id10494.html

114
วิธีแก้กลุ้มแบบเซ็น


ถ้าสังเกตให้ดี นิทานเซ็นที่มีผู้รวบรวมและแปลออกเป็นภาษาต่าง ๆ หลายเล่ม ก็คือบันทึกเทคนิควิธีการสอนธรรมอันหลากหลายของอาจารย์เซ็นนั้นเอง

สอนสิบคนก็สิบวิธี ไม่เคยปรากฏว่าอาจารย์เซ็นท่านใช้เทคนิควิธีเดียวกับคนทั่วไป เพราะถ้าทำเช่นนั้นจะประสบความล้มเหลวในการสอนคน

อาจารย์เซ็นท่านไม่ทำตนเหมือนชาวนาที่โง่ ที่ไถนาไปแล้ว เห็นกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งมาชนตอไม้ตายโดยบังเอิญ แล้วก็คิดว่าการจะได้กระต่ายกินนั้นไม่ยาก เพียงแต่นั่งรออยู่แถว ๆ นี้ เดี๋ยวก็มีกระต่ายวิ่งมาชนตอไม้ตายอีก เขารอตั้งหลายวันก็ไม่มีกระต่ายตัวที่สองวิ่งมาชนตอไม้ตายเลย
ต่อให้รอจนตายก็จะไม่มี

อาจารย์เซ็นท่านจะไม่รอใช้เทคนิคเดิม ขึ้นอยู่กับศิษย์แต่ละคนว่ามีข้อด้อยข้อเด่นในด้านไหน ท่านจะเลือกใช้วิธีสอนให้เหมาะ เป็นคน ๆ ไป
บางคนชอบท่องพระสูตร ท่านก็บอกให้ท่องพระสูตรให้ฟัง แล้วก็พูดแรง ๆ สองสามคำ เพื่อให้คน ๆ นั้นสลดใจหรือได้คิด ในที่สุดศิษย์ก็ได้บรรลุธรรม

บางคนมาลาอาจารย์เพื่อไปศึกษาต่อสำนักอื่น (คิดว่าตนอยู่สำนักอาจารย์ได้รู้อะไรมากแล้วอยากรู้มากกว่านี้)
พอไปกราบลาอาจารย์ก็เอาเท้ายันยอดอกศิษย์จนหงายหลังตึง แล้วศิษย์ก็บรรลุธรรม!

ท่านพุทธทาสก็มีความเป็นเซ็นไม่น้อย
ดังครั้งหนึ่งก็มีโยมคนหนึ่งพกความกลุ้มเต็มอกเข้าไปกราบท่าน
บอกว่ากลุ้มเหลือเกินจนสมองจะระเบิดแล้ว

ท่านบอกว่าถ้าอย่างนั้นโดยถอยไปยืนกลางแจ้ง
ยืดกายตรงแล้วตะโกนให้สุดเสียงว่า “กูกลุ้มจริงโว้ย” สามครั้ง

นายคนนั้นถอยออกไปทำตามที่ท่านสั่ง แล้วกลับเข้ามา
ท่านถามว่า “เป็นไงบ้าง”
“ค่อยยังชั่วแล้วครับท่าน” เขาตอบ
หลวงพ่อพุทธทาสตอบยิ้ม ๆ ว่า “ใช่สิ ก็เอาไอ้ตัวกลุ้มออกแล้วนี่”


++++++++++++++++
ที่มา.... หนังสือ " สองอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ หลวงพ่อพุทธทาส และ หลวงพ่อชา"
ของ เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/read9405.html?No=363

115
  เจ้าน้ำเงิน...คำนี้ไม่มีในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน แต่เกิดมีอยู่ในคำอธิบายคำว่า นวโลหะ...เป็นหนึ่งในโลหะทั้งเก้า ส่วนผสมพระพุทธรูปสำคัญ หรือพระกริ่ง

เจ้าน้ำเงิน เชื่อกันว่าเป็นโลหะเรียกเงินได้ เกิดจากหินในป่า แถวเมืองสุพรรณ

วิธีตรวจสอบ...ให้เอาเหรียญเงินหลายๆเหรียญโปะทับ เอาชามครอบ วางที่น้ำค้างตก...รุ่งเช้าเปิดชามดู ถ้าก้อนโลหะนั้น โผล่ไปอยู่บนกองเหรียญ สิทธิการิยะ ..........ท่านว่า เจ้าน้ำเงินแท้

แร่กายสิทธิ์ หายากที่สุด คือสุวรรณเขต หรือขีด ยังไม่มีใครบอกได้ว่า รูปพรรณเป็นฉันใด บอกได้แต่คุณสมบัติว่า ขีดไปที่โลหะอะไร โลหะนั้นจะกลายเป็นทอง (คำ)


ในสมัยรัชกาลที่ 3 ร่ำลือกันว่า สุวรรณขีด ฝังอยู่ในบริเวณพระเศียรหลวงพ่อโต (หน้าตัก 9 ศอก 21 นิ้ว) พระประธานวัดสระตระพาน เมืองเพชรบุรี (ตอนนี้เป็นวัดร้าง)

นักเลงประวัติศาสตร์โบราณคดีรุ่นอาจารย์ล้อม สืบเสาะจนได้ความ ตามโฉนดที่ดิน ชื่อเดิมวัดนี้คือ วัดสัตตพาน ชื่อพระองค์นี้ มีสองชื่อ พระศรีสรรเพชญ์สัตตะพันพาน ชื่อหนึ่ง

พระพุทธสุวรรณเขต (หรือขีด) อีกชื่อหนึ่ง

ชื่อแรก เล่าสืบกันมาว่า โลหะที่หล่อองค์หลวงพ่อ ใช้พานถึงเจ็ดพันใบ

ชื่อสอง พระพุทธสุวรรณเขต (หรือขีด) บอกนัยว่า ช่างหล่อได้ฝัง “สุวรรณขีด” ก้อนแร่กายสิทธิ์ไว้

ชื่อสองนี่เอง ก่อเหตุเภทภัยให้กับองค์หลวงพ่อ

ผู้มีบุญบารมีในยุคนั้น เกิดอยากนิมนต์ท่านจากเพชรบุรีไปไว้ในกรุงเทพฯ ตอนอยู่เมืองเพชร เม็ดพระศกสัญลักษณ์ศิลปะสมัยทวาราวดี ก็สวยงามดีอยู่ แต่มาอยู่กรุงเทพฯ ก็มีช่างฝีมือทักว่า เม็ดพระศกท่านใหญ่ไป...ไม่งาม
จัดการเลาะเม็ดพระศกเก่าออก แล้วเติมเม็ดพระศกใหม่ ขนาดเล็กกว่าแทน

ใครอยากดูว่า เม็ดพระศกหลวงพ่อโตองค์นี้ ใหญ่เล็ก งามไม่งามยังไง...ก็ไปขอพระท่านดูได้ ในโบสถ์วัดบวรนิเวศ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ที่อยู่หลังพระชินสีห์...องค์นั้นแหละ

การเลาะเม็ดพระศกหลวงพ่อโตครั้งกระนั้น จะพบแร่กายสิทธิ์หรือไม่? พบแล้วเอาไปขีดโลหะอื่นเป็นทองไปแล้วหรือเปล่า? เป็นเรื่องที่สืบหาไม่ได้
อาจารย์ล้อมท่านแค่ตั้งข้อสังเกต นี่คือตัวอย่างให้ประจักษ์ว่า

ความละโมบของคนนั้น...สามารถทำได้ทุกอย่าง

อาจเป็นเพราะข่าวการเลาะเม็ดพระศกเศียรพระ แต่ครั้งกระนั้นแพร่หลาย ชื่อและความเชื่อแร่กายสิทธิ์สุวรรณขีด ก็เริ่มสร่างซาและหายไป จนวันนี้ ไม่มีปรากฏอยู่ในพจนานุกรมฯ

เหล็กไหล ใครมีในตัวอยู่ยงคงกระพัน เจ้าน้ำเงิน ใครมีไว้เรียกเงิน หรือสุวรรณขีด...ขีดโลหะเป็นทอง นี่คือความเชื่อของผู้คนแต่โบราณ

ที่มา
http://www.gmcities.com/board/index.php?topic=118.0

116
ลื้อบวชมาแล้วกี่ปี

มีอยู่ครั้งหนึ่ง
ท่านหลวงพ่อได้เดินทางไปต่างประเทศ ตามคำนิมนต์ของญาติโยมแถบนั้น (คนไทยที่ตั้งรกรากอยู่ในประเทศนั้น) ที่ต้องการให้ท่านไปแสดงธรรมเพื่อเป็นขวัญกำลังใจบ้าง
พอคน (ไทย) รู้ข่าวเข้า ก็พากันมาเพื่อจะฟังธรรมจากท่านมากมาย (เนื่องจากมีการประชาสัมพันธ์ไว้ล่วงหน้าแล้วด้วย)

หลังแสดงธรรมจบแล้ว
ก็มีช่วงสนทนาระห่างท่านกับญาติโยมที่มา ซึ่งใช้เวลานานอยู่พอสมควร ก่อนพวกเขาจะลากลับ ท่านหลวงพ่อก็ได้ให้เทป – หนังสือธรรมะไว้เพื่อสำหรับศึกษาต่อไป
แต่มีผู้หญิงคนหนึ่ง ร่างท้วม ๆ ผิวขาว ๆ พูดไทยไม่ค่อยชัด อายุราว 50 เศษ ๆ ได้เข้ามากราบท่าน แล้วขอให้ท่านช่วยเขียนผ้ายันต์ให้

ท่านหลวงพ่อบอกว่า “อาตมาทำไม่เป็น”
“งั้นช่วยทำตะกรุดให้อั๊วะสักอัน !” เธอต่อรอง
“ตะกรุดก็ทำไม่เป็น” ท่านหลวงพ่อตอบ
“ทำตะกรุดไม่เป็น งั้นลื้อช่วยอาบน้ำนมต์ให้อั๊วะก็ได้” เธอยังไม่เลิกดื้อ
“ลื้อจะอาบน้ำมนต์ไปทำไม ?” ท่านใช้สรรพานามคำเดียวกับที่เธอใช้
“อาบ เพื่อให้โชคดี ทำมาค้าขึ้น ไม่เจ็บไม่ไข้” เธอตอบด้วยความเชื่อมั่นว่าจะเป็นจริงตามนั้น

ท่านหลวงพ่อตอบผู้หญิงคนนั้นไปว่า
“น้ำมนต์อย่างที่โยมว่า อาตมาก็อาบให้ไม่เป็น แล้วก็ไม่เคยอาบให้ใครด้วย อาบเป็นแต่น้ำธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น”

พูดหวังเพื่อให้เธอสงสัย และอยากจะรู้เรื่องของน้ำธรรมบ้าง แล้วท่านจะได้ช่วยอธิบายถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาให้เข้าใจ แต่....
“ลื้อนี้บวชมาแล้วกี่ปี ?” เธอแสดงสีหน้าผิดหวัง พร้อมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะพอใจนัก

ท่านหลวงพ่อก็บอกจำนวนปีที่ท่านบวชมา
ผู้หญิงคนนั้นถึงกับอุทานขึ้นมาทันที

“โอโห้ ! ลื้อบวชมาแล้วตั้งนาน แต่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ไปมัวทำอะไรอยู่ เมื่อสามเดือนก่อนมีพระอย่างลื้อนี่แหละ อีบวชมาแค่สามปีเอง อียังทำให้อั๊วะได้ตั้งหลายอย่าง”

ว่าแล้วเธอก็ลุกขึ้นเดินจากไป โดยไม่ยอมกราบลาท่านเลย :069: ท่านหลวงพ่อพอได้ฟังเช่นนั้น ก็อดสงสารเธอไม่ได้

+++++++++++++++++
คัดลอกจาก.... หนังสือ "ธรรมะอารมณ์ดี ง่าย ๆ สไตล์หลวงพ่อปัญญา" โดย บ.ส. ษิริ บุณยภาค

ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/readf42f.html?No=385

117
ต่อจากตอนที่ 4
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23320
====================================


ศีล ๕ เป็นกฎธรรมชาติ

   กิเลสแม้ว่ายังไม่หมด โลภ โกรธ หลง ยังมีอยู่ ผู้มีศีลเขาจะใช้กิเลสให้ถูกทาง พอจิตคิดจะทำผิดขึ้นมาพั๊บ! มันจะได้สติระลึกว่าสิ่งนี้ไม่ควรแก่เรา แล้วมันจะหยุดทันที เพราะฉะนั้น การปฎิบัติธรรมนี่ต้องให้จิตเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ อย่าไปแต่ง แต่ว่าให้มั่นคงในการฝึกสติ สติรู้ๆๆ จิตระลึกในสิ่งใดให้มีสติรู้อยู่กับสิ่งนั้นตลอดเวลา แล้วเราจะได้หลักปฏิบัติซึ่งไม่ขัดต่อการทำงาน ในเมืองไทยนี่เขาสอนกันว่า ผู้ภาวนาต้องสละกิจการงานหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ภาวนานี่ทำได้แต่ในวัดอย่างเดียวเท่านั้น ไปสอนคนให้เข้าใจผิดหมด คนที่เรียนหนังสือสูงๆ เรียนจบปริญญามา ทุกคนฝึกสมาธิมาแล้วทั้งนั้นแหละ ไม่มีสมาธิเรียนจบปริญญามาได้อย่างไร ไม่มีสมาธิทำงานโหญ่โตได้อย่างไร

   สมาธิเป็นหลักธรรมสาธารณะทั่วไป ไม่สังกัดศาสนาและลัทธิใดๆ ทั้งสิ้น ผู้ไม่มีศาสนาก็ทำสมาธิได้ แต่ความแตกต่างมันอยู่ตรงศีลเท่านั้น ในศาสนาคริสต์ เขาก็มีศีลของเขา ๑๐ ข้อ ในศาสนาพุทธมีศีลเบื้องต้น ๕ ข้อ ศีลปาณาติบาตของศาสนาพุทธ ฆ่าคน ฆ่าสัตว์ บาปทั้งนั้น แต่ศาสนาคริสต์ฆ่าสัตว์เป็นอาหารไม่เป็นบาป เพราะพวกนี้มันเกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์ เขาว่าอย่างนี้ อันนั้นเป็นความเข้าใจของเขา แต่แท้ที่จริงขึ้นชื่อว่าการฆ่า ไม่ว่าสัตว์เดรัจฉานหรือมนุษย์ บาปด้วยกันทั้งนั้น อย่างศาสนาคริสต์ว่าล้างบาปๆ เราไปตำหนิเขาว่าบาปที่ทำแล้วจะล้างได้อย่างไร เราไม่เข้าใจในความหมายของเขา ล้างบาปนี่เหมือนกับพระแสดงอาบัติ เป็นการสารภาพบาปเมื่อเราได้ทำผิดอย่างนั้นๆ ต่อไปนี้เราจะสำรวมไม่ทำอีกแล้ว มันผิดเพียงแค่นั้นเอง เราในฐานะคนต่างศาสนา ก็ไปหาจุดด้อยของเขา ยกเป็นปัญหาขึ้นมาโจมตี อย่างของเขาก็หาจุดด้อยของเราเป็นจุดโจมตีอีกเหมือนกัน

    เขาเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกสร้างมนุษย์ เขามาพูดว่าพระพุทธเจ้าของเราเป็นแต่เพียงผู้มาประกาศธรรมะเท่านั้นเอง ไม่ใช่ผู้วิเศษอะไร และก็ไม่สามารถสร้างอะไรขึ้นมาได้บนโลกนี้ เขาว่าอย่างนั้น มันก็ถูกอย่างที่เขาว่า เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่เคยประกาศว่าท่านสร้างอะไร แต่ประกาศและยืนยันว่าเราสามารถรู้ความจริงของธรรมชาติและกฎของธรรมชาติ กายกับใจเป็นสภาวธรรม สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมเป็นสภาวธรรม สิ่งนี้คือธรรมชาติ ทีนี้ธรรมชาติทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีกฎประจำ กฎธรรมชาติ สิ่งที่ว่านี้ก็คือ เกิดขึ้น ทรงอยู่ สลายตัว ภาษาทางแขกเรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ศีล ๕ พาพ้นภัย

   ถ้าเราจะปฎิบัติดี ปฏิบัติชอบ ศีล ๕ ข้อนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก คฤหัสถ์กินข้าวเย็น ไม่มีในคัมภีร์ใดที่พระพุทธเจ้าเทศน์เอาไว้ว่าตกนรก ถ้าหากละเมิดศีล ๕ ข้อ ข้อใดข้อหนึ่งล่ะตกนรกทันที ทำไมพระพุทธเจ้าจึงสอนให้รักษาศีล ๕ โดยวิสัยของพระพุทธเจ้า ทรงไว้ซึ่งพระกรุณาคุณ พระองค์ทรงปรารถนาให้มนุษย์มีความรักกัน นี่คือคำตอบ รักษาศีล ๕ ไปทำไม ต้องการความรัก ความรักที่เกิดขึ้นจากคุณธรรม เป็นความรักที่ประกอบไปด้วยความเมตตาปรานี รักได้ทุกคน เมื่อเรามีศีล ๕ ศีล ๕ ก็เป็นคุณธรรมประกันความปลอดภัยของสังคม การไม่ฆ่าเป็นการเคารพในสิทธิของผู้อื่น การไม่ลักขโมยเป็นการเคารพในสิทธิของคนอื่น กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาทก็เคารพในสิทธิของผู้อื่น สุราไม่มัวเมา เคารพในสิทธิของตัวเองและผู้อื่นด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เป็นมูลฐานให้เกิดระบอบประชาธิปไตย

    เพราะฉะนั้น ในเมื่อมีศีล ๕ แล้วก็ไม่ต้องกังวล เป็นการตัดกรรมตัดเวร เมื่อเราไม่ฆ่าใคร ใครหนอจะมาคิดฆ่าเรา เมื่อเราไม่เบียดเบียนข่มเหงรังแก ใครหนอจะมาคิดร้ายต่อเรา เราก็อยู่สบาย อยู่ป่าก็สบาย

   คนมีศีลบริสุทธิ์นี่ แม้แต่เสือมันก็ไม่กัด หลวงตาสนอยู่เมืองอุบลเมื่อก่อนนี่ เดิมทีเดียวท่านเป็นนักเลงโตขนาดจี้ปล้นชั้นเสือ ภายหลังมากลับอกกลับใจ นึกถึงบาปบุญคุณโทษ เพราะไปติดคุกอยู่ ๑๔ ปี พอออกจากตะรางไปยกมือไหว้ขอบริขารเขา บอกว่า โอ๊ย เพิ่งออกจากคุกมาเดี๋ยวนี้ อยากจะบวช ไม่มีบริขารจะบวช ขอบริขารไปบวชหน่อย คนขายบริขารก็จัดให้ ถ้าไม่ให้ก็กลัวมันจะทำร้ายเอา พอได้แล้วแกก็ไปหาอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์ก็บวชให้ด้วยความจำใจเหมือนกัน พอบวชแล้วท่านก็ศึกษาพระธรรมวินัยข้อวัตรปฏิบัติ พอมีความรู้ความเข้าใจพอสมควรแล้วไปธุดงค์อยู่ในดงบั๊กอี่ ดงบั๊กอี่มีอาณาเขตตั้งแต่อำเภออำนาจเจริญไปถึงอำเภอมุกดาหาร เมื่อก่อนทางรถยนต์ก็ไม่มี มีแต่ทางเดินเท้า มีคนไปสร้างกรงเอาไว้ เอาไม้เป็นท่อนๆ ไปฝังๆ เรียงกัน จนสัตว์ใหญ่ๆ เข้าไม่ได้ ใครเดินทางมาจะต้องรีบเร่งให้ถึงที่ตรงนั้น มานอนอยู่ในกรงนั่น มิฉะนั้นเสือมันเอาไปกินหมด

    ทีนี้หลวงตาสนแกไป แกก็ไปนอนอยู่บนก้อนหิน กลดไม่กาง เดือนหงายๆ ตกกลางคืนเสือมันออกมาเป็นฝูง ท่านก็บอกว่า "เสือเอ๊ย! ... มากินมันเสีย บักอันนี้มันเป็นโจรฆ่าผู้ฆ่าคนมามากแล้ว มากินเสียให้มันหมดกรรมหมดเวรไปหน่อย" เสือมันก็ไม่กิน ท่านบอกว่า ธรรมดาเสือเมื่อมันเห็นคนเห็นสัตว์มันจะหมอบทำท่าขู่ แต่นี่มันมาแล้วมานั่งเฝ้าเหมือนหมาเฝ้าบ้าน นั่งยองๆ เหมือนหมานั่งเฝ้าบ้าน บางตัวเดินไปหัวมันสูงกว่าหัวเรา เวลามันนั่งอยู่ ท่านเดินเข้าไปหามัน จะเอามือไปตบหัวมัน มันก็กระโดดเข้าป่าไป แทนที่มันจะกัดท่าน มันไม่กัด ท่านจึงมาพูดเล่นๆ ตลกๆ ว่า "เออ! ไอ้ของที่เราสละทิ้งแล้วนี่ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็ไม่เอา ของทิ้งแล้ว"

เพราะฉะนั้น ศีลนี่เป็นหลักธรรมประกันความปลอดภัย ตัดกรรมตัดเวร ตัดผลเพิ่มของบาปกรรม ทอนกำลังกิเลส

ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0843.html

118
ธรรมะ / นิทานเซน : กุศลผลบุญ
« เมื่อ: 02 ก.ค. 2554, 08:19:01 »
นิทานเซน : กุศลผลบุญ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   29 มิถุนายน 2554 07:18 น.

   
ภาพประกอบจาก http://blog.bandao.cn/
       《银华两记》
       
       ครั้งที่อาจารย์เซนเฉิงจัว(Seisetsu Shucho) จาริกธรรมยังวัดหงฝ่า(弘法寺) มณฑลเจ้อเจียง จนได้รับความเคารพศรัทธายิ่งนัก ทุกครั้งที่มีการแสดงธรรมเทศนา ล้วนมีผู้คนมารอฟังอย่างเนืองแน่นจนกลายเป็นแออัด จึงมีผู้เสนอให้ร่วมกันบริจาคเงินเพื่อสร้างหอแสดงธรรมแห่งใหม่ให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับผู้มีศรัทธาในพุทธศาสนานิกายเซนจำนวนมากให้ได้มาร่วมกันฟังธรรม
       
       เมื่อเห็นตรงกัน อุบาสกผู้หนึ่งจึงนำถุงบรรจุเงินห้าสิบตำลึงทองมาถวายให้อาจารย์เซนเฉิงจัว โดยระบุว่าขอร่วมบริจาคเงินสร้างหอแสดงธรรมแห่งใหม่ อาจารย์เซนเฉิงจัวจึงรับเงินมาเก็บไว้ จากนั้นลงมือทำกิจวัตรประจำวันต่อไปตามปกติ
       
       อุบาสกผู้บริจาคเงินก้อนใหญ่เห็นดังนั้นรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง เนื่องเพราะเขาเห็นว่าเงินห้าสิบตำลึงทองจัดว่ามากโข คนธรรมดาสามัญสามารถใช้เงินจำนวนนี้ดำรงชีวิตได้หลายปีทีเดียว ทว่าอาจารย์เซนกลับรับเงินไปด้วยท่าทางเฉยเมย ไม่มีการให้ศีลให้พร แม้แต่คำว่า "ขอบคุณ" สักคำยังไม่ยอมเอ่ย เมื่อคิดได้ดังนั้น อุบาสถผู้นี้จึงเดินไปเน้นย้ำต่ออาจารย์เซนว่า "ท่านอาจารย์ ข้านำเงินมามอบให้ถึงห้าสิบตำลึงทองเชียวนะ"
       
       อาจารย์เซนเฉิงจัวได้ยินดังนั้น ก็ตอบกลับด้วยอาการสงบว่า "อาตมาทราบดี เพราะท่านบอกอาตมาแล้ว" จากนั้นจึงเดินต่อไปโดยไม่เหลือบแลกลับมาอีก อุบาสกเห็นดังนั้นจึงขึ้นเสียงสูง ร้องว่า "นี่ท่าน! วันนี้ข้ามอบเงินทำบุญถึงห้าสิบตำลึงทอง ไม่ใช่เงินน้อยๆ หรือว่าแค่คำขอบคุณสักคำท่านก็กล่าวเพื่อตอบแทนข้าไม่ได้เชียวหรือ?"
       
       ยามนั้น อาจารย์เซนจึงได้หยุดและกล่าวว่า "ท่านทำบุญเพื่อเพิ่มพูนศีลธรรมบารมีให้ตัวท่านเอง แล้วเหตุใดอาตมาต้องขอบคุณท่านด้วยเล่า"
       
       การทำบุญย่อมได้บุญ จิตผ่องใสนั่นเป็นบุญ :015:
       
       ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4

ที่มา
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000078832

119
พระเตะตะกร้อ

วันหนึ่งสมเด็จโตฯ เดินผ่านหลังโบสถ์ เห็นพระกำลังเตะตะกร้อกันอย่างสนุกสนาน

นายทศซึ่งเดินไปกับท่านด้วย รู้สึกแปลกใจที่ท่านไม่ว่าอะไร ทั้งๆ ที่การเตะตะกร้อมันผิดพระวินัย
จึงถามท่านไปว่า “ทำไมไม่ห้ามพระเตะตะกร้อ?”

“ถึงเวลาเขาก็เลิกเอง ถ้าไม่ถึงเวลาเขาเลิก เราไปห้ามเขา เขาก็ไม่เลิก” ท่านตอบนายทศอย่างนั้น
จะเลิกไม่เลิกมันอยู่ที่ใจของเขา

ต่อมาพระกลุ่มนั้นได้ใจ คิดว่าสมเด็จฯ ไม่ว่าอะไร จึงเล่นเตะตะกร้อกันอีก
แต่คราวนี้ สมเด็จฯ ท่านไม่ปล่อย เหมือนคราวก่อน
ท่านให้เด็กไปเรียกพระเหล่านั้นมา แล้วให้เด็กยกน้ำร้อนน้ำชาและน้ำตาลทรายมาถวาย

สักครู่สมเด็จฯ ได้ถามขึ้นว่า
“นี่คุณ! ตะกร้อนี่หัดกันนานไหม?”

พวกพระต่างมองตากัน รู้สึกอาการชักจะไม่ค่อยดี ไม่รู้ว่าสมเด็จฯ จะเล่นไม้ไหน ได้แต่นั่งทำตาปริบๆ

“ลูกไหนเตะยากกว่ากัน ลูกข้างลูกหลังน่ะ?” สมเด็จฯหยอดเข้าไปอีก

พระเหล่านั้นไม่พูดอะไร หน้าถอดสี รู้สึกละอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเสียให้ได้

โดยปกติ สมเด็จฯ ท่านไม่ค่อยได้ว่ากล่าวอยู่แล้ว ท่านไม่เคยปากเปียกปากแฉะอย่างพระเจ้าอาวาสทั่วๆไป
นานๆ ครั้งจะว่ากล่าวกันที ยิ่งท่านไม่ค่อยได้ว่ากล่าวตักเตือน ยิ่งทำให้ละอายอย่างมาก

ปรากฏว่า ต่อมาพระวัดระฆังเลิกเตะตะกร้อกันอย่างเด็ดขาด

ที่มา...หนังสือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พฺรหฺมรํสี (ประวัติที่น่าสนใจของหลวงพ่อโต แห่งวัดระฆัง ผู้มีชื่อเสียง และมีเมตตาธรรมอันสูงยิ่ง)

ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/readf3b7.html?No=405

120
   
พระคาถาพญาไก่เถื่อน(ตำรับสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สุก ไก่เถือน)

พระคาถาพระยาไก่เถื่อน


เป็นคาถานำพระคาถาทั้งปวง ใช้ในทางสำเร็จประโยชน์ แต่ผู้ใช้พระคาถานี้ต้องเป็นผู้มีสมาธิจิตเป็นเอกัคตาจิตขั้นสูง ถึงเมตตาเจโตวิมุตติ จึงจะใช้พระคาถานี้ได้ เพราะเป็นคาถามหาเมตตา เพื่อปลดปล่อยสัตว์และปลดปล่อยจิตของตัวเอง

พระคาถาพระยาไก่เถื่อนนี้ ผู้ใดภาวนาได้สามเดือนทุกๆ วันโดยไม่ขาด ผู้นั้นจะมีปัญญาดั่งพระพุทธโฆษาฯ และไก่ป่านี้ขันขานไพเราะนัก ด้วยอำนาจแห่งพระคาถาพระยาไก่เถื่อน ให้สวดสามจบ จะไปเทศน์ ไปสวด ไปร้อง หรือไปเจรจาสิ่งใดๆ ดีนัก มีตบะเดชะนัก ถ้าแม้นสวดได้เจ็ดเดือน อาจสามารถรู้ใจคน เหมือนดังไก่ป่ารู้กลิ่นตัวคนฉะนั้น ถ้าสวดครบหนึ่งปีจะมีตบะเดชะเหนือกว่าคนทั้งหลายทั้งปวง

แม้จะเดินทางไกล ให้สวดแปดจบเหมือนไก่ขันยาม เป็นสวัสดีกว่าคนทั้งหลาย ใช้เสกหิน เสกแร่ ไว้สี่มุมเรือน โจรผู้ร้ายไม่เข้าปล้นเหมือนไก่ป่าไม่ทิ้งรัง แม้ผีร้ายเข้ามาในเขตบ้าน ก็คร้ามกลัวยิ่งนัก เสกข้าวสารปรายหนทางก็ดี ประตูก็ดี ผีกลัวยิ่งนัก คนเดินไปถูกเข้าก็ล้มแล แพ้แก่อำนาจเรา

พระคาถานี้ได้เมื่อพระกกุสันโธเสวยพระชาติเป็นไก่ป่า เป็นอาการสามสิบสองของพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ คือ พระกกุสันโธ พระโกนาคมโน พระกัสสโป พระโคตโม พระศรีอริยเมตไตย พระคาถาบทนี้ ถ้าจำเริญภาวนา จะมีอานุภาพมาก ผู้ใดภาวนาเป็นนิจสิน จะเกิดลาภยศมิรู้ขาด ทำมาค้าขึ้น ทำนา ทำสวน ทำไร่ เจริญงอกงามดี ทั้งทำให้บังเกิดสติปัญญาด้วย ถ้าเดินทางไปทางบกหรือเข้าป่า สวดภาวนาให้คลาดแคล้วจากภัยอันตรายดีนักแล ในบั้นปลายก็จะบรรลุพระนิพพานด้วยเมตตาบารมีนี้เอง


ที่มา
http://www.buddhakhun.org/main/index.php?topic=3189.0

121
คาถาอาคม / คาถาจินดามณี (3)
« เมื่อ: 02 ก.ค. 2554, 09:39:27 »
กระทู้แรก เรื่อง    ผงยาวาสนาจินดามณี
โดยคุณ โยคี http://www.bp.or.th/webboard/index.php/topic,1190.0.html
มีสูตรการสร้างยาจินดามณี

อ้างถึง
พระคาถาเสกยาจินดามณี

"จินดามณี ปิยังมันตัง ยะสังธาสังโกนัง อุปะสันติ สิเนหัง มาตาปิตาวะ โอระหัง ปะโพตันจะ
มหาราชา ตะวังมังโปสัตถุ โนทีปัง กาเรเทโว สุโป เสทิ กิญจิ เทโว เย สักโก ปัชชัง ทัสมิง กินเนวา
ทัตตาปิยัง กันตัง สาริปุตโต ภวันตุ เม สิทธิลาภัง ชนานะเย มณีจินดา ปิยัง จะ ธะนังสัพเพชะนา
พหูชะนา ปิยังมะมะ"

มนต์จินดาบทนี้มีคุณเป็นเอนกประการ ขอให้ผู้มีเม็ดยาหรือพระยาจินดามณี หมั่นท่องบนภาวนาเป็นประจำ
จะช่วยเสริมอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์ของยาให้บังเกิดสรรพคุณเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ แต่หากท่านยังไม่มีเม็ดยา
หรือพระยาจินดามณี ถ้าจะจดจำเอาไว้สวดภาวนาอยู่เป็นนิจก็ไม่ถือว่าเป็นความผิด พุทธคุณนั้นมากหลาย
=====================================
กระทู้ที่สอง เหมือนกระทู้แรก
มีสูตรสร้างยาและคาถา
   
หัวข้อ..ใ ค ร มี ค า ถ า จิ น ด า ม ณี บ้ า ง ค่ ะ ?? โดยคุณหมอนอิง
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=1675.msg9599
==================================
ส่วนกระทู้นี้เน้นเรื่องคาถาและเรื่องประกอบ
เห็นว่ามีหลายคาถา หลายมนต์ แตงต่างกันไป แต่เข้าใจว่ามีวัตถุประสงค์คล้ายคลึงกันมาก

122
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

จากหนังสือปกติ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ และสิ่งที่ฝากไว้
เรียบเรียงและจัดพิมพ์โดย กลุ่มเทียนสว่างธรรม
มีนาคม 2532


หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

กำเนิด

   หลวงพ่อเกิดที่บ้านบุฮม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เมื่อวันที่5 กันยายน พ.ศ. 2454 ตรงกับวันอังคารเดือนสิบ ปีกุน ขึ้น 13 ค่ำบิดาของท่านชื่อจีน มารดาชื่อโสม นามสกุลอินทผิว

   หลวงพ่อมีนามจริงว่าพันธ์ อินทผิว เหตุที่ท่านเป็นที่รู้จักในนามหลวงพ่อเทียน ก็เนื่องจากท้องถิ่นของท่านนิยมเรียกชื่อกันตามชื่อของลูกคนหัวปี บุตรชายคนแรกของหลวงพ่อชื่อเทียน ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านจึงเรียกท่านว่าพ่อเทียน ภรรยาของท่านชื่อหอม ก็ได้รับการเรียกขานว่าแม่เทียนเช่นเดียวกัน

    ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดา 6 คน คนแรกเป็นชายชื่อ สาย คนที่สองเป็นชายชื่อ ปุ้ย คนที่สามเป็นชายชื่อ อุ้น คนที่สี่เป็นหญิงชื่อ หวัน พิมพ์สอน ท่านเองเป็นคนที่ห้า และคนที่หกเป็นชายชื่อ ผัน พี่น้องของท่านที่ยังมีชีวิตอยู่คือพี่สาวคนเดียวของท่านชื่อ หวัน พิมพ์สอน หรือป้าหนอม พี่น้องคนอื่น ๆ ได้ถึงแก่กรรมไปแล้วทั้งสิ้น

ปฐมวัย

หลวงพ่อมีชีวิตในวัยเด็กเช่นเดียวกับเด็กชาวบ้านในท้องถิ่นชนบทห่างไกลความเจริญทั่วไป ตื่นเช้าท่านก็ออกไปช่วยพ่อแม่ทำนาเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ตกเย็นก็ไล่ต้อนวัวควายกลับบ้าน ท่านเล่าว่าท่านไม่เคยได้มีโอกาสเรียนหนังสือในโรงเรียน เนื่องจากในท้องถิ่นของท่านยังไม่มีโรงเรียน ถ้าจะเรียนก็ต้องเดินทางไปเรียนในท้องถิ่นที่เจริญกว่า ในสมัยนั้นการคมนาคมยังไม่สะดวก หลวงพ่อจึงไม่สามารถจะเดินทางไปเรียนในโรงเรียนที่อยู่ไกลจากบ้านท่านได้ ท่านเล่าว่าในท้องถิ่นของท่านไม่มีความเจริญทางวัตถุแต่อย่างใด รถไฟ รถยนต์ เครื่องบินหรือแม้แต่จักรยาน ท่านก็ยังไม่เคยเห็น สำหรับเครื่องบินนั้นแม้แต่ชื่อก็ยังไม่เคยได้ยิน

บรรพชาเป็นสามเณร


บริเวณที่หลวงพ่อเคยเดินจงกรมกับหลวงน้า
สมัยที่บวชเป็นสามเณรที่วัดภู หรือวัดบรรพตคีรี

   เมื่อหลวงพ่ออายุได้ราว 10 ขวบ หลวงน้าของท่านซึ่งไปเรียนหนังสือมาจากจังหวัดอุบลราชธานี ได้มาขอกับบิดามารดาของท่านให้ท่านบวชเป็นเณรคอยรับใช้หลวงน้า เรียกว่าเณรใช้ หลวงน้าของท่านชื่อยาคูผอง นามสกุลจันทร์สุข อุปสมบทเมื่ออายุยังน้อยและครองเพศบรรพชิตมาโดยตลอด หลวงพ่อเล่าว่าทางบ้านเกิดของท่านมีประเพณีรดน้ำพระภิกษุที่บวชมานาน รดครั้งแรกเรียกสมเด็จ รดครั้งที่สองเรียกซา รดครั้งที่สามเรียกยาคู และในพิธีรดน้ำครั้งต่อ ๆ ไปก็เรียกยาคูทั้งสิ้น

   ก่อนที่หลวงพ่อจะบรรพชาเป็นสามเณรนั้น หลวงพ่อไปวัดหลวงน้าอยู่เป็นประจำทุกเช้า เย็น วัดที่หลวงน้าจำพรรษาอยู่นั้นชื่อวัดภูหรือวัดบรรพตคีรี อยู่ไม่ห่างจากบ้านหลวงพ่อ ตอนเช้าหลวงพ่อต้องนำอาหารและดอกไม้ไปกราบหลวงน้าแล้วจึงไปนา ตอนเย็นหลังจากตักน้ำที่คลองน้ำแล้วท่านก็จะไปวัด

   ขณะที่บวชเป็นเณรอยู่กับหลวงน้า หลวงน้าสอนหลวงพ่อให้ท่องนะโม ตัสสะ ทำวัตรเช้า วัตรเย็น อาราธนาศีล อาราธนาธรรมดูฤกษ์ยาม ทำกรรมฐาน เดินจงกรม หลวงพ่อได้เรียนตัวลาวหรือตัวไทยน้อย และอักษรธรรมซึ่งเขียนบนใบลานกับหลวงน้า สำหรับการเรียนการสอนนี้เป็นแบบปากเปล่า ไม่มีการเขียน ใช้วิธีจดจำ เวลากลางคืนหลังจากเลิกเรียนหนังสือแล้ว หลวงน้าจะพาหลวงพ่อเดินจงกรม หลวงน้าเป็นพระที่ขยันปฏิบัติ บางครั้งท่านก็ลุกขึ้นเดินจงกรมในเวลาดึก ทางเดินจงกรมของหลวงน้ายาวราว 20 วา หลวงพ่อเดินห่างจากหลวงน้า 4-5 วา

   สำหรับการฝึกกรรมฐานนั้น หลวงน้าให้หลวงพ่อนั่งขัดสมาธิเพชรหลับตาแล้วภาวนา หายใจเข้าให้ว่า“ พุท” หายใจออกให้ว่า“ โธ” ในเวลานั้นหลวงน้ามีเพื่อนพระภิกษุที่สอนกรรมฐานอยู่หลายรูป หลวงพ่อจำได้ว่าเพื่อนหลวงน้ารูปหนึ่งที่สอนกรรมฐานให้หลวงพ่อชื่ออาจารย์เสา เมื่ออาจารย์เสาเห็นหลวงพ่อภาวนา “พุทโธ” ท่านให้ความเห็นว่า เวลาขึ้นต้นไม้จะขึ้นปลายที่เดียวไม่ได้ ต้องขึ้นตั้งแต่ต้น ๆ ท่านให้นับหนึ่ง สอง สาม หายใจเข้าให้ภาวนาว่า หนึ่ง หายใจออกให้ภาวนาว่า สอง เรื่อยไปจนถึงสิบ เมื่อถึงสิบให้นับย้อนหลังลงมาถึงหนึ่ง แล้วตั้งต้นจากหนึ่งถึงสิบ ทำเช่นนี้เรื่อยไป อาจารย์เสาท่านบอกว่า การภาวนาเช่นนี้ทำให้เกิดความขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าถูกของมีคมบาดเป็นแผล ให้ภาวนาตามวิธีการดังกล่าวแล้วเป่าที่แผลเลือดจะหยุดทันที เมื่อไปนอนตามป่าตามดง มีเสือมีผี ให้เสกก้อนหินด้วยการภาวนาดังกล่าว แล้วเอาก้อนกรวดก้อนหินวางเรียงรายไว้รอบตัว จะนอนได้อย่างปลอดภัย เสือและผีจะกลัวไม่กล้าเข้ามาใกล้


บนภูทอกน้อย อ. เชียงคาน จ.เลย

   หลวงพ่อเล่าว่าหลวงน้าได้สอนการเพ่งกสิณให้ท่าน โดยให้ใช้เท้าขีดวงกลมให้ห่างจากสายตาราว 1 เมตร เพ่งกสิณลงไปให้เห็นเป็นแสงเวลาเช้าให้จ้องดวงอาทิตย์โดยไม่กะพริบตา จนกระทั่งสายตาสู้แสงพระอาทิตย์ได้ หลวงน้าบอกท่านว่าถ้าทำได้จะเป็นฤษีตาไฟ ถ้าจ้องมองไปที่ใครคนนั้นจะล้มทันที หรือจะทำให้เป็นไฟไหม้ก็ยังได้ นอกจากนี้หลวงน้ายังมีคาถาย่อแผ่นดิน ซึ่งหลวงพ่อเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า หลวงน้าของท่านรูปร่างสูงและผิวขาวเหมือนฝรั่ง เวลาติดตามหลวงน้าไปไหน หลวงน้าเดินแต่หลวงพ่อต้องวิ่ง หลวงพ่อจึงมาคิดได้ในภายหลังว่า ที่หลวงน้าบอกว่ามีคาถาย่อแผ่นดินให้หดเข้านั้นเป็นอย่างนี้เอง เวลาเดินหลวงน้าท่านขายาว ท่านก็ก้าวเพียงก้าวเดียว ในขณะที่หลวงพ่อต้องก้าวถึงสามก้าวจึงจะเดินทันท่าน

   ครั้งหนึ่งหลวงพ่อได้ติดตามหลวงน้าไปอยู่ที่เมืองลาว แต่ด้วยความที่ยังเป็นเด็กเมื่อใครพูดถึงบ้าน ท่านก็ร้องไห้คิดถึงบ้าน ในที่สุดก็ต้องเดินทางกลับมาบ้านเกิดของท่าน

   หลวงพ่อบวชเป็นสามเณรอยู่กับหลวงน้าเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน ได้เรียนมนต์คาถาจากหลวงน้าพอสมควร เนื่องจากขณะที่หลวงน้าไปเรียนมูลกัจจายน์ที่อุบลฯ ท่านได้เรียนเวทมนต์คาถาอาคมของเขมรด้วย เช่น คาถาไส้หนังบังควัน วัวธนูดูหน้าน้อย ซึ่งเป็นอาคมไล่ผี เมื่อหลวงพ่อลาสิกขาบทแล้ว ท่านยังรู้สึกเสียดายช่วงเวลาที่บวชอยู่กับหลวงน้า ด้วยในขณะนั้นท่านอยากมีความรู้ทางไสยศาสตร์ อยากมีหูทิพย์ ตาทิพย์เหาะได้ หายตัวได้ ย่อแผ่นดินได้ มีคาถาอาคม ฟันไม่เข้ายิงไม่ออกเหมือนกับหลวงน้า ในสมัยนั้นในท้องถิ่นที่หลวงพ่ออาศัยอยู่ยังมีความเชื่อเรื่องภูตผีปีศาจกันอยู่มาก ลูกผู้ชายต้องมีเวทมนต์ไว้รักษาตัวเองและคุ้มครองรักษาคนในครอบครัวรวมทั้งญาติพี่น้อง หลวงน้าจึงได้เมตตาอบรมสั่งสอนหลวงพ่ออย่างเข้มงวดกวดขัน เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์เมื่อสึกออกมาเป็นผู้ครองเรือน

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-thien/lp-thien-hist-index.htm
http://www.fungdham.com/monk-history/history-tien.html

123
พระองค์นี้ทำมาจากอะไร..?

นายแพทย์คนหนึ่งซึ่งร่ำเรียนมาไม่น้อย รักษาคนมาก็มากโข แต่หลงลืมรักษาใจของตัวเอง

วันหนึ่งมีโอกาสได้กราบนมัสการพระวิปัสสนาจารย์ใหญ่
นามหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ อย่างใกล้ชิด
นายแพทย์หยิบพระนางพญาราคาแพงอายุกว่า 700 ปีขึ้นมาอวด
ยังไม่ทันพูด.. หลวงพ่อก็ปุจฉา

“พระองค์นี้ทำมาจากอะไร”

“ ทำจากเนื้อดินเผาแกร่ง สีน้ำตาลเข้ม”


นายแพทย์ตอบด้วยความภาคภูมิ
หากหลวงพ่อกลับยิ้มแย้มไม่มีอาการตื่นเต้นหรือรู้สึกทึ่ง  ในกฤษฎาภินิหารของพระเครื่องแม้แต่น้อย

“ดินนั้นเกิดมาพร้อมกันตั้งแต่สร้างโลก
พระองค์นี้ไม่ได้เก่าแก่ไปกว่าดินที่เราเหยียบก่อนเข้ามาในบ้านนี้หรอก”


เก็บความบางส่วนจาก หนังสือ ธรรมะเกร็ดแก้ว โดย ว.วชิรเมธี

ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/read0ad8.html?No=447

124
ธรรมะ / ธรรมะหรรษา..........พุทโธหาย....?
« เมื่อ: 01 ก.ค. 2554, 08:52:32 »
พุทโธหาย....? (1/3)

            ครั้งหนึ่ง พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต กับพระลูกศิษย์รูปหนึ่ง เที่ยวธุดงค์แสวงหาที่วิเวกตามอำเภอต่าง ๆ ในเขตเชียงใหม่ ได้เดินธุดงค์ข้ามเขาหลายลูก และไปพักอยู่ชายเขาแห่งหนึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านชาวเขาราวสองกิโลเมตร โดยพักอยู่ใต้ร่มไม้ เวลาฝนตกลงมาก็เปียกโชกแต่ก็ทนเอาไม่เดือนร้อนไม่สนใจเพราะทนได้

ตอนเช้าพากันเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านชาวเขา พวกชาวเขาเห็นท่านเข้าไปบิณฑบาตก็ถามว่า ตุ๊เจ้ามาธุระอะไร? ท่านบอกว่ามาบิณฑบาต เขาถามว่า มาบิณฑบาตคืออย่างไร? พวกเขาไม่เข้าใจ เขาเคยรู้จักพระเหมือนกัน แต่ไม่รู้จักขนบธรรมเนียมของพระ ท่านบอกว่าบิณฑบาตก็คือพระมาขอแบ่งข้าวจากชาวบ้านไปกิน เขาถามว่าจะเอาข้าวสารหรือข้าวสุก? ท่านตอบว่าข้าวสุก

เขาก็บอกกันต่อ ๆ ไปให้เอาข้าวสุกมาใส่บาตรท่าน เมื่อได้ข้าวแล้วท่านก็พาพระลูกศิษย์กลับมายังร่มไม้ที่พัก และฉันข้าวเปล่า ๆ อยู่นานวัน ขณะที่ท่านพักอยู่ใต้ร่มไม้ใกล้หมู่บ้านแห่งนี้พวกเขาใส่บาตรให้ก็จริง แต่พวกเขาไม่มี ความเลื่อมใสและไว้ใจท่านเลย พอตกกลางคืนหัวหน้าชาวบ้านตีเกาะนัดให้ชาวบ้านมาประชุมกันแล้วประกาศว่า ขณะนี้มีเสือเย็นสองตัว (หมายถึงพระอาจารย์มั่นและพระลูกศิษย์) มาพักอยู่ที่ป่าใกล้หมู่บ้าน

คำว่า “เสือเย็น” หมายถึง “เสือสมิง” นั่นเอง ขอให้ชาวบ้านทั้งหลายอย่าได้ไว้ใจเสือเย็นสองตัวนี้ มันแปลงเป็นพระจะมาจับพวกเราไปกินเป็นอาหารห้ามไม่ให้เด็กและผู้หญิงเข้าไปในป่าเป็นอันขาด แม้ผู้ชายจะเข้าไปในป่าก็ควรจะมีพรรคพวกเป็นเพื่อนไปด้วยหลาย ๆ คนและต้องมีอาวุธป้องกันตัวไปด้วย ไม่ควรเดินป่าตัวคนเดียวเป็นอันขาดจะมีอันตรายถูกเสือเย็นสองตัวตะครุบกัดกิน


พวกชาวเขาได้จัดเวรยามครั้งละ 3 – 4 คน มีอาวุธมีดพร้าขวานและหน้าไม้ ให้มาคอยเฝ้าจับตาดูความเคลื่อนไหวของพระอาจารย์มั่นแหละพระลูกศิษย์อยู่ใกล้ ๆ ที่พักอยู่ตลอดเวลาทั้งวันและทั้งคืนเป็นผลัด ๆ

ไม่ว่าท่านจะเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิภาวนา พวกเขาจะคอยสอดส่ายสายตาจับตาดูความเคลื่อนไหวไม่ยอมให้คลาดสายตาไปได้เลย ไม่พูดไม่จาไม่ไถ่ถามอะไรทั้งนั้น เอาแต่จ้องมองทมึงทึงท่าเดียว แต่เวลาเข้าไปบิณฑบาตพวกเขาก็ใส่ให้อย่างเสียไม่ได้ ใส่ให้ด้วยความเกรงกลัวต้องการเอาใจไว้บ้างมากกว่า ถ้าไม่ใส่บาตรให้เสียเลย เดี๋ยวเสือเย็นจะโกรธใหญ่หาเรื่องทำร้ายเอาได้ง่าย ๆ

เหตุการณ์เป็นไปอย่างนี้อยู่หลายวันทีเดียว บรรยากาศภายในหมู่บ้าน ตึงเครียดมาก แต่พระอาจารย์มั่นก็หาได้หวั่นไหวไม่ ท่านกำหนดวาระจิตตรวจสอบดูจิตใจชาวบ้านทุกคนอยู่ทุกระยะ ในที่สุดหัวหน้าหมู่บ้านก็จัดให้มีการประชุมขึ้นอีก ได้มีการปรึกษาพิจารณาสถานการณ์ของหมู่บ้านอย่างเคร่งเครียดว่าจะเอายังไงกับพระสององค์นี้ต่อไป

พวกเวรยามที่มาคอยเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของพระอาจารย์มั่นได้รายงานว่า ไม่เห็นพระสององค์มีอะไรผิดแปลกเลย เห็นแต่ท่านนั่งหลับตาบ้าง เดี๋ยวลุกขึ้นเดินไปเดินมาบ้าง นอนงีบเดียวแล้วก็ลุกขึ้นมาเดินอีก เดินพักหนึ่งแล้วก็นั่งหลับตา ไม่รู้ว่าท่านนั่งหลับตาทำไมและเดินกลับไปกลับมาหาอะไร จะหาว่าของหายก็ไม่เห็นหาเจอสักที (หมายถึงเห็นท่านเดินจงกรม)

หัวหน้าหมู่บ้านได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอึ้ง มีชาวบ้านผู้อาวุโสคนหนึ่งเป็นผู้เฒ่าของหมู่บ้าน เคยเข้าไปในเมือง รู้ขนบธรรมเนียมประเพณีคนเมืองอยู่บ้าง รู้จักพระสงฆ์องค์เจ้าปฏิบัติธรรมพอสมควร แกได้พูดขึ้นว่า......

" พระสององค์นี้เห็นจะเป็นพระจริง ๆ ไม่ใช่เสือเย็นปลอมแปลงมาหรอก พระพวกนี้ชอบท่องเที่ยวอยู่ในป่าปฏิบัติตัวเป็นนักบุญ การที่พวกเราชาวบ้านไปสงสัยและกล่าวหาพระสององค์นี้ว่าเป็นเสือเป็นสางน่ากลัวจะไม่ถูกต้องเสียแล้ว จะทำให้พวกเรามีบาปหนักผีป่าผีปู่ย่าตาทวดจะโกรธเอาเปล่า ๆ ทางที่ควรจะพากันไปพบพระสององค์นี้แล้วไถ่ถามเอาให้รู้ต้นสายปลายเหตุว่า มานั่งหลับตาทำไม มาเดินไปเดินมาหาอะไร"

ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/readbe4b.html?No=448

125
การหายใจเป็น หลวงปู่พุทธะอิสระ

   จริงๆแล้ว ทุกคนหายใจได้ แต่รู้บ้างมั๊ยว่า เรายังหายใจกันไม่เป็น มาดูกันว่า ชีวิตที่มันยืนยาว กับชีวิตที่สั้น มีลมหายใจต่างกันอย่างไร……………
ลองสังเกตดูว่า ไม่ว่าจะเป็นนกก็ดี หมูก็ดี หนูก็ดี ปลาก็ดี ไก่ก็ดี หมาก็ดี แมวก็ดี มันจะมีลมหายใจถี่ และไม่เป็นจังหวะเข้า-ออกที่สม่ำเสมอ…………….

    ทางวิทยาศาสตร์ถือว่า ลมหายใจที่เข้า มันสูดเอาสิ่งที่ดีๆเข้าไป เพื่อจะปรุงเป็นโลหิต ไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้มีพลัง การหายใจยาวๆ หมายถึง การได้สูดเอาของดีๆให้เข้าไปขับไล่ของเสียออกมาจากการหายใจออก ในขณะเดียวกัน มันก็ทำหน้าที่ปรุงพลังให้กับร่างกาย……………

   มีเรื่องพิสูจน์ยืนยันได้ว่า การหายใจเข้า-ออก ยาวกว่าคนปกติธรรมดา จะมีชีวิตยืนยาวได้เป็น 300 – 400 ปี หรือไม่ตายแม้กระทั่งฝังทั้งเป็น อย่างในประเทศอินเดีย มีโยคีนอกศาสนาเรียนวิชาโยคะ วิชาโยคะมี 38 ท่า ในท่าสุดท้าย จะมีวิธีการฝังตัวและหายใจแบบกบ เรียกว่า กบจำศีล มีอาจารย์โยคะท่านหนึ่ง สามารถที่จะฝังตัวเองได้เป็นสิบปี เมื่อถึงเวลาแล้ว ลูกศิษย์ไปขุดดู ปรากฏว่าอาจารย์ยังสบายดี ไม่ตาย ทั้งนี้ก็ได้มาจากการหายใจ ความละเอียดอ่อนของลมหายใจ และการรู้จักขั้นตอนในการระบายลมเข้าและออก…………..

   ฉะนั้น “ลมหายใจ” นอกจากจะมีประโยชน์ในการให้พลังต่อร่างกายแล้ว มันยังหล่อเลี้ยงให้เรามีชีวิต มีพลังความคิดและมีอำนาจต่างๆเกิดขึ้นมากมาย จากการที่คนหายใจเป็น สัตว์หายใจเป็น……………..

    แต่ผู้ที่หายใจไม่เป็น สัตว์ที่หายใจไม่เป็น เราจะเห็นว่าอายุจะสั้น เช่น แมวตายก่อนหมา หมาตายก่อนควาย ควายตายก่อนวัว วัวตายก่อนช้าง ช้างตายก่อนปลาวาฬ อะไรเหล่านี้ จะเห็นว่ามันมีการหายใจต่างกัน…………….
ถ้าถามว่าเกี่ยวกับระบบสรีระด้วยรึเปล่า? เกี่ยวกับปอด เกี่ยวกับถุงลม เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ด้วยรึเปล่า ?…………………

   สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยกรรมพันธุ์อย่างเดียว แต่มันเกิดขึ้นโดยการกระทำด้วยเหมือนกัน เช่น ถ้าเราฝึกปรือให้เด็กทารกรู้จักหายใจเข้ายาว ออกยาว เป็นจังหวะ มันก็สามารถที่จะทำให้เกิดพฤติกรรมทางร่างกาย เปลี่ยนแปลงกรรมพันธุ์ทางร่างกายได้อย่างน่าอัศจรรย์ทีเดียว
เช่นในกรณีของคนที่มีพันธุ์หน้าอกเล็ก ปอดเล็ก ถุงลมเล็ก ถ้าเราฝึกให้รู้จักหายใจเป็น หายใจเข้าและออกยาวตั้งแต่เล็กๆ มันจะสามารถขยายทรวงอก ขยายโครงสร้างของร่างกายและขยายอวัยวะต่างๆในร่างกาย ให้ทำงานได้เหมือนกับคนที่มีร่างกายแข็งแรงใหญ่โต เรื่องนี้เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์……………….

    หลวงปู่เคยใช้วิชาหายใจรักษาคนที่เป็นโรคปอด เป็นมะเร็งในปอด จนปอดเหลือข้างเดียว ตอนนั้นเค้าอายุ 40 กว่า จนอยู่มาได้ถึง 70 กว่า ด้วยวิธีการค่อยๆผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติ
การหายใจเข้าลึกๆ และผ่อนคลายออกยาวๆนั้น มันจะสามารถขับความร้อนในกาย ที่เกิดจากการเสียดสีของการทำงาน มันจะขับของเสีย ที่มีอยู่ในกายออกไป ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องออกมาเป็นเหงื่อ……………..

    แน่นอนละ ทางการแพทย์ย่อมรู้ว่า การขับเหงื่อออกมาเป็นการดี เพราะสามารถจะระบายของเสียในร่างกาย แต่ของเสียในร่างกาย มิใช่ออกมาจากเหงื่ออย่างเดียว มันออกมา จากลมได้ก็มี…………..

พวกเราจะสังเกตเห็นว่า หลวงปู่ไม่มีเหงื่อหยดติ๋งๆ ไม่ใช่เพราะว่าต่อมต่างๆมันอุดตัน แต่หลวงปู่จะใช้วิธี การหายใจระบายของเสียโดยลม แต่ไม่ยอมให้ร่างกายเสียน้ำ เพราะถ้าเสียน้ำมาก จะเพลียมากกว่าเสียลม คนที่เหงื่อออกมากๆในเวลาทำงานนั้น เมื่อเลิกทำงานจะรู้สึกเพลียและกะปลกปะเปลี้ยไปหมด คือว่าร่างกายเสียน้ำ ขาดน้ำ แต่หลวงปู่พยายามทำให้เหงื่อออกน้อยที่สุด แล้วพยายามระบายลมให้คงที่ เป็นปกติ ความเหนื่อยของเรา ก็จะผ่อนคลายออกมากับลมหายใจที่พ่นออก พลังเราก็จะเข้าไปกับลมหายใจที่สูดเข้า และเมื่อถึงเวลา เราจะระบายของเสียอีกประเภทหนึ่งออกมา ก็คือ ปัสสาวะ ถ้าเราเหนื่อยจัด หรือว่ามีของเสียมาก เราจะรู้สึกปวดปัสสาวะ นี่คือเทคนิคของผู้ที่มีศิลปะในการกำจัดของเสีย…………….

   พวกที่รู้จักการหายใจ มีศิลปะในการระบายลมหายใจ นอกจากร่างกายจะมีพลังปกติ โคจรได้อย่างสมบูรณ์ ยังมีเคล็ดวิเศษในวิชานี้อีก คือสามารถดูดพลังจากธรรมชาติได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ถ้าไม่เชื่อ ลองถามลูกหลานที่เคยอยู่ใกล้หลวงปู่ว่า ถ้าหลวงปู่เป็นลมล้มลงไป จะไล่ทุกคนออกจากห้องทั้งหมด ขอเพียงอยู่ลำพังสัก 3 – 10 นาที หลวงปู่สามารถลุกขึ้นมาทำงานได้เป็นปกติทุกอย่าง เหมือนมีพลังเท่าเดิม เพราะสามารถจะดูดพลังจากไอของความชื้น ความร้อน สุริยัน จันทรา และสิ่งแวดล้อมได้…………….

   ใครจะปฏิเสธมั๊ยว่า ผิวหนังสามารถจะหายใจและระบายของเสีย พร้อมๆกับสูดเข้าได้ ถ้าปฏิเสธตรงนี้ ก็ต้องบอกว่า ถ้าอย่างนั้นเชื้อโรคและของที่เป็นพิษเข้าทางผิวหนังได้อย่างไร นี่แหละศิลปะในการหายใจ ทำให้เราสามารถหายใจทางผิวหนังได้ สูดของเสียและระบายของเสียออกจากผิวหนังได้ ในขณะเดียวกันก็สูดอากาศเข้าสู่ผิวหนังได้ ก็อย่างที่เล่าว่า โยคีที่ฝังตัวเองไว้เป็น 10 ปี ยังไม่ตาย เค้าหายใจทางไหน ได้รับน้ำกับความชื้นจากอะไร ก็จากผิวหนัง นี่คือ ศิลปะการสูดลมหายใจเป็นปกติและเทคนิคพิเศษ…………..

ที่มา
http://www.buddha-dhamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=334451&Ntype=4

126
ศิลปะในการหายใจ  หลวงปู่พุทธะอิสระ

    มีการค้นพบกันว่า สัตว์ที่หายใจสั้นและถี่ จะมีชีวิตสั้น ส่วนสัตว์ที่หายใจยาวและเป็นระบบ จะมีอายุยืนยาว อวัยวะในกาย เซลล์ต่างๆในกาย จะตื่นตัวและเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเสมอ สังเกตดูได้จากสัตว์รอบๆตัวท่าน………..

   ศิลปะในการหายใจ นี้ หลวงปู่เรียกมันว่า ลม7 ฐาน หรือใครจะเรียกมันว่า โยคะ หรือ โยคี อะไรก็แล้วแต่ มันมีอยู่แล้วในศิลปะการหายใจ มีอยู่ใน พุทธศาสนา นั่นคือ วิชา อานาปานสติกรรมฐาน นี้แหละ วิชาอานาปานสติกรรมฐาน คือ การค่อยๆผ่อนลมหายใจ หายใจด้วยความผ่อนคลาย ความรู้สึกดื่มด่ำ ซึมซาบ และซึมสิงกับกลิ่นอายธรรมชาติแวดล้อมที่สูดเข้าไป และไปเปลี่ยนเป็นพลังงานพร้อมกับขับถ่ายของเสียออกมากับลมหายใจที่ระบายออก คือ การตามดูลมที่เข้าและออก มีสติ จดจ่อ จับจ้อง จริงจัง และก็ตั้งใจ………..

   ศิลปะในการหายใจเพื่อการผ่อนคลาย หลวงปู่ไม่อยากจะเรียกมันให้เป็นวิชาสูงส่ง เพราะพระพุทธเจ้าทรงสูงส่งกว่าหลวงปู่มาก แต่ประสบการณ์ทางวิญญาณ ที่หลวงปู่ได้รับรู้จากการปฏิบัติ ที่นำมาเล่าสู่พวกท่านฟัง ก็คือ ระบบการหายใจ คำพูดประโยคหนึ่งที่หลวงปู่พูด คิด ทำ ที่พวกท่านได้ฟังบ่อยๆ ก็คือเรื่อง จัดระเบียบของกาย จนเป็นระบบของความคิด………..
 
  เพราะฉะนั้น เรามาเริ่มจัดโครงสร้างของกายให้เป็นระเบียบกันก่อน ที่จริงเราฝึกจิต ไม่ใช่ฝึกกาย แต่เมื่อกายเป็นที่อยู่แห่งจิต เราก็จำเป็นต้องปรับระบบโครงสร้างของกายให้โล่ง โปร่งเบา ผ่อนคลาย จนเป็นที่สบายของจิตเสียก่อน…………

    เริ่มจากการปรับโครงร้างของกายให้ตรง ไม่ว่าจะอยู่ในท่าไหนๆ ท่านั่งก็ได้ ท่ายืนก็ได้ ท่าเดินก็ได้ หรือท่านอนก็ได้ เสร็จเรียบร้อย แล้วก็ปรับโครงสร้างของตนให้มี อิริยาบถ 3 ประการคือ อิริยาบถสะอาด อิริยาบถสงบ อิริยาบถปกติ เมื่อเรามีอิริยาบถอันสะอาด อันได้แก่ อิริยาบถที่ปราศจากมลทิน อิริยาบถที่ปราศจากเครื่องร้อยรัด อิริยาบถที่ปราศจากความคั่งค้าง คาราคาซัง ไม่เสร็จ ไม่เสร็จในภาระกิจทั้งปวง ส่วนอิริยาบถสงบ คือ อิริยาบถที่ผ่านขั้นตอนในการชำระล้าง สะสาง ขจัด เครื่องร้อยรัดและมลทิน พร้อมกับภาระกิจทั้งปวง ได้ถูกปล่อยวาง จนหมดสิ้นแล้ว สำหรับอิริยาบถปกติ นั่นมันหมายถึง ความจริงจัง จริงใจ สนใจ สม่ำเสมอ ต่อการชำระสะสาง ขจัด ขัดเกลา ในภาระทั้งเก่าและใหม่ ให้หดหาย ผ่อนคลาย เบาสบาย ทีนี้ก็เริ่มที่จะจัดโครงสร้างภายในกาย…………….


   ก่อนอื่น ลองดูรูปโครงกระดูกที่มีให้ไว้นี้ รูปโครงกระดูกที่เห็นนี้ จะเป็นคู่มือในการจัดโครงสร้างของกาย เป็นรูปที่ช่วยป้องกันภัยพิบัติจากตาเห็น หูฟัง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส และกายสัมผัส……………….(ไม่มีรูป...แต่ให้นึกเอา)

ลำดับแรก เราน้อมเอารูปโครงกระดูกอันนี้ เข้ามาอยู่ในกายเรา ลำดับที่ 2 ก็คือ โยกขยับปรับโครงสร้าง ลองขยับดูให้ดี ตรงไหนมันบิดมันเบี้ยว ทับเส้นเอ็นเส้นประสาท จัดให้เข้าท่าเข้าทาง จนแน่ใจว่า ทำให้เราสบายในขณะที่นั่งอยู่ได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ส่วนมือไม้จะวางไว้ตรงไหน หลวงปู่ไม่จำเป็นจะต้องบอก ว่าจะต้องวางไว้ที่เข่าอย่างหลวงปู่ เพราะหลวงปู่ถนัดอย่างนี้ ก็วางอย่างนี้ แต่ถ้าเราถนัดอย่างไร ก็วางเอาไว้อย่างนั้น หรืออาจจะเอามาซ้อนไว้ตรงหน้าตักก็ได้ หรือวางทิ้งไว้ข้างขาก็ได้ จะหลับตาก็ได้ ลืมตาก็ได้ แล้วแต่ แต่ต้องไม่เกร็ง หรือข่มหนังตาและลูกตา………..

    ที่นี้ลองโยกตัวไปข้างหน้า โยกตรงๆ ไม่ใช่โยกเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง โดยทิ้งน้ำหนักตัวลงสู่ช่วงล่างของลำตัว เพื่อรักษาดุลถ่วง ตอนที่โยกตัวไปข้างหน้า ก็ให้ส่งความรู้สึกไปในโครงสร้างดูว่า กระดูกทุกส่วนของร่างกายมันมีอะไรบกพร่องบ้าง อะไรผิดพลาดบ้าง โยกตัวไปช้าๆ ให้ลำตัวเกือบขนานไปกับพื้น อย่างมีสติ แล้วค่อยๆโน้มขึ้นมาให้ตั้งตรง แล้วก็เอนไปทางขวา แล้วก็กลับมาตั้งตรงขึ้นมาอย่างช้าๆ จากนั้นเอนไปทางซ้าย แล้วก็ตั้งตรงขึ้นมาอย่างช้าๆ ถ้าเราส่งความรู้สึกมันลงไปในกาย แล้วคลุมอาการไหวของโครงสร้างภายในกายให้ตลอด แล้วเราก็จะสัมผัสได้ถึงความชัดเจน รู้จริง เห็นจริง ในอิริยาบถของตนเอง แล้วสิ่งหนึ่งที่จะปรากฏแก่เราก็คือ ความสงบ สงบไหม เริ่มรู้สึกตัวทั่วพร้อมแล้วใช่ไหม เช่นนี้แหละที่เรียกว่า สติปัฏฐาน นั่นคือ สติเป็นฐานที่ตั้งมั่นของพฤติกรรม เรื่องที่เราทำ คำที่เราพูด สูตรที่เราคิด จะถูกต้องชอบธรรมได้ก็ด้วยอาศัยฐานที่ตั้งอันนี้แหละ…………..

ที่มา
http://www.buddha-dhamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=334451&Ntype=4

127
เป็นตอนต่อจาก......   บทสาธยายยอดธรรมยอดคาถา พระคุณเจ้าดาบส สุมโน
โดยคุณ powertom เมื่อ: ๐๕ ก.พ. ๕๓
ที่มา
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=15178.msg135532
=======================
แบบทำสมาธิดับทุกข์ ตอน 2
ในหลักยอดธรรมยอดคาถาสูตร ของอาศรมเวฬุวัน เชียงราย
โดยท่านเจ้าพระคุณเจ้าหลวงพ่อ ดาบส สุมโน


คำนำ

     หนังสือเล่มนี้ ถอดใจความและขยายความ จากหนังสือยอดธรรมยอดคาถาสูตร ที่ใช้ประจำในอาศรมเวฬุวัน ทั้งได้นำเอาพระสูตรบางสูตร ที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ เรื่องการทำสมาธิแบบนี้ มาประกอบยืนยันด้วย
หลักปฏิบัติ คือ การทำสมาธิในแบบนี้ ทั่วๆไปมักไม่ได้นำมาปฏิบัติกัน จึงไม่ค่อยปรากฏในวงการปฏิบัติ อาจจะเห็นว่าหลักนี้ไม่มีพิธีอะไร หรือเห็นว่ามันง่ายเกินไป ไม่มีหลักจับ หรือมิฉะนั้น ก็จะเห็นว่ามันสูงเกินไป เกินที่จะเอื้อมถึง
คนส่วนมาก มักจะเลื่อมใสและชอบไปในแบบที่มีพิธีต่างๆ หรือที่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ จึงมองข้ามการทำจิตให้ผ่องใส สงบระงับกันไปเสีย
การปฏิบัติแบบนี้ แม้จะมีความหมายมุ่งไปสู่ฝั่งโน้น คือ ความสงบล่วงแดน แต่เมื่อไม่ถึงตามความหมาย ก็ไม่เกิดโทษอะไร คงได้ผลเท่าที่ได้ การทำแบบนี้ ทำได้เสมอ เพราะเป็นการทำจิต ซักฟอกจิตให้สะอาด มีแต่ได้ ไม่ต้องลงทุน แม้ไม่มีอาจารย์ควบคุมหรือสอบอารมณ์ก็ทำได้

หลักทำสมาธิภาวนา

การทำสมาธิภาวนา ในอาศรมเวฬุวัน หลักใหญ่ทำแบบในยอธรรมยอดคาถาสูตร
หลักในยอดธรรมยอดคาถาสูตร ก็คือ ทำจิตของเราให้ว่างจากความนึกความคิด และอารมณ์ที่เกาะที่ถือใดๆทั้งปวง
ไม่ให้มีที่ภายในและที่ภายนอก
ไม่ให้มีที่ล่วงไปแล้วและที่ยังมาไม่ถึง ไม่ให้มีแม้ที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันเฉพาะหน้าขณะนี้
ด้วยวิธีทำในจิตในใจ สละปล่อยคลายวางอารมณ์ต่างๆ ที่นึกที่คิดและที่เกาะถือ ให้จิตว่าง เข้าถึงความสงบผ่องใส
ประหนึ่งผู้ขมักเขม้นทำความสะอาดดวงแก้ว อันเป็นที่รักที่ถนอมของตน หรือภาชนะเงินคำ(ทองคำ) ที่มีฝุ่นละอองเกาะกุมหนาแน่น ทำการปัดเป่าเช็ดถู ให้หมดจดสุกปลั่งใสสะอาดแวววาว โดยรอบฉะนั้น ฯ

การสละปล่อยคลายวาง เป็นทางดับทุกข์ ล่วงทุกข์ทั้งหลาย เป็นทางเข้าถึงฝั่งอมตะนิพพาน ที่คนทั้งหลายเข้าถึงได้โดยยาก ฝั่งอมตะนิพพานนี้ เป็นธรรมประเสริฐ เป็นธรรมยอดเยี่ยม ที่พระตถาคตผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแสดงไว้ดีแล้ว ฯ
เนื้อความหรือใจความ ในยอดธรรมยอดคาถาสูตร ก็มีเนื้อความใจความสำคัญ เท่านี้แล ฯ


การทำสมาธิภาวนา

ผู้ทำสมาธิภาวนา ก็เหมือนกับผู้จะข้ามฟาก จากฝั่งนี้ไปสู่ฝั่งโน้น ฝั่งนี้มีทุกข์ภัย ฝั่งโน้นไม่มีทุกข์ภัย
พระพุทธองค์ตรัสไว้ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษผู้จะข้ามห้วงน้ำใหญ่ ฝั่งข้างนี้น่าเกลียด มีภัยตั้งอยู่เฉพาะหน้า ฝั่งโน้นเกษมไม่มีภัย ถ้ากระไรเราถึงรวบรวมหญ้า กิ่งไม้และใบไม้ มาผูกเป็นแพ แล้วอาศัยแพนั้น พยายามด้วยมือและเท้าข้ามไป
บุรุษนั้น กระทำตามดำรินี้ พึงข้ามไปสู่ฝั่งโน้น ด้วยความสวัสดีได้ ฯ


ฝั่งนี้ฝั่งโน้น

ฝั่งนี้……..ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ หรือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ชื่อว่า ฝั่งนี้ หรือจะเรียกย่อๆว่า อารมณ์ทั้งหลายก็ใช่
ฝั่งโน้น……หมายถึงอมตะนิพพาน ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ชี้ไว้ คือ ธรรมชาตินั่นสงบละเอียด ธรรมชาตินั่นประณีตยอดเยี่ยม(เอตังสันตัง เอตังปะณีตัง) ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่(อัตถิภิกขะเว ตะทายะตะนัง)
อมตะนิพพาน หมายถึงฝั่งโน้น คือ ฝั่งพ้นทุกข์ พ้นภัย อมตะ แปลว่า ไม่ตาย นิพพาน แปลว่า พ้นทุกข์ หรือ ไม่ทุกข์ อมตะก็ดี นิพพานก็ดี มักเข้าใจผิดกันว่า เป็นสภาพเปล่า สภาพสูญ ไม่มีอะไร แต่ความจริงตรงกันข้าม คือ หมายความว่ามีอยู่ และไม่เปล่า ไม่สูญ ทั้งไม่ตาย คือ มีอยู่ โดยเป็นธรรมชาติสงบละเอียด แลประณีตยอดเยี่ยม และเป็นอายตนะที่เหนืออายตนะใดๆทั้งนั้น และเป็นสุขอย่างยิ่ง

ฝั่งโน้นมี และผู้ที่ไปสู่ฝั่งโน้นแล้วก็มี มีพระพุทธเจ้า ทั้งสาวกสาวิกา นับจำนวนไม่ถ้วน
ปัจจุบัน ฝั่งโน้นก็ยังเป็นฝั่งโน้นอยู่เหมือนเดิม 2 พันกว่าปีมาแล้ว อย่างใดก็อย่างนั้น
แท้จริง อมตะนิพพาน ไม่มีอดีต อนาคต ไม่มีเบื้องต้นที่ตั้งขึ้นและเบื้องปลายที่ต้องสลาย เป็นกาลิโกและอนันตัง พระพุทธองค์จะพบธรรมนี้ได้ก็แสนยาก ครั้นเมื่อพบแล้ว ที่เรียกว่า ตรัสรู้ ก็ยังท้อพระหฤทัย ก็จะบอกจะสอนผู้อื่น เพราะมาทบทวนดูแล้ว เห็นว่าอมตะนิพพาน นี้เป็นธรรมล้ำลึก สงบประณีตยิ่งนัก ยากที่สัตว์ทั้งหลายจะรู้ได้ สอนไปแล้วเขาไม่รู้ ก็จะเป็นการลำบากเปล่า แต่แล้วภายหลังก็มาเห็นว่า เหมือนบัว4เหล่า ผู้ที่พอจะรู้ได้ก็มีอยู่ จึงกลับมีพระหฤทัยน้อมไปเพื่อจะโปรดสัตว์ตามปณิธาน ที่ได้สร้างพุทธบารมีมา 4 อสงไขยกับแสนกัลป์ อมตะนิพพาน หรือ ฝั่งโน้น อันเป็นฝั่งมีอยู่ และก็ไม่ใช่จะอยู่ไกล ที่จะต้องไปถึงได้ด้วยการเดินเท้าหรือด้วยยานใดๆ อยู่ใกล้ที่สุด คือ ที่ตัวเรา หรือ จิตของเรานี้เอง แต่เส้นผมบังภูเขา เราจึงมองไม่เห็น หมอกม่าน ฝ้าฟาง บังตาของเราอยู่ท่านผู้รู้บอกเราว่า ฝั่งอยู่ข้างหน้าเรานี้นี่แหละ เรามองไปข้างหน้าตามที่ท่านบอก ก็เห็นเพียงน้ำเขียวๆกับฟ้าสีครามเท่านั้น ไม่เห็นฝั่ง หากเราลงมือทำตามที่ท่านบอกไปตามทิศทางที่ท่านชี้ ย่อมไม่ผิดหวัง แม้จะยังไม่ถึงฝั่งโน้น ผลที่ได้ทันทีในขั้นแรก โดยไม่ทันรู้ตัว ก็คือ ความเบา ความปลอดโปร่ง ความเป็นตัวเอง ความอิ่มเอิบ ความเยือกเย็น เบิกบาน

ที่มา
http://www.buddha-dhamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=334451&Ntype=4

128
มหาสติปัฏฐานสูตร(ปฏิบัติ)ด้วยวิธีธรรมชาติ
มหาสติปัฏฐาน 4

“เฒ่าไม้แห้ง”

คำนำ

ด้วยสำนึกที่มีต่อศาสนาธรรมนี้ว่า ต้องรับผิดชอบสืบทอดอุดมการณ์แห่งพระศาสดาพระพุทธะ ผู้ประเสริฐหลายพระองค์นั้นให้ถูกต้อง ตรงแนว ชอบธรรม บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด อย่างชนิดว่า มีอยู่ทุกหยาดหยดของชีวิต ด้วยการทำดีให้เขาดู เป็นครูให้เขาเห็น ผู้อื่นจะได้ทำตามเป็น…….รวมทั้งเกิดกระแสการเรียกร้องให้บอก แสดง สอน ถึงวิธีการปฏิบัติบำเพ็ญ สติ สมาธิ เพื่อให้เกิดปัญญารู้ทั่วถึงธรรม……..
ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงเป็นที่มาของข้อเขียน อันประกอบไปด้วยวลีของการบอกกล่าวเล่าสู่กันฟัง เป็นวลีถ้อยกระทงความ ที่มิอาจจะเอาไปเปรียบกับหลักวิชา หรือตำราใดๆได้มากนัก เกรงจะเป็นที่เสื่อมเสียต่อตำรับตำราวิชาเหล่านั้น………
ข้อเขียนทั้งหมดนี้ คงจะมีค่าเพียงแค่ คำพูด คำบอก คำชี้แจงของเพื่อนผู้ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย คนหนึ่งเท่านั้น และเมื่อท่านกับผู้เขียนเป็นเพื่อนกัน จึงจำเป็นอยู่เองที่จะต้องพูด ต้องบอก ต้องเตือนกันตรงๆ ด้วยความจริงใจอย่างจริงจัง โดยมุ่งหวังให้เพื่อนได้รับประโยชน์สูงสุด ในการมีชีวิต ผู้เขียนหวังว่า เพื่อนผู้ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งหลาย คงจะไม่ถือสาในข้อผิดพลาดพลั้งไปต่อการทำ พูด คิด ที่เราลิขิตขีดเขียนมา หวังว่าเพื่อนผู้มีปัญญา จะพิจารณาเลือกเอาแต่ประโยชน์ที่ดี มีคุณ ถูกใจ เอาไปใช้ให้ได้สาระ……….
ความรู้ที่ผู้เขียน นำมาบอกกล่าวเล่าสู่กันฟังนี้ มันจะดูไร้ค่าเสียจริงๆ ถ้าเพื่อนๆเพียงแต่อ่าน แล้วก็ปล่อยให้มันผ่านๆไป แต่ถ้าจะให้ข้อเขียนนี้มีค่าราคาสาระขึ้น เพื่อนๆต้องทดลองปฏิบัติมันด้วยความจริงจัง พร้อมกายรวมใจ แล้วเพื่อนทั้งหลายคงจะมีคำตอบของตนเองว่า ไร้สาระหรือมีสาระ………..


ท้ายนี้ต้องขอบูชา พระธรรมของพระพุทธะ ผู้ประเสริฐหลายพระองค์นั้น ที่ทำให้ผู้เขียนมีความเพียร มีปัญญา ได้พบประสบการณ์ทางวิญญาณอันเยี่ยมยอดสุดบรรยาย ขอบพระคุณพ่อแม่ และกรรมที่ให้ชีวิต เลือดเนื้อ วิญญาณ จนได้พบพระธรรมอันวิเศษ หอมหวานในชาตินี้ ขอบคุณครูอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิทยาการแต่เล็กๆ จนพออ่านออกเขียนได้ ขอบคุณญาติและท่านผู้มีคุณทั้งหลายที่ให้อาหาร ที่อยู่อาศัย ปัจจัย 4 ด้วยสำนึกในพระคุณครั้งนี้ เราจะไม่ทำให้ท่านลำบากใจ ไม่สบายใจ ขอบคุณลูกหลาน และสานุศิษย์ทั้งหลาย ที่ช่วยให้การบำเพ็ญบารมีครั้งนี้สัมฤทธิผล ขอบคุณภิกษุ สุธี ขันติชโย กับภิกษุ สนธิชัย ปุญญกาโม และภิกษุ ชูศักดิ์ ชาตปัญโญ ที่ช่วยหาข้อมูลและแก้คำผิด ทั้งยังช่วยเรียบเรียงลงเครื่องคอมพิวเตอร์ ขอบคุณหนังสืออานาปานสติภาวนา ของท่านพุทธทาส ที่ช่วยให้ข้อมูล ขอบคุณหนังสือพจนานุกรมพุทธศาสน์ ของท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก ที่ช่วยให้ความกระจ่างเรื่องศัพท์แสงทางวิชาการ ขอบคุณมูลนิธิธรรมะอิสระและคณะกรรมการ ผู้จัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ขอบคุณท่านที่บริจาคและจ่ายกระตังค์ ขอให้โชคดี


หลวงปู่เทพโลกอุดร

ที่มา
http://www.buddha-dhamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=334451&Ntype=4

129
คำวัด - ตักบาตรเทโวโรหนะ


ภาพพลังศรัทธาญาติโยมอย่างล้นหลาม ที่นำอาหารหวาน อาหารคาว ข้าวต้มลูกโยน ข้าวต้มมัด รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ อาจจะป็นดัชนีชี้วัดความ
สำเร็จของการโหมงบโฆษณาของ ททท.

   แต่เชื่อหรือไมว่า อาหารคาวหวานที่ญาติโยมเตรียมใส่ภาชนะไปเป็นอย่างดี ถูกจัดเตรียมมาล่วงหน้าเป็นวัน หลังจากใส่บาตรแล้วถูกถ่ายลงกระสอบปุ๋ยราวกับของไร้ค่า เรื่องที่พระจะนำไปฉันนั้นไม่ต้องพูดถึง บางแห่งถูกทิ้งอย่างไร้ค่า ที่ดีหน่อยก็ถูกนำไปมอบต่อยังสถานสงเคราะห์ต่างๆ
 
 มีคำพูดหนึ่งที่น่าคิด คือ "การทำบุญอยู่ที่เจตนาอันบริสุทธิ์ ไม่ได้อยู่ที่สถานที่ ตักบาตรเทโว ณ วัดใกล้บ้านก็ได้บุญไม่แพ้กัน"
 สำหรับที่นิยมตักบาตรเทโวของภาคกลาง จะทำบุญเป็น ๒ วัน คือ วันออกพรรษากับวันเทโว ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ และวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ในวันออกพรรษา ก็มีการฟังเทศน์ตอนสาย และรักษาอุโบสถศีล

 ในภาคใต้ก็มีประเพณีชักพระ (พระพุทธรูป) ทางภาคใต้เรียกว่า พิธีลากพระ มี ๒ กรณี คือ ชักพระทางบก และชักพระทางน้ำ ถึงแม้ภาคนี้จะมีความแตกต่างไปจากภาคอื่น ภาคใต้ก็มีจุดประสงค์ปรารภเหตุ การเสด็จลงมาของพระพุทธเจ้าจากเทวโลกมาถึงพื้นโลก ในวันปวารณาออกพรรษาเช่นเดียวกัน

พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม ได้อธิบายความหมายของคำว่า "ตักบาตรเทโว" หมายถึง การทำบุญตักบาตรในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ เนื่องในโอกาสที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเทวโลก
 คำว่า "เทโว" ย่อมาจากคำว่า "เทโวโรหนะ" ซึ่งแปลว่า การเสด็จลงจากเทวโลก
 ความเดิมมีว่า ในพรรษาที่ ๗ นับแต่วันตรัสรู้พระพุทธเจ้าเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อเทศน์โปรดพระพุทธมารดา จนบรรลุโสดาปัตติผล ครั้นออกพรรษาในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ แล้ว จึงเสด็จลงจากเทวโลกที่เมืองสังกัสสะนคร ในกาลที่เสด็จลงจากเทวโลก ได้มีเนินเป็นอันเดียวกันจนถึงพรหมโลก

 เมื่อทรงแลดูข้างล่าง สถานที่นั้นก็มีเนินอันเดียวกันจนถึงอเวจีมหานรก ทรงแลดูทิศใหญ่และทิศเฉียง จักรวาลหลายแสนก็มีเนินเป็นอันเดียวกัน เทวดาก็เห็นพวกมนุษย์ แม้พวกมนุษย์ก็เห็นเทวดา สัตว์นรกก็เห็นมนุษย์และเทวดา ต่างก็เห็นกันเฉพาะหน้าทีเดียว ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงเปล่งฉัพพรรณรังสี ขณะที่พระองค์เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

 รุ่งขึ้นวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ชาวเมืองจึงพากันทำบุญตักบาตรเป็นการใหญ่ เพราะไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้ามาถึง ๓ เดือน การทำบุญตักบาตรในวันนั้นจึงได้ชื่อว่า "ตักบาตรเทโวโรหนะ" ต่อมามีการเรียกกร่อนไป เหลือเพียง "ตักบาตรเทโว"

"พระธรรมกิตติวงศ์ "

ที่มา
http://www.komchadluek.net/detail/20101022/76972/ คำวัด-ตักบาตรเทโวโรหนะ.html

130
ต่อจากตอนที่ 1
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23638


ทีมารูปภาพ http://www.santidham.com/tatu1st/tatu/present/p-taou/p-taou.html
e ๓๓ f
อดีตพระราชาเมืองตองฮู้

วิญญาณที่มาในรูปชีปะขาวหนุ่มได้เล่าเรื่องราวในอดีตของตนถวายหลวงปู่ว่า

“แต่ก่อนข้าพเจ้าเป็นพระราชาอยู่เมืองตองฮู้ ระยะแรกได้เมินเฉยต่อพระธรรมคำสอน เพราะโลภมากในทรัพย์สมบัติ แต่ระยะหลังๆ ตอนบั้นปลายของชีวิตได้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์เคยเสด็จมาโปรด ข้าพเจ้าก็ได้รับศีลรับพรจากท่าน ได้กราบทูลขอให้พระพุทธองค์ได้ประทับรอยพระบาทไว้เพื่อเป็นที่สักการบูชาแก่ชาวเมือง

พระองค์ได้ทรงประทับรอยพระพุทธบาทไว้อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล อยู่กลางแม่น้ำที่พนังหินกลางแม่น้ำ แม่น้ำนี้ลึกท่วมหลังช้างเท่านั้น ไม่ลึกมากเท่าไรแม่น้ำนี้อยู่ใกล้เมืองประดู่ขาว

ปัจจุบันแม่น้ำนี้เรียกชื่อว่า แม่น้ำปอน และเมืองประดู่ขาวเปลี่ยนเป็น เมืองรัว”

วิญญาณนั้นบอกย้ำอีกว่า “รอยพระพุทธบาทนั้นอยู่กลางแม่น้ำนั้น นิมนต์ท่านไปดูและนมัสการด้วย ถ้าท่านนับถือพระพุทธเจ้าจริงๆ แล้วก็จะบอกหนทางเดินให้ แต่ท่านอย่าลืมว่าตรงปากทางเข้าไปจะถึงแม่น้ำนั้น จะมีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง เมื่อเข้าไปในถ้ำนั้นจะเห็นหินยาวรีมีลักษณะคล้ายงู แต่เป็นก้อนหินธรรมดา มนุษย์ทั่วไปเข้าใจว่าเป็นงูเพราะมีแต่ความกลัวเป็นใหญ่ ให้ท่านเดินข้ามไปหรือเหยียบไปเลยก็ได้ และภายใต้หินก้อนนั้นมีไหเงินและทองคำอยู่ ๔ ไห ถ้าหากท่านพระอาจารย์จะเอาไปเพื่อเป็นการเมตตาต่อข้าพเจ้าแล้วก็ขอน้อมถวายท่านเลย”

เมื่อพูดเพียงนี้แล้ว ชีปะขาวหนุ่มนั้นก็กราบลาแล้วก็หายไป

e ๓๔ f
เดินทางไปดูรอยพระพุทธบาท

หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโมได้พักภาวนาอยู่ที่นั่นเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ก็ออกเดินทางเพื่อไปดูรอยพระพุทธบาทตามที่วิญญาณอดีตพระราชาเมืองตองฮู้ ได้บอกไว้เมื่อคืนก่อน
หลวงปู่เล่าว่า ท่านใช้เวลาเดินทางตามที่วิญญาณบอก ๑ วันเต็มๆ ก็ไปถึงปากถ้ำทางเข้าไปเพื่อดูรอยพระพุทธบาทนั้น ท่านได้พบก้อนหินยาวเหมือนรูปงูจริงๆ ซึ่งมันก็เป็นก้อนหินธรรมดานั่นเอง เดินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงริมแม่น้ำ ก็มองเห็นหินก้อนใหญ่เหมือนภูเขาทั้งลูกตั้งอยู่กลางแม่น้ำเลย และก็ได้พบรอยพระพุทธบาทตามคำบอกเล่าจริงๆ

รอยพระพุทธบาทนี้ยาวประมาณ ๘ ศอก กว้าง ๖ ศอก สูง ๔ ศอก โดยประมาณเห็นจะได้

เมื่อพิจารณาแล้ว เห็นว่าเป็นรอยพระพุทธบาทที่พระพุทธองค์ประทับไว้จริงๆ หลวงปู่ จึงได้กระทำการสักการะ แล้วก็จากสถานที่นั้นไป

ขณะที่หลวงปู่ตื้ออยู่ปฏิบัติภาวนาในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตามดอยตามป่าต่างๆ นั้น ท่านมักจะเจอกับพวกกายทิพย์ และมีเหตุการณ์แปลกๆ มารบกวนการบำเพ็ญภาวนาของท่านเสมอ

หลวงปู่ได้ใช้ความอดทนอดกลั้นเอาชนะด้วยการบำเพ็ญภาวนาไปทุกครั้ง
พวกวิญญาณหรือกายทิพย์ทั้งหลายเหล่านี้ ส่วนมากมักจะเป็นพวกที่อยู่เฝ้าสมบัติมีค่าต่างๆ เมื่อได้ทดสอบความมั่นคงทางจิตใจของหลวงปู่แล้ว วิญญาณเหล่านั้นก็จะบอกถวายสมบัติที่พวกเขารักษานั้นให้ แต่หลวงปู่ก็ไม่เคยสนใจ คงมุ่งหน้าแต่การปฏิบัติพระธรรมกรรมฐานเพียงอย่างเดียว

e ๓๕ f
พุทโธช่วยให้พ้นภัยอันตรายได้

ลูกศิษย์ลูกหาต่างก็เชื่อมั่นว่า นับตั้งแต่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ท่านบวชมาในพระพุทธศาสนาท่านก็ได้ดำเนินปฏิปทาในการปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด ไม่เคยรู้สึกท้อแท้ หลวงปู่ท่านบอกว่า “จงสละไปเถิดวัตถุธรรม เพื่อความดี คือพระธรรม อันเป็นความดีที่สุดของชีวิต”

จากเรื่องราวชีวิตของหลวงปู่ จะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่ท่านได้ออกธุดงค์ครั้งแรกเป็นต้นมา ก็จะพบเจ้าที่เจ้าทางและวิญญาณทั้งหลายมาทดสอบความเข้มแข็งทางจิตใจ เพื่อจะเอาชนะท่านเสมอ แต่ด้วยวิสัยของลูกศิษย์พระตถาคตแล้ว ท่านไม่เคยท้อแท้ หรือลดละความพยายามในการปฏิบัติธรรมเลย

การท่องธุดงค์ของหลวงปู่ มักจะเป็นการผจญภัยใกล้ต่ออันตรายในชีวิตเสมอ นับเป็นปกติที่หลวงปู่ไม่ได้ฉันอาหารติดต่อกันตั้งแต่ ๗-๑๕ วัน เพราะต้องท่องเที่ยวอยู่ในป่าเขาที่ไม่พบผู้คนเลย ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าหลวงปู่ตื้อ และพระธุดงค์ทั้งหลายท่านไม่มีความพึงพอใจในการกระทำเช่นนั้น ท่านเต็มใจทำไปเพื่อความเห็นแจ้งตามแนวทางธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง

เมื่อเวลาท่องธุดงค์ในป่าเขาที่ห่างบ้านผู้คน ท่านจะต้องนึกเอา พุทโธ เป็นอารมณ์ทำให้เกิดกำลังใจ จิตใจแช่มชื่น ทนต่อความหิวและความกระวนกระวายลงได้

ท่านทั้งหลายยอมสละตาย มอบกายถวายชีวิตเพื่อค้นหาพระธรรม จึงไม่มีอะไรที่จะเป็นอุปสรรคต่อการบำเพ็ญเพียรของท่านเลย ท่านมีใจเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นต่อการค้นหาพระธรรมอย่างแท้จริง
นิสัยของหลวงปู่ตื้อที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ท่านชอบรู้สิ่งต่างๆ ที่เร้นลับ เช่น พวกกายทิพย์ ผีสางเทวดา เปรต และวิญญาณต่างๆเป็นต้น

หลวงปู่เคยเล่าให้บรรดาศิษย์ฟังเสมอ เกี่ยวกับพวกกายทิพย์นี้ เรื่องที่ท่านบอกเล่าล้วนแต่น่าอัศจรรย์ เพราะเป็นเรื่องที่นอกเหนือที่มนุษย์ธรรมดาสามัญจะรู้ได้ แต่สำหรับผู้สนใจใฝ่รู้ในด้านการปฏิบัติตามแนวทางพระพุทธศาสนาแล้วก็เชื่อมั่นว่าเป็นความจริง

หลวงปู่ตื้อ ท่านยืนยันว่าเรื่องสิ่งเร้นลับต่างๆ เกี่ยวกับภพภูมิที่แตกต่างออกไป เช่นพวกกายทิพย์ เทวดา ผีสางนางไม้ สัตว์นรกและเปรตต่างๆ นั้นเป็นสิ่งที่มีจริง สามารถสัมผัสรู้เห็นได้ ถ้าเรามีการฝึกฝนด้านจิตใจจนมีความละเอียดเพียงพอ

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-tue/lp-tue-hist-03.htm

131
หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม
พระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์ในยุคปัจจุปัน


โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๒
รศ.ดร.ปฐม - ภัทรา นิคมานนท์ เรียบเรียง

e ๑ f

บรรดาศิษย์สายกรรมฐานส่วนใหญ่มักจะคุ้นชื่อและได้ยินกิตติศัพท์ของ หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เป็นอย่างดี ท่านมีปฏิปทาที่แปลก น้ำใจเด็ดเดี่ยว โผงผาง ตรงไปตรงมา มีแง่มุมต่างๆ ที่ครูบาอาจารย์มักจะกล่าวถึงเสมอๆ และเล่าถ่ายทอดต่อกันมา ครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นที่น่าสนใจทั้งผู้เล่าและผู้ฟังเป็นอย่างยิ่ง

จัดได้ว่า หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม  เป็นพระป่าที่ดังมากองค์หนึ่ง ในบรรดาศิษย์รุ่นแรกๆ ของ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
หลวงปู่ตื้อ เป็นศิษย์องค์หนึ่งที่ออกธุดงค์ติดตามหลวงปู่มั่น ไปหลายปี ในแถบป่าเข้าทั้งทางภาคอีสานและภาคเหนือ

ท่านเป็นศิษย์องค์หนึ่งที่หลวงปู่มั่นไว้วางใจ และมักพูดกับสานุศิษย์ทั้งหลายว่า “ใครอย่าไปดูถูกท่านตื้อนะ ท่านตื้อเป็นพระเถระ”

บรรดาศิษย์รุ่นหลังจะรู้จักหลวงปู่ตื้อดี เพราะท่านเป็นสหธรรมิกกับหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่

หลวงปู่ตื้อ กับ หลวงปู่แหวน มักจะเดินธุดงค์ไปด้วยกันเป็นส่วนใหญ่ ทั้งๆ ที่อุปนิสัยของหลวงปู่ทั้งสององค์นี้ผิดกันไกล แต่ท่านก็ไปด้วยกันได้เป็นอย่างดี

หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่แหวน และหลวงปู่ขาว อนาลโย ท่านสนิทสนมกันมากที่สุด นี่ว่าตามคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ ท่านว่าไว้อย่างนั้น

จุดเด่นที่ทำให้หลวงปู่ตื้อ เป็นที่กล่าวขวัญกันมากคืออุปนิสัยขวานผ่าซากในวาจา ท่านมีนิสัยโผงผางไม่กลัวใคร มีเทศนาโวหารที่ไม่เคยไว้หน้าใครไม่ว่าคนมั่งมีหรือยาจกท่านใช้คำพูดเหมือนกันหมด พูดตรงๆ ไม่ต้องเสกสรรปั้นแต่ง

ท่านบอกว่า ท่านเทศน์ตามความจริง ไม่ได้เทศน์เพื่อเอาสตางค์หรือเทศน์เพื่อเอาใจใคร ญาติโยมบางคนบอกว่า หลวงปู่ตื้อ เทศน์หยาบคาย รับไม่ได้ก็มี

มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ กำลังแสดงธรรมเทศนาอยู่ ท่านเทศน์ผ่านเครื่องขยายเสียง มีญาติโยมบางกลุ่มคุยกันจ๊อกแจ๊ก แข่งกับการเทศน์ของท่าน ในขณะที่ท่านหลับตาเทศนาอยู่ ท่านได้หยุดเทศน์ฉับพลัน แล้วพูดผ่านไมโครโฟนเสียงดังว่า

“เอ้า ! หลวงตาตื้อเทศน์ให้ฟัง พวกสูบ่ฟัง เอ้า ! ฟังตดซะ”

แล้วก็มีเสียงประหลาดดังผ่านลำโพงออกมาสองสามชุด ทุกคนเงียบกริบ โยมคนหนึ่งตั้งสติได้ก่อนเพื่อน จึงพูดเสียงดังว่า “ขอให้หลวงตามีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์”
แล้วโยมคนอื่นๆ ก็ยกมือ และกล่าวพร้อมกับว่า “สาธุ !”

ในการเทศน์อีกครั้งหนึ่ง ได้มีกลุ่มพระภิกษุหนุ่ม เป็นมหาเปรียญและได้รับการศึกษาที่ทันสมัย ตามมาฟังเทศน์ด้วยในระหว่างที่หลวงปู่ตื้อขึ้นเทศน์ พระภิกษุหนุ่มเหล่านั้นซุบซิบกันพอได้ยินในกลุ่ม ไม่สามารถได้ยินไปถึงหลวงปู่ได้อย่างแน่นอน

บรรดาพระหนุ่มซุบซิบกันว่า หลวงปู่ตื้อไม่พัฒนา เทศน์โบราณ มีแต่ของเก่าๆ ไม่ทันยุคทันสมัยเลย

หลวงปู่ ท่านหยุดเทศน์ เดินตรงไปยังพระรูปนั้น ท่ามกลางความงุนงงของบรรดาญาติโยม ท่านนิมนต์พระภิกษุหนุ่มรูปนั้นขึ้นเทศน์ แล้วท่านก็พูดเสียงดังชัดเจนว่า “เอ้า ! หลวงตาจะคอยฟังคุณเหลน คุณมหา ขอให้เทศน์เอาแต่ของใหม่ๆ นะ...”

พระมหาหนุ่มรูปนั้นก็เดินขึ้นธรรมาสน์ด้วยความมั่นใจ คงคิดที่จะเทศนาธรรมแบบใหม่ตามยุคสมัย ตามแบบพระผู้มีปริญญามหาเปรียญ
เมื่อพระมหาหนุ่มขึ้นต้นว่า “นะโม...” เท่านั้น หลวงปู่ตื้อ ท่านก็บอกให้หยุดเทศน์

“หยุด หยุด คุณเหลน หยุด ไม่เอา - ไม่เอา นะโม มันของเก่า มีมากว่าสองพันปีแล้วคุณเหลน...”
ญาติโยมทั้งศาลาหัวเราะกันฮาครืน ! :004:

หลวงปู่ตื้อ ท่านคุ้นเคยกับ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺธโร) แห่งวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน เวลาเข้ากรุงเทพฯ หลวงปู่จึงมาพักที่วัดแห่งนี้เสมอ

ท่านสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กล่าวถึงหลวงปู่ตื้อ ว่า “หลวงปู่ตื้อนี้ ท่านไม่กลัวใคร ไม่ว่าสมเด็จฯ หรือแม้แต่ท่านอาจารย์มั่น ท่านก็ไม่กลัว ท่านเป็นพระที่จัดว่าดื้อทีเดียว...”

เรื่องที่หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม  ชอบทำอะไรแปลกๆ ผิดไปจากสมณะรูปอื่นนี้ หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร ได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า

หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร

“พระอรหันต์นั้น เปลี่ยนวาสนาเดิมไม่ได้ นอกจากพระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะเปลี่ยนวาสนาเดิมได้ แม้แต่พระสารีบุตร ท่านก็ยังเดินเหินไม่เรียบร้อย กระโดกกระเดก” (เพราะในอดีตชาติพระสารีบุตรเคยเป็นลิงป่ามาก่อน บุคลิกลักษณะเดิม หรือที่พระท่านเรียกว่า วาสนาเดิมจึงยังติดตัวอยู่ ละได้ไม่หมด__ผู้เขียน)

หลวงปู่หลุย ได้เล่าต่อไปว่า : -

“เมื่อครั้งพุทธกาล มีพระอรหันต์รูปหนึ่งไปเรียกผู้อื่นว่า บุรุษถ่อย ผู้ถูกเรียกก็พากันกราบทูลพระพุทธองค์ พระองค์ตรัสว่า มันเป็นนิสัยเดิม เปลี่ยนไม่ได้ แต่จิตของพระรูปนั้นท่านไม่มีเจตนาที่จะดูถูกใครว่าเป็นคนเลว ทว่ามันติดปาก เลิกไม่ได้”

ผู้เขียนเคยกราบเรียนถาม หลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม ในปัญหาเดียวกันนี้ คำตอบโดยสรุปท่านว่า “พระอรหันต์ท่านไม่มีมายา ยังมีเหลือแต่กริยา ซึ่งไม่ต้องปรุงแต่ง แสดงออกไปตรงๆ ตามวาสนาเดิมของท่าน ไม่สามารถแก้ให้หายได้ นอกจากพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น...”

หลวงปู่เพ็งท่านยังยกตัวอย่างหลวงปู่บุดดา ถาวโรแห่งวัดกลางชูศรีเจริญสุข จังหวัดสิงห์บุรีว่า “...มีอีหนูพยาบาลคอยเช็ดเนื้อเช็ดตัว เช็ดขี้ เช็ดเยี่ยวให้ท่าน จะหาว่าท่านอาบัติไม่ได้หรอก เพราะจิตของท่านพ้นสมมุติไปแล้ว เรื่องเพศชาย-หญิงไม่สามารถทำให้ท่านเกิดกามกิเลสได้ ไม่เหมือนกับจิตปุถุชนทั่วไป...”

เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องน่าคิดสำหรับผู้สนใจใฝ่ธรรม เรื่องศีล เรื่องวินัย เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดก็จริง แต่เมื่อดวงจิตหลุดพ้นจากสมมุติแล้ว เรื่องกรอบของศีลของวินัยก็มิใช่เรื่องจำเป็นสำหรับท่านแล้ว

แต่...ถ้าอยู่ในสังคมก็เป็นจุดที่ทำให้ผู้ที่ไม่รู้ยกขึ้นมาเป็นประเด็นตำหนิเพ่งโทษได้ ทำให้ผู้ไม่รู้บาปได้เหมือนกัน
จึงต้องระวัง ! :069:

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-tue/lp-tue-hist-01.htm

132
พล.ตรี หลวงวิจิตรวาทการ



ประวัติชีวิตตอนต้น

          หลวงวิจิตรวาทการ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๔๑ เจ้าของประวัติบันทึกไว้ว่า
"ข้าพเจ้าเกิดบนแพ ริมแม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี เมื่อรู้ความ เห็นบิดามารดาของข้าพเจ้า
มีเรือพายม้าลำหนึ่ง แม่แจวหัว และพ่อแจวท้าย พวกข้าพเจ้าเป็นพวกมีลูกมาก
แม่ของข้าพเจ้ามีลูกถึง ๘ คน"

          "แม่ของข้าพเจ้าถึงแก่กรรมตั้งแต่ตัวข้าพเจ้ายังเล็ก ข้าพเจ้าเริ่มลำดับความต่างๆ
ได้ตั้งแต่อายุ ๕ ขวบ จำได้ว่าพ่อเคยเขียน ก. ข. ใส่กระดานชนวนไว้ให้ในเวลากลางคืน
และพอ ๔ นาฬิกา ก็ต้องแจวเรือไปค้าขายสองคนกับแม่ เวลานอนก็นอนกับย่า
ซึ่งเป็นคนจดจำนิยายต่างๆ ไว้ได้มาก และเล่าให้ฟังเสมอ จนกระทั่งเรื่องสังข์ทอง
เรื่องรามเกียรติ์ เรื่องอิเหนา เรื่องพระอภัยมณี และเรื่องขุนช้างขุนแผนเหล่านี้
อยู่ในสมองของข้าพเจ้าหมดก่อนที่จะลงมืออ่านได้เอง เมื่ออายุ ๘ ขวบ ได้เข้าโรงเรียนวัดขวิด
ตำบลสะแกกรัง สอบไล่ได้ชั้นประโยคประถม พ่อแม่ไม่มีทุนจะให้เข้าศึกษาต่อไป
จึงเปลี่ยนวิธีใหม่ ได้เข้าศึกษาในทางธรรมอยู่ในวัดมหาธาตุตั้งแต่อายุ ๑๓ ขวบ
จนถึงอายุ ๒๐ ปี สอบไล่ได้เปรียญ ๕ ประโยค จึงออกจากวัด"

          มีคนพูดกันแต่เดิมว่า หลวงวิจิตรวาทการ มีเชื้อสายเป็นจีน เพราะชื่อ "กิมเหลียง"
ซึ่งเป็นชื่อเดิม ข้อนี้ตามเอกสารของหลวงวิจิตรวาทการยืนยันไว้เองว่า

 "มีประเพณีพิเศษอยู่อย่างหนึ่งในจังหวัดอุทัยธานีเวลานั้น คือ บิดามารดามีชื่อเป็นไทยแท้ๆ
แต่ลูกต้องมีชื่อเป็นจีน บิดาของข้าพเจ้าชื่ออิน มารดาชื่อคล้าย ซึ่งเป็นชื่อไทยแท้ ๆ
ข้าพเจ้าเห็นบิดาของข้าพเจ้าบวชในบวรพุทธศาสนา ไม่เคยเห็นไหว้เจ้า และทุกสิ่งทุกอย่าง
เป็นไทย แต่ตัวข้าพเจ้ากลับได้ชื่อเป็นจีน น้องๆ คนหลังๆ เมื่อเกิดมาได้ตั้งชื่อเป็นไทย
แต่พอข้าพเจ้าไปยุโรปกลับมา เห็นเขาเปลี่ยนชื่อจีนไปหมด อิทธิพลของจีนในจังหวัดอุทัยธานี
นับว่าล้นเหลือ"

          เมื่อออกจากวัดแล้ว หลวงวิจิตรวาทการเริ่มเข้ารับราชการในกองการกงสุล
กระทรวงการต่างประเทศ ไม่เป็นการยากเลยสำหรับท่าน ที่จะเป็นคนเด่นคนดีขึ้นมาในกอง
ทั้งๆ ที่เป็นคนเข้ามาใหม่ เพราะเพียงแต่มาทำงานตรงเวลาเท่านั้น ก็เป็นคนเด่นคนดีได้แล้ว
บุคคลแรกที่ท่านไปยอมตัวเป็นสานุศิษย์ก็คือนายเวรผู้เฒ่านั่นเอง

     แทนที่จะรอให้เขาจ่ายงานมาให้ หลวงวิจิตรวาทการไปของานเขาทำ ขอให้เขาสอน
ให้เริ่มจากงานง่ายไปหางานยากขึ้นโดยลำดับ ก่อนที่คนอื่นจะมาพร้อม หลวงวิจิตรวาทการ
ทำงานเสร็จไปแล้วอย่างน้อยสองเรื่อง ชื่อของท่านจึงได้สะดุดตาผู้ใหญ่ มากขึ้นทุกวัน
ทั้งๆ ที่เป็นเสมียนชั้นต่ำที่สุด ท่านกล่าวว่าไม่เป็นการยากลำบากเกินไปเลย ที่จะสร้างความเด่น
ความสำคัญให้แก่ตัว ขอแต่เพียงให้มีความมักใหญ่ใฝ่สูงในการทำงาน และสร้างความดีเด่นของตน
ด้วย "งาน" ไม่ใช่ด้วยวิธีอื่น

 ภายหลังที่ได้ทำงานในกองการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ เป็นเวลา ๒ ปี
หลวงวิจิตรวาทการได้มีโอกาสออกไปยุโรป ในตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการสถานทูตไทย
ประจำกรุงปารีส ท่านมีส่วนได้เปรียบคนอื่นๆ โดยที่เป็นคนรู้ภาษาไทยดีกว่าคนอื่นในสถานทูต
ทำให้ท่านได้ทำงานอย่างกว้างขวาง จึงได้รับหน้าที่ตามเสด็จท่านราชทูตไปในการประชุม
หรือในงานเจรจาทุกแห่ง และที่สำคัญต้องทำรายงานส่งเข้ามาในกรุงเทพฯ เป็นภาษาไทย

          ในที่สุดหลวงวิจิตรวาทการก็ได้พบงานประจำสำหรับตัวท่าน คืองานสันนิบาตชาติ
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร ได้ทรงเขียนไว้ที่หนึ่งว่า "การได้เข้าประชุม
และทำงานสันนิบาตชาตินั้น เท่ากับว่าได้ผ่านการศึกษาในมหาวิทยาลัยขั้นสูงสุด"

ที่มา
http://www.kingramamusic.org/history/p6.htm

133
คำวัด - พระเครื่อง เครื่องราง ของขลัง




คมชัดลึก :คติความเชื่อในการสร้างพระเครื่องส่วนใหญ่ การสร้างให้มีขนาดเล็ก เพื่อที่จะสามารถสร้างได้จำนวนมาก สำหรับบรรจุในพระพุทธเจดีย์ เพื่อว่าในอนาคตเมื่อพระพุทธศาสนาเสื่อมลง วัตถุต่างๆ พังทลาย ยังสามารถพบรูปสมมติของพระพุทธเจ้า เพื่อแสดงให้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา

   ใช้เป็นเครื่องรางสำหรับคุ้มครองป้องกันในการออกศึกสงครามของคนโบราณ เป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์อย่างหนึ่ง ปัจจุบันนิยมนำมาห้อยคอเป็นเครื่องรางสำหรับคุ้มครองป้องกัน และเพื่อความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต

คำว่า "พระเครื่อง" ในประเทศไทยนั้น เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ท่านสั่งเครื่องจักรจากยุโรปมาเพื่อผลิตเหรียญกษาปณ์ ทำให้มีการผลิตเหรียญของเกจิอาจารย์ขึ้น ทำให้เรียกว่าพระที่ทำจากเครื่องจักรว่า "พระเครื่อง" หรือเรียกพระองค์เล็กๆ ที่เป็นพระพิมพ์เรียกเหมือนกันว่า "พระเครื่อง"

 พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดราชโอสาราม ได้อธิบายความหมายของคำว่า "เครื่องราง" คือ ของที่นับถือว่าป้องกันอันตราย ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า เช่น ตะกรุด ผ้ายันต์ เหล็กไหล แม้พระเครื่องก็ถือว่าเป็นเครื่องรางเช่นกัน โดยเรียกว่า "พระเครื่องราง"

ส่วน "ของขลัง" คือของที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ มีพลัง มีอำนาจที่อาจบันดาลให้เป็นไป หรืออาจบันดาลสิ่งที่ต้องประสงค์สำเร็จได้

 สองคำนี้มักนิยมพูด หรือนิยมเขียนคู่กันเสมอ คือ เครื่องรางของขลัง
 เครื่องรางของขลัง ปกติเป็นเรื่องนอกคำสอนของพระพุทธศาสนา ถูกจัดอยู่ในประเภทไสยศาสตร์มากกว่า แต่เป็นที่นิยมกันมาแต่โบราณ ด้วยเห็นว่าพลังหรืออำนาจนั้น มาจากพุทธคุณ

 ในขณะที่คำว่า "พระเครื่อง" นั้น พระธรรมกิตติวงศ์ ได้อธิบายไว่ว่า ความหมายเดิม คือพระพุทธรูปองค์เล็กๆ ที่นับถือว่าเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันอันตราย เป็นคำย่อมาจากคำว่า "พระเครื่องราง"

 พระเครื่อง ปัจจุบันหมายรวมทั้งพระพุทธรูป และรูปพระสงฆ์ที่เรียกกันว่าเกจิอาจารย์ซึ่งหล่อเป็นองค์เล็กๆ หรืออัดจากผงชนิดต่างๆ ดุนเป็นรูปนูนขึ้นมา มีรูปทรงต่างๆ เช่น ทรงกลม สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม ที่ผ่านการปลุกเสกที่เรียกว่า "พุทธาภิเษก" มาแล้ว ถือกันว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ สามารถป้องกันอันตราย และนำโชคลาภมาให้ได้เป็นต้น

พระเครื่อง มีวิวัฒนาการมาก นอกจากนิยมในด้านความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังนิยมในด้านศิลปะ และความเก่าด้วย บางองค์มีค่ามากกว่าเพชรพลอย โดยเรียกการซื้อขายแลกเปลี่ยนว่า "เช่า"

"พระธรรมกิตติวงศ์"

ที่มา
http://www.komchadluek.net/detail/20101217/82969/คำวัดพระเครื่องเครื่องรางของขลัง.html

134
มหัศจรรย์แห่งโลกภายใน

บทความ    - วิมุตตะมิติ - มหัศจรรย์แห่งโลกภายใน


   การฝึกฝนอบรมจิตเพื่อถึงซึ่งความมหัศจรรย์แห่งโลกภายในหรือวิมุตตะมิติโดยหนทางเจโตวิมุตนั้นมีผลหรือมีอานิสงส์ที่เป็นธรรมดาธรรมชาติของการฝึกฝนอบรมในหนทางสายนี้ คือ อิทธิ ฤทธิ์ และปาฏิหาริย์ ผลโดยตรงตามธรรมดาธรรมชาตินี้เกิดขึ้นได้และต่างจากการฝึกฝนอบรมแบบปัญญาวิมุตก็เพราะว่าได้ตั้งอยู่บนฐานกำลังอำนาจของจิต

            กำลังอำนาจของจิตที่ได้รับการอบรมจนแกร่งกล้าขึ้นทำให้นามกายแปรเปลี่ยนเป็นทิพยกาย มีอินทรีย์และพละแก่กล้าขึ้น ทั้งมีรากฐานมาจากกัมมัฏฐานวิธีที่เกื้อกูลต่อการเกิด การกระทำ และการใช้อิทธิ ฤทธิ์ และปาฏิหาริย์ด้วย

            ส่วนการฝึกฝนอบรมโดยหนทางปัญญาวิมุตนั้นแม้จะอาศัยปัญญาเป็นตัวนำ แต่กำลังอำนาจของจิต อินทรีย์และพละก็ได้พัฒนายกระดับตามไปด้วย เป็นแต่ว่าไม่มีจุดเด่นหรือไม่เด่นชัดเหมือนกับการฝึกฝนอบรมโดยหนทางเจโตวิมุต ทั้งการเดินหนทางปัญญาวิมุต ปัญญาจะแก่กล้าจึงก้าวข้ามพ้นจากการเห็นความสำคัญของอิทธิ ฤทธิ์ และปาฏิหาริย์ ดังนั้นผู้ที่เดินหนทางสายนี้จึงมักที่จะไม่นิยมในการกระทำอิทธิ ฤทธิ์ และปาฏิหาริย์

            แต่ใช่ว่าอิทธิ ฤทธิ์ และปาฏิหาริย์ จะไม่เกิดขึ้น หรือกระทำไม่ได้ นั่นคือสามารถกระทำอิทธิ ฤทธิ์ และปาฏิหาริย์ได้ เป็นแต่ไม่อยากทำ ไม่สนใจที่จะทำ หรือฝึกฝนยกระดับพัฒนาความสามารถในทางนี้

            ดังตัวอย่างในระยะใกล้คือท่านเจ้าคุณพุทธทาสซึ่งแม้ว่าท่านจะเดินหนทางปัญญาวิมุต แต่ก็ปรากฏว่าท่านเจ้าคุณสามารถกระทำอิทธิ ฤทธิ์ และปาฏิหาริย์ได้ในบางระดับ เช่นการทดลองกระทำฤทธิ์ครั้งหนึ่งที่ทำให้ปลามาอยู่ในมือที่ชูขึ้นในอากาศ ซึ่งท่านเจ้าคุณเห็นว่าได้สัมผัสกับฤทธิ์แบบกระจุ๋มกระจิ๋มแล้วแต่เห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ จึงตั้งจิตว่าจะไม่กระทำเช่นนั้นอีกต่อไป เหตุนี้หลังจากท่านเจ้าคุณเริ่มเปิดการอบรมสั่งสอนแก่เวไนยสัตว์เป็นล่ำเป็นสันแล้วจึงไม่เคยปรากฏคุณสมบัติในเรื่องนี้

            สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงเดินหนทางปัญญาวิมุตเช่นเดียวกัน แต่ก็มีหลายครั้งที่ทรงกระทำอิทธิ ฤทธิ์ และปาฏิหาริย์ เช่นการกระทำโทรจิตนิมนต์พระอริยสงฆ์ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอาราธนา หรือการเจริญอิทธิบาทเพื่อให้คลายจากอาการพระประชวรตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอาราธนาเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2547 เป็นต้น

            สำหรับหลวงตาพระมหาบัวนั้นได้เดินในหนทางเจโตวิมุตเช่นเดียวกับพระป่าในสายพระอาจารย์มั่น จึงสามารถกระทำอิทธิฤทธิ์ได้ตามธรรมดาธรรมชาติของผู้ฝึกฝนอบรมปฏิบัติในหนทางเจโตวิมุตนี้ ในห้วงเวลาอันเป็นปัจจุบันนี้ก็ปรากฏว่าเคยกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ให้ประจักษ์ถึงสองครั้ง คือการกระทำอิทธิฤทธิ์แปลงมวลสารโมเลกุลในเลือดเพื่อรักษาโรคร้ายของบุคคลสำคัญจนรอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชได้อย่างมหัศจรรย์ และการกระทำอิทธิฤทธิ์ช่วยเหลือชีวิตบุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งให้รอดพ้นจากเหตุการณ์ระเบิดเครื่องบิน

            ในยุคต้นรัตนโกสินทร์ก็ปรากฏว่ามีพระมหาเถระหลายรูปที่เดินหนทางเจโตวิมุตและสำเร็จอภิญญาชั้นสูง เช่น สมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) หลวงพ่อวัดมะขามเฒ่า ผู้เป็นพระอาจารย์ของเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือแม้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ดังที่ปรากฏคำประกาศพระคุณว่า “เจ้าพระคุณฯ ผู้ทรงบำเพ็ญพรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ สำเร็จพรหมวิหารชั้นสูง เป็นเอกพระมหาเถราจารย์ ทรงพระอิทธิปาฏิหาริย์อันศักดิ์สิทธิ์ …” เป็นต้น

ที่มา
http://www.paisalvision.com/2008-11-06-05-16-28/616--71.html

135
"วิธีฝึกทิพยจักษุของฝรั่งและโยคีในอินเดีย"
โดย...หลวงวิจิตรวาทการ


วิธีที่ฝรั่งและโยคีในอินเดียใช้สำหรับทำให้เกิดทิพยจักษุ มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ในอดีต, อนาคต และปัจจุบัน มีอยู่ ๓ วิธี คือ

วิธีที่ ๑ โดยแตะต้องวัตถุอันใดอันหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับบุคคล, สถานที่, หรือเหตุการณ์ที่ต้องการจะทราบนั้น
วิธีที่ ๒ โดยมองดูลูกแก้ว หรือถ้วยน้ำ
วิธีที่ ๓ โดยสะกดตัวเองให้หลับ อย่างวิธีเข้าฌานของเรา

วิธีที่ ๑ และวิธีที่ ๒ นั้น พอจะนำมาบรรยายไว้ในที่นี้ เพื่อเป็นเครื่องประกอบความดำริของผู้ที่ใฝ่ใจในวิชชานี้บ้าง แต่ส่วนวิธีที่ ๓ นั้น เป็นเรื่องสะกดดวงจิต ซึ่งอยู่นอกขอบเขตของหนังสือเล่มนี้
แต่วิธีที่ ๑ และ ๒ นั้น หาอันตรายมิได้ และแม้จะทำไม่สำเร็จ ก็เป็นประโยชน์ที่ยังเป็นเครื่องหัดความจำและมโนคติของเราให้ดีขึ้นอย่างหนึ่ง ทั้งปลูกสมาธิให้เกิดขึ้นได้อีกอย่างหนึ่ง
ความจำ มโนคติ และสมาธิ ทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นประโยชน์แก่เราในกิจการทุกประเภท

ส่วนวิธีการนั้น เขาอธิบายไว้ดังต่อไปนี้

ขั้นแรกของวิธีที่ ๑ นั้น เขาให้ตั้งต้นที่ของง่าย ๆ ไปก่อน เช่น เอาจดหมายเก่า ที่มีคนเขียนถึงเราเป็นเวลานานมาแล้วมากำไว้ในมือ และพยายามนึกถึงคนที่เขียนนั้น ว่ามีลักษณะรูปร่างหน้าตา นิสัยใจคอเป็นประการใด พยายามทำเช่นนี้ จากคนที่เรารู้จักดีที่สุดก่อน จนถึงคนที่เรารู้จักน้อยที่สุด

ขั้นที่ ๒ เมื่อไปเที่ยวที่แห่งหนึ่งแห่งใด ต่างถิ่นต่างจังหวัด จงเก็บเอาก้อนดินก้อนหนึ่งมา ถือก้อนดินไว้ในมือ พยายามระลึกถึงที่นั้น จนเห็นภาพติดตาเราเกือบเป็นอุคคหนิมิต

ขั้นที่ ๓ เอาสิ่งของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งมาจากที่ที่เราไม่เคยเห็นเลย แต่เคยทราบเรื่องอยู่บ้าง เช่น เอาผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง ที่มาจากประเทศอังกฤษ ที่เราไม่เคยเห็นเลย แต่ได้ทราบจากหนังสือบ้าง โดยมีใครเล่าให้ฟังบ้าง ว่าประเทศนั้นเป็นอย่างไร เอาผ้าเช็ดหน้านั้นมาถือไว้ แล้วพยายามเขียนภาพประเทศอังกฤษลงในหัวเรา และใช้มโนคติให้แลเห็นเสมือนหนึ่งตัวเราอยู่ในที่นั้น ๆ

ขั้นที่ ๔ เอาของซึ่งมาจากที่ที่เราไม่เคยเห็น ไม่เคยทราบเรื่องราวเลยมาถือไว้ และพยายามนึกเอาเองว่า ของเหล่านั้นมาจากที่แห่งไร

ขั้นที่ ๕ ถ้าสามารถจะทำได้ ลองเก็บเอาของที่คนใดคนหนึ่งซึ่งเราไม่รู้จักเลย เขาโยนทิ้ง เป็นต้นว่ากล่องบุหรี่ กลักไม้ขีดไฟ หรือกระดาษหนังสือพิมพ์ เอามาถือไว้ แล้วพยายามนึกถึงคนเหล่านั้น ว่านิสัยใจคอเป็นอย่างไร มีอาชีพในทางไร เวลานี้กำลังทำอะไรอยู่ ฯลฯ

ตามวิธีที่อธิบายมาเป็นขั้น ๆ นี้ จะเห็นได้ว่า มโนคติเป็นเครื่องช่วยอย่างสำคัญ และกระแสที่ติดอยู่กับสิ่งของนั้น ๆ เป็นเครื่องทำให้มโนคติของเราใกล้ความจริงมากขึ้นทุกที ถึงกับถูกต้องตามความจริงมากที่สุดในเมื่อฝึกหัดมาก ๆ เข้า ฝรั่งได้ใช้วิธีนี้ จับผู้ร้ายได้บางครั้ง ในกรณีที่เหลือวิสัยที่จะทราบตัวผู้ร้ายได้ แต่เผอิญผู้ร้ายทิ้งของบางอย่างไว้ในที่ที่กระทำผิด เอาของนั้นมาให้ผู้เชี่ยวชาญในวิชชานี้ลองทำ เมื่อผู้เชี่ยวชาญบอกตัวว่า คนไหนเป็นผู้ร้าย ตำรวจก็ลองเชิญตัวมาไต่ถาม และโดยอาศัยความฉลาดของผู้ที่ซักไซ้ไล่เลียง ในที่สุดจะทำให้ผู้ร้ายต้องรับสารภาพ หรือเป็นโอกาสให้ได้พิสูจน์ ที่กฎหมายต้องการขึ้นมาเอง


ที่มา
http://www.puansanid.com/forums/showthread.php?t=4451

136
ประวัติและปฏิปทา
พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป


วัดอรัญญวิเวก (บ้านปง)
ต.อินทขิล อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่


๏ ประวัติส่วนตัว

พระอาจารย์เปลี่ยน นามสกุลเดิม วงษาจันทร์ เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 ตรงกับวันพฤหัสบดี ปีระกา ณ บ้านโคกคอน ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร บิดาชื่อ กิ่ง มารดาชื่อ อรดี สกุลเดิม จุนราชภักดี บิดามารดาทำการค้าขายมีฐานะดี คุณตาเป็นกำนัน อยู่ที่ ต.โคกสี ชื่อ ขุนจุนราชภักดี และคุณยายรักหลานคนนี้มาก จึงรับมาเลี้ยงดูตั้งแต่ยังเล็กๆ

ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดา 6 คน เป็นผู้ชาย 5 คน ผู้หญิง 1 คน มีชื่อตามลำดับดังนี้

1. นายสมบิน วงษาจันทร์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
2. นายคำปิ่น วงษาจันทร์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)
3. พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
4. นายเหรียญ (วงษาจันทร์) นันตสูตร (ถึงแก่กรรมแล้ว)
5. นางหนูจีน (วงษาจันทร์) ธรรมจิตร (ถึงแก่กรรมแล้ว)
6. นายถวิล วงษาจันทร์ (ถึงแก่กรรมแล้ว)


๏ การศึกษา

การศึกษาในระยะแรก ได้เรียนกับคุณตาคุณยายที่บ้าน เพราะระหว่างนั้นเกิดสงครามเอเซียบูรพา (สงครามโลกครั้งที่ 2) ต่อมาได้เข้าโรงเรียนบ้านโคกคอน เรียนจบชั้น ป. 4 เมื่อ อายุ 11 ปี สอบได้ที่หนึ่งในชั้น ท่านอยากจะเรียนต่อ แต่มารดาต้องการให้ท่านมาช่วยการค้าของบิดา ท่านจึงต้องปฏิบัติตาม


๏ การอาชีพ

ท่านต้องออกเดินทางไปซื้อของถึง จ.อุดรธานี โดยนั่งรถโดยสารบ้าง รถบรรทุกหรือรถขายถ่านบ้าง สินค้าส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ทั่วไป เมื่อถึงฤดูทำนาก็จ้างคนมาทำนา แต่ละปีเก็บเกี่ยวข้าวจากนาได้มาก จึงขยายกิจการไปค้าขายข้าวเปลือกกับโรงสีใหญ่ๆ ด้วย

หลังผ่านการคัดเลือกทหารแล้ว ท่านหันไปสนใจการรักษาคนเจ็บป่วย ได้รับถ่ายทอดวิชาความรู้เรื่องยา การรักษาคนไข้จากหมอประจำอำเภอซึ่งเป็นญาติกัน คุณหมอจึงคิดจะส่งท่านไปเรียนต่อที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซึ่งคุณตาก็สนับสนุน แต่มารดาไม่อนุญาต ต้องการให้ท่านดูแลการค้าต่อไป

โดยที่ท่านเป็นผู้รับผิดชอบในการทำงาน มีฐานะการเงินดี ญาติพี่น้องและผู้ใกล้ชิดจึงไว้ใจ ได้พากันนำเงินมาฝากท่านเหมือนหนึ่งเป็นธนาคาร ท่านก็เก็บรักษาให้เขาโดยไม่ได้อะไรตอบแทน ท่านทำให้กับทุกคนด้วยความรักและนับถือเหมือนกับที่เขาวางใจท่าน เนื่องจากยังไม่ได้บวช จึงยังไม่คิดแต่งงานหรือตกลงใจกับใครแน่นอน แม้จะมีเพศตรงข้ามมาสนิทสนมด้วยหลายคน


หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ


๏ ก่อนบวช

พระอาจารย์เปลี่ยน มีโอกาสดีได้คุ้นเคยกับพระสงฆ์มาตั้งแต่อายุ 11-12 ปี เมื่อทางบ้านมีงานบุญ ท่านจะทำหน้าที่ไปรับพระที่วัด จึงได้เห็นวิธีเดินจงกรมของพระอาจารย์ลี วัดป่าบ้านตาล และเป็นผู้ที่ได้แนะนำให้ไปหา หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ (ซึ่งบวชเมื่อายุมากแล้วและติดตามหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ไปปฏิบัติธรรมที่ถ้ำเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ได้รับการยกย่องด้านการบำเพ็ญเพียรไม่ท้อถอย) หลวงปู่พรหมได้เดินจงกรมให้ดู และสอนให้เดินด้วย หลวงปู่พรหมจึงเป็นพระอาจารย์องค์แรกของพระอาจารย์เปลี่ยน

พระอาจารย์เปลี่ยนได้ศึกษากับพระที่บวชกับหลวงปู่พรหมหลายองค์ ซึ่งสรรเสริญการบวชมาก ทำให้พระอาจารย์เปลี่ยนคิดบวชอยู่ตลอดเวลา เริ่มตั้งแต่อายุ 12 ปี 14 ปี 16 ปี จนถึง 20 ปี แต่มารดาก็ไม่อนุญาต ทั้งๆ ที่พี่ชาย 2 คนก็บวชแล้ว

ตัวมารดาเองก็ไปวัดถือศีลทุกวันพระ และบางครั้งเดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่มั่น ภูรทัตตเถระ ก็ตาม จนกระทั่งบิดาของท่านซึ่งป่วยด้วยวัณโรคถึงแก่กรรมใน พ.ศ. 2497 และอีก 5 ปีต่อมาคุณลุงก็ถึงแก่กรรมอีกคนหนึ่ง พระอาจารย์เปลี่ยนจึงใช้ความพยายามขอบวชอีกครั้งหนึ่ง เพื่อทดแทนพระคุณพ่อแม่เหมือนกับพี่ชายทั้ง 2 คน เพราะยังไม่เคยบวชเลย ขณะนั้นพี่ชายได้สึกออกมาประกอบอาชีพแล้ว มารดาและคุณตาทนรบเร้าไม่ไหวจึงอนุญาตให้บวชเพียง 7 วัน

ครั้นทำการฌาปนกิจศพคุณลุงแล้ว วันรุ่งขึ้นท่านก็ถือโอกาสเข้าวัดเพื่อเตรียมตัวบวช หัดขานนาคพร้อมกับคนอื่นซึ่งมาอยู่วัดถือศีลอีก 2 คน ฝึกสวดมนต์เจ็ดตำนานได้เกือบหมดเล่มใช้เวลา 40 วัน มีพระอาจารย์สุภาพ ธัมมปัญโญ เป็นครูผู้ฝึกสอน


ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=9335

137
คำวัด - กรวดน้ำ-คว่ำขัน-คว่ำบาตร

คมชัดลึก : "กรวดน้ำคว่ำขัน" และ "กรวดน้ำคว่ำกะลา" เป็นสำนวนที่ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายไว้ว่า "ตัดขาดไม่คบหาสมาคมกันต่อไป สำนวนทั้ง ๒ นี้มีที่มาจากการกรวดน้ำ แต่เป็นการกรวดน้ำโดยคว่ำภาชนะที่ใช้ กรวดน้ำคว่ำขัน และกรวดน้ำคว่ำกะลา จึงมีความหมายว่า เลิก หรือ ตัดขาด"

  ทั้งนี้ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม ได้อธิบายความหมายของคำว่า “กรวดน้ำ” หมายถึง การรินน้ำจากภาชนะด้วยความปรารถนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ทำไปให้แก่ผู้มีพระคุณ เรียกว่า “ตรวดน้ำ” ก็มี

  กรวดน้ำ มีวิธีทำดังนี้ เตรียมภาชนะสำหรับกรวดใส่น้ำสะอาดไว้ เมื่อพระรูปแรกเริ่มอนุโมทนาด้วยบทว่า “ยถา...” ก็เริ่มกรวดน้ำ โดยมือขวาจับภาชนะสำหรับกรวด มือซ้ายประคองรินน้ำใส่ภาชนะที่รองรับ พร้อมทั้งตั้งใจนึกอุทิศส่วนบุญกุศลไปให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว รินไปกระทั่งพระรูปแรกว่าจบ เมื่อรูปที่สองรับว่า “สัพพี...” ให้เทน้ำให้หมด แล้วประนมมือรับพรพระต่อไป

 ทั้งนี้มีคำพูดเล่นๆ ว่า “ยถา ให้ผี สัพพี ให้คน” หมายความว่า ตอนที่พระท่านว่า ยถา เป็นการให้กุศลแก่คนตาย ตอนที่ว่า สัพพี เป็นการให้กุศลแก่คนเป็น

 ส่วนคำว่า คว่ำขัน ถือเป็นกริยา ทำให้จบให้สิ้น ให้ความสัมพันธ์ขาดกันไปเหมือนสายน้ำ (อาศัยอาการเทให้หมด ให้มันหมดสิ้นกันไป) คล้ายคลึงแต่แตกต่าง ในขณะที่สำนวน “คว่ำบาตร” ความหมายทางโลกหมายถึง การยุติการติดต่อกันในมิติใดมิติหนึ่ง ส่วนใหญ่การคว่ำบาตรจะใช้ในทางการค้า มักใช้ในระดับการค้าระหว่างประเทศโดยกลไกการคว่ำบาตรอาจจะมีทั้งการไม่ยอมขายสินค้า หรือบริการให้ประเทศคู่ค้า หรือไม่ซื้อสินค้า หรือบริการจากประเทศคู่ค้า หรืออาจจะทั้งสองกรณีก็ได้

 สำหรับความหมายในทางธรรมนั้น เจ้าคุณทองดี ได้ให้ความหมายไว้ว่า การที่พระสงฆ์พร้อมใจกันทำสังฆกรรมสวดประกาศลงโทษคฤหัสถ์ผู้คิดร้ายต่อพระพุทธศาสนา หรือพระสงฆ์เพื่อให้รู้สึกตัว และเข็ดหลาบ วิธีลงโทษคือไม่คบหา ไม่พูดคุยด้วย และไม่รับอาหารบิณฑบาต โดยอาการเหมือนคว่ำบาตรเสีย ไม่ยอมเปิดบาตรรับอาหารจากผู้นั้น

 ในพุทธศาสนาเมื่อมีคำ “คว่ำบาตร” ก็มีคำ “หงายบาตร” คู่กัน นั่นคือเมื่อประกาศ “คว่ำบาตร” ใครแล้ว ต่อมาคนผู้นั้นสำนึกรู้สึกตนกลับมาประพฤติดี คณะสงฆ์จึงประกาศเลิก “คว่ำบาตร” ยอมให้ภิกษุทั้งหลายคบค้าสมาคม

"พระธรรมกิตติวงศ์"


ที่มา
http://www.komchadluek.net/detail/20110623/101143/คำวัดกรวดน้ำคว่ำขันคว่ำบาตร.html

138
พึ่งตนพึ่งธรรม - อะไรคือหัวใจพุทธศาสนา 1/2



คมชัดลึก :ปลายเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา ได้รับเชิญไปแสดง พูดธรรม-ฮัมเพลง (๒) (ผู้พูดเป็นฆราวาสจึงใช้คำว่า พูดธรรม แล้วสลับกับเล่นเพลงธรรมะจึงใช้คำว่า ฮัมเพลง) ที่จามจุรีสแควร์ โดยธรรมะภาคีระหว่างศูนย์หนังสือจุฬากับสำนักพิมพ์สุขภาพใจ ในหัวข้อ ๑๐๕ ปี พุทธทาสชาตกาล ผู้เขียนและคณะ ประกอบไปด้วย สุภาพบุรุษ ๒ คนที่มาพร้อมกับเครื่องดนตรีโฟล์กแบบวงเล็กๆ อันประกอบไปด้วย กีตาร์, ขลุ่ยไทย, ฮาโมนิกา (เม้าท์ออร์แกน) พวกเราเริ่มต้นด้วยการแสดงทัศนะเกี่ยวกับคำที่ท่านอาจารย์พุทธทาสฝากไว้ว่า ....


  พุทธทาส จักอยู่ไปไม่มีตายฯ
 คำว่า “พุทธทาส” จริงๆ น่ะ ท่านอาจารย์หมายถึงใคร?
หากมองกันอย่างผิวเผิน บางคนอาจคิดว่าเป็นปาฏิหาริย์ของท่านอาจารย์ หมายถึงท่านพุทธทาสที่ดับขันธ์ไปแล้ว เกือบ ๒๐ ปีแต่ยังไม่ตาย แต่หากพิจารณาใคร่ครวญให้ถี่ถ้วน ผมว่าท่านน่าจะฝากนัยเป็นปริศนาธรรมบางอย่างไว้ให้พวกเราทุกคนนั่นแหละ เพราะ แท้ที่จริง ท่านฝากให้เราทุกคน (ภิกษุ, ภิกษุณี, อุบาสกและอุบาสิกา) ต่างหาก ที่ต้องทำหน้าที่เป็น “พุทธทาส” หรือ ทาสพระพุทธ “พุทธทาส” จึงจะไม่ตาย
เพราะฉะนั้น เราจะทำหน้าที่ “พุทธทาส” ให้ได้ดีนั้น สำคัญต้องเข้าถึงหัวใจ หรือแก่นของศาสนาของตัวเองก่อน ดังปณิธานข้อแรก ที่ท่านอาจารย์ฝากไว้

อะไรคือหัวใจของพุทธศาสนา?
 ก่อนจะตอบเรื่องนี้ ผมได้ค้นคว้างานอมตะชิ้นหนึ่งของท่านพุทธทาส ซึ่งผู้เขียนอ่านซ้ำเป็นสิบรอบ ก็ยังไม่เบื่อ... หนังสือ “คู่มือมนุษย์” ซึ่งท่านเขียนไว้อย่างใจกว้าง และไม่ยัดเยียดคำตอบให้ชาวพุทธ ผู้มีปัญญา ในทันทีทันใด ท่านเริ่มเรื่องด้วยกัน ชวนให้ฉุกคิดกันเชิงกว้างก่อนว่า ...

ที่มา
http://www.komchadluek.net/detail/20110624/101253/พึ่งตนพึ่งธรรมอะไรคือหัวใจพุทธศาสนา.html

139
อานุภาพแห่งการเจริญสติ : ช่วยสงเคราะห์ผู้ป่วย (ตอนที่ 1)

นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่ม : 128
เดือน-ปี : 12/2532
คอลัมน์ : ธรรมโอสถ
นักเขียนหมอชาวบ้าน : จำเนียร ช่วงโชติ

การเจริญสติมีอานุภาพช่วยตนพ้นทุกข์

   เมื่อเดือนกันยายนปี พ.ศ.2530 ดิฉันได้เข้ารับการผ่าตัดมดลูกและรังไข่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เนื่องจากพบว่ามีเนื้องอก ก่อนเข้าโรงพยาบาลได้ตั้งปณิธานอย่างแรงกล้าจะใช้ธรรมปฏิบัติที่ได้ฝึกฝนจากคุณแม่สิริ กรินชัย ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตนในยามในยามเจ็บป่วย

ดิฉันได้เตรียมหนังสือธรรมะ เทปธรรมะมากมาย แต่ไม่ค่อยได้อ่านได้ฟังมากนัก กลับทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อการปฏิบัติ โดยเดินจงกรม (มีสติรู้ที่การเคลื่อนของเท้า) นั่งสมาธิ (มีสติรู้ที่การพองยุบของท้อง) และมีสติกำหนดรู้อิริยาบถต่างๆ ดูความเคลื่อนไหวของกายและจิตเป็นปัจจุบัน เพราะตระหนักดีว่า การปฏิบัติธรรมด้วยวิธีดังกล่าว จะให้อานิสงส์อันมหาศาลแก่ตนเอง และก็ได้พบว่า เป็นความจริงแท้แน่นอน

ในขณะทำการผ่าตัดและหลังการผ่าตัดแล้ว ดิฉันต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนเตียง จึงปฏิบัติด้วยการเจริญสติ กล่าวคือ มีสติกำหนดรู้อิริยาบถ ความเคลื่อนไหวทางกายและสภาวธรรมที่เข้ามาปรากฏทางทวารทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจอย่างเป็นปัจจุบัน ส่วนการเดินจงกรมและนั่งสมาธิทำน้อยมากหรือเกือบไม่ได้ทำเลย ทั้งนี้เพราะโอกาสไม่อำนวยให้กระทำ

ต่อมาเมื่อรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ต้องอยู่รักษาตัวในโรงพยาบาลต่อไปอีก เพื่อรับการฉายรังสีและฝังแร่ ก็ยิ่งพากเพียรกำหนดรู้และเจริญสติมากยิ่งขึ้น จนตนเองสามารถมีสติรู้อยู่กับการเคลื่อนไหวของกายและใจได้อย่างละเอียดต่อเนื่องกันทั้งกลางวันและกลางคืน แม้เวลาหลับก็หลับอย่างมีสติ อานิสงส์แห่งการเจริญสตินี้ยิ่งใหญ่มาก เพราะส่งผลให้ดิฉันสามารถต่อสู้เอาชนะความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสที่เกิดขึ้นที่กายและใจ ในขณะเดียวกัน ก็รู้ว่าความเศร้าสลดหดหู่และหม่นหมองได้หลุดพ้นออกไปอย่างสิ้นเชิง น่าอัศจรรย์ใจมาก จนถึงขั้นที่สภาวะทางจิตหรือใจของตนเองนั้นรู้ว่า “พ้นทุกข์”

   ผลที่เกิดขึ้นต่อมา ก็คือ ร่างกายที่เจ็บป่วยกลับฟื้นคืนสู่สภาพปกติได้รวดเร็ว และสำคัญที่สุดคือ รู้ว่าสภาวจิตในขณะนั้นมีธรรมชาติเป็นอิสระจริงๆ ไม่เกาะเกี่ยว ไม่ยึดติด ไม่มีการปรุงแต่งให้รู้สึกนึกคิดแต่อย่างไร มีความเป็นอุเบกขาโดยสมบูรณ์ มีลักษณะใสสะอาด โปร่งเบา ตื่นตัว เบิกบาน และแจ่มจ้า สภาวจิตเช่นนี้เองที่เรียกว่า “จิตผ่องแผ้ว ขาวรอบ และบริสุทธิ์” เพราะปลอดจากกิเลส ซึ่งได้แก่ โลภะ โทสะ และโมหะนั่นเอง นับเป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่ที่ดิฉันได้ประสบ รับรู้ และบังเกิดความซาบซึ้งประทับใจมาก จนสุดจะพรรณาออกมาเป็นคำพูดได้

   ดิฉันกล้ากล่าวด้วยความมั่นใจอย่างยิ่งว่า นี่แหละคือ อานุภาพแห่งการเจริญสติ สตินี้ถ้าบังเกิดขึ้น มีขึ้นหรือเจริญขึ้นในบุคคลใด บุคคลนั้นย่อมพึงได้รับอานิสงส์นานัปการ ดังเช่นที่ดิฉันได้รับมาแล้ว โดยข้อเท็จจริง ดิฉันไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า จะมาได้รับรสแห่งธรรมะอย่างสมบูรณ์จากการเจ็บป่วยรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล คงเป็นด้วยตนเองเรียนรู้ฝึกปฏิบัติการนั่งสมาธิและเจริญสติมาหลายปี เห็นผล เกิดศรัทธา จึงพากเพียรปฏิบัติเก็บเล็กผสมน้อยเรื่อยมา แต่ก็มีไม่น้อยเหมือนกัน ที่การปฏิบัติขาดตอน เพราะต้องวุ่นอยู่กับภาระหน้าที่และความรับผิดชอบในทางโลก

   เมื่อต้องมาเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาล รู้แต่ว่าตนเองมีใจจดจ่อ เพ่งเพียร พยายามกำหนดรู้ และทำความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลากับสิ่งที่เกิดขึ้นทางกายและใจเป็นปัจจุบันอย่างสม่ำเสมอ บางครั้งหลงลืม ก็รับรู้ และตั้งต้นใหม่...กำหนดรู้ใหม่... ตั้งต้นใหม่...กำหนดรู้ใหม่... ทำอยู่เช่นนี้... ก็รู้สึกตัวเองว่า การตามรู้ของจิตที่เกิดขึ้นเป็นปัจจุบันนั้นค่อยๆ เกิดขึ้น...เกิดขึ้น...ละเอียดขึ้น...ละเอียดขึ้น...และเป็นไปโดยอัตโนมัติในที่สุด

  ดิฉันคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นและเป็นไปอย่างสมส่วน เป็นเหตุเป็นผลต่อกัน ซึ่งก็คงเนื่องมาจากเหตุปัจจัย 3 ประการ คือ

1. ดิฉันได้เคยเรียนรู้ ฝึกฝน และได้สะสมธรรมะคำสอนของพระพุทธองค์ต่อเนื่องกันมาหลายปี

2. การมีความเพียร พยายาม ใจจดจ่อที่จะระลึกรู้สภาวธรรมที่ผ่านเข้ามาทางทวารทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจเป็นปัจจุบัน

3. สภาพแวดล้อมที่ห้องพักในโรงพยาบาลมีสัปปายะดีมาก กล่าวคือ อยู่คนเดียว มีการบริบาลดูแลเรื่องความเจ็บป่วย อาหาร และความเป็นอยู่ บรรยากาศเงียบสงบละวางจากการงานและภาระหน้าที่ความรับผิดชอบทั้งมวล

  อย่างไรก็ดี ต้องขอสารภาพว่า ดิฉันรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณความเจ็บป่วยของตนเองในครั้งนี้เป็นอันมาก นอกจากช่วยให้ดิฉันได้สร้างบุญกุศลให้กับตนเองแล้ว ยังนำทางให้ดิฉันมีดวงตาเข้าถึงธรรม และบังเกิดความเข้าใจชัดแจ้ง ตรงกับข้อความดังปรากฏในหนังสือกตัญญูกตเวทิตาธรรม ชุด “เพื่อนใจผู้ใฝ่ธรรม” หน้า 27 ความว่า...

การปฏิบัติธรรม มิใช่เพื่อความได้ ความมี หรือความเป็นใดๆ ทั้งสิ้น จุดหมายที่แท้เพื่อความไม่ “ทุกข์ใจ” อย่างเดียวเท่านั้น และสุดท้ายของการปฏิบัติ ก็คือ การรับรู้ว่าตัวเรานั้นสามารถ

- อยู่กับกิเลสได้โดยใจไม่เป็นทาสของกิเลส

- อยู่กับทุกข์กายโดยไม่ทุกข์ใจ

- อยู่กับงานวุ่นโดยใจไม่วุ่น

- อยู่กับการรีบด้วยใจสบาย

- อยู่กับความสมหวังและความผิดหวังได้ด้วยใจไม่ทุกข์อีกต่อไป

- อยู่กับโลกได้ด้วยใจเป็นธรรม กายส่วนกาย ใจส่วนใจ ต้องอาศัยกันอยู่เท่านั้น

- อยู่กับหน้าที่โดยไม่ยึดหน้าที่ เพียงแต่จะทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด เท่าที่ตนจะทำได้ในขณะปัจจุบันเท่านั้นเอง ที่ทำไม่ได้ก็ปล่อยไป

- อยู่คนเดียวเหมือนอยู่หลายคน อยู่หลายคนก็เหมือนอยู่คนเดียว...เพราะมีธรรมะเป็นเพื่อนคู่ใจนั่นเอง (ข้อนี้ตนเองรู้สึกเช่นนั้น)

ผลแห่งการเจริญสติ สร้างความเชื่อมั่นในการช่วยผู้ป่วย

  จากการที่ดิฉันได้เคย “รู้แจ้ง” ในอารมณ์ที่เป็นปัจจุบัน ด้วยการมีสติสัมปชัญญะ คือ การระลึกรู้สึกตัวทั่วพร้อมกับสภาวธรรมที่เข้ามาปรากฏทางทวารทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ของตนเองนี่เอง จึงเกิดความคิดขึ้นในใจอย่างฉับพลันว่า ดิฉันน่าจะสามารถช่วยบุคคลที่มีทุกข์ อันเนื่องมาจากความเจ็บป่วยได้ โดยการเจริญสติ กำหนดรู้การเคลื่อนไหวของกายและจิตตามแบบฉบับการสอนของคุณแม่สิริ กรินชัย ดังที่ดิฉันได้ประสบและปฏิบัติมา และแล้วความคิดของการอยากช่วยคนมีทุกข์เพราะเจ็บป่วย ก็เป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่ดิฉันในเวลาต่อมา ซึ่งดิฉันจะกล่าวต่อในครั้งหน้า

ที่มา
http://www.doctor.or.th/node/4716

140
ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม 1/5

โดย หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
แห่ง วัดอรัญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
แสดงธรรมเทศนาที่บ้านลานทอง  10 สิงหาคม 2543
โพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวดสติปัฏฐาน ๔ กระทู้ 14576 โดย : รักษา 31 มี.ค. 48

  ธมฺ โมหเว รักขติ ธรรมจารึ ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ  แปลว่าพระธรรมะย่อมรักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ธรรมที่ที่ผู้ประพฤติดีแล้วย่อมนำสุขมาให้ ดังนี้

   ต่อจากนี้ไปก็ให้พากันตั้งใจ สำรวมใจของตนให้แน่วแน่ เพื่อฟังธรรม เพราะว่า ธรรมะนี่ไม่ได้มาแต่ข้างนอก ธรรมะนี้เกิดขึ้นทางจิตใจ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ก็ทรงแสดงเข้าไปที่จิตใจของผู้ฟัง เพราะว่าทุกคนต้องมีบุญ ได้สั่งสมอบรมมาแต่อดีตชาติหนหลัง ถึงได้มาเกิดมาในชาตินี้ เพราะอาศัยบุญกุศลที่ตนได้บำเพ็ญมาแล้วมาเกิด ใครเป็นผู้มีบุญ ผู้ได้นับถือพุทธศาสนา ก็จึงได้มาเกิดในเมืองไทย เพราะเมืองไทยนี้บรรพบุรุษเป็นผู้นับถือพุทธศาสนา คือบรรพบุรุษได้แก่พระราชาพระมหากษัตริย์ ของไทยเราหลายชั่วกษัตริย์ ล้วนแต่นับถือพุทธศาสนา ไม่ได้นับถือศาสนาอื่น

   พวกเราที่มาเกิดในเมืองไทย ผู้เป็นประชาราษฎร ก็เคยนับถือพุทธศาสนานี้มา บุญกุศลจึงดลบันดาล ให้มาเกิดในประเทศไทย ก็ให้พากันภาคภูมิใจ ว่าเราได้มาเกิดในประเทศไทย และได้มาพบพุทธศาสนา ได้ฟังคำสอนของพุทธเจ้า แล้วได้รู้จักผิดรู้จักถูก ได้เว้นจากทางผิด ดำเนินไปทางที่ถูก

   ถ้าพูดเทียบเคียงกันแล้ว พุทธศาสนากับศาสนาอื่น มันตรงกันข้าม ไม่เหมือนกัน ศาสนาอื่นเขาสอนให้คนนับถือสิ่งภายนอกเป็นที่พึ่ง พุทธศาสนาทรงสั่งสอนให้คนเรา ถือ นับถือปฏิบัติภายใน คือบาปก็อยู่ที่กายวาจาใจนี้ บุญก็อยู่ที่กายวาจาใจ ไม่ได้มาแต่ข้างนอก พระพุทธเจ้าทรงสอนอย่างนี้
  
   ดังนั้นพวกเราคนไทย ก็จึงไม่ได้อ้อนวอนไม่ได้บวงสรวง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เหมือนอย่างลัทธิอื่นศาสนาอื่นเขาทำกัน แต่ก็อาจจะมีอยู่บ้างแต่ก่อนมา เพราะว่าบางคราวน่ะพุทธศาสนาก็เสื่อมไปจากเมืองไทยก็ไม่น้อยเหมือนกันนะ พระสงฆ์องคเจ้าก็ไม่สนใจในการเรียนธรรมเรียนวินัย และการปฏิบัติธรรมวินัย จึงไม่สามารถสั่งสอนทายก ทายิกา ให้รู้ให้เข้าใจแก่นแท้ของพุทธศาสนา ดังนั้นจึงได้พากันนับถือสิ่งภายนอกเป็นที่พึ่ง เช่นสร้างศาลเจ้าขึ้นไว้ ในถนน สี่แพร่งหรือว่าสร้างศาลเจ้า เข้าไว้ในบ้านในขอบเขตบ้าน ของตนก็มี หรือว่าสร้างศาลเจ้าขึ้นในสถานที่ ที่เหมาะที่เห็นว่าเหมาะสม แล้วถึงครบรอบวันมรณภาพแห่งบรรพบุรุษ ก็ไปพากันไปบวงสรวง หมูเห็ดเป็ดไก่ อ้อนวอนขอให้วิญญาณของบรรพบุรุษนั้น ได้อยู่ได้กินเครื่องสังเวยต่างๆ แล้วก็ขอให้อำนวย ความสุขความเจริญให้ลูกหลาน เหลน โหลน ที่เกิดในภายหลัง

    บางครอบครัว เมื่อได้ทำพิธีอย่างว่าแล้ว ปรากฏว่าทำการค้าการขายเจริญรุ่งเรือง ขึ้นมาได้ก็เลยเชื่อมั่นในใจว่า ก็เป็นเพราะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้แหละ อำนวยผลให้ ร่ำรวยมั่งมีศรีสุข ขึ้นมาเหตุนั้นจึงได้ ทำพิธี บวงสรวงกัน เป็นการใหญ่ อย่างเช่น บางครอบครัวที่ร่ำรวยมั่งมี เมื่อพ่อบ้านหรือแม่บ้าน เสียชีวิตลงก็ไปหาซื้อเป็ด ซื้อไก่ ซื้อหมู จะเป็นเขาฆ่าขายอยู่ตามตลาดหรือไงก็ไม่รู้ ล่ะ หรือซื้อสัตว์เป็นๆ มาแล้วมาฆ่า แล้วตั้งโต๊ะตั้งร้านหน้า ร้านวางหูเห็ด เป็ด ไก่ ยาวเหยียดเลย เท่าที่เห็นมาบางแห่งนะ แล้วเปิ้นก็นิมนต์พระไปสวดพระอภิธรรม อย่างนี้ พระก็ไม่มีโอกาส ที่จะแนะนำสั่งสอน เขาได้ เพียงแต่นิมนต์พระไปสวดอภิธรรม ให้เท่านั้นน่ะ ก็แล้วไป นี่เป็นบางแห่งนะ แล้วก็นิมนต์พระไปฉัน ไอ้อย่างนี้เรียกว่า ความเข้าใจเรื่องพุทธศาสนานั้นยังไม่ลึกซึ้งพอ

    การกระทำเช่นนั้นเค้าเข้าใจว่าเป็นเรื่องของพุทธศาสนา แท้ที่จริงนี้ไม่ใช่นะ เป็นเรื่องของลัทธิศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพราหมณ์เขาทำกันมาตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าบังเกิดโน้น ทำมาก่อนแล้ว เมื่อพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมาในโลก พระองค์แสดงธรรม พวกเหล่านั้นไปฟังธรรม ผู้มีบุญวาสนาแก่กล้า ก็รู้สึกตัวได้ว่าการกระทำเช่นนั้นไม่เป็นหนทางพ้นทุกข์ ก็สามารถละการกระทำเช่นนั้นได้ แต่บางพวกบางเหล่า ไม่ยอมไปฟังเลยก็มี ถือมั่นในลัทธิอันนั้นอยู่ จนหมดอายุสังขารก็มี แล้วบางพวกก็ไหว้พระอาทิตย์ไหว้พระจันทร์ ไหว้ต้นไม้ใหญ่ภูเขาอะไรสารพัด
เหล่านี้นะพวกเราก็คงจะได้รู้เรื่องกันมา เพราะฉะนั้นขอให้ศึกษาให้เข้าใจว่า การไหว้การกราบเช่นนั้นนะ ไม่เป็นทางพ้นทุกข์ เพราะว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านั้นนะเรามองไม่เห็นตัวเลย ไม่ทราบว่าเป็นตัวเป็นตนยังไงน่ะ ไม่มีแล้วสมมุติกันเอาเฉยๆ เชื่อโดยสมมุติ บรรพบุรุษ ได้พาทำมาอย่างนั้น แล้วก็ลูกหลาน เกิดมาในภายหลังก็ทำตาม

    อันนี้พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงสอนไว้ว่า ไม่ควรเชื่อมงคลตื่นข่าว มงคลตื่นข่าวนี้คือ เล่าลือกันมา นับถือกันมาโดยลำดับ แต่แล้วเมื่อ พิสูจน์หาความจริงน่ะไม่พบ เป็นแต่ข่าวลือ ข่าวลือว่าเจ้าองค์บุญเกิดขึ้นที่นั้นที่นี้ ผู้วิเศษเกิด ขึ้นที่นั้นที่นี้ แม้เป็นเด็กน้อยก็ยังถือว่าเป็นผู้วิเศษ พากันไปกราบไปไหว้ ไปขอพร ขอให้เด็กน้อยนั้นอวยชัยให้พร แต่ก่อนนี้น่ะมี แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่า จะห่างๆ ไป ก็เด็กน้อยนั้นมันจะรู้อะไร แต่เมื่อมีหมอโหรหรือหมออะไร ทำนายว่าเด็กคนนี้มีบุญนะ สามารถที่จะ อวยชัยให้พรแก่คนร่ำรวยมั่งมีได้ พอได้ยินหมอดูหมอเดาเขาพยากรณ์อย่างนี้นะ ก็หลั่งไหลกันไป ขอลาภขอยศอะไรต่ออะไร กันมากมาย อันนี้แหละเรียกว่ามงคลตื่นข่าว
  
   เพราะฉะนั้นพวกเราอย่าไปตื่นเต้นกัน ไอ้กาย วาจา ใจ ของเรานี่นะ อันนี้เป็นบ่อเกิดแห่งบุญแห่งบาป ขอให้เข้าใจอย่างนั้น ความจริงน่ะเราได้ อัตตภาพร่างกายนี้มาโดยสมบูรณ์ ไม่บ้า ไม่หนวก ไม่บอด อวัยวะทุกส่วนสมบูรณ์ บริบูรณ์ดี อันนี้ได้มาด้วยบุญ เราทำบุญให้ทาน รักษาศีล ไม่เบียดเบียนคนอื่น สัตว์อื่นมาแต่ชาติก่อน บุญเหล่านั้นนำมาปฏิสนธิในท้องของมารดา อาศัยธาตุของ มารดา บิดา อยู่ แล้วบุญกุศลที่ทำมาแต่ก่อนนั้นแหนะ ก็มาตกแต่งตาหู จมูกลิ้นกาย อวัยวะน้อยใหญ่ต่างๆ ให้ ไม่พิกลพิการอะไรเลย อย่างนี้นะ นี้ละบุญนะ บุญตกแต่ง ให้ ให้พากันภาคภูมิใจว่าเราได้ อัตภาพร่างกาย คือว่าธาตุสี่ขันธ์ห้านี้มาด้วยบุญ แล้วเราก็อาศัยธาตุสี่ขันธ์ห้านี้แหละ สร้างบุญสร้างกุศล ไม่ทำบาปบาปไม่เอา

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_hrien/lp-hrien_13.htm

141
ธรรมะ / ธรรมโอสถ...(2)
« เมื่อ: 23 มิ.ย. 2554, 10:25:28 »
ขอบคุณ คุณderbyrock
ในเรื่อง ธรรมโอสถ
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=13942.msg127020
ขออนุญาตขยายความเพิ่มเติม

“..พวกแพทย์...พวกหมอ..

เขาปรุงยาปราบโรคทางกาย

จะเรียกว่า..สรีระโอสถ..ก็ได้

ส่วนธรรมของพระพุทธเจ้านั้น

ใช้ปราบโรคทางใจ..

เรียกว่า...ธรรมโอสถ..

ดังนั้น...พระพุทธเจ้าของเรา..

จึงเป็นแพทย์ปราบโรคทางใจ

ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก..

โรคทางใจเป็นได้ไว

และเป็นได้ทุกคนไม่เว้นเลย..

เมื่อท่านผู้รู้ว่า...ท่านเป็นไข้ใจ...

จะไม่ใช้ธรรมโอสถรักษาบ้างดอกหรือ..

พิจารณาดูเถิด..

การเดินทางเข้าถึงพุทธธรรม..

มิใช่เดินด้วยกาย...

แต่ต้องเดินด้วยใจ...

จึงจะเข้าถึงได้...”


 
พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
วัดหนองป่าพง ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี

142
ประสบการณ์วิญญาณ / ศาลาผีหลอก!
« เมื่อ: 22 มิ.ย. 2554, 10:05:33 »
ศาลาผีหลอก!
ขนหัวลุก
ใบหนาด

"ทองแดง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากศาลาท่าน้ำ

สมัยหนุ่มๆ ผมเคยอยู่หลังวัดกระโจมทอง ธนบุรี บรรยากาศสงบเงียบตามแบบของบ้านสวนทั่วๆ ไป ตกกลางคืนยิ่งเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว เสียงลมพัดลู่ไปตามยอดไม้ชวนให้วังเวงใจสิ้นดี!

ข้อสำคัญก็คือ ทำให้นึกถึงเรื่องผีๆ สางๆ อย่างช่วยไม่ได้ คนกลัวผีอย่างผมปอดกระเส่าน่าดู...แหม! เรื่องผีนี่ไม่เข้าใครออกใครนะครับ ขอบอก

ชาวบ้านที่จะออกไปทำงานก็ได้อาศัยรถสองแถว ที่มาสุดทางบริเวณลานหน้าวัดใกล้ๆ กับศาลาการเปรียญและเมรุเผาผี...ไปออกถนนจรัญสนิทวงศ์ 35 ระยะทางค่อนข้างไกลโข ขาไปไม่เท่าไหร่แต่ขากลับนี่ต้องแวะส่งผู้โดยสารตามรายทาง กล่าจะถึงหน้าวัดก็ปาเข้าไปตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าแน่ะ

คนที่ต้องไปทำงานไกลๆ ถึงถนนราชวิถีอย่างผม ไหนจะต้องโหนรถเมล์สองต่อกว่าจะมาถึงปากซอยก็ตกค่ำแล้ว...สมัยนั้นยังไม่มีถนนสายใหม่บรมราชชนนีตัดผ่าน ให้รถราแล่นกันคึ่กๆ เหมือนทุกวันนี้นะครับ

ถึงแม้จะเจริญขึ้นก็จริง แต่มีพวกวัยรุ่นมาซิ่งรถกันสนั่น ชาวบ้านไม่เป็นอันหลับอันนอนกันล่ะ...ตำรวจมาดักจับได้ทีละ 20-30 คนเป็นประจำ

ข้างวัดมีคลองแคบๆ ค่อนข้างคดเคี้ยว ต้นไม้ร่มครึ้มแทบจะบดบังแสงแดดจนหมดสิ้น แต่ยังอุตส่าห์มีเรือหางยาวแล่นผ่าน ทะลุไปออกคลองบางกอกใหญ่ แต่ไม่ได้จอดที่ศาลาท่าน้ำของวัดหรอกครับ ผมเองก็ไม่เคยได้นั่งเรือสักที นอกจากตอนเช้าๆ เดินออกจากบ้านผ่านสวนกล้วยไม้ขนาดใหญ่ ข้ามสะพานเข้าเขตวัด มักจะเห็นเรือหางยางแล่นตะบึงจนน้ำกระจายผ่านไปบ่อยหน

บางวันกลับถึงบ้านเร็วหน่อย เจอะเจอกับการเผาศพที่เพิ่งจะเสร็จสิ้น แขกเหรื่อทยอยกันกลับ เอารถมาเองก็มี รอรถสองแถวก็มี ได้บรรยากาศน่ากลัวไปอีกแบบเหมือนกัน

เจ้าภาพยังตั้งวงเหล้ากันที่ศาลาท่าน้ำ อ้อยอิ่งอยู่จนมืดค่ำก็มี...บางทีมีคนรู้จักกันอยู่ก็ร้องเรียกให้ผมเข้าไปร่วมวงด้วย ขัดศรัทธาไม่ได้ก็แวะเข้าไปดื่ม 2-3 แก้วพอเป็นพิธี ก่อนจะเดินเลียบคลองไปขึ้นสะพานกลับบ้าน...โชคดีอย่างที่ผมไม่ได้เป็นนักเที่ยว ทำให้ไม่ต้องกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ แถมรถราหายากอีกต่างหาก!

ว่าแต่คนที่กลับดึกๆ น่ะไม่กลัวผีมั่งหรือไง?

น่าแปลกตรงที่ลือว่าผีดุ แต่ไม่เคยมีใครถูกผีหลอกอย่างจังๆ สักที นอกจากเห็นเงาอะไรวูบๆ วาบๆ ซึ่งคิดว่าตัวเองตาฝาดหรือไม่ก็เกิดอุปาทานไปเอง เล่าให้ใครฟังเขาก็หาว่าเมาจนตาลายทั้งนั้นแหละครับ

มีอยู่รายชื่อพี่เสริม แกเล่าว่าเห็นใครนั่งชันเข่าอยู่ที่ศาลา สูบยาแดงวาบๆ แกเดินไปหันมองไปพลาง ตอนนั้นราวสามทุ่มกว่า...เอ๊ะ! ใครมานั่งสูบยาคนเดียวในที่เปลี่ยวๆ แบบนี้นะ? พอหันไปอีกทีก็ไม่เห็นเสียแล้ว ทั้งๆ ที่ไม่มีทางหลบไปไหนโดยแกไม่เห็นได้แน่ๆ เลย

ผีน่ะซี! พี่เสริมบอกตัวเอง แล้วก็โจนพรวดขึ้นสะพาน ไม่ตกน้ำตกท่าตายก็บุญแล้วนะ ผมว่า!

ในที่สุด ผมเองก็เจอดีเข้ากับตัวเองจังๆ

ตอนนั้นจำได้ว่าเปลี่ยนสัปเหร่อเป็นผู้หญิงพอดี...ไม่ใช่ใครอื่นหรอกครับ เขาว่าเป็นลูกสาวของสัปเหร่อคนเก่าน่ะแหละ สวยเสียด้วย พ่อแก่ตัวลงก็ให้ลูกสาวสืบอาชีพของตัวเองต่อไป พวกเราไม่เคยพบเห็นว่ามีสัปเหร่อผู้หญิงมาก่อน ก็เลยเห็นว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดไปเอง

วันนั้นเงินเดือนออก ผมกับเพื่อนๆ ก็หาอะไรกินแถวซังฮี้ตั้งแต่เย็นจนราวสองทุ่มก็ขอตัว พวกเพื่อนๆ ก็เข้าใจว่าบ้านผมต้องเข้าสวนเปลี่ยวลึกล้ำ ดีไม่ดีจะไม่ทันรถสองแถวเที่ยวสุดท้ายซะด้วยซ้ำ

มอเตอร์ไซค์รับจ้างน่ะ ถ้าไม่คุ้นกันจริงๆ ก็ไม่อยากเข้าไป ไม่ต้องพูดถึงแท็กซี่ก็ได้...พอเข้าซอยพ้นตึกแถวกับบ้านเรือนคึกคัก มีแต่เรือกสวนเปล่าเปลี่ยวก็มักจะถอดใจ ...จอดรถดื้อๆ บอกว่าขอส่งแค่นี้ละกัน...คงกลัวทั้งคน กลัวทั้งผีน่ะสิครับ!

ปรากฏว่าผมทันรถสองแถวเที่ยวสุดท้ายพอดี...มีคนลงเป็นระยะๆ จนสุดทางที่เหลือแต่ผมคนเดียว

รถตีวงกลับไปแล้ว ทิ้งให้ผมเดินดุ่มๆ ผ่านเมรุเผาผีที่โดดเด่นอยู่ทางขวามือเพียงเดียวดาย...หมาเจ้ากรรมก็โก่งคอหอนโหยหวนเยือกเย็น เขาว่ามันหอบเพราะเห็นผีไม่ใช่หรือคุณ?

แสงสว่างจากเสาไฟฟ้าดูแน่นิ่ง สรรถสิ่งเงียบเชียบ ลมไม่พัด ยอดไม้ไม่เกิดเสียงซู่ซ่า ยกเว้นแต่เสียงหมาหอนแล้วก็ไม่มีเสียงอะไรอีก...ผมรีบก้าวยาวๆ ไปตามทางเดินเลียบคลอง มุ่งหน้าไปที่สะพาน...แต่แล้วก็ต้องชะงักงัน

เสียงเรือหางยาวดังมาจากด้านซ้ายมือ!

เอ...กลางค่ำกลางคืนแบบนี้ไม่เคยมีเรือแล่นนี่นา? ผมสงสัยจนต้องหันไปดูก็เห็นศาลาท่าน้ำตั้งโดดเด่นอยู่ในม่านตา หลังคากระเบื้องเก่าแก่ผุกร่อน...แต่มีเสียงร้องขึ้นว่า ...มากินเหล้ากันก่อนสิเพื่อน! เล่นเอาสะดุ้งเฮือก จ้องมองให้แน่ใจก็เห็นภาพนั้นเข้าเต็มตา

คนกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมวงกัน แต่หันมามองผมเป็นจุดเดียวพลางหัวเราะฮ่าๆๆ จนผมขนลุกซ่า...ใบหน้าดำเกรียม นัยน์ตาแดงจ้าเหมือนแสงไฟน่าสยดสยองสิ้นดี

ความมืดสาดพรึ่บเข้ามาเต็มหน้า ผมร้องเฮ้ย! เผ่นพรวดขึ้นสะพานแทบจะเหาะได้ วิ่งอ้าวไม่เหลียวหลังรวดเดียวจนถึงบ้าน หอบแฮ่กๆ ปิ่มว่าจะขาดใจ...ไม่ช้าผมก็มาเช่าห้องอยู่ใกล้ๆ ที่ทำงานเพราะไม่อยากโดนผีหลอกจนช็อกตายน่ะสิครับคุณ!

ที่มา
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPVEV5TVRJMU1BPT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd055MHhNaTB4TWc9PQ==

143
ไม้เขี่ยหมาเน่า

เรื่องมีอยู่ว่า..
หลวงพ่อถามว่า ถ้ามีหมาเน่าลอยน้ำมาติดที่หน้าบ้าน เราจะทำยังไง
ทุกคนก็บอกว่าเอาไม้เขี่ยมันออกไป..
เขี่ยเสร็จแล้ว หมาเน่าลอยไปแล้ว ไม้นั้นเราทำยังไง..
ก็ต้องโยนทิ้งไปใช่มะ..
หลวงพ่อบอกว่า นั่นแหละ..
มีคนบางพวก ไม่ยอมทิ้งไม้เขี่ยหมาเน่านั้นทิ้งไปเฉยๆ
ไม่รู้เสียดายอะไร ทั้งๆที่รู้ว่าเหม็นแต่ก็หยิบกลับขึ้นมาดมอยู่เรื่อยไม้เขี่ยหมาเน่าๆเหม็นๆน่ะ..


- : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : - : -


เคยเป็นบ้างไหม เวลามีใครมาทำให้เราโกรธ
จนเรื่องต่างๆ เหตุต่างๆที่ทำให้เราโกรธมันดับไปหมดแล้ว
แต่เราก็ยังเก็บมาคิดมาแค้นอยู่นั่นแหละ..
ไม่รู้เสียดายอะไร ทั้งๆที่รู้ว่าทำให้เป็นทุกข์ แต่ก็เก็บความคิดแค้นมาเผาใจอยู่เรื่อยๆ

หรือไม่ต้องเรื่องโกรธก็ได้.. อาจจะเป็นว่ามีเรื่องอะไรที่มันผ่านไปแล้ว..
แต่ก็ยังเก็บโน่นเก็บนี่มาคิดมากังวลมาเสียใจอะไรก็แล้วแต่..

เราคนนึงล่ะที่เคยเป็น แล้วเราว่าทุกคนก็คงเคยเป็นแหละ
คราวหลังถ้าเป็นอีกลองบอกตัวเองสิว่า..
แน่ะ.. หยิบไม้เขี่ยหมาเน่ามาดมอีกแล้วนะเรา..

คนที่รู้ทั้งรู้ว่าไม้เหม็นแต่ก็ยังเก็บมาดมอยู่ได้เนี่ย.. ไม่โง่ก็โรคจิตนะ
ดูซิว่ายังจะอยากเก็บไม้เหม็นๆไว้ดมอีกไม๊
:)

ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/read7f95.html?No=478

144
พรุ่งนี้หรือชาติหน้าอะไรจะมาก่อน
วันพุธ ที่ 22 มิถุนายน 2554 เวลา 0:00 น 

   พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ ได้บรรยายธรรมในรายการวิทยุแห่งหนึ่งว่าด้วยชีวิตและงาน ที่ช่วงหลังตั้งแต่ พ.ศ.2547 เน้นการอบรมเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยระยะสุดท้าย ทางสำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะได้เรียบเรียง ตัดต่อและจัดทำหนังสือ “พรุ่งนี้หรือชาติหน้า ไม่มีใครรู้ว่า อะไรจะมาก่อน” มีเนื้อหาหลากหลาย เน้นหนักเรื่องการเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับความตาย ซึ่งเป็นความจริงอย่างหนึ่งที่ผู้คนไม่อยากนึกถึง ทั้งที่ความตายเกิดกับเราได้ทุกเวลา
   
   ตอนหนึ่ง พระไพศาล บรรยายว่า สนใจเรื่องความตายมานานแล้ว เหมือนคนทั่วไปที่คิดถึงเรื่องความตาย จิตใจก็หวั่นไหว ในช่วงปลายปี 2518 ได้มีโอกาสไปอยู่ที่อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นช่วงที่ยังมีการสู้รบจะได้ยินเสียงปืนใหญ่ เสียงระเบิด มีคนถูกยิงตายอยู่บ่อย ๆ จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า ถ้าเราจะต้องตายจะทำใจยอมรับกับมันได้หรือไม่ พอมาบวชเป็นพระก็คุ้นกับความตาย เพราะพระพุทธศาสนาพูดถึงบ่อยมากเรื่องความไม่เที่ยงของชีวิต พูดถึงความตาย ต่อมาได้อ่านหนังสือชื่อ เดอะ ทิเบแทน บุ้ก ออฟ ลิฟวิง แอนด์ดายอิง (The Tibatan Book of Living and Dyiing) ของโซเกียล รินโปเช นักบวชชาวทิเบต โดยหนังสือเล่มนี้กล่าวถึงภาวะใกล้ตายและก่อนตาย อาตมาได้รับประโยชน์เป็นส่วนตัวในเรื่องนี้อย่างมาก ส่วนคนอ่านก็ได้รับประโยชน์อย่างที่คาดไม่ถึง เช่นการช่วยให้ผู้ป่วยตายอย่างสงบ ให้ความสำคัญกับการปลดเปลื้องสิ่งค้างคาใจ ช่วยให้เขาปล่อยวางให้หมด
   
  ทางทิเบตเชื่อว่า คนแม้ตายแล้วก็ยังสามารถหลุดพ้นเข้าสู่นิพพานได้ หากได้ฟังธรรมเป็นเครื่องเตือนใจให้ประจักษ์ถึงจิตเดิมแท้ โดยพระไพศาลยกตัวอย่างหลายรายที่คนใกล้ตายซึ่งยังมีความกังวล อาจทุรนทุราย แต่เมื่อมีญาติ หรือคนใกล้ชิดพูดให้สติ ก็ปล่อยวางและสิ้นใจอย่างสงบได้
   
  ความในหนังสืออีกตอนหนึ่งระบุว่า การระลึกถึงความตายนั้นพุทธศาสนาเรียกว่าการเจริญมรณสติ เป็นสิ่งที่ควรทำเป็นประจำ เพราะคือการพิจารณาหรือเตือนตนให้ระลึกถึงความจริงว่า ความตายต้องเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอน แต่จะเกิดเมื่อไรไม่รู้ อาจเป็นเดือนหน้า พรุ่งนี้  วันนี้ หรือคืนนี้ก็ได้ มีภาษิตทิเบต บอกว่า “ระหว่างชาติหน้ากับพรุ่งนี้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าอะไรจะมาก่อน” อาตมาก็ไม่รู้ ทุกท่านก็ไม่รู้ อย่าคิดว่าพรุ่งนี้จะมาก่อนชาติหน้าเสมอไป เพราะสำหรับหลายคนพ้นจากวันนี้ไปแล้วก็เป็นชาติหน้าเลย ไม่มีพรุ่งนี้สำหรับเขา
   
สาระจากหนังสือเล่มนี้ ให้ข้อคิดที่ดีสำหรับทุกคนได้ตระหนักว่า จะประมาทกับการดำเนินชีวิตไม่ได้ เพราะเราอาจไม่มีชีวิตอยู่ถึงพรุ่งนี้
   
  แต่สำหรับคนที่มิได้ฝึกศึกษามาก่อน มองความตายเป็นเรื่องน่าเกลียด น่ากลัว ควรหลีกเลี่ยง คงยากจะยอมรับกับเรื่องนี้  ทั้งยังมองได้ว่าจะขัดกับความมุ่งมั่นพัฒนาตนและกิจการเพื่อความก้าวหน้า โดยนัยนี้ เราได้ตั้งประเด็นนมัสการกราบเรียนถาม พระไพศาล ได้คำตอบว่า การเตรียมใจรับมือกับความตาย กับการพัฒนาตนและกิจการ ไปด้วยกันได้
   
ในเรื่องการพัฒนาตนนั้น ถ้าหมายถึงการพัฒนาจิตใจ อันนี้ได้ประโยชน์โดยตรงอยู่แล้วจากการเตรียมใจเผชิญความตาย
   
พระไพศาลกล่าวว่าหากตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเป็นนิจ ก็จะทำให้ไม่ใช้เวลาโดยเปล่าประโยชน์ แต่จะทำงานด้วยความตั้งใจ เพราะรู้ว่ามีเวลาในโลกนี้จำกัด (ไม่เอาเวลาไปเที่ยวเตร่ สนุกสนาน รวมทั้ง ไม่คิดจะโกงหรือคอร์รัปชั่นเพราะรู้ว่าเป็นบาปที่จะส่งผลต่อตนเอง ทำให้ตายไม่สงบ) ขณะเดียวกันก็จะพยายามทำงานไม่ให้คั่งค้าง เพื่อไม่ให้เป็นห่วงหรือภาระแก่จิตใจ รวมทั้งรู้จักปล่อยวาง เวลาเจออุปสรรคหรือความขัดแย้งระหว่างทำงาน เพราะไม่รู้จะทะเลาะกันไปทำไมเนื่องจากอีกไม่นานก็ต้องตายจากกัน
   
“การยึดมั่นถือมั่นกับการทำงานและความสำเร็จบ่อยครั้ง กลับบั่นทอนจิตใจและร่างกาย จนเป็นอุปสรรคต่อการทำงานด้วยซ้ำ การเตรียมใจพร้อมรับความตายจะช่วยให้ปล่อยวางได้มากขึ้น ทำให้ทำงานได้อย่างมีความสุข และสามารถประสบความสำเร็จได้ง่าย”
   
การเตรียมใจรับมือกับวาระสุดท้ายจึงไม่ใช่เรื่องน่าหวาดวิตก
   
เพราะนี่คือการพัฒนาจิตใจให้บรรลุความดีอีกขั้น.

อุเปกชินทรีย์
ที่มา
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=146518&categoryID=671

145
ธรรมะอินเทรนด์ : ภาค ๒ กรณีศึกษา
วันพุธ ที่ 08 มิถุนายน 2554 เวลา 0:00 น 


  ความรู้จักคิด (โยนิโสมนสิการ) และ การมีมิตรดี (กัลยาณมิตร) ที่กล่าวมาข้างต้นทำงานร่วมกันอย่างไร เกื้อกูลหนุนส่งกันอย่างไร จะเห็นได้จากกรณีศึกษาผ่านชีวประวัติของบุคคลสำคัญดังจะกล่าวต่อไปนี้
   
๑. พระเจ้าอโศกมหาราช ( พ.ศ. ๒๗๐–๓๑๒)
   
๒. กิสาโคตมี (มีชีวิตอยู่ในพุทธกาล)
   
๓. หลุยส์ เบรลล์ (ค.ศ. ๑๘๐๙-๑๘๕๒)
   
๔. อัลเฟรด  โนเบล (ค.ศ. ๑๘๓๓–๑๘๙๖)


อโศกมหาราช

จากทรราชกระหายสงครามเป็นมหาราชโลกไม่ลืม
   
  พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงเป็นราชโอรสของพระเจ้าพินทุสาร แห่งราชวงศ์โมริยะ แคว้นมคธ  ทรงมีชีวิตอยู่ในพุทธศตวรรษที่ ๓ (พ.ศ. ๒๗๐–๓๑๒) เมื่อครั้งที่พระราชบิดายังทรงพระชนม์อยู่นั้น ทรงแต่งตั้งให้พระองค์ไปดำรงตำแหน่งอุปราช ณ กรุงอุชเชนี แคว้นอวันตี ครั้นพระราชบิดาเสด็จสวรรคตแล้ว พระองค์ทรงกรีธาทัพมายึดอำนาจทางการเมืองจากพระเชษฐาธิราช โดยทรงสังหารผลาญราชนิกุลร่วมสายโลหิตเดียวกันไปกว่า ๙๙ องค์ เหลือเพียงพระอนุชาหนึ่งองค์เท่านั้น
   
  จากนั้น ทรงจัดการการเมืองภายในอีก ๔ ปี (ตามคัมภีร์ฝ่ายพุทธ ระบุว่า ทรงยึดอำนาจ พ.ศ. ๒๑๔) เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองสงบเรียบร้อยแล้ว จึงทรงทำพิธีปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อจากพระราชบิดา (พ.ศ. ๒๑๘)
   
  ในยุคต้นของการครองราชสมบัตินั้น พระเจ้าอโศกทรงกระหายสงครามมาก ทรงรุกรบไปทุกหนทุกแห่ง เข่นฆ่า สังหาร ผลาญชีวิตผู้คนไปมากมายนับไม่ถ้วน จนได้รับพระราชสมัญญาว่า “จัณฑาโศก” แปลว่า “อโศกทมิฬ”
   
  ด้วยเดชานุภาพทางการรบอันหาใครเปรียบไม่ได้ ทำให้อาณาจักรของพระเจ้าอโศกแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวางมากมายเสียยิ่งกว่าประเทศอินเดียในปัจจุบันหลายเท่า แต่แล้ว อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่ทรงกรีธาทัพไปทำสงครามยึดแคว้นกาลิงคะนั้นเอง จุดเปลี่ยนแห่งชีวิตของพระองค์ก็เดินทางมาถึง
   
  กล่าวกันว่า สงครามกับแคว้นกาลิงคะคราวนั้น กองทัพของพระองค์เข่นฆ่าทหาร ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไปมากมายหลายแสนคน เลือดนองแผ่นดินกาลิงคะดังหนึ่งทะเลเลือดกว้างไกลไปสุดลูกหูลูกตา ความเสียหายอันใหญ่หลวงคราวนี้ ก่อให้เกิดความ “สลดพระทัย” แก่พระเจ้าอโศกอย่างที่ไม่เคยทรงเป็นมาก่อน ทำให้พระองค์ทรงหันมาตั้งคำถามกับตนเองว่า สิ่งที่ทรงทำลงไปนั้นคุ้มกันหรือไม่กับชีวิตประชาชนที่ต้องมาสังเวยความกระหายสงครามของตนเอง
   
  ในที่สุด ผลของการรู้จักใช้ “โยนิโสมนสิการ” โดยมี “ชีวิตของผู้วายชนม์ในสงครามหลายแสนคน” เป็นกัลยาณมิตร ก็ทำให้พระองค์ทรงได้คำตอบว่า สิ่งที่ทรงทำอยู่นั้น ไม่ถูกต้อง หลังจากที่ทรงได้คิดคราวนั้นแล้ว ทรงเปลี่ยนพระทัยไปเป็นคนละคน
   
  กล่าวคือ จากอโศกทมิฬผู้กระหายเลือดกระหายสงคราม มากระหายธรรมคือความดีงามและสันติภาพแทน นโยบายในการบริหารราชการแผ่นดินของพระองค์ก็เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง คือ จากนโยบาย “สงครามวิชัย” (มุ่งชัยชนะด้วยการทำสงครามขยายอาณาเขต) มาเป็น “ธรรมวิชัย” (มุ่งชัยชนะด้วยการเผยแผ่ธรรมไปยังอาณาเขตที่ยึดมาได้ทั้งหมด).

พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี
ที่มา
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&contentId=143635&categoryID=671

146
อ้อนวอนไปเถอะพระก็ช่วยไม่ได้

บางพวกบางคนไปหลงอธิษฐาน สวดมนต์ อ้อนวอนให้พระช่วย
ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาอ้อนวอน อ้อนวอนให้คุ้มครองอย่างนั้น
อ้อนวอนให้คุ้มครองอย่างนี้ ให้ช่วยค้าขายดีอย่างนั้นอย่างนี้ มีที่ไหน

ปี ๆ หนึ่งมักจะมีคนมาถามอาตมาว่า หลวงพ่อมีของดีอะไรที่ทำให้ช่วยให้ขายของดีได้บ้าง
อาตมาต้องบอกว่า...
แหม...ทุกวันนี้อาตมาก็ต้องเคี่ยวเข็ญให้เด็ก ๆ ที่อยู่ที่วัดกับอาตมาเขาหัดขายของเลย
ต้องแนะเขา สอนเขา เราไม่มีที่ขายก็ต้องทุรนทุรายแสวงหาที่ขายดี ๆ ได้
สถานที่ตามบริษัทห้างร้านก็ขายได้ มันไม่ใช่ว่าขายได้เพราะมีของ

อาตมาไม่เคยมีของดีเลย อย่างพวกนางกวักหรือของเมตตามหานิยมอะไรอย่างนั้น ไม่ทำเลย
แต่เด็ก ๆ เขาก็ไปขายของ วันหนึ่ง ๆ ได้สี่หมื่น ห้าหมื่น ก็มี
บางวันได้ถึงเจ็ดแปดหมื่นก็เคยได้
บางวันสี่ห้าพันก็มีสรุปมันต้องดูที่ทำเล ดูคน ดูตลาด ของที่เราไปขาย
ไอ้ที่ขายได้ไม่ใช่เพราะว่ามีเครื่องรางของขลังดี

เดี๋ยวนี้มันมีถึงขนาดทำ “พระชูชก” มาขายกันแล้ว
เขาอ้างสรรพคุณว่า “พระชูชก” ใครบูชาจะได้ลาภ มีเสน่ห์ มีเมียสาว
คนมันช่างคิดอะไรขนาดนั้นก็ไม่รู้ ก็เลยมี “พระชูชก” รุ่นชูชกเป็นพระงกออกมา

คนเรามักไปชอบยึดติดกับอะไรทำนองนี้ ก็เลยทำให้วงการพระเครื่องเขารวยกันพอสมควร
แล้วพวกนี้ไม่ต้องเสียภาษีด้วย อันที่จริงรัฐน่าจะเก็บภาษี แล้วก็เอาเงินมาทำอย่างอื่น
เพราะคนพวกนี้ก็ร่ำรวยบนความไม่ค่อยฉลาดสักเท่าไร

ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/read0f4c.html?No=527

147
ธรรมะ / นิทานเซน : พ่อค้าซื้อขาโต๊ะ
« เมื่อ: 20 มิ.ย. 2554, 08:13:59 »
นิทานเซน: พ่อค้าซื้อขาโต๊ะ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   8 มิถุนายน 2554 07:25 น.


ภาพจาก guohua.findart.com.cn
      《体相本自然》

      
       ยังมีพ่อค้าของเก่าจอมเจ้าเล่ห์รายหนึ่งเดินทางผ่านมายังอารามเซน ขณะมองเข้าไปในอาราม บังเอิญพบเห็นโต๊ะโบราณซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นของที่เคยใช้ภายในราชสำนักตัวหนึ่งตั้งอยู่ด้านใน โต๊ะตัวนี้งดงามยิ่ง ทำจากไม้หายากลวดลายแกะสลักวิจิตรบรรจง ไม่ว่าจะมองในแง่คุณค่าทางศิลปะหรือมูลค่าแท้จริงก็ล้วนจัดว่าโต๊ะตัวนี้คือของล้ำค่า เมื่อเห็นดังนั้นพ่อค้าจึงตาลุกวาว คิดแผนการณ์ว่าทำอย่างไรจึงจะได้โต๊ะมาในราคาที่คุ้มทุนที่สุด
      
       ขณะนั้น เป็นเวลาพอดีกันกับที่เณรน้อยรูปหนึ่งต้องนำโต๊ะตัวดังกล่าวออกมารับแสงแดดและเช็ดถูทำความสะอาด พ่อค้าจึงได้จังหวะเข้าไปพูดคุยกับเณรว่า "โต๊ะตัวนี้เป็นโต๊ะที่งดงามยิ่ง" เณรน้อยมิตอบคำ ตั้งหน้าตั้งตาเช็ดโต๊ะต่อไป
      
       พ่อค้าจึงกล่าวอีกว่า "แม้ว่าจะสวยงาม แต่น่าเสียดายที่มันเป็นของปลอม เพราะของจริงนั้นตั้งอยู่ที่บ้านของข้าเอง" เณรน้อยยังคงมิใส่ใจ
      
       พ่อค้าไม่ละความพยายามกล่าวต่อไปอีกว่า "น่าเสียดาย เมื่อตอนที่ข้าย้ายบ้าน ไม่ทันระวังทำขาโต๊ะโบราณของข้าหักไป 2 ข้าง อยากถามท่านเณรว่าสามารถขายโต๊ะตัวนี้ให้กับข้าในราคา 1 พันตำลึงได้หรือไม่? "
      
       ครานี้เณรจึงเอ่ยปากออกมาว่า "ในเมื่อท่านบอกว่าโต๊ะตัวนี้เป็นของปลอม เช่นนั้นท่านจะซื้อไปทำไมหรือ?"
      
       พ่อค้ารีบตอบว่า "ข้าคิดว่าจะนำขาของโต๊ะของปลอมตัวนี้ไปซ่อมขาโต๊ะที่เป็นของแท้ที่บ้านของข้า ทำเช่นนี้ท่านเณรก็ได้ประโยชน์สามารถนำเงินไปซื้อโต๊ะของแท้ตัวใหม่ ส่วนข้าก็ได้ซ่อมแซมโต๊ะโบราณอันเป็นสมบัติดั้งเดิมของตระกูลได้สำเร็จ" เณรนิ่งคิดครู่หนึ่งจึงตอบตกลงตามข้อเสนอของพ่อค้าจอมเจ้าเล่ห์
      
       พ่อค้าเห็นดังนั้น ก็พยายามกดข่มความลิงโลดใจไม่ให้ออกนอกหน้า ขณะที่ในใจดีดลูกคิดรางแก้วคำนวณราคาของโต๊ะไว้เสร็จสรรพว่าหากนำโต๊ะที่ได้จากอารามเซนตัวนี้ไปขายคงได้ราคาไม่ต่ำกว่าสิบหมื่นตำลึง ขณะเดียวกับก็ลอบตำหนิตนเองที่เสนอราคาให้เณรไปถึง 1 พันตำลึง จากนั้นพ่อค้าหัวใสจึงออกปากให้เณรช่วยยกโต๊ะออกไปรอไว้นอกอาราม ส่วนตนเองออกไปหาเสาะรถมาขนย้ายโต๊ะด้วยความอิ่มอกอิ่มใจที่ทำการค้าสำเร็จ
      
       เวลาผ่านไป เมื่อพ่อค้านำรถขนย้ายกลับมายังอารามเซน กลับพบว่าโต๊ะโบราณอันล้ำค่าของเขาถูกแยกชิ้นส่วน ขาโต๊ะอยู่ทาง ตัวโต๊ะอยู่อีกทาง กลายเป็นของไร้ค่ากองหนึ่ง
      
       พ่อค้าตกใจแทบสิ้นสติกัดฟันเอ่ยถามเณรน้อยด้วยความโกรธจัดว่า "โต๊ะของข้า ไฉนจึงเป็นเช่นนี้?"

      
       เณรน้อยกล่าวด้วยความปลอดโปร่งว่า "ข้ากลัวว่ารถขนย้ายจะเล็กเกินไปไม่สามารถขนโต๊ะตัวใหญ่ขนาดนี้ไปได้ จึงจับมันแยกชิ้นส่วน อีกประการหนึ่ง ท่านก็บอกเองว่าต้องการใช้ขาของโต๊ะตัวนี้ ดังนั้นการที่ข้าจัดการแยกขาออกจากโต๊ะให้กับท่าน ยังมิใช่เป็นการช่วยอำนวยความสะดวกให้กับท่านดอกหรือ?"
      
       เมื่อพ่อค้าได้ยินดังนั้น ได้แต่อับจนถ้อยคำตอบโต้ใดๆ

      
       ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4

ที่มา
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000069496

148
ลองของกับ"คนเล่นของ"

    ลองของกับ"คนเล่นของ" ของดีไม่ต้องลอง หรือ ของดีต้องลองได้ เป็นข้อถกเถียงของผู้นิยมพระเครื่องและเครื่องรางของขลังอย่างไม่มีวันจบสิ้น คนเล่นของ ซึ่งการ ลองของเพื่อพิสูจน์พุทธคุณนั้น ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ไม่เป็นเครื่องพิสูจน์เรื่องพุทธคุณได้อย่างชัดเจน

   ขณะเดียวกันก็มีภาพข่าวการลองของออกมาอย่าต่อเนื่อง เช่น ชาวบ้านแห่พิสูจน์ตะกรุดลูกปืนมหาอุตต์พระอาจารย์ตี๋เล็ก หรือพระพินิต ปัญญาสาโร เจ้าตำรับมหาอุตต์-ตะกรุดลูกปืนขนานแท้ แห่งสำนักสงฆ์เขาสุนะโม ต.พุทธบาท อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ แน่นวัด เนินพยอม ต.ดงเสือเหลือง อ.โพธิ์ประทับช้าง จ.พิจิตร ลองของกันในวัด ปืนยิงไม่ออกลูกปืนติดคาลำกล้อง

 ในขณะที่พระอาจารย์สมชาย ฐานวโร หรือหลวงพ่อเสือ เจ้าของฉายา "กระบี่บินโคตรหนังเหนียว" ใช้ดาบซามูไรยาวกว่า ๑ เมตร โดยมีการสวดคาถาอาคมอย่างตั้งอกตั้งใจ ทั้งนี้ได้แจกจ่ายเสื้อยันต์ ผ้ายันต์ ตะกรุด และจตุคามฯ ให้ชายที่ถอดเสื้อทุกคนถือเอาไว้โดยการชูมือขิ้นเหนือศีรษะ จากนั้นก็ลงมือฟันด้วยซามูไรเข้าที่บริเวณหน้าท้องและลำตัวหลายครั้งสร้าง ความฮือฮาให้แก่ประชาชนที่ยืนดูเป็นอย่างมาก

 " เมื่อปี ๒๕๔๓ เคยลองรูปหล่อเนื้อนวโลหะหลวงพ่อเงิน รุ่นพระพิจิตร โดยลองที่หน้าพระอุโบสถหลวงพ่อเพชร ระหว่างพิธีปลุกเสกในพลัด (พลตรีเกริก กัลยาณมิตร) อดีตผู้บังคับ ตร.ภูธร จ.พิตร ปัจจุบันเป็น ส.ว.พิจิตร ในครั้งใช้ปืน .๓๕๗ ในครั้งนั้นมีคนมาดูการลองกว่า ๓๐๐ คน การลองเริ่มจากยิงขึ้นฟ้า ๑ นัดเพื่อลองปืนลองกระสุน เมื่อต้องลองวัตถุมงคลก็จะจุดธูปขอขมาเจ้าที่ และครูบาอาจารย์ โดยอธิษฐานจิตว่า ไม่ได้ลบหลู่แต่ต้องการลองเพื่อให้ประจักษ์ว่าพุทธคุณมีจริง แล้วใช้ปืนจอยิงไปที่วัตถุมงคลในระยะเผาขน ส่วนใหญ่จะเอาวัตถุมงคลใส่ถุงผ้าขาว ยิงแล้วจะด้าน แล้วหมุนโม่ยิงอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงถอดลูกกระสุนออกมาดู นัดแรกนกจะสับ ๑ รอย นัดที่ ๒ ยิงซ้ำนกจะสับ ๒ รอย แสดงว่าลูกปืนไม่ได้แช่น้ำมัน ก่อนจะลองต้องขอขมาลาโทษทุกครั้ง ลองเพื่อทดสอบพุทธคุณพระที่จัดสร้าง ยิงออกแต่ไม่ถูก ยิงถุงผ้าขาวแตกแต่ถุงพลาสติกไม่ขาด ระยะหลังไม่ปรากฏว่ามีการลองของเท่าใดนัก ส่วนใหญ่เป็นการลองด้วยการยิงครั้งเดี่ยวซึ่งไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าใดนัก" นี่คือประสบการณ์และวิธีการลองของ อ.ขวัญทอง สอนศิริ (โจ้) ศูนย์พิษณุโลกศึกษา โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคเหนือ พิษณุโลก

 อ.โจ้ ยังบอกด้วยว่า เคยลองด้วยตนเอง ๒ ครั้ง คือ หลวงปู่บุญมี ฐิตาจาโร วัดเกาะ อ.ศรีสำโรง จ.สุโขทัย ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเอม วัดคลองโป่ง อ.ศรีสำโรง โดยลองตะกรุดโทน (ยันต์แม่เหล็ก) โดยกำตะกรุดแล้วใช้คัตเตอร์กรีดที่มือ เริ่มจากค่อยๆ กดก่อนแล้วเริ่มกดแรงขึ้นเมื่อรู้ว่าไม่เข้าก็กดเต็มที่โดยลองถึง ๒ ครั้ง มีเพียงแค่แมวข่วนเท่านั้น (ยางบอน) ส่วนอีกครั้งหนึ่งลองตะกรุดคู่ชีวิตหลวงพ่อทาน (หลานหลวงพ่อพิธ ตาไฟ) วัดฆะมัง อ.เมือง จ.พิจิตร โดยใช้วิธีการลองแบบเดียวกัน นอกจากนี้ยังเคยลองตะกรุดเทพรัญจวนหลวงปู่ และเหรียญสองกษัตริย์ (พระนเรศวร-พระเอกา) สร้างโดยเจ้าคุณธงชัย วัดไตรมิตร และปลุกเสกหลวงปู่ตี๋ วัดหลวงราชาวาส จ.อุทัยธานี และ อ.จั่ว ตรอกจั่น (ฆราวาสลูกศิษญ์ อ.เทพ) รวมทั้งเหรียญชินราชเจ้าพระยาจักรกรี (ตชด.๓๑ พิษณุโลกสร้าง) โดยใช้ปืน .๓๘ ยิง ปี ๒๕๔๒ และ ๒๕๔๓ เคยลองพระกริ่งนเรศวรพระองค์ดำ ๑๐๐ ปี โรงเรียนพิษณุโลกวิทยาคม โดยลองบริเวณหอกลองหน้าวิหารพระพุทธชินราช ในครั้งนั้นมีตำรวจและประชาชนร่วมพิสูจน์กว่า ๑๐๐ คน

 อย่างไรก็ตาม "คม ชัด ลึก" ไปสังเกตการณ์วิธีการทดสอบความขลังของพระเครื่องและวัตถุมงคล ของนายอภิชัย อิ่มอารมรณ์  และนายอำนาจ ทรัพย์สิน คู่หูนักลองของ บริเวณวัดแห่งหนึ่งใน อ.บางกรวย จ.นนทบุรี โดยนำวัตถุมงคลหลายชนิดมาลองยิงด้วยปืนลูกโม่

 นายอภิชัยบอกว่า จากการลองของที่ผ่านมาของดีมีไม่ถึง ๕% ไม่ว่าจะเป็นเหรียญดังของเกจิย่านบางกระดี่ จ.ปทุมธานี รวมทั้งตะกรุดลูกปืน ตะกรุดลูกระเบิดที่ขึ้นชื่อของเกจิยุคปัจจุบันถูกปืนยิงกระจายทุกราย ส่วนเหตุผลที่ลองนั้นไม่ใช่ลบหลู่เพียงแต่ต้องการพิสูจน์พุทธคุณเท่านั้น อย่างไรเสียก็ขอยืนยันว่าของดีต้องลองได้ พระเครื่องและวัตถุมงคลที่แขวนติดตัวทุกชนิดแม้จะราคาไม่แพงแต่ทุกอย่างผ่าน การทดสอบด้วยการยิงมาทั้งสิ้น

 "ของไม่ดีแขวนไปก็หนักคอหนักเอวเปล่าๆ ผมเชื่อว่าทุกคนล้วนอยากมีของดีมาใช้ป้องกันตัว ใครจะคุยอวดสรรพคุณว่าวัตถุมงคลสุดยอดอย่างไร สู้ลองทดสอบด้วยตัวเองไม่ได้ ทุกวันนี้ผมแขวนวัตถุมงคลของเกจิแห่งยุคที่ยังมีชีวิตอยู่ ๓ รูป คือ ตะกรุดหลวงปู่แย้ม หนังเสือและเสือเนื้อตะกั่ว วัดตะเคียน จ.นนทบุรี หลวงพ่อสุวรรณ วัดยาง ต.ห้วยไผ่ อ.แสวงหา จ.อ่างทอง และหลวงปู่ตี๋ ฉันทธัมโม วัดเขาเขียวพนาราม อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี ศิษย์สืบสายธรรมหลวงปู่อิ่ม วัดหัวเขา" นี่คือเหตุของนายอำนาจ

 ทั้งนี้ นายอำนาจยังบอกด้วยว่า เมื่อได้วัตถุมงคลมาโดยเฉพาะประเภทตะกรุดจากวัดต่างๆ ประมาณ ๒๐ ดอก ก็จะนัดเพื่อนๆ ในกลุ่มมาลองของโดยใช้ปืน ๓ ขนาดยิงคือ ปืนแม็กนั่ม ปืนขนาด ๑๑ มม. และปืนซูเปอร์ เมื่อลองไปแล้วหากตะกรุดดอกใดปืนยิงไม่ออก หรือยิงไม่ถูกจะใช้ปืนลูกกรดยาวซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นปืนที่ยิงและมีความแม่น ยำมากมายิงซ้ำอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามในระยะหลังไม่ค่อยได้ลองด้วยเหตุที่ว่าขับรถไปประสบอุบัติเหตุ เกือบเอาชีวิตไม่รอด ตามความเข้าใจของตนเองเชื่อว่าเป็นผลพวงมาจากการลองของลบหลู่ครูบาอาจารย์

ที่มา
http://www.tumsrivichai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538686185&Ntype=40

149
กฎแห่งกรรม / คนฝืนดวง...?
« เมื่อ: 19 มิ.ย. 2554, 10:25:53 »
คนฝืนดวง...?

มีเศรษฐีคนหนึ่ง มีลูกชายสองคน วันหนึ่งได้เชิญหมอดูชื่อดังมาดูดวงให้ลูกชายทั้งสอง หมอดูทำนายว่าลูกชายคนโตจะต้องลำบาก ทำแต่งานหนักตลอดชีวิต ส่วนลูกชายคนเล็กจะสุขสบายไม่ต้องทำอะไรเลย และสุดท้ายจะได้จบชีวิตลงใต้ร่มเศวตฉัตร..

เมื่อเศรษฐีได้ยินดังนั้น จึงรู้สึกรักลูกชายคนเล็กขึ้นเป็นทวีคูณ ด้วยว่าลูกคนนี้ย่อมจักกลายเป็นราชาผู้ครองเมืองเป็นแน่แท้ เลยประคบประหงมลูกชายคนเล็กเป็นอย่างดี ไม่ให้หยิบจับงานหนักแต่อย่างใด เมื่อตอนถึงวัยศึกษาเล่าเรียน ลูกชายคนเล็กก็ขอผู้เป็นพ่อว่าจะไม่ขอเรียนวิชาใด เนื่องจากถึงอย่างไรตนเองสักวันก็ย่อมได้เป็นราชาอยู่แล้ว..

ส่วนลูกชายคนโต ภายหลังจากที่ได้ยินคำทำนายจากโหรชื่อดัง ลูกชายคนโตก็เร่งขยันหมั่นเพียรร่ำเรียนวิชา เนื่องด้วยว่ากลัวว่าภายหน้าตนจะลำบาก ทำงานสารพัดหนักเอาเบาสู้ ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบากแต่อย่างใด

ต่อมาไม่นาน ลูกชายทั้งสองเติบใหญ่เป็นหนุ่มแน่น เศรษฐีได้สิ้นใจลง ก่อนนั้นได้แบ่งสมบัติให้ลูกชายทั้งสองได้ดูแลสมบัติของตน..

ลูกชายคนเล็กเมื่อได้สมบัติแล้ว ได้นำสมบัติที่บิดาให้ไปใช้จ่าย ซื้อความสุขของตนอย่างสุรุ่ยสุร่าย ผิดกับผู้เป็นพี่ชายที่นอกจากจะเก็บรักษาสมบัติที่ผู้เป็นพ่อให้มาเป็นอย่างดี แถมยังทำให้ทรัพย์สินงอกเงยออกมาอีกมากมาย ถึงแม้ว่าลูกชายคนโตตอนนี้จะกลายเป็นเศรษฐีแล้ว เขาก็ยังไม่ย่อท้อ เขายังคงที่จะทำงานสู้เก็บเงินไปเรื่อยๆ เพราะเกรงว่าสักวันชีวิตเขาอาจจะยากลำบากตามคำที่โหรชื่อดังเคยกล่าวไว้..

ลูกชายคนเล็กเมื่อใช้จ่ายทรัพย์ที่บิดาให้มาจนหมดลง ไม่เหลือแม้แต่ทรัพย์ที่เพียงพอที่จะประทังชีวิตประจำวัน เนื่องจากเขาไม่เคยร่ำเรียนวิชาความรู้อะไรเลย อีกทั้งงานหนักไม่เคยเอางานเบาไม่เคยสู้ เขาไปรับจ้างทำงานที่ไหนก็ไม่สามารถทำได้นาน สุดท้ายเขาก็ไม่เหลืออะไรเลย มีหนทางเดียวที่จะทำได้คือนั่งๆนอนๆขอทานจากความเมตตาของคนที่เดินผ่านข้างถนนเป็นประจำ..

วันหนึ่ง ราชาได้เสด็จผ่านมาที่ถนนสายนั้น ได้เห็นขอทานผู้หนึ่งกำลังจะตายด้วยความหิว นอนผอมโซตากแดดแรงหมดสติอยู่ข้างถนน ด้วยความสงสาร ราชาจึงสั่งให้มหาดเล็กนำเศวตฉัตรของตน ไปกำบังให้ขอทานผู้นั้น..

ขอทานนั้น ได้สติขึ้นมาลืมตาเห็นร่มเศรตฉัตรกั้นกำบังแดดตน น้ำตาได้หลั่งไหลไม่ขาดสาย เข้าใจถึงคำทำนายของโหรอย่างถ่องแท้..
และสิ้นใจในกาลต่อมา........

ที่มา
http://www.aromdee.net/view/view_board.php?id=7306&tb=board

150
หลวงตากับเจ้าแกละ

เช้าวันหนึ่งก่อนที่หลวงตาจะออกไปบิณฑบาต
พอดีเห็นใบไม้ร่วงอยู่เต็มลานวัด ท่านจึงบอกเจ้าแกละให้ไปกวาดลานวัด
เพื่อญาติโยมเวลามาทำบุญเห็นลานวัดสะอาดสะอ้านจะได้สบายอก สบายใจ

พอหลวงตาบิณฑบาตกลับมาก็พบว่าที่ลานวัดยังไม่ได้กวาดแต่อย่างใด

หลวงตาจึงเรียกเจ้าแกละมาถามว่า
หลวงตา : นี่..เจ้าแกละ ฉันบอกให้แกช่วยกวาดใบไม้ลานวัด ทำไมแกไม่ยอมกวาดล่ะ
เจ้าแกละ : โธ่.. จะกวาดไปทำไมหลวงตา กวาดแล้ว เดี๋ยวใบไม้มันก็ร่วงอีก


หลวงตาได้ฟังเจ้าแกละเถียงก็ไม่ว่าอะไร

หนึ่งชั่วโมงต่อมา หลังจากที่พระทุกรูปฉันอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ก็ถึงเวลาของศิษย์วัดที่จะได้รับประทานอาหารกันบ้าง
บรรดาศิษย์วัดทั้งหลายรวมทั้งเจ้าแกละ ต่างช่วยกันยกสำรับกับข้าว มาตั้งที่กลางโรงฉัน

ในขณะที่ทุกคนกำลังจะลงมือรับประทานอาหารอยู่นั่นเอง
ก็ได้ยินเสียงหลวงตาพูดดัง ๆ ขึ้นมาว่า

หลวงตา : เฮ้ยๆ ทุกคนกินข้าวกันได้ ยกเว้นเจ้าแกละคนเดียวไม่ต้องกิน
เจ้าแกละ : อ้าว ! ..หลวงตา ถ้าไม่ให้ผมกิน ผมก็หิวแย่สิครับ
หลวงตา : เอ็งจะกินไปทำไมวะ กินแล้วเดี๋ยวตอนเที่ยงเอ็งก็หิวอีก *
เจ้าแกละ : ?!?!


ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/read8c33.html?No=540

151
ประวัติย่อของหลวงปู่สุภา โดยคุณ topcat
หัวข้อ...หลวงปู่สุภา กันตสีโล พระเกจิ5แผ่นดิน วัดสีลสุภาราม ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=12027.0
ผมเคยอ่านประวัติของท่านแล้วรู้สึกสนุกได้สาระความรู้ แต่เท่าที่หาได้ในอินเตอร์เนต ไม่ค่อยจะละเอียดนัก
ด้วยการเดินทางแสนไกลของท่านในสมัยก่อนหลายสิบปีมาแล้ว จากไทยไปพม่า อินเดีย หิมาลัย อาหรับ ปารีส จีน ลาว เขมร เป็นต้น
แต่จะพยายามรวบรวมมาแบ่งปันกันอ่านและศึกษา หากท่านใดมีข้อมูลเพิ่มเสริมก็ยินดีมาปันนะครับ :054:

ประวัติย่อ โดยคุณ topcat
ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก  http://www.phuket-it.com/index.php?option=com_content&task=view&id=489&Itemid=123

หลวงปู่สุภา กันตสีโล พระเกจิ5แผ่นดิน วัดสีลสุภาราม ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต

"ถ้าเสียสัตย์ ก็เสียศีล เสียศีลแล้ว ธรรมก็ไม่บังเกิด"

"ฆ่าจิตของเราให้มันตาย อย่าให้มีโกรธ อย่าให้โลภ อย่าให้มีหลง"

ปาฐกถาธรรมอันสะท้อนถึงแก่นแท้แห่งพระพุทธศาสนา โดยพระมงคลวิสุทธิ์ หรือที่ชาวภูเก็ตหรือพุทธศาสนิกชนชาวไทยรู้จักกันดีในนามของ "หลวงปู่สุภา กันตสีโล" พระเถระเจ้าอาวาสที่มีอายุยืนที่สุดในโลก

ปัจจุบัน หลวงปู่สุภา สิริอายุ 112 พรรษา 92 เป็นเจ้าอาวาสวัดสีลสุภาราม หมู่ที่ 6 ถนนเจ้าฟ้าตะวันตก ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต

อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า สุภา วงศ์ภาคำ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 พุทธศักราช 2438 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ปีวอก ณ บ้านคำบ่อ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร โยมบิดาชื่อขุนพลภักดี ผู้ใหญ่บ้านคำบ่อ ชื่อเดิม นายพล วงศ์ภาคำ โยมมารดาชื่อ นางสอ วงศ์ภาคำ มีพี่น้องทั้งหมด 8 คน คือ

1. นางสี วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
2. นายเสน วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
3. นามผม วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
4. นางเกตุ วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
5. นายจันทร์เพ็ง วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
6. หลวงปู่สุภา กนฺตสีโล
7. นางมาลีจันทร์ วงศ์ภาคำ (ถึงแก่กรรม)
8. นางกา วงศ์ภาคำ

  หลวงปู่สุภา เป็นลูกชายคนสุดท้องของครอบครัว เมื่อตอนเป็นเด็กท่านอ้วนท้วนสมบูรณ์ ผิวขาว หน้าตาน่ารักน่าชัง ท่านใช้ชีวิตอย่างเช่นเด็กทั่วๆ ไป ในสมัยนั้นคือ เที่ยววิ่งซุกซนไปตามประสา จะมีโอกาสเรียนเขียนอ่านก็ต่อเมื่อ พ่อแม่พาไปฝากวัดให้พระท่านสอน หรือไม่ก็ให้พ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ที่รู้หนังสือสอนให้ วัดจึงเป็นสถานที่แห่งเดียวที่เด็กชายไปแสวงหาความรู้ เช่นเดียวกับคนอีสานส่วนใหญ่สมัยนั้น คือมักจะให้ลูกบวชเป็นเณร

  เมื่อหลวงปู่สุภาอายุได้ 7 ขวบ วันหนึ่ง ในขณะที่ท่านและเพื่อนๆ ออกไปวิ่งเล่นที่ริมทุ่งชายป่า ได้พบกับพระธุดงค์รูปหนึ่ง มาปักกลดพักอยู่ใต้ต้นตะแบกใหญ่ เด็กคนอื่นๆ ที่เห็นพระรูปนั้นไม่ได้สนใจ ต่างพากันวิ่งเล่นกันต่อ เว้นไว้แต่เด็กชายสุภา ซึ่งมีจิตใจโน้มมาทางธรรมตั้งแต่อายุยังน้อย จะเห็นได้จากการที่ชอบเข้าใกล้พระ ชอบไปวัด ดังนั้นเมื่อท่านเห็นพระธุดงค์รูปนั้นปักกลดพักอยู่ ก็แยกตัวออกจากเพื่อนๆ ตรงเข้าไปกราบ เมื่อพระภิกษุชราที่นั่งพักอยู่ภายในกลดเห็นเด็กชาย หน้าตาน่ารักเข้ามากราบอย่างสวยงาม เหมือนกับได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี จึงมองเด็กน้อยคนนั้นด้วยความเมตตา เพิ่งดูลักษณะอยู่ครู่เดียว จึงบอกเด็กน้อยว่า ต่อไปภายหน้าจะได้บวช เมื่อบวชแล้วอย่าลืมไปหาท่าน พระภิกษุรูปนี้คือ หลวงปู่สีทัตต์ จำพรรษาอยู่ที่วัดท่าอุเทน จังหวัดนครพนมนั้นเอง แต่ในเวลานั้น เด็กชายสุภายังไม่ได้นึกอะไร ได้แต่นั่งคุยกับหลวงปู่สีทัตต์อยู่ครู่หนึ่ง จึงนมัสการลากลับ ไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ

  เมื่อหลวงปู่สุภามีอายุได้ 9 ขวบ บิดามารดาได้นำท่านบวชเป็นสามเณร โดยมีพระอาจารย์สอน เป็นพระอุปัชฌาย์ สามเณรสุภาได้ศึกษาพระธรรมวินัยกับพระอาจารย์สอน เป็นเวลา 1 ปี หลังจากนั้นท่านได้เดินทางไปเรียนมูลกัจจายน์ที่วัดไพรใหญ่ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีพระอาจารย์มหาหล้า และฆราวาสชื่อ อาจารย์ลุย เป็นผู้สอน สามเณรสุภาได้ใช้เวลาศึกษามูลกัจจายน์อยู่ที่วัดไพรใหญ่ เป็นเวลาหลายปี เมื่อเรียนจบแล้วได้กราบลาอาจารย์เพื่อหาความรู้เพิ่มเติม จึงได้ออกเดินทางมานมัสการ หลวงปู่สีทัตต์ ที่วัดท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม หลวงปู่สีทัตต์ ท่านเป็นพระป่า มีชื่อเสียงทางด้านวิปัสสนากรรมฐาน และทรงวิทยาคม ทางด้านคาถาอาคมไสยเวท ซึ่งท่านได้ศึกษาวิชาอาคมด้านต่างๆ มาจากสมเด็จลุน แห่งนครจำปาศักดิ์ ประเทศลาว สมเด็จลุน ท่านเป็นสุดยอดปรมาจารย์ของประเทศลาว พระเกจิอาจารย์ทางภาคอีสาน แถบลุ่มแม่น้ำโขง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังล้วนฝากตัวเป็นลูกศิษย์ท่านทั้งสิ้น สมเด็จลุนท่านมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มากมาย เหลือจะบรรยายเป็นตัวอักษรได้ จะขอกล่าวไว้พอเป็นสังเขป สมเด็จลุนท่านสามารถเดินข้ามแม่น้ำโขงด้วยเท้าเปล่า และบางครั้งท่านจะไปนั่งสรงน้ำกลางแม่น้ำโขง นี่คืออิทธิปาฏิหาริย์ของท่าน

  และในบรรดาลูกศิษย์ของสมเด็จลุน หลวงปู่สีทัตต์ ถือเป็นศิษย์เอกที่ได้รับการถ่ายทอดตำราวิทยาคม จากสมเด็จลุนจนหมดสิ้น จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ลูกไม้จะหล่นไกลต้น

  เมื่อสามเณรสุภา ได้กราบนมัสการหลวงปู่สีทัตต์แล้ว ได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่สีทัตต์ได้รับสามเณรสุภาเป็นศิษย์ด้วยความยินดี นับว่าหลวงปู่สีทัตต์เป็นพระอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐานองค์แรก ของสามเณรสุภา

  สามเณรสุภาได้เริ่มฝึกรรมฐาน และออกธุดงค์กับหลวงปู่สีทัตต์ ซึ่งท่านได้พาสามเณรสุภาธุดงค์ข้ามไปฝั่งลาว หลวงปู่สีทัตต์ได้พาไปที่ถ้ำภูเขาควาย เป็นถ้ำขนาดใหญ่ มีความสวยงามน่าอยู่ ในถ้ำแห่งนี้มีพระสงฆ์ไปปฏิบัติธรรมรวมกันมาก ถ้ำภูเขาควายเปรียบเสมือนถ้ำสำนักตักศิลา ที่มีพระสงฆ์ลาวและไทย ไปจำพรรษาและแลกเปลี่ยนวิชาอาคม หนทางที่จะไปถ้ำถูเขาควายลำบากมาก เต็มไปด้วยสิ่งเร้นลับ พระธุดงค์ที่เดินทางไปถ้ำภูเขาควาย ถ้ามีวิชาอาคมไม่แก่กล้าพอ มักจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้เป็นจำนวนมาก

  สามเณรสุภา ได้ติดตามหลวงปู่สีทัตต์ไปธุดงค์จนอายุครบอุปสมบทในปี พ.ศ. 2459 หลวงปู่สีทัตต์จึงได้อุปสมบทให้สามเณรสุภา ภายในถ้ำภูเขาควาย โดยมีหลวงปู่สีทัตต์เป็นพระอุปัชฌาย์ พระเถระที่ไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดถ้ำภูเขาควายเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “กนฺตสีโล”

  หลังจากอุปสมบทแล้ว หลวงปู่สุภา ได้อยู่ปฏิบัติธรรมต่อไปอีกระยะหนึ่ง จากนั้นได้ติดตามหลวงปู่สีทัตต์กลับมาจำพรรษาที่ วัดท่าอุเทน เพื่อดำเนินการก่อสร้างพระธาตุท่าอุเทน เมื่อมีเวลาว่างท่านจะพา หลวงปู่สุภา และลูกศิษย์ออกธุดงค์แล้วกลับมาจำพรรษาที่วัดท่าอุเทน จนกระทั่งสร้างพระธาตุท่าอุเทนเสร็จเรียบร้อย

หลวงปู่สุภา ได้อยู่ศึกษาพระปริยัติธรรม และปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกับ หลวงปู่สีทัตต์ เป็นเวลานานถึง 8 ปี

  เมื่อปี พ.ศ. 2463 หลวงปู่สุภา ได้กราบลา หลวงปู่สีทัตต์ เพื่อเดินทางธุดงค์วัตร และออกจากถ้ำภูเขาควาย เดินทางกลับตามที่หลวงปู่สีทัตต์ แนะนำ และ หลวงปู่สีทัตต์ ท่านยังได้บอกว่าท่านจะได้พบกับอาจารย์ที่เก่งมากองค์หนึ่ง

  หลวงปู่สุภา ออกเดินทางไปตามเส้นทางที่ หลวงปู่สีทัตต์ แนะนำ เมื่อถึงจังหวัดหนองคายก็ออกธุดงค์เข้ากรุงเทพฯ เมื่อมาถึงกรุงเทพฯ ท่านได้สอบถามพระเกจิอาจารย์ ที่เก่งทางด้านวิปัสสนากรรมฐานด้านพุทธาคม มีคนเล่าลือว่า อาจารย์ศุข (หลวงปู่ศุข) อยู่ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท ท่านจึงได้เดินทางออกจากกรุงเทพฯ จนมาถึงอำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท เมื่อมาถึงวัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านได้คลานเข้าไปกราบหลวงปู่ศุข ซึ่งขณะนั้น หลวงปู่ศุข ท่านทราบแล้วว่า จะมีพระภิกษุมาจากประเทศลาว หลวงปู่ศุขจึงถามท่านว่ามาจากประเทศลาวใช่หรือไม่? ท่านจึงตอบและกราบเรียน หลวงปู่ศุข ว่า ท่านมีความประสงค์ที่จะมาศึกษาด้านวิปัสสนากรรมฐานและวิชาอาคม หลวงปู่ศุข จึงรับไว้เป็นศิษย์ หลวงปู่สุภา ได้ศึกษาวิชาต่างๆ จาก หลวงปู่ศุข เป็นเวลา 3 ปี หลวงปู่ศุข ได้ถ่ายทอดวิชาด้วยความเมตตาต่อลูกศิษย์เป็นอย่างมาก ถึงแม้ หลวงปู่สุภา จะบวชเป็นพระภิกษุนานถึง 4 พรรษาแล้วก็ตาม แต่ หลวงปู่ศุข ก็ยังเรียกท่านว่า “เณรน้อย” ในขณะที่ หลวงปู่สุภา ได้มอบตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่ศุข ท่านมีอายุมากแล้ว แต่ท่านยังปฏิบัติธรรม และนั่งสมาธิเป็นเวลานานๆ ทุกวัน

หลวงปู่สุภา ให้ความเคารพนับถือ หลวงปู่ศุข เป็นอย่างยิ่ง หลวงปู่ศุขจึงนับเป็นพระอาจารย์องค์ที่สองของท่าน ต่อจาก หลวงปู่สีทัตต์

  ในเรื่องเกี่ยวกับวิทยาคม หลวงปู่ศุข ได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาต่างๆ ให้กับ หลวงปู่สุภา เมื่อ หลวงปู่ศุข นั่งกรรมฐาน หลวงปู่สุภา ท่านก็นั่งด้วย หากติดขัดปัญหาธรรม ก็ไปกราบเรียนถามท่าน ก็เมตตาแนะนำให้ทุกครั้ง ท่านจะปฏิบัติให้ดูเป็นตัวอย่าง แล้วให้ลูกศิษย์ศึกษาทำความเข้าใจ หลวงปู่สุภา ท่านค่อยๆ ศึกษาดูว่า หลวงปู่ศุข ทำอย่างไร? ในเวลาที่ท่านปลุกเสกวัตถุมงคลก็ไปคอยสังเกต พระคาถาต่างๆ หลวงปู่ศุข ก็สอนให้บ้าง จดจำเองบ้าง และไปขอท่านบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีลูกศิษย์คนใดจะปฏิบัติจนบรรลุได้เหมือน หลวงปู่ศุข บางครั้งเวลาลงยันต์ทำตระกุด ต้องลงไปทำในใต้น้ำไม่มีใครเห็น จะเห็นก็ต่อเมื่อตอนท่านขึ้นจากน้ำแล้ว
  หลวงปู่สุภา ท่านศึกษาวิทยาคม จากการอ่านตำราที่ท่านจดเขียนไว้บ้าง ดูจากกรรมวิธีที่ หลวงปู่ศุข ทำให้ดูบ้าง เรียนถามท่านบ้างท่านก็แนะนำให้พอสมควร ใครสนใจมากก็ได้มาก ใครไม่สนใจก็ไม่ได้เลย แต่ส่วนใหญ่ หลวงปู่ศุข ท่านจะเน้นเรื่องการรักษาศีล และการกฏิบัติมากกว่า เพราะท่านสอนว่า ถ้าศีลบริสุทธิ์ คุณวิเศษจะมีมาเอง หลวงปู่สุภา ได้ศึกษาธรรม และวิทยาคมต่างๆ มากมายโดยเฉพาะความรู้ในทางธรรม และวิทยาคมต่างๆ ในครั้งนั้นมีพระภิกษุไปปฏิบัติธรรม และเรียนวิชาอยู่กับหลวงปู่ศุข ด้วยกันหลายสิบรูป ซึ่งปัจจุบันมรณภาพกันไปหมดแล้ว เท่าที่ทราบในเวลานี้ มีเพียง หลวงปู่สุภา เพียงรูปเดียวในบรรดาศิษย์รุ่นเดียวกัน ที่ยังมีชีวิตอยู่นับถึง

  ล่าสุด ได้มาสร้างวัดแห่งหนึ่ง และได้รับพระราชทานนามจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ว่า วัดสีลสุภาราม และหลวงปู่สุภายอมรับเป็นเจ้าอาวาสเป็นวัดแรกในชีวิต

  หลวงปู่สุภา นับเป็นตัวอย่างของการปฏิบัติอยู่ในความเพียร ความวิริยะ อุตสาหะ ความมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม   แม้วัยล่วงเลยมากว่าหนึ่งศตวรรษ แต่หลวงปู่สุภา ไม่เคยย่อท้อในชีวิตของท่าน มีแต่คำว่าให้และสร้างทุกอย่างสำเร็จ  ด้วยเมตตาบารมีธรรมของท่าน

152
โดยคุณumpawan
จากกระทู้ ครูบาเหนือชัย โฆสิโต วัดถ้ำอาชาทอง
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=14242.msg129360#msg129360

อ้างถึง
"มีเหตุหนักกว่านี้ถึงขนาดมีคนจ้องทำร้ายถึงขั้นยิง วางยาสั่งกันเลย จริงหรือเปล่าครับ ?"

"เรื่องนี้ไม่เคยคุยกับใครเลยนะ รู้มาจากไหน ครูบาเป็นพระป่า อยู่ในพื้นที่นี้ ซึ่งก็ทราบกันดีว่าเป็น พื้นที่ ชายแดน และก็ต่อต้านเรื่องยาเสพติดอยู่แล้ว เราก็อาจจะไปขวางทางใครเข้าก็ไม่ทราบ เลย โดน ครูบาก็มีครูบาอาจารย์ เขาใช้วิธี ฟัน แทง ยิง ไม่ได้ผล ก็เลยโดนยาสั่ง ตอนปลายปี ๒๕๔๓ แทบแย่ ตอนนี้ก็ยังรักษาตัวอยู่เลย ร่างกาย ก็ฟื้นมาได้ซัก ๘๐ เปอร์เซ็นต์"

"ครูบาโดนยาสั่งได้อย่างไร และมีอาการอย่างไรบ้างครับ ?"

"มีศรัทธามาทำบุญตักบาตร เราก็นำมาฉัน ก็เลยรู้ว่าโดนยาสั่ง เวลาโดนจะอาเจียนออกมา ครั้งนั้น เต็มถังน้ำ อาเจียนจนหมดแรงเลย ก็ต้องใช้วิธีนั่งเข้ากรรมฐานแก้พิษ"

"แล้วยาสั่งนี้เขาทำกันอย่างไรครับ ?"

"เขาก็จะใช้หมูตัวผู้มาทำยาสั่ง เริ่มด้วยเลี้ยงหมูด้วยพิษจากงู เห็ด ว่านต่างๆ หรือคางคก เอาให้กิน ทีละน้อยๆ พอโตได้ที่ก็ฆ่า แล้วนำไปย่างไฟแดง ๗ วัน ๗ คืน แล้วนำมาตากน้ำค้างอีก ๗ วัน ๗ คืน เสร็จแล้วนำมาบดให้ละเอียด แล้วก็ปลูกฟักแฟงในป่าช้า เอาเมล็ดออกแล้วนำผงที่ได้จากหมูมายัด ใส่แทนจนลูกฟักลูกแตงตาย แล้วจึงเอาลูกฟัก ลูกแตง ไปทำพิธีบนกิ่งไม้ใหญ่ เวลาทำพิธีต้องอยู่ เหนือลม เวลานำฟัก แตงมากินก็จะเกิดอาการทันที"

153
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความรักที่พบบ่อยที่สุดอย่างหนึ่ง คือ.......

" ถ้ารักกันแล้วเราขาดกันไม่ได้ " ยกตัวอย่างกรณีที่เราจะพบเสมอ ทันทีที่รู้ว่าคน (ที่เรา) รักจากไปสู่ที่ชอบๆ

...คือไปอยู่กับคนที่เขาชอบมากกว่าเรา และที่ชอบของเขาเป็นที่ไม่ชอบของเรา
ไม่ว่าหญิงหรือชายจะเกิดอาการกินไม่ได้นอนไม่หลับ จะเป็นจะตาย หลายรายถึงกับสำเร็จความตายด้วยตนเอง...คิดว่าเป็นการบูชาความรัก

ตัวอย่าง คนไข้สาวรายหนึ่ง
แฟนหนุ่มมีอันต้องจำพรากจากไป...อยู่กับสาวอื่นแทน เธอพรอดพร่ำรำพันต่อหน้าจิตแพทย์
"หนูไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก แล้ว หนูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา "

เธอลืมไปว่าก่อนที่จะมีเขา เธอก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ " หนูรักเขามากค่ะ...คุณหมอขา คุณหมอคงเข้าใจใช่ไหมคะว่าหนูรักเขามากแค่ไหน"
ถ้อยคำมากมายพรั่งพรูจากปากของเธอ ขณะที่กระแสน้ำตาที่คลอเบ้าหลั่ง ล้นท้นท่วม จนกระดาษทิชชูที่มีอยู่ไม่เพียงพอ
จิตแพทย์เริ่มคิดถึงวัสดุผ้าที่มีคุณสมบัติในการซึมซับของเหลวได้มากกว่า...

" คุณเข้าใจผิดเสียแล้วล่ะครับ คุณไม่ได้รักแฟนคุณหรอก "
จิตแพทย์พูดบ้าง หลังจากฟังมานาน

" คุณหมอหมายความว่ายังไง ก็หนูเพิ่งพูดไปแหม่บๆ ว่าถ้าขาดเขาเสียแล้วชีวิตของหนูก็อยู่ไม่ได้ "

น้ำเสียงเธอแสดงความไม่พอใจ จิตแพทย์พยายามอธิบาย "สิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมดไม่ได้เรียกว่าความรักหรอกครับ เขาเรียกว่า...ภาวะกาฝาก ตราบใดที่คุณยังต้องพึ่งใครสักคนเพื่อความอยู่รอดของคุณ คุณก็ทำตัวเหมือนพยาธิ ในลำไส้ของเขา... มันทำให้ชีวิตคุณไม่มีทางเลือกและขาดอิสรภาพ มันกลายเป็นภาวะจำเป็นมากกว่าความรัก "

คนไข้สาวช็อคไปชั่วขณะ นึกว่าจะได้รับคำปลอบใจที่มีคุณภาพสูงกว่า ที่เคยได้จากเพื่อนๆ ...
แต่ยังพูดต่อทั้งๆ ที่คนไข้กำลังนั่งนิ่งตะลึงด้วยความมึนงง เหมือนจงใจ " ซ้ำเติม " ปัญญาสู่จิตอันขลาดเขลา
"ความรักที่แท้ต้องมีอิสรภาพ...คนสองคนจะรักกันได้ก็ต่อเมื่อเขาทั้ง สองสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตามลำพังอย่างไม่เป็นทุกข์ แต่เขาทั้งสองก็เลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกันเพื่อความสุขที่มากขึ้น "

ฉับพลันทันใดในดวงใจของหญิงสาว...พุทธิปัญญาก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างพวยพุ่ง ดวงตาเห็นธรรมเป็นแสงสว่างส่องทางชีวิตให้หลุดพ้นจากหุบเหวห้วงอารมณ์อันมืดมิด... :017:

เธอใช้เวลาตั้งสติพักหนึ่ง สีหน้าเริ่มสงบ คิ้วผ่อนคลายขมวดรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏที่มุมปาก ก่อนเปล่งวาจา
"คำพูดของคุณหมอเปรียบเสมือน แสงตะวันที่สาดส่องทะลุทำลายกำแพงเมฆหมอกแห่งมิจฉา ทิฐิของดิฉันบัดนี้ดิฉันได้เห็นแล้วซึ่งสัจธรรม ต่อแต่นี้ไปจะขอดำเนินชีวิตที่เหลือตามรอยแห่งพุทธะ...สาธุ "

จิตแพทย์ที่กล้าพูดเตือนสติแทนการพูดประคองใจท่านนี้ คือ Dr.Scott Peck ซึ่งได้เขียนบรรยายเหตุการณ์เรื่องนี้ในหนังสือขายดิบขายดีชื่อ
The Road Less Traveled (หนังสือธรรมในบ้านเราใช้ได้มากมายมหาศาล) :002:

ซึ่งท่านได้ให้แนวคิด เรื่อง "ภาวะพึ่งพิง " (Dependency) ไว้ด้วยความหมายว่า
เป็นภาวะที่เราไม่สามารถดำเนินชีวิตโดยปราศจากการดูแลเอาใจใส่จาก บุคคลอื่น ในภาวะปกติเราอาจต้องพึ่งพิงขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นในกรณีที่เรา ได้รับบาดเจ็บ หรือกำลังป่วย แต่หากเรามีสุขภาพร่างกายที่ดีแล้วยังต้องพึ่งพิงผู้อื่นทางจิตใจ เพื่อช่วยให้ เราเป็นสุขี


แสดงว่าสุขภาพทางจิตของเรากำลังย่ำแย่ เจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ เวลาที่ผ่านไป จะช่วยเยียวยาบาดแผลให้สมานจนหายสนิท พร้อมภูมิต้านทานทางใจที่มากขึ้น...

คนที่มีสุขภาพจิตดีจะให้ความรักแก่ตัวเองเป็น และดำเนินชีวิตได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงใคร แต่อาจพึ่งพาในบางกรณี เพราะคนเราไม่ได้เก่งหรือทำเป็นหมดทุกอย่าง แต่ถ้าคุณถึงขั้น " ขาดเขาไม่ได้ " ...จงอย่าเอาคำว่า " รักเขามากเหลือเกิน " มาลวงหลอกใจตัวเอง ยิ่งต้องถึงคิดฆ่าตัวตาย
...ยิ่งแสดงว่า " แม้แต่ตัวเอง ก็ยังไม่รัก "

หลายคนคิดว่าถ้าฉันฆ่าตัวตาย จะทำให้เขารู้สึกผิดกับการกระทำของเขาที่ทิ้งเราไป ตั้งวัตถุประสงค์ของกิจกรรมว่า " เขาจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต" ...คิดอย่างนี้ส่วนใหญ่มักตายฟรี
ปัจจุบันผู้หญิงไทยมีการศึกษา มีการงานและความสามารถไม่แพ้เพศชาย ไม่จำเป็นต้องอาศัยเพศชายเป็นผู้นำของชีวิตเหมือนหญิงไทยสมัยโบราณ...

