แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - umpawan

หน้า: [1]
1



'หลวงพ่อเงิน'วัดถ้ำน้ำ จ.ราชบุรีพระเกจิอาคมขลังมรณภาพแล้ว

          พระครูใบฎีกา เงิน ขันติโก สกุลเดิม “รุ่งสว่าง” เจ้าอาวาสวัดถ้ำน้ำ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ได้มรณภาพด้วยอาการสงบ เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๔ ขณะนี้สรีระของท่าน คณะศิษย์ได้ประกอบพิธีสวดพระอภิธรรม ณ วัดถ้ำน้ำ เป็นเวลา ๑๕ วัน หลังจากนั้นจะจัดเก็บไว้ในหีบแก้ว เพื่อให้ศิษยานุศิษย์ และผู้ที่เคารพนับถือได้กราบไหว้ต่อไป   

          หลวงพ่อเงิน เกิดเมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๔๗๕ ที่ จ.นครปฐม เมื่ออยู่ในวัยรุ่น ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อน้อย วัดท่ามอญ นครชัยศรี โดยเรียนวิชาจากหลวงพ่อน้อยหลายอย่าง แม้จะอยู่ในวัยรุ่น ท่านก็ถือคาถาได้ขลังมาก 

          ต่อมาท่านสมัครเข้าเป็นตำรวจประจำการ อยู่สายหาข่าว และปราบปราม พล.ต.ท.ประชา บูรณธนิต นายตำรวจใหญ่ (ฉายา สิงห์เหนือ คู่กับ เสือใต้ คือ พล.ต.ตรี.ขุนพันธรักษ์ราชเดช) ได้ให้ลูกน้องซึ่งเป็นมือปราบชื่อดัง มาตามท่านให้ประจำอยู่ที่ จ.นครปฐม เพื่อช่วยหาข่าว ปราบก๊กโจรต่างๆ หรือพวกผู้มีอิทธิพลในทางผิดกฎหมาย ซึ่งในสมัยนั้นมีอยู่มาก

          ท่านรับราชการเป็นตำรวจประมาณ ๑๒ ปี ได้ช่วยงานของราชการมากมาย โดยเฉพาะการปลอมตัวเข้าไปหาข่าวในชุมโจร ก๊กโจร หลายครั้งหลายหนได้อยู่รอดปลอดภัยตลอดมา เพราะมีวิชาดี แถมยังได้วิชาใหม่ๆ จากชุมโจร ทุกที่ที่ไปสืบข่าว เป็นวิชาในแนวของโจรเวท เริ่มตั้งแต่แต่งทัพ จับพล  เสกกุมารทอง ไว้ใช้งาน เสกหุ่นพยนต์ไว้เฝ้าทรัพย์สิน ระวังภัย วิชาส่งข่าว คงกระพัน แคล้วคลาด และเมตตามหาเสน่ห์ ต่อมาท่านเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตการเป็นตำรวจ จึงได้บวชเป็นพระ เพื่อแสวงหาความสงบ และเพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่พ่อแม่ครูบาอาจารย์

          โดยบวชกับหลวงพ่อน้อย วัดท่ามอญ จากนั้นได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อน้อย และเรียนวิชาการทำผงรอดกระดาน ปัถมัง กับหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม วิชาเสกตุ๊กตาทอง กับหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม

          ต่อมาท่านได้ถือธุดงควัตรขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ จนได้เรียนวิชาจากครูเฒ่าฆราวาสท่านหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ของท่านครูบาศรีวิชัย จนถึงปี ๒๕๒๒ ท่านได้ธุดงค์มาถึง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ได้บังเกิดนิมิตเป็นแสงสว่าง นำพาท่านให้เดินตามเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งก็คือถ้ำน้ำ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม ท่านจึงตกลงใจสร้างวัดถ้ำน้ำ และพัฒนามาจนถึงทุกวันนี้

          ที่ผ่านมาท่านได้สร้างวัตถุมงคลหลายอย่าง อาทิ พระสมเด็จบรรจุพระธาตุ เหรียญ รูปหล่อ ตะกรุดแบบต่างๆ วัวธนู นางกวักมะรุมเงิน-มะรุมทอง, ตุ๊กแกมหาลาภ ฯลฯ ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ลูกศิษย์อย่างกว้างขวาง 
 
           หลวงพ่อเงิน เป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ผู้มั่นในศีลานุวัตร มีปฏิปทาเป็นผู้ให้โดยแท้ ท่านมุ่งปฏิบัติ และเพียรฝึกฝนทางจิตอย่างเข้มแข็ง เป็นพระสงฆ์ผู้มีเมตตาอย่างที่สุด ไม่เคยบ่นว่าศิษย์ ไม่เคยแสดงอาการเหนื่อยหน่าย หรือรำคาญ ใครจะให้ท่านทำอะไร ท่านจะสงเคราะห์ให้ทั้งหมด นับเป็นพระแท้ที่น่ากราบไหว้อย่างยิ่ง

ขอบคุณข้อมูลจาก คมชัดลึกครับ กราบนมัสการหลวงพ่อเงินด้วยครับ  :054: :054:

2
[/url]

[/url]

[/url]

[/url]

สวัสดีครับ วันนี้นำวัตถุมงคลของหลวงพ่อเชิญ วัดโคกทอง อยุธยามาให้ชมกันครับ
พอดีไปค้นเจอครับ น่าจะมีอีกหลายรายการ เดี๋ยววันหลังจะค้นหาดูใหม่ครับ ขอบคุณครับ...........  :114:  :089: :114: ..............

3




สวัสดีครับ วันนี้ผมขอนำพระผงหลวงพ่อเปิ่น หลังยันต์แม่ทัพมาให้พี่ๆได้ชมกันนะครับ
ส่วนตัวไม่มีบุญได้เหรียญรุ่นแรกครอบครองอย่างแน่แท้ แต่อนาคตไม่แน่ครับ
องค์นี้คุณอาเช่ามาตั้งแต่หลวงพ่อยังทรงสังขารอยู่ครับ ผมว่าใช่แทนรุ่นแรกๆได้สบายเลยครับ............  :114: :114: :114: ..............

4
บรรยายด้วยภาพครับ ขออนุญาตเจ้าของรูปภาพด้วยครับ ขอบคุณครับ.........  :114:  :114: :114: ...........


5
สวัสดีครับ วันนี้นั่งเล่นอินเตอร์เน็ตไปเรื่อยๆเจอรูปๆนึงครับ บางคนอาจดูเป็นเรื่องตลก แต่สำหรับผมนั้นคือสิ่งเตือนใจครับ ว่าชีวิตเรามันสั้น รีบทำความดี และตอบแทนผู้มีพระคุณ และทำตามสิ่งต่างๆที่ใจตนเองอยากทำ ก่อนที่คุณจะไม่มีโอกาศแบบนี้ ขออนุญาตเจ้าของรูปภาพนี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ........  :114: :114: :114: ..........



6
....สวัสดีครับ วันนี้เป็นวันสำคัญอีกวันนึงครับ เป็นวันคล้ายวันมรณะภาพของ "พระพุทธวิริยากร (หลวงพ่อตัด ปวโร)" ครบ2ปีแล้วที่หลวงพ่อจากพวกเราไปไม่มีวันกลับ ขอกราบนมัสการหลวงพ่อตัด วัดชายนาด้วยครับ.....  :054: :054: :054:


7
รูปหล่อรุ่นแรกหลวงพ่อมี วัดมารวิชัย อยุธยา ปี2528 + รูปหล่อหลวงพ่อประเทือง วัดหนองย่างทอย เพชรบูรณ์ แจกงานกฐิน   


เหรียญรุ่น 4 หรือเหรียญเสมาหลังสิงห์ หลวงปู่มี วัดมารวิชัย อยุธยา



เดี๋ยวจะมาลงต่อนะครับ
เป็นบางส่วนที่ผมมีนะครับ
พี่ๆท่านใดมีก็ร่วมแจมกันเลยนะครับ
ขอขอบพระคุณครับ


8
เหรียญเสมาหลังยันต์ครูหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ ปี2535 ครับ ...




อยากทราบว่าออกพิธีไหนครับ ขอขอบคุณพี่ๆทุกท่านครับ ...

9




ประวัติ พระนอนวัดขุนอินทประมูล วัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง

พระนอนวัดขุนอินทประมูล ประดิษฐานอยู่ ณ วัดขุนอินทประมูล ซึ่งปัจจุบันเป็นวัดร้าง ตำบลอินทประมูล อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง อยู่ห่างจากตัวเมืองอ่างทองประมาณ 7 กิโลเมตร องค์พระยาว 2 เส้น 5 วา ซึ่งนับเป็นพระนอนหรือพระพุทธไสยาสน์ที่ยาวเป็นอันดับที่สอง รองจากพระนอนจักรสีห์

จากตำนานกล่าวว่า ขุนอินทประมูล ได้ยักยอกเงินหลวงมาสร้าง ครั้งถูกสอบถามว่าเอาเงินจากใหนมาสร้างพระ ขุนอินทประมูลก็ไม่ยอมบอกความจริง จึงถูกลงโทษจนตาย คงมีความชื่อที่ว่า ถ้าบอกแหล่งที่มาของเงินแล้ว ตนจะไม่ได้กุศลตามที่ปราถนา

พระนอนวัดขุนอินทประมูล จากการสันนิฐานมีความเห็นว่าได้สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา พระพักตรหันไปทางทิศเหนือ พระเศียรหันไปทางทิศตะวันออก เมื่อมองตลอดทั้งองค์มีความสง่างามมาก พระพักตรงดงามได้สัดส่วน แสดงออกถึงความมีเมตตา

ปัจจุบัน องค์พระนอนอยู่กลางแจ้งไม่มีวิหารคลุมเช่นพระนอนองค์อื่น เนื่องจากวิหารเดิมคงหักพังไปนานแล้ว ดังจะเห็นได้จาก เสาพระวิหารที่ยังปรากฎอยู่รอบองค์พระนอนวัดขุนอินทประมูล รอบ ๆ องค์พระมีต้นไม้ขนาดใหญ่หลายต้นขึ้นอยู่โดยรอบ ทำให้มีความสงบร่มเย็น เหมาะแก่การไปนมัสการให้เกิดความสุข สงบ ตามธรรมชาติ ซึ่งแปลกออกไปจากบรรยากาศในพระวิหาร


ได้มีโอกาศไปกราบท่านเมื่อปีใหม่ครับ เลยเก็บภาพมาฝากกันนิดหน่อย
ขอบคุณข้อมูลจาก ตั้มศรีวิชัย ขอขอบคุณครับ  :001: :001: :001:

10
สวัสดีครับพี่ๆทุกท่าน วันนี้จะนำลอยสักหลวงปู่หน่าย วัดบ้านแจ้ง  หลวงปู่เทียมวัดกษัตรา อยุธยา (ของลุงที่รู้จักกัน) คุยกันถูกคอเลยขอถ่ายรูปมาครับ 

1.ลายยันต์หลวงปู่หน่าย วัดบ้านแจ้ง




2.ลายยันต์ 4 สมิง(เรียกผิดขออภัยด้วยครับ) หลวงปู่เทียม วัดกษัตรา ขออภัยด้วยครับถ่ายรูปไม่เก่ง



ขอบคุณที่ติดตามชมครับ หากผิดกฏก็ลบไปได้เลยครับพี่ๆ

            

11
อธิบายด้วยภาพครับ วันนี้ไปวัดสามง่าม วัดท้องไทร วัดศีรษะทอง ด้วยครับ แต่ไม่ได้เก้บภาพมาครับ 















ขออภัยด้วยกล้องไม่ชัดครับ

12
หลวงพ่อตี๋ วัดบางคณฑีใน สมุทรสงคราม มรณภาพแล้ว โดยมีการแจ้งข่าวจากทางโรงพยาบาลมาเมื่อประมาณ 05.00 น. ของวันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2553

กำหนดการคร่าวๆ อย่างไม่เป็นทางการที่ได้รับแจ้งมาคือ

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2553
- เคลื่อนศพออกจากโรงพยาบาลไปยังวัดบางคณฑีใน และรดน้ำศพในเวลาประมาณ 14.00-16.00 น.
- บรรจุศพเวลาประมาณ 17.00 น.

จึงเรียนมาเพื่อแจ้งให้ทุกท่านได้ทราบโดยทั่วกันครับ


 

13














** อนุญาติให้เผยแพร่ครับ **


ใครอยากชมเพิ่มเติมเชิญที่วัดสวนแก้วเลยครับ

14
สอบถามหน่อยครับพี่ๆ นครปฐม หรือ วัดบางพระ น้ำท่วมหรือยังครับ
ที่นนทบุรีบางใหญ่ท่วมแล้ว ห่วงใยครับ  :026:

15

เลี่ยมขึ้นคอแ้ล้วครับ พระที่พี่เป็ปซี่ส่งมาจากการตอบรางวัล
ราคาไม่แรง พุทธคุณนั่นโคตะระแรงครับ  :015:



หลวงพ่อประเทืองวัดหนองย่างทอยครับ โดยรวมครับ

ฝนตกอย่าออกข้างนอกนะครับ เดี๋ยวโดนฝนแล้วจะเป็นไข้เอานะครับ ห่วงใยครับ  :026:


ศึกษาและสะสม    

16


สวัสดีครับพี่ๆสมาชิกวัดบางพระที่รักทุกท่าน
วันนี้นำเหรียญของหลวงพ่อแพ รุ่นm16 ปี2513
ตอนนี้ใครจะเล่นหาต้องระวังด้วยนะครับ เหรียญรุ่นนี้ปลอมเยอะเหลือเกินครับ
ศึกษาและสะสมครับ


ปล. พี่เป็ปซี่ครับ ผมได้รับของรางวัลที่พี่ส่งให้แล้วครับ
ตอนนี้อัดกรอบขึ้นคอแล้วครับ
ส่งเร็วทันใจจริงๆ ขอขอบคุณมากครับ



ผิดพลาดขออภัยครับ

17


แถมๆ
ตะกรุดคอหมา หลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน รุ่นสุดท้าย(ทิ้งทวน) ปลุกเสกพร้อมเสือรุ่น 3


ขอบคุณพี่ๆ ที่เข้ามาชมนะครับ ขอบคุณมากๆ้เลยครับ

 :054: :054: :054: :054: :054: :054:

18

ขอบคุณพี่ๆ ที่เข้ามาชมกันนะครับ ขอบคุณครับ ..  :054: :054: :054:

19


สวัสดีครับพี่ๆ วันนี้นำสามเสือมาให้ชมกัน ภาพไม่ชัดก็ต้องขออภัยครับ
องค์แรก เสืปเดือนเก้า หลวงพ่อแม้น วัดหน้าต่างนอก (เห็นที่วัดให้บูชา พันกว่าบาท ตอนนั้นเช่ามาที่วัดองค์ละ100 เอง น่าจะบูชาสัก 4-5องค์)
องค์กลาง เสือจิ๋วหลวงพ่อเพี้ยน วัดเกริ่นกฐิน บ้านหมี่ ลพบุรี วัดเข้าไปลึกมาก แต่เข้าไปในวัดแล้วตกใจครับ คนเพียบเลย ทั้งๆที่ทางเข้ามาลึกมาก นี้แหละครับ แรงศรัทธาในตัวหลวงพ่อเพี้ยน
องค์ที่สาม เสือไม้เกะ หลวงพ่อชาญ วัดบางบ่อ สมุทรปราการ
เคยเลี่ยมกรอบทั้งหมดครับ เลี่ยมแล้วกรอบแตก ทุกครั้ง ไม่รู้ว่าของแรง เหรอว่าผมมันอยู่ไม่นิ่งกันแน่ เหอะๆ  :001: ตอนนี้เลยนำมาขังในกรอบพลาสติก บูชาอย่างเดียวแล้วครับเจ้านาย  :026: :026:

20
องค์แรกพระหลวงพ่อโสธร เป็นพระประธานประจำบ้านครับ


พระหลวงพ่อโสธร องค์ขวาใช้แบงค์ 20 บาท ทำครับ สวยงามมาก

ขออภัยด้วยครับถ้ารูปภาพไม่ชัดครับ

 :054: :054: :054:

21



































กราบสวัสดีพี่ๆทุกท่านนะครับที่เข้ามาชม วันนี้ได้มีโอกาศไปบ้านที่นนทบุรี อยู่บางใหญ่ติดคลอง
เลยเก็บภาพมาให้ชมกัน  วัดที่นำรถไปจอดวัดอัมพวัน แล้วก็เริ่มเดินดูรอบๆวัด น้ำตาแทบไหลครับ คิดถึงเหลือเกิน
พอมาดูหอไตรกลางน้ำรู้สึกเสียดายมากๆ ที่จริงน่าจะให้มีคนทำความสะอาดดูแลมากกว่านี้ น่าเสียดาย มองข้ามไปได้ยังไง
แล้วก็ข้ามสะพานเดินไปตรงบ้านผมที่อยู่นนทบุรี เลยเก็บภาพชีวิตชาวคลอง ก๋วยเตี๋ยวที่ขายตามเรือ ของที่ขายตามเรือ อร่อยมาก ขอบอก
เห็นบ่อยแล้วครับ ชีวิตชาวคลองบางใหญ่ เป็นวิถีชีวิตคนกับสายน้ำยังไม่เลือนหายไปจากกัน  รูปกระดาษษาเกะรูป เป็นของบ้านผมเองครับ
เป็นไงบ้างครับ ฝีมือคนบางใหญ่ทำเอง มีความสุขมากๆ ครับวันนี้ เลยเก็บภาพมาให้พี่ๆชมเท่านี้ก่อน
พอตกบ่ายแก่ๆ ฟ้าเริ่มครึ้ม ฝนเริ่มลงเม็ด ดูแล้วชิล ชิลเลยครับ  อยากไปอีก อยากไปอีก  :001: :001:
ขอบคุณพี่ๆ ที่ติดตามชมนะครับ ภาพอาจไม่ชัดก็ขออภัยด้วย
รักพี่ๆ สมาชิกทุกท่านครับ ขอบคุณครับ ..

NoCopy picture .. [/b][/color]

22


นำมาให้พี่สมาชิกได้ชมกันนะครับ

ตะกรุดของหลวงพ่อประสิทธิ์  วัดไทรน้อย นนทบุรี  ดอกนี้ได้มาจากคุณอาครับ อาได้มาประมาณ เกือบ 20 ปีแล้ว
เพราะพื้นเพอยู่นนทบุรีบางใหญ่ มีอยู่สามดอกในบ้าน แต่ก่อนอาบอกว่าดอกละ 100 บาทเอง แช่น้ำมนต์ ก็คือแต่ก่อนหลวงพ่อประสิทธิ์ยังไม่มีชื่อเสียง แต่พอตะกรุดท่านดังก็ดังดั่งพุแตก คนแน่นวัดมาก แต่เดี๋ยวนี้สิ ถึงจะมีข่าวยังไง ผมยังรักและเคารพหลวงพ่อประสิทธิ์เสมอ

ปลัดขิกมีจาร  ไม่รู้ว่าของที่ไหนครับ ได้มาจากคุณอา เมตตาดี ขิกๆ ขักๆ  :005:

ปลัดขิก(เลี่ยมพลาสติก) ของหลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร ฉะเฉิงเทรา

ปิดท้าย เสือเหลียวหลัง ไม่ทราบ่วาของที่ไหนอีกเช่นกัน เพราะว่าได้มาจากคุณอาครับ

ขอบคุณพี่ๆที่รับชมนะครับ รักพี่ๆ ทุกคนนะครับ

ขอเชิญพี่ๆ ร่วมแจมด้วยนะครับ เพื่อเป็นวิทยาทานความรู้กันต่อไป สวัสดีครับ

23



นำมาให้พี่ๆ สมาชิกให้ชมกันครับ ได้มาจากการไปไหว้พระ 9 วัด ขสมก. ที่จังหวัดเพชรบุรี เมืองมือปืนครับ อิอิ

ขอบคุณพี่ที่รับชมนะครับ รักพี่ๆ ทุกคนครับ  :001: :001: :001:

24
มีหลายองค์เลยทีเดียว

ด้านหลังมีลายเซ็นของคุณอาสรพงษ์ ชาตรี


ขอบคุณพี่ๆที่เข้ามาชมกันนะครับ รักพี่ๆทุกคนครับ

 :054: :054: :054: :054: :054: :054:

25


นำมาให้พี่ๆชมกันครับ พระตั้งหน้ารถก็ได้ บูชาในบ้านก็ดี แต่องค์นี้ไว้ในบ้านครับ

หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี

 :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054:

ขอบคุณพี่ๆ ทุกท่านที่เข้ามาชมนะครับ รักพี่ๆทุกคนครับ

26


นำมาให้พี่ๆได้ชมกัน คู่ฝั่งซ้ายของหลวงพ่อเงิน วัดถ้ำน้ำ ราชบุรีครับ
ฝั่งขวาตัวเดียว ของหลวงปู่หล่ำ วัดสามัคคีธรรม ลาดพร้าว กรุงเทพมหานครครับ
รูปไม่ัชัดก็ขออภัยด้วยนะครับ  :054: รักพี่ๆทุกคนครับ

27
สวัสดีพี่ๆ สมาชิกทุกท่านครับ วันนี้จะมาร้องแสดงคอนเสริตเอ้ย จะพามาชมบางมุม วัดบางพระ สวยๆงามๆ กันครับ
ภาพอาจน้อยไปหน่อย เพราะแบตหมดแต่หัววัน

1. สวยงามมาก วัวธนู ความธนู จำไม่ผิดอยู่ตรงทางลงไปริมน้ำวัดบางพระ


2.กวางเหลียวหลัง สวยงามมาก อยู่ไกล้ๆ วันธนู


3.รูปปั้นหลวงปู่เปิ่นนั่งเสือ สาธุๆๆๆ



4.หน้ากุฏิหลวงปู่เปิ่น คนเยอะเป็นพิเศษ สาธุๆๆๆ


5.รูปหล่อหลวงปู่เปิ่น องค์ใหญ่ สาธุๆๆๆ ขออภัยด้วยครับภาพไม่ชัดนะครับ ถ่ายแบตหมดพอดี


6.บ๊าย บายวัดบางพระ เดินทางโดยสวัสดิภาพ บารมีหลวงปู่เปิ่น ครูบาอาจารย์ทุกท่านคุ้มครอง สาธุๆๆๆ




วัตถุมงคลที่ได้ อิอิ พญาเสือฯไหว้ครู ปี43  และก็สร้อยข้อมือเสือ






ขอบคุณพี่ๆสมาชิกที่ทุกท่านที่เข้ามาชม ภาพอาจไม่ชัด ต้องขออภัยด้วยครับ

รักพี่ๆ ทุกคนนะครับ ขอบคุณครับ

 :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054:



28
กระผมขออภัยเรื่องที่ผ่านมาที่หลอกลวงพี่ๆมาตลอด ขออภัยจริงๆครับ  รูปที่ถ่ายนั่นพี่ชายผมเองครับ

ผมขอโทษที่ต้องทำแบบนี้ ขอโทษจริงๆครับ ผมแค่อยากให้คนนับถือเท่านั้นเอง

ผมขออภัยจากใจจริงครับ จะไม่ให้เกิดครั้งที่สามอีก ขอสัญญาด้วยเกียรติลูกผู้ชายครับ

ขออภัยนะครับพี่ๆ

ขอโทษจริงๆ ครับ ผมมันช่างน่าอับอายยิ่งนัก  ขอโทษขออภัยพี่ๆ ในบอร์ดด้วยครับ ...




29



สวัสดีครับ นำมาให้ชมกัน รูปหลวงพ่อเทียม วัดกษัตติราษ

ได้มาตอนไปวัดกษัตติราษเมื่อปีที่แล้ว

ขอกราบนมัสการหลวงพ่อเทียมด้วยครับ  ..  :054: :054: :054:

30


ถ่ายมาให้ชมครับ เป็นที่นิยมจริงๆ รูปพ่อท่านคล้ายไหว้ข้าง

ขอกราบนมัสการพ่อท่านคล้ายด้วยครับ  :054:

31



สวัสดีครับวันนี้นำบรรยากาศมาให้ชม เครดิตของน้องชายที่รู้จักกัน ถ่ายมาให้ ผมติดธุระเลยไม่ไปด้วย  รูปน้อยขออภัยด้วยครับ แบตจะหมดเลยไม่ได้ถ้่ายทุกช๊อด..


วัดแรกเลยครับ วัดโบสถ์ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี วัดนี้พิเศษตรงสมเด็จโตองค์ใหญ่มากมาย ปางปฐมเทศนา ที่วัดอากาศร้อน

มากเลยครับ แล้วก็เข้าไปไหว้หลวงพ่อเหลือก่อน แล้วเดินไปไหว้สมเด็จโต ..








ที่ๆ 2 ตลาดน้ำวัดศาลเจ้า ของอร่อยมากครับ ถ่ายมาน้อยเพราะหาของกินอย่างเดียว  :001:

บรรยากาศดีครับ ริมแม่น้ำเลย






วัดบางกุฏิทอง หลวงพ่อชำนาญ วันนี้หลวงพ่อไม่อยู่ครับ เลยมาไหว้พระเฉยๆ


ยังมีพระพรหมที่ยังสร้างไม่เสร็จอยู่ข้างประตูทางเข้าวัด องต์ใหญ่มากครับ


วัตถุมงคลราคาสูงไปหน่อย ราคาไม่สูงหมดเกลี้ยงเลยครับ




ถ่ายมาให้ชมกันแค่นี้นะครับ สวัสดีครับ ..  :054: รูปไม่ชัดเท่าที่ควรขออภัยด้วยครับ




32
เครื่องรางสายพราย คือเครื่องรางที่ใช้อำนาจของพรายหรือถ้าจะเรียกกันให้รู้แบบเข้าใจง่ายๆคือ ใช้ผีเครื่องรางประเภทนี้ผู้สร้างจะใช้ส่วนผสมที่นำมาจากศพหรือชิ้นส่วนของ ผู้ที่ตายแล้วโดยจะมีกรรมวิธีต่างๆตามวิชาอาคมของอาจารย์นั้นๆ แล้วทำการปลุกเสกตามตำราโดยจะเป็นลักษณะของการนำจิตวิญญานของผู้ที่ตายแล้ว มาเสกชุบด้วยอำนาจของคาถาอาคม ให้มีฤทธิ์เดชตามที่ตนต้องการ เช่นทางเสน่ห์ ลุ่มหลงรักใคร่เสน่หา พิศวาสหลงใหล หรือทางเรียกโชคลาภ ค้าขายโดยพรายนั้นจะขลังไม่ขลังขึ้นอยู่กับพลังจิตและวิชาอาคมของผู้ปลุกเสก เป็นสำคัญและจะเฮี้ยนไม่เฮี้ยนก็ขึ้นอยู่กับจิตวิญญาญนั้นว่าสั่งสมบุญบารมี มาสักเท่าใด
เมื่อเสร็จสิ้นการปลุกเสกมักจะเรียกจิตวิญญานนั้นว่าพราย อาทิเช่นน้ำมันพราย ผงพราย ...ฯลฯ แต่ก็จะมีอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ได้นำชิ้นส่วนมาจากศพหรือคนที่ตายแต่จะเป็น การเรียกเชิญจิตวิญญาญล่องลอยอยู่ ที่มีมีอยู่มากมายมหาศาลในโลกนี้มาอยู่รักษาวัตถุเครื่องราง ด้วยคาถาอาคม แบบนี้ก็มี
เมื่ออาจารย์ที่สร้างต้องการจะสร้างเครื่องรางใดๆก็จะนำมวล สารพรายที่ทำไว้แล้วผสมลงไปในเครื่องรางของขลังที่สร้างนั้นเพื่อเพิ่มเป็น ตัวช่วยที่จะทำให้เครื่องรางของขลังนั้นมีความขลังมีผลต่อผู้นำไปใช้มากยิ่ง ขึ้นด้วยอำนาจของพรายถ้าเป็นเครื่องรางของขลังที่ไม่ใช้ภูติพรายก็จะเป็นการ เสกด้วยอำนาจของคาถาอาคมด้วยพลังจิตเพียงอย่างเดียวซึ่งจริงๆแล้วถ้าอาจารย์ ที่ปลุกเสกนั้นมีพลังจิตแก่กล้ามีวิชาอาคมที่เข้มขลังเครื่องรางนั้นก็จะมี พลังอำนาจความศักดิ์สิทธิ์มากโดยไม่ต้องอาศัยพรายก็ได้
 
ข้อควรรู้ใน การนำเครื่องรางของขลังที่มีพรายไปใช้

1.การที่นำเครื่องรางประเภท สายพรายไปใช้ท่านจะต้องคิดไว้เสมอว่าท่านมีพราย คือมีจิตวิญญาญหรือที่เรียกกันว่าผีไปอยู่กับท่านด้วยการนำเข้าบ้านก็ ต้องบอกเจ้าที่เจ้าทางให้รับทราบและหากนำเข้าไปในบ้านแล้วให้จัดวางตำแหน่ง ที่เหมาะสมคือห้ามนำไปไว้ใกล้กับพระเด็ดขาด ให้วางไว้ที่ธรรมดาที่ไม่มี พระหรือวัตถุมงคลอื่นใดจะจัดวางรวมไว้กับประเภทพรายเหมือนกันได้

2.พราย เขาก็มีจิตวิญญานมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนคนเราทุกอย่างคุณลืมคิดอะไรไปหรือ เปล่าว่าเขาต่างกับคุณแต่เขาไม่มีร่างกายที่เป็นเนื้อเท่านั้นความรู้สึกนึก คิดต่างๆก็ไม่ต่างอะไรคนๆหนึ่งแต่เขาอยู่คนละมิติกับเราไม่สามารถจะบอกเรา ได้เมื่อนำเขาเข้าบ้านแล้วไม่ว่าพรายของสำนักไหนอาจารย์ผู้สร้างเขาจะบอกไว้ หรือไม่ได้บอกท่านก็ต้องจัดอาหารให้เขาได้กินบ้างตามสมควร เช่นอาจจะเป็นวันพระหรือเดือนละครั้งหรือแล้วแต่สะดวก ไม่จำเป็นต้องให้ทุกวันจะให้ดีเวลานำเข้าบ้านครั้งแรกก็จัดอาหารให้เขาสัก ครั้งหนึ่งเขาจะดีใจมากเพราะตามประสบการณ์ที่ได้ยินมา พวกนี้เขาต้องการอาหารทั้งนั้นแม้แต่หุ่นพยนต์เองบางคนที่เขาสามารถสื่อกับ เรื่องพวกนี้ได้เขาก็ออกมาบอกเลยว่าไม่ได้กินอาหารมานานมากแล้วขอข้าวให้เขา กินบ้าง

3.ท่านใดที่ปกติแล้วชอบสวดมนต์ไหว้พระทุกวันสวดพระคาถาที่ เกี่ยวกับพระพุทธคุณต่างๆ ทุกวันเช่นพระคาถาชินบัญชร หรือ พาหุงหากต้องการใช้เครื่องรางของขลังสายพรายท่านจงคำนึงไว้เสมอว่าสิ่งนี้ เป็นไสยศาสตร์ซึ่งเป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ท่านปฏิบัติอยู่เมื่อ ท่านจะสวดมนต์ไหว้พระท่านต้องเอาของพวกนี้ไว้ไกลๆที่ท่านสวดและเวลาท่านจะนำ เครื่องรางสายพรายติดตัว ให้คำนึงถึงการสวดคาถาที่เกี่ยวกับบทพระพุทธคุณต่างๆ อาทิเช่นพระคาถาชินบัญชร พาหุงยอดพระกัญฯ...ฯลฯ เพราะคาถาเหล่านี้เป็นคาถาอันเชิญพระพุทธบารมีหากสวดแล้วนำเครื่องรางเหล่า นี้ติดไปจะสร้างความลำบากร้อนรนให้กับพราย(พรายที่เป็นสายดำถ้าสายขาวไม่ เป็นไร)เป็นอย่างมาก(เฉพาะผู้ที่มีจิตเป็นสมาธิมีพลังจิตดี ถ้าจิตไม่เป็นสมาธิก็ไม่มีผลเท่าไหร่)และเขาจะไม่สามารถช่วยอะไรท่านได้เลย และต้องอยู่ห่างๆจะต้องเลือกเอาเองว่าจะให้ภูติพรายไสยศาสตร์ช่วย หรือจะเอาทางพระพุทธบารมีคุ้มครองหากมั่วสวดรวมกันไปทั้งหมด ท่านจะใช้เครื่องรางของขลังสายนี้ไม่ได้ผลเลยเพราะพรายก็เดือดร้อนครูบา อาจารย์ไสยศาสตร์ที่เขาเป็นเจ้าของวิชาอยู่ก็ช่วยให้ผลอะไรไม่ได้

นี่ เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่หลายคนใช้เครื่องรางแล้วไม่ได้ผล เรื่องนี้สำคัญและไม่ค่อยรู้กันส่วนใหญ่คิดปนกัน
ท่านจะต้องแยกให้ออกว่า อันไหนเป็นไสยศาสตร์ อันไหนเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนถ้าไม่ใช่เรื่องการปฏิบัติให้เป็นไป เพื่อการพ้นทุกข์หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดก็ถือเป็นไสยศาสตร์หมด แต่ไสยศาสตร์ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เลวร้ายทั้งหมดพระอริยเจ้าหลวงปู่หลวง พ่อครูบาอาจารย์ท่านก็ใช้ไสยศาสตร์เพื่อช่วยเหลือสงเคาระห์ชาวบ้านในทางโลก

4.ใช้ เครื่องรางของขลังสายพรายอย่าแขวนรวมกับพระ(พระพุทธคุณ พระเครื่องบางองค์เป็นรูปพระพุทธแต่บางทีการปลุกเสกก็ไม่ได้มีพลังพระ พุทธคุณ) แต่ถ้าเป็นพลังอื่นๆเช่นเมตตามหานิยมแคล้วคลาดกันภัย อันนี้ก็พอไปด้วยกันได้
 
5.ผู้ใช้ของขลังสายพรายต้องทำบุญอุทิศส่วน กุศลให้กับพรายที่อยู่ด้วยบ้างเพราะว่าการที่จะเป็นพรายถูกเขากักให้ใช้ งาน(ที่เป็นพรายที่ถูกกักมาถ้าเต็มใจมาก็อีกอย่าง) เขาก็น่าสงสารพรายบางตนดูแล้วบางตนก็นิ่งเฉยเซ็งๆ ดังนั้นเมื่อเราใช้เขาเราก็ต้องมีน้ำใจช่วยเหลือเขาบ้างไม่ใช่ใช้ดะอย่าง เดียวไม่สนใจอะไรไม่ลืมหูลืมตาไม่รู้เรื่องรู้ราวเขาว่าสายพรายดีเอามาใช้ แล้วก็แรงดีใช้อย่างเดียวอย่างนี้ก็แย่ ลองคิดดูถ้าเราไปเป็นอย่างเขาบ้างเราจะเซ็งแค่ไหนควรจะทำบุญถวายสังฆทาน ใส่บาตร ...ฯลฯ แล้วอุทิศบุญกุศลให้เขาบ้างตัวคุณก็ได้บุญพรายก็ได้บุญเขาจะมีความสุขมาก ขึ้นหมดกรรมแล้วก็จะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีขึ้น

6.เวลานำพรายไปใช้ แล้วเจอเหตุการณ์แปลกๆ เช่นเสียงก็อกแก๊กได้ยินเป็นเสียง เห็นเป็นเงาต่างๆนาๆอย่าไปสวดคาถาอะไรไล่เขาบางทีเขาอาจจะแค่บอกให้รู้ว่า อยู่ด้วยหรืออยากจะได้บุญให้ลองแผ่บุญให้เขาโดยบอกว่า "ขอบุญบารมีของ พระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ ขอให้ผลบุญของข้าพเจ้าที่ได้ทำมาทั้งหมดขออุทิศบุญกุศลนี้ให้กับภูติพรายที่ อยู่ด้วยนี้ "ถ้าเจอเหตุการณ์ที่เขามารบกวนก็บอกเขาได้ว่าอย่าทำอย่างนั้น

7.ใช้ เครื่องรางสายพรายให้หมั่นสวดมนต์ไหว้พระเจริญพระกรรมฐาน(ก่อนนอนถ้ามีเวลา ก็ตอนเช้าด้วย) ให้ตัวคนใช้เครื่องรางสายนี้มีบุญบารมีเพียงพอ และหมั่นอุทิศบุญกุศลที่ทำนั้นให้กับครูบาอาจารย์และภูติพรายด้วยจะเป็นการ สร้างบุญบารมีให้ดียิ่งๆขึ้นไป


**ข้อควรระวังและคำเตือนสำหรับ ผู้ที่ใช้เครื่องรางสายพราย**
ขึ้นชื่อว่าเครื่องรางของขลังสายพรายใช่ ว่าจะเหมือนกันหมด หรือมีลักษณะอย่างเดียวกันหมด มีหลายอย่างหลายกรรมวิธีในการสร้าง ถ้าเป็นพรายที่อาจารย์ผู้สร้างเป็นหมอมนต์ดำ พรายจะมีจิตใจหยาบและข่อนข้างจะหนักไปทางโลกีย์วิสัยมาก เช่นชอบกินพวกเนื้อสัตว์ กินเหล้า เที่ยวกลางคืน รักโลภโกรธหลงรุนแรง ถ้าผู้ใช้เจอแบบนี้ก็จะมีจิตใจแบบนั้นด้วยเพราะใช้เครื่องรางสายพรายถ้าคน ใช้ไม่มีบารมีพอหรือมีจิตอ่อนกว่าพราย พรายก็จะครอบงำได้ และมีพรายบางสายที่อาจารย์ทำไม่เป็นแค่กักผีลงของเท่านั้นไม่ได้ทำอะไรเพิ่ม เติมเลย เวลาเอาไปบูชาพรายประเภทนี้ก็ไม่ทำอะไรกินๆนอนๆไปเป็นวันไม่สร้างประโยชน์ ช่วยเหลือคนที่ใช้เลยก็มี หรือบางประเภทที่หลายคนคงเคยเจอคือเอาไปใช้ช่วงแรกๆดูเหมือนจะดีพอใช้ไปซัก พักเริ่มไม่ดีอย่างนี้ก็มีเป็นประเภทถอนทุนคืน

แต่ถ้าเป็นพรายที่ อาจารย์เขาทำเป็นเขาจะสร้างมาดีเช่นพรายที่สร้างจากอาจารย์สายขาว เขาจะอบรมสั่งสอนพรายให้มีนิสัยดี ให้คุณไม่ให้โทษ ช่วยเหลือคนบูชา เป็นจิตวิญญานที่ดี ชอบทำบุญกุศล อาจจะมีไม่ดีบ้างแต่ก็จะดีเป็นส่วนใหญ่ ถ้าได้พรายประเภทนี้ไปก็โชคดี

ดังนั้นหากคิดจะเล่นสายพรายกรุณา ศึกษาให้ละเอียดให้ดี ว่าอาจารย์ไหนเป็นยังไง แต่ก็อย่างว่าแหละนะใครจะเจอกับแบบไหนก็เป็นเวรกรรมของคนๆนั้นมีวิบากกรรมมา กับสายไหนก็เจอสายนั้น


ขอบคุณที่มาจาก ศูนย์พระเครื่องออนไลน์สยามมงคล  หากซ้ำก็ขออภัยด้วยครับ ..



ปล. picnicza ลองศึกษาให้ลึกกว่านี้นะครับ สายพรายมีคุณมากกว่าโทษอีก เล่นสายพระพระพุทธคุณดีกว่าครับ ไม่มีผลเสีย ..  :001:

33



สวัสดีครับ วันนี้นำมาให้ชมกัน

ภาพไม่ชัดขออภัยด้วยครับ รองบอีกหน่อยจะซื้อกล้องดิจิตอลครับ ..

34


ได้ครั้งเมื่อไปกราบเมื่อต้นสงการณ์ ร่างหลวงพ่อแดง เป็นหินจริงๆครับ  ดูสังขารหลวงพ่อใกล้มากเลย สุดยอดจริงๆ ..

สติ๊กเกอร์แผ่นนี้ได้มาจากน้องชายครับ หลวงลุงที่วัดเขาถามว่าใครขับรถ เขาเลยเมตตาให้มา  :089:
 

35


นำมาให้ชมกันนะครับ เหรียญหลวงพ่อคูณ เสาร์๕ คูณพันล้าน หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่


ภาพไม่ชัดเท่าที่ควร ก็ขออภัยด้วยนะครับ  :089:

36







นำมาให้ชมกันครับ องค์แรกฝังตะกรุดทองคำ และ มีเกศาหลวงปู่มี ครับ


ภาพไม่ชัดก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ  :089:

37



นำมาให้ชมกันนะครับ สมเด็จหลังยันต์ครู รุ่นเทพประทานพร หลวงพ่อประเทือง วัดหนองย่างทอย สมทบทุนสร้างเจดีย์ 9 ชั้น


ภาพไม่ชัดก็ขออภัยด้วยครับ  :089:

38


วันนี้เข้ากุเกิ้ลอีกแล้ว ดูนู้นดูนี้ แล้วค้นหาไปเรื่อยเปื่อย เจอภาพนี้

ดูแล้วแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เป็นภาพหลวงพ่อเพิ่มวัดกลางบางแก้ว รดน้ำศพหลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา

ถึงแม้ท่านทั้ง 2 จะจากเราไปนานแล้ว แต่คุณงามความดีของท่าน อยู่ในใจเราตลอดไปครับ

ขอกราบนมัสการหลวงพ่อเพิ่ม หลวงพ่อน้อย เกจิเมืองนครปฐมครับ

 :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054:



ขอขอบคุณที่มาจาก ท่านเด็กบ้านโป่ง จากเว็บวัดท่าโขลง ขอขอบคุณมากครับ  :114:

39



สวัสดีครับ พอดีวันนี้นั่งเล่นเว็บ กุเกิ้ลไปเรื่อยๆ ดูนู้นดูนี้ สดุดตาภาพนี้หลายครั้งแล้ว เลยนำมาให้ชม


ขอกราบนมัสการหลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจ้า หลวงปู่ทิม วัดพระขาว หลวงพ่อมีวัด มารวิชัย อยุธยา ครับ


หากลงซ้ำก็ขออภัยด้วยนะครับ ..  :114:

40





จากกระทู้ http://www.bp.or.th/webboard/index.php/topic,16239.html ( ## หนีร้อนเที่ยวนนทบุรี .. เก็บภาพมาฝากกัน )

นี้เป็นวัตถุมงคลที่เช่ามาครับ พระปิดตาวัดบางจาก หลังฝันตะกรุดเงิน ตอกโค๊ด605 

และเสือขี่ปลัด เนื้อทองเหลือง วัดตะเคียน นนทบุรี



41



ด้วยความเคารพ พอดีวันนี้ว่างๆ พาคุณลุงไปเี่ที่ยวไหว้พระที่นนทบุรี ออกจากบางใหญ่ 10 โมงกว่า


ไปวัดแรกคือวัดบางจาก และต่อมาด้วยวัดสะพานสูง ขออภัยที่ถ่ายมาได้รูปเดียว เพราะว่าไหว้พระ มีที่ไหว้เยอะพอสมควร

แล้วไปวัดใหญ่สว่างอารมณ์ (หลวงพ่ออ่าง) ไม่ได้เก็บภาพมาให้ชมครับ และวัดบางไกลนอก (บ้านเกิดไกรทอง)

และก็มาวัดตะเคียน เจอพี่คนอัศจรรย์คนเดียวนั่งอยู่แถบๆ บูชาวัตถุมงคล วัดคนเยอะมากๆเลยครับ

แต่ไม่เห็นท่าน rastafa เลยครับ หาไม่เจอ 



มีบางภาพที่ตกหล่น ก็ขออภัยด้วยนะครับ  :054:


กล้องอาจจะไม่ชัด แต่ตั้งใจเก็บภาพมาให้ชมกัน




42



นำมาให้ชมครับ พอดีนึกถึงท่าน  :054:

ขอกราบนมัสการหลวงพ่อด้วยครับ

43




สวัสดีครับ นำมาให้ชมกัน พระราคาบูชาที่วัดไม่สูงครับ แต่องค์นี้พิเศษตรงที่ว่าหลวงท่านเมตตามาให้มาครับ รับกับมือหลวงปู่เลย เมื่อกลางๆปีที่แล้ว ครั้งที่ผมมาช่วยงานที่วัด
ถ้าจำไม่ผิดรุ่นนี้หลวงปู่ปลุกเสกพร้อมเสือปืนแตกรุ่นที่  3 ปลื้มใจมากๆครับ

แต่เห็นหลวงปู่ในวันนี้เห็นแล้วหดหู่มากๆครับ สังขารท่านร่วงโรยไปมาก ไม่เหมือนแต่ก่อน

อยากให้ท่านอยู่กับเราไปนานๆ ครับ  ขอกราบนมัสการหลวงปู่แย้มครับ



44


นำมาให้ชมกันนะครับ  หลายท่านอาจจะเคยเห็นโดยเฉพาะท่านที่คนไทยเชื่อชาติจีน  :001: ติดไว้หน้าบ้าน รถ ดีนักแล


45




วันนี้ขุ้ยถุงเจอไม่กี่เหรียญ รุ่น๑ หาไม่เจอ  เจอเท่านี้ครับ นำมาให้ชมกันก่อนครับ   

ขอบคุณทุกๆท่านที่รับชมนะครับ  ขอขอบคุณครับ 

46




พอดีวันนี้ไปหยุด เขาไปเอาของไม่ได้เพราะของอยู่กรุงเทพ แย่เลยครับขาดทุนหมด พอดีที่ๆจะไปเอาของอยู่แถววงเวียนใหญ่พอดี

เขาไปเอาของไม่ได้เลยให้หยุด และ วันนี้จะขุ้ยดูในถุงไปเรื่อยๆ สะดุดตากับเหรียญหลวงพ่อเปิ่น แท้หรือปลอมผมไม่สนใจครับ

นับถือมากๆเลย  :015:



ภาพไม่ชัดนะครับ ขออภัยด้วยครับ

47





พอดีวันนี้ว่างๆ งานน้อยเลยถ่ายมาให้ชม ขออภัยด้วยหากภาพไม่ชัด

48
สวัสดีครับวันนี้ไม่ไ้ด้ไปงานไหว้ครูวัดบางพระเสียดายครับ แต่วันนี้ไปสระบุรีมา  :001: เก็บภาพมาฝากกัน  :015:


ที่แรกโรงเจพุทโธบูชา และ โรงเจเก่า โรงเจใหม่ รวมๆกันไปครับ



ต่อมาเดินไปหน่อยก็วัดพระพุทธบาทแล้ว ชมกันต่อครับ วันนี้จะมีขบวนเสด็จ ต้องรีบหน่อย  :001: และตลาดครับขายดีจริงๆ





ต่อมาศาลเจ้าพ่อเขาตก รูปเริ่มน้อย เพราะแบตเริ่มจะหมดครับ





ชมกันต่อถ้ำประทุนครับ รูปน้อยแบตใกล้จะหมดเต็มที  :016: ไม่กล้าเข้าถ้ำครับ น่ากลัว  :005:







ที่สุดท้ายบ่อพรานล้างเนื้อครับ ถ่ายได้เท่านี้ วันนี้ล้วงแล้ว บ่อพานปักหอก :048:  ไม่เจออะไรเลย
 




ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชมนะครับ ขออภัยด้วยหากรูปภาพไม่ชัด เหนื่อยครับวันนี้  :001: แต่เต็มใจเสนอให้สมาชิกได้ชมกัน




 




 

49



นำมาให้ชมกันครับ ย่ามหลวงพ่อเงิน ตอนนั้นไปกับน้องที่ทำงาน ได้มาคนละชุด ชุดละ100บาทครับ  :001: :001:

หลวงพ่อท่านเมตตามากๆครับ  แต่เสียดายไม่ได้เอาตะกรุดมา เดี๋ยววันหลังถ้าไปจะถ่ายภาพบรรยากาศมาให้ชมนะครับ

ขอบคุณทุกท่านนะครับ ที่รับชม ขอขอบคุณครับ  :054:

50






นำมาให้ชมกันครับ รุ่นแรกเลย ของศาลพระพิฆเนศ ห้วยขวาง แต่ก่อนแวะไปแถวนั้นบ่อย เก่าแล้วครับ ปลวกขึ้นหมดเลย  :001: :001:


ขอบคุณทุกท่านที่รับชมนะครับ ขอบคุณคร๊าบบบ  :054:

51
...สวัสดีครับสมาชิกที่รักทุกท่าน วันนี้นำพระเครื่องของหลวงพ่อแพมาให้ชมกัน เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นนะครับ  :005: นำมาให้ชมเป็นวิทยาืทานนะครับ...










เพื่อเป็นวิทยาทานความรู้  สมาชิกท่านใดมีก็ช่วยลงให้ชมบ้างนะครับ  :080:  รักสมาชิกทุกคนครับ  :077:  :026:  :089:






52













นำมาให้ชมกันครับ ถ่ายไว้เมื่อ 2 - 3 วันที่แล้ว ไม่ได้เอาลง ไม่มีเวลาเลยครับ



ขออภัยด้วย หากภาพไม่ชัด ครับ  :075:


ขอบคุณทุกท่านที่รับชมนะครับ  :054:

53





นำมาให้ชมกันนะครับ ลอยสัก ของลุงถ่ายมา ผมนำมาให้ชมแล้วนะท่านโจ!

เหนื่อยเลย ออกจากบ้านเช้าด้วย


ขอบคุณทุกท่านที่รับชมนะครับ

54
สวัสดีครับสมาชิกทุกท่าน วันนี้ว่างๆเลยกลับบ้านที่นนทบุรี ไปหาลุงด้วยครับ ท่านโจรอยากเห็นลอยสักหลวงพ่อประเทือง

เลยหาเวลาไปถ่ายมาให้ ออกจากบ้านตี 5 ไปถึงที่วัดมีงานฝังลูกนิมิต พอดีเลยมาชมรูปและคำอธิบายกันเลยครับ


1.บริเวณจุดดอกไม้ธูปเทียน วันนี้ไปถึง 6 เช้า ฟ้าสางๆครับ



2.ผ้าป่าลอยฟ้า






3.มาไหว้พระกัน ขออภัยด้วยที่ถ่ายหลังองค์พระมานะครับ คนเยอะ



4.


5.ฝังลูกนิมิตมี9ลูก ถ่ายมาไม่ครบขออภัยด้วยครับ  :054:



6.ขึ้นโบสถ์กัน  ข้างๆโบสถ์ครับ สวยมากๆเลยตอนเช้าๆ  :016:



7.หลวงพ่อดิษฐ์ อดีตเจ้าอาวาสเจ้าตำหรับปิดตาแร่บางม่วงครับ



8.ในโบสถ์



9.ปู่ชูชก กำลังมาแรง



วันนี้ลืมถ่ายรูปหลวงพ่อย้อย มาครับได้แค่กราบท่าน แต่ไม่ได้ขอถ่ายรูปท่าน เสียดายจริงๆ

แุถมๆ อารยธรรมเก่าตั้งแต่เล็กจนโตผมไม่ลืมครับ คลองบางใหญ่ที่เลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เด็ก

เห็นแล้วปลื้มใจครับ ข้ามสะพานเดินไปหน่อยก็บ้านผมครับ 




วันนี้กะจะเข้าวัดตะเคียน  แต่เวลารวบรัด เลยไม่ได้เข้าวัดตะเคียน 


ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชมนะครับ มือใหม่ กล้องใหม่ ไม่ชัดด้วย  :075:


ขออภัยหากทำให้ท่านไม่พอใจในภาพครับ แต่ผมเต็มใจเสนอครับ ขอบคุณครับ

55





นำมาให้ชมกันนะครับ ตะกรุดหลวงพ่อประเทือง เดี๋ยววันหลังจะถ่ายรอยสักของลุงผมมาให้ชมกันนะครับ ช่วงนี้งานยุ่ง ครับ  :054:



56


ครูบาอาจารย์ของอาตมาองค์หนึ่ง คือ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก อยุธยา ท่านบอกว่าถ้า ติดในวัตถุมงคลก็ดีกว่าติดในวัตถุอัปมงคล โบราณาจารย์ท่านมีปัญญา ท่านฉลาดมาก ท่านสอนให้เรายึดในพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ คือ ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยการสร้างวัตถุมงคลพระเครื่องขึ้นมา ให้เราปฏิบัติกรรมฐานใหญ่โดยที่เราไม่รู้ตัว ท่านให้เราอาราธนาทุกวัน โดยระลึกถึงทุกวันเป็นอนุสสติอยู่ แล้วมีข้อกำกับว่า ถ้าหากว่าศีลบริสุทธิ์ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ก็จะมีอานุภาพคุ้มครองเราได้ระดับหนึ่ง ที่ไม่เกินกฎของกรรม

ดังนั้นที่อาตมายอมเสียสตางค์ทีละมากๆ หามาให้แก่ญาติโยมทั้งหลายก็เพื่อเป็นอนุสสติ เพื่อเป็นการปฏิบัติ เพราะไม่ว่าการเดินทางไปในที่ใดก็ตาม ถ้ามีสิ่งให้ยึดให้เกาะมันจะปลอดภัยมากกว่า

การปีนเขาก็ดี การขึ้นบันไดก็ดี ถ้ามีที่ให้ยึดให้เกาะมันก็จะปลอดภัยกว่าคนที่ไม่ยอมยึดไม่ยอมเกาะ จำไว้ว่าเราต้องยึดก่อน เราถึงจะมีสิ่งที่ปล่อยวางได้ ถ้าเราไม่ยึดก่อนจะเอาอะไรมาวาง ทุกคนที่บอกว่าอนัตตาๆ ไม่เอาอะไรๆ นั้น ไม่เอาอะไรแล้ว มันยึดถือตัวไม่เอาอะไรนั้นแหละ ยึดคำว่าอนัตตานั้นแหละ

จำไว้ว่า ถ้ายังไม่มีอัตตาก็จะหาอนัตตาไม่ได้ มันต้องมีอัตตาขึ้นมาก่อนมันถึงจะวางลงเป็นอนัตตาได้ เหมือนกับที่เราขึ้นมาบนห้องนี้ เราเดินขึ้นบันได เราเกาะบันไดมาด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาทตามคำที่พระพุทธเจ้าท่านสอน พอเราเดินมาถึงหน้าประตู เปิดประตูเข้ามา เราได้แบกราวบันไดเข้ามาหรือไม่ ? เราก็ไม่ได้แบกราวบันไดมาด้วย...ฉันใดก็ฉันนั้น

เราไม่สามารถปล่อยวางได้ ถ้าไม่มีสิ่งให้ยึดเกาะ มันต้องรู้จักยึดก่อนมันถึงจะรู้จักวาง พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเอาไว้ว่า เหมือนกับแม่ลูกลงไปงมจับปลา ลูกชายจับได้หัวงูกำไว้แน่นเลย “แม่ๆ ได้ปลาตัวเบ้อเร่อเลย” แม่ คือครูบาอาจารย์เห็นเข้าก็ “เออ...ดีไอ้หนูลูกกำให้แน่นๆ เดี๋ยวมันจะหลุดไป” เพื่อไม่ให้ลูกตกใจ แล้วพอเสร็จแล้วลูกกำแน่นดีแล้ว “ไอ้หนูขึ้นฝั่งไปลูก เสร็จแล้วดึงหางมันออกมาสลัดมันไปไกลๆ เลยลูก” พอลูกเหวี่ยงทิ้งไปเสร็จเรียบร้อยแล้วบอก “นั่นงู พิษนะลูกคราวหน้าอย่าไปจับมัน” ถ้าไม่กำให้แน่นตายไหมตอนนั้นน่ะ ?...ตาย...ไม่เหลือหรอก...ประมาณลักษณะเดียวกัน เพราะฉะนั้นเราต้องยึดก่อน



สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ วันเสาร์ที่ ๓๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓


ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...ead.php?t=1108


57
วันนี้นำขุนแผน ปี 40 วัดซำปอกง มาให้ชมกันครับ

ไปไหว้พระวัดซำปอกงครับ  :075: ได้ยินเสียงประกาศที่วัดพนัญเชิงถึงเรื่องวัตถุมงคล

สดุดหูตรงพระขุนแผน ที่สำคัญราคาไม่สูง หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระมาปลุกเสก และหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง ด้วยครับ

จากนั้นเดินไปมุมวัตถุมงคลเลย ไม่รอช้าเช่าเลยครับ   ขออภัยด้วยครับ ภาพอาจจะไม่ชัด  :054:



58
สวัสดีครับสมาชิกทุกท่าน วันนี้กล้องชัดขึ้นเพราะถ่ายเวลาเย็นๆ  :075:  มีแสงสว่างมาก


วันนี้นำตะกรุดหลวงปู่หลุย วัดราชโยธามาให้ชมกัน ดอกนี้ได้มาจากพระอาจารย์ที่ผมเคารพนับถือ (ขอไม่ออกนามนะครับ)


ได้มาเมื่อหลายปีที่แล้ว ตื้อพระอาจารย์ท่านอยู่นานกว่าท่านจะได้ ท่านบอกว่าอย่าไปให้ใคร เก็บไว้ดีๆ


ตามจริงจะเห็นรอยจารครับ แต่กล้องผมมันไม่ค่อยดี ไม่ชัด ต้องขออภัยด้วยครับ ดอกนี้จารมือเต็ม  :015:








ขอขอบคุณสมาชิกทุกท่านที่รับชมครับ ผิดถูกชี้แนะด้วยนะครับ  :080:

59




พอดีนำกล่องที่ใส่พระเครื่องมาทำความสะอาดครับ เก็บของหลวงพ่อเปิ่นได้นิดหน่อย

และนำตะกรุดมหารูดหลวงปู่แย้ม วัดสามง่าม นครปฐมมาให้ชมกันครับ

และตะกรุดหนังเสือหลวงพ่อมาลัย วัดบางหญ้าแพรกมาให้ชมกันครับ



ขออภัยด้วยครับ รูปภาพไม่ค่อยชัด กล้องโทรศัพย์มือถือผมแพ้กลางคืนครับ   :058:

60




ช่วงนี้ไม่ว่างครับ กลับบ้าน 3ทุ่ม 4ทุ่มตลอด ลงช้าไปหน่อย ขออภัยด้วยครับ

รูปภาพไม่ชัดเช่นเคย  :075:


เหรียญนั่งพานแจกเขาไปเยอะครับ  เหลือเท่านี้ครับ เราก็พอเก็บไว้บ้าง  :015:  :053:


ยังเหลือตะกรุด 9 ชั้นและ 3 ชั้นครับ  และรูปหล่อรุ่นแรก เดี๋ยวผมจะถ่ายมาให้ชม


อาจจะช้าหน่อยนะครับ ช่วงนี้ยุ่งจริงๆ หลับตรุษจีนมานี้  :001:



หากไม่ชอบก็ขออภัยด้วยนะครับ  มือใหม่  :058:







61








นำมาให้ชมกันครับ ดอกนี้ไ้ด้มาตั้ง 20 กว่าปีที่แล้ว ได้มาจากคุณอาครับ   


สมัยหลวงพ่อท่านยังไม่ดัง  บูชา100บาท แช่น้ำมนต์ด้วยครับ


ขออภัยด้วยนะครับ รูปภาพไม่ชัดเท่าไหร่ ใช้ภาพจากกล้องมือถือถ่ายครับ  :058: 

62


ช่วงตรุษจีนของทุกปีเทพองค์หนึ่งที่ ผู้คนนิยมไปกราบไหว้ขอพรกันอย่างเนืองแน่น เพื่อให้มีโชคมีชัยตลอดทั้งปี ก็คือ "ตั่ว เหล่าเอี๊ย หรือเฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่" ณ ศาลเจ้าพ่อเสือ ซึ่งชาวจีนถือเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องอภิบาล และปราบปรามศัตรู

มี ตำนานเล่าขานมากมายเกี่ยวกับตั่วเหล่าเอี๊ย อาทิ ในเทวปกรณัมของจีนกล่าวว�เมื่อครั้งบรรพกาลล่วงมาแล้ว เมืองลกฮง กึงตัง ประเทศจีน มีชายหนุ่มรูปร่างกำยำใหญ่ผู้หนึ่งประกอบอาชีพฆ่าหมูและวัวเพื่อส่งขาย คืนหนึ่งเกิดนิมิตเห็นนักพรตลัทธิเต๋ามาบอกให้เลิกฆ่าสัตว์ เพราะเขามิได้เกิดมาเพื่อการนี้ แต่เกิดมาเพื่อสร้างบารมี ควรหันมาบำเพ็ญธรรมแล้วจะสำเร็จ เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาชายหนุ่มจึงเล่าให้มารดาฟัง ซึ่งมารดาก็เห็นด้วย ทั้งสองจึงตกลงยุติการฆ่าสัตว์และตั้งใจบำเพ็ญปฏิบัติธรรม

เวลาล่วง ไป 3-4 วัน นักพรตในนิมิตก็มาปรากฏกายที่หน้าบ้าน แล้วถามเขาว่า "ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวที่จะบำเพ็ญพรตให้สำเร็จหรือยัง" ชายหนุ่มตอบตกลงทันที จากนั้นจึงรวบรวมทรัพย์สินก้อนหนึ่งไว้สำหรับมารดาผู้ชรา แล้วเก็บข้าวของออกเดินทางตามนักพรตขึ้นเขาไปบำเพ็ญพรต แต่ไม่ว่าจะมานะและตั้งใจปฏิบัติบำเพ็ญมากแค่ไหน ก็หาประสบผลสำเร็จไม่ ทำ ให้ชายหนุ่มรู้สึกท้อแท้ใจมาก วันหนึ่งจึงถามนัก พรตว่า "เขาจะมีวันสำเร็จธรรมไหม" อาจารย์ตอบว่า "ตราบใดที่ภายในของเจ้ายังเป็นสีดำ ก็อย่าถามถึงความสำเร็จ" เขาทั้งเสียใจและข้องใจในคำพูดของอาจารย์ว่าหมายความว่าอย่างไร

เขา ตั้งใจมุ่งมั่นบำเพ็ญธรรมเพื่อความสำเร็จ แต่ภายในกลับเป็นอุปสรรค ถ้าเป็นเช่นนี้เขาก็ยินดีพลีชีพเพื่อบูชาธรรม จึงคว้ามีดขึ้นมาคว้านท้องลากไส้และกระเพาะออกมา เมื่อเครื่องในเหล่านั้นหลุดพ้นจากร่างเขาเกิดความรู้สึกตัวเบาและบรรลุธรรม ในทันที ด้วยได้เอาชีวิตของตนแลกธรรมเพื่อทดแทนบาปกรรมที่ได้ฆ่าสัตว์มามาก

เมื่อ นักพรตทราบความจึงรีบมารักษาจนหายเป็นปกติ ชายหนุ่มยังสามารถดำรงชีพอยู่โดยปราศจากลำไส้และกระเพาะ เพราะฌานสมาบัติแห่งธรรม เมื่อสำเร็จธรรมแล้วนักพรตจึงให้ชายหนุ่มลงจากเขาไปโปรดผู้คน โดยมอบธงสีขาวให้ 1 ผืน ชายหนุ่มจัดเตรียมสัมภาระลงเขา พร้อมเอากระเพาะและลำไส้ที่ตากแห้งติดตัวไปด้วย ครั้นเดินทางถึงเชิงเขาได้พบหญิงท้องแก่กำลังจะคลอดบุตร จึงมอบธงผืนนั้นเพื่อให้หญิงคนนั้นใช้รองรับเด็กทารก

หลังจากนั้น เขาได้เอาธงเปื้อนเลือดไปล้างที่ชายคลอง พอธงจุ่มลงน้ำน้ำในคลองพลันเปลี่ยนเป็นสีดำทันที รวมทั้งธงของเขาก็กลายเป็นสีดำด้วย อีกทั้งกระเพาะและลำไส้ก็พลัดหล่นลงน้ำไป จากนั้นชายหนุ่มก็ลงเขาโปรดผู้คนจวบจนสิ้นวาระขัยจากมนุษย์โลก ไปเสวยทิพย์สมบัติ องค์เง็กเซียนฮ่องเต้ เจ้าแห่งสวรรค์ โปรดประทานยศให้เป็นผู้ตรวจการภพสาม ตำแหน่ง "เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่" ผู้พิชิตมาร โดยมีธงเทพโองการสีดำเป็นอาญาสิทธิ์ และเป็นสัญลักษณ์ ต่อมาเง็กเซียนฮ่องเต้มีพระบัญชาให้ไปปราบสัตว์ประหลาด 2 ตน พอพบสัตว์ประหลาดทั้งสอง เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่ทราบทันทีว่าเป็นกระเพาะและลำไส้ของตนที่ปีศาจร้ายเข้า ไปสิงสถิตอยู่ กระเพาะกลายเป็น "เต่า" และลำไส้กลายเป็น "งู" ท่านจึงเอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบเต่า และเท้าอีกข้างเหยียบงูไว้ สยบสัตว์ปีศาจร้ายทั้งสองจนหมดฤทธิ์

ชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธาจึงจัด สร้างศาลเจ้าและรูปปั้นท่านขึ้นบูชา โดยใช้สัญลักษณ์เท้าเหยียบเต่า เหยียบงู และธงสีดำ โดยมี "เสือ" เป็นบริวารพาหนะ

นี่คือตำนานแห่ง ตั่วเหล่าเอี๊ย หรือเฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่ เทพศักดิ์สิทธิ์ ประจำกลุ่มดาวด้านทิศเหนือ ผู้พิชิตมาร ในรูปลักษณ์ขุนพลเคราดำยาว เท้าเหยียบบนหลังงูและเต่าซึ่งถือเป็นสัตว์ประจำกาย มือขวาถือดาบชิดแชเกี่ยม มือซ้ายยกชี้ระดับหน้าอกไปยังท้องฟ้า อันแสดงความหมายถึงการบรรลุธรรมสำเร็จเต๋า ที่ผู้คนกราบไหว้นับถือมาจนถึงทุกวันนี้ครับผม


ที่มาข่าวสด ออนไลน์ ขอขอบคุณครับ

63



ตื่นอีกทั้งอำเภอ! งูเหลือมเพศผู้ยาวกว่า 3 เมตร ตายพันร่างรอบงูตัวเมีย ท้องแก่คล้ายโอบกอดงูเหลือมงูเมีย ที่ตายพันร่างรอบจอมปลวกก่อนหน้านี้ เผยมีคนเห็นงูเหลือมเพศเมีย และเพศผู้ สองตัวนี้ก่อนตายอยู่ด้วย คาดเป็นคู่ผัวตัวเมีย หลังจากงูเพศเมียตายไม่กี่วัน งูเหลือมเพศผู้ก็ถูกรถทับเช่นเดียวกันกับงูตัวเมีย ก่อนจะกระเสือกกระสนมาตายด้วยการพันร่างงูตัวเมียไว้ ชาวบ้านนำสร้อยคอทองคำมาคล้องงูตัวเมีย แก้บนที่ขายที่ดินได้ คณะกรรมการชุมนุมบอกจะเก็บสร้อยคอไว้เป็นค่าใช้จ่ายดูแลสถานที่ ล่าสุด!ตั้งศาลเจ้าที่ให้งูทั้งสองตัวแล้ว

เวลา 11.00 น.วันที่ 11 ก.พ. 53 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีเมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา มีชาวบ้าน ต.ทรายขาว อ.สอยดาว จ.จันทบุรี พบเห็นงูเหลือมเพศเมีย ท้องแก่ ลำตัวยาว 2 เมตร 90 เซนติเมตร ตายด้วยการพันร่างกายไว้รอบจอมปลวกสูงกว่า 1 เมตร ในป่าละเมาะ บริเวณด้านหน้าชุมชุมทหารผ่านศึก หมู่บ้านตามูลล่าง หมู่ 3 ต.ทรายขาว อ.สอยดาว ระหว่างหลัก กม.ที่ 61 - 62 ถนนจันทบุรี - สระแก้ว โดยชาวบ้านจากในอำเภอต่างพากันมาดูความแปลกประหลาดดังกล่าวอย่างไม่ขาดระยะ ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า ได้เกิดความแตกตื่นกับชาวบ้านอีกครั้ง เมื่อปรากฏว่า มีงูเหลือมเพศผู้อีก 1 ตัว นอนตายในลักษณะพันร่างไว้รอบงูเหลือมเพศเมียท้องแก่ตัวดังกล่าว

ภายหลังรับแจ้งผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังป่าละเมาะ ที่งูเหลือมท้องแก่ตายรอบจอมปลวก พบชาวบ้านจำนวนมาก ทยอยเดินทางมายังสถานที่ดังกล่าวไม่ขาดสาย นอกจากนั้นได้มีพ่อค้า แม่ค้า นำล็อตเตอร์รี่มาขายกันหลายเจ้า และต่างขายดีไปตาม ๆ กัน โดยเลขที่ขายได้ดีคือเลขที่ลงท้ายด้วยเลข 0 มีทั้ง 90 และ 80 รวมทั้งมีพ่อค้า แม่ค้าหลายเจ้า นำสินค้าพวกอาหารและน้ำดื่ม น้ำอัดลม ดอกไม้ ธูปเทียน ทองเปลวมาขายกันอย่างคึกคัก

ขณะที่บริเวณจอมปลวก พบว่ามีการตั้งศาลเจ้าที่ โดยนำขันธ์ห้า ประกอบด้วย ดอกไม้ ธูป เทียน หมาก พลู บุหรี่ เครื่องเซ่นไหว้ต่าง ๆ ตุ๊กตายาย ตา มาตั้งไว้ในศาลเจ้าที่ด้วย ท่ามกลางการเดินทางมากราบไหว้ซากงู ศาลเจ้าที่ของชาวบ้านอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้บริเวณรอบจอมปลวก นอกเหนือไปจากมีงูเหลือมเพศเมีย ท้องแก่ตายด้วยการพันร่างรอบจอมปลวกตามที่ผู้พบเห็นไปก่อนหน้านี้แล้ว ยังพบงูเหลือมเพศผู้ ลำตัวยาว 3 เมตร 20 เซนติเมตร ตายในลักษณะพันร่างกายไว้รอบงูเหลือมตัวเมีย คล้ายการโอบกอดงูเหลือมงูเมียไว้ ซึ่งได้สร้างความรันทดปนความประหลาดใจแก่ผู้พบเห็น โดยต่างวิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นา ๆ รวมทั้งการตีความหมายเป็นตัวเลขด้วย

ทั้งนี้ นอกเหนือไปชาวบ้านจะพากันดูลักษณะการตายของงูเพศเมีย และเพศผู้แล้ว ชาวบ้านยังพากันมุงดูน้ำมนต์ในขันธ์เงินที่อยู่ใต้ศาลเจ้าหน้าที่ โดยบางรายลงทุนมุดเข้าไปใต้ศาลเจ้าที่ พยายามก้มหน้าเข้าไปใกล้ขันธ์น้ำมนต์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อมองหาเลขเด็ดในขันธ์น้ำมนต์ และหยดน้ำมนต์เป็นเลข 90

นายภานุวัฒน์ พันอ่อน อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 59 / 3 หมู่บ้านปะตง หมู่ 1 ต.ปะตง อ.สอยดาว ผู้จัดการตลาดนัดในชุมชนทหารผ่านศึกษา ที่ตั้งอยู่ใกล้กับป่าละเมาะที่งูเหลือมเพศผู้ เพศเมียตาย เปิดเผยว่า เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีผู้พบเห็นงูเหลือมเพศผู้นอนตายพันร่างไว้รอบงูเหลือมเพศเมีย ตายในลักษณะโอบกอดงูเหลือมตัวเมีย ตนและ เพื่อน ๆ ได้พยายามเสาะหาที่มาของงูตัวผู้ ว่ามาจากไหน มาตายที่เดียวกันกับตัวเหลือมเพศเมียได้อย่างไร จนกระทั่งทราบว่า เคยมีผู้พบเห็นงูทั้งสองตัวในบริเวณจอมปลวกแห่งนี้ในขณะที่มันทั้งคู่ยังมี ชีวิต คาดว่าน่าจะเป็นงูเหลือคู่ผัวตัวเมียกัน หลังจากงูเหลือมเพศเมียตายได้ไม่กี่วัน อยู่ ๆ งูเหลือมเพศผู้ก็มาตายในรอบจอมปลวกที่เดียวกันกับงูเหลือมตัวเมีย ตนและ เพื่อน ๆ ได้ช่วยกันตรวจสอบสภาพร่างกายงูเหลือมเพศผู้อย่างละเอียด ปรากฏว่า พบร่องรอยการถูกรถยนต์ทับ แล้วก็เห็นมันมาตายในที่เดียวกันกับงูเหลือมเพศเมีย คาดว่า หลังจากถูกรถทับแล้วคงจะกระเสือกระสนมาตายกับคู่ของมัน

นายภานุวัฒน์ เปิดเผยต่อไปว่า เมื่อวานนี้ (10 ก.พ.) มีผู้นำสร้อยคอทองคำ หนัก 1 สลึงมาคล้องงูตัวเมีย โดยบอกงูเหลือมว่า มาแก้บนที่ช่วยให้ขายที่ดินได้สำเร็จ ตนและคณะกรรมชุมชนทหารผ่านศึก ได้เก็บทองเส้นดังกล่าวไว้ ตกลงกันว่าจะไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการดูเรื่องต่าง ๆ ในสถานที่งูเหลือมตาย และล่าสุดได้รวบรวมเงินกัน และเงินบริจาคของชาวบ้านนำมาสร้างเจ้าศาลเจ้าที่ไว้ใกล้กับจอมปลวก




ข้อมูลข่าวจากhttp://www.krobkruakao.com/

64



ครื่องรางของขลังที่คนโบราณนิยมกันว่าเป็นมงคลอีก อย่างหนึ่งก็คือ "แหวนพิรอด" ในปัจจุบันนี้ค่อนข้างหายาก และอาจารย์ที่ทำดูจะหายากตามไปด้วย นับเป็นวัฒนธรรมเครื่องรางโบราณอีกชนิดหนึ่งที่กำลังจะหายไปกับยุคโลกาภิวัฒ น์ หรือยุคเทคโนโลยี ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะนำพาสังคมไทยไปในรูปแบบใดจะเป็นการสร้างชาติ หรือสิ้นชาติที่หมาย

ถึงการสูญเสียวัฒนธรรมเก่า ๆ ไปแลกกับวัฒนธรรมขยะยุค ไอ.ที. (I.T.) ที่วัยรุ่นปัจจุบันมักมีพฤติกรรมแปลกให้เห็นอยู่เสมอ ๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์ ฝากข้อคิดไว้นิดว่าชาติจะมีความหมายอะไร ถ้าหากเราไม่สามารถรักษาเอกลักษณ์ คือ วัฒนธรรมเอาไว้ได้

แหวนพิรอดว่ามี สองชนิด

ตามตำราไสยศาสตร์นั้นบอกเล่าเรื่องราวของ แหวนพิรอดว่ามีสองชนิด คือชนิดเล็กใช้สวมนิ้ว ชนิดใหญ่ใช้สวมแขน ซึ่งมักเรียกว่า "สนับแขนพิรอด" (ชนิดนี้บางทีทำด้วยโลหะผสมก็มี ตรงหัวทำเป็นเหมือนหัวแหวนพิรอด) ซึ่งสนับแขนนี้เดิมยังใช้เป็นอาวุธของนักมวยในการกอดปล้ำที่เข้าวงใน เพราะแหวนแขนที่ทำจากด้ายดิบหากลงรักจะแข็ง และคมซึ่งใช้ถูกับผิวหนังนักมวยฝ่ายตรงข้ามทำให้เจ็บ และไม่อยากเข้าต่อสู้ด้วยการกอดปล้ำ เป็นการจำกัดรูปมวยฝ่ายตรงข้ามเรียกว่าพาให้เขาเข้าทางมวยฝ่ายเรา ซึ่งทำให้ได้เปรียบในเชิงการต่อสู้ ในปัจจุบันจะพบเห็นในการแข่งขันชกมวยไทย แต่ปัจจุบันคงเป็นแค่เครื่องรางอย่างหนึ่งเท่านั้น

วัสดุที่ใช้ทำแหวนพิรอด

วัสดุที่ใช้ทำ แหวนพิรอดโดยมากทำด้วยกระดาษว่าวกับถักด้วยเชือก ตำนานแหวนพิรอดเมื่อย้อนยุคไปเมื่อสักเกือบศตวรรษนั้น แหวนพิรอดของหลวงพ่อม่วง วัดประดู่ทรงธรรม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีชื่อมากขนาด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ (รัชกาลที่ ๕) ได้ทรงกล่าวถึงอาจารย์ที่สร้างแหวนพิรอดที่ขึ้นชื่อลือชาในสมัยที่พระองค์ ประสพพบเห็น โดยทรงพระราชนิพนธ์บันทึกไว้นี้สองท่านคือ รูปหนึ่งคือเจ้าอธิการเฮง วัดเขาดิน เป็นอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ได้นำแหวนพิรอดมาถวายพระเจ้าลูกเธอที่ตามเสด็จ ได้ทรงวิจารณ์ไว้ว่า "เอาแหวนถักพิรอดมาแจกแหวนนั้นทำนองเดียวกับขรัวม่วงวัดประดู่ แต่ขรัวม่วงถักด้วยกระดาษลงรักนี่ถักด้วยด้ายทำเรียบร้อยดี" ซึ่งพอจะคะเนได้ว่าพระเถระทั้งสองรูปน่าจะเป็นเกจิอาจารย์ของเมืองกรุงเก่า (อยุธยา) แหวนพิรอดเดิมทีนั้นใช้วัสดุที่หาได้จากใกล้ ๆ ตัวตามวิถีชีวิตคนในสมัยนั้นคือมักทำด้วยกระดาษว่าว ก็เพราะเป็นกระดาษที่เหนียวแน่นดีกว่ากระดาษชนิดอื่น

ลงยันต์แหวนพิรอด

เมื่อจะต้องทำลง ยันต์แหวนพิรอดในกระดาษยันต์นี้ประกอบด้วยรูปพระภควัม หรือเลขยันต์ตามแต่พระเกจิอาจารย์แต่ละสายจะกำหนดขึ้น ซึ่งเรื่องนี้จะเห็นว่าเป็นกลเม็ดเด็ดพรายตามแต่สำนักใดจะสร้างขึ้น โดยมีความเชื่อกันอยู่อย่างหนึ่งถึงวิธีการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องรางแหวน พิรอด ที่สร้างขึ้นว่ามีอิทธิคุณถึงขั้นหรือยัง คือ เมื่อทำแล้วให้ทดลองเอาไฟเผาดู ถ้าไม่ไหม้ก็ใช้ได้ พระอาจารย์ผู้สร้างจึงจะนำมาตกแต่งเพื่อความมั่นคงทนทานและสวยงาม อันแหวนพิรอดนั้นโดยมากมักจะลงรักเพื่อป้องกันความชื้นซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้แหวนผุง่ายไม่คงทน

ลอร์ดออฟเด อะริงค์ อย่างไทย


ในตำราไสยศาสตร์นั้นยังระบุอธิบาย วิธีใช้ไว้ว่า ถ้าจะเข้าสู้รบทำสงคราม ให้ถือแหวนกระดาษนี้แล้วบริกรรมด้วย "มะอะอุฯ" และถ้าจะให้เป็นตบะเดชะในสงคราม ทำให้ข้าศึกครั่นคร้าม ให้บริกรรมด้วยคาถา "โอม ยาวะ พะกาสะตรีนิสิเหฯ" ว่ากันว่าไม่แต่เพียงศึกมนุษย์ถึงศึกเทวดามาก็ไม่ต้องกลัว ซึ่งคงเป็นแบบเรื่องราวของ "ลอร์ดออฟเดอะริงค์" อย่างไทย

ความเป็นมาของเงื่อน

เคยได้ยินคนรุ่น เก่าเล่ากันว่า แหวนหลวงพิรอด เรื่องนี้เห็นจะเป็นเพราะลากเข้าความกันมากกว่า เท่าที่อ่านพบจากการสันนิษฐานของนักปราชญ์ชาวตะวันตก (อิตาลี) ที่เข้ามารับราชการ จนเป็นถึงเจ้ากรมยุทธศึกษาของกองทัพบกไทยคนแรกในการทหารยุคใหม่คือ ยี. อี.เยรินี (พันเอกพระสารสารขันธ์) กล่าวว่า "ชื่อ พิรอด มาจากภาษาสันสกฤตว่า วิรุทธ หรือ พิรุทธ แปลว่า อันขัดกันอยู่ อันได้รับการต่อต้านหรือขัดขวาง อันตรงกันข้ามเมื่อพิจารณาจากลายที่ถัก ก็ใช้ขัดกันแบบเงื่อนลูกเสือที่เรียกกันว่า เงื่อนพิรอด ก็ดูจะสมกับชื่อในภาษาสันสกฤตอยู่มาก เงื่อนพิรอดนั้นเป็นเงื่อนที่ใช้กันมาแต่โบราณนานมาก หลักฐานที่พอจะชี้ให้เห็นเป็นตัวอย่างได้ก็คือรูปสลักหินโบราณของพวกขอม จะเห็นว่าผ้าคาดเอวตรงด้านหน้าทำเป็นเชือกผูกเป็นเงื่อนพิรอดอย่างนี้เหมือน กัน เงื่อนชนิดนี้ยิ่งดึงยิ่งแน่น"

คาถา อาคม ที่ใช้กับเงื่อน ของเกจิอาจารย์

เงื่อนพิรอดนั้น จัดเป็นเงื่อนสำคัญที่ใช้ในการต่อเชือกหรือการผูกโยงเพื่อความมั่นคง แน่นหนาอย่างวิชาเชือกคาดสายหลวงปู่ขัน วัดนกกระจาบ ที่ต่อยุคมายังหลวงปู่ธูปวัดแค นางเลิ้ง กทม. ซึ่งพระเกจิอาจารย์ท่านนี้เป็นผู้ทรงคุณวิทยาสูงส่งเฉพาะด้านมหานิยมก็เข้ม ขลังขนาดอมตะ ดาราอย่าง คุณ มิตร ชัยบัญชายังนับถือเป็นลูกศิษย์ซึ่งวงการผู้นิยมเครื่องรางก็ทราบกันดี โดยเชือกคาดสายหลวงปู่ขันนั้นเวลาคาดต้องขัดเป็นเงื่อนพิรอด มีคาถากำกับว่า "พระพิรอดขอดพระพินัย" และเวลาแก้เชือกก็มีคาถาว่า "พระพินัยคลายพระพิรอด" อันจะเห็นได้ว่าศาสตร์การใช้เงื่อนพิรอดนั้นยังสืบมาถึงเครื่องคาดอย่าง เชือกหรือการ ผูกตะกรุด พิสมรซึ่งต้องรวมถึงเครื่องรางโบราณอีกชนิดที่ปัจจุบันไม่ค่อยมีเกจิอาจารย์ สร้างก็คือ "ผ้าขอด" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องพิรอดด้วยโดยผ้าขอดนั้นจะเป็นการขัด "พิรอดเดี่ยว" เกจิอาจารย์ที่มีชื่อเรื่องผ้าขอดในยุคเก่า ๆ เช่น หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา, หลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา, หลวงพ่อกวย ชุตินธโร จังหวัดชัยนาท เป็นต้น ในส่วนเครื่องรางผ้าขอดสายวัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็มีชื่อเช่นกันแต่เป็นฆารวาส ที่ชื่อว่า เฮง ไพรวัลย์ ลอยเรืออยู่ท่าน้ำวัดสะแกบางคนเรียก ว่า อาจารย์เฮงเรือลอยก็มี

(ความรู้เพิ่มเติมเรื่องเงื่อนศักดิ์สิทธิ์นี้อ่านที่คอลัมมายิกไท-เทศ; อุณมิลิต เล่มที่ 10 - 11)



ขอบคุณข้อมูลจากกระดานผีสิง - คลังหลอนสยองขวัญ กับตำนานและความเชื่อ

65


ฮือฮาพบต้นไม้เป็นรูป หลวงปู่ทวด โผล่บนยอดเขาใกล้เจดีย์โบราณ กลางเมืองพังงา

เผย ชาวบ้านไปทำธุระที่สถานีตำรวจเมืองพังงา พากลับออกมา เงยหน้ามองไปบนเขา ก็เจอต้นไม้ต้นนี้เข้า มีลักษณะลำต้น กิ่ง ก้าน ใบ ประกอบ กันเป็นรูปคล้ายพระพุทธรูป ในท่านั่งขัดสมาธิ อย่างเหมาะเจาะ ดูคล้ายหลวงปู่ทวด ลือเป็นนิมิตหมายที่ดีต่อบ้านเมืองและพี่น้องชาวพังงา

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 8 ก.พ. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า มีชาวบ้านพบต้นไม้ใหญ่ลักษณะคล้ายกับรูปหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ งอกอยู่บนยอดเขาล้างบาศ

หลังโรงเรียนสตรีพังงา อ.เมือง จ.พังงา จึงรุดไปพิสูจน์ เมื่อไปถึงพบต้นไม้ ใหญ่จำนวนหลายต้น มีกิ่ง ก้าน ใบรวมกัน ตั้งสูงตระหง่านโดดเด่นอยู่เหนือต้นไม้ต้นอื่นที่ขึ้นอยู่รอบข้าง โดยงอกอยู่บนยอดภูเขาขนาดเล็ก ชื่อ "เขาล้างบาศ" ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญใน จ.พังงา โดยกลุ่ม ต้นไม้ดังกล่าวมีลักษณะลำต้น กิ่ง ก้าน และใบ ประกอบกันเป็นรูปทรงลักษณะคล้ายกับพระพุทธรูปในท่านั่งขัดสมาธิอย่างเหมาะ เจาะ สร้างความตื่นตาตื่นใจกับผู้ที่พบเห็นยิ่งนัก ยิ่งมีการพูดกันไปปากต่อปาก ก็ยิ่งมีชาวบ้านเดินทางมาดูกันเนืองแน่น ส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่าคล้ายหลวงปู่ทวด วัดช้างให้

นางอัญชลี นิจผล อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 48 ถนนศิริราษฎร์ (อู่เรือ) อ.เมือง จ.พังงา ผู้พบต้นไม้ดังกล่าว กล่าวว่า ตนมาติดต่อราชการที่สถานีตำรวจภูธรจังหวัดพังงา

ภาย หลังจากเสร็จธุระกลับออกมา บังเอิญหันไปมองทางยอดเขาที่อยู่เบื้องหน้า สังเกตเห็นต้นไม้บนยอดเขาล้างบาศ มีลักษณะรูปทรงคล้ายกับรูปหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ ซึ่งเป็นพระที่ตนเองมีความศรัทธาและนับถือกราบไหว้อยู่ตลอดเวลา นับว่าเป็นเรื่องที่บังเอิญและแปลกประหลาดมาก ที่ต้นไม้งอกขึ้นมาเป็นรูปคล้ายหลวงปู่ทวด ซึ่ง ปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้ ตนคิดว่าคงเป็นนิมิตหมายที่ดีต่อบ้านเมืองและพี่น้องชาวจังหวัดพังงาต่อ จากนี้ไปจังหวัดพังงาคงจะมีความเจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่กันด้วยความสงบร่มเย็นตลอดไป

ผู้สื่อข่าว รายงานเพิ่มเติมว่า นอกจากเขาล้างบาศที่พบต้นไม้หลวงปู่ทวดแล้ว ยังมีเจดีย์เขา ล้างบาศ ซึ่งเป็นเจดีย์โบราณ ซึ่งในสมัยพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เคยเสด็จฯ ทอดพระเนตรครั้งเสด็จประพาสจังหวัดพังงา ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชัน


: หนังสือพิมพ์ ข่าวสด



66
“เสือ” ตามคติความเชื่อของคนเล่นของ เชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจราชศักดิ์ สำแดงฤทธิ์ ทำให้เป็นที่คร้ามเกรง นับถือแก่ปวงชนทั้งหลาย ผู้ที่พกหรือใช้เครื่องรางประเภทเสือ ไม่ว่าจะเป็นเขี้ยวเสือแกะ ตะกรุดหนังเสือ ผ้ายันต์รูปเสือ รวมทั้งการสักยันต์ลายเสือ จะมีพุทธคุณเด่นด้านคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด รวมทั้งมหาอุด


ในขณะที่ผู้เกิดปีขาล หรือปีเสือ โหราจารย์ท่านมักจะทำนายว่า เป็นผู้กล้าแข็ง เวลาไปหาผู้ใดมักไม่เกรงใจผู้อื่น คนปีขาลมักได้ดีเพราะรับราชการ ทำงานเมืองจะก้าวหน้า มีอำนาจวาสนาสูง  อาสาเจ้านายดี มักสำเร็จ นำเกียรติมาสู่วงศ์ตระกูล มักได้ลาภจากคนผิวขาวเหลือง

 ผ้ายันต์รูปเสือของพระเกจิอาจารย์ในอดีต ซึ่งได้รับความนิยมมาถึงปัจจุบัน มีอยู่หลายรูป เช่น  หลวงพ่อปาน วัดมงคลโคธาวาส (วัดบางเหี้ย) จ.สมุทรปราการ หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ จ.นครปฐม หลวงพ่อแล วัดพระทรง จ.เพชรบุรี หลวงพ่อวงศ์ วัดปริวาส ยานนาวา กทม. หลวงพ่อสุด วัดกาหลง จ.สมุทรสาคร ฯลฯ เป็นต้น

 ยุคปัจจุบัน แม้ผ้ายันต์เสือของพระครูปิยนนทคุณ หรือหลวงปู่แย้ม ปิยวณฺโณ เจ้าอาวาสวัดตะเคียน ถนนนครอินทร์ (พระราม ๕) ต.บางคูเวียง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ผู้สร้างตะกรุดคอหมา และ ตะกรุดเสือปืนแตก อันโด่งดัง ในยุคปัจจุบันจะมีชื่อเสียงไม่เท่าพระเกจิอาจารย์ยุคก่อน แต่ผ้ายันต์ของหลวงปู่แย้มก็ได้รับความนิยมจากลูกศิษย์อยู่ไม่น้อย

 ก่อนจะอธิบายผ้ายันต์เสือของหลวงปู่แย้ม ขออธิบายความเข้าใจว่า การวาดหรือทำผ้ายันต์ที่มีภาพ เสือ สิงห์ หนุมาน รวมทั้งภาพเทพต่างๆ พระเกจิอาจารย์จะนำเอาอักขระ เลขยันต์ มาประกอบเขียนกำกับ เพื่อให้ดูแล้วดี มีสง่า มีความขลังขึ้น พร้อมด้วยตัวคาถาอาคม เสริมเข้าไปในรูปภาพนั้น ทำให้เกิดความขลัง เป็นความเชื่อของแต่ละบุคคล

 หากมีความศรัทธา มีความเชื่อมั่นจริง พลังจิตต่างๆ ที่ได้รับการบรรจุ เจริญภาวนาด้วยสมาธิจิตชั้นสูง ย่อมมีผลพุทธคุณปรากฏ ดังที่พระเกจิอาจารย์ดังๆ ได้สร้างภาพหรือผ้ายันต์ที่เป็นรูปภาพต่างๆ

 จุดประสงค์การทำผ้ายันต์ ซึ่งเดิมจะสร้างโดยใช้อักขระเลขยันต์ ไปประกอบกับภาพองค์เทพต่างๆ ที่มีความเชื่อว่า จะบันดาลความสมบูรณ์พูนสุขแก่เราได้ เช่น ภาพพระพรหม อิศวร นารายณ์ หนุมาน นางกวัก และภาพสัตว์ที่มีพลังอำนาจในตัวของมัน เช่น เสือ ราชสีห์ ลิง กระทิง ฯลฯ

 ในผ้ายันต์ของหลวงปู่แย้ม มียันต์ที่น่าสนใจอยู่หลายตัว แต่ในที่นี้ขอยกยันต์ที่เกี่ยวกับเสือและมหาอำนาจมาเขียน ซึ่งมีอยู่ ๒ บท คือ ๑.คาถาพญาเสือ (เขียนไว้ด้านบนเหนือหลังเสือที่ติดกับเส้นรูปสี่เหลี่ยม) ที่ว่า “พยัคโฆ พยัคฆา สูญญา ลัพภะติ อิ ติ ฮิ่ม ฮั่ม ฮึ่ม ฮึ่ม ฮั่ม ฮั่ม ฮะ ทุ สะ มะ นิ (หัวใจปะถะมัง) ทุ สะ นิ มะ (หัวใจอริยสัจ ๔) ทุ สะ นะ โส (หัวใจพระธรรมบท)”

 คาถาบทนี้ ใช้ภาวนาเพื่อบังเกิดมีสง่าราศี มีตบะเดชะ เป็นที่ครั่นคร้ามของคนทั้งปวงให้เกรงกลัว เราอาจใช้กำกับเสือในเวลาไปพบผู้ใหญ่เจ้านาย หรือเผชิญศัตรู

 และ ๒.คาถาหัวใจสิงห์ (ตัวยันต์ที่เขียนไว้บนหลังเสือ) ที่ว่า “สิง หะ นะ ทัง ยัน ตัง สัน ตัน วิ กรึง คะ เร” นอกจากนี้ยังมีคาถาอีกบทหนึ่งที่ใช้ด้านเมตตา (ใต้ตัวเสือแถวล่างสุดที่อยู่ติดกับเส้น) คือ คาถาเมตตาเรียกคนเรียกทรัพย์ ที่ว่า "พรหมมาจิตตัง มานิมามะมะ ติติอุนิ" (ติติอุนิ เป็นคาถาใจอริยสัจ ๔)

 ความเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องรางของขลัง ประเภทเสือ ของสายหลวงปู่แย้ม วัดตะเคียน คือ เสือทุกรุ่นตั้งแต่รุ่น ๑ ถึงรุ่น ๕ ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดของวัด และถือว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว คือ "ยันต์มหาเบา" ซึ่งถือว่าเป็นยันต์ประจำตัวของหลวงพ่อ ไม่ว่าท่านจะสร้างวัตถุมงคลประเภทใด จะปรากฏยันต์ตัวนี้เสมอ

 ในการเขียนยันต์ตัว "อัง" (ยันต์ที่เขียนเป็นรูปทรงกลม) จะบริกรรมว่า "นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออนออะ นะอะกะอัง" ซึ่งเป็นคาถาหัวใจพระเจ้า ๑๖ พระองค์ หรือ บางตำราก็บริกรรมว่า "อะระหัง ปูชาสักการัง อะระโหปาปะการะยัง อะระหัตตะถะสัมปัตโต อะระโหนามะเตนะโม"

 ส่วนวงกลมที่เขียนล้อมรอบเรียกว่า "ยันต์มหาสูญ" การเขียนยันต์ตัวนี้ จะใช้คาถามหาอุดในการเรียกสูตร โดยแต่ละวงเรียกสูตรต่างกัน คือ วงกลมชั้นที่ ๑ เรียกสูตรว่า "อะระหัง พุทธังปิด อุดทะวารัง" วงกลมชั้นที่ ๒ เรียกสูตรว่า "อะระหัง ธัมมังปิด อุดทะวารัง" และวงกลมชั้นที่ ๓ เรียกสูตรว่า "อะระหัง สังฆังปิด อุดทะวารัง"

 การเขียนวงกลมล้อมรอบตัวยันต์ตัวหนึ่งตัวใดนั้น พระเกจิอาจารย์ต้องการเน้นพุทธคุณเด่นด้านมหาอุด

 ส่วนของการทำผ้ายันต์รูปเสือของสายเขาอ้อ จ.พัทลุง สำนักตักศิลาในเมืองไทย นับเนื่องมาแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน จะใช้คาถาปลุกเสกเสือที่ว่า “พยัคฆะ โลหลัง ราชะสิงโห โลกัสสมิง สังคัตตะ มานิอิ”

 แต่ถ้าเป็นคาถาพญาเสือ ของอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ซึ่งเป็นผู้รวบรวมตำราอักขระเลขยันต์ที่มีชื่อเสียง และเป็นแม่แบบของการเขียนยันต์ จะใช้คาถาพญาเสือที่ว่า “โอมนะมะพะยัคคะ พุทธโคนาคม ไทยยะวา ไทยยะวา ปะไลยยะวา ปะไลยยะวา ภูภิภาภา พาชะเน เพชะนา มุกขังปะวะรัง กะทายะ อะทายะ”

 นอกจากนี้แล้วยังมีคาถามหาอำนาจ ซึ่งใช้ลงในยันต์สัตว์มหาอำนาจทุกชนิดจะใช้ โดยให้เริ่มด้วยการตั้งนะโม ๓ จบ แล้วปริกรรมว่า "ตะมัตถัง ปะกาเสนโต สัตถาอาหะ ไกรสรราชสีห์ วิยะ อิมังคาถา มะหะ อิติ”

 อุปเท่ห์การใช้คาถาอาคมขลัง สิทธิการิยะท่านว่า สาธุชนใดบูชา เขี้ยวเสือ ตะกรุดหนังเสือ ผ้ายันต์เสือ ติดตัว ห่อใส่ผ้าเช็ดหน้า รวมทั้งใส่ไว้ในรถยนต์ ย่อมเป็นที่ครั่นคร้ามเกรงอำนาจดีนัก

 ถ้าหากนำติดตัวไปหนทางใกล้ไกล หรือเดินทางเข้าพงพี เผชิญฝูงสัตว์ร้าย และภูตผีจะมิกล้าทำอันตรายใดๆ เป็นคงกระพันมหาอุด รวมทั้งแคล้วคลาดเป็นที่สุด

 สำหรับผู้ที่สนใจเครื่องรางประเภท "เสือ" ในปีเสือนี้ หลายวัดหลายสำนัก ได้สร้างออกมาให้เช่าบูชา เพื่อหาปัจจัยไปบูรณะก่อสร้างศาสนสถานต่างๆ

 แต่ถ้าอยากได้ของ "ฟรี" ต้องไปที่วัดตะเคียน ในช่วงตรุษจีนปีนี้ พระครูสมุห์สงบ กิตฺติญาโณ หรือ หลวงพี่สงบ พระเลขาฯ หลวงปู่แย้ม ปิยวณฺโณ ในพิธีสมโภชรูปหล่อหลวงปู่แย้มนั่งเสือองค์ใหญ่ ได้จัดสร้างเสือปืนแตก รุ่น ๕ แจกฟรีเป็นที่ระลึกสำหรับผู้ที่เข้าร่วมพิธีสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาเสริมบ ารมี ตามตำราของหลวงปู่แย้มทุกท่าน ในวันเสาร์ที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ เวลา ๑๖.๐๐ น. สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่วัดตะเคียน โทร.xxxxxxxxxxxx[/
size]




ตัวอย่างเสือที่จะแจกครับ  (ขอบคุณพี่คนอัศจรรย์ เว็บคนนนท์ด้วยนะครับ)









67


นามพระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งนครศรี ธรรมราช คงไม่มีใครไม่รู้จัก "พ่อท่านบุญให้ ปทุโม" หรือ "พระครูพิศาลวิหารวัตร" วัดท่าม่วง

ถือเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอีกรูป และได้รับการยกย่องว่าเป็นพระเกจิอาจารย์ระดับแนวหน้า

ที่ผ่านมา ท่านได้จัดสร้างวัตถุมงคลที่มีพุทธคุณด้านคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด เมตตามหานิยม หลายต่อหลายรุ่น มอบให้แก่คณะศิษยานุศิษย์และสาธุชนที่เลื่อมใสศรัทธา จนเป็นที่เลื่องลือว่าเป็นผู้มีวิทยาคมทรงพุทธคุณเข้มขลัง

ท่านมักจะได้รับกิจนิมนต์จากวัดวาอารามทั่วประเทศ ให้ร่วมในพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลมาโดยตลอด อาทิ จตุคามรามเทพรุ่น ปี 2530, ปี 2545 และวัตถุมงคลต่างๆ เกือบทุกรุ่นที่จัดสร้างเรื่อยมา

ปัจจุบัน พ่อท่านบุญให้ สิริอายุ 82 พรรษา 62 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าม่วง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช

อัตโนประวัติ เกิดในสกุล สุขขนาน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม 2471 ณ หมู่บ้านบางทองคำ ต.บ้านเนิน อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช

โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายสงฆ์ และนางทองนวล สุขขนาน ครอบครัวมีพี่น้อง 9 คน ท่านเป็นคนที่ 6

ในช่วงวัยเยาว์ ท่านมีอุปนิสัยเรียบร้อย เป็นเด็กดี ไม่ชอบเที่ยวเตร่ ตั้งแต่เริ่มเข้าวัยรุ่นมีความประพฤติเรียบร้อย จิตใจฝักใฝ่สนใจหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เป็นคนขยันขันแข็ง มีจิตใจเมตตากรุณามาตั้งแต่วัยเยาว์ แม้กระทั่งวัวที่เลี้ยงไว้ไถนา ท่านให้ความรักดูแลเป็นอย่างดี จะคอยตัดหญ้าให้กินมาโดยตลอด

กระทั่งอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบททดแทนคุณบุพการี เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2491 ณ วัดพระหอม ต.บ้านกลาง อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช มีพระธรรมปาลาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระปลัดฝาก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระมหาทอง เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ได้รับฉายาว่า ปทุโม มีความหมายว่า ดอกบัว

เมื่อได้อุปสมบท ท่านได้มุ่งมั่นศึกษาพระปริยัติธรรม รวมทั้งได้ศึกษาร่ำเรียนสรรพวิชาจากพระครูทักษิณธรรมสาร ตลอดเวลา 3 พรรษา ท่านได้คอยปรนนิบัติรับใช้พระครูทักษิณธรรมสาร ซึ่งเป็นลูกศิษย์พ่อท่านจับ วัดท่าลิพง อย่างใกล้ชิด ได้รับเมตตาถ่ายทอดสรรพวิชาคาถาอาคมต่างๆ ให้อย่างครบถ้วน

พ่อท่านได้หมั่นฝึกฝนปฏิบัติวิทยาคมต่างๆ ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจนเชี่ยวชาญ เกิดพลังสมาธิอย่างน่าอัศจรรย์ สรรพวิทยาคมที่ได้ร่ำเรียนจากพระครูทักษิณธรรมสารแห่งวัดพระหอม เป็นวิชาสายเดียวกับพ่อท่านเอื้อม แห่งวัดบางเนียน อ.เชียรใหญ่

ต่อมา พ.ศ.2494 ท่านได้เดินทางมายังภาคกลาง แถบเมืองหลวง ได้อยู่จำพรรษาที่วัดเขมาภิรตาราม อ.เมือง จ.นนทบุรี เพื่อศึกษาพระธรรมวินัยเป็นเวลา 13 พรรษา

หลังจากนั้น อาจารย์ก็ให้พ่อท่านบุญให้ เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าบันเทิงธรรม เขตบางกอกน้อย ซึ่งที่นั้นท่านได้บูรณะซ่อมแซมกุฏิ สร้างศาลา โรงธรรม เสนาสนะต่างๆ ครบ 3 พรรษา

กระทั่งปี พ.ศ.2508 ท่านได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดพระหอมเป็นเวลา 1 พรรษา ก่อนย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่ามะเดื่อ อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง เป็นเวลา 6 พรรษา

ณ ที่แห่งนี้เอง ที่พ่อท่านได้มีโอกาสศึกษาวิชาต่างๆ กับพระอาจารย์สำนักเขาอ้อ หลายๆ ท่าน เช่น พระสมุห์สงฆ์ วัดตะโหมด, พระครูกาชาด วัดดอนศาลา, พ่อท่านนำ, พ่อท่านทอง เป็นต้น

จวบจนปี 2513 พ่อท่านบุญให้ ได้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าม่วง ซึ่งในตอนที่ท่านเข้ามาอยู่ใหม่นั้น มีเพียงพระหลวงตาอายุ 80 ปี อยู่เพียงรูปเดียว กับวัดที่มีสภาพชำรุดทรุดโทรม มีเพียงโบสถ์เก่ากับกุฏิผุพังเท่านั้น

ด้วยความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ในปีรุ่งขึ้น พ่อท่านบุญให้สามารถชักชวนให้ชาวบ้านมาบูรณะซ่อมแซมวัด เปลี่ยนเสาโบสถ์ หลังคาและสร้างผนังโบสถ์ พร้อมกันนี้ ยังเป็นองค์อุปถัมภ์ในการสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ของโรงเรียนวัดท่าม่วง ในปี พ.ศ.2514 สร้างหอระฆัง พ.ศ.2515 สร้างเมรุ พ.ศ.2517 สร้างกุฏิและศาลาการเปรียญ

พ.ศ.2528 ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลปากพูน

พ่อท่านบุญให้ เป็นพระที่บำเพ็ญเพียรตั้งมั่นอยู่ในสมณธรรมอย่างเคร่งครัด มีวัตรปฏิบัติเรียบง่าย ปฏิปทางดงาม เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้ได้พบเห็น เป็นที่นับถือศรัทธาของชาวนครศรีธรรมราช เป็นที่ยอมรับและศรัทธาของลูกศิษย์ซึ่งเป็นทหารกล้าของกองทัพภาคที่ 4 ค่ายวชิราวุธ ต่างล้วนเคยเข้ากราบนมัสการพ่อท่านบุญให้ และท่านได้มอบตะกรุดให้พกติดตัวไปปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ทหารหาญรายหลาย ต่างมีประสบการณ์แคล้วคลาดกันมาหลายหน จนเป็นที่เลื่องลือว่า ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งวิทยาคมด้านคงกระพันชาตรี แคล้วคลาด ผู้ที่มีวัตถุมงคลของท่านไว้บูชาจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองทั้งในหน้าที่การ งาน ค้าขาย และโชคลาภ ผู้ที่ได้บูชาพระเครื่องของหลวงพ่อบุญให้ไปต่างร่ำลือในเรื่องพุทธคุณในด้าน คงกระพันชาตรี เมตตา ค้าขาย โชคลาภ กันอยู่เนืองๆ

ในปี พ.ศ.2553 พ่อท่านบุญให้ ได้ดำริจัดสร้างวัตถุมงคล รุ่นสรงน้ำ เพื่อนำปัจจัยที่ได้ไปจัดสร้างกุฏิสงฆ์ ด้วยกุฏิของวัดท่าม่วงยังไม่เพียงพอให้พระอยู่จำพรรษา วัตถุมงคลที่ท่านจัดสร้าง ประกอบด้วย พระพุทธสิหิงค์หน้าตัก 14 นิ้ว พระรูปเหมือนขนาดบูชา หน้าตัก 5 นิ้ว พระกริ่งบุญให้ เหรียญรูปไข่พ่อท่านบุญให้ เป็นต้น ซึ่งท่านได้นำชนวนมวลสารศักดิ์สิทธิ์มากมาย จัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นนี้ ด้วยท่านตั้งใจให้วัตถุมงคลรุ่นสรงน้ำ เป็นวัตถุที่เข้มขลังกว่าทุกรุ่นที่ท่านเคยจัดสร้างมา

พ่อท่านบุญให้ เป็นพระเกจิอาจารย์อาวุโสของเมืองนครศรีธรรมราช ได้สืบทอดวิชาและวัตรปฏิบัติตามแนวทางที่ครูบาอาจารย์ได้สั่งสอนเอาไว้ได้ เป็นอย่างดี เป็นที่เจริญศรัทธาของสาธุชน

พ่อท่านบุญให้ ได้นำวิชาความรู้ด้านวิทยาคม เป็นกุศโลบายสำคัญในการอบรมสั่งสอนศีลธรรมให้ประชาชนทั่วไป ได้ยึดหลักธรรมคำสอนตามแนวทางของพระพุทธศาสนาเป็นวิถีสำคัญในการประพฤติ ปฏิบัติธรรมและเข้าถึงธรรมะได้อย่างง่าย

ปัจจุบัน ท่านมีความเป็นอยู่อย่างสงบเรียบง่าย

ทุกวันนี้การเดินทางไปกราบนมัสการหลวงพ่อบุญให้ ที่วัดท่าม่วง มีความสะดวกสบาย เนื่องจากวัดท่าม่วงตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง เส้นทางคมนาคมสะดวก

กราบไหว้พระดีเปี่ยมด้วยเมตตาถือเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต


ที่มาข่าวสด ออนไลน์ ขอขอบคุณครับ  :001: :001: :001:


68


มรณภาพแล้ว 'หลวงปู่ครูบาดวงดี' เจ้าอาวาสวัดท่าจำปี นักบุญล้านนา ด้วยโรคปอดติดเชื้อไตวายฉับพลันอายุได้ 103 ปี
วันนี้ (6 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ พระครูสุภัทรสีลคุณ (หลวงปู่ครูบาดวงดี สุภัทโท) เจ้าอาวาสวัดท่าจำปี อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ นักบุญผู้เจริญรอยตามครูบาเจ้าศรีวิชัย ผู้เป็นพระอาจารย์ได้มรณภาพอย่างสงบ หลังเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล 14 วัน จากโรคปอดติดเชื้อ และเกิดไตวายฉับพลัน อายุได้ 103 ปี 83 พรรษา

สำหรับ หลวงปู่ครูบาดวงดี ถือกำเนิดที่บ้านท่าจำปี ต.ทุ่งสะโตก อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ เป็นคนพื้นเพบ้านท่าจำปีมาแต่กำเนิด บิดามารดา เป็นชาวไร่ชาวนา หลวงปู่มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 8 คน เป็นชาย 4 คน เป็นหญิง 4 คน หลวงปู่เป็นลำดับที่ 7 และมีน้องสุดท้องชื่อแม่นิน เมื่อหลวงปู่อายุได้ 11 ปี ได้ติดตามพ่อแม่ไปทำบุญตักบาตรถวายภัตตาหารแด่ท่านครูบาเจ้าศรีวิชัย ซึ่งขณะนั้นท่านครูบาถูกทางการจังหวัดลำพูน นำตัวมากักขังบริเวณที่วัดพระธาตุเจ้าหริภุญชัย (วัดหลวงลำพูน) ในข้อหาเป็นพระอุปัชฌาย์เถื่อนไม่มีหนังสืออนุญาตบวชพระ เมื่อท่านครูบาเจ้าฯได้เห็นเด็กชายดวงดี ท่านก็มีเมตตาอย่างสูงเรียกเข้าไปหาพร้อมกับบอกพ่อแม่ว่า "กลับไปให้เอาไปเข้าวัดเข้าวา ต่อไปภายหน้าจะได้พึ่งพาไหว้สามัน" นับเป็นพรอันประเสริฐ ยิ่งในการที่ท่านครูบาเจ้าฯได้พยากรณ์พร้อมกับประสาทพรให้หลวงปู่ตั้งแต่ยัง เด็ก.


"หนังสือพิมพ์เดลินิวส์"วันเสาร์ ที่ 06 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 10:10 น

69



...ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้...


ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนพาล ทั้งบัณฑิต ล้วนไปสู่อำนาจแห่งความตาย
ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า นี้เป็น พุทธศาสนภาษิตอีกบทหนึ่ง
ที่แสดงสัจจะซึ่งไม่มีผู้ใดจะอาจคัดค้าน
หรือเกิดความเคลือบแคลงสงสัยได้แม้แต่น้อย
ทุกชีวิตมีความแตกดับ มีความตายรออยู่เบื้องหน้า
ไม่มีชีวิตใดเลยที่จะพ้นความตายไปได้

ดัง ที่พุทธศาสนภาษิต กล่าวไว้นั่นแหละ คือ ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่
ทั้งคนดี ทั้งคนไม่ดี ล้วนต้องตาย จะเร็วหรือช้าก็ต้องตาย
อำนาจของความตายไม่มีผู้ใดจะหนีพ้น
เพียงหนีความตายไม่ได้ ทุกคนต้องตาย นี้ก็ยังไม่สมบูรณ์นัก
ถ้าจะไม่นำพุทธภาษิตอีกบทหนึ่งมากล่าวไว้เสียในทีนี้ด้วย
คือบทที่ว่า ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้

ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้
พุทธศาสนภาษิตบทนี้ก็เช่นเดียวกัน
แสดงสัจจะที่ไม่มีผู้ใดจะอาจคัดค้าน
หรือเกิดความเคลือบแคลงสงสัยได้แม้แต่น้อย
ทุกคนได้รู้ได้เห็นประจักษ์ชัดแก่ตนเองอยู่ด้วยกันแล้วในความจริงนี้
ไม่มีผู้ใดจะนำทรัพย์แม้สักนิดของตนติดตัวไปด้วยได้ยามต้องตาย
ผู้ที่เมื่อดำรงชีวิตอยู่ มีความสุขเพราะได้สั่งสมทรัพย์
หรือเพราะมีทรัพย์มากมาย
เมื่อถึงเวลาตายจะนำความสุขเพราะทรัพย์ติดตัวไปด้วยไม่ได้
ในเวลาสิ้นชีวิตสิ่งเดียวที่จะนำความสุขมาให้ คือ บุญ

มีพุทธศาสนภาษิตกล่าวไว้ด้วยว่า บุญนำสุขมาให้ในเวลาสิ้นชีวิต
จึงควรทำบุญอันนำสุขมาให้และความสุข
อันเกิดแต่บุญนี้มีอยู่แก่ผู้สั่งสมบุญ ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
คือ ทั้งเมื่อยังไม่ตายก็เป็นสุข เมื่อตายแล้วก็เป็นสุข

ดังที่มีกล่าวไว้ว่า ผู้ทำบุญแล้วย่อมยินดีในโลกนี้ ละไปแล้วย่อมยินดี
ชื่อว่ายินดีในโลกทั้งสอง เขาย่อมยินดีว่า เราทำบุญไว้แล้ว
ไปสู่สุคติย่อมยินดียิ่งขึ้น
ตรงกันข้ามกับผู้ทำบาปเพราะ ผู้ทำบาปย่อมเศร้าโศกในโลกนี้
ละโลกนี้ไปแล้วก็เศร้าโศก ชื่อว่าเศร้าโศกในโลกทั้งสอง
เขาเห็นกรรมอันเศร้าหมองของตน จึงเศร้าโศกและเดือดร้อน

ด้วยเหตุนี้คนจึงไม่ควรทำบาป ควรทำแต่บุญ
และควรทำบุญบ่อยๆ เรียกว่า ควรสั่งสมบุญ
ถ้ากล่าวว่าควรสั่งสมความสุขอันเกิดแต่สั่งสมบุญก็ได้
เพราะการสั่งสมอย่างอื่นหาอาจนำความสุขมาให้ได้ยั่งยืนหรือแท้จริงไม่
การสั่งสมบุญเท่านั้นที่จะนำความสุขมาให้ยั่งยืนและแท้จริง
แม้ความตายก็หาอาจพรากไปจากบุญ
หรือความสุขที่เกิดแต่บุญอันสั่งสมไว้แล้วได้ไม่

ทุกคนต้องตาย และทุกคนก็ต้องการความสุข
แม้คิดถึงความจริงนี้ให้ลึกซึ้งพอสมควรทุกคน
ก็น่าจะยินดีทำบุญคือ ทำความดี
น่าจะยินดีสั่งสมบุญคือสั่งสมความ ดี
ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะสมปรารถนาไม่ได้ คือจะมีความสุขไม่ได้
ในทางตรงกันข้ามจะกลับมีความทุกข์
เพราะธรรมดานั้นผู้ที่จะอยู่โดยไม่ทำกรรมใดเลยไม่มี
คือ ไม่ทำทั้งกรรมดีคือบุญและไม่ทำทั้งกรรมไม่ดีคือบาปไม่มี
จะต้องทำกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง มักเป็นปรกติเช่นนี้

ดังนั้นผู้ไม่ทำบุญในเวลาใดจึงมักจะทำบาปในเวลานั้น ไม่มากก็น้อย
ผลของบาปเป็นความทุกข์ ผู้ไม่ทำบุญจึงมักทำบาป จึงไม่มีความสุข
ไม่เป็นสุข ดังกล่าวว่าจะสมปรารถนาไม่ได้ในเมื่อทุกคนปรารถนาความสุข

ทุกคนต้องตาย ท่านก็ตาย เราก็ตาย ไม่มีผู้ใดหนีความตายพ้น
ไม่ช้าก็เร็วทุกคนจะต้องตาย นึกถึงความจริงนี้ไว้ให้เสมอ
พร้อมๆ กับที่นึกด้วยว่า ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้
บุญหรือบาปเท่านั้นที่จะติดตามทุกคนไป
ให้ ความสุขให้ความทุกข์แก่ทุกคนผู้กระทำบุญหรือบาปไว้
นึกไว้เช่นนี้เสมอๆ นั่นแหละจะเป็นการบริหารจิต
ห้ามจิตเสียจากความโลภได้ มากน้อยตามควรแก่ความปฏิบัติ



คัดลอกจาก... คุณ I am
ที่มา : การบริหารทางจิต สำหรับผู้ใหญ่ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)



ขอบคุณบทความจากธรรมจักรดอทเน็ต

คัดจาก http://www.teenee.com

70


ถาม :  เวลาคิดกำหนดระยะเวลานานๆ ถ้า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีการสัมผัส แล้วทีนี้เวลาใจมันออกมา มันออกมาทางไหนคะ จับไม่ทันเลย

ตอบ : จับไม่ทัน ? เขาระวังตรงใจ อย่าไประวังตรงตา หู จมูก ลิ้น กาย

ถาม : มันขึ้นมาเองคะ ไม่ทันระวัง มันขึ้นมาเอง

ตอบ : กำหนดใจเหมือนกับตัวเรานั่งอยู่ในห้องว่างๆ ประตูอยู่ตรงหน้าของเรา อะไรเข้ามาเราจะรู้ นึกออกไหม ? เหมือนอาคันตุกะมาเยี่ยม โผล่หน้ามาก็รู้แล้ว นี่มาทางตานะ..ต้องระวังไว้ เดี๋ยวมันจะเข้ามาในใจเราได้ นี่มาทางหู..ต้องระวังไว้ เดี๋ยวจะเข้ามาในใจเราได้ หูกับตาจะมาเร็วที่สุด

ถาม : ยังพอทัน หูกับตา แต่ใจนั้นไม่ชัด

ตอบ : นั่นแหละ คือ ระวังใจตัวเดียว หกตัว ระวังใจตัวเดียว อย่าให้เข้ามาในใจของเรา

แล้วจะไป เสียเวลากำหนดไปทำไม ภาวนาให้จิตทรงเป็นฌาน มันก็รู้รอบแล้ว ถ้าเราจับลมหายใจเข้าออกได้ สังเกตไหมว่ามันจะกินเราไม่ได้เลย มันปิดหมด

ถาม : ช่วงจับบางทีมันแน่น แน่นหน้าอก จนจุก

ตอบ : อาการอย่างนั้น บางทีเป็นขั้นตอนของการบอกให้รู้ว่า ตอนนี้อารมณ์ใจทรงตัวแล้ว เราเองเราก็จับอาการนั้นเอาไว้ ถึงเวลาถ้าอาการนั้นมันแน่นขึ้นมา เราก็รู้ว่าตอนนี้อารมณ์อยู่ในระดับที่จะพึ่งตัวเองได้ แล้วเราก็ระวังได้

บางทีอาการบางอย่างในร่างกายไม่เหมือนเขา เมื่อเกิดขึ้นเราก็ต้องรู้ไว้ จริงๆ แล้วอาการที่แน่นเข้ามา บางทีเย็นเหมือนกับซุกน้ำแข็งในอกก็มี คอยสังเกตตัวเองว่า ของเราต่างกับของเขานิดหน่อย พอ อารมณ์ใจถึงตรงนั้น แล้วดูซิว่าสติพร้อมไหม ถ้าสติพร้อม คือ อาการของการทรงฌาน อย่างน้อยๆ เป็นอาการของอุปจารฌาน



สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๔


ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...ead.php?t=1413




.