การอยู่เป็นโสด เป็นหม้าย หรือหย่าร้าง ไม่มีผลถึงกับทำให้วิญญาณต้องหลุดออกจากร่าง
ผู้หญิงทั้งหลายจึงสามารถใช้ชีวิตด้วยตนเองได้อย่างมีความสุขและ ภาคภูมิใจ ในเกียรติของผู้หญิง และหากได้พบชายใด ที่เราเห็นว่าทำให้ชีวิตเรามีความสุขมากขึ้น และดีขึ้นกว่าการ อยู่คนเดียว
คุณก็อยู่ในฐานะที่มีโอกาสเลือก...ไม่ใช่จำเป็นต้องเลือก หรือจำใจเลือกเขามาเป็นคู่ชีวิต

ขอกล่าวทวนประโยคเดิมที่จิตแพทย์ Dr.Scott Peck พูดกับคนไข้ด้วยภาษาต้นฉบับ
" Love is the free exercise of choice. Two people love each
other only when they are quite capable of living without
each other but choose to live with each other "


ที่มา
http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=336

154
ทุกคนคือครู

สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโส อ้วน) วัดบรมนิวาส ได้กล่าวไว้ว่า " นักธรรมเห็นทุกสิ่งเป็นธรรม เหมือนหมอเห็นต้นไม้ทุกต้นเป็นยา "

ดังนั้น นักเรียนพึงเห็นทุกคนเป็นครู เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงทีเดียว คนทุกคนย่อมมีความรู้ ความคิดและประสบการณ์ของตนเอง แม้แต่คนที่เราเห็นว่าโง่ที่สุดก็อาจจะมีอะไรบางอย่างที่เขารู้ แต่เราไม่รู้ และควรเรียนรู้จากเขา

นานมาแล้ว ข้าพเจ้าไปประชุมที่กรุงเทพ ฯ และพักอยู่ที่โรงแรมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง วันหนึ่งเวลาพลบค่ำ ข้าพเจ้าเดินออกจากโรงแรม และได้พบหญิงแก่คนหนึ่ง มือถือเทียนไข กำลังก้ม ๆ เงย ๆ ควานหาอะไรบางอย่างอยู่ในพงหญ้าข้างถนน ด้วยความสนใจข้าพเจ้าจึงตรงเข้าไปไต่ถามดู

" ยาย กำลังควานหาอะไรหรือ"
" กำลังหาเหรียญบาทที่ยายทำหลุดมือหล่นลงไปในพงหญ้านี้ ยายหามาตั้งชั่วโมงแล้ว หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ" หญิงชราตอบแสดงอาการอ่อนใจ

ด้วยความสงสารจับใจ ข้าพเจ้าจึงควักธนบัตรใบละ ๕๐ บาทออกมาจากกระเป๋า ยื่นให้หญิงแก่ พลางกล่าวว่า " เอาเงิน ๕๐ บาทนี้ไปก็แล้วกันนะยาย เหรียญบาทนั้นทิ้งมันไปเสียเถอะ " หญิงชราขอบใจข้าพเจ้าเป็นการใหญ่ ดับเทียนแล้วรีบเดินจากกไป

ตอนประมาณ ๓ ทุ่ม ข้าพเจ้าทำธุระเสร็จแล้วเดินกลับโรงแรมด้วยเส้นทางอีกสายหนึ่ง ข้าพเจ้าประหลาดใจที่ได้เห็นหญิงชราอีกคนหนึ่ง กำลังส่องไฟเทียนไขหาอะไรง่วนอยู่ในพงหญ้าข้างถนน ด้วยความสงสัย ข้าพเจ้าจึงเข้าไปดูใกล้ ๆ หญิงชราคนนั้นก็คือคนเดิมกับที่ข้าพเจ้าได้พบและให้เงิน ๕๐ บาทตอนหัวค่ำนั้นเอง

เมื่อความลับแตก หญิงชราก็เปิดเผยให้ข้าพเจ้าฟังว่า นั้นเป็นกลวิธีขอทานที่ได้ผลที่สุดวิธีหนึ่ง


สรุป จากเรื่องนี้ ท่านจะเห็นได้ว่า แม้แต่คนขอทานก็อาจเป็นครูของเราได้ อย่างน้อยที่สุดก็ในเรื่องศิลปะการขอทาน.


ที่มา
http://www.tamdee.net/sarakhun/data/read1630.html?No=580

155
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / พลังจิต (Gsychergy)
« เมื่อ: 14 มิ.ย. 2554, 08:43:10 »
พลังจิต (Gsychergy) ๑/๓

         พลังจิต (Gsychergy) หมายถึง คลื่นความถี่ของพลังงานความคิด (Pranic Energy) ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าบวก (Proton) ไฟฟ้าลบ (Electron) ที่เกิดจากต่อมไพเนียล (Pineal Gland) ที่สมองตอนบน เมื่อบุคคลคิดต่อมนี้ จะสร้างคลื่นความถี่ของความคิดขึ้น คลื่นนี้อาจจะมีมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ ขบวนการ ทางความคิด (Thinking Process) นั้น คลื่นนี้จะลอยอยู่รอบๆ ตัวผู้คิด เมื่อคิดถึงใคร คลื่นนั้นจะพุ่งตรงไปยัง ต่อมสร้างความคิดของผู้รับนั้น ถ้าผู้รับรับคลื่นความคิดนั้นได้ จะเกิดความคิดเช่นนั้นทันที เรียกว่า เกิดการรับรู้ความคิดของผู้อื่นได้

บุคคลที่มีพลังจิตสูง

         บุคคลที่มี พลังจิต สูงคือ บุคคลที่มีสมาธิดี เช่น มีสมาธิอยู่ในขั้นกลางที่เรียกว่า อุปจารสมาธิ และสมาธิขั้นสูงที่เรียกว่า อัปปนาสมาธิ

การทำงานของ พลังจิต

         จิตจะทำงานได้ จิตต้องมีเครื่องมือคือ ร่างกายที่เป็นอยู่ของจิต จิตจึงแสดงผลออกมาให้เห็นได้ ส่วนของมันสมอง มีหน้าที่รับคำสั่ง ของจิตคือ ต่อมใพเนียล (Pinial Gland) ซึ่งเป็นต่อมเล็กๆสีแดงอมเทา รูปกรวย เป็นส่วนประกอบของปลายประสาท ต่อมนี้ อยู่ใน ส่วนกลางตอนบนของมันสมอง เมื่อ ต่อมไพเนียล รับคำสั่งของจิตต่อมนี้ จะสร้างเป็นคลื่นความถี่ออกมา คลื่นความถี่ จะมาก หรือน้อย ขึ้นอยู่กับความคิดนั้น และจะลอยอยู่รอบๆตัวผู้คิด และคลื่นความถี่นี้ จะวิ่งไปตามประสาทต่างๆ ทั่วร่างกาย

         เพื่อควบคุมการทำงานของอวัยวะนั้นๆ พลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมอวัยวะต่างๆ จะมีกระแสความถี่ต่างกัน ตามหน้าที่ของอวัยวะ และคนนั้นๆ อีกด้วย เช่น Electron และ Protron ที่ควบคุมการทำงานของ เซลล์เนื้อเยื่อของอวัยวะ ต่างๆ ทำให้มีการสร้าง และการทำลายของเซลล์ได้ตามปกติ เช่น ทำลายไป 10 เซลล์ก็จะสร้างขึ้นมาทดแทนเช่นเดิม อวัยวะนั้นจะทำหน้าที่ได้ตามปกติ สร้างภูมิต้านทานของร่างกาย ให้สูงเป็นปกติ ร่างกายจะแข็งแรงสมบูรณ์

การศึกษา พลังจิต

         ได้มีการค้นคว้าทาง พลังจิต ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ประเทศไทยเรียกพลังนี้ว่า พลังอำนาจทิพย์ ในต่างประเทศ เช่น ชาวจีนโบราณเรียกว่า พลังแห่งชีวิต (Life Force Energy) ชาวยุโรป เช่น เยอรมันเรียกว่า พลังงานแม่เหล็กสัตว์ (Animal Magnetism) ชาวรัสเซียเรียกว่า พลังงานชีวภาพ (Bioplasmic Energy) นักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มประเทศตะวันตกเรียกว่า พลังชีวภาพ (Bio Energy) หรือ พลังแม่เหล็กไฟฟ้า (Electo Magnetic Force)

         บุคคลที่มีร่างกายแข็งแรงคือ ผู้ที่มีพลังจิตสมบูรณ์ควบคุม อยู่ทั่วทุกส่วนของร่างกาย ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น แจ่มใสกระฉับ กระเฉง พลังจิต จะเปล่งเป็นรัศมี ออกโดยรอบ ร่างกาย ตรงกันข้ามคนป่วย จะมี พลังจิต ควบคุมอยู่ เพียงเล็กน้อย ภูมิต้านทาน ในร่างกาย จะลดต่ำลง ร่างกายจะอ่อนแอ และจะมีร่างกายที่ปกติ เหมือนเดิมได้ เมื่อได้รับ พลังจิต นั้นๆเพิ่มขึ้น ดังนั้น พลังจิต จึงเป็นพลังงาน ที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย เช่น การหมุนเวียนของโลหิต การเจริญเติบโตของเซลล์ หากร่างกายส่วนใด ขาด พลังจิต ร่างกายส่วนนั้น จะไม่สามารถทำหน้าที่ใดๆ ได้ตามปกติ หรือร่างกายไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ พลังจิต ที่ใช้กันทั่วไปมี 3 ลักษณะคือ

1. Telepathy คือ พลังงานแห่งเมตตา พลังนี้ติดต่อกันได้โดยทางจิต เป็นพลังงานที่ใช้เพื่อการสร้างสรรค์
2. Telkynesys คือ พลังงานที่ใช้บังคับวัตถุให้เคลื่อนที่ หรือใช้เพื่อทำลายวัตถุต่างๆ เป็นพลังงานที่ใช้ เพื่อการบังคับ หรือเพื่อการทำลาย
3. Teleportation คือ พลังงานที่ใช้เพื่อการล่องหนหายตัว เมื่อใช้พลังงานนี้แล้ว สามารถเดินบนน้ำบนอากาศ หรือเพื่อผ่าน เครื่องกีดขวางได้


ที่มา
http://www.itti-patihan.com/%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95-Gsychergy.html

156
วิญญานห้องดับจิต

คืนนั้น "หมอหนุ่ม" ต้องเข้าเวรตอนกลางคืน ซึ่งเป็นหน้าที่ของหมออินเทอร์น(หมอฝึกหัด) ทุกคน มิหน้ำซ้ำยังต้องอยู่ตึกเก่าอีกต่างหาก(แย่เลย) ตึกเก่าของโรงพยาบาลเป็นตึกสูงเพียง 5 ชั้นเท่านั้น

เวลาประมาณเที่ยงคืน หมอหนุ่มพร้อมพยาบาลที่อยู่เวรด้วยกันจะต้องขึ้นไปเดินดูความเรียบร้อยของผู้ป่วยบนชั้น 4 และชั้น 5 ซึ่งเป็นส่วนที่พักของผู้ป่วยในเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะต้องกลับลงไปนั่งประจำที่ห้องตรวจชั้น 1

หลังจากตรวจผู้ป่วยห้องสุดท้ายแล้ว พยาบาลต้องอยู่ช่วยทำความสะอาดผู้ป่วยที่อาเจียนรายหนึ่ง หมอหนุ่มจึงเดินไปลงลิฟท์จากชั้น 5 เพียงลำพัง

หน้าลิฟท์...เวลาเที่ยงคืนครึ่ง
หมอหนุ่มเดินมาถึงหน้าลิฟท์ เจอ "ป๋อง" บุรุษพยาบาลคนหนึ่งกำลังรอลิฟท์อยู่ ป๋องหันมาทักหมอหนุ่มว่า "อยู่เวรคืนนี้เหรอครับ หมอ" หมอหนุ่มตอบว่า "ใช่ ป๋องด้วยเหรอ" ป๋องยังไม่ทันได้ตอบ พอดีลิฟท์เปิด หมอหนุ่มกับป๋องเลยรีบเดินเข้าไปในลิฟท์ และกดลงชั้น 1

ลิฟท์เลื่อนลงชั้น 4 ....ชั้น 3.... "ตรึ๊ง" ลิฟท์จอดที่ชั้น 3
ประตูลิฟท์เปิด........หน้าลิฟท์มีผู้ชายแก่ผมเป็นสีดอกเลาใส่ชุดผู้ป่วยในของโรงพยาบาลยืนอยู่
ขณะนั้นเอง ป๋องกระโจนไปกดปุ่ม "ปิด" ทันที กดซ้ำ ๆ จนกระทั่งลิฟท์ปิดก่อนลุงคนนั้นจะเข้ามาได้ หมอหนุ่มหันไปถามว่า "เฮ้ย! ป๋องทำไมไม่ให้ลุงเข้ามาละ"
ป๋องหันมามองหน้าหมอแล้วพูดว่า "หมอ..ไม่เห็นที่ข้อมือลุงนั่นหรือครับ"
"เห็นอะไร" หมอหนุ่มชักใจไม่ดี
"ป้ายที่ผูกข้อมือนะหมอ มันเป็นป้ายของห้องดับจิต ขืนให้เข้ามาก้อซวยนะสิ"
"ฮ้า!!!" หมอหนุ่มขนลุกซู่ไปทั้งตัว แต่ยังไม่ทันจะได้ถามต่อ เสียง "ตรึ๊ง"ก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ลิฟท์จอดชั้น 1 แล้ว

พอประตูลิฟท์เปิด หมอหนุ่มก็รีบเผ่นออกมาทันที แล้วหันไปมองป๋องที่ยังอยู่ในลิฟท์ แล้วถามว่า "อ้าว ป๋องไม่ออกมาเหรอ" ป๋องไม่ตอบ เพียงแต่มองและยิ้มให้หมอหนุ่มพร้อมกับยกมือขึ้นโบกลากับหมอในขณะที่ประตูลิฟท์ค่อย ๆ ปิด

สิ่งสุดท้ายที่หมอหนุ่มจำได้ในคืนนั้นก็คือ ที่ข้อมือของบุรุษพยาบาลที่ชื่อป๋อง มีป้ายผูกข้อมือเหมือนลุงคนนั้นไม่มีผิดเลยยยยยย

ตอนเช้า....หมอหนุ่มจึงได้รู้ว่า "ป๋อง" เกิดอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซด์คว่ำ และนำศพมาเก็บไว้ที่ห้องดับจิตของโรงพยาบาลเมื่อตอนกลางวัน ซึ่งหมอหนุ่มไม่ได้เข้าเวรจึงไม่รู้เรื่องนี้

คุณ ๆ ว่า ป๋องมาหลอกหมอหนุ่ม หรือมาช่วยหมอหนุ่มกันแน่


ที่มา
http://www.thenightshock.com/detail.php?id=135

157
ประสบการณ์วิญญาณ / ผีดุที่ศาลายา
« เมื่อ: 13 มิ.ย. 2554, 06:20:12 »
ผีดุที่ศาลายา
คอลัมน์ ขนหัวลุก
ใบหนาด


"ปอน" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากศาลายาในอดีต

เมื่อเอ่ยถึงศาลายา หรือศาลาธรรมสพน์ ใกล้ๆ กับกรุงเทพฯ เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงจะรู้จักกันดีแล้วนะครับ

จากดินแดนที่เคยเป็นชนบทห่างไกล ขนาดเรียกขานว่า "ไกลปืนเที่ยง" กลับมีความเจริญแผ่กระจายเข้ามา ทั้งตึกรามบ้านช่อง ทั้งมหาวิทยาลัย ผู้คนก็นับวันจะมากหน้าหลายตาแทบไม่แตกต่างกับเขตปริมณฑลของเมืองหลวงโดยทั่วไป

เรามาย้อนอดีตศาลายาพอให้รู้ที่ไปที่มาพอสมควรก็แล้วกัน

ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 มีรับสั่งให้ขุดคลองมหาสวัสดิ์ขึ้นเมื่อปี 2403 และให้สร้างศาลาริมคลองขึ้นทุก 4 กิโลเมตร เพื่อให้ชาวบ้านร้านช่องได้หยุดพักระหว่างเดินทางผ่านมา กับใช้ประโยชน์เป็นศาลาตั้งศพก่อนการเผาอีกด้วย

ยิ่งกว่านั้นยังใช้ศาลายาเป็นที่แจกจ่ายยาพื้นบ้านแก่ผู้คนทั่วไป เพราะการแพทย์สมัยนั้นต้องใช้แต่ยาสมุนไพรรักษาโรคต่างๆ ไม่มียาฝรั่งที่เห็นผลทันใจเหมือนในยุคต่อมา

สาเหตุสำคัญก็คือมีโรคระบาดรุนแรง เช่น อหิวาตกโรค เรียกกันว่า "โรคห่า" หรือ "ห่าลง" จนมีผู้คนล้มตายเป็นเบือ มากมายจนเผาศพไม่ทัน ต้องทิ้งให้ซากศพเป็นเหยื่อแร้งกาน่าสังเวชใจ ไม่แตกต่างอะไรกับที่ประตูผี วัดสระเกศ ซึ่งมีคนตายนับร้อยนับพัน

เพราะสาเหตุนี้เองจึงมีเสียงร่ำลือว่า...ศาลายาผีดุนักหนา!

ไหนจะเป็นที่ตั้งศพ เผาศพ ไหนจะศพที่ตายเพราะโรคระบาดกลาดเกลื่อนน่าอเนจอนาถ เชื่อกันว่าวิญญาณยังสิงสู่ วนเวียนอยู่ในแดนตายของตน ไม่มีโอกาสได้ไปผุดไปเกิดเสียที

เมื่อมีคนเดินทางไปนั่งพักเหนื่อยในศาลา แล้วเกิดเป็นลมเป็นแล้งไปจนถึงกับล้มตายลง ชาวบ้านก็ยิ่งเชื่อว่าเป็นเพราะโดนผีหลอกวิญญาณหลอน หรือไม่ก็มีภูตผีมาเอาชีวิตไปอยู่ด้วย จนแทบไม่มีใครกล้าเข้าไปพักผ่อนหรือนั่งเล่นในศาลาริมคลองตอนค่ำคืน

เรือแพที่สัญจรไปมาหนาตาในตอนกลางวัน พอตกค่ำก็แทบจะไม่มีให้เห็น...ว่ากันว่าเคยเห็นอมนุษย์ในผ้าตราสังขาวๆ ยืนเรียงรายเต็มศาลา แถมกวักมือเรียกให้ไปอยู่ด้วยกันอีกต่างหาก

สมัยเด็กๆ ผมเคยได้ยินผู้ใหญ่เล่าเรื่องผีดุที่ศาลายา จำได้มาถึงทุกวันนี้เลยครับ

ตากิ่งกับตาเดือนวัยห้าสิบเศษ ได้ชื่อว่าเป็นสองเกลอคอสุราประจำตำบล พอเมาได้ที่ก็ประกาศก้องในร้านเจ๊กตงว่าพวกแกไม่กลัวผี อยากจะไปลองดีที่ศาลายาตอนกลางคืนให้รู้ดีรู้ชั่วไป...ผีมันจะเก่งกว่าคนไปได้ยังไง?

คนอื่นๆ หาว่าแกดีแต่ปาก เห็นพูดมานานแล้วแต่ไม่เคยไปที่นั่นแม้แต่ครั้งเดียว!

สองเกลอขี้เมารับท้าทันที โดยมีข้อแม้ว่าถ้าพวกแกไปดวดเหล้าที่นั่นได้ถึงสามทุ่ม คนท้าจะต้องเลี้ยงเหล้าแกไม่อั้น...คนอื่นๆ ก็ ตกลงทันทีเพราะอยากจะเห็นคนจริงเช่นกัน

คืนนั้น พระจันทร์ข้างแรมเพิ่งจะขึ้น ตากิ่งกับตาเดือนหิ้วขวดเหล้าเดินหัวเราะต่อกระซิกไปจนถึงศาลาริมน้ำ ค่อนข้างไกลโขจากร้านเจ๊กตง...สรรพสิ่งเงียบเชียบเปล่าเปลี่ยวอยู่ในราตรีที่มีแต่เสียงคลื่นกระทบฝั่ง ลมรำเพยตามยอดไม้เสียงเหมือนใครกำลังทอดถอนใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย แม่หม‰ายลองไนเงียบ กริบเมื่อมีคนเดินผ่าน ไม่ช้าก็กรีดปีกส่งเสียงน่าวังเวงใจเป็นเพื่อนราตรีต่อไปตามเดิม

สองเกลอนั่งขัดสมาธิโจ้เหล้ากันที่ศาลาด้านใกล้คลอง เหลียวมองซ้ายขวาก็เห็นแต่แสงจันทร์เยือกเย็นส่องจับผิวน้ำ กับทุ่งหญ้าเวิ้งว้างดูทะมึนอยู่ในราตรี...ตาเดือนหันไปเห็นใครกำลังยืนตะคุ่มๆ อยู่ที่หัวบันไดก็ร้องบอกเพื่อน แต่ตากิ่งหันไปมองก็ไม่มีใครแม้แต่คนเดียว

"มึงคงตาฝาดไปน่ะ ไอ้เดือน...เอ๊ะ! มึงได้กลิ่นอะไรหรือเปล่าวะ เหม็นพิลึก"

คู่หูทำจมูกพะเยิบพะยาบก่อนจะย่นคิ้ว เหลียวมองไปรอบๆ ตัว

"อือ...เหม็นเหมือนศพเน่าว่ะ..."

แทบจะไม่ขาดเสียง กลิ่นเหม็นนั้นก็ยิ่งรุนแรงยิ่งขึ้นจนสองเกลอแทบสำลัก คว้าขวดเหล้ามาแบ่งกันซดอั๊กๆ ดับอาการคลื่น เหียน...พลันเสียงครวญครางแหบโหยก็ดังขึ้นใกล้ๆ หู

"ช่วยด้วย...ข้ายังไม่อยากตาย! โอย...ช่วยข้าที..."

คราวนี้สองเกลอตัวแข็งทื่อ อ้าปากค้างแต่พูดอะไรไม่ออก อาการมึนเมาในตอนแรกๆ หายขาดเป็นปลิดทิ้ง เสียวสันหลังวูบวาบ...ครั้นหันไปมองอีกฟากหนึ่งก็ขนลุกซ่าทันใด

นรกเป็นพยาน! ร่างขาวๆ ในผ้าตราสังเป็นสิบๆ ร่างนั่งเบียดเสียดกันจ้องเขม็งมาเป็นตาเดียวกัน ท่ามกลางเสียงคร่ำครวญโอดโอยโหยหวนราวกับตกอยู่ในนรกอเวจี เล่นเอาสองเกลอร้องจ้า โจนผลุงลงจากศาลา วิ่งล้มลุกคลุกคลานมาสิ้นสติที่ร้านเจ๊กตงนั่นเอง!

ที่มา
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hOakE1TURJMU5BPT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1TMHdNaTB3T1E9PQ==

158
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / ลมเพลมพัด?
« เมื่อ: 13 มิ.ย. 2554, 12:07:39 »
อ่านเพื่อความบันเทิงกันนะครับ :004:

ลมเพลมพัดเป็นอย่างไร…?..1/2

(ลมเพลมพัด อาการเจ็บป่วยโดยหาสาเหตุไม่ได้   คนโบราณพากันเข้าใจว่า  ต้องคุณไสย์คุณผี (ผีทำ) คุณคน (คนทำ)

หรือถูกของที่ผู้มีวิชาไสยศาสตร์ปล่อยมาตามลม ส่วนใหญ่มักมีอาการเจ็บปวด  เคลื่อนย้ายไปตามจุดต่างๆ

ซึ่งแพทย์แผนโบราณท่านว่า  คุณไสย์หลบหนีไปซ่อนตัวในตำแหน่งอื่น เพราะกลัวน้ำมนต์)

หมอชีวกท่านสอนว่า..................

ให้พิจารณาดูว่าการเคลื่อนย้ายของจุดที่เกิดการเจ็บปวดเคล็ดขัดยอกนั้น

เริ่มต้นที่จุดตำแหน่งใด ? มีแนวทางเคลื่อนย้ายอย่างไร ?

ถ้าใช้ปากกาเคมีหรือสีแต้มลากไปตามจุดที่อาการเจ็บปวด เคล็ดขัดยอกเคลื่อนที่โคจรไป จะพบว่ามันตรงกับแนวของเส้นประสาทในร่างกาย

สาเหตุของการเจ็บปวดเมื่อยเคล็ดขัดยอกที่แพทย์ตรวจหาไม่พบก็จะปรากฏขึ้น

ให้รู้ว่าอาการเจ็บป่วยนั้นเกิดจากเส้นเอ็นที่เป็นเส้นประธาน แต่บางครั้งการโคจรของโรคมีวิธีทางที่ไม่ตรงกับเส้น

ประธานใด   ให้พิจารณาบริเวณที่นอนหรือเตียงนอน ที่นอนราบเรียบเสมอกันหรือไม่ ? มีแง่ปุ่มปมสูงต่ำไม่เสมอกันไหม ?  มีสิ่งแปลกปลอมบนที่นอนหรือเปล่า ?

ถ้าอาจารย์ผมจำไม่ผิดอาจารย์ผมเขียนเรื่องอาการของผู้ป่วย ลมเพลมพัดว่าที่แท้จริงเกิดจากการนอนทับขอบหรือมุมหนังสือปกแข็งที่นำไปอ่าน

จนหลับบนเตียงและหรือนอนหลับทับหลอดยาดมที่ต้องดม อยู่ตลอดเวลาจนติดเป็นนิสัยและกลายเป็นสันดานที่แก้ไม่ได้

นอนทับแต่ละจุดนานเป็นเวลาหลายชั่วโมง เปลี่ยนจุดทับไปที่ใดเกิดการเจ็บปวดเคล็ดขัดยอกเปลี่ยน

ตำแหน่งจุดไปที่นั่น   แต่หลงเข้าใจผิดคิดว่าโรคเคลื่อนย้ายที่ได้เอง  (ความจริงเปลี่ยนจุดตำแหน่งทับ)

อาจารย์ผมเคยแนะนำผู้ป่วยที่มีอาการเหมือนหรือคล้ายแบบนี้หายมาหลายรายแล้ว

แต่ที่เกิดจากลมเพลมพัดจริงๆก็มี (แต่ไม่ถึงหนึ่งในร้อยหรือน้อยมาก)

คนที่เรียนวิชาลมสลาเหิร(อาจารย์ผมเขียนตามที่ได้ยินจากปากคำของท่านอาจารย์ท่าน

จึงเขียนตามคำพูดอาจไม่ตรงตามศัพท์ สมัยที่อาจารย์ผมเรียน เรื่อง วิชาภาษาไทย  อาจารย์ผมตกอยู่แล้ว)

คนที่เรียนวิชานี้เท่านั้นที่จะต้องทำการปลดปล่อยวิชาให้ล่องลอยไปตามลมปีละครั้ง

มิฉะนั้น ของที่เรียนมาจะเข้าตัวเองของที่ทำไว้จะถูกปลดปล่อยให้ล่องลอยไปตามแรงลมคล้ายนุ่นหรือเมล็ดดอกรัก

มีผู้เรียกวิชานี้แตกต่างกันไป..................


ที่มา
http://www.chaynichsart.com/

159
ภิกษุ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ๑/๕
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
คัดลอกจาก: ธรรมจักษุ กุมภาพันธุ์ ๒๕๔๙

โพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวดธรรมทาน กระทู้ 19311 โดย: mayrin 18 มี.ค. 49

    ขอให้ทุกท่านจงกำหนดรู้อารมณ์จิตของตัวเอง โดยตั้งใจบริกรรมภาวนาพุทโธไว้ที่จิต ให้จิตกับพุทโธมีความสัมพันธ์กันตลอดเวลา แล้วก็ภาวนาพุทโธเรื่อยไป นั่งให้สบาย กำหนดอารมณ์จิตด้วยความสบาย ทำจิตให้แช่มชื่นเบิกบาน อย่าไปกังวลว่าจิตจะสงบหรือไม่สงบ
หน้าที่ของเรามีแต่กำหนดจิตบริกรรมภาวนาพุทโธๆๆ อยู่เท่านั้น บริกรรมภาวนาพุทโธด้วยความเชื่อมั่นว่าพุทโธ คือ พระพุทธเจ้าก็อยู่ในจิตของเรา พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในจิตของเรา เราจะสำรวมเอาจิตอย่างเดียวเท่านั้น

     เชื่อมั่นในสมรรถภาพของตัวเองว่าสามารถปฏิบัติภาวนาทำจิตให้สงบได้ แต่อย่าไปนึกให้จิตสงบ เพียงแต่กำหนดบริกรรมภาวนาพุทโธอยู่เท่านั้น จิตจะสงบหรือไม่สงบให้เป็นเรื่องของจิตเอง  ความสงบที่เรียกว่าสมาธิเป็นผลงาน ผลงานที่เกิดจากการบริกรรมภาวนาพุทโธ อย่าได้ระแวงสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น บริกรรมภาวนาพุทโธ เป็นสื่อนำจิตให้ดำเนินเข้าไปสู่ความสงบ  เพราะโดยธรรมชาติของจิต ถ้ามีอารมณ์สิ่งรู้ มีสติระลึกอยู่กับสิ่งรู้นั้นทุกขณะจิตทุกลมหายใจย่อมจะเกิดมีความสงบเป็นสมาธิลงไปได้ ถ้าเราทำด้วยความแน่ใจ
  
   ดังนั้น จงสลัดความสงสัยแคลงใจอันเป็นตัววิจิกิจฉานิวรณ์ออกไปให้หมด ทำจิตให้เป็นกลางๆ ว่าบริกรรมภาวนา คืออารมณ์จิตนั้น เราจะบริกรรมภาวนาอะไรก็ได้ พุทโธ ยุบหนอ พองหนอ สัมมาอรหัง หรืออื่นๆ เป็นแต่เพียงอารมณ์จิตเท่านั้น เป็นบริกรรมภาวนาเหมือนกัน
อย่าไปนึกว่าแบบนั้นดี แบบนี้ไม่ดี แบบนั้นผิด แบบนี้ถูก ทุกแบบผิดด้วยกันทั้งนั้น ถูกด้วยกันทั้งนั้น ที่ว่าผิดเพราะจิตของเรายังไม่มีสมาธิ ที่ว่าถูกเพราะจิตของเรามีสมาธิ

   การปฏิบัติสมาธิภาวนา ใครจะปฏิบัติแบบไหน อย่างไรก็ตาม เมื่อจิตสงบลงไปแล้ว เรามีจุดนัดพบกัน เปรียบเหมือนการเดินทางไปสู่จุดหมายอันเดียวกัน เราจะไปทางรถ ทางเรือ หรือจะเดินไป วิ่งไป ก็ถึงจุดหมายปลายทางแห่งเดียวกัน
การปฏิบัติสมาธิใครจะใช้อารมณ์ใด สัมมาอรหัง ยุบหนอ พองหนอ พุทโธ หรือจะพิจารณาทำสติตามรู้อารมณ์จิต เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิได้ ต้องไปสู่จุดอันเดียวกันคือปฐมฌาน
    สมาธิที่ถูกต้องซึ่งเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ได้ต้องประกอบด้วยองค์ มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ซึ่งเป็นสมาธิในฌานที่ ๑ ซึ่งเรียกว่าปฐมฌาน อันนี้คือจุดนัดพบของนักภาวนา  ใครจะภาวนาแบบไหนอย่างไรก็มาพบกันที่จุดนี้ ถ้าสมาธิที่ถูกต้อง ต้องประกอบด้วยองค์ คือมีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา การทำสมาธิเป็นหลักธรรมเป็นกลางๆ เป็นสาธารณะทั่วไปทุกลัทธิและทุกศาสนา แม้แต่คนไม่มีศาสนา หรือไม่ได้ปฏิญาณตนว่าจะนับถือศาสนาใดๆ ก็ตาม สามารถที่จะทำสมาธิได้  แต่สมาธิอาจจะมีจุดมุ่งหมายต่างกัน เฉพาะในพระพุทธศาสนานักสมาธิก็มีจุดหมายแตกต่างกัน ถ้าสมาธิที่เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน มุ่งสู่ความสงบจิตทำเป็นสมาธิให้เกิดปัญญารู้แจ้งแทงตลอดในธรรมตามความเป็นจริง

  แล้วจิตหลุดพ้นจากอาสวกิเลสบรรลุอริยมรรค อริยผล ตามลำดับขั้น โสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ อันนี้เป็นสมาธิที่มุ่งตรงต่อจุดหมายที่ถูกต้องตามพุทธประสงค์  แต่ผู้ที่ยังมีกิเลสยังมีความต้องการ อาจจะทำสมาธิเพื่ออิทธิฤทธิ์เพื่อได้มาซึ่งลาภผลอันเกิดจากศรัทธาของประชาชน หรือทำสมาธิเพื่อให้เกิดมีอิทธิฤทธิ์มหัศจรรย์  บางท่านทำสมาธิแล้วแสดงฤทธิ์ได้ ทำเครื่องราง ของขลัง ก็ขลังทำน้ำมนต์ก็เก่ง เป็นหมดให้หวยบัตรหวยเบอร์ บางทีอาจจะมีถึงขนาดทำสมาธิสร้างพลังจิต แล้วส่งกระแสจิตไปติดต่อคนโน้นคนนี้ คนที่มั่งมีศรีสุข มียศมีอำนาจ  ให้นำผลประโยชน์ทางด้านอามิสมาช่วยสร้างวัดสร้างวา หรือให้ความสุขแก่ตัวเองก็สามารถที่จะทำได้ เพราะสมาธิจิตเมื่อมีพลังงานเราสามารถที่จะน้อมไปใช้ในทางต่างๆ ได้


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_poot/lp-poot_50.htm

160
กฎแห่งกรรม / ทำกรรม ต้องชดใช้
« เมื่อ: 11 มิ.ย. 2554, 11:15:35 »
ำกรรม ต้องชดใช้ ๑/๒
กรรม จากบ้าน รถ เงินทอง


   กรรม ที่เกิดจากความโลภมนุษย์เรานั้นจริง ๆ แล้วคงไม่มีคำว่า "พอ" อย่างแน่นอน เพราะเมื่อได้อย่างหนึ่งก็ต้องการอีกอย่างหนึ่ง หรือเมื่อได้สิ่งนั้นมาแล้วเล็กน้อย ก็ไม่พอใจต้องการที่จะได้ให้มากขึ้นไปอีก นั้นแหละเขาเรียกว่า "มนุษย์ ซึ่งไม่รู้จักคำว่า พอ"

   คนเราทุกคนนั้นย่อมที่อยากจะสบาย ไม่มีใครที่ไหนแน่นอนว่าต้องการที่จะลำบาก หาเช้ากินค่ำ แต่คำว่า "สบา่ย" ก็มีหลายต่อหลายทางที่จะทำให้เกิดขึ้นมาได้ อย่างบางคนก็คดโกง บางคนก็หลอกเค้า บางคนก็ทำมาด้วยน้ำพัักน้ำแรงของตน แต่คนที่คดโกงเค้านั้นย่อมต้องชดใช้กรรม ไม่ว่าจะในชาตินี้ หรือชาติหน้าก็ต้องชดใช้กรรมกันทั้งนั้น อย่างเช่นเรื่องที่จะนำมาให้ลองอ่านกันต่อไป

นั้นคือว่า ผู้ที่ต้องการความสบาย แต่ไม่ได้มาจากหยาดเหงื่อแรงกายของตน เรื่องมีอยู่ว่า

   มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง ซึ่งถ้าจะพูดถึงด้านฐานะความมั่นคง คือเป็นครอบครัวที่ยากจน และครอบครัวนี้ยังต้องประสบกับปัญหาอีกคือหัวหน้าครอบครัว หรือพ่อของพวกเค้านั้นเองได้เสียชีวิตในขณะที่พวกเรายังเยาว์วัย จึงทำให้ภาระทุกอย่างมาตกอยู่กับผู้ที่เป็นแม่ ครอบครัวนี้มี สามคนแม่ลูก คือ ตัวแม่ ลูกชาย และลูกสาว ซึ่งทั้งสามนั้นได้ใช้ชีวิตกันตามลำพังตั้งแต่น้่องคนเล็กอายุได้เพียง 5 ขวบเท่านั้น ส่วนพี่ชายมีอายุ 7 ขวบ แม่ได้ทำงานทุกอย่างเพื่อที่จะให้ลูก ๆ ได้เรียนหนังสือสูง ๆ และมีหน้่าที่การงานที่ดีทำ และเรื่องทุกอย่างก็ได้ดังที่แม่ต้องการ คือลูกชายเมื่อแม่ได้ส่งเสียจนเรียนจบแล้ว เค้าก็ได้เข้าทำงานที่บริษัท ฯ แห่งหนึ่ง ซึ่งเงินเดือนที่ได้นั้นก็สามารถที่จะส่งน้องสาวเรียนต่อสูง ๆ ได้เช่นกัน พี่ชายเป็นคนที่รักแม่ และน้องสาวมาก ๆ ตัวเค้าเคยพูดไว้ว่า "เค้าจะต้องหาวิธีทำอะไรก็ได้ เพื่อที่จะให้แม่และน้องสาวของเค้าได้อยู่อย่างมีความสุข ชีวิตต้องสะดวกสบาย" และพี่ชายเค้าก็ได้สามารถทำได้อย่างที่เค้าได้พูดเอาไว้ แต่จะทำเช่นไร

   ในขณะที่พี่ชายเค้าเข้าทำงานเค้าก็ได้คบหากับแฟนสาวคนหนึ่ง "ที่สำคัญทุกวันนี้พี่ชายคนนี้ได้บวชพระ และไม่คิดที่จะสึก เพราะหนี้กรรมในจิตใจที่เค้าได้สร้างเอาไว้ ถ้าเค้าสึกออกไปชีวิตก็คงจะหาความสุขไม่ได้" เรื่องของแฟนสาวคนนี้พี่ชายก็ไม่ได้สมหวังอะไรกับเค้า แต่พี่ชายกับต้องไปแต่งานกับผู้่หญิงคนหนึ่งซึ่งมีอายุมากกว่าพี่ชายอยู่ประมาณ 10 ปีได้ และพี่ชายก็ยินดีที่จะแต่งงานกับผู้่หญิงคนนี้ด้วย สาเหตุที่เค้ายอมแต่งงานด้วยนั้นก็คือ "เงิน" ที่จะบรรดาลให้แม่ และน้องสาวของเค้าได้อยู่่กินกันอย่างมีความสุขนั้นเอง เพราะจริง ๆ แล้วผู้หญิงคนนี้ คือหุ้นส่วนคนหนึ่งของบริษัท ฯ ที่พี่ชายเค้าได้ทำงานด้วย แถมเธอยังมีธุรกิจอีกมากมายเหลือเกิน

   ชีวิตของทั้งคู่ก็ได้ดำเนินมาเรื่อย ๆ แต่ไม่มีใครได้รับรู้เลยว่า "พี่ชายนั้น เมื่อแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ แล้วต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด" ที่เป็นเช่นนั้นเพราะอันที่จริงแล้วผู้หญิงคนนี้เค้ามีอาการคล้าย ๆ กับโรคจิตคือชอบทำร้ายร่างกายของสามี อีกทั้งยังเป็นคนที่ขี้หึงมาก ๆ ด้านอารมณ์ก็เป็นคนเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่สุด ชีวิตของเธอเคยแต่งงานมาแล้วถึง 2 ครั้ง แต่ผู้ชายทั้งสองก็ต้องเลิกไป เพราะทนกับเรื่องอารมณ์ หรือเรื่องอื่น ๆ ในตัวเธอไม่ได้นั่นเอง

ที่มา
http://khonsin.blogspot.com/2009/10/blog-post_30.html

161
กฎแห่งกรรม / นรก อยู่ไหน?
« เมื่อ: 11 มิ.ย. 2554, 09:51:38 »
นรก อยู่ไหน ๑/๒
บาป กรรม ที่ไหน.. นรก


    ทุกคนคงไม่คิดว่านรกจะมีจริงใช้ไหม แต่มีคนอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เคยไปถึงนรก ทั้ง ๆ ที่เค้ายังไม่ถึงคาด จะว่าไปก็อาจจะไม่ค่อยมีคนเชื่ออีกเช่นเคย คนเราจะเคยได้ยินแต่ "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ" มันก็คงจะจริงเหมือนกันนั่นแหละ เพราะ"ทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว" แต่จะมีสักกี่ึคนที่จะรู้แจ้งเห็นจริงกับเรื่องราวของนรก คุณคงเคยเห็นว่านรกหน้าตาเป็นอย่างไร อย่างเช่นในหนังในละครได้นำมาเผยแพร่กัน คือต้องมีต้นงิ้ว มีกระทะทอง มีนกเหล็ก มีคนถือหอกคอยทิ้มแทง อะไรประมาณนี้

    แต่อันที่จริงนั้นนรกน่ากลัวกว่าที่เราได้เห็นทางทีวีกันมากกว่า เพราะคนที่เคยไปถึงนรกนั่นได้นำประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อที่จะให้เรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายได้กลัวเกรงต่อบาป กรรม กันบ้าง ไม่มากก็น้่อย เพราะการถ่ายทอดของเค้าเป็นการที่เค้าอยากให้เราทั้งหลายสร้างบุญกุศลเอาไว้ให้มาก ๆ เมื่อตายไปแล้วเราจะได้ไม่ต้องตกนรก แต่การขึ้นสวรรค์นั้่นยังไม่มีใครเคยมาถ่ายทอดประสบการณ์ให้ฟังน่ะ

    เรื่องของบุคคลคนนี้ที่ไปนรกนั้น ก็ไม่มีใครหรอกจะคาดการณ์ได้ว่าเค้าได้ไปนรกมาจริง ๆ แต่การยืนยันนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่น่าเชื่อได้ และัอีกอย่างบุคคลคนนี้เป็นคนที่ไม่เคยโกหก และเป็นผู้ที่มีจิตใจเป็นกุศลด้วย

เริ่มเรื่องเลยดีกว่า

ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า นรกนั้นใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงแล้ว เพราะอะไรนั่นเหรอ ก็เพราะเมืองมนุษย์ กับเมืองนรกเป็นภพคนละภพกัน การเดินทางเลยไม่เหมือนเช่นในเมืองมนุษย์ เรื่องก็มีอยู่ว่า มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง มีอาชีพทำนา ครอบครัวนี้จะมีกันเพียง 3 คนเท่านนั้น คือ พ่อ แม่ และลูกสาวอีกคนเท่านั้น ในทุก ๆ วันครอบครัวนี้ก็จะมีหน้าที่ออกไปทำนา ทำสวนตามปกติ คือ เช้าตอนประมาณตี 4 ก็จะออกเดินทางจากบ้าน ซึ่งกว่าจะถึงท้องนาก็ประมาณ 20 กิโลเมตรได้ ผู้เป็นแม่จะมีหน้าที่ในตอนเช้าเพื่อเติมอาหารนำไปกินที่นาด้วย พวกเค้าจะทำแบบนี้ในทุก ๆ วันไม่มีเว้น เพราะข้าวในนาก็คือเงินที่พวกเค้าจะนำมาเลี้ยงชีพนั้นเอง

ทุกอย่างของชีวิตทั้งสามก็ดำเนินมาแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนมาถึงวันหนึ่ง ในวันนั้นไม่มีใครคาดคิดได้เลยว่าแม่ที่รักของเค้าจะได้พบยังนรกมา ก่อนที่แม่ของเค้าจะได้ไปนรกนั้น แม่ของเค้าก็ทำภาระกิจเหมือนเดิม ๆ แต่พอเวลาใกล้เที่ยงซึ่งวันนั้นอากาศร้อนมาก เรียกว่าร้อนอย่างผิดปกติเลยทีเดียว ทุังสามก็ได้ทำนากันตามปกติ แต่แล้วจู่ ๆ แม่ก็ได้เป็นลมล้มพับลงไป ซึ่งพ่อ กับลูกสาวตอนนั้นได้อยู่ห่างจากผู้เป็นแม่แต่ก็ไม่ไกลเกินไปนัก ในขณะนั้นพ่อก็ได้หันมามองที่แม่ ซึ่งตอนนี้แม่ก็ได้ล้มลงไปกับพื้นนาเสียแล้ว ผู้เป็นพ่อจึงร้องเรียกลูกสาวให้มาดูแม่ แต่พ่อได้มาถึงตัวแม่ก่อนและได้ตะโกนบอกลูกสาวว่า "แม่เป็นอะไรไม่รู้" ลูกสาวรีบวิ่งมาดูอาการของแม่ และได้ช่วยกันนำแม่ไปไว้ยังใต้ต้นไหม้ใหญ่ที่อยู่เลยไป ทั้งคู่ก็ได้พยายามทำให้แม่พื้น แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ผู้เป็นแม่ไม่มีลมหายใจแล้วในขณะนี้



ที่มา
http://khonsin.blogspot.com/2009/10/blog-post_15.html

162
ศีล นิพพิทาญาณ และโคตรภูญาณ
ท่านพระสุรจิตเทศน์ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๓๙

จาก หนังสือ “ธรรมะหลวงพ่อ” และพระอริยเจ้าบางองค์
โดย พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)
รวบรวมโดย : พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

---ไอ้คำว่าเบื่อ ๆ อยาก ๆ เพราะว่ามันยังไม่ทรง เข้าใจไหม

---นิพพิทาญาณจริง ๆ นี่ ท่านเบื่อท่านทรง มันเบื่อจริง ๆ เบื่อจนมันไม่เอาอะไร ไอ้ตัวนี้มันเบื่อจริง ๆ มันเห็นร่างกายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ๆ มันเห็นความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย มันเห็นความไม่เป็นสาระ ในเมื่อโลกทั้งโลกนี้ ดูแล้วไม่เป็นสาระ มันมีแต่ความเบื่อหน่ายในโลก เบื่อหน่ายในขันธ์ ๕ คราวนี้ถ้ามันเบื่ออยู่อย่างนั้น แล้วจิตไม่สามารถจะถอนความเบื่อได้ มันก็อาจจะฆ่าตัวตายได้ เพราะมันเป็น มันเป็นมาก เข้าใจไหม

---จิตก็จะต้องหาทางออกให้ได้ ออกจากนิพพิทาญาณ คราวนี้ถ้าจิตจะออกจากนิพพิทาญาณ จิตนั้นจะต้องเห็นธรรมดาของโลก เห็นธรรมดาของร่างกายว่ามันเป็นอย่างนี้ มันต้องทุกข์อย่างนี้ มันต้องสกปรกอย่างนี้ เราอยู่กับคนที่มีกิเลส เราก็ต้องถูกกิเลสกระทบอย่างนี้ มันหนีไม่พ้นหรอก ไอ้โลกนี้มันสกปรกไปด้วยกิเลสของคน เข้าใจไหม

---เราอยู่กับคนที่มีกิเลส เค้าก็สาดกิเลสมาหาเรา มันก็มีแต่ความเดือดร้อน ไอ้ความวุ่นวายทั้งหมดมันก็มาจากกิเลส ทำให้ใจเห็นธรรมดาให้ได้ จิตที่มองเห็นธรรมดาและยอมรับนับถือในธรรมดาตรงนี้แหละ คือ โคตรภูญาณ มันต่อเนื่องกันกับนิพพิทาญาณ ถ้าจิตไม่สามารถออกจากนิพพิทาญาณได้ เข้าโคตรภูญาณไม่ได้ มันก็เสร็จอยู่ตรงนั้นแหละ คราวนี้บางคนพอเบื่อเข้ามาก ๆ ไอ้นิพพิทาญาณมันก็ถอย ไม่เอา ๆ คือ ไม่ยอมพิจารณาต่อ กลัวว่าจะฆ่าตัวตาย กลัวว่าจะไปผิดทางแล้วมันก็ถอยกลับเข้าปุถุชนเลย จิตมันจะไม่ก้าวต่อ เข้าใจไหม



ที่มา
http://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1044

163

วิชาย่นระยะทางของท่านพระป่าอาจารย์ในดง

 
การที่ผู้ที่ท่านมีพลังอำนาจจิตสูงส่งจะเดินทางไปปรากฏร่างในสถานที่แห่งใดก็ตาม ท่านสามารถเดินทางไปได้หลายรูปแบบ
ถ้าเป็นระยะทางใกล้ๆ ท่านอาจจะเดินทางไปด้วยตนเอง การเดินทางของท่านก็เป็นการเดินเท้าธรรมดาเหมือนคนอื่น
แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือท่านสามารถเดินได้เร็วกว่าคนธรรมดาทั่วไป
ท่านอาจารย์ในดงที่เรียกกันว่าพระป่าเพราะท่านชอบอยู่แต่ในป่าในเขาไม่ยอมเข้าในเมือง
เมื่อท่านต้องการที่จะเดินทางไปที่แห่งใดด้วยเท้าเปล่าแล้วท่านจะตั้งหน้าตั้งตาเดินลูกเดียว
สายตาของท่านมองไปที่ยอดไม้ที่อยู่เบื้องหน้าไปทีละช่วง
เมื่อท่านเดินไปถึงเป้าหมายแรกแล้วท่านก็มองไปที่เป้าหมายเด่นๆ ที่อยู่เบื้องหน้าต่อไป เท้าเก้าเดินฉับๆ ปากท่องบ่นพึมพัมไปตลอดทาง

“ อาวอิว  อิวอาว  อาวอิว  อิวอาว ”

เสียงบ่นของท่านเป็นจังหวะกับการก้าวเท้าพอดี
 
ศิษย์ร่วมทางมัวแต่นึกขำในคำที่ท่านอาจารย์ในดงท่องเพลินไปหน่อย เงยหน้าดูเห็นท่านเดินขึ้นหน้าไปประมาณร้อยกว่าก้าวเห็นจะได้
รู้สึกแปลกใจมากที่ท่านเดินอยู่ข้างหลังดีดีก้มหน้าไม่ถึงห้าวินาที หลวงปู่ท่านเดินทิ้งระยะห่างขนาดนั้น
ต่อให้อาจารย์รีบวิ่งหรือกระโดดไปก็คงไปได้ไม่ไกลถึงขนาดนั้นเพราะท่านแก่มากแล้ว
ด้วยความสงสัยจึงคอยจับตาจ้องดูที่เท้าของท่าน ก็ไม่พบว่าท่านก้าวยาวหรือเร็วกว่าคนธรรมดาเลย
ก้มมองดูเท้าท่านก้าวไปเพียงไม่กี่ก้าวก็เงยหน้าขึ้นมา รู้สึกเย็นวาบไปหมดทั้งตัวขนหัวลุกตั้ง
ก่อนที่จะก้มหน้าดูเท้าท่านอาจารย์ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นมันอยู่ข้างหน้าประมาณร้อยก้าว
ทั้งๆ ที่ท่านอาจารย์ท่านก้าวเท้าเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น ทั้งศิษย์ทั้งท่านอาจารย์เดินผ่านต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น
โดยทิ้งระยะห่างจากมันประมาณร้อยก้าวได้อย่างไร  ?
ดูเหมือนท่านอาจารย์ในดงจะรู้ว่าลูกศิษย์กำลังคิดอะไรอยู่

ท่านพูดลอยๆ ออกมา
“ ให้สร้างจินตนาการสร้างมโนภาพให้เห็นหรือรู้สึกว่าเห็น
ว่าตัวเรามีขาที่ยาวมากก้าวไปได้ไกลๆ
ข้ามเขาข้ามห้วยข้ามหนองข้ามคลองข้ามทะเล
ตาจับยึดที่เป้าหมายที่อยู่เบื้องหน้าไปทีละช่วงสายตา  เห็นถึงไหนยึดถึงนั่น
ทั้งตัวเราและเป้าหมายจะเกิดแรงดึงดูดต่อกัน  เราก็เดินเป้าหมายก็ฉุด  มันเกิดแรงช่วย ”

 
อีกรูปแบบหนึ่ง
ท่านเอาไปแต่รูปไม่ได้เอาร่างไปด้วย เมื่อกายทิพย์ไปถึงจุดหมายแล้ว
ท่านจึงทำกายทิพย์ซึ่งเป็นกายละเอียดที่คนมองไม่เห็นให้เป็นกายหยาบที่คนมองเห็นได้
ผู้ที่สามารถทำเช่นนั้นได้จะต้องมีพลังอำนาจจิตสูงมากเพราะ ต้องสามารถรักษาภาพนิมิตได้นานมาก
 
ท่านอาจารย์ในดงอยู่ร่วมในงานจนเสร็จพิธีท่านจึงเดินทางกลับ
โดยไม่มีผู้ใดรู้ว่า ท่านเอามาแต่รูป ( ให้เห็นได้ด้วยสายตา )
แต่....
ไม่ได้เอาร่าง ( ตัวตนที่แท้จริงที่สามารถสัมผัสได้ของท่าน ) มาด้วย เพราะไม่มีผู้ใดไปสัมผัสท่าน
ท่านใช้เวลาเดินทางกลับจากงานพิธีในเมือง กลับถึงที่พักกลางป่าลึก
เพียงอึดใจเดียว
ท่านสามารถเดินทางไปได้ทุกสถานที่อย่างรวดเร็วมาก เกินกว่ามนุษย์ทั่วไปจะทำได้
เพราะท่านไม่ต้องแบกสังขารที่แกชราไปด้วย

ที่มา
http://www.saksitsart.com/index.php?mo=3&art=406586

164
สืบเนื่องจากกระทู้เก่า หัวข้อ คงกระพันชาตรี โดยคุณsad(เบสท์)
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=993.msg5063
มีข้อมูลอยู่อ่านแล้วน่าสนใจใคร่ศึกษาขยายความ
และจากข้อมูลของเวปบางพระฯ มีเรื่องที่เกี่ยวข้องมากมายถึง 9 หน้า
จะพยายามลองรวบรวมข้อมูลและเชื่อมโยงข้อมูลทั้งหลายเท่าที่จะทำได้

คงกระพันนั้นสามารถทำได้หลายด้านเช่น เสกปูนคาดคอด้วย อิติมัตติยา มัตติภะเว ของหลวงปู่ศุข หรือ อุนุยัง เสกแล้วป้ายคอถ้าทำด้วยใจเชื่อแล้วก็จิตนิ่งไม่เข้าแนนอน  ต่อมาเป็นการเสกของกินหรือที่เรียกว่า อาพัด เช่นหมาก เหล้า ข้าวเป็นต้นเช่น เสกหมากกินใช้หัวใจ นิพพานจักกรีว่า อิ สะ วิ ระ มะ สา พุ เท วาเป็นต้น เสกเหล้าด้วยคาถา4เกลอว่า กะระมะถะ กิริมิถิ กุรุมุถุ เกเรเมเถนอกจากจะเหนียวแล้วถ้าเสกแค่3ประโยคแรกจะเมาช้า ถ้าเสก4 แถวแล้ววางไว้ให้คนอื่นในวงกินเป็นอันตีกัน ส่วนเสกข้าวใช้หัวใจปฏิสังขาโยว่า จิ ปิ เส คิครับผม แล้วเดี่ยววันอื่นเอาวิธีอื่นมาลงอีกนะครับผม


165
สร้างพลังจิตเพื่อสร้างคุณภาพชีวิต
พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

     การนั่งสมาธิ เรียกว่าวิธีนั่งสมาธิ ให้นั่งเอาขาขวาทับขาซ้ายขัดสมาธิ เอามือซ้ายวางลงที่ตัก เอามือขวาวางทับ ให้หัวแม่มือจรดกันเบาๆ อย่าให้กด ตั้งกายให้ตรง คือนั่งให้รู้สึกว่ากายตรงให้เป็นที่สบาย อย่าเกร็งกล้ามเนื้อหรือส่วนต่างๆ ของร่างกาย นั่งพอพยุงกายให้ตรงอยู่ อย่าให้เอียงซ้าย เอียงขวา อย่าก้มนัก อย่าเงยนัก ลองนั่งให้ตรง สง่าผ่าเผยเหมือนพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิ อันนี้เป็นวิธีนั่ง ต่อไปเป็นวิธีกำหนดจิตคือทำความรู้สึกที่จิตของตนเอง ความรู้สึกอยู่ที่ตรงไหน จิตของเราก็อยู่ที่ตรงนั้น เพื่อจะให้จิตมีฐานที่ตั้ง ให้กำหนดรู้ลมหายใจเข้า หายใจออก จะนึกพุทพร้อมลมเข้า โธพร้อมลมออกก็ได้ หรือใครจะไม่นึกอะไร เพียงแต่กำหนดรู้ลมหายใจซึ่งออกเข้าอยู่โดยธรรมชาติของการหายใจก็ได้ อันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะเรียนให้รู้ธรรมชาติของร่างกาย

        ทำไมลมหายใจจึงชื่อว่าเป็นธรรมชาติของร่างกาย เพราะเหตุว่า เราจะตั้งใจก็ตาม ไม่ตั้งใจก็ตาม กายของเราก็หายใจอยู่โดยธรรมชาติ เพียงแต่เรากำหนดรู้ลมหายใจเฉยๆ อยู่ อย่าบังคับจิตให้สงบ แต่ประคองจิตให้รู้อยู่ที่ลมหายใจตลอดเวลา จิตของเราจะเป็นอย่างไร เราไม่คำนึงถึง คำนึงแต่ว่าจะรู้ที่ลมหายใจอย่างเดียว หายใจเข้ารู้ หายใจออกรู้ หายใจสั้นรู้ หายใจยาวรู้ เพียงแต่เอารู้ตัวเดียวกำหนดรู้อยู่ที่ตรงนี้

ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/monktalk13.html

166
คาถาอาคม / การสวดภาณยักษ์
« เมื่อ: 10 มิ.ย. 2554, 12:09:41 »
ที่มา จากกระทู้เก่า ประวัติการสวดภาณยักษ์ โดยคุณปุญฺญานุสฺสติ(สิบทัศน์)
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=6449.msg51711

การสวดภาณยักษ์ นั้นก็คือ การสวดพระอาฏานาฏิยปริตร โดยพระปริตรนี้ แบ่งเป็น2ภาค คือภาคภาณพระ และภาคภาคยักษ์ โดยตามพระพุทธประวัติกล่าวว่า หลังจากพระมหาบุรุษตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั้น ท้าวจตูโลกบาลก็มาเข้าเผ้า พระพุทธเจ้าก็ตรัสกล่าวถึงพระพุทธวงศ์ คือพระนามพระพุทธเจ้าที่เคยตรัสรู้มาแล้ว (ภาณพระ) จากนั้นท้าวจตุโลกบาลก็มีดำริว่าบริวารของตนนั้นมีมากมาย ทั้งที่เป็นยักษ์ กุมภัณฑ์ นาค และคนธรรพ์ ซึ่งมีมายมากที่ไม่มีจิตเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา กลัวว่าจะมารบกวนพระสงฆ์สาวกที่ไม่มีฤทธิ์ ขณะจาริกและปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานให้ได้ความเดือดร้อน จึงถวายพระปริตรนามว่า อาฏานาฏิยปริตร แด่พระพุทธเจ้า เพื่อให้พระสงฆ์นำไปสวดกัน(ภาณยักษ์) โดยในพระปริตรดังกล่าวจะกล่าวถึงพระนามของท้าวจตุโลกบาล ทั้งนี้เมื่อบริวารของท้าวจตุโลกบาล เมื่อได้ยินพระนามท้าวเธอก็ย่อมจะเกรงกลัวและเร้นกายไปไม่มารบกวน ดังนั้นความเชื่อของชาวพุทธ เวลาเกิดเหตุการณ์ร้ายไม่มีในบ้านเมืองก็จะนิมนต์ให้พระสงฆ์สวดภาณยักษ์ อย่างเช่นในสมัยต้นกรุงฯได้เกิดโรค--ยุดนั้นก็มีการสวดภาณยักษ์กันมากมาย แต่จริงๆแล้ว พระอาฏานาฏิยปริตร นั้นเวลาเรานิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์เย็น พระท่านก็จะสวดอยู่แล้ว เพราะพระปริตรดังกล่าวนั้นได้รวมอยู่ทั้งใน จุลราชปริตร(สวด 7 ตำนาน) และมหาราชปริตร(สวด 12 ตำนาน) อยู่แล้ว

การสวดภาณยักษ์ได้เริ่มมีขึ้นในประเทศไทย เข้าใจว่ามีมาตั้งแต่สมัยของพ่อขุนรามคำแหง รับมาจาก พระสงฆ์ทางลังกาสายเถรวาท โดยเริ่มเข้ามาทางด้านจังหวัดนครศรีธรรมราช จนถึงสมัยของรัชกาลที่ ๕ เสด็จนครศรีธรรมราชจึงได้นำมาจัดเป็นพิธีประจำปี สำหรับพระนครเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่พระนคร และแก่พระเจ้าแผ่นดิน เพราะมีความเชื่อกันมาว่า บ้านเมืองหนึ่งๆ จะมีผีที่ดี และผีที่ไม่ดีอาศัยอยู่ ผีที่ไม่ดีเรียกว่า ภูติผีปิศาจ ส่วนผีที่ดีเรียกว่า เทพยดา และที่บ้านเมืองมีเหตุเพทภัยต่างๆเกิดขึ้น ก็เป็นเพราะเกิดจากภูติผีปิศาจ กลั่นแกล้งบันดาลให้เป็นไป ดังนั้นเมื่อสิ้นปีหนึ่งไป จึงได้ทำพิธีสวดภาณยักษ์ เพื่อเป็นการขับไล่ภูตผีกันสักครั้ง เพื่อความเป็นสิริมงคล และความร่มเย็นเป็นสุขของบ้านเมือง และแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งปวง จึงเป็นสาเหตุ ที่มีการทำพิธีสวดภาณยักษ์กันขึ้นมานั่นเอง ภาณ หมายถึงการสวด สมัยก่อนการสวดภาณยักษ์มีอยู่สองแบบคือ สวดภาณวาร และสวดภาณยักษ์ ซึ่งการสวดทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่าง ภาณวาร เป็นการสวดแบบมีทำนองครุ ลหุ คือมีการเน้นเสียงหนักเบา ใช้น้ำเสียงสวดที่ไพเราะไม่ กระแทกกระทั้นดุดันเหมือนการสวดภาณยักษ์ ภาณยักษ์ เป็นการสวดที่มีน้ำเสียงกระแทกกระทั้นดุดันเกรี้ยวกราด และน่ากลัวจึงได้เรียกว่าสวดแบบภาณยักษ์นั่นเอง ใช้สวดเพื่อขับไล่ยักษ์หรือภูตผีต่างๆ การสวดทั้งสองแบบนี้ได้นำมาจาก อาฎานาฏิยสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรที่อยู่ในพระไตรปิฎกว่าด้วยเรื่องของยักษ์ต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงปราบ มาดัดแปลงทำนองให้ดุดันและโหยหวน เพื่อเป็นการขับไล่สิ่งที่ไม่ดีให้ออกไป มีการจุดปืนใหญ่สมทบ เพื่อให้ภูตผีปิศาจเกิดความกลัวจะได้หนีไป แต่ในปัจจุบันใช้การจุดประทัดแทน บางตำนานก็บอกว่าการสวดภาณยักษ์นั้น เกิดจากเมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ท่านได้ทรงโปรดเทศนาธรรม ให้กับพญายักษ์ที่มีชื่อว่า ท้าวเวสสุวัณ ซึ่งเป็นจ้าวแห่งภูตผีปิศาจทั้งหลาย แค่เอ่ยชื่อเพียงอย่างเดียว พวกภูตผี ปีศาจที่มีฤทธิ์เดชทั้งหลายยังต้องเกรงใจ ไม่กล้ายุ่งเกี่ยวต่อกรด้วย หลังจากที่ยักษ์ท้าวเวสสุวัณได้ฟังพระธรรม จากพระพุทธเจ้า ก็บังเกิดความซาบซึ้งในรสพระธรรมขึ้น จึงได้แต่งพระคาถาน้อมถวายแก่พระพุทธเจ้า ซึ่งก็คือคาถาสวดภาณยักษ์นั่นเอง เมื่อสวดคาถาบทนี้เมื่อใด เหล่าภูตผีปิศาจไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็ต้องยอมศิโรราบให้ เพราะเกรงกลัวในบารมีของท่านท้าวเวสสุวัณ พากันเผ่นหนีกันจ้าละหวั่นไปกันหมดท่านท้าวเวสสุวัณ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ท้าวกุเวร เป็นเทวาธิราชพระองค์หนึ่ง เป็นจอมเทพที่มีศักดาอานุภาพ และอิทธิฤทธิ์มาก ถึงแม้ว่าจะเป็นยักษ์(บางตำนานก็ว่าหน้าเป็นคน)ก็เป็นยักษ์ที่ใจดีมีเมตตาและมีศีลธรรมประจำใจ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจอันมากมายที่มีอยู่ จึงเป็นที่กลัวเกรงของเหล่าบรรดาภูตผีทั้งปวงและบรรดาเหล่ายักษ์มารทั้งหลาย รวมทั้งเทวดาชั้นผู้น้อย ทำหน้าที่ปกครองดูแลเทพเทวาในนครอันดับที่สี่ ซึ่งอยู่ในสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง ในสวรรค์ชั้นนี้ก็มี เทพเทวดา อสูร นาค ราคสด คนธรรพ์ และพวกสัมพเวสีอาศัยอยู่ ดังที่ได้กล่าวมาดังนี้แล......


167
ต่อจากตอนที่ 3
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23314
======================

การบูชาบุคคลที่ควรบูชา เป็นมงคลอันสูงสุด

      พระเทวทัตปีนขึ้นไปยอดเขาคิชกูฏ ไปกลิ้งก้อนหินลงมาหวังจะให้ทับพระพุทธเจ้าตาย ทีนี้พระองค์รู้วาระจิต ถ้าเทวทัตไม่ได้ทำร้ายเรานิดหนึ่ง วันนี้จะอกแตกตายก่อนที่จะสำนึกผิดได้ พอก้อนแง่หินมันแตกกระเด็นมาท่านก็ยื่นหลังพระบาทไปรับ เทวทัตก็ดีอกดีใจว่าได้ทำร้ายพระพุทธเจ้านิดหนึ่ง แล้วก็ไม่อกแตกตายเพราะฉะนั้นคติของพระองค์นี่ พระองค์ทรงเมตตาสงสารทั้งคนทำดีและทำชั่ว คนทำดีเป็นบุคคลที่น่าอนุโมทนา คนทำชั่วเป็นบุคคลที่น่าสงสาร ถ้าหากว่าเราว่ากล่าวตักเตือนเขาไม่ได้ เราก็แผ่เมตตาให้เขา มันจะเป็นเพราะยังนี้ละมั๊งคนที่คิดไม่ดีกล่าวไม่ดีกับหลวงพ่อ มันถึงมีอันเป็นไปเป็นแถบ ๆ เลย มันไม่ใช่รายหนึ่งรายเดียวนะ ๑๐ กว่ารายมาแล้ว

เพราะฉะนั้น หลวงพ่อจึงว่า ปูชา จะ ปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง บุคคลผู้ควรบูชาอันดับหนึ่งพระราชามหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ เพราะท่านเหล่านี้เป็นผู้มีบุญจึงไปเกิดในตระกูลซึ่งเป็นสมมติเทวดา ทีนี้รองลงมาก็ปู่ย่าตายาย บิดามารดา ครูบาอาจารย์ บุคคลเหล่านี้เป็นบุคคลที่ควรเคารพบูชา ใครจะลบหลู่ดูหมิ่นไม่ได้ ถ้าขืนลบหลู่ดูหมิ่นคนทั้งหลายเหล่านี้ มีแต่วิบัติท่าเดียว ไม่มีความเจริญ
พยายามดูคนในแง่ดีไว้ อย่าไปดูแต่ในแง่ร้าย เผื่อว่าเราดูคนในแง่ดี ไม่เพ่งโทษในแง่ร้าย มันเป็นผลดีสำหรับเรา

มหาอำนาจอเมริกากับลัทธิไสยศาสตร์

     ที่พระไทยไปถูกฆ่าตายอยู่รัฐแอริโซนา ทำไมพระไทยจึงถูกฆ่า ทีนี้พอรู้ประวัติความเป็นมาของเจ้าสำนักนั้น มันเล่นเอาหมอดูไปเผยแพร่ ไสยศาสตร์ไปเผยแพร่ แถมทรงวิญญาณเข้าไปด้วย ทีนี้อเมริกามันเป็นประเทศมหาอำนาจ มันจะไปรับได้อย่างไรของอย่างนี้ แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกคลั่งศาสนาก็มี เขาป้องกันทุกอย่าง เขาก็จับฆ่าทิ้ง ทีนี้ทางเราหนังสือพิมพ์ก็วิจัยไปอย่างนั้น วิจารณ์ไปอย่างนี้ เอาลัทธิบ้าบอไปนี่ ไม่ว่าแต่เขา ถ้าหลวงพ่อเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองก็ฆ่าทิ้งจริงๆ นี่ปัจจุบันนี่ยังอยากจะฆ่าพระไทยทิ้งอยู่หลายองค์ มีอย่างที่ไหนโฆษณาตั้งแต่เมืองแปดริ้วจนถึงเมืองโคราชเรื่องมักลีผล มันไม่ใช่เรื่องของพระพุทธศาสนาซักหน่อย ปัญหาหนักอยู่เวลานี้สำหรับความคิดของหลวงพ่อเนี่ย

ทำอย่างไรพระสงฆ์คณะเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะกรรมฐานเนี่ยะที่อยู่ในวัดกรรมฐานนี่มันจึงจะเคร่งต่อพระวินัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่วัดเรานี่มันเลอะเทอะหมดแล้ว ปิดกั้นไม่อยู่ มันไปเอาลัทธิของภายนอกเข้ามา ขนาดพระเถระที่เรานึกว่ามันจะเป็นผู้นำได้ มันยังละเมิดสิกขาบทวินัยกันอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาตะรูปะระชะตัง เวลานี้ไม่มีความหมายสำหรับพระวัดป่าสาลวัน พอว่าไปว่าไป มันว่าภาษาอะไร สำหรับพวกเรา หลวงพ่อท่านยิ่งรวยเป็นล้านๆ มันหาได้คิดไม่ว่าหลวงพ่อรวยนี่ มันรวยอะไร เขาให้เงินล้านมา เขาให้มาเพื่ออะไร มันไม่ได้คิด เพราะฉะนั้นที่ทางกระทรวงศึกษา เขามีนโยบายจะปราบพระอลัชชีนี่ โอ๊ย! ยกมือสุดศอก


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0944_2.html

168
ผีพราย....ประจำคลองประปา 1/2

 หลังจากที่ผมเกษียณอายุราชการได้ไม่นาน  ผมก็พาครอบครัวย้ายมาอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่   ตอนนี้ก็เกือบ 2 ปีแล้วหล่ะ  แต่ทุกวันนี้ผมยังไม่เคยลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว  สมัยที่ผมเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ  และสอบเข้ารับราชการที่หน่วยงานแห่งหนึ่งย่านสามเสนได้   ผมกับเพื่อนก็เลยมาเช่าห้องอยู่ใกล้ๆที่ทำงาน  ก็ย่านริมคลองประปานั่นแหละ
 
                พูดถึงคลองประปาขึ้นมาทีไร  ผมก็อดที่จะขนลุกไม่ได้  เพราะอะไรน่ะเหรอ  ก็ประสบการณ์สยองขวัญที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อจากนี้  มันเกิดขึ้นที่นี่นั่นเองคนกรุงเทพฯในสมัยก่อนรู้จักคลองประปาเป็นอย่างดี  เพราะนอกจากจะเป็นคลองระบายน้ำแล้ว     คนกรุงเทพฯส่วนใหญ่ยังใช้น้ำบริเวณนี้ในการหุงหาอาหาร  ดื่มกิน  และใช้ชำระล้างร่างกายอีกด้วย  ทั้งที่สมัยก่อน เจ้าหน้าที่ของทางราชการจะนำป้ายมาปักไว้   ไม่ให้ลงไปเล่นน้ำในบริเวณคลองประปา  แต่ทว่าก็ยังมีคนที่ฝ่าฝืนลงไปว่ายน้ำเล่นอยู่ดี
 
               เหตุที่เจ้าหน้าที่เขาห้ามไม่ให้ประชาชนลงไปเล่นน้ำบริเวณนี้  เพราะว่ามีข่าวออกมาว่าบริเวณมีคนประสบอุบัติเหตุจมน้ำตายเป็นจำนวนมาก  ดังนั้นเขาคงกลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยอีกหล่ะมั๊ง  ช่วงแรกๆที่เจ้าหน้าที่เขาเอาป้ายไปปักไว้  ผมก็เห็นว่าไม่ค่อยมีใครลงไปเล่นน้ำบริเวณนั้นเท่าไหร่  แต่พอนานไปก็เริ่มไม่มีใครสนใจป้ายประกาศซักเท่าไหร่แล้ว   ยังคงลงไปเล่นน้ำกันอย่างสบายใจ

ผมกับเพื่อนเอง  พอถึงวันหยุดก็ชอบชวนกันไปว่ายน้ำแถวนั้นเหมือนกัน  สมัยนั้นบริเวณริมคลองประปายังไม่มีรถยนต์แล่นพลุกพล่านเหมือนอย่างในปัจจุบัน  บรรยากาศสองข้างทางจึงค่อนข้างดูน่ากลัวอยู่ซักหน่อย  ผมจำได้ว่าวันนั้นที่ผมลงไปเล่นน้ำกับเพื่อน  มันก็ใกล้จะมืดแล้วหล่ะ  อากาศก็เริ่มเย็นลง  ยิ่งน้ำในคลองด้วยแล้วไม่ต้องพูดถึง   เย็นจับขั้วหัวใจเชียวแหละ

ผมเลยบอกเพื่อนไปว่า  ให้รีบๆอาบ เพราะน้ำเย็นแบบนี้ อาจมีสิทธิ์เป็นตะคริวได้ง่าย  หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว  ผมกับเพื่อนก็กระโจนลงไปในน้ำทันที  พร้อมกับดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนาน  เวลาผ่านไปไม่นาน  จู่ๆเพื่อนผมก็ร้องตะโกนขึ้นมา
“ เฮ้ย!! มีอะไรเกี่ยวขากูก็ไม่รู้ ”ผมหันไปทางเพื่อน  ก็เห็นเขากำลังสะบัดขาไปมาอยู่ใต้น้ำ  เหมือนกับพยายามจะเอาอะไรออกไป  ผมเลยถามเขาว่าเป็นอะไร  เขาก็ยังบอกว่ามีอะไรเกี่ยวขาเขาอยู่ไม่รู้

ผมเลยบอกให้เพื่อนรีบว่ายเข้าฝั่ง  แต่เขากลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้  เขาบอกว่าตอนนี้ขาเขาแทบจะไม่มีแรงแล้ว  ผมเลยต้องว่ายไปหาเขาและลากตัวเขาเข้าฝั่งทันที  ตอนนั้นผมต้องออกแรงค่อนข้างมาก ทั้งที่เพื่อนก็ตัวเล็กกว่าผม แต่ขณะที่ผมกำลังพยายามดึงตัวเพื่อนให้มาอีกทางอยู่นั้น  ก็รู้สึกเหมือนกับมีใครดึงเขาให้กลับไปทุกที   แต่ในที่สุดผมก็สามารถลากเพื่อนเข้าฝั่งจนได้
 
ผมกับเพื่อนขึ้นมานั่งหอบอยู่บนฝั่งสักพักหนึ่ง  เพื่อนผมก็ยกขาของเขาขึ้นดู  เพราะอยากจะรู้ว่ามีอะไรเกี่ยวขาของเขาอยู่   แต่แล้วพวกเราก็ต้องตกใจสุดขีด  เพราะที่ขาของเพื่นผมมีรอยเขียวเป็นจ้ำๆปรากฏให้เห็นอยู่หลายจุดเลยทีเดียว แถมพอลองมองดีๆ ก็เห็นว่ารอยเขียวๆที่ว่ามันช่างเหมือนกับรอยนิ้วมือของคนยังงัยยังงั้นเลย
 
ตอนนั้นใบหน้าของเพื่อนผมเริ่มซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด  อย่าว่าแต่เขาเลยครับ  ตัวผมเองก็ตกใจไม่แพ้กัน  ผมละล่ำละลักถามเพื่อนไปว่า   ตอนที่เขารู้สึกเหมือนกับมีอะไรมาเกี่ยวขาเขาไว้นั้น   เขามองเห็นหรือเปล่าว่ามันคืออะไร เพื่อนผมก็พยายามนึก   และบอกว่าตอนแรกเขารู้สึกเหมือนมีอะไรลื่นๆปัดไปปัดมาอยู่บริเวณขาของเขา แต่สักพักก็หายไป  เพื่อนของผมก็เลยว่ายน้ำต่อไม่ได้สนใจอะไร แต่พอว่ายไปได้สักพัก ก็เหมือนมีอะไรมาดึงขาเขาไว้  เพื่อนผมบอกว่าเขาพยายามว่ายน้ำต่อแต่ก็ว่ายไปไม่ได้ไกล  เพราะเจ้าสิ่งที่ว่านั้นมันพยายามดึงเขาให้ถอยหลังกลับไปทุกที


ที่มา
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=ma_madee&jucId=2803&jnId=3919

169
ปฏิบัติไม่คุ้มค่า

ถ้าท่านลำพังแต่เพียงแค่นั่งสมาธิ 3-4 ชั่วโมง ออกมาแล้ว ปล่อยจิตปล่อยใจให้เป็นไปตามอำเภอใจ ไม่มีการทำสติกำหนดตามรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านประสบอยู่ มันก็ไม่คุ้มค่า จะไปสำรวมจิตเฉพาะในขณะหลับตานั้นไม่คุ้มเพราะแรงผลักดันที่จะทำจิตของเราให้ตกอยู่ในอำนาจฝ่ายต่ำนี้มันมีมากเหลือเกิน

เครื่องวัดผล

ถ้าท่านจะเป็นนักปฏิบัติอย่างแท้จริง
ท่านอย่าไปถือพวกถือพรรค
ถือคณะว่าหมู่เขา หมู่เรา อาจารย์เขา อาจารย์เรา
ขอให้ยึดถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่ง

ธรรม

สัมมาสมาธิ มุ่งให้จิตตั้งมั่นให้รู้จริง เห็นจริง
ภายในจิตใจของตนเอง อย่างน้อยก็ให้รู้ว่า
ใจของเราจิตของเรามันเป็นอย่างไร มันเป็นคนขี้โลภ
ขี้โกรธ ขี้หลง หรืออะไรก็แล้วแต่ อ่านตัวเองให้มันออก
นี้คือจุดที่ต้องการรู้


ศาสนาพุทธเป็นศาสนาวิทยาศาสตร์
หากใครว่าศาสนาพุทธไม่ใช่วิทยาศาสตร์
แสดงว่าผู้นั้นไม่รู้จักศาสนาพุทธจริง


เราเหงา เราหวังพึ่งคนอื่น สิ่งอื่น
ถ้าใจมันนึกว่า "อัตตาหิ อัตตโน นาโถ"
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ก็หายเหงา
ทำใจให้มีที่อยู่ ที่อยู่ของใจ คือ วิหารธรรม
ถ้าใจยึดมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
อย่างแน่วแน่ ก็หายเหงา


ปฏิบัติแล้วไม่ก้าวหน้า เพราะปฏิบัติไม่ถึง
ไม่ถึงขั้นสละชีวิตเพื่อข้อวัตรปฏิบัติ
เราขาดความอดทน
ทำไม่ถึง แล้วก็ทำไม่ถูกต้อง
เพราะฉะนั้นต้องทำให้มาก ๆ
อบรมให้มาก ๆ มันถึงจะก้าวหน้า


ท่านผู้ใดสำคัญตนว่าเป็นพระโสดาบัน คนนั้นไม่ใช่
ท่านผู้ใดสำคัญตนว่าเป็นพระสกทาคา อนาคามี อรหันต์
คนนั้นไม่ใช่…
เพราะความเป็นพระอรหันต์มันอยู่เหนือสมมติบัญญัติ
ผู้สำเร็จแล้วจะรู้สึกเพียงแค่ว่าตัวหมดกิเลสแล้วเท่านั้น


ในประเทศไทยนี่เรามีแต่เกจิอาจารย์เก่ง ๆ ทั้งนั้น
อาจารย์ไหนประกาศออกมาก็ของดีร่ำรวยอย่างนั้นอย่างนี้
แต่คนก็จนลงทุกที เพราะอะไร…
เพราะเขาไปคอยแต่ฟ้าดินจะบันดาลให้
คอยแต่เครื่องราง ของขลังของดิบของดีมาช่วย
แต่ตัวเองไม่ช่วยตัวเอง
จงพยายามหาที่พึ่งให้ตนเอง
คนที่หาพึ่งแต่คนอื่น จะพบแต่ความหลอกลวง
เดี๋ยวนี้คนทั้งหลายคิดหาพึ่งคนอื่น ซึ่งผิดหลักความจริง
จงสร้างสมรรถภาพของตัวเองให้มีจิตใจเข้มแข็ง


เรียนธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ เป็นหลักสูตรรักษาใจ
วิชาแพทย์เป็นสูตรสำหรับรักษาร่างกาย
เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจทั้งสองอย่างแล้วก็สบาย

ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0744_2.html

170
เกร็ดธรรมเก็บมาฝาก
ชยสาโรภิกขุ (ฌอน ชิเวอร์ตัน Shaun Chiverton)
วัดป่านานาชาติ

ตำบลบุ่งหวาย อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
๗ สิงหาคม ๒๕๔๔
 
โพสท์ในลานธรรมเสวนากระทู้ที่ 003221 โดยคุณ : กลางชล [ 9 ส.ค. 2544 ]


ภาพจาก http://d.igetweb.com/index.php?mo=3&art=73926

ความนำ :

    เมื่อสองวันก่อน ที่บริษัทฯ นิมนต์ท่านพระชยสาโร จากวัดป่านานาชาติ จ.อุดรธานีมาเทศน์ให้พนักงานฟังตอนช่วงเย็น ๆ ค่ะ นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีค่ะจากที่ใคร ๆ คาดหมายว่าจะมีผู้เข้าฟังเพียงไม่มากนัก กลับมีผู้เข้าฟังล้นห้อง ยอมยืนฟังท่านเทศน์ก็มี (เห็นแล้วก็อยากให้บริษัทจัดบ่อย ๆ) ส่วนตัวก็ไม่เคยรู้จักชื่อของท่านมาก่อนค่ะ แต่ก็ยอมรับว่าท่านน่าทึ่งทีเดียวกับการที่ท่านเป็นชาวอังกฤษโดยดั้งเดิม พูดภาษาไทยไม่ได้มาก่อนเลยและขณะเดียวกัน หลวงพ่อชาซึ่งเป็นครูของท่าน ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เช่นกัน (ขนาดคนที่เข้าใจภาษาไทย ศัพท์และคำอธิบายยังยากสำหรับผู้เริ่มต้นเลยนะคะ) แต่ด้วยความตั้งใจและความเพียรอย่างยิ่งยวดท่านก็สามารถเข้าถึงและเป็นอีกหลักหนึ่งให้พุทธศาสนาได้จนทุกวันนี้แถมท่านยังสามารถเทศน์เป็นภาษาไทยได้อย่างเป็นธรรมชาติและน่าฟังอีกด้วยค่ะ (แต่ขณะนี้ ท่านไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสที่วัดป่านานาชาติแล้วเพราะท่านได้ปลีกลาไปเพื่อทำความเพียรส่วนตัวอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในโคราชค่ะ)จากที่ได้ฟังธรรมของท่าน ท่านฝากข้อคิดไว้หลายอย่างค่ะ เลยอยากเก็บเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาฝาก  เท่าที่เก็บจำมาได้ ท่านก็สอนประมาณนี้ค่ะ


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/chayasaro/cs-11.htm

171
ธรรมะ / เกร็ดธรรม...สวดมนต์ให้เย็น
« เมื่อ: 09 มิ.ย. 2554, 07:00:32 »
สวดมนต์ให้เย็น

บทสวดมนต์ที่เราจะยึดเป็นหลัก วิธีปฏิบัติ ถ้าเรามีดอกไม้   ธูป เทียนบูชาพระพุทธรูป ก็ให้กล่าวคำว่า

อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง ปูเชมิ
อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง ปูเชมิ
อิมินา สักกาเรนะ สังฆัง   ปูเชมิ


อันนี้เป็นคำบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์   เพื่อโน้มน้าวจิตของเราให้มีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อันดับต่อไปก็

อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบทีหนึ่ง)
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบทีหนึ่ง)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบทีหนึ่ง)

ทีนี้ก็มาสำรวมจิตให้แน่วแน่ต่อคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ กล่าวนะโม ๓ จบ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ


ที่มา
http://www24.brinkster.com/thaniyo/dhamma0644_1.html

172
บุพกรรมของพระมหาโมคคัลลาน์
ย้อนประวัติ

พระมหาโมคคัลลานเถระ ท่านเป็นพระมหาเถระผู้ทรงคุณอย่างยิ่งใหญ่ มีคุณอเนกอนันต์ต่อพระพุทธศาสนา ดำรงอยู่ในฐานะอัครสาวกเบื้องซ้ายแห่งพระบรมศาสดา เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์และอิทธิปาฏิหาริย์เลิศกว่าสาวกทุกองค์

ตามประวัติของท่าน เดิมทีท่านเป็นบุตรของนายบ้าน (ผู้ใหญ่บ้าน ชื่อโกลิตะ มีฐานะอยู่ในระดับเศรษฐี วันหนึ่งได้ชักชวนเพื่อนสนิทนามว่าอุปติสสะ และบริวารพวกพ้องออกจากบ้านไปดูมหรสพ การดูมหรสพในวันนนั้นปรากฎว่า ไม่เป็นที่สนุกสนานรื่นเริง ดังเช่นวันก่อนๆ ทั้งคู่กลับได้ความรู้สึกสลดสังเวชต่อการละเล่นนั้นๆ โดยคิดตรงกันว่า “การละเล่นนี้ไม่มีแก่นสาร เมื่อยังไม่ถึง ๑๐๐ ปี พวกนักแสดงเหล่านี้ก็จักพากันแก่ตายไปหมด เมื่อเป็นเช่นนี้การมัวเมาในการดูการละเล่นย่อมไม่ควร การแสดงหาสิ่งที่เป็นแก่นสารนั่นแหละสมควรแก่เรา”
และแล้วทั้งสองสหายพร้อมด้วยบริวารก็ได้พากันออกบวชในสำนักของอาจารย์สญชัยปริพาชก (นักบวชนอกพระพุทธศาสนา) แต่เมื่อไม่สามารถค้นพบธรรมที่เป็นแก่นสารได้ ทั้งสองสหายจึงตกลงกันแสดงหาสำนักอาจารย์ใหม่ โดยให้คำมั่นสัญญาต่อกันว่า ใครได้พบอาจารย์หรือได้ค้นพบธรรมอันเป็นแก่นสารก่อนแล้วต้องบอกแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้ทราบ


พบบรมครู

กาลต่อมา อุปติสสะผู้สหายได้พบลังคำสอนจากพระอัสสชิเถระ จนสามารถลุถึงสาระในคำสอนนั้น ท่านหวนระลึกถึงคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้แก่โกลิตะ จึงย้อนกลับไปที่สำนักเพื่อเปลื้องคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้แก่โกลิตะ และเพื่อชักชวนสญชัยปริพาชกผู้เป็นอาจารย์ไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาที่เสด็จประทับอยู่ ณ วัดเวฬุวันวิหารตามคำบอกของพระอัสสชิเถระเจ้า
เมื่ออุปติสสะกลับมายังอารามปริพาชกก็ได้แสดงธรรมตามที่ตนได้ยินได้ฟังมาแก่โกลิตะ จนโกลิตะได้ดวงตาเห็นธรรม เข้าใจสาระแห่งคำสอนนั้นตามความเป็นจริง ทั้งสองตัดสินใจไปชักชวนสญชัยปริพาชกผู้อาจารย์ เพื่อนำไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา แต่ไม่สำเร็จ สญชัยปริพาชกไม่ไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นทั้งสองพร้อมด้วยบริวารครึ่งหนึ่งจึงพากันเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดายังวัดเวฬุวันวิหาร แล้วทูลขอการอุปสมบท (บวชเป็นพระ)


ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=252050

173
กฎแห่งกรรม / %$-กรรมทำให้แตกต่าง-$%
« เมื่อ: 08 มิ.ย. 2554, 09:30:29 »
กรรมทำให้แตกต่าง

      มีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดมนุษย์และมวลสัตว์โลกจึงมีความแตกต่างกันในด้านต่างๆ เช่น รูปร่าง หน้าตา อุปนิสัยใจคอ ความรู้ความสามารถ เป็นต้น ต่อข้อสงสัยนี้ มองในแง่กฎแห่งกรรม ก็สามารถอธิบายได้ว่า ที่มนุษย์แตกต่างกันก็เพราะแต่ละคนมีความปรารถนา มีการสั่งสมกรรมไม่เหมือนกัน
ทีแรกเขากระทำกรรมลงก่อนต่อมาภายหลังกรรมนั้นเองได้ย้อนจำแนกเขาผู้ทำให้เป็นต่างๆ ตามชนิดแห่งกรรมที่บุคคลนั้นๆ ได้ทำลงไปดังที่พระบรมศาสดาตรัสไว้ว่า............

      ดูกรมาณพ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตน ตนเป็นผู้รับมรดกแห่งกรรม มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์พวกพ้อง มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมนั่นเองย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลายให้เลวบ้าง ให้ดีบ้าง

      ที่ว่า มีกรรมเป็นของตน นั้นคือเป็นเจ้าของแห่งกรรม ของอย่างอื่น เช่น เงินทอง ทรัพย์สมบัติ ภายนอก เราเพียงอาศัยใช้ชั่วคราว เมื่อตายหาได้ติดตามไปได้ไม่ มีแต่กรรมดี กรรมชั่วเท่านั้นที่จะติดตามวิญญาณไปทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร สมบัติของเราจริงๆ คือกรรมดี กรรมชั่วที่เราทำ หาใช่ทรัพย์สมบัติภายนอกไม่ มรดกอย่างอื่น เช่น มรดกในทรัพย์สินที่คนอื่นเขาจะมอบให้ ก็เป็นของไม่แน่นอน แต่กรรมที่เราทำแล้วมันเป็นมรดกของเราแน่นอน เมื่อมันเป็นของเราแล้วจะมอบให้คนอื่นก็ไม่ได้ ตัวอย่างเช่นคนเป็นโรคมะเร็ง ได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส ลูกเมียพี่น้องได้แต่นั่งคอยดู จะแบ่งมาเป็นของตนบ้างก็ไม่ได้ เพราะกรรมเป็นของๆ ตน และบุคคลต้องรับมรดกแห่งกรรม ใครทำกรรมอย่างใดไว้จึงต้องรับกรรมอย่างนั้นไป ลูกเมีย (ผัว) พ่อแม่ พี่น้องก็ไม่อาจแบ่งผลแห่งกรรมนั้นไปได้ แม้หมอก็ช่วยไม่ได้

      ข้อว่า มีกรรมเป็นแดนเกิดหรือเกิดเพราะกรรม นั้น อธิบายว่า คนเราเกิดมาเพราะยังมีกรรมอยู่ คือยังมีกิเลส มีกรรมและมีวิบากคือผลของกรรม ผลของกรรมนั้นย่อมส่งวิญญาณให้เกิดในที่ต่างๆ ตามความเหมาะสมแก่กรรม วิญญาณย่อมปฏิสนธิในที่ๆ เหมาะสมแก่กรรมของตน คนไม่มีกรรมแล้วเช่น พระอรหันต์ ย่อมไม่เกิดอีก มารดาบิดาเป็นเพียงที่อาศัยเกิดของบุคคลผู้ยังมีกรรมอยู่ บางรายก็เคยเป็นบุตรเป็นบิดามารดากันมาหลายร้อยชาติแล้ว บางรายอุปนิสัยแห่งบุตรธิดาไม่เหมือนบิดามารดาเลย อุปนิสัยแห่งบุคคลแสดงถึงผลรวมแห่งกรรมของเขาที่เคยสั่งสมไว้ ในรายที่มีลูกมีอุปนิสัยคล้ายคลึงหรือเหมือนพ่อแม่ แสดงว่าเขาเคยอบรมตนอย่างเดียวกันมาและได้มาเกิดเป็นพ่อแม่ลูกกันอีก บางรายก็เพราะการปลูกฝังอย่างหนักแน่นรุนแรงในปัจจุบัน แต่ถ้าคนไม่มีอุปนิสัยในทางนั้นอยู่บ้างแล้ว มักจะปลูกฝังไม่สำเร็จ เพราะเขาไม่ยอมรับการปลูกฝัง บุคคลย่อมมีอิสระในการทำชั่วหรือทำดีตามอุปนิสัยของตน

      แต่อย่างไรก็ตาม มารดาบิดาที่ดี ชื่อว่าเป็นผู้มีบุญคุณต่อบุตรธิดาอย่างประมาณมิได้ เพราะได้ทุ่มเทความรักความปรานี ความเสียสละให้ลูกอย่างหาใครเสมอเหมือนมิได้เป็นเวลานานปี หรืออาจกล่าวได้ว่าตลอดชีวิตของท่าน แต่มารดาบิดาก็ไม่สามารถช่วยให้ลูกได้ดีทุกคน ถ้าวิญญาณของลูกสั่งสมเอาอุปนิสัยชั่วติดสันดานมาอย่างเหนียวแน่น ในทางตรงกันข้าม พ่อแม่ที่เลวก็ไม่สามารถทำลูกให้เลวได้ทุกคน ลูกคนใดมีอุปนิสัยดีเลิศติดตัวมา เขาย่อมไม่เอาอย่างการกระทำที่เลวของพ่อแม่ เพราะขัดกับอุปนิสัยของเขาและในไม่ช้า เขาก็ต้องปลีกตัวไปอยู่ในที่อันเหมาะสมแก่เขาจนได้ นี่แหละกรรมเป็นแดนเกิด


ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=250884

174
กฎแห่งกรรม / **พลังแห่งบุญ**
« เมื่อ: 08 มิ.ย. 2554, 09:21:25 »
พลังแห่งบุญ

ในเมืองโกสัมพี มีเศรษฐี ๓ คนคือ โฆสกเศรษฐี กุกกฎเศรษฐี และปาวาริกเศรษฐี
เมื่อกาลใกล้ถึงฤดูฝัน เศรษฐีเหล่านั้นเห็นฤาษี ๕๐๐ มาจากป่าหิมพานต์กำลังเที่ยวรับภิกษาอยู่ในพระนครก็บังเกิดความเลื่อมใส จึงนิมนต์ให้ฉันอยู่แต่ในเรือนของพวกตนตลอด ๔ เดือนและให้ฤาษีเหล่านั้นรับปากว่าจะต้องกลับมาฉันเป็นประจำเช่นนี้อีกตลอด ๔ เดือนในฤดูฝนของทุกๆ ปี
ตั้งแต่นั้นมา ฤาษีเหล่านั้นอยู่ในป่าหิมพานต์ตลอด ๘ เดือน พอถึงฤดูฝนก็พากันมาอยู่ประจำในสำนักของเศรษฐีทั้ง ๓ ตลอด ๔ เดือน
สมัยหนึ่ง ฤาษีเหล่านั้นพากันออกจากป่าเพื่อไปยังสำนักของเศรษฐีทั้ง ๓ ในระหว่างทางเห็นต้นไทรใหญ่จึงพร้อมใจกันเข้าไปนั่งหลบแดดที่โคนต้นไทรนั้น

เมื่อเข้าไปนั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฤาษีผู้เป็นหัวหน้าแหงนหน้ามองขึ้นไปบนต้นไทรพลางคิดว่า “เทวดาผู้สิงอยู่บนต้นไม้นี้ จักมิใช่เทวดาผู้ต่ำศักดิ์ แต่จักเป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ทีเดียวเชียวละ จักเป็นการดีหนอ ถ้าหากเทวดาตนนี้ พึงให้น้ำดื่มแก่หมู่ฤาษี” เทวดาตนสิงสถิตอยู่ที่ต้นไทรนั้นก็บันดาลให้ฤาษีเหล่านั้นได้น้ำดื่ม ฤาษีเมื่อได้ดื่มน้ำแล้วก็คิดถึงน้ำอาบ เทวดาก็ได้บันดาลให้พวกฤาษีได้น้ำอาบ ฤาษีเมื่อได้น้ำอาบก็นึกถึงโภชนะ เทวดานั้นก็ได้บันดาลให้พวกฤาษีได้โภชนะอีกตามที่ปรารถนา

ลำดับนั้น ฤาษีคนนั้นก็เกิดความคิดขึ้นว่า “เทวดาตนนี้ให้ทุกสิ่งที่เราคิด ผลนี้คงจักเป็นผลหรือพลังอำนาจของบุญที่ยิ่งใหญ่เป็นแน่ ทำอย่างไรหนอ เราจึงจะได้เห็นเทวดาคนนี้” ในขณะนั้นนั่นเอง เทวดาตนนั้นก็ชำแรกลำต้นไม้ แสดงตนให้ปรากฏ ฤาษีเหล่านั้นต่างพากันรุมถามเทวดานั้นว่า “ท่านเทวดา ท่านมีสมบัติมากมาย สมบัตินี้ท่านได้เพราะทำกรรมอะไรหนอ” เทวดาตนนั้นนึกละอายอยู่ เพราะกรรมที่ตนทำไว้ เป็นกรรมเล็กน้อยจึงไม่กล้าบอก แต่เมื่อถูกฤาษีเหล่านั้นเซ้าซี้บ่อยๆ เข้า จึงตัดสินใจเหล่าบุพกรรมของตนแก่ฤาษีเหล่านั้น

เหตุต้นผลกรรม

ในอดีตชาติ เทวดานั้นเป็นคนเข็ญใจเที่ยวหางานทำอยู่ ในที่สุดได้งานทำการรับจ้างอยู่ในสำนักของอนาถบิณฑิกเศรษฐี อาศัยการงานนั้นเลี้ยงชีวิต
ต่อมาในวันอุโบสถ วันหนึ่งเศรษฐีกลับมาจากวัดแล้วถามว่า “วันนี้ เป็นวันอุโบสถ มีใครบอกแก่ลูกจ้างคนนั้นไหม” เมื่อคนในบ้านตอบว่า “ยังไม่มีใครบอก ขอรับ” เศรษฐีจึงบอกให้หุงหาอาหารเย็นไว้ให้เขา ชายเข็ญใจนั้นทำงานอยู่ในป่าตลอดทั้งวัน ตกเย็นก็กลับบ้าน เมื่อเขาจัดหาอาหารมาให้ก็อดที่จะแปลกใจมิได้ เพราะในวันอื่นๆ นั้น ผู้คนในเรือนจะเดินแจกและขออาหารเย็นกันขวักไขว่ แต่วันนี้ ทุกคนพากันเงียบเสียงพากันเข้านอนแต่หัวค่ำ จัดอาหารเย็นไว้เพื่อเขาคนเดียวเท่านั้น ด้วยความสงสัยชายเข็ญใจจึงถามผู้ที่จัดอาหารเพื่อเขานั้นว่า “คนที่เหลือบริโภคแล้วหรือ”
ผู้จัดอาหารชี้แจงว่า “ในเรือนนี้ เขาไม่หุงหาอาหารในเย็นวันอุโบสถ ทุกคนเป็นผู้รักษาอุโบสถ แม้เด็กที่ยังดื่มนม ท่านเศรษฐีก็ให้บ้วนปากให้ใส่ของหวาน ๔ ชนิดคือ เนยใส เนยข้น น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ลงในปากทำให้เป็นผู้รักษาอุโบสถ เมื่อสมาทานรักษาอุโบสถแล้ว ทุกคนต่างพากันเข้าสู่ที่นอนทำการสาธยายอาการ ๓๒ (ส่วนประกอบต่างๆ ของร่างกาย) แต่ว่าพวกเราลืมบอกท่านว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถ ฉะนั้น พวกเราจึงหุงข้าวไว้เพื่อท่านคนเดียว เชิญท่านรับประทานอาหารนั้นเถิด”
ชายเข็ญใจได้ฟังเช่นนั้นก็เกิดความเลื่อมใสใคร่จะรักษาอุโบสถจึงไหว้วานให้ชนผู้จัดอาหารนั้นไปเรียนเศรษฐีให้ทราบ
เศรษฐีกล่าวว่า “ชายนั้น ไม่บริโภคในบัดนี้ วนปากแล้วอธิษฐานองค์อุโบสถ จักได้อุโบสถครึ่งหนึ่ง”

ฝ่ายชายเข็ญใจ ได้ฟังแล้วก็ทำตามนั้น เมื่อหิวจัดลมก็กำเริบปั่นป่วนขึ้นในท้อง เมื่อลมกำเริบหนักเข้า เขาก็ใช้เชือกผูกท้องจัดปลายเชือกไว้แล้วนอนกลิ้งเกลือกอยู่
เศรษฐีทราบข่าว ก็สั่งให้คนใช้ถือเอาของหวาน ๔ ชนิด แล้วรีบรุดไปดูอาการของชายเข็ญใจนั้น ถามดูทราบอาการแล้วก็บอกให้เขากินของหวานที่เตรียมมา
ชายเข็ญใจถามว่า “นาย แม้พวกท่านก็รับประทานหรือขอรับ” เศรษฐีตอบว่า “พวกเราไม่ได้ป่วยนี่ เจ้ากินเถิด”
ชายเข็ญใจจึงกล่าวกะเศรษฐีว่า “นาย ข้าพเจ้าเมื่อรักษาอุโบสถ ก็ไม่อาจเพื่อจะทำอุโบสถกรรมทั้งสิ้นได้ อุโบสถกรรมครั้งนี้ของข้าพเจ้า อย่าได้บกพร่องเลย” แล้วก็ไม่ปรารถนาที่จะกิน แม้เศรษฐีจะกล่าวอยู่ว่า “ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” ก็ยังไม่ปรารถนาที่จะกิน พออรุณรุ่ง ก็ทำกาลกิริยาตายไปเกิดเป็นเทวดาที่ต้นไทรนี้นั่นแล


ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=252052

175
กฎแห่งกรรม / @@-หัวใจพ่อ-น้ำใจแม่-@@
« เมื่อ: 08 มิ.ย. 2554, 09:05:22 »
หัวใจพ่อ-น้ำใจแม่

สมัยหนึ่ง แคว้นอัลลกัปปะเกิดขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง ชายผู้หนึ่งชื่อ โกตุหลิก (โก – ตุ – หะ – ลิก) เห็นว่าไม่อาจครองชีพโดยผาสุกในแคว้นนั้นได้ จึงพาภรรยาชื่อกาลีและบุตรน้อยคนหนึ่ง มุ่งหน้าไปเมืองโกสัมพี มีเสบียงอาหารติดมือเพียงเล็กน้อย
เดินทางด้วยเท้าอยู่หลายวัน เสบียงที่ติดตัวหมดลง ระยะทางก็ยังอีกไกล สองสามีภรรยาผลัดเปลี่ยนกันอุ้มลูกน้อยได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส โกตุหลิกผู้สามีจึงขอให้ทิ้งบุตรเสีย อ้างว่า เมื่อเขาทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ย่อมสามารถมีบุตรได้อีก แต่กาลีผู้เป็นภรรยาไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น
ในคราวที่มารดาเป็นผู้อุ้ม เธอจะประคองบุตรอย่างทะนุถนอมเสมือนประคองพวกดอกไม้ ฝ่ายสามีเมื่อถึงคราวอุ้มก็อุ้มไปอย่านั้นเอง พอทราบว่าลูกหลับ จึงออกอุบายให้ภรรยาเดินนำหน้าไปก่อน ตนเองเข้าไปใกล้พุ่มไม้แห่งหนึ่ง แล้วทิ้งลูกไว้ที่พุ่มไม้นั้นแล้วเดินตามภรรยาไป
นางกาลีเหลียวหลังกลับมาไม่เห็นลูกถามทราบความแล้ว นางก็คร่ำครวญขอร้องให้สามีกลับไปนำลูกมา แต่ปรากฎว่าบุตรของเขาสิ้นใจ ในขณะที่เขากำลังอุ้มกลับมานั่นเอง


นายโคบาลผู้อารี

สองสามีภรรยาเดินทางต่อไปจนมาถึงบ้านนายโคบาล วันนั้นที่บ้านนายโคบาลมีงานมงคล และที่เรือนของนายโคบาลนั้น มีพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งมาฉันอาหารอยู่เป็นประจำ
วันนั้น นายโคบาลได้จัดแจงข้าวปายาสไว้เป็นพิเศษ สำหรับถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าและเพื่องานมงคล ขณะนั้นเขาเห็นสองสามีภรรยาเดินมามีร่างกายซูบผอม อิดโรย ถามดูทราบความแล้วก็เกิดเมตตา จึงเลี้ยงดูด้วยข้าวปายาส (เข้าที่ปรุงด้วยน้ำนมสด) เป็นอันมาก
เนื่องจากอดอาหารมาถึง ๗-๘ วัน นายโกตุหลิกจึงบริโภคมากจนเกิดประมาณ ฝ่ายนายโคบาลเมื่อเลี้ยงดูสองสามีภรรยาเสร็จแล้ว จึงเริ่มบริโภคเองบ้าง โกตุหลิกนั่งดูเห็นเขาเอาข้าวปายาสให้นางสุนัขนอนอยู่ใต้ตั่ง คิดอยู่ในใจว่า “นางสุนัขตัวนี้ มีบุญจริงหนอได้กินอาหารอย่างดีอย่างนี้ทุกวันๆ”
คืนนั้นเอง อาหารจำนวนมากที่นายโกตุหลิกกินเข้าไปไม่อาจจะย่อยได้ เขาถึงแก่ความตายในคืนนั้น และบังเกิดในท้องนางสุนัขนั่นเอง


ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=252056

176
ธรรมะ / คำสอนของฮวงโป 4/4
« เมื่อ: 07 มิ.ย. 2554, 08:16:01 »
ต่อจากตอนที่ 3
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23255
==============================
๒๘. คำตอบ

ถาม   จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ท่านอาจารย์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ผิดไปเสียทุกสิ่งเท่าที่กระผมได้กล่าวไปแล้ว ท่านอาจารย์ไม่ได้ทำอะไรเลย ในการที่จะชี้ให้พวกเราเห็น ธรรมะ ที่แท้จริง

ตอบ   ใน ธรรม ที่แท้จริงนั้น ไม่มีความสับสนเลย แต่พวกเธอเองได้สร้างความสับสนขึ้น ด้วยคำถามต่าง ๆ ทำนองนั้น ธรรมะ ที่แท้จริงอย่างไหนกันนะ ที่เธอจะเที่ยวแสวงหาเอาได้ ?

ถาม   ถ้าความสับสนเกิดขึ้นจากคำถามต่าง ๆ ของผมแล้ว คำตอบของท่านอาจารย์เล่า มีอยู่อย่างไร ?

ตอบ   จงสังเกตให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ตามที่มันเป็นอยู่จริง และอย่าไปสนใจกับคนอื่น มีคนบางพวกเหมือนกับสุนัขบ้าแท้ ๆ มันเห่าทุกสิ่งที่ เคลื่อนไหว เห่าจนกระทั่งใบหญ้าใบไม้ที่กระดุกกระดิกเมื่อถูกลมพัด


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=266.0


177
ลักษณะจิตเข้าถึงสมถะ

         ลักษณะที่จิตเข้าสงบจดจ่ออยู่ในจุดใดจุดหนึ่งในกายเป็นเอกัคคตารมณ์อยู่ในเฉพาะจุดเดียว เรียกว่า สมถะ อันจิตของคนเรานี้ย่อมมีอารมณ์มาก เที่ยวไปตามอารมณ์ต่างๆ ไม่อยู่คงที่ จิตของผู้ไม่ได้อบรมสมถะจะไม่มีเวลาพักผ่อน ไม่รู้รสของความสุขที่เกิดแต่ความสงบ สมถะนี้ไม่เกิดเฉพาะแก่ผู้ฝึกหัดสมถะเท่านั้น แต่เกิดแก่คนทั่วไปก็ได้ในบางกรณี พึงเห็นเช่นเมื่อเราได้ประสบอารมณ์อะไรเข้า ซึ่งพอจะกระตุ้นเตือนใจที่กำลังฟุ้งซ่านให้หดตัวเข้ามาจดจ่ออยู่ในอารมณ์เดียว มีได้เห็นคนตายเป็นตัวอย่าง ซึ่งถ้าไม่มีความกลัวแล้ว จิตในขณะนั้นจะเลิกถอนจากอารมณ์ต่างๆ ที่กำลังคิดสอดส่ายอยู่นั้น เข้ามารวมอยู่ในเรื่องตายอันเดียวด้วยความงงงันแล้วจะน้อมเข้ามาหาตน ปลงธรรมสังเวชสงบอยู่ นี่คือสมถะที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ

         ส่วนสมถะที่เกิดขึ้นด้วยการฝึกหัด หมายถึงการปรารภกรรมฐานบทใดบทหนึ่งเป็นอารมณ์ จนจิตได้เข้าประสบกับอารมณ์ของกรรมฐานนั้นๆ และนำให้จิตรู้สึกนึกคิดพิศวงงงงันอยู่ในอารมณ์อันเดียว มีอุปมาเหมือนคนเดินทาง ขณะเมื่อสะดุดก้อนหินหรือท่อนไม้ถึงกับแตกเจ็บปวดเป็นกำลัง จิตก็จะถอนจากความเพลินและสอดส่ายไปในอารมณ์อื่น กลับเข้ามารวมจดจ่ออยู่ที่ความเจ็บปวดเท่านั้น รวมความว่า ลักษณะที่จิตถอนจากอารมณ์ภายนอกเข้ามารวมเป็นเอกัคคตาอยู่ภายในจุดเดียว จะโดยบังเอิญก็ดี โดยฝึกหัดให้เกิดขึ้นก็ดี เรียกว่า สมถะ

ที่มา
http://buddhist.freehomepage.com/chan.htm

178
ธรรมะ / คำสอนของฮวงโป 3/4
« เมื่อ: 06 มิ.ย. 2554, 08:57:48 »
ต่อจากตอนที่ 2/4
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23217
=========================

๑๙. แดนแห่งสิ่งล้ำค่า

ในวันแปดค่ำของเดือนที่สิบ ท่านครูบาได้กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ..

ลัทธิที่มีชื่อว่า นครแห่งมายา นั้น ได้กล่าวถึงยานสองอย่าง ภูมิสิบแห่งการก้าวหน้าของโพธิสัตว์ และการตรัสรู้เต็มที่สองแบบ เรื่องทั้งหมดนี้ เป็นคำสอนที่มีอิทธิพลในการเร้าความสนใจของประชาชน แต่แล้วมันก็ยังคงเป็นเพียงสิ่งของในนครแห่งมายา สมชื่อของมันอยู่นั่นเอง

ถิ่นที่เรียกว่า แดนแห่งสิ่งล้ำค่านั้น (ถ้ามีจริง) ก็คือ จิต จริงแท้ซึ่งเป็น เนื้อแท้ดั้งเดิมของพระพุทธเจ้า และเป็นขุมทรัพย์แห่งสภาวะอันแท้จริงของพวกเราเอง เพชรพลอยเหล่านี้ วัดหรือตวงไม่ได้ สะสมให้มากขึ้นก็ไม่ได้

เมื่อพระพุทธะหรือสามัญสัตว์ทั้งหลายเอง ก็ยังไม่มี และสิ่งซึ่งจะเป็นตัวตนผู้ทำหรือตัวตนผู้ถูกกระทำ ก็ยังไม่มีเสียเองแล้ว นครแห่งสิ่งล้ำค่าจะมีได้ที่ไหนอย่างไรเล่า ?

 ถ้าพวกเธอถามว่า “เอาละครับ นครแห่งมายา มีอยู่มากพอแล้ว ส่วนแดนแห่งสิ่งล้ำค่านั้นเล่า มันอยู่ที่ไหนกัน ?”ดังนี้ ฉันขอตอบว่า มันเป็นถิ่นซึ่งไม่มีทิศทางที่ไม่อาจชี้ให้แก่เธอได้ เพราะว่าถ้ามันเป็น สิ่งที่อาจจะชี้ได้ มันก็ต้องเป็นถิ่นที่มีอยู่ในอวกาศมิใช่หรือ เมื่อเป็นดังนี้ มันก็ไม่อาจจะเป็นแดนแห่งสิ่งล้ำค่าที่จริงแท้อะไร ๆ ไปได้เลย อย่างมากที่สุดที่เราจะพูดได้ ก็คือว่ามันอยู่แค่จมูกนี่เอง มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะระบุตรง ๆ ลงไปได้ก็จริง แต่เมื่อใดพวกเธอมีความเข้าใจซึมซาบถึงเนื้อแท้ของมันอยู่อย่างหุบปากเงียบ พูดอะไรไม่ออกแล้ว มันก็อยู่ที่ตรงนั้นแหละ


ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=256.0

  :090: แดนแห่งสิ่งล้ำค่า มันอยู่แค่จมูกนี่เอง

179
นิทานเซน : ตรรกะในการใช้ชีวิต
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   25 พฤษภาคม 2554 05:35 น.


       มีชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมเสื้อผ้าเก่าขาด ท่าทางเฉื่อยชา เอาแต่นั่งทอดหุ่ยปล่อยให้แสงแดดโลมเลียร่างกาย สลับกับหาวหวอดๆ เป็นระยะ
       
       เมื่ออาจารย์เซนเดินผ่านมาพบคนผู้นี้เข้า จึงเกิดความประหลาดใจจนต้องเอ่ยถามว่า "พ่อหนุ่ม อากาศดีๆ ในฤดูกาลที่นานๆ จะเวียนมาถึงเช่นนี้ เหตุใดเอาแต่มานั่งเปล่าประโยชน์ ใยไม่ไปลงมือทำสิ่งที่ต่างๆ ควรทำ เจ้าไม่เสียดายช่วงเวลาดีๆ เช่นนี้หรอกหรือ?"
       
       ชายหนุ่มถอนใจครั้งหนึ่ง พลางตอบว่า "บนโลกใบนี้ นอกจากร่างกายแล้ว ไม่มีสิ่งใดเป็นของข้าสักอย่าง เช่นนั้นใยต้องสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจไปกระทำสิ่งต่างๆ ด้วยเล่า?"
       
       "เจ้าไม่มีบ้านหรือ?" อาจารย์เซนถาม
       "ไม่มี หากมีบ้านก็ต้องเป็นภาระคอยดูแล เช่นนั้นไม่ต้องมีเสียเลยดีกว่า" ชายหนุ่มตอบ
       
       "เจ้าไม่มีคนที่เจ้ารักหรือ?" อาจารย์เซนถามต่อ
       "ไม่มี หากมีคนรัก เมื่อหมดรักก็กลายเป็นความเกลียดชัง สู้ไม่มีเสียเลยดีกว่า" ชายหนุ่มว่า
       
       "แล้วมิตรสหายเล่า มีหรือไม่?" อาจารย์เซนไม่ละความพยายาม
       "ไม่มี เมื่อมีเพื่อน สักวันก็ต้องสูญเสียเพื่อน แล้วจะมีไปทำไม" ชายหนุ่มท้วง
       
       "เจ้าไม่คิดจะทำงานหาเงินบ้างหรือ?" อาจารย์เซนยังคงถามต่อไป
       "ไม่คิด ได้เงินมาสุดท้ายก็ต้องจับจ่ายออกไป เช่นนั้นใยต้องไปสิ้นเปลืองพลังงานหามาตั้งแต่ต้น" ชายหนุ่มกล่าวแย้ง
       
       "อ้อ" สุดท้ายอาจารย์เซนพยักหน้ารับรู้ แต่ยังคงกล่าวว่า "ท่าทางข้าต้องรีบไปหาเชือกมามอบให้เจ้าสักเส้นหนึ่งแล้ว"
       "เหตุใดต้องมอบเชือกให้ข้า?" ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัยใจ
       "ให้เจ้าผูกคอตาย" อาจารย์เซนตอบ
       ชายหนุ่มได้ยินก็ถามกลับไปด้วยความโมโหว่า "ท่านอยากให้ข้าตายหรือไง?"
       
       อาจารย์เซนจึงตอบว่า "ถูกแล้ว เพราะคนเราทุกคนล้วนต้องตาย หากคิดตามตรรกกะของเจ้า ในเมื่อสุดท้ายต้องตายแล้วคนเราจะเกิดมาทำไม และหากเป็นเช่นนั้นก็แปลว่าการมีชีวิตมีตัวตนของเจ้าในวันนี้นับเป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์ด้วยเช่นกัน ก็ในเมื่อเปล่าประโยชน์แล้ว ใยไม่รีบผูกคอตายไปเสียเลยเล่า?"
       

       ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4
http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000063255

180
ได้ข่าวจากเพื่อนว่า พรุ่งนี้วันจันทร์ที่ 6/6/54 ดาวราหูจะยก
ส่วนเวลา 15.00 น.ได้มาจากเวป
http://www.masteryuk.net/site/index.php?t=1167&jfile=viewtopic.php&option=com_jfusion&Itemid=30
รายละเอียดการยก(เข้า-ออก)ในราศีอะไรยังไม่ทราบ ต้องถามโหร
====================
ส่วนประวัติและเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพระราหู ค้นหาในเวปบางพระพบว่ามีมากมาย

เทวกำเนิดของพระราหู
กำเนิดของพระราหูมีอยู่ด้วยกัน๒ตำนานด้วยกันคือ ๑.พระราหูถูกสร้างขึ้นมาโดยพระอิศวร หรือพระศิวะจากหัวกะโหลก ๑๒ หัว บดป่นเป็นผง ห่อผ้าสีทอง แล้วประพรมด้วยน้ำอัมฤตเสกได้เป็นพระราหู มีสีวรกายสีนิลออกไปทางทองแดง ทรงสุบรรณ (ครุฑ) เป็นพาหนะ มีวิมานสีนิลอยู่ในอากาศ ประจำอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ(ทิศพายัพ) และแสดงถึงเศษวรรคที่ ๑ (ย ร ล ว) ๒.พระราหูเป็นโอรสของท้าววิประจิตติและนางสิงหิกาหรือนางสิงหะรา เมื่อเกิดมามีกายเป็นยักษ์และมีหางเป็นนาค

พระราหูเป็นเทวดานพเคราะห์ประเภทบาปเคราะห์ ให้ผลในทางลุ่มหลงมัวเมา พระราหูเป็นมิตรกับพระเสาร์และเป็นศัตรูกับพระพุธอันมีเหตุตามนิทานชาติเวร

ในอดีตชาติ พระราหูได้เกิดมาเป็นน้องร่วมท้องเดียวกันกับเทวดานพเคราะห์อีก๒องค์ คือ พระอาทิตย์ และพระจันทร์ โดยพระราหูเกิดเป็นน้องสุดท้อง ครั้งหนึ่ง พระราหูได้ร่วมทำบุญถวายพระที่มารับบิณฑบาตร่วมกับพี่ทั้ง๒คน พระอาทิตย์ตักบาตรในครั้งนั้นด้วยภาชนะทอง พระจันทร์ตักบาตรด้วยภาชนะเงิน ส่วนพระราหูตักบาตรด้วยภาชนะที่ทำมาจากกะลามะพร้าว เมื่อทั้ง๓พี่น้องได้มาเกิดเป็นเทวดานพเคราะห์ พระอาทิตย์จึงมีรัศมีและวรรณะเปล่งปลั่งดุจทองคำ พระจันทร์มีรัศมีและวรรณะเป็นสีขาวสว่างดุจเงิน และพระราหูมีรัศมีและวรรณะเป็นสีนิลออกไปทางทองแดง (แต่ในบางตำราก็ว่ากายของพระราหูนั้นมีสีดำบ้าง สีทองบ้าง แตกต่างกันไป)

สาเหตุที่พระราหูมีกายเพียงครึ่งท่อน
 
มีเรื่องเล่าว่า เมื่อครั้งที่เหล่าเทวดาได้ทำพิธีกวนเกษียรสมุทรเพื่อให้ได้น้ำอัมฤตนั้นมีทั้งเทวดาและยักษ์ทั้งหลายเข้าร่วมทำพิธี พระราหูได้แอบอยู่ในกลีบเมฆ เมื่อทำพิธีสำเร็จพระราหูจึงรีบลอบดื่มน้ำอัมฤตที่เกิดขึ้นนั้น พระอาทิตย์และพระจันทร์ได้เห็นเข้าจึงรีบเอาความนั้นไปทูลบอกพระนารายณ์หรือพระวิษณุ พระนารายณ์ทราบจึงขว้างจักรตัดไปถูกกลางตัวพระราหูขาดกลายเป็นสองท่อน แต่ด้วยว่าน้ำอัมฤตที่พระราหูได้ดื่มนั้นไหลไปจนถึงกลางตัวพระราหูแล้วพอดี ครึ่งบนของพระราหูที่ถูกตัดออกจึงกลายเป็นอมตะ ส่วนครึ่งร่างนั้นได้กลายมาเป็นพระเคราะห์องค์ที่๙แห่งเหล่าเทวดานพเคราะห์ซึ่งก็คือ พระเกตุ จากนั้นเมื่อครั้งใดที่พระราหูได้พบเจอพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ พระราหูก็จะจับมากลืนกินด้วยความโกรธแค้นที่เทวดาทั้งสององค์นำเรื่องไปทูลพระนารายณ์ แต่อมไว้ในปากได้ไม่นานก็ต้องคายออกมาเพราะทนความร้อนและรัศมีของเทวดานพเคราะห์ทั้งสองไม่ได้ เกิดเป็นเหตุของปรากฏการณ์สุริยุปราคาและจันทรุปราคาตามคติความเชื่อของคนโบราณ

ในโหราศาสตร์ไทย พระราหูถูกแทนด้วยสัญลักษณ์ ๘ และด้วยเหตุที่สร้างขึ้นมาจากหัวกะโหลก ๑๒ หัว จึงมีกำลังพระเคราะห์เป็น ๑๒


อ้างอิง
อุระคินทร์ วิริยะบูรณะ และคณะ.พรหมชาติ ฉบับหลวง. กรุงเทพฯ:สำนักงาน ลูก ส.ธรรมภักดี, ม.ป.ป.
เทพย์ สาริกบุตร และคณะ.พรหมชาติ ฉบับราษฎร์. กรุงเทพฯ:สำนักงาน ลูก ส.ธรรมภักดี, ม.ป.ป.

http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=6671.msg53682

181
ธรรมะ / คำสอนของฮวงโป 2/4
« เมื่อ: 04 มิ.ย. 2554, 10:54:32 »
ต่อจากตอนที่ 1/4
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23213
=========================

๑๐. การแสวงหา

เมื่อชาวโลกได้ฟังคำกล่าวว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงถ่ายทอด ธรรม คือ จิต, เขาก็พากันเหมาเอาว่า มีอะไรบางสิ่ง ซึ่งจะต้องลุถึงหรือเห็นแจ้งต่างหากไปจาก จิต และเพราะเหตุนั้น เขาจึงใช้ จิต เพื่อการแสวงหา ธรรม โดยไม่รู้เลยว่า จิต และ ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาพากันแสวงหานั้น เป็นสิ่งๆ เดียวกัน

จิต ไม่ใช่สิ่งซึ่งอาจนำไปใช้แสวงหาสิ่งอื่น นอกจาก จิต เพราะ ถ้าทำดังนั้น แม้เวลาล่วงไปแล้ว เป็นล้าน ๆ กัปป์ วันแห่งความสำเร็จก็ยังไม่โผล่มาให้เห็นอยู่นั่นเอง, การทำตามวิธีนั้นไม่สามารถจะนำมาเปรียบกันได้กับวิธีแห่งการขจัดความคิดปรุงแต่งโดยฉับพลัน ซึ่งนั่นแหละคือตัว ธรรม อันเป็นหลักมูลฐาน.