71


การพัฒนา วัดมิใช่มุ่งเน้นการบูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการพัฒนาแบบบูรณาการ เชื่อมโยงประสานกันทุกด้าน ครบทั้ง 6 องค์กร กล่าวคือ ด้านการปก ครอง การศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การ เผยแผ่พระพุทธศาสนา การสาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะห์ เพื่อให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะความพร้อมเรื่อง สถานที่ บุคลากร สื่อการสอน การนำเสนอ และ การประชาสัมพันธ์ ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์และมีความสำคัญมากในยุคปัจจุบัน

เมื่อเร็วๆ นี้ คณะสงฆ์พระนักศึกษา หลักสูตร ประกาศนียบัตรการบริหารกิจการคณะสงฆ์ หน่วยวิทยบริการจังหวัดจันทบุรี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้เดินทางมาศึกษาดูงานพัฒนาวัดเทวราชกุญชรราชวรวิหาร กรุงเทพฯ โดยมี "พระเทพคุณาภรณ์" เจ้าอาวาส วัดเทวราชกุญชร และรองเจ้าคณะภาค 13 เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการในโอกาสที่พระนักศึกษาทั้งหลายพร้อมใจกันจัด โครงการศึกษาดูงานการพัฒนาวัดเทวราชกุญชร และเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว




"พระเทพคุณาภรณ์" เจ้าอาวาส ได้กล่าวโอวาทว่า "เริ่มต้นพัฒนาวัดเทวราชกุญชรเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2544 ขณะนั้นเสนาสนะ ถาวรวัตถุ มีสภาพชำรุดทรุดโทรมหลายรายการ ตามที่ท่านทั้งหลายได้ชมวีดิทัศน์ซึ่งมีทั้งภาพเก่าและภาพใหม่เปรียบเทียบ ให้เห็นแล้วนั้น อาตมาตั้งใจบูรณปฏิสังขรณ์วัดตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา โดยมีอุดมคติในการทำงานว่า วัดนี้ต้องสะอาด สว่าง สงบ ปัจจุบันเสนาสนะ ถาวรวัตถุ มีความงดงาม เป็นไปตามความต้องการประโยชน์ใช้สอย อีกทั้งเป็นสมบัติอันล้ำค่าของพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ ซึ่งปรากฏแก่สายตาของท่านทั้งหลาย พระนักศึกษาทั้งหลายจะได้รับประโยชน์ที่เกิดจากการศึกษาดูงาน การพัฒนาวัดเทวราชกุญชร โดยสรุป 2 ประการ คือ 1.ได้ความสามัคคี พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกันปฏิบัติตามโครงการด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย 2.ได้รับความรู้ความเข้าใจในการบริหารกิจการคณะสงฆ์มากยิ่งขึ้น"




เมื่อประธานกล่าวโอวาทจบแล้ว คณะสงฆ์พระนักศึกษาได้พร้อมใจกันประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระอุโบสถวัดเทวราชกุญชร กรุงเทพฯ

จากนั้นทีมงานพระวิทยากรของวัดเท วราชกุญชรได้นำคณะสงฆ์พระนักศึกษา และผู้เข้าร่วมกิจกรรม ประมาณ 200 รูป/คน ศึกษา ดูงานพัฒนาวัดเทวราชกุญชร ตามสถานที่จริง ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความสนใจใฝ่เรียนรู้ คู่กับได้รับแนวคิดในการออกแบบการก่อสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุต่างๆ ที่มีความงดงามสมกับเป็นพระอารามหลวง เสริมด้วยวิธีการบริหารเวลาแต่ละวันอย่างมีคุณค่า การจัดบุคลากรให้เหมาะสมกับหน้าที่การงาน ได้เห็นแบบอย่างพระภิกษุสามเณร ที่มีความเป็นอยู่เรียบง่าย ครองจีวรเรียบร้อย เป็นที่เคารพศรัทธาของสาธุชน

เป็นผลเบื้องต้นของการพัฒนาวัดแบบบูรณาการ


ที่มา ข่าวสดออนไลน์ ขอขอบคุณครับ


72
ปีใหม่นี้ ผมได้ของขวัญเป็นหนังสือธรรมะหลายเล่มเลย จากอาจารย์กฤษณา พรพิบูลย์ หรืออาจารย์จ้อย แห่งโรงเรียนปัญญาประทีป ที่ปากช่อง

ผมชอบเรียกอาจารย์จนติด ปากว่า น้องจ้อย เนื่องจากเธอเป็นรุ่นน้องที่รู้จักกันมานานเกือบ 20 ปีแล้ว

น้องจ้อย นี่ถือเป็นกัลยาณมิตร ฝ่ายธรรมะของผมเลยทีเดียว นอกจากจะให้หนังสือธรรมะผมมาอ่านอยู่บ่อย ๆ แล้ว ยังแนะนำให้ผมรู้จักเรือนธรรม สถานที่ที่ฝึกสมาธิในเมืองกรุง อยู่แถว ๆ ราชวัตร

ผมได้ไปเรียนนั่งสมาธิเป็น ครั้งแรกในชีวิตก็เพราะน้องจ้อยนี่แหละครับ

เนื่องจากน้องจ้อยเป็นคนรุ่นใหม่ไฮเทคมากกว่าผม แถมยังเคยป็นอาจารย์สอนหนังสือที่ธรรมศาสตร์อีกต่างหาก สมัยก่อนเวลาจะซื้อโน้ตบุ๊ก ผมต้องโทรให้น้องจ้อยไปช่วยดู ช่วยเลือกโน้ตบุ๊กให้หน่อย ตัวผมใช้เป็นอย่างเดียว แต่เรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่อง รู้น้อยมาก
พอมาปีนี้ไปเจอน้องจ้อยที่บ้าน ก็ได้หนังสือธรรมะเป็นของขวัญปีใหม่จากน้องจ้อยอีก ผมรีบอ่านเล่มที่ใหญ่ที่สุดก่อนชื่อหนังสือว่า “เรื่องท่านเล่า”





โดย คุณศรีวรา อิสสระ เป็นผู้รวบรวมจากนิทานเรื่องเล่าต่าง ๆ ของท่านอาจารย์ชยสาโร พระชื่อดัง แห่งวัดป่านานชาติ ที่ญาติโยมผู้ใฝ่ธรรมในเมืองไทยน่าจะรู้จักท่านเป็นอย่างดี

นอกจากนี้ท่านอาจารย์ชยสาโร ยังเป็นองค์ประธานที่ปรึกษาของมูลนิธิปัญญาประทีป ซึ่งทางมูลนิธินี้ได้ร่วมกับกองทุนสื่อธรรมะทอสี จัดทำหนังสือ “เรื่องท่านเล่า” เล่มนี้ขึ้นมา พิมพ์แจกเพื่อเป็นธรรมทาน
นี่เป็นหนังสือธรรมะอีกเล่มหนึ่ง ที่ผมอ่านไปยิ้มไป บางช่วงก็หัวเราะจนน้ำตาไหล ได้มุก ได้แก๊ก ได้เรื่องเล่าและสาระธรรมมากมาย เป็นประโยชน์กับอาชีพวิทยากรของผมจริง ๆ ครับ
แต่สิ่งที่ผมชอบมากที่สุดกลับเป็น ส่วนประกอบเล็ก ๆ ในหนังสือเล่มนี้

คืออย่างงี้ครับ เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ประมาณ 90% จะเป็นเรื่องเล่าและนิทานของท่านอาจารย์ชยสาโร

แต่มีอีก 10% จะแป็นคำถามคำตอบสั้น ๆ พร้อมรูปการ์ตูนประกอบเล็ก ๆ 2 รูป ซึ่งตัวการ์ตูนหลักก็จะเป็นท่านอาจารย์ชยสาโร จะเป็นผู้ตอบ ส่วนการ์ตูน อีกตัวหนึ่งก็จะเป็นญาติโยมที่จะคอยถามคำถาม นาน ๆ ก็จะมีคำถามคำตอบแทรกเข้ามาทีละข้อ สลับกับเรื่องเล่า

10% นี้แหละครับที่เป็นชูรสชั้นเลิศ ที่ผมชอบมากเป็นพิเศษ อ่านแล้วได้อารมณ์คล้าย ๆ กับอ่านข้อความกับการ์ตูนตัวเล็ก ๆ ที่หน้าปกมติชนรายสัปดาห์ ต่างกันที่ของมติชนมักจะเป็นเรื่องชวนหัวในแง่การเมือง
แต่การ์ตูนคำถามคำตอบในหนังสือเล่มนี้ เป็นแง่มุมธรรมะ ที่ท่านอาจารย์ตอบได้ชัดเจน

ผม อ่านส่วนของภาพการ์ตูนคำถามคำตอบครบหมดทุกข้อก่อนที่จะได้อ่านส่วนของเรื่อง เล่าซะอีก สนุกมากครับ นึกไม่ถึงว่าท่านอาจารย์ชยสาโร จะตอบคำถามได้เก่ง บางคำตอบผมคาดไม่ถึงเลยจริง ๆ
เอาละครับ ช่วงนี้ผมจะยกตัวอย่างคำถามคำตอบบางข้อมาให้พวกเราอ่านกัน เพื่อให้เห็นภาพการ์ตูนด้วย ผมเลยให้เลขาฯ ช่วยสแกนมาทั้งข้อความและภาพการ์ตูน เริ่มกันเลยนะครับ






























เป็นยังไงกันบ้างครับ ถูกใจกันบ้างหรือเปล่า ถ้าอยากอ่านทั้งเล่ม ก็ลองติดต่อขอไปที่ กองทุนสื่อธรรมะทอสี (www.thawsrischool.com) หรือ  มูลนิธิปัญญาประทีป (www.panyaprateep.org) เล่มนี้ ไม่มีขาย เขาพิมพ์แจกเป็นธรรมทานครับ

ที่มา  : www.atcloud.com
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=543802] 



73


"หอ ไตรกลางน้ำวัดคูยาง" เมืองกำแพง เพชร มีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี อยู่คู่วัดคูยางแห่งนี้มาช้านาน อายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี

เชื่อว่า มีอีกหลายๆ ท่าน ที่เดินทางมาเที่ยวในจังหวัดกำแพงเพชรหรือแม้กระทั่งชาวเมืองกำแพงเพชรเองก็ ตาม อาจจะยังไม่ทราบและไม่รู้ถึงความเป็นมาของหอไตรกลางน้ำวัดคูยาง

หาก ใครได้เดินทางไปที่วัดคูยาง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร จะได้พบกับหอไตรกลางน้ำวัดคูยาง อยู่ในสภาพที่กำลังถูกดำเนินการบูรณะซ่อมแซม

พระเทพปริยัติ เจ้าคณะจังหวัดกำแพงเพชร ในฐานะเจ้าอาวาสวัดคูยาง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร กล่าวถึงที่มาที่ไปของหอไตรแห่งนี้ ว่า ในช่วงนี้หอไตรอยู่ในช่วงบูรณะปรับปรุง เมื่อแล้วเสร็จจะเปิดให้เข้าชม เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ทางวัดและทำตามนโยบายของจังหวัด ในเรื่องของการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม โบราณสถานและธรรมชาติ โดยเฉพาะในหอไตรแห่งนี้มีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี ซึ่งมีการปรับปรุงมาเรื่อยๆ ภายในมีตู้พระธรรมลายรดน้ำ มีเอกสารโบราณอยู่เป็นจำนวนมาก คาดว่าน่าจะแล้วเสร็จทันวันวิสาขบูชา หรือวันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือนหก

หอไตร เป็นสิ่งก่อสร้างสำคัญอย่างหนึ่งภายในวัด นิยมสร้างอยู่ในเขตพุทธาวาส (สถานที่ประ กอบสังฆกรรม) มากกว่าในเขตสังฆาวาส (ที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์) ใช้เป็นที่เก็บรักษาพระไตรปิฎก หรือพระธรรมคัมภีร์ จึงเรียกกันโดยย่อว่า "หอไตร" ในอดีตมักสร้างหอไตรไว้กลางสระน้ำ เพื่อป้องกันแมลง เช่น ปลวก แมลงสาบ มด มากัดกินทำลายคัมภีร์ เมื่อประสงค์จะนำคัมภีร์ธรรมต่างๆ ออกไปใช้นอกหอไตร ก็จะชักสะพานและบันไดเชื่อมข้ามไป เมื่อเลิกใช้ก็จะดึงสะพานและบันไดออก




โดยทั่วไปรูปแบบหรือรูปทรงของหอไตร มักมีลักษณะเป็นทรงไทยตามแบบประเพณีนิยมของแต่ละจังหวัดหรือแต่ละภาค เช่น หอไตรวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี หอไตรวัดทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบล ราชธานี หอไตรวัดหน้าพระธาตุ (วัดตะคุ) จังหวัดนครราชสีมา และหอ ไตรวัดสันกำแพง จังหวัดลำพูน เป็นต้น

ลักษณะหอไตรวัดคูยาง เป็นอาคารทรงไทยพื้นถิ่นกำแพงเพชร สร้างด้วยไม้ หลังคามุงกระเบื้องเกล็ด ใต้ถุนสูง กว้าง 6 ม. ยาว 12 ม. ตั้งอยู่กลาง คูน้ำเดิม ภายในอาคารเป็นโถงโล่ง โถงกลางมีเสากลมรองรับด้านละ 3 ต้น

หลังคา โถงกลางเป็นทรงจั่ว มีช่อฟ้าหางหงส์ทำด้วยปูนปั้น ประดับอยู่รอบจั่วทั้งสองด้าน มีหลังคาปีกนกคลุมฝาผนังทั้ง 4 ด้าน ฝาผนังเป็นแบบฝาปะกน ฝาผนังด้านข้างมีหน้าต่างข้างละ 4 ช่อง ฝาผนังด้านหน้าและหลังมีประตูด้านละ 1 ช่อง และมีหน้าต่างด้านละ 2 ช่อง มีพาไล (มุขที่มีชายคาคลุมและมีเสารองรับ) ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง พาไลเป็นชั้นลดลงมาจากโถง มีบันไดขนาด 3 ขั้นพาดขึ้นไปสู่โถงใน ทั้งด้านหน้าและหลัง เฉพาะพาไลด้านหน้ามีนอกชานยื่นออกไปตรงกลางใช้เป็นที่พาดบันไดขนาด 7 ขั้น เชื่อมต่อกับสะพานไปยังพื้นดิน

ภายในหอไตรแห่งนี้ มีโบราณศิลปวัตถุที่สำคัญ และทรงคุณค่ายิ่ง ประกอบไปด้วย ตู้พระธรรมลายรดน้ำลงรักปิดทองโดยรอบ เขียนเป็นภาพต่างๆ ด้วยฝีมือช่างราวสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ประมาณรัชกาลที่ 3 ถึง 5 ที่ประณีตงดงามมาก จำนวน 5 หลัง หีบพระธรรม มีลายรดน้ำลงรักปิดทอง และเป็นแบบเหล็ก อยู่ในสมัยรัชกาลที่ 3 ถึง 5 ธรรมาสน์เท้าสิงห์ ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ ทำด้วยไม้ลงรักปิดทอง เป็นเครื่องสังเค็ด หรือ ทานวัตถุที่ถวายแด่สงฆ์เมื่อเวลาปลงศพหรือมีงานศพ เอกสารโบราณ บรรจุอยู่ในตู้และหีบ มีทั้งที่เป็นใบลานและสมุดข่อย ผ้าห่อคัมภีร์ เป็นผ้าพิมพ์ลายอย่างลายไทย พระบฏ เป็นแผ่นผ้าฝ้ายสีขาว เขียนสีเป็นภาพเล่าเรื่องเวสสันดรชาดก จำนวน 13 กัณฑ์ ใช้ในงานเทศกาลเทศน์มหาชาติกลางเดือน 10 ของวัดคูยาง แต่ขณะนี้มีเหลืออยู่เพียง 9 กัณฑ์เท่านั้น

ด้วยหลักฐาน ความสำคัญ และเหตุผลต่างๆ หอไตรวัดคูยาง จึงนับว่าเป็นโบราณสถานที่มีค่าหายากและมีเหลืออยู่เพียงแห่งเดียวในจังหวัด กำแพงเพชร

จึงอยากให้ทุกคนใส่ใจในการอนุรักษ์โบราณสถานสำคัญใน ท้องถิ่น ให้เป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติสืบไป


ที่มา หนังสือพิมพ์ข่าวสดออนไลน์

74
ธรรมะ / คำอธิษฐานข้ามภพข้ามชาติ
« เมื่อ: 02 ก.พ. 2553, 04:36:49 »


ถาม : เรื่องอธิษฐานเจ้าค่ะ เรามีคู่ในปัจจุบันชาตินี้เจ้าค่ะ แล้วเราเคยอธิษฐานว่าเราจะไม่เป็นคู่กับอีกคนหนึ่ง แล้วเราจะหยุดอธิษฐานนั้น ...คือมันต่อเนื่องมาหลายภพหลายชาติแล้ว

ตอบ : คำอธิษฐานเปลี่ยนได้จ้ะ อธิษฐานแปลว่า ความตั้งใจ ถ้าเราเปลี่ยนความตั้งใจเสียก็เป็นอันว่าจบกัน

ถาม : ทีนี้ถ้าเราเปลี่ยนโดยยกเลิกคำอธิษฐานว่าจะไม่เป็นคู่กับอีกคนหนึ่ง เราจะมีปัญหากับคนปัจจุบัน

ตอบ : อ๋อ...ของเราเองเกิดมาก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเจอแต่คนเดิมตลอดไปหรอกจ้ะ เพราะว่าเราเกิดมาหลายชาติ แต่ละชาติถ้าทำความดีความชั่วไม่ได้เสมอกัน ก็จะต้องมีว่าเราเกิดบ้างเขาเกิดบ้างสลับกันไป ช่วงที่ไม่ได้เกิดพร้อมกันก็ไปเจอคนอื่น ถ้าเกิดพร้อมกันแต่ว่าเจอคนที่เกิดมากกว่าเราก็จะไปกับคนที่เกิดด้วยกัน มากกว่า บางชาติคนที่เราเกิดร่วมกันไม่ได้โผล่มาสักคนหนึ่งเลย ก็จะไปเจอที่เกื้อกูลกันในปัจจุบันชาตินั้นขึ้นมาอีก ดังนั้นก็จะมีมากขึ้นไปเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้น เราจะสังเกตอารมณ์ใจตัวเราเองว่า บางทีเราเองแต่งงานกับคนนี้แท้ๆ แต่พอไปเจอกับอีกคนหนึ่ง ทำไมรู้สึกรักรู้สึกชอบเขาเหมือนกัน นั่นก็อาจจะเคยติดตามกันมา แต่ว่าเราต้องอยู่ในขอบเขตของศีลของธรรม

เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ ตามถ้าอยู่ในเขตของศีลของธรรม เราจะอธิษฐานอย่างไร เราจะยกเลิกอย่างไรก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยอย่าให้ศีล ๕ ขาด คำอธิษฐานมีผลแต่เพียงว่า ถ้าหากว่าเรายกเลิกแล้ว อธิษฐานใหม่ ก็จะเป็นไปตามของใหม่

ถาม : ยกเลิกได้ใช่ไหมเจ้าคะ ?

ตอบ : ได้จ้ะ แค่เปลี่ยนความตั้งใจเท่านั้นเอง นี่เหมือนอย่างกับนอกตำราเลย จริงๆ ไม่ใช่นอกตำรานะจ๊ะ คำอธิษฐานเปลี่ยนกันได้ ขอเพียงความตั้งใจของเราให้ตั้งมั่นจริงๆ เท่านั้น

ถาม : คำอธิษฐานนี่ข้ามชาติได้ ?

ตอบ : จ้ะให้ผลข้ามชาติเยอะเลย

ถาม : แล้วอย่างที่แบบว่าชาตินี้เขาเคยเป็นบิดามารดาและลูกอย่างนี้ พอชาติถัดไปเขาก็เปลี่ยนความสัมพันธ์ แล้วเวลาเราจะ...อย่างไร ?

ตอบ : กรรมที่เนื่องกันไปเนื่องกันมา แต่ละคนมันสามารถเปลี่ยนสัมพันธ์เปลี่ยนตำแหน่ง เปลี่ยนไปได้อยู่ตลอด ชาตินี้คนเขาเป็นพ่อเป็นแม่เรา ชาติต่อไปอาจจะเกิดมาเป็นลูกเราหรือคนใช้เราก็ได้ ชาตินี้เป็นสามีเราชาติต่อไปอาจจะเป็นพ่อเราก็ได้

ถาม : ถ้าสมมุติว่า คนที่เขาเคยเกิดเป็นพ่อเราแล้ว มาเกิดเป็นลูกเรานี่ เราจะทำอย่างไรกับเขาคะ ?

ตอบ :ทำหน้าที่ของเราตอนนั้นให้ ดีที่สุด อย่างเช่นว่าเราเป็นแม่ เราก็ทำหน้าที่ของแม่ให้ดีที่สุด นับในปัจจุบันอย่าไปคิดเอาอดีต ถ้าหากว่าคิดเอาอดีตนี่จะยุ่งมากเลย

ถาม : ...(ไม่ชัด)...

ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วนักปฏิบัติจะต้องเอาปัจจุบันเป็นใหญ่ ไม่ใช่ส่วนใหญ่ต้องใช้คำว่าทั้งหมด นักปฏิบัติทั้งหมด ต้องเอาปัจจุบันเป็นใหญ่ อดีตรู้ไว้เป็นบทเรียนเท่านั้นรู้ว่าอะไร เป็นอะไรแล้วก็วาง เพราะว่าทุกชาติก็ทุกข์เหมือนกัน ปัจจุบันทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด อนาคตจะเป็นอย่างไรไม่ต้องนึกถึง แค่นั้นก็พอ เขาเป็นพ่อแม่ก็ให้เป็นพ่อแม่ไป

ถาม : ที่พูดเมื่อครู่นี้ว่า เราทำปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด ทีนี้เรามีความรู้สึกว่าเราทำแล้วเราไม่ดีที่สุด

ตอบ : คำว่าดีที่สุดไม่ได้หมายความว่าจะต้องรวยเท่าคุณทักษิณ ชินวัตร แต่หมายความว่าดีเต็มกำลังที่เราทำได้

ถาม : แม้กระทั่งคนอื่นมองว่าเราทำน้อย ?

ตอบ : จ้ะ นั่นแหละ คือ เต็มที่ เต็มกำลังกาย กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์ ของเราแล้ว ทำได้ดีที่สุดแค่ไหนก็คือแค่นั้นของเรา

แต่ว่าคนที่มีกำลังกาย กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์ เขาเหนือกว่าเรา เขาจะทำได้ดีกว่าเรา เพราะฉะนั้น..ได้ดีที่สุดนั้นไม่มีมาตรฐานว่าต้อง ๑๐๐ เปอร์เซนต์ ไม่มี แค่เต็มกำลังของเรา ของเราเต็มที่แค่ไหนก็แค่นั้น


สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๔


ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...ead.php?t=1563







75
ชีปะขาวผู้ให้นิมิต




คืนหนึ่ง ขณะที่ท่านจำวัดอยู่ที่ที่ท่านได้ทำการก่อสร้างสะพาน ท่านก็ได้เกิดนิมิตประหลาด ท่านนิมิตไปว่า มีชีปะขาว หน้าตามีบุญ มีแสงสว่างออกจากตัว คล้ายมีแสงไฟกระจายอยู่ด้านหลัง ชีปะขาวมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าท่าน แล้วกล่าวกับท่านว่า

“เมื่อสะพานเสร็จแล้ว ท่านพึงจะละทิ้งเอาไว้ระยะหนึ่งก่อน ออกธุดงค์ไปยังโคราชก่อน แล้วตัดทางออกไปอุบลราชธานี อย่าพึงรีบร้อนและลังเล เมื่อพักผ่อนอิริยาบถพอสมควรแล้ว ท่านก็ข้ามไปฝั่งลาวเลย....”

เส้นทางที่ชีปะขาวบอก คือข้ามจากอุบลราชธานีทางช่องเม็ก สู่แขวงจำปาศักดิ์ ประเทศลาว เดินตามเส้นทางป่าที่เชื่อมจำปาศักดิ์กับเมืองปากเซ ด้วยเป็นเส้นทางที่วิเวกและสามารถหลีกพ้นการรบกวนของผู้คนที่อาจจะทำให้หลวง ปู่ต้องพักช่วยชาวบ้านเป็นระยะ ๆ หมดโอกาสจะไปยังสถานที่ที่ต้องการจะไปได้ หลวงปู่สุภาเดินทางพร้อมเครื่องบริขารธุดงค์ ตรงไปยังปากเซ สอบถามเส้นทางไปยังเมืองเซโปน ซึ่งได้ใช้เส้นทางป่าเหมือนที่มาจากนครจำปาศักดิ์ ผจญความยากลำบากและเภทภัยต่าง ๆ ตลอดเส้นทาง
เพราะตอนนั้น ป่าแถบนั้นชุกชุมไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บและภูตผีปีศาจ จากเซโปน สอบถามเส้นทางไปยังเมืองวัง เส้นทางช่วงนี้วิบากยิ่ง แต่หลวงปู่สุภาก็ไม่ย่อท้อ เพราะมีชีปะขาวมานิมิตของเหตุอยู่เสมอตลอดทางชีปะขาวมาปรากฏในนิมิตอยู่เสมอ ว่า ถ้ำจุงจิง คือสถานที่ที่ท่านจะต้องเดินทางไปให้ถึง ไปให้ตลอด ที่นั่นคือจุดหมายปลายทาง
หลวงปู่สุภาจึงมีพลังใจและรุดหน้าเดินทางไปยังเมืองวัง และเดินทางต่อไปยังเมืองอ่างคำ อันป่าแถบนั้นยากที่จะมีผู้ใดบุกเข้าไปได้ ชาวบ้านบอกชัดเจนว่า พระธุดงค์หลายต่อหลายรูป ถามหาทางแล้วไม่เคยกลับออกมาอีกเลย และหลายคนห้ามหลวงปู่สุภาด้วยคำชาวบ้านง่าย ๆ ว่า“อย่าเอาร่างกายไปเป็นเหยื่อสัตว์ร้ายและไข้ป่า ตลอดจนภูตผีปีศาจเลย แม้พรานที่ว่าแก่วิชา ก็ยังต้องตามไปเอาศพกลับมาเผาเพื่อส่งวิญญาณ เมื่อไปพบสภาพศพดูทุเรศเป็นที่สุด”

จากเมืองวังไปยังเมืองอ่างคำ หลวงปู่สุภาต้องผจญกับอาถรรพ์ต่าง ๆ นานาประการ หากแต่ได้วิชาที่เล่าเรียนมาแต่ต้น หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และธุดงควัตรอันบริสุทธิ์ของท่าน แก้ไขสถานการณ์จนรอดออกมาจากป่า บรรลุถึงเมืองอัตปือแสนปาง ที่นั่นหลวงปู่สุภามิอาจหาเส้นทางที่เข้าไปยังจุดที่จะถึงถ้ำจุงจิงได้ ที่สุดชีปะขาวต้องมานิมิตบอกท่านว่า มีคนพวกเดียวเท่านั้นที่จะพาหลวงปู่สุภาไปได้คือ “พวกข่า”

พวก “ข่า” เป็นพวกพรานป่าที่ชำนาญไพร และชำนาญด้านเส้นทางที่จะไปยังถ้ำจุงจิง หลวงปู่สุภาเดินทางมาจนถึงบ้านหนองไก่โห่ อันเป็นชุมชนของชาวข่าที่น้อยคนนักจะมาถึงได้ พวกข่าพบหลวงปู่สุภาแล้วรู้สึกแปลกใจ ถามว่ารอดชีวิตจากป่าดงดิบ ดงดิบดำได้อย่างไร หลวงปู่สุภาจึงบอกวัตถุประสงค์ที่จะไปถ้ำจุงจิงแก่ชาวข่า เมื่อได้ยินดังนั้น ชาวข่าก็บอกกับท่านว่า
“ถ้ำแห่งนั้นเป็นถ้ำอาถรรพ์ ไม่มีใครอยู่ได้ แม้แต่เฉียดเข้าไป ก็ถูกอาถรรพ์เล่นงานเอาจนตาย หรือเฉียดตาย แต่หากว่าท่านจะไป ก็จะนำทางให้ จะนำทางเพียงขึ้นไปที่ปากถ้ำเท่านั้น หลัวจากนั้น ให้หลวงปู่ให้ค่าจ้างเขาด้วยหน่อทองคำ”หลวงปู่สุภาจึงบอกกับพวกข่า

“เราเป็นพระธุดงค์ ไม่มีทองคำหรือหน่อไม้ทองแต่ประการใดที่จะให้เป็นค่าแรง บอกทางด้วยปากเปล่าก็ได้ จะเดินไปเอง”
พวกข่าจึงบอกกับหลวงปู่สุภาว่า

“สะพานที่ทอดข้ามจากหนองไก่โห่ ไปยังเส้นทางเขาจุงจิง มีต้นไม้สีทองอุไรขึ้นอยู่มากมาย หากมีวิชาอาคมเด็ดยอดให้ขาดลงมา ทันทีที่ขาดใส่มือ ก็จะกลายสภาพเป็นหน่อทองคำทันที ขอหน่อนั้นให้พวกกระผม จะได้รอจนท่านกลับมา”

หลวงปู่สุภาจึงรับปาก เขาจุงจิงนั้นเป็นเขตแดนติดต่อกันระหว่าพระราชอาณาจักรลาวกับดินแดนของ เวียดนาม หลวงปู่สุภาจึงข้ามสะพานไปอีกฟากหนึ่งจึงพบต้นไม้ที่ชาวข่าบอกให้ฟัง ความจริงนั้นหลวงปู่สุภาเล่าว่า
“ไม่ใช่ต้นไม้ต้นไร่อะไรหรอก เป็นหน่องอกจากดิน สูงคืบหนึ่งบ้าง หนึ่งศอกบ้าง สองศอกบ้าง มีสีเหลืองเหมือนทอง เวลาต้องแสงแดดก็จะเปล่งประกายงดงามจับตายิ่งนัก พวกข่าต้องการมากทีเดียว”

เมื่อเดินผ่านเข้าไป ท่านได้ระลึกอยู่ ๒ อย่าง คือ

-ประการแรก ได้รับปากกับชาวข่าไว้แล้วเรื่องให้หน่อไม้ทองเป็นรางวัล
-ประการที่สอง การจะหักหน่อทองคำเป็นอาบัติ ธุดงควัตรจะขาด และจะเกิดอันตราย จะต้องรักษาสองอย่างนี้ไว้ในเวลาเดียวกันหลวงปู่เล่าว่า“เพ่งมองดูด้วยจิต อันเป็นอุเบกขา ไม่มีความโลภอยากได้ เมื่อจิตเป็นเอกคตาแล้ว จึงนึกอธิษฐานจิตอย่างแน่วแน่ว่า ขอเทพยดาอารักษ์ที่รักษาสถานที่นี้อยู่ ด้วย

อาตมาเดินทางมาด้วยนิมิตจิต ต้องการเพียงเล่าเรียนศึกษาแสวงหาทางนิพพาน แต่ได้รับปากชาวบ้านว่าจะให้หน่อไม้ทอง หากมิมีของให้พวกเขา ธุดงควัตรของอาตมาก็จะบกพร่องและเกิดอันตราย ขอเทพยดาได้เมตตาให้หน่อทองแก่อาตมาด้วยเถิด”ทันใดนั้นก็มีเสียงซู่ซ่า ต้นไม้ทองคำก็สั่นไหวไปมา และหลายต้นโน้มยอดเข้ามาทางที่ท่านเดินไปและหักกระเด็นออกมาเรี่ยรายอยู่กับ พื้นเป็นจำนวนมาก โดยที่ท่านไม่ต้องออกแรงเด็ดหรือทำการอย่างใดให้ต้องอาบัติ และเมื่อยอดตกหักถึงพื้น ก็กลายเป็นหน่อทองคำจริง ๆ เหมือนที่พวกข่าเล่าให้ฟัง เมื่อเห็นว่าได้หน่อทองคำพอสมควรแล้ว หลวงปู่สุภาจึงบอกกับชาวข่าว่า บัดนี้เราได้หน่อทองแล้ว ขอให้พากันไปเก็บ แต่ต้องนำท่านไปส่งที่ถ้ำจุงจิงก่อน หาไม่แล้ว อาจไม่ได้ทอง เพราะเป็นจิตอธิษฐานของท่านเอง พวกข่าจึงตามท่านไปเก็บหน่อทอง และจึงช่วยกันนำหลวงปู่สุภาไปส่งยังถ้ำจุงจิง และลากลับไปหมู่บ้านของเขา หลวงปู่สุภาปักกลดอยู่ทางขึ้นถ้ำ ชีปะขาวก็มานิมิตอีก คราวนี้มาบอกชัดเจนเลยว่า

“บนถ้ำจุงจิง มีพระอรหันต์หลายรูป แต่ละรูปเจริญอิทธิบาท ๔ ประการ ดำรงสังขารมานับเป็นพันปี และจะดำรงต่อไปจนกว่าจะพบพระศรีอาริยเมตตรัยมาตรัสรู้ และเมื่อได้รับฟังพระธรรมจากท่านพระศรีอาริยเมตตรัยแล้วจึงจะละสังขารไป ท่านจะได้พบด้วยตัวของท่านเองนั่นแหละ”

หลวงปู่สุภาได้ขึ้นไปจำวัดอยู่บนถ้ำจุงจิงเป็นคืนแรก การขึ้นสู่ถ้ำจุงจิงนั้นยากลำบาก ต้องป่ายปีนไปตามซอกหิน จนได้ขึ้นไปสู่ปากถ้ำ ซึ่งมีแต่หมอกควันปกคลุมอยู่ แสงสว่างจากภายในไม่มี จากภายนอกก็เข้าไปไม่ได้ ต้องอาศัยเทียนนำทาง เมื่อเข้าไปแล้ว เหมือนตนเองอยู่ในเมืองลับแล คือไม่รู้ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน เข้าวันใหม่ หลวงปู่สุภาจึงออกมานอกถ้ำ ที่หน้าถ้ำ หมอกได้สลายไปหมดแล้ว เห็นภูมิทัศน์ได้ถนัดตา มองขึ้นไปด้านบน จะเห็นมียอดเขาและถ้ำอีกมากมาย แต่ไร้เส้นทางขึ้น เป็นหน้าผาล้วน ๆ ไม่มีก้อนหินและทางขึ้นไปได้ จึงได้แต่คิดว่า เราจะได้พบพระอาจารย์หรือพระอรหันต์ได้อย่างไร พอคิดแวบขึ้นมา มองขึ้นไปข้างบนก็เห็นสีเหลืองคล้ายจีวร เลื่อนลงมาจากปากถ้ำด้านบน รวดเร็วมากจนมองแทบไม่ทัน มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อสีเหลือง ๆ นั้น มายืนอยู่ตรงหน้า เป็นพระภิกษุที่มีผิดพรรณวรรณะผิดกับคนธรรมดาทั่วไป ครองผ้าแปลกไปกว่าที่หลวงปู่สุภาครองอยู่ แต่มีลักษณะคล้ายพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ให้สังเกตได้หลายประการ แล้วพระสงฆ์รูปนั้นก็กล่าวขึ้นว่า

“ไม่ต้องแปลกใจหรอก การลงมาเมื่อกี้นี้เป็นเพียงการอธิษฐานจิตเท่านั้นแหละ เอาเป็นว่า มาได้อย่างไร และทำไมจึงต้องมาที่นี่ บอกมาให้ละเอียด”
หลวงปู่สุภาเล่าให้ศิษย์ฟังว่า พระอรหันต์จริง ๆ จะไม่กล่าวพาดพิงถึงการสำแดงปาฏิหาริย์หรือปรากฏการณ์มหัศจรรย์ แต่จะพูดเลี่ยงไปมา ด้วยพระอรหันต์นั้น หากแม้แสดงตัวหรืออะไรก็ตามที่ให้บุคคลที่สองรู้ว่าตนเป็นอรหันต์ ต้องปาราชิก ฐานอวดอุตริมนุสธรรม แม้จะมีภูมิธรรมก็ตามที หลวงปู่สุภาจึงได้ตอบไปว่า
“กระผมมาตามนิมิตที่ได้จากชีปะขาว จึงเดินทางมาจนถึงที่นี่ด้วยต้องการจะเล่าเรียนทางด้านวิปัสสนากรรมฐานที่ สูงขึ้นกว่าที่ได้เรียนมา หากท่านมีเมตตาแล้ว ก็ช่วยสอนให้กับกระผมด้วยเถิด”

พระรูปนั้นจึงกล่าวว่า ไม่ยากหรอก แต่ต้องเริ่มกันที่ การกำจัดสิ่งปฏิกูลออกจากตัวท่านก่อน อย่าลืมว่าท่านฉันภัตตาหารที่มีเนื้อสัตว์ปะปนอยู่ สิ่งเหล่านั้นปะปนอยู่ในตัวท่านมากมาย ต้องนอนลงบนใบตอง ทำจิตให้มั่นคง และต่อไปเราจะสวดเพื่อขัยไล่สิ่งที่เป็นคาวออกจากตัวท่านให้หมด เมื่อน้ำคาวออกหมดแล้วจึงจะสวมจีวรได้อีกครั้ง ระหว่างที่สวด จะต้องสวมแต่สบงเท่านั้น จีวรและอังสะต้องแยกออกไป ชำระล้างตัวแล้วจึงไปเรียนชีปะขาวหรือฤๅษีที่ไปนิมิตบอกท่านนั่นแหละ เรียนกับเขาด้านสมถะและด้านญาณโลกียะ ซึ่งสามารถแสดงฤทธิ์อภิญญา แต่นั่นไม่ใช่ทางหลุดพ้น แต่จะสามารถแสดงฤทธิ์ขึ้นไปข้างบนที่เห็นอยู่ได้ เพื่อพบพวกเรา พวกเราอยู่กันบนนั้น มีอายุวัฒนะด้วยอิทธิบาท ๔ ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทางสำแดงว่า จะสามารถดำรงขันธ์อยู่ได้นานตามที่ต้องการ เราจะอยู่จนพระศรีอาริยเมตตรัยลงมาตรัสรู้ และได้ฟังธรรมะจากท่านแล้วจึงจะละสังขารไปสู่นิพพานอันเป็นบรมสุข แต่ เอ๊ะ...
“คุณยังมีภาระอยู่นี่ ยังทำอะไรไม่ได้หรอก ต้องกลับไปทำให้สำเร็จก่อนจะมาศึกษาเล่าเรียนได้ มันเป็นห่วงที่คอยขัดขวางการเล่าเรียนของคุณ กลับไปทำให้เรียบร้อยก่อน”

หลวงปู่สุภาจึงบอกกับพระภิกษุรูปนั้นว่า สะพานผมสร้างสำเร็จแล้ว ศาลาการเปรียญก็สำเร็จแล้ว ผมยังมีอะไรเป็นห่วงอีก พระภิกษุรูปนั้นจึงบอกว่า
“สำเร็จแล้ว แต่คุณยังค้างชาวบ้านเขา ก็คุณบอกว่า จะทำการฉลองไง แล้วคุณไม่กลับไปฉลอง ก็เท่ากับคุณไม่ทำตามปากพูด เป็นมุสาวาท คุณกลับไปทำให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยกลับมาใหม่ก็แล้วกัน”พอสิ้นคำพูดนั้น ร่างของภิกษุรูปนั้นก็เลื่อนขึ้นสู่เบื้องบนเหมือนตอนที่ลงมาไม่มีผิด ท่านจึงต้องเดินทางย้อนกลับมาทางเดิม มาทำพิธีฉลองสะพานและสิ่งก่อสร้างในวัดเกาะสีคิ้ว ครั้นเตรียมตัวกลับไปใหม่ก็ไม่อาจทำได้ เพราะมีพระมหาสมาน อยู่คณะ ๕ วัดหงส์รัตนาราม นิมนต์ให้ไปช่วยเป็นประธานปฏิสังขรณ์หมู่กุฏิและเสนาสนะในคณะ ๕ กว่าจะเสร็จกินเวลานาน และชีปะขาวก็มิได้มานิมิตอีกเลย เป็นอันว่าท่านไม่ได้กลับไปถ้ำจุงจิงอีกเลย ท่านเล่ามาถึงตอนนี้ก็บอกกับศิษย์ว่าจำไว้เลยว่า ทุกอย่างจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จอยู่ที่วาสนาบารมีแต่ละคน สำหรับท่าน ไม่มีวาสนาบารมีจะได้เล่าเรียนกับพระอาจารย์ที่ถ้ำจุงจิงเป็นแน่ จึงได้กลับไป”






76



"พระบัวเข็ม" ลักษณะสำคัญนั้น เป็นพระที่แกะขึ้นจากกิ่งไม้พระศรีมหาโพธิ์ ลงรักปิดทองเป็นรูปพระเถระนั่งก้มหน้ามีใบบัวคลุมศีรษะ และมีเข็มหมุดปักอยู่ตามตัวหลายแห่ง นั่งอยู่บนฐานดอกบัวหงาย ดอกบัวคว่ำรองรับ เมื่อหงายใต้ฐานดูจะพบลายลักษณ์ปั้นทรงนูนต่ำรูปดอกบัวใบบัวและรูปปลา

ที่เรียกว่า "พระบัวเข็ม" คือ รูปพระอุปคุตเถระเรื่องราวของพระบัวเข็มไม่ค่อยปรากฏเป็นที่ทราบกันโดยทั่ว ไปในเมืองไทย เหมือนพระพุทธรูปองค์อื่นๆ เพราะพระบัวเข็มเข้ามาแพร่หลายในประเทศไทยเมื่อปลายสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งนี้ เพราะเหตุที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะทรงผนวช ทรงสนิทสนมกับพระภิกษุชาวมอญมาก โดยทรงศึกษาประวัติพระพุทธศาสนา และพระธรรมวินัย จากพระภิกษุชาวมอญทรงแตกฉานในพระธรรมวินัยทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก และด้วยการที่ทรงติดต่อคุ้นเคยกับพระภิกษุชาวมอญมาโดยตลอด



เมื่อพระภิกษุชาวมอญเข้าเฝ้าที่วัดบวรนิเวศฯ ครั้งใด ก็มักนำพระบัวเข็มเข้ามาถวายอยู่เนืองๆ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบประวัติความเป็นมาของพระบัวเข็ม มากกว่าบุคคลใดในสมัยนั้น จนถึงทรงยอมรับพระบัวเข็มเข้าในพระราชพิธีพิรุณศาสตร์ (พิธีขอฝน) พระบัวเข็มนี้ถือกันว่าเป็นพระที่มีความศักดิ์สิทธิ์ อภินิหาร ในทางชนะศัตรูหมู่มาร และในทางบังเกิดความอุดมสมบูรณ์ ลาภสักการะ ความร่ำรวยอย่างยิ่งแก่ผู้เคารพบูชาซึ่งรูปลักษณะการปฏิบัติบูชาก็แปลกแตก ต่างจากพระอื่น





การสร้างรูปเคารพของพระบัวเข็มนั้นมี รูปลักษณะที่แตกต่างกันอยู่มากตามแต่ผู้สร้างจะคิดประดิษฐ์รูปลักษณะตาม ประวัติแล้ว จัดสร้างขึ้นในอากัปกิริยาตามอิทธิปาฏิหาริย์ของพระอุปคุตเหลือที่จะพรรณนา ได้ เช่นเดียวกับการสร้างพระพุทธรูปปางต่างๆ ทั่วไปเหมือนกัน เท่าที่สังเกตพระบัวเข็มในประเทศไทย แบ่งออกได้ 2 แบบ คือแบบมอญแบบหนึ่ง และแบบพม่าแบบหนึ่ง พระบัวเข็มทั้งสองแบบนี้คงอาศัยรูปแบบของพระบัวเข็มในอินเดียเป็นหลักสำคัญ แต่มาแก้ไขเปลี่ยนแปลงขึ้นตามความนิยมในประเทศมอญและพม่า

"พระบัวเข็ม" เป็นหนึ่งในห้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวพม่าที่ชาวพุทธนิยมเดินทางไปกราบไหว้ ขอพร ประดิษฐานอยู่ที่วัดผ่องดออู บริเวณริมทะเลสาบอินเล ประเทศพม่า ชาวพุทธไทยไปกราบไหว้ขอพรแล้วประสบความสำเร็จ จึงขออนุญาตทางวัดนี้ เพื่อสร้างองค์พระบัวเข็มจำลองมาประดิษฐานที่เมืองไทย

ตามความเชื่อของชาวพม่า การสร้างพระบัวเข็มจำลอง จะต้องทำจากต้นโพธิ์ที่มีอายุ 100 ปี ขึ้นไป ซึ่งยืนต้นแห้งเองไปตามธรรมชาติ เมื่อสร้างเสร็จจะนำพระบัวเข็ม ประดิษฐานบนเรือการะเวก ซึ่งมีรูปร่างเหมือนนกการะเวก ล่องเรือไปกลางทะเลสาบอินเล โดยเลือกวันพระขึ้น 15 ค่ำ ประกอบพิธีบวงสรวงเทพยดา พุทธาภิเษก ซึ่งมีทั้งพระสงฆ์พม่าและพระสงฆ์ไทย เจริญพระพุทธมนต์ และเจริญจิตตภาวนา

ไพศาล คุนผลิน และญาติธรรม พร้อมผู้บริหาร บริษัทไทยพัฒนาประกันภัย จำกัด เดินทางไปประเทศพม่า มีจิตศรัทธาสร้าง "พระบัวเข็ม ชนะมาร บันดาลโชค" พร้อมประกอบพิธีพุทธาภิเษก แล้วนำมาถวายวัดเทวราชกุญชร กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2552 ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 โดย พระเทพคุณาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร พร้อมด้วยคณะสงฆ์ ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา พุทธาภิเษกใหญ่อีกครั้ง และนำพระบัวเข็มประดิษฐานถาวรไว้ที่มณฑปจัตุรมุข วัดเทวราชกุญชร ให้สาธุชนได้สักการบูชา เพื่อความสิริมงคล มีชัยชนะศัตรูหมู่มาร และบังเกิดความอุดมสมบูรณ์ร่ำรวยด้วยลาภสักการะสืบไป

ที่มา ข่าวสดออนไลน์ ขอขอบคุณครับ  :015:

77


วัดโกรกกราก ต.โกรกกราก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เป็นหนึ่งในวัดเก่าแก่ที่มีทั้งพระพุทธรูปชื่อดัง และพระเกจิอาจารย์ทรงวิทยาคม โดยพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ก็คือ "หลวงพ่อปู่" ซึ่งประดิษฐานเป็นมิ่งขวัญของชาวลุ่มน้ำมหาชัยและใกล้เคียงมาอย่างยาวนาน ซึ่งมีเอกลักษณ์เด่นเป็นที่กล่าวขวัญด้วยการสวมแว่นตาดำ ส่วนพระเกจิอาจารย์ชื่อดังก็คือ พระครูธรรมสาคร หรือหลวงปู่กรับ ญาณวัฑฒโน อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 5 และอดีตเจ้าคณะตำบลมหาชัย เขต 2 พระสงฆ์ทรงวิทยาอาคม เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวมหาชัยในยุคสมัยหนึ่ง

ท่านมีนามเดิมว่า "กรับ" นามสกุล "เจริญสุข" เกิดเมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2436 ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 2 ปีมะเส็ง จุลศักราช 1255 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่บ้านบางปิ้ง ต.นาดี อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เป็นบุตรนายไข่ นางลอย ไข่ม่วง มีพี่น้องต่างมารดา 2 คน ร่วมมารดาเดียวกัน 11 คน

เมื่ออายุครบบวชได้บรรพชาอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดราษฎร์รังสรรค์ ต.คอกกระบือ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ตรงกับวันที่ 12 มี.ค. 2456 โดยมี พระครูสมุทรคุณากร วัดตึกมหาชยาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการโต วัดโกรกกราก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการชิด วัดราษฎร์รังสรรค์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "ญาณวัฑฒโน"




ครั้นอุปสมบทแล้วได้จำพรรษาศึกษาเล่า เรียนพระธรรมวินัยอยู่ที่วัดราษฎร์รังสรรค์ จนมีความรู้ความสามารถพอที่จะรักษาตัวได้ จึงย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดโกรกกราก จนกระทั่งในปี พ.ศ.2463 จึงได้รับการแต่งตั้งจากทางคณะสงฆ์ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโกรกกราก

เมื่อดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสแล้ว ท่านได้ริเริ่มพัฒนาวัดให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง และในปี พ.ศ.2485 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลมหาชัย เขต 2 ต่อมาในปี พ.ศ.2513 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูชั้นเอกในราชทินนาม "พระครูธรรมสาคร"

หลวงปู่กรับ เป็นพระที่ทรงวิทยาคมสูง จนมีผู้กล่าวขวัญกันว่า "ถ้ามีเหรียญหลวงปู่กรับแขวนคอแล้ว จะแคล้วคลาดจากภยันอันตรายทั้งปวง ถึงจะตกระกำลำบากอยู่ที่ใด ก็จะได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย" ท่านประกอบคุณงามความดีและประพฤติพรตพรหมจรรย์มั่นคงตลอดมา ตั้งแต่ได้รับบรรพชาอุปสมบท จนถึงกาลอวสานแห่งชีวิต เมื่อวันเสาร์ที่ 7 ก.ย. พ.ศ 2517 สิริอายุ 81 ปี

ทางวัดได้หล่อรูปเหมือนของท่านไว้ให้ลูกศิษย์ และผู้เลื่อมใสศรัทธาได้กราบไหว้สักการะ โดยมีผู้นำแผ่นทองมาปิดองค์ท่านจนเหลืองอร่าม และนำแว่นตามาถวายท่านเช่นเดียวกับหลวงพ่อปู่ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องตา มีความเชื่อว่าจะช่วยให้ดีขึ้นด้วยบารมีของท่านทั้งสอง

สำหรับวัตถุมงคลที่สร้างขึ้นในสมัยหลวงปู่กรับ อาทิ เหรียญหลวงพ่อปู่ พิมพ์เสมา รุ่นแรกปี 2502 เนื้อเงินและทองแดงกะไหล่ทอง, เหรียญรูปไข่หลวงปู่กรับ รุ่นแรก ปี 2510 เหรียญหลวงปู่กรับพิมพ์อาร์ม และพิมพ์เสมา หันข้างปี พ.ศ. 2515 นอกจากนี้ ยังมีพระสมเด็จรุ่นวัวชน ปี 2505 พระสมเด็จ ปี 2515 ซึ่งพระเครื่องของท่านมีบรรจุอยู่ในรายการประกวดพระเครื่อง พระบูชา เหรียญคณาจารย์

ในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้ ถ้ามีโอกาสก็อย่าพลาดไปกราบสักการะบนบานขอความเป็นสิริมงคลจากหลวงพ่อปู่ และหลวงปู่กรับสักครั้ง สิ่งที่มุ่งหวังอาจจะสมปรารถนา รวมทั้งร่วมบุญสร้างฌาปนสถานหลังใหม่ การเดินทางไปมาสะดวกสบาย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากพระครูวิสุทธิ์สิทธิคุณ (พระมหาสัมฤทธิ์ วิสุทฺธสีโล) เจ้าอาวาสรูปปัจุบัน พระสงฆ์นักพัฒนาที่ทำให้วัดโกรกกรากจนเจริญรุดหน้า


ที่มา ข่าวสดออนไลน์ ขอขอบคุณครับ  :002:  :001: 


78


คณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชน ถึงวาระกาลสูญเสียอีกครั้ง เมื่อ "สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์" เจ้าอาวาสวัดสุวรรณารามราชวรวิหาร ได้ละสังขารอย่างสงบ ด้วยวัยวุฒิ 103 ปี พรรษา 82 เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2553

ก่อนหน้านี้สุขภาพของท่านเจ้าประคุณสมเด็จไม่แข็งแรงนัก อีกทั้งมีโรคเบาหวานเป็นโรคประจำตัว ประกอบกับวัยที่ชราภาพ ทำให้ท่านต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเป็นประจำ จนเมื่อ 2 ปีก่อน คณะสงฆ์วัดสุวรรณารามได้นำเข้ารับการรักษาและพักฟื้นอาการอาพาธที่โรงพยาบาล สงฆ์ โดยจัดให้มีเจ้าหน้าที่พยาบาลและพระอุปัฏฐากคอยดูแลท่านอย่างใกล้ชิด

กระทั่งเมื่อเวลาประมาณ 24.00 น. คืนวันที่ 26 ม.ค. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เกิดอาการแน่นหน้าอกและหายใจไม่สะดวก โดยอาการทรงและทรุดมาตลอด จนสุดความสามารถเยียวยาของคณะแพทย์ สร้างความเศร้าสลดอาลัยเป็นอย่างยิ่ง

"สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์" (พุฒ สุวัฑฒโน) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสุวรรณาราม ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 2 และกรรมการมหาเถรสมาคม

ท่านเป็นพระเถระที่มีวัยวุฒิสูงที่สุดในบรรดาคณะกรรมการมหาเถรสมาคม



อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า พุฒ สุวัฒนกุล เกิดเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2450 ที่บ้านมะขามเรียง ต.จำปา อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายเพชร และนางคำ สุวรรณฉาย

ในช่วงวัยเยาว์ได้มีโอกาสเรียนหนังสือไทย และหนังสือขอมกับหลวงอาน้อย วัดธรรมเสนา อ.บ้านหมอ และเรียนที่วัดตะลุง จนครูใหญ่บอกว่าเรียนจบภาษาไทยและเลข ก่อนมาเรียนหนังสือขอมกับหลวงพ่อเพชร ซึ่งบวชเป็นพระอยู่ที่วัดสะพานช้าง

ครั้นถึงพ.ศ.2467 จึงเข้าพิธีบรรพชา มีหลวงพ่อเพชร วัดตะลุง เป็นพระอุปัชฌาย์ ณ พัทธสีมาวัดตะลุง ต.งิ้วราย อ.เมือง จ.ลพบุรี และเริ่มเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรมด้วย โดยหลวงพ่อเพชรได้นำท่านไปฝากไว้ที่คณะ 4 วัดสุทัศนเทพวราราม

พ.ศ.2469 สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ตามลำดับ ที่สำนักเรียนวัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพฯ

กระทั่งอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงเข้าพิธีอุปสมบท เมื่อปี พ.ศ.2471 ณ วัดบัวงาม อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีพระญาณไตรโลก (ฉาย) วัดพนัญเชิงวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์บัตร วัดสะตือ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการอุ่น วัดหนองแห้ว เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ได้นามฉายา "สุวัฑฒโน" แปลว่าผู้มีความเจริญ

หลังอุปสมบทท่านได้กลับมาอยู่ที่วัดสุทัศน์ มุ่งมั่นศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลี พ.ศ.2479 สามารถสอบได้เปรียญธรรม 7 ประโยค

ท่านเจ้าประคุณได้สร้างคุณูปการแด่คณะสงฆ์อย่างมากมาย อาทิ ก่อตั้งสหภูมิอยุธยาขึ้นเมื่อปี 2496 ขณะดำรงสมณศักดิ์ที่พระพุทธญาณมุนี เพื่อสงเคราะห์พระภิกษุสามเณรที่มาศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรมบาลี สามัญศึกษา และอุดมศึกษา ที่กรุงเทพมหานคร พระภิกษุ-สามเณรซึ่งเป็นชาวอยุธยาทุกวัดที่มาสมัครเป็นสมาชิกไม่เสียค่าใช้ จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

ท่านดำรงตำแหน่งองค์ประธานการรวมตัวกันของสหภูมิอยุธยา ถือเป็นแบบอย่างที่ดีในการสร้างสรรค์และช่วยเหลือพระภิกษุ-สามเณรที่ขาดแคลน ทุนการศึกษา และเป็นการให้คำปรึกษาสนับสนุนระดมทุนสร้างเสถียรภาพให้พระพุทธศาสนา

อีกทั้งยังเป็นประธานการประชุมสัมมนาพระสังฆาธิการทั่วภูมิภาคทั่วประเทศ ครั้งที่ 1 นอกเหนือจากการประชุมแล้วท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ยังได้น้อมนำธรรมะเข้ามาใช้ด้วยเสมอ ทั้งนี้ ยังฝาก ทำยังไงจึงจะชอบ ก็ขอให้ไปดูคำสั่งครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้า ยึดหลักความไม่ประมาทไว้ให้ดี ยังประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวมให้ถึงพร้อม ย่อรวมมาจากสาม ละเว้นบาป ทั้งปวง ทำความดีให้ถึงพร้อม และทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส ซึ่งย่อมาจากพระสูตร 21,000 พระธรรมขันธ์ พระวินัย 21,000 และพระอภิธรรม 42,000 รวมเป็น 84,000 พระธรรมขันธ์

ตลอดชีวิตของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ได้ทุ่มเทเวลาให้กับการศึกษามาโดยตลอด

นอกจากนี้ ท่านยังเป็นผู้ที่มีความรู้แตกฉานในการแสดงธรรมเทศนา การบรรยายธรรมและในการสอน กล่าวได้ว่าท่านเป็นพระธรรมกถึกเอกองค์หนึ่งของประเทศไทย

ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์ วันที่ 10 กรกฎาคม 2502 ย้ายมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสุวรรณาราม พ.ศ.2503 ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ประเภทวิสามัญ

พ.ศ.2504 เป็นผู้ช่วยแม่กองธรรมสนามหลวง และเป็นผู้อำนวยการตรวจธรรมหลวงชั้นโททั่วประเทศ พ.ศ.2508 เป็นเจ้าคณะอำเภอบางกอกน้อย

พ.ศ.2512 ได้เป็นรองเจ้าคณะภาค 2 มีเขตปกครอง 3 จังหวัด คือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง และสระบุรี

ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2493 ได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่พระพุทธิญาณมุนี พ.ศ.2502 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่พระราชพุทธิญาณ

พ.ศ.2509 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่พระเทพญาณสุธี พ.ศ.2515 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่พระธรรมราชานุวัตร

พ.ศ.2521 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นหิรัญบัฏ ที่พระอุบาลีคุณูปมาจารย์

พ.ศ.2539 ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะชั้นสุพรรณบัฏ ที่สมเด็จพระพุทธโฆษจารย์

ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ผู้เป็นแบบอย่างแห่งพระแท้ ตั้งมั่นในความเป็นพุทธบุตร มุ่งฝึกฝนอบรมตน รับภารธุระงานพระศาสนาด้วยวิริยะ จากภาระหน้าที่ในด้านต่างๆ ของสังฆมณฑล อย่างเรียบร้อยเป็นแบบแผน

เมตตาธรรมของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ที่แผ่ความชุ่มเย็นสู่ใจผู้มีโอกาสได้พบ ได้รับกระแสแห่งพระธรรม ที่สั่งสอนให้พุทธศาสนิกชนเกิดความรู้ ความซาบซึ้ง และน้อมนำไปคิดและปฏิบัติตามอย่างมีสติและปัญญา

อย่างไรก็ตาม ด้วยอายุขัยที่ล่วงเลยเข้าสู่วัยชราภาพ บ่อยครั้งทำให้ท่านอ่อนแรง สุขภาพไม่แข็งแรงดังเดิม กระทั่งเกิดล้มป่วยอาพาธเป็นประจำ ต้องเข้าออกโรงพยาบาลหลายครั้ง

ท้ายที่สุดสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ได้มรณภาพอย่างสงบ

ทันทีที่คณะ สงฆ์และคณะศิษยานุศิษย์ของสมเด็จฯ ทราบข่าว ต่างมารอกราบศพและสรงน้ำศพท่าน

ทั้งนี้ วัดสุวรรณารามได้ตั้งศพบำเพ็ญกุศล ณ ศาลากาญจนาภิเษก ประกอบพิธีพระราชทานสรงน้ำศพและประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลในพระบรมราชานุเคราะห์ โดยพิธีดังกล่าวได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ เป็นเวลา 7 วัน พร้อมด้วยเครื่องประดับยศชั้นสมเด็จพระราชาคณะ และโกศไม้สิบสองพระราชทานเป็นพิเศษ

เพื่อแสดงความอาลัยต่อการจากไปของเจ้าประคุณสมเด็จฯ




ที่มา ข่าวสดออนไลน์ ขอขอบคุณครับ  :089:

79


วัดศาลพันท้ายนรสิงห์

ตั้งอยู่ที่ตำบลพันท้ายนรสิงห์ อำเภอเมือง สมุทรสาคร ห่างจากตัวเมืองประมาณ 7 กม. จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2532 มีเนื้อที่ทั้งหมด15 ไร่ โดยประมาณ ภายในวัดมีอุโบสถพระราชพรหมยาน และพระยืนที่งดงาม มีรูปหล่อเกจิอาจารย์ชื่อดังหลายรูป อาทิเช่น หลวงพ่อปาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นต้น





บริเวณโดยรอบของวัดศาลพันท้ายนรสิงห์ล้อมรอบไปด้วยคูคลอง วังกุ้ง วังปลา และยังเป็นแหล่งธรรมชาติที่มีนกแวะเวียนมาแต่ละฤดู และยังเป็นแหล่งอนุรักษ์ธรรมชาติอยู่ เส้นทางเข้าสู่วัดพันท้ายนรสิงห์ จากทางหลวงจังหวัด (ถนนเอกชัย) เข้าถนนสายวัดสหกรณ์-ศาลพันท้ายนรสิงห์หมายเลข 3423 ระยะทาง 15 กิโลเมตร ซึ่งทางเข้าออกวัดศาลพันท้ายนรสิงห์ เข้าออกได้ทางเดียวคือ เข้า-ออก ทางเดียวกับศาลพันท้ายนรสิงห์ และวัดศาลพันท้ายนรสิงห์ จะมีพื้นที่ติดกับพื้นที่ของศาลพันท้ายนรสิงห์




ส่วนของวัด กับส่วนที่เป็นศาลของพันท้ายนรสิงห์อยู่แยกกัน ห่างกันไม่มาก โดยจะถึงที่ศาลก่อนถึงวัด แต่เมื่อไปถึงแล้วก็ควรจะไปกราบพระเพื่อความเป็นศิริมงคลกันก่อนนะ..

จากนั้นก็จะพาไปที่ศาลพันท้ายฯ กันต่อ





ภาพศาลใหม่ที่สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว




รูปปั้นของพันท้ายนรสิงห์ที่ตั้งอยู่ภายในศาลหลังใหม่





เมื่อออกจากศาลหลังใหม่ได้เพียงไม่กี่ก้าวก็จะพบ ป้ายนี้..เลือกเอาว่าจะไปทางไหน??.











พันท้ายนรสิงห์ มีนามเดิมว่า สิงห์ แต่ก่อนท่านก็เป็นนักมวยที่เก่งมาก และก็เคยขึ้นชกกับพระเจ้าเสือมาแล้ว แต่ว่าเสมอกัน พระเจ้าเสือรู้สึกประทับใจจึงให้เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก แล้วเลื่อนขึ้นมาเป็นราชองครักษ์

พันท้ายนรสิงห์ เป็นนายท้ายเรือพระที่นั่งเอกไชยอยู่ในรัชสมัยสมเด็จพระสรรเพชญ์ ที่ ๘ (พระเจ้าเสือ) ได้รับ ยกย่องว่าเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริต จงรักภักดี และรักษาระเบียบวินัยยิ่งชีวิต

เรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์ปรากฏ อยู่ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับต่างๆ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ใน พ.ศ.๒๒๔๖ - ๒๒๕๒ สมเด็จพระสรรเพชญ์ ที่๘ ประพาสปากน้ำสาครบุรี (ปัจจุบันคือจังหวัดสมุทรสาคร) เพื่อทรงเบ็ด ด้วยเรือพระที่นั่งเอกไชย มีพันท้ายนรสิงห์เป็นนายท้าย พันท้ายนรสิงห์เป็นชาวบ้านนรสิงห์ แขวงเมืองอ่างทอง การเสด็จประพาสปากน้ำสาครบุรีในครั้งนี้ เมื่อเรือพระที่นั่งไปถึงตำบลโคกขามคลองบริเวณดังกล่าว มีความคดเคี้ยวมาก พันท้ายนรสิงห์พยายามคัดท้ายเรือพระที่นั่งอย่างระมัดระวัง แต่ไม่อาจหลบเลี่ยงอุบัติเหตุได้ หัวเรือพระที่นั่งชนกิ่งไม้ใหญ่หักตกลงไปในน้ำ

พันท้ายนรสิงห์รู้โทษดีว่า ความผิดครั้งนี้ถึงประหารชีวิต ตามโบราณราชประเพณี ซึ่งกำหนดว่าถ้าผู้ใดถือท้ายเรือพระที่นั่งให้หัวเรือพระที่นั่งหัก ผู้นั้นถึงมรณะโทษให้ตัดศีรษะเสีย จึงกราบทูลพระกรุณาน้อมรับโทษตามพระราชประเพณี สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๘ ทรงพิจารณาเห็นว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นการสุดวิสัยมิใช่ความประมาท จึงพระราชทานอภัยโทษให้ แต่พันท้ายนรสิงห์กราบบังคมยืนยันขอให้ตัดศีรษะตน เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมในพระราชกำหนดกฎหมาย เป็นการป้องกันมิให้ผู้ใดครหาติเตียนพระเจ้าอยู่หัวได้ว่าทรงละเลยพระราช กำหนดของแผ่นดิน และเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป พระองค์ทรงโปรดให้ฝีพายทั้งปวง ปั้นมูลดินเป็นรูปพันท้ายนรสิงห์ แล้วให้ตัดศีรษะรูปดินนั้นเพื่อเป็นการทดแทนกัน แต่พันท้ายนรสิงห์ยังบังคมกราบทูลยืนยันขอให้ประหารตน

แม้สมเด็จพระสรรเพชญ์ ที่ ๘ จะทรงอาลัยรักน้ำใจพันท้ายนรสิงห์เพียงใดก็ทรงจำพระทัยปฎิบัติตามพระราช กำหนด ดำรัสสั่งให้เพชฌฆาตประหารพันท้ายนรสิงห์ แล้วโปรดให้ตั้งศาลสูงประมาณเพียงตา นำศีรษะพันท้ายนรสิงห์กับหัวเรือพระที่นั่งเอกไชยซึ่งหักนั้น ขึ้นพลีกรรมไว้ด้วยกันบนศาล แล้วทรงพระราชดำริว่าคลองโคกขามคดเคี้ยวนักไม่สะดวกต่อการเดินเรือ บางครั้งชาวเมืองต้องเดินเรืออ้อมเป็นที่ลำบากยิ่ง สมควรจะขุดลัดตัดตรง เมื่อขุดเสร็จจึงได้รับพระราชทานนามว่า "คลองสนามไชย" ต่อมาเปลี่ยนเป็น "คลองมหาชัย" ทั้งนี้เพื่อเป็นการรำลึกถึงพันท้ายนรสิงห์ข้าหลวงเดิม ซึ่งเป็นคนซื่อสัตย์ มั่นคง ยอมเสียสละชีวิตโดยไม่ยอมเสียพระราชประเพณี กรมศิลปากรได้ดำเนินการจัดสร้างศาลพันท้ายนรสิงห์ขึ้น อยู่ถัดจากศาลเก่าที่พังลงไม่มากนัก โดยกันอาณาบริเวณรอบ ๆ ศาลไว้



เนื่องจากศาลเดิมที่อยู่ริมน้ำได้พังลงแม่น้ำไป ชาวบ้านจึงช่วยกันสร้างศาลหลังใหม่ (อีกหลัง) ขึ้นแทนศาลเดิมที่บริเวณริมแม่น้ำ



หลักประหาร (ใหม่)



ไม้ท่อนนี้อยู่ใกล้ ๆ กับหลักประหาร ซึ่งไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเป็นท่อนไม้ของหลักประหารเดิมหรือเปล่านะ.




ศาลเพียงตาหลังใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นแทนของเดิม แต่มองยังไง ๆ ก็ยังคงความขลัง.










บรรยากาศร่มรื่น และเงียบสงบมาก ๆ












สังเกตุได้ว่าสีแป้งขาวตลอดทั้งลำแบบนี้..รับรองความ แม่น




กราบดวงจิตท่านผู้เต็มไปด้วยคุณธรรมความดีงาม
แสดงออก "ความกตัญญู" ประจักษ์เป็นเยี่ยงอย่างมิคลายตราบปัจจุบัน

ลูกหลานบริวารสืบโคตรตระกูลชูเกียรติ ร่มเย็นเป็นสุขสืบสกุล สาธุการ  :054: :054:





เห็นว่าน่าสนใจมากๆ เลยนำมาฝากกันครับ

ขอบคุณที่มาจากเว็บพลังจิต  ทั้งรูปภาพและข้อมูลครับ





80


กลายเป็นข่าวที่โด่งดังไปทั่วทั้ง ประเทศ อันเนื่องมาจากงานฌาปนกิจศพ "พระครูกมลวรการ" หรือ "หลวงปู่เงื่อม อังสุกาโร" พระเกจิอาจารย์ชื่อดัง อดีตเจ้าอาวาสวัดกมลศรี ต.กะลาเส อ.สิเกา จ.ตรัง ซึ่งได้มรณภาพ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2552

แต่ปรากฏว่า ได้มีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นท่ามกลางคณะสงฆ์ ศิษยานุศิษย์ และประชาชน ที่กำลังร่วมงานจำนวนนับพันๆ คน

ทั้งนี้ ขณะที่กำลังจุดเพลิงศพ เมื่อเวลา 19.19 น. ของคืนวันที่ 4 สิงหาคม 2552 ณ เมรุพิเศษวัดกมลศรี โดยได้มีการราดน้ำมันเบนซินใส่ลงไปในโลงศพไว้จนเต็มแล้ว แต่ทันทีที่สิ้นเสียงระเบิดของลูกหนู ก็เกิดไฟขึ้นลุกท่วมเหนือโลงศพ จากนั้น ได้ลุกไหม้เป็นเวลานาน 10 นาที ก็ดับลง

ปรากฏว่า สังขารร่างกายของหลวงปู่เงื่อม มิได้ถูกไฟไหม้เลยแม้แต่นิดเดียว นอกจากผ้าขาวใช้คลุมร่างของท่านที่ถูกไหม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

อัต โนประวัติ หลวงปู่เงื่อม เกิดเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ หรือตรงกับวันที่ 8 พฤษภา คม 2470 ณ บ้านเลขที่ 37 หมู่ที่ 2 บ้านคลองใส ต.เขาไม้แก้ว อ.สิเกา จ.ตรัง โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายฤทธิ์และนางหม้ง สรรพจักร มีพี่น้องร่วมบิดา-มารดา 3 คน

ในช่วงวัยเยาว์หลังจากจบ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ได้ลาออกมาช่วยทางครอบครัวทำสวนยางพารา และได้แต่งงานอยู่กินกับนางพร้อม แสงวิสุทธิ์ จนมีบุตรด้วยกัน 4 คน

กระทั่ง เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2500 ขณะที่อายุได้ 31 ปี ท่านได้ตัดสินใจอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดไม้ฝาด ต.ไม้ฝาด อ.สิเกา จ.ตรัง มีพระครูสุตกิจวิจารณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายา อังสุกาโร

หลังอุปสมบท ท่านได้มุ่งมั่นในการศึกษาพระปริยัติธรรม และได้ส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา มีทั้งการสั่งสอนพระภิกษุ-สามเณร ให้ตั้งใจเรียนพระธรรมวินัย และอยู่ในสัมมาปฏิบัติตลอดมา อบรมสั่งสอนคุณภาพจริยธรรมให้กับนักเรียน และเยาวชน อบรมธรรมะและสั่งสอนศาสนพิธีให้กับพุทธศาสนิกชน ตลอดจนปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างของสมณเพศที่ดี ไม่บกพร่อง และไม่มีมลทิน

พร้อม กันนี้ หลวงปู่เงื่อม ยังได้ก่อสร้างศาสนสถาน-อาคารต่างๆ ภายในวัดกมลศรี เช่น กุฏิ เป็นที่พักของพระภิกษุ-สามเณร สร้างศาลาการเปรียญ เพื่อใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรม และศาสนกิจของพุทธศาสนิกชน รวมทั้งสร้างเมรุ ห้องน้ำ ห้อง ส้วม อาคารโรงครัว และศาลาที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพ รวมทั้งการก่อสร้างเจดีย์สำหรับบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

ขณะเดียว กัน ท่านยังให้การสงเคราะห์พระภิกษุ-สามเณร ได้ศึกษาพระธรรมวินัย ช่วยเหลือและอนุเคราะห์ชาวบ้านที่ยากไร้ สนับ สนุนทุนการศึกษาให้กับนักเรียนโรงเรียนกมลศรี ทุกปี ปีละ 4,000-5,000 บาท และยังเป็นพระอุปถัมภ์นักเรียนกำพร้าบิดา-มารดา 2 คน คนละ 2,000 บาทต่อปี ที่โรงเรียนกมลศรี กับโรงเรียนบ้านพรุเตย

ลำดับสมณศักดิ์ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2543 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ในราชทินนามว่า พระครูกมลวรการ

ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์ วันที่ 12 ตุลาคม 2523 ได้รับการแต่ง ตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดกมลศรี จนมรณภาพ

หลวงปู่เงื่ อม เป็นพระเถระที่มากด้วยเมตตา ชอบสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนทั่วไป รักความสะอาด ชอบความเป็นระเบียบ มีกตัญญูกตเวทิตาธรรมสูง ขณะเดียวกัน ท่านยังเป็นผู้รู้จักเหตุผล รู้จักประมาณตน และมีหลักมนุษยสัมพันธ์ดี

นอกจากจะเป็นพระเกจิ อาจารย์ชื่อดังแล้ว ท่านยังเป็นพระนักพัฒนาที่สร้างคุณูปการแก่ชุมชนสังคมและสร้างความเจริญให้ กับวัดและชุมชนมากมาย ซึ่งท่านได้สร้างและบูรณปฏิสังขรณ์ ศาสนสถานต่างๆ ภายในวัดมากมาย จนเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ

ในช่วงบั้นปลายชีวิต หลวงปู่เงื่อม ย่างเข้าสู่วัยชรา สังขารร่วงโรยไปเป็นธรรมดา และในที่สุดก็ล้มป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับตับ ผู้ใกล้ชิดได้พาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลหลายแห่ง

กระทั่งอาการ ทรุดหนักลงจนยากแก่การเยียวยา ลูกหลานและบรรดาคณะศิษย์ได้พาท่านกลับวัดกมลศรี และท่านได้มรณภาพด้วยอาการสงบในที่สุด สิริอายุ 82 ปี พรรษา 51

แม้ ว่าหลวงปู่เงื่อม จะละสังขารลาโลกไปแล้วก็ตาม แต่คุณงามความดีที่ได้ประกอบศาสนกิจมาตลอดชีวิต

จะเป็นเครื่อง ยึดเหนี่ยวให้พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนได้จดจำอย่างมิลืมเลือน


ที่มา ข่าวสดออนไลน์  คอลัมน์ อริยะโลกที่ 6 โดย เมธี เมืองแก้ว ขอขอบคุณครับ  :089:

81



วัด สว่างอารมณ์ เดิมประชาชนนิยมเรียก "วัดล่าง" สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่เลขที่ 40 หมู่ที่ 9 ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทร ปราการ มีเนื้อที่ 56 ไร่ 1 งาน 42 ตารางวา ปัจจุบันจัดส่วนให้ตั้งโรงเรียนวัดสว่างอารมณ์ เนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 80 ตารางวา และให้ชาวบ้าน ได้ปลูกเรือนอาศัย จำนวน 71 หลังคาเรือน เนื้อที่รวม 9 ไร่ 2 งาน 99 ตารางวา

วัดแห่งนี้สร้างขึ้นตรงบริเวณสุดปากอ่าวแม่ น้ำบางเหี้ย ในสมัยที่หลวงปู่ปาน (พระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ) อดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดังวัดบางเหี้ยนอก (วัดมงคลโคธาวาส) เจ้าตำรับเครื่องรางของขลังเสือมหาอำนาจ ในขณะนั้นท่านพอใจมาปักกลดบริเวณนี้เป็นประจำ ด้วยเห็นว่าอยู่ทะเล อากาศดี เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม ชาวบ้านโดยการนำของ นายเขียว นายนาค จึงติดตามหลวงปู่ปาน นำความประสงค์สร้างวัดขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้ารัชกาลที่ 5 และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 25 มกราคม รัตนโกสินทร์ศก 128 (พ.ศ.2452)

โดยมีเจ้า อาวาสดำรงตำแหน่งดังนี้ 1.พระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ (หลวงปู่ปาน) เจ้าอาวาสและท่านได้ก่อตั้งและสร้างอุโบสถ มรณภาพเมื่อปี 2453 2.ปี 2454 - 2460 ไม่ปรากฏนามเจ้าอาวาส 3.ปี 2460 - 2474 พระอธิการเหรียญ ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส 4.ปี 2475 - 2500 หลวงก๋งเลี้ยง โสรโย ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส 5.ปี 2500 - 2520 พระครูปลัดสมจิตร เปมิโย ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส 6.ปี 2521 - 2533 พระปลัด สุพจน์ คเวสโก ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส 7.ปี 2534 พระครูสถิตวราภรณ์ หรือ หลวงพ่อดำรง ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส จนถึงปัจจุบัน



"หลวง พ่อดำรง" เจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์ กล่าวว่า วัดสว่างอารมณ์ (ปากคลองบางเหี้ย) เป็นวัดที่ พระครูพิพัฒนิโรธกิจ หรือ หลวงพ่อปาน ได้รับตราพระราช ลัญจกรจากองค์สมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดสร้างขึ้นที่ชายฝั่งทะเลตรงบริเวณปากแม่น้ำบางเหี้ย เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2452 บัดนี้เวลาล่วงเลยมาร้อยกว่าปี วัดได้สร้างอุโบสถหลังใหม่และได้ขุดพบเสือหินแกะโบราณ ซึ่งมีความเชื่อกันว่าน่าจะเป็นเสือต้นแบบของหลวงพ่อปาน

"เพื่อเป็น การเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระมหา กรุณาธิคุณอย่างอเนกอนันต์ต่อวัด และรำลึกนึกถึงคุณงามความดีของหลวงพ่อปานที่ท่านได้ก่อตั้งวัดแห่งนี้ ทางวัดจึงจัดสร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และเสือองค์ใหญ่ขนาดฐานกว้าง 100 นิ้ว ประดิษฐานวัดภายในวัด เสือเป็นเอกลักษณ์เครื่องรางของขลังอันโด่งดังของหลวงพ่อปาน"








เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 ม.ค. วัดสว่างอารมณ์ได้จัดพิธีเททองหล่อพระบรมรูป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และเสือองค์ใหญ่ขนาดฐานกว้าง 100 นิ้ว โดยมี พระเทพภาวนาวิกรม (เจ้าคุณธงชัย) วัดไตรมิตรเป็นประธานในพิธี พระครูสถิตวราภรณ์ หรือ หลวงพ่อดำรง เจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์ เป็นประธานดำเนินงาน โดยมีเจ้าอาวาส 19 วัด ในเขตพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ พระคณาจารย์ พระเกจิอาจารย์กว่าร้อยรูปร่วมอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคล สำหรับบรรยากาศในพิธีเป็นไปอย่างคึกคัก ซึ่งมีพุทธศาสนิกชนและประชาชนทั่วไปจำนวนมากร่วมงานจนแน่นวัด

นายชัช วาลย์ นาไพศาล หนึ่งในผู้เข้าร่วมพิธี กล่าวว่า เมื่อรู้ข่าวตนได้เดินทางมาวัดตั้งแต่เช้า เพื่อที่จะได้ไปเข้าร่วมพิธีกรรมเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ ขณะพราหมณ์ประกอบพิธีบวงสรวง จากแสงแดดที่ร้อนจ้าได้มีสายลมพัดโชยมา เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทวดาฟ้าดินรับรู้ มีพระบางรูปที่ร่วมในพิธีบอกว่า เหมือนดวงวิญญาณของหลวงพ่อปานมาร่วมในพิธีด้วย เมื่อมองไปบนท้องฟ้าผู้ร่วมพิธีต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เห็นก้อนเมฆที่ลอยอยู่คล้ายเสือกำลังอ้าปากและแสงอาทิตย์สาดออกจากปากเป็น เวลานานหลายนาที หลังเสร็จพิธี หลวงพ่อดำรง เจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์ได้ให้ความเมตตาแจกเสือเนื้อผงฟรีแก่ผู้ที่มาร่วม พิธีทุกคนด้วย


ที่มา ข่าวสดรายวัน วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 7001 ขอขอบคุณครับ





82



"วัดปากอ่าว" เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่งในเขต อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี ตั้งอยู่บริเวณฝั่งตะวันออกของแม่น้ำบางตะบูน จึงเรียกว่าวัดปากอ่าว

ส่วน ตำบลแห่งนี้ที่ชื่อว่าบางตะบูน ด้วยอยู่บริเวณป่าชายเลน ใกล้บริเวณปากอ่าว มีต้นตะบูนจำนวนมาก

วัดแห่งนี้เดิมชาวบ้านเรียกว่า "วัดนอก" คู่กับวัดปากลัด (ฝั่งตำบลบางตะบูน) ซึ่งเรียกว่า "วัดใน" มีหลักฐานการรับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2452 ซึ่งอยู่ในปลายรัชสมัยที่ 5

เจ้าอาวาสรูปแรก ชื่อ พระครูญาณสาคร (แฉ่ง สำเภาเงิน) เป็นพระที่มีความรู้ในการอ่าน เขียนภาษาไทยและภาษาขอมได้ดี

ชีวประวัติของหลวงพ่อแฉ่ง ได้อุปสมบทที่วัดปากลัด เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2442 มีพระอธิการคล้ำ วัดปากคลอง เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการทรัพย์ วัดเขาตะเครา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอธิการวัด วัดปากลัด เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "ศีลปัญโญ"

หลวงพ่อแฉ่งได้ชักชวนชาวบ้านบางตะบูนให้ ร่วมกันสร้างวัดขึ้นใหม่ ที่ริมฝั่งชายทะเลด้านทิศตะวันออกของอ่าวบางตะบูน ซึ่งเป็นบริเวณป่าชายเลนที่มีน้ำท่วมถึง จนกลายเป็นวัดใหญ่ถาวร ใช้เวลาในการปรับปรุงถมที่ดินและก่อสร้างสิ่งต่างๆ เช่น อุโบสถ กุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ เป็นเวลานาน 5 ปี จึงแล้วเสร็จ ขนานนามว่า "วัดปากอ่าวบางตะบูน" และเป็นสถานที่ท่านจำพรรษา ตราบจนวาระสุดท้าย เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2506 สิริอายุได้ 86 พรรษา 64

ด้วยคุณงาม ความดีของหลวงพ่อแฉ่ง ทำให้เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้านในเมืองเพชรบุรี ดังนั้น พระครูสิริวัชรสาคร (บุญส่ง อตตทีโป) เจ้าอาวาสวัดปากอ่าวรูปปัจจุบัน ได้จัดสร้าง "เหรียญหลวงพ่อแฉ่ง รุ่นสร้างวิหาร" เพื่อให้ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาหลวงพ่อแฉ่ง ได้สักการบูชาติดตัวเป็นสิริมงคล

เหรียญหลวงพ่อแฉ่ง รุ่นสร้างวิหาร เป็นเหรียญรูปไข่ ไม่มีหูห่วง จำนวนการจัดสร้างไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน แต่มีจำนวนไม่มาก จัดสร้างเป็นเนื้อเงิน เนื้อนวโลหะ เนื้อทองแดงรมดำ และเนื้อทองแดง

ด้าน หน้าเหรียญ เป็นรูปหลวงพ่อแฉ่งครึ่งองค์ ด้านบนเขียนเป็นชื่อ "พระครูญาณสาคร(แฉ่ง สำเภาเงิน)" ด้านล่างใต้รูปเหมือน เขียนคำว่า "วัดปากอ่าวบางตะบูน" ด้านหลังเหรียญ เป็นยันต์เมตตา แคล้วคลาด ใต้ยันต์เขียนคำว่า "รุ่นสร้างวิหาร พ.ศ.๒๕๔๘"

เหรียญรุ่นดังกล่าว ประกอบพิธีพุทธาภิเษกใหญ่ นิมนต์พระเกจิอาจารย์ทั้งสายใต้และสายเหนือ เข้าร่วมพิธีจำนวนมาก โดยเฉพาะพระเกจิอาจารย์ในจังหวัดเพชรบุรี อาทิ หลวงพ่อตัด วัดชายนา, หลวงพ่ออุ้น วัดตาลกง เป็นต้น

หลังจากเสร็จ พิธี คณะศิษย์ได้มาจับจองเช่าบูชาไปเกินกว่าครึ่ง ทำให้เหรียญรุ่นนี้เหลืออยู่ไม่มากนัก รายได้ทั้งหมดทางวัดนำไปจัดสร้างวิหารหลวงพ่อแฉ่ง

ครั้งหนึ่ง มีชาวบ้านที่เป็นชาวประมงเรือใหญ่ ออกหาปลานอกน่านน้ำไทย ถูกโจรพม่าจับกุมและถูกยิง แต่ปืนยิงไม่ออก ชาวประมงคนนั้นรอดชีวิตมาได้ เพราะได้อมเหรียญหลวงพ่อแฉ่งไว้ในปาก จนเป็นที่กล่าวขานถึงความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน

ถือเป็นเหรียญพระ ใหม่อีกเหรียญที่มาแรง



ขอบคุณที่มาจาก ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ เปิดตลับพระใหม่


83



คนเราเลือกเกิดไม่ได้ หากเลือกเกิดได้ ทุกคนอยากเกิดกับครอบครัวที่อบอุ่นฐานะดี มีอาหารดี ๆ กิน มีโรงเรียนดี ๆ เรียน แต่เมื่อเกิดมาในครอบครัวที่ลำบากแล้ว จำเป็นต้องสู้ชีวิตจนถึงที่สุด เพราะชีวิตต้องดำเนินต่อไป และพยายามทิ้งอดีตไว้เบื้องหลัง ก้าวเดินไปข้างหน้าเพื่อแสวงหาอนาคตที่ดีกว่า บางคนประสบความสำเร็จในชีวิตมาก มายบางคนล้มเหลวตกเป็นทาสของขบวนการค้ามนุษย์เข้าสู่วงจรค้ายาเสพติด ขบวนการโสเภณีขายตัว เลวร้ายสุด ๆ ถูกฆ่าเอาชีวิตทั้งที่เจ้าตัวไม่เคยคิดจะมอบชีวิตให้ใคร

สำหรับปัญหาเด็กเร่ร่อนในปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสาเหตุของโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมไทยเปลี่ยนไป รวมทั้งเกิดจากความไม่เป็นธรรมในสังคม การกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม การขยายตัวตามเมืองใหญ่ ประชาชนละทิ้งถิ่นฐานเข้ามาหางานทำในเมือง ปัญหาแรงงานต่างด้าวหอบลูกจูงหลานลักลอบเข้ามาหางานทำ ปัญหาการแตกแยกในครอบครัว และปัญหาความยากจนของประชาชนในพื้นที่ ทั้งหมดนำมาสู่ปัญหาเด็กเร่ร่อน เด็กกำพร้า กลายเป็นปัญหาสังคมที่ต้องแก้อย่างไม่มีวันหมด

ปัจจุบันปัญหาเด็กเร่ร่อน เด็กกำพร้า และเด็กถูกทอดทิ้งกำลังกลายเป็นปัญหาของประเทศเข้าสู่เมืองใหญ่อย่างจังหวัด เชียงใหม่หลีกหนีไม่พ้น ตามแหล่งชุมชน ถนนหลายสายของแหล่งบันเทิง ไม่เว้นแม้แต่ตามสี่แยกไฟแดงหลายแห่งมักพบเห็นกลุ่มเด็กเร่ร่อน ออกมาขายดอกไม้ และพวงมาลัยอยู่เสมอ จนกลายเป็นภาพที่ชินตาเสียแล้วสำหรับผู้พบเห็น ซึ่งที่ผ่านมาหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชนได้พยายามแก้ไขปัญหา แต่ดูเหมือน ว่ายังไม่สามารถแก้ไขเด็กเร่ร่อนเด็กกำพร้าเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในทางกลับกันปัญหาที่เกิดขึ้นยังดูเหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ปัจจุบันมีหลายองค์กรในจังหวัดเชียงใหม่ที่ตั้งขึ้นเพื่อดูแลและรับเลี้ยงดู เด็กเหล่านี้ไม่เว้นแม้กระทั่งวัดซึ่งเป็นศาสนสถานศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้าน ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือด้วย ที่วัดดอนจั่น ต.ท่าศาลา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ได้รับอุปการะเลี้ยงดูเด็กเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

พระอธิการอานันท์ อานันโท เจ้าอาวาสวัดดอนจั่น หรือ “พ่อพระ” เปิดเผยว่า ทางวัดเล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าว จึงจัดตั้งโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กด้อยโอกาส เด็กกำพร้า และเด็กยากจนขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้อุปการะเด็กกำพร้า เร่ร่อน เด็กที่พ่อแม่ติดคุก เสียชีวิต ติดยาเสพติด และครอบครัวมีฐานะยากจน ไม่สามารถส่งเสียให้เด็กเรียนหนังสือได้ ปัจจุบันทางวัดดอนจั่น รับเด็กอุปการะในโครงการ จำนวน 650 คน ด้วยกัน

พระอธิการอานันท์ กล่าวอีกว่า ทางวัดได้ทำโครงการนี้มานาน 25 ปีแล้ว โดยไม่ใช้งบประมาณของทางราชการแม้แต่บาทเดียวโดยโครงการดังกล่าวได้รับเด็ก ที่มีปัญหาในเขตจังหวัดภาคเหนือ เข้ามากินนอนและเรียนหนังสืออยู่ในวัด ซึ่งทางวัดมีที่พัก อาหาร ชุดนักเรียน รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ให้ทุกคนและส่งให้เรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดดอน จั่นนี้เลย โดยโรงเรียนเปิดสอนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงระดับการศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) เด็กที่นี่มีทั้งชาวไทยภูเขา เด็กพื้นราบ แยกเป็นชาย 210 คน และเด็กผู้หญิง 440 คน เด็กทั้งหมดเกิดจากปัญหาทางสังคมทั้งสิ้น มีทั้งกำพร้า ยากจน เร่ร่อน รวมทั้งติดเชื้อเอชไอวี โดยทางวัดทำโครงการนี้ด้วยใจ เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ด้อยโอกาสเหล่านี้ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีการศึกษา เมื่อจบออกไปแล้วสามารถทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง ไม่เป็นปัญหาสังคม ที่จบไปหลายรุ่นกลับบ้านไปแล้วส่วนใหญ่เป็น อบต. เป็นผู้นำหมู่บ้าน ก็มี ซึ่งทางวัดดีใจที่เด็กเหล่านี้ได้ดี กลับไปช่วยเหลือท้องถิ่นของตนเอง

“อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นการทำโครงการนี้ทางวัดร่วมกับคณะศรัทธารวมทั้งผู้ เกี่ยวข้องทำกันเอง ไม่ได้งบประมาณจากรัฐบาลแม้แต่บาทเดียว ที่ผ่านมาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร มีผู้อุปถัมภ์จำนวนมากยื่นมือเข้ามาช่วยด้านงบประมาณ โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าทั้งหมดตกเดือนละประมาณ 5 หมื่นบาท ค่าก๊าซหุงต้มเดือนละ 1 หมื่นบาท ส่วนค่าใช้จ่ายของเด็กทั้งหมด ตกวันละ 100 บาทต่อคน ซึ่ง ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเราสามารถยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้ไม่มีปัญหา และต้องขอขอบคุณผู้มีอุปการคุณที่สนับสนุนโครงการของวัดมาโดยตลอด เราต้องสร้างคนควบคู่ไปกับการสร้างชาตินอกจากบทเรียนทางวิชาการที่สั่งสอน เด็กเหล่านี้เพื่อให้เติบโตออกไปสู่สังคมภายนอก” พระอธิการอานันท์ กล่าว

นอกจากนี้ทางวัดยังปรับการเรียนการสอนสายธรรมะสอดแทรกเข้าไปในหลักสูตรด้วย ทุกวันนี้นักเรียนทุกคนจะถูกปลูกฝังให้มีความอดทน ทำแต่ความดีเลือกทำในสิ่งที่ดีที่สุด และสอนว่า คนทำดีย่อมได้ดี หลักธรรมะเบื้องต้นเหล่านี้ถูกสอดแทรกให้เด็กอยู่เสมอ

แน่นอนปัญหาที่เกิดขึ้นย่อมมีทางแก้ไขหากทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างจริงจังและ จริงใจ นี่เป็นอีกบทบาทหนึ่งของพระในบ้านเราที่เล็งเห็นความสำคัญของเด็กซึ่งเป็น อนาคตของชาติ และได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือภาครัฐอีกแรง แต่ปัจจุบันเงินทุนที่มีอยู่ย่อมหมดลงเรื่อย ๆ จึงต้องขอแรงผู้ใจบุญ สนับสนุนในเรื่องนี้ได้ที่ วัดดอนจั่น ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์เชียงใหม่-ลำปาง หมู่ 4 ต.ท่าศาลา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ หมายเลขโทรศัพท์ 0-5324-0184.




ที่มาเดลินิวส์ออนไลน์

84
ธรรมะ / นักบุญ
« เมื่อ: 27 ม.ค. 2553, 04:43:52 »


การทำบุญก็ดี การทำสิ่งใดก็ดี
ถ้าเป็นการทำตนให้ละทิฏฐิมานะ ทำเพื่อให้จิตเบิกบาน
ย่อมเสวยบุญนั้นในปรภพ มนุษย์ทุกวันนี้ทำแบบมีกิเลส
ดังนั้น บางคนนึกว่าเข้าสร้างโบสถ์เป็นหลังๆ
แล้วเขาจะไปสวรรค์หรือเปล่า
เขาตายไปอาจจะต้องตกนรก
เพราะอะไรเล่า เพราะถ้าเขาสร้างด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์
เป็นการทำเพื่อเอาบุญบังหน้าในการเสวยความสุขส่วนตัวก็มี
บางคนอาจเรียกได้ว่า หน้าเนื้อใจเสือ
คือ ข้างหน้าเป็นนักบุญ ข้างหลังเป็นนักปล้น


คัดลอกจาก...
หนังสือ เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน
เล่มของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)



การทำบุญนั้นไม่มีเงินเราก็สามารถทำได้   มีน้อยทำน้อย ทำด้วยจิตเป็นกุศล ก็ได้บุญมหาศาลแล้วครับ อย่างน้อย ตัวเราก็มีความสุขครับ

85



ฌาน แล สมาธิ มีลักษณะและคุณวิเศษผิดแปลกกันโดยย่ออย่างนี้ คือ

ฌาน ไม่ว่าหยาบและละเอียด จิตเข้าถึงภวังค์แล้วเพ่งหรือยินดีอยู่แต่เฉพาะความสุขเลิศอันเกิดจากเอ กัคคตารมณ์อย่างเดียว สติสัมปชัญญะหายไป ถึงมีอยู่บ้างก็ไม่สามารถจะทำองค์ปัญญาให้พิจารณาเห็นชัดในอริยสัจธรรมได้ เป็นแต่สักว่ามี ฉะนั้น กิเลสทั้งหลายมีนิวรณ์ ๕ เป็นต้น จึงยังละไม่ได้ เป็นแต่สงบอยู่

ส่วน สมาธิ ไม่ว่าหยาบแลละเอียด เมื่อเข้าถึงสมาธิแล้ว มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ตามชั้นแลฐานะของตน เพ่งพิจารณาธรรมทั้งหลายอยู่ มีกายเป็นต้น ค้นคว้าหาเหตุผลเฉพาะในตน จนเห็นชัดตระหนักแน่วแน่ตามเป็นจริงว่า สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี เป็นต้น ตามชั้นตามภูมิของตนๆ ฉะนั้น

สมาธิจึงสามารถละกิเลส มีสักกายทิฏฐิเสียได้ สมาธินี้ถ้าสติอ่อน ไม่สามารถรักษาฐานะของตนไว้ได้ ย่อมพลัดเข้าไปสู่ภวังค์เป็นฌานไป ฌานถ้ามีสติสัมปชัญญะแก่กล้าขึ้นเมื่อไร ย่อมกลายเป็นสมาธิได้เมื่อนั้น ในพระวิสุทธิมรรคท่านแสดงสมาธิเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับฌาน เช่นว่า สมาธิกอปรด้วยวิตก วิจาร ปีติ เป็นต้น ดังนี้ก็มี บางทีท่านแสดงสมาธิเป็นเหตุของฌาน เช่นว่าสมาธิเป็นเหตุให้ได้ฌานชั้นสูงขึ้นไป ดังนี้ก็มี บางทีท่านแสดงสมาธิเป็นฌานเลย เช่นว่าสมาธิเป็นกามาพจร รูปาพจร อรูปาพจร ดังนี้ก็มี แต่ข้าพเจ้าแสดงมานี้ก็มิได้ผิดออกจากนั้น เป็นแต่ว่าแยกแยะสมถะฌาน สมาธิ ออกให้รู้จักหน้าตามันในขณะที่มันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าเท่านั้น สำหรับผู้ฝึกหัดเป็นไปแล้วจะไม่งง ที่ท่านแสดงไว้แล้วนั้นเป็นการยืดยาว ยากที่ผู้มีความทรงจำน้อยจะเอามากำหนดรู้ได้

นิมิต เมื่ออธิบายมาถึง ฌาน สมาธิ ภวังค์ ดังนี้แล้ว จำเป็นจะลืมเสียไม่ได้ซึ่งรสชาติอันอร่อย (คือ นิมิต) ซึ่งเกิดขึ้นในระยะของสิ่งเหล่านั้น ผู้เจริญพระกรรมฐานย่อมปรารถนาเป็นอย่างยิ่งแทบทุกคนก็ว่าได้ ความจริงนิมิตมิใช่ของจริงทีเดียวทั้งหมด นิมิตเป็นแต่นโยบายให้พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงก็มี ถ้าพิจารณานิมิตนั้นไม่ถูกก็เลยเขวไปก็มี ถ้าพิจารณาถูกก็ดีมีปัญญาเกิดขึ้น นิมิตที่เป็นของจริงคือนิมิตเป็นหมอดูไม่ต้องใช้วิพากษ์วิจารณ์อย่างนี้ก็มี นิมิตนั้นเมื่อจะเกิดก็เกิดเอง เป็นของแต่งเอาไม่ได้ เมื่อจะเกิด เกิดจากเหตุ ๒ ประการ คือเกิดจากฌาน ๑ สมาธิ ๑ เมื่ออบรมและรักษาธรรม ๒ ประการนี้ไว้ไม่ให้เสื่อมแล้ว นิมิตทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นเองอุปมาดังต้นไม้ที่มีดอกและผล ปรนปรือปฏิบัติรักษาต้นมันไว้ให้ดีเถิด อย่ามัวขอแต่ดอกผลของมันเลย เมื่อต้นของมันแก่แล้ว มีวันหนึ่งข้างหน้าไม่ช้าคงได้รับดอกแลผลเป็นแน่นอน ดีกว่าจะไปมัวขอผลแลดอกเท่านั้น

นิมิต ที่เกิดจากฌานนั้น เมื่อจิตตกเข้าถึงฌานเมื่อไรแล้ว นิมิตทั้งหลายมีอสุภเป็นต้น ย่อมเกิดขึ้นในลำดับดังได้อธิบายมาแล้วในข้างต้นว่า จิตเมื่อเข้าจะเข้าถึงฌานได้ย่อมเป็นภวังค์เสียก่อน ภวังค์นี้เป็นเครื่องวัดของฌานโดยแท้ ถ้าเกิดขึ้นในลำดับของภวังคบาต เกิดแวบขึ้นครู่หนึ่งแล้วนิมิตนั้นก็หายไปพร้อมทั้งภวังค์ด้วย ถ้าเป็นภวังคจลนะ พอเกิดขึ้นแล้วภวังค์นั้นก็เร่ร่อนเพลินไปตามนิมิตที่น่าเพลิดเพลินนั้นโดย สำคัญว่าเป็นจริง ถ้านิมิตเป็นสิ่งที่น่ากลัว กลัวจนตัวสั่น เสียขวัญ บางทีก็รู้อยู่ว่านั่นเป็นนิมิตมิใช่ของจริง แต่ไม่ยอมทิ้งเพราะภวังค์ยังไม่เสื่อม ภวังคจลนะนี้เป็นที่ตั้งของวิปัสสนูปกิเลสทั้ง ๑๐ มีโอภาโส แสงสว่างเป็นต้น ถ้าไม่เข้าถึงภวังค์ มีสติสัมปชัญญะแก่กล้าเป็นที่ตั้งของปัญญาได้เป็นอย่างดี มีวิปัสสนาปัญญาเกิดขึ้นในที่นี้เอง นิมิตนั้นเลยกลายเป็นอุปจารสมาธินิมิตไป ส่วนภวังคุปัจเฉทะไม่มีนิมิตเป็นเครื่องปรากฏ ถ้ามีก็ต้องถอยออกมาตั้งอยู่ในภวังคจลนะเสียก่อน ตกลงว่านิมิตมีที่ภวังคจลนะอยู่นั่นเอง

นิมิตที่เกิดในสมาธิ เมื่อเกิดขึ้นในภูมิของขณิกสมาธิ วับแวบขึ้นครู่หนึ่งแล้วก็หายไป อุปมาเหมือนกันกับบุคคลผู้เป็นลมสันนิบาตมีแสงวูบวาบเกิดขึ้นในตา หาทันได้จำว่าเป็นอะไรต่ออะไรไม่ ถึงจะจำได้ก็อนุมานตามทีหลังคล้ายๆ กับภวังคบาตเหมือนกัน ถ้าเกิดในอุปจารสมาธินั้น นิมิตชัดเจนแจ่มแจ้งดี เป็นที่ตั้งขององค์วิปัสสนาปัญญา เช่นเมื่อพิจารณาขันธ์ ๕ อยู่ พอจิตตกลงเข้าถึงอุปจารสมาธิแล้ว หรือเข้าถึงอัปปนาสมาธิแล้วถอนออกมาอยู่ในอุปจารสมาธิ นิมิตปรากฏชัดเป็นตามจริงด้วยความชัดด้วยญาณทัสสนะในที่นั้น

เช่น เห็นรูปขันธ์เป็นเหมือนกับต่อมน้ำ ตั้งขึ้นแล้วก็ดับไป เห็นเวทนาเป็นเหมือนกับฟองแห่งน้ำ เป็นก้อนวิ่งเข้ามากระทบฝั่งแล้วก็สลายเป็นน้ำตามเดิม เห็นสัญญาเป็นเหมือนพยับแดด ดูไกลๆ คล้ายกับเป็นตัวจริง เมื่อเข้าไปถึงที่อยู่ของมันจริงๆ แล้ว พยับแดดนั้นก็หายไป เห็นสังขารเหมือนกับต้นกล้วยซึ่งหาแก่นสารในลำต้นสักนิดเดียวย่อมไม่มี เห็นวิญญาณเปรียบเหมือนมายาผู้หลอกให้จิตหลงเชื่อ แล้วตัวเจ้าของหายไปหลอกเรื่องอื่นอีก ดังนี้เป็นต้น เป็นพยานขององค์วิปัสสนาปัญญาให้เห็นแจ้งว่า สัตว์ที่มีขันธ์ ๕ ต้องเหมือนกันดังนี้ทั้งนั้น ขันธ์มีสภาวะเป็นอยู่อย่างนี้ทั้งนั้น ขันธ์มิใช่อะไรทั้งหมด เป็นของปรากฏอยู่เฉพาะของเขาเท่านั้น ความถือมั่นอุปาทานย่อมหายไป มิได้มีวิปลาสที่สำคัญว่าขันธ์เป็นตนเป็นตัว เป็นอาทิ


สมาธินี้ท่านจำแนกไว้เป็น ๓ ชั้นคือ

ขณิก สมาธิ สมาธิที่เพ่งพิจารณาพระกรรมฐานอยู่นั้น จิตรวมบ้าง ไม่รวมบ้าง เป็นครู่เป็นขณะ พระกรรมฐานที่เพ่งพิจารณาอยู่นั้นก็ชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง เปรียบเหมือนสายฟ้าแลบในเวลากลางคืนฉะนั้น เรียกว่า ขณิกสมาธิ

อุปจารสมาธิ นั้นจิตค่อยตั้งมั่นเข้าไปหน่อยไม่ยอมปล่อยไปตามอารมณ์จริงจัง แต่ตั้งมั่นก็ไม่ถึงกับแน่วแน่เป็นอารมณ์อันเดียว ถึงเที่ยวไปบ้างก็อยู่ในของเขตของจิต อุปมาเหมือนวอก เจ้าตัวกลับกลอกถูกโซ่ผูกไว้ที่หลัก หรือนกกระทาขังไว้ในกรงฉะนั้น เรียกว่าอุปจารสมาธิ

อัปปนาสมาธิ นั้นจิตตั้งมั่นจนเต็มขีด แม้ขณะจิตนิดหน่อยก็มิได้ปล่อยให้หลงเพลินไปตามอารมณ์ เอกัคคตารมณ์จมดิ่งนิ่งแน่ว ใจใสแจ๋วเฉพาะอันเดียว มิได้เกี่ยวเกาะเสาะแส่หาอัตตาแลอนัตตาอีกต่อไป สติสมาธิภายในนั้น หากพอดีสมสัดส่วน ไม่ต้องระวัง ไม่ต้องตั้งสติรักษา ตัวสติสัมปชัญญะสมาธิ มันหากรักษาตัวมันเอง อัปปนาสมาธินี้ละเอียดมาก เมื่อเข้าถึงที่แล้ว ลมหายใจแทบจะไม่ปรากฏ ขณะมันจะลง ทีแรกคล้ายกับว่าจะเคลิ้มไป แต่ว่าไม่ถึงกับเผลอสติเข้าสู่ภวังค์ ขณะสนธิกันนี้ท่านเรียกว่า โคตรภูจิต ถ้าลงถึงอัปปนาเต็มที่แล้วมีสติรู้อยู่ เรียกว่า อัปปนาสมาธิ ถ้าหาสติมิได้ ใจน้อมลงสู่ภวังค์เข้าถึงความสงบหน้าเดียว หรือมีสติอยู่บ้างแต่เพ่งหรือยินดีชมแต่ความสุขอันเกิดจากความสงบอันละเอียด อยู่เท่านั้น เรียกว่า อัปปนาฌาน

อัปปนาสมาธินี้มีลักษณะคล้ายกับผู้ที่เข้าอัปปนาฌานชำนาญแล้ว ย่อมเข้าหรือออกได้สมประสงค์ จะตั้งอยู่ตรงไหน ช้านานสักเท่าไรก็ได้ ซึ่งเรียกว่าโลกุตรฌาน อันเป็นวิหารธรรมของพระอริยเจ้า อัปปนาสมาธิเมื่อมันจะเข้าทีแรก หากสติไม่พอเผลอตัวเข้า กลายเป็นอัปปนาฌานไปเสีย


สมถะ สมถะเมื่อแยกออกไปแล้ว มี ๒ ประเภทคือ สมถะทำความสงบเฉยๆ ๑ สมถะที่ประกอบด้วยองค์ฌาน ๑

สมถะทำความสงบเฉยๆ นั้น จะกำหนดพระกรรมฐานหรือไม่ก็ตาม แล้วทำจิตให้สงบอยู่เฉยๆ ไม่เข้าถึงองค์ฌาน อย่างนี้เรียกว่า ตัตรมัชฌัตตุเปกขา ย่อมมีแก่ชนทั่วไปในบางกรณี ไม่จำกัดมีได้เฉพาะผู้เจริญพระกรรมฐานเท่านั้น

ส่วนสมถะที่ประกอบไปด้วยองค์ฌานนั้น มีได้แต่เฉพาะผู้เจริญพระกรรมฐานเท่านั้น เมื่อถึงซึ่งความสงบครบด้วยองค์ฌานแล้ว เรียกว่า ฌานุเปกขา ฌานุเปกขานี้ท่านจำแนกไว้เป็น ๒ ประเภท คือฌานุเปกขาที่ปรารภรูปเป็นอารมณ์ เอารูปเป็นนิมิต เรียกว่ารูปฌาน ๑ อรูปฌาน ปรารภนามนามเป็นอารมณ์ เอานามเป็นนิมิต ๑ แต่ละประเภทท่านจำแนกออกไว้เป็นประเภทละ ๔ รวมเรียกว่ารูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ จึงเป็นสมาบัติ ๘

ฌานนี้มีลักษณะอาการให้เพ่งเฉพาะในอารมณ์เดียว จะเป็นรูปหรือนามก็ตาม เพื่อน้อมจิตให้สงบปราศจากกังวลแล้วเข้าถึงเอกัคคตารมณ์ มีความสุขเป็นที่นิยมแลปรารถนา เมื่อสมประสงค์แล้วก็ไม่ต้องใช้ปัญญาวิพากษ์วิจารณ์ในสังขารทั้งหลายมีกาย เป็นต้น ดังแสดงมาแล้วนั้นก็ดี หรือจะพิจารณาใช้แต่พอเป็นวิถีทางเดินเข้าไปเท่านั้น เมื่อถึงองค์ฌานแล้วย่อมมีลักษณะแลรสชาติ สุข เอกัคคตา และเอกัคคตา อุเบกขา เสมอเหมือนกันหมด

ฉะนั้น ฌานนี้จึงเป็นของฝึกหัดได้ง่าย จะในพุทธกาลหรือนอกพุทธกาลก็ตาม ผู้ฝึกหัดฌานนี้ย่อมมีอยู่เสมอ แต่ในพุทธศาสนา ผู้ฝึกหัดฌานได้ช่ำชองแล้ว มีวิปัสสนาปัญญาเป็นเครื่องคุ้มครองฌานอยู่ เนื่องด้วยอุบายของพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเป็นเครื่องส่องสว่างให้ จึงไม่หลงในฌานนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นฌานของท่านเลยเป็นวิหารธรรม เครื่องอยู่ของท่านผู้ขีณาสพ เรียกว่า โลกุตรฌาน ส่วนฌานที่ไม่มีวิปัสสนาปัญญาเป็นเครื่องคุ้มครอง เรียกว่า โลกิยฌาน เสื่อมได้ และเป็นไปเพื่อก่อภพก่อชาติอีก ต่อไปนี้จะได้แสดงฌานเป็นลำดับไป

รูปฌาน ๔ เมื่อผู้มาเพ่งพิจารณาพระกรรมฐานบทใดบทหนึ่งอยู่ มีกายคตาเป็นต้น จนปรากฏพระกรรมฐานนั้นชัดแจ่มแจ้งกว่า อนุมานทิฏฐิ ซึ่งได้กำหนดเพ่งมาแต่เบื้องต้นนั้น ด้วยอำนาจของจิตที่เปลี่ยนจากสภาพเดิม อันระคนด้วยอารมณ์หลายอย่าง และเป็นของหยาบด้วย แล้วเข้าถึงซึ่งความผ่องใสในภายในอยู่เฉพาะอารมณ์อันเดียว เรียกง่ายๆ ว่า ขันธ์ทั้งห้าเข้าไปรวมอยู่ภายในเป็นก้อนเดียวกัน ฉะนั้น ความชัดอันนั้นจึงเป็นของแจ้งชัดกว่าความแจ้งชัดที่เห็นด้วยขันธ์ ๕ ภายนอก พร้อมกันนั้น จิตจะมีอาการวูบวาบรวมลงไป คล้ายกับจะเผลอสติแล้วลืมตัว บางทีก็เผลอสติแล้วลืมตัวเอาจริงๆ แล้วเข้าไปนิ่งเฉยอยู่คนเดียว

ถ้าหากผู้สติดีหมั่นเป็นบ่อยๆ จนชำนาญแล้ว ถึงจะมีลักษณะอาการอย่างนั้นก็ตามรู้ตามเห็นอยู่ทุกระยะ ลักษณะอย่างนี้เรียกว่า "จิตเข้าสู่ภวังค์" เป็นอย่างนั้นอยู่ขณะจิตหนึ่งเท่านั้น แล้วลักษณะอย่างนั้นหายไป ความรู้อยู่หรือจะส่งไปตามอาการต่างๆ ของอารมณ์ก็ตามเรื่อง บางทีจะแสดงภาพให้ปรากฏในที่นั้นด้วยอำนาจของสังขารขันธ์ภายใน ให้ปรากฏเห็นเป็นต่างๆ เช่น มันปรุงอยากจะให้กายนี้เป็นของเน่าเปื่อยปฏิกูล หรือสวยงามประการใดๆ ภาพก็จะปรากฏขึ้นมาในที่นั้นโดยไม่รู้ตัว ดังนี้เป็นต้น แล้วขันธ์ทั้งสี่มีเวทนาขันธ์เป็นอาทิก็เข้ารับทำหน้าที่ตามสมควรแก่ภาวะของ ตนๆ เรียกว่า ปฏิภาคนิมิต บางทีส่งจิตนั้นไปดูสิ่งต่างๆ ที่ตนต้องการแลปรารถนาอยากจะรู้ ก็ได้เห็นตามเป็นจริง บางทีสิ่งเหล่านั้นมาปรากฏขึ้นเฉยๆ ในที่นั้นเอง พร้อมทั้งอรรถแลบาลีก็มีได้ ลักษณะอย่างนี้เรียกว่าใช้ขันธ์ภายในได้

ยังอีก ขันธ์ภายในจะต้องหลอกลวงขันธ์ภายนอก เช่น บางคนซึ่งเป็นคนขี้ขลาดมาแล้วแต่ก่อน พอมาอบรมถึงจิตในขณะนี้เข้าแล้ว ภาพที่ตนเคยกลัวมาแล้วแต่ก่อนๆ นั้น ให้ปรากฏขึ้นในที่นั้นเอง สัญญาที่เคยจำไว้แต่ก่อนๆ ที่ว่าเป็นของน่ากลัวนั้นก็ยิ่งทำให้กลัวมากขึ้นจนขวัญหนีดีฝ่อ ด้วยสำคัญว่าเป็นของจริงจังอย่างนี้เรียกว่าสังขารภายในหลอกสังขารภายนอก เพราะธรรมเหล่านี้เป็นสังขตธรรม ด้วยอำนาจอุปาทานนั้นอาจทำผู้เห็นให้เสียสติไปได้ ผู้ฝึกหัดมาถึงขั้นนี้แล้วควรได้รับคำแนะนำจากท่านผู้รู้ผู้ชำนาญ

เมื่อผ่านพ้นในตอนนี้ไปได้แล้ว จะทำหลังมือให้เป็นฝ่ามือได้ดี เรื่องเหล่านี้ผู้เจริญพระกรรมฐานทั้งหลาย มีความมุ่งหมายเป็นส่วนมาก ผู้ที่ยังไม่เคยเป็น แต่เพียงได้ฟังเท่านั้น ตอนปลายนี้ชักให้กลัวเสียแล้วไม่กล้าจะทำต่อไปอีก ความจริงเรื่องเหล่านี้ผู้เจริญพระกรรมฐานทั้งหลาย เมื่อทำถูกทางเข้าแล้วย่อมได้ประสบทุกคนไป แลเป็นกำลังให้เกิดวิริยะได้อย่างดีอีกด้วย ภวังค์ชนิดนี้เป็นภวังค์ที่นำจิตให้ไปสู่ปฏิสนธิเป็นภพชาติ ไม่อาจสามารถจะพิจารณาวิปัสสนาชำระกิเลสละเอียดได้ ฉะนั้น ท่านจึงจัดเป็นอุปกิเลส

ฌานทั้งหลาย มีปฐมฌานเป็นต้น ท่านแสดงองค์ประกอบไว้เป็นชั้นๆ ดังจะแสดงต่อไปนี้ แต่เมื่อจะย่นย่อใจความเพื่อให้เข้าใจง่ายๆ แล้ว ฌานต้องมีภวังค์เป็นเครื่องหมาย ภวังค์นี้ท่านแสดงไว้มี ๓ คือ ภวังคบาต ๑ ภวังคจลนะ ๑ ภวังคุปัจเฉทะ ๑

ภวังคบาต เมื่อจิตตกลงสู่ภวังค์นั้นมาอาการให้วูบวาบลง ดังแสดงมาแล้วในข้างต้น แต่ว่าเป็นขณะจิตนิดหน่อย บางทีแทบจะจำไม่ได้เลย ถ้าหากผู้เจริญบริกรรมพระกรรมฐานนั้นอยู่ ทำให้ลืมพระกรรมฐานที่เจริญอยู่นั้น แลอารมณ์อื่นๆ ก็ไม่ส่งไปตามขณะจิตหนึ่ง แล้วก็เจริญบริกรรมพระกรรมฐานต่อไปอีกหรือส่งไปตามอารมณ์เดิม

ภวังคจลนะ เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ว่าเมื่อถึงภวังค์แล้ว เที่ยวหรือซ่านอยู่ในอารมณ์ของภวังค์นั้น ไม่ส่งออกไปนอกจากอารมณ์ของภวังค์นั้น ปฏิภาคนิมิตและนิมิตต่างๆ ความรู้ความเห็นทั้งหลายมีแสงสว่างเป็นต้น เกิดในภวังค์นี้ชัดมาก จิตเที่ยวอยู่ในอารมณ์นี้

ภวังคุปัจเฉทะ เมื่อจิตตกลงสู่ภวังค์แล้วขาดจากอารมณ์ภายนอกทั้งหมด แม้แต่อารมณ์ภายในของภวังค์ที่เป็นอยู่นั้น ถ้าเป็นทีแรกหรือยังไม่ชำนาญในภวังค์นั้นแล้วก็จะไม่รู้ตัวเลย เมื่อเป็นบ่อยหรือชำนาญในลักษณะของภวังค์นี้แล้วจะมีอาการให้มีสติรู้อยู่ แต่ขาดจากอารมณ์ใดๆ ทั้งหมด ภวังค์นี้จัดเป็นอัปปนาสมาธิได้ ฉะนั้นอัปปนานี้บางท่านเรียกว่าอัปปนาฌาน บางทีท่านเรียกว่า อัปปนาสมาธิ มีลักษณะผิดแปลกกันนิดหน่อยดังอธิบายมาแล้วนั้น เมื่อถอนออกจากอัปปนาสมาธิแล้ว มาอยู่ในอุปจารสมาธิ ไม่ได้เป็นภวังคจลนะ ในตอนนี้พิจารณาวิปัสสนาได้ ถ้าเป็นภวังคจลนะแล้วมีความรู้แลนิมิตเฉยๆ เรียกว่า อภิญญา ภวังค์ทั้งสามดังแสดงมานี้เป็นเครื่องหมายของฌาน


ความแปลกต่างของฌาน ภวังค์ สมาธิ จะได้แสดงตอนอรูปฌานต่อไป

รูปฌาน มี ๔ คือ ปฐมฌาน ๑ ทุติยฌาน ๑ ตติยฌาน ๑ จตุตฺถฌาน ๑

ปฐมฌาน นั้นประกอบด้วยองค์ ๕ คือ มีวิตก ยกเอาพระกรรมฐานบทใดบทหนึ่งขึ้นมาเพ่งพิจารณาให้เป็นอารมณ์ ๑ วิจารเพ่งคือพิจารณาเฉพาะอยู่แต่พระกรรมฐานนั้นอย่างเดียว ๑ เห็นชัดในพระกรรมฐานนั้นแล้วเกิดปีติ ๑ ปีติเกิดแล้วมีความเบากายโล่งใจเป็นสุข ๑ แล้วจิตนั้นก็แน่วอยู่ในเอกัคคตา ๑ เรียกว่าปฐมฌานมีองค์ ๕

ทุติยฌาน มีองค์ ๓ ด้วยอำนาจเอกัคคตา จิตนั้นยังไม่ถอนกิจ ซึ่งจะยกเอาพระกรรมฐานมาพิจารณาอีกย่อมไม่มี ฉะนั้นฌานชั้นนี้จึงคงยังปรากฏเหลืออยู่แต่ปีติ สุข เอกัคคตาเท่านั้น

ตติยฌาน มีองค์ ๒ ด้วยอำนาจเอกัคคตา จิตติดอยู่ในอารมณ์ของตนมาก เพ่งเอาแต่ความสุขอย่างเดียว จึงยังคงเหลืออยู่เพียง ๒ คือ สุขกับเอกัคคตา

จตุตฺถฌาน มีองค์ ๒ เหมือนกัน คือ เอกัคคตาที่เพ่งเอาแต่ความสุขนั้นเป็นของละเอียด จนสุขนั้นไม่ปรากฏ เพราะสุขนั้นยังเป็นของหยาบกว่าเอกัคคตา จึงวางสุขอันนั้นเสีย แล้วยังคงมีอยู่แต่เอกัคคตากับอุเบกขา

ฌานทั้งสี่นี้ละนิวรณ์ ๕ (คือสงบไป) ได้แล้วตั้งแต่ปฐมฌาน ส่วนฌานนอกนั้นกิจซึ่งจะต้องละอีกย่อมไม่มี ด้วยอำนาจการเพ่งเอาแต่จิตอย่างเดียวเป็นอารมณ์หนึ่ง จึงละองค์ของปฐมฌานทั้งสี่นั้นเป็นลำดับไป แล้วยังเหลืออยู่แต่ตัวฌานตัวเดียว คือ เอกัคคตา ส่วนอุเบกขา เป็นผลของฌานที่ ๔ นั้นเอง แต่ปฐมฌานปรารภพระกรรมฐานภายนอกมาเป็นเหตุจำเป็น จึงต้องมีหน้าที่พิเศษมากกว่าฌานทั้ง ๓ เบื้องปลายนั้น ฌานทั้ง ๔ นี้ปรารภรูปเป็นเหตุ คือ ยกเอารูปพระกรรมฐานขึ้นมาเพ่งพิจารณา แล้วจิตจึงเข้าถึงซึ่งองค์ฌาน ฉะนั้นจึงเรียกว่า รูปฌาน

อรูปฌาน ๔ อรูปฌานนี้ ในพระสูตรต่างๆ โดยส่วนมากท่านไม่ค่อยจะแสดงไว้ เช่น ในโอวาทปาฏิโมกข์ เป็นต้น พระองค์ทรงแสดงแต่รูปฌาน ๔ เท่านั้น ถึงพระองค์ทรงแสดงอานิสงส์ของการเจริญกายคตากรรมฐานไว้ว่ามีอานิสงส์ ๑๐ ข้อ ๑๐ ความว่า ได้ฌานโดยไม่ลำบาก ดังนี้ แต่เมื่อกล่าวถึงวิหารธรรมของท่านผู้ที่เข้าสมาบัติแล้ว ท่านแสดงอรูปฌานไว้ด้วย สมาบัติ ๘ ฌานทั้ง ๘ นี้ บางทีท่านเรียกว่า วิโมกข์ ๘ บ้าง แต่ท่านแสดงลักษณะผิดแปลกออกไปจากฌาน ๘ นี้บ้างเล็กน้อย อรรถรสแลอารมณ์ของวิโมกข์ ๓ เบื้องต้น ก็อันเดียวกันกับรูปฌาน ๓ นั่นเอง เช่น วิโมกข์ข้อที่ ๑ ว่า ผู้มีรูปเป็นอารมณ์แล้วเห็นรูปทั้งหลายดังนี้เป็นต้น แต่รูปฌานแสดงแต่เพียง ๓ รูปฌานที่ ๔ เลยแสดงเป็นรูปวิโมกข์เสีย อรูปวิโมกข์ที่ ๔ เอาสัญญาเวทยิตนิโรธมาเข้าใส่ฌานทั้ง ๘ รวมทั้งสัญญาเวทยิตนิโรธเข้าด้วยเป็น ๙

ฌานทั้งหมดนี้เป็นโลกีย์โดยแท้ แต่เมื่อท่านผู้เข้าฌานเป็นอริยบุคคล ฌานนั้นก็เป็นโลกุตตระไปตาม เปรียบเหมือนกับฉลองพระบาทของพระราชา เมื่อคนสามัญรับมาใช้แล้วก็เรียกว่ารองเท้าธรรมดา ฉะนั้น ข้อนี้จะเห็นได้ชัดทีเดียวดังในเรื่องวิโมกข์ ๘ นี้ พระองค์ทรงแสดงแก่พระอานนท์ว่า อานนท์ ภิกษุจะฆ่าวิโมกข์ ๘ นี้ได้ด้วยอาวุธ ๕ ประการ คือ เข้าวิโมกข์ได้โดยอนุโลมบ้าง ทั้งอนุโลมแลปฏิโลมบ้าง เข้าออกได้ในที่ตนประสงค์ เข้าออกได้ซึ่งวิโมกข์ที่ตนประสงค์ เข้าออกได้นานตามที่ตนประสงค์ จึงจะสำเร็จ เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ ดังนี้

ฉะนั้น ต่อไปนี้จะนำเอาอรูปฌาน ๔ มาแสดงไว้ในที่นี้ด้วย เพื่อผู้ที่สนใจจะได้นำไปวิจารณ์ในโอกาสอันสมควร ผู้ได้รูปฌานที่ ๔ แล้วจิตตกลงเข้าถึงอัปปนาเต็มที่แล้ว ฌานนี้ท่านแสดงว่าเป็นบาทของอภิญญา คือเมื่อต้องการอยากจะรู้จะเห็นอะไรต่ออะไร แล้วน้อมจิตนั้นไปเพื่อความรู้ในสิ่งนั้นๆ (คือถอนจิตออกมาจากอัปปนามาหยุดในอุปจาระ) แล้วสิ่งที่ตนต้องการรู้นั้นก็จะปรากฏชัดขึ้นมาในที่นั้นเอง เมื่อไม่ทำเช่นนั้น จะเดินอรูปฌานต่อ ก็มาเพ่งเอาองค์ของรูปฌานที่ ๔ คือเอกัคคตากับอุเบกขามาเป็นอารมณ์ จนจิตนั้นนิ่งแน่วแน่แล้วไม่มีอะไร ไม่ใส่ใจในเอกัคคตาแลอุเบกขาแล้ว คงยังเหลือแต่ความว่างโล่งเป็นอากาศอยู่เฉยๆ

อรูปฌานที่ ๑ จึงได้ยัดเอามาเป็นอารมณ์ เรียกว่า อากาสานัญจายตนะ

อรูปฌานที่ ๒ ด้วยอำนาจจิตเชื่อน้อมไปในฌานกล้าหาญ ย่อมเห็นอาการของผู้รู้ว่าจิตไปยึดอากาศ อากาศเป็นของภายนอก วิญญาณนี้เป็นผู้ไปยึดถือเอาอากาศมาเป็นอารมณ์ แล้วมาชมว่าเป็นตนเป็นตัว วิญญาณนี้เป็นที่รับเอาอารมณ์มาจากอายตนะภายนอก วิญญาณจึงได้กลับกลอกแลหลอกลวง เวลานี้วิญญาณล่วงพ้นเสียได้แล้วจากอายตนะทั้งหลาย วิญญาณไม่มีอะไรเป็นเครื่องหมาย บริสุทธิ์เต็มที่ แล้วก็ยินดีในวิญญาณนั้น ถือเอาวิญญาณมาเป็นอารมณ์ข่มนิวรณธรรม อยู่ด้วยความบริสุทธิ์อันนั้น ดังนี้ เรียกว่าวิญญาณัญจายตนะ เป็นอรูปฌานที่ ๒

อรูปฌานที่ ๓ วิญญาณเป็นอรูปจิต เมื่อติดอยู่กับวิญญาณแล้ว นิมิตอันเป็นของภายนอกซึ่งจะส่งเข้าไปทางอายตนะทั้ง ๕ มันก็ไม่รับ เพ่งเอาแต่ความละเอียดแลความบริสุทธ์อันเป็นธรรมารมณ์ภายในอย่างเดียว จิตเพ่งผู้รู้ดูผู้ละเอียดก็ยิ่งเห็นแต่ความละเอียด ด้วยความน้อมจิตเข้าไปหาความละเอียดจิตก็ยิ่งละเอียดเข้าไปทุกที เกือบจะไม่มีอะไรเลยก็ว่าได้ ในที่นั้นถือว่าน้อยนิดเดียวก็ไม่มี (คืออารมณ์หยาบไม่มี) เรียกว่า อากิญจัญญายตนะ เป็นอรูปฌานที่ ๓


อรูปฌานที่ ๔ ด้วยอำนาจการเพ่งว่าน้อยหนึ่งในที่นี้ก็ไม่มีดังนี้อยู่ เมื่อจิตน้อมไปในความละเอียดอยู่อย่างนั้น ความสำคัญนั่นนี่อะไรต่ออะไรย่อมไม่มี แต่ว่าผู้ที่น้อมไปหาความละเอียดแลผู้รู้ว่าถึงความละเอียดนั้นยังมีอยู่ เป็นแต่ผู้รู้ไม่คำนึงถึง คำนึงเอาแต่ความละเอียดเป็นอารมณ์ ฉะนั้น ในที่นั้นจะเรียกว่าสัญญาความจำอารมณ์อันหยาบก็ไม่ใช่ เพราะไม่มีเสียแล้ว จะเรียกว่าไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ แต่ความจำว่าเป็นของละเอียดยังมีปรากฏอยู่ ฌานชั้นนี้ท่านจึงเรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นอรูปฌานที่ ๔
เมื่อแสดงมาถึงอรูปฌานที่ ๔ นี้ ท่านผู้อ่านทั้งหลายสมควรจะได้อ่านฌานวิเศษ คือ สัญญาเวทยิตนิโรธต่อไปอีกด้วย เพราะเป็นฌานแถวเดียวกัน แลเป็นที่สุดของฌานทั้งหลายเหล่านี้ คือผู้เข้าอรูปฌานที่ ๔ ชำนาญแล้ว เมื่อท่านจะเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ก็มายึดเอาอรูปฌานที่ ๔ นี้เองมาเป็นอารมณ์ ด้วยการไม่ยึดเอาความหมายอะไรมาเป็นนิมิตอารมณ์เสียก่อนเมื่อจะเข้า ตามนัยของนางธัมมทินนาเถรี ตอบปัญหานางวิสาขอุบาสก ดังนี้ ไม่ได้คิดว่าเราจักเข้า หรือเข้าอยู่ หรือเข้าแล้ว เป็นแต่น้อมจิตไปเพื่อจะเข้า ก็ได้อบรมจิตไว้อย่างนั้นแล้วก่อนแต่จะเข้า เมื่อเข้านั้นวจีสังขารคือความวิตกดับไปก่อน แล้วกายสังขารคือลมหายใจ แลจิตสังขารคือเวทนา จึงดับต่อภายหลัง

ส่วนการออกก็ไม่ได้คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เป็นแต่ได้กำหนดจิตไว้แล้วก่อนแต่จะเข้าเท่านั้น ว่าเราจะเข้าเท่านั้นวันแล้วจะออก เมื่อออกนั้นจิตสังขารเกิดก่อน แล้วกายสังขาร-วจีสังขารจึงเกิดตามๆ กันมา เมื่อออกมาทีแรก ผัสสะ ๓ คือ สุญญตผัสสะ ๑ อนิมิตตผัสสะ ๑ อัปปณิหิตผัสสะ ๑ ถูกต้องแล้ว ต่อนั้นไปจิตนั้นก็น้อมไปในวิเวกดังนี้




คัดลอกจากคู่มือส่องทางสมถวิปัสสนา ขอขอบคุณครับ

86
เรื่อง เล่าว่า.... มีคน ๒ คนเป็นเพื่อนซี้กัน..มากกกกกกกกกกกกกก..
ต่าง ร่วมเดินทางไปในทะเลทรายด้วยกัน...
ระหว่างทาง... เกิดโต้เถียงขัดแย้ง ไม่เข้าใจกัน
เพื่อนคนหนึ่ง ...พลั้งลงมือ...ตบหน้าอีกฝ่าย
คนถูกทำร้าย...