เหมือนอย่างว่านักรบคนหนึ่ง เขาลืมไปว่าได้ประดับไข่มุกของตนไว้ที่หน้าผากตัวเอง เรียบร้อยแล้ว กลับเที่ยวแสวงหามันไปในทุกแห่ง เขาอาจจะเที่ยวหาไปได้ทั่วทั้งโลก แต่ก็มิอาจจะพบมันได้, แต่ถ้าเผอิญมีใครสักคนหนึ่งซึ่งรู้ว่านักรบคนนั้นทำผิดอยู่อย่างไร แล้วไปชี้ไข่มุกที่หน้าผากของเขา ให้เขาเห็น นักรบคนนั้นก็จะเกิดความรู้แจ้งขึ้นในทันทีทันใดนั้น ว่าไข่มุกได้อยู่ที่นั่นแล้วตลอดเวลา.

ข้อนี้ฉันใด เรื่องของพวกเธอก็เป็นฉันนั้น คือถ้าพวกเธอซึ่งเป็นนักศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้น กำลังสำคัญผิดเกี่ยวกับ จิต จริงแท้ของตัวเอง คือจับฉวยความจริงไม่ได้ว่า จิต นั่นแหละ คือ พุทธะ ดังนี้แล้ว พวกเธอก็จะต้องเที่ยวแสวงหาพุทธะนั้น ไปในที่ทุกหนทุกแห่ง เฝ้าสาละวนอยู่แต่กับการบำเพ็ญวัตรปฏิบัติ และการเก็บเกี่ยวผลของการปฏิบัติ มีประการต่าง ๆ มัวหวังอยู่แต่การที่จะลุถึงซึ่งความรู้แจ้ง โดยการปฏิบัติที่ค่อยๆ คือ ค่อยๆ คลาน ไปด้วยอาการเช่นนี้เท่านั้น. แต่แม้ว่าจะได้แสวงหา ด้วยความขยันขันแข็งอยู่ตลอดเวลาเป็นกัปป์ ๆ พวกเธอก็ไม่สามารถลุถึงทาง ทางโน้นได้เลย

วิธีการอย่างนี้ ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้กับวิธีการชนิดฉับพลัน กล่าวคือการขจัดความคิดปรุงแต่ง โดยอาศัยความรู้อันเด็ดขาด ว่าไม่มีอะไรเลย ที่จะตั้งอยู่อย่างไม่ต้องแปรผัน ไม่มีอะไรเลยที่ควรจะเข้าไปอยู่อาศัย ไม่มีอะไรเลย ที่ตั้งอยู่ในฐานะเป็นผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำ.

มันต้องทำโดยการป้องกัน ไม่ให้ความคิดปรุงแต่งเกิดขึ้นมาได้เท่านั้น ที่พวกเธอจะสามารถรู้แจ้งเห็นจริงต่อ โพธิ, และเมื่อเธอทำได้ ดังนั้น เธอก็จะเห็นแจ้งต่อ พุทธะ ซึ่งมีอยู่ใน จิต ของเธอเองตลอดเวลาได้จริง!

ความดิ้นรนตลอดเวลาเป็นกัปป์ ๆ เหล่านั้น จะพิสูจน์ตัวมันเองให้เห็นว่า เป็นความพากเพียรที่เสียแรงเปล่า อย่างมหึมา, เปรียบเหมือนกับเมื่อนักรบผู้นั้นได้พลไข่มุกของเขาแล้ว เขาก็เพียงแต่ค้นพบสิ่งซึ่งแขวนอยู่ที่หน้าผากของเขาเองมาตลอดเวลาแล้วเท่านั้น, และเหมือนกับการพลไข่มุกของเขานั่นเอง ที่แท้ก็ไม่มีอะรที่ต้องทำเกี่ยวกับความเพียรของเขา ที่ไปเที่ยวค้นหามันทุกหนทุกแห่ง. เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “โดยแท้จริงแล้ว เราตถาคต ไม่ได้ลุถึงผลอะไร จากการตรัสรู้ที่สมบูรณ และที่ไม่มีอะไรอื่นยิ่งกว่า.”

โดยทรงเกรงว่าประชาชนจะไม่เชื่อคำตรัสข้อนี้ พระองค์จึงทรงดึงความสนใจมายังสิ่งซึ่งมนุษย์เห็นได้ โดยการเห็น ๕ วิธี และสิ่งซึ่งมนุษย์พูดกันอยู่แล้ว ด้วยการพูด ๕ วิธีดุจกัน. ดังนั้น คำกล่าวนี้จึงมิใช่คำพูดพล่อย ๆ แต่ประการใดเลย แต่ได้แสดงถึงสัจจะอันสูงสุดทีเดียว.

ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=247.0

 :090: ธรรม คือ จิต จิต คือ พุทธ ไม่ต้องปรุงแต่ง = ว่าง

182
ธรรมะ / คำสอนของฮวงโป 1/4
« เมื่อ: 04 มิ.ย. 2554, 05:48:38 »
มีกระทู้ที่เกี่ยวข้องอยู่ 3 กระทู้ คือ
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=1790.msg
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=22729.msg
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23210
-----------------------------------------


คำสอนของฮวงโป
 
 พุทธทาสภิกขุ แปลเรียบเรียง

 พิมพ์ครั้งที่ - พ.ศ.- ธรรมสภาจัดพิมพ์
 ๑๓๕ หน้า ปกอ่อน
 
 คำสอนของฮวงโปนี้ เรียกในภาษาจีนว่า "ฮวงโป ฉวน สิ่น ฟา หยาว" มร. John Bolfeld แปลออกเป็นภาษาอังกฤษ เรียกว่า The Zen Teaching of Huang Po
 
 พวกเราเห็นว่าควรแปลออกสู่ภาษาไทย จึงทำให้เกิดหนังสือเล่มที่ท่านถืออยู่นี้
 ผู้ที่เคยอ่านหนังสือเว่ยหล่างมาก่อนแล้ว พึงทราบว่า ฮวงโป เป็นหลานศิษย์ของเว่ยหล่าง
 
 กล่าวคือ เมื่อเว่ยหล่าง สังฆปริณายกองค์ที่ ๖ แห่งนิกายเซ็น ได้รับการถ่ายทอดธรรมโดยตรง ชนิดที่เรียกว่า จากจิตถึงจิต จากพระสังฆปริณายกองค์ที่ ๕ แล้ว
 
 นิกายเซ็นก็แตกออกเป็น ๒ สาย สายเหนือนำโดย ชินเชา คู่แข่งของเว่ยหล่าง สอนวิธีปฏิบัติการตรัสรู้อย่างเชื่องช้าคือ ค่อยเป็นค่อยไป เจริญรุ่งเรืองอยู่พักหนึ่งโดยราชูปถัมภ์ของพระจักรพรรดิ ตั้งอยู่ไม่นานก็เงียบหายไป ส่วนสายใต้ คือสายของเว่ยหล่าง สอนวิธีการปฏิบัติที่เป็นการตรัสรู้ฉับพลัน (จนได้นามว่า Sudden School) ได้เจริญรุ่งเรืองและขยายตัวออกมาจนแตกเป็นนิกายย่อยๆลงไป
 
 ศิษย์คนที่สำคัญองค์หนึ่งของเว่ยหล่างมีนามว่า มา ตสุ (ตาย อาย) ถึงแก่มรณภาพเมื่อ ค.ศ.๗๘๘ สำหรับฮวงโปนี้ ถือกันว่าเป็นศิษย์ช่วงที่หนึ่งหรือช่วงที่สอง ต่อจากท่าน มา ตสุ เป็นสองอย่างอยู่ และกล่าวกันว่าถึงแก่มรณภาพในปี ค.ศ.๘๕๐ ท่านได้ถ่ายทอดคำสอนนิกายนี้ให้แก่ อาย สื่น ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งนิกายหลินฉิ หรือที่เรียกอย่างญี่ปุ่นว่า รินซาย อันเป็นนิกายที่ยังคงมีอยู่ในประเทศจีน และแพร่หลายที่สุดในประเทศญี่ปุ่น โดยเหตุนี้ ฮวงโป จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ก่อกำเนิดพุทธศาสนานิกายนี้

 
ที่มา
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=417.0

183
พุทธทาสกับมหายาน (เซ็น)

สัมภาษณ์ ธีรทาส
ตีพิมพ์บางส่วนใน เสขิยธรรม ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๑๘ เดือนกรกฎาคม-กันยายน ๒๕๓๖
ภาคสมบูรณ์ ตีพิมพ์ที่ สารสยาม ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๘, ๑๕ สิงหาคม ๒๕๔๓
ขอบคุณ เว็บไซต์เครือข่ายชาวพุทธเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคมไทย (ธรรมานุรักษ์)

"ธีรทาส" หรือคุณธีระ วงศ์โพธิ์พระ เจ้าของงาน ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการจัดพิมพ์เผยแพร่ผลงานของปราชญ์มหายานท่านสำคัญ ๆ ของเมืองไทย และรู้จักมักคุ้นกับท่านพุทธทาสเป็นอย่างดีในแง่การศึกษาทางมหายานวิทยา ปัจจุบัน "ธีรทาส" ปักหลักใช้โรงเจแห่งหนึ่งย่าน คลองเตยเพื่อเผยแพร่ธรรม



อาจารย์ได้คุยกับท่านพุทธทาสเรื่องเซ็น เรื่องมหายานอย่างไรบ้าง

          ผมพบท่านพุทธทาสที่เชียงใหม่ เมื่ออายุ ๒๓-๒๔ และที่กรุงเทพฯ ตอนนั้นท่านมาอบรมผู้พิพากษาที่กรุงเทพฯ ทุกปี มาทีหนึ่งก็เดือนหรือเดือนกว่า ผมติดตามบริการท่าน

          ตอนพบท่านท่านก็ดีใจ ผมบอกท่านว่า สูตรของเว่ยหล่าง ที่ท่านอาจารย์แปล เตี่ยสอนผมตั้งแต่อายุ ๘-๙ ขวบแล้ว ท่านก็แปลกใจ "๘-๙ ขวบ เตี่ยสอน สอนยังไง" ผมก็ท่องโศลก "กายคือต้นโพธิ์ ใจคือกระจกเงาใส..." ให้ฟัง ท่านก็ถามต่อว่า "ทำไมเมืองไทยรู้เรื่องเซ็นตั้งแต่โน่นเหรอ" ผมบอก "ใช่ เขามาก่อนเตี่ยผมแล้ว อาจารย์ ที่มาแล้วสอนไม่ได้ ไม่อาจถ่ายทอดเป็นภาษาไทย เพราะพูดจีนกลาง ตอนนั้นสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย จีนกลางใช้ไม่ได้ รวมทั้งแต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน" มีพระอาจารย์เซ็นมาจากเมืองจีน ๓ องค์ ยังค้นชื่อที่แน่ชัดไม่พบ แต่พอจะได้หลักฐานเค้ามูลบ้างแล้ว พวกนี้มาถึงก็ปลงสังขารตกว่า ถ้าสอนได้ก็สอน สอนไม่ได้ก็เอาตัวรอดดับขันธ์ไป ไม่กลับเมืองจีน นี่รุ่นเก่าๆ บอกต่อๆ มาว่า อาจารย์ ๓ องค์หายไปในเมืองไทยได้อย่างไร

          ๑. รูปหนึ่งไปนั่งดับแห้งตายอยู่ในถ้ำเขาน้อย ท่าม่วง (กาญจนบุรี) พี่สาวผมทันเห็นองค์นี้ตอนอายุ ๙ ขวบ ช่วงนั้นฝนไม่ตกมา ๓-๔ ปี ชาวบ้านหาว่าหลวงพ่อแห้งที่อยู่บนถ้ำ ทำให้ฝนไม่ตก จึงอัญเชิญมาเข้ากองฟืนซะ แต่ศพไม่เน่า เพราะเซ็นเก่งเรื่องนี้ เขามีสูตรวิธีทำได้ แต่พวกฉันไม่กล้าแปล เพราะกลัวคนฆ่าตัวตาย

          ๒. หลวงพ่อกวงโพธิ์ อยู่ในถ้ำเมืองกาญจน์ มีพระธุดงค์มาเล่าให้ฟังว่า ธุดงค์เข้าไปในแดนกะเหรี่ยง มีกะเหรี่ยงที่พูดภาษาไทยได้บอกว่า มีถ้ำแปลก เขาบอกว่าคนนั่งตาย นอนตาย ตัวแห้งแข็ง พระท่านก็สงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร เข้าไปแล้วไม่ออก (เรื่องนี้ ในฝ่ายเซ็นมีคำว่า "ป่าช้าเซ็น" เข้าไปแล้วไม่ออก หมายถึงตั้งใจเข้าไปตาย) ท่านก็เลยให้กะเหรี่ยงคนนั้นพาไป และถ่ายรูปหลวงพ่อกวงโพธิ์ออกมาได้ ศพนั่งแห้งจนนึกว่าปั้น แทบไม่น่าเชื่อ เรื่องนี้ทำให้พอจะจับเค้าได้ว่า สมัยก่อนพระมหายานมาเมืองไทย ก็จะเข้าเมืองกาญจน์หมด

          ๓. อีกองค์หนึ่ง มีเชื้อพระวงศ์ชื่ออะไรก็จำไม่ได้ บอกว่า ปู่ของเขาแล่นเรือออกไปทางสมุทรปราการ ยิงนก ตกปลาเล่น พอ ลองเอากล้องส่องทางไกล ไปเจอพระนั่งนิ่งอยู่ไกลๆ อีก ๕ วันกลับมา ก็ยังเห็นพระนั่งอยู่อย่างนั้น จึงแวะไปดู สืบรู้ว่าเป็นพระมาจากเมืองจีน ท่านบอกว่าตั้งใจจะลาโลกแล้ว เพราะเจตนาจะมาสอนธรรมในเมืองไทย แต่ไปไม่รอด เพราะติดเรื่องภาษา เจ้าองค์นั้นจึงนิมนต์หลวงพ่อไปอยู่กรุงเทพฯ แล้วบอกว่าจะหาช่วยวิธีถ่ายทอดธรรมะให้ แต่อยู่ได้ไม่ถึง ๒ อาทิตย์ ท่านก็บอกว่าอยากจะกลับที่เดิม ไม่ช้าพระรูปนั้นก็มรณภาพไปนี่เป็น ๓ องค์ที่ได้เค้าว่าเป็นพระเซ็นแน่ๆ

ที่มา
http://www.buddhadasa.org/html/articles/1_bdb/bdb-zen001.html

184
เนื่องจากเป็นผู้ศึกษามือใหม่ เป็นต้องคัดลอกบทความของท่านอื่นมาศึกษาและแบ่งปัน แต่เข้าใจว่าเป็นธรรมะที่แสดงโดยองค์พระปฐมบรมศาสดา
หากพบว่าผิดเพี้ยน บิดเบียนไป โดยได้ชี้แนะด้วยเทอญ :054:
===========================
การเจริญพระกรรมฐาน: สมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา

1. สมถภานา

สมถะภาวนาและวิปัสสนาภาวนา แท้ที่จริงอยู่ควบคู่กันไป จะแยกทำอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านสอนแยกตามความหมายตามตัวอักษรเพื่อความเข้าใจเท่านั้น ในทางปฏิบัติแล้วเป็นไปด้วยกัน ถ้าเอาอย่างหนึ่งอย่างใดก็ไม่สำเร็จมรรคผล แม้ผู้ที่คิดว่าเจริญวิปัสสนาญาณอย่างเดียวนั้น ท่านที่เจริญวิปัสสนาญาณได้ ก็ต้องมีจิตเป็นสมาธิเสียก่อน จึงพิจารณาเป็นวิปัสสนาญาณ เห็นทุกข์โทษของขันธ์ 5 ได้ ถ้าไม่มีสมาธิ ก็ไม่สามารถคิดวิปัสสนาตามความต้องการได้ เพราะจิตคิดฟุ้งซ่าน ไปเรื่องทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่ชอบใจ หรือวิตกกังวล ตามประสาปุถุชน

สมถะพระกรรมฐานมี 40 กอง ทุกกองทำเป็นวิปัสสนาได้ทุกรูปแบบ ถ้าฉลาดทำเป็นไตรลักษณ์ เป็นอุบายเพื่อรักษากำลังใจให้สงบจากอารมณ์ชั่วคือนิวรณ์ นิวรณ์มี 5 ประการดัง

1) มัวเมาในสมบัติโลก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส พอใจในคน สิ่งของที่หลงรัก
2) ความโกรธ ความไม่พอใจ รำคาญ พยาบาท
3) ความง่วงเหงา หาวนอน ในขณะที่ทำสมาธิภาวนา
4) จิตความฟุ้งซ่าน วิตกกังวล ก็ระงับโดยตั้งอารมณ์จิตไว้เฉพาะลมหายใจเข้าออกหรือพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ให้เป็นอารมณ์เดียว
5) สงสัยในผลของการปฏิบัติ สมาธิ ภาวนา ว่าจะมีผลดี หรือไม่มีผล เป็นวิจิกิจฉาลังเลใจอยู่ในสังโยชน์ กิเลสเครื่องร้อยรัดในข้อ 2 ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป ไม่มีที่จบสิ้น


2. วิปัสสนาภาวนา

คือการค้นคว้าหาความจริงของร่างกาย ว่าการเกิดเป็นคนนั้น เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ เกิดมาแล้ว แก่ ทรุดโทรม ต้องเหนื่อยยากลำบากกายใจ หาเลี้ยงชีวิตครอบครัว มีป่วยไข้ ไม่สบาย ต้องต่อสู้กับอารมณ์ของคน ภัยธรรมชาติสิ่งแวดล้อม พอจะสบายหน่อยก็หูตาฝ้าฟาง ฟันร่วง กระดูกกรอบ เจ็บป่วย ตายในที่สุด ถ้าร่างกายยังแข็งแรงดีอยู่ ก็ดูคนป่วยคนตาย เราจะหนีไม่พ้นภาวะแบบนี้


ที่มา
http://www.sangthipnipparn.com/luktampratanporn/kanjaroenprakamatan.html


185
บรรลุธรรมได้ไหม...ถ้าไม่บวช (มิลินทปัญหา การ์ตูน) 1/4





ที่มา
http://www.luangpee.net/forum/?PHPSESSID=feaq03egg54pcuml0pgtmb5ps5&topic=5803.0

186
ธรรมะ...เรียนลัดไม่ได้ (มิลินทปัญหา การ์ตูน) 1/4





ที่มา
http://www.luangpee.net/forum/?PHPSESSID=gfii95qqhc0900v2qp5bpqa417&topic=5798.0

187
ต่อจากตอนที่4
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23172
======================
<<หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก พระนครศรีอยุธยา>>5/5(จบ)

เรื่องราวเกี่ยวกับปาฏิหาริย์ของวัตถุมงคลของหลวงพ่อจงได้เกิดประสบการณ์ให้เห็นเมื่อคราวที่เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ตลาดบ้านแพน อำเภอเสนา ในคืนวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2529

หลังจากยามท้องถิ่นของตลาดบ้านแพนเคาะแผ่นเหล็กบอกเวลา 24.00 น. ผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียวก็มีเสียงตะโกนขึ้นจากผู้คนที่มีบ้านเรือนอยู่ในซอยบางปูว่า "ไฟไหม้ ๆๆ" จากเสียงตะโกนนั้นเองได้สร้างความโกลาหลขึ้นโดยทั่วไป ในขณะเดียวกันที่เปลวไฟลุกขึ้นอย่างโชติช่วงนั้น เสียงปะทุจากเชื้อเพลิงก็ดังเปรี๊ยะ ๆ ติดต่อกันมิได้ขาดระยะ เพราะย่านนั้นเป็นเรือนไม้เก่า ๆ ย่อมเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี กว่าจะสกัดให้เปลวไฟสงบลงได้ก็เมื่อเวลาใกล้ฟ้าสางแล้ว จากการสำรวจความเสียหายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ปรากฏว่ามีบ้านเรือนเสียหายทั้งสิ้น 46 หลัง ค่าเสียหายประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นการสูญเสียจากไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่สุดของตลาดบ้านแพน

เมื่อทุกอย่างสงบเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่ามีบ้านเรือนจำนวนหนึ่งรอดพ้นจากความพินาศไปได้ ทั้ง ๆ ที่บ้านเหล่านั้นอยู่ติดกับบ้านหลังอื่น ๆ ที่ถูกไฟเผาผลาญไปหมดแล้ว

คุณแก้ว ขมคิ้ว เจ้าของร้านขายของชำและอาหารกระป๋องที่ชื่อร้าน "แก้ว" ตั้งอยู่บ้านเลขที่ ก. 437/2 ตรงข้ามตลาดสดเทศบาลเมืองเสนา ในบ้านของคุณแก้วนอกจากจะมีภาพแววหางกระยางของหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ นครสวรรค์แล้ว คุณแก้วยังเป็นผู้ที่มีความศรัทธาเชื่อมั่นในหลวงพ่อจงยิ่งนัก ดังจะเห็นได้จากการที่คุณแก้วห้อยเหรียญหลวงพ่อจงรุ่นหยดน้ำเนื้อเงินลงถม อยู่ที่คอเป็นประจำเพียงเหรียญเดียว ทั้ง ๆ ที่คุณแก้วก็เป็นนักนิยมพระ และมีพระเครื่องอื่น ๆ จำนวนไม่น้อย แต่คุณแก้วก็ห้อยเหรียญหลวงพ่อจงเพียงเหรียญเดียว

"เหรียญหลวงพ่อจงนั้นเมตตามหานิยมและแคล้วคลาดดีนัก ห้อยเพียงเหรียญเดียวก็พอ"

และความเชื่อในเรื่องนี้ก็ปรากฏเป็นจริงขึ้นเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ครั้งนี้ ดังรายละเอียดที่คุณแก้วได้เล่าให้ฟัง คือ...

หลังจากที่คุณแก้วเข้านอนได้สักพักใหญ่ ๆ ก็ต้องตกใจตื่นเมื่อได้ยินเสียงเอะอะอึกทึกที่ข้างบ้านพร้อมกับมีเสียงตะโกนว่า "ไฟไหม้ ๆๆ" คุณแก้วจึงรีบถลันออกไปดูที่หน้าต่างด้านหลังบ้าน ก็ได้เห็นเปลวไฟกำลังลุกฮือขึ้นที่บ้านไม้หลังหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับด้านหลังบ้าน เมื่อเห็นภัยกำลังจะมาถึงตัว คุณแก้วจึงรีบเก็บข้าวของสำคัญที่มีค่าเพื่อหนีไฟเสียก่อน ด้วยอารามตกใจภรรยาของคุณแก้วจึงหยิบโน่นคว้านี่ที่เป็นของจำเป็นและมีค่าพอที่จะหยิบฉวยได้ใส่ห่อผ้าเพื่อจำได้นำติดตัวหนีไฟไปด้วย

ส่วนคุณแก้วนั้นก็ย้อนกลับไปดูทิศทางของไฟอีกครั้งหนึ่ง ก็พบว่าในช่วงเวลา 2 - 3 นาทีนั่นเอง บ้านไม้หลังที่เป็นต้นเพลิงก็ถูกไฟไหม้จนท่วมหลังคา

คุณแก้วคิดว่าคราวนี้บ้านของเขาคงไม่อาจพ้นภัยได้แน่ จึงย้อนกลับเข้าไปในห้องช่วยภรรยาเก็บข้าวของต่าง ๆ ที่พอจะหยิบฉวยได้ทันใส่ห่อผ้า เพื่อรีบพากันหนีไฟออกจากบ้าน แต่ด้วยสัญชาตญาณของคนไทย เมื่อมีภัยถึงตัวก็ย่อมจะต้องระลึกถึงคุณพระคุณเจ้าเป็นที่พึ่ง คุณแก้วจึงหันหน้ากลับไปยังห้องนอนพร้อมกับยกมือขึ้นพนมรำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อันมีหลวงพ่อจงและหลวงพ่อปานเป็นที่สุด ตลอดจนบุพการีทั้งหลายที่ได้ล่วงลับไปแล้ว ขอให้คุ้มครองตนเองและครอบครัว พร้อมทั้งทรัพย์สินให้พ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ด้วยเถิด

ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-09.htm

188
อุทิศส่วนบุญให้คนตาย...จะได้รับหรือไม่?
มิลินทปัญหา ฉบับการ์ตูน






ที่มา
http://mblog.manager.co.th/intellect/th-42066/

189
ต่อจากตอนที่ 3
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23155

<<<หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก พระนครศรีอยุธยา>>>4/5

สุขภาพ

กล่าวกันทางด้านสุขภาพ หลวงพ่อจงมีสุขภาพอนามัยดีเลิศ โรคที่มีบ้างก็แค่หวัดธรรมดา กิจวัตรการฉันของท่านก็เช่นเดียวกับสงฆ์อื่นเปลี่ยนแต่เป็นว่าตอนเช้าหกโมง ท่านฉันข้าวต้มหมูชามขนาดกลางชามหนึ่ง น้ำชากาแฟไม่ฉันเลย ส่วนน้ำดื่มชอบน้ำต้มธรรมดา ๆ เท่านั้น อย่างอื่นไม่ดื่มเลย เคยติดยานัตถุ์และบุหรี่อยู่ 4 - 5 ปี แต่ต่อมาเห็นว่าเป็นเครื่องทำให้รำคาญรุงรัง เพราะต้องเอาติดย่ามไปด้วย ทำให้มีห่วง ท่านเลยตัดสินใจเลิก เป็นการตัดกังวล มีผู้ถามว่า ของสองสิ่งเป็นยาเสพติดมีฤทธิ์ชะงัด เลิกกับมันยากนัก มีคนอยากเลิก เลิกไม่ได้ ท่านมีวิธีขมังอย่างไร หลวงพ่อเพียงตอบยิ้ม ๆ

"...ตั้งใจอดจริง ก็ต้องทิ้งมันได้... ไม่มีอะไรในโลก ซึ่งเราตั้งใจทำและทำจริงแล้วจะทำไม่ได้ ทำได้ดีหรือไม่ สุดแต่กรรมและวาสนา หรือที่เรียกว่า แล้วแต่พระพรหมลิขิตไว้ประจวบเหมาะอย่างไรนั่นเอง..."

อย่างไรก็ดี เวลาเข้านอนของท่าน กลับไม่เป็นเวลาแน่นอนเสมอไป เว้นแต่อยู่ที่วัดของท่าน แต่ก็อีกนั่นแหละ หากมีผู้ไปเยี่ยมนมัสการ ท่านก็มักไม่ชอบที่จะจะหนีเข้านอนในเวลาราวสี่ทุ่มอันเป็นเวลาปกติ เพราะท่านชอบรับแขก และเกรงใจว่าเขาอุตส่าห์ไปหา ก็ควรต้อนรับคุยกันให้เขาได้รับสิ่งที่ต้องการสมปรารถนา จวบจนวัยย่าง 90 เป็นต้นมา ลูกศิษย์ลูกหาเกรงกันว่าสุขภาพของท่านจะร่วงโรยเกินไป จึงมักจะรู้ว่าไม่ควรรบกวนท่านเกินเวลากำหนดเข้าจำวัด

ก่อนนอน หลวงพ่อจงมักชอบเล่นกับแมว อุ้มมันตบหัวลูบหลังมันอยู่ราวสิบนาที จากนั้นศิษย์ทุบน่องทุบหลังอีกราวสิบถึงสิบห้านาทีเป็นอย่างมากจึงนอนหลับไปเลย วิธีนอนของท่านก็แปลก ตอนแรกจะนอนแบบก้มหลังโก้งโค้งพร้อมด้วยมีผ้าคลุมตลอดองค์ เป็นเช่นนี้ตลอดไป แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง แต่ก็จะกลับมาอยู่ในลักษณะนี้ จนถึงเวลาตื่นราวตีสี่ จากนั้นก็กระทำกิจวัตร คือปัดกวาดทั่วตลอดวัดด้วยตนเอง เสร็จก็พอดีได้เวลาเคาะระฆัง เรียกเป็นสัญญาณทำวัตรสงฆ์ร่วมด้วยภิกษุลูกวัด อย่างนี้เป็นนิจ


ที่มา
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23155

190
ธรรมะ / มิลินทปัญหา 11 (จบ)
« เมื่อ: 31 พ.ค. 2554, 11:23:34 »
ต่อจากตอนที่ 10
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23089
------------------------------------------------------
- ตอนที่ ๑๑ -

 มิลินทปัญหา วรรคที่ ๗

 ปัญหาที่ ๑ ถาม สติเกิดแต่อาการเท่าไร
      (เป็นสำนวนแปลของนายยิ้ม ปัณฑยางกูร จากหนังสือ "ปัญหาพระยามิลินท์" ฉบับหอสมุดแห่งชาติ)

     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า "ดูก่อนพระนาคเสน สติความระลึกหรือความจำ เกิดแต่อาการเท่าไร"
     พระนาคเสนทูลตอบว่า "ขอถวายพระพร เกิดแต่อาการ ๑๗ อย่างคือ

          (๑) เกิดแต่ความรู้ยิ่ง ดังผู้รู้ประวัติการณ์ที่ล่วง ๆ มาแล้ว ความรู้นั้นย่อมเป็นแนวให้ระลึกถึงเหตุการณ์แต่หลังได้

          (๒) เกิดแต่การที่ได้กระทำเครื่องหมายไว้

          (๓) เกิดแต่การได้ขยับฐานะสูงขึ้น ซึ่งเป็นเหตุให้นึก ให้จำกิจการที่ตนได้กระทำมาแต่หลัง

          (๔) เกิดแต่การได้รับความสุข ซึ่งชวนให้สาวเอากิจการที่ล่วงแล้วมานึก มาคิด เพื่อไต่สวนหาเหตุ

          (๕) เกิดแต่การได้รับความทุกข์ ซึ่งชวนให้หวนไปนึกถึงเหตุแห่งความทุกข์นั้น ๆ

          (๖) เกิดแต่การได้รู้เห็นสิ่งที่คล้ายกัน ซึ่งเป็นการเตือนให้จำอีกสิ่งหนึ่งได้

          (๗) เกิดแต่การรู้เห็นสิ่งที่ตรงกันข้าม เช่น เห็นสีขาว ทำให้นึกถึงสีดำได้

          (๘) เกิดแต่การได้รับคำเตือน

          (๙) เกิดแต่รู้เห็นตำหนิ หรือลักษณะทรวดทรง

          (๑๐) เกิดแต่นึกขึ้นได้โดยลำพัง

          (๑๑) เกิดแต่การพินิจพิเคราะห์

          (๑๒) เกิดแต่การนับจำนวนไว้

          (๑๓) เกิดแต่การทรงจำไว้ได้ตามธรรมดา

          (๑๔) เกิดแต่การอบรม เช่นผู้ที่กระทำใจได้แน่วแน่ ในเมื่อกระทำกิจการ สามารถรวบรวมกำลังใจมาคิด มานึก เฉพาะในกิจการอย่างนั้น แม้ว่ากิจการนั้น จะได้ผ่านหูผ่านตามานานแล้ว เมื่อมานึกมาคิดขึ้นในภายหลัง ก็ยังคงจำได้ระลึกได้

          (๑๕) เกิดแต่การได้จดได้เขียนไว้

          (๑๖) เกิดแต่การเก็บไว้

          (๑๗) เกิดแต่การเคยพบ เคยเห็น"....... "มากอย่าง"


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin11.php

191
<<<หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก พระนครศรีอยุธยา>>>3/5
ต่อจากตอนที่2/5
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23143
===========================
พระเกจิอาจารย์ร่วมสมัย

ในยุคสมัยไล่ไล่กัน มีพระเกจิที่มีศรัทธาเคารพเลื่อมใสในอิทธิบารมีของท่าน ยุคเดียวกับหลวงพ่อจงรุ่นราวคราวเดียวกันหลายองค์และแต่ละองค์มักได้รับนิมนต์ไปกระทำพิธีสงฆ์ เผยแพร่ธรรมบรรณาการในสถานที่ต่าง ๆ เกือบทั่วประเทศ มีหลวงโอภาสี (มรณภาพแล้ว) หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อเดิม วัดหนองบัว พิจิตร หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง สมุทรปราการ หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย สมุทรปราการ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อฟ้อน ลพบุรี ฯลฯ ซึ่งท่านเหล่านี้มีสมญาเป็นวลียกย่องจากบุคคลทั่วประเทศว่าเป็นเกจิอาจารย์ชั้นบรมครู

แต่ในกลุ่มนี้ ดูเหมือนหลวงพ่อจงจะเป็นผู้ได้จาริกเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ไปตะวันตกตะวันออกถี่และบ่อยหนยิ่งกว่าองค์อื่น เพราะท่านมีปณิธานแน่วแน่อยู่ว่า ได้รับนิมนต์มาเป็นต้องไป ไม่ว่าใกล้หรือไกล ท่านไม่เคยบ่นเบื่อหน่าย หรือบ่นว่าด้วยความรำคาญใจว่าถูกรบกวน ทั้งไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยขบในการเดินทาง และต้องไปกระทำพิธีใดตามคำอาราธนาที่เขามีปรารถนานิมนต์ท่านไป

เปี่ยมเมตตาและญานหยั่งรู้

หลวงพ่อจงขึ้นชื่อว่า เป็นอริยสงฆ์ผู้เปี่ยมด้วยสง่าราศีมาก ผิวพรรณวรรณะของท่านผ่องใส ดวงหน้าผุดผ่องด้วยละอองเลือด และเมลืองเรื่อไปด้วยรัศมีแห่งพระ แห่งความเมตตาฉายกราดอยู่ตลอดเวลา สายตาของท่านมองทุกคนไม่ว่ายากดีมีจน ผู้องอาจมีสง่าหรือผู้อาภัพหม่นหมอง ท่านมองทุกคนด้วยสายตาของมิตรผู้พร้อมจะเข้าช่วย และโดยมากผู้ที่วิงวอนขอให้ท่านช่วยปลดเปลื้องทุกข์ แม้ท่านเองต้องเสียสละเพียงไร ท่านก็ไม่เคยทำให้ผู้ขอผิดหวัง นอกจากสิ่งที่ท่านไม่มีและไม่อาจแสวงหาให้ได้หรือหมดหนทางช่วยเพราะผิดศีลผิดธรรม

ยิ่งกว่านั้น ท่านเป็นผู้มีอัธยาศัยอ่อนโยน พอใจในความอะลุ้มอล่วยไม่ต้องการให้ใครทะเลาะเบาะแว้งวิวาทแก่งแย่งชิงดีกันในทางผิดศีลธรรม หลวงพ่อจงถือว่าเป็นภารกิจอันหนักอึ้งซึ่งท่านจะต้องแบกไว้เสมอ แม้ว่าบางครั้งท่านจะต้องลำบากยากกาย เพื่อเสียสละในการเข้าโอบอุ้มช่วยคนทำถูก สิ่งที่ท่านหมั่นกระทำไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยก็คือ พอใจเกลี้ยกล่อมให้โอวาทแก่ผู้ประสบทุกข์ร้อนด้วยการแนะแนวทางที่ชอบที่ควรให้เอาไปมั่นประพฤติปฏิบัติ ท่านเป็นผู้มีภูมิปฏิภาณสูงส่ง สามารถรอบรู้จิตใจผู้ที่เข้าหาท่าน และรู้ว่าท่านพูดอย่างไรจึงจะเป็นที่สบอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของเขาประกอบกับท่านมีความรู้ในการดูลักษณะคนเป็นอย่างเยี่ยมยอด เพียงแต่เห็นดวงหน้า ท่าทางเดินเหินยืนนั่ง และพูดจาฟังน้ำเสียง ท่านก็จะหยั่งทราบได้ทันทีว่าบุคคลผู้นั้นมีสภาพฐานะเป็นอย่างไร และควรจะยึดถืออาชีพเป็นหลักธำรงชีวิตอย่างไรจึงจะมีฐานะมั่นคงสถาวรตามสมควรแก่อัตภาพ บุคคลนับเรือนหมื่นแสนที่ได้รับคำชี้แจงแนะนำจากหลวงพ่อจง แล้วเชื่อถือเอาไปปฏิบัติตามไม่ทอดทิ้ง ปรากฏว่าบุคคลเหล่านั้นมีอาชีพหลักแหล่งเป็นหลักฐานทำมาหากินคล่อง มีความสุขกายสบายใจตามอัตภาพอันสมควร


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-05.htm

192
วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7488 ข่าวสดรายวัน

ความหมายของเบี้ยแก้
คอลัมน์ พันธุ์แท้พระเครื่อง
ราม วัชรประดิษฐ์

สวัสดีครับท่านผู้อ่านข่าวสดที่เคารพ วันนี้เราจะพูดถึงความหมายของ "เบี้ยแก้" กัน เบี้ย ก็คือ เปลือกหอยที่พ่อค้าชาวอาหรับและเปอร์เซียโบราณที่ค้าขายแถบชายฝั่งทะเล นำเข้ามายังดินแดนสุวรรณภูมิ

เนื่องจากเปลือกหอยดังกล่าวมีความสวยงามและคงทน ในระยะแรกจึงถูกนำมาใช้เป็นเครื่องประดับ โดยนำมาจากหมู่เกาะมัลดีฟ และมีบางส่วนมาจากฟิลิปปินส์ ด้วย "หอยเบี้ย" เป็นสิ่งหายากและสวยงามพ่อค้าชาวต่างชาติจึงหามาแลกข้าวของสินค้าจนนิยมใช้กันเป็น "เงินตรา"

ในคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ที่เจริญในยุคพระ เวทและยุคมหากาพย์เรื่อยมา นั้น ได้ให้ความสำคัญกับ "หอยทะเล" โดยกล่าวถึงสังข์อสูรที่ลักลอบกลืนคัมภีร์พระเวทของพระพรหมลงไป ร้อนถึงพระนารายณ์ต้องตามมาล้วงคัมภีร์จากท้องหอยสังข์ จึงบังเกิดเป็นร่องพระดัชนีจากพระหัตถ์ขององค์นารายณ์บริเวณร่องส่วนท้อง

พราหมณ์อินเดียจึงเคารพและนำ "หอยสังข์" ที่มีต้นกำเนิดอยู่ในมหาสมุทรอินเดียมาประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ด้วยนับถือว่าเคยเป็นที่สถิตแห่งคัมภีร์พระเวท และมีรอยพระ หัตถ์พระนารายณ์ปรากฏอยู่

นอกจากนี้ หอยทะเลที่เรียกว่า "เบี้ย" ยังได้รับความเคารพจากพวกพราหมณ์ในฐานะสัญลักษณ์แห่ง "ศักติ" อันเป็นลัทธิที่บูชาเทวสตรี เช่น พระลักษมี พระอุมา พระสรัสวตี เรียกกันว่า "ภควจั่น" ซึ่งมาจาก ภควดี หมายถึง อิตถีเพศที่ควรเคารพบูชา ลักษณะของหอยเบี้ยนั้นพจนานุกรมของมติชนกล่าวถึงว่า เป็นหอยทะเลกาบเดี่ยว เปลือกแข็ง หลังอูมนูน ส่วนท้องแบนเป็นช่อง ปรากฏรอยขยักคล้ายฟันเล็กๆ บ้างรู้จักกันในชื่อ หอยจั่นหรือหอยจักจั่น และหอยพลู

สมัยก่อนเมื่อเบี้ยถูกนำมาใช้เป็นเงินตรา "เบี้ย" จึงมีความสำคัญและผูกพันกับคติความเชื่อว่าเป็นสิ่งที่สามารถใช้แก้บนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวาอารักษ์ ตลอดจนผีสางนางไม้ได้ เช่น ในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนได้กล่าวถึงตอนนาง เทพทองจะคลอดขุนช้างว่า "บ้างก็เสกมงคลปลายข้าวสาร เอาเบี้ยบนลนลานเหน็บฝาเกลื่อน" ดังนั้น คำว่า "เบี้ยแก้" เดิมจึงมาจากคำว่า "เบี้ยแก้บน" เนื่องจากใช้เป็นเงินบนบานศาลกล่าวและเกิดสัมฤทธิผลความหมายจึงพ่วงการแก้ไขจากร้ายให้กลายเป็นดี จึงมีอานุภาพทางแก้กันสิ่งอาถรรพ์ที่จะให้โทษ และทำให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ตน

โบราณาจารย์จะทำเบี้ยแก้โดยนำหอยเบี้ยมาบรรจุปรอท แล้วอุดด้วยชันโรง หุ้มด้วยแผ่นตะกั่วหรือผ้า แล้วนำมาถักด้วยเชือกทารักหรือยางมะขวิด ผ่านการปลุกเสกกำกับ ใช้ผูกเอวหรือห้อยคอ แก้คุณไสยโดยการแช่น้ำมนต์ดื่ม อาบ

"ปรอท" คือ แร่ธาตุชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติมีความหนักแต่เป็นของเหลว มวลของปรอทจะแน่นหนามากถึงขนาดลอยธาตุอย่างอื่นบนปรอทได้ และเปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิ แต่ก่อนจะใช้ปรอทในการแยกธาตุให้บริสุทธิ์ ดังนั้นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของปรอทก็คือ การแยกสิ่งที่แปลกปลอมให้ออกไปให้พ้นไป และยังใช้ในการรักษาโรคต่างๆ อีกด้วย คนโบราณจะโปรยปรอทไว้รอบๆ บ้าน เพื่อไล่ธาตุที่แปลกปลอม และเสนียดจัญไร

ส่วน "ชันโรง" นั้น คือรังของสัตว์มีปีกอยู่ในตระกูลผึ้งแต่ตัวมีขนาดเล็ก จะถ่ายมูลทำรังตามต้นไม้ กิ่งไม้ และใต้ดินทำนองปลวก มีลักษณะเหนียวคล้ายชัน สีน้ำตาลเข้ม นับเป็นวัสดุอาถรรพ์ที่นำมาใช้อุดไม่ให้ปรอทหนีออกจากตัวเบี้ย บางสำนักก็ใช้อุดใต้ฐานพระเมื่อบรรจุเม็ดกริ่ง แผ่นยันต์ หรือ พุทธาคมต่างๆ

เบี้ยแก้ เมื่อเขย่าจะดังขลุกๆ อันเป็นเสียงปรอทที่กรอกเข้าไปในตัวเบี้ยกลิ้งไปกลิ้งมา เนื่องจากสามารถหดและขยายตัวตามอุณหภูมิ หากเขย่าเบี้ยแก้ตอนอากาศร้อนจะไม่ค่อยได้ยินเสียงเพราะปรอทจะขยายตัว แต่ถ้าอากาศเย็นจะมีพื้นที่ว่างในตัวเบี้ยมากกว่า เสียงจะดังฟังชัด

เกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือทางด้านการทำ "เบี้ยแก้" ได้แก่ หลวงปู่รอด วัดนายโรง บางกอกน้อย กทม., พระพุทธวิถีนายก(บุญ ขันธโชติ) หรือหลวงปู่บุญ หลวงปู่ทอง หลวงปู่เพิ่ม หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว นครชัยศรี นครปฐม, หลวงปู่แขก วัดบางบำหรุ กทม., หลวงพ่อซำ อินทสุวัณโณ วัดตลาดใหม่ ฯลฯ

แต่ละสำนักล้วนแล้วแต่มีกรรมวิธีการจัดสร้างเบี้ยแก้ตามสูตรโบราณ และมีพุทธคุณเป็นที่ประจักษ์แก้ไขสิ่งเลวร้ายให้กลายเป็นดีสมดังชื่อจริงๆ ครับผม

ที่มา...ข่าวสด
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdOak14TURVMU5BPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1TMHdOUzB6TVE9PQ==

193
พอดีว่าได้เห็นชื่อ "บัว ปากช่อง"
ในกระทู้
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23128
เลยลองค้นดู ก็พบสิ่งที่สนใจจากท่าน เลยนำมาเสนอมาให้พี่น้องได้อ่านกัน
=====================
"พึ่งตัวเอง" จาก เสียงธรรมจากพระป่า"

หลวงปูดูลย์  ท่าน"สร้าง"คนด้วยการสอน และท่านได้สอน.  ไม่เหมือนใคร.!
หลวงปู่ดูลย์ท่านจะสอนในเฉพาะเบื้องต้น แล้วต่อจากนั้น ท่านจะสอนในแบบฉบับของท่าน 

คือ. นิ่งเฉย..!

ความรู้เบื้องต้น  คือหน้าที่ของผู้เป็นพระอาจารย์ หลวงปู่พระป่าผู้เฒ่าท่านได้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวนี้
ไม่ได้พร่องและตกหล่น

    แต่ต่อไปนั้น ย่อมเป็นหน้าที่ของผู้เป็นศิษย์  ที่พึงจักต้องแสวงหาไขว่คว้า
ดิ้นรนความรู้นั้นมา นึกคิดไตรตรองด้วยการช่วยตัวเอง. พึ่งตนเอง โดยมีหลวงปู่พระป่าผู้เป็นพระอาจารย์  คอยประคับประคอง 
เฝ้าจับตามองอยู่ทางเบื้องหลัง  นี่คือการสอยตามแบบฉบับของพระป่า

หลวงปู่พระป่า  ได้สอนแนะแนวทางการดำรงตนที่จะดำเนินชีวิตด้วย
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน   อันถือเป็นหน้าที่จักต้องปฏิบัติที่ ี่ธรรมชาติได้กำหนดสอนหมู่สัตว์

     หมู่สัตว์ย่อมดำเนินชีวิตโดยพึ่งตนเอง นับแต่ถือกำเนิดขึ้นมา ไม่ว่าจะจากครรภ์มารดาหรือถือกำเนิดออกพ้นมาจากเปลือกไข่
ไม่ว่าจะเป็นเต่า ปลา  จิ้งจก  ตุ๊กแก  และแม้แต่มดตัวเล็กๆ ที่ไต่อยู่ตามพื้นดินล้วนแต่ดำรงเลี้ยงชีพดำรงชีวิตพิ่งตนเอง
   โดยหลวงปู่พระป่าท่านได้ยกสัตว์ตัวเล็กกระจิ๊ดริ๊ดเท่าขี้ตา มาเป็นตัวอย่างสอนหมู่ผู้เป็นศิษย์

แมงมุม. สัตว์ตัวเล็กๆกระจิ๊ดริ๊ดเท่าขี้ตา แต่ทว่าเป็นสัตว์ที่มีอุสาหะ  อดทน  และพึ่งตนเองยามใดที่มนุษย์ได้พบเห็น
พึงควรนำมาเป็นอุทาหรณ์สอนตน

   หลวงปู่ดูลย์เล่าว่า  เมื่อครั้งที่ท่านจาริกปฏิบัติธรรมตามป่าเขาลำเนาไพร
ในสมัยเป็นหนุ่มท่านได้เห็นแมงมุมอยู่ระหว่างการชักใยสร้างรังเพื่อดักแมลง ดูดกินเลือดเป็นอาหาร  ณ  ปากถ้ำแห่งหนึ่ง
    พอตะวันคล้อยบ่าย   เจ้าแมงมุมตัวน้อยๆก็ได้เริ่มต้นชักใยปิดปากถ้ำ
ซึ่งเป็นช่องขนาดไม่ใหญ่  เป็นรูอยู่ในผนังหลืบหินข้างๆถ้ำ 

       เจ้าแมงมุม  ดีดตัวชักใยขวางปากถ้ำเป็นเส้นกากบาท  เป็นจุดเริ่มต้นเสร็จแล้วก็ดีดตัวปล่อยใยเป้นเส้นทะแยงเป็นมุมขวางไปมาระยะห่างๆ
ต่อจากนั้นตรงจุดศูนย์กลางเจ้าแมงมุมจะปล่อยเส้นใยเป็นตาข่าย   ค่อยๆขยายเป็นวงกว้างขึ้นไปเรื่อยๆจนถี่ยิบ ปิดปากถ้ำ

       ตั้งแต่ตะวันเริ่มบ่ายคล้อย  ไปจนถึงโพล้เพล้เวลาเริ่มใกล้ค่ำ  เจ้าแมงมุมตัวน้อยชักใยเสร็จ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยหอบ
ได้เข้าไปหยุดพักคลายเหนื่อยพรางตัวสงบนิ่งอยู่จุดศูนย์กลาง  เพื่อรอคอยอาหาร
      ตะวันโพล้เพล้  เป็นเวลาออกหาอาหารของฝูงค้างคาวที่อาศัยอยู่ภายในถ้ำ

       ค้างคาวบินปร๋อออกมาจากถ้ำผ่านใยแมงมุม  ขาดเป็นรูโบ๋!!!!!
ทันทีนั้น  เจ้าแมงมุมตัวน้อยที่หมอบอยู่ได้พุ่งตัววิ่งจู๊ด ตรงเข้าไปชักใยซ่อมแซมรังที่ขาดเป็นรูโบ๋จนเสร็จแล้ววิ่งกลับมาหมอบ
ที่จุดศูนย์กลางตามเดิม

       ค้างคาวบินปร๋อรังขาดเป็นรูโบ๋ครั้งใด  เจ้าแมงมุมน้อย เป็นได้รีบพุ่งตัวจู๊ด  ตรงไปซ่อมแซมตรงที่ขาดนั้นอย่างขะมักเขม้น
เป็นพัลวันอย่างไม่ย่อท้อ  ทุกครั้งไป
   ค้างคาวบินปร๋อ        แมงมุมวิ่งจู๊ด
            ค้างคาวบินพรู... พรู... พรู...! ! !
            แมงมุมวิ่งจู๊ด... จู๊ด...   จู๊ด...! ! !

     การพึ่งตัวเองนั้น เป็นแบบฉบับในการสอนของหลวงปู่ดูลย์ พระป่าผู้เฒ่าแห่งกองทัพธรรมดินแดนอีสานผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ
ของผู้เป็นศิษย์ทุกยุคทุกสมัย ที่ปรากฏให้เห็นอย่างมากมาย


ขอบคุณ คุณ  tan~
ที่มา http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/000836.htm

194
ต่อจากตอนที่1/5
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23129.new#new

ดงพญาเย็น ดงพญาไฟ

และในราวกลางปีพุทธศก 2450 หลวงพ่อจงพร้อมด้วยย่ามสองย่ามยาวศอกเศษ มีเครื่องใช้ไม้สอยที่จำเป็นกับตัวยาประเภทแก้ปวดท้อง บำรุงธาตุ ห้ามเลือด ไม้ขีดไฟ เทียนไข และกระป๋องตักน้ำเล็ก ๆ พร้อมด้วยกลดสำหรับกางนอน ในขณะธุดงค์ได้ออกเดินจาริกด้วยเท้าเปล่า โดยลำพังองค์เดียวจากวัดหน้าต่างนอกมุ่งหน้าไปสู่วัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี และที่นี่ท่านก็ได้พระภิกษุผู้มีจิตศรัทธาขอติดตามไปอีกสององค์ จากนั้นเมื่อเดินไปถึงชายแดนลพบุรี ซึ่งเป็นทางออกสู่ดงพญาเย็น ดงพญาไฟ ก็ได้ภิกษุเพิ่มอีกสององค์ร่วมเดินทางไปด้วย รวมเป็นห้าองค์ทั้งหลวงพ่อจง และทั้งห้าองค์ก็ไม่มีศิษย์แม้แต่คนเดียวที่จะติดตามไปรับใช้ปฏิบัติวัฏฐาก

ตั้งแต่สระบุรีเข้าดงพญาเย็น ดงพญาไฟ ต้องใช้เวลาถึงสี่วันกว่าจะผ่านไปได้ เพราะหนทางเดินนั้นขวางกั้นไปด้วยอุปสรรค บางแห่งหนาแน่นไปด้วยดงหญ้าและเถาวัลย์รกทึบ ยิ่งกว่านั้นบางตอนก็ต้องเดินผ่านห้วยลึกและหุบเหว ซึ่งมองหรือสังเกตไม่เห็นได้โดยง่ายว่าเป็นเส้นทางที่ใช้เดิน บางตอนก็ไปออกทางเกวียนและริมน้ำ ซึ่งมีทั้งรอยตีนเสือ ช้าง หมี ที่เป็นรอยใหญ่ ๆ ก่อให้เกิดความหวั่นไหวได้ไม่น้อย แต่พระภิกษุทั้งห้าก็มิได้เกรงกลัว และบางครั้งก็เดินหลงทางบ่อย ๆ บางวันต้องหาทางเดินใหม่ให้เข้าสู่เส้นทางที่ชาวบ้านใช้ถึงสี่ครั้งห้าครั้ง และบางวันเดิน ๆ ไปแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเวลาไหน ก็เป็นอันว่าไม่ได้หยุดหุงหาฉันเพล เพราะบางที่กว่าจะรู้มันเลยเที่ยงไปนานแล้ว รู้จากแสงตะวันที่เผอิญทางเดินไปออกป่าโปร่ง ก็ได้แต่อาศัยฉันผลหมากรากไม้แก้หิวไปพลางบางวันที่ฉันเพลแทนเช้าไปเลยก็มี

และในตอนสายของวันที่สี่ ขณะที่อยู่กลางดงพญาไฟ ก่อนจะถึงจังหวัดนครราชสีมา ภิกษุผู้ร่วมทางได้อาพาธเป็นไข้ป่าอย่างรุนแรง แม้จะช่วยกันถวายยาที่มีติดไปเท่าไรก็ไม่หาย อาการรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว หลวงพ่อจงและพระภิกษุอีกสามองค์ก็ต้องผลัดกันเฝ้าดูแลอาการ เพราะมาด้วยดันจะทิ้งไว้เดียวดายนั้นไม่ได้ ที่สุดก็ต้องเสียเวลาอยู่ในป่า โดยเลือกเอาริมเหวที่มีพื้นราบสูงกว่าแห่งอื่นได้แห่งหนึ่งเป็นที่พำนัก พักรักษาภิกษุผู้อาพาธ จวบจนวันรุ่งขึ้นตอนสาย ภิกษุองค์นั้นมิอาจทนทานพิษไข้ได้ ก็ถึงกับมรณภาพ เมื่อช่วยกันฝังไว้ตามมีตามเกิดแล้ว บ่ายวันนั้นจึงได้เดินทางหลุดรอดจากดงพญาเย็น ดงพญาไฟ ผ่านเขตลพบุรี ย่างเข้าเขตนครสวรรค์


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-03.htm

195
มีเรื่องที่เกี่ยวข้องในกระทู้เก่า
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=4041.0
================
เรื่องต่อไปนี้ค่อนข้างละเอียด(ยาว) อ่านสนุก ได้สาระ ความรู้เชิงธรรมะน่าติดตาม
คัดลอกจาก
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jong/lp-jong-hist-01-01.htm
และ
http://www.konmeungbua.com/teacher/teacher_jong/Lungpo_jong2.html

<<<หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก พระนครศรีอยุธยา>>>

ชาติกำเนิด

หลวงพ่อจง พุทฺธสโร ท่านได้ถือกำเนิดที่ตำบลหน้าไม้ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในต้นสมัยรัชกาลที่ 5 ของราชวงศ์จักรี ท่านเกิดในวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 4 ปีวอก ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม 2415

นามเดิมของท่านชื่อว่า "จง" ในสมัยนั้นยังไม่มีการใช้นามสกุล เลยยังไม่มีนานสกุลพ่วงท้ายชื่อ เป็นบุตรชายคนโตของ "นายยอด" และ "นางขลิบ" ที่มีอาชีพเป็นชาวนา หลวงพ่อจงท่านมีน้องร่วมอุทรเดียวกันอีก 2 คน คือ "นายนิล" หรือ "พระอธิการนิล" และ "นางปลิก"

ชีวิตในวัยเยาว์ของหลวงพ่อจงท่านอยู่ในฐานะเฉกเช่นผู้อาภัพอับโชค อุดมไปด้วยทุกขโรคา มากกว่าความสุขร่าเริงสดใสเหมือนกับเด็กในวัยเดียวกันทั่วไป

หลวงพ่อจงท่านถูกโรคพยาธิเบียดเบียนมาตั้งแต่เล็ก จึงทำให้มีรูปร่างค่อนข้างจะผอมโซ ไม่แข็งแรง หน้าตาซีดเซียว แถมยังมีอุปนิสัยค่อนข้างขี้อาย เซื่องซึม ขาดความกระตือรือร้น ชอบเก็บตัวอยู่ตามลำพังคนเดียว ไม่ค่อยพูดคุยกับใคร ถามมาคำก็ตอบกลับไปคำ และซ้ำร้ายไปกว่านั้นได้กลายเป็นที่น่าเวทนาสำหรับผู้พบเห็นและรู้จักมักคุ้นก็คือหลวงพ่อจงในวัยเยาว์ท่านมีอาการหูอื้อจนเกือบหนวกรับฟังเสียงต่าง ๆ ไม่ค่อยชัดเจน นัยน์ตาก็ฝ้าฟางมองอะไรแทบไม่เห็น

แต่ด้านของจิตใจท่านกลับเพียรใฝ่หารสพระธรรม ชอบทำบุญตักบาตรในวันธรรมสวนะอยู่เป็นเนืองนิจ โดยให้บิดามารดาหรือญาติพี่น้องพอไปยังวัดหน้าต่างใน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก



196
ห้ามร้าน”แทททู”ใช้สัญลักษณ์ศาสนาสัก
วันจันทร์ ที่ 30 พฤษภาคม 2554 เวลา 17:33 น  



วธ.สั่งผู้ว่าฯทั่วประเทศตรวจสอบร้าน”แทททู” ห้ามใช้สัญลักษณ์ศาสนาสักร่างกายนักท่องเที่ยว ชี้ทำลายศรัทธาปชช.

เมื่อวันที่ 30 พ.ค. นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการศูนย์ปฏิบัติการสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติครั้งที่ 1/2554 ว่า ที่ประชุม ได้หารือประเด็นการร้องเรียนเกี่ยวกับการสักภาพ (Tattoo) พระพุทธรูปและรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาอื่นๆ บนร่างกายที่จ.ภูเก็ต ซึ่งกระทรวงมอบหมายสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดภูเก็ตลงพื้นที่ตรวจสอบสถานประกอบการ เบื้องต้นพบข้อมูลน่าตกใจว่าชาวต่างชาติสนใจสักรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาทิ พระพุทธรูป พระคเณศวร ไม้กางเขน  ไว้ตามร่างกาย เช่น แขน ขา ข้อเท้า หน้าอก ซึ่งไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมอันดีงานในสังคมไทย และกระทบต่อความรู้สึก ความศรัทธาที่มีต่อศาสนา

นายนิพิฏฐ์ กล่าวต่อไปว่า  การให้บริการสักรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบมากราคาแพงสูงสุด ถึง 20,000 บาทต่อภาพ  ทำให้ผู้ประกอบการนิยมให้บริการ ส่วนชาวต่างชาติเห็นว่าการสักรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงแฟชั่น ไม่ได้มองถึงความเคารพและอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์  ที่ประชุมมีมติให้แจ้งผวจ.ทั่วประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยว ให้ตรวจสอบสถานประกอบการสักห้ามสักรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของทุกศาสนาบนร่างกาย รวมทั้งให้จัดประชุมชมรมผู้ประกอบการ ขอความร่วมมือโดยกระทรวงจะจัดทำข้อควรระวังการใช้สัญลักษณ์ทางศาสนา ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ  ป้องกันปัญหาการใช้สัญลักษณ์ทางศาสนาที่ไม่เหมาะสมเชิงพาณิชย์ทั้งในและต่างประเทศ ขอให้ผู้ใช้บริการใช้ภาพอื่นๆ สัก แทน

“ที่ประชุมเห็นว่า การสักประเภทนี้มีทั่วประเทศ โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยว อย่างถนนข้าวสาร ตะวันนา จตุจักร เชียงใหม่ ภูเก็ต  ดังนั้น ต้องช่วยกันควบคุม พบว่ากระทั่งสักบนศีรษะ ใบหน้า หรือขาก็ไม่ควร หากมีพฤติกรรมที่ไม่ดี เช่น ไปนั่งกินเหล้า ทะเลาะวิวาท  ภาพนั้นก็จะติดบุคคลนั้นไปด้วย  ขณะเดียวกันบางศาสนา ก็ให้ความสำคัญของการสักภาพที่ไม่เหมาะสมมาก ถึงขั้นถ้าพบเห็นจะถูกประณาม  และเดินออกจากร้านไม่ได้ ขณะนี้ประมวลกฎหมายอาญาของไทยยังไม่บังคับ จึงต้องประสานความร่วมมือเพื่อหามาตรการควบคุม ผมจะนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ขอความเห็นชอบออกกฎหมายมาใช้บังคับโดยจะเอาผิดทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการต่อไป ”รมว.วัฒนธรรม กล่าว

น.ส. ลัดดา ตั้งสุภาชัย ผอ.สำนักเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กล่าวว่า  จากข้อมูลผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ระบุว่ารูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถือเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งของบบุคคล เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน หากนำไปสักบนเรือนร่างถือว่าไม่เหมาะสม เพราะเรือนร่างของคนจะต้องนำไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ  ยิ่งพบเห็นการสักรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในกลุ่มบุคคลที่ใช้เรือนร่างโชว์เป็นอาชีพเช่น อาชีพขายบริการ เต้นอะโกโก้ ยิ่งทำให้เกิดผลกระทบต่อความรู้สึกต่อผู้ศรัทธา.


ที่มา
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=38&contentID=142051

197
1/4

วิญญาณอาฆาตข้ามภพข้ามชาติ
โดย พ. สุธา
จากหนังสือ “ตายแล้วไปไหน” เล่มที่ ๔๑

เรื่องราวลี้ลับมหัศจรรย์ในโลกมนุษย์ มีมากมายยิ่งนัก ยากที่จะหยิบยกมาให้ผู้อ่านได้อ่านทั้งหมด แต่ก็เพียงเสี้ยวหนึ่งของบางเหตุการณ์ มาเปิดเผยสู่สายตาของท่านผู้อ่านทั้งหลาย ซึ่ง คุณ ท.เลียงพิบูลย์ ผู้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว ได้เหลือเพียงแค่ผลงาน และคุณความดีที่มีเจตนาจะให้ผู้อ่านละชั่ว ทำดี ดังเรื่องราวที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้

เมื่อก่อนทุกครั้งที่ข้าพเจ้า (หมายถึง คุณ ท.เลียงพิบูลย์) ได้เรื่องเกี่ยวกับวิญญาณหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อภินิหาร จะเป็นด้วยมีผู้มาเล่าให้ฟังก็ดี หรือเป็นจดหมายฉบับบันทึกส่งมาก็ดี ข้าพเจ้าต้องใช้ความคิดอย่างหนัก เพื่อพิจารณาว่าควรจะเขียนขึ้นหรือไม่ เมื่อเขียนขึ้นแล้ว ผู้อ่านจะมีความรู้สึกอย่างไร บางท่านอาจพูดไปในทางอกุศล แม้ข้าพเจ้าเอง รู้อย่างเต็มอกว่า ทุกสิ่งที่ลี้ลับเกิดขึ้นได้อย่างไม่มีเหตุผลที่จะพิสูจน์ได้ ยังมีอยู่ในโลกอีกมากมาย

บางเรื่องยังมีผู้เล่าให้ข้าพเจ้าฟัง แล้วย้ำว่า ท่านได้ประสบด้วยตนเอง เมื่อได้ฟังจบแล้ว ข้าพเจ้าต้องใช้ความคิด แล้วตอบท่านได้อย่างเต็มปากว่า “เรื่องนี้สำหรับผมเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย แต่เรื่องเช่นนี้ต้องรอเอาไว้ก่อน ยังไม่ถึงเวลา แม้ในปัจจุบันนี้ วิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าในทางวัตถุ แต่ก็ยังเข้าไม่ถึงสิ่งลี้ลับที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล ในยุคนี้ เป็นยุคที่วิทยาศาสตร์เจริญ ฉะนั้น มนุษย์เราจึงมุ่งหน้าหันไปเอาใจใส่ ตื่นเต้นหลงใหลในความเจริญทางวัตถุใหม่ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

คนส่วนมากพากันคิดว่า ทุกอย่างต้องมีเหตุผล โลกเราอยู่ด้วยเหตุผล และไม่เชื่อว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นลอยๆ อย่างพิสูจน์ไม่ได้ แต่ข้าพเจ้ายังเชื่อแน่ว่า วันหนึ่งข้างหน้าคงจะมีผู้หันมาสนใจในเรื่องวิญญาณและสิ่งลี้ลับอภินิหารหรือตายแล้วเกิด เมื่อนั้นแหละ สิ่งลี้ลับอย่างนี้ คงจะค่อยๆ คลี่คลายเผยความจริงออกมา แต่เวลานั้น เห็นจะเป็นอนาคตอันใกล้นี้”

เรามาพิจารณาสิ่งลี้ลับมหัศจรรย์กันดูว่า ในโลกนี้ยังมีอะไรที่เรายังไม่รู้อีกมากมาย เพื่อจะชี้ให้เห็น “กรรม” ของมนุษย์ที่ได้สร้างขึ้น ไม่ว่าจะยุคอดีตชาติ หรือในยุคปัจจุบัน ย่อมจะเกิดผลเมื่อได้ติดตามมาทัน

และเพื่อจะชี้แจงให้เห็นว่า มนุษย์เมื่อตายแล้วเกิดนั้น เป็นสิ่งแน่นอน ไม่มีปัญหาอะไรเหลืออยู่ให้สงสัย เราต้องได้กลับมาเกิดอีกแน่เพื่อใช้กรรม เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นก่อน พ.ศ.๒๕๐๐ เพียง ๓ ปี ในเตือนตุลาคม ใน จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นเมืองที่เกิดวรรณคดีที่มีชื่อ นับแต่โบราณตลอดมา เป็นที่รู้จักของคนไทยทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ คือเรื่อง “ขุนช้าง ขุนแผน”

ในครั้งนั้นมีกรมหนึ่งของกระทรวงที่ใหญ่โต ไม่แพ้กระทรวงทั้งหลาย ได้มีการทอดกฐินวัดหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นกฐินพระราชทาน และทอดที่วัดที่มีชื่อเสียงในจังหวัดนั้น (เข้าใจว่า เป็นวัดป่าเลไลยก์วรมหาวิหาร พระอารามหลวงชั้นโท - อ.เล็ก พลูโต)

งานกฐินพระราชทานครั้งนั้น มีข้าราชการทั้งหญิงและชายในกรมนั้น นับแต่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ตลอดจนชั้นผู้น้อย และยังมีชาวต่างประเทศที่สังกัดอยู่ในกระทรวงนี้ เดินทางไปร่วมทำบุญด้วย นับว่าเป็นงานกฐินครั้งใหญ่ที่เด่นในสุพรรณบุรีในปีนั้น

ก่อนวันทอดกฐินในคืนหนึ่ง ทางคณะกรรมการกฐินของกรมได้จัดงานการละเล่น ฉลององค์กฐิน ท่านรองอธิบดีให้ชื่อการแสดงว่า “ว.ส.ม. บันเทิง” เป็นการแสดงเบ็ดเตล็ดของข้าราชการหญิงชายร่วมกันสนุกสนาน มีประชาชนชาวบ้าน อุ้มลูกจูงหลานมาชมการแสดงมากมาย

การแสดงที่นับว่าแสดงได้ดีเด่นในคืนนั้น ก็ได้แก่ การแสดงลิเก ซึ่งเป็นที่ยกย่องชมเชยว่า แสดงได้ดีมาก ท่ามกลางสายตาของข้าราชการในกรม และญาติมิตรชาวพระนคร ที่ได้เดินทางไปร่วมงานด้วย พร้อมทั้งชาวสุพรรณฯ เป็นจำนวนมากมาย พูดต่อๆ กันออกไปว่า ลิเกชุดนี้เขาเล่นดีจริงๆ แสดงได้ถึงอกถึงใจ โดยเฉพาะนางเอกนั้นสวยมาก กิริยาวาจานิ่มนวลอ่อนหวาน ทั้งแสดงได้ดีเท่าหรือดีกว่าลิเกอาชีพบางคณะเสียอีก ทั้งที่เป็นลิเกบรรดาศักดิ์สมัครเล่น ร้องรำไม่เคอะเขิน

ต่างก็วิจารณ์กันตามความรู้สึกของตน และชาวชนบทที่ชอบดูลิเกอยู่เสมอ เลยเป็นที่ถูกอกถูกใจของชาวเมือง กล่าวขวัญถึงแต่เรื่องลิเก ส่วนการแสดงเบ็ดเตล็ดอื่นๆ แม้จะแสดงได้ดี ก็ไม่ค่อยสนใจกันมากนัก


ที่มา
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=188

198
.พระพุทธรูปมหัศจรรย์

.........เป็นเรื่องราวที่เล่ากันมานาน หากจะนับระยะเวลากันแล้ว มันก็ไม่ต่ำว่าร้อยปีขึ้นไป ที่วัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี มีพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ชาวบ้านมีความเชื่อว่า พระพุทธรูปองค์ดังกล่าว มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอันมาก นามที่เรียกขานพระพุทธรูปองค์นั้นก็คือ หลวงพ่อหกนิ้ว
หลวงพ่อหกนิ้วแต่ชาวบ้านบางคนเรียกท่านว่า"พระหิ้วนก" ซึ่งเป็นคำผวนมาจากคำว่า "พระหกนิ้ว" นั่นเอง

ประวัติของวัดใหญ่สุวรรณาราม
.........วัดใหญ่มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจมากทีเดียว จากพระราชหัตถ์เลขาในสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้บันทึกเอาไว้ว่า…
"ผู้ใดออกมาเที่ยวเมืองเพชรบุรี มีน้ำใจที่จะดูการช่าง จะหาที่อื่นดูให้ดียิ่งกว่าวัดใหญ่เป็นไม่มี"
แสดงให้เห็นว่า ฝีมือช่างที่ปรากฏอยู่ ณ วัดใหญ่ จังหวัดเพชรบุรี มีความงดงามเป็นอันมาก
ชื่อเดิมของวัดใหญ่สุวรรณาราม
เดิมทีวัดใหญ่แห่งนี้มีชื่อเรียกว่าวัดน้อย ต่อมาเมื่อพระสุวรรณมุนี หรือที่เรารู้จักท่านในนามของสมเด็จพระสังฆราชแตงโม ได้มาทำการบูรณปฏิสังขรณ์วัดน้อย ท่านมีความเห็นว่าควรที่จะเปลี่ยนชื่อวัดแห่งนี้เสียใหม่ จากชื่อเดิมมาเป็นชื่อ "วัดใหญ่สุวรรณาราม"
พระอุโบสถไม่มีช่องหน้าต่าง
พระอุโบสถของวัดใหญ่สุวรรณารามมีความโดดเด่นอยู่ตรงที่ ไม่มีการเจาะช่องหน้าต่าง

ตามความนิยมของสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นและตอนกลาง แต่ที่น่าสังเกตก็ตรงบริเวณประตู ซึ่งมีทางเข้าอยู่ 3 ช่อง
 และประตูช่องกลางอยู่สูงกว่า โดยที่ไม่มีบันไดทางขึ้นจากด้านนอก
ทางสำหรับเทวดา
คนสมัยก่อนได้เล่าขานกันต่อๆ มาว่า การที่ประตูช่องกลางอยู่สูงกว่า และไม่มีบันไดสำหรับขึ้น เป็นเพราะว่าประตูช่องนั้นสร้างสำหรับเทวดาใช้เหาะเข้ามาเพื่อถวายมนัสการพระประธานที่อยู่ภายใน

พระประธานมีความงดงามที่สุด
.........ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ซึ่งเป็นพระประธานปูนปั้นลงรักปิดทอง ที่มีความงดงามตามลักษณะของการสร้างพระพุทธรูป ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง และยังมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ อีกเป็นจำนวนมาก

หลวงพ่อหกนิ้ว
หลวงพ่อหกนิ้วตามตำนานได้มีการบันทึกเป็นหลักฐานเอาไว้ว่า แต่เดิมหลวงพ่อหกนิ้วได้ประดิษฐานอยู่ ณ วัดหัวสนาม ซึ่งมีสภาพเป็นวัดร้าง อยู่ทางด้านทิศใต้ของวัดใหญ่สุวรรณาราม

ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อหกนิ้ว
ชาวจังหวัดเพชรบุรีเป็นจำนวนมาก ต่างมีความเชื่อว่าหลวงพ่อหกนิ้ว มีอิทธิฤทธิ์สามารถช่วยดลบันดาลปัดเป่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับพวกชาวบ้าน อีกทั้งยังให้โชคลาภกับพวกชาวบ้านที่มากราบมนัสการท่านอยู่เนื่องๆ บางคนมีคดีความถูกคดโกงไม่ได้รับความเป็นธรรม เมื่อมา กราบไหว้หลวงพ่อหกนิ้ว ท่านก็จะช่วยเหลือให้พ้นจากความทุกข์ดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์เหนือคำบรรยายยิ่งนัก

ประสบการณ์เหลือเชื่อ
..........มีเรื่องเล่ากันว่าหลายปีมาแล้ว มีนักการเมืองคนหนึ่งเดินทางมาจากจังหวัดกาญจนบุรี ด้วยกิตติศัพท์ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อหกนิ้ว ทำให้นักการเมืองผู้นั้นต้องการมากราบมนัสการ เพื่อให้ชีวิตหน้าที่การงานมีความเจริญก้าวหน้า เมื่อมาถึงวัดใหญ่สุวรรณารามก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว เจ้าหน้าที่ของวัดได้ปิดประตูพร้อมใส่กุญแจอย่างแน่นหนา นักการเมืองผู้นั้นจึงเข้าไปภายในวิหารไม่ได้
ด้วยจิตที่เปี่ยมล้นไปด้วยความศรัทธาในองค์ของหลวงพ่อหกนิ้ว นักการเมืองผู้นั้นจึงได้ก้มลงกราบที่หน้าประตูวิหาร พอเงยหน้าขึ้นมาก็พบพระภิกษุรูปหนึ่งยืนอยู่ พระภิกษุรูปนั้นได้เอ่ยขึ้นว่า โยมมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์ใด นักการเมืองผู้นั้นตอบว่า กระผมต้องการมากราบหลวงพ่อหกนิ้วขอรับ แต่น่าเสียดายที่มาช้าไป จึงเข้าไปภายในวิหารไม่ได้

พระภิกษุรูปนั้นได้กล่าวตอบว่า ด้วยดวงจิตอันแน่วแน่ของโยมที่มีอยู่ เพียงโยมกราบไหว้ด้วยใจศรัทธา หลวงพ่อหกนิ้วท่านก็รับรู้การกระทำของโยมแล้ว พูดจบพระภิกษุรูปนั้นก็เดินจากไป นักการเมืองผู้นั้นสังเกตว่าที่เท้าด้านขวาของท่านมีนิ้วเท้า 6 นิ้ว
.........วันรุ่งขึ้นเขาจึงเดินทางกลับมาที่วัดใหญ่อีกครั้ง และได้สอบถามพระภิกษุภายในวัดว่า มีพระภิกษุที่มีนิ้วเท้าข้างขวา 6 นิ้วจำพรรษาอยู่ในวัดนี้บ้างหรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีพระภิกษุดังกล่าวอยู่ในวัดใหญ่สุวรรณารามแม้แต่องค์เดียว
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เพราะมีหนังสือพิมพ์รายวันหลายฉบับลงข่าวนี้ ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า พระภิกษุหกนิ้วท่านมาจากไหน?

ปาฏิหาริย์รูปหล่อสมเด็จแตงโม
มีเรื่องเล่ากันต่อๆ มาว่า การสร้างรูปหล่อของพระสังฆราชแตงโม หรือสมเด็จแตงโมเป็นไปด้วยความยากลำบาก แม้ว่าช่างจะเป็นผู้ที่มีความสามารถมาจากในวังก็ตาม ร้อนถึงเทวดาที่มีหน้าที่ปกปักษ์รักษาอยู่ภายในพระวิหาร ได้ทำแปลงร่างเป็นแป๊ะแก่มาช่วยสร้าง รูปหล่อของสมเด็จพระสังฆราชแตงโมจึงแล้วเสร็จ

.........ยามใดที่จังหวัดเพชรบุรีเกิดฝนแล้ง ชาวบ้านได้รับความทุกข์ ไม่มีน้ำท่ามาบริโภคใช้สอย พวกชาวบ้านจะทำการอัญเชิญ รูปหล่อของพระสังฆราชแตงโม แห่รอบตัวเมืองเพชรบุรี ซึ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์ทันทีที่พิธีการแห่สิ้นสุดลง ฝนฟ้าก็จะตกกระหน่ำลงมาทันที
ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปหกนิ้ว ความศักดิ์สิทธิ์ของรูปหล่อสมเด็จพระสังฆราชแตงโม ทำให้วัดใหญ่สุวรรณาราม มีผู้คนหลั่งไหลมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

ที่มา
http://www.oocities.org/tongdanl/T3.htm

199
ธรรมะ / มิลินทปัญหา 10
« เมื่อ: 28 พ.ค. 2554, 11:14:40 »
ต่อจากตอนที่ 9
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=23056

- ตอนที่ ๑๐ -

 มิลินทปัญหา วรรคที่ ๖

  ปัญหาที่ ๑ ถามถึงความรักร่างกายแห่งบรรพชิต


     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
     “ ข้าแต่พระนาคเสน ร่างกายเป็นที่รักของบรรพชิตทั้งหลายหรือ? ”
     พระเถระตอบว่า
     “ ขอถวายพระพร ร่างกายไม่ได้เป็นที่รักของบรรพชิตทั้งหลาย”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าอย่างนั้น ทำไมบรรพชิตจึงยังอาบน้ำชำระกาย ถึอว่ากายของเราอยู่ ? ”
     “ ขอถวายพระพร ผู้เข้าสู่สงครามเคยถูกบาดเจ็บบ้างหรือไม่? ”
     “ อ๋อ...เคยซิ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร แผลที่ถูกอาวุธนั้น ฉาบทาด้วยเครื่องฉาบทา ทาด้วยน้ำมัน พันด้วยผ้าเนื้อละเอียดแลหรือ ? ”
     “ ถูกแล้วพระผู้เป็นเจ้า ต้องทำอย่างนั้น ”
     “ ขอถวายพระพร บาดแผลนั้นเป็นที่รักของผู้นั้นหรือ? ”
     “ ไม่ได้เป็นที่รักของผู้นั้นเลย แต่ว่าเขาทำอย่างนั้น เพื่อให้เนื้อตรงนั้นงอกขึ้นเป็นปกติ ”
     
“ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ร่างกายไม่ได้เป็นที่รักของบรรพชิตทั้งหลาย แต่บรรพชิตทั้งหลายรักษาร่างกายนี้ไว้ เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ อันว่าร่างกายนี้เปรียบเหมือนกับแผล บรรพชิตรักษาร่างกายนี้ไว้เหมือนกับบุคคลรักษาแผล”

     ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระทศพลตรัสไว้ว่า
     “ กายนี้มีทวาร ๙ เป็นแผลใหญ่ อันหนังสดปกปิดไว้ คายของโสโครกออกโดยรอบ ไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น ”
     “ ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ”

      อธิบาย   
      
คำว่า “ ทวาร ๙ ” ได้แก่ ตา ๒ หู ๒ จมูก ๒ ปาก ๑ ทวารหนัก ๑ ทวารเบา ๑


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin10.php


200
กระแสจิต "ผี" ที่มีถึง "คน" !!!

    สถาบันค้นคว้าเรื่องราวทางจิตและวิญญาณ ในเวลานี้หลายประเทศในแถบซีกโลกตะวันตก ได้เริ่มหันมาให้ความสนใจกันมากขึ้น สาเหตุสืบเนื่องมาจากการค้นคว้าเรื่องของจิตและวิญญาณ ซึ่งชนชาติในทวีปแอฟริกาค้นคว้าอยู่นั้น ได้มีข้อมูลที่เชื่อถือได้ว่า วิญญาณมีจริง และมนุษย์บางคนสามารถติดต่อกับวิญญาณของคนตายได้จริง

    เราคงจะต้องติดตามข่าวนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป เนื่องจากผมมีความคิดว่า การศึกษาเรื่องราวของวิญญาณ เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ผมเชื่อว่าคงจะมีท่านผู้อ่านเป็นจำนวนมาก มีความคิดเช่นเดียวกับผม คือ ต้องการอยากที่จะรู้ว่า เราตายไปแล้ว วิญญาณของเราจะมีความรู้สึกเช่นไร จะหิวมั้ย จะมีความรู้สึกหนาวรู้สึกร้อนหรือเปล่า คือเราอยากจะหาตำแหน่งความแน่นอนของตัวเราตอนที่ตายไปแล้วนั่นเอง

...........มีอยู่วันหนึ่งผมไปงานศพของพี่ชาย ซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ผมนั่งอยู่กับหลานชาย ตอนนั้นมีคำถามเกิดขึ้นในใจผม คือ ผมอยากจะรู้ว่าพี่ชายของผมตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน แน่นอนร่างของเขาอยู่ในโลง แต่จิตสำนึกของความเป็นคน ผมเชื่อว่ามันไม่ได้ดับไปพร้อมกับร่าง ผมจึงพูดกับหลานของผม หลานผมตอบว่าเขาก็อยากรู้เหมือนกัน แต่เขาก็เดาไม่ออกว่าวิญญาณของพี่ผมในเวลานั้นอยู่ที่ไหน?
หลังจากนั้นไม่นาน หลานคนนั้นก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ทุกคนในบ้านไม่มีใครคาดฝันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น งานศพของหลานผม ความรู้สึกเหมือนเดิม รวมทั้งคำถามเดิมๆ คือ วิญญาณของหลานผมตอนนี้อยู่ที่ไหน ได้เกิดขึ้นมาอีกครั้ง

...........แน่นอนครับ ตอนนี้หลานผมเขาได้คำตอบแล้วว่า คนเราเมื่อตายไปแล้ว วิญญาณจะอยู่ที่ไหน แต่สำหรับผมยังไม่ได้คำตอบนั้น !
แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผมก็คือ ความรู้สึกแปลกๆ ที่ยากจะบอกเล่าให้คนทั่วไปได้เข้าใจ มันรู้สึกว่าหลานผมอยู่ใกล้ๆ ผม เหมือนว่าเขาพยายามที่จะติดต่อกับผม แต่เราสื่อสารกันไม่ได้ เขามองเห็นผม แต่ผมมองไม่เห็นเขา
ผมเชื่อว่าในบางครั้งท่านคงจะมีความรู้สึกเช่นเดียวกับผม คือ อยู่คนเดียวในห้องแต่กลับมีความรู้สึกอึดอัด เหมือนว่าภายในห้องมีคนอยู่เป็นร้อยๆ พันๆ คน ผมก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่า เหตุใดจึงมีความรู้สึกเช่นนั้น
การที่คนเราจะล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ในอนาคตได้นั้น มันจะต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ในตัวของบุคคลดังกล่าว ซึ่งองค์ประกอบสำคัญที่กล่าวถึงนี้ ไม่ใช่ว่าคนทุกคนจะมี แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับคนบางคนเท่านั้น และเกิดขึ้นในบางเวลาไม่ใช่เกิดทุกเวลา

...........คุณเฉลียว วิบูลย์มงคล เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิสว่างรุ่งเรืองธรรมสถาน อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ประสานงานทางวิทยุ คุณเฉลียวเป็นผู้ที่มีญาณพิเศษ ซึ่งสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างน่าพิศวง
"ทีแรกก็ไม่เชื่อเรื่องนี้ คิดว่าเป็นเหตุบังเอิญมากกว่า แต่มันเกิดขึ้นบ่อยมาก จึงทำให้เชื่อว่าเรามีสัมผัสที่ 6 สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคตได้จริงๆ"
"ช่วยเล่าถึงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังได้มั้ยครับ?"
"มันมีหลายเรื่องด้วยกัน อย่างเช่นเรื่องเพื่อนจะมาหา เป็นเพื่อนเก่าสมัยที่เรียนหนังสือตอนเด็กๆ เราไม่ได้เจอกันมานานร่วมสิบๆ ปีแล้ว จู่ๆ เราก็เห็นหน้าเพื่อนคนนี้ จำชื่อเขาไม่ได้หรอกว่าเขาชื่ออะไร เพราะว่ามันนานมากแล้ว ตอนนั้นยังอดที่จะแปลกใจไม่ได้เลย ทำไมจึงต้องนึกถึงเพื่อนคนนี้ขึ้นมา และในวันรุ่งขึ้นก็เห็นเพื่อนคนนี้จริงๆ เขาก็ยังแปลกใจที่มาเจอกับเรา

...........อีกเรื่องเป็นอุบัติเหตุ ตอนที่กำลังเข้าเวรอยู่นั้น เราแว่วได้ยินเสียงเหมือนคนขอความช่วยเหลือ เขากำลังได้รับบาดเจ็บจากอุบัติรถชนกัน แต่ตอนนั้นไม่มีข่าวแจ้งเข้ามา เราก็วิทยุถามสายตรวจไปว่า มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นหรือเปล่า เขาก็ตอบกลับมาไม่มี"
"แต่เราก็ยังเชื่อว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจริงๆ?"
"ค่ะ ก็ยังเชื่อว่ามีอุบัติเกิดขึ้นจริงๆ เพียงแต่สายตรวจยังไม่ทราบจุดเกิดเหตุเท่านั้น ตอนนั้นลองพยายามทำจิตให้ว่าง พอจิตเราว่างก็ค่อยๆ ปล่อยให้จิตลอยไปเรื่อยๆ แล้วก็ถามไปด้วยว่า อยู่ที่ไหน ถ้าอยากจะให้ช่วยต้องบอกว่าคนเจ็บอยู่ที่ไหน แล้วเราก็ค่อยๆ เห็นภาพลางๆ ปรากฏ มันเหมือนภาพในความฝัน มีหมอกควันขาวเต็มไปหมด เรารู้แล้วว่าสถานที่ดังกล่าวอยู่ที่ใด เราก็วิทยุบอกสายตรวจไปว่า ลองไปขับรถไปดูบริเวณทางเข้าน้ำตกห้วยยาง สงสัยว่าจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น สายตรวจก็ขับรถ พักใหญ่เขาก็วิทยุมาบอกว่า มีอุบัติเกิดขึ้นจริงๆ มีคนตาย 1 คน บาดเจ็บ 2 คน ตอนนี้กำลังนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล"

"แสดงว่าคุณสามารถส่งกระแสจิตของคุณไปตามที่ต่างๆ ได้?"
"ไม่ใช่เลย ที่เราเห็นภาพต่างๆ ได้นั้น เกิดจากวิญญาณของคนตายต่างหาก วิญญาณคนตายซึ่งเป็นพ่อ ได้พยายามติดต่อกับเรา เพื่อที่จะบอกให้รู้ว่าลูกของเขาได้รับบาดเจ็บ ขอให้เราส่งคนไปช่วย วิญญาณของผู้เป็นพ่อสื่อสารเข้ามาหาเรา ไม่ใช่เราส่งจิตไปหาเขา"
"มีความรู้สึกแบบนี้บ่อยมั้ยครับ?"
"ไม่บ่อยนักหรอก นานๆ ครั้งจึงจะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง เรื่องของการติดต่อกันระหว่างจิตของคนกับวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว ไม่ใช่จะเกิดขึ้นง่ายๆ มันขึ้นอยู่กับดวงวิญญาณด้วยว่า ต้องการอยากจะติดต่อกับเราหรือเปล่า หากว่าเขาไม่อยากจะติดต่อกับเรา เราก็ไม่อาจจะสื่อสารกับเขาได้เลย เหมือนวิทยุนั่นแหละ มีสถานีส่งแต่ไม่มีเครื่องรับ วิทยุก็ฟังไม่ได้"
"เคยพบกับเรื่องแปลกๆ เกี่ยวกับผีหรือวิญญาณบ้างหรือเปล่า?"
"ในชีวิตยังไม่เคยเจอผีเลย แต่เชื่อว่าในโลกนี้มีผีอยู่จริง คนอื่นๆ เขามาเล่าให้ฟังว่าเห็นผี คิดว่าที่ผีไม่มาปรากฏตัวให้เราเห็น น่าจะมาจากส่วนของงานที่เราทำ เป็นงานสาธารณะกุศล เป็นงานบุญ พวกผีจึงไม่กล้ามาหลอก"
"เคยออกปฏิบัติงานเก็บศพบ้างหรือหรือเปล่า?"
"เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ ทุกคน จะต้องเก็บศพได้ ไม่มีใครรังเกียจซากศพหรอกค่ะ เพราะว่าคนเราสักวันก็จะต้องเป็นเหมือนเขา เป็นซากศพที่อาจจะนอนอยู่กลางถนน งานล้างป่าช้าก็จะต้องออกนอกสถานที่ ไปขุดศพที่ไม่มีญาติมาบำเพ็ญกุศล"
"ถามจริงๆ ทำไมจึงเลือกงานแบบนี้?"
"งานด้านสาธารณะกุศล เป็นงานบุญที่คนส่วนมากไม่ค่อยจะเข้าใจ และมักจะมองข้ามความสำคัญของงานนี้กันหมด เราไม่มีค่าจ้างค่าตอบแทน เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเจ้าหน้าที่มูลนิธิ แต่สิ่งที่พวกเราต้องการคือ การได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ซึ่งกำลังมีสภาพทุกขเวทนา คนที่ได้รับบาดเจ็บนอนเจ็บปวดกลางถนน มีเลือดเต็มตัวไปหมด คนทั่วไปได้มอง แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วย เขาเหมือนรอความตาย พวกเราจึงอาสามาช่วยคนเจ็บพวกนั้น ซึ่งสักวันอาจจะเป็นตัวท่าน ญาติพี่น้องของท่านก็ได้"
"ส่วนมากแล้วอุบัติเหตุเกิดจากสาเหตุอะไรมากที่สุด?"
"เมาแล้วขับรถ เจอเป็นประจำนับศพไม่ถ้วนแล้ว อีกพวกก็คือประมาท ขับรถด้วยความคึกคะนอง ชอบลองของ คนอื่นจึงเดือดร้อนไปด้วย"
"คิดว่าจะทำงานให้กับมูลนิธิ ฯ ไปอีกนานมั้ยครับ?"
"คงจะทำไปเรื่อยๆ เพราะทำแล้วมีความสบายใจ อีกทั้งยังได้บุญอีกด้วย"

..........ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมาก ที่ยังไม่เข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ บางคนอาจจะมองพวกเขาในแง่ "ลบ" เพราะมีบางคนทำตัวเป็น "เหลือบ" ในวงการ  เราต้องแยกระหว่างคนดีกับคนเลว จะเอามาปะปนเหมารวมกันไม่ได้ จงให้ความเป็นธรรมกับคนทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจเถอะครับ !!!


ที่มา
http://www.oocities.org/sumpud/S3.htm

201
แม่ชีฉลอง มากทอง.........................กรรมเก่าแต่ปางก่อน

.......มีความเชื่อกันว่ามนุษย์ทุกคนที่เกิดมาล้วนมีกรรมติดตัว แต่จะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วเป็นอีกเรื่องหนึ่ง…หลวงพ่อชื่น หรือพระอธิการชื่น จิตวันโน เจ้าอาวาสวัดใหม่ประชาราษฎร์ อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด ท่านเป็นพระเกจิฯ ที่มีชื่อเสียงทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นจำนวนมาก หลวงพ่อชื่นมีคำสั่งสอนบรรดาศิษย์ของท่าน ด้วยคำพูดแบบชาวบ้านๆ ฟังแล้วเข้าใจง่าย ท่านเคยเทศน์เรื่อง กรรมเก่า ให้บรรดาญาติโยมของท่านฟังว่า เรื่องของกรรมเก่านั้นมีจริง กฏแห่งกรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์เราหนีไม่พ้น..

กรรมเก่ามีจริง
"คนทั่วไปมักชอบพูดกันว่า กรรมตามสนอง ชดใช้เวรกรรม แต่จะมีสักกี่คนที่เชื่ออย่างจริงๆ จังๆ ส่วนมากแล้วจะเป็นพวกเชื่อแต่ปาก พูดตามความเคยชิน ที่พูดเช่นนี้เพราะสังเกตว่า คนที่พูดเรื่องกรรมดี กรรมชั่ว เขาพูดโดยที่ตัวเขาไม่ได้เชื่อว่ามีจริง เพราะถ้าเชื่อว่ากรรมมีจริง ทำไมเขาจึงยังทำความชั่วอยู่อีก

...........คนที่ประพฤติแต่กรรมดีในชาติปางก่อน สิ่งที่ได้รับในชาตินี้คือสิ่งที่ดีงาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ เชื้อชาติ วงศ์ตระกูล รวมทั้งมีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี มีชีวิตตั้งอยู่บนความสุขสบาย แต่คนที่สร้างผลกรรมแต่ชาติปางก่อน สิ่งเป็นกรรมย้อนกลับคืนสนองในชาตินี้ คือความทุกข์ยากลำเข็ญ รูปร่างหน้าตาชั่วช้าอัปลักษณ์ มีวงศ์ตระกูลที่ต่ำต้อย คำเนินชีวิตอยู่บนความทุกข์ทรมาน"

...........แม้ว่าจะเชื่อเรื่องกรรมแห่งกรรม แต่คนเรามักจะมีความคิดว่า อีกนานกว่าที่กรรมจะตามทัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว เวลานี้ดูเหมือนว่าการเดินทางของ "กรรม" มันจะรวดเร็ว จนเราคาดไม่ถึง…หากสังเกตก็จะพบว่าเวลานี้คนที่สร้างเวรกรรมทำเข็ญกับคนอื่น ไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า ชาตินี้ผลกรรมก็ตามทันแล้ว คนร้ายที่ยิงคนตายตอนเช้า ปรากฏว่าตอนสายๆ ตำรวจก็ตามจับตัวมาลงโทษได้แล้ว การติดคุกติดตะราง เหมือนไม่ต่างกับการตกนรกทั้งเป็น บางคนทำใจไม่ได้ที่จะต้องมาติดคุกติดตะราง ท้ายที่สุดก็ต้องตรอมใจตายในคุกนั่นเอง

ประสบการณ์จริง "กรรมเก่า"

..........แม่ชีฉลอง มากทอง ได้ถือศีลปฏิบัติธรรมมาเป็นเวลานานร่วม 15 ปี ในเรื่องของกรรมเก่า แม่ชีฉลองได้เล่าให้ฟังว่า เป็นเรื่องจริง ซึ่งเคยประสบกับตัวเองมาแล้ว แม้ว่ากาลเวลาจะเนินนานมากว่า 40 ปี แต่เหตุการณ์ทั้งหมด มันยังคงฝังตรึงอยู่ในความทรงจำ

"สมัยเมื่อตอนเด็กๆ ตัวของแม่ชีไม่เหมือนกับเด็กทั่วไป คือชอบเก็บตัวเงียบ ชอบอยู่คนเดียว ไม่ชอบเล่นกับพวกเพื่อนๆ ฐานะทางครอบครัวจัดว่ามีอันจะกินเลยทีเดียว คุณพ่อมีที่นาหลายร้อยไร่ มีข้าทาสบริวารหลายสิบคน ต่อมาคุณพ่อก็ล้มเจ็บ อาการของพ่อหนักมากทีเดียว พ่อเลยทำพินัยกรรมยกที่ดินให้พวกลูกๆ แม่ชีก็ได้ที่ดินมาพอสมควร

..........ตอนนั้นมีน้าชายเข้ามาอยู่ในบ้าน น้าของแม่ชีเป็นคนใจร้าย นิสัยดุดัน แม่ชีกลัวเขามาก ทุกครั้งที่ไม่มีคนอยู่ในบ้าน น้าจะต้องหาเรื่องทุบตีแม่ชีเป็นประจำ เขาอยากจะได้ที่ดินส่วนของแม่ชี แต่แม่ชีไม่ยกให้เขา เขาเลยโกรธมาก
เรื่องราวมันยิ่งเลวร้ายมากขึ้น เมื่อน้าชายให้คนมาลอบฆ่าแม่ชี แต่เหมือนมีเสียงพรายกระซิบ เขามาเตือนให้แม่ชีรีบหนีไป อย่ากลับมาที่บ้านอีกเป็นอันขาด พวกพี่ๆ ของแม่ก็ถูกทำร้าย บางคนกลัวตายก็เลยต้องยกที่ดินให้ไป
หลังจากที่หนีออกจากบ้านแล้ว แม่ชีก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี เพราะไม่เคยมาไกลบ้าน เงินก็ไม่มีติดตัวเลย ต้องอาศัยนอนศาลาวัด มันลำบากมากทีเดียว พระท่านสงสารก็เอาข้าวมาให้กิน ประทังชีวิตรอดตายไปวันๆ ตอนนั้นรับจ้างทำงานสารพัด ได้เงินมานิดหน่อยๆ ก็เก็บเอาไว้ ในที่สุดก็เข้ากรุงเทพมาทำงานโรงงาน

..........ตอนที่มาทำงานในโรงงาน ความรู้สึกผิดปรกติเริ่มเกิดขึ้น มันเหมือนมีคนมากระซิบข้างหู บอกว่ากำลังจะมีเคราะห์ใหญ่ถึงกับเลือดตกยางออก แม่ชีก็ได้แต่ระวังตัวเรื่อยมา เคยเอาดวงไปให้หลวงพ่อท่านดู พอหลวงพ่อท่านเห็นดวงของแม่ชี ท่านถึงกับผงะตกใจ แล้วบอกว่าอาตมาดูดวงของแม่ชีไม่ได้หรอก แม่ชีไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นคนที่มีบารมีแต่ชาติก่อนย้อนกลับมาเกิด
ตอนที่ได้ยินก็ยังไม่เชื่อ คิดว่าหลวงพ่อท่านล้อเล่น แต่ท่านบอกว่าไม่ใช่ล้อเล่น นี่เป็นเรื่องจริง แล้วให้แม่ชีลองฝึกนั่งสมาธิดู แม่ชีบอกว่านั่งสมาธิไม่ได้หรอก เพราะเป็นคนไม่มีสมาธิ หลวงพ่อก็เลยสอนการนั่งสมาธิให้แม่ชี…

….......แม่ชีนั่งสมาธิในครั้งแรกเพียง 20 นาที ความอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นทันที เราสามารถเห็นภาพในอดีตแต่ชาติปางก่อน ตอนนั้นตกใจมาก เพราะไม่คิดว่าชาติที่แล้วเราจะบุญวาสนาถึงเพียงนั้น พอนั่งไปเรื่อยๆ เราก็เห็นว่า ชาติที่แล้วเราทำกรรมอะไรไว้บ้าง เราชอบดุด่าบริวาร ชอบทำร้ายผู้อื่น ชอบทารุนสัตว์ เอามีดมาตัดนิ้วของเป็ดไก่ เห็นเลือดสดๆ ไหลนองพื้น มันเป็นภาพที่น่ากลัวมาก

แม่ชีได้ถามหลวงพ่อว่า ภาพที่เห็นทั้งหมดเป็นภาพลวงตาใช่หรือไม่ หลวงพ่อท่านบอกไม่ใช่ภาพลวงตา เป็นภาพจริงซึ่งเกิดขึ้นเมื่อชาติที่แล้ว ผลกรรมต่างๆ ที่แม่ชีได้ก่อเอาไว้ มันจะย้อนกลับมาในชาตินี้ ไม่มีทางจะหนีพ้น แม้ว่าจะสร้างกุศลผลบุญสักเท่าใด ก็ไม่อาจจะล้างหนี้กรรมได้เลย
........จากนั้นแม่ชีก็สมัครเข้าทำงานโรงงาน ตลอดเวลาก็ระวังตัว กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ ขึ้นกับตัวเอง วันหนึ่งกรรมเก่ามันก็ตามมาทัน แม่ชีกำลังป้อนชิ้นงานเข้าเครื่องตัด ปรากฏว่านิ้วกลางของแม่ชียื่นเข้าเครื่องมากไป คมของใบมีดเลยตัดนิ้วกลางขาดกระเด็น ตอนนั้นมันเจ็บปวดมาก เลือดแดงฉานไหลนองพื้น มันเหมือนภาพตอนที่เราตัดนิ้วเป็ดไก่ไม่มีผิด ในใจก็คิดว่าเราได้ชดใช้เวรกรรมไปแล้ว"
เมื่อต้องสูญเสียอวัยวะคือนิ้วกลางไปแล้ว แม่ชีก็ได้นั่งสมาธิเพื่อที่จะได้ล่วงรู้ถึงอนาคตว่า จะมีผลกรรมใดบังเกิดขึ้นกับตัวเองอีก

"ภาพที่ปรากฏในมิติเป็นภาพแม่ชีกำลังใช้เหล็กแหลม ทิ่มที่เท้าของทาสคนหนึ่ง มีเลือดสดๆ ไหลทะลักออกมา ทาสคนนั้นแสดงความเจ็บปวดจนแทบขาดใจ แต่แม่ชีกลับไม่นึกอะไร เห็นความเจ็บปวดของผู้อื่นเป็นเรื่องปกติ ตอนนั้นคิดว่าผลกรรมเรื่องนี้ จะต้องเกิดขึ้นอีกในไม่ช้านี้
........วันหนึ่งแม่ชีกำลังรื้อกองไม้ ซึ่งไม้กองนั้นสูงมาก ขณะที่กำลังรื้ออยู่นั้น ไม้ท่อนหนึ่งมีตะปูขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมา ไม้ท่อนนั้นได้ตกลงมาที่เท้าของแม่ชี ตะปูได้กระแทกที่หลังเท้าของแม่ชี จนทะลุไปใต้ฝ่าเท้า ตอนนั้นมีความเจ็บปวดมาก แม่ชีเห็นมีผู้ชายคนหนึ่งยืนมอง เขาไม่ช่วยแถมยังหัวเราะชอบใจ แม่ชีนึกขึ้นมาได้ว่า มันเหมือนคนที่แม่ชีใช้เหล็กแหลมทิ่มนั่นเอง ไม่น่าเชื่อว่าเจ้ากรรมนายเวรจะคอยติดตาม จองล้างจองผลาญเราถึงขนาดนี้"

.........ขอฝากเป็นข้อคิดมายังท่านผู้อ่าน เรื่องของกฎแห่งกรรม เรื่องของกรรมเก่า เป็นเรื่องที่เชื่อกันมานานแล้วว่า มีอยู่จริง !!!


ที่มา
http://www.oocities.org/sumpud/S6.htm

202
ธรรมะ / **สภาวธรรม**
« เมื่อ: 27 พ.ค. 2554, 01:07:54 »
สภาวธรรม

คำว่าสภาวธรรมมีความหมายลึกซึ้งทั้งทางกว้างและเจาะจงหลายระดับขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัตินั้นๆกำลังปฏิบัติอยู่ในระดับใด
 
       สภาวธรรม หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งทางกายและทางใจ ในขณะปฏิบัติธรรมให้ผู้ปฏิบัติธรรมรับรู้ได้ บางครั้งก็เรียกว่าอารมณ์ของกรรมฐาน หรือสภาพธรรมที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงของรูปนาม

        สภาวธรรม ในระยะเริ่มแรกของการปฏิบัติธรรม ได้แก่สิ่งที่เกิดขึ้นทางกายและทางใจ เมื่อผู้ปฏิบัติเจริญสติทางกาย ที่เรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการเฝ้าดูกายในกาย เช่น การกำหนดอานาปานสติ หรือลมหายใจ การกำหนดพองยุบ เป็นการดูอาการของกายที่เคลื่อนไหว ในอิริยาบถใหญ่ต่างๆ การยืน เดิน นั่ง นอน และการเคลื่อนไหวทางกายในอิริยาบถย่อย คู้ เหยียด กระพริบตา กลืนน้ำลาย เหล่านี้เป็นอารมณ์กรรมฐานที่ผู้เจริญสติเฝ้าติดตามดูและติดตามรู้ เป็นการสังเกตุพฤติกรรมทางกาย

       เรียกง่ายๆ ว่า การเฝ้ากำหนดดูอาการเคลื่อนไหวทางกายอยู่เนืองๆ

        เมื่อเฝ้าดูกายอยู่เสมอ ผู้ปฏิบัติก็จะเห็นสภาพทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นทางกาย เช่น อาการปวด เมื่อย เหน็บชา เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นติดตามมา เรียกว่าการกำหนด เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นการเฝ้าดูความเป็นจริงที่เกิดขึ้นของเวทนาทางกายและเวทนาทางใจต่อเนื่องกัน

         เมื่อจิตเกิดการรับรู้เวทนาทางกายและทางใจ จิตก็จะเกิดจิตที่ขุ่นมัว หงุดหงิด โกรธ เรียกว่าจิตโทสะ หรือเมื่อจิตยินดีในอารมณ์ ติดใจในอารมณ์ที่เกิดขึ้น เช่น ความสุขทางกายหรือทางใจ เรียกว่าจิตโลภะ เป็นการกำหนด จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ให้รู้เท่าทันจิตที่เสวยอารมณ์ต่างๆ

        ในขณะที่เจริญสติอยู่นั้น โดยเฉพาะในการนั่งสมาธิ จะเกิดสิ่งที่ผู้ปฏิบัติต้องฝึกเรียนรู้ สภาวธรรมของจิต คือ นิวรณ์ธรรม ที่จะเกิดขึ้นทำให้จิตเศร้าหมอง เช่น ฟุ้งคิด ง่วงเซาซึม ความคิดประหวัดถึงสิ่งที่ยึดติดชอบใจในกาม หงุดหงิด โกรธ พยาบาท จิตที่ลังเลสงสัย

         เหล่านี้ เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติต้องเรียนรู้เพื่อเข้าใจในความเป็นจริงของจิตที่เป็นไปกับอารมณ์ต่างๆ เรียกว่า การเจริญธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน นี้ก็เรียกว่าอารมณ์กรรมฐานหรือสภาวธรรมได้เช่นกัน

       สิ่งที่ผู้ปฏิบัติเฝ้าเพียรกำหนดดูรู้อยู่อย่างนั้น ก็จะเกิดสภาวธรรม คือสภาพกุศลขึ้นในจิต เช่น ความอดทน ความพากเพียร ขันติ ที่อดทนสู้กับอารมณ์ต่างๆที่ไม่พึงปรารถนา ทำให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจในเรื่องของการสำรวมระวังในการรับและรู้อารมณ์ที่เข้ามากระทบอยู่เนืองๆ เป็นการระวังอกุศลมิให้เกิดขึ้นแก่จิต และเฝ้าระวังรักษาทวารต่างๆในการรับอารมณ์อยู่เสมอ

         เรียกว่า เกิดอินทรียสังวรศีล อันเป็นศีลของผู้ปฏิบัติธรรม


ที่มา
http://www.vipassanacm.com/th/view_story.aspx?id=23

203

    เลาโดยคุณจันทรา จันทรสุขสวัสดิ์  ซึ่งในวัยเด็ก ถูกพอเลี้ยงตบตีทารุณ   อีกทั้งตองกินขาวกับน้ำปลา ทุกมื้อ เปนเวลา 4-5 ปี   
เริ่มตนชีิิวิตการทํางานดวยวุฒิเพียง ม.3  เปนครูสอนหนังสือโรงเรียนเอกชนแหงหนึ่ง   ในจังหวัดสมุทรปราการ   ปจจุบันจบระดับปริญญาโท   ดานบริหารการศึกษา   เปนครูใหญและเปนเจาของโรงเรียนอนุบาล 2 แหง  ในป 2544  ไดรับรางวัลสตรีตัวอยาง  จากมูลนิธิเพื่อสังคมไทย  และในป 2548  ไดรับรางวัลบุคคลตัวอยางแหงป    จากมูลนิธิเดียวกันนี้    และยังมีรางวัลดีเดนดานอื่นๆ อีกหลายดาน   ที่ไดรับมาในชวงหลัง ไดเลาเรื่องจริงของตนที่คางคาใจมานานใหหลวงพอทานฟงวาในวัยเด็กดิฉันมีกรรมอะไรจึงถูกพอเลี้ยงตบตีทารุณตลอดเวลา  และมีกรรมอะไร จึงทําใหตนเองตองกินขาวกับน้ําปลาเปนเวลา 4-5  ปี จนทําใหชอบกินอาหารรสเค็มจัดจนถึงทุกวันนี้ 

    ทําไมชีวิตตองระเหเรรอนตั้งแตยังเด็ก บุญอะไรทําใหมีคุณนายมารับตัวไปเลี้ยงอยางดี    แตทําไมตอนเปนนักเรียนจึงมีนิสัยชอบขโมย    ไมวาเปนการขโมยเงิน หรือของกินถึงแมจะเรียนมัธยมแลวก็ตาม เมื่อกลับมาถึงบานจะเปลี่ยนเสื้อผาเปนชุดหลวมๆ แลวออกไปขโมยขนมใสพุงมาจนเต็ม

    ทําไมแมถึงไมรักตัวดิฉันเทากับนองๆ ทั้ง 3  คน เพราะอะไร และแมมักจะพูดใหเสียใจนอยใจเสมอ ถึงแมดิฉันจะเปนเจาของโรงเรียนแลว แมก็ยังพูดใหเสียใจอยูเสมอๆ แมเสียชีวิตดวยโรคมะเร็งที่โพรงจมูก   กอนแมเสียชีวิต   ดิฉันตั้งใจดูแลรักษาแมดวยเงินของตนเองคนเดียว ใกลสิ้นใจแมก็ยังไมเรียกหา   กลับเรียกหานองๆ แมพูดวาแมอยากกอดนองๆ ทําไมเปนเชนนั้น   เวลาทําบุญทุกบุญดิฉันจะอุทิศใหแมทั้งหมด   แมไดรับบุญที่อุทิศใหหรือไม ตอนนี้แมอยูที่ไหน

    หลวงพอทานพูดใหฟงวา   กฎแหงกรรมเปนเรื่องมีจริง   คนทั่วไปจะมีความเชื่อกฎแหงกรรมในสวนเฉพาะที่รับรูในขณะที่ไดกระทําไวในชาตินี้ แตมีกฎแหงกรรมที่เปนกรรมที่เคยทํากันไวในอดีต เมื่อชาติกอนๆ และมาสงผลในชาติปจจุบัน  ซึ่งนอยคนนักจะรูความจริงในขอนี้  โดยหลวงพอทานใหคําตอบ ดังนี้
   
     ดวยผลของกรรมที่จันทราเคยทําไวจึงไดมาเจอพอเลี้ยงทุบตีในชาตินี้    เนื่องจากในอดีตนั้น   เนื่องจากเคยเกิดเปนชาย   เปนพอคาฐานะมั่งคั่ง   แตมีนิสัยดุราย   ตระหนี่  ชอบตบตีขาทาสบริวารในเรือน    เมื่อไมพอใจขาทาสก็ใหอดขาว และมักจะกลาววา “ทํางานไมคุมขาวสุก”  ดวยกรรมนี้ทําใหมาเจอพอเลี้ยงที่ชอบตบตีทารุณกรรม  และ พอเลี้ยงชอบดาวาดวยถอยคําประโยคดังกลาวเปนประจํา
     
     ดวยเหตุของความตระหนี่ในชาติกอน   เชน   หวงขาวปลาอาหาร   ไมใหขาทาสบริวารอยูดีกินดี    ใหอดๆ อยากๆ ลงโทษใหอดอาหาร   ดวยเหตุนั้น    จึงทําใหชาตินี้ตองระเหเรรอนตองอดๆ อยากๆ ตองกินขาวกับน้ําปลาอยูหลายปและเนื่องจากวจีกรรมในอดีตชาติที่พูดไมดีกับขาทาสบริวาร    ทําใหกลับมาเปนกลากเกลื้อน   ทําใหใครเห็นจะรังเกียจ   

     แตเมื่อเลิกตระหนี่จึงเลี้ยงดูบริวารดีขึ้น   ใหการศึกษาแกขาทาสบริวาร    และสนับสนุนใหพระเณรเรียนหนังสือ    ดวยเหตุของการสนับสนุนผูอื่นใหไดรับการศึกษามาในอดีต    ทําใหมีคุณนายมารับไปเลี้ยงดูและใหการศึกษาในชาตินี้    สวนนิสัยที่ขโมยตอนเปนนักเรียน    เพราะในอดีตนั้นชอบรับซื้อของโจร    ชอบประกอบการคาดวยความคดโกง  มีกลโกงในการคา

     ผลของกรรมที่เกิดเปนผูหญิง   และไดรับคําพูดที่ทําใหเสียใจ   นอยใจ   เจ็บใจ ทําใหรูสึกวา  แมไมรัก ทั้งๆ ที่แมก็รักลูก

     แมตายแลวไปเกิดเปนบริวารของภุมมเทวดา  สายยักษ เพราะมักโกรธ ไดรับบุญที่จันทราอุทิศไปให   มีชีวิตที่ดีขึ้นกวาเดิม   มีอาหารทิพย   มีเสื้อผาดีขึ้น   แตยังเปนบริวารรับใชเขาอยู
   วันที่ดิฉันไดฟงเรื่องราวของตนเองจบลง ทําใหดิฉันเขาใจชัดเจนวาที่ตนเองมาเปนเชนนี้    มาเจอวิบากกรรมอยางนี้    เพราะเปนผลที่ดิฉันเคยทําไวในอดีตนั่นเอง  สิ่งที่เคยไดรับการทารุณตางๆ คิดวาเปนกรรมของดิฉัน ซึ่งดิฉันจําไมไดวาชาติกอนเคยทําอะไรไว   แตดิฉันก็เคยทํากรรมไว   เมื่อทราบวาเปนเพราะวิบากกรรมของตัวเองที่ทําไวในอดีต  จึงไมไดคิดแคนพอเลี้ยง    ความโกรธ    เกลียดนอยใจแม    ก็มลายหายสิ้น    ที่จริงแมรักดิฉันเหมือนลูกคนอื่นๆ แตเพราะวิบากกรรมของดิฉันมาบีบคั้นใหทานแสดงออกอยางนั้น  ตอนนี้จึงพยายามทําบุญอุทิศใหมากขึ้น

    ดิฉันอยากฝากกับทานผูอานทุกทานวา    ไมวาจะมีอดีตที่ดีหรือไมดี    ขอใหเชื่อวา  มาจากการกระทําของตนเอง  และตั้งใจ  สรางความดีใหยิ่งขึ้นไป  สิ่งดีๆก็จะเกิดขึ้นกับตัวเองทั้งภพนี้และภพหนาคะนั่นคือ   
   
   สิ่งที่คุณจันทราฯ ได้เลาใหฟงในหนังสือกรณีศึกษาจริง  เกี่ยวกับกฎแหงกรรม

ที่มา
http://www.mongkoldham.com/text%5CsanRMC_208.pdf

204
เวรกรรมมีจริงสลดชีวิต สอง ตา ยาย



สลดชีวิตสองผัวเมีย เคยร่ำรวยมีกิจการรถบรรทุก แต่ทั้งคู่ไม่เคยหันกลับไปดูแลพ่อ-แม่จนล้มป่วยและเสียชีวิต ทั้งฆ่าสัตว์เป็นอาจิณ หลังพ่อ-แม่ป่วยตายชีวิตเริ่มตกต่ำ สามีถูกรถเฉี่ยวชนจนเป็นอัมพาต ส่วนฝ่ายเมียเป็นโรคเบาหวานจนต้องตัดขา ส่วนลูก 3 คนก็ไม่เคยกลับมาเหลียวแล ยอมรับสำนึกและเชื่อว่าเป็นกฎแห่งกรรมที่เกิดผลในชาตินี้ วอนเป็นอุทาหรณ์ให้คนรุ่นหลังอย่าละเลยผู้ให้กำเนิด

          เมื่อวันที่ 13 กันยายน ที่ผ่านมา นายณรงค์ ธีรจันทรางกูร นอภ.สัตหีบ จังหวัดชลบุรี รับการร้องเรียนจากนางประโลม ปราบศัตรู อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 13/5 หมู่ที่ 7 ตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัตบ ว่ามีนายไพเราะ ทิมทอง อายุ 71 ปี และนางสะอาด ทิมทอง อายุ 65 ปี สองสามีภรรยาสภาพร่างกายพิการทั้งคู่ ดำรงชีวิตอยู่ได้เพราะมีเพื่อนบ้านคอยช่วยเหลือ โดยอาศัยอยู่ในกระต๊อบยกพื้นสูง ปูด้วยไม้อัดและปิดฝาผนังด้านหลังด้วยแผ่นสังกะสีเก่าๆ อยู่ในป่าละเมาะ ซอยเขาหมอน หมู่ที่ 7 ตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัตหีบ จึงส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ เบื้องต้นพบว่าสองสามีภรรยาเดือดร้อนหนัก หากปล่อยไว้โดยไม่มีใครดูแลอาจต้องเสียชีวิต

          ต่อมาผู้สื่อข่าวรุดไปตรวจสอบพบนางสะอาดสภาพขาซ้ายท่อนล่างขาด เหลือเพียง 3 ส่วน ส่วนนิ้วหัวแม่เท้าขวาถูกตัดขาด ขาลีบ ไม่มีแรง นั่งอยู่เคียงข้างกายนายไพเราะผู้เป็นสามีที่เป็นอัมพาต เดินไม่ได้ นอนทอดกายบนที่นอนบนแคร่ไม้อัดที่ยกพื้นสูง ภายในที่พักมีเพียงของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันเท่านั้น เช่น เตาแก๊ส หม้อหุงข้าว ถ้วย ชาม ช้อน ส่วนเสื้อผ้าที่เปลี่ยนสวมใส่แทบจะไม่มี 


          นางสะอาด เปิดเผยว่า ปรับทุกข์กับสามีเป็นประจำ เพราะชีวิตที่ผ่านมาไม่น่าจะมาลำบาก เคยเป็นเจ้าของกิจการรถบรรทุก มีที่ดิน มีฐานะดี แต่จู่ๆ ชีวิตก็เริ่มเลวร้าย ทรัพย์สมบัติต้องหมดไป มีความเห็นตรงกันว่าคงเป็นเพราะกฎแห่งกรรมที่เราทั้ง 2 คนทำไว้กับพ่อแม่บังเกิดเกล้าทั้ง 2 ฝ่าย คือตั้งแต่ออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านไม่เคยหวนกลับไปดูแลพ่อ แม่ แม้แต่ขณะเจ็บป่วย จนท่านเสียชีวิตไปก็ไม่มีโอกาสไปดูใจแต่อย่างใด หลังจากนั้นชีวิตเริ่มตกต่ำ โรคร้ายเข้ามาเยือน สามีถูกรถเฉี่ยวชนจนเป็นอัมพาต ส่วนตัวเองเป็นเบาหวานต้องตัดขามาหลายปี ลูก 3 คนก็ไม่เคยมาดูแล จึงเชื่อว่าเป็นกฎแห่งกรรมที่ตามมาลงโทษในชาตินี้ 

          ด้านนายไพเราะ กล่าวว่า ยอมรับว่ากฎแห่งกรรมมีจริง ตอนนี้ต้องมาชดใช้ ตอนดีๆ เอาแต่หลงระเริงเป็นนายพรานฆ่าสัตว์ป่า ยิงเก้ง กวาง กระจง มาเป็นอาหาร ไม่เกรงต่อบาป ที่สำคัญไม่เคยกลับบ้านไปดูแลพ่อ แม่ พี่น้อง และผู้มีพระคุณเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ทำให้สำนึกได้ แต่ก็สายเกินไปแล้วที่จะแก้ไข เพราะเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตก็คือรอวันตายที่เข้ามาเยือนเท่านั้น จะสร้างบุญกุศลก็ไม่มีโอกาส ไม่มีเงิน เพียงขอฝากคนรุ่นหลังอย่าได้ละเลยต่อพ่อ แม่ ผู้มีพระคุณที่เลี้ยงดูเรามา ถ้าผู้ใดปฏิบัติดีกับพ่อ แม่ จะไม่พบกับความลำบากอย่างนี้ และขอให้เชื่อเถิดว่ากรรมมีจริง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

คัดลอกจาก
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1156176

205
ธรรมะ / มิลินทปัญหา 9
« เมื่อ: 25 พ.ค. 2554, 09:48:00 »
ต่อจากตอนที่ 8
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=22996#msg186894
============

- ตอนที่ ๙ -

 มิลินทปัญหา วรรคที่ ๔ (ต่อ)

  ปัญหาที่ ๓ ถามการเกิดแห่งอายตนะ ๕


     “ ข้าแต่พระนาคเสน อายตนะ ๕ ( ตา หู จมูก ลิ้น กาย ) เกิดด้วยกรรมต่าง ๆ กันหรือเกิดด้วยกรรมอย่างเดียวกัน ? ”
     “ ขอถวายพระพร อายตนะ ๕ นั้น เกิดด้วยกรรมต่าง ๆ กัน ที่เกิดด้วยกรรมอันเดียวกันไม่มี ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย ”
     “ ขอถวายพระพร พืชต่าง ๆ ๕ ชนิดที่บุคคลหว่านลงไปในนาแห่งเดียวกัน ผลแห่งพืช ๕ ชนิดนั้น ก็เกิดต่าง ๆ กัน ฉันใด อายตนะ ๕ เหล่านี้ ก็เกิดด้วยกรรมต่างกัน ฉันนั้น ที่เกิดด้วยกรรมอย่างเดียวกันไม่มี ”
     “ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก้ถูกต้องดีแล้ว ”

  ปัญหาที่ ๔ ถามเหตุต่าง ๆ กันแห่งกรรม

     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
     “ ข้าแต่พระนาคเสน เพราะเหตุใด มนุษย์ทั้งหลายจึงไม่เสมอกัน คือมนุษย์ทั้งหลายมีอายุน้อยก็มี มีอายุยืนยาวก็มี อาพาธมากก็มี อาพาธน้อยก็มี ผิวพรรณวรรณะไม่ดีก็มี ผิวพรรณวรรณะดีก็มี มีศักดิ์น้อยก็มี มีศักดิ์ใหญ่ก็มี มีโภคทรัพย์น้อยก็มี มีโภคทรัพย์มากก็มี มีตระกลูต่ำก็มี มีตระกลูสูงก็มี ไม่มีปัญญาก็มี มีปัญญาก็มี ? ”

     พระเถระจึงย้อนถามว่า
     “ ขอถวายพระพร เหตุใดต้นไม้ทั้งหลายจึงไม่เสมอกันสิ้น ต้นที่มีรสเปรี้ยวก็มี มีรสขมก็มี มีรสเผ็ดก็มี มีรสฝาดก็มี มีรสหวานก็มี ? ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมเข้าใจว่า เป็นเพราะความต่างกันแห่งพืช ”
     “ ขอถวายพระพร ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ คือ มนุษย์ทั้งหลายไม่เสมอกันหมด เพราะกรรมต่างกัน ข้อนี้สมด้วยพระพุทธฎีกาของสมเด็จพระบรมศาสดาตรัสไว้ว่า ”
     “ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมต่างกัน เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมทำให้เกิด มีกรรมเป็นพวกพ้อง มีกรรมเป็นที่อาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลายให้เลวดีต่างกัน ”
     “ ดังนี้ ขอถวายพระพร ”
     “ พระผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin09.php

206
1.รับจ้างฆ่าสุนัข

 หญิงคนหนึ่งบ้านอยู่เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ มีอาชีพรับจ้างทั่วไป  ได้พูดเกี่ยวกับประวัติพ่อให้ผู้เขียนฟังโดยสังเขปว่า  พ่อมีอาชีพรับจ้างฆ่าสุนัข  บ้านหลังไหนไม่ต้องการสุนัข   นึกอยากจะกำจัดสุนัขเจ้าของจะจ้างเขาไปจับ  เมื่อเขาจับได้แล้วก็จะเอาเชือกผูกคอสุนัขแขวนไว้กับต้นไม้ที่สวนหลังบ้าน   จนสุนัขมันทุรนทุรายดิ้นตายไปเอง  เสร็จแล้วเขาจะฝังสุนัขเอาไว้ที่สวนหลังบ้าน     ได้ค่าจ้างกำจัดสุนัขตัวละ  ๓๐๐ เป็นอย่างต่ำ    นับว่าเป็นอาชีพหลักที่ทำรายได้ให้กับพ่อสมควร    เขาทำอย่างนี้มาเกือบ  ๑๐  ปี อยู่ต่อมาเขาก็ล้มป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ   เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย  บ้างครั้งก็ทำท่าทางเหมือนสุนัขกำลังถูกแขวนคอ  มือหงิก  มืองอ  ตาเหลือก  ตาค้าง   ร้องเหมือนสุนัข     วันหนึ่งเมื่อลูกสาวไม่อยู่บ้าน    พอกลับมาถึงบ้านตอนเย็น   อนิจจา  ?  ก็เห็นพอแขวนคอตายที่ใต้ต้นไม้ต้นเดียวกันกับต้นที่เขาเคยฆ่าสุนัขนั่นเอง   ผู้หญิงคนนี้เป็นลูกสาวมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้พ่อเพราะพ่อเพิ่งตายไปได้   ๗   วันพอดี


ที่มา
http://www.watsamma.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=353867

207
ผู้ใหญ่บ้านที่นรกถามหา

โดย..วารี  จากหนังสือ “กรรมกำหนด” เล่มที่ ๑
************************

                “ โยมผู้ใหญ่ .... อาตมาขอปรึกษาโยมสักหน่อย   และจะมอบหมายให้โยมรับไปดำเนินการด้วย  เพราะอาตมาเอง ก็ไม่สู้จะเข้าอกเข้าใจอะไรนัก คือ ทางวัดเราจะหล่อพระพุทธรูปไว้ให้ญาติโยมสักการะบูชา  ตั้งใจจะหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ และปิดทองคำเปลวภายนอกตามกำลังปัจจัย และศรัทธาตามประสาวัดบ้านนอก  ปัจจัยนั้นอาตมามีเตรียมไว้แล้วจากเงินทอดกฐินเมื่อปีที่แล้ว  พอได้สักก้อนนึงไม่มากหรอก  โยมช่วยเป็นธุระด้วยนะ ในฐานะเป็นมรรคทายกอาวุโสของวัดมานาน  ในเดือนหน้าเขาจะมีการประกอบพิธีพุทธาภิเษก  เททองหล่อพระพุทธรูป  เบิกพระเนตร ที่วัดใหญ่ในเมือง  อยากให้โยมผู้ใหญ่หาทองสัมฤทธิ์และทองคำเปลว ไปร่วมพิธีหล่อพระกับเขาด้วย  โยมจะเห็นเป็นการใด ที่อาตมาขอร้องล่ะ...”

                เจ้าอาวาสวัดหนองซาก   อำเภอประลอง  พูดปรึกษาเรื่องบุญกุศลนี้กับผู้ใหญ่บ้านหมู่  ๑  ประจำท้องถิ่นนั้น   ในวันพระหรือวันธรรมสวนะ  บนศาลาการเปรียญของวัดดังกล่าว  ในขณะที่พระสงฆ์กำลังฉันเช้า  โดยมีญาติโยมอุบาสก อุบาสิกา ผู้ศรัทธาเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนา นำอาหารคาวหวาน เครื่องไทยทาน มาทำบุญในวันพระตามปกติ

                ผมเองอยู่ในวงสนทนานั้นด้วย  ในฐานะลูกศิษย์ของเจ้าอาวาส  หลังจากท่านเจ้าอาวาสพูดจบ  โดยไม่ต้องตริตรองตัดสินใจอะไรให้มากเรื่องมากความ  ผู้ใหญ่บ้านคนนั้นตอบรับปากตกลงพระไปในทันที  โดยจะรับเป็นธุระจัดซื้อหาทองสัมฤทธิ์  ทองคำเปลว  และตัวเองจะไปร่วมพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปในพิธีพุทธาภิเษกเดือนหน้า  ซึ่งเป็นงานใหญ่ประจำปี  เกจิอาจารย์ พระเถรานุเถระผู้ใหญ่  และ ช่างฝีมือหล่อ และปั้นพระพุทธรูป จะมาร่วมงานกันอย่างพร้อมเพรียงกัน..

                เจ้าอาวาสถึงกับยิ้มออกมาได้ และทันใดนั้นโดยที่ใคร ๆ คาดไม่ถึง  ท่านกวักมือเรียกผมให้เข้าไปใกล้ ๆ  ใช้ให้ไปหยิบซองกระดาษสีน้ำตาลซองหนึ่งในย่าม ซึ่งวางอยู่ข้างๆตัว ขึ้นมา  และสั่งให้มอบแก่ผู้ใหญ่บ้าน  พร้อมกับพูดว่า  ในซองนี้คือเงินสด ๕๓ ,๐๐๐ บาท   ซึ่งเป็นเงินบุญทอดกฐินสามัคคีในปีที่แล้ว  ขอให้ผู้ใหญ่บ้านนำไปดำเนินการตามที่เห็นสมควร  แล้วแต่ดุลยพินิจเห็นชอบ

                ผู้ใหญ่บ้านคนนั้นระบายยิ้มบนใบหน้า  ดวงตาคมวาวล่อกแล่กแบบตาเหยี่ยวลุกโพลง  ความจริงผมเองนั้นไม่ชอบหน้ามรรคทายกคนนี้มานานแล้วแต่พูดอะไรไม่ออก  ไม่มีอำนาจอะไรไปคัดค้านหรือยุ่มย่าม เพราะตัวเองก็ต้อยต่ำมีฐานะเพียงเด็กวัด กินข้าวก้นบาตรเลี้ยงตัวรอดไปวัน ๆ

                นิสัยของผู้ใหญ่บ้านคนนี้  คดในข้องดในกระดูก   โลภโมโทสัน และไม่รู้จักกรรมเวรบาปบุญคุณโทษ  เบียดบังโกงเงินทอง ข้าวของ ของวัดสารพัดสาระเพ   แม้ทางวัดรู้อยู่แต่ใจ ก็เข้าทำนองน้ำท่วมปาก พูดอะไรไม่ออก  ตกอยู่ในฐานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมาจนทุกวันนี้  เพราะความมีหน้ามีตา อำนาจอิทธิพลท้องถิ่นในหมู่บ้านนั่นเอง

ผมและเด็กวัดคนอื่น ๆ รู้อยู่แก่ใจ  และเห็นตำตามานานว่า  มรรคทายกคอรัปชั่น โกงเงินเอาผลประโยชน์ของวัดที่ญาติโยมเขาศรัทธาบริจาค เพื่ออานิสงส์ไปใช้ส่วนตัว  สร้างความร่ำรวยให้ครอบครัวของตนอย่างไม่ละอายต่อบาป  สมบัติส่วนกลางเครื่องใช้ในวัดก็เอามาไว้บ้าน  แม้ต้นไม้ใหญ่ ในวัด ก็ยังสั่งให้ลูกน้องโค่นมาทำฟืนขาย หารายได้เข้าพกเข้าห่อตัวเองเลย  เรียกว่า  กินเล็กกินใหญ่ ทำตัวเป็นมารศาสนา   โดยที่ไม่มีใครกล้าแตะต้องสอบสวนจับผิด  แบบทำนองเอาลูกกระพรวนไปผูกคอแมวนั่นแหละ

ผู้ใหญ่บ้านคนนี้จึงรอดตัวลอยนวล  ตั้งหน้าตั้งตาทำความชั่วยักยอกผลประโยชน์รายได้ของวัดอย่างคล่องคอ  ไม่ติดขัดอะไร จนมาถึงกรณีเงินค่าหาทองสัมฤทธิ์ และทองคำเปลวไปร่วมพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปในงานพิธีพุทธาภิเษกเดือนหน้านั้น  ผมวิตกและใจหายวูบขึ้นมาว่า  มันจะสูญไปอีก  เพราะกิตติศัพท์การคดโกงคอรัปชั่นของมรรคทายกคนนี้มีอย่างไร  ชาวบ้านและพระเองก็ซึมซาบอยู่แก่ใจดี..ผมก็ได้แต่คิดกังวลไม่สบายใจไปเท่านั้นเอง

มีต่อ....

ที่มา
http://www.fwdder.com/topic/16763

208
กฎแห่งกรรม / ++ กรรมกำหนดคู่ ++
« เมื่อ: 24 พ.ค. 2554, 09:34:16 »
กรรมกำหนดคู่ :026:

อ่านแล้วเผื่อทำให้เพื่อนๆ เข้าใจเรื่องที่ทำไมต้องพบต้องจากมากขึ้น ลองดูๆ

มีชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมาก คบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน
ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่า คู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน โดยฝ่ายหญิงเองก็เต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด
เมื่อได้ทราบข่าว เขาทั้งงงและเสียใจมาก ร้องไห้ไม่กินไม่นอน ไม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ

เวลาผ่านไป ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆไปหาหมอเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น มีหลวงตาแก่ๆผ่านมา
เมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน แล้วมองเข้าไปในบ้านจึงเคาะประตู เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่า เป็นพระ จึงบอกว่า ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาต ในบ้านมีคนป่วยใช่มั๊ย อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อย
ไม่รู้จะพอช่วยได้รึปล่าว เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้งแต่ก็บอกว่าตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย
เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่าอยากเข้ามา ก็เข้ามา!

เมื่อหลวงตาเข้าไปพบที่ห้องนอนพบว่า ชายคนดังกล่าวนอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง สีหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเตียงของชายคนนั้น หลวงตายิ้มแล้วพูดว่าอาการหนักเลยนะ
ชายคนนั้น นิ่งเงียบไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูด หลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี จึงกล่าวว่า โทรมมากเลยนะ
ชายคนนั้นไม่สนใจ หลวงตาบอกว่าไม่เชื่อ ลองมองที่กระจกสิ
ชายคนนั้นไม่สนใจ แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆจางหายไป กลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล

ที่ชายทะเลแห่งนั้นเงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา ขณะที่ชายคนที่ป่วยนั้น มองภาพในกระจกด้วยความสนใจนั้น
เขาพบว่า มีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด เวลาผ่านไปสักครู่ มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพหญิงคนนั้นด้วยความรังเกียจ แล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ต่อมาพักใหญ่มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพนั้น เขาสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุมร่างของหญิงคนนั้น แล้วเดินจากไป พักใหญ่ๆอีกเช่นกัน มีชายอีกคนเดินผ่านมา เขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่ จึงเปิดออกดู เมื่อพบว่า เป็นศพ
ด้วยใจสงสาร จึงจะฝังให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง 2 ข้างๆ ค่อยๆกอบทรายขึ้นมา เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเย็น พอได้หลุมใหญ่พอสมควร จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป

จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพของศพหญิงคนนั้น และก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก เขาได้เห็นก็ตกใจ พอสักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2 แล้วก็ค่อยๆจางหายไป เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก

ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า ทีนี้เข้าใจรึยัง ศพนั้นคือคู่รักของโยม ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอ จึงผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน

เมื่อชายคนนั้นฟังจบก็กระอักเลือดออกมา เด็กรับใช้ตกใจมาก หลวงตายิ้มแล้วบอกว่า โยมรอดแล้ว เมื่อกี้โยมกระอักเลือดเอาเลือดเสียออกมาแล้ว ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชในที่สุด



^_^ คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความสัมพันธ์ พ่อ , แม่ , พี่ , น้อง ,
ญาติ , เพื่อน , ศัตรู , คนรัก ฯลฯ ไม่ใช่ของเลื่อนลอย
เมื่อมีวาสนา ไม่ต้องเรียกร้อง ถึงเวลาก็มาเจอกัน
เมื่อสิ้นวาสนา ก็ต้องจากกัน รั้งยังไงก็ไม่อยู่
ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้ คุณทำได้ทำดีต่อคนของคุณหรือยัง
เพราะถึงเวลาที่ต้องจากกัน ไม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้า

ก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้
ทำดีต่อกันไว้ดีกว่า เพราะไม่มีใครรู้ว่า เราจะต้องจากกันเมื่อไหร่ ^_^

ที่มา
http://board.upmaxclub.com/index.php?topic=33069.0

อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้องได้ที่นี่....ผลกรรมกำหนดโชคชะตา
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=13660.msg125034#msg125034

209
บ้านร้างบางเลน


สถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมจริงในอดีต เป็นบ้านไม้ 2 ชั้นของคนมีฐานะ คดีเกิดขึ้นเมื่อ 10 ปี ก่อน เมื่อลูกสาวของเจ้าของบ้านเกิดไปหลงรักอยู่กับแฟนหนุ่มซึ่งฐานะไม่ร่ำรวยนัก...


แต่หนุ่มคนนี้มีความขยันขันแข็ง ทำงานหาทุนส่งตัวเองเรียนต่อยังต่างประเทศ แต่ฝ่ายพ่อ ของผู้หญิงไม่ชอบว่าที่ลูกเขยคนนี้เท่าไหร่นัก เพราะอยากให้ลูกสาว แต่งงานกับผู้ชาย ที่ฐานะร่ำรวยกว่า...

ไม่ว่าจะอ้อนวอนอย่างไรลูกสาวก็ไม่ยอมตัดใจจากแฟนหนุ่ม พ่อฝ่ายหญิง จึงออกอุบาย เรียกให้แฟนหนุ่มของลูกสาวกลับมาเมืองไทย เมื่อฝ่ายชายกลับมาถึง พ่อของฝ่ายหญิง ก็สั่งให้ลูกน้องยิงตายคาบ้าน และนำศพไปอำพรางคดีไว้บริเวณบ่อน้ำหลังบ้าน... ที่เคยเป็นคดีเขย่าขวัญพาดหัวหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งหลายฉบับมาแล้ว ซึ่งคราบเลือด จากเหตุการณ์ครั้งนั้นกระเซ็นเลอะข้างฝาบ้านจวบจนทุกวันนี้...


ต่อมาพ่อแม่ฝ่ายชายทราบเรื่อง จึงว่าจ้างมือปืนให้มาฆ่าพ่อของฝ่ายหญิง ให้ตายตกตาม กันไป...



บ้านหลังนี้จึงถูกปล่อยให้รกร้างตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และไม่มีใครกล่าวถึงฝ่ายหญิง ว่าหายไปอยู่ที่ไหน แต่ยามดึกมักมีคนเห็นชายหนุ่มผมเปียกน้ำมายืนรอแฟนสาวอยู่เสมอ จนกระทั่งมีผู้หญิงมาผูกคอตายที่นี่เป็นคดีรายล่าสุด...



ที่มา
http://www.ghostthai.studiad.com/Scary%2003.html

210
เรื่องผีๆ ผีเฮี้ยนในห้างดัง

ก่อนอื่น ต้องขอออกตัวก่อนนะว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง จะพยายาม ไม่เอ่ย ถึงสถานที่ชัดเจน เพื่อผลกระทบ…..ตอนนี้ก็ยังมีให้เห็น และเป็นอยู่….เคยโทรไปออนแอร์นานแล้วกับพิธีกรผีๆกพล ทองพลับ เมื่อสิบกว่าปีมาแล้วครับ….ซึ่งญาติผมเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าหน้าที่ทำงานด้าน วิศวกร ออกแบบ ก่อสร้าง…ไม่ขอเอ่ยนาม

……ห้างหนึ่ง ในกรุงเทพมหานคร ได้ทำการก่อสร้าง และมีบริษัท รับเหมา ทั้งออกแบบ และก่อสร้าง ควบคุม ดูแลงาน…ได้มีการก่อสร้าง ตามขั้นตอน ตามแบบแปลน ที่วางไว้ จาก ชั้น2ไปชั้น3 ขอย้ำนะครับว่า จากชั้น2 ไปชั้นที่3 ….เรื่องเกิดตรงนี้…

หลังจากสร้างเสร็จแล้ว มีการย้ายเข้าไปอยู่ของทางร้านค้าต่างๆ เป็นทั้งแบบดีพาร์ท และแบบให้เช่า อยู่ได้ไม่นานครับ เจ๊ง และหาผู้เช่ารายใหม่ ความว่า กลางคืน ทั้งยาม ทั้งแม่บ้าน เจอกันทุกราย เช่น หุ่นเดินได้ แม่บ้านทำความสะอาดที่มาทำงานก่อนห้างเปิด เจอ คนนั่งร้องไห้ เสื้อผ้าลอยได้ คนวิ่งเข้าไปในต้นเสา …ทีแรก นึกว่าเป็นขโมย ต้องตามยามมาค้นหา แต่ก็หาไม่เจอ…ช่วงห้างเลิก…วงจรปิด จับภาพ คนได้ นึกว่า ขโมยแอบเข้ามา ค้นหา ไม่เจอครับ

……………พอมีการเปลี่ยนเจ้าใหม่ ก็ต้องมีการปิดปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ออกแบบ ภายในใหม่ โดย วิศวกรกลุ่มเดิม มาคุมงาน…หลังจาก ห้าทุ่มแล้ว พวก วิศวกร พากันขึ้นไปทานข้าว ที่ห้องอาหารชั้น5 …ซึ่งปิดปรับปรุงเหมือนกัน แต่ก็ยังมีโต๊ะ เก้าอี้ให้นั่ง โดยการซื้ออาหารมาทานเองครับ …เหล่าคนงานที่มาตกแต่งร้านก็พากันกลับหมดแล้ว…กลุ่มพวกวิศวะ พากันนั่งทานอาหารกันอยู่นั้น เหลือบไปเจอ ผู้หญิงวัยกลางคนท่านหนึ่งนั่งหน้าเศร้าอยู่ในมุมมืด..มองมาทางกลุ่มที่ทานข้าวอยู่…

หัวหน้า พูดกับลูกน้องว่า..ใครวะ ดึกๆ ดื่นๆ ยังไม่กลับอีก มานั่งอยู่ตรงนั้น ไปเรียกเขามาทานข้าวด้วยกันซิ…แล้วก็ให้ลูกน้องไปเรียก หญิงวัยกลางคน คนนั้น มาทานข้าวด้วย..…….พี่ๆๆ ทำไมยังไม่กลับอีก มาทำอะไรอยู่ตรงนี้หรือ…ไม่มีเสียงตอบรับจากหญิงวัยกลางคนก็เลยสำทับกับคำถามเดิมอีกครั้ง…พี่ๆ ทำไมยังไม่กลับอีก มาทำอะไรอยู่ตรงนี้…หัวหน้า เรา ให้ผมมาเรียกไปทานอาหารด้วยกัน…มาม๊ะ มาทานอาหารด้วยกัน..เสียงหญิงคนนั้น พูดช้าๆเสียงออกทำนองอิสานว่า..บ่ไปหรอก..ให้หัวหน้าเธอมาทานที่นี่ซิ..ฝ่ายลูกน้องก็ตะโกนไปบอกหัวหน้าที่นั่งห่างไม่ไกลเท่าไหร่ ประมาณสัก 5-6 เมตร ว่า หัวหน้า ..เธอไม่ไปหรอก เธอให้พวกเรา มาทานที่โต๊ะของเธอ…จะบ้าเรอะ พวกเราเยอะกว่า จะให้ย้ายไปที่คนน้อยกว่าได้ไง..มานั่งที่นี่ด้วยกันซิ..ผู้หญิงคนนั้นได้ยิน ค่อยๆหันหน้า มาทางหัวหน้าและกลุ่มวิศวะอย่างช้าๆมองแบบตาขวางๆหน้าเศร้าๆ แล้วพูดขึ้นมาว่า หัวหน้า ไม่เจอกันตั้งนาน ยังใจดำเหมือนเดิมนะ….หัวหน้า งง ..ป้ารู้จักผมหรือ ทำไมผมไม่รู้จักป้าเลย….ทำไมจะไม่รู้จักละ ป้าตอบ..เออ แล้วป้า เป็นใคร อยู่ที่ไหน มาทำอะไรที่นี่…เสียงจากหญิงลึกลับพูดมาว่า..เวลาผ่านมาไม่นาน ทำเป็นจำหนูไม่ได้ ก็หนูติดอยู่ที่ต้นเสาชั้นสอง ที่หัวหน้าไม่ยอมเอาหนูออกมาไง…เสียงตอบจากป้า

….แค่นั้นละ…หัวหน้าวิศวะ วิ่งป่าราบ ก่อนเพื่อนเลย ลูกน้องที่นั่งอยู่ด้วย ก็วิ่งตาม…ไป และถามหัวหน้าข้างนอกตึกว่า วิ่งทำไมหรือ…หัวหน้าตอบว่า…มันไม่ใช่คน……………..แล้วก็เลยเล่าเรื่อง ที่เกิดขึ้นพลางสำทับไปว่า…ห้ามแพร่งพราย…ไม่งั้น เดือดร้อนกันทั่ว…จนกว่าเราจะหมดพันธะจากการเป็นที่ปรึกษาของบริษัทนี้ก่อน…

เรื่อง ที่ ปกปิด เป็นความลับ คือว่า ห้างแห่งนี้ ตอนก่อสร้าง ได้มีคนงาน เป็นหญิงวัยกลางคนชาว อิสาน ได้ตกไปใน เสาเอก หรือเสาหลัก ตอนเทปุน…มาเจอตอนที่เขาแกะบล็อกออกจากเสา จึงรู้ว่า มีคนอยู่ข้างใน…จะเอาออก ก็ไม่ได้ ต้องทำการรื้อใหม่ ทั้งชั้น จะสูญเสียงบไป หลายสิบล้านบาท…จึงหาวิธีแก้ โดยการโบกปูนฉาบทับไปเลยและปิดเป็นความลับ สุดยอด…สอบถามถึงคนที่ติดอยู่ข้างใน เป็นใคร …สุดท้ายจึงรู้ว่า เป็นเมียคนงาน ที่ทำงานอยู่ที่นี่…ฝ่ายผู้รับเหมา และวิศวะเลยต้องหาวิธีโดยไม่ต้องรื้อ…ทำไงหรือครับ เสนอเงินจำนวนหนึ่ง ให้ฝ่ายสามี…แล้วก็ฉาบปูนทับไปเลย ไม่มีการเอาศพออก….เรื่องก็เงียบไป….แต่อย่างว่าละครับ…มันเลยเป็นอาถรรพ์ ใครมาบริหารห้างนี้ เจ๊งแล้ว เจ๊งอีก ผมก็เคย ไปดูให้เห็นกับตามาแล้ว…แต่คนที่มาอยู่ใหม่ เจ้าใหม่ คงไม่รู้แน่ๆ

……ทุกวันนี้ ก็ยัง เฮี้ยนไม่เลิกครับ……สงสารเจ้าของใหม่ แม่บ้าน และยาม ที่เขาไม่รู้..ต้องเจอดี

ที่มา
http://www.facebook.com/pages/เรื่องเล่าชาวนาฏศิลป/167065519978222

211
ประสบการณ์วิญญาณ / .::: แท็กซี่ผี :::.
« เมื่อ: 22 พ.ค. 2554, 09:36:12 »
.::: แท็กซี่ผี :::.

ผมอยู่แถวซอยร่วมจิตต์ใกล้ๆ ศรีย่านนี่เองครับ วันดีคืนร้ายก็ไปเที่ยวถนนข้าวสารกับเพื่อนเกลอคือเจ้าอู๋ อยู่บ้านติดๆ กัน โดยขึ้นรถเมล์สาย 9 ไปลงบางลำพูพอดี

วันเสาร์ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ถนนข้าวสารคึ่กๆ ตั้งแต่หัวค่ำ ไม่ว่าคนไทยหรือนักท่องเที่ยวทั้งฝรั่ง ญี่ปุ่น จีน ล้วนแต่ได้ยินชื่อถนนข้าวสารอันโด่งดังระดับโลกมาหลายปีแล้ว เลยแห่มาเที่ยวกันเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะพวกฝรั่งนี่หลายรายถึงกับหอบลูกจูงหลานมาเที่ยว ขนาดลูกเล็กๆ ใส่รถเข็นยังมีนี่นา

ที่ค่อนข้างแปลกหูแปลกตาของพวกเราก็คือฝรั่ง แก่ๆ ขนาด 60-70 ปีขึ้นไปยังอุตส่าห์หอบสังขารมาเที่ยวถนนชื่อกระฉ่อนกับเขาเหมือนกัน เหลือเชื่อจริงๆ เอ้า!

คนพวกนี้ก้มหน้าก้มตาทำงานหนักมาตั้งแต่ หนุ่มยังสาว เพื่อเก็บเงินเก็บทองเอาไว้เดินทางไปเที่ยวเตร่ เปิดหูเปิดตาต่างแดน ตรงข้ามกับพวกเราที่แก่ตัวเข้าก็มักอยู่บ้านเลี้ยงหลาน หรือไม่ก็เข้าวัดเข้าวาไปเลย

โธ่! แก่ตัวเข้าเรี่ยวแรงก็ถดถอย ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็หอบแฮกแล้ว ผมว่าสู้ไปเที่ยวตอนที่ยังสาวหนุ่มกระชุ่ม กระชวย เรี่ยวแรงแข็งขันยังจะเข้าท่ากว่าเป็นกอง

อย่างว่าละครับ วัฒนธรรมของใครของมัน ไม่ว่ากันอยู่แล้วงานนี้จะหนุ่มสาวหรือเฒ่าแก่ก็ขอให้มาเที่ยวสยามเมืองยิ้ม กันเยอะๆ ก็แล้วกัน เงินทองจะได้ไหลมาเทมา ผู้คนจะได้มีงานบริการทำเยอะๆ พ่อค้าแม่ขายก็จะได้ซื้อง่ายขายคล่อง คนยากคนจนจะได้ลืมตาอ้าปากซะที...เศรษฐกิจตกสะเก็ดมาหลายปีแล้วครับ

การ ท่องเที่ยวถือว่าไม่ต้องลงทุนลงรอนอันใด รับเนื้อๆ ลูกเดียวเท่านั้น!

อ้าว? ผมก็เผลอไผลติดลมบนไปหน่อย เดี๋ยวก็ลืมเรื่องขนหัวลุกจนได้

บรรยากาศ ที่ถนนข้าวสารจะสนุกสนาน น่าตื่นตาตื่นใจแค่ไหนคงไม่ต้องบรรยายให้เสียเวลาก็ได้นะครับ...เรื่องมา เกิดเอาอีตอนที่ผมกับเจ้าอู๋ออกจากร้านเบียร์ที่ตั้งโต๊ะบนฟุตปาธตอนห้าทุ่ม กว่า...เลยไปออกทางด้านใกล้ๆ สี่แยกคอกวัวเพื่อหาแท็กซี่กลับบ้าน เพราะเรากำลังเมาฉ่ำๆ กันทั้งคู่

เชื่อไหมครับว่าแท็กซี่ 5-6 คันที่เปิดไฟสว่าง เลี้ยวจากถนนราชดำเนินมาจอดน่ะ ไม่มีใครยอมรับเราซักคัน!

...พอ เปิดประตูหลังเท่านั้น คนขับก็หันมาถามทันทีว่าจะไปไหน? พอบอกจุดหมายก็ส่ายหน้า ออกรถไปทันที! บางคันที่เราเปิดประตูหน้าถามว่าจะไปมั้ย? ก็หันมองด้วยสายตารำคาญ บอกว่าไม่ไป! เจ้าอู๋ชักยัวะเลยถามว่าพี่จะไปทางไหนล่ะ? คนขับก็ยืนยันว่าไม่ไป...ก่อนจะแล่นพรวดออกไปเลย

"มึงจะรับแต่ฝรั่ง หรือไงวะ?" เจ้าอู๋ตะโกนตามหลัง... แท็กซี่ที่ขับเลยไปก็คงผ่านถนนสิบสามห้างที่ไม่มีฝรั่ง หรือนักท่องเที่ยวอะไร...คงจะหาทางวกมาล่าเหยื่อรอบ ใหม่

ได้ข่าวว่า ตำรวจสน.ชนะสงคราม งานหนักจนประสาทกินไปหลายนายแล้ว ไม่ลองแต่งนอกเครื่องแบบมาสังเกตการณ์มั่งนี่ครับ...อย่าลืมว่าที่แท็กซี่ ไม่อยากรับคนไทยก็มีสาเหตุเดียวคือ...ไม่ได้โขกเงินชนิดขูดรีดเหมือนผู้ โดยสารฝรั่ง

ไม่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวก็อย่าทำลายเลยครับ!

ใน ที่สุดก็มีแท็กซี่เปิดไฟว่างแล่นเข้ามา เจ้าอู๋โบกมือให้จอดก่อนจะเปิดประตูหลังขึ้นไปนั่งทันทีพร้อมกับบอกจุดหมาย ผมก้าวตามเพื่อนไปติดๆ นั่งรอจะว่าโดนบอกปัดท่าไหน? ยอมรับว่ากำลังเดือดปุดๆ จนแทบหายมึนเบียร์ละครับ แต่ผิดหวังแฮะ...แท็กซี่รับคำแล้วออกรถไปเลี้ยวขวาเข้าถนนพระสุเมรุ ผ่านหน้าวัดบวรฯ เจ้าอู๋บ่นดังๆ ว่าแท็กซี่คันอื่นไม่รู้เป็นไง ไม่ยอมรับเราซักคัน

เสียงหัวเราะหึๆ อย่างอารมณ์ดีดังขึ้น ผมเหลือบดูก็เห็นคนขับเป็นชายชราผมขาวค่อนข้างยาว มุมปากมีรอยยิ้มนิดๆ ขณะเลี้ยวซ้ายที่สี่แยกวันชาติ แล่นไปตามถนนประชาธิป ไตยที่รถราค่อนข้างโล่งว่าง...ไม่ช้าก็เข้าสู่ถนนนครราชสีมาอย่างรวดเร็ว...

จน กระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง ผมเห็นมิเตอร์ขึ้นเกือบ 70 บาท แต่นึกถึงน้ำใจแกที่ไม่เห็นแก่ตัว บอกปัดผู้โดยสารคนไทยด้วยกัน เลยส่งแบงก์ร้อยให้...บอกไม่ต้องทอน ได้ยินเสียงขอบคุณครับเบาๆ ก่อนที่เราจะลงจากรถ...แล้วต้องยืนตะลึงงันกันทั้งคู่

ท่ามกลาง แสงไฟถนนเยือกเย็น แท็กซี่คันนั้นแล่นไปทางสี่แยกพิชัย...แล้วเลือนรางจางหายไปต่อหน้าต่อตาเรา นั่นเอง...นึกถึงเรื่องนี้ทีไรผมกับเจ้าอู๋ขนหัวลุกทุกทีไป!

ข้อมูลจาก ข่าวสด

ที่มา
www.khaosod.co.th


212
ธรรมะ / มิลินทปัญหา 8
« เมื่อ: 22 พ.ค. 2554, 08:40:16 »
ต่อจากตอนที่ 7
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=22956
============
- ตอนที่ ๘ -

 มิลินทปัญหา วรรคที่ ๓ (ต่อ)

  ปัญหาที่ ๖ ถามเรื่องผู้ถึงเวทย์

     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
     “ ข้าแต่พระนาคเสน เวทคู คือผู้ถึงเวทย์มีอยู่หรือ? ”
     พระเถระจึงย้อนถามว่า
     “ มหาบพิตร ในข้อนี้ใครชื่อว่าเวทคู ? ”
     พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อัพภันตรชีพ คือสิ่งที่เป็นอยู่ในภายในนี้ ย่อมเห็นรูปด้วยตาได้ยินเสียงด้วยหู สูดดมกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น ถูกต้องสัมผัสด้วยกาย รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ นี้แหละชื่อว่า “ เวทคู ” โยมจะเปรียบให้พระผู้เป็นเจ้าฟัง เหมือนหนึ่งว่าเราทั้งสองนั่งอยู่ที่ปราสาทนี้ปรารถนาจะแลดูออกไปทางช่องหน้าต่างใด ๆ ก็แลดูออกไปทางช่องหน้าต่างนั้น ๆ จะเป็นทางตะวันออก หรือทางตะวันตก ทางเหนือ ทางใต้ ก็ได้ตามประสงค์ฉันใด อัพภันตรชีพ คือสิ่งที่เป็นอยู่ในภายในร่างกายนี้ ต้องการจะดูออกไปทางทวารใด ๆ ก็ดูออกไปทางทวารนั้น ๆ แล้วก็ได้เห็นรูปด้วยตา ได้ฟังเสียงด้วยหู ได้สูดดมกลิ่นด้วยจมูก ได้รู้รสด้วยลิ้น ได้ถูกต้องสัมผัสด้วยกาย ได้รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ ฉันนั้น ”
     พระนาคเสนถวายพระพรตอบว่า
     “ อาตมภาพจะกล่าวให้ยิ่งขึ้นไป คือเราทั้งสองนั่งอยู่ที่ปราสาทนี้ ต้องการจะแลออกไปทางช่องหน้าต่างใด ๆ จะเป็นทางตะวันออกหรือตะวันตก ทางเหนือ ทางใต้ ก็ได้เห็นรูปต่าง ๆ ฉันใด
     บุคคลต้องได้เห็นรูปด้วยตา หู จมูก ลิ้น กายใจ อันเป็น อัพภันตรชีพ อย่างนั้นหรือ ?
     ต้องได้ฟังเสียงด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉันนั้นหรือ?
     ต้องได้สูดกลิ่นด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉันนั้นหรือ?
     ต้องได้รู้รสด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉันนั้นหรือ?
     ต้องถูกต้องสัมผัสด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉันนั้นหรือ ?
     ต้องรู้ธรรมารมณ์ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉันนั้นหรือ? ”
     “ ไม่ใช่ฉันนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร คำหลังกับคำก่อน หรือคำก่อนกับคำหลังของมหาบพิตร ย่อมไม่สมควรแก่กัน เหมือนอย่างว่าเราทั้งสองนั่งอยู่ที่ปราสาทนี้ เมื่อเปิดช่องหน้าต่างเหล่านี้ไว้ แล้วแลออกไปภายนอกทางอากาศอันกว้างใหญ่ ก็ต้องเห็นรูปได้ดี ฉันใด อัพภันตรชีพ นั้น เมื่อเปิดจักขุทวารหันหน้าออกไปภายนอกทางอากาศอันกว้างใหญ่ก็เห็นรูปได้ดี เมื่อเปิดหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไว้แล้วหันหน้าออกไปภายนอกทางอากาศอันกว้างใหญ่ ต้องเห็นรูปได้ดีฉันนั้น อย่างนั้นหรือ ? ”
     “ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร คำหลังกับคำก่อนหรือคำก่อนกับคำหลังของมหาบพิตร ย่อมไม่สมควรแก่กัน เหมือนอย่างว่า มียาจกเข้ามารับพระราชทานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากมหาบพิตร แล้วออกไปยืนอยู่ที่ซุ้มประตูภายนอก มหาบพิตรทรงรู้หรือไม่? ”
     “ อ๋อ…รู้ซิ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ขอถวายพระพร ผู้ที่ได้รับพระราชทานแล้วเข้าไปภายใน ยืนอยู่ตรงพระพักตร์ของมหาบพิตร พระองค์รู้หรือว่าผู้นี้เข้ามาในภายใน มายืนอยู่ข้างหน้าเรา ? ”
     “ รู้ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือ อัพภันตรชีพ นั้น เมื่อวางรสไว้ที่ลิ้น ก็รู้ว่าเป็นรสเปรี้ยว หรือรสเค็ม รสขม รสเผ็ด รสฝาด รสหวานหรือไม่ ? ”
     “ รู้ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เมื่อรสเหล่านั้นไม่เข้าไปภายใน อัพภันตรชีพ นั้น รู้หรือไม่ว่าเป็นรสเปรี้ยว รสเค็ม รสขม รสเผ็ด รสฝาด รสหวาน ? ”
     “ไม่รู้ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ นี่แหละ มหาบพิตร จึงว่าคำหลังกับคำก่อน หรือคำก่อนกับคำหลังของมหาบพิตรไม่สมควรแก่กัน ไม่สมกัน
     เหมือนกับมีบุรุษผู้หนึ่งให้บรรทุกน้ำผึ้งตั้ง ๑๐๐ หม้อ มาเทลงในรางน้ำผึ้ง แล้วมัดปากบุรุษนั้นไว้ จึงเอาทิ้งลงไปในรางน้ำผึ้งบุรุษนั้นจะรู้จักรสน้ำผึ้งหรือไม่? ”
     “ ไม่รู้ พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เพราะอะไรล่ะ มหาบพิตร ? ”
     “ เพราะน้ำผึ้ง ไม่เข้าไปในปากของเขา ”
     “ ขอถวายพระพร ด้วยเหตุนี้แหละ จึงว่าคำหลังกับคำต้น หรือคำต้นกับคำหลังของมหาบพิตร ไม่สมควรแก่กัน เข้ากันไม่ได้”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมไม่อาจสนทนากับพระผู้เป็นเจ้าในข้อนี้ได้แล้ว ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแสดงข้อนึ้ให้โยมเข้าใจเถิด ”
     ลำดับนั้น พระเถระจึงแสดงให้พระเจ้ามิลินท์เข้าพระทัย ด้วยถ้อยคำอันเกี่ยวกับ อภิธรรม ว่า
     “ ขอถวายพระพร จักขุวิญญาณ ย่อมเกิดขึ้นได้ เพราะอาศัย ตา กับ รูป แล้วจึงมี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ อันเกี่ยวข้องกับจักขุวิญญาณนั้น เกิดขึ้นตามปัจจัยถึง โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ ก็เกิดขึ้นได้เพราะอาศัย หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับโผฏฐัพพะ ใจกับธรรมารมณ์แล้วจึงเกิด เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เหมือนกัน เป็นอันว่าผู้ชื่อว่า “ เวทคู ” ไม่มีในข้อนี้ ขอถวายพระพร”
     พระเจ้ามิลินท์บรมกษัตริย์ ได้ฟังชัดก็โสมนัสปรีดา มีพระราชดำรัสตรัสสรรเสริญว่า
     “ พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนานี้ สมควรแล้ว ”


      อธิบาย   
      
คำว่า “ เวทคู ” แปลว่า ผู้ถึงเวทย์ ท่านหมายความว่า เป็นผู้ถึงชึ่งความรู้ คือผู้รับรู้สิ่งต่าง ๆ พระเจ้ามิลินทร์เข้าใจว่า เวทคู นั้นเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน เป็นของมีชีวิตอยู่ภายใน อันเรียกว่า อัพภันตรชีพ ว่าเป็นผู้เห็นรูปด้วยตา ฟังเสียงด้วยหู หรือดมกลิ่นด้วยจมูก เป็นต้น ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด

ส่วนที่ถูกนั้น พระนาคเสนท่านกล่าวว่า ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน หรือ อัพภันตรชีพ คือสิ่งที่เป็นอยู่ในภายใยเป็นเวทคูเลย การที่รู้อารมณ์ต่าง ๆ นั้น ได้แก่ วิญญาณ อันเกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กับ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ต่างหากดังนี้ คือข้อนี้ท่านมุ่งแสดงเป็นปรมัตถ์ ( คือเรื่องของจิตและเจตสิก) ไม่ได้มุ่งแสดงเป็นสมมุติ ( คือธรรมะทั่วไป ) ถ้าว่าเป็นสมมุติ เวทคู นั้นก็มีตัวตน ดังนี้


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin08.php

213
ธรรมะ / มิลินทปัญหา 7
« เมื่อ: 20 พ.ค. 2554, 10:26:28 »
ต่อจากตอนที่่ 6
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=22922

- ตอนที่ ๗ -

 มิลินทปัญหา วรรคที่ ๒ (ต่อ)

  ปัญหาที่ ๖ ถามการถือกำเนิดแห่งนามรูป


     “ ข้าแต่พระนาคเสน อะไรปฏิสนธิ คือถือกำเนิด ? ”
     “ มหาราชะ นามรูป ถือกำเนิด ”
     “ นามรูปนี้หรือ…ถือกำเนิด ? ”
     “ มหาราชะ นามรูปนี้ไม่ได้ถือกำเนิด แต่ว่าบุคคลทำกรรมดีหรือชั่วด้วยนามรูปนี้ นามรูปอื่นก็ถือกำเนิดด้วยกรรมนั้น ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้านามรูปนี้ไม่ได้ถือกำเนิด ผู้นั้นก็จักพ้นบาปกรรมทั้งหลายไม่ใช่หรือ ? ”
     “ ขอถวายพระพร ถ้าผู้นั้นไม่เกิดแล้วก็พ้นจากบาปกรรมทั้งหลาย แต่ถ้ายังเกิดอยู่ก็หาพ้นไม่ ”
     “ ขอนิมนต์ได้โปรดอุปมาด้วย ”

อุปมาด้วยผลมะม่วง

     “ ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึ่งไปขโมยผลมะม่วงของเขามา แต่เจ้าของมะม่วงนั้นจับได้ จึงนำไปถวายพระราชา กราบทูลว่า บุรุษผู้นี้ขโมยมะม่วงของข้าพระองค์ บุรุษนั้นจะต้องกราบทูลว่า ข้าแต่สมมุติเทพ ข้าพระองค์มิได้ขโมยมะม่วงของบุรุษนี้ มะม่วงที่บุรุษนี้ปลูกไว้เป็นมะม่วงอื่น ส่วนมะม่วงที่ข้าพระองค์นำไปนั้น เป็นมะม่วงอื่นอีกต่างหาก ข้าพระองค์ไม่ควรได้รับโทษ ดังนี้ อาตมภาพจึงขอถามมหาบพิตรว่า บุรุษผู้นั้นควรจะได้รับโทษหรืออย่างไร ? ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า บุรุษนั้นควรได้รับโทษ ”
     “ เพราะอะไรล่ะ มหาบพิตร ? ”
     “ เพราะว่า บุรุษนั้นรับว่าไปเอาผลมะม่วงมาแล้ว แต่บอกว่าเอาผลมะม่วงลูกก่อนไปถึงกระนั้นก็ควรได้รับโทษด้วยผลมะม่วงลูกหลัง ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือบุคคลทำกรรมดีหรือชั่วอันใดไว้ ด้วยนามรูปนี้แล้ว นามรูปอื่นก็ถือกำเนิดสืบต่อกันด้วยกรรมนั้น เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่พ้นไปจากบาปกรรมขอถวายพระพร ”
     “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไป ”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin07.php

214
ชีวกโกมารภัจจ์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


ข้อมูลทั่วไป

ชื่อเดิม:    ชีวกโกมารภัจจ์
พระนามอื่น:    ชีวกโกมารภัจจ์
สถานที่ประสูติ:   กรุงราชคฤห์
ตำแหน่ง:   แพทย์ประจำพระพุทธเจ้า
เอตทัคคะ:   ผู้เป็นที่รักของปวงชน
อาจารย์:   พระอาจารย์แห่งกรุงตักสิลา
สถานะเดิม
ชาวเมือง:   ราชคฤห์
นามพระบิดา:   พระเจ้าอภัยราชกุมาร
นามพระมารดา:   นางสาลวดี
วรรณะเดิม:   กษัตริย์
ราชวงศ์:   หารยังกะ
การศึกษา:   วิชาแพทย์
อาชีพ:   แพทย์, หมอ

หมอชีวกโกมารภัจจ์ เป็นบุตรของนางสาลวดี นครโสเภณีประจำเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ในสมัยนั้นตำแหน่งนี้มีเกียรติยศต่างจากในสมัยนี้ นางสาลวดีตั้งครรภ์โดยบังเอิญ
เมื่อคลอดบุตรชายออกมาจึงสั่งให้สาวใช้นำไปทิ้ง แต่อภัยราชกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าพิมพิสารไปพบเข้า จึงนำมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม
ชื่อ ชีวก ตั้งขึ้นตามคำกราบทูลตอบคำถามของพระองค์ที่ตรัสถามว่า เด็กยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า มหาดเล็กกราบทูลว่า ยังมีชีวิตอยู่(ชีวโก)
ส่วนคำว่า โกมารภัจจ์ แปลว่า กุมารที่ได้รับการเลี้ยงดู หรือ กุมารในราชสำนัก หมายถึง บุตรบุญธรรม นั่นเอง
เมื่อเติบโตขึ้นชีวกถูกพวกเด็ก ๆ ในวังล้อเลียนว่า เจ้าลูกไม่มีพ่อ ด้วยความมานะ จึงหนีพระบิดาไปเรียนศิลปวิทยาที่เมืองตักสิลา เพื่อเอาชนะคำดูหมิ่น

วิชาที่เลือกเรียนคือวิชาแพทย์ แต่เนื่องจากไม่มีค่าเล่าเรียน จึงอาสารับใช้พระอาจารย์ เมื่อเรียนอยู่ถึง 7 ปี จึงลาอาจารย์กลับบ้าน ระหว่างทางอาจารย์ให้ไปหาต้นไม้ที่ทำยาไม่ได้
ให้เก็บตัวอย่างมาให้ดู ปรากฏว่ากลับมามือเปล่า เพราะต้นไม้ทุกต้นใช้ทำยาได้ อาจารย์บอกว่าเขาได้เรียนจบแล้ว จึงอนุญาตให้กลับได้
หลังจากกลับเมืองมาแล้ว ได้รักษาพระเจ้าพิมพ์พิสารให้หายขาดจากภคันทลาพาธ (โรคริดสีดวงทวาร)ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหมอหลวง และได้รับพระราชทานสวนมะม่วง
แต่ต่อมาหมอชีวกก็ได้ถวายสวนนี้ให้พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย และได้ถวายตัวเป็นแพทย์ประจำพระองค์อีกด้วย
ด้วยความที่เป็นคนบำเพ็ญแต่สิ่งที่ดีงาม ช่วยเหลือผู้เจ็บป่วย ไม่เลือกฐานะ จึงได้รับการยกย่อจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอตทัคคะ ในด้าน เป็นที่รักของปวงชน
ในวงการแพทย์แผนโบราณในปัจจุบันนี้ ถือว่าหมอชีวกโกมารภัจจ์เป็น บรมครุแห่งการแพทย์แผนโบราณ เป็นที่เคารพของประชาชนทั่วไป


ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/

215
ธรรมะ / มิลินทปัญหา 6
« เมื่อ: 18 พ.ค. 2554, 11:36:52 »
คืนนี้ นิวรณ์ยังไม่มา ขอต่อด้วย มิลินทปัญหา 6
ต่อจากตอนที่ 5 http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=22918.msg186428#msg186428

- ตอนที่ ๖ -

 มิลินทปัญหา วรรคที่ ๒

  ปัญหาที่ ๑ ถามความสืบต่อแห่งธรรม


   สมเด็จพระเจ้ามิลินท์บรมกษัตริย์ พระบาทท้าวเธอได้ตรัสถามปัญหาต่อไปว่า
    “ ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดเกิดก็เป็นผู้นั้นหรือว่ากลายเป็นผู้อื่น? ”
     พระเถระถวายพระพรตอบว่า
     “ ไม่ใช่ผู้นั้น และไม่ใช่ผู้อื่น ”
     “ โยมยังสงสัยขอนิมนต์อุปมาก่อน ”
     “ ขอถวายพระพร มหาบพิตรเข้าพระทัยว่าอย่างไร…คือมหาบพิตรเข้าพระทัยว่า เมื่อมหาบพิตรยังเป็นเด็กอ่อน ยังนอนหงายอยู่ที่พระอู่นั้น บัดนี้ มหาบพิตรเป็นผู้ใหญ่แล้วก็คือเด็กอ่อนนั้น…อย่างนั้นหรือ? ”
     “ ไม่ใช่ พระผู้เป็นเจ้า คือเด็กอ่อนนั้นเป็นผู้หนึ่งต่างหาก มาบัดนี้โยมซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วก็เป็นอีกผู้หนึ่งต่างหาก”
     “ มหาราชะ เมื่อเป็นอย่างนั้น มารดาก็จักนับว่าไม่มี บิดาก็จักนับว่าไม่มี อาจารย์ก็จักนับว่าไม่มี ผู้มีศีลก็จักนับว่าไม่มี ผู้มีศิลปะก็จักนับว่าไม่มี ผู้มีปัญญาก็จักนับว่าไม่มีทั้งนี้เพราะอะไร…เพราะว่ามารดาของผู้ยังเป็น กลละ อยู่ เป็นผู้หนึ่งต่างหาก มารดาของผู้เป็น อัพพุทะ คือผู้กลายจากกลละ อันได้แก่กลายจากน้ำใส ๆ เล็กๆ มาเป็นน้ำคล้ายกับน้ำล้างเนื้อ ก็ผู้หนึ่งต่างหากเมื่อผู้นั้นกลายเป็นก้อนเนื้อ มารดาก็ผู้หนึ่งต่างหาก เมื่อผู้นั้นกลายเป็นแท่งเนื้อ มารดาก็เป็นอีกผู้หนึ่ง เมื่อผู้นั้นยังเล็กอยู่ มารดาก็เป็นผู้หนึ่งอีกต่างหาก เมื่อผู้นั้นโตขึ้น มารดาก็เป็นอีกผู้หนึ่งต่างหาก อย่างนั้นหรือ…ผู้ศึกษาศิลปะ ก็เป็นผู้หนึ่งต่างหาก ผู้สำเร็จการศึกษาแล้วก็เป็นผู้หนึ่งต่างหาก ผู้ทำบาปกรรมก็เป็นผู้หนึ่งต่างหาก ผู้มีมือด้วนเท้าด้วน ก็เป็นผู้หนึ่งต่างหาก อย่างนั้นหรือ ? ”
     “ ไม่ใช่อย่างนั้น ผู้เป็นเจ้า ในเมื่อโยมกล่าวอย่างนี้ ส่วนพระผู้เป็นเจ้าจะกล่าวว่าอย่างไร ? ”
     “ ขอถวายพระพร เมื่อก่อนอาตมายังเป็นเด็กอ่อนอยู่ บัดนี้ ได้เจริญเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ อวัยวะทั้งปวงนั้น รวมเข้าเป็นอันเดียวกัน เพราะอาศัยกายอันนี้แหละ ”
     “ ขอได้โปรดอุปมาด้วย ”
     “ มหาราชะ เปรียบเสมือนว่า บุรุษคนหนึ่งจุดประทีปไว้ ประทีปนั้นจะสว่างอยู่ตลอดคือหรือไม่ ? ”
     “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ประทีปนั้นต้องสว่างอยู่ตลอดคืน”
     “ มหาราชะ เปลวประทีปในยามต้น ก็คือเปลวประทีปในยามกลางอย่างนั้นหรือ? ”
     “ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ เปลวประทีปในยามกลาง ก็คือเปลวประทีปในยามปลายอย่างนั้นหรือ ? ”
     “ ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า ”
     “ มหาราชะ เปลวประทีปในยามต้น ก็เป็นอย่างหนึ่ง เปลวประทีปในยามกลาง ก็เป็นอย่างหนึ่ง เปลวประทีปในยามปลาย ก็เป็นอย่างหนึ่ง อย่างนั้นหรือ ? ”
     “ ไม่ใช่อย่างนั้น ผู้เป็นเจ้า คือเปลวประทีปนั้นได้สว่างอยู่ตลอดคืน ก็เพราะอาศัยประทีปดวงเดียวกันนั้นแหละ ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือ ธรรมสันตติ ความสืบต่อแห่งธรรม ย่อมสืบต่อกัน เมื่อสิ่งหนึ่งเกิด สิ่งหนึ่งดับ ย่อมติดต่อกันไม่ก่อนไม่หลัง เพราะฉะนั้น จะว่าผู้นั้นก็ไม่ใช่ จะว่าผู้อื่นก็ไม่ใช่ ย่อมถึงซึ่งการจัดเข้าในวิญญาณดวงหลัง ขอถวายพระพร”
     “ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก ”
     “ มหาราชะ ในเวลาที่คนทั้งหลายรีดนม นมสดก็กลายเป็นนมส้ม เปลี่ยมจากนมส้มก็กลายเป็นนมข้ม เมื่อเปลี่ยนจากนมข้น ก็กลายเป็นเปรียง ผู้ใดกล่าวว่า นมสดนั้นแหละคือนมส้ม นมส้มนั้นแหละคือนมข้น นมข้นนั้นแหละคือเปรียง จะว่าผู้นั้นกล่าวถูกต้องดีหรืออย่างไร ? ”
     “ ไม่ถูก พระผู้เป็นเจ้า คือเปรียงนั้นก็อาศัยนมสดเดิมนั้นแหละ”
     “ ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ธรรมสันตติ คือความสืบต่อแห่งธรรม ก็ย่อมสืบต่อกันไป อย่างหนึ่งเกิด อย่างหนึ่งดับ สืบต่อกันไปไม่ก่อนไม่หลัง เพราะฉะนั้น จะว่าผู้นั้นก็ไม่ใช่ จะว่า ผู้อื่นก็ไม่ใช่ ว่าได้แต่เพียงว่า ถึงซึ่งการสงเคราะห์เข้าในวิญญาณดวงหลังเท่านั้น ขอถวายพระพร ”
     “ พระผู้เป็นเจ้าแก้ไขนี้สมควรแล้ว ”


      สรุปความ   
      
ปัญหานี้พระเจ้ามิลินท์เข้าใจว่า คนที่เกิดมาแล้วจากเด็กมาเป็นผู้ใหญ่ ท่านเข้าใจว่าเป็นคนละคนกัน
  พระนาคเสนจึงชี้แจงว่า ความจริงก็เป็นคนเดียวกัน แต่ที่ท่านตอบว่า จะเป็นผู้นั้นก็ไม่ใช่จะเป็นผู้อื่นก็ไม่ใช่นั้น ก็เพราะอาศัย สันตติ ความสืบต่อกัน เปรียบเหมือนเปลวไฟและนมสดที่เปลี่ยนไป
  เมื่อเปลี่ยนไปแล้ว จะว่าเป็นของเดิมก็ไม่ได้ จะว่าเป็นของอื่นก็ไม่ใช่ แต่ต้องอาศัยความสืบต่อกันไป เหมือนกับร่างกายที่เกิดมาก็อาศัยอวัยวะเดิมแลัวค่อยเปลี่ยนแปลง เติบโตขึ้นมาจนกว่าจะแก่เฒ่าไป ก็ชื่อว่าเป็นบุคคลเดียวกันนั่นเอง


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin06.php


216
ธรรมะ / มิลินทปัญหา 5
« เมื่อ: 18 พ.ค. 2554, 09:27:53 »
ต่อจากตอนที่ 4
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=22889

- ตอนที่ ๕ -

 ปัญหาที่ ๑๐ ถามลักษณะศรัทธา


          “ ข้าแต่พระนาคเสน ศรัทธา เป็นลักษณะอย่างไร ? ”
          “ มหาราชะ ศรัทธามีความผ่องใส เป็นลักษณะ และ มีการแล่นไป เป็นลักษณะ ขอถวายพระพร ”

     ศรัทธามีความผ่องใส

          “ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ที่ว่า ศรัทธามีความผ่องใส เป็นลักษณะนั้น เป็นประการใด ? ”
          “ มหาราชะ ศรัทธา เมื่อเกิดขึ้นก็ข่ม นิวรณ์ ไว้ ทำจิตให้ปราศจากนิวรณ์ ทำจิตให้ผ่องใสไม่ขุ่นมัว อย่างนี้แหละ เรียกว่า มีความผ่องใส เป็นลักษณะ ขอถวายพระพร ”
          “ ขอนิมนต์อุปมาด้วย พระผู้เป็นเจ้า ”

    อุปมาพระเจ้าจักรพรรดิ

          “ มหาราชะ พระเจ้าจักรพรรดิเสด็จพระราชดำเนินทางไกล พร้อมด้วยจตุรงคเสนาต้องข้ามแม่น้ำน้อยไป น้ำในแม่น้ำน้อยนั้น ย่อมขุ่นไปด้วยช้าง ม้า รถ พลเดินเท้า เมื่อพระเจ้าจักรพรรดิเสด็จข้ามไปแล้ว ได้ตรัสสั่งพวกอำมาตย์ว่า
          “ จงนำน้ำดื่มมาเราจะดื่มน้ำ ”
          แก้วมณีสำหรับทำน้ำให้ใส ของพระเจ้าจักรพรรดินั้นมีอยู่ พวกอำมาตย์รับพระราชโองการแล้ว ก็นำแก้วมณีนั้นไปกดลงในน้ำ พอวางแก้วมณีนั้นลงไปในน้ำ สาหร่าย จอก แหนทั้งหลายก็หายไป โคลนตมก็จมลงไป น้ำก็ใสไม่ขุ่นมัว พวกอำมาตย์ก็ตักน้ำนั้นไปถวายพระเจ้าจักรพรรดิ กราบทูลว่า
          “ เชิญเสวยเถิด พระเจ้าข้า ”
          น้ำที่ไม่ขุ่นมัวฉันใด ก็ควรเห็นจิต ฉันนั้น พวกอำมาตย์ ฉันใด ก็ควรเห็นพระโยคาวจร ฉันนั้น สาหร่าย จอก แหน โคลนตมนั้น ฉันใด ก็ควรเห็นกิเลส ฉันนั้น แก้วมณีอันทำน้ำให้ใส ฉันใด ก็ควรเห็นศรัทธา ฉันนั้น
          ฉะนั้น พอวางแก้วมณีอันทำน้ำให้ใสลงไปในน้ำ สาหร่ายจอกแหนก็หายไป โคลนตมก็จมลงไป น้ำก็ใสไม่ขุ่นมัว ฉันใด เมื่อศรัทธาเกิดขึ้นก็ข่มนิวรณ์ไว้ ทำให้จิตผ่องใส ไม่ขุ่นมัวจาก ความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ การไม่ชอบใจ ฟุ้งซ่าน ง่วงและสงสัย ฉันนั้น อย่างนี้แหละเรียกว่า ศรัทธามีความผ่องใส เป็นลักษณะ ขอถวายพระพร”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin05.php

217
ธรรมะ / มิลินทปัญหา 4
« เมื่อ: 17 พ.ค. 2554, 04:22:36 »
- ตอนที่ ๔ -

สำหรับในตอนนี้จะเป็นตอนเริ่มเข้าเรื่องการถามปัญหากัน ก่อนที่จะเริ่มปัญหาแรกขอนำ " พระพุทธศาสนาสมัยพระเจ้ามิลินท์ " (เรียบเรียงโดย วศิน อินทสระ) มาให้ทราบไว้ดังนี้

พระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย

พระพุทธศาสนาเจริญเฟื่องฟูขึ้นอีกครั้งหนึ่ง สมัยพระเจ้ามิลินท์ หรือ พระเจ้าเมนันเดอร์ ซึ่งเป็นกษัตริย์เชื้อสายกรีก ที่มาปกครองอินเดียอยู่ระยะหนึ่ง ขอเล่าความย้อนต้นไปสักเล็กน้อยว่า

          เมื่อ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ยกทัพเข้ารุกรานอินเดีย และเลิกทัพกลับไปนั้นแคว้นที่ทรงตีได้แล้ว ก็โปรดให้แม่ทัพนายกองของพระองค์ปกครองดูแล ทิ้งกองทหารกรีกไว้บางส่วน ฝรั่งชาติกรีกเหล่านี้ได้ตั้งเป็นอาณาจักรอิสระขึ้น
          เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์สวรรคตแล้ว อาณาจักรที่มีกำลังมาก คือ อาณาจักซีเรีย และ อาณาจักรบากเตรีย (ปัจจุบันคือ เตอรกี และ อัฟกานิสถาน)
          ครั้งถึง พ.ศ. ๓๙๒ พระเจ้าเมนันเดอร์หรือที่เรียกในคัมภีร์บาลีว่า พระเจ้ามิลินท์ ยกกองทัพตีเมืองต่างๆ แผ่พระราชอำนาจลงมาถึงตอนเหนือ
          พระองค์เดิมทีมิได้ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้ทรงขัดขวางการขยายตัวของพระพุทธศาสนาด้วยซ้ำไป เนื่องจากทรงแตกฉานวิชาไตรเพท (ของพราหมณ์) และศาสนาปรัชญาต่าง ๆ รวมทั้งพุทธศาสนาด้วย พระองค์จึงประกาศโต้วาทีกับนักบวชในลัทธิศาสนาต่าง ๆ ในเรื่องศาสนาและปรัชญาปรากฏว่าไม่มีใครสู้พระองค์ได้

  พระเจ้ามิลินท์แห่งวงศ์โยนก

          ในเวลานั้น ชาวเมืองเรียกว่า " ชาวโยนก " แต่ชาวอินเดียเรียก "ยะวะนะ" หมายถึงพวกไอโอเนีย ( แคว้นไอโอเนียอยู่ทางตะวันตกของเอเชียไมเนอร์) เมืองสาคลนคร ตั้งอยู่ในแคว้นคันธาระ ( ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย) ดังนี้

ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin04.php

218
ธรรมะ / มิลินทปัญหา 3
« เมื่อ: 16 พ.ค. 2554, 09:45:30 »
ต่อจาก ตอนที่2
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=22848

- ตอนที่ ๓ -

 พระนาคเสนไปศึกษาพระไตรปิฏกกับพระธรรมรักขิต


ในคราวนั้นมีเศรษฐีชาวเมืองปาตลีบุตรคนหนึ่ง ได้เดินทางมาค้าขายตามชนบททั้งหลาย ครั้นขายของแล้วก็บรรทุกสินค้าใหญ่น้อยลงในเกวียน ๕๐๐ เล่ม ออกเดินทางกลับเมืองปาตลีบุตรได้เห็นพระนาคเสนออกเดินทางไป จึงให้หยุดเกวียนไว้ แล้วเข้าไปกราบนมัสการไต่ถามว่า
          “ พระคุณเจัาจะไปไหนขอรับ ? ”
          พระนาคเสนตอบว่า
          “ อาตมาจะไปเมืองปาตลีบุตร ”
          เศรษฐีได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงกล่าวว่า
          “ ถ้าอย่างนั้นนิมนต์ไปกับโยมเถิดจะสะดวกดี “
          “ ดีแล้ว คหบดี ”
          ลำดับนั้น เศรษฐีจึงจัดอาหารถวายเวลาฉันเสร็จแล้ว เศรษฐีจึงถามว่า
          “ พระคุณเจ้าชื่ออะไรขอรับ ”
          “ อาตมาชื่อนาคเสน ”
          “ ท่านรู้พระพุทธวจนะหรือ ? ”
          “ อาตมารู้เฉพาะอภิธรรม ”
          “ เป็นลาภอันดีของโยมแล้ว โยมก็ได้เรียนอภิธรรม ท่านก็รู้อภิธรรม ขอท่านจงแสดงอภิธรรมให้โยมฟังสักหน่อย ”

เมื่อพระนาคเสนแสดงอภิธรรมจบลงเศรษฐีก็ได้สำเร็จพระโสดาบัน แล้วพากันออกเดินทางต่อไป ครั้งไปถึงที่ใกล้เมืองปาตลีบุตร เศรษฐีจึงกล่าวว่า
          “ ข้าแต่พระนาคเสน ทางนั้นเป็นทางไปสู่อโศการาม พระผู้เป็นเจ้าจงไปทางนี้เถิด แต่ทว่าอย่าเพิ่งไปก่อน ขอนิมนต์ให้พรแก่โยมสักอย่างหนึ่งเถิด ”
          พระนาคเสนตอบว่า
          “ อาตมาเป็นบรรพชิต จักให้พรอะไรได้ ”
          “ พรใดที่สมควรแก่สมณะ ขอท่านจงให้พรนั้น ”
          “ ถ้ากระนั้นโยมจงรับเอาพร คือ การกุศล อย่าประมาทลืมตนในการกุศล พรอันนี้มีผลโดยสุจริต ”
          ขณะนั้นเศรษฐีจึงถวายผ้ากัมพลพร้อมกับบอกว่า
          “ ขอท่านจงกรุณารับกัมพลอันยาว ๑๖ ศอก กว้าง ๘ ศอก ของโยมนั้นไปนุ่งห่มเถิด ”
          พระนาคเสนจึงรับเอาผ้านั้นไว้ ส่วนว่าเศรษฐีถวายนมัสการแล้ว จึงกราบลามาสู่ปาตลีบุตรนคร

ส่วนพระนาคเสนก็ออกเดินทางไปสู่สำนักพระธรรมรักขิตที่อโศการาม กราบไหว้แล้วจึงเรียนว่า
          “ ขอท่านได้โปรดสอนพระพุทธวจนะให้กระผมด้วยเถิดครับ”


ขอบคุณที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin03.php

219
ธรรมะ / มิลินทปัญหา 2
« เมื่อ: 14 พ.ค. 2554, 11:28:23 »
ต่อจาก มิลินทปัญหา ตอนที่ 1
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=22847


ภาพจาก http://www.kositt.com/product.detail_4536_th_1078747#

มหาเสนะเทพบุตรจุติจากเทวโลก

ฝ่ายมหาเสนะเทพบุตร ก็ได้จุติจากเทวโลกลงมาถือกำเนิดในครรภ์ของนางพราหมณี ในขณะนั้นก็มีอัศจรรย์ ๓ ประการปรากฏขึ้น คือ
     ๑. บรรดาอาวุธทั้งหลาย ได้รุ่งเรืองเป็นแสงสว่าง
     ๒. ฝนตกใหญ่นอกฤดูกาล
     ๓. เมฆใหญ่ตั้งขึ้น

(ตอนนี้ใน ฉบับพิศดาร กล่าวว่าอัศจรรย์ทั้งนี้ด้วยบารมีของมหาเสนะเทพบุตรที่ได้กระทำมา บอกเหตุที่เกิดมานี้ว่า จะได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองไปถ้วน ๕๐๐๐ พระวัสสา)

จาก ฉบับ ส.ธรรมภักดี ได้บรรยายต่อไปว่า ลำดับนั้น พระโรหนเถระก็ไปเที่ยวบิณฑบาตที่ตระกลูนั้น เริ่มแต่วันนั้นไปตลอด ๗ ปี กับ ๑๐ เดือน แต่ไม่ได้อะไรเลย เพียงแต่การยกมือไหว้หรือการแสดงความเคารพก็ไม่ได้ ได้แต่การด่าว่าเท่านั้น

เมื่อล่วงมาจาก ๗ ปีนั้น จึงได้เพียงคำไต่ถามเท่านั้นคืออยู่มาวันหนึ่ง เมื่อพราหมณ์นั้นกลับมาจากดูการงานนอกบ้าน ก็ได้พบพระเถระเดินสวนมา จึงถามว่า
     “ นี่แน่ะ บรรพชิต ท่านได้ไปที่บ้านเรือนของเราหรือ? ”
     พระเถระตอบว่า “ ได้ไป ”
     พราหมณ์จึงถามต่อไปว่า
     “ ท่านได้อะไรบ้างหรือ ? ”
     ตอบว่า “ ได้ “
     พราหมณ์นั้นนึกโกรธ จึงรีบไปถามพวกบ้านว่า
     “ พวกท่านได้ให้อะไรแก่บรรพชิตนั้นหรือ ? ”
      เมื่อพวกบ้านตอบว่า ไม่ได้ให้อะไรเลย พราหมณ์ก็นิ่งอยู่ เวลารุ่งขึ้นวันที่สองพราหมณ์นั้นจึงไปยืนอยู่ที่ประตูบ้านด้วยคิดว่าวันนี้แหลพบรรพชิตนั้นมา เราจักปรับโทษมุสาวาทให้ได้ พอพระเถระไปถึง พราหมณ์นั้นก็กล่าวขึ้นว่า

     “ นี่แน่ะ บรรพชิต เมื่อวานนี้ท่านไม่ได้วัตถุสิ่งใดไปจากบ้านเรือนของเราเลย ทำไมจึงบอกว่าได้ การกล่าวมุสาวาทเช่นนี้ สมควรแก่ท่านแล้วหรือ? ”

     พระโรหนะจึงตอบว่า

     “ นี่แน่ะ พราหมณ์ เราเข้าสู่บ้านเรือนของท่านตลอด ๗ ปีกับ ๑๐ เดือนแล้วยังไม่เคยได้อะไรเลย พึ่งได้คำถามของท่านเมื่อวานนี้เพียงคำเดียวเท่านั้น เราจึงตอบว่าได้”

     เมื่อพราหมณ์ได้ฟังดังนี้ก็ดีใจ จึงคิดว่า พระองค์นี้เพียงแต่ได้คำปราศัยคำเดียวเท่านั้น ก็ยังบอกในที่ประชุมชนว่าได้ ถ้าได้ลาภอย่างใดอย่างหนึ่งไปจะไม่สรรเสริญหรือ นี่เพียงแต่ได้คำถามคำเดียวเท่านั้นก็ยังสรรเสริญ

     เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว จึงสั่งพวกบ้านว่าพวกท่านจงเอาข้าวของเราถวายบรรพชิตนี้วันละ ๑ ทัพพีทุกวันไป ต่อนั้นพราหมณ์ก็เลื่อมใสต่ออิริยาบท และความสงบเสงี่ยมของพระเถระยิ่งขึ้นเป็นลำดับไป จึงขอนิมนต์ว่า

      “ ขอท่านจงมาฉันอาหารประจำ ที่บ้านเรือนของข้าพเจ้าทุกเช้าไป”

     พระเถระก็รับด้วยอาการนิ่งอยู่พราหมณ์ก็ได้ถวายอาหารคาวหวาน อันเป็นส่วนของตนแก่พระเถระทุกเช้าไป พระเถระฉันแล้วเวลาจะกลับ ก็กล่าวพระพุทธพจน์วันละเล็กน้อยทุกวันไป

     คราวนี้จะย้อนกล่าวถึงนางพราหมณีนั้นอีก กล่าวคือ นางพราหมณีนั้นล่วงมา ๑๐ เดือน ก็คลอดบุตรให้ชื่อว่า “นาคเสน”


ที่มา
http://www.dhammathai.org/milin/milin02.php

220
ธรรมะ / มิลินทปัญหา 1
« เมื่อ: 14 พ.ค. 2554, 10:37:03 »
มิลินทปัญหา มีในพระไตรปิฏก มีทั้งหมด 11 ตอน
แต่ละตอนก็มีตอนย่อยๆลงไปอีก
เป็นเรื่องที่น่าอ่าน น่าติดตาม น่าขบคิด ประเทืองปัญญาทั้งสิ้น



มิลินทปัญหา
   ฉบับแปลในมหามกุฏราชวิทยาลัย

      มิลินทปัญหา  เป็นปกรณ์ที่มาเก่าแก่และสำคัญปกรณ์หนึ่งในพระพุทธศาสนา  ไม่ปรากฏว่าท่านผู้ใดเป็นผู้รจนา  เชื่อกันว่ารจนาขึ้นในราวพุทธศักราช 500 ปรากฏตาม  มธุรัตถปกาสินี ฏีกาแห่งมิลันทปัญหา  ซึ่งรจนาโดยพระมหาติปิฎกจุฬาภัย  ว่าพระพุทธโฆษาจารย์  เป็นผู้แต่งนิทานกถาและนิคมกถาประกอบเข้า  ส่วนตัวปัญหา  ท่านหาได้กล่าวว่าผู้ใดแต่งไม่

      มิลินทปัญหาแบ่งออกเป็น  หกส่วน  คือ  บุพพโยค  ว่าด้วยบุพพกรรมและประวัติของพระนาคเสนและพระเจ้ามิลินท์  มิลินทปัญหาว่าด้วยปัญหาเงื่อนเดียวเมณฑกปัญหา  ว่าด้วยปัญหาสองเงื่อน  อนุมานปัญหา  ว่าด้วยเรื่องที่รู้โดยอนุมานลักขณปัญหา  ว่าด้วยลักษณะแห่งธรรมต่างๆ อุปมากถาปัญหา   ว่าด้วยเรื่องที่จะพึงทราบด้วยอุปมาในหกส่วนนี้  บางส่วนยกเป็นมาติกา  บางส่วนไม่ยกเป็นมาติกา  จัดรวมไว้ในมาติกาอื่น  คือ  ลักขณปัญหารวมอยู่ในมิลินทปัญหา  อนุมานปัญหารวมอยู่ในเมณฑกปัญหา  เพราะฉะนั้น  เมื่อจะจัดระเบียบให้เป็นหมวดหมู่สะดวกแก่การค้นดู  ต้องแบ่งเป็นสี่ส่วน  เรียงลำดับดังนี้  บุพพโยค  ซึ่งเรียกว่า  พาหิรกถา  หนึ่ง  มิลินทปัญหา  หนึ่ง  เมณฑกปัญหา  หนึ่ง  และอุปมากถาปัญหา  หนึ่ง

      เพื่อเทิดพระเกียรติคุณองค์พระบุรพาจารย์  บุรพาจารย์  ผู้สร้างสรรค์และเผยแพร่ปกรณ์สำคัญในพระพุทธศาสนา

  
ที่มา
   http://www.mahamakuta.inet.co.th/T-BOOK/P-159.html
http://truthoflife.fix.gs/index.php?topic=1895.0

221
อะไรเป็นข้อแตกต่างกันระหว่างคฤหัสถ์ทุศีลกับสมณะทุศีล
(ทุสสีลปัญหา)


พระเจ้ามิลินท์ - พระคุณเจ้านาคเสน อะไรเป็นความแปลกกัน, อะไรเป็นข้อแตกต่างระหว่างคฤหัสถ์ทุศีลกับสมณะทุศีล บุคคลทั้งสองนี้ มีคติเสมอเหมือนกันหรือ ทานที่ให้แก่บุคคลทั้ง ๒ มีวิบากเสมอเหมือนกันหรือ หรือว่ายังมีอะไรที่เป็นข้อแตกต่างกันอยู่อีก?

พระนาคเสน - ขอถวายพระพร มหาบพิตร สมณะทุศีลยังมีคุณธรรมยิ่งกว่าคุณธรรมของคฤหัสถ์ผู้ทุศีลโดยพิเศษอยู่ ๑๐ ประการเหล่านี้ และยังชำระทักขิณาทานให้หมดจดยิ่งๆขึ้นไป เพราะเหตุ ๑๐ ประการ คือ...

สมณะทุศีลในพระศาสนานี้...

- ยังเป็นผู้มีความเคารพในพระพุทธเจ้า

- ยังเป็นผู้มีความเคารพในพระธรรม

- ยังเป็นผู้มีความเคารพในพระสงฆ์

- ยังเป็นผู้มีความเคารพในเพื่อนพรหมจารี

- ยังพยายามในอุเทศ (การเรียนพระบาลี) และปริปุจฉา (การเรียนอรรถกถา)

- ยังเป็นผู้มากด้วยการสดับตรับฟัง

- ขอถวายพระพร ผู้เป็นสมณะแม้ว่าศีลขาด เป็นคนทุศีล เมื่อไปท่ามกลางบริษัทแล้ว ก็ยังรักษาอากัปกิริยาไว้ได้ รักษาความประพฤติทางกายไว้ได้ ความประพฤติทางวาจาไว้ได้ เพราะกลัวการติเตียน

- ยังมีจิตบ่ายหน้าตรงต่อความเพียร

- ยังเป็นผู้เข้าถึงสมัญญาว่า "ภิกษุ"

- ขอถวายพระพร สมณะทุศีล แม้เมื่อจะทำกรรมชั่ว ก็ย่อมประพฤติอย่างปิดบัง ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนว่า หญิงมีสามีย่อมประพฤติชั่วช้าเฉพาะแต่ในที่ลับเท่านั้น ฉันใด, สมณะทุศีล แม้เมื่อจะทำกรรมชั่ว ก็ย่อมประพฤติอย่างปิดบัง ฉันนั้นเหมือนกันแล.


ขอบคุณที่มา
http://www.oknation.net/blog/pierra/2010/02/25/entry-1

222
วิธีแก้การผูกมัดจิตและแก้ของที่กระทำทุกอย่าง

ให้นำของที่เก็บไว้ทุกอย่างออกมาแล้วจุดธูป5ดอกแล้วประนมมือสวดพระคาถาแก้ว่า---สมุหะเนยยะ สะมุหะนะติ สะมุหะคะโต สีมาคะตัง พัทธเสมายัง สะมุหะติตัพโพ เอวัง เอหิ นะเคลื่อน โมถอน พุทธคลอน ธาเคลื่อน ยะเลื่อนหลุดหาย นะเคลื่อน โมคลาย พุทธหาย ธาแก้สวาหะ สวาหาย

เมื่อท่องพระคาถาแก้ครบ3จบแล้วให้นำสิ่งของเหล่านั้นไปโยนทิ้งในแม่น้ำที่มีน้ำไหลขณะโยนทิ้งให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก

เป็นอันเสร็จพิธีการแก้เพียงเท่านี้


การบูชาพระราหู

เมื่อรู้สึกว่าดวงไม่ดีหรือพระราหูแทรกให้จุดธูปดำ12ดอกแล้วปักไว้สวดด้วยพระคาถาบูชาพระราหู12จบว่าดังนี้-

คาถาสุริยะบัพภา การบูชากลางวัน
กุสเสโตมะมะ กุสเสโตโต ลาลามะมะ โตลาโม โทลาโมมะมะ โทลาโมมะมะ
โทลาโมตัง เหกุติมะมะ เหกุติฯ

คาถาจันทรบัพภา การบูชากลางคืน
ยัดถะตังมะมะ ตังถะยะ ตะวะตัง มะมะตัง วะติตัง เสกามะมะ กาเสกัง
กาติยังมะมะ ยะติกาฯ



ที่มา
http://forum.mthai.com/view_topic.php?table_id=1&cate_id=34&post_id=24714

223
วิญญาณยังอยู่

คอลัมน์ ขนหัวลุก
ใบหนาด

"เก่ง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านสวนเพชรบุรี ;;; ป้านิด ป้าสะใภ้ใจดีที่สุดในโลกของผมเป็นคนเพชรบุรีครับ เมื่อปิดเทอมใหญ่ที่ผ่านมาผมได้ไปเที่ยวที่นั่นตั้งอาทิตย์หนึ่งแน่ะ สนุกดี แถมไปเจอเรื่องขนหัวลุกที่นั่นด้วย

บ้านของป้าเป็นบ้านสวน มีทั้งมะนาว กระท้อน ชมพู่ มะพร้าว...ลุงผมปลูกไว้เอง แต่ลุงตายไปแล้วเมื่อสิบปีก่อน ตอนนั้นผมยังเล็กมาก ราว 3-4 ขวบเท่านั้น เหมือนพี่จอยกับพี่โจ ลูกของลุงป้าที่แก่กว่าผมแค่ 2-3 ปี

พอลุงตาย ป้านิดก็เลี้ยงลูกๆ ตามลำพัง ซึ่งก็อยู่กันได้สบายมากเพราะป้านิดขยัน แกมีฝีมือด้านตัดเย็บเสื้อผ้าด้วย และมีจักรคู่ชีพอยู่หนึ่งหลัง บรรดาลูกค้าก็เป็นเครือญาติและคนในหมู่บ้าน นอกจากนั้น ยังเก็บผลไม้ต่างๆ ในสวนมาขายริมทางหลวงแทบทุกเสาร์-อาทิตย์

ป้านิดมีญาติชื่อป้าแขกกับ ลุงสิทธิ์ เป็นเจ้าของสวนตาล และมีรถกระบะขนลูกตาลสดๆ มานั่งปอกนั่งเฉาะกันริมทาง เวลารถนักท่องเที่ยวผ่านไปมาก็จะแวะซื้อ บางรายสนิทสนมเป็นขาประจำกันเลยเชียว สินค้าที่ขายเป็นผลไม้ตามฤดูกาลและน้ำตาลสดที่ผมกับน้องแก้มชอบมากที่สุด

จริงๆ แล้วผมไม่เคยไปบ้านสวนของป้านิดหรอกครับ แต่ปีนี้ป้านิดมาเยี่ยมคุณปู่ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ พี่จอยพี่โจมาค้างบ้านผมตั้งหลายวัน แล้วก็เลยชวนผมไปเที่ยวทางโน้นบ้าง ผมกับน้องแก้มนึกสนุก น้องแก้มน่ะติดพี่จอยคนสวยมากๆ เลยด้วย

ผลก็ คือเราได้นั่งรถไฟไปบ้านสวนของป้านิดกัน ขากลับพ่อแม่จะไปรับ...เราจะเที่ยวหัวหินต่ออีกสองคืนแล้วค่อยกลับบ้าน นับเป็นปิดเทอมที่สนุกมากจริงๆ

บ้านป้านิดน่าอยู่ครับ อบอุ่นดี ชั้นล่างเปิดโล่งตลอด มีจักรเย็บผ้า ทีวี และโต๊ะกินข้าว มีครัวอยู่ด้านหลัง ป้านิดทำอาหารอร่อยมาก นอกจากป้านิดกับลูกๆ แล้วยังมีครอบครัวของน้ากุ้งอาศัยอยู่ด้วยที่ห้องชั้นล่างนี่ อยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูก น้ากุ้งมีลูกสาวสามขวบน่ารักดี ชื่อน้องเมย์

ผม ได้นอนห้องพี่โจซึ่งเป็นห้องนอนเล็ก ส่วนน้องแก้มนอนกับพี่จอยและป้านิดที่ห้องนอนใหญ่ติดกัน บ้านนี้มีแอร์ด้วยครับ แต่ถ้าไม่ร้อนนักจะเปิดพัดลมกัน เปิดแอร์เฉพาะนอนตอนกลางคืน

วันแรกที่ไปถึง พอเอาเสื้อผ้าขึ้นไปเก็บ ผมมองออกนอกหน้าต่างไปที่บ้านข้างๆ ได้อย่างชัดเจน เป็นบ้านไม้สองชั้นไม่ได้ทาสี มีต้นไม้ร่มครึ้ม มะม่วงต้นใหญ่อยู่ถัดไปไม่ไกล ตอนแรกผมไม่เห็นอะไรผิดปกติหรอกครับ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่ออยู่ดีๆ ก็เห็นเด็กผู้ชายนั่งห้อยขาอยู่ที่กิ่งใหญ่ของมะม่วงต้นนั้น

แดดตอน เที่ยงๆ สว่างจ้า แต่ในต้นมะม่วงดูมืดครึ้ม ท่าทางจะไม่ร้อนนัก เด็กคนนั้นนั่งอยู่อย่างน่าเสียวไส้ กิ่งมะม่วงนั่นสูงเอาการ...คือสูงกว่าหน้าต่างชั้นสองที่ผมยืนมองอยู่ซะอีก เด็กคนนี้อายุราวสิบขวบ ผมเกรียน ใส่เสื้อกล้ามสีขาวมอๆ นุ่งกางเกงนักเรียนสีกากี เขานั่งห้อยขาอย่างสบาย มือสองข้างถือมะม่วงกัดกินอย่างอร่อย

เฮ้อ! กินเข้าไปได้ยังไงทั้งเปลือก นั่งไม่นั่งเปล่า แกว่งขาซะด้วย เดี๋ยวก็ตกลงมาหรอก ท่าทางจะทั้งซนทั้งแก่นน่าดู!

ทัน ใดนั้น เขาหันมามองผม ฮู้! นัยน์ตาเขาแดงก่ำเห็นชัด...แดงเป็นเลือดเลย! สงสัยไม่สบายหรือไม่ก็เป็นตาแดง แต่แปลกนะ เขาทำให้ผมขนลุกซ่าไปทั้งตัว ขนหัวก็ลุกด้วยเหมือนโดนกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ เขายิ้มให้ ผมก็เลยยิ้มตอบ

เสียง ป้านิดเรียกผมลงไปกินก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นที่เป็นรถเข็นผ่านมาหน้าบ้าน...พวก เราสั่งก๋วยเตี๋ยวกินกัน ผมอดไม่ได้ที่จะเหลียวไปมองมะม่วงต้นเดิม...เด็กคนนั้นก็มองเราอยู่ ป้านิดถามว่า ผมมองอะไร ผมก็ตอบตรงๆ ว่าเด็กบ้านนั้นไง! เก่งจัง นั่งกินมะม่วงอย่างสบาย...น่าจะเรียกลงมากินก๋วยเตี๋ยวด้วยกัน

พอผม พูดอย่างนั้นน้ากุ้งก็ทำช้อนตกจากมือ คนขายก๋วยเตี๋ยวสะดุ้งโหยง ร้องเฮ้ย! ไม่ใช่สะดุ้งน้ากุ้งนะครับ เขาสะดุ้งที่ผมพูด แล้วเหลียวไปมองอย่างหวาดกลัวเอาจริงๆ จังๆ

...เด็กที่ผมเห็นไม่ใช่ คนที่ยังมีชีวิตอยู่หรอกครับ! ตายละ...ผมทำให้คนที่นี่ขวัญผวากันไปหมดเลย...เด็กข้างบ้านน่ะตายมาสามเดือน แล้ว ตกต้นมะม่วงลงมาตายคาที่! คนขายก๋วยเตี๋ยวบอกว่าคนที่ผ่านไปมาเห็นอยู่เป็นประจำ แสดงว่าวิญญาณของเด็กยังไม่ไปไหน

พี่โจปิดหน้าต่างที่เปิดออกไปข้าง บ้าน ไม่ยอมเปิด ไม่ยอมให้ผมพูดถึง ผมยอมรับว่าสยองตลอดเวลาที่อยู่บ้านป้านิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนกลางคืน...แต่อย่างน้อยผมก็มีเรื่องผีไปเล่าให้เพื่อนๆ ฟังตอนเปิดเทอมละครับ!

ที่มา
http://www.khaosod.co.th/

224
เสียงร้องจากวิญญาณ

ขนหัวลุก
ใบหนาด


"พิมพ์มาดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเตือนใจทาสสุรา

น้อง เพียวเป็นผู้หญิงที่ดิฉันรู้จัก ถึงจะไม่สนิทสนมแต่ก็ทักทายกันทุกวัน เธออยู่ถัดจากบ้านดิฉันไปแค่สองหลัง ตอน เช้าตรู่เวลาออกมาใส่บาตร ก็จะแลเห็นเธอซ้อนรถจักรยานของ พี่สาวไปโรงเรียนด้วยกัน เมื่อเห็นดิฉันเธอก็จะยิ้ม โบกมือหย็อยๆ

ดิฉันเอ็นดูเธอจริงๆ เห็นกันมาตั้งแต่อนุบาล ตอนนี้จวนจบ ป.6 เข้า ม.1 แล้ว ซึ่งก็คงไม่แคล้วโรงเรียนใกล้บ้านนี่ละค่ะ ได้ข่าวว่าเรียนเก่ง ชอบคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ด้วย นับว่าเป็นความหวังของพ่อแม่เชียวละ

ครอบ ครัวเธอหาเช้ากินค่ำ แม่ขายข้าวแกง พ่อเป็นข้า ราชการชั้นผู้น้อย พี่สาววัยรุ่นนั้นถึงจะเรียนไม่เก่งแต่ก็เป็นเด็กดี ช่วยแม่ตัวเป็นเกลียว

ท่าทางครอบครัวนี้คงจะไปได้สวย แต่โชคชะตาก็โหดเหี้ยมกับพวกเขาเหลือเกิน นึกแล้วสงสารจับใจ

เช้า วันหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ย่างเข้าหน้าหนาวแบบนี้ละค่ะ ตอนนั้นดิฉันใส่บาตรเสร็จพอดี ฟ้าสางแล้วล่ะ พระท่านกำลังเดินกลับวัด เกือบเจ็ดโมงเช้าแล้ว พี่พรกับน้องเพียวเพิ่งขี่จักรยานผ่านหน้าไป เรายิ้มทักทายและโบกมือให้กันเหมือนเช่นทุกวัน...

ทันใดนั้น ดิฉันได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์บึ้มมาแต่ไกล และแล้วก็...ปัง! ดังสนั่น

ด้วยความสังหรณ์ใจ ดิฉันรีบวางถาด แล้ววิ่งออกไปชะเง้อ มอง...นั่นไง!

ชาว บ้าน 2-3 คนวิ่งผ่าน รวมทั้งคนขับตุ๊กตุ๊กที่มารับแม่ของน้องเพียวขนของไปขายตลาด เสียงแม่น้องเพียวกรีดร้องไม่เป็นภาษา คนเป็นพ่อหน้าซีดเผือด ตาเบิกโพลง ทั้งคู่วิ่งไปพร้อมๆ กับชาวบ้าน

ตรงโค้งแรกห่างออกไปราว 20 เมตรนั่น...จักรยานล้มคว่ำ มีมอเตอร์ไซค์ล้มกระเด็นไปคนละทาง ร่างของเด็กสองคนถอยอยู่กับพื้นเหมือนตุ๊กตาผ้าที่ใครขว้างทิ้ง

ดิฉัน ไปถึงพอดีกับที่น้องพรยันตัวลุกขึ้นอย่างมึนงง แต่น้องเพียวที่กระเด็นห่างออกไปซิคะ เลือดกำลังไหลจากศีรษะเป็นลิ่มๆ อย่างน่ากลัว มันแดงฉานนองพื้นถนน ใครบางคนจับเธอพลิกหงาย...ดิฉันเห็นใบหน้าที่เคยน่ารักกลับถลอกปอกเปิก เปื้อนฝุ่น สีหน้านั้นเฉยเมยดวงตาลืมโพลงแต่ไร้จุดหมาย ไร้ชีวิต สงบนิ่งโดยไม่มีวี่แววตระหนกตกใจ

เธอตายสนิทในชุดนักเรียนประถมปลาย สะพายเป้อยู่ข้างหลัง!

งานศพน้องเพียวเศร้ามาก แม่เป็นลมแล้วเป็นลมอีก ลูกสาวเธอเสียชีวิตเพราะคนเมาเหล้าที่บึ่งมอเตอร์ไซค์โดยใช้ซอยเราเป็นทางลัด

ดิฉัน ยังจำได้ถึงค่ำคืนที่หนาวเยือก ลมพัดกรูเกรียว ใบไม้แห้งระไปกับพื้นเสียงกรอบกราว...ซอยเราเหงาจับใจ ไฟถนนที่สว่างจ้าไม่ได้ช่วยให้รู้สึกอบอุ่นเลย ผู้คนหลบเข้าบ้านเงียบกริบตั้งแต่หัวค่ำ เด็กๆ ไม่ขี่จักรยานไปซื้อของกินเหมือนปกติ

พวกเขากลัวผีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ค่ะ!

ใครๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ฮือๆ ในยามดึกสงัดกันทั้งนั้น

แม้ แต่ดิฉันเองก็ยอมรับว่ากลัวมาก ไม่กล้าแม้แต่จะเดินออกจากตัวบ้านไปยังสนามหญ้าเช่นเคย ได้แต่อยู่ในบ้านกับลูกๆ เปิดทีวีเสียงดังๆ และเปิดไฟรอบๆ ด้าน เจ้าหมาตัวเล็กก็เห่าบ๊อกๆ แล้วครางโหยหวน มันเห็นสิ่งที่เราไม่เห็นแน่ๆ

ทุก คนพูดกันว่า น้องเพียวมาแต่เข้าบ้านไม่ได้ มีแต่พ่อกับแม่ของเธอเท่านั้นที่ออกมาชะเง้อหาลูกที่เหลือแต่วิญญาณ และพยายามพาลูกเข้าบ้านแต่ไม่สำเร็จ

น้องเพียวร้องไห้ให้ชาวบ้านได้ยินทุกคืน!!

ในที่สุด ซอยเราก็ร่วมใจกันทำบุญครั้งใหญ่ บอกน้องเพียวให้รู้ว่าเธอตายแล้วไปสู่สุคติเถิด ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น

หลังจากคืนนั้น น้องเพียวก็เงียบเสียงไป แต่อีกนานเชียวล่ะกว่าทุกคนจะกล้าออกจากบ้านยามที่ค่ำมืด

ครอบครัวของน้องเพียวนั้นย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วค่ะ บ้านเดิมก็มีคนมาอยู่ใหม่แล้ว ทิ้งไว้แต่ตำนานและเรื่องเล่าขานที่แสนเศร้า เด็กดีคนหนึ่งซึ่งเป็นความหวังของพ่อแม่ ต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือของคนขี้เมา

ใกล้ จะถึงเทศกาลปีใหม่แล้ว ใครชอบดื่มเบียร์ก็เชิญตามสบายนะคะ ไม่มีใครห้ามหวง ขอร้องแต่อย่าขับรถเท่านั้น! เพราะอุบัติเหตุเกิดจากความมึนเมามากมายเหลือเกิน ถ้าเดือดร้อนเฉพาะตัวเองก็แล้วไป แต่ส่วนใหญ่พลอยทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ได้รับบาดเจ็บจนถึงเสียชีวิต ส่วนหนึ่งกลายเป็นคนพิกลพิการ หมดอนาคตไปชั่วชีวิต

"ดื่มไม่ขับ" เพื่อตัวของคุณเองและคนที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกับคุณด้วยนะคะ!

ที่มา
http://www.khaosod.co.th/

225
ประสบการณ์วิญญาณ / กอไผ่มรณะ
« เมื่อ: 13 พ.ค. 2554, 10:12:07 »
วันที่ 04 มีนาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7400 ข่าวสดรายวัน

กอไผ่มรณะ

ขนหัวลุก
ใบหนาด

สมัยเด็กผมเป็นเด็กลำน้ำชี มหาสารคาม มีเรื่องสนุกสนานเยอะแยะเลยครับ แต่วันนี้ขอเล่าเรื่องผีหลอกวิญญาณสุดแสนจะน่าขนลุกขนพองสู่กันฟังแล้วกันครับ

ชีวิตเด็กท้องนาต้องช่วยพ่อแม่ทำมาหากินตัวเป็นเกลียว ไม่ใช่สุขสบายแบบเด็กในเมืองใหญ่ ยิ่งพ่อแม่ร่ำรวยยิ่งเอาอกเอาใจ อยากได้อะไรก็เอาเงินซื้อมาพะนอลูกทุกอย่าง ส่วนเด็กลูกทุ่งต้องเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย หาปูหาปลา ยิงนกยิงหนูมาผัดมาแกง ยิ่งหน้าแล้งแบบนี้ต้องออกหาไข่มดแดงมาให้พ่อแม่ขาย...โดนมดกัดเจ็บแทบตายก็ต้องทนเอา

ก่อนจะถึงหน้านาค่อนข้างสนุกกับการหาของกินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง พวกผู้ใหญ่ก็เที่ยวหางูสิง นกคุ่ม สุ่มปลาในหนอง ส่วนเด็กๆ ก็ลงน้ำหาหอยหาปู หรือไม่ก็จับจิ้งหรีด กะปอม บางวันโชคดีได้แย้มาให้แม่แกง กินข้าวกันพุงกางไปทั้งบ้าน

เข้าป่าหาหน่อไม้ก็สนุกครับ!

ช่วงที่รอคอยให้ต้นกล้ามันโตจะได้ดำนาซะที ก็คือต้นหน้าฝนที่พระพิรุณเริ่มสาดซ่าลงมา บรรดาหน่อไม้สารพัดชนิดต่างแทงหน่อกันขึ้นมาล่อตาล่อใจชะมัด ไม่ว่าไผ่ตง ไผ่บง ไผ่สีสุก ไผ่รวก ไผ่ซาง...จะกินสดหรือดองใส่ไหไว้กินตอนหน้าแล้งได้ทั้งนั้น

หน่อไม้รวกกินสด...คือเอามาแกงกับใบหญ้านาง ใส่เห็ดหูหนูกับยอดชะอม น้ำแกงต้มน้ำปลาร้า ปรุงรสเผ็ดเค็มตามใจชอบ รับรองว่าอร่อยที่ซู้ดดด...

หน่อไม้ที่นิยมนำมาดองคือ ไผ่ตง ไผ่สีสุก ไผ่ซาง เป็นต้น

พ่อกับผมมักเข้าป่าหาหน่อไม้กันเป็นประจำ อุปกรณ์ก็มี มีดพร้า เสียม กระบุงใส่หน่อไม้ รวมทั้งหนังสติ๊กกับกระสุนดินเหนียวปั้น สำหรับยิงนกยิงหนูอีกด้วย

ไม่ว่ากอไผ่ชนิดไหนล้วนแต่รกไปด้วยใบแห้งๆ สุมกันเป็นกองพะเนิน พ่อจะคอยเตือนให้เอาเสียมเขี่ยดูก่อนให้แน่ใจ ว่าไม่มีงูหรือแมงป่องที่ซุกซ่อนอยู่ข้างใน เพราะอาจจะโดนมันขบกัดเอาได้ง่ายๆ

ต่อจากนั้นจึงเอามีลิดกิ่งหนามจนถึงโคนต้น แล้วค่อยมองหาหน่อโตๆ หน่อยก่อนจะใช้เสียมขุดเอา... เผลอๆ โชคดียังอาจเจอะเจอเห็ดหูหนูป่าตามขอนไม้ผุๆ ที่โดนฝนเข้าก็งามสะพรั่งขึ้นมา ถือว่าเป็นลาภปากวันนี้ก็แล้วกัน

จนกระทั่งถึงวันเกิดเหตุ!

วันนั้นไม่รู้ว่ามีมือดีที่ไหนดอดมาก่อนเรา ไม่ว่าไผ่รวกไผ่ตงกอไหนก็ล้วนแต่เพิ่งโดนขุดหน่องามๆ ไปกินหมดแล้ว แต่เราไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกครับ พ่อออกเดิน ดุ่ยๆ นำหน้าผมก็ตามติดไม่ลดละ...

ให้มันรู้ไปซีน่าว่าไอ้พวกมือดีมันจะขุดหน่อไม้ไปกินจนหมดป่าน่ะ

นั่นไง! ผ่านกอไผˆตายซากนั่นไปหน่อยก็เห็นไผ่สีสุกกอใหญ่ กำลังไหวโอนเหมือนจะทักทายอยู่ในสายลมเต็มตา

พ่อปราดเข้าไปใช้เสียมเขี่ยใบไผ่ที่สุมกันอยู่เต็ม...ไม่มีงูเงี้ยวเขี้ยวขออะไรให้ต้องหวั่นกลัว... และแล้วเราก็มองเห็นหน่อไม้โตๆ งามๆ แทงหน่อขึ้นมาล่อใจ แต่พ่อออกจะขี้ระแวงไปหน่อยเลยหยุดชะงัก ขมวดคิ้วย่น เหลียวซ้ายแลขวาอย่างสงสัยอะไรบางอย่าง ตามสัญชาตญาณของคนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาโชกโชน

"ทำไมไอ้พวกนั้นไม่มาขุดหน่อไม้งามๆ นี่ไปกินวะ?"

"ช่างมันเป็นไร! เรารีบขุดกันก่อนเถอะพ่อ..."

ผมร้อง ก่อนที่เสียงจะขาดหายเมื่อมีเสียงแปลกประหลาดดังขึ้นตรงหน้าเรานั่นเอง!

คุณพระช่วย! ไผ่สีสุกที่ดูขึ้นแน่นขนัดกลับไหวโอนไปมาเสียงเอี๊ยดอ๊าดผิดหู ทั้งๆ ที่ลมสงัด สรรพสิ่งเงียบเชียบ ทำให้ได้ยินเสียงกอไผ่เจ้ากรรมดังกระหึ่มขึ้นทุกที

นรกเป็นพยาน! พริบตานั้นเอง กอไผ่แน่นหนาก็แหวกออกจากกันเหมือนโดนมือยักษ์จับกระชาก มองเห็นร่างดำๆ ของหญิงชายคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเราเขม็ง...อ้าปากหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังโดยไม่ มีเสียงใดๆ ดังออกมาเลย เล่นเอาเราผงะหน้ากันทั้งสองคน

อุปกรณ์หาหน่อไม้ ไม่ว่ามีด เสียม และกระบุงหล่นจากมือ พ่อคว้าแขนผมแล้วกระโจนอ้าวไปข้างหน้าเหมือนลมพัด...เหนื่อยแทบตายกว่าจะเจอพวกมือดีที่ขุดหน่อไม้ไปก่อนหน้าเรา

ปรากฏว่าเคยมีผัวฆ่าเมียด้วยมีดแล้วเชือดคอตายตามเพราะความหึง...ที่โคนกอไผ่ผีสิงนั่น พ่อผมรู้เรื่องนี้ดีแต่จำผิดกอจนไปขุดหน่อไม้ที่กอไผ่ผีสิงเข้าอย่างจัง...บรื๋อส์!


ที่มา
http://www.khaosod.co.th/

226
ความหมายที่สำคัญของ "เสาอโศก"


พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงสร้างขึ้น เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงบริเวณตำแหน่งที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระปฐมเทศนา อันประกอบด้วยทางแห่งความสงบและความหลุดพ้น ให้แพร่หลายไปทั่วทิศทั้ง ๔ แห่งจักรวาล

ลักษณะของยอดเสาหิน ๔ ประการคือ

๑. บนยอดเสาแกะสลักเป็นรูปสิงโต ๔ ตัว นั่งหลังชนกัน ซึ่งอยู่ในลักษณะคำรามหรือเปล่งสีหนาท แต่เดิมมีธรรมจักรตั้งอยู่บนหลังของสิงห์ทั้ง ๔ เป็นลักษณะสิงห์แบกธรรมจักร ซึ่งมี ๒๔ ซี่ ธรรมจักร คือ เครื่องหมายทางพระพุทธศาสนา

๒. ใต้ฐานสิงโตมีรูปธรรมจักร ๔ ด้าน วงล้อธรรมจักรมี ๒๔ ซี่ เท่ากับจำนวนปฏิจจสมุปบาท ทั้งขบวนการเกิดและขบวนการดับ (ทุกข์)

๓. ระหว่างรูปธรรมจักรแต่ละด้านมีรูปสัตว์สำคัญ ๔ ชนิด เรียงไปตามลำดับ คือ

"ช้าง โค ม้า และสิงโต" ซึ่งล้วนมีความหมายเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น ซึ่งนักปราชญ์ได้ให้ความหมายดังนี้


ขอบคุณที่มา
http://www.oknation.net/blog/pierra/2010/09/28/entry-1


227
ฝากให้ท่านsaken6009 และพุทธศาสนิกชน ที่จะถวายถังสังฆทาน

แฉความจริงของ"สังฆทาน"
posted on 19 May 2008 17:05 by --ame--  in ReVerie

 ไหนๆวันนี้ก็เป็นวันวิสาขบูชา
ก็ถือโอกาสเอาเรื่องนี้มาเล่าแบ่งปันกันนะ
จริงๆเคยรู้เรื่องนี้มานานแล้วก็จาก วัดปัญญานันทาราม



เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาเพิ่งไปงานบวชน้องชาย
พระท่านนำเรื่องนี้มาแฉพร้อมสอนอีกครั้ง
ให้ทุกคนได้รู้เท่าทันและพึงกระทำสิ่งใดด้วยปัญญาอย่างแท้จริง
มีกล้องอยู่ก็พยายามถ่ายมาแต่ก็ไม่ค่อยชัดและถ่ายไม่ทันบ้างเพราะกล้องมันเจ๊งนิดนึงและ
ถ่ายติดๆกันไม่ได้ แต่ก็น่าจะพอเอามาเล่าสู่ให้เห็นคร่าวๆได้นะ



เรื่องมันก็เกี่ยวกับ "สังฆทาน" และ "ถังสังฆทาน"
พระท่านนำถังสังฆทานมาให้ดูพร้อมกับแกะให้เห็นกันจะๆ



เอาเบาะๆก่อนที่ทุกคนพอจะเดาได้อยู่แล้วก็คือถังมันไม่ได้เต็มหรอก
มีแค่ของที่เอาแปะไว้ให้เห็นรอบๆกับด้านบน นอกนั้นก็กลวงหรือไม่ก็เอากระดาษยัดแทน


ที่มา
--ame--.exteen.com/20080519/entry

228
คนเห็นวิญญาณ....
 คำสาปนรก

"ซัน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อวิญญาณเรียกหา

สมัยหนุ่มๆ ผมอยู่ยานนาวา มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อโหน่ง เป็นลูกคนรวยเรียนจบพาณิชย์ก็ได้งานทำแถวบางรัก แต่ไม่นานก็เปลี่ยนงานใหม่ไปแถว สี่พระยา ตลาดน้อย หัวลำโพง แต่ก็อยู่ไม่ ยืดซักแห่งเดียว..มันบอกผมว่ามีแต่คนโง่ๆทั้งนั้น!

อาศัยที่พ่อแม่ฐานะดี แถมมีลูกชายคนเดียว เจ้าโหน่งจึงไม่เดือดร้อนเงินทอง มักจะเที่ยว กิน เล่น ไปวันๆ ตามใจชอบ

วันหนึ่งไปมีเรื่องที่บ้านใหม่ (เกือบถึงถนนตก) เขม่นกันในร้านเหล้า เจ้าโหน่งโดนเจ้าถิ่นรุมสกรัม ทั้งประเคนด้วยไม้หน้าสามจนสลบเหมือด ต้องไปนอนโรงพยาบาลสิบกว่าวันถึงจะกลับบ้านได้

ตั้งแต่นั้นมา เจ้าโหน่งก็เปลี่ยนนิสัยเหมือนเป็นคนละคน!

เคยชอบเที่ยวเตร่ สนุกสนานเฮฮาก็กลับนิ่งเงียบ ไม่ค่อยชอบออกจากบ้าน ร่างกายผอมซูบลง นัยน์ตาเลื่อนลอยไม่จับคน บางทีก็พยักหน้าหงึกๆ กับใครไม่ทราบ บางทีก็พูดพึมพำ หัวเราะหัวใคร่อยู่คนเดียว จนชาวบ้านนึกว่าสติไม่ดีเพราะโดนตีหัวคราวนั้น

ผมเป็นเพื่อนสนิทที่ไปมาหาสู่บ่อยๆ ต้องยืนยันว่าเจ้าโหน่งไม่ได้บ้าๆ บอๆ พูดคุยกันรู้เรื่อง ถามไถ่อะไรก็จำได้ พ่อแม่มันก็ชอบให้ผมไปบ้านเขา ลูกชายจะได้พูดคุยยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่งั้นมักจะหมกตัวเงียบอยู่ในห้องคนเดียว

ไม่ช้าผมก็ต้องขนหัวลุกเพราะเจ้าโหน่งนี่เอง!

ตอนบ่ายวันนั้นเรานั่งคุยกันที่โต๊ะหินหน้าบ้าน มีต้นมะม่วงกับชมพู่ร่มครึ้ม เจ้าโหน่งมองไปที่รั้วไม้ระแนง แล้วถามว่าเห็นใครไหม? ผมบอกว่าจะเห็นได้ยังไงรั้วมันบัง

"ไม่ใช่นอกบ้าน..ที่ใต้ต้นมะม่วงริมรั้วข้างในต่างหากล่ะ! ผู้ชายตัวดำๆ ล่ำเตี้ยน่ะ มันกำลังมองเราอยู่ด้วย"

ผมส่ายหน้า ยืนยันว่าไม่เห็นใครเลย เจ้าโหน่งก็ถอนใจยาว

"มันชื่อสิงห์ ตามข้ามาจากโรงพยาบาลแน่ะ!"

"คิดไปเองมั้ง? ไม่ก็ตาฝาด.."

"เปล่า ไอ้สิงห์ตามข้ามาจริงๆ มันโดนสิบล้อทับตายคาที่ ก่อนข้าจะกลับบ้าน 2-3 วันเท่านั้น..มันมาขออยู่ด้วย! นั่นไง..มันกำลังยิ้มฟันขาวกับเอ็งแน่ะ"

ผมขนลุกซ่า ทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ ก็เถอะเอ้า! ตอนแรกคิดว่าเพื่อนเป็นบ้าไปแล้ว แต่คำพูดต่อมาของมันทำให้ผมเสียวสันหลังมากกว่าเดิม

"ข้ารู้ว่าเอ็งไม่เห็น ใครๆ ก็ไม่เห็น มีแต่ข้าคนเดียวที่เห็นถนัด" เจ้าโหน่งถอนใจยืดยาวอีกครั้ง นัยน์ตาที่จมลึกอยู่ในเบ้าราวจะขยายใหญ่ยิ่งกว่าเดิม "ไม่ใช่ไอ้สิงห์คนเดียวนะ..นั่น! ตาปลอดกับลุงฉ่ำ ยายเขียวกับป้าแสง! ยืนมองเราอยู่ที่หน้าต่างประตูนั่นไง!"

"ไอ้โหน่ง.." ผมคราง ปากคอแห้งผากไปถนัด "เอ็งจะเห็นได้ยังไงวะ..ก็พวกนั้นตายหมดแล้วนี่หว่า"

"อ้าว? ไอ้เด่นเดินมาอีกคนแล้ว ที่มันตกน้ำตายตอนต้นปีน่ะ"

ผมตัวแข็งลิ้นแข็งไปหมดจนพูดอะไรไม่ออก จ้องมองแทบตาถลนไปยังประตูรั้วก็ไม่เห็นใครที่เจ้าโหน่งเอ่ยชื่อมา..ไอ้เด่นวัยสิบขวบที่ตกน้ำตายก็ไม่เห็น!

คุณพระคุณเจ้า! ผมเห็นเจ้าโหน่งยิ้มกว้างขึ้น กวักมืออย่างอารมณ์ดี

"มาซีวะไอ้เด่น อยากคุยกันก็เข้ามา" มันพูดเสียง ดังก่อนจะพยักหน้าช้าๆ "เออ! งั้นก็แล้วไป" แล้วหัน มายิ้มกับผม "ไอ้เด่นมันบอกว่าวันหลัง มันรู้ว่าเอ็งกลัวมัน"

เจ้าโหน่งทั้งเห็นผี ได้ยินเสียงผีด้วยหรือเนี่ย? ตอนแรกคิดว่ามันหยอกล้อผมเล่นตามประสาเพื่อนฝูง แต่วันต่อๆ มามันก็ชี้ให้ดูมะม่วงหน้าบ้านต้นนั้น..บอกว่ามีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้นั่งอยู่บนนั้น..ผีผูกคอตาย!

"สงสัยจะตายมานานแล้ว พ่อแม่ก็ไม่ยอมเล่าให้ฟัง ตอนกลางคืนข้าเห็นแกห้อยโตงเตง กวักมือเรียกข้าไป อยู่ด้วย พอตอนกลางวันก็นั่งร้องไห้อยู่บนกิ่งใหญ่นั่นไง"

ถึงจะมองไม่เห็นอะไรเลยแต่ผมก็ขนลุกซ่า..กลับบ้านไปถามพ่อ ได้ความว่าญาติข้างแม่เจ้าโหน่งมาอาศัยอยู่ ไม่นานก็ผูกคอตายมาสิบกว่าปีแล้ว..สาเหตุจากท้องไม่มีพ่อ

ผมแน่ใจว่าเพื่อนไม่ได้บ้า แต่เกิดมีญาณวิเศษหรือพรสวรรค์หลังจากโดนตีจนสลบ..คิดว่าจะห่างๆ ไปสักพักก่อน แต่อีกไม่กี่วันต่อมาเจ้าโหน่งก็ผูกคอตายที่ต้นมะม่วงริมรั้วนั่นเอง..ผีผูกคอเรียกเพื่อนผมไปอยู่ด้วยกันได้สำเร็จแล้ว!

ขอบคุณเรื่องเล่าจากข่าวสด
เรื่องนี้บอกเล่าใน xchange.teenee.comบอร์ดลึกลับ โดยคุณpigkyko

229
หมูป่าอาฆาต
    
หมูป่าอาฆาตฆ่าพรานพรุนทั้งตัว

พรานเฒ่าเสียท่าหมูป่า เจอเขี้ยวแทงเป็นแผลฉกรรจ์ทั้งตัว



ชาวบ้านรีบหามส่งร.พ.แต่ไปตายระหว่างทาง ชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์แซด พรานเฒ่าถูกพ่อหมูป่าตามมาอาฆาต

เพราะไม่น่าเป็นไปได้ที่จู่ๆ หมูป่าจะเข้ามาหมู่บ้านที่อยู่ห่างกันถึง 10 ก.ม. ระบุหลายวันก่อนพรานเฒ่าเข้าไปล่าหมูแม่ลูกอ่อนเอาเนื้อมาขาย

แล้วเอาลูกหมูป่าเข้ามาเลี้ยงไว้ในสวน

พอลูกหมูโตขึ้นก็จับฆ่าชำแหละแต่ยังเหลืออยู่ 1 ตัว วันเกิดเหตุพ่อหมูมาส่งเสียงเรียกลูก พรานเฒ่าได้ยินรีบคว้าปืนลั่นไก

แต่กระสุนด้าน เลยถูกพ่อหมูป่ากระโจนใช้เขี้ยวแทงจนตายสยอง

เมื่อวันที่ 5 เม.ย.ร.ต.อ.รณชัย ธนวัฒน์ดำรง พงส.(สบ.1) สภอ.จุน จ.พะเยา รับแจ้งจากร.พ.จุน ว่า เมื่อคืนวันที่ 4 เม.ย.
มีชาวบ้านถูกหมูป่าทำร้ายมาเสียชีวิตที่ ร.พ.

รุดไปตรวจสอบทราบชื่อผู้ตายคือ นายหวัน สีสัน อายุ 68 ปี อยู่บ้านเลขที่ 268 ม.4 ต.ห้วยข้าวก่ำ อ.จุน

พรานล่าสัตว์ชื่อดังของห้วยข้าวก่ำ สภาพศพถูกเขี้ยวหมูป่าแทงเป็นแผลฉกรรจ์หลายแห่ง

จากการสอบสวนชาวบ้านที่ช่วยกันนำนายหวันส่งร.พ.


ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุช่วงเย็นวันที่ 4 เม.ย. มีหมูป่าตัวผู้เข้ามาในสวนลำไย ลิ้นจี่ นายหวันจึงวิ่งไปเอาปืนแก๊ปมาไล่ยิงในระยะประชิด

แต่กระสุนยิงไม่ออก จึงถูกหมูป่ากระโจนใส่อย่างแรงจนเสียหลักล้มลงและเกิดต่อสู้กัน ก่อนนายพรานเฒ่าจะเสียท่าถูกหมูป่าใช้เขี้ยวยาวแทงเข้าหน้าอกทะลุปอด
ขาทั้งสองข้าง และสะโพกทั้งสองข้างเป็นแผลฉกรรจ์เลือดเต็มนองพื้น


ชาวบ้านต้องช่วยกันยิงหมูป่าจนตาย แล้วรีบนำนายหวันส่งร.พ.จุน แต่ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตระหว่างทาง

โดยแพทย์ระบุว่าเสียชีวิตเนื่องจากเสียเลือดมากและมีเลือดคั่งในปอด

จากนั้นผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านผู้ตาย พบว่าชาวบ้านต่างวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง

ระหว่างช่วยกันจัดงานศพให้นายหวันว่า


ไม่น่าเชื่อว่าหมูป่าจากป่าห้วยข้าวก่ำจะเข้ามาถึงหมู่บ้านเนื่องจากอยู่ห่างกันถึง 10 ก.ม.