เจ็บ ปวด... แต่ไม่เอ่ยวาจา... กลับเขียนลงบนผืนทรายว่า
"วันนี้ ...ฉันถูกเพื่อนรักตบหน้า"
พวกเขายังคงเดินทางต่อ...

กระทั่ง ถึงแหล่งน้ำ
พวกเขาตัดสินใจอาบน้ำ...ชำระกาย...
พลันคน ที่ถูกตบหน้ากลับจมน้ำ...
เพื่อนอีกคนไม่รั้งรอ...เข้า ช่วยชีวิต
คนรอดตาย...ยังคงไม่เอ่ยวาจา...กลับสลักลง ไปบนหินใหญ่...
"วันนี้...เพื่อนรักช่วยชีวิตฉันไว้"

อีก คนไม่เข้าใจ...ถามว่า...
"เมื่อถูกฉันตบหน้า...เธอ เขียนลงทราย...แล้วทำไมเมื่อครู่...ต้องสลักบนหิน"

อีก คนยิ้มพราย... กล่าวตอบ


    "เมื่อถูก เพื่อนรักทำร้าย...เราควรเขียนมันไว้บนทราย
    ซึ่งสายลมแห่ง การให้อภัย...จะทำหน้าที่พัดผ่าน...ลบล้างไม่เหลือ
    แต่ เมื่อมีสิ่งที่ดีมากมาย... บังเกิด
    เราควรสลักไว้ บนก้อนหินแห่งความทรงจำในหัวใจ...
    ซึ่งจะไม่มีสาย ลมแรงเพียงใด... ลบล้างทำลาย...."






อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆ เลยนำมาฝากกันครับ

ขอบคุณที่มาจาก บุญญสิกขา เว็บพลังจิต ขอขอบคุณครับ 

87








หลวงปู่เพิ่ม วัดป้อมแก้ว อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา พระเกจิอาจารย์ผู้เพียบพร้อมด้วยจริวัตรอันงดงาม และปฏิปทาอันน่าเคารพศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในทางพุทธาคมสูง ได้เมตตาอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้พระมหาวรากร ฐิตญาโณ และคณะศิษย์วัดบรรลือธรรม จัดสร้างเหรียญรูปเหมือนพิมพ์กลม ขนาดเท่ากับเหรียญสตางค์สิบ หรือที่เรียกว่า "เหรียญสตางค์" ขอบสตางค์ เพื่อหาปัจจัยในการก่อสร้างหมู่กุฏิสงฆ์วัดบรรลือธรรม ที่สร้างค้างคาอยู่ให้แล้วเสร็จต่อไป

ในการจัดสร้างเหรียญ สตางค์ครั้งนี้ หลวงปู่เพิ่มได้เมตตาเจิมบล็อกพระ (แม่พิมพ์) เป็นปฐมฤกษ์ พร้อมทั้งปลุกเสกประจุพลังพุทธคุณให้อย่างเต็มที่ พร้อมกับวัตถุมงคล พระขุนแผน พระนางพญา และเสือ ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นแรกของท่านด้วย

 สำหรับเหรียญสตางค์ หลวงปู่เพิ่ม วัดป้อมแก้ว นั้น เซียนพระสายอยุธยา สายนครปฐม และส่วนกลาง รวมทั้งนักนิยมพระใหม่ พระเก่า จากหลายสำนัก ต่างเสาะแสวงหากันอย่างกว้างขวาง เพราะรูปแบบของเหรียญ ช่างแกะแม่พิมพ์ออกแบบเหรียญได้สวยงามมาก เรียบง่ายแต่สูงค่าด้านพุทธศิลป์เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเหรียญที่มีรูปเหมือนหลวงปู่เพิ่มมากที่สุด

 ที่สำคัญ เป็นเหรียญที่มีชื่อสื่อความหมายในทางสิริมงคลเป็นอย่างยิ่ง คือ เหรียญสตางค์ หลวงปู่เพิ่ม = สตางค์เพิ่ม หรือ เพิ่มสตางค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา

 เช่นเดียวกับ เหรียญสตางค์ หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม ที่ได้รับความนิยมสูง จนถึงกับมีการเช่าหากันที่หลักหมื่นปลายๆ ไปจนหลักแสนต้นๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา

 วงการนักสะสมเหรียญพระเกจิอาจารย์ จึงคาดกันว่า ในปีนี้ เหรียญสตางค์ หลวงปู่เพิ่ม วัดป้อมแก้ว น่าจะเป็นเหรียญดังยอดนิยมอีกเหรียญหนึ่ง เนื่องเพราะชื่อของท่านเหมือนกัน อีกทั้งพุทธาคมของหลวงปู่เพิ่ม วัดป้อมแก้ว ก็มีอยู่อย่างสมบูรณ์ในทุกด้านเช่นกัน

เหรียญรุ่นนี้สร้างด้วยเนื้อเงิน เนื้อนวโลหะ และเนื้อทองเหลือง มีทั้งพิมพ์หลังเรียบ และพิมพ์หลังยันต์ ทุกเหรียญตอกโค้ด และมีหมายเลขกำกับ (เนื้อทองเหลืองตอกเฉพาะโค้ด)

 ในส่วนของ พระขุนแผน และ พระนางพญา รุ่นแรก สร้างด้วยเนื้อชานหมาก เนื้อผงรังต่อ  และเนื้อผงธูป บรรจุตะกรุด ๓ ดอก ๒ ดอก ๑ ดอก ทุกองค์กดโค้ดเป็นสำคัญ

 พระขุนแผน และพระนางพญา ทั้ง ๓ เนื้อนี้ ถือเป็นพระเนื้อผงที่เป็นเอกลักษณ์แห่งยอดขุนพล และพระนางพญาเมืองกรุงเก่า สืบเนื่องมาจากหลวงปู่ทิม วัดพระขาว หลวงปู่เอียด วัดไผ่ล้อม ซึ่งล้วนแล้วแต่ได้รับความนิยมอย่างสูง โดยหลวงปู่เพิ่ม วัดป้อมแก้ว ได้เมตตาปลุกเสก พระขุนแผน เพื่อมอบให้สำหรับชายชาตรี และพระนางพญา เพื่อมอบให้สุภาพสตรี และเด็ก เพื่อเป็นสิ่งมงคลคุ้มครองให้เกิดโชคดี มีลาภ และแคล้วคลาดปลอดภัยตลอดไป

 ขณะเดียวกัน เสือ รุ่นแรก หลวงปู่เพิ่ม เป็นการสร้างแบบ ปั๊ม ด้วยเนื้อนวโลหะแก่เงิน (ตอก ๒ โค้ด) และเนื้อทองแดง (ตอกโค้ด) โดยนำรูปแบบมาจาก เสือหลวงพ่อวงศ์ วัดปริวาส ซึ่งเป็นเสือปั๊มโลหะที่มีราคาเช่าหาแพงที่สุดในยุคปัจจุบัน เป็นการปั๊มแบบตันทั้งตัวไม่เจาะรู เพื่อให้เป็นเอกลักษณ์เสือปั๊มของหลวงปู่เพิ่ม วัดป้อมแก้ว เป็นงานปั๊มโลหะแบบโบราณ ที่ดูแล้วเข้มขลังดี
ศรัทธาสนใจร่วมทำบุญได้ ที่วัดป้อมแก้ว อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา วัดบรรลือธรรม อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา พระครูสุวรรณ์ธรรมรังสี วัดเสนาสนาราม (หอไตร) ต.หัวรอ  อ.เมือง จ.พระนครศรีอยุธยา ๑๓๐๐๐


ที่มา ข่าวสด โดย บุญนำพา  ขอขอบคุณครับ


88



เมื่อกล่าวถึงพระปิด ตา หลายๆ คนคงนึกถึงพระขนาดเล็กๆ มีลักษณะเด่น คือ พระอ้วนลงพุง พระกรหรือมือปิดส่วนต่างๆ เช่น ใบหน้า หู สะดือ และทวาร ซึ่งพระเกจิอาจารย์ต่างๆ ทุกยุคทุกสมัยต่างนิยมสร้างขึ้นจากคำเล่าขานต่างๆ ในอดีต หรือความเชื่อในเรื่องคงกระพันมหาอุตม์ เมตตาค้าขาย เสริมสิริมงคลแก่ผู้บูชา

 จากหลักฐานและข้อมูลที่ มีการศึกษาในศาสนาพุทธ จากทั่วโลกที่มีการบันทึกของพระพุทธเจ้า เช่น ใบลาน เป็นต้น ต่างมีข้อมูลถึงที่มาเดียวกันว่า “พระภควัมบดี” หรือ "พระภควัมปติ" อันเป็นอีกนามหนึ่งของพระสังกัจจายน์ เป็นอัครสาวกพระองค์หนึ่งของพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง ว่าแล้วขอกล่าวถึงตำนานแห่งพระภควัมบดี หรือพระภควัมปติ ถึงความเป็นมา

 พระภควัมบดี เป็นพระอรหันต์สมัยพุทธกาล มีพุทธลักษณะงดงามละม้ายคล้ายสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอัครสาวกรูปหนึ่งที่เพียบพร้อมไปด้วยความเฉลียวฉลาด สามารถอธิบายธรรมได้เยี่ยมยอดกว่าพระสาวกองค์อื่นๆ




  พระภควัมบดี ถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์-ปุโรหิต แห่งเมืองอุเชนี เนื่องจากมีวรรณะงดงามดังทอง จึงได้รับการขนานนามว่า “กาญจน” ได้ศึกษาไตรเทพจนเจนจบ และเป็นพราหมณ์ปุโรหิตแทนบิดาในสมัยพระเจ้าจันทร์ปัตโชติ

 ต่อมาได้มีโอกาสได้ฟังธรรมในสำนักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใสและศึกษาธรรมจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ และอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุสัมปทา (พระพุทธเจ้าทำการบวชให้)

 พระภควัมบดีท่านมีความเป็นเลิศทางการย่อพระธรรมคัมภีร์ให้สั้นลง และอธิบายความหมายให้ผู้ฟังเข้าใจได้อย่างละเอียดแจ่มแจ้ง

 นอกจากนี้ ท่านยังมีรูปร่างและผิวกายงดงามมาก จนได้ชื่อว่า "พระภควัมปติ" อันมีความหมายว่า "ผู้มีความงามละม้ายเหมือนพระผู้มีพระภาคเจ้า"

 ด้วยเหตุที่ทำให้ผู้คนเข้าใจผิดอยู่เนืองๆ ไม่เว้นแม้เทวดายังสรรเสริญ ท่านเห็นว่า หากปล่อยไว้ต่อไปจะเป็นการไม่สมควร หรือเกิดความมัวหมองต่อองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้น พระภควัมบดีจึงอธิษฐานจิต ให้ร่างกลายเปลี่ยนเป็นอ้วน เตี้ย พุงพลุ้ย ดูน่าเกลียด จวบจนนิพพาน อันมีความหมายที่กล่าวถึง พระสังกัจจายน์ อันเป็นที่รักใคร่นิยมยินดี เต็มไปด้วยลาภสักการะสรรเสริญ

 จนเมื่อครั้งพระพุทธเจ้าท่านทรงออกเดินทางเพื่อแสดงธรรม ซึ่งในครั้งนั้นมีพระสาวกเป็นจำนวนมากที่พร้อมเดินทางพร้อมกับพระพุทธองค์ ด้วยสถานที่จุดหมายที่จะเดินทางไกลนั้นใช้เวลาหลายพรรษา และประกอบกับต้องผ่านในสถานที่อันตรายต่างๆ

 จนเมื่อถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีความแห้งแล้งทุรกันดาร มีบรรดาภูตผีและวิญญาณที่มองไม่เห็นอยู่มากมาย ถึงขนาดเหล่าเทพเทวดาไม่อาจผ่านบริเวณที่แห่งนั้นได้





 ครั้งนั้น พระพุทธองค์ได้เรียกประชุมบรรดาพระสาวกที่ตามเสด็จในครั้งนั้น เพื่อหาทางออกของการเดินทางในครั้งนี้ ซึ่งการประชุมถูกแบ่งออกเป็น ๒ ทางเลือก คือ ๑.ใช้การเดินทางอ้อม ซึ่งจะทำให้ใช้ระยะเวลาหลายเดือน และเกิดความล่าช้ากว่ากำหนด

 ๒.เดินทางต่อโดยใช้เส้นทางเดิม ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีอันตรายตลอดการเดินทาง และมีปัญหาในการดำรงชีวิต

 แต่ในการประชุมครั้งนั้น ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ จนกระทั่งพระพุทธองค์ได้กล่าวสอบถามในการเดินทางครั้งนั้นว่า
 “พระ ภควัมบดี ได้ติดตามมาในขบวนนี้ด้วยหรือไม่”

 บรรดาเหล่าพระสาวกจึงตอบกลับไปว่า ในการเดินทางครั้งนี้ พระภควัมบดี ได้เดินทางมาด้วย  เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบ ก็ทรงพอพระทัยยิ่งนัก และได้ตอบกลับแก่บรรดาพระสาวกที่ติดตามว่า  เราจะเดินทางต่อไป และใช้เส้นทางเดิม ในการเสด็จครั้งนั้นก็ผ่านไปได้ด้วยดี

 ต่อมา เมื่อพระภควัมบดี ได้ทราบถึงเหตุการณ์ของพระพุทธองค์ในการประชุมในครั้งนั้น ท่านได้คิดถึงเหตุผลต่างๆ ว่าเพราะอะไร พระพุทธองค์ถึงถามพระภควัมบดี แล้วมีความเกี่ยวข้องถึงการเดินทางได้อย่างไร

 พระภควัมบดีได้นั่งสมาธิทางใน โดยใช้มือทั้งสองปิดตา เพื่อหาสาเหตุ จนกระทั่งพบว่า ในอดีตชาติ ท่านได้เกิดเป็นชายผู้หนึ่ง ที่มีความรู้แตกฉานในการรักษาโรคต่างๆ และเป็นผู้เสียสละในการรักษาผู้ป่วย ไม่ยึดติดเงินทอง ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้ชาตินี้มีแต่ผู้รักใคร่ มีปัญญาที่เฉียบแหลม และมีผู้ที่คอยปกปักรักษาคุ้มครองอย่างต่อเนื่อง

 ด้วยสาเหตุที่พระภควัมบดีได้นั่งสมาธิทางใน จึงเป็นที่มาของ "ปางเข้านิโรธสมาบัติ" หรือ "พระปิดตา" ที่เห็นในปัจจุบัน  โบราณจารย์จึงได้จำลองลักษณะแห่งพระภควัมบดีในรูปพระเครื่องศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นเอกลักษณ์ไว้ ๓ ประเภท เพื่อแสดงความหมายถึงพระภควัมปติ อันเป็นผู้มีความละม้ายเหมือนพระผู้มีพระภาคเจ้านั่นเอง
 
  -พระสังกัจจายน์ อันเป็นที่รักใคร่นิยมยินดี เต็มไปด้วยลาภสักการะสรรเสริญ

     -พระปิดทวารทั้ง ๙ อันเป็นการปิดกั้นอาสวะกิเลสแห่งทวารเข้าออกทั้ง ๙ ของร่างกาย

     -พระปิดตามหาอุตม์ อันเป็นการป้องกันสรรพภยันตรายทั้งหลายทั้งปวง

 จากที่กล่าวมาในข้างต้น พระปิดตาเข้าใจกันว่า มาจากคติการสร้างพระเครื่องของเขมร เผยแพร่เข้าสู่การสร้างพระเครื่องไทย เท่าที่ค้นพบ มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา

 ส่วนพระสังกัจจายน์นั้น มีพบเห็นได้ชัดเจนในหลายๆ ประเทศ กล่าวถึงความนิยมพระปิดตาในเมืองไทย ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางว่า พระเกจิอาจารย์ผู้สร้างพระปิดตาที่ได้รับความนิยมได้แก่ หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ ซึ่งถือว่าหายากมากๆ หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง เป็นหนึ่งในเรื่องประสบการณ์ หลวงปู่จีน วัดท่าลาด พุทธคุณไม่เป็นสองรองใคร หลวงปู่ไข่ วัดชิงเลน พระปิดตาในตำนานที่หายากเช่นกัน

 หลวงปู่จันทน์ วัดโมลี หรือพระปิดตาแร่บางไผ่ หลายท่านคงทราบดี หลวงพ่อทับ วัดทอง  เนื้อหามวลสารที่ไม่มีใครเหมือน มากด้วยประสบการณ์อันยาวนาน หลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ ถึงตอนนี้หาดูแทบไม่มีให้เห็นเช่นกัน

 หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ท่านสร้างพระปิดตาไว้หลายรุ่น ต่างมีประสบการณ์ทุกรุ่น คล้องพระปิดตารุ่นปลดหนี้ ต่างก็ใช้หนี้สินจนหมด หรือจะเป็นรุ่นเงินล้านของท่าน ในระยะเวลาไม่นานก็ต้องมีเงินล้านในกระเป๋า

 ถึงปัจจุบัน มีพระเกจิอาจารย์หลายท่านที่สร้างพระปิดตาขึ้นมาใหม่ ต่างก็ทำขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงพระสาวก ผู้เป็นตัวแทนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง










ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก ข่าวสด โดยป๋อง สุพรรณ ขอขอบคุณครับ


89



"วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม" เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราช วรวิหาร ที่มีความสวยงามเลื่องชื่อเป็นอันดับต้นของเมืองไทย จนเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลกว่า "The Marble Temple"

ด้วยความงดงามของพระอุโบสถ พระระเบียง ประดับด้วยหินอ่อนที่ดีที่สุดจากประเทศอิตาลี รังสรรค์ให้วัดเบญจมบพิตรฯ กลายเป็นอารามที่มีความวิจิตรงดงาม ด้วยศิลปะสถาปัตย กรรมไทยโบราณ มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศให้ความสนใจเข้าเยี่ยมชมจำนวนมาก ทุกวัน

วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ตั้งอยู่เลขที่ 69 ถ.พระราม 5 แขวงจิตรลดา เขตดุสิต กรุงเทพฯ มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 10,566 ตารางวา 14 ตารางศอก

เดิมวัดแห่งนี้เป็นวัดโบราณ มีชื่อว่า "วัดแหลม" หรือ "วัดไทรทอง" ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างในสมัยใด

ในสมัยรัชกาลที่ 4 ปรากฏความในพระราชพงศาวดารว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามวัดแห่งนี้ใหม่ว่า "วัดเบญจบพิตร" อันมีความหมายว่าเป็นวัดของเจ้านาย 5 พระองค์ หรือวัดที่เจ้านาย 5 พระองค์ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้น

ครั้นต่อมา รัชกาลที่ 5 ทรงสร้างพระราชวังสวนดุสิต ได้ทรงใช้พื้นที่วัด 2 แห่ง เป็นที่สร้างพลับพลาและตัดถนน ซึ่งตามประเพณีจะต้องสร้างวัดขึ้นทดแทน

แต่พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่าการสร้างวัดใหม่หลายแห่ง ยากต่อการบำรุงรักษา แต่ถ้าทำวัดใหญ่เพียงแห่งเดียว ด้วย ฝีมือประเพณีนั้นจะดีกว่า จึงทรงเลือกสถาปนาวัดเบญจบพิตรและโปรดเกล้าฯ ให้ "สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์" ออกแบบ

โปรดให้แก้ชื่อเป็น "วัดเบญจม- บพิตร" แปลว่า "วัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 5"

อาณาเขตที่ดินตั้งวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ตั้งอยู่ใจกลางสถานที่สำคัญมาก มาย อาทิ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ทำเนียบรัฐบาล พระบรมราชานุสาวรีย์ ร.5 ราชตฤณมัยสมาคมฯ เป็นต้น

สำหรับการเดินทางไปเยี่ยมชมวัดเบญจมบพิตรฯ เมื่อเดินเข้ามาภายในวัดเบญจมบพิตรฯ สิ่งแรกที่ได้สัมผัส คือ ความร่มรื่นสะอาดสวยงาม สิ่งที่เราจะพบเห็นต่อมา คือ มีพุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยว กำลังถ่ายภาพคู่กับพระอุโบสถหินอ่อนที่มีความงดงามน่าชม พร้อมไปกับการฟังบรรยายเรื่องราวของวัดจากไกด์นำเที่ยว

ด้วยศิลปะสถาปัตยกรรมไทยโบราณ และวางแบบแปลนแผนผังแยกสัดส่วนเป็นเขตพุทธาวาสสังฆาวาส และที่ธรณีสงฆ์ สำหรับผู้อุปัฏฐากภิกษุสามเณรอยู่อาศัย ในเขตพุทธาวาสและสังฆาวาส มีสนามหญ้าและปลูกต้นไม้ให้ร่มรื่น

กุฏิที่อยู่ของภิกษุสามเณรเป็นระเบียบ ปลอดโปร่ง ถือว่าเป็นวัดที่มีการวางแปลนแผนผังที่ดีที่สุดวัดหนึ่ง

จุดแรกที่ขอแนะนำให้เดินเข้าไปชม คือพระอุโบสถ ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่สมบูรณ์แบบของศิลปะไทย สร้างด้วยหินอ่อนจากประเทศอิตาลี เป็นทรงจัตุรมุข หลังคาซ้อน 4 ชั้น ประดิษฐานพระพุทธชินราชจำลอง เป็นพระประธานในพระอุโบสถ ใต้รัตนบัลลังก์บรรจุพระสรีรางคารรัชกาลที่ 5

เดินออกมาผ่านพระระเบียงรอบด้านหลัง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ จำนวน 52 องค์ ส่วนใหญ่เป็นพระพุทธรูปสำริด มีทั้งพระพุทธรูปโบราณ และหล่อขยายหรือย่อส่วนจากพระพุทธรูปโบราณจากต่างประเทศ อาทิ อินเดีย ญี่ปุ่น พม่า ลังกา เป็นต้น

แต่ที่สะดุดตาเป็นพิเศษ คือ "พระศากยสิงห์"

พระศากยสิงห์ เป็นพระพุทธปฏิมากร ปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร วัสดุสำริด ขนาดหน้าตักกว้าง 30 นิ้ว สูง 39 นิ้ว ศิลปะสมัยเชียงแสน กระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศเป็นพระพุทธรูปสำคัญ พ.ศ. 2520

มีพระพุทธลักษณะที่งดงาม ประดิษ ฐานเป็นองค์แรกที่พระระเบียงวัดเบญจม-บพิตรดุสิตวนาราม

เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงสร้างวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ครั้งนั้นทรงมีพระราชดำริให้สร้างพระระเบียงเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ฝีมือช่างยุคต่างๆ และได้โปรดให้สืบหาพระพุทธรูปโบราณตามหัวเมืองต่างๆ โดยมีหลักเกณฑ์ ดังนี้ ต้องมีความงดงามด้วยฝีมือช่าง พุทธลักษณะแตกต่างจากที่เคยปรากฏและมีขนาดไล่เลี่ยกับที่จัดแสดง

ดังนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จึงได้อัญเชิญพระศากยสิงห์ หรือ สักยสิงห์ จากวิหารหลวงเมืองเชียงแสน ล่องแพตามลำน้ำโขงเข้ามาแม่น้ำกก ขึ้นบกที่เชียงราย แล้วหามเข้าภูเขามาลงที่เมืองพะเยา จึงอัญเชิญลงแม่น้ำยมออกแม่น้ำเจ้าพระยา ส่งลงมากรุงเทพฯ

หากมีโอกาสได้มาเยี่ยมเยือนเดินชมวัดแห่งนี้ ลองเข้าไปกราบไหว้ขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล



ที่มา ข่าวสด คอลัมน์ เดินสายไหว้พระ หน้า32  ขอขอบคุณครับ

90




"หลวงปู่ จันทา เตชธัมโม" อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าชัยศรี ต.เม็กดำ อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม เป็นพระเกจิอาจารย์เรืองวิทยาคมรุ่นเก่าอีกรูปหนึ่ง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วภาคอีสานเมื่อกว่าร้อยปีที่ผ่านมา

เป็น พระที่มีเมตตาธรรมสูงวิทยาคมแก่กล้าสืบทอดปฏิปทาอันงดงามและไสยเวทสายเขมรมา จากพระครูสีหราช วัดบ้านแก่นท้าว เป็นบูรพาจารย์รุ่นเก่า ผู้มีชื่อเสียงขจรไกลมาตั้งแต่ช่วงต้นรัชกาลที่ 5

อัตโนประวัติหลวง ปู่จันทา เกิดในสกุลทรภีสิงห์ ในปี พ.ศ.2422 ณ บ้านเม็กดำ อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหา สารคาม โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายทองดำ-นางดา ทรภีสิงห์ ครอบครัวประกอบอาชีพทำไร่ทำนา

ช่วงวัยเด็ก เป็นผู้มีจิตใจเอนเอียงเข้าหาพระธรรมชมชอบไปช่วยกิจการต่างๆ ที่วัดในหมู่บ้านเป็นประจำ จนอายุครบบวช 20 ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบ้านแก่นท้าว โดยมีพระครูสีหราช วัดบ้านแก่นท้าว เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการน้อย วัดบ้านเหล่า เป็นพระกรรมวาจาจารย์

หลังอุปสมบทแล้ว ได้จำพรรษาศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย ณ สำนักเรียนวัดบ้านแก่นท้าว ได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์เรียนไสยเวทกับพระครูสีหราช ควบคู่กับการศึกษามูลกัจจายน์ บาลี อักษรขอม ไทยน้อย อักษรลาว ทำให้ ท่านมีความรู้ทางด้านอักขระโบราณอีกแขนงหนึ่ง

หลังจำพรรษาอยู่วัด บ้านแก่นท้าวได้ 7 พรรษา ได้กราบลาพระครูสีหราช ออกธุดงควัตรไปหลายแห่ง

หลัง หลวงปู่จันทา จำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านเม็กดำ ระยะหนึ่งท่านเห็นทำเลที่ดินริมหนองน้ำ ที่ตั้งวัดท่าชัยศรีในปัจจุบันสงบเงียบ เหมาะกับการปฏิบัติธรรม และเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับญาติโยมคุ้มน้อยบ้านเม็กดำ จะได้ไม่ต้องลำบากเดินทางไปทำบุญที่วัดเม็กดำ ซึ่งตั้งอยู่ที่คุ้มใหญ่ ระยะทางไกล จึงขอบริจาคที่ดินจากญาติโยมสร้างวัดขึ้นในปี พ.ศ.2456 ครั้งแรกตั้งชื่อวัดว่า วัดหัวหนอง เพราะตั้งอยู่ริมหนองน้ำต่อมาในปี พ.ศ.2467 ทางราชการได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดท่าชัยศรี และหลวงปู่ก็จำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้มาโดยตลอด

ด้านการ ปกครองคณะสงฆ์ หลวงปู่จันทา ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าชัยศรี เป็นพระอุปัชฌาย์ และในปี พ.ศ.2482 เป็นเจ้าคณะตำบลเม็กดำ

นอกจาก หลวงปู่จะเป็นพระเกจิแล้วยังได้ชื่อว่าเป็นพระนักพัฒนา นักการศึกษา เนื่องเพราะท่านทราบดีว่าพระภิกษุสามเณรที่มาบวชเรียนล้วนมาจากครอบครัวที่ ยากจน ท่านจึงเปิดสำนักเรียนปริยัติธรรมขึ้น นำปัจจัยที่ได้จากการบริจาคมาสนับสนุนการเรียนของพระภิกษุ สามเณร หากรูปใดเรียนเก่ง มุมานะตั้งใจศึกษาเล่าเรียนท่านจะมีทุนการศึกษาให้ทุกปี ยุคนั้นสำนักเรียนวัดท่าชัยศรี มีชื่อเสียงโด่งดังมากแต่ละปีมีพระภิกษุ สามเณร มาจำพรรษาอยู่นับร้อยรูป หลวงปู่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยมากหากพระเณรรูปใดไม่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจะ ไม่ให้อยู่วัดโดยเด็ดขาด

นอกจากนี้ หลวงปู่จันทา ยังได้นำปัจจัยส่วนหนึ่งไปพัฒนาสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับวัดแห่งนี้ไม่ ว่าจะเป็นศาลาการเปรียญ อุโบสถ เป็นต้น ทำให้วัดท่าชัยศรีแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว รวมทั้งพัฒนาบรรยากาศภายในบริเวณวัดมีแต่ความสงบวิเวกเหมาะสมสำหรับการ ปฏิบัติธรรม

ในช่วงบั้นปลายของชีวิตหลวงปู่อาพาธบ่อยครั้งด้วยโรค ชรา แต่ท่านไม่เคยปริปากให้ศิษยานุศิษย์รวมทั้งญาติโยมทราบเพราะท่านเห็นว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นเป็นเรื่องปกติของสรรพสัตว์ในโลก หลายครั้งที่ญาติโยมจะนำท่านส่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาลแต่ท่านก็ปฏิเสธ สุดท้ายถึงแก่มรณภาพอย่างสงบในปี พ.ศ. 2505 สิริอายุ 83 พรรษา 61

ณ วันนี้ถึงแม้หลวงปู่จะละสังขารไปนานเกือบห้าสิบปีแล้ว แต่คุณงามความดีของท่านยังคงปรากฏอยู่ในใจของชาวอีสานไปตลอดกาลนาน




ที่มา คอลัมน์ อริยะโลกที่ 6

เชิด ขันตี ณ พล
ขอบคุณครับ  :054:

91
เคล็ดลับฮวงจุ้ย 128 ข้อ


1. บ้านพักที่ใหญ่โตเกินไป แต่ในบ้านมีคนพักน้อย ไม่เป็นมงคลจะทำกินไม่ขึ้น ในครอบครัวจะดีมาก ทำให้อบอุ่น ทำกินร่ำรวย

2. บ้านที่มีหลังบ้านข้างบ้านมีตึกสูงกว่าดี แต่อย่าชิดเกินไป

3. บ้านสองบ้านที่เล็งกัน บ้านฝั่งที่ต่ำกว่านับว่าไม่เป็นมงคล, บ้านที่สร้างขวางทางยาว แต่กินที่แคบไม่ลึกไม่เป็นมงคล

4. บ้านใดที่ปลูกต้นไผ่ แล้วคนภายนอกมองไม่เห็นคนในบ้าน จะทำให้คนอยู่อาศัยจะพบความเจริญ

5. บ้าน ของลูก ๆ ไม่ควรสร้างในลานบ้านของพ่อแม่ ครอบครัวจะยากจนลง แต่ลูกคนโตไม่เป็นไร ให้หันประตู6. บ้าน ตามรหัสราศีปีเกิด หรือตามทิศของโป้ยข่วย คือ ทิศตะวันออก

7. บ้านที่มีตึกสูงอยู่ใกล้ แสดงถึงมีผู้มาให้ความช่วยเหลือคุ้มครองและอย่านำต้นไม้ที่เป็นรากมาประดับ โดยแขวน รากชี ฟ้าจะไม่เป็นมงคล

8. บ้านที่มีลานโล่งห้ามล้อมรั้วกลางลานโล่งจะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ เช่น โรคตา หัวใจ

9. บ้านที่อยู่รวมกัน ห้ามเอาหลังคาชนกันจะไม่เป็นมงคล บ้านชั้นเดียว ถ้าคับแคบให้ปลูกเพิ่มเติม ต้องแก้เคล็ด

10. บ้านควรปลูกเป็นรูปสี่เหลี่ยม ไม่ควรปลูกส่วนเกิด ส่วนขาด จะเป็นอัปมงคล เสียหาย

11. บ้านอย่า แขวงเครื่องประดับมากเกินไป โดยเฉพาะนอแรด เขากระทิง หัวสัตว์ที่ดุร้ายไม่ควรแขวนเลย เพราะ วิญญาณมักจะตามมาทวงและรบกวนเจ้าของบ้าน

12. บ้านเล็กอย่าสร้างประตูใหญ่จะเกิดปากเสียงทำกินไม่ขึ้น

13. บ้านไม่ควรเจาะหลังคา นะไม่เป็นมงคล ถ้ากลัวว่าทึบก็ให้ใช้กระเบื้องใสแทน

14. บ้านหลังเดียว ควรมีประตูหลังบ้านถึงจะเป็นมงคล

15. บ้าน ผู้ดีมีเงินมักสร้างศาลาพักผ่อนยื่นออกมา ตามหลักฮวงจุ้ยห้ามสร้างบ้านยื่น ขาด เว้า แหว่ง จะมีอันเป็นไป ต้อง ปลุกต้นไม้รับตัวบ้านและศาลาที่สร้างต้องรวมกันให้เป็นรูปสี่เหลี่ยม

16. บ้านที่มีกำแพงเก่าควรทาสีให้ใหม่เสมอ เวลากลางคืนควรติดไฟให้สว่างจะพบแต่ความเจริญ

17. บ้าน ที่มีที่ดินด้านหลังบ้านแคบหน้าบ้านกว้างไม่เป็นมงคลให้แก้เคล็ดโดย การติดกระจก บริเวณที่แคบทั้งสองด้าน เพื่อเวลามองแล้วจะรู้สึกกว้าง ลึก

18. บ้านที่มีหน้าบ้านแคบแต่หลังบ้านกว้างเป็นถุงเงินถุงทองดี บ้านที่ปลูกแล้วดูเป็นรูป W, L ไม่เป็นมงคล

19. บ้านที่มีกำแพงสูงมากเกินไป เช่นสูงเกิน 2 เมตร ไม่เป็นมงคล (เหมือนคุก)

20. บ้านที่สร้างแล้วมีความลึกมากกว่าความกว้างงอยู่แล้วจะเจริญรุ่งเรือง, บ้านที่สร้างตามความลึกเป็นมงคล

21. บ้านที่มีการปลูกหน้าบ้านยาวแต่แคบไม่เป็นมงคล , บ้านหรือที่ดินบ้านเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสเป็นมงคลยิ่ง

22. บ้านสร้างบ้านอยู่บนเนินเขา ไม่ดี, บ้านสูงต่ำ เล่นระดับ ไม่ดี, บ้านมีห้องใต้ดินอยู่กลางบ้าน ไม่ดี

23. บ้านที่แหว่งบางส่วน คนในบ้านจะมีอันเป็นไป เช่น ถ้าแหว่งทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ หมายถึงแม่หรือหญิงเจ้าของ บ้าน ถ้าทิศตะวันตกเฉียงเหนือคือ พ่อ หรือชายเจ้าของบ้าน

24. บ้านที่แหว่งทิศตะวันออก และตะวันตกผลกระทบ คือลูกชายคนโต และลูกสาวคนเล็ก ไม่เป็นมงคล ต้องแก้เคล็ด

25. บ้าน หรือพื้นที่เว้าแหว่ง ทิศเหนือและใต้จะเสียหายแก่ลูกสาวงคนกลาง (ทิศใต้) ลูกชายคนกลาง (ทิศเหนือ) จะมีเรื่องคดีความ, บ้านด้านหนึ่งมีปล่องควันปล่องควันแทนก้านธูปไหว้คนตายไม่ดี

26. บ้านที่ตะวันออกเฉียงเหนือแหว่งจะเกิดเสียหายแก่ลูกชายคนเล็กและระบบย่อย อาหาร

27. บ้าน หรือที่ดินที่เว้า แหส่ง ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีผลกระทบกับพ่อ หรือชายเจ้าของบ้าน และผู้คนในครอบครัว บ้านที่เป็นรูปทรงหน้ากว้างหลังแคบจะเก็บเงินไม่อยู่ จะยากจน

28. บ้าน ที่แหว่งจะทำให้ครอบครัวไม่มีความเจริญรุ่งเรือง และถ้าแหว่งทางทิศตะวันออกจะมีผลกระทบเกี่ยวกับลูกชายคนโต บ้านที่มีหลังคาด้านซ้ายยาว ด้านขวาสั้น ภายในครอบครัวจะพบภัยพิบัติ

29. บ้านเวลาปลูกอย่าตั้งเสาข้างหนึ่งสูงข้าง ข้างหนึ่งเตี้ย จะแสดงถึงการทำกิน ธุรกิจง่อนแง่น

30. บ้านที่เก่าถ้าจะเข้าไปอยู่ใหม่ควรทาสีให้ใหม่ กลอนประตูควรจะเปลี่ยนใหม่ จะนำโชคลาภมาให้

31. บ้านถ้าอยู่ใกล้สุสานไม่ดี , บ้านที่มีสะพานพุ่งแทงเข้ามาให้แก้เคล็ดโดยปลูกต้นไม้ไผ่บังสายตา

32. บ้าน ที่มีบ่อน้ำที่มีมุมแหลมพุ่งตรงสู่หน้าบ้านไม่เป็นมงคล ควรแก้เคล็ดโดยปลูกต้นไม้บังบ่อตรงมุมแหลม จะพบความสุข , บ้านที่มีหลังคาเป็นรูปโค้งไม่ดี

33. บ้านที่มีบ่อน้ำอยู่หลังให้ระวังเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เช่น โรคท้อง

34. บ้านที่เพดานเฉียง ไม่ดี, บ้านมีคาน ไม่ดี, บ้านที่มีคานไม่เสมอกัน ไม่ดี, บ้านสร้างคล้ายรูปตัวยู ไม่ดี

35. บ้าน ที่มีถนนโค้งออก อยู่แล้วไม่เจริญ , บ้านที่มีถนนล้อมรอบทั้ง 4 ด้านไม่เป็นมงคล , บ้านที่มีทางโค้งออกอยู่ไปจะทำให้ยากจน, บ้านที่อยู่ใกล้สี่แยกให้ตั้งประตูใหญ่ให้ถูกรหัสราศีของเจ้าของบ้าน และอีกส่วนด้านให้ปลูกต้นไม้แทนภูเขาเพื่อแก้เคล็ด

36. บ้านที่อยู่ใกล้สี่แยกระวังขโมยขึ้นบ้านบ่อย และถ้าถนนตัดกับทิศตะวันตกเฉียงใต้ คนในบ้านมักจะมั่วกาม

37. บ้านมีสองบันได ไม่ดี , บ้านรูปทรงตัว H ถือว่าบ้านเว้าแหว่ง จะเสียทรัพย์ เสียชื่อเสียง

38. บ้านเว้าแหว่ง รูปทรงกากบาท หมายถึงป่วย ความตาม ไม่ดี

39. บ้านที่มีรูปทรงแปลก ๆ ผิดปกติ เฉียงเอียงเว้าแหว่งล้วนไม่ดี, บ้านมีคนพักอาศัยมากจะทำให้คนในบ้านอบอุ่น

40. บ้านที่มีลานหน้าบ้านกว้าง เป็นฮวงจุ้ยที่ดี, บ้านถูกทางแทง ไม่ดี ต้องแก้ไข

41. บ้านเป็นรูปสามเหลี่ยม เรียกว่าถังขยะ ธุรกิจเจ๊ง เป็นมะเร็ง อัมพาต

42. บ้านแตกร้าว ในบ้านจะเกิดปากเสียง ไม่ดี, บ้านตรงข้ามโบสถ์ จะมีแต่ความเสื่อมเสีย มีเรื่องชู้สาว

43. บ้านรูปแปดเหลี่ยมดี บ้านที่มีเหลี่ยมตึก หน้าจั่วแทงด้านหน้า หลัง ซ้าย ขวา ไม่ดี

44. บ้านที่อยู่ใกล้เสาไฟแรงสูง อันตรายเวลาฝนตก, บ้านอยู่ตรงข้ามโรงไฟฟ้าไม่ดี ต้องแก้ไข

45. บ้านติดโรงพยาบาลไม่ดี การค้าสะดุด การเงินเป็นหนี้ สุขภาพไม่ดี

46. บ้านร้างที่อยู่ใกล้บ้านใหม่ จะทำให้บ้านใหม่ไม่ดีไปด้วย, หน้าบ้านมีกองขยะ หรือสิ่งรก ๆ ไม่ดี

47. บ้านที่อยู่ระหว่างช่องว่างของตึกสูง เรียกว่าลมพิฆาต ไม่ดี วิบัติรุนแรง

48. บ้านมีต้นไม้เอียงเบนห่างออก ไม่ดี ขาดผู้สนับสนุน, บ้านถูกทางน้ำ หรือบันไดแทง ไม่ดี

49. หน้าบ้านที่มีบ้านมุมบ้านแหลม หันมาแทงบ้านของตัวเอง, หน้าบ้านมีบ่อรูปสามเหลี่ยม ไม่ดี

50. หน้าบ้านมีบ่อน้ำสองบ่อ เรียกว่าบ่อน้ำตา ไม่ดี, หน้าบ้านห้ามมีศาลเจ้า โบสถ์ วัด

51. หน้าบ้านทางด้านซ้ายมือมีสระน้ำอยู่มุมมังกรเขียว ผู้อยู่อาศัยจะเจริญรุ่งเรือง

52. หน้าบ้านถ้ามีต้นไม่ใหญ่ตายยืนควรจะโค่นตัดทิ้งเลย มิฉะนั้นจะพบความยากจน

53. หน้าบ้านมีรูปเหมือนรูปปืนที่ยิงใส่หน้าบ้านตลอด อยู่ใกล้ไปจะยากจน , หน้าบ้านมีท่อระบายน้ำหรือแทงค์น้ำอยู่ไม่ดี

54. หน้าบ้านมีเสาเครื่องหมายจราจรอยู่ไม่ดี,หน้าบ้านมีทางเข้าออกของรถ ของบ้านอยู่ตรงข้ามกัน ตรงกัน แทงกันเองไม่ดี

55. หน้า บ้านมีต้นไม้ใหญ่เหมือนมีมีดมาฟันบ้าน ไม่ดี, ประตูใหญ่อย่าสร้างประตูเล็กไว้ 2 ข้าง แต่ให้สร้างข้างเดียวคือ หันหน้าอกสร้างตรงซ้ายมือ (มุมมังกรเขียว) , ประตูตรงกันไม่เป็นมงคล,ประตู เสา และฝาบ้าน ต้องเลือกไม้ที่ไม่มีตามาก ๆ

56. ประตู หน้าบ้านห้ามตรงกับประตูห้องน้ำไม่ดี จะเกิดโรคฝีหรือโรคมะเร็งได้, ประตูบ้านที่มีซุ้มสูงกว่าหลังค่าไม่เป็นมงคล ให้แก้ไข จะได้พบแต่ความสุข, ประตูที่ทำซุ้มแบบซุ้มประตูของศาลเจ้าหรือมูลนิธิ บ้านคนธรรมดาห้ามสร้างจะไม่เป็นสิริมงคล, ประตูบ้านไม่ควรจะมีต้นไม้ใหญ่อยู่ตรงกลางประตู

57. ประตู หน้าบ้านมีสะพานพุ่งเข้าหน้าบ้านไม่ดี, ประตูห้องนอนตรงกับเตียงนอนไม่ดี, ประตูใหญ่ตรงประตูห้องน้ำไม่ดีจะทำให้เงินเข้าบ้านไม่ดี สุขภาพไม่ดี, ประตูห้องนอนตรงกับประตูห้องน้ำไม่ดี จะเกิดโรคภัย ธุรกิจสะดุด

58. ประตูใหญ่ตรงกับประตูห้องนอน จะเกิบเงินไม่อยู่ มีปากเสียง ไม่ดี, ประตูรั้วบ้านฝั่งตรงข้ามใหญ่กว่าบ้านเราไม่ดี

59. ประตูตรงกันหลายบาน ตรงกับเตา ทำให้ร้อนเงิน มีปากเสียง ไม่ดี, ประตูตรงห้องนอนห้ามตรงกับบันได ไม่ดี

60. ประตูห้องส้วมตรงกับเตียงนอนไม่ดี, ประตูห้องนอนตรงกับประตูครัว ทำให้เกิดปากเสียงเงินเก็บไม่อยู่

61. ประตูด้านซ้ายควรใหญ่กว่าด้านขวา, ประตูรั้วสูงกว่ากำแพงไม่ดี

62. บันไดตรงกับประตูห้องนอน ไม่ดี, บันไดตรงประตู ไม่ดี, บันไดตรงห้องน้ำ ไม่ดี, บันไดอยู่กลางบ้านตรงประตูเข้าออก ไม่ดี

63. ห้องนอนติดกับเตา หรือห้องครัวไม่ดี, ห้องนอนของคนชราควรอยู่ชั้นล่าง เพราะอายุมากกระดูกไขข้อเริ่มเสื่อม

64. ห้องนอนควรที่จะเก็บแต่เสื้อผ้าใหม่และข้องใหม่ จะเป็นมงคล, ห้องนอนควรอยู่ให้ถูกกับรหัสราศีของตัวเอง

65. ห้องนอน ผ้าห่ม หมอน ควรที่จะแห้ง สะอาดอยู่เสมอ, ห้องนอนอยู่ใต้ห้องน้ำจะเจ็บป่วย

66. ในห้องนอนเจ้าบ้านควรอยู่ทิศในรหัสราศีของตัวเองถึงจะเป็นมงคล

67. ห้องนอนประตูห้องนอนไม่ควรตรงกับประตูหน้าบ้าน, ห้องนอน เตียงนอนไม่ควรจะตรงกับประตูห้องหนอและไม่ควรเป็นห้องเก็บของ จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ

68. กระจกอย่าวางไว้ที่หัวนอน เพราะจะทำให้เสียสุขภาพ

69. เตียงนอนอยู่บนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ดี ไม่เป็นมงคล

70. ใต้เตียงนอนไม่เหมาะที่จะเก็บถ้วยชามที่ร้าว จะทำให้มีผลกระทบต่อสุขภาพ

71. เตียงนอนตรงกับประตู ไม่ดี, เตียงนอนห้ามตั้งอยู่บนเตาไฟ จะทำให้คนนอนสุขภาพไม่ดี

72. เตียงนอนห้ามอยู่ใต้บันได เพราะจะมีคนขึ้นลงอยู่ประจำ, การตั้งเตียงเป็นมุมทะแยง ไม่ดี จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ

73. ด้านหัวนอนของเตียงและปลายเท้าห้ามตั้งกระจก, ห้ามนอนเอาเท้าหันไปสู่ประตู

74. หิ้งลอย ตู้ลอย ไม่ควรอยู่บนหัวนอน จะทำให้เครียด เกิดโรคทางสมอง

75. สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ควรตั้งตรงบันได หรือใต้บันได ไม่เป็นมงคล, การตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ห้ามเอาหลังอิงห้องน้ำ ไม่เป็นมงคล

76. ตั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ควรตั้งในห้องนอนถ้าเป็นคนโสดไม่เป็นไร ถ้ามีคู่แล้วห้าม

77. สิ่งศักดิ์สิทธ์ตั้งอยู่บนห้องน้ำ เป็นสิ่งไม่สมควร ควรแก้ไข

78. สิ่งศักดิ์สิทธิ์ห้ามตั้งอยู่ใต้คาน รวมทั้งคนด้วยเช่นกันก็ห้ามอยู่ใต้คาน

79. ห้องพระไม่ควรรวมกับห้องนอน ถ้าที่คับแคบจำเป็นต้องรวมให้กั้นฉากเป็นสัดส่วน ห้องนอนอย่าอยู่หน้าห้องรับแขก

80. บ่อน้ำไม่ควรเป็นที่ทิ้งขยะ ไม่ดี, บ่อน้ำอยู่หลังบ้าน หรือหลังเตียงนอน ไม่ดี

81. คานอยู่หน้าประตูไม่ดีจะส่งพลังกดทับทำให้เงินหรือพลังไม่คล่อง คานต่ำ เพดานต่ำ จะทำให้ชี่ (เงิน) เข้าบ้านไม่สะดวก

82. คานห้ามอยู่บนหัวนอน จะเป็นมะเร็งในสมอง เส้นโลหิตในสมองแตก, คานทับเตาไฟ ทำให้เงินขาดมือ

83. ห้องน้ำอยู่บนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่เป็นมงคล, ห้องน้ำอยู่บนประตูใหญ่ไม่ดี ทำให้เงินไม่ไหลเข้า, ห้องน้ำอยู่เหนือเตาไฟ ไม่ดี

84. ด้านหลังของเตียงเป็นห้องน้ำไม่ดี

85. ห้องน้ำกลางบ้านไม่ดี, เครื่องซักผ้าตรงกับเตาไม่ดี, ห้องครัวถ้ามีขื่อพาดอยู่ ไม่ดีจะเจ็บป่วย ยากจน

86. ห้องครัวห้ามอยู่ติดกับห้องนอน ถ้าจำเป็นจะตั้องกั้นผนังห้องครัวและห้องนอนอย่าให่มีอากาศเข้าถึงกันได้

87. เตาตรงกับประตู เท้ากับชักนำเพื่อนเข้ามากิน แล้วก็จากไป แต่ตัวเราจะจนลง ไม่ดี

88. เตาแก๊สห้ามตั้งติดกับก๊อกน้ำหรืออ่างล้างชาม ไม่ดี

89. การตั้งเตาควรหันที่ปิดเปิดให้ถูกโฉลกและเป็นมงคลกับเจ้าบ้าน

90. หัวเตาแก๊สควรมี 3, 5, 7 เตาดีที่สุด, ไม่ควรสร้างเตาไฟเล็งไปที่ประตู

91. ไม่ควรวางเตาไว้บนท่อระบายน้ำหรือท่อ น้ำประปา, ด้านหลังเตาแก๊สห้ามมีบ่อน้ำ

92. ด้านหลังเตาอย่าให้ห่างผนังมากเกินไป

93. ครัวเตาไฟไม่ควรจัดไว้หน้าบ้าน จะไม่มีทรัพย์สินเก็บจะมีคนในบ้านตายทุก 3 ปี

94. ตัวเตาในบ้านอย่าให้คนนอกบ้านเห็นจะไม่เหลือเงินเก็บ, การตั้งเตาอย่าใกล้สระน้ำ หรือน้ำประปา

95. หน้าเตาไฟหันไปสู่ทิศตะวันออก หรือทิศตะวันออกเฉียงใต้ดี เป็นมงคล แต่ถ้าจะให้ดีต้องถูกรหัสราศีทิศของเจ้าของบ้านด้วย

96. ไม่ควรสร้างเตาในทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้าน แต่ควรหันหัวเตาให้ถูกโฉลกรหัสราศีของเจ้าของบ้าน

97. ห้องนั่งเล่นโซฟารูปสามเหลี่ยมไม่ดี, ข้างบ้านมีเครื่องระบายความร้อนพุ่งมาหาบ้านอีกฝ่ายหนึ่งไม่ดี

98. ต้นไม้ชิดบ้านเกินไปไม่ดี แต่ถ้าห่างประมาณสิบเมตรดี จะมีผู้สนับสนุน, หลังบ้านมีบ่อน้ำตรงกับเตา ไม่ดี

99. ห้องนั่งเล่นเป็นหลุมเป็นแอ่งกระทะ ไม่ดี, ท่อน้ำอยู่ใต้เตาไม่ดี เพราะน้ำกับไฟเป็นศัตรูกัน

100. การตั้งโต๊ะทำงาน ควรตั้งในมุมทรัพย์ จะร่ำรวยมาก, ถ้าด้านซ้ายมือของบ้านมีสะพานให้แก้เคล็ด

101. ถ้าสุสานอยู่ทางทิศตะวีนออกของบ้านให้แก้เคล็ด, หลังบ้านอย่าให้มีรอยแตกร้าว จะเป็นอัปมงคล

104. หลังคา เพดานบ้าน อย่าให้รั่ว ถ้ารั่วให้รีบซ่อมเสีย ถ้าไม่แก้ไขเงินทองจะเก็บไม่อยู่ยากจน

105. ขื่อบ้านถ้าร้าว หักควรรีบแก้ไข เพราะไม่เช่นนั้นในบ้าน จะเกิดขาดผู้ช่วยสนับสนุนเงิน ทองร่อยหรอลง เจ็บไข้ได้ป่วย

106. ในบ้านมีหญิงมีครรภ์ ไม่ควรต่อเติมบ้าน หรือย้ายเตียง ถ้าฝืนทำแล้วหญิงในบ้านอาจแท้งบุตรได้ หรือบุตรคลอดออกมาไม่สมประกอบ

107. พื้นที่นอกบ้านควรจะต่ำกว่าพื้นในบ้าน จึงเป็นมงคล, ห้ามทำราวตากผ้าผ่านเตาไฟ จะเป็นอัปมงคล

108. โรงรถควรจะมีความกว้างเสมอกับบ้านอย่าให้ยื่นเกินออกมา

109. ผู้ที่เกิดราศีทิศตะวันออก ธาตุไม้ ไม่ควรหันหน้าบ้านไปสู่ราศีตะวันตก ธาตุทอง เพราะเป็นศัตรูธาตุ

110. ผู้ที่เกิดราศีทิศเหนือ ธาตุน้ำ ห้ามหันเข้าสู่ทิศใต้ ธาตุไฟ เพราะเป็นสัตรูธาตุ

111. ผู้ที่เกิดราสีทิศตะวันตก ห้ามมีหน้าบ้านหันสู่ทิศตะวันออก เพราะเป็นคู่ศัตรูกัน

112. ผู้ที่เกิดราศีทิศใต้ ธาตุไฟ ห้ามมีหน้าบ้านหันสู่ทิศเหนือ เพราะเป็นทิศคู่ศัตรูกัน

113. จำนวนห้องที่กั้นในบ้าน ควรกั้นเป็นเลขที่เป็นมงคล คือ 1, 2, 5, 6, 7 ห้องดีเป็นมงคล

114. ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ไม่ควรสร้างห้องนั่งเล่นจะไม่เป็นมงคล, ห้องนั่งเล่น หรือรับแขกตั้งอยู่กลางบ้านถือว่าเป็นมงคล

115. การสร้างบันไดตรงดิ่งลงมาที่หน้าประตูอยู่กลางบ้านถือว่าเป็นมงคล

116. ตรงกลางบ้านห้ามทำเป็นห้องน้ำ หรือห้องส้วม ทำเป็นห้องนอนดีที่สุด

117. หน้าต่างมีได้ทุกทิศดีที่สุด แต่หน้าต่างและประตู ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ตรงกัน

118. วงกบ เสาบ้าน ไม่ควรคดงอ จะทำให้เกิดเรื่องอัปมงคล, หน้าต่างหรือประตูควรจะสร้างกันสาดถึง จุเจริญรุ่งเรือง

119. กำแพงบ้านอย่าสูงเกินไป (เกิน 2 เมตร) หรือต่ำเกินไป (1.40 เมตร)

120. ตำแหน่งกำแพงทางทิศตะวันออกเฉียงเหนืออย่าให้ชำรุดจะมีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล

121. สร้างบ้านไม่ควรสร้างกำแพงหรือภูเขาก่อนจะทำให้ยากจน หรือถูกคุมขัง

122. กำแพงบ้านไม่ควรเจาะเป็นหน้าต่าง จะไม่เป็นมงคล, กำแพงบ้านสร้างเป็นรูปโค้งดีกว่าสร้างกำแพงเป็นรูปสี่เหลี่ยม

123. ไม่ควรสร้างกำแพงบ้านให้ชิดบ้านเกินไป, ตัวที่ดิน หรือตัวบ้าน ข้างหน้าแคบข้างหลังกว้างไม่เป็นมงคล

124. ที่ดินที่เคยมีต้นไม้ใหญ่อยู่หนาแน่น ควรจุขุดรากถอนโคนให้หมดเสียก่อนค่อยปลูกบ้าน

125.ทิศตะวันออกเฉียงเหนือและทิศตะวันตกเฉียงใต้ของสะพานจะดีแต่แรก จะแย่ในภายหลัง

126. ร้านค้าหรือบ้านไม่ควรนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คนภายนอกเห็น เพราะจะมีคนแกล้งเอาของสกปรกมาทำลายสิ่งศักดิ์สิทธ์

127. ร้านค้าใดถ้าหากมีสะพานพุ่งตำเข้ามาหา จะเป็นทิศใดก็ตาม ควรประกอบอาชีพประเภท ขายอาวุธ ของมีคม ขายเนื้อ ซึ่งต้องใช้ของมีคมประจำ ถึงจะเจริญรุ่งเรือง

128. ร้านค้าใดก็ตามควรจะตั้งหน้าบ้านให้ถูกรหัสราศีกับเจ้าของบ้านและตั้งเตาให้ ถูกรหัสราศีของเจ้าของบ้านด้วย


หมายเหตุ
การแก้ไขฮวงจุ้ยควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพราะหากตกแต่งถูกทิศร้ายประจำปี เดือน วัน หรือ เวลาที่ไม่ดี จะนำเภทภัยเรื่องร้ายเข้ามาภายใน 1 วัน ถึง 3 เดือน



ที่ มา.......ขอบคุณข้อมูล .freesplans.com
[/b]

92



เจริญ พร สาธุชนทุกท่าน วันนี้ได้มีโอกาสเปิดคอลัมน์ “คิดทาง...ธรรม” ซึ่งจะมีประจำทุกวันศุกร์ โดยจะร่วมกันคิดพิจารณาเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบันของสังคมที่น่าสนใจ

เพื่อหาทางออกให้กับ สังคม โดยอ้างอิงหลักธรรมในพระพุทธศาสนาว่า เรื่องหรือปัญหาดังกล่าว ทางธรรมคิดอย่างไร มีมุมมองอย่างไร ซึ่งอาจจะแตกต่างไปจากการคิดทางโลก หรืออาจจะคล้ายกัน หรือเหมือนกันก็ได้

 โดยเฉพาะสาธุชนผู้สนใจในธรรม หรือมีความรู้ทางโลก สามารถที่จะนำเสนอแนววิธีคิด มุมมองที่อาจจะแตกต่างออกไป หรือเหมือนกัน มาที่คอลัมน์นี้ก็ได้ เพื่อการมีส่วนในการเรียนรู้ ซึ่งสามารถพัฒนาไปสู่องค์รวมของความรู้อันถูกต้องโดยธรรม อันร่วมกัน และจะนำไปสู่การแก้ไข  หรือพัฒนาการ ให้สังคม ประเทศชาติ ก้าวย่างไปสู่ความเจริญเติบโต เข้มแข็ง และทันสมัยดังนานาอารยประเทศ

 เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ให้บังเอิญไปตรงกับวันพระราชทานเพลิง หลวงปู่จันทร์ กุสโล หรือ พระพุทธพจนวราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของอาตมา โดย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นองค์ประธานในการพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุชั่วคราว วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จ.เชียงใหม่ ยังความซาบซึ้งแก่คณะศิษย์ศรัทธาพุทธศาสนิกชนในพระมหากรุณาเป็นอย่างยิ่ง





 หากจะกล่าวพรรณนาถึงเกียรติคุณ ความดี บุญบารมีของหลวงพ่อ (หลวงปู่จันทร์) คงยากที่จะกล่าวได้หมด ได้แต่ขอยกถ้อยวลีธรรมของท่านผู้ทรงคุณ-สูงค่า ในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นสังฆบิดาของคณะสงฆ์ไทย ได้แก่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ที่เคยทรงประทานกล่าวมุทิตากับหลวงพ่อว่า

 “ท่านเจ้าคุณ เป็นปราชญ์แห่งล้านนา”

 ซึ่งเป็นความจริง ที่ปรากฏมีผลงานทางธรรมมากมาย เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชนมาโดยตลอดสมัยของการสืบเนื่องอยู่ในสมณะวิสัยของ หลวงพ่อ จนถึงกาลละสังขารเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๑ เวลา ๑๘.๓๓ น.