สาเหตุน่าจะมาจากพ่อหมูป่าตามมาเล่นงานนายหวัน เพราะเมื่อเร็วๆ นี้พรานเฒ่าเพิ่งเข้าป่าไปฆ่าหมูป่าแม่ลูกอ่อนและเอาทั้งแม่ทั้งลูกมาชำแหละขาย

ชาวบ้านรายหนึ่งเล่าว่า เมื่อประมาณ 10 วันที่ผ่านมา

นายหวันพรานเฒ่าเข้าป่าห้วยหลวง-ห้วยข้าวก่ำ และล่าหมูป่าแม่ลูกอ่อนมาได้ตัวหนึ่งนำเนื้อชำแหละขายให้ชาวบ้าน

พร้อมกันนั้นยังนำลูกหมูป่า 4 ตัวมาเลี้ยงไว้ ก่อนชำแหละขายเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ยังเหลืออยู่ 1 ตัว

จนกระทั่งวันเกิดเหตุคาดว่าพ่อหมูป่า

ลัดเลาะมาตามลำห้วยจนถึงหมู่บ้าน และตามกลิ่นลูกมาถึงสวนข้างบ้านนายหวัน จากนั้นส่งเสียงเรียกหาลูกที่นายหวันเลี้ยงไว้ในสวน

ซึ่งลูกหมูก็ส่งเสียงร้องตอบ เมื่อนายหวันเห็นจึงคว้าปืนวิ่งลงจากบ้านเล็งยิงใส่พ่อหมู 1 นัดแต่กระสุนด้านเลยถูกพ่อหมูป่ากระโจนใช้เขี้ยวแทงใส่จนตายสยองดังกล่าว


ขอบคุณที่มา
http://happy.teenee.com/xfile/kod/1240.html

230
การสอนที่ทรงอำนาจ.........ท่านปัญญานันทภิกขุ

ท่านผู้หนึ่งที่เชียงใหม่ แกสูบบุหรี่จัดมาก ได้ลูก ๒ คน ชายคนหนึ่ง หญิงคนหนึ่ง ลูกชายนั้นมันเดินตามพ่อ พ่อสูบยี่ห้อไหน มันสูบยี่ห้อนั้นพ่อสูบเวลาไหน มันก็สูบเวลานั้น
      พ่อนั่งดูลูกสูบบุหรี่ ก็นึกในใจว่า “แย่ ติ๊กมันจะแย่ (ชื่อเล่นชื่อติ๊ก)ถ้ากูทำอยู่อย่างนี้ มันจะแย่...เลยคิดว่าต้องให้ลูกเลิกสูบบุหรี่ พ่อต้องเลิกก่อนเลยเลิก ตัดสินใจเลิก ไม่สูบเลยหลายวัน
      ลูกสังเกตเห็นว่า พ่อนี่ผิดปกติมาหลายวันแล้ว วันหนึ่งเมื่อกินอาหารเสร็จแล้ว ก็ถามพ่อว่า “พ่อ หมู่นี้ดูพ่อผิดปกติ”
พ่อถามว่า “ผิดปกติอะไรลูก” “ผมไม่เห็นพ่อสูบบุหรี่เลยหลายวันแล้ว เพราะอะไร?”
พ่อบอกว่า “นั่งลง...พ่อจะเล่าให้ฟัง พ่อนี่มีลูก ๒ คน พ่อรักลูกอยากเห็นความเจริญเติบโตของลูก พ่อเมื่อก่อนนี้สูบบุหรี่จัด มีโอกาสเป็นมะเร็งปอดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วจะได้เห็นความเจริญของลูกได้อย่างไร พ่อรักลูก ก็อยากอยู่กับลูกนานๆ พ่อเลยตัดสินใจเลิกตั้งแต่วันนั้น วันที่พ่อคิดถึงลูกมาก พ่อเลิกไม่สูบเลย ในชีวิตตั้งแต่นั้นมา จนบัดนี้แล้ว จะไม่สูบอีกต่อไป ลูกจำไว้เถอะ”
      พ่อไม่ได้พูดว่า “ลูกควรจะเลิกเหมือนพ่อ” ไม่ได้ขอลูกเลยสักคำเดียว เพียงแต่บอกว่า “พ่อรักลูก อยากจะอยู่กับลูกนานๆ พ่อจึงเลิกสูบบุหรี่”
      แล้วต่อมา ลูกมันก็เลิกเหมือนกัน มันเห็นพ่อไม่สูบบุหรี่ มันก็นึกได้ว่า “กูก็เลิกเหมือนกัน” เลิกเลย เลิกหมดทั้ง ๒ คน ในบ้านนั้นก็เลยไม่มีใครสูบบุหรี่ต่อไป
      พ่อเลิก ลูกเลิก! นี่คือการสอนที่เรียกว่า ทำให้ดูเป็นตัวอย่างมีอำนาจมาก ศักดิ์สิทธิ์มาก ทำให้เกิดการคิดขึ้นในใจของผู้นั้นได้ เลิกได้


ขอบคุณที่มา
http://www.oknation.net/blog/Duplex/2009/11/12/entry-1

“คนเราจะสอนผู้อื่นด้วยรื่องใด
ควรทำตนในเรื่องนั้นก่อน
จึงจะเป็นนักสอนที่ไม่ยุ่งเหยิง”
-พุทธวจนะ-

231
บทความ บทกวี / 3x8 = ?
« เมื่อ: 11 พ.ค. 2554, 10:25:35 »
3 x 8 = ?????

เอี๋ยนหุยใฝ่ศึกษา มีคุณธรรมงดงาม เป็นศิษย์รักของขงจื้อ  มีอยู่วันหนึ่ง เอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ที่หน้าร้านขายผ้า จึงเข้าไปสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า
ได้ยินลุกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า “3x8ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย 24เหรียญล่ะ!”
เอี๋ยนหุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า “พี่ชาย 3x8 ได้ 24
จะเป็น 23 ได้ยังไง? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก”
คนซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน!
จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ
ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน ”
เอี่ยนหุยกล่าวว่า “ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร?”
คนซื้อผ้ากล่าวว่า“หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ?”
เอี๋ยนหุยกล่าวว่า “หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง)”
ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น
เมื่อขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “3x8ได้ 23 ถูกต้องแล้ว
เอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย”
เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น  ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป
ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป
พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ
ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้   ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว
พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”
เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์จะจำใส่ใจ” แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง
เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่
จึงเร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่า “อย่าแฝงเร้นกาย

ใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”
เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น
จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่
ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา
เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด
คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ?

เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน เลยใช้ดาบที่นำติดตัว
มาค่อยๆเดาะดาลประตูห้องของภรรยา
เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน!
เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง
เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา “อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”

เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของเขาเอง
พอฟ้าส่าง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก
เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้
ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง?”
ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า “เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่
จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่
และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย
อาจารย์จึ้งเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”
เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ “ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน”
ขงจื้อจึงตักเดือนเอี๋ยนหุยว่า “อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก ที่จริงแล้วเธอคิดว่า
อาจารย์แก่แล้ว ความคิดเลอะเลือน
ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก
หากอาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนๆหนึ่ง เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ? ”

เอี๋ยนหุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ
โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆน้อยๆ
ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด”
 
จากนั้นเป็นต้นไป ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่งหนตำบลใด เอี๋ยนหุยติดตามไม่เคยห่างกาย

บางครั้งคุณอาจเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลของคุณ แต่อาจจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป ”
เรื่องราวต่างๆ แบ่งเป็นหนักเบารีบช้า อย่าเป็นเพราะต้องการเอาชนะให้ได้ แล้วทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต

เรื่องราวมากมายที่ไม่ควรทะเลาะกัน ถอยหนึ่งก้าวทะเลกว้างฟ้างาม
ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับเถ้าแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ตรวจผลงานปลายปีมาถึง คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เธอไม่สนใจคุณ คุณก็หากับข้าวกินเองละกัน)
ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เคลียร์ไม่ได้ คุณอาจจะเสียเพื่อนไปเลย)


ใบชา เกิดสีสวยและกลิ่นหอมน่าลิ้มลองได้ ก็เพราะโดนน้ำร้อนลวก
ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน เพราะเผชิญกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า
จึงเหลือไว้ซึ่งเรื่องราวเป็นตำนานให้ได้เล่าขานน่าตามติด
ผู้ที่รู้สำนึกคุณอยู่เสมอ จึงเป็นผู้มีวาสนามากที่สุด


ที่มา....จาก forward mail

232
หลวงปู่เจี๊ยะ...พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง ๒๓
จาก หนังสือ ประวัติ พระครูสุทธิธรรมรังษี หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง
วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อำเภอสามโคก จังหวัดประทุมธานี

คติธรรม/กรรม/อาพาธ

แต่ก่อนมีค่าเป็นร้อยเป็นชั่ง...

ในปัจฉิมวัย ไม่ว่าในคราใดท่านประสบอาพาธหนัก นอนเป็นอัมพาตอยู่บนเตียง ท่านไม่แสดงความหวั่นไหว บ่งบอกความแข็งแกร่งนิสัยอาชาไนย อีกทั้งยังแสดงธรรมสอนลูกศิษย์ที่ไปเยี่ยมด้วยการเอาร่างกายของท่านเป็นเครื่องเปรียบเสมอว่า

“ตอนเป็นหนุ่มเป็นสาว มีค่าเป็นร้อยเป็นชั่ง พอเดี๋ยวนี้ ๕๐ สตางค์ก็ไม่มีใครเอา”

บางครั้งท่านก็จะเล่าเรื่องในอดีตที่เกี่ยวโยงมาถึงปัจจุบันให้ผู้อุปัฎฐากดูแลฟัง บางทีก็เป็นขำขันเป็นนิทาน เป็นธรรมะชั้นสูง หรือบอกเป็นนัย ๆ วันนี้จะมีใครมา ถ้าสังเกตและพิจารณาตามนั้นจะเป็นจริงทุกเรื่อง

กรรมที่เคยฆ่าหมา

ท่านเล่าถึงสาเหตุที่ต้องได้ทำการผ่าตัดหมอนรองกระดูกสันหลังกดทับเส้นประสาท นอนแกร่วเป็นอัมพาตนี้ว่า ตอนเป็นหนุ่ม เราเลี้ยงหมูไว้แยะ ต้มข้าวเอาไปวางให้หมู หมามันมากินหมด โมโหจัดจึงเอาไม้คานเจ็กตีหมาโป้งเดียวจอดสลบ ด้วยความที่โกรธจัด แม้หมาตัวนั้นจะนอนแน่นิ่งเหมือนตายแล้ว ก็คงเอาไม้คานตีกระหน่ำอยู่อย่างนั้น ตีจนกระทั่งมันฟื้นขึ้นมาอีก ฟื้นขึ้นมาอีกตีซ้ำลงอีกแบบทารุณไร้เมตตาธรรม คราวนี้หมามันชักตาย...เสร็จเลย กรรมอันนี้แหละ เป็นกรรมในปัจจุบันชาติที่เราต้องชดใช้”

กรรมรีดลูกปลา

และที่เรามีอาการชาและแบบที่ผิวหนังรอบทวารหนัก ไม่สามารถนั่งตัวตรงเป็นเวลานานๆ ได้นั้น ก็เป็นกรรมในปัจจุบันซาติเช่นเดียวกัน คือ ตอนหนุ่ม ๆ เราชอบเลี้ยงปลาเข็ม ปลาหัวเงิน ตามประสาเด็กรุ่นๆ ทำสนุกสนาน เวลาปลาหัวเงินปลาเข็มมันท้องแก่ แต่ยังไม่ถึงเวลาคลอดลูก เราชอบรีดท้อง รีดเอาลูกมันออกมาก่อนเวลา เอามาเลี้ยง มันทันใจดี เมื่อรีดเอาลูกมันออก แม่มันก็ตาย ด้วยผลกรรมคือรีดลูกจากท้องปลาที่เผ็ดร้อนทารุณนี้ จึงเป็นกรรมที่ทำให้เราก้นชาและแสบทวารอยู่ไม่หาย


ขอบคุณที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-jea/lp-jea-hist-01-23.htm

233
ขอบคุณที่มา http://www.watpanonvivek.com/phpBB306/viewtopic.php?f=39&t=1052
===========================
1/3

เรื่องสั้นสอนใจ ~ "บันทึกของนักโทษประหาร"

ผมคือนักโทษประหารคนหนึ่ง เช้าวันนี้ผมและเพื่อนนักโทษอีกคนจะถูกนำไปลานประหาร แล้ว ไม่ช้าห่ากระสุนก็จะจบชีวิตอันชั่วร้ายของผม แต่ก่อนผมและพรรคพวกอยู่ท่ามกลางตีรันฟันแทงหลายครั้ง ต่างคิดว่าไม่กลัวตาย ไม่เคยรู้สึกว่าชีวิตมีค่าอะไร แต่ขณะนี้ความตายกำลังจะมาถึง กลับรู้สึกหวาดกลัวและรักชีวิตขึ้นมา ตอนนี้ถ้าสามารถให้ผมมีชีวิตยืดต่อไปอีกหน่อยแม้จะเพ ียงไม่กี่นาที จะให้แลกกับอะไรผมยอมทั้งนั้นก่อนหน้านี้เพื่อนร่วมก๊วนคนหนึ่งได้ถูกจับ ทำให้โอกาสที่จะยืดชีวิตต่อไปสิ้นหวัง ตั้งแต่ถูกศาลพิพากษาลงโทษประหารชีวิต ทำให้ความหวังของผมทุกอย่างพังทลายหมด เสียงฝีเท้าของพญามัจจุราชคืบคลานใกล้เข้ามาทุกขณะ ทุกครั้งที่คิดถึงว่าจะถูกนำไปลานประหาร ทำให้ร่างกายสั่นสะท้านทุกที ทุกคืนนอนไม่ค่อยหลับ เรื่องความหวังที่จะได้ยืดชีวิตต่อไปหรือได้รับอิสรภ าพ แม้จะรู้ว่า เป็นเรื่องเพ้อฝัน เพราะทุกอย่างสายไปแล้ว ผมสำนึกผิดและเสียใจกับเรื่องราวในอดีตทั้งหมด ถ้ารู้แต่แรกว่าจะลงเอยแบบนี้ผมคงไม่กล้าทำ

เมื่อไม่นานมานี้ ผมเริ่มเชื่อเรื่องผีสางเทวดามีจริง ตั้งแต่ผมถูกจับกุมอยูในเรือนจำ ได้อ่านหนังสือธรรมะไม่น้อยแต่ก่อนหนังสือเหล่านี้ผม ไม่เคยสนใจเลย ซ้ำยังหาว่าเป็นเรื่องงมงาย ไร้ สาระ ทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์ระหว่างที่ผมหลบหนีคดีแล้ วถูกวิญญาณพยาบาทตามรังควานจนถึงเดี่ยวนี้ก็ยังมีอยู ่เป็นข้อพิสูจน์อย่างดีตามที่หนังสือธรรมะว่าไว้ไม่ม ีผิด ผมคิดว่า ถ้าผมเชื่อเรื่องราวในหนังสือธรรมะตั้งแต่แรก ความชั่วร้ายเหล่านี้ก็คงไม่เกิดขึ้นเป็นแน่ อยู่ในคุกผมได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ ?ท่องเมืองนรก? ทำให้ผมรู้สึกเสียใจและหวาดกลัวมาก ที่แท้คนเราตายแล้วไม่ใช่จบสิ้นทุกอย่างนักโทษประหารเช่นผมที่ได้สร้างบาปกรรมไว้มากมาย ในภายหน้าคงไม่อาจหนีพ้นการลงโทษจากนรก ไม่รู้ว่าจะได้พ้นทุกข์เมื่อไหร่ และเมื่อไหร่จึงจะได้มาเกิดเป็นคนอีก

เมื่อวานลูกเมียได้มาเยี่ยม เราต่างรู้ว่านี่เป็นการพบหน้าครั้งสุดท้าย ผมได้หลั่งน้ำตาแห่งความสำนึกผิด เวลา 15วินาทีของการเยี่ยม เราต่างนิ่งเงียบ ผมจะพูดอะไรได้ภรรยาอุ้มลูกน้อยไร้เดียงสา ผมจะทอดทิ้งพวกเขาลงคอได้อย่างไร แต่ผมจะทำอะไรได้ เวลา 15 นาทีผ่านไปเร็วมาก ผมบอกเมียว่าให้ถนอมสุขภาพ เพราะความประพฤติของผมที่ผ่านมาแท้ๆ จึงทำให้ลูกเมียต้องพลอยลำบาก ขอให้เธอให้อภัย และย้ำแล้วย้ำอีก ต่อไปเธอจงอบรมลูกให้ดีควรดูการทำชั่วของพ่อเป็นบทเร ียน อย่าได้เจริญรอยตาม ครั้นลูกเมียเดินจากไป ผมมองตามหลังจนลับสายตา ผมปวดร้าวในหัวใจ ร้องไห้จนสลบไปแต่ก่อนผมไม่เคยสนใจลูกเมียเลย ภรรยาแต่งกับผมมาหลายปี ไม่รู้ว่าต้องทนกับการด่าว่าและเตะถีบจากผมเท่าไหร่ ผมไม่เคยทำหน้าที่สามีและพ่อที่ดีเลย ผมไม่สมควรเป็นคน ผมตำหนิตัวเอง ผมสำนึกผิดเมื่อใกล้จะถูกประหารน้ำมันตะเกียงกำลังจะ หมด ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว

ไม่นานมานี้ได้ความรู้จากหนังสือธรรมะ ผมยอมรับว่าตอนนี้ผมกลัวตายที่สุด เพราะผมเชื่อแน่ว่าตายแล้วไม่สูญหมด แต่เป็นเพียงวิญญาณหลุดออกจากกายเนื้อเท่านั้น แล้วไปเริ่มต้นอีกมิติหนึ่ง โดยผมจะต้องไปรับโทษอีกตามที่หนังสือ ?ท่องเมืองนรก? บันทึกไว้ ซึ่งเป็นการลงโทษที่โหดร้ายทารุณยิ่งกว่ากฎหมายเมือง มนุษย์หลายร้อยหลายพันเท่า โอ... แล้วจะมีใครช่วยผมได้นี่ ! ขณะนี้ผมกำลังก้าวไปหาความตาย แม้ผมจะสำนึกผิดแล้ว แต่ในตัวผมเต็มไปด้วยบาปกรรม ตอนนี้ผมไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะกลับตัวใหม่ หรือไถ่บาปได้เลย ได้แต่ใช้เวลาและลมหายใจอันจำกัดเล่าบาปกรรมที่ทำมาท ั้งหมดอย่างหมดเปลือกหนึ่งนั้นเป็นการสารภาพบาปสองนั้นเพื่อเป็นบทเรียนอุทาหรณ์เตือนใจแก่ผู้หลงผิด ให้กลับตัวใหม่
ขอพระโพธิสัตว์โปรดเมตตา ลดโทษทัณฑ์ที่นรกให้บ้างเถิด

234
ขอขอบคุณ คุณณรงค์ ชื่นนิรันดร์
ที่มา http://narongthai.com/pookuv.html
===============================

ชีวิตนักข่าว...พุทธไสยาสน์ภูค่าว
ณรงค์ ชื่นนิรันดร์
8 ธันวาคม 2552

หน้าพุทธไสยาสน์สร้างใหม่
 
เมื่อช่วงปลายปี 2552 ผมได้มีโอกาสเดินทางไป ประเทศลาว และและภาคอีสานเพื่อทัศนศึกษา วัดวาอาราม ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ จังหวัดกาฬสินธุ์ ทำให้รู้ว่ามีพุทธสถานที่น่าสนใจและน่าศึกษา อยู่หลายแห่ง
 
ตอนสายผมได้เดินทางไป วัดภูค่าว หรือวัดพุทธนิมิต ซึ่งตั้งอยู่ใน ตำบลสหัสขันธ์ อำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยวัดนี้ ตั้งอยู่ห่างจาก อำเภอสมเด็จประมาณ 30 กม. และตั้งอยู่ห่างจาก อำเภอสหัสขันธ์ ประมาณ 10 กม. วัดภูค่าว จะตั้งอยู่ระหว่างทางไปอำเภอสหัสขันธ์ กับอำเภอสมเด็จ เราสามารถมองเห็น พระธาตุเจดีย์ขนาดใหญ่ ที่กำลังดำเนินการก่อสร้าง ที่ใกล้จะแล้วเสร็จ ผมเลี้ยวรถเข้าไปอย่างไม่รอช้า เพื่อเข้าไปชมวัดภูค่าว ที่มีรั้วรอบขอบชิด วันที่ผมไป  พึ่งมีการยกยอดเจดีย์ทองคำไปเมื่อวันที่ 5 ธ.ค.52 ดังนั้นบรรยากาศจึงดูเงียบเชียบ ผมจอดรถ และเริ่มเดินเข้าไปในบริเวณวัด ที่มีฝูงนกยูงอยู่หลายสิบตัว และบางตัวกำลังรำแพน ออกท่าทางสวยงาม

นกยูงในวัด

ผมเดินผ่านศาลาการเปรียญ ที่พระประธานองค์ใหญ่ ปางพระพุทธชินราช ผมเดินไปตามป้ายบอกทาง เพื่อที่จะไปนมัสการเจ้าอาวาส แต่ก็ไม่ได้นมัสการเพราะเห็นท่านมี แขก ผมจึงเดินผ่านไปที่ตั้งของ พุทธไสยาสน์ ที่อยู่ด้านหลังของศาลาการเปรียญ

มหาธาตุเจดีย์
 
พุทธไสยาสน์ องค์นี้ ดูแปลกจากองค์อื่น ๆ ที่ผมเห็นมา และยังแตกต่างจากพุทธไสยาสน์ที่ประดิษฐานที่ภูปอ ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก ตามประวัติระบุว่า พุทธไสยาสน์ องค์นี้ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า คือ พระโมคัลลานะ สังเกตได้จาก เศียร จะหันไปทางซ้ายมือของเรา หรือนอนตะแคงซ้าย ที่เศียรก็ไม่มีพระเกตุมาลา และองค์เล็กกว่าพุทธไสยาสน์ที่ดินภูปอ (อ.สหัสขันธ์) แต่การสร้างคล้ายคลึงกันคือการสลักหินที่อยู่ในหน้าผา ที่ไม่สูงชันมากนัก


จากการสันณิษฐาน ของผม พอจะคาดการณ์ได้ว่า พุทธไสยาสาส์นที่ภูปอน่าจะมีการสร้างก่อนองค์นี้ เพราะเป็นพระพุทธเจ้าที่ปรินิพพาน ก่อนพระโมคคัลลานะ และชาวพุทธในละแวกนั้น ได้สร้างไว้เพื่อบูชาสักการะ  ผมคิดไปต่าง ๆ นานา หลายตลบ เพื่ออยากจะรู้ว่า ทำไมคนโบราณจึงเลือกที่จะสร้างพระไว้ริมหน้าผา หรือว่า ผู้คนในสมัยก่อนมีการตั้งรกราก อยู่บนภูเขาในแถบนี้ และเมื่อมาสักการะทำให้ได้เห็นทิวทัศน์ ที่งดงาม ที่จะทำให้จิตใจสงบร่มเย็นได้ จากนั้นผมได้เดินไปยังศาลาที่เป็นที่เก็บพระเครื่อง ซึ่งเป็นพระเครื่องชั้นยอด โดยมีการติดพระเครื่องไว้รายรอบทั้งดาดฟ้าเพดาน มีพระเครื่องเต็มไปหมด ซึ่งเป็นเรื่องแปลก ที่ไม่มีวัดที่ไหนทำมาก่อน


ผมใช้เวลาอยู่ที่นี่นานพอควร จากนั้นผมจึงเดินออกมาบริเวณ ลานวัด ที่ทำให้รู้ว่า ที่วัดแห่งมีการผสมผสานวัฒนธรรมจีน ในวรรณกรรมสามก๊ก อาทิ รูปปั้น ขงเบ้ง กวนอู

ส่วนด้านหน้า ทางเข้าวัด กำลังมีการก่อสร้างพระมหาธาตุเจดีย์ ที่ใช้เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งกำลังดำเนินการก่อสร้าง และใกล้จะแล้วเสร็จ ผมเดินเข้าไปในพระมหาธาตุเจดีย์ ที่มีประตูเป็นไม้แผ่นชิ้นเดียวขนาดใหญ่ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า จะต้องเป็นไม้ที่ได้จากต้นไม้ขนาด 3 คนโอบ ข้างในยิ่งตระการตา เพราะพื้นปูด้วยไม้แผ่นขนาดใหญ่เช่นกัน ตรงกลางเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธนิมิตเหล็กไหล ทั้งองค์มีเนื้อสีดำ ประทับอยู่บนฐานไม้

พุทธนิมิตเหล็กไหล

ส่วนรอบ ๆ ภายในพระมหาธาตุเจดีย์ จะมีพระพุทธรูปประดิษฐานรายรอบเต็มไปหมด ต้องบอกว่า ข้างในค่อนข้างมืดเพราะยังไม่มีการติดไฟฟ้าแสงสว่าง และเท่าที่ผมประเมินดูพบว่าภายในกว้างใหญ่สามารถจุผู้คนได้หลายร้อยคน และอาจจะเกือบถึง 1,000 คน ส่วนด้านข้างมหาเจดีย์เป็นอุโบสถ ที่ทำด้วยไม้ที่อยู่ใต้น้ำของเขื่อนลำปาว ที่ตั้งอยู่ไม่ห่างไกลกันนัก ไม้ที่ได้มาสร้างเป็นไม้ที่ได้มาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีหนังสือมอบอำนาจเรื่องการขอตัดและชักลากไม้ประดู่ ซึ่งดำเนินการเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2542 โดยนายประจักษ์ มังคะรัตน์ อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 67 หมู่ 5 ต.แซงบาดาน อ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ ได้มอบอำนาจให้นายชัยบัญชา โถดาสา อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 10/1 หมู่ 8 บ้านโคกทราย อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ เป็นผู้ดำเนินการ ในหนังสือมี นางหอมเงิน มังคะรัตน์ และ นายธวัชชัย บุญทานันท์ เป็นพยาน และหนังสือหลายฉบับได้เก็บไว้ในตู้ไม้ ที่ตั้งอยู่ภายในอุโบสถ ซึ่งผมมีความเป็นห่วงว่า อาจจะเสื่อมสภาพ หรืออาจสูญหายได้ แต่ผมคิดว่าทางวัดคงจะเก็บต้นฉบับเอาไว้ในที่ปลอดภัยอย่างแน่นอน ครับ ท่านใดสนใจที่จะไปชมผมก็ขอเชิญชวนทุกท่าน ซึ่งเป็นการเดินทางที่ท่านสามารถจะไปชม ภูสิงห์ที่มีพระพรมหมภูมิปาโล ซึ่งเป็นพระขนาดใหญ่ ภูกุ้มข้าวที่เป็นที่ตั้งของการขุดค้นซากไดโนเสาร์ และภูปอ ที่เป็นที่ประดิษฐานของพรพุทธไสยาสน์ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่ตั้งไม่ห่างไกลเท่าไหร่นัก นะครับ


ตู้เก็บเอกสาร                    เอกสารการชักลากไม้
 

235
ธรรมะ / ........มหาสติปัฏฐาน4.......
« เมื่อ: 08 พ.ค. 2554, 10:09:20 »
มหาสติปัฏฐาน ๔
               
                     เป็นการปฏิบัติที่พระองค์ท่านตรัสว่าเป็นทางสายเอก(เอกายนมรรค)  เมื่อปฏิบัติอย่างดีงามย่อมทำให้โพชฌงค์องค์แห่งการตรัสรู้บริบูรณ์ กล่าวคือย่อมทำให้วิชชาและวิมุตติบริบูรณ์ถึงที่สุด ดังที่ตรัสแสดงไว้อย่างแจ่มแจ้งในกุณฑลิยสูตร   ในการศึกษาการปฏิบัติทั้งหลายไม่ว่าในทางโลกหรือทางธรรมก็ตามที ต่างล้วนต้องเรียนรู้ให้เข้าใจจุดประสงค์เสียก่อน กล่าวคือ ต้องมีปัญญาหรือวิชชาเป็น พื้นฐานบ้างเสียก่อน จึงเริ่มลงมือปฏิบัติ จึงถูกต้องดีงาม อันจักยังผลให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างถูกต้องแนวทาง  ดังนั้นจึงควรมีความเข้าใจด้วยการศึกษาธรรมให้เข้าใจจุดประสงค์อย่างถูก ต้องด้วย  เพราะเป็นที่นิยมปฏิบัติกันโดยไม่ศึกษาให้ดีงามเสียก่อน  เริ่มต้นปฏิบัติก็มักเพราะเป็นทุกข์กำลังรุมเร้า หรือด้วยความเป็นพุทธศาสนิกชนที่ได้ยินได้ฟังมาอยู่เนืองๆ ก็เริ่มปฏิบัติอานาปานสติหรือสติปัฏฐาน ๔ โดยไม่มีความรู้ความเข้าใจเลย ดังนั้นแทนที่เป็นการฝึกสติ,ใช้สติชนิดสัมมาสติ  กลับกลายเป็นการฝึกการใช้มิจฉาสติจึงได้มิจฉาสมาธิแบบผิดๆอันให้โทษ  จีงเกิดขึ้นและเป็นไปตามพุทธพจน์ข้างต้น   จึงอุปมาเหมือนการเรียนเคมี โดยไปปฏิบัติในห้องปฏิบัติการเสียเลย ด้วยเข้าใจว่าไปเรียนไปศึกษาจากการปฏิบัติโดยตรงคงยังให้เกิดความรู้ความเข้าใจขึ้นเอง ด้วยเหตุดั่งนี้เอง จึงเกิดอุบัติเหตุการระเบิดขึ้นได้ด้วยความไม่รู้หรืออวิชชานั่นเอง  จึงสมควรอย่างยิ่งที่ต้องมีการเรียนรู้ให้เข้าใจจุดประสงค์เป็นพื้นฐานบ้างเสียก่อน จะได้ดำเนินไปอย่างถูกต้องแนวทางสมดังพุทธประสงค์ คือสัมมาสติที่เป็นไปเพื่อการดับทุกข์ อันเป็นสุขยิ่ง

         สติ ปัฏฐาน ๔ จึงเป็นการฝึกสติใช้สติ สมดังชื่อ ที่หมายความว่า การมีสติเป็นฐาน ธรรมที่เป็นที่ตั้งแห่งสติ  ซึ่งเมื่อเกิด สัมมาสติขึ้นแล้ว ย่อมยังให้เกิดจิตตั้งมั่นอันคือสัมมาสมาธิร่วมด้วยโดยธรรมหรือธรรมชาติ  แล้วนำทั้งสัมมาสติและสัมมาสมาธินั้นไปดำเนินการพิจารณาในธรรมคือเจริญ วิปัสสนา ในธรรมทั้งหลายดังที่แสดงในธัมมานุปัสสนา หรือธรรมอื่นใดก็ได้ตามจริต สติ ปัญญา มิได้จำกัดแต่เพียงในธรรมานุปัสสนาเท่านั้น

           อานาปานสติ เป็นการฝึกสติใช้สติิ  โดยการใช้ลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์ ที่หมายถึงเครื่องกำหนด กล่าวคืออยู่ในอารมณ์คือลมหายใจเข้าและออกอย่างมีสติระลึกรู้เท่าทันหรือพิจารณาเป็นจุดประสงค์สำคัญ   แต่กลับนิยมนำไปใช้เป็นอารมณ์ในการวิตกเพื่อให้จิตสงบเพื่อการทำฌานสมาธิเสียแต่ฝ่ายเดียวเป็นส่วนใหญ่หรือทุกครั้งไปเนื่องด้วยอวิชชาด้วยความไม่รู้  จึงไม่ได้สนใจการเจริญวิปัสสนาให้เกิดนิพพิทา,ให้เกิดปัญญาเลย  โดยปล่อยให้เลื่อนไหลหรือสติขาดไปอยู่แต่ในความสงบสุขสบายอันเกิดแต่ภวังค์ของฌานหรือสมาธิระดับประณีตแต่ฝ่ายเดียวหรือเสมอๆ  เพราะฌานสมาธินั้นยังให้เกิดความสุข ความสงบ ความสบายอันเกิดขึ้นจากภวังค์ และการระงับไปของกิเลสในนิวรณ์ ๕ เป็นระยะเวลาหนึ่ง  ตลอดจนนิมิตต่างๆที่เกิดขึ้นจากฌานสมาธิล้วนตื่นตาตื่นใจ อย่างเห็นได้ชัดและรวดเร็วเมื่อปฏิบัติได้ผลขึ้น จึงเกิดการติดเพลิน(นันทิ)โดยไม่รู้ตัว  ในที่สุดความตั้งใจที่ฝึกสัมมาสติอันเป็นมรรคองค์ที่ ๗ จึงกลับกลายเป็นมิจฉาสติไปโดยไม่รู้ตัว จึงได้มิจฉาสมาธิร่วมไปโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย

        หรือนิยมเข้าใจกันทั่วๆไปโดยนัยๆว่า ปฏิบัติสมถสมาธิ หรือปฏิบัติอานาปานสติ หรือปฏิบัติสติติดตามอริยาบถ ก็เพียงพอเป็นการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ อันดีงามแล้ว และก็ทำอยู่แต่อย่างนั้นอย่างเดียวนั่นเอง เช่นนั่งแต่สมาธิแต่ขาดการเจริญวิปัสสนา,   ดังนั้นการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ จึงควรดำเนินประกอบด้วยการเจริญวิปัสสนาให้เกิดปัญญาหรือความเข้าใจตามความเป็นจริงอย่างถูกต้อง เพราะไม่เช่นนั้นก็ย่อมดำเนินและเป็นไปดังพุทธดำรัสที่ตรัสแสดงไว้ข้างต้น


ขอบคุณที่มา
http://www.kammatan.com/board/index.php?topic=352.0

ฟังธรรมะจากหลวงพ่อพุธ เรื่อง....หลักของสติปัฏฐาน - 1
http://www.fungdham.com/download/sound/put/CD109-17.wma
ขอบคุณที่มา
http://www.fungdham.com/

236
บทความ บทกวี / .....เนกขัมมะ(บารมี).....
« เมื่อ: 08 พ.ค. 2554, 09:48:49 »
เนกขัมมะ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เนกขัมมะ แปลว่า การออก, การออกบวช, ความไม่มีกามกิเลส ใช้คำว่า เนกขัม ก็มี
เนกขัมมะ หมายถึงการละเหย้าเรือนออกไปบวชเป็นพระเป็นนักบวช, การละชีวิตทางโลกไปสู่ชีวิตอันบริสุทธิ์ เป็นการปลดเปลื้องตนจากโลกียวิสัยไปบำเพ็ญเพียรเพื่อความปลอดจากราคะและตัณหา ปกติใช้เรียกการออกบวชของนักบวชทุกประเภทและใช้ได้ทั้งชายและหญิง
เนกขัมมะ ในพระพุทธศาสนาจัดเป็นบารมีอย่างหนึ่งเรียกว่า เนกขัมมบารมี คือบารมีที่เกิดจากการออกบวช


ขอบคุณที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B0

237
เคราะห์จากการค้าขายหมู

ครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นคนจีน ตั้งแต่จำความได้ข้าพเจ้าเห็นเตี่ยขายหมูในตลาดสด ส่วนแม่ข้าพเจ้าทำการขายของชำต่างๆอยู่กับร้าน

.....ครอบครัวของข้าพเจ้าเป็นคนจีน ตั้งแต่จำความได้ข้าพเจ้าเห็นเตี่ยขายหมูในตลาดสด ส่วนแม่ข้าพเจ้าทำการขายของชำต่างๆอยู่กับร้าน ข้าพเจ้าเติบโตขึ้นมาเห็นเตี่ยฆ่าหมูอยู่เสมอ ทำให้นึกสงสารหมูที่ถูกฆ่า เตี่ยของข้าพเจ้าเป็นคนอารมณ์ดีไม่น่าเชื่อว่าจะฆ่าหมูได้ และมีความชำนาญในการฆ่าด้วย

.....ในสมัยก่อนไม่มีโรงฆ่าสัตว์ ดังนั้นผู้ที่มีอาชีพขายหมูต้องฆ่าหมูเอง และต้องคอยรับ
ซื้อหมูเป็นจากชาวบ้านมากักตุนไว้สำหรับขาย การฆ่าหมูจะเริ่มฆ่าเวลาตีสองเศษ
เมื่อชำแหบะเสร็จเรียบร้อยจึงค่อยไปพักผ่อนนอนหลับ ครั้งเวลาตีห้าก็ค่อยตื่นมาขายต่อ
ที่ตลาด

.....การฆ่าหมูโดยทั่วไปมีสองวิธี วิธีแรกใช้ท่อนเหล็กยาวประมาณหนึ่งแขนตีไปที่หัวหมูเต็มแรง หมูจะชักและดิ้นอยู่นานกว่าจะหมดสติ เมื่อเห็นว่าหยุดดิ้นแล้วจึงยกขึ้นบนโต๊ะสำหรับฆ่า จากนั้นใช้มีดปลายแหลมประมาณหนึ่งศอกแทงลงไปตรง
ใต้ซอกคอจนสุดมีดหมูจะตายอย่างสนิท แต่วิธีนี้ไม่คอยทำกันเนื่องจากทรมานสัตว์จนเกินไป ส่วนมากใช้วิธีที่สองคือแทงคอเลยโดยไม่ต้องทุบหัว โดยจับหมูมัดขาทั้งหน้า-หลังให้แน่นเสียก่อน หมูมันเหมือนจะรู้ ด้วยสัญชาตญาณแห่งความกลัวตาย มันจะดิ้นและส่งเสียงร้องอย่างโหยหวน น้ำตาพรากเหมือนจะขอชีวิต ข้าพเจ้าโตขึ้นมาก็ได้ช่วยเตี่ยขายหมูแต่ด้วยความไม่ชอบ ก็ขอเตี่ยแค่ช่วยแบกชิ้นส่วนหมูไปส่งที่ตลาดเท่านั้น เพราะกลัวบาปกรรม

.....แต่เมื่อนานเข้าเตี่ยก็อายุมากขึ้นข้าพเจ้าก็ต้องทำ
หน้าที่แทนเตี่ยต้องฆ่าหมูเอง เตี่ยก็ล้มป่วยลง อาการยิ่งทรุดหนักลงเรื่อยๆ เกิดการเป็นแผลในลำคอ ทำให้กินอาหารไม่ค่อยได้ ร่างกายผ่ายผอมซูบซีด ได้นำเตี้ยไปโรงพยาบาลผลการตรวจของหมอลงความเห็นว่า เตี่ยเป็นมะเร็งที่ลำคอ อาการยิ่งทรุดหนัก เตี่ยได้แต่นอนน้ำตาไหล ขากรรไกรเริ่มแข็ง พูดไม่ได้ และก็สิ้นสุดชีวิตเวลาตีสองของคืนวันหนึ่ง

....ข้าพเจ้าต้องฆ่าหมูรับช่วงต่อจากเตี่ยเป็นเวลาหลายปีโดยไม่มีทาง เลือก และข้าพเจ้าก็แต่งงานกับสาวข้างบ้าน อยู่กินกันมาอย่างมีความสุข จนกระทั้งอายุข้าพเจ้า 45 ปี เหตุการณ์อันไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น คืนหนึ่งเวลาตีสองข้าพเจ้าต้องสะดุ้งตื่นและปวดปัสสาวะมาก จึงรีบไปห้องน้ำ พอไปถึงห้องน้ำ ข้าพเจ้ารู้สึกหน้ามืดเหมือนจะเป็นลม แต่ก็ค่อยช่วยตนเอง
ปัสสาวะอย่างช้าๆจนเสร็จ และเอื่อมมือขวาไปตักน้ำเพื่อจะราดน้ำทำความสะอาด แต่กลับ
ยกขันน้ำไม่ขึ้น รู้สึกว่าแขนขวาชา ไม่มีกำลัง จึงใช้มือซ้ายตักน้ำแทน และค่อยพยุงตัวกลับ
ห้องนอนอย่างช้าๆ

.....ในตอนเช้าข้าพเจ้าขยับตัวไม่ได้ นอนน้ำลายฟูมปากเกิดอาเจียนหลายครั้ง ปากก็เริ่มเบี้ยว พยายามจะเรียกภรรยา แต่ก็พูดไม่ได้ สักครู่ภรรยาตื่นเห็นอาการของข้าพเจ้าก็ตกใจ
รีบพาข้าพเจ้าไปส่งโรงพยาบาล หมอลงความเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นอัมพาต หมอแนะนำให้ไป
รักษาที่กรุงเทพฯ ต้องฉีดยาวันละ 3-4 เข็ม ต่อมาต้องจอคอของข้าพเจ้าเพื่อเป่าลมเข้าไป
ในสมอง จะรู้สึกเบาหัวโล่งสบาย

.....นานนับเดือนที่ข้าพเจ้าต้องได้รับความทุกข์ทรมานจากการรักษาอย่าง แสนสาหัส ทำให้คิดขึ้นว่าได้ทำบาปอะไรหนอ จึงได้มารับเคราะห์กรรมอย่างมหันต์ขนาดนี้ จึงคิดได้ว่าเป็น
เพราะบาปกรรมที่ข้าพเจ้าฆ่าหมูมาเป็นจำนวนมาก และผลของวิบากกรรมจึงสนอง
ข้าพเจ้าอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

.....ปัจจุบันข้าพเจ้าต้องกลายเป็นคนทุพพลภาพ ร่างกายไม่สมประกอบไปไหนต้องใช้
ไม้พยุงร่าง เดินกะโผกกะเผลก มือขวาที่ใช้แทงคอหมู ก็ใช้การไม่ได้จนถึงทุกวันนี้


ขอบคุณที่มา
http://www.watpanonvivek.com/phpBB306/viewtopic.php?f=39&t=1218

238

กุศลกรรมและอกุศกรรม (หรือกรรมดีกรรมชั่ว, กรรมบริสุทธิ์ และกรรมไม่บริสุทธิ์)

"กุศลกรรม" หมายถึง กรรมดีหรือกรรมบริสุทธิ์
"อกุศลกรรม" หมายถึง กรรมชั่วหรือกรรมไม่บริสุทธิ์

ฉะนั้น กรรมดีจะให้ผลที่ดี และกรรมชั่วจะให้ผลตอบแทนที่ไม่ดี
เหมือนดัง
เมล็ดพันธุ์ที่ดี .............ย่อมให้ผลที่ดี
เมล็ดพันธุ์ที่เลว...........ย่อมให้ผลที่เลว

พระอรหันต์จี้กงได้กล่าวไว้ว่า "คนที่มีโชคดี คือ คนที่ได้สะสมกรรมดีไว้ทุกวัน
ปากพูดแต่คำที่ดีงาม
ตามองแต่สิ่งที่ดีงาม
กายก็กระทำแต่สิ่งที่ดีงามไปด้วย
3 ปีที่สะสมแต่ความดี เบื้องบนก็จะประทานอนาคตที่ดีแก่เขา

หากคนที่สะสมแต่ความชั่ว 3 อย่างไว้ตลอดเวลา
ปากพูดแต่คำที่ไม่ดี
ตามองหาแต่สิ่งที่ไม่ดี
กายก็กระทำชั่วอยู่เสมอๆ
3 ปีต่อมาโชคร้ายทั้งหลายก็จะมาถึงเขา"

เราสามารถรู้ได้ว่า กรรมใดเป็นกรรมดี กรรมใดเป็นกรรมเลว ก็อาศัย "จิต" ที่มองไม่เห็น คนที่ไม่สามารถแยกแยะระหว่างความถูก-ความผิด ความดี-ความชั่ว ทำทุกอย่างโดยไม่รู้จักแบ่งแยก คือ คนที่ทำตามกิเลสตัณหาความอยากของเขา ไม่ใช่ทำตามจิตที่มีมโนธรรมสำนึก

กรรมชั่ว หรือ อกุศลกรรม จะเกิดกับผู้ที่กระทำทุกอย่างโดยยึดความต้องการของตัวเองเป็นส่วนใหญ่

ทุกวันนี้ที่ทุกคน ทั้งหลายทำทุกอย่างตามที่เขาพอใจอยากจะทำ แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องเลวร้ายสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น ก็เพราะเขาไม่เชื่อว่าชีวิตหลังความตายมีจริง โลกหน้ามีจริง นรก-สวรรค์ มีจริง และคิดว่าไม่มีใครจะมาพิพากษาตัดสินการกระทำของเขาได้ คนที่คิดอย่างนี้เป็นอันตรายทั้งต่อตนเองและคนรอบข้างเรพาะความเชื่อที่ผิดๆ การไม่รู้ความจริงอันถูกต้องจะก่อให้เกิดความพินาศแก่ตัวเขาเอง เป็นเรื่องที่น่าสังเวชจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น คนที่อกตัญญูต่อพ่อแม่ ไม่รู้จักสำนึกในพระคุณของพ่อแม่ ผลที่ได้รับก็คือ เขาจะถูกคนทั้งหลายรังเกียจและมีลูกหลายที่อกตัญญูต่อเขาดังเช่นที่เขาเคย ปฏิบัติมา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของ "เหตุต้นและผลกรรม" ทั้งสิ้น


ขอบคุณที่มา
http://www.96rangjai.com/kod/

239

ปัจจุบันเป็นผลของอดีตและเป็นตัวกำหนดอนาคต
ดังคำกล่าวว่า
เมื่อวานเป็น "เหตุ" วันนี้เป็น "ผล"
วันนี้เป็น "เหตุ" พรุ่งนี้เป็น "ผล"


คนที่ไม่เชื่อ เรื่อง "การกลับชาติมาเกิด" ก็เพราะเขายังไม่เข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังของมัน คนไม่น้อยเลยที่เชื่อว่าชีวิตของเราเหมือนกับหลอดไฟฟ้า เมื่อตายไปก็ไม่มีอะไรเหลือ หากเราไตร่ตรองพิจารณาให้ดีแล้วจะรู้ว่ หลอดไฟจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีกระแสไฟฟ้าเท่านั้น เมื่อหลอดไฟเสื่อมสภาพหมดอายุการใช้งานหลอดนั้นก็เสียไป แต่อะไรจะเกิดขึ้นกับกระแสไฟฟ้ล่ะ? มันจะสูญสิ้นไปด้วยหรือเปล่า? ไม่อย่างแน่นอน !

เราทุกคนทราบดีว่า พลังงานไม่สามารถสร้างขึ้นและทำลายไปได้ เป็นแต่ว่ามันสามารถเปลี่ยนจากรูปแบบหนึ่งไปอีกรูปแบบหนึ่งได้ ยกตัวอย่างเช่น พลังงานไฟฟ้า พลังงานความร้อน พลังงานเครื่องจักรกล พลังงานเคมี ฯลฯ นั่นก็คือกระแสไฟฟ้าอาจเปลี่ยนไปใช้ในรูปแบบต่างๆ เช่นทำให้เตาไฟฟ้าเกิดความร้อน ทำให้ตู้เย็นเกิดความเย็น ทำให้พัดลมหมุน เป็นต้น

ถ้าจะพูดว่ากรรมและการเวียนวายตายเกิดไม่มี เพราะเราไม่สามารถมองเห็นด้วยตา จึงเป็นการสรุปอย่างคนไม่มีเหตุผล

กระแสไฟฟ้าซึ่งนัก วิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้จากปฏิกิริยาของมัน เป็นพลังงานที่มีอยู่จริงแม้แต่คนตาดีก็ไม่สามารถมองเห็นแสงสว่าง และไม่รู้เลยว่าแสงสว่างเป็นอย่างไร

ไม่กี่ปีมานี้หลัก ฐานต่างๆ และเอกสารมากมายได้ถูกรวบรวมพิมพ์ออกเผยแพร่เพื่อพิสูจน์ว่า การเกิดใหม่นั้นมีจริง มีผู้คนจำนวนมากที่สามารถจำเรื่องราวในอดีตของชาติได้ เขาสามารถบอกเล่ารายละเอียดถึงสถานที่ ผู้คนในอดีต ซึ่งเมื่อตรวจสอบแล้วสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง

มีกรณีหนึ่งของ นาง รูส ซิมมอน (Ruth Simmon) ซึ่งเกิดและอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาแต่เธอจำอดีตชาติได้ว่า เมื่อหลายร้อยปีก่อนเธอคือ นายบิลเดย์ มัมฟี่ร์ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในปี ค.ศ. 1789 เธอสามารถบอกเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตในสมัยนั้น เมื่อตรวจสอบก็พบว่าเรื่องราวที่เธอเล่าเป้นจริงถูกต้องทุกประการ ทั้งๆ ที่ นางรูส ซิมมอน ไม่เคยเดินทางออกจากสหรัฐอเมริกาเลย

อีกกรณีหนึ่ง สตรีชาวอังกฤษผู้หนึ่งได้จำอดีตของตนเองได้ 2 ชาติ ในชาติแรกเธอจำได้ว่าเธอเกิดเป็นหญิงชาวไอริซ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชื่อกรีนฮอลท์ (Greenhalgh) ในศตวรรษที่ 17 เมื่อตรวจสอบจากประวัติศาสตร์พบว่า หมู่บ้านนั้เคยมีอยู่จริงเมื่อเกือบ 300 ปีก่อน

ในชาติที่สอง เธอจำได้ว่าได้เกิดเป็นพยาบาลชาวอังกฤษที่มีหน้าที่คอยดูแลเด็กๆ ในเมืองดาวน์แฮม (Downham) ในปี ค.ศ. 1902 เมื่อสืบค้นจากข้อมูลของทางการซึ่งยังคงเก็บรักษาไว้ที่เมืองดาวน์แฮม ได้พิสูจน์ว่านางพยาบาลที่อ้างถึงมีตัวตนอยู่จริง


ขอบคุณที่มา
http://www.96rangjai.com/kod/

240
กฎแห่งกรรม / ......ทำกรรมกับปลา.....
« เมื่อ: 06 พ.ค. 2554, 08:29:31 »
กรรมตามทัน.....ตอนทำกรรมกับปลา


ผมเป็นคนหนองคายเรียนจบแค่ ป.6 ก็ต้องออกจากโรงเรียนเพราะครอบครัวมีฐานะยากจน เพื่อนๆรุ่นเดียวก็เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ บ้าง ผมจึงไปเช่าสามล้อมาถีบรับส่งผู้โดยสารมีเงินเก็บสองพันกว่าบาทก็เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯและไปพักกับเพื่อนซึ่งเป็นห้องเช่าแถวๆ คลองเตย เมื่อปี พ.ศ. 2540 เพื่อนผมคนนี้ชื่อ ประเทือง ทำงานในตลาดสดคลองเตย เป็นลูกจ้างแม่ค้าขายปลาเขาชวนผมไปทำงานกับเขา บอกว่ารายได้ดีได้วันละ 100 กว่าบาทผมได้ยินว่ามีรายได้เป็นร้อยก็อยากทำ เพราะอยู่บ้านนอกไม่มีทางหาเงินได้มากขนาดนี้ผมจึงตกลงที่จะไปลองงานเช้าวันนั้นผมกับประเทืองตื่นตั้งแต่ตี 3 กว่าๆขึ้นรถเมล์ไปถึงตลาดคลองเตยก็เกือบตี 4 แม่ค้าขายปลาสดเป็นเจ้าของแผงขายปลาใหญ่ที่สุดในตลาด แห่งนั้นคือทำปลาดุกกับปลาช่อนผมเห็นเขาทำปลาแล้วใจมันไม่ดีเลย…แล้วจะเล่าให้ฟัง


ปลาดุก ปลาช่อน......ที่แม่ค้าแกขายเป็นปลาจากบ่อเลี้ยงเขาจะเอาปลาใส่ถังสังกะสีสี่เหลี่ยมมาส่งเป็นถังๆ ปลายังเป็นๆและประเทืองเพื่อนผมมีหน้าที่ทำปลาดุกเป็นหลัก เขาจะเทปลาดุกลงมาในถาดสังกะสีแบนๆมีขอบเป็นปลาดุกอุยเกือบทั้งหมด ตัวใหญ่และอ้วนๆ ทั้งนั้นประเทืองจะใช้เหล็กแหลมมีที่ถือเป็นไม้แทงลงไปข้างๆ ครีบบนสันหลังปลาดุกใกล้ๆ หัวผมถามว่าแทงทำไม เพื่อนบอกว่าแทงกระดูกสันหลังของมัน ให้มันเป็นอัมพาตดิ้นไม่ได้แต่ไม่ทำให้มันตาย จะได้ให้ลูกค้าเลือกซื้อสบายๆผมเห็นประเทืองใช้เหล็กแหลมแทงกระดูกสันหลังปลาอย่างคล่องแคล่วว่องไวแสดงว่าชำนาญมาก วันหนึ่งๆ ประเทืองแทงหลังปลาดุกเป็นร้อยๆ ตัวส่วนปลาช่อนก็ทำแบบเดียวกัน เมื่อมีลูกค้าซื้อ ประเทืองกับเพื่อนจะขอดเกล็ดให้เขาขอดเกล็ดมันทั้งๆ ที่ยังเป็นๆ อยู่ ยังหายใจพะงาบๆ อยู่อย่างนั้นแหละแต่มันดิ้นไม่ได้เพราะตัวแข็งทื่อเนื่องจากกระดูกสันหลังถูกเหล็กแหลมแทงเป็นอัมพาตไปแล้ว ประเทืองให้ผมลองทำดูผมบอกว่าขอช่วยยกลังปลา เอาปลาไปส่งให้แม่ค้าที่แผงก่อนเถอะวันพรุ่งนี้จะลงมือฝึกทำทั้งๆ ที่ได้ตัดสินใจเงียบๆ ว่าผมไม่ยอมทำงานนี้เด็ดขาด


....การที่มันถูกเหล็กแหลมแทงเนื้อทะลุกระดูกสันหลังย่อมทำให้มันเจ็บปวดแสนสาหัส มิหนำซ้ำยังไม่ถูกฆ่าให้ตายทันทีให้มันรู้แล้วรู้รอดกลับถูกปล่อยนอนคอยให้คนมาซื้อมาเลือกไปฆ่ากินด้วยความทุกข์ทรมานนานตั้งครึ่งค่อนวัน ยิ่งเป็นปลาช่อนยิ่งถูกทารุณหนักเข้าไปอีก เพราะก่อนตายถูกเขาเอามีดเลาะเกล็ดตลอดตัวออกทั้งเป็นๆมันคงจะเจ็บปวด เจ็บเนื้อหนังสุดพรรณนาทีเดียวเมื่อเกล็ดถูกคมมีดถากออกอย่างไม่ปรานีปราศรัยจนเลือดไหลซิบไปทั่วทั้งตัว ผมเห็นสภาพเช่นนี้เกิดเวทนาสงสารปลาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จะให้ทำอย่างเพื่อนมันทำไม่ได้จริงๆถึงจะได้เงินค่าจ้างตอบแทนมากแค่ไหนผมก็ทำไม่ลง หลังจากเลิกงานแล้วเราก็กลับห้องพักประเทืองบอกผมว่าเจ๊แม่ค้าเจ้าของขายปลาแกยินดีรับผม เข้าทำงานด้วย ผมอึกอักอยู่นานในที่สุดก็ตัดสินใจบอกเพื่อนไปตามตรงว่าตัวเองคิดอย่ างไร ประเทืองฟังผมพูดจบเขาก็แสดงอาการโกรธขึ้นมาอย่างที่ผมคิดไม่ถึง เขาพูดห้วนๆ ว่าถ้ากลัวบาปไม่อยากทำบาปก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ พูดอย่างนี้ก็ไล่กันซึ่งๆ หน้า


.....แต่ผมไม่โกรธเขาเลย เพราะเขาไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของผมแน่นอน ผมจึงลาประเทืองไปหางานทำใหม่ ก็ได้งานทำกับบริษัทแห่งหนึ่งผมทำงาน 2 ปีกว่าไม่ได้กลับบ้านเลย พอดีบริษัทหยุดตรุษจีน 4 วันรวดผมจึงมีโอกาสไปเยี่ยมพ่อแม่และน้องๆ ที่บ้านเกิดและได้ทราบข่าวร้ายเรื่องประเทืองเพื่อนของผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปชนกับรถปิ๊กอัพที่กรุงเทพฯ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสตรงกระดูกสันหลังนอนโรงพยาบาลเกือบ 2 เดือน ก็ออกจากโรงพยาบาล ปรากฏว่ประเทืองเป็นอัมพาตร่างกายท่อนล่างตั้งแต่เอวลงไปไม่มีความรู้สึก ต้องกลับมาอยู่ที่บ้านเฉยๆผมจึงรีบไปเยี่ยม เห็นประเทืองแล้วผมสงสารเขามากที่สุดร่างกายที่เคยล่ำสันบึกบึนผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ขาทั้งสองข้างลีบเล็กเขาทำได้แค่นั่งพิงฝากับนอน ไปไหนต้องใช้มือถัดไป ท่าทางของประเทืองหมดอาลัยตายอยากผมทักทายพูดปลอบใจให้กำลังใจเขาอย่างดีที่สุด พร้อมกับให้เงินเอาไว้ใช้ส่วนตัวประเทืองน้ำตาคลอ เขาขอบใจผม และบอกว่าเขาไม่ควรโกรธผมถึงกับไล่ไม่ให้อยู่ด้วยผมบอกเขาว่าผมไม่เคยคิดโกรธเคยเป็นเพื่อนกันอย่างไรก็เป็นเหมือนเดิมทุกอย่าง


ก่อนจากกันประเทืองพูดกับผมว่า“เชื่อแล้วว่าบาปกรรมมีจริงๆ จากการที่แทงกระดูกหลังปลาดุกปลาช่อนให้เป็นอัมพาตบาปก็ตามมาถึงอย่างที่เห็น ต้องเป็นอัมพาต ต้องทุกข์ทรมานไปจนกว่าจะตายเพื่อนคิดถูกแล้วที่ไม่ยอมทำงานสร้างกรรม ขอให้เพื่อนเจริญๆ เถอะ


ที่มา
http://www.sil5.net/index.asp?contentID=10000006&bid=168&title=%A1%C3%C3%C1%B5%D2%C1%B7%D1%B9&keyword=

241
บทความ บทกวี / ......จิตประภัสสร......
« เมื่อ: 06 พ.ค. 2554, 02:05:13 »
คัดลอกจาก คลังความรู้ > วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=13137


จิตประภัสสร (รวมคำบรรยายของท่านพุทธทาส)
วันที่โพส 3 มี.ค. 2554 โพสโดย ณัฐรดา

      
จิตประภัสสร เป็นคำที่ชาวพุทธควรรู้อย่างถูกต้อง มีคำบรรยายของท่านพุทธทาสที่ครอบคลุมแง่มุมต่างๆของจิตประภัสสรอยู่หลายแห่ง พอจะรวบรวมได้ดังนี้ @  ความหมายของ “จิตประภัสสร”

"จิตประภัสสร หมายถึงจิตเดิมแท้ที่ยังว่างอยู่ ยังไม่ถูกอะไรปรุงแต่ง ยังไม่ถูกหุ้มห่อด้วยกิเลส ไม่ถูกหุ้มห่อด้วยผลของกิเลส คือความดี ความชั่ว เป็นต้น เหมือนอย่างเพชร มันมีรัศมีในตัวมันเอง มันเรืองแสงของมันได้  เหมือนอย่างจิตเดิมแท้ประภัสสร แต่เป็นอยู่ตามธรรมชาติ มันจึงเปลี่ยนแปลงได้ มันจึงต้องมีการอบรมจนเป็นประภัสสรที่ถาวร ชนิดที่ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งให้เปลี่ยนแปลงได้"

(พุทธทาสภิกขุ พจนานุกรมธรรมของท่านพุทธทาส  ธรรมสภา กรุงเทพ หน้า 144)

"ประภัสสร แปลว่า ซ่านออกแห่งรัศมี ประภา = รัศมี  สะระ =  ซ่านออกมา คือไม่มีมลทิน แต่มันอยู่ในลักษณะที่มลทินมาจับได้ มาครอบได้ เศร้าหมองได้ ก็เป็นทุกข์ได้ อบรมจนมลทินจับไม่ได้" 

(พุทธทาสภิกขุ พจนานุกรมธรรมของท่านพุทธทาส  ธรรมสภา กรุงเทพ หน้า 143)

"สิ่งที่เรารียกว่าจิตเดิมแท้ ที่เป็นตัวเดียวกันกับปัญญา เราหมายถึงจิตที่ว่างจากการยึดถือมั่น"

(พุทธทาสภิกขุ พจนานุกรมธรรมของท่านพุทธทาส  ธรรมสภา กรุงเทพ หน้า 51)

 

@ จิตเสียความประภัสสรได้อย่างไร

"....มาศึกษาให้รู้ให้เห็น ตามที่เป็นจริงว่า “เรา” ประกอบขึ้นมาด้วยอวิชชาทีไร จิตใจนี้ก็มีตัวตน และมีของตนขึ้นมา และมีความทุกข์ขึ้นมาทุกที ต้องเข้าใจเสียก่อนว่า สิ่งที่เรียกว่า กิเลส หรือ ความทุกข์ นี้ ไม่ใช่เกิดอยู่เป็นพื้นฐาน สิ่งที่เรียกว่า กิเลส หรือความทุกข์นี้ เพิ่งเกิดเป็นครั้งคราว พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า “ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ” ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร “อาคนฺตุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุปกิลิฏฺฐํ” แต่ว่าจิตนี้เศร้าหมองแล้ว เพราะกิเลสที่เป็นอาคันตุกะเข้ามา"

พุทธทาสภิกขุ วิธีชนะความตาย สำนักพิมพ์สุขภาพใจ กรุงเทพ (หน้า 28)

242
ขออนุญาตต่อกระทู้เรื่อง บันเทิงธรรม...
« เมื่อ: ๑๒ ม.ค. ๕๓, ๑๒:๐๗:๓๐ »
โดยคุณธรรมะรักโข
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=14660.msg132106#msg132106

ข้อความเดิม

5. ดูจิต : จิตคืออะไร อยู่ที่ไหน แล้วจะเอาอะไรไปดู

ผู้ เขียนปฏิบัติตามยถากรรมมาโดยตลอด. เพิ่งจะมีครูบาอาจารย์จริงจังเอาเมื่ออายุ 29 ปี. เหตุที่จะพบอาจารย์นั้น ก็เพราะชอบเล่นเหรียญพระเครื่อง. จึงไปซื้อหนังสือทำเนียบเหรียญหลวงปู่แหวนมาเล่มหนึ่ง. ชื่อหนังสือ "ชีวิตและศาสนากิจ หลวงปู่แหวน". เข้าใจว่าเป็นหนังสือที่ทางวัดสัมพันธวงศ์ จัดพิมพ์. ดูไปทีละหน้า พอถึงตอนท้ายๆ เล่ม. ผู้จัดพิมพ์หนังสือคงเห็นว่ามีที่ว่างเหลืออยู่. จึงนำธรรมะเรื่องอริยสัจจ์แห่งจิตของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล มาลงไว้เป็นข้อความสั้นๆ ว่า. "จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย. ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์. จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค. ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นนิโรธ. อนึ่ง ตามสภาพที่แท้จริงของจิต. ย่อมส่งออกนอกเพื่อรับอารมณ์นั้นๆ โดยธรรมชาติของมันเอง. ก็แต่ว่า ถ้าจิตส่งออกนอกได้รับอารมณ์แล้ว. จิตเกิดหวั่นไหวหรือเกิดกระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้น เป็นสมุทัย. ผลอันเกิดจากจิตหวั่นไหวหรือกระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้นๆ เป็นทุกข์. ถ้าจิตที่ส่งออกนอกได้รับอารมณ์แล้ว. แต่ไม่หวั่นไหว หรือไม่กระเพื่อมไปตามอารมณ์นั้นๆ มีสติอยู่อย่างสมบูรณ์ เป็นมรรค. ผลอันเกิดจากจิตไม่หวั่นไหว หรือไม่กระเพื่อม เพราะมีสติอยู่อย่างสมบูรณ์ เป็นนิโรธ. พระอริยเจ้าทั้งหลายมีจิตไม่ส่งออกนอก. จิตไม่หวั่นไหว จิตไม่กระเพื่อม เป็นวิหารธรรม. จบอริยสัจจ์ 4.

(ข้อ ความจากหนังสือเล่มนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้เขียนสนใจคำสอนของหลวงปู่ดูลย์. นอกจากผู้เขียนแล้ว ยังมีนักปฏิบัติรุ่นไล่ๆ กับผู้เขียนอีก 2 ท่าน. เข้าไปเป็นศิษย์ของหลวงปู่ด้วยแรงบันดาลใจจากหนังสือเล่มนี้. และท่านหนึ่งได้ครองสมณเพศมั่นคงในธรรมปฏิบัติ. มีศีลาจารวัตรงดงามบริบูรณ์ยิ่ง. ผู้เขียนและพระอาจารย์รูปนั้น. ยังปรารภด้วยความเคารพในหนังสือเล่มนั้นมาจนทุกวันนี้).

อ่านแล้วผู้เขียนเกิดความสะกิดใจว่า. จริงนะ ถ้าจิตไม่ทุกข์ แล้วใครจะเป็นผู้ทุกข์. ดังนั้นเมื่อมีโอกาสในช่วงวันมาฆบูชาปี 2525. ผู้เขียนพร้อมด้วยน้องในทางธรรม. ก็สุ่มเดินทางไปสุรินทร์ แล้วเที่ยวถามหาวัดบูรพาราม. ในตอนสายวันนั้น ก็ได้ไปนั่งอยู่แทบเท้าของหลวงปู่ผู้สูงวัยกว่า 90 ปี.

ผู้ เขียนกราบเรียนท่านว่า ผู้เขียนอยากปฏิบัติ. ท่านนั่งหลับตาเงียบๆ ไปครึ่งชั่วโมง แล้วสอนว่า. “การปฏิบัติไม่ยาก มันยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ. อ่านหนังสือมามากแล้ว ต่อแต่นี้ให้อ่านจิตของตนเองให้แจ่มแจ้ง”. แล้วท่านก็สอนอริยสัจจ์แห่งจิต เหมือนที่เคยอ่านมานั้น. แล้วถามว่า “เข้าใจไหม”. ผู้เขียนในขณะนั้นรู้สึกเข้าใจแจ่มแจ้งเสียเต็มประดา. จึงกราบเรียนท่านว่า เข้าใจครับ. แล้วลาท่านกลับไปขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพ. พอรถไฟเริ่มเคลื่อนจากสถานีจังหวัดสุรินทร์. ผู้เขียนก็เพิ่งนึกได้ถึงความโง่เขลาอันร้ายแรงของตนเอง.

คือนึกขึ้นได้ว่า หลวงปู่สั่งให้ ดูจิต. ก็แล้ว จิตคืออะไร จิตอยู่ที่ไหน แล้วจะเอาอะไรไปดู. นึกเสียใจที่ไม่ได้ถามปัญหาเหล่านี้จากหลวงปู่. แล้วคราวนี้จะปฏิบัติได้อย่างไร. นี่แหละความผิดพลาดที่ฟังธรรมด้วยความไม่รอบคอบ. เอาแต่ปลาบปลื้มใจและตื่นเต้นที่ได้พบครูบาอาจารย์. จนพลาดในสาระสำคัญเสียแล้ว. จะกลับไปถามหลวงปู่ก็ไม่สามารถกระทำได้แล้วในตอนนั้น.

ผู้เขียนแก้ปัญหานี้ ด้วยการทำใจให้สบายหายตระหนกตกใจ. แล้วพิจารณาว่า จิตเป็นผู้รู้อารมณ์. จิตจะต้องอยู่ในกายหรือในขันธ์ 5 นี้ ไม่ใช่อยู่ที่อื่นแน่. หากค้นคว้าลงในขันธ์ 5 ถึงอย่างไรก็ต้องพบจิต. แต่จะพบในสภาพใด หรือจะเอาอะไรไปรู้ว่าอันนี้เป็นจิต. ยังเป็นปัญหาที่พิจารณาไม่ตก ก็จับปัญหาแขวนไว้ก่อน.

ผู้ เขียนพยายามทำใจให้สบาย สลัดความฟุ้งซ่านทิ้ง. ตั้งสติระลึกรู้อยู่ในกายนี้ ตั้งแต่ปลายผมลงมาถึงพื้นเท้า. ก็เห็นว่ากายนี้ไม่ใช่จิต กายเป็นวัตถุธาตุเท่านั้น. แม้จะตรวจอยู่ในกายจนทั่วก็ยังไม่พบจิต. พบแต่ว่ากายเป็นสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น ไม่ใช่จิตที่เป็นผู้รู้. ผู้เขียนจึงพิจารณาเข้าไปที่เวทนา. ตั้งสติจับรู้ที่ความทุกข์ ความสุข และความเฉยๆ ที่ปรากฏ. ก็พบอีกว่า เวทนาก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ ยังไม่ใช่จิต. ผู้เขียนก็วางเวทนา หันมีระลึกรู้สัญญาที่ปรากฏ. ก็เห็นว่าสัญญาคือความจำได้/หมายรู้ ก็ยังเป็นสิ่งที่ถูกรู้อีก. ผู้เขียนก็หันมาดูสังขารคือความคิดนึกปรุงแต่งที่เกิดขึ้น. ก็เห็นความคิดนึกปรุงแต่งผุดขึ้นเป็นระยะๆ. เป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้ ยังไม่ใช่จิตอีก.

ก่อนที่รถไฟจะถึงกรุงเทพฯ. ผู้เขียนสามารถแยกรูป เวทนา สัญญา และสังขาร ออกแล้ว. ทันใดผู้เขียนก็พบจิตผู้รู้ เป็นสภาพที่เป็นกลาง ว่าง และรู้อารมณ์. ผู้เขียนก็ตอบปัญหาได้แล้วว่า. จิตเป็นอย่างนี้. จิตอยู่ที่รู้นี้เอง ไม่ได้อยู่ที่กาย เวทนา สัญญา และสังขาร. ผู้เขียนรู้จิตผู้รู้ได้ด้วยเครื่องมือ คือ สติ. ซึ่งผู้เขียนได้ใช้สติเป็นเครื่องระลึกรู้. และใช้ปัญญาพิจารณาแยกขันธ์ จนเข้ามาระลึกรู้ จิตผู้รู้ได้.

ถ้า มีความรอบคอบ ถามครูบาอาจารย์มาให้ดี. ก็คงไม่ต้องช่วยตนเองขนาดนี้. แต่การที่คลำทางมาได้อย่างนี้. ก็สอนให้ผู้เขียนเคารพแต่ไม่ติดยึดอาจารย์. และซึ้งถึงคำว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ได้เป็นอย่างดี. และทำให้ผู้เขียนเคารพในศักยภาพของมนุษย์. เห็นว่าถ้าตั้งใจจริง ก็สามารถพัฒนาตนเองได้. เพราะขนาดผู้เขียนไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไร ก็ยังทำมาจนได้.

6. รู้จักจิต แล้วจะทำอย่างไรต่อไปดี

ทันทีที่แก้ปัญหาแรกตก คือตอบได้ว่า. จิตคืออะไร อยู่ที่ไหน และเอาอะไรไปดู. ปัญหาใหม่ก็ตามมาทันทีว่า. เมื่อรู้แล้วจะปฏิบัติอย่างไรต่อไป. เพราะหลวงปู่สอนมาสั้นๆ ว่าให้ดูจิต. เมื่อผู้เขียนได้จิตผู้รู้มาด้วยการแยกขันธ์ ออกจากจิต. ผู้เขียนก็ต้องระวังรักษาจิตเพื่อเอาไว้ดู. โดยการป้องกันไม่ให้จิตไหลเข้าไปปนกับขันธ์. เพราะถ้าจิตไหลเข้าไปปนกับขันธ์ ก็จะไม่มีจิตผู้รู้เอาไว้ให้ดู.

ใน ช่วงวันแรกๆ ที่แยกจิตกับขันธ์ออกจากกันได้นั้น. ผู้เขียนใช้ความพยายามอย่างมากรักษาจิตไม่ให้ไหลเข้าไปรวมกับขันธ์อีก. แต่ก็รักษาได้เพียงชั่วขณะสั้นๆ. แล้วกว่าจะพิจารณาแยกออกได้อีกก็ใช้เวลาเป็นวันๆ. ผู้เขียนผู้ไม่มีความรู้ใดๆ อาศัยความอดทนและความเพียรพยายาม. รวมทั้งอุบายทุกชนิดที่จะรักษาจิตผู้รู้เอาไว้ให้ได้. เช่นใช้กำลังจิตพยายามผลักสังขารขันธ์ไม่ให้เข้ามาครอบงำจิต. เมื่อจิตไปติดก้อนสังขารที่ปรากฏด้วยความรู้สึกเป็นก้อนแน่นๆ ที่หน้าอก. ก็พยายามเจาะ พยายามทุบทำลายก้อนนั้นด้วยพลังจิต. บางคราวทุบตีไม่แตก ก็พิจารณาแยกเป็นส่วนๆ. บางคราวแยกแล้วก็ไม่สำเร็จอีก. ก็กำหนดจิตให้แหลมเหมือนเข็ม แทงเข้าไปเหมือนแทงลูกโป่ง. วันใดทำลายก้อนอึดอัดได้ ก็รู้สึกว่าวันนี้ปฏิบัติดี. บางวันทำลายไม่ได้ ก็รู้สึกว่า วันนี้ปฏิบัติไม่ดี.

ต่อมาเป็นเดือนๆ ก้อนอึดอัดนี้ก็เล็กลงเรื่อยๆ. แล้วสลายไปกลายเป็นความรู้สึกที่เคลื่อนไหวได้. เช่นเห็นการเคลื่อนไหวไปมาบ้าง. เป็นความไหวตัวยิบยับบ้าง. แล้วก็พบว่าอารมณ์แต่ละตัวที่เกิดขึ้น จะมีสภาวะที่รู้ได้ไม่เหมือนกัน. เช่นความโกรธเป็นพลังงานและมีความร้อนที่พุ่งขึ้น. โมหะเป็นความมืดมัวที่เคลื่อนเข้ามาครอบงำจิต. ถ้าเป็นกุศลจิต ก็จะเห็นความโปร่งว่างเบาสบาย. ในเวลาที่จิตกระทบอารมณ์ เช่นตกใจเพราะเสียงฟ้าผ่า. ก็จะเห็นการหดตัววูบ. ในช่วงนั้น ผู้เขียนเอาแต่ชุลมุนวุ่นวายอยู่กับการเรียนรู้สภาวะต่างๆ. และคอยแก้อาการต่างๆ ที่จิตเข้าไปติดข้อง. ด้วยความสำคัญผิดว่า นี่แหละคือการดูจิต. บัดนี้เราเห็นจิตชัดเจนแล้ว ว่ามีอาการต่างๆ นานา. สมควรแก่เวลาที่จะไปรายงานผลการปฏิบัติให้หลวงปู่ทราบ. ซึ่งท่านคงจะอนุโมทนาด้วยดี. เพราะศิษย์ได้ปฏิบัติตามคำสอนของท่านไม่หยุดหย่อนติดต่อกันมาแล้วถึง 3 เดือน.

ผู้เขียนไปนั่งอยู่แทบเท้าของหลวงปู่ผู้ชราภาพ. แล้วรายงานผลการปฏิบัติต่อท่านว่า. ผมเห็นจิตแล้ว. หลวงปู่ถามว่า จิตเป็นอย่างไร. ก็กราบเรียนท่านว่า จิตมีความหลากหลายมาก มันวิจิตรพิสดารเป็นไปได้ต่างๆ นานา ดังที่ได้พบเห็นมา. พอกราบเรียนจบก็ได้รับคำสอนที่แทบสะอึกว่า. "นั่นมันอาการของจิตทั้งนั้น ยังไม่ใช่จิต จิตคือผู้รู้ ผู้คิด ผู้นึก ให้กลับไปดูใหม่"


243
ขอบคุณที่มา
http://www.dhammajak.net/book-somdet-to/2.html

1...........

คติธรรมคำสอน ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต พรหมรังสี )

เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ


ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) กล่าวว่า เคล็ดลับสู่ความสำเร็จสุดยอดในทางธรรม คือ จะต้องมีสัจจะอันแน่วแน่ และมีขันติธรรมอันมั่นคง จึงจะฝ่าฟันอุปสรรค บรรลุความสำเร็จได้ อาตมามีกฎอยู่ว่า เช้าตีห้าไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง อากาศจะหนาว ต้องตื่นทันที ไม่มีการผัดเวลา แล้วเข้าสรงน้ำ ชำระกายให้สะอาด แล้วจึงได้สวดมนต์และปฏิบัติสมถกรรมฐานหนึ่งชั่วโมง พอหกโมงตรงก็ออกบิณฑบาต เพื่อปฏิบัติตามปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ฝึกจิตให้ได้ผลต้องตรงต่อเวลา

กลับจากบิณฑบาตแล้ว ก็เอาอาหารตั้งไว้ ตักน้ำใส่ตุ่ม เสร็จแล้วฉันอาหารเช้า โดยปกติอาตมาฉันมื้อเดียวเว้นไว้มีกิจนิมนต์ จึงฉันสองมื้อ สี่โมงเช้าถึงเที่ยง ถ้ามีรายการไปเทศน์ ก็ไปเทศน์ตามที่นัดไว้ วันไหนไม่ติดเทศน์ก็จะปิดประตูกุฏิทันที ไม่ให้ใครๆเข้าไป ในช่วงเวลานั้นเป็นเวลาศึกษาตำรา เวลาบ่ายโมงจึงออกรับแขก บ่ายสามโมงไม่ว่าใครจะมาอาตมาจะให้ออกจากกุฏิไปหมด เพราะถึงเวลาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ฉะนั้น จุดสำคัญจงจำไว้ เราจะปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น ต้องมีสัจจะเพื่อตน โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร ถึงเวลาทำสมาธิต้องทำ ไม่มีการผัดผ่อนใดๆ ทั้งสิน

หลักการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

1.จะต้องมีสัจจะต่อตนเอง
2.จะต้องไม่คล้อยตามอารมณ์ของมนุษย์
3.พยายามตัดงานในด้านสังคมออก และไม่นัดหมายใครในเวลาปฏิบัติกรรมฐาน ดังนั้นเมื่อจะเป็นนักปฏิบัติธรรมจำเป็นจะต้องมีกฎเกณฑ์ของเรา เพื่อฝึกจิตให้เข้มแข็ง

ทางแห่งความหลุดพ้น

เจ้าประคุณสมเด็จฯ มักจะกล่าวกับสานุศิษย์ทั้งหลายอยู่เสมอว่า ชีวิตมนุษย์อยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยปีก็ต้องตายและถูกหามเข้าป่าช้า ดังนั้น จึงควรประพฤติปฏิบัติอยู่ใน ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ ท่านเปรียบเทียบว่า มนุษย์อาบน้ำ ชำระกายวันละสองครั้ง เพื่อกำจัดเหงื่อไคลสิ่งโสโครกที่เกาะร่างกาย แต่ไม่เคยคิดจะชำระจิตให้สะอาดแม้เพียงนาที ด้วยเหตุนี้ ทำให้จิตใจของมนุษย์ ยุคปัจจุบันเศร้าหมองเคร่งเครียดและดุดัน ก่อให้เกิดปัญหาความพิการในสังคมความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน จนกระทั่งเกิดความขัดแย้ง และกลายเป็นสงครามมนุษย์ฆ่ามนุษย์ด้วยกัน

244
ขอบคุณที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_doon/lp-doon_1.htm

1......

วิธีเจริญจิตภาวนา (ตามวิธีหลวงปู่ดูลย์ อตุโล)

1. เริ่มต้นอิริยาบถที่สบาย


ยืน เดิน นั่ง นอน ได้ตามสะดวก ทำความรู้ตัวเต็มที่ และ รู้อยู่กับที่ โดยไม่ต้องรู้อะไร หรือ รู้ "ตัว" อย่างเดียว รักษาจิตเช่นนี้ไว้เรื่อย ๆ ให้ "รู้อยู่เฉย ๆ " ไม่ต้องไปจำแนกแยกแยะ อย่าบังคับ อย่าพยายาม อย่าปล่อยล่องลอยตามยถากรรม เมื่อรักษาได้สักครู่ จิตจะคิดแส่ไปในอารมณ์ต่าง ๆ โดยไม่มีทางรู้ทันก่อน เป็นตามธรรมดาสำหรับผู้ฝึกใหม่ ต่อเมื่อจิตแล่นไป คิดไปในอารมณ์นั้น ๆ จนอิ่มแล้ว ก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาเอง เมื่อรู้สึกตัวแล้วให้พิจารณาเปรียบเทียบสภาวะของตนเอง ระหว่างที่มีความรู้อยู่กับที่ และระหว่างที่จิตคิดไปในอารมณ์ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อเป็นอุบายสอนจิตให้จดจำ จากนั้น ค่อย ๆ รักษาจิตให้อยู่ในสภาวะรู้อยู่กับที่ต่อไป ครั้นพลั้งเผลอ รักษาไม่ดีพอ จิตก็จะแล่นไปเสวยอารมณ์ข้างนอกอีก จนอิ่มแล้ว ก็จะกลับรู้ตัว รู้ตัวแล้วก็พิจารณา และรักษาจิตต่อไป ด้วยอุบายอย่างนี้ ไม่นานนัก ก็จะสามารถควบคุมจิตได้ และบรรลุสมาธิในที่สุด และจะเป็นผู้ฉลาดใน "พฤติแห่งจิต" โดยไม่ต้องไปปรึกษาหารือใคร

ข้อห้าม ในเวลาจิตฟุ้งเต็มที่ อย่าทำ เพราะไม่มีประโยชน์ และยังทำให้บั่นทอนพลังความเพียร ไม่มีกำลังใจในการเจริญจิตครั้งต่อ ๆ ไป  

ในกรณีที่ไม่สามารถทำเช่นนี้ ให้ลองนึกคำว่า "พุทโธ" หรือคำอะไรก็ได้ที่ไม่เป็นเหตุเย้ายวน หรือเป็นเหตุขัดเคืองใจ นึกไปเรื่อย ๆ แล้วสังเกตดูว่า คำที่นึกนั้น ชัดที่สุดที่ตรงไหน ที่ตรงนั้นแหละคือฐานแห่งจิต พึงสังเกตว่า ฐานนี้ไม่อยู่คงที่ตลอดกาล บางวันอยู่ที่หนึ่ง บางวันอยู่อีกที่หนึ่ง ฐานแห่งจิตที่คำนึงพุทโธปรากฏชัดที่สุดนี้ ย่อมไม่อยู่ภายนอกกายแน่นอน ต้องอยู่ภายในกายแน่ แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้วจะเห็นว่าฐานนี้จะว่าอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก็ไม่ถูก ดังนั้นจะว่าอยู่ภายนอกก็ไม่ใช่ จะว่าอยู่ภายในก็ไม่เชิง เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าได้กำหนดถูกฐานแห่งจิตแล้ว เมื่อกำหนดถูก และพุทโธปรากฏในมโนนึกชัดเจนดีก็ให้กำหนดนึกไปเรื่อย อย่าให้ขาดสายได้ ถ้าขาดสายเมื่อใด จิตก็จะแล่นสู่อารมณ์ทันที เมื่อเสวยอารมณ์อิ่มแล้ว จึงจะรู้สึกตัวเองก็ค่อย ๆ นึกพุทโธต่อไป ด้วยอุบายวิธีในทำนองเดียวกับที่กล่าวไว้เบื้องต้น ในที่สุดก็จะค่อย ๆ ควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจได้เอง

ข้อควรจำ ในการกำหนดจิตนั้น ต้องมีเจตจำนงแน่วแน่ ในอันที่จะเจริญจิตให้อยู่ในสภาวะที่ต้องการ เจตจำนงนี้ คือ ตัว "ศีล"

การบริกรรม "พุทโธ" เปล่า ๆ โดยไร้เจตจำนงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย กลับเป็นเครื่องบั่นทอนความเพียรทำลายกำลังใจในการเจริญจิตในคราวต่อ ๆ ไป แต่ถ้าเจตจำนงมั่นคง การเจริญจิตจะปรากฏผลทุกครั้งไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน ดังนั้น ในการนึก พุทโธ การเพ่งเล็งสอดส่องถึงความชัดเจน และความไม่ขาดสายของ พุทโธ จะต้องเป็นไปด้วยความไม่ลดละ เจตจำนงที่มีอยู่อย่างไม่ลดละนี้ หลวงปู่เคยเปรียบไว้ว่า มีลักษณาการประหนึ่งบุรุษหนึ่งจดจ้องสายตาอยู่ที่คมดาบที่ข้าสึกเงื้อขึ้นสุดแขนพร้อมที่จะฟันลงมา บุรุษผู้นั้นจดจ้องคอยทีว่า ถ้าคมดาบนั้นฟาดฟันลงมา ตนจะหลบหนีประการใดจึงจะพ้นอันตราย เจตจำนงต้องแน่วแน่เห็นปานนี้ จึงจะยังสมาธิให้บังเกิดได้ ไม่เช่นนั้นอย่าทำให้เสียเวลาและบั่นทอนความศรัทธา ตนเองเลย เมื่อจิตค่อยๆ หยั่งลงสู่ความสงบทีละน้อย ๆ อาการที่จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอก ก็ค่อย ๆ ลดความรุนแรงลง ถึงไปก็ไปประเดี๋ยวประด๋าวก็รู้สึกตัวได้เร็ว ถึงตอนนี้คำบริกรรมพุทโธ ก็จะขาดไปเองเพราะคำบริกรรมขาดไปแล้ว ไม่ต้องย้อนถอยมาบริกรรมอีก เพียงรักษาจิตไว้ในฐานที่กำหนดเดิมไปเรื่อยๆ และสังเกตดูความรู้สึกและ "พฤติแห่งจิต" ที่ฐานนั้น ๆ
"บริกรรมเพื่อรวมจิตให้เป็นหนึ่ง สังเกตดูว่า ใครบริกรรมพุทโธ"

245
ธรรมะ / ตามดูจิต(หลวงปูชา)
« เมื่อ: 05 พ.ค. 2554, 10:32:25 »
ขอบคุณที่มา (ดาวน์โหลดไว้อ่านได้เลย)
http://www.fungdham.com/download/book/article/cha/004.pdf

1....

ตามดูจิต(หลวงปูชา)

บัดนี้เปนโอกาสที่พวกเราทั้งหลายจะไดมีการอบรมธรรมปฏิบัติกัน พระบรมศาสดาทานกลาวถึงการปฏิบัติไววา บุคคลที่ยังไมไดรับการอบรมปฏิบัติก็จะไมเขาใจในธรรม ไมเขาใจในธรรมชาติที่มันเปนอยูหรือในสัญชาตญาณที่คูกับเราแตเกิด ธรรมชาติอันนี้หรือสัญชาติญาณอันนี้มันเกี่ยวของกันกับชีวิตของเราตลอดเวลา เราจะเรียกวาของที่มันเปนอยูก็ไดเรียกวาสัญชาติญาณก็ไดมันมีความเฉลียวฉลาดอยูในนั้น ซึ่งชวยปองกันรักษาตัวมันเองมาตลอด สัตวทุกจําพวกเมื่อเกิดมันตองรักษามันแหละ การรักษาตัว ปกปองชีวิต ปองกันอันตรายทั้งหลาย แสวงหาเครื่องเลี้ยงชีวิต นี้เหมือนกันหมด เชน สัตวเดรัจฉาน มันก็กลัวอันตราย แสวงหาความสุข เหมือนกันกับสัญชาตญาณมนุษยเรา
อันนี้ทานเรียกวาเปนธรรมชาติหรือสัญชาตญาณ จะมารักษาตัวมันตลอดเวลา ธรรมชาตินั่นเอง ธรรมชาติเรื่องกายหรือเรื่องจิตใจ

     เราจะตองมารับการอบรมใหม เปลี่ยนใหม     ถาหากวาเรายังไมไดรับการอบรมบมนิสัย ก็คือยังเปนของที่ไมสะอาด ยังเปนของที่
สกปรก เปนจิตใจที่เศราหมองเหมือนกันกับตนไมในปา ซึ่งมันเกิดมามันก็เปนธรรมชาติ ถาหากวามนุษยเราตองการจะเอามาทําประโยชนดีกวานั้น ก็ตองมาดัดแปลง สะสาง ธรรมชาติอันนี้ใหเปนของที่ใชไดเชนโตะนี้หรือบานเรือนของเรานั้น เกิดจากเราสามารถเอาธรรมชาติมาทําเปนที่อยูอาศัย เปลี่ยนแปลงจากธรรมชาติอันนั้นมา มนุษยชาตินี้ก็เหมือนกัน ตองมาปรับเปลี่ยนใหม ในทางพุทธศาสนานี้เรียกวา พุทธศาสตร

      พุทธศาสตรคือความรูทางพุทธศาสนา สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความรูสึกของพวกเราทั้งหลาย ซึ่งมันติดแนนอยูในอันใดอันหนึ่ง เชน เราเกิดมามีชื่อเสียงเรียงนามมาตั้งแตวันเกิด เชนวา เรียกวาตน ตัวเรา ของเรา นี้สมมุติกันขึ้นมาวารางกายของเรา จิตใจของเรา ซึ่งสมมุติชื่อขึ้นมาจากธรรมชาตินั่นเอง พวกเราทั้งหลายก็ติดแนนอยูในตัวเรา หรือในของของเรา เปนอุปาทานโดยที่ไมรูเนื้อรูตัว เปนอยางนี้ในทางพุทธศาสนานั้นทานสอนใหรูยิ่งเขาไปกวานั้นอีก ทําจิตใจใหสงบใหรูยิ่งเขาไป ยิ่งกวาธรรมชาติที่มันเปนอยู จนเปนเหตุใหไมยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนอันนี้พูดตามชาวโลกเราวาตัววาตน วาเราวาเขา ทางพุทธศาสนานั้นทานเรียกวา ตัวตนเราเขาไมมีนี่คือมันแยงกัน มันแยงกันอยูอยางนี้ตัวเราหรือของเราซึ่งพวกเราเขาใจกันตั้งแตเราเกิดมาจนรูเดียงสา จนเกิดเปนอุปาทานมาตลอดจนทุกวันนี้อันนี้ก็เปนเครื่องปกปดธรรมอันแทจริง อันพวกเราทั้งหลายไมรูเนื้อรูตัว ฉะนั้นในทางพุทธศาสนาทานจึงใหมาอบรม

     การอบรมในทางพุทธศาสนานั้น เบื้องแรกทานวาใหเปนคนซื่อสัตยสุจริต ตามบัญญัติทานเรียกวาใหพากันรักษาศีล เปนเบื้องแรกเสียกอน นี่ขอประพฤติปฏิบัติจนเปนเหตุไมใหเกิดโทษ ไมใหเกิดทุกขทางกายและทางวาจาของเรา อยางที่เราทั้งหลายอบรมกันอยู ใหอายและกลัว ทั้งอายทั้งกลัว อายตอความชั่วทั้งหลาย อายตอความผิดทั้งหลาย อายตอการกระทําบาปทั้งหลาย รักษาตัวกลัวบาป เมื่อจิตใจของเราพนจากความชั่วทั้งหลาย พนจากความผิดทั้งหลาย ใจเราก็เยือกเย็น ใจเราก็สบาย ความสบายหรือความสงบอันเกิดจากการประพฤติปฏิบัติซึ่งไมมีโทษนั่นก็เปน สมาธิขั้นหนึ่งที่องคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาทานตรัสวา สพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทาสจิตฺตปริโยทปนํเอตํพุทธานสาสนํ ทานวาเปนหัวใจของพุทธศาสนา

      สพฺพปาปสฺส อกรณํ การไมทําบาปทางกาย ทางวาจา คือ การไมทําผิดทําชั่ว ทางกาย ทางวาจา อันนี้เปนตัวศาสนา เปนพระธรรมคําสอนของพระพุทธเจาทั้งหลาย หรือ เอตํพุทธานสาสนํ
  
      กุสลสฺสูปสมฺปทา เมื่อมาทําจิตของตนใหสงบ ระงับจากบาปแลว ก็เปนจิตที่มีกุศลเกิดขึ้นมา เอตํพุทธานสาสนํอันนี้เปนคําสอนของทานหรือเปนหัวใจของพุทธศาสนาเหมือนกัน

      สจิตฺตปริโยทปนํ การมาทําจิตใจของตนใหผองใสขาวสะอาด เอตํพุทธานสาสนํอันนี้เปนคําสั่งสอนของพระพุทธเจา หรือเปนหัวใจของพุทธศาสนาอีกประการหนึ่ง

     ทั้งสามประการนี้เปนหัวใจของพุทธศาสนา ก็ประพฤติปฏิบัติอันนี้ซึ่งมันมีอยูในตัวเราแลว กายก็มีอยู วาจาก็มีอยู จิตใจก็มีอยูองคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาทานจึงใหปฏิบัติใหพิจารณาตัวในตัว ในของตัว ซึ่งมันมีอยูของทั้งหมดที่เราศึกษาเราเรียนกันนั้นมันจะมารูความเปนจริงที่ตัวของเรา ไมไปรูอยูที่อื่น

246
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

 

โพสท์ในลานธรรมเสวนาโดยคุณ : ทรายแก้ว [ 19 พ.ย. 2542 ]

ประวัติ พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) พระราชสังวรญาณ
มีนามเดิมว่า พุธ อินทรหา เป็นบุตรคนเดียวของ บิดา-มารดา เกิดที่หมู่บ้านชนบท ตำบลหนองหญ้าเซ้ง อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี เมื่อเดือน ๓ ปีระกา ตรงกับวันพุธที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๔
บิดา-มารดาของท่าน มีอาชีพทำไร่ทำนา และค้าขาย เมื่อท่านอายุได้ ๔ ขวบ บิดา-มารดาได้ถึงแก่กรรม ญาติที่อยู่ ณ หมู่บ้านโคกพุทรา ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร จึงมารับท่านไป อุปการะ
ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒ อายุท่านได้ ๘ ขวบ จึงเข้าเรียนในโรงเรียน ประชาบาลวัดไทรทอง ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน ท่านได้เรียน จนจบชั้นประถมปีที่ ๖ เมื่อมีอายุได้ ๑๔ ปี ในสมัยนั้น ถ้าย้อนหลังไป ๖๐-๗๐ ปี การได้เรียนจนจบชั้นประถมปีที่ ๖ ได้ ต้องถือว่าเป็นการเรียน ที่สูงพอสมควรแล้ว เมื่อเรียนจบแล้วครูบาอาจารย์ได้ชักชวนท่านให้เป็น ครูสอนนักเรียนในโรงเรียนที่ท่านเรียนนั้นต่อ หากทว่าจิตของท่านมุ่งมั่น สนใจที่จะบวชมากกว่า

ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๙ อายุได้ ๑๕ ปี ท่านจึงได้ขอร้องให้ญาติซึ่งเป็น ผู้ปกครองของท่าน พาไปบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดอินทร์สุวรรณ บ้าน โคกพุทรา ตำบลตาลเนิ้ง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร โดยมีท่าน พระครูวิบูลย์ธรรมขันธ์ เจ้าคณะอำเภอสว่างแดนดิน เป็นพระอุปัชฌาย์ และท่านพระครูโพธิภูมิไพโรจน์เป็นพระบรรพชาจารย์ และสามเณรพุธได้ อาศัยอยู่จำพรรษากับท่านพระครูโพธิภูมิไพโรจน์นั่นเอง ท่านได้รับเมตตา จากพระอาจารย์ให้ได้ศึกษาทางด้านปริยัติธรรมด้วย และในพรรษาแรกนี้เอง สามเณรพุธสามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี


ขอบคุณที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-poot/lp-poot_hist.htm

247

พระดัง

หลวงพ่อนี่เป็นพระดัง เป็นพระดังองค์หนึ่งในจำนวนพระดังทั้งหลาย พอพระองค์ไหนดังขึ้นมาแล้วเขาประกาศขาย เดี๋ยวนี้พระดัง ๆ มีคุณค่าเพียงแค่เป็นสินค้าของคนเท่านั้นเอง แล้วเขาประกาศโฆษณามาว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ พระมหาลาภ กริ่งมหาลาภ อะไรว่ากันไป เอาไปห้อยคอจนหนักเป็นกิโล ๆ ไปทำมาค้าขายมีแต่ขาดทุน เมื่อคืนนี้หมอคนหนึ่งโทรมา เมียไปเที่ยวกู้เงินมาให้ลูกชายลงทุนค้า หาส่งคืนเขาไม่ได้ เขาไล่จับตัวอยู่จะให้ทำอย่างไรหลวงพ่อ เอ้า..ตัวทำผิดกฎหมายผิดสัญญาแล้วก็เดินเข้าตารางซิ เราก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร คำตอบที่ถูกต้องไม่มีใครปฏิเสธได้ก็คือเดินเข้าตารางเพราะตัวทำผิดสัญญา แล้วทีนี้ตัวทำผิดแล้วมาให้พระช่วยแก้ จะไปแก้ได้อย่างไร พระอะไรจะไปเข้าข้างคนผิด…พระไปช่วยคนผิดก็พระไม่ยุติธรรมซิ




248
ขอบคุณเวป http://www.thaniyo.net/

หวยเบอร์

เรื่องหมอดูหมอเดาอะไรต่าง ๆ นี้ เรื่องหวยเรื่องเบอร์   มันจะถูกแต่ตอนแรก ๆ   ภายหลังมันจะโกหก   หลวงพ่อทดสอบมามากแล้ว   ดูสิว่า เขาเป็นอาจารย์ใบ้หวยกันอย่างไร   เราภาวนามาแทบเป็นแทบตายไม่เห็นให้หวยอย่างเขาได้   เอ้า! พออธิษฐานจิตเข้าไปแล้ว หวยมันก็ไล่กันมาเป็นแถว ๆ เลย บางที ๔ งวด ๕ งวด บางที ๗ งวด บางทีนั่งอยู่เฉย ๆ มันก็รู้ ถ้ารู้แล้วเราก็เฉย ๆ   ไป   แต่บางทีก็ทดลองเขียนเอาไว้ว่ามันจะออกตามนี้ไหม เอาทิ้งเอาไว้ มันออกหมดทุกตัว ทีนี้พอภายหลังมานึกว่า เออ! จะโปรดญาติโยมบ้างละ พอไปนึกเข้ามันก็ไล่เข้ามาเป็นแถวเหมือนกัน มากกว่าเก่า เสร็จแล้วบอกใบ้ตัวไหนจมไปทุกตัว    หลังจากนั้นมาก็เลยเข็ดหลาบ เรื่องของจิตนี้มันตลกเก่ง มันหลอกเก่ง เพราะฉะนั้น เราภาวนาแล้วเราอย่าไปอยากรู้อยากเห็น    ให้มั่นใจในการประกอบกิจในปัจจุบันนี้   ภาวนาอยู่ในปัจจุบันนี้    อย่าไปอยากรู้โน่นรู้นี่    ถ้าเราตั้งใจอยากจะรู้โน่นรู้นี่มันจะหลอกทันที

249
บทความ บทกวี / วิธีชำระหนี้สงฆ์
« เมื่อ: 28 เม.ย. 2554, 11:17:26 »
การชำระหนี้สงฆ์
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง อุทัยธานี
 
                        หลวงพ่อสอนให้ลูกศิษย์และญาติโยมรู้จักชำระหนี้สงฆ์ และแนะนำให้สร้างพระชำระหนี้สงฆ์  พร้อมทั้งนำเกร็ดความรู้ที่ได้ประสบมาเล่าให้ฟัง  เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อท่านทั้งหลาย  จะได้นำไปประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง  อีกทั้งจะได้เป็นเครื่องป้องกันตัวเองและผู้อื่นไม่ให้กระทำความชั่วต่าง ๆ  ที่เกี่ยวกับของสงฆ์อีก  ท่านเล่าในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานว่า
 
                        “ของทุกอย่างที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสมบัติของสงฆ์แล้ว  จะเป็นสิ่งของหรือวัตถุเครื่องใช้อะไรก็ตาม  จะมีราคามากหรือน้อยก็ตาม  ผู้ที่นำไปใช้โดยพละการ  หรือทำสิ่งของเหล่านั้นเสียหาย  จะต้องนำสิ่งของเหล่านั้นมาทดแทนให้เหมือนเดิม  ไม่เช่นนั้นจะทำให้ผู้ล่วงละเมิดลงสู่อเวจีมหานรกได้โดยง่าย”
 
                        อย่างวัดร้างที่ปรากฎว่าเป็นดินเปล่า  ไม่มีฐานะแสดงว่าเป็นวัด  หรือบางแห่งแสดงฐานะว่าเป็นวัด  แต่อยู่ในป่าในดง  หรือวัดที่มีพระอยู่ก็ตาม  เราจะนำสิ่งของอะไรมาก็ตามในเขตนั้น  จะเป็นต้นหญ้าสักต้น  ไม้หักสักอัน  เขาก็ถือว่าของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ หรือว่าถ้าใครยึดแผ่นดินของสงฆ์ไว้เป็นสมบัติส่วนตัวละก็  ถือว่าซวยขนาดหนัก  แบบนี้มีผู้เรืองอำนาจรุกรานสงฆ์เคยตกนรกขั้นขุมที่ 7 มาแล้ว  ขุมนี้หนักมาก รองจากอเวจีมหานรก เพราะอะไร  เพราะบุกรุกที่ดินของวัด  ถึงแม้จะไม่มีเจตนาโกง  วัดก็เป็นวัดร้าง  แต่ไม่รู้ว่าเป็นวัดร้าง  แค่นี้ก็ตกนรกขุมที่ 7 จะมาอ้างว่าไม่รู้ ไม่เจตนาไม่ได้  มีความผิดหมด  หรือว่ามีไม้ลอยมาหน้าบ้าน  เราเห็นว่าไม่มีเจ้าของ  เอาเข้ามาทำฟืน  แต่ถ้าไม้นั้นมาจากวัด ก็เป็นไม้ของสงฆ์  ไปเอาเข้ามันก็บาป  ต้นหญ้าต้นฟางที่มันอยู่กลางทุ่ง  สถานที่นั้นอาจจะเคยเป็นวัดมาก่อนก็ได้  เขาเคยถวายเป็นของสงฆ์  แต่ว่าสภาพของวัดมันสูญไป  ของที่อยู่ในนั้นทั้งหมด  แม้แต่แผ่นดินก็ยังเป็นของสงฆ์  เราไปเอาต้นหญ้ามาต้นเดียวก็บาป  แล้วโทษของสงฆ์หนักมาก  เรียกว่าขั้นอเวจีขั้นเดียว  มีระดับเดียว ระดับอื่นไม่มี
 
                        หลวงพ่อปานท่านก็ชวนชาวบ้านชำระหนี้สงฆ์  ว่าใครจะชำระหนี้สงฆ์บ้าง  ด้วยจำนวนเท่าไหร่ก็ตาม  เอามารวมกันแล้วประกาศต่อหน้าสงฆ์  ขอชำระหนี้สงฆ์  คือว่าวัดร้างที่ปรากฎมีเป็นวัดก็ตาม  หรือไม่ปรากฎเป็นวัดก็ตาม  วัดที่มีพระก็ตาม  วัดไหนก็ได้ ทำไปโดยเจตนาว่ารู้ว่าเป็นของสงฆ์ก็ตาม ไม่รู้ก็ตาม  แต่สิ่งเหล่านั้นย่อมไม่ทราบค่าราคาของ  ถือว่าเป็นของเล็กน้อย  ข้าพเจ้าทั้งหลายขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยจำนวนเงินเท่านี้  ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายเห็นสมควรก็ขอให้สาธุขึ้นให้พร้อมกัน  ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายไม่เห็นสมควรก็ขอให้นิ่งอยู่  ถ้าพระทั้งหมดสาธุพร้อมกันเป็นอันว่าใช้ได้ ชำระกันแบบนี้ทุกปี  ท่านบอกว่าค่อย ๆ ทำไป  เรื่องนี้มันเป็นเรื่องหนัก
 
                        ในเมื่อพระสงฆ์สาธุ  ท่านจะมอบเงินจำนวนนั้นเป็นสมบัติของสงฆ์  เป็นสิทธิของสงฆ์ที่พึงใช้  จะใช้ได้ก็ต้องเอาเงินจำนวนนั้นไปใช้ในการก่อสร้างหรือบำรุงสงฆ์  ท่านทั้งหลายอาจสงสัยว่า  ของต่าง ๆ  ที่เป็นสิ่งก่อสร้างก็ดี  วัสดุเครื่องใช้ต่าง ๆ ก็ดี  หรือต้นไม้ใบหญ้าก็ดี  ของที่อยู่ในวัดทั้งหมด  ถ้าหากเรารื้อแทนของเดิม  ทั้งนี้ เพราะทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เขาสร้างไว้ในวัด  เขาไม่สร้างให้พระองค์ใดองค์หนึ่ง    เขาสร้างเพื่อถวายบูชาพระพุทธเจ้า  คำว่าของสงฆ์นี่น่ะ  ต้องหมายถึงพระพุทธเจ้าเป็นประธาน  เป็นของส่วนกลาง  ไม่มีใครหรอกที่จะถือสิทธิ์ว่าเป็นของฉัน  จะมาชี้ว่าสมบัตินี้เป็นของฉัน  เป็นของส่วนตัว ถ้าทำอย่างนั้น  จะต้องลงนรกหมด  เรื่องนรกนี้เขาไม่เว้นใครหรอก
 
                        ของในวัดก็เหมือนกัน  ถ้าพระองค์ใดปลูกไว้  ถ้าเขาสึกแล้วก็ตาม  เขาตายแล้วก็ตาม  ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์  ถ้าว่าเขาตายหรือสึกไปแล้ว  พระองค์ใดองค์หนึ่งจะถือเป็นทายาทกันเองก็ดี  ใช้เองก็ดี  ทำอย่างนั้นไม่ได้  เพราะเป็นของสงฆ์เสียแล้ว  เวลาจะกินจะใช้ก็ต้องประชุมสงฆ์ต้องลงมติอนุมัติ  จึงจะถือว่าไม่เป็นโทษ

250
เข้าใจว่าบทความนี้ น่าจะมาจากการถอดเทปคำพูดของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
====================
ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปพระนิพพาน

“..บันทึกเสียงเมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ ย้อนไปพูดถึงวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๕ วันนั้นปรากฏว่าป่วยหนักมีอาการไข้ซ้อน ท้องก็เสีย ปรากฏว่ามีอารมณ์ฟุ้งซ่าน อารมณ์มืดไม่สามารถจะไปพระนิพพานได้ มีอาการเป็นอย่างนี้อยู่ถึง ๒ วัน ต่อมาวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๓๕ จิตเริ่มโปร่งไข้ลดตัวลง จึงไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประทับ

กราบทูลถามท่านว่า “ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า อารมณ์ฟุ้งไม่สามารถจะมองเห็นนิพพานได้และไม่สามารถจะไปนิพพานได้ อารมณ์อย่างนี้ถ้าตายจะพลาดนิพพานไหม”

องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสว่า “ภิกขุ ดูก่อนภิกขุ จิตมีสภาพจำ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คิดถึงนิพพาน แต่อารมณ์เจาะจงพระนิพพานของจิตมีอยู่ ถ้าเธอตายเวลานั้นก็ไม่สามารถจะพลาดนิพพานได้ ต้องมานิพพานได้แน่นอน”

หลังจากนั้นก็นมัสการกราบทูลถามพระองค์เรื่องของกระแสจิต ท่านก็ตรัสว่า “เรื่องของจิตให้เกาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถึงแม้จะอยู่ข้างล่างก็ดี อยู่ข้างบนก็ดี ยามปกติก็ตามให้ถือว่าเราต้องการนิพพานไว้เสมอ ถ้าจิตต้องการนิพพานไว้เป็นปกติอย่างนี้ถึงแม้ว่าอาการป่วยเกิดขึ้นจิตจะมัวไปบ้างจิตไม่เกาะนิพพาน แต่ว่าจิตมีสภาพจำ จิตก็สามารถจะไปพระนิพพานได้ทันทีในเมื่อออกจากร่าง” ต่อจากนั้นก็กราบทูลองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าพระพุทธเจ้าจะไปเทวสภาก่อน” สมเด็จองค์ปฐมก็ตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปด้วย” พระพุทธเจ้าก็เสด็จ อาตมาก็ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามาที่เทวสภา

พอมาถึงที่ประทับพระองค์ก็ประทับบนธรรมมาสน์สูง อาตมานั่งแท่นต่ำแต่รู้สึกว่าจะสูงกว่าเทวดานิดหน่อย เวลานั้นปรากฏว่าเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ทุกชั้นมาหมด เพราะว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาด้วย เมื่อนั่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งพนมมือหันหน้าไปทางเทวดานางฟ้ากับพรหมบอกว่า “ท่านทั้งหลายที่มีพระคุณ ที่เคยเป็นบิดามารดาบ้าง เป็นญาติผู้ใหญ่บ้าง เป็นผู้มีคุณต่างๆ บ้าง เป็นครูบาอาจารย์บ้าง และก็ทุกองค์ทุกท่านที่มีคุณกับอาตมาทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพราะว่างานการทุกอย่าง ท่านช่วยทุกอย่างการสร้างวัด การจะไปไหนก็ตาม ทุกท่านเมตตาปรานี พยายามป้องกันภยันตรายต่างๆ อาตมาขอขอบคุณทุกท่าน”

251
ประสบการณ์วิญญาณ / วิญญาณหลงทาง
« เมื่อ: 27 เม.ย. 2554, 10:28:54 »
วิญญาณหลงทาง

"คนชุดขาว" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากนครราชสีมา

ดิฉันเป็นพยาบาลมาสิบปีเศษ โดยอาชีพแล้วพวกเราไม่ค่อยเชื่อเรื่องภูตผีหรือวิญญาณอะไรหรอกค่ะ ยิ่งต้องคลุกคลีกับคนไข้ คนเจ็บคนตายมานับไม่ถ้วน ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกชาชินเหมือนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว

ยอมรับว่าตอนเป็นนักเรียนพยาบาลใหม่ๆ ก็กลัวผีกันทุกคนละค่ะ ไม่ว่าภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยิน กลิ่นที่มากระทบจมูก บรรยากาศมันชวนให้เยือกเย็นวังเวงใจบอกไม่ถูก โดยเฉพาะกลิ่นยา กลิ่นเลือด กลิ่นของความเจ็บปวดและความตายที่แผ่ซ่านอยู่รอบตัว

เสียงคราญครางโอดโอยของคนไข้ เสียงสะอึกสะอื้นของญาติผู้เสียชีวิต เสียงถอนใจยาวด้วยความเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ ล่องลอยมากระทบหู ทำให้หลายๆ คนเชื่อว่าเป็นเสียงที่ดังมาจากผู้ไม่มีร่างกาย!

ถ้าวิญญาณมีจริง โรงพยาบาลก็คงจะเป็นแหล่งรวมของวิญญาณมากที่สุด!

ยิ่งคิดยิ่งสยอง! หลายครั้งก็หลอนตัวเอง...

เรื่องผีในโรงพยาบาลได้ยินบ่อยมาก เดี๋ยวคนไข้ในห้องรวมเล่า เดี๋ยวคนไข้ห้องพิเศษเล่า พวกเพื่อนรุ่นน้องบางคนก็มีเรื่องแปลกๆ มาเล่าว่า ตอนมาเข้าเวรเห็นคนไข้มานั่งที่บันได...กอดอก ตาเหม่อ ตกใจว่าออกมาได้ยังไง เมื่อคืนยังอาการหนักอยู่แท้ๆ

เมื่อรีบไปตามเปลมาก็ไม่พบตัว พอขึ้นตึกถึงได้รู้ว่าคนไข้คนนั้นตายไปตั้งแต่ตอนเช้ามืดแล้ว! เพื่อนๆ หาว่าตาฝาด หรือเล่าเรื่องผีหลอกสนุกๆ แต่เพื่อนรุ่นน้องขวัญอ่อนมากค่ะ...หน้าซีดเผือด เป็นลมฟุบไปเลย

ดิฉันได้ประสบกับเรื่องสยองขวัญอย่างจังๆ เมื่อปีกลายนี้เอง!

เหตุเกิดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา อันเป็นที่ทำงานของดิฉัน วันนั้นเขม่นตาขวาตั้งแต่เช้า ใจคอหงุดหงิดโดยหาสาเหตุไม่พบ จนถึงเวลาพักเที่ยงเพื่อนมาชวนลงไปทานข้าวในห้องอาหารชั้นล่าง เราอยู่ชั้น 5 ก็ลงลิฟต์ไป 3-4 คน มีคนอื่นๆ มาลงที่ชั้น 4 กับชั้น 3 อีกราว 6-7 คนได้ค่ะ

ก่อนจะถึงชั้น 2 ก็เกิดเรื่องน่าขนหัวลุก!

อากาศเย็นวูบผิดปกติ ทุกคนหันมองหน้ากัน ดิฉันขนลุกซ่า...แจ่มพยาบาลรุ่นน้องวัยเบญจเพสร่างบอบบาง ยืนอยู่ข้างดิฉันก็ร้องขึ้นว่า...กูไปด้วยคน!

สะดุ้งโหยงกันไปหมด หันขวับไปมอง...มีเสียงร้องวี้ดว้ายแสบแก้วหูแล้วถอยกรูดมารวมกัน ดิฉันตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่เบิกตาโพลงร้องว่า...แจ่มๆ เป็นไร?

252
กฎแห่งกรรม / เหตุแห่งกรรม
« เมื่อ: 27 เม.ย. 2554, 10:04:03 »
เหตุแห่งกรรม

เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงตอนที่ผมอยู่ที่ต่าง จังหวัด และสิ่งที่ผมจะเล่าให้ฟังนี้เป็นความเชื่อของผมเอง เนื่อง

จากผมเป็นคนที่ค่อนข้างเชื่อเรื่องเวรกรรมเป็นอย่างมาก เรื่องก็มีอยู่ว่า ก่อนที่ผมจะเดินทางเข้ามากรุงเทพฯ เพื่อหา

งานทำช่วยเหลือครอบครัวและเพื่อหาเงินส่งตัวเองเรียนหนังสือ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมกำลังเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยมต้น ผมเป็น

คนที่ชอบหาปลามากและชอบล่าสัตว์เป็นที่หนึ่ง ที่สำคัญเป็นคนที่ทำบาปขึ้นอีกต่างหาก เวลาหน้าน้ำดำนาก็ชอบทอดแห,ใส่

เบ็ด,เวลาไปก็จะชอบชวนเพื่อนๆไปด้วย เพื่อนคนอื่นที่ไปด้วยกันทอดแหลงไปยังไงก็ไม่ค่อยมีปลาติดมาด้วย แต่ตัวผมเองแม้จะทอด

ตรงที่เพื่อนทอดไปไม่ถึงสิบนาทีก็ได้ปลาติดขึ้นมา หรือจะใส่เบ็ดก็ไม่ค่อยได้ปลาสักเท่าไหร่มันก็เป็นเรื่องแปลก!!!! แต่ถ้าเป็นหน้า

แล้งช่วงเดือนเมษายนผมกับเพื่อนๆก็จะชวนกันไปยิงกิ่งก่ามาผัด เผ็ดกินกันขอบอกว่ามันเป็นอาหารชั้นเลิศเลยครับ ไปยิงทีก็เหมือน

เดิมครับเรื่องฆ่าสัตว์ถนัดนักกิ่งก่าจะปีนขึ้นไปบนยอดไม้ก็ ยังสามารถยิงมันตกลงมาได้ แถมถ้าตัวไหนสุดความสามารถถึงขนาดต้อง

ปีนขึ้นไปไล่ยิงบนต้นไม้ซึ่งมันเป็น ความโหดร้ายทารุณมาก กิ้งก่าตัวนิดเดียวคนมีสี่ห้าคนไล่จับมันตัวเดียว แต่!!! ไม่คิดอะไรก็ยิ่งทำ

ให้ดีใจกับเวรกรรมที่ตน

ได้กระทำ โดยไม่คิดว่าวันหนึ่งจะต้องรับกรรมในสิ่งที่ตัวเองกระทำ ด้วยความสนุกสนานของความเป็นเด็กอยู่ในขณะนั้นทำให้ไม่ค่อน

คิดอะไร ผมทำอย่อย่างนี้เสมอๆๆเป็นระยะเวลาหลายปี และจนวันหนึ่งผมต้องมีแผลในเท้าเพราะเดินไปเหยีบแก้วซึ้งผมก็พยายามที่

จะ สังเกตก่อนเดินอยู่แล้วแต่ก็พลาดจนได้ ซึ่งมันเป็นแผลค่อนข้างลึกและยาวพอสมควรถ้าเย็บก็คงประมาณเกือบสิบเข็มได้ ซึ่งสิ่งที่

มันเกิดขึ้นนี้ปีเเรกๆผมยังไม่ค่อยคิดอะไรมากหรอกเพราะว่ามันคง เป็นอุบัติเหตุธรรมดา แต่เมื่อปีต่อมามันก็เป็นเหมือนเดิมอีกและ

เป็นช่วงเวลาเดียวกันอีก และอีกครั้งหนึ่งของปีต่อมามันเป็นครั้งที่ทรมานมากตอนนั้นผมไปทอดแหกับน้อง อีกคนหนึ่ง ซึ่งวันนั้นสนุก

มากเพราะได้ปลาเยอะมาก เราไปกันค่อนข้างไกลจึงได้เอาจักรยานไปด้วยและสิ่งที่ไม่น่าเกิดก็เกิดขึ้น ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าเเปลกมาก

เพราะว่าตรงที่ผมทอดแหนั้นผมเพิ่งทอดไปไม่นาน จำได้ไม่เกิน 10 นาทีได้ซึ่งผมจะวนเวียนทอดอยู่บริเวณนั้นเพราะปลาค่อนข้าง

ชุมเพราะมีน้ำไหล ตลอดปลาจะชอบมาว่ายน้ำเล่น จุดที่ก่อนจะเกิดเหตุนั้นผมได้ทอดแหไปผมก็กระโดดลงไปด้วยก็ไม่เห็นเป็นไร

(น้ำไม่ค่อยลึกสูงประมาณหัวเข่าแต่น้ำจะไหลแรงพอสมควรจึงต้องกระโดดลงไป ประคองแหไม่ให้ไหลไปตามน้ำถ้าปลาติดปลาจะ

ได้ไม่หลุดออกจากแห)แต่ครั้งนี้ผม ก็ทำเหมือนเดิม จุ๊บ...กึ๊ด !!!!!!!!!!!! ผมเริ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมาทันที ผมจึงยกเท้าขึ้นจากน้ำมองดูปลา

กดว่าเลือดไหลพุ่งเหมือนกับสายยางฉีดน้ำซึ้ง ผมไม่เคยเจอมันน่ากลัวมาก ผมเล่าแล้วขนลุก มันน่ากลัว

253
กฏของกรรม เรื่อง คางคกสูบบุหรี่

   พูดกันมานานแล้วว่า มนุษย์ เป็นสัตว์ประเสริฐ มนุษย์เกิดมาได้เพราะกรรม เก่า- กรรมดี มีมากจึงได้มาเกิดเป็นมนษย์ มีโอกาสที่จะได้ทำกรรมดร เพื่อสร้างบารมีให้กับตัวเอง เผื่อว่าสิ้นชีวิตไปเกิดในปรภพภูม อันสมศักดิ์ศรี ไม่ต้องไปเกิดเป็น หมู หมา กา ไก่ ใช้กรมมทีละชีวิต
  พูดถึงสัตว์ ๔ ขา เชื่อว่าทุกคนคงรู้จัก และบางท่านเคยเห็น “ น้ำตา วัว ควาย ” ที่ไหลรินจนเปียกหน้า สัตว์ทุกชนิดไม่มีสิทธิขอชีวิตต่อผู้สังหารมัน สัตว์ที่ว่านี้ ซึ่งในหัวใจถึงกรรมที่เกาะกุมอยู่ มันไม่มีโอกาสร้องโอ้ย..ได้เหมือนผู้คนอย่างเรา ๆ อย่าได้ไปรังแกเขาอีกเลย....เวรกรรมนั้นลงโทษเขาอยู่แล้ว ที่ให้มาเหน็ดเหนื่อยเป็นขี้ข้าหาเลี้ยงคน...