 โดยปฏิปทาของหลวงพ่อนั้น แม้มีวัตรปฏิบัติด้านคามวาสี แต่ก็ไม่ได้ทอดทิ้ง ส่งเสริมฝ่ายอรัญวาสี ทรงเห็นคุณค่าของการอบรมจิตตภาวนา ดังสมัยที่อาตมาไปเจริญธรรมอยู่วัดป่าบ้านเหล่า อ.เวียงชัย จ.เชียงราย กับ หลวงปู่ขาน (ละสังขารไปแล้ว) ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นใหญ่สายตรง หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ เป็นพระอาจารย์ที่อาตมาได้ถวายพานธูปเทียน ปวารณาตนเป็นศิษย์สายพระป่า และได้ให้นำพานธูปเทียนไปถวายบูชา หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ.อุดรธานี เพื่อจะได้ถึงความเป็นศิษย์สายพระป่ากรรมฐานอย่างแท้จริง

 โดยหลวงปู่ขานเป็นผู้พิจารณารับไว้เป็นศิษย์...และเมื่อกลับมากราบหลวงพ่อ (หลวงปู่จันทร์) ณ วัดป่าดาราภิรมย์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ในสมัยนั้น อาตมาได้กราบถวายผลการปฏิบัติ ซึ่งท่านได้กล่าวว่า

 “ขออนุโมทนาในปัญญา ที่เกิดจากการภาวนาอบรมจิต อันเป็นภาวนามยปัญญา”

 แสดงให้เห็นอัจฉริยภาพของหลวงพ่อ ที่มีจิตใจกว้างขวาง เห็นคุณประโยชน์ในทั้ง ๒ ด้าน ให้การสนับสนุนแด่คณะสงฆ์ทั้ง ๒ ฝ่าย อย่างเสมอกัน ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งฝ่ายปกครองสงฆ์ (ธรรมยุต) จนถึงความเป็นเจ้าคณะภาค ๔, ๕, ๖, ๗ ซึ่งตรงกับคำกล่าวของ หลวงตามหาบัว ที่ว่า   “พระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ในภาคเหนือของเรานี่ ก็ได้อาศัยบารมีของท่านเจ้าคุณฯ นี่แหละ ที่ได้ช่วยเกื้อหนุนจุนเจือ เอื้อเฟื้อ ให้อยู่ได้ทั้งหมด นี่ถ้าไม่มีท่านเจ้าคุณฯ ช่วยเหลือ คงอยู่ไม่ได้จริงๆ ลัทธิอื่นมันคอยแทรกซึมอยู่นะ เป็นบุญของพระที่ได้มาอาศัยท่านนะ”

 อย่างไรก็ตาม คงจะไม่แปลกที่หลวงพ่อมีความยินดีสนับสนุนในสงฆ์ทั้ง ๒ ฝ่าย แม้ว่าหลวงพ่อจะมุ่งเน้นไปทางปริยัติธรรม หรือคามวาสี แต่ก็เป็นผู้มั่นคงในการปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง แม้จะมุ่งเพียรหนักอย่างครูบาอาจารย์สายพระป่า ด้วยภาระการสงเคราะห์-การปกครองสงฆ์เป็นสำคัญ  แต่ในทุกค่ำคืน เมื่ออาตมาได้ถวายการอุปัฏฐากเป็นส่วนตัว ในกาลที่มาพักอยู่ ณ วัดป่าพุทธพจน์หริภุญไชย อ.เมือง จ.ลำพูน โดยท่านจะกำหนดมาพักเดือนละ ๑ ครั้ง ครั้งละ ๒-๓ วัน หรือจะมากกว่านั้น ก็แล้วแต่ความประสงค์

 ทั้งนี้ เพราะในสมัยแรกที่รับการยกฐานะเป็นวัดป่าพุทธพจน์ฯ หลวงพ่อได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่-ลำพูน-แม่ฮ่องสอน (ธ) ให้ทำหน้าที่รักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าพุทธพจน์หริภุญไชย ซึ่งเป็นไปตามความประสงค์ของอาตมา เพื่อต้องการให้หลวงพ่อกลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดในบ้านเกิด (จ.ลำพูน) ของท่าน

 จึงเป็นโชควาสนาของอาตมาที่ได้รับการอบรมสั่งสอนโดยตรงจากหลวงพ่อ ไม่ว่าจะเป็นการเทศนาธรรม การสวดมนต์ แม้กระทั่งอุบายวิธีในการปฏิบัติกรรมฐาน และการเจริญสมาธิ ด้วยการนับลูกประคำ (ตกลูกประคำ) ซึ่งท่านจะกระทำเป็นปกติก่อนจำวัด

 สำคัญที่สุด คือ การถ่ายทอดนิสัยความเป็นเจ้าอาวาสให้โดยตรงว่า ควรประพฤติตน-พัฒนาตนอย่างไร โดยเฉพาะการถ่ายทอดความรู้ข้อวัตรปฏิบัติของครูบาอาจารย์ สายพระกรรมฐาน ได้แก่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ใหญ่ของหลวงพ่อ สมัยที่หลวงปู่มั่นดำรงฐานะเป็นเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ซึ่งหลวงตามหาบัวเคยกล่าวหยอกเย้าหลวงพ่อว่า

 “เรากับท่านเจ้าคุณนี่สนิทกันมาตั้งแต่เป็นมหาเปรียญ เป็นลูกศิษย์ในพระอาจารย์เดียวกัน คือ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต....”

 ในเรื่องดังกล่าว อาตมามีหลักฐานยืนยันถึงความผูกพันของหลวงพ่อต่อหลวงปู่มั่น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความกตัญญูกตเวทิตา ต่อครูบาอาจารย์สายพระป่า






 เมื่อหลวงพ่อบัญชาให้ อาตมาสร้างวัดป่าพุทธพจน์ฯ ประดิษฐานไว้ในพระพุทธศาสนา และให้สืบทอดปฏิปทาสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งอาตมาก็ได้น้อมรับด้วยความรู้สึกยินดียิ่ง เพราะอาตมาเป็นพระป่ากรรมฐาน สายตรงทางหลวงปู่ขาน-หลวงปู่ขาว อยู่แล้ว จึงได้ก่อร่างสร้างวัด  อบรมพระเณร ถือข้อวัตรปฏิบัติสายพระป่ามาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน

 เมื่อหลวงพ่อได้ละสังขาร โดยเก็บสรีระไว้ในหีบศพ ณ พระวิหารวัดเจดีย์หลวง (พระอุโบสถ)  อาตมาจึงได้ขออนุญาต พระพุทธิสารโสภณ เจ้าคณะจังหวัด ประธานสงฆ์ พิจารณาผ้ามหาบังสุกุลจากร่างของท่านที่นอนนิ่งอยู่ในหีบศพ โดยนำผ้าไตรจีวรชุดใหม่ ที่ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ได้ประทานถวาย มาบูชาสักการะ

 และอาตมาได้นำผ้าห่อร่างของท่านทั้ง ๓ ผืน ไปกระทำพิธีซักผ้ามหาบังสุกุล ณ แม่น้ำกวง ใกล้บ้านเกิดของท่าน (อ.ป่าซาง จ.ลำพูน) ซึ่งบัดนี้ อาตมาได้นำมาอธิษฐาน เป็นผ้ามหาบังสุกุล  ใช้นุ่งห่มอยู่จนถึงปัจจุบัน เพื่ออุทิศบุญกุศลในการทรงผ้ามหาบังสุกุล เป็นวัตร อันเป็น ๑ ใน ๑๓ ข้อของธุดงควัตรของพระสงฆ์ ซึ่งทรงคุณเป็นอย่างยิ่ง ต่อการยกระดับจิตใจด้วยความหมาย ความเป็นอนุสติของมรณะ ที่มีอยู่ทุกขณะที่สัตว์ทั้งหลายไม่ควรประมาท เพราะเบื้องหน้า คือ ความตายที่จะต้องพบเสมอเหมือนกัน

 จึงขอบูชาพระสงฆ์ผู้ทรงคุณธรรม อันเป็นเลิศ มีเมตตากรุณาอย่างต่อเนื่อง มีวัตรปฏิบัติที่ทรงคุณค่า สมกับความเป็นพระสงฆ์สาวกในพระพุทธศาสนาที่แท้จริง เนื่องในวันพระราชทานเพลิงศพ  หลวงพ่อ พระพุทธพจนวราภรณ์ หรือ หลวงปู่จันทร์ กุสโล ของศิษยานุศิษย์ ตลอดจนถึงพุทธศาสนิกชนในทั่วทุกภาค อาตมาจึงขอกราบสักการะด้วยการน้อมนำมากล่าวบูชาใน คอลัมน์ “คิดทาง…ธรรม” เพื่อสืบสานเจตนาเผยแพร่ธรรมของหลวงพ่อสืบต่อไป

 ขอกล่าวบูชาด้วยบทธรรมตอนหนึ่ง ที่อาตมาลิขิตไว้ว่า...
 คุณความดี คุณธรรม  ไม่จางหาย
 ชนทั้งหลาย น้อมเคารพ ระลึกถึง
 แม้ตัวตาย  ดุจกายอยู่  ยังตราตรึง
 ชนคำนึง  น้อมกราบไหว้ คุณธรรม

       ขอเจริญพร

93



เขานินทาเรา ด่าเรา เขาแย่งของเราไป ฯลฯ

เราไม่พอใจ เรากำลังจะโกรธเขา ต้องรีบแก้ไขทันที
"เขา" ไม่สำคัญ สำคัญที่ใจเรากำลังจะเป็นทุกข์
เรากำลังจะผิดศีล กำลังจะผิดข้อวัตรของเรา

ระวังนะ..... ถ้าเราเป็นทุกข์ เราก็ผิดข้อวัตรของเราแล้ว
ผิดศีล เราก็บาปแล้ว
เราต้องมีหิริ โอตตัปปะ ละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป
ถ้าเราเป็นทุกข์ เราผิดศีล เราก็บาป



ใครเขานินทาเราก็ไม่สำคัญ เขาทำอะไรๆ เราก็ไม่สำคัญ สำคัญที่ใจเรา
สำคัญที่ใจเราอย่าเป็นทุกข์เท่านั้นก็พอแล้ว
ไม่ต้องดูใคร ไม่ต้องฟังใคร ดูกายกับใจของเรานี่แหละ
เราต้องเป็นที่พึ่งของเราเอง
อัตตา หิ อัตตโน นาโถ นะ


เราขึ้นอยู่กับคำพูดหรือการกระทำของคนอื่นไม่ได้หรอก


ระวังนะ….. คนโน้นคนนี้ก็ไม่สำคัญหรอก สำคัญที่จิตของเรานี่แหละ
ใครทุกข์ก็ไม่ต้องทุกข์ตามเขา ไม่ต้องโต้ตอบ ไม่ต้องชี้แจง ไม่ต้องกลัว


สำคัญที่ใจเราอย่าเป็นทุกข์นะ
ถ้าเราทุกข์เราผิดแล้วนะ ไม่ใช่เขาผิดหรอก
ต้องรีบพิจารณาแก้ไขทันที


ที่มา ธรรมจักร

94




ที่มา พลังจิต ขอขอบคุณครับ  :016:  :053:


95



เทพเจ้าแห่งตะกุดแห่งเมืองปทุมธานีสังขารแล้ว

21 ม.ค. 52 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลวงปู่รอด อินฺทวีโร วัดนพรัตนาราม ถนนเลียบคลองสิบสอง ต.นพรัตน์ อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี พระเกจิชื่อดังสายปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เจ้าของตำนานเทพเจ้าแห่งตะกุดแห่งเมืองปทุมธานี ได้ละสังขารอย่างสงบแล้ว ด้วยโรคชรา ที่วัดนพรัตนาราม รวมสิริรวมอายุ 85 ปี 50 พรรษา โดยจะมีพิธีสวดพระอภิธรรม 7 วัน และจะฌาปนกิจ ในวันที่ 28 ม.ค.ที่จะถึงนี้ ท่ามกลางความโศกเศร้าของคณะศิษย์ยานุศิษย์ ที่เดินทางมากราบเคารพศพเป็นจำนวนมาก.


ที่มาจาก Daily News Online




 :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054: :054:

96
เบอร์มรณะ รับโทรศัพท์แล้วตาย มีจริงหรือ?



หนึ่ง ในฟอร์เวิร์ดเมล์ที่ยังคงส่งต่อถึงกันตั้งแต่หลายปีก่อน มาจนถึงวันนี้ก็ยังไม่หมดไป และสร้างความฉงนให้กับผู้รับเป็นอย่างมาก นั่นคือ เรื่อง เบอร์มรณะ รับโทรศัพท์แล้วตาย ที่มักจะมีคนเขียนข้อความทำนองว่า "อย่ารับเบอร์โทรศัพท์เบอร์นี้เป็นอันขาด เพราะคุณอาจเสียชีวิตได้" จนมีผู้เรียกขานเบอร์โทรศัพท์แปลก ๆ เหล่านั้นว่า เบอร์มรณะ แม้กระทั่งภาพยนตร์เรื่อง 999-9999 ต่อ - ติด - ตาย ก็ยังมีพล็อตกล่าวถึง เบอร์มรณะ เช่นกัน ทำให้หลายคนสงสัยว่า จริง ๆ แล้ว เบอร์มรณะ มีจริงหรือแกล้งกันเล่นแน่

ล่าสุด กระแสข่าว เบอร์มรณะ กำลังถูกกระพืออีกครั้งผ่านปากต่อปากในหลายจังหวัดของภาคเหนือ โดยมีเสียงโจษจันต่อ ๆ กันมาว่า "ระวัง! ห้ามรับโทรศัพท์เบอร์ 083336xxxx , 083336xxxx , 083333xxxx เด็ดขาด เพราะคุณจะจบชีวิตลงแน่นอน" พร้อมกับระบุว่า มีหลายคนที่เสียชีวิตอย่างปริศนาจาก เบอร์มรณะ รับโทรศัพท์แล้วตาย นี่มาแล้ว

นอก จากนี้ ข่าวลือยังระบุอีกว่า เบอร์มรณะ 083336xxxx , 083336xxxx , 083333xxxx ที่โทรศัพท์เข้ามาจะโชว์เป็นเบอร์สีแดง โดยทุกคนที่ได้รับโทรศัพท์จากเบอร์สีแดง จะเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งมีการอ้างว่า หลายจังหวัดในภาคเหนือมีผู้เสียชีวิตจาก เบอร์มรณะ 083336xxxx , 083336xxxx , 083333xxxx มาหลายคนแล้ว โดยมีอาการแก้วหูแตก เลือดคั่งในสมอง

ทั้งนี้เรื่องราว เบอร์มรณะ ดังกล่าว ได้มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นตามเว็บบอร์ดจำนวนหนึ่ง โดยความคิดเห็นเรื่อง เบอร์มรณะ รับโทรศัพท์แล้วตาย แบ่งออกเป็น 3 ทาง คือ ฝ่ายหนึ่งค่อนข้างเชื่อกับเรื่อง เบอร์มรณะ เพราะมีคนรู้จักประสบเหตุมาแล้ว ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่ง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็เตือนให้ระวังกันไว้ ส่วนอีกฝ่ายมองว่า เรื่อง เบอร์มรณะ น่าจะเป็นการแกล้งกันเล่นมากกว่า

โดย ฝ่ายที่ไม่เชื่อเรื่อง เบอร์มรณะ นั้นได้ยกตัวอย่างเช่น สมมติบางคนไม่ชอบหน้าอีกคน หรืออยากจะแกล้งกันเล่น ก็อาจจะนำเบอร์โทรศัพท์ของคน ๆ นั้นมาโพสต์ในอินเทอร์เน็ต และสร้างกระแสว่าเป็น เบอร์มรณะ เพื่อให้คนใจกล้าลองโทรศัพท์เข้าไปพิสูจน์ดู ซึ่งแน่นอนว่าก็จะสร้างความเสียหายให้กับเจ้าของเบอร์โทรศัพท์เบอร์นั้นเป็น อย่างมาก

อย่างไรก็ตาม เรื่อง เบอร์มรณะ บางคนอาจมองว่าดูคล้ายกับ คิระ ในการ์ตูน Death Note มากเกินไป และอีกฝ่ายก็มองว่าไม่น่าทำให้หมายเลขโทรศัพท์ที่โทรเข้าเครื่องคนอื่น โชว์เป็นสีแดงได้ หรืออาจเป็นการโปรโมทอะไรบางอย่าง แต่ก็มีหลายคนที่ยืนยันว่า เคยมีญาติรับ เบอร์มรณะ แล้วเสียชีวิตจริง ๆ ซึ่งหากใครไม่เชื่อ ก็ไม่ควรไปลบหลู่

สุด ท้ายแล้วการจะพิสูจน์ว่า เบอร์มรณะ 083336xxxx , 083336xxxx , 083333xxxx รับโทรศัพท์แล้วตาย นั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือมั่วนิ่ม ก็คงต้องให้เจ้าของเบอร์โทรศัพท์ หรือเครือข่ายโทรศัพท์ ออกมาชี้แจง เพื่อไขปริศนานี้ให้กระจ่าง เพราะหากเป็นเรื่องล้อเล่น หรือแกล้งกัน ดีไม่ดี ผู้ส่งฟอร์เวิร์ดเมล์อาจจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ก็เป็นได้

อย่าง ไรก็ตาม จากกระแส เบอร์มรณะ ดังกล่าวทำให้ผู้สื่อข่าวไทยรัฐออนไลน์ ได้ทดลองโทรติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ดังกล่าวทั้ง 3 เบอร์ ปรากฏว่า เบอร์แรกที่ขึ้นต้นด้วย 08-333-6XXX ระบบปลายสายตอบกลับมาว่า "หมายเลขที่ท่านเรียกยังไม่ได้เปิดใช้บริการ"

ส่วน อีก 2 เบอร์ได้แก่ เบอร์ 08-3336-6XXX และ เบอร์ 0-83-3336XXX นั้น เมื่อลองกดไปปลายสายจะเงียบไปราว 1-3 วินาที หลังจากนั้นก็เป็นเสียงผู้หญิงระบุว่า "กรุณาฝากหมายเลยโทรกลับ" สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ที่โทรไปเป็นอย่างมาก แต่บางจังหวะของเบอร์ทั้ง 2 ที่ว่ากลับเป็นสัญญาณสายไม่ว่าง

โดย ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังนายธนา เธียรอัจฉริยะ ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจพรีเพด บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบดีแทค และ แฮปปี้ ซึ่งนายธนากล่าวว่า ที่มีข่าวลือว่าเมื่อรับโทรศัพท์อาถรรพ์เบอร์ใดเบอร์หนึ่งใน 3 เบอร์จะทำให้แก้วหูแตก เลือดคั่งในสมอง และเสียชีวิตตามข่าวนั้น ขอยืนยันว่าไม่จริงอย่างแน่นอน คิดว่ากอาจจะเป็นการกลั่นแกล้งกันมากกว่า

"ตั้งแต่ ผมทำงานมาผมเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งความจริงนั้นเป็นไปไม่ได้ ผมเคยเห็นแต่ในหนัง หนังสือการ์ตูน อย่างไรก็ดีจากที่ผมเช็คดูเบอร์ทั้งหมดเป็นโทรศัพท์ระบบเติมเงิน ของเครือข่ายหนึ่ง แต่ได้ยกเลิกหมายเลยดังกล่าวไปแล้ว ดังนั้นขอให้ทุก ๆ คน อย่าตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะคิดว่าเป็นแค่คนที่คึกคะนองเท่านั้น ส่วนประเด็นเรื่องการตลาดหรือการกลั่นแกล้งของคู่แข่งนั้น ไม่น่าจะมีความเป็นไปได้" นายธนา กล่าว

ด้าน นายปรัธนา ลีลพนัง ผู้อำนวยการสำนักบริการเสริม บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบเอไอเอส และวันทูคอล ยอมรับว่า เบอร์โทรศัพท์ ดังกล่าวเป็นของบริษัทฯ โดยใช้ระบบเติมเงิน ซึ่งขณะที่ปิดบริการไปแล้ว อย่างไรก็ดี เขายืนยันว่า การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่จะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างแน่นอน เนื่องจากทางระบบจะกำหนดว่าสามารถให้วอลุ่มของเสียงได้เท่าใด เพื่อไม่ให้ กระทบต่อสุขภาพของผู้ใช้บริการ

"ผม ไม่คิดว่าเป็นการทำลายชื่อเสียง น่าจะเป็นการส่งฟอร์เวิร์ดเมลของผู้ที่นึกสนุกเท่านั้น ส่วนถ้าหากเป็นการโปรโมตหนังหรือทำการตลาดขิงสินค้าใด โดยการมาใช้วิธีอย่างนี้ ผมคิดว่าไม่ดีนัก เพราะว่าเป็นการสร้างความตกใจให้กับประชาชน ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่สมควร" นายปรัธนา กล่าว

ขณะ ที่ นพ.เอาชัย กาญจนพิทักษ์ ศัลยแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องตา หู รพ.เวชธานี เปิดเผยว่า ข่าวลือดังกล่าวไม่น่าจะเป็นความจริง ตามหลักการแพทย์นั้นเสียงโทรศัพท์ไม่สามารถทำให้คนแก้วหูแตกได้ การฟังเอ็มพี 3 ยังมีโอกาสจะทำให้แก้วหูได้รับผลกระทบมากกว่า

ทั้ง นี้ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ เคยมีเบอร์โทรศัพท์อาถรรพ์ทำนี้ออกมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน โดยเบอร์ที่ระบุว่าเป็นเบอร์อาถรรพ์แต่ละเบอร์นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเบอร์ที่สวย เช่น เบอร์เรียง และเบอร์ตอง โดยเคสที่ถือว่าเป็นเคสแรก ๆ ของเบอร์อาถรรพ์ ก็คือเบอร์โทรศัพท์ของศูนย์นารายณ์ โดยเจ้าหน้าที่ศูนย์เก่าแก่คนหนึ่งกล่าวกับเราว่า เมื่อก่อนมีคนโทรศัพท์ที่เบอร์นี้มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความคึกคะนอง แต่ปัจจุบันไม่มีแล้ว

สำหรับ ผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือทุกระบบ หากมีความประสงค์จะเช็คเบอร์โทรศัพท์ว่าเป็นของระบบในเครือข่ายไหน สามารถเช็คได้ที่เว็บไซต์ www.checkber.com

97



หลวงปู่บุญมา สิริมาโย"
อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านหนองเรือ ต.หนองเรือ อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม พระเกจิอาจารย์ชื่อดังสืบสายธรรมจากหลวงปู่ซุน วัดบ้านเสือโก้ก อ.วาปี ปทุม

หลวง ปู่บุญมา เกิดปี พ.ศ.2442 ณ บ้านหนองบัวกุดอ้อ อ.วาปีปทุม จ. มหาสารคาม เมื่ออายุครบบวชได้เข้า พิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดบ้านหนองบัวกุดอ้อ มีหลวงปู่ซุน วัดบ้านเสือโก้ก เป็นพระอุปัชฌาย์

ท่านได้ศึกษา วิทยาคมจากหลวงปู่ซุน ไม่ว่าจะเป็นวิชาเมตตามหานิยม แคล้ว คลาด คงกระพันชาตรี กันบ้านกันเมือง รวมทั้งยังได้ศึกษาด้านการอ่านการเขียนอักษรธรรม และภาษาขอม

หลวงปู่บุญมามรณภาพในปี พ.ศ.2523 สิริอายุ 81 พรรษา 59

กล่าว สำหรับวัตถุมงคลของหลวงปู่บุญมา ในช่วงที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านได้จัดสร้างเป็นจำนวนน้อยมาก แต่ที่เป็นสุดยอดปรารถนาของนักสะสมนิยมพระเครื่อง คือเหรียญรูปไข่รูปเหมือนหลวงปู่บุญมา รุ่นแรก สร้างปี 2511 จัดสร้างขึ้นเพื่อบูชาครู เนื่องในวาระที่หลวงปู่ อายุครบ 69 ปี

วัด บ้านหนองเรือได้มอบให้คณะศิษย์และผู้ที่ได้บริจาคจตุปัจจัยสมทบทุนสร้าง สาธารณูปโภคสาธารณูปการในวัด เป็นเหรียญทองแดงรมดำ จำนวนการสร้างไม่เกิน 3,000 เหรียญ

ด้านหน้าเป็นเหรียญยกขอบมีหูห่วง จากด้านขวาของเหรียญวนขึ้นไปด้านบนโค้งลงไปทางขอบเหรียญด้านซ้ายเขียนว่า "หลวงปู่บุญมา ศิริมาโย" ตรงกลางเหรียญเป็นรูปเหมือนหลวงปู่บุญมานั่งเต็มองค์ มือขวาวางที่หัวเข่า มือซ้ายวางอยู่ที่หน้าตัก ด้านใต้รูปเหมือนเขียนว่า อายุ ๙๖ ทั้งนี้ แท้ที่จริงช่างแกะบล็อกผิด ที่ถูกต้องคือ 69 ด้านหลังเหรียญมีอักขระรอบเหรียญ ตรงกลางเหรียญจะเป็นยันต์น้ำเต้า อ่านว่า "อิ สวา สุ นะ มะ พะ ทะ นะ มะ พะ ทะ รัง" พร้อมกับอุณาโลม และอิติปิโส ใต้ยันต์เขียนคำว่า "วัดหนองเรือ อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม"

สำหรับ เหรียญรุ่นนี้หลวงปู่บุญมาได้ประ กอบพิธีพุทธาภิเษกเดี่ยวภายในอุโบสถตลอดพรรษา ทำให้มีพุทธคุณโดดเด่นรอบด้าน การันตีได้ในความเข้มขลัง

ร่ำลือกัน ว่า เคยมีผู้ที่ห้อยเหรียญหลวงปู่รุ่นนี้ถูกลอบยิงด้วยอาวุธปืนในระยะเผาขน แต่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สามารถผ่อนหนักเป็นเบา และมีบางรายประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ รถพังยับทั้งคัน แต่ปลอดภัยอย่างน่าอัศจรรย์

จัดเป็นเหรียญยอดนิยมในพื้นที่อีก เหรียญหนึ่งของอ.นาเชือก จ.มหาสารคาม ผู้ที่เก็บสะสมบูชาพระเครื่องวัตถุมงคลไม่ควรพลาดในการหามาไว้สักการบูชา เป็นเหรียญที่ราคาเช่าหายังไม่สูงเท่าใดนัก เหรียญสวยจะอยู่หลักพันต้น สวยน้อยราคาอยู่หลักร้อยปลาย

ยังพอหาได้ตามศูนย์พระเครื่องในอำเภอนาเชือกและในเมืองมหาสารคาม



ที่มา ข่าวสดรายวัน  เปิดตลับพระใหม่   หน้า 32  ขอบคุณครับ  :001:

98



วัด อัมพวัน ต.บางม่วง อ.บางใหญ่ จ.นนท บุรี เดิมชื่อ "วัดบางม่วง" เป็นแหล่งธรรมเก่าแก่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย ว่ากันว่าอยู่ในยุคพระเจ้าปราสาททอง

ปัจจุบันมีเสนาสนะเพียบพร้อมสมบูรณ์ อาทิ อุโบสถ กุฏิสงฆ์ หอระฆัง ศาลาที่จอดเรือสำหรับพระภิกษุ-สามเณรใช้ออกบิณฑบาตทางน้ำ เป็นต้น

สิ่ง ที่น่าสนใจของวัดแห่งนี้ "หอไตรกลางน้ำ" เป็นสถาปัตยกรรมไทยที่สมบูรณ์ที่สุด เป็นเรือนไม้ยกใต้ถุนสูง ตัวหอมีขนาด 2 ห้อง ช่วงล่างเป็นลูกฟักกระดานดุน ตอนบนเป็นซี่ลูกกรงไม้ กลึงเสา กรอบประตูเป็นเสาหัวเม็ด ประตูหูช้าง เครื่องลำยองเป็นไม้จำหลัก หลังคาซ้อน 2 ชั้น มีปีกนก 1 ชั้น มุงกระเบื้องดินเผาใต้เชิงชาย และหน้าบันประดับไม้สลักลายรดน้ำ หน้าบานประตูทางเข้าหอไตรเป็นบานไม้ลงรัก ปิดทอง ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ อกเลาเป็นไม้จำหลักลายดอกพุดตาน ลูกฟัก เหนือประตูเป็นภาพนกข้างละตัว เหนือขึ้นไปเป็นภาพพระอาทิตย์ พระ จันทร์ ในห้องสกัดท้ายหอไตรเป็นที่เก็บพาน ตะลุ่มและฐานพระพุทธรูปไม้จำหลักจำนวนมาก




จจุ บันวัดแห่งนี้มี "พระครูมงคลกิจจาทร หรือหลวงพ่อย้อย มังคโล" ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ท่านเป็นศิษย์พุทธาคมของ "หลวงพ่อดิษฐ์ ติสโส" อดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง เจ้าตำรับการจัดสร้างพระปิดตาแร่บางม่วงอันโด่งดัง ซึ่งปัจจุบันสนนราคาเล่นหาสูงมาก

"พระปิดตาแร่บางม่วง" แห่งวัดอัมพวัน ถือเป็นสุดยอดพระเครื่องเมืองนนทบุรี ไม่แพ้ "พระปิดตาแร่บางไผ่ และพระปิดตาแร่บางเดื่อ" ซึ่งเป็นพระปิดตาที่นักสะสมต่างรู้จักกันดี พระปิดตาแร่บางม่วงของหลวงพ่อดิษฐ์มีจำนวนสร้างน้อยมาก พุทธคุณเลื่องลือทางด้านเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดปลอดภัย ค้าขายร่ำรวย

"หลวงพ่อย้อย" ท่านเป็นศิษย์พุทธาคมหลวงพ่อดิษฐ์ที่สำเร็จวิชาเล่นแร่แปรธาตุ และเป่ายันต์นะปัดตลอด เป็นที่เลื่องลือ "ยันต์นะปัด" คือการที่เอาผ้ามาตัดเป็นผืนสี่เหลี่ยมเพื่อที่จะทำผ้ายันต์ จากนั้นก็เขียนผ้ายันต์ที่ลงอักขระยันต์นะปัดตลอด และใช้ฝ่ามือตบลงไปที่ผ้ายันต์ทีเดียว ผ้ายันต์ทุกผืนจะติดอักขระทั้งหมด จึงเป็นที่มาของผ้ายันต์นะปัดตลอด



หลวง พ่อย้อยท่านเป็นพระที่มากเมตตา พูดคำไหนเป็นคำนั้น วาจาท่านศักดิ์สิทธิ์จึงมีลูกศิษย์ลูกหาเลื่อมใสศรัทธาเป็นจำนวนมาก ท่านได้สืบทอดเจตนารมณ์ สืบสานวิชาดังการจัดสร้างพระปิดตาของหลวงพ่อดิษฐ์ จัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นล่าสุดเปิดให้ประชาชนทั่วไปร่วมบุญบูชา ด้วยการรวบรวมแผ่นยันต์แผ่นจาร โลหะธาตุที่เป็นมงคล เครื่องใช้ทองคำ เงิน นาก สำริด ฐานพระบูชา พระกรุ พระเก่า ทั้งเนื้อโลหะ เนื้อผง เนื้อดิน เนื้อว่าน ตั้งแต่สมัยทวารวดีจนมาถึงสมัยปัจจุบัน รวมถึงแร่บางม่วงของเก่าของหลวงพ่อดิษฐ์ ซึ่งตกค้างอยู่ที่วัดอัมพวันนำมาเททองหล่อเป็นวัตถุมงคลขึ้น






วัตถุ มงคลที่จัดสร้างประกอบด้วย พระปิดตาแร่บางม่วง, พระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์, พระกริ่งอัมพวัน และพระชัยวัฒน์ บรรจุมวลสารร้อยแปด และพระอรหันตธาตุของกรุสุโขทัย, ตะกรุดมหาอุด ซึ่งสุดยอดของคงกระพัน, ชูชกเทพเจ้าแห่งทรัพย์และโชคลาภ และพระพิฆเนศ เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ

กำหนด นำเข้าพิธีมหาพุทธาภิเษก-เทวาภิเษก พร้อมพิธีสวดนพเคราะห์เสริมชะตาต่อชีวิตครั้งใหญ่ และงานปิดทองฝังลูกนิมิต ตั้งแต่วันที่ 12-20 กุมภาพันธ์ 2553 ณ มณฑลพิธีวัดอัมพวัน โดยมีพระเทพภาวนาวิกรม วัดไตรมิตรวิทยาราม กรุงเทพฯ เป็นประธานพิธีสวดนพเคราะห์ พระครูภาวนาโสภณ วัดป่าธรรมโสภณ จ.ลพบุรี เป็นเจ้าพิธีกรรม พระเกจิอาจารย์ชื่อดังร่วมนั่งปรกอธิษฐานจิตปลุกเสก อาทิหลวงพ่อพูนวัดบ้านแพน จ.พระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อเอียด วัดไผ่ล้อม จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น หลังเสร็จพิธีแจกฟรี! สมเด็จคะแนนปรกโพธิ์สะดุ้งกลับเนื้อผง ภายในงานมีมหรสพสมโภช สอบถามรายละเอียดสั่งจองวัตถุมงคลได้ที่วัดอัมพวัน ต.บางม่วง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี โทร. 0-2595-1531, 08-3979-9088 รายได้นำไปบำรุงพระพุทธศาสนา ถมเขื่อนหน้าวัดอัมพวัน

การเดินทาง ทางรถยนต์ใช้เส้นทางถนนวงแหวนรอบนอกบางบัวทอง-ตลิ่งชัน เลี้ยวแยกซ้ายมือที่ตำบลบางม่วง ทางน้ำโดยสารเรือหางยาวจากท่าเรือหน้าที่ว่าการอำเภอบางใหญ่ ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีเท่านั้น


วัดบางม่วงเป็นวัดไกล้บ้านผมครับ   นำมาออกหน่อยวันนี้  :001:


ที่มา ข่าวสดรายวัน หน้า32  :002:



99
เมื่อเวลาเรารู้สึกดวงไม่ดี มีเคราะห์ หรือเจ็บป่วย หากท่านใดมีพระกริ่ง(องค์แทนพระพุทธเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาสพุทธเจ้า)ก็ สามารถอาราธนาบารมีของพระองค์ท่านทำน้ำพระพุทธมนต์ ดื่ม รด อาบ กินเพื่อความสวัสดี มีชัยปราศจากเคราะห์ได้นะครับ วิธีการมีดังนี้



วิธีทำ ให้นำน้ำมาใส่ขันหรือภาชนะใดๆๆก็ได้ หน้าองค์พระประธาน โยงสายสิญจน์จากมือพระประธานแล้ววนมายังน้ำมนต์ ส่วนหนึ่งมาไว้กับเราแบบเวลาพระสงฆ์ทำน้ำมนต์ แล้วจุดธูปเทียน บูชาพระรัตนตรัย

ตั้งนโมสามจบแล้วกล่าวว่า

พุทธัง ชีวิตัง ยาวะ นิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ,อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ

วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสสะธัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ.

ธัมมัง ชีวิตัง ยาวะ นิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ ,สวากขาโต ภะคะวา ธัมโม

สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญู...ติ.

สังฆัง ชีวิตัง ยาวะ นิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ,ปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

ญายะปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

สามีจิปฎิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสสะ ยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา

เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย

อัญชะลีกะระนีโย อะนุตตะรัง ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติ.

แล้วนำเอาธูปปักที่กระถางธูปแล้วสวดพระคาถา อุณหิสวิชัย ๓ จบ ดังนี้

อัตถิ อุณหิสสะ วิชะโย ธัมโมโลเก อะนุตะโร

สัพพะ สัตตะ หิตัตถายะ ตัง ตวัง คัณหาหิ เทวะเต

ปะริวัชเช ราชะทัณเฑ อะมะนุสเสหิ ปาวะเก

พยัคเฆ นาเค วิเสภูเต อะกาละ มะระ เณนะวา

สัพพัสมา มะระณา โหตุ เทโว สุขี สะทา สุทธะสีลัง

สะมาทายะ ธัมมัง สุจะริตัง จะเร ตัสเสวะ

อานุภา...ะ โหตุ เทโว สุขี สะทา ลิกขิตัง จินติตัง

ปูชัง ธาระณัง วาจะนังคะรุง ปะเรสัง เทสะนัง

สุตวา ตัสสะ อายุ ปะวัฑฒะ ตีติ


หากจะอาราธนาพระกริ่งทำน้ำมนต์อธิษฐานให้ใครก็เอ่ยชื่อคนนั้นครับ

เสร็จแล้วนำเอาพระกริ่งมาไว้ในมือตั้งนโม ๓จบแล้วสวดพระนามองค์พระไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาสพุทธเจ้าดังนี้

โอม นะโม ภะคะวะเต ไภษัชยะ คุรุ ไวฑูรยะ ประภา ราชายะ ตะถาคะตายะ อะระหะเต สัมมะยักกะ สัมพุทธายะ ตัถยะถา โอม ไภษัชเย ไภษัชเย ไภษัชเย สมุทะคะเต สะวาหะ(สะ-หวา-หะ) ๙จบ

แล้วนำเอาองค์พระกริ่งใส่ลงไปในน้ำมนต์ให้อยู่กึ่งกลางภาชนะ แล้วจับสายสิญจน์สวดดังนี้

ภัน เต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์พุทธเจ้า ผู้ทรงพรอันประเสริฐ พระผู้ประทานพรอันศักดิ์สิทธิ์ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมฉัน ขอพระราชทานให้องค์สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ดาญาณพุทธเจ้าผุ้ทรงมีพระมหา กรุณาธิคุณโปรดทรงปราณีแก่หม่อมฉัน ขอสมเด็จพระพุทธองค์ทรงแสดงพุทธานุภาพอันเรืองฤทธิ์ประสิทธิ์พร้อมไปด้วย พุทธฉัพพัณณรังสีพุทธรัศมีโอภาสสว่างไสว ใหญ่ยิ่งด้วยดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันดังดวงจันทร์วันเพ็ญยามเที่ยงคืน ให้เกิดปรากฏการณ์แก่เกล้าหม่อมฉัน ในวาสนาบารมีที่เกล้าหม่อมฉันสร้างมา ให้เกล้าหม่อมฉันประสพพบในพุทธโอภาส สว่างไสวในจักขุญาณ โสตญาณ มาณญาณ ชิวหาญาณ กายญาณ มโนญาณ ให้เกิดแก่เกล้าหม่อมฉัน และขอให้เกล้าหม่อฉันปราศจากทุกข์โศก โรคภัย และปราศจากอุปัททวัญตรายชนะศัตรูหมู่มารภัยพาลสันดานหยาบทั้งแปดทิศ ด้วยวาสนาบุญญฤทธิ์ที่เกล้าหม่อมฉันสร้างมา ตลอดทั้งทรัพย์สินเงินตราของเกล้าหม่อมฉันที่สูญหายไป มีโภคทรัพย์ภายนอกและอริยทรัพย์ภายใน สุขสรรเสริญ สันติสุขอันใดหายไป ขอพระบารมีให้ไหลคืนมาดังมหาสมุทรทั้ง๘ทิศ ด้วยวาสนาบุญญฤทธิ์ของหม่อมฉัน ที่ได้ตั้งจิตคิดขอพระพรมา โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมฉันด้วย นะอะหัง พุทโธนะ นะโลกะวิทู นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ นะมะอะอุ อิกะมะนะ
พุทธะชีวิตตัง นะมะพะทะ

เป็นอันเสร็จพิธีให้กล่าวนโม๓จบ

เสสัง มังคะลัง ยาจามิ ข้าพระพุทธเจ้าขอคืนเศษเหลือน้ำทิพย์อันเป็นมงคลนี้ แล้วอาราธาองค์พระกริ่งขึ้นจากน้ำแล้วนำน้ำนั้นไปใช้ผสมรด อาบ กิน สะเดาะเคราะห์ต่อชะตา รักษาโรคภัยไข้เจ็บ และเจริญด้วยสิริอายุ วรรณะพละแล้วแต่เราขอจากน้ำมนต์เถิด

หมาย เหตุ ตำรานี้สมเด็จพระสังฆราชแพได้รับถ่ายทอดจากสมเด็จพระปวเรศสมเด็จพระสังฆราช เจ้าได้อาราธนาพระกริ่งทำน้ำมนต์ให้สมเด็จพระวันรัตฉัน เพียงครั้งเดียว อหิวาตกโรคในสมเด็จพระวันรัตก็หายไปสิ้น ท่านอาจารย์อุรคินทร์ วิริยะบูรณะได้รับพระเมตตาจากสมเด็จพระสังฆราชแพบอกกล่าววิธีนี้ไว้และได้นำ มารวบรวมไว้ในตำรา จึงขอนำมาเผยแพร่ต่อครับ


ภาพต้นฉบับเดิมบางส่วน









ที่มาhttp://www.buddhakhun.org/main//index.php ขอขอบคุณครับ



100



The Leshan Giant Buddha พระพุทธรูปเล่อซาน คือ พระพุทธรูปแกะสลักหน้าผา ใหญ่ที่สุดในโลก และยังเป็น 1 ใน มรดกโลกภายใต้ชื่อ "ภูมิทัศน์แห่งเขาเอ๋อเหมยและพระพุทธรูปเล่อซาน"

ประวัติ และข้อมูล เกี่ยวกับ พระพุทธรูปเล่อซาน

    * พระ พุทธรูปเล่อซาน ประดิษฐานอยู่ที่เขาเอ๋อเหมยซาน (หรือที่รู้จักในชื่อ เขาง้อไบ๊ ) บริเวณด้านหน้าพระพุทธรูปคือ แม่น้ำ Qingyi ใน มณฑลเสฉวน(Sichuan) ประเทศจีน
    * เป็นที่น่าหลาดใจที่พระพุทธรูปเล่อซาน ไม่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวในเสฉวน เมื่อปี 2008 เลย
    * องค์พระมีความสูง 71 เมตร ไหล่กว้าง 28 เมตร ถือเป็นพระพุทธรูป แกะสลักหน้าผา ใหญ่ที่สุดในโลก
    * สร้างในช่วงราชวงศ์ถัง ( Tang Dynasty ) เริ่มก่อสร้างในปี 713 นำโดยหลวงจีน ชื่อว่า ไฮ่ถัง (Haithong)
    * เนื่อง จากคุ้งน้ำบริเวณนี้ได้ กลืนกินเรือไปเป็นจำนวนมาก หลวงจีนไฮ่ถัง จึงหวังว่าการก่อสร้าง พระพุทธรูปเล่อซาน จะช่วยปกปักษ์ เรือต่างๆที่ผ่านมาบริเวณนี้
    * หลวงจีนไฮ่ถัง พูดไว้ว่าหากก่อสร้างพระพุทธรูปนี้สำเร็จ จะควักลูกตาของตัวเอง เพื่อเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้า
    * แต่หลวงจีนไฮ่ถังได้มรณภาพลงก่อนที่การก่อสร้างจะแล้วเสร็จ งานก่อสร้างจึงหยุดไปกว่า 70 ปี
    * ต่อมาจึีงมีขุนนางใหญ่นามว่า Jiedushi ได้เข้ามสนับสนุนเรื่องงบประมาณจนก่อสร้างแล้วเสร็จ ในปี 803



รูปนี้ แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ เป็นอย่างมาก เมื่อเทียบขนาดกับนักท่องเที่ยว 2 คน

    หลัง จากการก่อสร้างพระพุทธรูปเล่อซานแล้วเสร็จ เป็นที่หน้าประหลาดใจว่า แม่น้ำ Qingyi ลดความรุนแรง และสงบลงอย่างน่าประหลาด ซึ่งในความเป็นจริง เป็นผลจากการแกะสลักพระพุทธรูป จะมีหินที่ต้องแกะสลักทิ้ง จะถูกทิ้งลงแม่น้ำทำให้กระแสน้ำ สงบลง




ที่มา http://wowboom.blogspot.com  ขอบคุณครับ  :089:

101


"หลวงปู่ปัญญา ปัญญธโร" เป็นพระสงฆ์ 5 แผ่นดิน

ท่านเกิดปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่อุบล ราชธานี

ท่าน ได้มีโอกาสพบหลวงปู่พรหมา แห่งภูเขาควาย จากนั้นพากันเดินธุดงค์ตัดป่าข้ามแม่น้ำโขงไปนครจำปาสัก ไปเรียนวิชากับสำเร็จลุน ก่อนขึ้นภูเขาควายไปเรียนวิชา เตโชกสิณกับฤๅษีทรงอภิญญาสมาบัติ

หลวงปู่ปัญญามีความเมตตาเป็นที่ ตั้ง ใครมีเรื่องเดือดร้อนหลวงปู่ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ด้วยท่านสำเร็จและเชี่ยวชาญเรื่องการเสริมต่อเส้นวาสนา ทำให้ประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ มากมาย

ปัจจุบันหลวงปู่ปัญญา แม้มีอายุเป็นร้อยกว่าปี แต่ท่านได้จัดสร้างเหรียญพิเศษ ชื่อว่า "เหรียญต่อเส้นวาสนาดี มีชัยขอบสตางค์ หลวงปู่ปัญญา 5 แผ่นดิน อายุ 104 ปี วัดหนองผักหนาม จ.ชลบุรี"

เหรียญดังกล่าวมีรูปเหมือนหลวงปู่ปัญญา ที่สำคัญที่ด้านหลังหลวงปู่ปัญญาได้เมตตาเขียนใส่ลายมือที่มีเส้นสมบูรณ์ที่ สุด ท่านเรียกว่า "ลายมือพระโพธิสัตว์" มีเส้นลายมือดี 8 ประการ

1.เส้นชีวิตยาวสุขภาพดี ราบรื่น ห่างไกลจากป่วยเจ็บไข้ ไม่สบาย

2.เส้นสมองยาว ปัญญาดี ตัดสินใจถูก

3.เส้นหัวใจยาวสวย สมหวังในความรัก อารมณ์ดี

4.เส้นวาสนาสูง การลงทุน การงานสำเร็จ มีวาสนาเป็นเจ้าคนนายคน

5.เส้นอาทิตย์ตำแหน่งสวย มีอำนาจ เกียรติยศชื่อเสียง คนดังคนรู้จัก

6.เส้นพุธยาวสวย ฐานะการเงินดี มีเครดิต

7.เส้นคู่ครองเป็นคู่สวย สมหวัง ได้คู่ดี อยู่กันมีความสุข

8.เส้นพฤหัสฯ ความสามารถสูง ชื่อเสียงผลงานเด่น



ที่มาข่าวสด เปิดตลับพระใหม่  ข่าวสด หน้า32   

102




ตรงกันบ้างไหมเอ่ย??


ผู้ที่เกิดเวลาตี 5 ถึง 7 โมงเช้า

ช่วง เวลานี้เป็นเวลากระต่าย จะทำให้คุณเป็นคนรักสวยรักงาม ทำอะไรละเอียดอ่อน สะอาดสะอ้าน ชอบแต่งตัวให้ดูดีเสมอ บุคลิกของคุณจะค่อนข้างสุภาพดูอ่อนโยน พูดจาหวานและนอบน้อมถ่อมตัว มีมารยาทเป็นเลิศ ดูแล้วผู้ดี้ผู้ดี สงบ เงียบ เรียบร้อย เป็นผู้ใหญ่ด้านนิสัยใจคอแม้จะดูเงียบนุ่มปานนั้น ลึกๆมั่นใจและทะเยอทะยานไม่น้อย เป็นคนเข้ม แข็งข้างใน รู้จักระมัดระวังรอบคอบ เป็นนักการทูต จิตวิทยาสูง มีความเข้าอกเข้าใจคนอื่นดี ใจกว้าง โกรธง่ายหายไว จิตใจดี ใจอ่อน ชอบทำบุญ ชอบช่วยเหลือ รสนิยมดี

ผู้ที่เกิดเวลา 7 โมงเช้าถึง 9 โมงเช้า

เวลา นี้เป็นเวลามังกร บุคลิกของคุณจะดูหยิ่งทะนงมาก ท่าทางสง่าผ่าเผย ดูหัวสูง ติดหรู ความทะเยอทะยานจะเห็นได้ชัด คุณดูน่าเกรงใจ เข้าถึงยาก มีความเป็นผู้นำสูง นิสัยของคุณจริงๆแล้วเป็นคนใจกว้างและเด็ดเดี่ยว รักศักดิ์ศรี โมโหร้าย บุ่มบ่าม มุทะลุ ทำอะไรต้องตรงไปตรงมา ไม่ชอบเรื่องเล่ห์หลี่ยม ในด้านดีอยู่ที่เป็นหลักพึ่งพิงได้รับผิดชอบสูงและขี้สงสาร เป็นคนที่มีประสิทธิภาพสูงทีเดียวนะ อนาคตของคุณค่อนข้างแจ่มแจ้งด้วยความมุ่งมั่นบากบั่นของคุณนั่นแหละ

ผู้ที่เกิดเวลา 9 โมงเช้าถึง 11 โมงเช้า

คน ที่เกิดสายเวลานี้ซึ่งเป็นเวลางู โดยมากจะหน้าตาดี แต่งตัวดีเสมอ ด้วยของหรูหราราคาแพงหรือมียี่ห้อ ภาพพจน์ของคุณต้องมาก่อนเสมอบุคลิกของคุณดูเงียบขรึม เรียบร้อยสุภาพนุ่มนวล มายาทดี พ ูดจาหวานหูชื่นใจ นิสัยข้างในค่อนข้างฉลาด เก็บความรู้สึกและค! วามต้องก ารได้นิ่งลึกมาก คุณรักการแข่งขันชิงดีชิงเด่น มีความทะเยอทะยานสูง ชอบทำตัวเด่น อยากมีชื่อเสียง เป็นนักวางแผนผู้ชาญฉลาดใจแข็งไม่หวั่นไหวอ่อนข้อให้ใครง่ายๆถ้าจะล้วงความ ลับจากตัวคุณคง ไม่ง่ายนักหรอก

ผู้ที่เกิดเวลา 11 โมงเช้าถึงบ่ายโมง


เวลา เกิดช่วงนี้เป็นเวลาม้า ทำให้คุณมีบุคลิกของนักกีฬา แข็งแรงอดทน ร่าเริงคึกคัก ชอบสนุกสนาน เรื่องตลกโปกฮาล่ะ ชอบนัก ความที่รักอิสระเสรีกับการเป็นนักผจญภัย ถือเป็นจุดเด่นในตัวคุณ มีความเป็นตัวของตัวเอง ชอบแหกกฎ นิสัยของคุณเป็นคนใจกว้าง กระตือรือร้นมากแต่รอบคอบไม่เป็น ใจร้อน ชอบทำก่อนคิด กล้าลุยไปข้างหน้า จิตใจเข้มแข็ง มานะบากบั่น มีความจริงใจสูง รักเพื่อนและครอบครัว เวลามีทิฐิจะเป็นคนหัวแข็ง ดื้อรั้นสุด ๆเวลาน่ารักจะมีชีวิตชีวาน่าตื่นเต้น เจอมรสุมก็ยังลุกขึ้นสู้ได้ยิ้มได้ทั้งน้ำตาเลยนะคุณน่ะ

ผู้ที่เกิดเวลาบ่ายโมงถึงบ่าย 3 โมง

คุณ ที่เกิดเวลานี้เป็นเวลาแพะ จะเป็นคนใจดีอ่อนโยนจนถึงขั้นขลาดเขิน บุคลิกท่าทางของคุณจะสุภาพอ่อนโยน นุ่มนวล มีมารยาท ดูสุขุมใจเย็น ไม่มีพิษไม่มีภัย ขี้อายแต่มีความคิดสร้างสรรค์ช่างฝัน มีไอเดียมันส์กับเรื่องตลกจี้เส้นที่ทำให้หัวเราะน้ำหูน้ำตาไหล บางเวลาดูเศร้าซึมเพราะชอบคิดมากเกินเหตุ จิตใจดีทำร้ายใครไม่เป็น ถ้าถูกรังแกจะสู้ยิบตา มีความมั่นใจซ่อนไว้ใต้ท่าทางอ่อนโลกคุณเป็นคนซื่อตรงรักสงบ เกลียดความรุนแรง อะไรๆ ก็ดีหมด ยกเว้นเรื่องดื้อรั้นของคุณ ครองแชมป์ ตลอดกาลเลย

ผู้ที่เกิดเวลาบ่าย 3 โมงถึง 5 โมงเย็น


คุณ ที่เกิดเวลาบ่าย ๆซึ่งเป็นเวลาของลิง จะมีอิทธิพลทำให้คุณค่อนข้างแอ็กทีฟไม่อยู่เฉย บุคลิกของคุณดูเปิดเผย ใจร้อน และซุ่มซ่ามนิสัยของคุณเหมือนเด็ก ๆชอบเล่นพิสดาร คุณเป็นคนฉลาดหัวไว มีไหวพริบกล้าพูดกล้าทำ ตรงไปตรงมา เป็นนักวางแผนและรู้จักเอาตัวรอด มีเล่ห์กล แต่ไม่ทำร้ายใครลับหลัง มีความสามารถรอบตัว ปรับตัวเข้ากับคนได้ทุกระดับ ทุ่มเทกับการงานมากงานดีเชื่อมือได้เสน่ห์ในตัวอยู่ที่ความ! ขี้เล่นม ีชีวิต ชีวาเฮฮา แม้ท่าทางจะดูคล้ายกะล่อนเล็กๆแต่ก็หนักแน่นจริงใจมากนะ

ผู้ที่เกิดเวลา 5 โมงเย็นถึง 1 ทุ่ม

ช่วง หัวค่ำเป็นเวลาไก่ส่งผลให้คุณเป็นคนเข้มแข็ง หยิ่งยโส หัวรุนแรง ขวางโลก และหัวโบราณ คุณเป็นคนที่ชอบแต่งตัว ใช้แต่ของดีมีราคา บุคลิกขี้อวดไม่ใช่เล่น ว่าฉันเนี่ยรสนิยมดีนะ ในส่วนลึกของจิตใจคุณเป็นนักอนุรักษ์นิยม เจ้าระเบียบ จู้จี้ขี้บ่นเก่ง หงุดหงิดง่ายดาย ไม่ยอมเสียเงินแบบไร้ค่า ยกเว้นเรื่องภาพพจนน์นะก็โอเค คุณมีหัวในการบริหาร ควบคุม มีความเด็ดขาดละเอียดถี่ถ้วน ต่อสู้กับอุปสรรคไม่มีถอย ยามอารมณ์จะเป็นคนสนุก ชอบล้อเล่น ใจกว้าง มีน้ำใจนักกีฬา ไม่ชอบการใช้อำนาจ เกลียดคนอวดเบ่งที่สุด

ผู้ที่เกิดเวลา 1 ทุ่มถึง 3 ทุ่ม

คุณ ทีเกิดช่วงเวลานี้เป็นเวลาของหมา ทำให้คุณเป็นคนรักคุณธรรม ความถูกต้องซื่อสัตย์จริงใจมาก จนถึงขั้นยึดมั่น ถือมั่นทีเดียว ยืดหยุ่นไม่ค่อยเป็น คิดและทำอะไรก็ตามตรงทื่อไปหมด ไม่กล้าแหกกฎระบบระเบียบจนเกินไป ชีวิตถึงไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่บางครั้งจึงดูน่าเบื่อและแสนเซ็ง มีความขยัน ฉลาด แต่พลิกแพลงไม่เป็น เอาตัวไม่ค่อยรอด คุณเกิดมาเป็นนักปกป้องคุ้มครองคนอื่นมองโลกแบบตรงไปตรงมา ไม่เพ้อฝัน ขาดอารมณ์ทรมานซะแต่ก็เป็นคนตลกจี้เส้น เพราะมองโลกในแง่ดี เรื่องเสียสละเพื่อคนอื่น คุณเป็นเจ้าชาย-เจ้าหญิงในเรื่องนี้เลยล่ะ ซื่อไปนิดเซ็งไปหน่อยแต่จริง ใจไม่มีใครเทียบได้เลย

ผู้ที่เกิดเวลา 3 ทุ่มถึง 5 ทุ่ม

คุณ ที่เกิดเวลาหมู อันเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน ทำให้คุณขี้เกียจนิดๆเฉื่อยหน่อย ๆ คุณรักความเรียบง่ายไม่มากเรื่อง สุภาพอ่อนโยน ใจดี และอบอุ่น บุคลิกออกจะนุ่ม ๆคุณมีจิตใจดี จริงใจ มีอารมณ์สุนทรีย์รักดนตรี ศิลปะสวยงาม มีความโรมานซ์ในหัวใจ แม้จะพูด น้อย แต่เอาอกเอาใจเป็นเลิศ คุณชอบแต่งตัวแบบผู้ดี้ผู้ดี รสนิยมดี ชอบทำอาหารและ ชอบกินด้วย รูปร่างจึงออกจะแข็งแรงและสมบูรณ์คุณเป็นคนใจกว้างและชอบให้อภัย หากถูกทำร้ายจะกลายเป็นหมูป่าสู้ถวายชีวิต ! ความคิดแ ละการกระทำจะเป็นแบบค่อยๆเป็นค่อย ๆไป รอบคอบใจเย็นจนกว่าจะมั่นใจนั่นแหล่ะถึงจะลุย ไม่ว่าคุณจะหญิงหรือชาย คุณจะเป็นแม่บ้านพ่อเรือน และรักครอบครัวมาก

ผู้ที่เกิดเวลา 5 ทุ่มถึงตี 1

เป็น เวลาของหนู คุณที่เกิดเวลานี้จะมีบุคลิกกระตือรือร้น ร่าเริงปราดเปรียวสดใส แต่มีความระแวดระวัง ฉลาดหัวไว ไหวพริบดี ตรงไปตรงมาไม่มีเล่ห์เหลี่ยม บุคลิกท่าทางดูขรึม พูดน้อย เฉยชาแต่มีมารยาท รักเพื่อน มีความสุขในหมู่เพื่อนๆชอบช่วยเหลือและมีน้ำใจ จุดเด่นคือความขยัน และสะสมเก่งคุณมักมีเงินสำรองช่อนไว้ไม่มีใครรู้หรอก ชอบวางแผนการเงิน ประหยัดไม่ฟุ่มเฟือย เป็นคนมีระเบียบ บากบั่นมุ่งมั่นสูง ปรับตัวเก่ง มีความรักแบบผู้ใหญ่รักบ้านรักครอบครัว แต่ก็รักอิสระ ไม่อยากถูกผูกมัด กว่าจะลงเอยกับใคร สักคน คิดนาน คิดลึก จนผมหงอกเลยเชียวล่ะ

ผู้ที่เกิดเวลาตี 1 ถึงตี 3

เวลา นี้เป็นเวลาของวัว ทำให้คุณทำอะไรช้ากว่าชาวบ้าน บุคลิกท่าทางแข็งแรงบึกบึน และอึดเป็นบ้าเลย เป็นคนเฉื่อย แบบใจเย็นๆโกรธยากแต่โกรธทีเหมือนระเบิดลง ข้อดีอยู่ที่มีความบากบั่นมีระเบียบ ขยันอดทนหนักแน่น อยู่ในจำพวกสมบูรณ์แบบนิยม ทำอะไรตรงไปตรงมา ไม่รู้จักปรับตัว ไม่มีเล่ห์เพทุบายกับใครเค้าหรอก คุณน่ะทื่อตรง จนไม่ค่อยทันใคร ขาดอารมณ์ขัน ตลกก็ตลกแบบฝืดๆโดยปกติเป็นคนอดทนมาก ไม่ชอบความรุนแรง การทะเลาะวิวาท เลี่ยงได้จะเลี่ยง ถ้าเลี่ยงไม่ได้คุณจะเปลี่ยนร่างเป็นวัวกระทิงขวิดสุดฤทธิ์ทีเดียว

ผู้ที่เกิดเวลาตี 3 ถึงตี 5

คุณ ที่เกิดเวลานี้จะเป็นคนดวงแข็ง เพราะนี่เป็นเวลาเสือ ส่งผลให้คุณหุนหันพลันแล่น ก้าวร้าวเข้มแข็งและดูมีอำนาจ คุณมีจิตใจที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว มั่นใจในตัวเ องสูง แต่ขาดความรอบคอบ เพราะอารมณ์อยู่เหนือหัวใจ แต่ก็เป็นคนใจดี ชอบเสียสละ ใจกว้างไม่จุกจิกกับเรื่องเล็ก ๆน้อยๆมีความรับผิดชอบ ชอบฉายเดี่ยวไม่อยู่ติดที่คุณมักจะมองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ขี้โม้โอ้อวด หลงใหลเรื่องรักใคร่โรแมนติก ชอบเผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปชั่ววูบ! มีความเ ซ็กซี่เป็นเสน่ห์ส่วนตัวที่น่าดึงดูดใจ ข้อเสียมีแค่ไม่รู้จักยอมออมชอมบ้างขาวเป็นขาว ดำเป็นดำ จะหาสีเทาจากคุณน่ะยากเหลือเกิน



ที่มา www.fwdder.com   ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ    :016:

103




เราตั้งเข็มทิศความคิดอย่างไร ชีวิตของเราจะเดินอย่างนั้น
ถ้าเราคิดผิด ทั้งชีวิตผิดหมด ถ้าเราคิดถูก ทั้งชีวิตถูกหมด
ชีวิตของเรานั้นจะรุ่งโรจน์หรือร่วงโรยตัดสินกันที่ความคิด
พระพุทธเจ้าของเราก็เช่นเดียวกัน


หลังจากเสด็จออกผนวชทรงใช้เวลาถึง 6 ปี ในการแสวงหาวิธีการที่จะตรัสรู้
พระองค์คิดผิดไปทดลองสารพัดวิธีการ
ทดลองเรื่องโน้น ทดลองเรื่องนี้ เป็นเวลา 6 ปีที่เกือบตาย
สุดท้ายบำเพ็ญทุกรกิริยา อดพระกระยาหาร กลั้นลมหายใจเกือบเอาชีวิตไม่รอด


ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พระองค์ได้นั่งถามตัวเองว่าที่ทำมาทั้งหมดไม่น่าจะถูก
ทรงย้อนนึกถึงประสบการณ์เก่าๆ ของพระองค์ตอนที่มีพระชนมายุได้ 7 พรรษา
ขณะที่เสด็จพ่อเสด็จเป็นประธานในพิธีแรกนาขวัญ
เจ้าชายน้อยของเราไปนั่งอยู่ที่ใต้ต้นหว้า
แล้วด้วยความที่ไม่มีใครสนใจ ผู้ใหญ่ก็ไปดูพิธีแรกนาขวัญกันหมด
เจ้าชายน้อยก็นับลมหายใจเล่นๆ จิตสงบมาก
จากบัดนั้นมาจนถึงพระชนมายุ 35 พรรษา
พระองค์ก็ถามตัวเองว่า ที่ฉันทดลองมาตั้ง 6 ปีนี่
บางทีคงจะผิด แล้วทางที่ถูกมันคืออะไร
ก็หลับพระเนตรนึกถึงประสบการณ์ตอนทรงพระเยาว์
ทรงมองเห็นพระองค์ทรงนั่งนับลมหายใจเล่นๆ แล้วมีความสุขมาก
จึงทรงเปลี่ยนความคิดว่าบางทีการนั่งดูลมหายใจอาจจะเป็นหนทางที่ถูก
เย็นวันนั้นทรงสรงสนานที่แม่น้ำเนรัญชรา ประทับนั่งใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์
กำหนดสติไว้ที่ลมหายใจ ไม่ถึง 5 ชั่วโมง พอประทับนั่งจิตนิ่งสงบ
ก่อนรุ่งสางของวันนั้นเองก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า


เห็นไหมว่าถ้าเราคิดถูก เวลาแค่ 1 หรือ 2 ชั่วโมง
หรือเวลาแค่พริบตาเดียวเท่านั้น เปลี่ยนชีวิตของคนทั้งคน
เช่นเดียวกันกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา
ทันทีที่คิดว่าการดูลมหายใจน่าจะถูก วินาทีเดียวที่เปลี่ยนความคิด
พระองค์ก็เปลี่ยนแปลงตัวเองจากปุถุชนเป็นอารยชนเป็นสัมมาสัมพุทธะ
พอเป็นสัมมาสัมพุทธะ เสด็จพระราชดำเนินเผยแผ่พุทธศาสนาไปทั่วอินเดีย
และบัดนี้ศาสนาของพระองค์กลายเป็นศาสนาสากลของโลกไปแล้ว


คนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของตัวเองจนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้
ในทำนองกลับกัน ถ้าคนคนหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงวิธีคิดของตัวเอง
ก็สามารถทำให้โลกทั้งโลกล่มสลายได้เช่นกัน


ในทางยุทธศาสตร์ทุกคนก็คงจะเคยเรียนประวัติศาสตร์มา
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีแม่ทัพใหญ่ๆ ของฝ่ายสัมพันธมิตรหลายคน
หนึ่งในนั้นก็คือ เซอร์วินสตัน เชอร์ชิลล์
ทันทีที่วางยุทธศาสตร์ว่าจะยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดีเสร็จแล้ว
ท่านไปไหน ว่ากันว่าท่านเข้ากระโจมที่พักเลย
เอานวนิยายของเชกสเปียร์ขึ้นมาอ่าน
มีคนไปเห็นก็ถามว่าท่านนายพลเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานท่านอ่านเชกสเปียร์อีกหรือ
นายพลบอกว่า สิ่งที่ควรทำผมทำเสร็จไปแล้ว
และวันรุ่งขึ้นท่านก็รอฟังผลแห่งชัยชนะของกองทัพสัมพันธมิตร
เห็นไหมว่าคนคนหนึ่งถ้าคิดถูกแล้ว อะไรมันจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
วันมะรืน หรือวันข้างหน้า ก็สามารถคาดคะเนได้ถูกต้องแม่นยำ


ฉะนั้น ความคิดถูกจึงเป็นปัจจัยสำคัญของการประสบความสำเร็จในชีวิตของคน
เช่นเดียวกันย้อนไปอีกประวัติศาสตร์สมัยสามก๊ก
ช่วงที่เล่าปี่ระหกระเหินออกจากบ้าน ทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ช่วงแรกของการออกจากบ้าน ใช้แซ่ลี้ตลอด จริงๆ ท่านแซ่เล่านะ เล่าปี่
แต่ขณะที่ยังไม่ได้เจอขงเบ้ง ท่านใช้แซ่ลี้มาหลายสิบปี จนอายุ 40 กว่า
พอมาเจอขงเบ้ง ตอนนั้นขงเบ้งอายุแค่ 26
ออกจากเขาโงลังกั๋งเพื่อไปวางยุทธศาสตร์สามก๊กให้ตามที่เล่าปี่ไปเชิญมา


ศึกแรกที่ขงเบ้งวางยุทธศาสตร์ให้กับเล่าปี่ คือ ใช้กวนอู เตียวหุย จูล่ง
ไปรับศึกใหญ่ทั้งหมด เล่าปี่หันมาถามขงเบ้งว่าแล้วตัวท่านกุนซือจะทำอะไร
ขงเบ้ง บอก ผมจะอยู่ที่กองบัญชาการทำหน้าที่เป็นแม่งานจัดงานเลี้ยงคืนนี้
กวนอูและเตียวหุยโกรธมาก วางแผนให้คนอื่นไปรบ ยังไม่รบชนะเลย
และการรบยังไม่เกิดขึ้น กุนซือเตรียมจัดงานเลี้ยง แต่เล่าปี่ก็เชื่อใจขงเบ้ง
ทันทีที่ออกรบ ขงเบ้งก็ใช้ยุทธศาสตร์ของซุนวู
ในการรบเอาชัยไม่สำคัญที่ปริมาณทหาร
แต่สำคัญที่ใครเป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์
ฉะนั้น ขงเบ้งเห็นชัยชนะก่อนที่จะส่งทหารไปรบ
และศึกครั้งนั้นก็ทำให้เล่าปี่ชนะด้วยการทลายทัพของโจโฉที่เนินพกบ๋อง
นี่คือตัวอย่างทั้งทางโลกและทางธรรม ที่สะท้อนให้เห็นว่า

ถ้าใครก็ตามมีวิธีคิดที่ถูกต้อง
จะเป็นผู้ประสบชัยชนะในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ



ที่มา variety.teenee.com

104



"พระอาจารย์สุริยันต์ โฆสปัญโญ" เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงรูปหนึ่ง

ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากสาธุชนในพื้นที่อำเภอเมืองและใกล้เคียงของ จังหวัดมหาสารคาม สืบ ทอดปฏิปทาและวิทยาคมจาก หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม พระเกจิชื่อดังของภาคอีสาน

ปัจจุบัน พระอาจารย์สุริยันต์ สิริอายุ 30 พรรษา 10 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบูรพาเทพนิมิต อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ และเจ้าอาวาสวัดป่าวังน้ำเย็น ต.เกิ้ง อ.เมือง จ.มหาสารคาม

แม้จะมีอายุและพรรษาน้อยแต่ท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มุ่งวิปัสสนากัมมัฏฐาน นอกจากเป็นพระเกจิแล้วท่านยังเป็นพระนักพัฒนาอีกด้วย ในเวลาเพียง 4 ปีวัดป่าวังน้ำเย็นแห่งนี้ มีถาวรวัตถุที่ใช้ปฏิบัติศาสนกิจมากมาย

สำหรับวัตถุมงคลของพระอาจารย์สุริยันต์ คณะศิษยานุศิษย์ รวมทั้งญาติโยมผู้เคารพศรัทธา ได้ร่วมใจกันจัดสร้างเพื่อบูชาครูและรำลึกถึงคุณงามความดีของท่าน คือ เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรกของท่าน จัดสร้างขึ้นเมื่อต้นปี 2552 จำนวน 10,000 เหรียญ เป็นเนื้อทองแดงชนิดเดียว ลักษณะเป็นเหรียญมีห่วง รูปทรงคล้ายพัดยศยกขอบ

ด้านหน้าเหรียญมีรูปเหมือนพระอาจารย์ สุริยันต์ครึ่งองค์ ที่คอคล้องลูกประคำ บริเวณหน้าอกด้านซ้ายมีเลข ๙ และจากบริเวณด้านขวาของเหรียญโค้งลงไปด้านล่างวนขึ้นไปทางด้านขวาเขียนว่า "พระอาจารย์สุริยันต์ โฆษปญฺโญ วัดป่าวังน้ำเย็น อ.เมือง จ.มหา สารคาม" และใต้ตัวอักษรเขียนว่า รุ่น ๑

ด้านหลังเหรียญเป็นยันต์มหาปรารถนา อ่านว่า "โน เย นะ เย โน ชิ นะ ยา ชิ มา นิ ทิ ปะ สิ วะ ภา ทิ ปะ สิ" เป็นยันต์ที่มีพุทธคุณครอบคลุมทุกด้าน

สำหรับพิธีพุทธาภิเษก พระอาจารย์สุริยันต์ได้อธิษฐานจิตนานถึง 1 พรรษา จากนั้นได้นำเหรียญทั้งหมดไปให้หลวงปู่เฉย วัดสระเกษ อ.แวงใหญ่ จ.ขอนแก่น พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของภาคอีสานอธิษฐานจิตซ้ำอีกครั้ง และยังได้นำเข้าพิธีพุทธาภิเษกใหญ่อีกที่สนามโรงเรียนสารคามพิทยาคม ซึ่งมีพระเกจิชื่อดังของภาคอีสานร่วมพิธีมากมาย อาทิ หลวงปู่คำบุ จ.อุบลราชธานี, หลวงปู่หนูอินทร์ กิตฺติสาโร จ.กาฬ สินธุ์, หลวงปู่เหรียญชัย มหาปัญโญ จ.อุดรธานี, หลวงปู่เฉย ญาณธโร จ.ขอนแก่น เป็นต้น

ภายหลังเสร็จพิธีได้นำออกให้ญาติโยมเช่าบูชาเหรียญละ 99 บาท รายได้สมทบทุนก่อสร้างสาธารณูปโภคสาธารณูปการภายในวัดป่าวังน้ำเย็น

เหรียญพระอาจารย์สุริยันต์นับเป็นเหรียญดีอีกเหรียญหนึ่งของจังหวัด มหาสารคามที่มีอนาคตไกล เนื่องจากได้รับการพุทธาภิเษกถึง 3 ครั้ง ขณะนี้ราคาเช่าหายังอยู่หลักร้อยต้นเท่านั้น

แม้เหรียญนี้เพิ่งจัดสร้างออกมาเพียงไม่นาน แต่ปรากฏว่าบรรดาเซียนพระและนักนิยมสะสมพระเครื่องต่างเริ่มเสาะหาแล้ว




ที่มาข่าวสด  เปิดตลับพระใหม่   ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ  :001:

105
ก่อนจะซื้อ "สังฆทานสำเร็จรูป" ทำบุญครั้งต่อไป ...ลองแวะอ่านก่อน มีไอเดียดีๆ มาแนะนำ !!!




"การทำบุญ คือ การสละอย่างฉลาด ไม่ใช่การซื้ออย่างตะบี้ตะบัน"


เมื่อเราจะทำบุญกันทั้งที อยากให้มีสติกันสักนิด หากจะเลือกการทำทานที่เรียกว่า "สังฆทาน" ขอ ให้ช่วยพิจารณาชุดสังฆทานและชุดไทยธรรม ที่เราไปลองหาซื้อกันมาจำนวน 15 ชุดเสียก่อน แล้วค่อยลองดูว่า ถ้าจะถวายสังฆทานครั้งต่อไป จะยังเลือกซื้อสังฆทานสำเร็จรูปกันอีกหรือไม่

จากการสำรวจชุดสังฆทานสำเร็จรูป ที่ซื้อมาพบว่า สิ่งของส่วนใหญ่ประกอบด้วย 5 หมวดหลัก ได้แก่

1.ภาชนะบรรจุ ส่วนใหญ่มักเป็นถังพลาสติดสีเหลือง กล่อง ตะกร้าพลาสติก กล่องกระดาษ แต่ที่แนวที่สุดในการสำรวจคือ ย่ามพระ
2. ผลิตภัณฑ์อาหาร ได้แก่ ใบชา เครื่องดื่มขิง เครื่องสมุนไพร น้ำดื่ม น้ำรสผลไม้ เครื่องดื่มมอลต์ นมพร้อมดื่ม นมถั่วเหลือง นมข้นหวาน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง ข้าวสาร ขนมอบ กาแฟและครีมเทียม
3. ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ ได้แก่ สบู่ กล่องสบู่ ขัน แก้วน้ำ ถาด ตะกร้า ไม้ขีดไฟ แปรงสีฟัน ไม้จิ้มฟัน ผ้าขนหนู มีโกน เข็มด้าย ธูปเทียน กระดาษทิชชู กรรไกรตัดเล็บ แหนบ ผงซักฟอก ก้านสำลี สมุด ปากกา ยากันยุง น้ำยาล้างจาน ฟองน้ำล้างจาน ร่ม ผ้าขนหนูขนาดเล็ก
4. ยารักษาโรค ได้แก่ ยาหอม ยาอม ยาหม่อง ยาลดกรดในกระเพาะ ยาธาตุน้ำแดง ยาแก้ปวดลดไข้
5. เครื่องไช้สำหรับพระ ได้แก่ ผ้าอาบน้ำ ผ้าอังสะ ผ้ากราบ

ข้าว ของเครื่องใช้ข้างต้น ซึ่งสำรวจเมื่อปลายปี 2552 พบว่าแทบไม่แตกต่างจากการสำรวจเมื่อปี 2546 จึงขอเสนอทางเลือกให้จัดสังฆทานกันเอง เพราะข้าวของส่วนใหญ่ในสังฆทานสำเร็จรูป พระไม่ค่อยได้ใช้หรือมักเป็นของไม่มีคุณภาพ รวมไปถึงพวกถังเหลือง กล่องสบู่และขันน้ำ ที่ถูกนำไปกองทับถมอยู่ล้นวัด

เพราะจากการลองนำรายการสินค้าข้างต้นไปสำรวจสอบถามความเห็นจากพระสงฆ์ พบว่า มีแต่ของที่ไม่จำเป็นและมีประโยชน์น้อย โดย 10 อันดับรายการสินค้าที่ไม่จำเป็นที่สุด คือ

1. ใบชา เพราะพระไม่ค่อยฉันท์แล้ว ควรเปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้แท้ (ไม่ใช่น้ำรสผลไม้) เนื่องจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพและไม่หวานเกินไป
2. ขิงผงสำเร็จรูป เป็นเครื่องดื่มที่ไม่ค่อยนิยม แค่คนกลับชอบถวาย
3. ยาจุดกันยุง สำหรับพระเมืองสินค้านี้ไม่ใช่สิ่งจำเป็น ขณะที่อาจจำเป็นสำหรับพระป่า
4. นมข้นหวาน เพราะพระไม่ทราบว่าจะได้ใช้ตอนไหน เนื่องจากถือว่าเป็นอาหาร ไม่สามารถฉันท์ได้หลังเวลาเพล
5. กาแฟ เพราะพระไม่ทราบว่าจะได้ฉันท์ตอนไหนเช่นกัน

6. ถัง กล่องสบู่ ขวดน้ำ ขัน เพราะมีล้นวัด
7. บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ถือเป็นของไม่มีประโยชน์ นอกจากนี้ พระฉันท์เพียง 2 มื้อเท่านั้น และมักหมดสภาพตั้งแต่อยู่ในถังสังฆทานแล้ว
8. น้ำดื่มบรรจุขวด เพราะมีสภาพไม่น่าดื่ม และแต่ละวัดมีระบะน้ำดื่มที่ดีกว่า
9. ขนมอบ เพราะไม่ดีต่อสุขภาพ
10. ธูปเทียน ไม้ขีดไฟ เพราะมีจำนวนมากเกินไปและอยู่ในสภาพไม่เหมาะกับการใช้งาน

ขณะที่สิ่งของ 10 อันดับที่ควรถวายในชุดสังฆทาน แต่เรานึกไม่ถึง ได้แก่

1. ยาสระผม แค่คงไม่ถึงขั้นต้องถวายครีมนวดด้วย เพราะพระใช้เพียงเพื่อให้โกนศรีษะได้ง่ายขึ้น และยังใช้ดูแลหนังศรีษะบ้างเท่านั้น
2. มีดโกน เพราะเป็นของจำเป็น พระต้องใช้บ่อยแต่ไม่ค่อยมีคนถวาย
3. เครื่องครัว เช่น จาน กระทะ หม้อ ช้อน แก้วน้ำที่คุณภาพดี เพราะแม้พระไม่ได้ใช่เอง แต่ชาวบ้านที่มาจัดงานบุญจะได้ใช้เสมอ
4. อุปกรณ์งานช่าง เช่น ค้อน ตะปู ไขควง สว่าน เพราะพระ โดยเฉพาะพระนอกเมืองคิดว่าเป็นสิ่งจำเป็น เพราะสามารถนำไปดูแลศาสนสถานภายในวัดได้
5. อุปกรณ์ทำความสะอาด เช่น ไม้กวาด ไม้ถูพื้น ไม้กวาดทางมะพร้าว ที่โกยขยะ เพราะจำเป็นต่อการรักษาความสะอาดภายในวัด

6. ข้าวสารและอาหารแห้ง แต่สินค้าที่ถูกบรรจุในสังฆทานมักไม่ได้คุณภาพ แต่หากเราเลือกของคุณภาพดี พระสามารถรวมไปบริจาคหรือดูแลคนด้อยโอกาสที่วัดอุปการะอยู่ได้
7. เครื่องเขียน เช่น สมุด ปากกา ดินสอ เพราะพระสามารถทำไปใช้ประโยชน์ในกิจการงานบุญได้
8. หนังสือธรรมะ หนังสือดูแลสุขภาพกายและใจ หนังสือที่น่าสนใจต่างๆ
9. สบง จีวร ผ้าอาบน้ำ แต่ควรเลือกที่มีคุณภาพดี แม้ราคาจะแพง เพราะสามารถใช้ประโยชน์ได้หลายปี อนึ่งการเลือกสี ขนาดและเนื้อผ้าควรศึกษาก่อนซื้อ เพราะแต่ละวัดมีระเบียบในการครองผ้าแตกต่างกัน
10. ยารักษาโรค ควรเลือกแบบที่คุณภาพดี พร้อมกับคู่มือการใช้งาน



ที่มา นิตยสาร "ฉลาดซื้อ" ฉบับที่ 105 เขียนโดย กองบรรณาธิการ


106



เมื่อวันที่ 16 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีชาวบ้านในพื้นที่ จ.ขอนแก่น และใกล้เคียงจำนวนมากเดินทางไปที่วัดป่าอภัยวัน ต.บ้านทุ่ม อ.เมือง จ.ขอนแก่น เพื่อกราบไหว้บูชาหลวงพ่อพันปีศรีตะเคียนทองปางไสยาสน์ ที่มีอายุกว่า 1,000 ปี

นายอภิชัย อุดมวรรธ์ นายกเทศมนตรีตำบลบ้านทุ่ม เปิดเผยว่า พระครูปลัดชาญ ธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดป่าเขาล้อม เป็นเพื่อนกับหลวงพ่อทองพูน ปุญญกาโม เจ้าอาวาสวัดป่าอภัยวัน หารือกันเกี่ยวกับพระพุทธรูปที่เรียกว่าหลวงพ่อพันปีศรีตะเคียนทอง โดยขอให้มาช่วยการก่อสร้างพระมหานวมินทรเจดีย์ศรีอีสาน เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา รัชกาลที่ 9 ที่วัดป่าอภัยวัน จึงนำหลวงพ่อพันปีศรีตะเคียนทองปางไสยาสน์ที่แกะสลักจากไม้ตะเคียนทอง พร้อมพระพุทธรูปปางประจำวัน เช่น ปางประสูติ ปางตรัสรู้ ซึ่งมีหน้าตักกว้างถึง 109 นิ้ว หลวงพ่อพุทธบูรพามหาบารมีซึ่งเป็นพระพุทธรูปแกะสลักจากไม้ตะเคียนทองขนาด ความสูง 3.70 เมตร หน้าตักกว้าง 3 เมตร พระนาคปรกที่แกะสลักอย่างงดงาม รูปแกะสลักสิทธัตถะราชกุมาร หรือพระพุทธรูปปางประสูติ มาประดิษฐานพร้อมกับหลวงพ่อพันปีศรีตะเคียนทองปางไสยาสน์ ที่ศาลาวัดป่าอภัยวันตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค.53 ในเทศกาลบุญกุ้มข้าวใหญ่ของชาวขอนแก่น พร้อมประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ ยกเสาร์เอก พระมหานวมินทรเจดีย์ศรีอีสาน เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา รัชกาลที่ 9

นายอภิชัยกล่าวต่อว่า หลวงพ่อพันปีศรีตะเคียนทองปางไสยาสน์แกะสลักจากไม้ตะเคียนทองที่ขุดพบนั้น จมอยู่ใต้ดินลึกกว่า 5 เมตร ขณะสร้างเขื่อนสียัด อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา และพบไม้จำนวนหนึ่งกลายเป็นหินไปแล้ว จึงสันนิษฐานว่าไม้ตะเคียนเหล่านี้มีอายุนับพันปี ชาวบ้านและผู้ขุดพบจึงนำมาถวายพระครูปลัดชาญ จึงให้สร้างเป็นพระพุทธรูปปางต่างๆ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้สักการบูชาพระพุทธรูปปางประจำวัน โดยเฉพาะองค์พระแกะสลักปางเสด็จดับขันธปรินิพพานที่มีความยาวถึง 10 เมตร สูงถึง 3 เมตร นับว่าเป็นพระพุทธรูปแกะสลักที่ใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งของประเทศไทย โดยได้รับการแกะสลักจากช่างฝีมือด้วยความวิจิตรบรรจง จึงทำให้องค์หลวงพ่อสวยงามเป็นที่น่าอัศจรรย์แก่ผู้พบเห็น



ที่มา ข่าวสด ขอบคุณครับ

107
ธรรมะ / การทำทาน
« เมื่อ: 17 ม.ค. 2553, 06:34:55 »
คํา ที่มักพูดติดกันเสมอ "ทำบุญ-ทำทาน" ความหมายของการทำบุญหลายคนคงพอนึกออก แต่การทำทานนั้นมีความหมายมากมายกว่าที่คิด รวมถึงอานิสงส์ของการให้ทานก็มีมากกว่าที่เข้าใจ

"ทาน" คือ การให้หรือบริจาคทั่วๆ ไป

การทำทาน คือ การทำความดีอย่างหนึ่ง เพื่อเป็นการชำระจิตใจของตนให้ดีขึ้น

ตามความเป็นจริงแล้วการทำบุญทำทานมิได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะการถวายอาหารหรือ ปัจจัย (เงิน) หรือบริขารต่างๆ ด้วยการตักบาตร การถวายสังฆทาน การทอดกฐินหรือผ้าป่า หรือการสร้างเสนาสนะ ฯลฯ ให้แก่ภิกษุหรือสามเณรเท่านั้น แต่รวมถึงการบริจาคกำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังความคิดและวิชาความรู้ให้แก่คนทั่วไปด้วย

แต่จะเกิดบุญกุศลได้จริง ต่อเมื่อเป็นการทำทานด้วยความบริสุทธิ์ใจและทำอย่างถูกต้อง กล่าวคือ ต้องมีหลักธรรมเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย ดังนี้

- ทำด้วยความเมตตา ด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม หรือแม้ในบางกรณีที่จะเป็นประโยชน์ส่วนบุคคลก็ตาม หากทำด้วยความเมตตาอย่างแท้จริงก็จะเกิดเป็นบุญกุศลทั้งนั้น

- ทำด้วยความศรัทธา และเห็นแก่ประโยชน์ที่จะเกิดจากทานนั้นจริงๆ มิใช่ทำตามกระแสหรือฝืนใจทำ การฝืนใจทำจะไม่เกิดอานิสงส์

- ทำด้วยความเสียสละ ไม่หวังอามิสเป็นสิ่งตอบแทน ไม่เอาหน้าหรืออยากมีชื่อเสียง ไม่เอาบุญคุณ และไม่มีอคติหรือเลือกปฏิบัติ

- ทำตามกำลังความสามารถของตน ไม่ทำจนเกินตัว และไม่ทำเพราะความโลภ

การทำทานเพราะความโลภมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ เช่น ตักบาตรด้วยอาหารเพียงชุดเดียว แต่อธิษฐานขอให้ได้โน่นได้นี่สารพัดอย่าง เป็นการลงทุนเพียงนิดเดียว แต่จะเอาคืนตั้งมากมาย อย่างนี้เรียกว่าค้ากำไรเกินควร

ทานเช่นนี้จะไม่มีอานิสงส์ การทำทานที่บริสุทธิ์ที่มีหลักธรรมกำกับดังกล่าวข้างต้น แม้เพียงน้อยนิดตามกำลังที่ตนจะพอมี ก็จะเกิดอานิสงส์และเป็นบารมีแก่ผู้ให้เป็นอันมาก เพราะนอกจากความสุขใจที่ได้รับขณะที่ให้ทานนั้นแล้ว ยังปลูกฝังให้เป็นคนที่รู้จักเสียสละอย่างแท้จริงด้วย

ผู้ที่เสียสละอะไรได้จริงๆ จะเป็นคนที่ปล่อยวาง ผู้ที่ปล่อยวางได้ง่าย คือ ผู้ที่มีอุเบกขา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติธรรมเป็นอันมากอีกอย่างหนึ่ง

ผู้ที่เสียสละและปล่อยวางอะไรได้ง่ายๆ ก็จะเป็นคนที่ไม่ยึดติดในเรื่องหยุมหยิม ไม่เป็นคนขี้อิจฉาริษยา ไม่ชอบเอารัดเอาเปรียบ ไม่มีอคติ มีความเที่ยงธรรม จิตใจก็จะสงบลงได้ง่าย อาจกล่าวได้ว่าทานบารมีมีส่วนในการเสริมสร้างเมตตาบารมีได้เป็นอย่างดี

นี่คืออานิสงส์ของการให้ทานที่ถูกต้อง


ที่มา ข่าวสด คอลัมน์ ศาลาวัด  :089:

108



"มอญ" เป็นชนชาติโบราณที่อาศัยอยู่ในแถบตอนล่างของพม่า เขตเมืองเมาะตะมะ เมาะลำเลิง พะสิม หงสาวดี แล้วก่อตั้งเป็นอาณาจักร "ศิริธรรมวดี" และรับพุทธศาสนาคติลังกาวงศ์เข้ามาประดิษฐาน

ศูนย์กลางของชาวมอญที่เรียกตัวเองว่า "รามัญ" หรือ "ตะเลง" นั้น จะอยู่ที่เมือง หงสาวดี ที่มีตำนานการสร้างเมืองเนื่องจากพบหงส์ทองสองตัวลงมาเล่นน้ำ ก่อนที่จะถูกพวก "พยู" หรือ "พม่า" แห่งอาณาจักรพุกามรุกราน จนต้องอพยพหลบหนีและกลายเป็นเมืองขึ้น หรือกระทั่งถูกกลืนชาติในที่สุด

แต่อาจกล่าวได้ว่าแม้มอญจะพ่ายแพ้ในการรบ หากแต่มีชัยชนะเหนือ "งานศิลปะ" ซึ่งได้เข้าไปปรากฏอิทธิพลในพม่า จนอาจกล่าวได้ว่าศิลปะของพม่านั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของงานศิลปะของชาวมอญนับ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน



ในขณะที่ไทยสยามเชื่อเรื่องการบูชาแม่น้ำคงคา และพระแม่คงคา ตลอดจนประเพณีการจองเปรียง หรือตำนานของนางพระยากาเผือก อันเป็นการผสมผสานระหว่างคติฮินดูกับพุทธศาสนา ชาวมอญกลับมีความเชื่อว่าประเพณีลอยกระทงผูกพันอยู่กับ "พระอุปคุตเถระ" ซึ่งเป็นพระมหาเถระซึ่งทรงอิทธิฤทธิ์ปรากฏเรื่องราวในพุทธศาสนาว่า ท่านบำเพ็ญธรรมอยู่กลางมหานทีอันกว้างใหญ่ในโลหะปราสาท

เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ที่ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในอินเดีย ทรงโปรดฯ ให้กระทำสังคายนาพระไตรปิฎกเป็นครั้งที่ 3 แต่ปรากฏว่าพญามารเข้ามาก่อกวนมณฑลพิธี จนต้องอาราธนาพระอุปคุปต์มาปราบ ด้วยการเนรมิตซากสุนัขเน่าเหม็นห้อยติดคอพญามาร และทำอย่างไรก็ไม่สามารถแก้หลุดได้ จนพญามารต้องยอมศิโรราบ ทำให้การสังคายนาพระไตรปิฎกสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี





ชาว มอญแห่งเมืองศิริธรรมวดี หรือเมืองสะเทิม ที่มีนิวาสสถานใกล้กับใจกลางมหานทีหรือมหาสมุทร อันเป็นที่บำเพ็ญธรรมขององค์พระอุปคุปต์ จึงพากันบูชาโดยการสร้างเป็นแพไม้ไผ่ขนาดใหญ่ มุงด้วยใบจาก ภายในบรรจุอาหารคาวหวาน ข้าวของเครื่องใช้ รูปจำลองขององค์พระอุปคุปต์ ซึ่งทุกเรือนชานบ้านช่องต่างพากันบริจาคข้าวของสิ่งละอันพันละน้อย เพื่อบูชาองค์พระอุปคุปต์ที่อยู่กลางมหานที และนำแพไม้ไผ่ไปลอยลงแม่น้ำใหญ่ หรือทะเล ในวันเพ็ญเดือนสิบสอง หากผู้ใดตกทุกข์ได้ยากขาดแคลน เมื่อพบเจอแพบูชาก็สามารถนำข้าวของต่างๆ ไปใช้ได้ ซึ่งก็นับเป็นการทำกุศลของชาวมอญอีกลักษณะหนึ่ง

ธรรมเนียมการบูชาพระอุปคุปต์นี้แพร่หลายในหมู่ชาวพม่า มีการสร้างรูปบูชาพระอุปคุปต์ในลักษณาการพระพุทธรูปไม้นั่งอยู่กลางน้ำ บนพระเศียรคลุมด้วยใบบัว และตามร่างกายมีเข็มปักติดอยู่ทั่วพระวรกาย รู้จักกันแพร่หลายว่า "พระบัวเข็ม" อันสื่อความหมายถึง "พระธรรม" ที่พระอุปคุปต์ทรงแสดงปราบพญามาร นอกจากนี้ ชนชาติเขมรยังรับคติความเชื่อเรื่องพระอุปคุปต์มาจำลองเป็นเทวประติมากรรม ขนาดเล็ก ทำด้วยสัมฤทธิ์ เป็นรูปองค์พระนั่งอยู่ในเปลือกหอยลักษณะต่างๆ สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันครับผม


ที่มา คอลัมน์ พันธุ์แท้พระเครื่อง โดย ราม วัชรประดิษฐ์


109




"หลวง ปู่จันทร์ เขมิโย" หรือ "พระเทพสิทธาจารย์" อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครพนม (ธ) อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีเทพประดิษฐาราม อ.เมือง จ.นครพนม อีกพระสงฆ์ชื่อดังรูปหนึ่งของเมืองไทย เป็นศิษย์หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ที่มีจริยวัตรศีลาจารวัตรเปี่ยมล้นด้วยเมตตาธรรม

ท่านมีนามเดิมว่า จันทร์ สุวรรณมาโจ ในวัยเยาว์ 7 ขวบ เริ่มอ่านอักษรสมัยเบื้องต้นคือ หนังสือไทยน้อย ขอม ไทยใหญ่ ก่อนเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ บรรพชาเป็นสามเณรตั้งแต่วัย 10 ขวบ

ในห้วงครองสมณศักดิ์จากพระครู สารภาณพนมเขต จนเป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่พระเทพสิทธาจารย์ ท่านได้ปกครองคณะ สงฆ์ในฐานะรองเจ้าคณะภาค 8-11 และเป็นที่ปรึกษาภาค 8-11 ตามลำดับ

จนกระทั่งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2516 ท่านได้ละสังขารอย่างสงบ ด้วยโรคชรา สิริอายุ 92 ปี พรรษา 72



กล่าว ขวัญกันว่า วัตถุมงคลของหลวงปู่จันทร์ในแต่ละรุ่น ถ้าได้แขวนห้อยคอติดตัวไว้ พร้อมกับประพฤติดีปฏิบัติชอบ รักษาศีล 5 จะมีพุทธคุณแคล้วคลาดปลอดภัย เปรียบเสมือนแก้วสารพัดนึก

สำหรับหนึ่งในวัตถุมงคลของหลวงปู่จันทร์ ที่โดดเด่นรุ่นยุคต้นๆ คือ พระพุทธชินราช หลวงปู่จันทร์ วัดศรีเทพประดิษฐาราม

เป็นเหรียญที่สร้างพร้อมกับเหรียญหลวงปู่จันทร์รูปไข่ รุ่นแรก พ.ศ.2500

ย้อน ไปขณะท่านมีสมณศักดิ์ที่พระสารภาณมุนี เดิมทีพระประธานในอุโบสถเป็นพระพุทธชินราช มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดในประเทศไทยองค์หนึ่ง องค์จริงประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.พิษณุโลก

ต่อ มาชาวบ้านไปพบพระพุทธรูปองค์หนึ่งอยู่ในโบสถ์วัดร้างแห่งหนึ่ง ปากใบหูถูกงัด หลวงปู่จันทร์จึงอัญเชิญมาประดิษฐานไว้เป็นพระประธานในอุโบสถ นามว่า "พระ แสง" คาดสร้างสมัยเดียวกันกับพระสุก พระเสริม และพระใส

เหรียญพระ พุทธชินราชจัดสร้างพร้อมเหรียญหลวงปู่จันทร์รุ่นแรก พ.ศ.2500 โดยนายสง่า จันทรสาขา อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม น้องชายต่างมารดาของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรี

สมัยนั้นไม่มีการเปิดให้บูชาอย่างเป็น ทางการ โดยมีวัตถุประสงค์ไว้แจกญาติโยมและลูกศิษย์ที่มาทำบุญเท่านั้น จัดสร้างเป็นเนื้อเงิน เนื้อทองแดงกะไหล่ทอง แต่ไม่ทราบจำนวนสร้างที่แน่ชัด

ด้านหน้าเหรียญ ประดิษฐานเป็นรูปพระพุทธชินราช ขอบซ้าย-ขวา เป็นลายกนก

ด้าน หลังเหรียญ แบนราบระบุ พ.ศ.สร้าง "๒๕๐๐" ถัดลงมาเป็นยันต์ของวัด ซึ่งเป็นยันต์ 8 ทิศ โครงสร้างของยันต์มีคาถาของพระเจ้า 5 พระองค์ "นะโมพุทธายะ" กำกับไว้ มีความหมายถึงความปลอดภัยทั้ง 8 ทิศ

เหรียญ ดังกล่าวหลวงปู่จันทร์ปลุกเสกเดี่ยวนาน 1 พรรษา มีพุทธคุณครบรอบด้าน ทั้งเมตตามหานิยม มหาโชคมหาลาภ แคล้ว คลาดปลอดภัยจากภยันตรายสูง

เป็น เหรียญที่ได้รับความนิยมที่บรรดาเซียนพระและนักนิยมสะสมพระเครื่องให้ความ สนใจ ราคาเช่าหาในปัจจุบันอยู่ที่ 30,000-80,000 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพความคมชัดของเหรียญพระ

แต่พบเห็นได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากจัดสร้างจำนวนน้อยมาก




ที่มา คอลัมน์ เปิดตลับพระใหม่ ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ  :054:

110




"พระ ครูพิทักษ์ประทุมเขต" อดีตเจ้าอาวาสวัดตระคลอง (วัดบ้านโคกไร่) และอดีตเจ้าคณะตำบลงัวบา อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม เป็นพระนักปฏิบัติที่มีความเคร่งครัดในพระธรรมวินัยอย่างสูง สืบทอดปฏิปทาและวิทยาคมจาก พระครูสุนทรสาธุกิจ หรือ หลวงปู่ซุน วัดบ้านเสือโก้ก อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม บูรพาจารย์รุ่นเก่ารูปหนึ่งของภาคอีสาน



อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า สุดใจ แสนโง เกิดในปี พ.ศ.2447 ณ บ้านหนองแวงต้อน อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม เป็นบุตรของพ่อศรีสมบัติ-แม่ทุม แสนโง ครอบครัวประกอบอาชีพทำไร่ทำนา

ด้วยฐานะทางบ้านค่อนข้างจะยากจน หลังจบการศึกษาระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนในหมู่บ้านแล้ว ได้ออกมาทำงานช่วยครอบครัวทำไร่ทำนา จนอายุย่าง 15 ปี โยมบิดา-มารดา ได้นำไปบรรพชาที่วัดในหมู่บ้าน

เมื่ออายุครบบวช 20 ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดบ้านหนองแวงต้อน ต.งัวบา อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม โดยมีพระครูสุนทรสาธุกิจ หรือหลวงปู่ซุน เจ้าอาวาสวัดบ้านเสือโก้ก เป็นพระอุปัชฌาย์





ภาย หลังอุปสมบทได้อยู่จำพรรษาที่วัดบ้านเกิด ทุกวันท่านจะเดินเท้าเข้าไปศึกษาพระปริยัติธรรมที่สำนักเรียนวัดโสมนัสฯ ในเขตอำเภอวาปีปทุม ซึ่งเป็นสำนักเรียนใหญ่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยนั้น ด้วยความขยันขันแข็งมุมานะจนสอบได้นักธรรมชั้นเอกและจบมูลกัจจายน์

นอก จากนี้ ท่านยังให้ความสนใจด้านวิทยาคม จึงเดินทางไปเรียนวิทยาคมกับหลวงปู่ซุน รวมทั้งได้เรียนการอ่านเขียนอักษรลาว ขอม และไทยน้อย

ต่อมา วัดตระคลอง หรือวัดบ้านโคกไร่ ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดว่างลง คณะสงฆ์จึงได้แต่งตั้งให้ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส

ท่าน ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจพัฒนาวัดในทุกด้านอย่างเต็มความสามารถ โดยเฉพาะการศึกษา ท่านให้ความสำคัญมาก เพราะผู้บวชเรียนส่วนใหญ่ล้วนมาจากครอบครัวที่ยากจน รวมทั้งสำนักเรียนใหญ่อยู่ไกลถึงในตัวอำเภอวาปีปทุม

ท่านจึงเปิด สำนักเรียนขึ้นและให้ความอุปถัมภ์จัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอนต่างๆ ให้กับสำนักเรียนวัดบ้านโคกไร่ อีกทั้งให้ทุนการศึกษากับพระภิกษุ-สามเณรที่เรียนดีทุกปี



ตำแหน่งงานด้านปกครอง พระครูพิทักษ์ประทุมเขต ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดตระคลอง เป็นเจ้าคณะตำบลงัวบา

ส่วนสมณศักดิ์ ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรเจ้าคณะตำบลชั้นเอก ในราชทินนามที่ พระครูพิทักษ์ประทุมเขต

เนื่อง จากเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีเมตตาธรรมสูง ครองตนอยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์อย่างสมถะเสมอต้นเสมอปลาย ทำให้ท่านมีชื่อเสียงอยู่ในศรัทธาของชาวอำเภอวาปีปทุม ในแต่ละวัน มีญาติโยมจากทั่วสารทิศเดินทางมากราบนมัสการรับฟังธรรมจากท่านอย่างล้นหลาม เพื่อขอประพรมน้ำพระพุทธมนต์ รวมทั้งปรารถนาในวัตถุมงคลเหรียญรูปเหมือนและตะกรุดโทนที่เข้มขลัง มีพุทธคุณรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นแคล้วคลาดปลอดภัย คงกระพัน และเมตตามหานิยม






สำหรับ ปัจจัยที่ได้รับการบริจาคจากศรัทธาญาติโยม ท่านได้นำไปพัฒนาสาธารณูป โภค สาธารณูปการ สร้างความเจริญให้กับวัดแห่งนี้ อาทิ พระอุโบสถ ประตูโขง กำแพงแก้ว กุฏิ เป็นต้น นอกจากนั้นหลวงปู่ยังร่วมพัฒนาชุมชนในทุกๆ ด้าน

ถึง แม้วิทยาคมของท่านจะเข้มขลังเพียงใด ท่านก็ไม่เคยโอ้อวด กลับพร่ำสอนญาติโยมให้ยึดคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อขณะยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ขอให้ทุกคนหมั่นประกอบแต่กรรมดี ละความชั่ว และอย่าดำรงชีวิตอยู่ด้วยความประมาท รู้จักตอบแทนบุญคุณบุพการี ครู อาจารย์ เพียงเท่านี้ชีวิตของตนเองและครอบครัวก็จะพานพบแต่ความสุขความเจริญตลอดไป ไม่มีตกต่ำ

ในช่วงบั้นปลายของชีวิต หลวงปู่อาพาธบ่อยครั้งด้วยโรคชรา สุดท้าย ได้มรณภาพอย่างสงบ ในปี พ.ศ.2529 สิริอายุ 82 พรรษา 62

ณ วันนี้ถึงแม้หลวงปู่จะละสังขารไปนานกว่ายี่สิบปีแล้ว แต่คุณงามความดีของท่านยังคงปรากฏอยู่ในใจของชาวมหาสารคาม


ขอบคุณที่มาจาก  คอลัมน์ อริยะโลกที่ 6 โดย เชิด ขันตี ณ พล ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ  :089:


111



วัด อรุณราชวรารามวรมหาวิหาร" ตั้งอยู่ที่ 34 ถ.อรุณอมรินทร์ แขวงวัดอรุณฯ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ มีพระปรางค์เป็นสัญลักษณ์โดดเด่นอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เหมาะสมเป็นวัดประจำรัชกาลแห่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงได้รับการยกย่องจากองค์กรศึกษาวัฒนธรรมแห่งสหประ ชาชาติ ให้ทรงเป็นบุคคลผู้สร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมของโลก

พระปรางค์ ที่สูงสง่าเป็นหน้าเป็นตาของกรุงเทพฯ องค์นี้ เดิมสูงเพียง 8 วา หรือประมาณ 16 เมตรเท่านั้น แต่พระปรางค์ที่เห็นกันในปัจจุบันนี้ได้มีการต่อเติมขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ 3 เมื่อคราวที่ทรงปฏิสังขรณ์วัดอรุณฯ ใหม่หมดทั้งวัด พระปรางค์องค์ที่บูรณะใหม่นี้มีขนาดความสูงถึง 1 เส้น 13 วา 1 ศอก 1 คืบ กับอีก 1 นิ้ว หรือประมาณ 67 เมตร ล้อมรอบด้วยปรางค์ทิศ และมณฑปทิศ องค์พระปรางค์ประดับด้วยกระเบื้องทำเป็นลวดลายต่างๆ สวยงามมาก

พระ ปรางค์วัดอรุณฯ ตั้งอยู่หน้าวัดทางทิศใต้ หลังโบสถ์น้อยและวิหารน้อย เดิมสูง 8 วา หรือประมาณ 16 เมตรเท่านั้น เป็นปูชนียวัตถุที่สร้างขึ้นพร้อมกับโบสถ์และวิหารน้อย ครั้นถึงรัชกาลที่ 3 โปรดให้เสริมสร้างพระปรางค์สูงถึง 1 เส้น 1 คืบ 1 นิ้ว และล้อมรอบด้วยปรางค์ทิศและมณฑปทิศ ปรางค์ทิศเป็นปรางค์องค์เล็กๆ อยู่ทิศละองค์ คือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้

ทั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า ฝีมือของช่างในสมัยก่อนไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ในการสร้างพระปรางค์องค์สูงใหญ่อยู่ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำ และยังคงแข็งแรงมาจนตราบถึงทุกวันนี้ได้

นอกจากความสวยงาม นักท่องเที่ยวยังสามารถเดินขึ้นไปชมบนยอดพระปรางค์ได้อีกด้วย สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์รอบวัด มองเห็นริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตลอดไปจนถึงฝั่งพระนคร อย่างไรก็ดี บันไดขึ้นยอดพระปรางค์มีความชันสูงมาก จำต้องระวังในการเดินให้ดี อาจพลัดตกลงมาได้รับบาดเจ็บ

นอกจากพระ ปรางค์วัดอรุณฯ ใครที่มาถึงวัดอรุณแล้วก็ควรต้องแวะไปกราบนมัสการพระพุทธรูปสำคัญ ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพกราบไหว้ของพุทธศาสนิกชน ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถวัดอรุณฯ มีความงดงาม ไม่แพ้พระอารามหลวงที่ไหนๆ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย มีนามว่า "พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก"

พระ พุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ วัสดุโลหะผสมทอง ขนาดหน้าตัก 3 ศอกคืบ หรือ 1.75 เมตร ศิลปกรรมสมัยรัตนโกสินทร์

พระประธานองค์นี้ เล่าขานกันว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงปั้นหุ่นพระพักตร์ด้วยพระองค์เอง

พระ พุทธรูปองค์นี้ เดิมยังไม่มีพระนาม ประดิษฐานบนฐานชุกชี โปรดให้หล่อพัดแฉกใหญ่ตั้งไว้เบื้องพระพักตร์เช่นเดียวกับพระพุทธเทวปฏิมากร วัดพระเชตุพนวิมลมังคลา ราม

ในรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย บรรจุในพระบรมอาสน์ ตก แต่งผ้าทิพย์ประดับลายพระราช ลัญจกรเป็นรูปครุฑ แล้วถวายพระนาม พระพุทธรูปองค์นี้ ว่า "พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก"

ในรัชกาลที่ 5 ไฟไหม้พระอุโบสถวัดอรุณฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปบัญชาการดับไฟด้วยพระองค์เอง อัญเชิญพระบรมอัฐิออก จากนั้นบูรณปฏิสังขรณ์ให้มั่นคงแข็งแรง แล้วอัญเชิญพระบรมอัฐิคืนดังเดิม

สิ่ง ที่น่าสนใจของวัดอรุณฯ ยังมีอีกมาก อาทิ ภายในพระอุโบสถยังมีจิตรกรรมฝาผนังฝีมือของครูคงแป๊ะและครูทองอยู่ ช่างเขียนจิตร กรรมฝีมือชั้นครู พระอรุณหรือพระแจ้ง พระพุทธรูปที่อัญเชิญมาจากเมืองเวียงจันทน์


ที่มาข่าวสด คอลัมน์ เดินสายไหว้พระพุทธ ขอบคุณครับ  :089:

112



หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา

หลวงปู่เมี้ยน พุทธสิริ หรือท่านพระครูพุทธสิริวัฒน์ อดีตเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ (กบเจา)

ตำบลกบเจา อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
 


ท่านเป็นพระที่สมควรเคารพกราบไหว้องค์หนึ่ง…หลวงปู่บวชเป็นสามเณรตั้งแต่ อายุ ๑๖ ปี ลาสึกเมื่ออายุ ๒๐ ปีเพื่อสมัครเข้ารับราชการทหาร..

แต่ เพราะเป็นคนรูปร่างเล็ก จึงไม่ได้เข้ารับราชการ ท่านจึงได้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุและได้ศึกษาวิชาอาคมต่างๆ ปฏิบัติกรรมฐานในป่าดงดิบมาโดยตลอด

จนมีอายุมากขึ้นจึงได้หยุดเดิน ธุดงค์ และด้วยความที่ท่านเป็นพระที่มีความเชี่ยวชาญในด้านคาถาอาคม ส่งผลให้ท่านก้าวขึ้นเป็น “ที่พึ่งทางใจ” ให้กับลูกศิษย์และญาติโยมได้ทุกเรื่อง..

“ฉันมีความรู้สึกว่า เราเป็นพระใครก็ว่าพระเป็นแต่ผู้รับของจากญาติโยมอย่างเดียว ไม่ได้ให้อะไรตอบแทนเป็นชิ้นเป็นอันที่เป็นรูปธรรมเลย....

ให้แต่ศีล ให้แต่ธรรม เป็นนามธรรมทั้งนั้น ฉันจึงต้องแสวงหาวิชาเพื่อตอบแทนญาติโยม อย่างเช่นการรักษาโรค การรักษาพวกขาหัก....”




หลวงปู่เมี้ยน ถือกำเนิด ณ บ้านหาดทราย (บ้านเจ๊ก) หมู่ ๙ ตำบลบางบาล อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อปีมะเส็ง วันพฤหัสบดี เดือนยี่ ข้างขึ้น พุทธศักราช ๒๔๖๐ ท่านเป็นบุตรคนที่สามของคุณพ่อแก้ว คุณแม่ทองม้วน นามสกุล เกิดโภคทรัพย์

บิดาของท่านเป็นหมอยากลางบ้าน ที่มีความเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรแผนโบราณ สามารถวินิจฉัยโรคและวางยาให้ตรงกับโรค เรียกได้ว่าหากใครหาหมอที่ไหนรักษาไม่ได้แต่ถ้าหามมาให้หมอแก้วแล้วเป็น หายกลับไปทุกราย

การรักษาโรคด้วยความรู้และมีความเมตตาเป็นที่ตั้ง และดำเนินชีวิตด้วยความอ้อนน้อมถ่อมตน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวบ้านจะเรียกท่านว่า ..”หมอแก้วเทวดา”

คำพังเพยโบราณกล่าวไว้อย่างชวนคิดว่า ...”ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น”....และ....”สิบปากว่าไม่เท่าหนึ่งตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าหนึ่งมือคลำ





ด้วยความที่เด็กชายเมี้ยน เห็นบิดาทำการรักษาโรคให้กับชาวบ้าน ทำให้ท่านได้ซึมซับความรู้สึกชอบในเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นเด็กชายเมี้ยนจึงอาสาเข้าเป็นผู้ช่วยบิดาในการหยิบจับสมุนไพรต่างๆ มาจัดยาให้

ด้วยความที่ท่านเป็นเด็กช่างจด ช่างจำและมีความกระตือรือร้น ทำให้ท่านสามารถจดจำตัวยาชนิดต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ เป็นที่เชื่อถือของชาวบ้านว่า ยาของหมอแก้ว ขอเพียงให้หมอแก้วได้สั่งเท่านั้น เด็กชายเมี้ยนสามารถจัดยาเข้าชุดได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง....

“พวกที่เข้าเฝือกปูนมาจากโรงพยาบาล ถ้าให้ฉันรักษา ต้องตัดเฝือกปูนออก..

เพราะการเข้าเฝือกปูนจะทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา ที่ร้ายแรงคือแผลเน่าข้างใน ทำให้บางคนกลายเป็นเนื้อร้าย อาจถึงกับต้องตัดขาก็มี..

ฉัน ต้องตัดเฝือกปูนออกแล้วใช้เฝือกไม้ไผ่ยึดกระดูกแทน มันก็แน่นดีไม่แพ้เฝือกปูนแต่รักษาง่ายกว่า เอาน้ำมันหยอดชโลมได้ แผลก็แห้งเร็ว ไม่อบ ไม่ร้อน จะคันตรงไหน ก็เกาพอให้บรรเทาได้...”




หลวงปู่เมี้ยน ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดโพธิ์(กบเจา) ในปีพ.ศ. ๒๔๘๑ โดยมี พระครูปุ้ย ธรรมโชติ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการหลิว วัดพิกุล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูหริ่ม จันทโชติ วัดโพธิ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ...ได้รับฉายาว่า “พุทธสิริ” และเข้าจำพรรษา ณ วัดโพธิ์ (กบเจา) ...


ถึงตรงนี้ขอแทรก”เกร็ดเรื่องคติความเชื่อ ”ของคนไทยนิดครับ....การบวชเรียนในสมัยก่อน สมัยโบราณท่านว่าการบวชนั้น ผู้ที่บวชจะต้องมีการศึกษาหาความรู้มาก่อน

กล่าวคือผู้ที่จะออกบวช จะต้องไปอยู่กับวัด ฝึกหัดปฏิบัติตามข้อวัตรของพระภิกษุสามเณรเสียก่อน มิใช่ว่าจะมาบวชกันตามประเพณีเหมือนในสมัยนี้...

ดังนั้นผู้ออกบวช จึงมักจะเป็นผู้ที่มีความเคารพศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างเป็นที่สุด การฝึกปฏิบัติ เช่นการกวาดลานวัด การออกบิณฑบาต การเช็ดถูศาลา การซ่อมแซมอารามที่ชำรุด สร้างทางเดิน ฯลฯ


จึงเป็นการหล่อหลอม จิตใจของผู้ที่จะบวชให้รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เกียจคร้าน ทำตัวว่านอนสอนง่าย รู้จักดำรงอยู่กับหมู่คณะ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ฝึกไว้เพื่อให้ไม่ปฏิบัติผิดพระธรรมวินัย...





เมื่อเขาเหล่านั้นได้ลาสึกจากการเป็นพระแล้ว จึงทำให้มีความรู้ ความชำนาญ ในวิชาการต่างๆ เช่นช่างไม้ ช่างปูน สามารถปลูกสร้างบ้านเรือนได้

ซึ่ง นั่นก็คือการฝึกหัดในลักษณะของการเป็นวิชาชีพ นอกจากนี้บางคนยังมีความสามารถรอบรู้ไปถึงการศึกษาวิชาอาคม รักษาโรคภัยไข้เจ็บ และด้วยเหตุนี้แหละครับ “วัด” จึงเป็นเหมือน “สถาบันชั้นสูง” ของคนไทยมาอย่างยาวนาน

หลวงปู่เมี้ยน เคยเล่าให้พวกผมฟังว่า ท่านชอบออกเดินธุดงค์เพราะว่าชอบความสงบของป่า อีกอย่างที่แปลกก็คือพอกลับมาอยู่วัดทีไร เป็นต้องออกอาการป่วยไข้ทันทีแต่พอออกเดินธุดงค์กลับไม่มีปัญหาด้านสุขภาพ เลย..

ผลพลอยได้จากการออกเดินธุดงค์ท่านได้พบครูบาอาจารย์องค์ หนึ่ง คือหลวงพ่ออินทร์ วัดเกาะหงส์ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “หลวงพ่ออินทร์ เทวดา”...

คำว่าเทวดาตามความเชื่อของชาวป่า ชาวเขา พวกเราสันนิษฐานว่าน่าจะมาจากการเป็นผู้ที่มิวิชาอาคมแก่กล้า..

ซึ่ง ก็ไม่ผิดนักเพราะหลวงปู่ท่านได้เล่าเหตุการณ์มหัศจรรย์เกี่ยวกับหลวงพ่อ อินทร์ และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้หลวงปู่เกิดความศรัทธา จนต้องขอปวารณาขอฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อขอเรียนสรรพวิชาจากหลวงพ่ออินทร์..



หลวงปู่เมี้ยน พุทธสิริ วัดโพธิ์ (กบเจา) ตอน น้ำมนต์ น้ำมัน มีดหมอ ชานหมาก ไม้ครู


“หลวงพ่ออินทร์ ท่านเก่งในด้านการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ที่เห็นกับตาคือช้างป่าตัวหนึ่งถูกพรานยิงแต่ได้หลบหนีเข้าไปกลางดง

หลวง พ่ออินทร์ไปพบจึงได้รักษาโดยใช้..”น้ำมันมนต์”....หยอดลงไปในบาดแผลที่ กระสุนฝังอยู่และเสกเป่าด้วยคาถาอาคม ไม่นานนักลูกปืนก็ไหลตามน้ำมนต์ออกมาอย่างน่าอัศจรรย์...”

ซึ่งใน เรื่องนี้หลวงปู่บอกกับพวกเราว่า “พลังเมตตาจิต” ของหลวงพ่ออินทร์ถือว่าเป็นเรื่องเหนือคนจริงๆ ไม่ต้องคิดถึงการมานั่งหยอดน้ำมันมนต์ให้ลูกปืนในตัวช้างไหลออกมาหรอก

เอา แค่ว่าช้างป่าที่ได้รับบาดเจ็บ ก็ต้องมีความดุร้ายมากกว่าเก่าแล้ว แต่การที่ช้างยอมสงบให้หลวงพ่ออินทร์รักษา นั่นก็พอจะแสดงถึงอำนาจจิตของท่านแล้ว..

ผมจำไม่ได้แล้วว่าตัวเอง เริ่มอ้าปากค้างตั้งแต่เมื่อไร แต่ก็คงจะใกล้ๆกับที่ความสนใจในเรื่องของช้างป่าจบลงนั่นแหละ...ดูเหมือนว่า พอพวกเราฟังจบ

ความวุ่นวายสาระวนในการขยับเข้าไปใกล้หลวงปู่จึงเกิดขึ้น อาจเป็นเพราะหลวงปู่เมี้ยนท่านกำลังขยับตัวเพื่อจะหยิบตะบันหมาก

จะ ว่าไปแล้วเชื่อว่าเพื่อนๆหลายคนที่เคยได้ยินกิติศัพท์ของหลวงปู่เมี้ยน ย่อมจะจำได้ว่าวัตถุมงคลขมังเวทย์เปี่ยมประสบการณ์ที่ขึ้นชื่อของท่านคือ “ชานหมาก..”







เมื่อเอ่ยถึง “ชานหมาก” บางคนอาจไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเราถึงให้ความสนใจกับมันมากนัก ขอเรียนว่าหากมันเป็นชานหมากธรรมดาของตาสีตาสา พวกเราก็คงจะเมินเฉย

แต่ชานหมากที่คายออกจากปากของพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอย่างหลวงปู่เมี้ยนมันคือ”ของวิเศษขนานดี..”สำหรับพวกเราทีเดียว

เอา เป็นว่าเมื่อยามที่ขุนอิน แห่งโหมโรง ขยับตีระนาด เสียงของระนาดช่างไพเราะจับใจ แต่ในบริบทแบบนี้ความไพเราะที่ว่านั้น ยังสู้เสียงของชานหมากที่หล่นลงกระทบกระโถนไม่ได้เลย...ว่ากันขนาดนั้น

ชาน หมากของหลวงปู่ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการมากที่สุด ผมเคยเห็นบางคนที่เขาศรัทธาหลวงปู่จริงๆ พอชานหมากของหลวงปู่คายออกจากปาก..

ผู้รับก็ใส่ปากกลืนลงไปเลยต่อ หน้าต่อตา เรียกว่าให้ซึมซาบลงไปในเนื้อหนังอยู่กับตัวเองตลอดไป ..ผมเคยถามเหตุผลกับคนเหล่านี้ ฟังแล้วรักหลวงปู่ขึ้นเยอะครับ...

“เพราะ หลวงปู่เป็นพระที่พูดแต่เรื่องดีๆ ไม่ด่าใคร ไม่นินทาใคร ทุกวันท่านก็จะเสก จะเป่าท่องมนต์ รักษาผู้ที่เข้ามาขอความช่วยเหลือ เคี้ยวไป เสกไป ไม่ขลังตอนนี้แล้วจะให้ขลังตอนไหน....”

จะว่าไป แล้วตามที่เขาเล่า นั่นคือเรื่องจริงครับ เพราะเท่าที่พวกผมเคยนั่งเสนอหน้านวดขาให้หลวงปู่ ยังไม่เคยเห็นว่าหลวงปู่ท่านจะบ่นว่าเบื่อเลย

กลับจะกุลีกุจอซะทุก ครั้งที่มีคนป่วยเดินขึ้นมาบนกุฏิ ไม่ว่าใครจะมาเรียกขอความช่วยเหลือดึกดื่นเพียงใด หลวงปู่ไม่เคยดุด่าว่าเลย กลับถามว่ามาอย่างไรกัน เป็นอะไร บางทีพวกเราก็อดห่วงในสุขภาพและความปลอดภัยของท่านเสียมิได้....

มีคำพูดชวนให้คิดว่า “ถ้าคุณเป็นชาวนา คุณจะปลูกข้าวอย่างเดียวไม่ได้ แต่คุณต้องเป็นศัตรูกับวัชพืชด้วย.....”





   


หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา

หลวงปู่เมี้ยน พุทธสิริ หรือท่านพระครูพุทธสิริวัฒน์ อดีตเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ (กบเจา)

ตำบลกบเจา อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
 

 

 
ท่าน เป็นพระที่สมควรเคารพกราบไหว้องค์หนึ่ง…หลวงปู่บวชเป็นสามเณรตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ลาสึกเมื่ออายุ ๒๐ ปีเพื่อสมัครเข้ารับราชการทหาร..

แต่ เพราะเป็นคนรูปร่างเล็ก จึงไม่ได้เข้ารับราชการ ท่านจึงได้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุและได้ศึกษาวิชาอาคมต่างๆ ปฏิบัติกรรมฐานในป่าดงดิบมาโดยตลอด

จนมีอายุมากขึ้นจึงได้หยุดเดิน ธุดงค์ และด้วยความที่ท่านเป็นพระที่มีความเชี่ยวชาญในด้านคาถาอาคม ส่งผลให้ท่านก้าวขึ้นเป็น “ที่พึ่งทางใจ” ให้กับลูกศิษย์และญาติโยมได้ทุกเรื่อง..

“ฉันมีความรู้สึกว่า เราเป็นพระใครก็ว่าพระเป็นแต่ผู้รับของจากญาติโยมอย่างเดียว ไม่ได้ให้อะไรตอบแทนเป็นชิ้นเป็นอันที่เป็นรูปธรรมเลย....

ให้แต่ศีล ให้แต่ธรรม เป็นนามธรรมทั้งนั้น ฉันจึงต้องแสวงหาวิชาเพื่อตอบแทนญาติโยม อย่างเช่นการรักษาโรค การรักษาพวกขาหัก....”

 
หลวงปู่เมี้ยน ถือกำเนิด ณ บ้านหาดทราย (บ้านเจ๊ก) หมู่ ๙ ตำบลบางบาล อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อปีมะเส็ง วันพฤหัสบดี เดือนยี่ ข้างขึ้น พุทธศักราช ๒๔๖๐ ท่านเป็นบุตรคนที่สามของคุณพ่อแก้ว คุณแม่ทองม้วน นามสกุล เกิดโภคทรัพย์

บิดา ของท่านเป็นหมอยากลางบ้าน ที่มีความเชี่ยวชาญด้านสมุนไพรแผนโบราณ สามารถวินิจฉัยโรคและวางยาให้ตรงกับโรค เรียกได้ว่าหากใครหาหมอที่ไหนรักษาไม่ได้แต่ถ้าหามมาให้หมอแก้วแล้วเป็น หายกลับไปทุกราย

การรักษาโรคด้วยความรู้และมีความเมตตาเป็นที่ตั้ง และดำเนินชีวิตด้วยความอ้อนน้อมถ่อมตน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวบ้านจะเรียกท่านว่า ..”หมอแก้วเทวดา”

คำ พังเพยโบราณกล่าวไว้อย่างชวนคิดว่า ...”ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น”....และ....”สิบปากว่าไม่เท่าหนึ่งตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าหนึ่งมือคลำ”

 
 
ด้วยความที่เด็กชายเมี้ยน เห็นบิดาทำการรักษาโรคให้กับชาวบ้าน ทำให้ท่านได้ซึมซับความรู้สึกชอบในเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นเด็กชายเมี้ยนจึงอาสาเข้าเป็นผู้ช่วยบิดาในการหยิบจับสมุนไพรต่างๆ มาจัดยาให้

ด้วยความที่ท่านเป็นเด็กช่างจด ช่างจำและมีความกระตือรือร้น ทำให้ท่านสามารถจดจำตัวยาชนิดต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ เป็นที่เชื่อถือของชาวบ้านว่า ยาของหมอแก้ว ขอเพียงให้หมอแก้วได้สั่งเท่านั้น เด็กชายเมี้ยนสามารถจัดยาเข้าชุดได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง....

“พวกที่เข้าเฝือกปูนมาจากโรงพยาบาล ถ้าให้ฉันรักษา ต้องตัดเฝือกปูนออก..

เพราะการเข้าเฝือกปูนจะทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา ที่ร้ายแรงคือแผลเน่าข้างใน ทำให้บางคนกลายเป็นเนื้อร้าย อาจถึงกับต้องตัดขาก็มี..

ฉัน ต้องตัดเฝือกปูนออกแล้วใช้เฝือกไม้ไผ่ยึดกระดูกแทน มันก็แน่นดีไม่แพ้เฝือกปูนแต่รักษาง่ายกว่า เอาน้ำมันหยอดชโลมได้ แผลก็แห้งเร็ว ไม่อบ ไม่ร้อน จะคันตรงไหน ก็เกาพอให้บรรเทาได้...”