    วัยรุ่น ๒ คน ชื่อ อ้อมกับตั้ม ชื่นชอบกับแกมกีฬาที่ไม่เหมือนใคร คือได้จับสัตว์พวกต่าง ๆ มาทารุนทรมานเป็นที่สนุกสนานแก่สองหนุ่มวัยคนองอย่างยิ่ง โดยมิได้นึกถึงเวรกรรมและจะคิดว่าสัตว์เหล่านั้นมันก็เจ็บปวดกลัวความตายเหมือนกับพวกเขา ? ? ในวัยเด็ก ๆ นั้นแทบทุกคนจะชื่นชอบในการ ยิงนกตกปลา จับปูนา กบเขียด หรือจับจิ้งหรีด เอามาให้มันกัดกัน สิ่งที่ว่ามานี้เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อกาลเวลาล่วงเลยไป อายุมากขึ้นการทำบาปกรรมรังแกสัตว์ ควรจะน้อยลง
    ความจริงแล้วเด็ก ๆ เปรียบเหมือนผู้คมนักโทษจากตัวเวร กรรมให้ลงโทษสัตว์ ซึ่งครั้งหนึ่งในอดีตเขาเคยเป็นมนุษย์ที่สร้างกรรมไม่ดี แต่ก็มีหลายคนพอเติบโตจนเป็นหนุ่ม ก็ยังมีนิสัยรังแกสัตว์ที่ยังไม่เลิกรา
 อีแร้งที่ลงมากินหมาเน่ากลางทุ่งกลางนาเป็นฝูงนั้น จะมีตัวหนึ่งที่หัวจะมีสีแดง ตำเหน่งเป็นพญาแร้ง สัตว์น่ารังเกียจอย่างนี้ชอบกินซากสัตว์เน่า ๆ แต่ก็มี มนุษย์ใจบาปตามไปรังควานมัน โดยเอาใบตาลมัดด้วยเชือกทำเป็นบ่วงไว้ใกล้ ๆ หมาเน่า ทันทีที่ฝูงอีแร้งรายล้อมหมาเน่า พวกมันไม่เห็นคน อ้อมกับตั้มและพรรคพวกก็กรูกันวิ่งออกจากป่า ที่ซ่อนตัว ส่งเสียงเอะอะตีเกราะเคาะไม้ ? ? ฝูงอีแร้งที่ไม่รู้เนือรู้ใต้ต่างตกใจรีบโผบินขึ้นฟ้า แต่มันเป็นนกที่มีน้ำหนักมาก ดังนั้นการบินขึ้นมันจึงต้องการทางวิ่งหรือรันเวย์ ๒ ขาก้าววิ่งด้วยความเร็วสูงขึ้น เมื่อพ้นดิน บินอยู่ในอากาศ มันถึงได้รู้ว่าที่ขาของมันนั้นมีใบตาลผูกเชือกบ่วงรัดไว้ มันตกใจบินสูงขึ้นไปลิ่ว ๆ
  เด็กหนุ่มวัยคะนองทั้งหลายที่ชอบรังแกสัตว์ต่างหัวเราะชอบใจตบมือกระโดดโล้นเต่น เมื่อเห็นใบตาลติดขาอีแร้ง บินลากของหนัก ๆ ไปชั่วชีวิตบินสูงลิ่วขึ้นบนท้องฟ้าคู่กับขาอีแร้ง

   นี่ก็เป็นอีกแกมหนึ่งที่สองหนุ่มชื่นชอบมาก คือจับเอาคางคกมาครั้งละหลาย ๆ สิบตัว แรก ๆ เริ่มเล่นเอาบุหรี่ที่ฉุนจัดจุดใส่ปากคางคก สัตว์ชนิดนี้พอหายใจออกก็พ่นควันบุหรี่ออกด้วย มองดูเหมือนกับคนสูบบุหรี่ หมดบุหรี่เพียงครึ่งมวน คางคกมีอันมึนงงต่อควันบุหรี่ นอนหงายท้องตึงทำตาปริบ ๆ

254
มีทั้งหมด 7 ตอนด้วยกันครับ

หลวงพ่อจรัญ - ผลกรรมตามสนอง 1/7
[youtube=425,350]jgJ8xBOCwhw[/youtube]
หลวงพ่อจรัญ - ผลกรรมตามสนอง 2/7
[youtube=425,350]ruCB2ZAk20s[/youtube]
หลวงพ่อจรัญ - ผลกรรมตามสนอง 3/7
[youtube=425,350]a4L_o2HqdNY[/youtube]
หลวงพ่อจรัญ - ผลกรรมตามสนอง 4/7
[youtube=425,350]CRS08E9uJeY[/youtube]

255
เป็นคลิปประวัติ
ขอนำเสนอต่อจาก.......
ประวัติหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด โดยคุณumpawan เมื่อ ธันวาคม 2552
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=14068

มีทั้งหมด 10 ตอน
[youtube=425,350]AfGdt8fatd4[/youtube]
[youtube=425,350]cdhq95MX0Mc[/youtube]
[youtube=425,350]aRBPrWeNAjg[/youtube]


256
กฎแห่งกรรม / กรรม...ทำกับสุนัข
« เมื่อ: 27 เม.ย. 2554, 12:31:55 »
เรื่องนี้ ท่านดร.พระราชวรมุนี รองเจ้าคณะภาค 17
 
และรองเจ้าอาวาสวัดดุสิดาราม กทม. ได้นำมาเล่าให้ฟังอีกต่อหนึ่ง


ท่านเจ้าคุณเล่าว่า

วันหนึ่งท่านได้รับนิมนต์ให้ไปสวดศพแม่ครัวที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ

แม่ครัวคนนี้ถึงแก่กรรมด้วยอุบัติเหตุที่ ไม่น่าเชื่อ

คือตกหม้อข้าวต้มตายแล้วท่านเจ้าคุณก็ขยายความต่อไปว่า

แม่ครัวผู้นี้เป็นมารดาของข้าราชการระดับสูงท่านหนึ่ง

เธอเป็นแม่ครัวรับจ้างทำอาหารเลี้ยงแขกที่มาในงานศพที่วัดแห่งนี้

แบบผูกขาดมานานจนร่ำรวย สามารถส่งเสียลูกๆเรียนจบมหาวิทยาลัย

ได้ดีไปหลายคนกรรมที่ทำให้เธอต้องมาพบอุบัติเหตุจนถึงแก่ความตายนั้น

เรื่องมีอยู่ว่า
 
วันหนึ่ง แม่ครัวผู้นี้เห็นว่าเนื้อหมูจำนวนมากที่นำมาสับเพื่อเตรียมทำข้าวต้มหมู

เลี้ยงแขกที่มาในงานศพนั้น หายไปอย่างผิดปกติทั้งๆที่เพิ่งสับเสร็จไม่นาน

แค่หันไปหยิบเครื่องปรุงหรือไปทำอย่างอื่นแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว

พอหันกลับมาอีกครั้งเพื่อจะนำเนื้อหมูที่สับวางทิ้งไว้บนเขียงใส่ลงหม้อข้าวต้ม

ปรากฏว่าเนื้อหมูอันตรธานหายไปหมด โดยไม่มีร่องรอย

พอถามคนโน้นคนนี้ก็ไม่มีใครรู้เรื่อง

เพราะต่างก็วุ่นกับงานของตัวเองแรกๆเธอก็คิดว่าไม่เป็นไร

แต่ครั้นเป็นอย่างนี้ติดต่อกันบ่อยครั้งเข้าใน

ทุกครั้งที่เผลอ เธอจึงอดรนทนไม่ได้

ดังนั้นจึงได้วางแผนที่จะจับเจ้าขโมยตัวดีเธอทำทีเป็นสับเนื้อหมูวางไว้

บนเขียงไม้เหมือนเดิมแล้วก็แสร้งหันไปทำอย่างอื่นเหมือนเคยแต่ทว่าตาคอย

แอบจับจ้องอยู่ที่เขียงไม้ตลอดเวลาทันใดนั้นก็มีลูกสุนัขผอมโซตัวหนึ่งซึ่งแอบ

ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะทำกับข้าวนั่นเองปีนขึ้นมากินเนื้อหมูสับจนหมดอย่างรวดเร็ว

แล้วก็กระโดดวิ่งหนีไปเมื่อเห็นว่าเจ้าหัวขโมยเป็นลูกสุนัข

เธอจึงรู้สึกโกรธแค้นมากจึงได้วางแผนที่จะจัดการเจ้าลูกสุนัขตัวนี้

ดังนั้นในวันรุ่งขึ้นเธอก็ทำทีสับเนื้อหมูทิ้งไว้บนเขียงไม้เหมือนเช่นเคย

แต่คราวนี้เธอไม่ได้วางเขียงไม้ไว้ที่เดิม

257
ธรรมะ / สัทธรรม
« เมื่อ: 26 เม.ย. 2554, 10:22:54 »
สัทธรรม แปลว่า ธรรมของสัตบุรุษ ใช้ หมายถึงพระพุทธพจน์หรือคำสอนของพระพุทธเจ้า เรียกโดยเคารพว่า พระสัทธรรม
สัทธรรม แบ่งเป็น ๓ อย่าง คือ

๑. ปริยัติสัทธรรม คือคำสอนที่แสดงถึงหลักสำหรับศึกษาเล่าเรียน ทรงจำ แนะนำสั่งสอนกัน ได้แก่ พระสูตร คาถา ชาดก เป็นต้น

๒. ปฏิปัตติสัทธรรม คือ คำสอนที่แสดงถึงหลักปฏิบัติตามที่ศึกษามา แสดงวิธีปฏิบัติสูงขึ้นไปตามลำดับ คือระดับศีล ระดับสมาธิ ระดับปัญญา

๓. ปฏิเวธสัทธรรม คือคำสอนที่แสดงถึงผลที่เกิดจากการปฏิบัติ ได้แก่ มรรค ๔ ผล ๔ และนิพพาน ซึ่งเรียกว่า โลกุตรธรรม


เรียกพระสัทธรรม ๓ อย่างนี้ย่อๆ ว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ก็ได้


สัตบุรุษ คือ .....
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สัตบุรุษ (อ่านว่า สัดบุหรุด) แปลว่า คนดี คนสงบ คนที่พร้อมมูลด้วยธรรม
สัตบุรุษ หมายถึงคนที่มีคุณธรรม คนที่เป็นสัมมาทิฐิ คนที่ประพฤติธรรมเป็นปกติ
สัตบุรุษ ในทางปฏิบัติคือคนที่ประกอบด้วยสัปปุริสธรรม ๗ ประการ คือ
เป็นผู้ประกอบด้วยธรรม ๗ ประการคือศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ วิริยะ สติ ปัญญา
ไม่ปรึกษาอะไรที่เบียดเบียนตนและผู้อื่น
ไม่คิดอะไรเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่น
ไม่พูดอะไรเพือเบียดเบียนตนและผู้อื่น
ไม่ทำอะไรเพือเบียดเบียนตนและผู้อื่น
มีความเห็นชอบ เป็นสัมมาทิฐิ
ให้ทานโดยความเคารพ ไม่ให้แบบทิ้งขว้าง

258
ขออนุญาต นำเสนอต่อจากกระทู้นี้....
ประวัติ หลวงปู่มั่น ภูริทติโต โดยคุณ..ลูกผู้ชายตัวจริง
http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=1809.msg82771#msg82771
เนื่องจากกระทู้เก่า มีอายุถึง 4 ปี แล้ว จึงนำส่วนอื่นๆของท่านมาเพื่อศึกษากันต่อไป

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
[youtube=425,350]JqbvPmsP7kc[/youtube]


259
ประวัติในช่วงเป็นฆราวาส

      พระอาจารย์คึกฤทธิ์ เกิดวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๐๖ ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ กรงเทพฯ ท่านจบปริญญาตรี นายร้อย จปร. สาขาวิศวกรรมเครื่องกล และ ปริญญาโท จากจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย คณะรัฐศาสตร์ จากนั้นท่านได้ รับราชการทหาร โดยมียศหลังสุดในชีวิตฆราวาสเป็นพันตรี

จุดเริ่มต้นในเส้นทางธรรม

            ในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ขณะท่านเรียนอยู่เตรียมทหาร ชั้นปีที่ ๑ ระหว่างปิดเทอม โยมแม่ของท่านได้พาไปบวชกับ หลวงพ่อชา สุภัทโท ที่วัดหนองป่าพงเป็นเวลา ๑ เดือน เป็นครั้งแรกที่ไปสู่ดินแดนแห่งความสงบวิเวก ที่ยังใช้ชีวิตแบบง่ายๆ ตามกุฏิ ใช้การจุดเทียนให้แสงสว่าง เดินตามทางใช้ไฟฉาย น้ำอุปโภค ใช้เชือกผูกกับปิ๊บหย่อนไปในบ่อดิน ช่วยกันดึงขึ้นแล้วเทใส่ถังในรถ เข็นไปไว้ตามกุฏิ ศาลา และที่ต่างๆ อาหารขบฉันที่มีไม่มาก ต้องใช้พระตัวแทนสงฆ์มาจัดแจกแบ่งปันส่วน เพื่อให้เพียงพอกับทุกชีวิตในวัด และได้พบหลวงพ่อชา ได้ใกล้ชิด และสัมผัสกับธรรมะ รวมถึงข้อวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัด งดงามน่าเลื่อมใสของท่าน สัมผัสกับจิตบริสุทธ์ทีมีอยู่จริง เกิดใคร่สนใจอยากศึกษา จึงเริ่มมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา เมื่อครบกำหนดลาสิกขากลับมาสู่การศึกษาเล่าเรียน จึงตั้งใจเริ่มฝึกหัดรักษาศีล ๕ อย่างเคร่งครัด ตามสติกำลังอยู่ตลอดมามิได้ขาด
     ท่านได้กลับไปยังวัดหนองป่าพงในทุกช่วงเวลาปิดเทอม จนกระทั่งได้มีโอกาสบวชอีกทีในตอนปิดเทอมชั้นปีที่ ๔ ของนายร้อย จปร. ในครั้งนี้ ท่านได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อหลวงพ่อชา ว่า จะใช้ชีวิตฆราวาสอีกเพียง ๑๐ ปี แล้วขอให้มีเหตุปัจจัยผลักดันให้ได้ครองเพศบรรพชิตไปตลอดชีวิต



ชีวิตในเพศบรรพชิตครั้งสุดท้าย

     หลังจากได้ตั้งอธิษฐานกับหลวงพ่อชาในครั้งนั้น ท่านก็ใช้ชีวิตทางโลกอย่างปรกติเรื่อยมา ท่านเล่าว่าการใช้ชีวิตโดยมีสติและธรรมะอยู่กับตัว ช่วยให้การดำเนินชีวิตทางโลกของท่านเป็นไปอย่างสะดวก ไม่เศร้าหมอง และมีส่วนสนับสนุนความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานเป็นอย่างมาก แต่บางครั้งการมีสติ ก็ทำให้การไปเที่ยวเตร่หรือการเที่ยวเล่นเริ่มไม่เป็นเรื่องสนุกเหมือนอย่างเคย เพราะท่านมองเห็นแต่โทษภัยของการขาดสติ โทษของการที่เผลอเพลินไปกับกิเลสต่างๆ จนในที่สุด เมื่อครบ ๑๐ ปี ตรงกับที่ได้ตั้งอธิษฐานไว้ และเป็นปีที่หลวงพ่อชาได้มรณภาพ ในกาลนั้นเองท่านได้เห็นสัจธรรมความไม่เที่ยงของสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ไม่เว้นแม้แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเคารพ ท่านจึงอาศัยสิ่งนี้เป็นอันดับแรก เป็นอนุสติเครื่องกระตุ้นเตือนใจ ผลักตัวเองให้ออกจากชีวิตทางโลก ประกอบกับเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย และไม่ค่อยเห็นประโยชน์ในการใช้ชีวิตฆราวาสเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งได้รู้สึกถึงความก้าวหน้าของผลการปฏิบัติ ที่ค่อยๆ ฝึกหัดกระทำมาตลอด ๑๔ ปี นับแต่เจอหลวงพ่อชา สิ่งเหล่านี้จึงรวมมาเป็นเหตุปัจจัยผลักดันให้ท่านเข้ามาบวชอีกครั้ง

     ครั้งนี้ท่านเข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัตร์ ที่สำนักสงฆ์บุญญาวาส จังหวัดชลบุรี ปัจจุบันเป็นวัดสาขาของวัดหนองป่าพง มีพระอาจารย์ตั๋น (พระอาจารย์อัครเดช ถิรจิตฺโต) เป็นเจ้าอาวาส หลังจากบวชได้ระยะหนึ่ง ในระหว่างออกปลีกวิเวกธุดงค์ร่วมกับพระเถระอีก ๒ รูป ท่านได้มาบำเพ็ญภาวนา พำนักอยู่ยังผืนนาอันเป็นของโยมแม่ท่านยกถวาย ณ.บริเวณถนนลำลูกกา คลองสิบ จังหวัดปทุมธานี เรื่อยมาจนท่านได้ ๕ พรรษา จากนั้นเป็นช่วงเวลาที่ท่านได้พำนัก อยู่เพียงลำพังผู้เดียว ท่านจึงอาศัยความสันโดษวิเวกนี้ เป็นโอกาสแห่งการปฏิบัติภาวนาอย่างเต็มกำลังความสามารถ พร้อมทั้งศึกษาธรรม และวินัยจากพระโอษฐ์ควบคู่กันไป

     ในช่วงหน้าแล้งของแต่ละปี ท่านได้หาโอกาสออกวิเวกตามป่าเขา จนในพรรษาที่ ๗ หลังออกวิเวกธุดงค์ โดยเดินจากเมืองกาญจนบุรีผ่านทุ่งใหญ่นเรศวร  ขึ้นจังหวัดตาก และเมื่อกลับมาถึงคลองสิบ ได้เป็นไข้มาลาเรีย นอนป่วยอยู่ผู้เดียวเป็นเวลา ๗ วัน จึงมีคนมารับไปรักษา ผลจากอาพาธครั้งนี้ทำให้ท่านมีอาการอ่อนเพลียต่อเนื่องมาอีก ๕ ปี จึงเริ่มหายเป็นปกติ ในระหว่างนั้นสถานที่ดังกล่าวค่อยๆ ได้รับการพัฒนาตามลำดับ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ หรือประมาณ ๘ ปี นับแต่ท่านได้มาอยู่บำเพ็ญภาวนาสถานที่แห่งนี้ จึงได้ขึ้นทะเบียนตั้งเป็นวัดนาป่าพงจวบจนถึงปัจจุบัน

     ท่านได้วางแนวทางการปฏิบัติของพระสงฆ์ในวัดได้อย่างชัดเจน โดยยึดแต่คำสอนที่เป็นพุทธวจนะของพระพุทธเจ้าเป็นแนวทาง ท่านได้วางนโยบายในวัดให้มีความสงบสอดคล้องเหมือนกับการออกวิเวกธุดงค์ กำหนดกิจข้อวัตรของพระในวัดให้กระชับที่สุด และเป็นกฎเกณฑ์ของหมู่คณะที่ต้องเคร่งครัด เพื่อเปิดโอกาสให้พระได้มีเวลาในการภาวนามากๆ

     ผู้ที่จะบวชในวัดนี้ควรจะต้องมีเวลาอย่างน้อย ๑ เดือน เพื่อเตรียมตัวอยู่เป็นผ้าขาวก่อนประมาณ ๒ อาทิตย์ จากนั้นบรรพชาเป็นสามเณรอีกประมาณ ๑ อาทิตย์ แล้วจึงสามารถบวชเป็นพระได้ ทั้งนี้เพื่อฝึกฝนข้อวัตรปฏิบัติ และเป็นการชำระกายใจให้บริสุทธิ์เสียก่อน เนื่องเพราะท่านเห็นว่าการบวชในระยะสั้นๆ นั้นเกิดประโยชน์น้อย และเสี่ยงต่อการทำผิดในเพศบรรพชิตได้ง่าย

     ท่านเน้นย้ำมากในเรื่องการศึกษาและปฏิบัติธรรมะว่า ควรศึกษาโดยตรงในธรรมะจากพระโอษฐ์เท่านั้น เพราะที่ทรงตรัสถึงขีดจำกัดของสาวกที่เป็นเพียงผู้เดินตามมรรค การแสดงความเห็นของสาวกย่อมมีข้อผิดเพี้ยน ซึ่งเป็นเหตุเสื่อมและเป็นความอันตรธานแห่งธรรมวินัยของตถาคตในกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต และเป็นเหตุแห่งการนับถือศาสนาพุทธที่ผิดเพี้ยนไปด้วย รวมถึงการนำพระพุทธศาสนาไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง

http://www.watnapahpong.org/AboutMe.aspx

260
อานาปานสติ-โสดาบัน 26.7.10 1/4
[youtube=425,350]t1_mjtWfvgM[/youtube]

อานาปานสติ-โสดาบัน 26.7.10 2/4
[youtube=425,350]bGH8-GUpblU[/youtube]



261
ธรรมะ / สันโดษ
« เมื่อ: 21 เม.ย. 2554, 09:46:36 »
สันโดษ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สันโดษ แปลว่า ความยินดี ความพอใจ คือความรู้จักพอดี ความรู้จักพอเพียง
สันโดษ มีลักษณะ 3 อย่าง คือ
ยินดีพอใจในสิ่งที่มีที่ได้มา ด้วยเรียวแรงของตนในทางชอบธรรม ไม่ดิ้นรนอยากได้จนทำให้เกิดความเดือดร้อน
ยินดีพอใจกำลังของตน ใช้กำลังที่มีอยู่ เช่นความรู้ ความสามารถให้เกิดผลเต็มที่ ไม่ย่อหย่อนบกพร่อง
ยินดีพอใจแต่ไม่เกินเลย คือรู้จักพอเป็น อิ่มเป็น และแบ่งปันส่วนที่เกินเลยไปเอื้อเฟือ้ผู้อื่นตามสมควร
สันโดษ เป็นแนวปฏิบัติเพื่อให้เกิดความพอดีในชีวิตประจำวัน ไม่ฟุ้งเฟ้อเกินไป ไม่เขียมเกินไป ไม่ฟุ้งซ่านจนเกิดเดือดร้อน เป็นต้น เป็นแนวปฏิบัติกลางๆ เพื่อให้ชีวิตมีความอิ่ม ไม่พร่อง อันเป็นเหตุให้มีความสุขดังคำกล่าวที่ว่า "รู้จักพอก่อสุขทุกสถาน"

262
ประสบการณ์วิญญาณ / ผีพระ
« เมื่อ: 20 เม.ย. 2554, 12:32:55 »
ผีพระ โดยพระราชพรหมยาน

ผีที่จะพูดต่อไปนี้ ก็เป็นผีพระ วัดท่าเรือ ตำบลแพงพวย อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี วัดนี้อาตมาไปสร้างโบสถ์ ก่อนที่จะไปสร้างโบสถ์ มีคณะกรรมการวัดเขามาหา เขาบอกว่า วัดนั้นอยู่ดอนมาก ไปกลางทุ่งหลายกิโล ทางเรือก็ไปลำบาก ทางเดินก็ไปลำบาก งานก่อสร้างก็เป็นไปไม่ได้ด้วยดี ชาวบ้านก็รู้สึกว่าไม่สู้จะร่ำรวย เป็นบ้านคนจนมาก เขามาขอร้องให้ไปช่วย ในเมื่อเขาขอร้องก็บอกว่า ประเดี๋ยวก่อน ถามหลวงพ่อปานก่อน ก็เลยเข้าห้องบูชาพระ บวงสรวงชุมนุมเทวดาเสร็จ ก็อาราธนาพระมา เห็นหลวงพ่อปานท่านมา ก็เลยเรียนถามว่าวัดท่าเรือเขาให้ไปช่วยสร้างโบสถ์ จะไปได้ไหมขอรับ ท่านก็บอกว่ารับได้ รับช่วยเขาได้ ก็เลยกราบเรียนถามท่านว่า วัดนี้อยู่ดอนมาก การคมนาคมไม่สะดวก รถก็ไปไม่ถึง เรือยนต์ก็เข้าไม่ถึง คนจะต้องเดินกันตั้งแต่ท่าน้ำขึ้นที่วัดสีดา เกือบชั่วโมงหรือชั่วโมงกว่าจะถึงวัด จะสร้างไหวหรือขอรับ ท่านก็บอกว่าทำได้

ในเมื่อท่านรับ ก็ออกมาจากห้องบูชาพระ บอกว่าหลวงพ่อปานท่านรับได้ ท่านรับช่วย ฉันก็จะช่วย ถ้ายังงั้นขอให้ช่วยกันก็แล้วกัน ก็เป็นอันตกลงว่าจะช่วยกัน ทีนี้วันไปดู ก่อนที่เขาจะกลับก็บอกว่า เวลาที่ท่านจะไปดูสถานที่นิมนต์เอาฝนไปด้วยนะขอรับ ถามว่าทำไมล่ะ แกก็บอกว่าแล้งมากเหลือเกิน ปีนี้ตั้งแต่เดือน 3 มาแล้วถึงเดือน 5 นี่ ฝนไม่ตกเลย ก็เลยบอกแกว่าฉันไม่ใช่เจ้าของฝนนี่ ฉันจะเกณฑ์อะไรไม่ได้ ฉันจะหาฝนไม่ได้ แล้วอีกประการหนึ่งฉันไม่ใช่พระอภิญญาสมาบัติ ถ้าฉันได้อาโปกสิณละก็ ฉันจะบังคับฝนให้ตกตามความพอใจของแก เขาก็ยืนยันบอกว่า เขาลือกันว่าลูกศิษย์หลวงพ่อปานเก่ง ต้องมีฝน ก็เลยบอกว่าถ้าพูดอย่างนั้นมันไม่ถูกแน่ ลูกศิษย์หลวงพ่อปานเก่งจะเก่งได้ยังไง ในเมื่อหลวงพ่อปานเองท่านยังไม่รับรองว่าตัวท่านเก่ง เวลาท่านทำอะไรท่านก็บอกว่าพระเก่ง หรือเทวดาเก่ง พรหมเก่ง นี่หมายความว่าอาศัยบารมีพระ อาศัยบารมีพรหม อาศัยบารมีเทวดา พวกคุณมาว่าอย่างนี้นี่ เป็นการทำลายศักดิ์ศรีลูกศิษย์หลวงพ่อปาน คนที่ไม่เก่งไปบอกว่าเก่ง ในเมื่อไปลือกันว่าเก่งแล้ว ถ้าทำอะไรไม่ได้ตามที่เขาต้องการแล้วคุณคิดหรือว่าความดีมันจะปรากฏ หรือว่าความชั่วมันจะปรากฏ เขาก็ยิ้ม แล้วในที่สุดเขาก็บอกว่า เอายังงี้ก็แล้วกันกระผมแน่ใจว่าท่านไปนี่ต้องได้ฝนไปด้วย ก็เลยบอกเขาว่าถ้าพระจะกรุณามีฝน หรือ บรรดาพรหมกรุณาก็มีฝน ถ้าพระ หรือ พรหม หรือ เทวดาท่านไม่กรุณาก็ไม่มีฝน เพราะฉันเองบังคับฝนไม่ได้ เป็นอันว่าเขาก็ลากลับ

ถึงเวลากำหนดที่จะเดินทางก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า เขาขอฝนไว้ แล้วผู้พูดเองก็ไม่ทราบว่าจะไปเอาฝนที่ไหน มองไปมองมาไม่รู้จะไปหาฝนที่ไหนก็เลยเข้าห้องพระบูชาพระ พอบูชาพระก็ปรากฏว่าเห็นหลวงพ่อปานท่านมา ท่านตายแล้วนะ จะเรียกท่านว่าผีหรืออะไรก็ตามใจเถอะ อีตอนนี้ยังไม่เกณฑ์ให้เป็นผีหรอก เป็นหลวงพ่อก่อน แต่ว่าท่านผู้ฟังจะเห็นว่าท่านเป็นผี หรือ เป็นอะไรก็ตามใจ ในเมื่อปรากฏว่าท่านมาแล้ว ท่านก็บอกว่า เขาต้องการฝนก็ได้นี่ลูก ถามว่าจะเอาที่ไหนละขอรับ ผมก็ไม่ได้อภิญญา ได้อาโปกสิณละก็จะทำฝนให้ปรากฏ ท่านบอกว่าไม่ต้อง อาศัยบารมีพระพุทธเจ้าดีกว่า ไม่ลำบาก ก็พระพุทธชินราชที่เธอหล่อไว้น่ะ ให้ฝนดีน่ะ เธอลืมหรือยัง นับตั้งแต่หล่อพระพุทธชินราชองค์นี้มาน่ะฝนไม่เคยขาดตำบล นาบ้านนี้ดีตลอดเวลา แต่คนที่จะรู้คุณพระชินราชก็ดีหรือว่ารู้คุณของเธอก็ดี มันมีสักหนึ่งในพันเท่านั้นแหละ คนบ้านนี้มันไม่มองเห็นความดีของบุคคลอื่นหรอก แล้วอย่าไปถือมันนะ ชาวโลกมันก็เป็นยังงี้เสมอ ถ้ามันดีมันก็ไปนิพพานกันหมด นรกไม่มีใครไป แต่สวรรค์ยังจะหาคนไปยาก อย่างน้อยที่สุดก็ต้องไปพรหม แล้วก็ไปนิพพาน

263
คาถาหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

1 พระพุทธคาถา
2 คาถาพระปัจเจกพระพุทธเจ้า
3 คาถาอภิญญารวม
4 คาถารวมจิต
5 คาถาปราโมทย์
6 คาถาพระนิพพานนิมิต
7 คาถาขีณาสวานิตยา และนิพพานสุขัง
8 คาถาเรียกจิตคน
9 คาถาสนองกลับผู้กระทำไสยศาสตร์
10 คาถาป้องกันคุณไสย และกันยาพิษ ยาสั่ง
11 คาถากำบังตัว
12 คาถากันฟ้าผ่า
13 คาถาสมเด็จพระพุทธกัสสป
14 คาถาพระอินทร์
15 คาถาพระยายม
16 พุทธคาถา
17 คาถาเมตตา
18 คาถาสมเด็จประทาน
19 คาถาพระโมคคัลลานะ ประทาน
20 คาถาท่านท้าวเวสสุวัณ
21 คาถาป้องกันอันตราย
22 คาถานวด
23 เสกของขายภายในร้าน
24 คาถาให้สารภาพ
25 คาถาท่านท้าวมหาราชทั้ง 4
26 คาถาสมเด็จพระพุทธกัสสป
27 คาถาโรยทราย (นะจังงัง)
28 คาถาเสกขี้ผึ้งสีปาก เมตตามหานิยม

http://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A4%E0%B9%85%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B3#.E0.B8.84.E0.B8.B2.E0.B8.96.E0.B8.B2.E0.B8.9E.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B8.9B.E0.B8.B1.E0.B8.88.E0.B9.80.E0.B8.88.E0.B8.81.E0.B8.9E.E0.B8.A3.E0.B8.B0.E0.B8.9E.E0.B8.B8.E0.B8.97.E0.B8.98.E0.B9.80.E0.B8.88.E0.B9.89.E0.B8.B2

264
ปาฏิหาริย์พระพุทธฉายวัดสิงห์ สิงห์บุรี
วันเสาร์ ที่ 09 เมษายน 2554 เวลา 0:00 น 

เข้าฝันบันดาลโชค ร่ำรวย สมปรารถนา   

วัดสิงห์ เป็นวัดราษฎร์ และเป็นวัดเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่เลขที่ ๕๙ หมู่ที่ ๒ ตำบลพระงาม อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี มีพื้นที่ ๒๗ ไร่ ๒ งาน ๒๘ ตารางวา อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทางฝั่งตะวันตก ด้านหลังวัดติดต่อกับถนนเลียบคันคลองชลประทาน สายชัยนาท–อ่างทอง โดยวัดสิงห์มีปูชนียวัตถุที่สำคัญ คือ พระพุทธฉาย สถิตอยู่หน้าพระอุโบสถ ร่ำลือกันว่า มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ซึ่งพระพุทธฉายองค์จริงดั้งเดิมสถิตอยู่ที่วัดพระพุทธฉาย อยู่ในเขตหมู่ที่ ๑ ตำบลหนองปลาไหล อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี
   
สำหรับตำนานเกี่ยวกับพระพุทธฉายนั้น ทราบกันดีว่าคือ ฉายา หรือ เงา ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งปรากฏเป็นเงาเลือนรางประทับอยู่ที่ผาหินบริเวณเชิงเขาวัดพระพุทธฉาย  มีลักษณะคล้ายพระพุทธรูปยืน ค้นพบสมัยพระเจ้าทรงธรรม  กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. ๒๑๖๓-๒๑๗๑) เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเช่นเดียวกันกับพระพุทธบาททีเดียว
   
ในอดีตกาลระบุไว้ว่า เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาที่เขาฆาฏกะ (เขาพระพุทธฉาย) เพื่อโปรดพรานฆาฏกะ ซึ่งมีสันดานโหดร้ายและมีมิจฉาทิฐิ จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ครั้นจะเสด็จกลับนายพรานได้ทูลขอให้ประทานสิ่งที่เป็นอนุสรณ์  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้กระทำพุทธปาฏิหาริย์ให้พระฉายาลักษณ์ของพระองค์ปรากฏอยู่บนผาหิน บริเวณเชิงเขาดังกล่าว มีลักษณะเป็นเส้นเงาสีแดงคล้ายสีดินเทศ สูงประมาณ ๕ เมตร มีการจัดงานนมัสการพระพุทธฉายทุกวันมาฆบูชา (วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓) ของทุกปี
   
สำหรับพระพุทธฉายของวัดสิงห์นั้นเป็นองค์พระพุทธฉายที่สร้างขึ้นโดยจำลองจากองค์จริง สันนิษฐานกันว่าสร้างขึ้นพร้อมกับวัดสิงห์ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เป็นพระพุทธรูปปางพระอิริยาบถยืน กล่าวคือ เป็นพระพุทธรูปยืน ห้อยพระหัตถ์ทั้งสองข้างลงชิดพระวรกาย ลืมพระเนตรทอดตรงไปข้างหน้าเป็นกิริยาตรวจความพร้อมเพรียงและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของพระสงฆ์สาวก
   
ตำนานความเป็นมาของปางพระอิริยาบถยืน กล่าวไว้ว่าในสมัยพุทธกาล ช่วงยามเช้าของทุก ๆ วัน ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จออกโปรดสัตว์ จะทรงหยุดยืน ณ หน้ามุขพระคันธกุฏิเสมอเพื่อทอดพระเนตรความพร้อมเพรียงของหมู่สงฆ์  ครั้นทรงเห็นว่าพระสงฆ์สาวกมีความพร้อมเพรียงและเป็นระเบียบดีแล้ว จึงเสด็จเป็นประธานนำหมู่พระสงฆ์ออกบิณฑบาต หรือไปในที่ที่ได้รับนิมนต์ไว้ นับเป็นพระพุทธจริยวัตรที่แสดงถึงพระเมตตาและกรุณายิ่งแด่พระสงฆ์ และทรงเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้นำหมู่คณะ
   
ในด้านอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของ พระพุทธฉาย ได้มีการบอกกล่าวเล่าขานกันอยู่เสมอมา บางครั้งท่านไปเข้าฝันชาวบ้านเพื่อเตือนภัย เช่นเมื่อราวปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ได้เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่จังหวัดสิงห์บุรีเนื่องจากน้ำเหนือไหลหลาก ในช่วงแรกบ้านเรือนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาแถบวัดสิงห์ น้ำยังไม่ท่วมเพราะมีเขื่อนดินกั้นเป็นแนวป้องกันอยู่ ซึ่งเขื่อนดินนี้ถูกแรงน้ำกัดเซาะลงไปเรื่อย ๆ พร้อมที่จะพังทลายลงมาตลอดเวลา
   
คืนหนึ่งพระพุทธฉายได้ไปเข้าฝันชาวบ้านรายหนึ่งซึ่งปลูกบ้านอยู่แถบตอนใต้ของวัดสิงห์ว่า พรุ่งนี้ช่วงสาย ๆ เขื่อนดินจะพังทลายลงมา เกิดน้ำท่วมขังบ้านเรือน ขอให้ระมัดระวัง พอตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น สตรีชาวบ้านรายนั้นจึงรีบเก็บข้าวของเพื่อหนีภัยน้ำท่วมเป็นการใหญ่ พร้อมทั้งแจ้งความฝันให้เพื่อนบ้านทราบ และเวลา ๐๘.๐๐ น.เศษ ของวันนั้น เขื่อนดินบริเวณแถบตอนใต้ของวัดสิงห์ก็พังทลายลงมาจริง ๆ เกิดน้ำท่วมขังบ้านเรือนตามที่พระพุทธฉาย มาบอกตามความฝัน อย่างไม่ผิดเพี้ยนเลย
   

265
สังโยชน์ 10 บารมี 10 และอุทุมพริกสูตร (1/9)

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย สำหรับต่อนี้ไป ก็โปรดฟังการปฏิบัติในพระกรรมฐาน สำหรับการปฏิบัติพระกรรมฐานที่จะพูดต่อไป

นี้ ถือว่าเป็นการปฏิบัติ สำหรับระเบียบภายใน หรือว่าโดยเฉพาะคนที่อยู่ภายในวัด แต่ว่าท่านทั้งหลายที่อยู่นอกวัดจะปฏิบัติด้วยก็ได้

ที่บอกว่าเฉพาะคนภายในวัดก็เพราะว่า ถ้าจะพูดมากไปถึงคนภายนอกก็เกรงว่าจะเห็นว่าเป็นการบังคับกันเกินไป แต่ความจริงวิธี

ปฏิบัตินี้ไม่ใช่การบังคับ เพราะว่าเราปฏิบัติเพื่อมรรคผล

คำว่ามรรคผลก็หมายถึงว่า ทุกคนต้องการนิพพาน ปัญหามีอยู่ว่า ทุกคนน่ะถ้าจะปฏิบัติเพื่อนิพพานน่ะ หวังกันได้แน่นอนไหมว่าจะ

ไปนิพพาน ทั้งนี้ก็ขอว่า บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายสร้างกำลังใจตามนี้

ตามธรรมดาของคนเดินทางไกล เราจะเดินกันแค่วันเดียว หรือชั่วครู่เดียวถึง ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่แน่นัก อาศัยที่กำลังกายกำลัง

ใจมีความฉลาด ก็สามารถจะทำทางไกลให้เป็นทางใกล้ได้ ถึงแม้ว่าเราไม่สามารถจะทำทางไกลเป็นทางใกล้ได้แต่ว่าเดินไปไม่หยุด

ยั้ง เราก็ถึงปลายทางฉันใด สำหรับพระนิพพานนี้ มีคนส่วนมากพูดว่า ไม่หวังในพระนิพพาน ก็เป็นเรื่องของท่าน เพราะว่าคนบวชเข้า

มาในพระพุทธศาสนานี่ สมเจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า มีกำลังใจไม่เสมอกันในเมื่อการที่มีกำลังใจไม่เสมอกันอย่างนี้ บรรดา

ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อาตมาก็จะไม่เข้าไปยุ่งกับกำลังใจ กำลังใจของคนที่ไหนเท่าไรเป็นเรื่องของท่าน เรามาพูดกันเรื่องของ

เราเวลานี้ทุกคนปฏิบัติมโนมยิทธิได้แล้ว และก็มีมากรายด้วยกันที่ปฏิบัติมโนมยิทธิได้ สามารถไปเห็นสวรรค์ได้ เห็นพรหมโลกได้

เห็นนิพพาน เห็นนรกเปรต อสุรกายได้ และก็บอกว่า ปรารภว่า เวลานี้จบกิจจากการศึกษาของวัดท่าซุงแล้ว แต่ความจริงบรรดาท่าน

พุทธบริษัท การปฏิบัติในมโนมยิทธิไม่ใช่จบการศึกษาทั้งนี้เพราะอะไรเพราะว่ามโนมยิทธิก็ดี สองในวิชชาสามก็ดี ที่องค์สมเด็จพระ

สัมมาสัมพุทธเจ้าให้เราปฏิบัติเพื่อเข้าถึงสามารถทำได้เห็นได้ ไปได้ เรื่องนี้เพื่อเป็นการป้องกันความสงสัยกำลังใจของเราเท่านั้น

เอง เพื่อสร้างความมั่นใจในจิตจิตเราจะได้ไม่สงสัยว่า เพราะพุทธศาสนาที่องค์สมเด็จเพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนไว้ไม่ใช่สอน

แบบเลอะเทอะเป็นการสอนตามความเป็นจริงว่ามีจริง

ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงก็ดี บรรดาภิกษุสามเณรก็ดีที่ปฏิบัติกรรมฐานอยู่ จงอย่ามีความรู้สึกว่ามโนมยิทธิที่เราได้

เป็นการพอสำหรับเราแล้ว เราทำจบแล้ว อันนั้นยังไม่จบ มโนมยิทธิที่พวกเราได้เป็นฌาณโลกีย์ ฌานโลกีย์นี่ถึงแม้ว่าเราจะพบอะไร

ได้ก็ตาม สามารถจะเห็นนิพพานได้ เรื่องนิพพานนี่ความจริงเป็นของไม่หนัก เพราะว่าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้ทรงหวง

นิพพานไว้เฉพาะพระองค์ และก็โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

เมื่อพระองค์ทรงใกล้จะนิพพานสมเด็จพระพิชิตมารก็ทรงมีพระพุทธฏีกาตรัสกับพระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ คำสอนใดที่

เราจะหวงไว้เฉพาะครู อันนั้นไม่มีอยู่สำหรับเรา เราสอนแล้วทุกอย่าง เมื่อตถาคตนิพพานไปแล้ว พระธรรมวินัยที่สอนเธอไว้ จะเป็น

ศาสดาสอนเธอ คำว่าศาสดาก็แปลว่าครู

ฉะนั้นความรู้ทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส เวลานี้เราก็มีสิทธิ์นำมาใช้ทั้งหมดแม้แต่ว่าพระนิพพานที่มีหลายคนบอกว่า เกินวิสัยสำหรับ

เราก็ช่างปะไร จะเกินวิสัยสำหรับใครก็ช่าง ก็ถือว่าไม่เกินวิสัยสำหรับเรา ถ้าชาตินี้เราไปไม่ได้ ชาติหน้าเราก็อาจจะไปได้ ชาติหน้าไป

ไม่ได้ ชาติโน้นเราก็อาจจะไปได้ แต่เราตั้งใจไปไว้ทุกชาติไม่รู้ละชาตินี้

ใครเขาจะว่าบ้าว่าบวมยังไงก็ตาม ถ้าเราบ้าเพื่อไปนิพพาน ดีหว่าบ้าไปนรก ดีกว่าบ้าลาภ บ้ายศ บ้าสรรเสริญ บ้าสุข บ้ารับสินจ้าง

รางวัลชาวบ้านชาวเมืองทำจิตให้เป็นทาส ไม่ทำใจให้เป็นไป บ้าประเภทนั้นลำบากกว่าเรามาก

ทีนี้วิธีที่เราจะเลิกละความบ้าค่อยๆ ละมัน ละทีเดียวมันหมดความบ้าไม่ได้เวลานี้เราบ้าในอะไรบ้าง บ้าในความรัก บ้าในความโลภ

บ้าในความโกรธ บ้าในความหลง และที่ว่าบ้าก็เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีการทรงตัว

ปิยโต ชายเต โสโก ปิยโต ชายเต ภยัง พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความเศร้าโศกเสียใจเกิดจากความรักภัยอันตรายเกิดจากความรัก

ทั้งๆ ที่เราฟังอยู่อย่างนี้ เราก็ยังบ้ารักกันอยู่ตลอดเวลาแต่ก็จำจะต้องบ้า เพราะว่าเกิดมาในกลุ่มของความเป็นคนบ้า ในเมื่อมันบ้ามา

แล้ว ก็ค่อยๆ คลายบ้าทีละน้อยๆ อย่าคลายมาก คลายมากมันจะเครียดเกินไป

วิธีคลายบ้าทำยังไง บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย และบรรดาภิกษุสามาเณรผู้รับฟัง ปฏิบัติตามนี้เราจะนำสังโยชน์ 10 ประการมา

เป็นเครื่องปราบความบ้า พิจารณาดูใจเราว่า ใจเราบ้าอะไรบ้างใน สังโยชน์ 10 ประการ

1.สักกายทะฏฐิ เรามีความเมาในร่างกาย ว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเราเรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเราหรือไม่ ก็รวมความว่า เรา

คิดว่าร่างกายนี้มันจะทรงตัวตลอดกาลตลอดสมัย ไม่รู้จักตาย ไม่รู้จักแก่ ไม่รู้จักป่วยน่ะ มีความรู้สึกอย่างนั้นไหม เห็นชาวบ้านเขา

แก่ไม่เคยมีความรู้สึกว่าตนเองวันหนึ่งข้างหน้ามันจะแก่ เห็นชาวบ้านเขาป่วยก็ไม่มีความรู้สึกว่า สักวันหนึ่งข้างหน้าเราอาจจะป่วย

อย่างนี้ เห็นชาวบ้านเขามีความตกระกำลำบาก มีการทุพพลภาพในร่างกาย เราก็ไม่เคยคิดว่าอาการร่างกายเราจะเป็นอย่างนี้ ใน

ที่สุด เห็นชาวบ้านเขาพลัดพรากจากของรักของชอบใจ เราก็ไม่เคยคิดว่าเราจะเป็นอย่างนี้ เห็นชาวบ้านเขาตายเราก็ไม่เคยคิดว่าเรา

จะตาย

ขอประทานอภัยเถิดขอรับ ว่าทุกท่านที่ฟังอยู่น่ะ ความบ้าอย่างนี้มีอยู่ไหมถ้ายังมีส่วนใดส่วนหนึ่งพยายามลดความบ้ามันเสีย นี่

หมายความว่าเราพยายามจะตัดความบ้า อย่าตัดให้มันมาก ตัดทีละน้อยละน้อย

และข้อที่ 2 ที่เราต้องลดความบ้าที่เราบ้า คือสงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า ในความดีในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

ความดีของพระอริยสงฆ์ สงสัยว่าพระอริยสงฆ์ไม่มีแล้วในโลก พระพุทธเจ้านิพพานไปนานแล้วเวลานี้ไม่มีพระอริยสงฆ์ ความบ้า

อย่างนี้มีสำหรับเราไหม คำสอนของพระพุทธเจ้าที่บอกว่า ถ้าสามารถฝึกสองในวิชชาสามได้ ฝึกมโนมยิทธิได้ ฝึกห้าในอภิญญาหก

ได้เป็นต้น อย่างนี้ถ้อยคำใดที่องค์สมเด็จพระทศพลสอนไว้

เราฝึกได้เราไม่สงสัยติตาม พระพุทธเจ้าบอกสวรรค์มีจริงไหม เราก็ต้องไปสวรรค์ พรหมโลกมีจริกไหมเราก็ไปพรหมโลก พระ

นิพพานมีจริงไหม เราก็ไปนิพพาน นรก เปรต อสุรกายมีจริงไหมไปที่นั่น ใครเขาพูดว่าอะไรมีที่ไหนยังไม่เคยไป ไปที่นั่น ไปมันไม่

ยาก อาการอย่างนี้เราฝึกให้มันเข้าถึงเสียจริงๆ จะได้ลดความบ้าคือความสงสัย แต่ว่าบางทีเราก็ไม่บ้าคนเดียวนะ คนอื่นเขาดี เราไป

หาคนอื่นเขาบ้าเสียด้วย เพราะเราทำไม่ได้ อย่างนี้ไม่ควร ความบ้าประเภทนี้ต้องลด ค่อยๆ ลดลงไปด้วยเหตุผลแล้วก็วิธีลดยังไงจะ

ว่ากันไปทีหลัง

ทีนี้สังโยชน์ข้อที่ 3 นั่นคือไม่เห็นชอบด้วยศีล ก็หมายความว่า ขึ้นชื่อว่าการปฏิบัติในศีลนี่ วาจาดี กายดีต้องรวมทั้งใจดีด้วย ศีลถ้าที

แต่กาย วาจา ไม่เป็นเรื่อง คือก็ต้องใจดีสำหรับฆราวาส ชาวบ้าน ใจคิดจะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เมื่อใจคิดจะไม่ฆ่าสัตว์ มือมันก็ไม่ห่า

ปากมันก็ไม่พูดจะฆ่า ใจคิดว่าจะไม่ลักไม่ขโมยของใครเมื่อใจคิดแล้ว ปากมันก็ไม่พูดเพื่อการลักขโมย มือมันก็ไม่ทำ ใจคิดว่าเราจะ

ไม่ละเมิดความรักของบุคคลอื่น เมื่อใจคิดอย่างนั้น ปากมันก็ไม่เกี้ยวพาราสี ไม่พูดกายก็ไม่ทำ ใจดีว่าเราจะทรงสัจจะวาจาอย่าง

เดียว จะไม่พูดวาจาไม่จริง เมื่อใจคิดปากมันก็ไม่พูดอย่างนั้น ใจคิดว่าเราจะไม่ดื่มสุราและเมรัย ใจคิดอย่างนี้ ปากมันก็ไม่ดื่ม นี่ถ้า

เราจะละความบ้า

สำหรับฆราวาส สำหรับสามเณรต้องศีล 10 พร้อมด้วยเสขิยวัตรอีก 75 แล้วก็พระต้องพร้อมไปด้วยสิกขาบท 227

รวมทั้งอภิสมาจารด้วย บวกธรรมะด้วย พระต้องมีมาก ถ้าเราทำไม่ได้อย่างนี้ เราก็บ้าในสังโยชน์ข้อที่ 3 ถ้าเราละความบ้า ค่อยๆ

คลายความบ้าลงมาเสียได้แล้ว ไม่ช้าความบ้าก็สลายตัวไป รวมความง่ายๆ ว่า อันดับแรก ถ้าจิตใจเราพยายามควบคุมสังโยชน์ 3

ประการไม่ให้เกิดกับใจนั่นมันแน่นอน นั่นก็คือว่า

1.สักกายทิฏฐิ มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้มันต้องตาย เราจะไม่เมาในร่างายร่างกายมันจะเป็นยังไงก็ช่างเห็ฯร่างกายใครร่างกายนั้นก็

ตาย เห็นร่างกาใครเห็นว่าร่างกายนี้ก็ต้องทรุดโทรม ร่างกายเราร่างกายเขาก็ป่วยไข้ไม่สบาย ร่างกายเราร่างกายเขาก็ประกอบไป

ด้วยความทุกข์ ร่างกายเราร่างกาเขาไม่ช้าก็ตายเช่นเดียวกัน ความเมาในร่างกายลดตัวลง ก็รวมว่าความบ้าและความเมาในร่างกาย

ยังไม่หมดนะ มีความรู้สึกว่าจะต้องตาย แต่ก็ยังรักร่างกายอยู่ แต่จิตคิดว่าร่างกายนี้สักวันหนึ่งมันก็ต้องพังแน่ ก็มีอยู่เหมือนกัน ไม่

เมากินไป ยังมีความรักในมัน แต่ว่าคิดว่ามันจะตาย เลยไม่ประมาทในการปฏิบัติในด้านของความดี

หลังจากนั้น ก็เอาปัญญาเข้า พิจารณาความดีขององค์สมเด็จพระชินสีห์และก็ความดีของพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระ

สัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งความดีของพระอริยสงฆ์ ใคร่ครวญด้วยความเป็นจริง ตกลงว่าทั้งสามสรณคมน์นี้ คือ ไตรสรณคมน์ ได้แก่

พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ยอมรับว่าท่านดีแน่ ไม่มีการสงสัยในพระไตรสรณคมน์ทั้งสามประการ

หลังจากนั้นจับศีลให้เคร่งครัด ปฏิบัติในศีลยิ่งกว่าชีวิต ถือว่าตัวตายดีกว่าศีลขาด ค่อยนะๆ ถ้าพูดย่างนี้แล้วจะมีใครมาลอง เอ๊ะ ที่

เค้าว่าตัวตายดีกว่าศีลขาดไปลองตีลองด่าเข้า ระวังๆ นะ เพราะว่าทุกคนกำลังฝึกเพื่อย่างนี้ แต่ยังไม่ถึงอย่างนั้น ด่าเบาๆ อาจจะทน

ได้ ด่าแรงๆ ด่าบ่อยๆ อาจจะทนไม่ไหวอย่างนี้ก็ได้ตีเบาๆ อาจจะทนได้ แต่ตีแรงๆ สปริงแข็งสปริงขามันจะเกิด อย่าไปยุ่งกัน เพราะ

ว่าทุกคนกำลังฝึก การกำลังฝึกนี่ไม่ได้หมายถึงผล

เป็นอันว่า องค์สมเด็จพระทศพลตรัสว่า บุคคลใดบรรเทาความเมาในชีวิตคือร่างกาย มีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้มันจะต้องตาย แต่ว่า

ยังรักร่างกายอยู่ ไม่ใช่ไม่รักอย่าไปเคาะ อย่าไปตี อย่าไปแตะ อย่าไปต้องกันเข้า

แล้วก็ประการที่สอง มีความไม่สงสัยในคุณพระไตรสรณคมน์ทั้งสามประการ

ประการที่สามมีศีลครบถ้วนตามสังโยชน์

ท่านกล่าวว่า ท่านผู้ปฏิบัติอย่างนี้ถือว่าเป็นพระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามีแต่ว่าขอบรรดาท่านภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา เมื่อ

ฟังไปแล้วก็อย่าเมากายเกินไปนะ อ่านตามหนังสือแล้ว หนังสือนี่เขาก็เขียนเฉพาะตามความเข้าใจของบุคคล ผู้เขียน จงอย่าลืมว่า

การคุยเรื่องขนม มันไม่มีความรู้สึกจริงเท่ากินขนม ฉะนั้นหนังสือเขาเขียนว่า ถ้าระวังสังโยชน์สามประการคือ สักกายทิฏฐิ มีความ

รู้สึกว่า ต้องตาย วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในคุณพระรัตนตรัย สีลัพพตปรามาส รักษาศีลเคร่งครัดเป็นพระโสดาปัน หรือสกิทาคามี อันนี้ยัง

ถ้านักปฏิบัติก็คือ คนกินแกงจริงๆ ต้องบอกวายัง ยังก่อน ทำไมจึงว่ายัง ก็เพราะว่ายังไม่เป็นจริงๆ ถ้าอารมณ์แค่นี้ละก็ ยังไม่เรียกว่า

พระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามี ต้องเรียกว่าเป็นผู้เข้าถึงไตรสรณคมน์

สำหรับท่านที่จะเป็นพระโสดาบันจริงๆ ต้องมีความเคารพในพระพุทธเจ้าจริง ในพระธรรมจริง ในพระอริยสงฆ์จริงต้องปฏิบัติจิต จน

กระทั่งจิตมีอารมณ์รักในพระนิพพานอย่างยิ่ง บรรดาจะเป็นชายก็ดี หญิงก็ดี ภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกาก็ตาม ทำความดีแล้วจิต

คิดไว้อยู่เสมอว่าความดีที่เราทำแล้ว ตายเมื่อไรเราต้องการจุดเดียวคือนิพพาน อารมณ์นี้ต้องมั่นคงแล้วก็ใจชาลงจากความรักใน

ระหว่างเพศ ชาเล็กน้อยนะคือไม่ค่อยจะแรงเหมือนเดิมชาจากกำลังของความร่ำรวย ใจชาลงจากกำลังของความโกรธ ใจชาจาก

กำลังของความหลง มันชาเล็กน้อยไม่ชามาก

หมายความว่าอารมณ์มันเกิดช้าไปนิดหนึ่ง พอเกิดแล้วอารมณ์ก็มันเฉื่อยไปหน่อยหนึ่ง ความรัก ความอยากรวย ความโกรธ ความ

หลง ยังมีครบถ้วนบริบูรณ์ แต่ว่ากำลังมันช้าไป

และกำลังใจของท่านผู้นั้นมีความรู้สึกอยู่บ้างว่า ในยามว่าง รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับกฏธรรมดาทั้งหมดแต่ว่าะให้ละได้ทั้ง

หมดน่ะยังไม่จริง ยังละไม่ได้หมด แต่คิดว่าธรรมดามันเป็นอย่างนี้นี่นะ

เราเกิดมาเพื่อชาวบ้านเขาด่า ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า นัตถิ โลเก อนินทิโต พระพุทธเจ้าบอกว่า คนที่เกิดมาในโลกนี้ไม่ถูกด่าถูกนิ

นทาน่ะไม่มีจำไว้ว่า เราเกิดมาเพื่อถูกชาวบ้านเขาด่า เขาอยากด่าก็เชิญด่า แต่ระวังนะพระโสดาบันนี่ด่าท่านมากๆ ไม่ได้หรอก ท่าน

มีจิตเมตตามาก เกรงว่าจะขาดทุนดีไม่ดีท่านด่าให้มั่ง

ก็รวมความว่า ถ้าจะเป็นพระโสดาบันจริงๆ จิตต้องรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ อารมณ์เริ่มเฉื่อยในความต้องการ นั่นก็คือความรักยังมี

อยู่ครบถ้วนบริบูรณ์แต่เฉื่อยไปหน่อย ความโกรธยังมีช้าไปนิดความหลงยังมีจืดไปหน่อย อย่างนี้ท่านเรียกว่าพระโสดาบัน

ฟังดูจริงๆ แล้วก็เป็นของไม่ยาก ทีนี้วันนี้เราก็มาพูดกันแค่พระโสดาบันก่อน ในเมื่อการศึกษาเขาศึกษากันในพระพุทธศาสนา ซึ่ง

พระพุทธเจ้ายืนยันไว้มาก ว่าเรื่องบารมี 10 นี่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ถ้าทีบารมีไม่ครบถ้วนเราจะเป็นพระโสดาบันไม่ได้ ถ้าบารมีครบ

ถ้วน เราก็จะเป็นพระอริยเจ้า คือตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปได้ อันนี้บรรดาท่านพุทธบริษํทพระเณรทุกองค์ที่ได้มโนมยิทธิแล้วสังวรให้

มาก คำว่าสังวรคือระวังให้มาก อย่าไปหลงฌานสมาบัติเกินไป ฌานสมาบัติ

นั่นควรทำไม่ควรละ แต่ฌานสมาบัติน่ะ เป็นแต่เพียงตัวระงับกิเลสเท่านั้น ถ้าเผลอเมื่อไร มันก็ฟูเมื่อนั้นผมน่ะ นอนๆ แล้วก็แว่วๆ

เสียง บางท่านบอกว่า เวลานี้ฉันทรงอยู่ในฌานสี่บ้าง ฉันทรงอยู่ในฌานสามบ้าง กำลังใจฉันมีสภาพแจ่มใสบ้าง อันนี้ระวังๆ มันแจ่ม

ในขนาดไหน ถ้าแจ่มใสขนาดเป็นพระอรหันต์ละก็ไม่เป็นไรแต่ส่วนมากที่แจ่มใสมันเป็นการแจ่มใสของฌานโลกีย์ ระวังให้ดีนะ

ฉะนั้นท่านทั้งหลายจงศึกษาอย่างนี้ ถ้าจิตเป็นฌานทรงฌานไว้เป็นของดี แต่ยังดีไม่พอ ยังไม่พ้นนรก สิ่งที่จะทำให้เราพ้นนรกก็คือ

สังโยชน์ 10 ตัดให้ได้ แต่การที่จะตัดสังโยชน์ 10 ต้องประกอบไปด้วยองค์คุณทั้ง 10 ประการก่อน สังโยชน์ที่เราจะตัด 10 แต่กำลัง

ช่วยการตัดก็10 เหมือนกัน ที่เรียกว่าบารมี 10 บารมีนี่ท่านแปลว่าเต็ม เรียนมาว่าอย่างนั้น

แต่ว่า ศัพท์ของพระพุทธเจ้า ได้ฟังมา ได้ฟังมีคนเขาพูดว่า บารมีพระพุทธเจ้าท่านแปลว่ากำลังใจเต็มจำให้ดีนะ เขาถามว่าที่วัดนี้

แปลบารมีว่ายังไงก็ตอบเขาบอกว่า ที่วัดนี้แปลบารมีว่า กำลังใจเต็ม กำลังใจให้มันเต็มทั้ง 10 อย่าง คือ เต็มในการให้ทาน เต็ม

พร้อมในการรักษาศีล เต็มพร้อมในการถือบวช เต็มพร้อมในด้านของปัญญาค้นคว้าหาความเป็นจริง เต็มพร้อมในด้านของความ

พียรเป็นการกำจัดอุปสรรค เต็มพร้อมในขันติคือ การอดทนต่ออารมณ์ต่างๆ เต็มพร้อมในสัจจะ คือทรงความจริงไม่ท้อถอย ไม่ถอย

หลัง ไม่สับปลับ เต็มพร้อมในอธิษฐานคือตั้งอารมณ์ไว้ให้มันแน่นอน เต็มพร้อมในเมตตาคือความรัก ไม่มีความเลวเข้ามาผสม

ไม่มีความโหดร้ายเข้ามาผสม เต็มพร้อมในอุเบกขาคือการวางเฉย แล้วก็ค่อยฟังกันต่อไป

ตานี้ก็มานั่งคุยกัน มาคุยสักนิด มองดูเวลาเหลือประมาณ 5 นาที ได้มั้ย 4 นาที ก็มาคุยกันสักหน่อยว่าทานบารมีนี่ ความจริงบารมี

ทั้ง 10 ประการนะตื่นขึ้นมาเช้าจะต้องเขียนและท่องจำไว้ว่า บารมี 10 ประการน่ะมีอะไร คือ

1.ทาน การให้

2.ศีล การรักษา

3.เนกขัมมะ การอดใจในนิวรณ์ 5 ประการขั้นต้น ขั้นต้นนะ

4.ปัญญา รู้แจ้งเห็นจริง ไม่เมาในร่างกายเราเขามีมั้ย

5.วิริยะ ความเพียรต่อสู้กับอุปสรรคไม่ท้อถอย

6.ขันติ ความอดทนต่ออารมณ์ต่างๆ

7.สัจจะ มีความจริงมุ่งหน้าเฉพาะพระนิพพาน

8.อธิษฐาน ตั้งใจไว้ตรงไม่หลีกเลี่ยงเฉพาะพระนิพพาน

9.เมตตา หน้าตาชื่นบาน เห็นคนและสัตว์เป็นมิตร แล้วก็ท้าย

10.อุเบกขา จิตคิดวางเฉยไม่โต้ตอบ ไม่รุกราน ไม่ซ้ำเติมใคร

กำลังใจทั้ง 10 ประการนี้แหละบรรดาท่านภิกษุสามเณรทั้งหลาย และอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย ถ้าไม่สามารถจะทรงได้ทั้ง 10 มโน

มยิทธิที่ท่านได้น่ะมันไม่มีผลหรอก ผลน่ะมีเหมือนกัน แต่มันจะมีตรงไหนล่ะ มีตรงที่ได้ฌานโลกีย์แต่ไม่ช้าฌานนี่มันจะสลายตัว

อารมณ์เสื่อมมันจะเกิด คือความดีมันไม่ทรงตัวถ้าความดีไม่ทรงตัวแล้วเป็นยังไง ขั้นสุดท้ายสิ่งที่เราจะไปก็คือนรก เพราะอุปาทาน

มันจะกินเหลือเวลาอีก 3 นาที ขอพูดเรื่องสังโยชน์ สังโยชน์นี่มี 10 ต้องระมัดระวังให้มาก อันดับแรกตัดสามให้ได้ก่อน ต้องให้ได้

แน่นอน อย่าสักแต่ว่าทำ เรื่องฌานโลกีย์ได้เท่าไรก็ตาม แต่สังโยชน์สามยังไม่ได้นี่ ต้องมีความรู้สึกว่าเอาดีไม่ได้เรายังไม่เข้าถึง

ความดี แต่ความดีที่ตัดสังโยชน์สามได้ก็เป็นความดีเล็กน้อย

สังโยชน์อีกเจ็ดก็คือ กามฉันทะ การตัดอารมณ์ในกามคุณ ปฏิฆะ การตัดอารมณ์กระทบใจ ถ้าตัดได้อีกสองเป็นพระอนาคามี ตัดได้

อีกห้าคือไม่หลงในรูปฌาน และไม่หลงใน อรูปฌาน กันนัก ระวังให้ดีมันจะนรกไป

แล้วก็ไม่หลงใน มานะ การถือตัวถือตน อุทธัจจะ ตัดอารมณ์ฟุ้งซ่าน มุ่งพระนิพพานเป็นที่ไป อวิชชา ตัดกำลังใจที่เห็นว่ามนุษย์โลก

เทวโลก พรหมโลก พรหมโลกเป็นของดีให้สิ้นไปกำลังใจมีอารมณ์เดียวคือนิพพาน

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ถ้าทำได้อย่างนี้นะจะเป็นอรหันต์อย่าไปมัวเมาแต่ฌานโลกีย์เกินไปบางท่านบอกสำรวจใจ

แหม.. แจ่มใส ใสแจ๋วไอ้ใสนั่นมันไม่ได้ใสในสภาพของพระอริยเจ้า มันเป็นการใสในขั้นของฌานโลกีย์ จะใสขนาดไหนก็ตามที ถึง

แม้ว่าจะเป็นพระอรหันต์ จำไว้ว่า ถ้าเรายังมีร่างกายเพียงใด เรายังไม่ดีเท่านั้น เราจะดีได้จริงๆ ก็คือ ร่างกายหมดไป เข้าพระนิพพาน

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน มองดุเวลาพอดีๆ สำหรับตอนนี้ก็ยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์

พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี

ขอบคุณและที่มา
http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=1938:-10--10--1-&catid=37:2010-03-02-03-52-18&Itemid=2

266
มูลนิธิแสง-ไซ้กี เหตระกูลร่วมเฉลิมพระเกียรติในหลวง จัดพิมพ์หนังสือ "5 นักปราชญ์แห่งยุค"



หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ได้จัดพิมพ์หนังสือ "ร่วมเฉลิมพระเกียรติกับ 5 นักปราชญ์แห่งยุค" เนื่องในโอกาสครบรอบการก่อตั้งหนังสือพิมพ์เดลินิวส์เป็นปีที่ 47 ในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554 ซึ่งเป็นบทความที่เขียนโดย อ.มีชัย ฤชุพันธุ์, ดร.วิษณุ เครืองาม, ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ, รศ.นรนิติ เศรษฐบุตร และ ศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ที่ถ่ายทอดความรู้สึกของตนเอง ต่อ พระราชกรณียกิจ พระอุตสาหะ และพระอัจฉริยภาพของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ท่านใดที่สนใจหนังสือเล่มนี้ ให้ส่งแสตมป์ราคา 20 บาท พร้อมที่อยู่ของท่าน มาที่ มูลนิธิแสง-ไซ้กี เหตระกูล เลขที่ 1/4 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ 10210 ทางมูลนิธิแสง-ไซ้กี เหตระกูล จะจัดส่งหนังสือไปให้.


http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=616&contentID=129680

267
ธรรมชาติแจ้งเตือน!“แผ่นดินไหว”ขยับใกล้เราแล้ว
วันอังคาร ที่ 29 มีนาคม 2554 เวลา 11:05 น 


“แผ่นดินไหว” รุนแรง อากาศแปรปรวน เราเตรียมตัวรับมือกันแล้วหรือยัง!!

หลังจากมีประกาศแจ้งเตือนแผ่นดินไหวล่าสุด ขนาด 6.5ริกเตอร์ ที่จังหวัดมิยากิ ของประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา และก่อนหน้านี้ใกล้บ้านเรา ก็มีแผ่นดินไหวขนาด   6.7 ริกเตอร์  ในประเทศพม่า  ความลึก 10 กิโลเมตร ห่างจากทางทิศเหนือ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ประมาณ 30 กิโลเมตร เหตุเกิดประมาณเวลา 20.55 น. วันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา จากนั้นตั้งแต่กลางดึกจนถึงรุ่งเช้าวันที่ 25 มี.ค. ยังได้เกิดอาฟเตอร์ช็อก ติดตามมาอีกหลายครั้ง

ความเสียหายเกิดขึ้นมีทั้งที่ประเทศพม่าและทางภาคเหนือของไทย รวมทั้งมีผู้เสียชีวิตแล้ว  กว่า150 คน โดยความเสียหายในประเทศไทยเกิดขึ้นตามจังหวัดภาคเหนือ โดยเฉพาะ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ทั้งอาคารโรงพยาบาลเกิดรอยร้าว บ้านเรือน โบราณสถานเก่าแก่บางส่วนเสียหาย นอกจากนี้ยังเกิดรอยแยกที่ถนนลาดยางเป็นแนวยาว

นอกจากจะเกิดเหตุแผ่นดินไหวในประเทศพม่าแล้ว ตอนนี้ก็เพิ่งจะเกิดความผิดปกติของธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเกิดอากาศหนาวเย็นขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน ในภาคเหนือ และกรุงเทพฯทั้งที่จะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว ติดตามมาด้วยพายุฝนถล่มกรุงเทพมหานครแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย  ติดตามมาด้วยเหตุพายุฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมที่  ชุมพร  นครศรีธรรมราช  สุราษฏร์ธานี พัทลุง มีหินถล่มถล่มในพื้นที่ ฯลฯ ถึงแม้เหตุการณ์ภัยธรรมชาติจะเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจหยุดยั้งได้ แต่เราก็สามารถเรียนรู้และเตรียมพร้อมรับมือได้เช่นกัน  เรื่องนี้ทางนสพ.เดลินิวส์ ได้เห็นถึงความสำคัญจึงพยายามเกาะติดนำเสนอข้อมูลเพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้อย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้ช่วงปลายปี 53 ที่ผ่านมา นสพ.เดลินิวส์ ได้ร่วมกิจกรรมกับทางภาครัฐและเอกชน  อาทิ มูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ, เว็บพลังจิต.คอม และมหาวิทยาลัยศรีปทุม ฯลฯ จัดสัมมนาเชิงวิชาการ เรื่อง “เจาะลึกภัยพิบัติ พลิกวิกฤติให้เป็นทางรอด” เพื่อให้รับรู้เรื่องราวของภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมไปถึงการเตรียมพร้อมรับมือในเบื้องต้นของประชาชนจะต้องทำอย่างไรบ้าง ??

ลำดับเหตุการณ์ภัยพิบัติใหญ่ในโลก เพียงแค่เริ่มต้นปี พ.ศ.2554 เราก็ได้รับทราบปรากฏภัยธรรมชาติแบบรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ไล่ตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ.54 แผ่นดินไหว 6.3 ริคเตอร์ ที่เมืองไคร์สเชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ จากนั้นตามด้วยแผ่นดินไหว  5.8 ริคเตอร์ ที่เมืองยูนาน ประเทศจีน  และวันที่ 11 มี.ค.54 แผ่นดินไหวใหญ่ 8.9 ริคเตอร์ ในมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศญี่ปุ่น 130 กิโลเมตร แต่แรงสั่นสะเทือนได้ส่งผลใหญ่หลวงสร้างความตื่นตะลึงให้กับคนทั้งโลก กับภาพคลื่นยักษ์สึนามิ ซัดถล่มชายฝั่งตะวันออกฉียงเหนือของประเทศญี่ปุ่น พังพินาศย่อยยับ ผู้คนเสียชีวิตสูญหายนับหมื่น ไร้ที่อยู่อาศัยหลายแสนคน

และที่ใกล้บ้านเราเหตุแผ่นดินไหว ในประเทศพม่า จุดศูนย์กลางห่างจากประเทศไทยเพียงนิดเดียวเท่านั้น นอกจากจะสร้างความตื่นเต้นให้กับชาวไทยทั่วไปแล้ว ยังช่วยเป็นการกระตุ้นเตือนให้หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น เพราะภัยพิบัติแผ่นดินไหว นอกจากจะขยับเข้ามาใกล้บ้านเราแล้วยังมีความรุนแรงมากขึ้นอีก อย่างไรก็ดีจากการตรวจสอบข้อมูล  ปรากฏการณ์แผ่นดินไหว เกิดจากเคลื่อนตัวโดยฉับพลันของเปลือกโลกบริเวณขอบของแผ่นเปลือกโลกที่แนวแผ่นดินไหว เนื่องจากหินในชั้นหลอมละลายที่อยู่ใต้เปลือกโลกได้รับความร้อนจากแกนโลก และลอยตัวผลักดันให้เปลือกโลกแต่ละชิ้นมีการเคลื่อนที่ไปในทิศทางต่าง ๆ ที่มีการสะสมพลังงานไว้ เมื่อพลังงานมีมากจึงชนและเสียดสีกันหรือแยกออกจากกัน โดยการสะสมของพลังงานที่เปลือกโลกจะถูกส่งผ่านไปยังเปลือกพื้นโลกของทวีป รอยร้าวของหินใต้พื้นโลกเรียกว่า “รอยเลื่อน” และหากรอยเลื่อนที่มีอยู่ได้รับแรงอัดมาก ๆ ก็จะทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้เช่นเดียวกัน

สำหรับรอยเลื่อนภายในประเทศไทย เกือบทั้งหมดส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคเหนือและภาคตะวันตก โดยรอยเลื่อนที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทย มีประมาณ 9 แห่ง เช่น รอยเลื่อนเชียงแสน, รอยเลื่อนแพร่, รอยเลื่อนแม่ทา, รอยเลื่อนเถิน,รอยเลื่อนเมย-อุทัยธานี, รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์, รอยเลื่อนเจดีย์สามองค์,รอยเลื่อนระนอง  และรอยเลื่อนคลองมะรุย

ในเมื่อสัญญานเตือนภัยทางธรรมชาติ ขยับเข้ามาใกล้ประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นปัญหาเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติไม่ใช่เรื่องไกลตัวเสียแล้ว บทเรียนหลายเรื่องทางธรรมชาติ ในประเทศไทย เคยเห็นมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์สึนามิ คลื่นยักษ์ซัดถล่ม จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน ของประเทศไทย เมื่อปลายปี2547  หรือสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ทั่วประเทศเมื่อปีที่แล้ว

ดังนั้น ถึงเวลาแล้วหรือยังกับการเตรียมพร้อมรับมือ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมไปถึงประชาชนเองก็ต้องหมั่นรับรู้ติดตามข้อมูลข่าวสารว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกปัจจุบัน !!
                       
ทีมข่าวเฉพาะกิจ : รายงาน

ต้นน้ำ เรียบเรียง
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=656&contentId=129678

268
พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร


มีบางคนตั้งข้อสังเกตุว่า พระพุทธศาสนา มีลักษณะคล้ายกับวิทยาศาสตร์ เช่น สนใจศึกษาธรรมชาติยึดหลักของเหตุผล และท้าทายต่อการพิสูจน์ แต่หากจะพิจรณาให้รอบคอบ ก็น่าจะกล่าวในเชิงกลับกันมากกว่า วิทยาศาสตร์มีลักษณะคล้ายกับพระพุทธศาสนา ทั้งนี้เพราะวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่เพิ่งอุบัติขึ้ นมาในโลกเพียงไม่กี่ร้อยปี ในขณะที่พระพุทธศาสนานั้นเกิดมาเกือบ 2600 ปีแล้ว หลักการของพระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์เหมือนกัน คล้ายคลึงกัน หรือแตกต่างกันอย่างไร จะได้กล่าวถึงรายละเอียดต่อไป โดยจะเริ่มต้นที่หลักการของวิทยาศาสตร์ก่อน

หลักการของวิทยาศาสตร์

ก่อนจะกล่าวถึงกลักการของวิทยาศาสตร์ จำเป็นจะต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันในเรื่อง ความหมายของ วิทยาศาสตร์ ว่าคลอบคลุมประเด็นใดบ้าง

คำว่า วิทยาศาสตร์ เป็นคำไทย แปลมาจากคำภาษาอังกฤษว่า Science ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษาละตินว่า หรือจากภาษากรีกว่า แปลว่า รู้ หรือความรู้ ความหมายอันเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน คือหมายถึง ความรู้เรื่องธรรมชาติ ซึ่งหมายถึง ทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่ในจักรวาล ตั้งแต่สิ่งที่เล็กมากจนตามองไม่เห็น เช่น เชื้อโรคไปจนกระทั่งสิ่งที่ใหญ่มาก เช่น โลก ดวงอาทิตย์ ดวงดาว ตลอดจนจักรวาล ซึ่งประกอบด้วยดวงดาวทั้งหมด ธรรมชาติ ยังคลอบคลุมทั้งสิ่งที่ไม่มีชีวิต เช่น ก้อนหิน ดิน ทราย ซึ่งเป็นวัตถุเรียกกันว่า สสาร และที่มีสภาพเป็น พลังงาน เช่นความร้อน แสงสว่าง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น และสิ่งมีชีวิตทั้งหมด เช่นพืช สัตว์ เชื้อรา ไวรัส รามทั้งตัวมนุษย์เอง

วิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์แห่ง วัตถุ เพราะแบ่งธรรมชาติออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิต หรื่อสิ่งไม่มีชีวิต กล่าวคือ ทุกสรรพสิ่งย่อมประกอบด้วย 2 องค์ประกอบ คือ

1. องค์ประกอบที่เป็นสสาร คือส่านที่เป็นตัวตน ถ้ามีขนาดใหญ่พอก็จะจับตัวได้ กินเนื้อที่ มีมวล มีน้ำหนัก

2. องค์ประกอบที่เป็นพลังงาน คือส่วนที่ไม่อาจจะจับต้องได้ สามารถแปรเปลี่ยนได้ โดยอาจเปลี่ยนเป็น งาน ได้ เช่น พลังงานไฟฟ้า สามารถผ่านเข้าสู่มอเตอร์ขับเคลื่อนรถยนต์ได้

จากองค์ประกอบทั้ง 2 ประกอบนี้วิทยาศาสตร์สามารถอธิบายการเกิดปรากฎการณ์ต ่างๆได้อย่างกว้างขวาง เช่นการที่อากาศร้อนอบอ้าวก่อนฝนตก เกิดจากการที่ก้อนเมฆ ซึ่งประกอบด้วยละอองน้ำ ซึ่งเป็นสสาร คายความร้อนแฝง ซึ่งเป็นพลังงาน ออกมา หรือการที่แสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นพลังงาน ส่องกระทบใบไม้ ซึ่งมีสารสีเขียวเรียกว่า คลอโรฟิล จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น โดยใบไม้ จะสามารถดูดเอาก๊าซคาบอนไดอ๊อกไซด์ จากอากาศมารวมกับน้ำ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นก๊าซอ๊อกซิเจนและแป้งซึ่งพืชใช้เป ็นอาหารเรียกว่าสังเคราะห์แสง แนวความคิดเกี่ยวกับสสาร และพลังงานสามารถอธิบายปรากฎการณ์ใกล้ตัวเช่นการงอกข องเมล็ดถั่ว ไปจนกระทั่งประสบการณ์ไกลตัว เช่นการเคลื่อนที่ของดวงดาวในจักรวาลได้

อย่างไรก็ดียังมีปรากฎการณ์อีกเป็นอันมากที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตและจิตใจของมนุษย์ เช่นการเวียนว่ายตาย เกิด การระลึกชาติได้ กฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว การติดต่อกันโดยใช้พลังจิต การใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายวัตถุ เป็นต้น

269
บทความ บทกวี / ผีสางคางแดง
« เมื่อ: 19 มี.ค. 2554, 08:43:15 »
ผีสางคางแดง : ตอนที่ 1
วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 15:31:48 น.


เมื่อผมเล่นผีถ้วยแก้ว
 
ตามปกติผมไม่ค่อยสนใจเรื่องผีเปรตอะไรและไม่ค่อยอยากเขียนเรื่องประเภทนี้ด้วย  ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมมันคนกลัวผี เขียนไปก็ขนลุกไป ไม่คุ้นไม่เคยเลยพับผ่า
 
                ผมไม่เคยโดนผีหลอก นึกไม่ออกว่าถ้าถูกมันหลอกเข้าจะเป็นอย่างไร  เขาว่าคนถูกผีหลอกจะจับไข้หัวโกร๋นพอๆ กับคนป่วยเป็นโรคมะเร็ง  เพราะเป็นคนกลัวผี ผมจึงสวดมนต์และแผ่เมตตาเป็นประจำ
 
                มนต์บทที่ผมสวดประจำคือ กรณียเมตตสูตร (สูตรว่าด้วยเมตตา)
 
                พระพุทธเจ้าตรัสบอกให้พระสวด  พระจำนวนร้อยกราบทูลลาพระพุทธเจ้าไปจำพรรษาในป่าแห่งหนึ่ง ถูกผีหลอกหลอนจนอยู่ไม่ได้ กลับไปหาพระพุทธองค์  พระพุทธองค์ตรัสว่า ′พวกเธอจงเอาอาวุธไปด้วยสิ′  เมื่อพระเหล่านั้นกราบทูลถามว่า ′จะให้เอาอาวุธชนิดไหนไป พระเจ้าข้า′
 
                พระองค์ตรัสว่า อาวุธที่ว่านี้มิใช่ปืนผาหน้าไม้ หมายถึง′การแผ่เมตตา′  ว่าแล้วพระองค์ก็ตรัสสอนให้พระเหล่านั้นสวดมนต์บทที่เรียกว่า ′กรณียเมตตสูตร′
 
                เมื่อพวกพระกลับไปยังป่าแห่งเดิม พากันสวดมนต์ที่พระพุทธองค์ประทานมาทุกวันทุกคืน  พวกผีหรือรุกขเทวดาที่เคยหลอกหลอนก็กลับมีจิตรักใคร่ในพระเหล่านั้นไม่มาหลอกอีกต่อไป

                นี่คือประวัติความเป็นมาของบทสวดมนต์บทนี้  ผมได้อ่านเข้าก็รู้สึกประทับใจและมีความเชื่อมั่นว่า มนต์บทนี้คงต้อง ขลังŽ แน่นอน จึงสวดเป็นประจำก่อนนอน  หลังจากสวดจบก็แผ่เมตตาอีกทีหนึ่งแล้วจึงนอน
 
                อาจจะเพราะอย่างนี้ก็ได้ ผีมันจึงไม่หลอกผม (แฟนคนไหนอยากได้มนต์บทนี้ไปสวดก็ขอมาได้ ยาวนะบอกไว้ก่อน)
                ผมเคยพูดไว้ว่าการติดต่อกับผีหรือเทวดาสามารถทำได้ ๓ ทางหนึ่งในสามทางนั้นคือ การเชิญผีลงถ้วยแก้ว (อาทาสปัญหา) หรือที่ไทยๆ เรียกว่า ′เล่นผีถ้วยแก้ว′ นั่นเอง
 
                ผีถ้วยแก้วเขาเล่นกันยังไง แต่ก่อนผมก็ไม่เคยรู้เรื่อง มารู้เอาสมัยบวชพระ แถมยังอยู่ต่างประเทศด้วย  ลูกศิษย์ที่เป็นนักเรียนไทยในอังกฤษชวนเชิญผีถ้วยแก้ว ผมถามว่าทำยังไง  ลูกศิษย์มันบอกว่าไปหากระดานแข็งๆ มาแผ่นใหญ่แผ่นหนึ่งกับถ้วยมาใบหนึ่งแล้วมันจะทำให้ดู  เราก็เตรียมของที่เขาต้องการมาให้
 
                เจ้าลูกศิษย์เธอก็เอาปากกาเมจิกเขียนตัวอักษรไทยตั้งแต่ก ไก่ ถึง ฮ นกฮูก รวมทั้งสระทั้งหมดใส่ไว้เป็นช่องๆ  เสร็จแล้วก็เอาถ้วยเล็กๆ มาใบหนึ่งวางไว้ตรงกลาง (ลูกศิษย์บอกว่าไม่ใช้ถ้วย จะใช้เหรียญแทนก็ได้)
 
                เสร็จแล้วเอาธูปมาดอกหนึ่ง จุดไฟแล้วนำไปปักไว้กลางแจ้งทำนองขอเชิญผีที่ต้องการติดต่อเข้ามา อะไรทำนองนั้นแหละ
 
                ลูกศิษย์ถามผมว่าจะเชิญใคร  ผมบอกว่าลองเชิญพ่อมาดูสิอยากจะรู้ว่าป่านนี้ไปเกิดเป็นอะไรอยู่ที่ไหน  ลูกศิษย์บอกผมให้ตั้งจิตอธิษฐานเชิญพ่อลงมา เอามือ (ความจริงนิ้วชี้) แตะที่แก้วซึ่งวางอยู่ตรงกลาง
 
                เราก็เอานิ้วกดอยู่ตั้งนาน ไม่เห็นมีไรเกิดขึ้น  กำลังจะบอกเลิกอยู่พอดี แก้วที่ถูกมือกดอยู่ก็วิ่งปรู๊ดปร๊าดๆ ไปข้างโน้นบ้าง ข้างนี้บ้าง
 
ผมขนลุกซู่ไปหมด มันวิ่งได้ยังไง  ลูกศิษย์กระซิบว่า ′ลงมาแล้ว ให้ถามปัญหาได้′  ผมก็ถามว่าใคร  แก้วก็วิ่งไปที่ตัว พ วิ่งไปที่ตัว อ ไม้เอก สระเอ อ อ่าง และ ง งู (อ่านรวมกันว่า ′พ่อเอง′)
 
                ผมถามต่อไปว่า พ่อเองน่ะ พ่อจริงหรือเปล่า  แน่จริงบอกชื่อมาสิ ชื่ออะไร  แก้วก็วิ่งปรู๊ดปร๊าดๆ เช่นเดิมไปยังอักษรตัวนั้นบ้างตัวนี้บ้างผสมออกมาแล้วเป็น อุ่มŽ ชื่อพ่อผมพอดี  บ๊ะเจ้าผีนี่มันเก่งแฮะ สงสัยจะเป็นพ่อเราจริง  ผมก็เลยถามโน่นถามนี่สนุกกันใหญ่และผีก็ตอบได้ตรงความจริงอย่างมหัศจรรย์
 
                ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ จนกระทั่งบัดนี้ผมยังไม่รู้ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร
 
                พอถามเรื่องต่างๆ จนพอแล้วผมก็หยุดพัก  นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อกี้ลืมถามว่าพ่อไปเกิดที่ไหน จึงทำพิธีอัญเชิญลงถ้วยแก้วอีกครั้งคราวนี้ถ้วยแก้ววิ่งเร็วและแรงกว่าเดิม  ผมสงสัยจึงถามว่า
 
                ′ใครนั่น′
 
                ′ชิต′ ผีมันวิ่งไปยังตัวอักษรต่างๆ ผสมออกมาได้อย่างนี้
 
                ′ชิตไหน′ เราถาม
 
                ′กูใหญ่′ คราวนี้ออกมาอ่านได้อย่างนี้
 
                ′กูใหญ่อะไรวะ  ฉันถามว่าชิตไหน′
 
                ′ชิตที่ยิ่งใหญ่ซิ ไอ้ห่า′ ผีมันบอก
 
                เท่านั้นแหละครับ ผมชักยัวะ แน่ใจว่าไอ้นี่ไม่ใช่พ่อเราแน่ จึงเอาเท้ายันเปรี้ยงเข้าให้  ถ้วยแก้วกระเด็นไปปะทะผนังห้องแตกละเอียด
 
                ลูกศิษย์อธิบายให้ผมฟังภายหลังว่า การเชิญสิ่งที่คนไทยชอบเรียกว่า ′วิญญาณ′ ลงถ้วยแก้วนั้นสามารถทำได้และเป็นความจริงด้วย (ดังกรณีพ่อผมลงมาตอนแรก)  แต่ถ้าทำบ่อยเกินไป ผีอื่นอาจเข้ามาแทรก หรือไม่มีผีไหนลงมาก็ได้
 
                ′ที่อาจารย์เชิญตอนหลังนี้ เข้าใจว่าเป็นผีอันธพาลที่ไหนไม่รู้มันเข้ามาแทรก′ ลูกศิษย์สรุป
 
                นี่คือประสบการณ์การเล่นกับผีครั้งแรกของผม  การติดต่อกับผีผ่านถ้วยแก้ว คัมภีร์ศาสนาก็บอกว่าสามารถทำได้  แต่ไม่ค่อยได้ผลแน่นอน คืออาจจริงบ้าง เท็จบ้าง ดุจเดียวกับการเข้าทรง
 
                แต่ผู้ที่ฝึกสมาธิจนได้ทิพย์จักษุ (ตาทิพย์) เท่านั้น จึงจะติดต่อกับภูตผีเทวดาได้แน่นอนกว่าวิธีอื่น
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1300264503&grpid=no&catid=&subcatid=

270
ธรรมะ / คัมภีร์วิสุทธิมรรค
« เมื่อ: 16 มี.ค. 2554, 10:12:50 »
ความเป็นมาและโครงสร้างของคัมภีร์วิสุทธิมรรค

ในคัมภีร์มหาวงส์กล่าวถึงประวัติ พระพุทธโฆสะ ผู้รจนาคัมภีร์วิสุทธิมรรคไว้ว่าท่านเกิดในตระกูลพราหมณ์ ใกล้กับเมืองพุทธคยา ประเทศอินเดียฝ่ายใต้ ในวัยเยาว์ได้ศึกษาเล่าเรียน ศิลปวิทยา ตามธรรมเนียมของพราหมณ์ เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในคัมภีร์พระเวทมาก ท่านได้เดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ ของอินเดีย เพื่อโต้ตอบเรื่องปรัชญากับนักปราชญ์ทั้งหลาย วันหนึ่งท่านได้พบกับพระเรวัตเถระที่วัดแห่งหนึ่ง หลังจากที่ไต่ถามปัญหาทางธรรมะ จึงเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และขอออกบวช ได้สมญานามว่า พุทธโฆสะ เพราะเสียงของท่านมีความลึกซึ้ง สื่อความหมายทางธรรมดุจดังพระสุรเสียงของพระพุทธเจ้า

 

เมื่อบวชแล้วพระพุทธโฆสะได้รจนาคัมภีร์ญาโณทัย และอัตถสาลินี - อรรถกถาของธัมมสังคณี อันเป็นคัมภีร์แรกของพระอภิธรรมปิฎก เมื่อท่านเริ่มเขียนอรรถกถาปริตร พระเรวัตแนะนำให้ท่านเดินทางไปประเทศลังกา เพื่อศึกษาภาษาสิงหลและคัมภีร์อรรถกถาที่ลังกา แล้วแปลอรรถกถาสิงหลออกเป็นภาษามคธ (บาลี) เพื่อประโยชน์สำหรับผู้ที่ไม่รู้ภาษาสิงหล เพราะในอินเดียเวลานั้นมีแต่พระไตรปิฎก ไม่มีอรรถกถาเหมือนอย่างลังกา

 

พระพุทธโฆสะเดินทางไปประเทศลังกา ตรงกับช่วงรัชกาลของพระมหานาม พระพุทธโฆสะได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านสังฆปาล ในสำนักของฝ่ายมหาวิหาร และขออนุญาตแปลอรรถกถาสิงหลเป็นภาษามคธ (บาลี) คณะสงฆ์ฝ่ายมหาวิหารขอให้ท่านพิสูจน์ความสามารถด้วยการเขียนอธิบายขยายความคาถา 2 บท พระพุทธโฆสะอธิบายได้อย่างละเอียด มีเนื้อความครอบคลุมคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้า คือ กล่าวถึงเรื่อง ศีล สมาธิ และปัญญา ผลงานนี้คือ

คัมภีร์วิสุทธิมรรค

คัมภีร์วิสุทธิมรรค จัดเป็นคัมภีร์สำคัญฝ่ายเถรวาทคัมภีร์หนึ่งในชั้นนวัฎฐกถา รจนาขึ้น เมื่อหลังพุทธปรินิพพานประมาณ 956 ปี (ราวพุทธศตวรรษที่ 9) พระพุทธโฆสะอาศัยโบราณอรรถกถา 3 คัมภีร์ เป็นหลักใหญ่ในการแต่ง อรรถกถา 3 คัมภีร์ที่ว่านั้น คือ

1. มหาอรรถกถา เป็นคัมภีร์เดิมที่เคยผ่านการสังคายนาครั้งแรก อันมีพระมหากัสสปะเป็นประธานมาแล้ว และถูกถ่ายทอดเป็นภาษาสิงหลเมื่อสังคายนาครั้งที่ 3 ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงส่งพระสาวกไปประกาศพระพุทธศาสนายังนานาประเทศ

2. มหาปัจจรีอรรถกถา แต่งขึ้นที่ประเทศลังกา

3. กุรุณทีอรรถกถา แต่งขึ้นที่ประเทศลังกาเช่นกัน

อรรถกถาทั้ง 3 คัมภีร์นี้จารึกไว้เป็นภาษาสิงหล ใช้เป็นคัมภีร์หลักในการแต่งคัมภีร์วิสุทธิมรรคดังกล่าว

 

271
วันนี้ได้รับพัศดุไปรษณีย์จากวัดบางพระ
เปิดมาเป็นเสื้อยืด 6 ตัว
เป็นรายการที่คุณสมบัติ สั่งเผื่อเพื่อนๆ
เสื้อสีเหลืองอ่อน ขนาด XXL สวมได้สบายดีครับ :015:

ขอขอบพระคุณ :054: คณะทำงานจัดทำเสื้อด้วยครับ

272
วิญญาณแม่ (ข่าวสด)

          "พัชรา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวันสอบพิเศษ ดิฉันเป็นครูโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งกลางกรุงเทพฯ นี่เองค่ะ เป็นโรงเรียนเอกชนแต่ค่าเทอมไม่แพงเลย ดังนั้น จึงมีผู้คนทุกระดับพาลูกหลานมาเรียน แม้จะมีแค่ชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 6 เท่านั้นก็ตาม

          ผู้ปกครองล้วนวางใจในการเรียนการสอนที่นี่ ซึ่งเป็นที่เลื่องชื่อว่าวิชาแข็งและเข้มข้น เด็กที่จบ ป.6 จะเป็นเด็กเก่งพร้อมเรียนต่อระดับมัธยม ไม่ว่าจะไปสอบเข้าที่ไหนก็ไม่ผิดหวัง

          ดิฉันเป็นครูสอนวิชาภาษาไทย และทำหน้าที่ประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ด้วยค่ะ เด็กห้องดิฉันอยู่ระดับปานกลางแต่นิสัยดี ไม่เครียดและก็ไม่ดื้อ เกือบทุกคนจะเรียนพิเศษตอนเย็น ซึ่งปกติโรงเรียนจะเลิกสามโมงครึ่ง แต่พวกเรียนพิเศษจะเลิกตอนห้าโมงเย็น จะว่าไปแล้วสิ่งที่สอบก็คือการบ้านนั่นเองค่ะ

          เด็กพวกนี้จะทำการบ้านเสร็จที่โรงเรียนเรียบร้อยเลย คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเหนื่อยเคี่ยวเข็ญเองที่บ้าน ได้ข่าวว่าถ้าให้ไปทำการบ้านเองละก็กว่าจะได้นอนก็โน่น...ไม่สองยามก็ตีหนึ่ง คุณพ่อคุณแม่จึงยินดีให้ลูกเรียนพิเศษกันทั้งนั้น

          ถึงแม้จะมีกำหนดเวลาว่า การสอนพิเศษตอนเย็นนั้นเลิกห้าโมง แต่ก็มีนักเรียนหลายคน โดยเฉพาะห้องที่เรียนอ่อน ทำการบ้านไม่เสร็จ คุณครูบางคนก็ขยันกวดขัน ทั้งเด็กทั้งครูบางห้องจึงกลับเย็นย่ำค่ำมืด อย่างห้อง ป.6 ของครูติ๊ก ห้องที่เด็กเรียนอ่อนที่สุด คะแนนต่ำและบางคนมีปัญหา

          ครูติ๊กเป็นครูที่หวังดีต่อเด็กๆ อย่างยิ่ง ดิฉันรับประกันได้ เธอสู้อุตส่าห์เสียสละเวลาอยู่สอนเด็กๆ อย่างอดทน ส่วนมากกว่าจะกลับได้ก็เกือบทุ่มแน่ะค่ะ ถ้าเป็นฤดูร้อนก็ค่อยยังชั่วเพราะฟ้าจะเริ่มมืดพอดี แต่ถ้าเป็นฤดูหนาวละก็ ห้าโมงครึ่งก็มืดตึ๊ดตื๋อแล้ว

          เรื่องขนหัวลุกของเราเกิดขึ้นในตอนค่ำของเดือนธันวาคมปีกลาย! วันนั้นดิฉันมีงานเยอะ แม้เด็กนักเรียนห้องดิฉันจะกลับไปหมดแล้ว แต่ดิฉันก็นั่งตรวจงานต่อ ทั่วทั้งตึกปิดไฟหมดแล้ว แต่ดิฉันรู้ว่าห้องครูติ๊กซึ่งอยู่ชั้นบนของดิฉันยังมีนักเรียนเหลืออยู่อีก 2-3 คน ครูติ๊กบอกว่า ถ้าเสร็จแล้วจะมาตามดิฉันเองเพื่อกลับบ้านด้วยกัน บ้านเราไปทางเดียวกันค่ะ บางทีเราอาจจะแวะไปกินข้าวแถวๆ นี้ก่อนก็ได้

          หนึ่งทุ่มสิบห้านาทีครูติ๊กเดินลงมา สีหน้าท่าทางเธอเหนื่อยไม่เบาเลย ดิฉันรีบเก็บข้าวของแล้วหยิบกระเป๋าเดินออกจากห้อง โดยปิดไฟและปิดประตูเรียบร้อย จากนั้นก็ลงบันไดกันมาสองคน ลานตึกข้างล่างโล่งยาวตลอด ดูมืดสลัวเพราะเปิดไฟนีออนไว้แค่ดวงเดียว

273
กฎแห่งกรรม / ชีวิตลิขิตเองได้
« เมื่อ: 15 มี.ค. 2554, 10:38:18 »
   
ชีวิตลิขิตเองได้...

มนุษย์...ผู้เข้าถึงความจริงและเหตุผลแล้ว ก็ไม่ต้องยอมจำนนต่อความเชื่อใดๆ เพราะการได้ประสบการณ์กับของจริงนั้น ๆ ทำให้เขารู้ถูกต้อง จึงทำให้มนุษย์เช่นนี้กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำด้วยความมั่นใจโดยไม่ต้องยอมจำนนต่อความเชื่อ ใด ๆ หลักการที่ถูกบัญญัติขึ้นโดยผู้ที่ได้ประสบการณ์จากของจริง ๆ แม้จะมีผู้พยายามเปิดเผยให้ทดลอง แต่ก็ได้รับการสนองเฉพาะผู้มีปัญญาเท่านั้น
มนุษย์โลกส่วนใหญ่ยังยอมจำนน ต่อความเชื่อตามความเชื่อของตนเอง โดยไม่สนต่อเหตุผลอยู่ทุกวี่วันอย่างไม่จางคลาย…
แม้ชีวิตของคนเรา ก็ยังถูกเชื่อว่ามีผู้เป็นใหญ่หรือแหล่งอำนาจคอยควบคุมลิขิตชีวิต ทำให้หลาย ๆ ชีวิตต้องยอมจำนนตัวเอง ไม่เชื่อมั่นการกระทำของตนเอง หรือบางคนต้องลดตนถึงกับคอยกราบไหว้อ้อนวอนบวงสรวงต่าง ๆ เพื่อหวังให้ผู้เป็นใหญ่ประทานสิ่งที่ตนปรารถนา…

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงบัญญัติหลักความเชื่อที่ทำให้ชีวิตยอมจำนนไว้ ๓ ประการ คือ..
๑. ปุพพกตเหตุ เชื่อว่าชีวิตถูกลิขิตด้วยกรรมเก่าเพียงอย่างเดียว
๒. อิสรนิมานเหตุ เชื่อว่าชีวิตถูกกำหนดโดยผู้เป็นใหญ่ พระเจ้าบันดาล พรหมลิขิต หรือฟ้าประทาน
๓. อเหตุอัปปัจจยา เชื่อว่าชิวิตเป็นไปโดยดวง แล้วแต่โชคลาง เป็นเรื่องบังเอิญไม่มีเหตุ
ความเชื่อทั้ง ๓ ประการนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงสอน ไม่ทรงสรรเสริญ แต่ ทรงตำหนิชี้โทษว่า … บุคคลใดมามีความเห็นว่าสุข ทุกข์ เป็นไปดังที่กล่าว… ความเพียรก็ดี ความพยายามโดยชอบก็ดีย่อมไม่เกิด  
ความเชื่อทั้ง ๓ ประการนี้ อย่างแรกดูเหมือนคล้าย ๆ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ส่วนอย่างที่สองเป็นความเชื่อของผู้ที่นับถือเทพเจ้า อย่างสุดท้ายมักเป็นความเชื่อของผู้ที่ไม่คอยสนใจศาสนาเป็นส่วนใหญ่
เรามาดูอย่างที่สามก่อน คนในสมัยปัจจุบันมักถูกสภาพเศรษฐกิจสังคม และสิ่งแวดล้อมบีบให้ห่างศาสนา คนเห็นวัตถุเป็นที่พึ่ง และประจวบกับคนก็ละเลยด้วย จึงมีความเชื่อโดยสรุปจากเหตุการณ์เฉพาะ ๆ ว่าทุกเหตุการณ์เป็นเรื่องบังเอิญ แล้วแต่ดวง แล้วแต่โชค ดวงดีก็ดีเอง จะทำชั่วก็ตามทำดีก็ตามไม่สำคัญ ทำชั่วไม่มีใครรู้เห็น ถือว่าไม่มีโทษ ทำดีไม่มีใครชม ไม่ได้ยศ ไม่ได้เงิน ถือว่าทำดีไม่ได้ดี คนประเภทนี้จะไม่มีการรับผิดชอบพฤติกรรมของคน ดื้อรั้น มักสร้างความเดือดร้อนให้แก่สังคม ปล่อยตัวเองไหลไปกับกระแสโลก วิ่งตามค่านิยมไม่มีหยุด  ต่อเมื่อตนเองประสบกับทางตันของชีวิตหรือความวิบัตินั่นแหละ เขาจึงเริ่มหันเข้าหาศาสนาเริ่มเพียรสร้างความดี แต่มักไม่เหลือความพร้อมแทบจะสายเสียทุก ๆ ราย
ส่วนอย่างที่สอง เชื่อว่าชีวิตถูกกำหนดด้วยผู้เป็นใหญ่ บุคคลกลุ่มนี้มักมีความยึดมั่นถือมั่นมาก เพราะค่านิยมของลัทธิทำให้เขาฝังตัวเองอย่างไม่ยอมถอย ซ้ำยังถูกล้อมด้วยทิฐิของศาสดาไม่ให้เปิดใจต่อเหตุผลในคำสอนใคร ๆ ความจริงเป็นเรื่องของจิต -วิทยาเพราะคนทั่วไปจิตใจมักเรียกร้องความรัก ความเข้าใจ ความยอมรับ อันเป็นสิ่งธรรมดาที่มนุษย์ปรารถนายิ่งกว่าปัจจัยสี่ ซึ่งเป็นเหตุทำให้อบอุ่น มีความสุขใจ ให้ชีวิตได้สดชื่นในระดับต้น ๆ
มนุษย์จีงได้วางกฎเกณฑ์เพื่อสนองความต้องการจุดนี้ ด้วยการสมมุติผู้เป็นใหญ่ไว้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเคารพบูชา โดยวิธีมอบความรัก ความเชื่อ ความจริงใจ ความซื่อสัตย์ ด้วยความเชื่อที่ว่าจะทำให้สิ่งที่เขาบูชาถูกใจ ชอบใจ จะได้ตอบแทนความรัก ความหวังดีความยอมรับและสนองความต้องการของตนกลับคืนมาตามความเชื่อนั้น ซึ่งเป็นกลไกการสนองความต้องการของคนด้วยคนผู้เป็นใหญ่สร้างอุบายขึ้น เพื่อให้กำลังใจตนเองให้มีความสุขใจ ให้มีความอบอุ่น ไม่หมดหวัง ไม่ท้อแท้ ตามหลักอุบายเพื่อจะแสวงหาความรักความอบอุ่นจากผู้อื่นด้วยตนเอง แม้ที่สุดหาจากโลกมนุษย์ไม่ได้ ก็ยังมีทางสุดท้ายให้หวัง จากสิ่งลี้ลับ โดยไม่เคยรู้ - เคยพบ เป็นการหาทางออกให้จิตใจที่จะหมดหวังโดยอาศัยความเชื่อด้วยการผูกตัวเองไว้กับสิ่งนั้น คำสั่งสอนชนิดนี้จะทำให้คนจำนนชีวิต ไม่เชื่อมั่นการกระทำของตนเอง ทำอย่างไร เพียรขนาดไหนแล้วแต่ผู้เป็นใหญ่จะชอบใจ ถ้าถูกใจก็จะประทานให้สมปรารถนา... ถือว่าเป็นคำสอนที่ดูถูกศักยภาพของมนุษย์
แต่ทางพุทธธรรมชี้ว่า ทุกอย่างทั้งในโลกและนอกโลกไม่สามารถยึดเป็นที่หวังได้ เพราะไม่มีสิ่งใดเป็นอมตะของตนเอง ทุกอย่างตกอยู่ในกฎไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ ไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องอาศัยเหตุจึงเกิด ดังนั้นมีทางเดียวคือ การถอนจิตไม่ให้ถูกพันธนาการจากสิ่งใด ๆ และการถอนจิตได้นี้เราเรียกว่า  “ความหลุดพ้น”  จะไม่มีอะไรทำจิตที่พ้นพันธนาการนี้ให้ท้อแท้ หมดหวัง เป็นทุกข์ได้เลย และการที่จิตไม่ถูกพันธนาการนี้ ไม่ใช่การไม่รับผิดชอบไม่รับรู้ช่วยเหลือ แต่เป็นการรับรู้และการกระทำการเกี่ยวข้องด้วยดีอย่างสมบูรณ์ รับผิดชอบเต็มที่อย่างมีสติสัมปชัญญะ โดยที่จิตใจไม่มีความทุกข์เลยแม้แต่น้อย เลยกลับกลายเป็นเรื่องของมนุษย์เป็นผู้ลิขิตสุข – ทุกข์ของตนเองด้วยการใช้สติปัญญา

274
สามีฆ่าตะขาบตาย

ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าขา สามีของลูกเพิ่งแต่งงาน มีลูก ๑ คน ๑ ขวบ สามีของลูกเป็นคนใจดีมาก ใจบุญสุนทานพอสมควร แต่เมื่อเดือนที่แล้ว แกไปเห็นตะขาบในห้องลองเสื้อ แกตีจนตาย ตายแล้วแกก็มีจิตข้องอยู่ในสิ่งนั้น แกไม่สบาย รุ่งขึ้นไม่กี่วัน มอเตอร์ไซด์ ของตำรวจขี้เมาชนโป้ง ไปตายที่โรงพยาบาลตำรวจ ลูกสงสัยว่า คนอื่นเขาฆ่าสัตว์ตายมากมาย ไม่ต้องอายุสั้น แต่ว่า สามีของลูกฆ่าตะขาบเพียงครั้งเดียว ตัวเดียว ทำไมจึงอายุสั้นเจ้าคะ

หลวงพ่อ อย่าลืมว่าตะขาบมันมีตีนกี่ตีน?

ผู้ถาม โอ้โฮ คิดทีละตีนหรือนี่

หลวงพ่อ (หัวเราะ) อย่าลืมนะ ไก่มี ๒ ขา ตะขาบมีกี่ขา นี่ฉันตอบนอกบาลีนะ แต่ว่าถ้าในบาลีถือว่า เป็นกฎของกรรมเก่า เพราะว่าเขามีวาระมาเท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้นก็เป็นเหตุให้ต้องตาย นี่เป็นเรื่องธรรมดา


กรรมกำพร้าสามี

ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง สามีของลูกชื่อ นายธเนศ แซ่ด่าน ตายเมื่อวันที่ ๓๑ ธ.ค. ๓๓ ก่อนจะตายนี่ได้มีโอกาสถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ๕๐๐ บาท ทีนี้ที่จะกราบเรียนถามก็คือว่า การที่ลูกเกิดมาสามีต้องตายยังหนุ่ม การที่ลูกเป็นสาวต้องกำพร้าสามี กรรมประเภทนี้ทำมาจากอะไรเพื่อไม่ให้กำพร้าต่อในชาติหน้า ขอหลวงพ่อเมตตาแนะวิธีอย่าให้พลัดพรากจากกัน ตั้งแต่วัยยังหนุ่มยังสาวเลยเจ้าค่ะ

หลวงพ่อ เอาอย่างนี้ซิ รักษาพรหมวิหาร ๔ ไว้ เมตตาความรัก กรุณาความสงสาร มุทิตาจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร พลอยยินดีด้วยนะ อุเบกขา วางเฉย เอาอย่างนี้อย่างเดียว ก็พอ เมตตาอย่างเดียวก็พอ

ผู้ถาม แล้วประเภทที่ว่าเช้าตุ๊บ...เย็นตุ๊บ

หลวงพ่อ อ๋อ...นั่นนักมวยเก่า (หัวเราะ) เขาซ้อมมวยกัน

275
พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ก่อนสิ้นชีพิตักษัยทรงเปล่งวาจาว่า “หญิงขอลาไปนิพพาน”

“..เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ อาตมาได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมตำรวจตระเวนชายแดนทางภาคใต้กับ ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต คืนวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ อาตมานอนพักที่กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๘ พอ ๖ ทุ่มเศษก็ตื่นดูนาฬิกา คิดว่าเมื่อคืนที่แล้วก็ตื่น ๖ ทุ่มเศษ ที่คลองปางมีเรื่องตำรวจตระเวนชายแดนถูกยิง วันนี้ก็ตื่น ๖ ทุ่มเศษอีก ไม่ทราบว่าจะมีเรื่องอะไรอีก พอตื่นขึ้นมาแล้วก็นอนไม่หลับ จึงทำสมณธรรมตามแบบพระ พระมีกิจที่ต้องทำอันหนึ่งคือ เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วต้องทำสมณธรรม เมื่อทำไปจิตถึงที่สุดเวลาประมาณตี ๒ ปรากฏว่ามีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการปรากฏชัด มีแสงสว่างไสวเหมือนไฟฟ้าสักแสนแรงเทียนในห้อง เมื่อแสงสว่างหายไปก็ปรากฏรูปพระคล้ายพระสงฆ์มีความสวยสดงดงามมาก มีแสง ๖ สีพุ่งออกจากพระวรกาย ถ้าภาพอย่างนี้ปรากฏทางพระพุทธศาสนาท่านเรียกว่าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อปรากฏเป็นพระรูปพระโฉมขึ้นมาแล้วก็ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วก็ตรัสว่า “วิภาวดี เสร็จกิจแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำไม่มีต่อไปอีก” คำว่า “เสร็จกิจ” ก็หมายถึง “กิจที่จะต้องปฏิบัติตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทประหารไม่มีแล้วที่จะต้องทำ” เมื่อมีพระสุรเสียงตรัสจบแล้วภาพนั้นก็หายไป อาตมาก็คิดในใจว่า เสียงอย่างนี้ ภาพอย่างนี้ เราเคยพบ เมื่อตรัสอย่างนี้เป็นพุทธพยากรณ์ ก็แสดงว่าท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ต้องเป็นพระอรหันต์ พูดกันตามทัศนะถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น เมื่อเสียงหมดไปภาพหายไป อาตมาก็นอนไม่หลับเพราะไม่อยากจะหลับ ก็เจริญสมณธรรมเรื่อยไป ปรากฏว่าเวลา ๔ นาฬิกามีภาพประหลาดเกิดขึ้น เป็นภาพดวงไฟเล็กดวงนิดเดียวมีความร้ายแรงมากร้อนจัด และมีภาพ พันตำรวจโท สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๘ ยืนอยู่แล้วล้มลงทับภาพดวงไฟนั้น แล้วลุกขึ้นมาจากไฟแต่ไม่ไหม้ แล้วภาพไฟก็หายไป เมื่อเห็นภาพนี้ก็เข้าใจว่า วันพรุ่งนี้เหตุร้ายจะต้องเกิดกับเราแล้ว และก็เป็นเหตุร้ายที่เราแก้ไขไม่ได้เพราะภาพไฟที่ปรากฏร้ายแรงมาก พยายามดับเท่าไรก็ไม่ดับ ความร้ายแรงของไฟไม่สลายตัวและก็ไม่ย่อหย่อนลงไป

ความจริงท่านหญิงวิภาวดี รังสิต เป็นลูกศิษย์เจริญพระกรรมฐานกับอาตมาเป็นเวลา ๘ เดือน หลังจากที่ท่านมาเรียนพระกรรมฐานด้วยสัก ๗ วัน ไม่ใช่เกาะครูเป็นแต่เพียงมาศึกษาพอเข้าใจแล้วก็กลับไปปฏิบัติเอง ๗ วันผ่านไปก็ปรากฏว่าท่านได้ธรรมปีติเป็นกรณีพิเศษเป็น อุพเพงคาปีติ สามารถควบคุมสมาธิได้ตามเวลาที่ต้องการ หลังจากนั้นท่านก็เจริญวิปัสสนาญาณ เพราะกรรมฐานมี ๒ อย่างคือ สมถภาวนาด้านสมาธิจิตซึ่งต้องควบคู่กับวิปัสสนาญาณ ถ้าฝึกเฉพาะสมถภาวนาไม่ฝึกควบคู่กับวิปัสสนาญาณ ก็เอาดีไม่ได้ เมื่อสมาธิเข้มข้นดีแต่วิปัสสนายังอ่อน ตอนหลังท่านก็พยายามฝึกควบวิปัสสนาญาณให้มีความเข้มแข็งเท่าสมาธิจิต

จากนั้นมาท่านหญิงวิภาวดีก็ตรัสเป็นปกติว่า “ชีวิตไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย” ความหมายของท่านก็คือ “พระนิพพาน” ฉะนั้นทรัพย์สินใดๆ ที่มีอยู่ก็ดีไม่ต้องการสะสมไว้ มีความต้องการอย่างเดียวคือ “ทำอย่างไรชาวไทยทั้งประเทศจึงจะมีความสุข” ท่านเสียสละทุกอย่าง ทรัพย์สินส่วนพระองค์ท่านเสียสละมาก

การเจริญพระกรรมฐานของท่านเข้าถึงจุดปลายคือเปล่งวาจา “ต้องการพระนิพพาน” ก่อนสิ้นชีพิตักษัยประมาณ ๓ เดือน พบหน้าใครท่านก็พูดว่า “ทรัพย์สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย ชีวิตไม่มีความหมาย ฉันต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน” แสดงว่าท่านมีจิตใจจับพระนิพพานเป็นอารมณ์จริงๆ มาเป็นเวลา ๓ เดือน ถ้าพูดกันตามพระไตรปิฎก คนที่จะมีอารมณ์รักพระนิพพานจริงๆ ก็ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป แต่ท่านหญิงตอนนั้นจะเป็นพระโสดาบันหรือไม่นั้น อาตมาไม่รับรองเพราะไม่ใช่พระพุทธเจ้า พูดตามอาการที่ปรากฏ

รุ่งเช้าวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ เวลาก่อน ๗ นาฬิกา อาตมาก็รีบไปที่โรงปูนซิเมนต์ที่พักของท่านหญิงวิภาวดี ก่อนขึ้นฮ. ก็ประชุมกันก่อนว่า วันนี้เราจะไปพระแสงกับเคียนซา แต่ก่อนไปต้องไปรับตำรวจที่บาดเจ็บ ๒ คนที่บ้านหลังคลองที่ไปเมื่อวันวาน และการไปคราวนี้ขอให้คนที่ไปกับฮ. ลงที่กองร้อย ๓ ตำรวจตระเวนชายแดนซึ่งอยู่ห่างจากสถานที่ที่จะไปรับตำรวจบาดเจ็บ ๑ กิโลเมตร แม้แต่ท่านหญิงวิภาวดีก็ต้องลงเช่นเดียวกัน ขอให้ฮ. ไปรับโดยเฉพาะแล้วนำตำรวจบาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี แวะเติมน้ำมันก่อนแล้วกลับมารับพวกเราประมาณเที่ยง หลังจากฉันเพลที่กองร้อย ๓ ตชด.แล้ว พวกเราจะไปเคียนซากับพระแสง ไปเยี่ยมตำรวจอีก ๒ จุด แต่อาตมาก็บอกทุกคนว่า “วันนี้พวกเราสู้เขาไม่ได้ ไม่เหมือนเมื่อวานนี้เราสู้เขาได้ เราจึงกล้าลงกลางฐานที่ตั้งของเขานับจำนวนร้อยที่ติดอาวุธ เราก็กล้าลง แต่วันนี้เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเป็นวันเปิดเราสู้เขาไม่ได้”

ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดทราบว่า คนเราที่บอกว่าเก่ง หนังเหนียว เนื้อเหนียว กระดูกเหนียว ยิงไม่เข้า ฟันไม่เข้าก็ตาม ทั้งๆ ที่คล้องพระอยู่ แต่วันหนึ่งก็ถูกยิงตายได้ถ้าเป็นวันเปิด เป็นอันว่าถ้าวันเปิดประสบกับใครก็ตาม คนนั้นไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ และวันนั้นความจริงอาตมาก็ทราบว่า ถ้าร่วมไปที่บ้านหลังคลองก็ดี ที่เคียนซาหรือที่พระแสงก็ดี อาตมาเองก็จะถูกยิงที่ขาต่ำกว่าเข่า ไม่ถูกกระดูกแต่ถูกเนื้อตรงน่อง แต่ก็ตั้งใจว่าเมื่อพูดว่าจะไปแล้วก็ต้องไป ชีวิตตำรวจทหารเขาเสียสละได้เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย ก็ไอ้เลือดเรานิดหนึ่งไม่เกิน ๑๐๐ ซีซี ที่ต้องหลั่งไหลออกจากกาย เพราะการเข้าไปเยี่ยมคนที่มีคุณ ทำไมเราจะสละไม่ได้ เป็นอันว่าวันนั้นยอมเสียเลือดเพราะรู้แล้วว่าถ้าไปก็เสียเลือดตัวเอง จะคุ้มครองไม่ได้

สำหรับท่านหญิงวิภาวดีอาตมาก็หนักใจมาก เพราะนิมิตตอนกลางคืนบอกชัดว่าอย่างไรก็ตาม “วันนี้ท่านหญิงวิภาวดี จะไม่สิ้นชีวิตไม่ได้ เพราะว่าเป็นจุดจบ” ถ้าพุทธพยากรณ์นั้นเป็นจริง คือว่า “ตามธรรมดาฆราวาสถ้าเป็นพระอรหันต์วันนี้ วันรุ่งขึ้นก็ต้องนิพพาน” การนิพพานของพระอรหันต์ที่ยังเป็นฆราวาสที่ไม่สามารถบวชเป็นพระได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงบวชไม่ได้ ผู้ชายถ้าบวชทันได้ไม่เป็นไร

ฉะนั้น “การนิพพานของพระอรหันต์ที่ยังเป็นฆราวาสนี่ ก็ต้องนิพพานด้วยอุบัติเหตุ” อย่างในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เมื่อบุคคลใดได้บรรลุอรหัตผล องค์สมเด็จพระทศพลทรงทราบว่า ถ้าเขาไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนาในชาติก่อน ถ้าพระองค์ตรัสว่า “เอหิภิกขุ” แปลว่า “เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด” ผ้าไตรจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ก็ไม่มี เป็นอันว่าการบวชไม่สมบูรณ์แบบ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ถ้าเธอจะบวช ขอให้เธอไปหาผ้าจีวรมาก่อน ได้ผ้ามาแล้วตถาคตจะบวชให้” แล้วท่านผู้นั้นเดินไปหาผ้าทีไร ก็ถูกวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตายทุกที จะนิพพานโดยลักษณะนั้น สำหรับท่านหญิงวิภาวดีก็เช่นเดียวกัน ปัจจุบันหาวัวแม่ลูกอ่อนไม่ได้ ถ้าจะให้รถชนตายเจ้าของรถก็มีความผิด จะให้ตกต้นไม้ตาย ท่านก็ไม่ได้ขึ้นต้นไม้ เพราะการตายของพระอรหันต์จะต้องไม่มีโทษแก่บุคคลที่ทำให้ตาย เมื่อข้าศึกยิงมาข้าศึกไม่มีโทษเพราะไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิง เมื่ออาตมาทราบอย่างนี้ก็เลยเตือนท่านว่า “ท่านหญิง วันนี้เราสู้เขาไม่ได้ ยังไงๆ ที่บ้านหลังคลองท่านหญิงจะไปไม่ได้ ต้องลงพร้อมกับอาตมาที่กองร้อย ๓” ท่านก็ตกลง

เมื่อถึงกองร้อย ๓ เครื่องบินส่งพวกเราลงกันหมด พอเครื่องบินขึ้นปรากฏว่าท่านหญิงวิภาวดีไม่ลง พอเหลียวไปดูถาม พระครูบาธรรมชัย ที่ไปด้วยกันว่า “หลวงปู่ ท่านหญิงไม่ลงรึ” เพราะท่านลงทีหลัง หลวงปู่บอกว่า “ท่านหญิงเขียนจดหมายใส่ย่ามมาให้” ขณะกำลังอ่านอยู่นั่นเอง เจ้าหน้าที่วิทยุวิ่งมาแจ้งว่า “หลวงพ่อครับ เครื่องบินเราถูกยิง” พอเขาบอกเท่านั้นก็บอกเขาไปว่า “เราเสียท่าเขาแล้ว”

ต่อจากนั้นตำรวจก็เอารถยนต์มารับอาตมาไปที่เครื่องบินลงที่บ้านส้อง ไปถึงก็พบว่าเครื่องบินถูกยิง ๙๘ รู แต่ทะลุเพียงนัดเดียวนอกนั้นไม่ทะลุเครื่องบินเลย กระสุนนัดนั้นแหละที่สังหารท่านหญิงวิภาวดี คือทะลุท้องเครื่องบินขึ้นมาทะลุหัวรองเท้าของผู้กำกับฯ สุดินทร์ แล้วทะลุเข้าข้างหลังท่านหญิงวิภาวดี เมื่อรู้ว่า ฮ.ถูกยิงทุกคนก็เข้าล้อมท่านหญิงหมด แต่จุดที่คนล้อมกระสุนไม่เข้าแต่ไปเข้าจุดว่าง เมื่ออาตมาไปถึงเห็นท่านหญิงนอนนิ่ง จึงขึ้นไปบนเครื่องบินก็ทำพิธีแบบพระ “ขออาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหมด อาราธนาขอให้บรรเทาทุกขเวทนาของท่าน” เพราะทราบว่าท่านเจ็บมาก เห็นท่านนอนเฉยๆ จึงถามว่า “ท่านหญิงปวดไหม” ท่านก็ตรัสว่า “ปวดเจ้าค่ะ หายใจขัดๆ”

แล้วท่านก็เปล่งวาจาดังๆ ว่า “โลกนี้เป็นทุกข์ ร่างกายเป็นทุกข์ ไม่ต้องการอีก ขอไปนิพพาน ขอลาไปนิพพาน” แล้วก็เปล่งวาจาดังขึ้นอีกว่า “หลวงพ่อ หลวงปู่ กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบ และทูลท่านชายปิยะให้ทรงทราบด้วยว่า หญิงขอลาไปนิพพาน” แล้วท่านก็เปล่งวาจาอีกว่า “นิพพาน นิพพาน นิพพาน” นิ่งสักประเดี๋ยวเวลาผ่านไป ๓ นาทีได้ ท่านก็เปล่งเสียงดังๆ ว่า “โอ สว่างแล้วๆ เห็นนิพพานแล้วๆ นิพพานสวยเหลือเกิน หญิงขอลาไปนิพพานแล้ว หลวงปู่ หลวงพ่อ หญิงขอลาไปนิพพาน ขอหลวงพ่อได้กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และท่านชายปิยะด้วยว่า หญิงขอลาไปนิพพาน” พอสิ้นเสียงก็ปรากฏว่าท่านสิ้นลมปราณ

การที่นำเรื่องของท่านหญิงวิภาวดีมาเล่าให้ฟัง ก็เพราะเป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากว่า อาตมาทราบได้อย่างไรว่าท่านหญิงวิภาวดีจะไปไหน ความจริงรู้ได้อย่างไรนี้ตอบไม่ยาก เพราะว่าจะไปไหนนั้นก็อาศัยการเปล่งวาจาของท่านเป็นเหตุ คนถูกยิงเจ็บขนาดนั้น เสียงครางนิดหนึ่งก็ไม่มี การบิดตัวแสดงอาการเจ็บหน่อยหนึ่งก็ไม่มี นอนสงบนิ่งเป็นปกติเหมือนกับคนนอนหลับแบบสบายๆ แต่พอไปถามเข้าว่า “เจ็บไหม” ท่านก็บอกว่า “เจ็บมากและก็มีหายใจขัดๆ” เวลาพูดเสียงก็ปกติ ก่อนจะสิ้นชีพสังขารก็เปล่งวาจาว่า “ขอไปนิพพาน” โดยเฉพาะตอนสุดท้ายที่พูดว่า “สว่างแล้ว สว่างแล้ว” เสียงสดใสมากแสดงอาการดีใจเหมือนคนไม่เจ็บ มีพระโอษฐ์ยิ้มแสดงความรื่นเริง หน้าตาสดชื่น พระสุรเสียงดังชัดมากแสดงอาการดีใจ เพราะเคยทำงานด้วยกันจึงรู้ว่า เวลาท่านดีใจท่านมีเสียงแบบไหนแสดงกิริยาแบบไหน วันนั้นแสดงแบบนั้นทั้งหมด เมื่อท่านบอกว่า ท่านจะไปนิพพาน เราก็ต้องบอกว่าท่านไปพระนิพพาน เพราะท่านพูดแล้วท่านก็ตาย เราจะไปเถียงท่านไม่ได้ ท่านจะไปหรือไม่ไปก็เป็นเรื่องของท่าน

และก็มีคนถามว่า “ในเมื่ออาตมาทราบว่าจะมีอุบัติเหตุแบบนั้น ทำไมจึงไม่ช่วยป้องกัน” อาตมาก็มานั่งนึกว่า คนที่เขาพูดนี่คงคิดว่าอาตมาเองคงจะไม่ตาย เพราะคนอื่นจะตายป้องกันเขาได้ ตัวเองมันก็ต้องไม่ตาย แต่เขาคงลืมไปกระมังว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นอาจารย์ใหญ่ของอาตมาจริงๆ ท่านก็ต้องนิพพาน (ภาษาชาวบ้านเรียกว่าตาย) หรือ พระโมคคัลลาน์ พระอัครสาวกฝ่ายซ้ายผู้มีฤทธิ์ถูกโจรทุบ เวลานั้นองค์สมเด็จพระบรมครูก็ยังทรงพระชนม์อยู่ ทำไมไม่ช่วยป้องกันไว้ แต่นั่นเป็นกฎของกรรม พระโมคคัลลาน์ถูกโจรล้อมท่านก็หนีไป ๒ ครั้ง พอโจรมาล้อมเป็นครั้งที่ ๓ ท่านก็มาพิจารณาว่า “มันเรื่องอะไร” ก็ทราบว่า “กรรมที่จะเกิดขึ้นนี้เป็นกรรมเมื่อ ๑๐๐ อัตภาพมาแล้ว เราเคยทุบพ่อทุบแม่ตาย กรรมนั้นมาสนอง” ท่านจึงยอมให้โจรทุบ เมื่อโจรทุบแล้วท่านก็ไม่ยอมตาย เมื่อโจรไปแล้วท่านก็ประสานกาย ประสานกระดูก เหาะไปกราบทูลลาพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน

เป็นอันว่าถ้าคนจำจะต้องตาย แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังทรงร่างกายอยู่ไม่ได้ ปล่อยให้ร่างกายพัง พระโมคคัลลาน์ท่านเป็นจอมฤทธิ์ ท่านก็ไม่สามารถจะป้องกันตัวท่านเองได้ แล้วการที่อาตมาจะไปบังคับให้ท่านหญิงวิภาวดีไม่ตายจะได้ไหม ถ้าจะพูดกันอีกที โยมผู้ชายและโยมผู้หญิงท่านเป็นพ่อเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดอาตมา ชีวิตจะทรงอยู่ได้ก็เพราะอาศัยท่าน แต่เวลาที่ท่านทั้งสองจะตาย อาตมาก็ห้ามไม่ได้ แล้วจะให้ไปห้ามใครได้ เป็นอันว่าเรื่องของท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ทำไมต้องตายและอาตมาทำไมไม่ป้องกันไว้ ก็ขอจบเพียงเท่านี้..”

ที่มา...ไม่บอก :004:

276
คำอาราธนาหลวงพ่อวัดบ้านแหลม

สะทา วะชิระสะพุททะวะวะ วิหารเร
ปติฏฐิตัง นะระเทโวหิ ปูชิตัง ปัตตะหัตตัง
พุทธรุปัง อะหัง วันทามิ ทูระโต

คาถาหลวงพ่อวัดบ้านแหลม
นะมะ ระอะ นะ เท วะ อะ



นับว่าเป็นหลวงพ่อที่ทรงอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ดุจเดียวกัน เพราะมีพุทธศาสนิกชนประชาชนพากันมาสักการะบูชากันมาก มายเนืองแน่นไปหมด เมื่อเวลามีงานสมโภชตามเทศกาล และตามจดหมายเหตุประวัติความเป็นมาอันเก่าแก่ดั้งเดิ มของทางวัด ก็ได้แจ้งไว้ว่าท่านได้ปาฏิหาริย์ลอยน้ำมาเช่นเดียวกัน ถึงกับบางท่านได้สรุปรวมความว่าเป็นพระพี่น้องกัน

         ซึ่งก็สามารถจัดเป็นเช่นนั้นได้ เพราะท่านมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มีความศักดิ์สิทธิ์สามารถ ปกป้องคุ้มครองรักษาประชาชนที่เคารพนับถือสักการะบูชาท่านรักษาโรคภัยไข้เจ็บภัยพิบัติต่าง ๆ ให้หายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ถ้าหากจะนับรวมกันอย่างที่ทราบกันมาว่า พระพุทธรูปที่ปฏิหาริย์ลอยน้ำมา ก็คงจะมี 5 องค์ดังนี้ ซึ่งตรงกับคำว่า “ พุทธปัญจะภาคี ปาฏิหาริย์กระสินธุ์โน” พอดี

         แต่ส่วนประวัติความเป็นมานั้นทุกท่านต้องศึกษาถึงมูลเหตุพุทธประวัติอัน ลึกซึ้งของแต่ละองค์ ตามจดหมายเหตุประวัติและคำบอกเล่าของแต่ละที่กันเอง ซึ่งทุกองค์ก็มีความสำคัญมาก เช่นเดียวกันเพราะพระพุทธปฏิมาอันศักดิ์สิทธิ์นั้นเป ็นที่เคารพนับถือสักการะบูชาเป็นศูนย์รวมจิตใจอันผ่อ งใสเชื่อมั่นของประชาชน สาธุชนทั่วไปและตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ในสากลพิภพยังมีอยู่อีกมากมายเหลือที่จะคณานับได้ ดั่งจะเห็นได้ว่ามีข่าวคราวปากฏขึ้นที่นั่น ที่นี่ตามกาลอันควรตลอดมาอยู่บ่อย ๆ ครั้ง พระพุทธปฏิมากร ที่สำคัญ ๆ ที่มีอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ก็มีปรากฏอยู่มากมา ยตามวัดต่าง ๆ แต่ละจังหวัดแต่ละอำเภอกระจายทั่วไปทั้งประเทศเพื่อแผ่บารมีและพุทธคุณปกป้องคุ้มครองสาธุชน ประชาชน ผู้ประพฤติปฏิบัติแต่ในสิ่งที่ดีงาม ปกป้องประเทศชาติให้คงอยู่เป็นไทยมาจนทุกวันนี้ ก็ด้วยบุญบารมีพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และสิ่งต่าง ๆ ซึ่งทรงอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งทุกคนหรือบางคนได้ประสบมาด้วยตนเอง หรือจากคำบอกเล่าจดหมายเหตุๆอันเป็นประวัติแต่ดั้งเด ิมมา ประเทศของเราจึงจัดได้ว่าเป็นประเทศที่นับว่าร่มเย็น เป็นสุขตามควรภายใต้พระบรมโพธิสมภาร อันมีสิ่งยึดเหนี่ยวที่ทรงความศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันเป็นสิ่งที่ทุกคนเทิดทูนเหนือเศียรเกล้า เคารพสักการะบูชายึดมั่นหยั่งลึกฝังอยู่ในจิตใจของทุกคนชาวพุทธศา สนิกชนชาวไทยทั้งชาติทุกคนตลอดมา และจะยั่งยืนตลอดไปอีกจนชั่วกาลนาน

ประวัติ
http://www.yorbor.com/index.php?topic=4578.0

277
สนทนาภาษาผู้ประพฤติ / ภาวนา = พัฒนา
« เมื่อ: 13 มี.ค. 2554, 09:24:12 »
   
วิธีภาวนาให้เห็นว่ากายกับใจไม่ใช่เรา
ธรรมะจากพระผู้รู้ - ฉบับที่ ๘๗

โดย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช


ถาม - ภาวนาอย่างไรจึงจะเห็นว่ากายไม่ใช่เราได้ครับ

เรามาหัดภาวนา มาดูของจริงนะ ดูลงในกาย ดูลงในใจ กายกับใจเป็นสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นตัวเรามากที่สุด เรารักที่สุดคือกายกับใจนี้ มาภาวนาก็มาดูลงที่กายที่ใจ แล้วจะเห็นเลย ทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นที่กายที่ใจนี่เป็นของชั่วคราวทั้งหมดเลย อย่างร่างกายมันไม่แข็งแรงตลอดเวลา เดี๋ยวมันก็เจ็บป่วย เจ็บป่วยนี่มันมีอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เราไม่รู้สึก อย่างเรานั่งนานๆ มันก็เมื่อยนะ มันก็ป่วยเหมือนกัน มันก็เจ็บมันก็ป่วย มันทรมาน นั่งมากๆ ก็ทุกข์ ยืนมากๆ ก็ทุกข์ เดินมากก็ทุกข์ นอนมากๆ ก็ทุกข์ นอนมากก็ทุกข์นะ
หลวงพ่อเคยเห็นคนเป็นอัมพาต นอนแล้วกระดิกตัวไม่ได้ อู๊ย ทุกข์มากเลย เป็นแผลกดทับไปเลย บางทีติดเชื้อตายไปง่ายๆ เลย ฉะนั้นจริงๆ แล้วร่างกายเนี่ย ความจริงของเขาก็คือ เขามีแต่ความทุกข์บีบคั้นตลอดเวลา ร่างกายนี้นะ คล้ายๆ กับคนวิ่งหนีหมาล่าเนื้อนะ ความทุกข์เหมือนหมาล่าเนื้อ วิ่งไล่กัดตลอดเวลาเลย ตอนมีเรี่ยวมีแรงเราก็วิ่งหนีห่างออกได้นะ ก็รู้สึกค่อยยังชั่วหน่อย แป๊ปเดียวมันตามมาอีกละ เพราะฉะนั้น ความทุกข์มันตามบดขยี้ร่างกายนี้อยู่ตลอดเวลา ถ้าเราภาวนาไปเกิดความรู้สึกอยู่ที่กาย เราก็จะเห็นความจริงเลย ร่างกายนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ นั่งอยู่ก็ทุกข์ เดินก็ทุกข์ นอนก็ทุกข์ จะทำอะไรอะไรก็ทุกข์ไปหมดเลย หายใจออกหายใจเข้าก็ทุกข์ ใครว่าไม่ทุกข์นะ หายใจเข้าไปเรื่อยๆ ทุกข์เองล่ะ หายใจออกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ทุกข์เองล่ะ ที่มันไม่ทุกข์เพราะมีการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนอิริยาบถไป เช่นนั่งนานๆ แล้วเมื่อยก็ขยับตัว ก็เปลี่ยนอิริยาบถก็บดบังความทุกข์ชั่วครั้งชั่วคราว หายใจออกแล้วเปลี่ยนไปมาหายใจเข้า มันก็ปิดบังไม่ให้เราเห็นความทุกข์
ความจริงแล้วมันทุกข์อยู่ตลอดเวลาเลย ถ้าเราหัดภาวนานะ ตามรู้อยู่ที่กายมากเข้าๆ ถึงจุดหนึ่งมันจะเห็นเลย ร่างกายมันทุกข์ล้วนๆ น่าเบื่อนะ
จะทิ้งมันก็ไม่ได้นะ จะไปไหนก็ต้องพามันไปด้วย หนีมันไม่ได้ คล้ายๆ เรานอนกอดความทุกข์อยู่ตลอดเวลา นอนกอดภาระอยู่ตลอดเวลา
พอใจมันเห็นความจริงตรงนี้ มันจะค่อยๆ คลายความรักในกายลง มันจะเริ่มเห็นแล้วว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริงหรอก เป็นแค่วัตถุ เป็นก้อนธาตุ มีธาตุไหลเข้า มีธาตุไหลออกอยู่ตลอดเวลา เช่น หายใจเข้าแล้วก็หายใจออก หายใจออกแล้วก็หายใจเข้า
กินอาหารแล้วก็ขับถ่ายอะไรงี้ เป็นแค่ก้อนธาตุแล้วก็หมุนไปเรื่อยๆ แล้วก็ความทุกข์ก็ตามบีบคั้นไปเรื่อยๆ เนี่ยพอใจมันเห็นความจริงในกายมากเข้าๆ นะ ความรักในกายก็ลดลง เบื้องต้นก็เห็นก่อน ร่างกายไม่ใช่เรา ภาวนาไม่นานหรอกก็จะเห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา


ถาม - การถอดถอนความเห็นผิดว่าจิตเป็นเรา ต้องปฏิบัติอย่างไรครับ

เราจะรู้สึกว่าในร่างกายมีเราอยู่คนหนึ่ง เราคนนี้เดี๋ยวนี้ กับเราคนนี้ตอนเด็กๆ ก็เป็นเราคนเดิม วิธีที่จะถอดถอนความเห็นผิดว่าจิตเป็นเรานะ ต้องตามดูจิตไปคอยรู้ความเปลี่ยนแปลงของจิต เราจะเห็นว่าเดี๋ยวจิตก็สุข เดี๋ยวจิตก็ทุกข์ เดี๋ยวก็เฉยๆ นะ มันสุขก็อยู่ชั่วคราว มันทุกข์ก็ชั่วคราว เฉยๆ ก็ชั่วคราว มันหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันไม่คงที่ มันไม่เที่ยง จิตเดี๋ยวเป็นกุศล เดี๋ยวก็เป็นอกุศลนะ เดี๋ยวก็โลภขึ้นมา พอมีสติรู้ทัน ความโลภก็ดับไป เดี๋ยวโกรธมามีสติรู้ทัน ความโกรธก็ดับไป เดี๋ยวหลงไปมีสติรู้ทัน ก็รู้สึกตัวขึ้นมา ความหลงก็ดับไป ความฟุ้งซ่านเกิดขึ้นมา มีสติรู้ทัน ความฟุ้งซ่านก็หายไป จิตใจหดหู่ มีสติรู้ทัน ความหดหู่ก็หายไป มันจะเห็นแต่ว่าจิตใจนี้มันไม่เที่ยง เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเมื่อไรเกิดความอยากขึ้นในจิต จิตจะถูกบีบคั้น จิตก็มีความทุกข์ นี้ความอยากมันเกิดทั้งวัน ถ้าเราหัดเจริญสติให้ดี รู้ทันจิตใจให้ดี
เราจะเห็นว่าจิตเรามีความอยากเกิดขึ้นตลอดเวลาเลย เดี๋ยวอยากโน้น อยากนี้ อยากโน้น อยากนี้ เช่น อยากดู อยากฟัง อยากได้กลิ่น อยากได้รส อยากกระทบสัมผัสที่ดีๆ อยากหนีการกระทบสัมผัสที่ไม่ดี อยากคิดเรื่องดีๆ อยากให้จิตสนุกสนาน อยากให้มีความสุข อยากจะให้ความทุกข์หายไป สารพัดที่จะอยากทุกคราวที่ความอยากเกิดขึ้นที่จิตนะ จิตจะถูกบีบเค้น จิตจะถูกเค้น จิตจะมีความทุกข์ขึ้นมา มีการบีบคั้นขึ้นมา
พวกเราหัดดูไปก็จะเห็น จิตมีแต่ทุกข์ล้วนๆ เลย เฝ้าดูไป ดูไป ดูไป เห็นอีก จิตเองก็เป็นอนัตตานะ มันทำงานของมันได้เอง มันสุขก็สุขของมัน มันทุกข์ก็ทุกข์ของมัน เราสั่งมันไม่ได้ สั่งให้สุขอย่างเดียวไม่ได้ ห้ามทุกข์ไม่ได้ สั่งให้ดีอย่างเดียวไม่ได้ ห้ามชั่วไม่ได้ มีแต่เรื่องบังคับไม่ได้ มีแต่เรื่องห้ามไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ เรียกว่าอนัตตา
การที่เรามีสติดูไป ดูการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จิตใจมีความทุกข์บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา จิตใจมันทำงานของมันนะ ไม่ใช่เรา มันทำงานได้เอง ดูไป ดูไป ไม่มีตัวเรา ในจิตนี้อีก ภาวนาไป เห็นจิตก็ไม่ใช่เรา กายก็ไม่ใช่เรา จิตก็ไม่ใช่เรา ไม่มีตัวเราอื่นๆ ที่ไหนเลย
สิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นตัวเรา ก็อยู่ที่กายที่ใจ ไม่ได้ไปอยู่ที่พื้นหรอก ไม่ได้อยู่ที่อากาศ ที่ภูเขา ที่ต้นไม้ มันอยู่ที่กายที่ใจ นั่นถ้าเมื่อไรเห็นว่า กายไม่ใช่เรา ใจไม่ใช่เรา  ก็จะไม่เห็นว่ามีอะไรเป็นเราอีกละ


http://www.dharmamag.com/index.php?o...=172&Itemid=38

278
ถาม – ตามหลักธรรมะเท่าที่ทราบ การทำบาปคือการทำตัวเองและผู้อื่นให้เดือดร้อน ผมกินเหล้าอย่างมีสติเป็นประจำ ไม่ทำให้ตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อน แต่พระก็บอกว่าผิดศีลข้อ ๕ อยู่ดี รู้สึกเหมือนเป็นคนไม่ดีเพียงเพราะถือศีล ๕ ไม่ครบน่ะครับ ขอเหตุผลชัดๆ หน่อยได้ไหมว่ากินเหล้าอย่างมีสตินั้นเสียหายอย่างไร

การละเมิดศีล ข้อ ๕ นั้น ถ้าว่ากันตามจริงก็ถือว่าเบากว่าการละเมิดศีลข้ออื่น คือนอกจากจะอยู่ในข้อสุดท้ายของศีล ๕ แล้ว พระพุทธเจ้ายังกำหนดบทลงโทษสถานเบาแก่ภิกษุผู้ละเมิดวินัยด้วยการเสพสุรา ขอเพียงไม่เสพสุราเป็นอาจิณ ก็จะไม่ขาดจากความเป็นภิกษุ แต่หากพระทำผิดศีลข้ออื่น คือฆ่ามนุษย์หรือลักทรัพย์เกินหนึ่งบาท ก็จัดเป็นผู้แพ้ภัยตนเอง ตามวินัยสงฆ์ถือว่าตายจากความเป็นพระทันที ต้องสึกสถานเดียวเบี้ยวไม่ได้

พูดแบบรวบรัดตัดความ คุณยังไม่เป็นคนเลวอย่างแน่นอน ตราบเท่าที่ยังครองสติอยู่กับตัวได้ แม้เหล้าจะเข้าปากบ้างก็ตาม แต่แม้เหล้าไม่เข้าปาก ถ้าสติขาดลอย ยอมตัวให้กับบาปอกุศลแล้ว อย่างไรก็ได้ชื่อว่าเป็นคนเลว และเป็นการตัดสินใจเลวเอง ไม่ใช่ถูกเหล้าย้อมใจให้เลว

จากภาพที่ เห็นด้วยตาเปล่านั้น การดื่มเหล้าไม่ทำให้ร่างกายใครเสียหาย เหล้าต้องมีปริมาณมากพอสมควรจึงจะทำให้มึนจนขับรถออกนอกทาง หรือทำให้ตับแข็งตายในระยะยาว เพราะฉะนั้นในสังคมมนุษย์จึงไม่ติเตียนผู้บริโภคเหล้าพอประมาณ แต่กลับจะส่งเสริมด้วยซ้ำ เพราะเหล้ามีข้อดีประการต่างๆ เช่นทำให้เลือดลมแล่น และเป็นตัวปรุงรสในการชุมนุมสังสรรค์เสวนา หลายกลุ่มหลายเหล่าถึงกับตั้งข้อรังเกียจผู้หลีกเลี่ยงเหล้ายาในงานเลี้ยง ถือว่าทำตัวแปลกแยกไม่เป็นกันเองเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม เมื่อเล็งมาที่จิตซึ่งไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จะพบว่าเหล้าทำความฟกช้ำให้กับจิตทุกครั้งที่คุณปล่อยให้มันล่วงลำคอลงไป หากเอาผู้ที่ ‘คอบริสุทธิ์’ มากินเหล้าอึกแรกๆจะรู้เลยครับ ว่าจิตผิดปกติไป เหมือนฤทธิ์ของพิษร้ายที่ซ่านสู่สมองมันบีบสติให้เล็กลง แล้วขับดันกิเลสประเภทต่างๆ ให้พองโตขึ้นเรื่อยๆ สติที่เริ่มแหว่งวิ่นและกิเลสที่เริ่มกำเริบง่ายนั่นแหละ ตัวชี้ว่าจิตเริ่มช้ำแล้ว หากปล่อยให้เกิดความช้ำกับจิตมากๆ ไม่เอาบุญมาชะล้างหรือสมานแผลเสียบ้าง ในที่สุดจิตจะช้ำถาวร จิตที่บอบช้ำถาวรจะมีสภาพเหมือนคนสะบักสะบอม ยามใกล้ตายคงประคองตัวขึ้นบันไดสวรรค์ไม่ไหว แต่กลับมีแนวโน้มว่าจะทนแรงฉุดของอบายไม่อยู่

กรณีของคุณนั้น ถ้ากินเหล้าเป็นประจำแบบไม่ขาดสติเลย ไม่เคยเมาสุราอาละวาดเลย ในทางธรรมก็ต้องถือว่า ‘ไม่เลว’ ครับ แต่อย่างไรจิตของคุณก็มีความฟกช้ำดำเขียวอยู่ดี เพราะการกินเหล้าน้อยๆ เป็นประจำก็คล้ายถูกทุบเบาๆ ไม่ขาดระยะ ร้อยหนเหมือนไม่เป็นไร แต่พอขึ้นหลักพันก็ชักช้ำเข้าจนได้

อยากให้มองว่าถ้าคุณทำทานเป็น ปกติ และศีลข้ออื่นบริสุทธิ์สะอาดหมด บุญแห่งทานและศีลจะช่วยให้ ‘กล้ามเนื้อจิต’ เกิดความแข็งแรง ฟกช้ำยาก รวมทั้งคืนสภาพได้เร็ว เมื่อใกล้ตายก็อาจแทบไม่ได้รับผลร้ายจากการสั่งสมเหล้าสักเท่าไร

แต่ หากคุณเป็นคนตระหนี่ มีศีลที่บกพร่องทุกข้อ บาปทั้งหลายทำให้จิตอ่อนแอและ ‘ขี้โรค’ อยู่โดยเดิม ยิ่งเพิ่มเติมแรงทุบ แรงกระแทกจากเหล้ายาเสริมเข้าไป พอใกล้ตายโอกาสรอดจากนรกก็คงยาก

นั่นคือการพูดตามเนื้อผ้า แต่ถ้าไม่อยากให้พูดคล้ายเอาเรื่องมองไม่เห็นข้างหน้ามาขู่กัน จะลองพิจารณาความจริงที่เป็นปัจจุบันก็ได้ครับ การกินเหล้าจะทำให้คุณมองอะไรอย่างหนึ่งผิดจากความเป็นจริงเสมอ บางทีก็รู้ได้ยากครับว่าอะไรที่ผิด ยกตัวอย่างอย่างนี้ก็แล้วกัน กายที่หนักไม่ปลอดโปร่ง กับจิตที่ขุ่นมัวไม่ใสสะอาดนั้น ไม่อาจยินดีในเหตุแห่งการพ้นทุกข์ พูดง่ายๆ คือจิตไม่ใส ใจไม่เบาพอจะรับธรรมะใสๆได้ถนัดถนี่นัก คุณอาจฟังเรื่องทานแล้วยินดี อาจฟังเรื่องศีลข้ออื่นๆแล้วคล้อยตาม แต่จะไม่เห็นด้วยกับการสละต้นเหตุแห่งความมัวเมา เห็นชัดๆว่าเหล้าทำให้มัวเมา เป็นต้นเหตุแห่งความมัวเมาตรงๆ คุณยังทิ้งมันไม่ได้ แล้วจะไปทิ้งเหตุแห่งความมัวเมาอื่นๆอย่างไรไหว?

เท่า ที่ผมทราบว่ามีตัวตนจริงๆคือขี้เหล้าหลายรายฟังธรรมะเข้าใจจริงๆ ถึงระดับที่จิตเห็นโทษภัยของการผิดศีลผิดธรรมแล้ว จิตก็ปฏิวัติตัวเอง เกิดความรังเกียจเหล้าบุหรี่โดยไม่มีใครบังคับ เหมือนเกิดใหม่กลายเป็นอีกคนที่ไม่อยากให้มลทินมาแปดเปื้อนตน

พูด ง่ายๆ บางคนเมื่อเข้าใจธรรมะจริงจะเลิกเหล้า แต่บางคนต้องเลิกเหล้าเสียก่อนถึงจะเข้าใจธรรมะ อะไรจะมาก่อนมาหลังไม่สำคัญครับ สำคัญที่ธรรมแท้ไม่เข้ากับเหล้ายาแน่นอน

ถ้า ชีวิตคุณยังมาไม่ถึงคำถามว่าทำไมต้องเข้าใจธรรมะขั้นสูง หรือยังถูกเป่าหูอยู่ว่าธรรมะขั้นสูงไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำหรับคนรุ่นใหม่ อันนี้ก็อาจคุยกันยากหน่อย ความจริงธรรมะขั้นสูงไม่ใช่เรื่องเกินตัวสำหรับใครๆ เพราะธรรมะขั้นสูงคือวิธียุติทุกข์ สรุปคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ประการหนึ่งคือตราบเท่าที่เรายังรักษาเหตุแห่ง ทุกข์เอาไว้ ให้แสนดีเพียงใดก็ต้องเสวยทุกข์อยู่วันยังค่ำครับ จะวันหนึ่งวันใดเร็วหรือช้าเท่านั้น

ที่มา
http://www.yorbor.com/index.php?topic=3919.0

279
อย่าท้อแท้ อย่าท้อถอยกันนะครับ

ยอดคลิกyoutubeถล่ม คลิป"สมศักดิ์ แขนเดียว"พิการแขนซ้ายโชว์ดีดกีต้าร์-ร้องเพลง ทำผู้ชมน้ำตาไหล
วันที่ 09 มีนาคม พ.ศ. 2554 เวลา 15:49:08 น.

[youtube=425,350]xM1gPkdTQzI[/youtube]

กลายเป็นที่โด่งดังในโลก Social Network ภายในพริบตา ภายหลังจากที่รายการ Thailand′s got talent พรสวรรค์ บันดาลชีวิต เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ซึ่งออกอากาศผ่านทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ซึ่งในเทปดังกล่าวนั้น มีผู้พิการทางแขนซ้าย หนึ่งในผู้เข้าประกวด แสดงความสามารถดีดกีต้าร์ พร้อมร้องเพลงโชว์ เขาคือ สมศักดิ์ เหมรัญ หรือ สมศักดิ์ แขนเดียว ซึ่งเมื่อสมศักดิ์ ใช้มือข้างขวาที่ยังใช้งานได้ปกติ จับคอร์ดกีตาร์ที่วางไว้บนหน้าตัก พร้อมดีดจังหวะดนตรีเป็นเพลง "ใจสู้หรือเปล่า" ปรากฎสู่สายตาผู้ชมในห้องส่ง และผู้ชมทางบ้าน ทำให้ผู้คนในห้องส่ง รวมถึงคณะกรรมการตัดสิน และผู้ดำเนินรายการถึงกับอึ้งในความสามารถ จนบางคนถึงกับน้ำตาไหล และพากันยกย่อง พลังสู้เต็มร้อยของสมศักดิ์ แขนเดียว ที่พยายามฝึกฝนเล่นกีต้าร์ด้วยมือเดียวพร้อมกับร้องเพลงได้อย่างไพเราะและจับใจ ซึ่งปรากฎว่า ภายหลังจากที่รายการออกอากาศไป ยอดคลิกในเว็บไซต์ youtube ที่มีผู้นำรายการดังกล่าวมาลงย้อนหลังถึงกับพุ่งไปเป็นแสนคลิก เนื่องจากมีคนบอกต่อและส่งกันไปให้ดูต่อๆ กันอย่างถล่มทลาย

หนุ่มวัย 29 ปี จากจ.สงขลาผู้นี้ กำลังศึกษาอยู่ที่เทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย สงขลา จ.สงขลา โดยเขามิได้พิการมาแต่กำเนิด แต่ด้วยอุบัติเหตุ เมื่อปี 2544 ภายหลังรถจักรยานยนต์ที่เขาขี่พาแม่ซ้อนท้ายมา โดนรถยนต์ชน ทำให้เส้นประสาทแขนด้านซ้ายของเขาขาดกลายเป็นอัมพาต และแม่ของเขาต้องเสียชีวิต ส่งผลให้ช่วงนั้นสมศักดิ์มืดมน ไร้ทางออก จากที่เคยชื่นชอบการเล่นดนตรี โดยเฉพาะกีตาร์ที่เคยดีดได้สองมือตามปกติ ก็ทำไม่ได้ แต่ความท้อแท้สิ้นหวังในโชคชะตาของเขา ได้เปลี่ยนขับเคลื่อนเป็นพลังแห่งการต่อสู้ทำให้สมศักดิ์ พยายายามฝึกฝนเล่นกีต้าร์ด้วยมือข้างขวาที่ยังใช้งานได้ปกติเพียงข้างเดียว จนสามารถจับคอร์ดและบรรเลงเพลงได้ประหนึ่งการใช้2มือบรรเลงจังหวะ เขาจึงตั้งใจมาประกวดรายการ Thailand′s got talent เพื่อมาเป็นกำลังใจให้กับผู้อื่นที่ไม่ยอมท้อถอยกับความโชคร้ายที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ เมื่อการแสดงความสามารถเสร็จสิ้น ผู้คนในห้องส่งต่างลุกขึ้นยืนปรบมืออย่างกึกก้องให้กับสมศักดิ์แขนเดียว ขณะที่คณะกรรมการการตัดสินได้แก่ นิรุตติ์ ศิริจรรยา, ภิญโญ รู้ธรรม และพรชิตา ณ สงขลา ต่างชื่นชมความสามารถของเขาอย่างไม่หยุด และตัดสินให้สมศักดิ์ผ่านเข้ารอบการประกวดไปอย่างที่ผู้ชมทั้งในห้องส่งและทางบ้านต่างก็ยินดีกับหนุ่มสมศักดิ์ แขนเดียวผู้นี้เป็นอย่างมาก โดยหลังจากที่รายการออกอากาศไปแค่วัน-สองวัน เมื่อวันที่ 8 มี.ค. ยอดคลิกยังอยู่แค่ 2 หมื่นคลิก แต่พอวันที่ 9 มี.ค. นี้ ยอดคลิกกับพุ่งไปเหยียบแสนคลิกแล้ว


สำหรับ ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ เป็นรายการประกวดที่เฟ้นหาคนที่มีความสามารถโดดเด่นโดยไม่จำกัดอายุ เพศ จำนวน รวมทั้งประเภทของโชว์ โดยผู้ชนะจะได้รับรางวัลมูลค่ามหาศาลร่วม 10 ล้านบาท นับเป็นรางวัลการประกวดความสามารถที่มีมูลค่าที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมารวมทั้งได้สิทธิ์ในการเซ็นสัญญาในสังกัดโซนี่ มิวสิค และรางวัลพิเศษจากซัลซิลและเรโซน่า ที่สำคัญผู้เข้ารอบสุดท้ายทั้ง 12 คน จะมีโอกาสได้ร่วมทำกิจกรรมต่างๆ กับบริษัท ยูนิลีเวอร์ (ประเทศไทย) ทั้งนี้ ความสนุกสนาน และสีสันของรายการอยู่ที่การแสดงความสามารถที่หลากหลายบนเวที ซึงการแสดงจะสิ้นสุดลงเมื่อกรรมการทั้งสามท่านกดปุ่ม X ครบทุกคน แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้เข้าประกวดจะตกรอบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการโดยการกดปุ่ม X ซึ่งมีพิธีกรคู่ยอดนิยม อย่าง กฤษณ์ ศรีภูมิเศรษฐ์
และ น้าเน็ค- เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา สำหรับ 3 กรรมการที่จะทำหน้าที่ชี้ชะตาของผู้เข้าแข่งขัน ได้แก่ นิรุตติ์ ศิริจรรยา, ภิญโญ รู้ธรรม และ เบ็นซ์ -พรชิตา ณ สงขลา

ที่มา
http://www.matichon.co.th/

280
กฎแห่งกรรม (2533) ตอน ดงบาป

[youtube=425,350]0zhGg9UzCgg[/youtube]

กฎแห่งกรรม (2533) ตอน คนมีบาป
[youtube=425,350]tNxBWgANt-E[/youtube]

281
เพื่อคติเตือนใจ กรณีศึกษา...ตายแล้วไปไหน...กฎแห่งกรรม

ระลึกชาติ  1/5
[youtube=425,350]icCHWmPz30c[/youtube]
ระลึกชาติ  2/5
[youtube=425,350]OgG8LjkCo-4[/youtube]
ระลึกชาติ  3/5
[youtube=425,350]05iJ2IrTH6k[/youtube]
ระลึกชาติ  4/5
[youtube=425,350]lTRRJTdPxRs[/youtube]
ระลึกชาติ  5/5
[youtube=425,350]qINLO1nuPTg[/youtube]

282
ต้นสะเดา (ต้นนิมพะ)

ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 33 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 25 ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ สุเมธพุทธวงศ์ กล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าองค์ที่ 14 พระนามว่า พระสุเมธพุทธเจ้า ผู้ทรงแสวงหาประโยชน์เพื่อสรรพสัตว์ ทรงเปลื้องสัตว์ให้พ้นจากเครื่องผูกเป็นอันมาก ได้ประทับตรัสรู้ ณ ควงไม้สะเดา หลังทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ 8 เดือนเต็ม

ในบ้านเรานั้นสะเดามี 3 พันธุ์ คือ

1. สะเดาอินเดีย มีลักษณะขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย ปลายใบแหลมเรียวแคบมากคล้ายเส้นขร ผลสุกในเดือน ก.ค.- ส.ค.

2. สะเดาไทย มีลักษณะขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย แต่ปลายของฟันเลื่อยทู่ โคนใบเบี้ยวแต่กว้างกว่า ปลายใบแหลม ผลสุกในเดือน เม.ย.- พ.ค.

3. สะเดาช้าง หรือต้นเทียม ไม้เทียม ขอบใบจะเรียบ หรือปัดขึ้นลงเล็กน้อย โคนใบเบี้ยว ปลายเป็นติ่งแหลม ขนาดใบและผลใหญ่กว่า 2 ชนิดแรก ผลสุกในเดือน พ.ค.- ส.ค.

ในที่นี้จะพูดถึง ต้นสะเดาอินเดีย ที่เป็นโพธิญาณพฤกษาของพระสุเมธพุทธเจ้า สะเดาอินเดีย มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า “Azadirachta indica A. Juss.” อยู่ในวงศ์ “Meliaceae” ในภาษาบาลีเรียกว่า “ต้นนิมพะ” หรือ “ต้นมหานิมพะ” ชาวฮินดูเรียกว่า “นิมะ” มีชื่อพื้นเมืองที่เรียกกันต่างไปในแต่ละท้องถิ่นของไทย คือ กะเดา (ภาคใต้), สะเลียม (ภาคเหนือ), คินินหรือขี้นิน (ภาคอีสาน), ควินิน, ควินนิน, จะตัง, ไม้เดา, เดา เป็นต้น

ตามพระพุทธประวัติกล่าวว่า ในพรรษาที่ 11 พระพุทธเจ้าได้จำพรรษาภายใต้จิมมันทพฤกษ์ คือไม้สะเดา อันเป็นมุขพิมานของเพรุยักษ์ ใกล้นครเวรัญชา



สะเดาเป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ 8-16 เมตร เปลือกสีน้ำตาลแกมเทา ลำต้น เปลา ตรง เรือนยอดเป็นพุ่มหนาทึบ ใบประกอบแบบขนนก มีสีเขียวเข้ม และหนาเป็นมันวาว ขอบใบหยัก เป็นฟันเลื่อย ปลายใบแหลมเรียว ดอกสีขาวออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง มีกลิ่นหอม ผลกลมรี ผิวบาง มีเมล็ดภายในเมล็ดเดียว เมื่อสุกจะมีสีเหลืองและมีกลิ่นหอม



สรรพคุณด้านพืชสมุนไพรนั้นมีมากมาย ใบอ่อนและดอกนำมารับประทาน เพื่อบำรุงโลหิตและน้ำดี ช่วยย่อยอาหาร แก้ลม แก้พยาธิ แก้เลือดกำเดาไหล แก้ริดสีดวงในคอ แก้ลม บิดมูกเลือด, ผล ใช้บำรุงหัวใจที่เต้นไม่เป็นปกติ, รใช้แก้โรคผิวหนัง ยางใช้ดับพิษร้อน, เปลือกใช้แก้ไข้มาเลเรีย และน้ำมันจากเมล็ดใช้เป็นสารกำจัดแมลงศัตรูพืช

ทางคติอินเดียถือว่า ผู้ใดนอนใต้ต้นสะเดาแล้วโรคภัยไข้เจ็บจะหายไป เพราะสะเดาเวลาคายน้ำออกจะมีสารระเหยบางชนิด ที่เข้าใจว่ามีคุณสมบัติทางยาใช้รักษาโรค ถึงกับมีเรื่องเล่ากันว่า ภรรยาชาวอินเดียที่ไม่ยอมให้สามีออกไปต่างบ้าน พยายามสั่งสามีว่า เมื่อจะไปให้ได้ก็ไม่ว่า แต่ในระหว่างเดินทางไปจะพักนอนที่ไหน ขอให้นอนใต้ต้นมะขาม เมื่อนึกจะกลับบ้านก็ขอให้นอนใต้ต้นสะเดา สามีก็เชื่อฟังภรรยา เมื่อออกจากบ้านก็นอนใต้ต้นมะขามเรื่อยไป ต้นมะขามกล่าวกันว่าเป็นต้นไม้ที่ทำให้เกิดความเจ็บไข้ เมื่อนอนใต้โคนอยู่เรื่อยๆ ก็เกิดอาการไม่สบาย ไม่สามารถจะเดินทางต่อไปได้จึงคิดเดินทางกลับบ้าน

เมื่อนึกถึงคำภรรยาสั่งไว้ว่าขากลับให้นอนใต้ต้นสะเดา จึงนอนใต้ต้นสะเดาเรื่อยมา ฤทธิ์ทางยาของไม้สะเดาก็รักษาอาการไข้ของชายคนนั้นให้หายไปทีละน้อยๆ และหายเด็ดขาดเมื่อกลับมาถึงบ้านพอดีนับว่า หญิงอินเดียมีกุโศลบายดีมาก การที่พระพุทธเจ้าจำพรรษาใต้ต้นสะเดาจะเกี่ยวข้องกับคติดังกล่าวหรือไม่คงไม่มีใครทราบ

แต่คตินี้ก็น่าจะให้ข้อคิดบางอย่าง เพราะแพทย์แผนปัจจุบันพยายามสกัดสารพวกอัลคอลอยด์บางอย่างไปใช้ผสมยา เช่น ทำยาธาตุ ยาแก้ท้องเสีย ฯลฯ ฉะนั้น เวลากลางคืนสะเดาจะคายน้ำรวมทั้งคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ย่อมจะมีสารระเหยพวกนี้ออกมาด้วย เมื่อสูดเข้าไปเรื่อยๆ ก็อาจเป็นการบริโภคได้ทางหนึ่ง

มะขามมักจะอยู่ตามโคกและตามโคกมักจะมีสัตว์พวกงูพิษซุ่มอยู่ คนนอนก็จะต้องคอยระมัดระวัง จะไม่เป็นอันหลับอันนอน ก็ย่อมจะเพลียไม่มีแรงเดินทางต่อ และพาลจะเจ็บป่วยไปด้วย แต่สะเดาชอบขึ้นตามที่ราบโล่ง บรรดาสัตว์ร้าย เช่น งูไม่ชอบอาศัย คนนอนก็นอนสบายทำให้มีกำลังแข็งแรง คนเราถ้านอนได้เต็มที่ก็สามารถสร้างภูมิต่อสู้กับโรคภัยได้เช่นกันก็เป็นได้


สะเดาอินเดีย ค่อนข้างจะหายาก แหล่งปลูกใหญ่คือทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด และการตอนกิ่งปักชำ

ปัจจุบัน สะเดาเป็นไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดอุทัยธานี

ข้อมูล : http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=12398

283
พุทธทาส ภิกขุ A_13 ผีมีจริงหรือ?
[youtube=425,350]iOuY9z304Mw[/youtube]


284
ธรรมะ / คลิป นานาธรรมะ
« เมื่อ: 28 ก.พ. 2554, 12:07:10 »
นานาธรรมะ
[youtube=425,350]dmTG33Lf8RQ[/youtube]

น่าฟังน่าสนใจดีครับ

285

ประวัติหลวงปู่ทิม วัดพระขาว ตอนที่1 พลังจิต คลิปวีดีโอ
[youtube=425,350]HUEI_FQsLdw[/youtube]

ประวัติหลวงปู่ทิม วัดพระขาว ตอนที่2 พลังจิต คลิปวีดีโอ
[youtube=425,350]oIRq9JPKtFs[/youtube]

286
ธรรมะ / คุณค่าของเวลา
« เมื่อ: 27 ก.พ. 2554, 10:12:39 »
คลิป  คุณค่าของเวลา

[youtube=425,350]RMEii07yq1I[/youtube]

287
หลวงพ่อจรัญสอนกรรมฐาน ตอนที่ 1/9

[youtube=425,350]krD2u7wCPQk[/youtube]

หลวงพ่อจรัญสอนกรรมฐาน ตอนที่ 2/9

[youtube=425,350]B8xMg8IMhNA&NR[/youtube]

หลวงพ่อจรัญสอนกรรมฐาน ตอนที่ 3/9

[youtube=425,350]hCAB0-_Ffy4[/youtube]

288
ธรรมะ / พระอรหันต์จี้กง (1)
« เมื่อ: 25 ก.พ. 2554, 11:19:54 »
ประวัติพระอรหันต์จี้กง

หลายคนถ้าพูดถึงคำว่า 'พระบ้า' แล้ว ก็ไม่พ้นที่จะนึกถึงพระรูปหนึ่ง .....นามว่า จี้กง (济公) ละครจีนชุดเรื่องจี้กง เคยถูกนำมาฉายและได้รับความนิยมอย่างสูง ภาพพระจี้กง คือ พระที่สวมรองเท้าสานขาดๆ ถือพัดใบลานที่เป็นรู ใส่เสื้อผ้ารุ่งริ่ง มีหมวกโทรมใบเล็ก และที่สำคัญ ขี้ไคลของท่านรักษาได้สารพัดโรค .... แต่นั่นก็เป็นเพียงภาพที่ละครโทรทัศน์ผลิตออกมาเพื่อความบันเทิงเป็นหลักเท่านั้น

สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ นิกายมหายาน จี้กง ถูกจัดเป็น อรหันต์ (罗汉) แต่เป็นพระอรหันต์ที่แปลกประหลาดเสียจนผู้คนงุนงง จนผู้คนให้ฉายานามว่า พระบ้า หรือ พระเพี้ยน (疯和尚) สาเหตุก็ คือ จี้กงเป็นพระที่รับประทานเนื้อสัตว์ ดื่มสุราอยู่เป็นนิจ นอกจากนี้ยังลักษณะท่าทางยังปราศซึ่งความสำรวม ผิดแผกกับ พระสงฆ์ทั่วไปโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม 'เปลือกนอก' กับ 'เนื้อใน' หรือ 'สิ่งที่เห็น' กับ 'สิ่งที่เป็น' นั้นบางครั้งก็มิใช่เรื่องเดียวกันเสียหมด อรหันต์จี้กง ก็ถือเป็นหนึ่งในข้อยกเว้นนั้น
จี้กง (济公) หรือ จี้เตียน (济颠) มีตัวตนอยู่จริงในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ปกครองประเทศจีน โดยใช้ชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ.1148-1209 เดิมแซ่หลี่ นามซินหย่วน (李心远) นอกจากนี้ยังมีนามอื่นๆ อีก เช่น หูหยิ่น (湖隐) และ ฟังหยวนโส่ว (方圆叟) เกิดที่ หมู่บ้านหย่งหนิง ตำบลเทียนไถ มณฑลเจ้อเจียง ในตระกูลของผู้มีอันจะกิน*
อย่างไรก็ตามหลังจาก บิดา-มารดา เสียชีวิต จี้กงก็ตัดสินใจละทางโลก สละเพศฆราวาส ออกบวชที่วัดหลิงอิ่น (灵隐寺) แห่งเมืองหางโจว โดยได้ฉายานามว่า เต้าจี้ (道济) ทั้งนี้เต้าจี้ได้รับการอุปสมบทโดยมีพระสงฆ์ผู้มีชื่อเสียงในเวลานั้น คือ พระอาจารย์ฮุ้ยหย่วน
หลังจากจี้กงออกบวช และ ต่อมาก็ออกลาย กลายมามีพฤติกรรมพิเรนทร์ผิดกับพระทั่วไป จนเป็นที่ติฉินนินทาของพระสงฆ์รูปอื่นๆ แต่ด้าน พระอาจารย์ กลับทราบดีว่า แม้ภายนอกจี้กงจะมีกิริยาไม่สำรวมผิดกับพระทั่วไป ทั้งผิดศีล เล่นซุกซนกับเด็กๆ ประพฤติ-พูดจาไม่สำรวม ดื่มสุรา บริโภคเนื้อสัตว์ แต่ลึกลงไปภายใน จี้กงกลับเป็น - - - บุคคลที่ตื่นแล้ว!
นอกจากนี้ด้วยการกระทำหลายๆ ประการของ จี้กง แม้จะเป็นการกระทำที่ดูเหมือนจะผิดศีลธรรม ผิดประเพณีดั้งเดิม แต่เมื่อพิจารณาจาก เนื้อแท้ จุดมุ่งหมายและผลลัพธ์ แล้ว การกระทำเหล่านั้นของจี้กงกลับเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และ ก่อคุณประโยชน์

สรุปความสั้นๆ ตามความเชื่อของพุทธมหายานก็คือ จี้กงเป็นอรหันต์ที่จุติมาเกิดอีกครั้ง เพื่อสั่งสอนมนุษย์โลก

สำหรับ วัดหลิงอิ่น อันเป็นสถานที่แรกซึ่ง จี้กง ก้าวเข้าสู่ เส้นทางแห่งร่มผ้ากาสาวพัสตร์ นับเป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 1,600 ปี และถึงปัจจุบันก็ยังเป็นสถานที่ซึ่งผู้ซึ่งมาถึง หางโจว ต้องไปเยือนด้วยประการทั้งปวง
วัดหลิงอิ่น (灵隐寺) แปลความหมายเป็นไทยได้ว่า "วัดซ่อนใจ" มีประวัติย้อนไปได้ถึงปี ค.ศ.326 เมื่อพระอินเดียรูปหนึ่ง ธุดงค์มาถึงทิวเขาด้านตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลสาบซีหู และพบหุบเขาที่สามด้านล้อมรอบด้วยป่างาม เหมาะแก่การบำเพ็ญภาวนา ท่านจึงสร้าง วัดซ่อนใจ แห่งนี้ขึ้น** ขณะที่พระอินเดียรูปดังกล่าวเดินสำรวจพื้นที่ก็พบเข้ากับภูเขาหินขนาดมหึมาที่ดูแล้ว ลักษณะโดดออกจากภูมิประเทศโดยรอบ ท่านจึงพรรณาขึ้นว่า "มิทราบว่าเขายอดนี้บินมาจากหนใด" และนี่เองจึงเป็นที่มาของชื่อ ยอดเขาบิน ณ วัดหลิงอิ่น (灵隐-飞来峰)***

ทั้งนี้ ในเวลาต่อมาด้วยความศรัทธาต่อ พระจี้กง ชาวบ้านหางโจวจึงโยงใยที่มาของยอดเขาบินที่วัดหลิงอิ่นเข้าเกี่ยวพันเป็นหนึ่งในตำนานอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของ พระจี้กง แต่งเป็นนิทานขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง โดยนิทานพื้นเมืองของชาวหางโจวเรื่องนั้นระบุเอาไว้ว่า
เดิมยอดเขาประหลาดดังกล่าวตั้งอยู่ในบริเวณดินแดนแถบตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลเสฉวน .... เช้าวันหนึ่งเมื่อพระจี้กง มีญาณบอกล่วงหน้าว่า ราวเที่ยงวันยอดเขาดังกล่าวจะบินมาตกทับหมู่บ้านข้างวัดหลิงอิ่น และจะทำให้มีผู้คนเสียชีวิตมากมาย ด้วยเหตุนี้พระจี้กงจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อบอกมหันตภัยดังกล่าวให้กับชาวบ้านได้รับทราบ เพื่อที่จะได้พากันอพยพไปยังที่ปลอดภัย
"เที่ยงวันจะมีภูเขาหล่นลงมาทับหมู่บ้าน ทุกคนรีบเก็บข้าวข้องเร็ว ไม่งั้นก็ไม่ทันแล้ว" จี้กงกระหืดกระหอบ มาตะโกนบอกชาวบ้านโดยทั่ว
อย่างไรก็ตามด้วย ความที่ชาวบ้านมองว่า จี้กง เป็นเพียงพระบ้ารูปหนึ่งที่กล่าวอะไรไร้สาระไปวันๆ ทุกคนจึงส่ายหัว พร้อมกับด่าทอว่า "พระบ้าเอ้ย! จะหาเรื่องอะไรมาเล่นสนุกอีกละ ภูเขาบินมีที่ไหนกันเล่า!"
ตะวันยิ่งลอยยิ่งสูง .... ใกล้ถึงเวลาเที่ยงวันที่ยอดเขาจะตกลงมายังหมู่บ้านเข้าไปทุกที พอดีในวันนั้นมีการจัดงานมงคลสมรส จึงมีเสียงของงานรื่นเริงดังขึ้นที่มุมหนึ่งของหมู่บ้าน
เมื่อจี้กงเห็นว่าไม่มีใครยอมเชื่อสิ่งที่ตนเองกล่าวเตือน จี้กงจึงตัดสินใจแอบลอดตัวเข้าไปในงาน หลบหลีกผู้คน อุ้มเจ้าสาวหนีออกจากงานเสีย
จี้กงอุ้มเจ้าสาวและวิ่งอย่างว่องไวออกไปนอกหมู่บ้าน ขณะที่ชาวบ้านที่มาร่วมงานต่างก็วิ่งไล่จับ พร้อมกับตะโกนป่าวร้อง ให้ทุกคนช่วยกันคว้าตัว 'พระบ้าขโมยเจ้าสาว' อย่างไรก็ตามด้วยอิทธิฤทธิ์ จี้กงก็มีฝีเท้าเร็วพอที่จะไม่ถูกใครไล่ตามจับได้ทัน
จี้กงกวดฝีเท้าออกมาๆ พร้อมกับผู้คนทั้งหมู่บ้านที่วิ่งไล่ตาม ออกมาไกลสิบกว่าลี้จนกระทั่งเลยรัศมีของยอดภูเขามหันตภัย เห็นดังนั้นจี้กงจึงวางเจ้าสาวลง เมื่อหยิบพัดใบลานขึ้นมาโบกคลายร้อน ก็บังเกิดเสียงดังลั่นสนั่นพสุธา!!! .... ยอดเขาตกลงมาทับหมู่บ้านอย่างที่คาดไว้
ชาวบ้านที่วิ่งตามมา เมื่อหันกลับไปมองสภาพภูเขายักษ์หล่นมาทับหมู่บ้านของตนเสียแบนก็ทราบว่าสิ่งที่จี้กงกล่าวเตือนนั้นเป็นความจริง ส่วนการที่จี้กงอุ้มเจ้าสาวหนีออกมาจากงานมงคลนั้นก็เพื่อช่วยชีวิตชาวบ้านทั้งมวลนั่นเอง แต่ทั้งนี้หลังจากเห็นบ้านช่อง ทรัพย์สมบัติถูกทับแบนอยู่ใต้ภูเขา ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยก็เกิดความเสียดายและเศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้ ตีอกชกเท้า กันเป็นพัลวัน
ด้วยสภาพดังกล่าว จี้กงจึงหันไปกล่าวกับชาวบ้านเหล่านั้นว่า "ร้องไห้ไปทำไม พวกเจ้าที่ดินที่มัวแต่เสียดายสมบัติต่างก็ถูกทับจมอยู่ใต้ภูเขาไปแล้ว จากนี้ต่อไปทุกคนก็กลับไปทำไรทำนาของตัวเอง ทำเท่าไหร่ได้เท่านั้น ชีวิตก็ยังมี จะยังกลัวสร้างเรือนใหม่ไม่ได้ไปใย"
ชาวบ้านพอได้ยินก็สำนึกได้ว่าท่ามกลางความทุกข์ก็ยังพอมีประกายแสงแห่งความสุขเรืองรองอยู่บ้าง ท่ามกลางความสูญเสียอย่างน้อยที่สุดพวกตนก็ยังรักษาชีวิตให้รอดอยู่ได้ เมื่อเห็นชาวบ้านพอจะคลายทุกข์ลงได้แล้ว จี้กงก็รั้งเหล่าชาวบ้านเอาไว้ และกล่าวต่อว่า
"อย่างเพิ่งไป ทุกคนฟังอาตมากล่าวก่อน ยอดเขาก้อนนี้เดิมลอยไปลอยมา จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง หลังทับทลายหมู่บ้านของพวกเราแล้วก็อาจจะบินไปทับหมู่บ้านอื่น อาจทำให้คนเสียชีวิตอีกมากมาย อาตมาขอร้องให้พวกเราช่วยกันสลักพระอรหันต์ 500 องค์ไว้บนภูเขาลูกนี้ เพื่อที่จะทำให้ภูเขาลูกนี้ไม่บินไปสร้างอันตรายให้กับผู้อื่นอีก" ชาวบ้านได้ยินดังนั้นจึงรีบกลับไปช่วยกันสลักพระอรหันต์ 500 องค์ไว้บนยอดเขาบินกันคนละไม้ละมือ ...... โดยนับจากนั้น ยอดเขาดังกล่าวก็ไม่บินไปสร้างอันตรายให้ใครอีก และถูกเรียกขานกันต่อๆ มาว่า ยอดเขาบิน ณ วัดหลิงอิ่น

ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวก็ยังคงสามารถเข้าชม ยอดเขาบินและพระพุทธรูปสลัก 500 อรหันต์ได้ ทั้งนี้ พระพุทธรูปสลักที่ยอดเขาดังกล่างนี้ถูกจัดว่าอยู่ในส่วนของ วัฒนธรรมถ้ำหินสลัก (石窟文化) โดยถ้ำหินสลัก ที่นี่แม้จะไม่ถูกจัดให้เป็น 3 สุดยอดแห่งถ้ำหินสลักแห่งแผ่นดินจีน เหมือนกับ ถ้ำหินสลักโม่เกา (莫高石窟) แห่งตุนหวง, ถ้ำหินสลักหลงเหมิน (龙门石窟) แห่งลั่วหยาง หรือ ถ้ำหินสลักหยุนกัง (云冈石窟) แห่งต้าถง (大同) มณฑลซานซี แต่ ถ้ำหินสลักที่นี่ก็ยังมีดีไม่น้อย เนื่องจากนับว่าเป็นตัวแทนหนึ่งของ วัฒนธรรมถ้ำหินสลักของจีนภาคใต้ แถบลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ที่สืบเสาะประวัติศาสตร์ย้อนรอยกลับไปได้นานกว่า 1,000 ปี


ที่มา
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=picha-mon&date=15-02-2009&group=12&gblog=4

289
บทสวดมนต์ / ไหว้พระสวดมนต์ทำไม??
« เมื่อ: 25 ก.พ. 2554, 10:24:54 »
ไหว้พระสวดมนต์ทำไม??

                  ผู้ที่มีรัตนตรัยเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งของชีวิต ควรปฏิบัติกิจวัตรนี้ เพราะเป็นหน้าที่ของชาวพุทธ และ...

                  ๑. เป็นการรักษาธรรมเนียม ประเพณีที่ดีให้คงอยู่
                  ๒. เป็นการแสดงความเคารพบูชาพระรัตนตรัย
                  ๓. เป็นการเชื่อมสามัคคีในหมู่คณะ ครบไตรทวาร
                  ๔. เป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืน
                  ๕. เพื่อฝึกกายใจให้เข็มแข็งอดทน
                  ๖. เพื่อดำรงรักษาเอกลักษณ์ของชาติไทยไว้
                  ๗. เพื่ออบรมจิตใจให้สะอาด สงบ สว่าง
                  ๘. เพื่อฝึกจิตให้เกิดสมาธิ ไม่ฟุ่งซ่าน
                  ๙. เพื่อเป็นการทบทวนพระพุทธพจน์

ประโยชน์ของการไหว้พระสวดมนต์...

                  ๑. เป็นการเสริมสร้างสติปัญญา
                  ๒. เป็นการอบรมจิตใจให้ประณีตและมีคุณธรรม
                  ๓. เป็นสิริมงคล แก่ชีวิตตน และ บริวาร
                  ๔. เป็นการฝึกจิตใจให้มีคุณค่าและมีอำนาจ
                  ๕. ทำให้มีความเห็นถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา
                  ๖. เป็นการรักษาศรัทธาปสาทะของสาธุชนไว้
                  ๗. เท่ากับได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแม้ปรินิพพานแล้ว
                  ๘. เป็นเนตติของอนุชนต่อไป
                  ๙. เป็นบุญกิริยา เป็นวาสนาบารมี เป็นสุขทางใจ


ขอบคุณ/ที่มา
http://www.mongkoltemple.com/page02/articles004.html

290
ตอนที่ 38.... หลงสุขจึงไม่เห็นทุกข์

      ทางแห่งความหลงมีหลายแยกแต่ละทางแยกยังมีทางแยกออกไปอีกหลายสาย จนคนหลงทางมองไม่เห็นถึงความหลงนั้นและเดินไปด้วยคิดว่าเป็นหนทางแห่งความถูกต้องเพราะตรงกับจริตของตนเอง ทางเช่นนี้จึงสมควรเรียกว่า "ทางแห่งอวิชชา" เพราะเป็นความไม่รู้ที่แท้จริง กล่าวคือไม่รู้ว่าตนเองยังหลงอยู่ สมาธิที่ทำให้ผู้ลุ่มหลงทั้งหลายต้องจ่ายเงินตราให้แก่ผู้แสวงหาลาภสรรเสริญมากมายจนกลายเป็น "สมาธิพาณิชย์" ที่ทำกำไรมหาศาลยิ่งกว่ากิจการค้าใดๆ ในโลกนี้
มีหลวงพ่อองค์หนึ่งซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่เข้าฌาณสมาบัติถอดจิตไปเฝ้าพระพุทธเจ้าได้แล้วยังพาผู้อื่นขึ้นไปเฝ้าพระพุทธองค์ ได้อีกด้วยจึงกลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมีผู้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ มากมาย เงินทองจึงเดินสะพัด
      "โยมเงินทองมิได้ช่วยให้ไปถึงนิพพาน ใส่ไว้ทำไมให้จิตใจลุ่มหลงมัวเมา ผู้ที่ถอดได้คือ ผู้ที่ตัดได้ จึงได้ชื่อเป็นผู้ละวางความลุ่มหลงลงไปได้ เอ้าถอดสายสร้อย แหวน ใส่ลงไปในบาตรของอาตมาแล้วจะปลุกเสกให้กลายเป็น อริยะทรัพย์ฝากไว้ในพระพุทธศาสนา"
ญาติโยมฟังจนเพลินและไพเราะหนักหนาต่างพากันถอดทรัพย์สินใส่ลงไปในบาตรทั้งหมด โดยหวังว่าเมื่อปลดระวางทรัพย์ทั้งหลายลงไปแล้วจิตใจจักได้เบาสบายและสามารถเกาะจีวรหลวงพ่อขึ้นไปเฝ้าพระพุทธองค์ได้   ญาติโยมถอดแก้วแหวนเงินทอง แต่หลวงพ่อกลับไปติดที่โบสถ์สวยงามดังวิมานบนชั้นฟ้า ทั้งหลวงพ่อและโยมจึงกลายเป็นผู้ติดความสุขไปโดยไม่รู้ตัว

      พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวว่า
"สำหรับบุคคลที่ลิ้นของเขาพูดได้ไพเราะ แต่ใจของเขาไม่สะอาดสมาธิและปัญญาไม่มีประโยชน์อะไรแก่เขา เพราะสมาธิและปัญญาของเขาไม่มีทางสมดุลย์หรือสัมพันธ์กันได้เลย ส่วนอีกทางหนึ่งซึ่งตรงกันข้ามคือถ้าดีทั้งใจและดีทั้งถ้อยคำที่พูดทั้งกริยาอาการภายนอกกับความรู้สึกในใจประสานกลมกลืนกันแล้วนั่นแหละ คือกรณีสมาธิและปัญญาได้สัมพันธ์กันอย่างสมดุลย์"
ความหมายแห่งพระวจนะนี้ได้ชี้ให้เห็นความเป็นจริงที่ชัดเจนว่า
สมาธิและปัญญา แม้เป็นของอย่างเดียวกัน แต่การสำแดงออกมาถ้าปราศจากสมาธิควบคุม ก็อวดอ้างว่าตนเองสำเร็จบรรลุธรรมพ้นไปจาก โลภ โกรธ หลง แล้ว เขาเหล่านี้จึงกลายเป็น โมฆะบุรุษ คือ ผู้มาเปล่าและกลับไปเปล่านั่นเอง

ส่วนผู้ที่สามารถทำให้ภายนอกและภายในจิตใจของตนเองมีความสมดุลย์กัน เพราะ สติ เป็นกำลังสำคัญ สมาธิจึงสำแดงปัญญาออกมาต่อสัจธรรมแห่งธรรมญาณซึ่งมีความอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่แล้วตามธรรมชาติ  แม้ผู้นั้นบรรลุถึง ธรรมญาณเดิม ของตนแล้วจึงมิใช่ผู้ที่จะมาอวดอ้างยกตนเหนือผู้อื่นว่า พ้นไปแล้วจากโลกียกรรมทั้งปวง

      พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงให้อรรถาธิบายว่า
"การโต้แย้งจึงไม่เกิดขึ้นแก่นักศึกษาผู้ที่มีความสว่างไสวแล้ว แต่ถ้ายังโต้แย้งถกเถียงกันว่า ปัญญาเกิดก่อน หรือสมาธิเกิดก่อนนั่นแหละ  จะทำให้ผู้นั้นตกอยู่ในภาวะเช่นเดียวกับคนที่ถูกอวิชชาครอบงำเพราะการเถียงกันย่อมหมายถึงความดิ้นรนจะเป็นฝ่ายชนะย่อมเสริมกำลังให้แก่ความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตน และย่อมผูกพันเราไว้กับความยึดถือ ด้วยความสำคัญว่าตัวตนว่าสัตว์ ว่าชีวะ ว่าบุคคล"
เพราะเหตุนี้เองใครที่อวดอ้างว่าตัวเองสำเร็จธรรม และเห็นผู้อื่นไม่สำเร็จธรรม คนผู้นั้นจึงเป็นผู้โง่เขลาที่แท้จริง และแบ่งแยกดูถูกคนทั้งปวง
"อรหันต์" ตั้งตัว และลูกศิษย์ตั้ง จึงกลายเป็น "อรหันต์จับฉ่าย" ไปด้วยประการเช่นนี้ เพราะทั้งศิษย์และอาจารย์ต่างยังตกอยู่ในวังวนของ "อวิชชา"

ความไม่รู้ของผู้สนใจศึกษาธรรมะและหลงติดใน สมาธิจึงไม่รู้ถึงความเป็นจริงระหว่างสมาธิกับปัญญาว่ามีลักษณะเป็นเช่นใด

      พระสังฆปริณายกฮุ่ยเหนิงได้เปรียบเทียบเอาไว้อย่างน่าสนใจและชัดเจนว่า
"สมาธิและปัญญานั้น ควรเปรียบเทียบกับอะไรดีเล่า ธรรมะ สองชื่อนี้ควรเปรียบกับตะเกียงและแสงของมันเอง มีตะเกียง ก็มีแสงไม่มีตะเกียง มันก็มืด ตะเกียงนั่นแหละคือตัวการแท้ของแสงสว่างและแสงสว่างเป็นแต่สิ่งซึ่งแสดงออกของตะเกียงโดยชื่อฟังดูเป็นสองอย่างแต่โดยเนื้อแท้แล้วมันเป็นของอย่างเดียว และเป็นทั้งของอย่างเดียวกันด้วย กรณีเช่นนี้แหละเปรียบได้กับ สมาธิปัญญา"

ผู้ที่ปฏิบัติสมาธิจึงตกอยู่ในภาวะสองอย่าง คือ หลงติดกับตัวตะเกียงหรือแสงสว่างของตะเกียง ถ้าเฝ้าดูเพลิดเพลินไม่ว่าอย่างใดอย่างหนึ่งจึงเป็นผู้ติด  ธรรมดาเมื่อตะเกียงจุดแสงสว่างย่อมนำไปใช้ประโยชน์เพื่อส่องทางแต่บัดนี้บรรดาผู้ปฏิบัติสมาธิขั้นหลงลมอาจารย์หรือหลงสมาธิต่างมีความสุขเพลิดเพลินไปกับแสงสว่างบ้าง ความนิ่งบ้าง จนลืมความทุกข์ที่แท้จริงของชีวิตอันเป็นวิบากกรรมที่ตนเองสร้างเอาไว้
คนหลงเหล่านี้เชื่อว่าการพ้นหนี้เวรกรรมของตน ใช้สมาธิเป็นหนทางหนีรอดได้ ถ้าความสุขทำได้ง่ายเช่นนี้ กฎแห่งกรรมก็มิใช่สัจธรรมอีกต่อไป
ทำร้ายชีวิตอื่นอย่างทารุณก็สามารถนั่งสมาธิหนีหนี้ได้สบายมากจริงไหม

291
ตอนที่ 30.... แสงแห่งพระพุทธะ

      มนุษย์ปุถุชนซึ่งถูกกิเลสครอบงำ "ธรรมญาณ" อย่างหนาแน่นจึงไม่อาจพบแสงแห่งพระพุทธะได้ บุคคลเหล่านี้จึงมีแต่ศรัทธาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายนอก
เมื่อเห็นสิ่งใดที่ตัวเองปฏิบัติไม่ได้ แต่ผู้อื่นกระได้จึงพากันกราบไหว้อ้อนวอนให้ผู้นั้นปกปักรักษา เขาจึงกลายเป็นผู้สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปโดยสิ้นเชิง

ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน สาธุคุณจิม โจนส์ เจ้าลัทธิวิปริตแห่งสหรัฐอเมริกา เผลแพร่วันสิ้นสุดของโลกจนได้สาวกมากมายและกำหนดหมายให้สาวกทั้งปวงฆ่าตัวตาย เพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้าปรากฏว่ามีผู้ยอมฆ่าตัวตายหลายพันคน
      ความหลงที่ปิดบัง "ธรรมญาณ" แห่งตนได้ก่อให้เกิดการกระทำที่น่าหัวเราะเยาะมากมาย เช่น ผู้คนพากันเช่ารถบัสมุ่งหน้าไปที่บ้านแห่งหนึ่งในจังหวัดภาคใต้เพราะข่าวเล่าลือว่าหมาออกลูกเป็นคนต่างจึงกราบไหว้บูชาเพียงเพื่อขอเลขแทงหวย ทั้งๆ ที่ลูกหมานี้พิการมีสองขาหน้าแบนๆ และตายแล้ว
      ข่าวเช่นนี้ปรากฏขึ้นบ่อย บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ หมูออกลูกเป็นหมาหรือเป็นช้าง ต้นไม้แปลกประหลาดพิสดาร ล้วนเครื่องชี้ให้เห็นว่าความหลงมิได้เหือดแห้งไปจากโลกนี้
แต่ในขณะเดียวกันผู้ที่นับถือตัวเองชนิดหลงใหลในความดีงามหรือความสามารถที่เหนือผู้อื่น บุคคลเหล่านี้ก็มีพฤติกรรมไม่ต่างไปจากผู้หลงสิ่งอื่นเช่นกัน
เขาเหล่านั้นจักสร้างบาปเวรกรรมอย่างประมาณมิได้
มีแต่ผู้พบ "ธรรมญาณ" เท่านั้นจึงมีความเสมอภาคเพราะเห็นผู้อื่นมีทุกอย่างเหมือนตนเอง

      พระพุทธองค์ทรงยืนยันถึงความเสมอภาคของเวไนยสัตว์ว่ามิได้มีอะไรแตกต่างกันเลย เพราะแต่เดิมมา "ธรรมญาณ" มีแหล่งกำเนิดที่เดียวกันแลมีสภาวะ คุณสมบัติเหมือนกันทุกประการ พระอริยเจ้ากล่าวว่า
"วางมีดลงจึงเป็นพระพุทธะ"

      พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงให้คำอธิบายเกี่ยวกับ "ความรู้แจ้ง" เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า
"ภายในธรรมญาณย่อมมีองค์ตถาคตแห่งความตรัสรู้ซึ่งสามารถส่องแสงอันแรงกล้าออกมาทำความสว่างที่ประตูภายนอกทั้งหกประตูและควบคุมมันให้บริสุทธิ์"
พระวจนะนี้มีความหมายว่าทุกคนมีความสามารถรู้แจ้งได้ด้วยตนเอง ควบคุมความเคลื่อนไหวแห่งจิตมิให้เกิดกิเลสคือความสกปรกมาทำลายความบริสุทธิ์แห่งพุทธจิต

ประตูทั้งหกซึ่งเปรียบเสมือนมหาโจรคือ ตา หู จมูก ปาก กาย และจิต ซึ่งเป็นหนทางพาให้ความโลภ โกรธ หลง ไหลวนเวียนเข้าไปในธรรมญาณจนกลายเป็นคนหลง

อายตนะทั้งหกประการนี้ล้วนเป็นต้นกำเนิดก่อให้เกิดอารมณ์สามระดับ คือ หยาบ กลาง ละเอียด แล้วแต่อำนาจการปรุงแต่งของจิตญาณที่สั่งสมเอาไว้มากมาย ทั้งปัจจุบันชาติและอดีตชาติ

จิตที่ปรุงแต่งอารมณ์ทั้งปวงและสั่งสมจนกลายเป็นอนุสัยนอนเนืองอยู่ในขันธสันดานได้กลายเป็นวาสนาบารมีติดตามไปชาติแล้วชาติเล่าแม้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว วาสนาบารมีก็ติดตามมา เช่น พระสารีบุตร

      ครั้งหนึ่งมีเศรษฐีท่านหนึ่งเกิดจิตศรัทธาใคร่ถวายผ้าจีวรสามผืนแด่พระสารีบุตร จึงนิมนต์ให้พระสารีบุตรไปรับประเคนที่บ้านของตนระหว่างทางต้องข้ามท้องร่อง พระสารีบุตรกระโดดข้ามด้วยความว่องไวเศรษฐีรู้สึกขัดใจจึงคิดว่า สมณะรูปนี้ไม่สำรวมเลย
"เราจักถวายผ้าเพียงสองผืนเท่านั้น" เศรษฐีคิดในใจ

      เมื่อเดินทางผ่านท้องร่องที่สอง พระสารีบุตรก็ยังคงกระโดดข้ามอีก เศรษฐีจึงกำหนดหมายว่าจักถวายผ้าเพียงผืนเดียวเท่านั้น
แต่พอผ่านมาถึงท้องร่องที่สาม พระสารีบุตรไม่กระโดดข้ามกลับเดินอ้อมไปอย่างสำรวม เศรษฐีจึงถามด้วยความแคลงใจว่า
"ทำไมท้องร่องนี้พระคุณเจ้าจึงไม่กระโดดเล่า ขอรับ"
"อ้าว ถ้าอาตมากระโดดข้ามท้องร่องนี้โยมก็ไม่ได้ถวายผ้า แน่ะซี"

      พระสารีบุตรในอดีตชาติได้ถือกำเนิดเป็นวานรเพราะฉะนั้นนิสัยกระโดดโลดเต้นจึงติดตัวมา แม้ในปัจจุบันชาติสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วยังไม่อาจตัดวาสนาแห่งวานรได้อย่างหมดจด

      พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวถึงแสงแห่งการตรัสรู้ว่า
"แสงนี้แรงมากพอที่จะผ่านสวรรค์ชั้นกามาวจรทั้งหก และเมื่อมันย้อนกลับเข้าไปภายในธรรมญาณมันจะกลับธาตุอันเป็นพิษทั้งสามประการให้หมดไปและชำระล้างบาปที่ทำให้ตกนรกหรืออบายภูมิและทำความสว่างไสวให้เกิดขึ้นแก่เราภายใน ภายนอก จนกระทั่งไม่มีอะไรแตกต่างจากพวกที่เกิดในแดนบริสุทธิ์ ทางทิศตะวันตก แต่ถ้าไม่ฝึกตัวเสียแล้วเราจักบรรลุถึงแดนบริสุทธิ์นั้นได้อย่างไร"

      ความหมายที่พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวไว้เช่นนี้เพราะการรู้แจ้งธรรมญาณแห่งตนเปรียบประดุจดังการตรัสรู้ และตัดการเวียนว่ายตายเกิดหกช่องทางได้เด็ดขาด แม้พิษร้ายสามประการอันได้แก่ โลภ โกรธ หลง ก็ขจัดให้หมดสิ้น
การเกิดในแดนบริสุทธิ์ทิศตะวันตกนั้นได้กำหนดหมายเอาไว้ว่าเป็นดินแดนแห่งพุทธเกษตร แต่พระธรรมาจารย์ได้ชี้ให้เห็นว่า แท้ที่จริงถ้าไม่พบธรรมญาณของตนเอง มณฑลแห่งจิตของตนเองก็มืดมิดมิใช่พุทธเกษตร ให้กราบไหว้พระพุทธเจ้ากี่แสนพระองค์ก็ไม่อาจพบพุทธภูมิ
พิษร้ายสามประการและการเวียนว่ายทาง หู ตา จมูก ปาก สะดือ และกระหม่อม จึงเป็นหนทางหลงซึ่งไม่มีผู้วิเศษใดสามารถดลบันดาลให้พ้นไปได้เลย


ที่มา
http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=118&page=15

292
แม่ชีทศพร 018 - ฟังไว้ใครรับขันธ์ ๑

[youtube=425,350]dds7c-SRS1Q[/youtube]

293
ทำผิดศีลไม่กล้าสวดมนต์

รายละเอียด
“ศีล 5 รักษาให้เคร่งครัด เจริญแน่ แต่ถ้าเกิดโยมทำผิดอะไรไปข้อหนึ่ง ศีลอีกสี่ข้อมันยังค้ำโยมอยู่นะ”

บางคนบอกว่า เพิ่งกินเหล้ามาจะไปสวดมนต์ได้อย่างไร มันรู้สึกผิดในใจ เพราะว่าเพิ่งทำผิดมาหมาด ๆ กลัวทำไม่ได้ มันจะบาปหนักขึ้นไปอีก แต่มันไม่ใช่ ในนาทีนั้น นาทีที่สมาทานศีล โยมไม่ทำบาปแน่ โยมบริสุทธิ์ในนาทีนั้น ชั่วโมงนั้น ขอให้สมาทานไว้ ถึงแม้วันรุ่งขึ้นจะทำผิดอะไรไปข้อหนึ่ง สิ่งที่สมาทานไว้ก็ยังเหลืออีกสี่ข้อ ศีลอีกสี่ข้อมันยังค้ำอยู่นะ ก่อนบวชแม่ชีเป็นคนที่เมา แต่แม่ชีก็สวดมนต์ แม่ชียังมีจิตใต้สำนึก มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป ทำเป็นกิจวัตรประจำวัน ถ้าวันไหน ไม่ได้สวดมนต์ ก็จะนอนไม่ได้เหมือนกัน มันเป็นนิสัยถึงจะเมาอย่างไรก็ลุกขึ้นมาสวด อิติปิโส 108 จบ สวดอิติสุคโต 108 จบ สวดยอดพระไตรปิฎก สวดชินบัญชร สวดทุกอย่างเลย สวดธรรมจักรด้วย แต่ก็เจอกรรม เพราะไม่ได้สมาทานศีล 5 ทุกคนก็เลยปฏิเสธ ไม่มีใครทำผิดพร้อม ๆ กันทีเดียวห้าข้อหรอก ฉะนั้นอย่ากลัวที่จะสวดมนต์

แต่มันจะยากสำหรับคนที่มีทิฐิในใจ ยังไม่ทันจะสวดเลยตั้งป้อมแล้ว ตั้งมุมแล้ว ตั้งมุมสู้แล้ว แต่เรื่องที่จะมาขัดแย้งกับศีลนะ เรื่องที่มันเป็นอบาย พูดเรื่องคนอื่นทั้งคืน ประจานคนอื่นทั้งคืนไม่รู้สึกอะไร ทำไมพูดด่าแช่งคนอื่นพูดได้ เรื่องไม่ดีจะด่าใครไม่ต้องจดไม่ต้องจำ มันออกมาจากจิตใต้สำนึกเลยนะ เรื่องของภูมิของเดรัจฉานคือ มันออกมาแบบเป็นสเต็ปเลย คนมักจะไม่เข้าใจเรื่องดีหรอก เพราะเรื่องดีมันต้องใช้ทั้งจดและทั้งจำ แต่พอจะทำดี ศีลแค่ห้าข้อเนี่ย มันสงสัยเสียจนแบบว่าแทบจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้

ที่ย้ำให้สวดมนต์ก่อนนอนเพราะว่าคืนนี้โยมนอนไป โยมไม่ไปทำผิดแน่ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง หมายถึง ขอรับเป็นข้อ ๆ นะ มันลักษณะห้าอย่างเป็นข้อ ๆ พอวันรุ่งขึ้นอานิสงส์ที่สมาทานไว้ จะส่งผลว่าโยมไม่ต้องตัดสินใจในเรื่องของความโลภเลย

หนังสือ ทำอะไรก็เจริญ

ขอกราบขอบพระคุณ
แม่ชีทศพร บุญเทวาพิทักษ์
http://www.thossaporn.com/
http://www.thossaporn.com/view_media.php?media_id=20&PHPSESSID=2006ea7c283b83f74fb2114021f665fa

294
ตอนที่ 20.... วิมุติปัญญา

      ธรรมญาณ" ของมนุษย์มีพลานุภาพยิ่งใหญ่นัก แต่ที่ด้อยศักยภาพเพราะกิเลสทั้งปวงที่พัวพันและทำให้ด้อยค่าลงไปจึงกลายเป็นปุถุชนที่มีความ "ติดยึด" ทุกสิ่งไม่ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ในสภาพเช่นไร ด้วยเหตุนี้ปัญญาจึงไม่มีอิสระ ความคิดที่เกิดขึ้น จึงปนเปไปตามสภาพของสิ่งที่ "ติดยึด"ทั้งสิ้น
ภาวะ "ธรรมญาณ" จึงไม่อาจปรากฎได้
      ความทุกข์จึงเกาะกุม "ธรรมญาณ" เอาไว้อย่างเหนียวแน่นจนแม้แต่ตัวเองก็ไม่อาจรู้ว่านั่นเป็น "ความทุกข์" เพราะไม่อาจใช้ปัญญาดั้งเดิมรู้ปัญหาได้เลย
      พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้บอกเอาไว้ว่า
"เมื่อเราใช้ปัญญาดั้งเดิมเพ่งพิจารณาภายในได้ ย่อมเกิดความสว่างไสวแจ่มแจ้งทั้งภายในและภายนอกและอยู่ในฐานะที่จะรู้จักใจของเราเองการรู้จักเช่นนี้จึงถือว่าเป็นกาารลุถึงวิมุติคือการหลุดเป็นอิสระจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวง ภาวะการลุถึงวิมุติก็คือการลุถึงสมาธิฝ่ายปัญญา ซึ่งเป็น "ความไม่ต้องคิด" อันหมายถึงการเห็นและรู้สิ่งทั้งปวงตามความเป็นจริงด้วยใจที่ไม่มีอะไรห่อหุ้มพัวพัน"
การใช้ "ความไม่ต้องคิด" นั้นหมายความว่าใจมิได้กำหนดทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว จึงมิได้ติดอยู่กับภาวะดีหรือชั่ว
      เมื่อ "ธรรมญาณ" ขยับจึงเกิดเป็น "จิต" และไหลเลื่อนกลายเป็นความคิดดีหรือชั่วตามเหตุปัจจัยที่เกาะเกี่ยวเอาไว้ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากเหตุปัจจัยภายนอกทำให้ "จิต" แปรเปลี่ยนไปตามสภาพแห่งการปรุงแต่ง เพราะฉะนั้นจึงเกิด "ทุกข์" และ "สุข" เสมอ
"ทุกข์" และ "สุข" ที่จิตกำหนดหมายเอาไว้ไม่ยั่งยืนไปได้เพราะความแปลเปลี่ยนของ "จิต" ไม่มีที่สิ้นสุด มี "เกิด" และ "ดับ" อยู่ตลอดเวลา
ภาวะที่เป็นเช่นนี้จึงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น "ปัญญาดั้งเดิม" และถ้าใช้พิจารณาภายในของตนเองก็ไม่อาจพบพบความสว่างแจ่มแจ้งภายในได้เพราะเป็นการปรุงแต่งโดยอิทธิพลภายนอกทำให้ไม่อาจมองย้อนส่องตนได้ตามความเป็นจริง
      พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวว่า "เมื่อเราใช้"ความไม่ต้องคิด"ธรรมญาณนั้นก็แทรกไปได้ในทุกสิ่งแต่ไม่ติดอยู่ในสิ่งใดเลย สิ่งที่เราต้องทำนั้นมีเพียงการชำระจิตให้ใสกระจ่างเพื่อวิญญาณทั้งหกแล่นไปตามอายตนะหก จะไม่ถูกทำให้เศร้าหมองโดยอารมณ์ทั้งหก เมื่อใด "ธรรมญาณ" ของเราทำหน้าที่ได้โดยอิสระ ปราศจากอุปสรรคและอยู่ในสถานะที่จะ "มา" หรือ "ไป" ได้โดยอิสระ เมื่อนั้นจึงได้ชื่อว่าเราได้บรรลุ สมาธิฝ่ายปัญญา หรืออิสรภาพสถานะเช่นนี้จึงมีนามว่า การทำหน้าที่ของ "ความไม่ต้องคิด"
      การที่อายตนะหกอันได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้รับรสจากวิญญาณทั้งหกย่อมมีความหมายว่า ได้ก่อให้เกิด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และ ธรรมารมณ์ และ "ธรรมญาณ" รับไปปรุงแต่งภายในย่อมก่อให้เกิดความ "ชอบ" และ "ชัง" เช่น
รูป น่ารักและน่าชัง
รส หวานหรือขม
กลิ่น หอมหรือเหม็น
เสียง ไพเราะหรือหยาบคาย
สัมผัส อ่อนหรือแข็ง
อารมณ์ ดีหรือร้าย
      การกำหนดหมายเอาว่า "ชอบ" หรือ "ชัง" เป็นเรื่องที่ "จิต" ปรุงแต่งไปตามเคยชินและยึดถือเอาไว้แน่นหนา จึงนำความทุกข์ ทำให้ "จิต" เศร้าหมองได้
ถ้าใช้ "ความไม่คิด" ก็คือ การเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็นมิได้ไปกำหนดหมายว่า "น่ารัก" หรือ "น่าชัง" เช่นนี้จึงกล่าวได้ว่าเราบรรลุถึง "วิมุติปัญญา" เพราะสามารถตัดความยึดมั่นถือมั่นได้เด็ดขาดความเป็นอิสระจากเครื่องร้อยรัดเหล่านี้จึงเป็นจริง
แต่ปุถุชนยึดมั่นไม่อาจตัดออกไปได้ "ปัญญา" ที่ใช้ไปจึงเป็นไปตามสภาพแห่งความอยากได้ ถ้ารูปสวยและปฏิเสธถ้ารูปชัง
      เมื่อได้ "รูปชัง" จึงเกิดความทุกข์
      ครั้นได้ "รูปสวย" จึงเกิดความสุข
      แต่ไม่ว่าจะ "สวย" หรือ "น่าเกลียด" ล้วนต้องเสื่อมสลายไปตามสภาพความเป็นจริงแห่งสัจธรรม ดังนั้นจึงเกิดความเศร้าหมอง "ธรรมญาณ" จึงมิได้พบภาวะอิสระ ไม่อาจ "มา" หรือ "ไป" ได้โดยง่ายเพราะติดตรึงอยู่กับอารมณ์ทั้งหก
วิมุติปัญญา เป็นปัญญาอันทำให้เกิดภาวะหลุดพ้นไปจากเครื่องร้อยรัดเหล่านี้ได้โดยมิต้องกำหนดหรือบีบบังคับแต่อย่างใดเลย
เพราะฉะนั้นการภาวนาใดๆ หรือใช้แปดหมื่นสี่พันวิธีเพื่อบีบบังคับหรือกำหนดมิให้ "ธรรมญาณ" ติดตรึงอยู่กับอารมณ์ทั้งหกจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เช่น เมื่อเห็น รูปสวย จิตเกิดภาวะยึดติดแล้วนั่งสมาธิหลับตาเพื่อตัดรูปนั้นจึงเป็นเพียงการเบี่ยงเบน อายตนะภายนอกคือ "ตา" ให้พ้นไปจากรูปนั้น แต่ "จิต" ยังติดพันอยู่จึงตัดไม่ขาด
      พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงจึงกล่าวว่า "การหักห้ามความคิดถึงสิ่งต่างๆ ให้ความคิดทั้งหมดถูกกดเอาไว้ ย่อมเป็นการกดธรรมะไว้มิให้ปรากฎหรือเป็นไปตามที่ควรจะเป็นและข้อนี้ย่อมเป็นความเห็นผิด"
"วิมุติปัญญา" หรือ "ปัญญาดั้งเดิม" ย่อมเป็นสิ่งเดียวกันอันหมายถึง "ธรรมญาณ" ที่แต่เดิมมาก็ปราศจากการยึดติดในสิ่งใดๆอยู่แล้วนั่นเอง


ที่มา
http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=118&page=10

295


พระสูตรทางพระพุทธศาสนานิกายเซ็นที่โด่งดัง และเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง เห็นจะไม่มีพระสูตรใดเกิน "สูตรของท่านเว่ยหล่าง" เพราะได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ หลายภาษาและได้รับความสนใจจากประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ของปัญญาชนเนื่องด้วยสูตรของท่านเว่ยหล่างล้วนแต่เป็นเรื่องของการใช้ปัญญาเพื่อค้นหาหนทางแห่งความเป็นพุทธะ และเพื่อความหลุดพ้นไปจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวงในโลกนี้ สูตรของท่านเว่ยหล่างได้รับการแปลเป็นภาษาไทยโดยท่านพุทธทาสภิกขุ ตั้งแต่หมวด 1 ถึง 7 ส่วนหมวด 8 ถึง 9 คุณประวิทย์ รัตนเรืองศรี เป็นผู้แปล ทำไมจึงต้องศึกษาสูตรของท่านเว่ยหล่าง คำตอบก็คือ พระสูตรนี้ใครได้ศึกษาแล้วก็เป็นการเปิดสติปัญญาของตนให้สว่างไสวและมมีทัศนคติต่อพุทธศาสนาได้อย่างแจ่มชัดว่า แท้ที่จริงแล้วศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา โดยแท้จริง สำเนียงที่เรียกพระสังฆปรินายกองค์นี้ว่า "เว่ยหล่าง" ก็ดีหรือชื่อของท่านผู้บำเพ็ญอื่นใดในพระสูตรนี้ ล้วนแต่ใช้ทับศัพท์ อ่านออกเสียง เป็นภาษาจีน "กวางตุ้ง" ส่วนภาษาจีนกลางเรียกว่า "ฮุ่ยเหนิง" ท่านฮุ่ยเหนิงมีแซ่สกุลว่า "หรู" เป็นชาวมณฑลกว่างตง บิดาเป็นชาวเมือง ฟั่นหยาง ถูกถอดออกจากราชการและได้รับโทษเนรเทศไปอยู่เมืองซินโจวและถึงแก่กรรมขณะที่ท่านฮุ่ยเหนิงยังเล็กๆ อยู่ สองแม่ลูกพากันโยกย้ายไปอยู่กว่างโจว ท่านฮุ่ยเหนิงประกอบอาชีพตัดฟืนไปขายเพื่อเลี้ยงดูมารดา วันหนึ่งขณะที่นำฟืนไปส่งให้แก่เจ้าจำนำรายหนึ่งในตลาดพลันก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ของชายคนหนึ่งอยู่ที่หน้าร้าน ซึ่งท่านฮุ่ยเหนิงเอาฟืนไปส่งนั่นเอง ชายคนนั้นสาธยายมนต์มาถึงถ้อยคำที่ว่า "พึงทำจิตมิให้มีความยึดถือผูกพันในทุกสภาวะ" เมื่อได้ยินถ้อยคำเช่นนี้จิตใจของท่านฮุ่ยเหนิงก็สว่างโพลงในพุทธธรรม จึงถามชายคนนั้นว่า "ท่านกำลังสวดอะไร" "เรากำลังสวดวัชรสูตร" "ท่านไปเรียนมาจากที่ไหน" "เราเรียนมาจากท่านอาาจารย์หงเหย่น แห่งวัดตงฉัน ตำบลหวงเหมย เมืองฉีโจว ท่านมีศิษย์อยู่เป็นพันๆ คน โดยสั่งสอนให้ศิษย์ทั้งหลายบริกรรมพระสูตรนี้ เพื่อจักได้ค้นพบธรรมญาณแห่งตนและเข้าถึงความป็นพุทธะ" ขณะที่ท่านฮุ่ยเหนิงกำลังซักไซร้ เรื่องราวด้วยความสนใจและแสดงความประสงค์ที่จะเดินทางไปเฝ้าพระอาจารย์หงเหย่น เพื่อเรียนพรระสูตรนี้ท่านมีความตั้งใจแน่วแน่มากจนชายใจบุญผู้อารีอยากสนับสนุนจึงให้เงินท่านฮุ่ยเหนิง 10 ตำลึงเพื่อนำไปให้มารดาไว้ใช้สอย ขณะที่ท่านฮุ่ยเหนิงไม่อยู่ และหลังจากที่ได้จัดแจงให้มีผู้ดูแลมารดาแล้วท่านก็มุ่งหน้าเดินทางไปยังวัดตงฉัน ตำบลหวงเหมยทันที ใช้เวลาเกือบสามสิบวันจึงถึงจุดหมาย เมื่อเข้าไปนมัสการพระอาจารย์หงเหย่น ท่านก็ถามว่า "เจ้ามาจากไหนหรือ และต้องการอะไร" "กระผมเป็นคนเมืองซินโจว มณฑลกว่างตง กระผมต้องการมากราบท่านอาจารย์และต้องการหาหนทางความเป็นธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะเท่านั้น นอกจากนี้แล้วกระผมไม่ต้องการอะไรเลย" "เธอเป็นชาวกว่างตงหรือ เป็นคนป่าคนดงยังจะหวังเป็นพุทธะได้ยังไงกัน" "ทิศเหนือทิศใต้เป็นเพียงแบ่งทิศทาง แต่หาได้แบ่งแยกความเป็นพุทธะไม่กระผมแตกต่างไปจากท่านอาจารย์ก็ตรงที่ร่างกายเท่านั้นแต่ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะไม่แตกต่างกันเลย" คำตอบของท่านฮุ่ยเหนิงได้ให้คำตอบในตัวเสร็จสรรพ โดยชี้ให้เห็นสัจธรรมอย่างหนึ่งว่า มนุษย์ในโลกนี้ล้วนมีความเป็นพุทธะอยู่ในตัวเองทุกชาติทุกภาษา เพียงแต่ว่าเขารู้หรือยอมรับความเป็นพุทธะในตัวเองหรือไม่เท่านั้น คนจีน ไทย ฝรั่ง แขก นิโกร เสียงแต่ความดีใจและตกใจล้วนเปล่งออกมาเหมือนกัน นั่นแหละ เสียงของพุทธะในตัวเอง ซึ่งเป็นสากลไม่แตกต่างกันเลย
ที่มา
http://www.baanjomyut.com/pratripidok/wenglang/

296
จากรายการตีสิบ

ตอนที่1
[youtube=425,350]IsXx93UZ_WU[/youtube]
ตอนที่2
[youtube=425,350]sJ300X6JWYk[/youtube]
ตอนที่3
[youtube=425,350]LW6j_i63nmw[/youtube]
ตอนที่4
[youtube=425,350]GAwqscULe64[/youtube]


297
ผลกรรมของการคอร์รัปชั่น

ถาม : ขออารัมภบทนิดหนึ่งนะเจ้าคะ คือ มีลูกศิษย์ที่เคยมาเรียนพิเศษน่ะเจ้าค่ะ เวลามาเรียนก็มาปฏิบัติมานั่งสมาธิกันอยู่ที่บ้าน พ่อเป็นอาจารย์อยู่เจ้าค่ะ หลังจากนั้นเขาก็ไปจบมหา‘ลัย อายุเขาประมาณ ๒๔-๒๕ หลังจากจบมาเขาไปทำกรรมหนักมากเจ้าคะ ?

ตอบ: กรรมอะไรหรือ...แบกช้าง ?

ถาม: ไม่ใช่เจ้าค่ะ เขาโกงกินในลักษณะประมูลงานของราชการแล้วก็โกงกินกัน เขาสามารถมีเงิน จากไม่มีเงินเลยนะเจ้าคะ จากอายุ ๒๔ ปี สมารถมีเงินเป็น ๑๐๐ ล้านบาท ภายในอายุ ๒๘ ปี ?

ตอบ: แสดงว่าเป็นคนเก่ง

ถาม: เขาเก่งมากเลยเจ้าค่ะ แต่ว่าเก่งในทางขี้โกง ทีนี้เมื่อประมาณสองอาทิตย์ที่แล้ว เขาขับรถเบนส์สีแดงวิ่งสวนประสานงารถสิบล้อเจ้าค่ะ ตายคาที่ทั้งตัวเขา และภรรยา และคนในรถอีกหนึ่งคน ตอนนั้นเราเองก็ไม่ทราบว่าเกิดเหตุการณ์ขึ้น แต่ว่าดวงวิญญาณของเขาเจ้าค่ะที่เสียชีวิต ตายโหงอยู่ ณ. จุดที่เกิดเหตุ เขามาหาในสภาพศพที่เละ เขาตายในสภาพศพยังไงเขาก็มาหาในสภาพเป็นอย่างนั้นเจ้าค่ะ ทีนี้เขาจะมาให้เราช่วย พอเราจะเริ่มสวดให้เขานะเจ้าคะ พวกเจ้ากรรมนายเวรเขามาเป็นหมื่นเลย ล้อมตัวเขาจนตัวเองต้องถอยมาตั้งหลัก พอเราหันหน้าเข้าไปมอง พวกเจ้ากรรมนายเวรก็หันหน้าเขียวปั้ดไปหมดเลย ก็เลยต้องถอยมาตั้งหลัก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ?

ตอบ: ไม่ต้องทำ เพราะว่าบางคนนี่ เอาเป็นแค่ตัวอย่างนะ เปรตญาติ พระเจ้าพิมพิสาร นั่นผ่านพระพุทธเจ้ามาตั้งกี่องค์ ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้านามว่า ปทุมุตตระ ๙๑ กัปเต็ม ๆ กว่าจะมาถึงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่า โคตมะ แล้วผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง คือผู้ที่ทำบุญร่วมกันมา คือพระเจ้าพิมพิสาร ที่เคยทำบุญร่วมกันมาในชาตินั้น มาถวาย เวฬุวันมหาวิหาร และอุทิศส่วนกุศลให้ ถึงได้รับ พระพุทธเจ้าตั้ง ๕-๖ องค์ ยังช่วยไม่ได้เลย

ถาม: ตอนนี้ก็เห็นสภาพวิญญาณเขาถูกลากลงไปที่ข้างล่างแล้วนะเจ้าคะ ก็คงต้องปล่อยไปตามสภาวะกรรมของเขาใช่ไหมเจ้าคะ ?

ตอบ: ต้องอย่างนั้นจ้ะ

ถาม: ก็ดูจากชะตาเขายังไม่ถึงฆาต ก็เลยจะถามว่านะเจ้าคะ ทำกรรมชนิดใดถึงได้ก่อกรรมทำเข็ญถึงขึ้นตัดรอนชีวิตอายุขัยเขาขนาดนั้น ?

ตอบ: ตัวส่วนนี้จริง ๆ แล้ว เรียกว่า อุปฆาตกรรม ส่วน ใหญ่เกิดจากกรรมในอดีตที่เคยฆ่าคนฆ่าสัตว์มาก่อน คราวนี้แทนที่จะทำความดีเพื่อหนีกรรมส่วนนี้ เขาก็ไปทำแต่ในสิ่งที่ไม่ดี ในเมื่อไปทำแต่ในสิ่งที่ไม่ดีพอบุญขาดช่วงลงกรรมส่วนนี้ก็เข้าแทรกพอดี ก็เป็นอันว่าแบนคาเบนซ์...!

ถาม: อันนี้คือกรรมของเขาโดยตรงใช่ไหมคะ ?

ตอบ: กรรมโดยตรงจะเป็นอย่างนี้ ส่วนอีกอย่างหนึ่งโทษปัจจุบันคือโกงกินเงินหลวง ก็คล้าย ๆ กับโกงกินเงินสงฆ์ ถ้าหากว่าโกงเงินสงฆ์ลงอเวจีมหานรก พวกโกงกินเงินหลวงก็ไม่แคล้วเหมือนกันเพราะ เงินสงฆ์กับเงินหลวงมันเป็นของกลางที่จะเป็นประโยชน์แก่คนหมู่มากเหมือนกัน เพียงแต่ว่าอันหนึ่งเป็นประโยชน์แก่สงฆ์หมู่มาก อีกอันหนึ่งเป็นประโยชน์แก่คนทั่วไป ลักษณะก็เลยคล้าย ๆ กัน โทษก็หนักพอกันใครรู้ตัวรีบคายคืนมาเสียเร็ว ๆ

ตอบโดย : หลวงพี่เล็ก สุธมฺมปญฺโญhttp://www.siamplan.com

โดยคุณ : zekan - อีเมล์ arm_fat@yahoo.com - 02/11/2009 05:09
http://board.dserver.org/e/easydharma/00000696.html

298
'อาหารใจคือสงบ' พระมานะ อตุโล

วันพุธ ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 0:00 น


'อาหารใจคือสงบ' พระมานะ อตุโล

"หลวงปู่ศรี มหาวีโร”  พระสายกรรมฐานในวัย 94 ปีแห่งวัดประชาคมวนาราม (วัดป่ากุง) อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด  ศิษย์หลวงปู่มั่นอีกท่าน ถือเป็นศิษย์รุ่นน้องหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน  หลวงตาบัวมุ่งให้คนศรัทธาในพุทธศาสนา เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา และช่วยเหลือแผ่นดินด้วยการรับบริจาคทองคำช่วยชาติอันเป็นผลงานของพระสาย ปฏิปทาน่าสรรเสริญ  ไม่ต่างจากหลวงปู่ศรี แม้ในวัยนี้ท่านจะอยู่ในวัยชรามากแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นท่านมุ่งนำแก่นของศาสนาสู่ผู้คนเฉกเช่นหลวงตาบัว หากแต่การมุ่งแทนคุณแผ่นดินของท่านคือการสร้างป่า  และอนุรักษ์ป่าพร้อม ๆ กับถ่ายทอดแนวคิดสู่พระลูกศิษย์ของท่านเอง
  
พระอาจารย์ มานะ อตุโล ลูกศิษย์หลวงปู่ศรี ผู้ยึดแนวทางของหลวงปู่ศรี ท่านเดินทางนำธรรมะไปให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจไม่เฉพาะคนไทยในผืนแผ่นดิน ไทย แม้แต่คนไทยต่างแผ่นดิน  ท่านเผยแผ่ธรรมะอยู่ในฮ่องกง 8 ปี พร้อมกับสร้างวัดตามคำสั่งของหลวงปู่ศรี
  
“ตอนนั้นมีคนบอกว่าจะถวายวัดให้หลวงปู่ศรีที่ฮ่องกง  จึงนิมนต์ท่านไปดู ท่านก็พิจารณาของท่าน  ท่านก็มาหาอาตมาบอกว่าจะพาไปดูวัด  พอวันกลับก็สั่งให้ทุกคนเก็บของ อาตมาก็เตรียมเอากระโถนของหลวงปู่ไปล้าง ท่านก็บอกหยุด ให้เราอยู่ที่นี่ เราก็แปลกใจเพราะภาษาอะไรก็ไม่ได้ กฎหมายก็ไม่รู้ ท่านบอกให้อยู่สร้างวัดเพราะญาติโยมคนไทยเยอะมาก วัดที่อยู่ในฮ่องกงเป็นบ้านเช่าอยู่บนเขา ท่านก็ไม่พูดอะไรมาก บอกให้อยู่เลย เงินที่ญาติโยมทอดผ้าป่า มี 40,000 ท่านให้อาตมา บอกว่าให้สร้างวัด”
  
พระอาจารย์มานะเล่าว่า เงิน 40,000 ที่มีอยู่น้อยมากหากคิดว่าจะซื้อที่สร้างวัดที่ฮ่องกง โดยพยายามหาวัดอยู่  4 ปี ดำรงชีวิตอยู่อย่างประหยัดที่สุดเงินที่หลวงปู่ศรีให้ไว้ไม่เคยนำออกมาใช้ แม้กระทั่งนำไปซื้ออาหาร หากไม่มีคนมาใส่บาตรให้ ก็ไม่ฉัน คิดว่าตอนสมัยธุดงค์ไม่ฉัน 15 วันก็ไม่ตาย เรื่องหาวัด ได้รับความช่วยเหลือจากท่าน รัฐกิจ มานะทัต เอกอัครราชทูตไทย จนมาได้เจอวัดร้าง เป็นวัดเต๋าปล่อยทิ้งไว้ 20 ปี  ได้กลุ่มแม่บ้านไทยที่ไปทำงาน    ที่นั่นมาช่วยบูรณะทำความสะอาด จึงเป็นวัดขึ้นมา ชื่อว่า “วัดพุทธธรรมาราม” หลวงปู่ศรีท่านเป็นคนตั้งให้ ตอนนี้มีอายุ 10 ปีแล้วในฮ่องกง
  
“ท่านกงสุลก็พยายามประสานรัฐบาลฮ่องกงให้หาที่สร้างวัดให้ เพื่อจะเป็นศูนย์รวมใจ เพราะเราเห็นชีวิตคนไทยที่โน่นแล้วสลดใจ โยมคนไทยส่วนมากไปทำงานเป็นแม่บ้าน แต่พอวันหยุด เขาจะไปรวมตัวกันที่สะพาน บนสะพานมีคนไทยรวมกันอยู่เป็นหมื่น ทั้งเล่นไฮโล เล่นการพนัน  เพราะไม่มีที่ไป วันอาทิตย์เป็นวันที่เจ้านายอยู่บ้าน คนไทยที่ไปทำงานก็ต้องออกจากบ้านด้วย รัฐก็หาที่ให้อยู่บนตึก แต่เราบอกว่าไม่ได้เพราะคนมาทำบุญเยอะตึกรับไม่ไหว หามา 4 ปี บอกบุญไปเรื่อย ๆ จนมาเจอวัดร้าง” พระอาจารย์มานะย้อนถึงประสบการณ์การสร้างวัด
  
เมื่อวัดไทยในฮ่องกง สำเร็จ พระอาจารย์มานะได้เดินทางไปมาระหว่างฮ่องกงกับ จ.เชียงราย มาสร้างวัดป่า ใน อ.แม่จัน ราว 300 ไร่ ใน จ.ขอนแก่น ก็เช่นกัน  ได้สร้างวัดป่ามหาลัย หรือวัดป่าโนนม่วง ซึ่งติดกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น แต่เดิมเป็นไร่มันสำปะหลัง   ต้องเข้าเป็นแนวร่วมเชิญชวนชาวบ้านมาช่วยปลูก ใช้เวลา 4 ปี พื้นที่นั้นเริ่มเขียว เต็มไปด้วยไม้มะค่า ไม้ประดู่  ซึ่งแต่ละที่เป็นคำสั่งของหลวงปู่ศรี เมื่อเห็นว่าพื้นที่อยู่ตัวแล้ว จะเรียกพระที่เป็นนักบุกเบิกพื้นที่กลับ แล้วให้พระท่านอื่นไปรักษาการแทน  ปัจจุบันพระลูกศิษย์สายหลวงปู่ศรีมีนับ 1,000 รูป
  
“วัดสายหลวงปู่ศรี มีสาขาประมาณ 150 วัด วิธีการสร้างป่าเอาชาวบ้านมาปลูกป่ามารับผิดชอบร่วมกัน  เมื่อรักษาแล้วลูกหลานเห็นเขาจะภูมิใจว่านี่คือผลงานที่รุ่นพ่อแม่สร้างไว้  ญาติโยมเขามากันเองเราไม่มีค่าจ้างให้ มาด้วยศรัทธาทำด้วยใจ วัดสร้างป่าได้ พระกับผีเท่านั้นที่จะรักษาป่า ที่ไหนผีดุคนไม่กล้าตัดต้นไม้ พระก็ช่วยปลูกฝังให้คนเข้าช่วยกันปลูกต้นไม้ เมื่อปลูกแล้วเขาก็จะรักษา เงินที่ญาติโยมถวายมา เราก็นำไปปลูกต้นไม้หมด” พระอาจารย์มานะบอกถึงวิธีการสร้างป่า
    
ปัจจุบัน พระอาจารย์มานะได้มาบุกเบิกพื้นที่สวนมะขามร้างกว่า 312  ไร่ในบ้านสวนปอ ต.แก่งศรีภูมิ อ.ภูหลวง จ.เลย  ให้เป็นวัดป่าอีกแห่งมาตั้งแต่เดือน ก.พ.ในปี 2553 หลังจากผู้มีจิตศรัทธาชาวฮ่องกงบริจาคเงินซื้อที่ดินถวาย  แม้ยังไม่ประกาศเป็นวัดอย่างเป็นทางการ แต่ชาวบ้านก็ขึ้นชื่อป้ายให้ว่า “วัดป่าศรีภูหอ” ขณะนี้ก่อสร้างอาคารที่พักสงฆ์ และศาลาปฏิบัติธรรมต่าง ๆ เสร็จสิ้นหมดแล้ว รวมทั้งการปลูกต้นไม้บนพื้นที่กว่า 312 ไร่เดินหน้าไป 100 กว่าไร่ โดยมีญาติโยมจากที่อื่น ๆ มาร่วมปลูก นำต้นไม้มาถวาย ซึ่งคาดว่าภายใน 3 ปี พื้นที่สวนมะขามร้างจะแน่นขนัดไปด้วยต้นไม้
  
พระอาจารย์มานะบอกว่า พระสายกรรมฐานจะต้องใช้พื้นที่ป่า หลวงปู่ศรีท่านก็บอกว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ประสูติอยู่ในป่า บวชอยู่ในป่า ปรินิพพานอยู่ในป่า เพราะอะไร เพราะป่าเป็นสถานที่สงบ มีบัญญัติไว้เป็นข้อ 1. ภิกษุที่อุปสมบทแล้วอยู่ในป่าต้องอาศัยบิณฑบาต 2. ถือผ้าจีวร ผ้าบังสุกุลที่เขาห่อคนตาย  เอามาตัดย้อมต้องตัดเอง เย็บเอง 3. ภิกษุทั้งหลายอาศัยอยู่ในป่าไม้เป็นวัด อาศัยเรือนร้าง ไม่ต้องสวยงาม เน้นให้ความสงบ ห่างจากหมู่บ้าน  พระพูดอะไร ๆ ไม่ให้ชาวบ้านได้ยิน ชาวบ้านพูดอะไรไม่ให้พระได้ยิน  คือทางที่ถูก ยิ่งห่างจากหมู่บ้านยิ่งดี  วัดนี้อยู่ห่างจากหมู่บ้าน 5 กิโล
  
ตลอดการจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าแห่งนี้ สิ่งที่พระอาจารย์มานะพยายามสอนให้ชาวบ้านเห็นธรรมะแล้วนำไปปรับใช้ในวิถี ชีวิตด้วย  นั่นเพราะบ่อยครั้งที่ปรากฏภาพงานบุญแต่เน้นหนักเรื่องมหรสพ  เน้นเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ มากกว่าที่จะทำจิตใจให้สงบ
  
พระอาจารย์มานะบอกว่า  คำสอนของพระพุทธเจ้าถ้าจะทำบุญต้องเว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการกินเหล้า แค่ละศีล 5 ได้ก็เป็นบุญแล้ว เพราะเรื่องพิธีรีตองที่สืบต่อกันมาไม่ใช่บุญและไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า แต่น่าเสียดายพระสงฆ์ ไม่ว่าจะอยู่เมืองนอกหรือประเทศไทย ติดอยู่ที่ประเพณีมากเกินไป นำหน้าทุกที่ เป็นเรื่องแก้ยาก เพราะทำกันมาแต่บรรพบุรุษแนวทางการทำบุญจริง ๆ คือการทำสมาธิ จะได้บุญทันตาเห็น ต่อให้ทานสัก 100 ครั้ง 1,000 ครั้งก็ไม่เท่ากับรักษาศีล 5 ได้ รักษาศีล 5 สัก 100 ครั้ง 1,000 ครั้ง ก็ไม่เท่าจิตสงบ สงบคือการวางจากความคิดปรุงแต่งทั้งหมด เท่านี้ก็ได้บุญมหาศาลแล้ว บุญมันจะเกิดขึ้นในใจของเราคือความปีติ และความสุขที่มันจะเกิดขึ้นเมื่อเราสงบ นี่แหละเรียกว่าอาหารใจ เมื่อใจมีอาหารก็มีพลัง มีความคิด มีปัญญาดี ช่วงนี้จะเกิดสติมา สติเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันควบคุมดูแลหัวใจของเรา เหล่านี้คือ “อาหารใจ” ของทุกคนทำได้ ไม่ว่าผู้หญิง ผู้ชาย
  
“ธรรมดาใจของเราต้องการอาหารชนิดหนึ่งแต่ส่วนใหญ่คนมองแค่อาหารของร่างกาย ก็วิ่งเต้นเพื่ออาหารร่างกายอย่างเดียว แต่ไม่นึกถึงอาหารใจ อาหารใจคือความสงบ ถ้าใจสงบเท่ากับมีอาหารที่ดีของใจ ถ้าเราทำใจให้สงบได้สักนิดก็มีค่ามหาศาล ใจสงบแค่ดูลมหายใจเข้าออก หยุดความคิด ไม่ต้องคิดว่าจะเป็นอย่างนั้นจะเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องไปคาดหวังอะไรทั้งนั้น มีหน้าที่ดูลมอย่างเดียว คือจิตมันจะอยู่ตรงนั้นที่ดี” พระอาจารย์มานะบอกถึงวิธีให้อาหารใจ อันเป็นวิธีเดียวในการตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะการดูลมหายใจเป็นหลัก.

พรประไพ เสือเขียว
article@dailynews.co.th

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=671&contentID=121340

299
สมาชิกใหม่ครับ เพิ่งสมัครเมื่อวานนี้ ตามคำแนะนำของสมาชิกท่านหนึ่ง เมื่อเดือนก่อน

เมื่อคืนที่ผ่านมา เลยเปิดอ่านเรื่อง ... ประสบการณ์วิญญาณ หลายเรื่อง อ่านจนประมาณตี1
ถึงได้เข้านอน............ก็นอนหลับเป็นปกติจนกระทั่งใกล้เช้า ช่วงตี4-5
ได้ตื่นขึ้นมาเข้าห้องตามปกติ แล้วจึงเข้านอนต่อเพราะผมไปทำงานสายตามปกติ(กิจการส่วนตัว)

ล้มตัวลงนอนครู่เดียวก็หลับต่อเลย.............แต่คราวนี้กลับฝัน....

ฝันว่า ตัวเองนอนอยู่ข้างชายคนหนึ่งไม่ทราบชื่อ อยู่ริมถนนหน้าบ้านไม้หลังหนึ่ง(บ้านสมัยเก่า)
ลักษณะการนอนจะนอนกลับหัวกัน ห่างกันประมาณ 1 ศอก ในความเข้าใจขณะนั้น เข้าใจว่าชายคนนั้นตายไปแล้ว
และขณะเดียวกันภรรยาของผู้ตายซึ่งนั่งอยู่หน้าบ้าน โกรธและเข้าใจ(ผิด)ว่าเราเป็นสาเหตุให้สามีเธอตาย
เธอจึงได้คว้าจอบ เงื้อเตรียมฟันลงมาที่ขา เราก็ตกใจกลัว จนละเมอร้องเสียงหลง...........อย่าๆ....ช่วยด้วย!!!
แล้วก็ตื่นขึ้นด้วยความตกใจ!!! :074: :075: หลังจากหลับไปไม่นานนัก ซึ่งเวลาช่วงนั้นก็ยังเป็นเวลาประมาณก่อนตี5

รู้สึก มึนงง!! กับความฝันมาก แต่สัปดาห์นี้ ตั้งใจอยู่แล้วว่าจะไปทำบุญ

ท่านที่อ่านแล้วมีข้อแนะนำประการใด โปรดชี้แนะด้วยครับ

หน้า: [1]