 
หลวงปู่เมี้ยน ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดโพธิ์(กบเจา) ในปีพ.ศ. ๒๔๘๑ โดยมี พระครูปุ้ย ธรรมโชติ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการหลิว วัดพิกุล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระครูหริ่ม จันทโชติ วัดโพธิ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ...ได้รับฉายาว่า “พุทธสิริ” และเข้าจำพรรษา ณ วัดโพธิ์ (กบเจา) ...


ถึง ตรงนี้ขอแทรก”เกร็ดเรื่องคติความเชื่อ”ของคนไทยนิดครับ....การบวชเรียนใน สมัยก่อน สมัยโบราณท่านว่าการบวชนั้น ผู้ที่บวชจะต้องมีการศึกษาหาความรู้มาก่อน

กล่าวคือผู้ที่จะออกบวช จะต้องไปอยู่กับวัด ฝึกหัดปฏิบัติตามข้อวัตรของพระภิกษุสามเณรเสียก่อน มิใช่ว่าจะมาบวชกันตามประเพณีเหมือนในสมัยนี้...

ดังนั้นผู้ออกบวช จึงมักจะเป็นผู้ที่มีความเคารพศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างเป็นที่สุด การฝึกปฏิบัติ เช่นการกวาดลานวัด การออกบิณฑบาต การเช็ดถูศาลา การซ่อมแซมอารามที่ชำรุด สร้างทางเดิน ฯลฯ


จึงเป็นการหล่อหลอม จิตใจของผู้ที่จะบวชให้รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เกียจคร้าน ทำตัวว่านอนสอนง่าย รู้จักดำรงอยู่กับหมู่คณะ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ฝึกไว้เพื่อให้ไม่ปฏิบัติผิดพระธรรมวินัย...

 
 
เมื่อเขาเหล่านั้นได้ลาสึกจากการเป็นพระแล้ว จึงทำให้มีความรู้ ความชำนาญ ในวิชาการต่างๆ เช่นช่างไม้ ช่างปูน สามารถปลูกสร้างบ้านเรือนได้

ซึ่งนั่นก็คือการฝึกหัดในลักษณะของ การเป็นวิชาชีพ นอกจากนี้บางคนยังมีความสามารถรอบรู้ไปถึงการศึกษาวิชาอาคม รักษาโรคภัยไข้เจ็บ และด้วยเหตุนี้แหละครับ “วัด” จึงเป็นเหมือน “สถาบันชั้นสูง” ของคนไทยมาอย่างยาวนาน

หลวงปู่เมี้ยน เคยเล่าให้พวกผมฟังว่า ท่านชอบออกเดินธุดงค์เพราะว่าชอบความสงบของป่า อีกอย่างที่แปลกก็คือพอกลับมาอยู่วัดทีไร เป็นต้องออกอาการป่วยไข้ทันทีแต่พอออกเดินธุดงค์กลับไม่มีปัญหาด้านสุขภาพ เลย..

ผลพลอยได้จากการออกเดินธุดงค์ท่านได้พบครูบาอาจารย์องค์ หนึ่ง คือหลวงพ่ออินทร์ วัดเกาะหงส์ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า “หลวงพ่ออินทร์ เทวดา”...

คำว่าเทวดาตามความเชื่อของชาวป่า ชาวเขา พวกเราสันนิษฐานว่าน่าจะมาจากการเป็นผู้ที่มิวิชาอาคมแก่กล้า..

ซึ่ง ก็ไม่ผิดนักเพราะหลวงปู่ท่านได้เล่าเหตุการณ์มหัศจรรย์เกี่ยวกับหลวงพ่อ อินทร์ และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้หลวงปู่เกิดความศรัทธา จนต้องขอปวารณาขอฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อขอเรียนสรรพวิชาจากหลวงพ่ออินทร์..

 
 
หลวงปู่เมี้ยน พุทธสิริ วัดโพธิ์ (กบเจา) ตอน น้ำมนต์ น้ำมัน มีดหมอ ชานหมาก ไม้ครู


“หลวงพ่ออินทร์ ท่านเก่งในด้านการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ที่เห็นกับตาคือช้างป่าตัวหนึ่งถูกพรานยิงแต่ได้หลบหนีเข้าไปกลางดง

หลวง พ่ออินทร์ไปพบจึงได้รักษาโดยใช้..”น้ำมันมนต์”....หยอดลงไปในบาดแผลที่ กระสุนฝังอยู่และเสกเป่าด้วยคาถาอาคม ไม่นานนักลูกปืนก็ไหลตามน้ำมนต์ออกมาอย่างน่าอัศจรรย์...”

ซึ่งใน เรื่องนี้หลวงปู่บอกกับพวกเราว่า “พลังเมตตาจิต” ของหลวงพ่ออินทร์ถือว่าเป็นเรื่องเหนือคนจริงๆ ไม่ต้องคิดถึงการมานั่งหยอดน้ำมันมนต์ให้ลูกปืนในตัวช้างไหลออกมาหรอก

เอา แค่ว่าช้างป่าที่ได้รับบาดเจ็บ ก็ต้องมีความดุร้ายมากกว่าเก่าแล้ว แต่การที่ช้างยอมสงบให้หลวงพ่ออินทร์รักษา นั่นก็พอจะแสดงถึงอำนาจจิตของท่านแล้ว..

ผมจำไม่ได้แล้วว่าตัวเอง เริ่มอ้าปากค้างตั้งแต่เมื่อไร แต่ก็คงจะใกล้ๆกับที่ความสนใจในเรื่องของช้างป่าจบลงนั่นแหละ...ดูเหมือนว่า พอพวกเราฟังจบ

ความวุ่นวายสาระวนในการขยับเข้าไปใกล้หลวงปู่จึงเกิดขึ้น อาจเป็นเพราะหลวงปู่เมี้ยนท่านกำลังขยับตัวเพื่อจะหยิบตะบันหมาก

จะ ว่าไปแล้วเชื่อว่าเพื่อนๆหลายคนที่เคยได้ยินกิติศัพท์ของหลวงปู่เมี้ยน ย่อมจะจำได้ว่าวัตถุมงคลขมังเวทย์เปี่ยมประสบการณ์ที่ขึ้นชื่อของท่านคือ “ชานหมาก..”

 
เมื่อเอ่ยถึง “ชานหมาก” บางคนอาจไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเราถึงให้ความสนใจกับมันมากนัก ขอเรียนว่าหากมันเป็นชานหมากธรรมดาของตาสีตาสา พวกเราก็คงจะเมินเฉย

แต่ชานหมากที่คายออกจากปากของพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอย่างหลวงปู่เมี้ยนมันคือ”ของวิเศษขนานดี..”สำหรับพวกเราทีเดียว

เอา เป็นว่าเมื่อยามที่ขุนอิน แห่งโหมโรง ขยับตีระนาด เสียงของระนาดช่างไพเราะจับใจ แต่ในบริบทแบบนี้ความไพเราะที่ว่านั้น ยังสู้เสียงของชานหมากที่หล่นลงกระทบกระโถนไม่ได้เลย...ว่ากันขนาดนั้น

ชาน หมากของหลวงปู่ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการมากที่สุด ผมเคยเห็นบางคนที่เขาศรัทธาหลวงปู่จริงๆ พอชานหมากของหลวงปู่คายออกจากปาก..

ผู้รับก็ใส่ปากกลืนลงไปเลยต่อ หน้าต่อตา เรียกว่าให้ซึมซาบลงไปในเนื้อหนังอยู่กับตัวเองตลอดไป ..ผมเคยถามเหตุผลกับคนเหล่านี้ ฟังแล้วรักหลวงปู่ขึ้นเยอะครับ...

“เพราะ หลวงปู่เป็นพระที่พูดแต่เรื่องดีๆ ไม่ด่าใคร ไม่นินทาใคร ทุกวันท่านก็จะเสก จะเป่าท่องมนต์ รักษาผู้ที่เข้ามาขอความช่วยเหลือ เคี้ยวไป เสกไป ไม่ขลังตอนนี้แล้วจะให้ขลังตอนไหน....”

จะว่าไป แล้วตามที่เขาเล่า นั่นคือเรื่องจริงครับ เพราะเท่าที่พวกผมเคยนั่งเสนอหน้านวดขาให้หลวงปู่ ยังไม่เคยเห็นว่าหลวงปู่ท่านจะบ่นว่าเบื่อเลย

กลับจะกุลีกุจอซะทุก ครั้งที่มีคนป่วยเดินขึ้นมาบนกุฏิ ไม่ว่าใครจะมาเรียกขอความช่วยเหลือดึกดื่นเพียงใด หลวงปู่ไม่เคยดุด่าว่าเลย กลับถามว่ามาอย่างไรกัน เป็นอะไร บางทีพวกเราก็อดห่วงในสุขภาพและความปลอดภัยของท่านเสียมิได้....

มีคำพูดชวนให้คิดว่า “ถ้าคุณเป็นชาวนา คุณจะปลูกข้าวอย่างเดียวไม่ได้ แต่คุณต้องเป็นศัตรูกับวัชพืชด้วย.....”

 
แน่นอนครับเรื่องจำเป็นสำหรับผู้ที่ศึกษาวิชาไสยศาสตร์ อุปกรณ์สำคัญที่จะขาดเสียมิได้คือ “มีดหมอ” หากวิชาอาคมคือเสื้อผ้า มีดหมอก็คือกางเกงละครับ

ผมเคยได้ยินญาติโยมหลายท่านถามหลวงปู่อยู่บ่อยๆว่า

“หลวงปู่เรียนวิชาจากใคร และมีดที่ใช้อยู่นั้นเอามาจากไหน”

ซึ่ง เมื่อท่านฟังเสร็จมักจะหลับตาแล้วเงียบไปซะเฉยๆ และเป็นการนั่งที่ทำให้ผู้ถามต้องกราบลาท่านกลับเพราะรอคำตอบไม่ไหว...ถึง ตอนนี้ผมมีคำตอบให้ครับ...เป็นคำกล่าวที่เล่าขานกันเลยว่า

“ใครไปวัดโพธิ์ ไม่โดนมีดหมอหลวงพ่อเมี้ยน ก็เท่ากับว่าไม่ถึงวัดโพธิ์....”


“เราเรียนวิชารักษาโรคภัยไข้เจ็บ การใช้มีดหมอจากหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ...

การใช้มีดหมอต้องรู้เคล็ดวิชา คือการกำหนดรู้ว่าสมุฏฐานของโรคอยู่ที่ใด เคล็ดวิชาของหมอโบราณที่ต้องท่องจำให้ขึ้นใจก็คือ....”

“ทุกข์อยู่ที่หัว กลัวอยู่ที่ใจ ไข้อยู่ที่ท้อง...”

อธิบาย ความได้ว่า..ตามธรรมดาคนเรานั้นมีเรื่องราวมากมายให้ได้คิด เมื่อคิดมากเข้าก็จะเกิดอาการเครียด ทำให้ปวดหัว อารมณ์หงุดหงิด เป็นบ่อยๆก็จะก้าวเข้าสู่โรคประสาท นี่คือความหมายของ “ทุกข์อยู่ที่หัว...”

 

 
 
คำว่า “กลัวอยู่ที่ใจ” กล่าวกันว่าคนเรานั้น ใจย่อมเป็นใหญ่ ใจเป็นสภาพที่เกิดก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสำเร็จ เกิดจากใจทั้งสิ้น ว่ากันว่า คนเราจะกลัวหรือจะกล้าก็อยู่ที่ใจทั้งสิ้น..

อุปมา ให้ชัดเจนเหมือนนักมวยที่กำลังขึ้นชกบนเวทีล่ะครับ โดนเข้าไปสองสามดอก เกิดอาการถอดใจ โดนหนักๆ เข้าก็นอนซะเลย เรียกไม่ยอมตื่น...


และ สุดท้าย “ไข้อยู่ที่ท้อง..” ครับจะเห็นว่าโรคส่วนใหญ่ มีสมุฏฐานจากท้องซะเป็นส่วนมาก คิดมาก กรดแก๊สในกระเพาะก็มาก หนักๆเข้าเลยพาลปวดท้อง กลายเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ..

อีก อย่างอวัยวะส่วนใหญ่ก็อยู่บริเวณท้องทั้งนั้น ไล่เรียงดูได้ครับ ตับ ไต ไส้ ฯลฯ ว่ากันว่าคนเราจะอยู่จะตายก็อยู่ตรงส่วนนี้มากกว่าส่วนอื่น.....







สำหรับ”มีดหมอเล่มที่หลวงปู่ท่านใช้อยู่นั้น” ท่านได้รับจากโยมคนหนึ่ง ตั้งแต่สมัยหลวงปู่บวชได้สักห้าพรรษาครับ มีดหมอเล่มนี้เป็นสมบัติตกทอดกันมาหลายชั่วคน

เล่าลือกันว่าเป็น มีดที่แรงมาก คนที่ใช้ติดตัวมักจะมีเรื่องมีราว จนคนสุดท้ายที่ครอบครองได้สั่งไว้ก่อนตายให้นำมีดเล่มนี้ไปถวายให้ท่าน เมี้ยน วัดโพธิ์...นี่แหละครับคือที่มาที่ไปของมีดหมอเล่มนี้...


ขอ พูดถึง”หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค” สักนิดครับ หลวงพ่อปานองค์นี้เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ คุ้นหูคุ้นตากับบรรดาผู้นิยมวัตถุมงคล..

พระที่หลวงพ่อปานทำขึ้นก็ คือพระเนื้อดินเผา รูปทรงสี่เหลี่ยม รูปลักษณ์เป็นพระพุทธปางประทับบนสัตว์ประเภทต่างๆ เช่น ไก่ นก ปลา ฯลฯ เชื่อกันว่าหลวงพ่อปานท่านเป็นพระเถระที่ยิ่งด้วยบารมีเพราะท่านได้ตำรา เทวดามาจากสวรรคโลก

 
 
 
นอกจากนี้หลวงพ่อปาน ท่านยังได้ชื่อว่าเป็นพระหมอรักษาโลกและถอดถอนคุณไสยที่เก่งมากๆเลยครับ สำหรับวิชาที่สร้างชื่อเสียงให้หลวงพ่อปานอีกอย่างหนึ่งคือ “วิชายันต์เกราะเพชร”

ถึงตรงนี้คงขอล่ะเรื่องวิชายันต์เกราะเพชร ไว้ก่อน เพราะผมเองยังไม่มีความรู้พอที่จะอธิบายได้ชัดแจ้ง เนื่องจากวิชานี้มีกระบวนการและขั้นตอนมากมายเหลือเกิน แต่ที่สำคัญคือ

“การทำวิชานี้ให้สำเร็จต้องใช้จิตของผู้ทำเป็นสิ่งสำคัญ...”

หากวัด เอาจากวิชาอาคมที่หลวงปู่เมี้ยนได้ร่ำเรียนมา การผ่านครูบาอาจารย์ที่มีวิชาแกร่งกล้าก็น่าจะทำให้หลวงปู่หยุดที่จะเรียน รู้ได้แล้ว แต่ถ้าทำอย่างนั้นมันก็คงจะทำให้สมภารหนุ่มแห่งวัดโพธิ์กบเจา ดูจะหยาบเกินไป..

“มวยหลักคือมวยที่มีฝีมือ แต่ก็ใช่ว่ามวยรองจะไร้ความสามารถซะทีเดียว..”

 
 
 
หลวงพ่อขัน แห่งวัดนกกระจาบ ชื่อนี้คงคุ้นหูบรรดานักไสยศาสตร์อีกแน่นอน..มีคำบอกเล่าของชาวบ้านย่านบางบาลว่า

หลวง พ่อขันรูปนี้มีอาคมแก่กล้านัก เสกใบไม้ให้เป็นต่อเป็นแตน เสกกระต่ายจากหัวปลี สำคัญคือมีวิชาสักยันต์คงกระพันชาตรีชื่อว่า “สักบุตรลม..”

ตำราไสยศาสตร์บันทึกไว้ว่า วิชาสักบุตรลม เป็นการสักยันต์ที่ละสองคน สักแล้วให้สาบานกันว่า จะไม่ฆ่ากันเอง ใครผิดสัจจะให้ถึงแก่ความฉิบหาย ...

เล่าลือกันทั่วคุ้งลำน้ำน้อยว่า ...คำสาบานนี้รุนแรงยิ่งนัก เพราะเคยมีคนที่ได้รับการสักจากหลวงพ่อขันไปแล้วคิดร้ายต่อกัน ผลก็คือผู้นั้นมีอันเป็นไปทันที..

นอกจากหลวงปู่เมี้ยนจะได้รับการ ถ่ายทอดวิชาการสักยันต์จากหลวงพ่อขันแล้ว การทำเชือกสนตะพายควายธรรมดา ให้มีอานุภาพสูง คงกระพันเป็นยอด ขนาดลงน้ำปลิงไม่เกาะ หลวงปู่ก็ได้รับถ่ายทอดมาจนหมดสิ้น..

 
 
 
แต่วิชาสำคัญที่ผมจะพ่นถึงตอนนี้คือ “การทำน้ำมนต์” หลวงปู่เล่าให้พวกเราฟังว่าหลวงพ่อขันได้เสกน้ำมนต์ให้หมุนอยู่ในบาตรได้ อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ก่อนที่ท่านจะสอนวิชาการทำน้ำมนต์ดังกล่าวให้หลวงปู่เมี้ยนจนหมดสิ้น รวมไปถึงการทำ”น้ำมนต์สารพัดนึก” อีกด้วย ...

ครั้งหนึ่งผมเคยกราบ นมัสการ”พระมหาฉลอง วัดสุทัศน์ฯ กทม.” ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ ท่านเมตตาเล่าให้ผมฟังว่า สมัยตอนที่ท่านยังเป็นพระน้อยอยู่ที่อยุธยา เคยได้ไปนอนอยู่ในห้องเดียวกับหลวงปู่เมี้ยน

กิจวัตรประจำวันของหลวงปู่เมี้ยนคือตื่นแต่เช้า สวดมนต์เสร็จแล้ว ท่านจะมานั่งทำน้ำมนต์ให้กับญาติโยม...

เวลา ทีทำใบหน้าของหลวงปู่จะแดงกล้ำ จนได้ยินเสียง เจี๊ยบ ๆ นั่นแหละท่านจึงหยุดเสก ครั้นพอพระมหาฉลอง เข้าไปสอบถาม หลวงปู่ตอบติดตลกว่า “เลี้ยงลูกเจี๊ยบไว้ในโอ่งน้ำมนต์...”





สิ่งที่หลวงพ่อขัน มอบให้กับหลวงปู่เมี้ยนอีกอย่างก็คือ “ไม้ครู..” ซึ่งเป็นไม้ไผ่ตันลงอักขระจารด้วยมือเต็มไปหมด ซึ่งหลวงปู่ท่านมักจะใช้ไม้ครูอันนี้ควบคู่ไปกับการใช้มีดหมอ..

เวลา ท่านไล่ผีหรือรักษาคนเจ็บ หากรายใดทนไม่ไหวคิดจะหนี หลวงปู่มักจะใช้ไม้ครูดังกล่าวดึงเข้ามาอีก เช่นเดียวกันครับที่หลวงปู่ชอบสัพยอกกับบรรดาญาติโยมที่มากับคนไข้ว่า...

”นี่แหละมือวิเศษ เพราะมันสั้นได้ ยาวได้..”

 
 
 
มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากพอที่จะบอกให้พวกเราทราบได้ว่า

“มนุษย์ใม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่นิยมความรุนแรง...”

แต่ ถ้ากับสิ่งไม่มีชีวิตที่เราเรียกว่า “ผี” หากบังเอิญมีใครโชคดีได้เจอเข้า เพื่อนๆคิดที่จะปฏิบัติตัวหรือปฏิบัติต่อ “เพื่อนรักต่างมิติ” กลุ่มนี้อย่างไรครับ ถ้าคิดอะไรไม่ออกนอกจากความกลัว..ลองฟังความคิดของหลวงปู่เมี้ยนกันครับ...

หลวงปู่มีหลักปฏิบัติอยู่อย่างหนึ่ง...

ไม่ว่าจะเป็นคนหรือ วิญญาณร้ายใดๆก็ตาม ท่านจะใช้วิธีการเอาความอ่อนโยนเข้าหา ไม่นิยมความแข็ง หรือการเผชิญหน้า ให้คุณธรรมความดีลบล้างความอำมหิต เลวร้ายทั้งปวง...


“การ อ่อนเข้าหาเขา อย่างน้อยก็ลดความรุนแรงของเขาลงได้ครึ่งหนึ่งแล้ว แทนที่เขาจะเพิ่มความรุนแรงใส่ เราก็หยุดความรุนแรงนั้นซะ ด้วยวิธีพยายามพูดปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน...”

ต่อคำพูดสอนของหลวงปู่ ท่านได้เมตตายกตัวอย่าง “คนโกรธสองคนที่ประจันหน้ากัน..” ท่านว่า



“...คน หนึ่งระบายอารมณ์ร้อนด้วยคำพูดรุนแรง อารมณ์ฉุนเฉียว ขณะที่อีกคนพยายามหักห้ามใจ ไม่ตอบโต้ด้วยคำพูดหรือการกระทำที่รุนแรง ประเภทมึงด่าไปกูตอกกลับมา...

เมื่อต่างคนต่างแรง เหมือนกาน้ำที่อยู่บนเตาไฟ ยิ่งโหมไฟเข้าไป น้ำที่เดือดอยู่แล้วจะเดือดยิ่งขึ้น อาจอัดดันให้ระเบิดได้เมื่อควันหรือไอน้ำระบายออกมาไม่ทัน..

แต่ถ้า เห็นว่าน้ำเดือด เราลดไฟลงให้อ่อนหรือดับไฟในเตาเสียเลย ความร้อนของน้ำในกาก็จะค่อยๆลดลง ที่เดือดก็จะหายเดือด ทีสุดแล้วก็จะเย็นเมื่อความร้อนระเหยไปหมดแล้ว..”

จะว่าไปแล้ว เรื่องที่ใครๆคิดว่าจะร้ายก็กลายเป็นดีได้ หลวงปู่เมี้ยนท่านมักจะเลือกใช้วิธีนี้กับทุกคน และทุกปัญหาที่ท่านต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย..

แม้แต่กับบรรดา วิญญาณภูตผีปีศาจ ถึงท่านจะมีวิชาอาคมและพลังจิตที่เหนือกว่าสามารถหักล้างลงไปได้ หลวงปู่ท่านกลับเลือกใช้ “ไม้อ่อน” เข้าหา...

หลังจากที่ได้เสาะหาพระอาจารย์หรือหมอผีหลายท่านที่มีชื่อเสียง แต่ก็ไม่สามารถแก้ได้ กระทั่งมีญาติคนหนึ่งแนะนำให้ไปหาหลวงปู่เมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา...หลวงปู่ได้ตรวจสอบแล้วจึงรับอนุเคราะห์เป็นภาระให้ด้วยความ เมตตา..

หลวงปู่ได้ใช้วิธีนิ่มนวลชี้ให้วิญญาณอาฆาต ได้เห็นถึงบาปบุญคุณโทษ หากวิญญาณอาฆาตทำให้ผู้หญิงคนนี้ตายไป ก็ไม่ใช่ว่าวิญญาณนั้นจะได้ไปผุดไปเกิดในทันที ซ้ำยังต้องรับโทษทัณฑ์ทุกข์ทรมานสืบต่อไปอีก ดังนั้นการอโหสิกรรมต่อกันจะเป็นทางที่ดีที่สุด..

หลังจาก”วิญญาณ ภูตผี ปีศาจ” ที่ใครๆ คิดว่าไม่มีในโลก (แต่ ณ ขณะนั้นกลับมีอยู่ที่วัดโพธิ์กบเจา) ได้รับฟังคำสอนของหลวงปู่ที่ชี้แจงให้เห็นถึงบาปบุญคุณโทษนานพอสมควร จึงยอมออกจากร่างหญิงคนนั้นไป...


“คนเราเมื่อตายไปแล้ว ก็มีแต่กรรมดี กรรมชั่ว ที่ตนเองกระทำนั่นแหละ ที่จะติดตัวเราไป กรรมเป็นกำเนิด กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมของตัวเอง...”

พวกผมเคยนั่งล้อมวงถาม หลวงปู่ว่า ผี มีหน้าตาอย่างไร น่ากลัวไหม แทนคำตอบท่านกลับนั่งนิ่งๆ ตามแบบของท่าน ครั้นพอหนักๆเข้า ชะรอยท่านคงจะรำคาญเลยถามพวกเรากลับว่า

“พวกเอ็งกลัวผีไหม” แน่นอนคำตอบของทุกคนคือ “กลัว”

ทั้งๆที่ยังไม่เคยเห็นเลยว่าผีหน้าตาเป็นอย่างไร คำตอบของหลวงปู่ที่สวนออกมาทันที ทำให้พวกเราต้องรูดซิปปากทันทีคือ...



“ให้ไปคิดดูใหม่ ค่อยๆ คิดก็ได้ พวกเอ็งกลัวผี หรือ กลัวตาย..”

ถอนหายใจยาวๆ แล้วนั่งคิดครับ..

จำ ได้ว่าในวันนั้นพวกเราคำตอบแบ่งออกเป็นสองอย่าง แต่ก็ยังไม่มีการให้ธงคำตอบมาจากหลวงปู่ เพื่อแต่ท่านได้ให้ชิ้นส่วนจิ๊กซอร์ของความคิดไว้ชิ้นหนึ่งว่า “กลัวอยู่ที่ใจ..” เพื่อนๆ ละครับเคยลองคิดไหมครับว่า “เรากลัวอะไร กลัวผี หรือ กลัวตาย...”


สำหรับตัวผม ตอบใจตัวเองครับว่า เรื่องของความกลัวนี่เป็นอันตรายของจิตใจเสียจริงๆ ไม่ว่าจะกลัวอะไร สำหรับบางคนแล้วมีอาการกลัวผีเอามากๆ

ขนาดว่าเห็นอะไรวับๆแวมๆ หัวใจหยุดเดินเอาดื้อๆ ผมเชื่อว่ามีหลายคนอาจจะบอกว่าไปกลัวผีแต่ถ้าไม่หลอกตัวเองนัก คาดว่าภายในใจลึกๆ ก็ยังคงหวาดกลัวอยู่ดี จะว่าไปแล้วได้มีนักจิตวิทยาบางท่านเคยกล่าวไว้ว่า..

“ความคิดในเรื่องของความกลัว มันฝังอยู่ในสัญชาตญาณกลัวตายของคน..”

ผมเลยได้ข้อสรุปกับหัวใจว่า..

“ตราบใดที่เรากลัวผี ตราบนั้นเราก็ยังกลัวตาย และตราบใดที่เรากลัวตาย ตราบนั้นเราก็ยังคงกลัวผีอยู่นั้นเอง”

เหมือนกับภาษากฏหมายละครับ

“อุบัติเหตุ กับ เหตุสุดวิสัย..”

สองคำนี้ต่างกันอย่างไร ชาวบ้านรากหญ้าคงสั่นศรีษะพร้อมกับบอกว่า “แฟ๊ป กับ ผงซักฟอก” คือคำตอบสุดท้าย..





จริงๆแล้วเรื่องราวของหลวงปู่เมี้ยน พุทธสิริ ยังคงมีอีกมากมาย เช่นเรื่องของการออกแสวงหาครูบาอาจารย์ เช่นหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อห่วง วัดบางยี่โท ฯลฯ

ร่วมไปถึง ประสบการณ์ในวัตถุมงคลที่หลวงปู่ได้ปลุกเสก เคล็ดลับบูชาตะกรุด การรักษาคนไข้ การต่อกระดูก หรือคำสั่งสอนต่างๆ

ซึ่งผมคงจะนำมาพ่นในที่นี้ไม่ไหว ขอยกยอดสุทธิไปลงในงบบัญชีหน้าใหม่ละกันครับ ..

เพียงแต่ว่า”บันทึกน้อย”ของผมตอนนี้ เขียนขึ้นเนื่องจากใกล้วันสำคัญ วันหนึ่งของหลวงปู่เมี้ยน คือ ๑๙ ตุลาคม ของทุกปี



หลวงปู่เมี้ยน พุทธสิริ ท่านได้มรณภาพด้วยอาการสงบ ในเวลา ๑๖.๐๐ น.ของวันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๑ สิริอายุได้ ๘๑ ปี

ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของบรรดาลูกศิษย์ที่เฝ้าดูอาการ

“ร่มโพธิ์” ของวัดโพธิ์กบเจาแห่งนี้ล้มลงแล้ว สิ้นสุดหลวงปู่เมี้ยน ผู้โด่งดังจากวิชา ๕ ม. คือ

“น้ำมัน น้ำมนต์ ชานหมาก มีดหมอ และไม้ครู....”


เห็นว่าน่าสนใจครับ เลยนำเสนอให้อ่านกัน

ที่มา ..oknation.net  ทั้งภาพและข้อมูล ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ  :089:



113
ธรรมะ / ศีลนำให้รวย
« เมื่อ: 16 ม.ค. 2553, 06:11:42 »
ศีล หมายถึง การรักษากาย วาจา ให้เรียบร้อย สะอาดปราศจากโทษ เป็นข้อปฏิบัติที่พระพุทธเจ้ากำหนดไว้ เพื่อป้องกันความชั่วไม่ให้เกิดขึ้นครอบงำจิตใจ เป็นพื้นฐานรองรับคุณความดีที่ยิ่งใหญ่ เป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ เป็นคุณธรรมเบื้องต้นที่พุทธศาสนิกชนควรประพฤติปฏิบัติในการดำเนินชีวิต เพื่อสร้างสรรค์ความสุขให้เกิดขึ้นแก่ตนเอง ครอบครัวและสังคม

ศีลสำหรับประชาชนทั่วไป มี 5 ประการ คือ

1. เว้นจากการฆ่าสัตว์มีชีวิต 2. เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยการลักขโมย 3. เว้นจากการประพฤติผิดในกาม 4. เว้นจากการกล่าวคำเท็จ 5. เว้นจากการดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัย

การที่จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์สะอาดได้ ต้องมีเบญจธรรมประจำใจควบคู่กันไป

เบญจธรรม หมายถึง ธรรมที่รักษาผู้ประพฤติไม่ให้ตกไปสู่ที่ชั่ว มี 5 ประการ คือ

1. เมตตากรุณา 2. สัมมาอาชีวะ 3. ความสำรวมในกาม 4. ความซื่อสัตย์ 5. ความมีสติรอบคอบ

ผล แห่งการรักษาศีล ที่เห็นได้ชัดคือไม่ต้องพบกับความทุกข์เดือดร้อนในภายหน้า ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีชื่อเสียงในสังคมคนดี เป็นคนองอาจไม่เก้อเขินเมื่อเข้าไปในหมู่ของคนดี มีสติ ปัญญาที่บริบูรณ์ จะศึกษาเล่าเรียนสิ่งใดเข้าใจง่ายแตกฉาน เป็นเหตุให้บรรลุธรรมชั้นสูงได้

ความ สุขที่เกิดจากการรักษาศีลและเบญจธรรม จะเริ่มต้นจากน้อยไปหามาก ผู้ที่สามารถดำเนินชีวิตให้มีปกติ ไม่ล่วงละเมิดศีล พร้อมมีเบญจธรรมสนับสนุน จะประสบแต่ความสุข ความเจริญก้าวหน้า

ศีลเป็นเบื้องต้นของความดี เป็นฐานรองรับความดีทุกอย่าง เหมือนพื้นแผ่นดินเป็นฐานรองรับสรรพสิ่งทั้งหลายที่อยู่เหนือแผ่นดินไว้

คือศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐสุด ประดับใจให้มนุษย์ทุกเพศวัยงดงามทุกกาลเวลา

ศีลจะส่งผลให้มีอาชีพมั่นคงก้าวหน้า โภคทรัพย์จะหลั่งไหลมาหาผู้มีศีล จะเป็นคนมีทรัพย์ไม่อับจน โดยเฉพาะทรัพย์ภายในคือจิตใจงดงาม

ศีล เป็นเกราะป้องกันภัยอันตราย ทำให้รอดพ้นจากศัตรู ช่วยลดปัญหาต่างๆ ของสังคมและประเทศชาติ ที่จะทำร้ายเบียดเบียนกันทางกายและวาจา ทำให้ดำรงชีวิตอยู่อย่างสันติสุขตลอดไป ดังคำกลอนที่ท่านผู้รู้ได้แต่งไว้ว่า "ศีลส่งทำให้สูง ศีลปรุงทำให้สวย ศีลนำให้รวย ศีลช่วยทำให้รอด"


ที่มา คอลัมน์ ธรรมะวันหยุด

โดย พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ. ๙) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร ขอบคุณคุณเป็นอย่างสูงครับ  :089:

114



คึกคัก ทั่วประเทศแห่ดูสุริยคราสแบบวงแหวน สภาพอากาศปลอดโปร่ง เห็นได้ชัดเจนที่ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ นักเรียนนักศึกษายกคณะมาดูกันแน่น ท้องฟ้าจำลองจัดเตรียมอุปกรณ์บริการ พร้อมบรรยายให้ความรู้ นราธิวาสบูชาราหูขอให้เหตุไฟใต้สงบ ชาวบ้านอยู่กันอย่างปลอดภัย "กัลยา โสภณพนิช"รมว.วิทยาศาสตร์ฯชี้เด็กไทยตื่นตัวปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ

-แห่ดูสุริยุปราคาวงแหวน

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 15 ม.ค. ที่ศูนย์วิทยา ศาสตร์เพื่อการศึกษา ท้องฟ้าจำลองกรุงเทพ ซึ่งเป็นอีกแห่งใน กทม.ที่มีการจัดกิจกรรมสังเกตปรากฏการณ์สุริยุปราคาวงแหวน โดยบรรยากาศภายในงาน มีการตั้งเต็นท์แบ่งเป็น 3 โซน คือโซนสังเกตโดยตรง โซนนี้สามารถชมปรากฏการณ์ด้วยตาเปล่า โดยการมองผ่านกล้องดูดาวที่มีแผ่นกรองแสงพิเศษไมลาร์ปิดหน้ากล้อง และมองผ่านหน้ากากช่างเชื่อมซึ่งเป็นหน้ากากสำหรับเชื่อมเหล็ก โซนที่สองคือโซนสังเกตโดยอ้อม โซนนี้จะเป็นการชมปรากฏการณ์ผ่านภาพตกฉากที่อยู่ปลายกล้องดูดาว โดยการใช้กระดาษดำเจาะช่องแสงประมาณ 1 นิ้ว ปิดหน้าเลนส์วัตถุ และใช้ฉากสีเทาอ่อนรับภาพ และโซนสุดท้ายคือโซนถ่ายภาพดวงอาทิตย์ โซนนี้จะเป็นการถ่ายภาพปรากฏการณ์สุริยุปราคา ทั้งนี้ทางท้องฟ้าจำลองจัดเตรียมทีวีที่ต่อภาพจากกล้องดูดาวเพื่อสังเกต ปรากฏการณ์ โดยมีประชาชน นักเรียน นักศึกษาที่ให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้อย่างคึกคักจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 14.20 น. เริ่มเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคา โดยดวงจันทร์เคลื่อนตัวเข้ามาบดบังดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดการเว้าแหว่งขึ้นด้านล่างขวาของดวงอาทิตย์เล็กน้อย ทำให้กลุ่มผู้ที่มาสังเกตการณ์ต่างตื่นเต้นอย่างมาก ส่วนมากจะต่อแถวดูปรากฏการณ์ผ่านกล้องดูดาวที่ทางเจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ ให้ และมีบางส่วนดูจากทีวี

สำหรับครั้งนี้ทั่วทุกภาคท้องฟ้าแจ่มใส สามารถเห็นสุริยุปราคาได้อย่างชัดเจน

-น.ร.ตื่นเต้น-ได้ความรู้มาก

ด.ญ.ชนัญญา พงษ์นาค นักเรียนชั้น ป.6 โรงเรียนดาราคาม กล่าวว่า รู้สึกสนุกและตื่นเต้นมากๆ วันนี้ตนและเพื่อนๆ ได้รับความรู้มากยิ่งขึ้น เพราะก่อนมาทางโรงเรียนได้แนะแนวมาแล้ว แต่พอมาดูที่นี่ก็ได้รับความรู้จากวิทยากรอีก ถ้าครั้งหน้ามีโอกาสมาดูอีกแน่ๆ

"เงาของดวงจันทร์แม้จะเล็ก แต่เมื่ออยู่ในแนวตรงกับดวงอาทิตย์ที่มีขนาดใหญ่ สามารถทำให้เราเห็นปรากฏการณ์ที่เงาดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ได้ ทำให้เข้าใจถึงการโคจรของดวงดาว" ด.ญ. ชนัญญากล่าว

นายบุญชู ศิริลิขิตานนท์ อายุ 75 ปี ชาวกรุงเทพฯ กล่าวว่า ตอนอายุประมาณ 10 ขวบ ได้ดูปรากฏการณ์สุริยุปราคามาแล้วครั้งหนึ่ง จำได้ว่าตอนที่เกิดปรากฏการณ์ท้องฟ้ามืดไปหมด เหลือแค่แสงจากดวงอาทิตย์ออกมานิดเดียว บรรยากาศแทบจะเหมือนตอนโพล้เพล้ นกบินกลับรังหมด จึงอยากมาดูว่าครั้งนี้จะกินเต็มดวงเหมือนเมื่อก่อนหรือไม่





ายสิทธิชัย จันทรศิลปิน หัวหน้ากลุ่มดารา ศาสตร์ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา กล่าวถึงปรากฏการณ์สุริยุปราคาว่า ปกติสุริยุปราคาจะเกิดขึ้นและสังเกตได้บนพื้นโลก เฉลี่ยแล้วปีละ 2 ครั้ง โดยจะเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคาคู่กันอยู่เสมอ คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง ในอีก 15 วันก็จะเกิดอีกอย่างหนึ่ง ยกตัวอย่างวันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา มีการเกิดจันทรุปราคา ให้หลัง 15 วัน เกิดสุริยุปราคา เป็นต้น ทั้งนี้เพราะแนวระนาบของโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ ยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก เกิดการโคจรเพียงแต่เปลี่ยนด้านกันเท่านั้น ถ้าดวงจันทร์ไปอยู่ด้านตรงข้ามกับดวงอาทิตย์จะเกิดจันทรุปราคา แต่ตอนนี้ดวงจันทร์มาอยู่ด้านเดียวกับดวงอาทิตย์ ทำให้บังดวงอาทิตย์ จึงเกิดสุริยุปราคา

-เผยอีก 2 ปีเกิดสุริยุปราคา

"ปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นทุกๆ ปี เฉลี่ยแล้ว 2 ครั้ง แต่ที่เข้าใจว่าสุริยุปราคาเกิดน้อยเพราะว่าเวลาเกิดจันทรุปราคาบนโลก ผู้คนมีโอกาสเห็นปรากฏการณ์ครึ่งโลก หมายความว่าคนที่อยู่ในช่วงเวลากลางคืน มีโอกาสเห็นหมดเลย แต่เวลาเกิดสุริยุปราคาพื้นที่ที่จะเห็นมีน้อย เพราะต้องขึ้นอยู่กับว่าเงาดวงจันทร์ตกส่วนไหนของโลก คนที่อยู่ใต้เงาดวงจันทร์ ถึงจะมีโอกาสเห็นปรากฏ การณ์ โดยเงาดวงจันทร์ที่ตกมาบนโลกมีด้วยกัน 2 แบบ คือเงามืด และเงามัว ถ้าเรานึกถึงวงกลมใหญ่ๆ วงหนึ่ง จุดศูนย์กลางของวงกลมมีพื้นที่เล็กๆ นั้นคือเงามืด และวงที่เหลือข้างนอกคือเงามัว ฉะนั้นถ้าเงานี้ไปตกบนพื้นที่โลกตรงไหน คนที่อยู่ใต้เงามืดจะมีโอกาสเห็นสุริยุปราคาแบบเต็มดวง แต่ถ้าอยู่ตรงขอบนอกก็จะเห็นเป็นบางส่วนเพราะอยู่ในเงามัว โดยประเทศไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะอยู่ในเงามัว เราจึงเห็นแค่บางส่วน" นายสิทธิชัย กล่าว

นายสิทธิชัย กล่าวต่อว่า การเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคา นอกจากจะเกิดแบบเต็มดวงและแบบบางส่วนแล้ว ยังมีสุริยุปราคาแบบวงแหวนอีก ซึ่งจะคล้ายกับการเกิดสุริยุปราคาแบบเต็มดวง คือดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ แตกต่างที่ขนาดของดวงจันทร์ โดยปกติดวงจันทร์จะโคจรรอบโลกเป็นวงรี จะมีระยะห่างจากโลกไม่เท่ากัน ทำให้บางช่วงดวงจันทร์ใกล้โลก บางช่วงดวงจันทร์ไกลโลก ช่วงที่ไกลโลกขนาดปรากฏจะเล็กลง และถ้าช่วงนั้นดวงอาทิตย์กับโลกโคจรเข้ามาใกล้กัน ขนาดปรากฏดวงอาทิตย์จะใหญ่ขึ้น และดวงจันทร์ขณะที่มีปรากฏเล็ก พอบังดวงอาทิตย์ จะไม่สามารถบังดวงอาทิตย์ได้มิด ทำให้ทิ้งขอบนอกเอาไว้ จึงเกิดสุริยุปราคาแบบวงแหวนขึ้น

"ถ้าเราสังเกตให้ดี การเกิดสุริยุปราคาช่วงต้นปีมักจะเป็นการเกิดสุริยุปราคาแบบวงแหวน เหตุผลเพราะว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี และมีตำแหน่งใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดในช่วงวันที่ 4 ม.ค.ของทุกปี ฉะนั้นช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์มีขนาดใหญ่ พอดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์จึงบังได้ไม่มิด จึงทิ้งขอบนอกไว้เป็นวงแหวน ถ้านับต่อไปอีก 6 เดือน คือวันที่ 4 ก.ค. โลกจะมีตำแหน่งในวงโคจรไกลจากดวงอาทิตย์มากที่สุด ทำให้ช่วงนั้นเราจะเห็นดวงอาทิตย์มีขนาดปรากฏเล็กที่สุด เพราะฉะนั้นถ้าเกิดปรากฏการณ์สุริยุป- ราคาในช่วงนั้น ดวงจันทร์จะบังดวงอาทิตย์หมด โดยคนไทยสามารถเห็นปรากฏการณ์สุริยุปราคาได้อีกครั้งในอีก 2 ปีข้างหน้านี้คือปี พ.ศ.2555 แต่จะเห็นเป็นบางส่วนเท่านั้น ทั้งนี้เพราะประเทศไทยไม่ได้อยู่ใจกลางวงแหวน ช่วงเวลาที่เริ่มเกิดนั้น ตามเวลาประเทศไทยจะเป็นช่วง 04.00 น. และอีกครั้งในปี พ.ศ.2559 ซึ่งประเทศไทยสามารถเห็นปรากฏการณ์สุริยุปราคาได้ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้น"หัว หน้ากลุ่มดาราศาสตร์กล่าว

-300น.ร.สัตหีบดูปรากฏการณ์

เมื่อเวลา 15.00 น. นายทวี สุขแก้ว ผู้ช่วยผอ.โรงเรียนธัมมศิริศึกษาสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชล บุรี นำนักเรียนกว่า 300 คน พร้อมอุปกรณ์การ ส่องดูดาว ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์มาที่สนามกีฬาของโรงเรียน เพื่อให้นักเรียนเรียนรู้และวิเคราะห์ปรากฏการณ์สุริยุปราคาที่จะเกิดขึ้น โดยธรรมชาติสุริยุปราคาหรือสุริยคราสเป็นช่วงเวลาที่ดวงจันทร์เคลื่อนที่ เข้าไปอยู่ระหว่างโลกและดวงอาทิตย์ วันที่เกิดสุริยุปราคานั้นเป็นเพราะระนาบวงโคจรของดวงจันทร์ไม่ได้อยู่ใน ระนาบเดียวกันกับระนาบวงโคจรของโลก แต่จะเอียงทำมุม 5 องศา ทำให้มีบางโอกาสที่โลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ จะมาอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกันพอดี ส่วนที่ประเทศไทยคงเหมือนกับอีกหลายประเทศ ที่จะได้เห็นปรากฏการณ์ดังกล่าว และสามารถจะเห็นได้ทั่วภูมิภาค โดยแต่ละที่อาจจะเห็นปรากฏ การณ์ที่เกิดขึ้นนี้แตกต่างกันไป เช่นที่ กทม. ดวงจันทร์จะเริ่มเข้าสู่ระบบสัมผัสที่ 1 ในเวลาประมาณ 14.00 น. และสิ้นสุดเวลา 16.58 น.

นายทวี กล่าวว่า วันนี้นำนักเรียนจำนวนกว่า 300 คน มาศึกษาปรากฏการณ์สุริยุปราคาที่เกิดขึ้น สำหรับการเกิดสุริยุปราคาวงแหวนเป็นสิ่งปกติของสุริยุปราคาที่เกิดในเดือน ม.ค. เนื่องจากเป็นเดือนที่ดวงอาทิตย์อยู่ใกล้โลกมากที่สุด ดังนั้นจึงเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงได้ยาก ครั้งนี้ไทยอยู่ใกล้แนวคราสวงแหวน จึงเห็นสุริยุปราคาบางส่วน ซึ่งแต่ละภาคจะเห็นการบดบังไม่เท่ากัน แต่ตลอดปรากฏการณ์สุริยุปราคาวงแหวนและสุริยุปราคาบางส่วน ไม่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า

-"คุณหญิงกัลยา"ชี้เด็กไทยตื่นตัว

เมื่อเวลา 16.00 น. คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เดินทางไปชมปรากฏการณ์สุริยุปราคา ที่ลานหน้าอาคารกรมประชาสัมพันธ์ ซ.อารีย์ พร้อมเปิดเผยว่า การเกิดสุริยุปราคาในวันที่ 15 ม.ค. นับเป็นครั้งสุดท้ายของรอบนี้ คงต้องรออีก 2 ปีที่จะมีปรากฏการณ์ธรรมชาติแบบนี้ขึ้นอีก อย่างไรก็ตามตลอดปี 2552 จนถึงต้นปี 2553 ที่ผ่านมาพบว่าประชาชนไทย โดยเฉพาะเยาวชนตื่นตัวกับการติดตามชมปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมาก ถือเป็นเรื่องที่ดี จะเห็นได้จากหลายคนเริ่มที่จะมีความอยากรู้อยากเห็น และตั้งข้อสังเกตมากขึ้น เช่นเมื่อปลายปีที่ผ่านมามีการพูดถึงเรื่องวัตถุประหลาดบนท้องฟ้า จนมีการสอบถามเข้ามาที่ตน และหน่วยงานในสังกัดเยอะมาก ทำให้มีการตรวจสอบและเผยแพร่ความรู้ที่เกี่ยวข้อง แม้ว่าต่อมาจะพบว่าเป็นเพียงบอลลูนที่ส่งขึ้นไปเพื่อโปรโมตงานของห้างสรรพ สินค้า แต่แสดงให้เห็นว่าคนไทยตื่นตัวมาก และกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ก็ยินดีตอบคำถามเหล่านี้โดยไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องเสียหน้าอะไร หากไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติขึ้นมาจริงๆ จึงอยากให้ทุกคนตั้งคำถามให้เยอะๆ

เมื่อถามว่ามีประชาชนบางส่วนยังเชื่อเรื่องของโชคลาง และโหราศาสตร์อยู่ คุณหญิงกัลยา กล่าวว่า การมีความเชื่อเหล่านี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิด เพราะเรื่องของโหราศาสตร์ หรือการทำนายทายทักต่างๆ เป็นเรื่องของตัวเลข สถิติ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของทุกคนว่าจะเชื่อมากน้อยแค่ไหน หากไม่ได้ทำให้ใครเสียหายก็ไม่เป็น เช่น หากจะไหว้พระจันทร์ หากทำให้สบายใจก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ควรจะกระทำทุกอย่างอย่างมีเหตุมีผล อย่าเชื่ออย่างงมงายเท่านั้น

-เด็กอนุบาลสนุกชมสุริยคราส

เมื่อเวลา 14.30 น. ที่โรงเรียนเทศบาล 3 (วัดแก้วพิจิตร) อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี นายปรีชา หงส์เจริญ ผอ.โรงเรียน พร้อมนางเกสร รัตนโมรา ครูชำนาญการพิเศษและคณะครูนำนักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาล ถึง ม.3 กว่า 200 คน ร่วมชมปรากฏการณ์สุริยุปราคาวงแหวน ซึ่งเห็นได้บางส่วนในประเทศไทย พร้อมมีการบรรยายให้ความรู้แก่นักเรียน และแจกแว่นตาที่ตัดจากแผ่นฟิล์มเอกซเรย์ที่ใหม่ไม่ผ่านการใช้ที่รับบริจาค จาก ร.พ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร เด็กนักเรียนต่างสนุกสนานที่ได้ชมจากท้องฟ้าจริง ทั้งนี้มี ด.ญ. นันทวรรณ ศรีชุมพล อายุ 7 ปี ชั้น ป.1 นักเรียนพิการหูหนวกเป็นใบ้ร่วมชมอย่างมีความสุขด้วย

นายปรีชากล่าวว่า ทางโรงเรียนเห็นว่าปรากฏ การณ์ที่เกิดขึ้น นักเรียนได้เห็นจริง เป็นการใช้สื่อการสอนจากธรรมชาติ สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ ที่เป็นศูนย์กลางการเรียนการสอนอย่างแท้จริงอีกรูปแบบหนึ่ง และในเร็วๆ นี้ จะร่วมเข้าเป็นโรงเรียนเครือข่ายสถาบันวิจัยดาราศาสตร์ด้วย


ที่มา ข่าวสด หน้า1  ขอบคุณครับ  :089:



115

'เชื่อทำเสน่ห์' ยุคไฮเทค 'ยังเกลื่อน'



แม้ปัจจุบันจะมีสารพัดสิ่งที่ใช้เสริม-เติม-แต่งให้ผู้หญิง ดูสวย-ดูดี-ดูมีความน่าสนใจ อีกทั้งสังคมไทยยุคนี้ก็เปิดกว้างมากขึ้น สำหรับการแต่งตัวโชว์เนื้อหนังมังสาของผู้หญิง แต่กระนั้น...กับความต้องการมี “เสน่ห์” ดึงดูดใจชายของ หญิงไทยจำนวนไม่น้อย ทั้งที่ต้องการให้ชายมารัก-มาเป็นสามี และที่ต้องการมิให้ชายอันเป็นคู่รัก-เป็นสามี ตีจากไปเป็นอื่น ก็ยังยึดโยงอยู่กับ “พิธีกรรมทางไสยศาสตร์” แม้ว่าปัจจุบันจะเป็นยุคไอที-ยุคไฮเทค ก็ตาม

“หมอเสน่ห์” อาชีพดึกดำบรรพ์...จึงยังคงมีอยู่

และ...บ่อยครั้งที่มีข่าว “ต้มตุ๋น-ละเมิดทางเพศ”

อย่างเมื่อไม่นานมานี้ก็มีข่าวว่าที่ จ.อ่างทอง ทางตำรวจได้เข้าจับกุมชายวัย 40 ปี รายหนึ่งที่ตั้งตนเป็น “หมอเสน่ห์” หลังจาก มีหญิงสาวรายหนึ่งเข้าแจ้งความว่าไปให้ชายผู้นี้ทำเสน่ห์แล้ว “ถูกลูบคลำหน้าอกและอวัยวะเพศ” โดยอ้างว่าเสน่ห์จะได้ขลัง ?!? อีกทั้งหญิงสาวรายนี้ยังเล่าให้ตำรวจฟังด้วยว่ามีเพื่อนหญิงที่เข้าทำเสน่ห์ ที่นี่บางรายถึงขั้นถูกบังคับร่วมเพศหรือ “ถูกข่มขืน” ซึ่งจากการตรวจค้นทางตำรวจพบรูปผู้หญิงที่บ้านชายผู้นี้เป็นลัง ๆ โดยผู้ต้องหาอ้างว่าเป็นรูปของผู้หญิงที่เคยมาให้ทำเสน่ห์ โดยลูกค้านั้นแม้แต่นางงาม-ดาราก็ยังมี ?!?

นี่ก็เป็นกรณีตัวอย่างว่าหมอเสน่ห์ยังคงมีอยู่ในสังคมไทย ยังคงมีหญิงไทยเชื่อเรื่องการ “ทำเสน่ห์” ทั้งนี้ ว่ากันถึงเรื่องเสน่ห์ที่เชื่อกันว่าทำให้เกิดได้ด้วยไสยศาสตร์นั้น ในการทำก็เชื่อกันหลายแบบ เช่น... ใช้วิธี “ลงนะหน้าทอง” ใช้แผ่นทองเปลว 3, 9, 12 หรือ 24 แผ่น แปะลงหน้าผากหรือจุดอื่น ๆ ของใบหน้า เชื่อว่าใครเห็นก็รักใคร่

ใช้ “สาลิกาลิ้นทอง” เป็นเครื่องราง เป็นยันต์ มีการใช้แผ่นทองเปลวที่จารึกอักขระสาลิกาลิ้นทองแปะลงบริเวณปลายลิ้น เชื่อว่าทำให้มีวาจาไพเราะเสนาะหูจนคนรักคนหลง, ใช้ “หุ่นทำเสน่ห์” วิธีการทำ-คาถาก็ต่างกันไปแต่ละแหล่ง แต่โดยรวมคือนำวัสดุต่าง ๆ เช่น เทียน ดินเหนียว ทำเป็นหุ่นชาย-หญิงแล้วมัดติดกันด้วยสายสิญจน์ บางแหล่งก็อาจจะใช้รูป ของใช้ เสื้อผ้า ของคนที่ทำร่วมด้วย แล้วก็บริกรรมคาถาใส่ นี่ก็เชื่อว่าทำให้เกิดรัก-หลง, ใช้ “น้ำมันพราย” นี่ออกแนวน่ากลัว เพราะเชื่อกันว่าต้องใช้น้ำมันพรายจากศพผู้หญิงตาย ทั้งกลม

เหล่านี้เป็นตัวอย่างวิธีทำเสน่ห์ที่เชื่อ ๆ กันมาในอดีต

แต่ในยุคนี้คนที่เชื่อมักจะถูกตุ๋น-ถูกละเมิดทางเพศ !!

ทั้งนี้ อุษา เลิศศรีสันทัด แห่งมูลนิธิผู้หญิง สะท้อนผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ว่า... การที่หญิงสาวเข้าทำพิธีต่าง ๆ นานา อาทิ ดูดวง สะเดาะเคราะห์ รวมไปถึงทำพิธี-ทำเสน่ห์ต่าง ๆ จนกลายเป็นเรื่องถูกหลอกลวง ถูกล่วงละเมิดทางเพศในรูปแบบต่าง ๆ นั้น น่าจะเป็นเพราะเชื่อคนง่าย และ ถูกโน้มน้าวด้วยกลวิธีต่าง ๆ จนเคลิบเคลิ้ม ซึ่งเมื่อคนที่ตั้งตนเป็นผู้ทำไม่ใช่คนที่ทำตามพิธีกรรมความเชื่อโดย บริสุทธิ์ใจ ก็ย่อมเข้าข่ายหลอกลวง

“แม้แต่ในกรุงเทพฯ.ก็เคยพบ 2 ราย ในพื้นที่ สน.สามเสน” ...อุษาระบุ พร้อมบอกต่อไปว่า... การถูกหลอกลวงในลักษณะนี้ไม่ได้เกี่ยวว่าผู้หญิงมีการศึกษาดีหรือไม่ดี ใคร ๆ ก็มีโอกาสตกเป็นเหยื่อถูกละเมิดสิทธิแบบนี้ เป็นเพราะการเชื่อคำโน้มน้าว คล้อยตามคำพูดที่ฟังดูน่าเชื่อถือ ซึ่งหากกำลังมีปัญหาด้านนี้อยู่ก็เสียท่าได้ง่าย ๆ

“เช่น สามีไม่กลับบ้านสักระยะ ก็มีวิธีการพูดว่าถ้าทำพิธีแล้วจะกลับใน 1-2 วัน รวมทั้งมีภาพของผู้หญิงคนอื่น ๆ ให้ดู ว่าเป็นคนนั้นคนนี้เคยมาทำ ซึ่งเป็นวิธีสร้างความน่าเชื่อถือกับเหยื่อ”

อุษาบอกอีกว่า... การทำเสน่ห์นั้นผู้หญิงมักถูกสั่งให้ต้องถอดเสื้อชั้นใน-กางเกงใน ให้ใส่ผ้าพันแทน และก็จะมีการจุดเทียน หรือมีการให้กินยาลูกกลอน กินน้ำมนต์ ซึ่งอาจมีการใส่ยานอนหลับ ทำให้ เคลิบเคลิ้ม จนเป็นเหยื่อ

“ถ้าไม่ระมัดระวังให้ดีผู้หญิงก็อาจตกเป็นเหยื่อ แต่เรื่องนี้ถือว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องสิทธิสตรีที่พัฒนาไประดับหนึ่งแล้ว เป็นเรื่องของผู้หญิงถูกกระตุ้นด้วยวิธีต่าง ๆ และเชื่อว่าจะสมหวังต่างหาก” ...อุษากล่าว

ด้าน ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยา บอกกับ “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ว่า... เพราะผู้ชายไม่เคยพอ ผู้หญิงแม้จะสวย แค่ไหนก็อาจถูกผู้ชายตีจากไปมีคนอื่นได้ เป็นปัญหาโลกแตก ผู้หญิงเมื่อเจอเรื่องนี้ แม้จะเป็นคนสวยแค่ไหน ก็สามารถจะเกิดการ “ขาดความมั่นใจในตัวเอง-ขาดความเชื่อมั่นเรื่องความรัก” ซึ่งทางจิตวิทยาผู้หญิงพวกนี้เป็นโรควิตกกังวลสูง ระแวง และกับบางคนก็อาจนำไปสู่การ “ต้องการเอาชนะผู้ชาย”

เมื่อผู้หญิงขาดความมั่นใจ ขาดความเชื่อมั่น ขาดที่พึ่ง และผู้หญิงอีกกลุ่มคือยังไม่มีคู่รักคู่ครอง ก็อาจจะคิดหวังพึ่งการทำเสน่ห์ อาจขาดสติคิดว่าจะทำให้ผู้ชายหลงรักได้ ก็จะไปเข้าทางพวกฉวยโอกาส ที่จะหาผลประโยชน์กับผู้หญิง ซึ่งก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก แม้แต่ในกรุงเทพฯ เมืองหลวงก็ยังมีพวกหมอทำเสน่ห์อยู่เป็นจำนวนมาก

“เมื่อเชื่อคล้อยตามคำพูดหมอเสน่ห์ ก็อาจเสียทั้งเงิน-เสีย ทั้งตัว พอรู้ตัวก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ซึ่งเสน่ห์นั้นไม่มีอะไรมาทำให้เกิดขึ้นได้ เสน่ห์นั้นอยู่ที่ตัวเอง ผู้หญิงจะมีเสน่ห์ก็อยู่ที่การมีจริตในความเป็นหญิง มีความอ่อนหวานอ่อนโยน นี่คือยาเสน่ห์ของผู้หญิงที่ใช้ดึงดูดผู้ชายที่ดีที่สุด” ...ดร.วัลลภ ระบุ

“หมอเสน่ห์” ยุคนี้ยังเกลื่อน...ซ้ำบางรายก็แฝงจีวร

จับเท่าไหร่ก็ไม่หมด...ถ้ายังมีคนเชื่อเรื่องทำเสน่ห์ !!.



ที่มา Daily News Online ขอบคุณเป็นอย่างสูงครับ  :089:


116



สืบสานตำนานพระเครื่องดังวัดห้วยเงาะ

วัดห้วยเงาะ หรือวัดหลวงพ่อศรีแก้ว เป็นวัดโบราณ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๒๐๐ สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของไทย ได้รับ       วิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๙ มีชื่อเป็นทางการว่า “วัดอรัญวาสิการาม” ตั้งอยู่หมู่ ๔ ตำบลทุ่งพลา อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ปัจจุบันมีพระปลัดอุดม อริโย เป็นเจ้าอาวาส
  
อย่างไรก็ดี หากกล่าวถึงวัดห้วยเงาะในยุคปัจจุบัน พุทธศาสนิกชนย่อมต้องนึกถึงนามของ “พระครูอนุศาสน์กิจจาทร” หรือ “พ่อท่านเขียว กิตติคุโณ” หนึ่งในพระเกจิอาจารย์ดัง ที่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้พุทธศาสนิกชนชาวใต้ได้กราบไหว้พึ่งพาบารมี ที่สำคัญ ท่านเป็นสหธรรมิกกับ “พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้” ได้ร่วมสังฆกรรม สนทนาธรรมร่วมพิธีกรรมต่าง ๆกันเสมอ โดยเฉพาะเมื่อคราวที่พระอาจารย์ทิม สร้างพระหลวงปู่ทวดเนื้อว่านปี ๒๔๙๗ เพื่อแจกแก่ผู้ที่ร่วมสร้างอุโบสถวัดช้างไห้ พ่อท่านเขียว เป็นผู้หนึ่งที่คลุกเนื้อผสมว่าน และร่วมอยู่ในพิธีกรรมเจริญพุทธมนต์ ในระหว่างที่พระอาจารย์ทิมอัญเชิญดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ทวดเพื่อ ปลุกเสกพระเครื่องเนื้อว่านในครั้งนั้น และร่วมพิธีกรรมปลุกเสกอีกหลายวาระ ๒๔๙๗  และร่วมพิธีกรรมปลุกเสกอีกหลายวาระ
  
พ่อท่านเขียว กิตติคุโณ ปัจจุบันท่านมีอายุ ๘๐ ปี พรรษา ๖๐ พื้นเพเป็นชาวจังหวัดยะลา เกิดเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ ณ ตำบลหน้าถ้ำ อ.เมือง จ.ยะลา เป็นบุตรคนที่ ๓ ในจำนวนพี่น้อง ๗ คนของนายทอง เพ็ชร ภักดี และ นางกิ๊ม นวลศรี ซึ่งประกอบอาชีพทำนาทำไร่  ช่วงชีวิตในวัยเด็กของ พ่อท่านเขียว ท่านก็เหมือนเด็กชาวบ้านในต่างจังหวัดทั่วไป หลังจากเรียนจบ ป.๔  บิดาได้ถึงแก่กรรม ท่านจึงต้องออกมาทำงานช่วยครอบครัว เพื่อเลี้ยงแม่และน้อง ๆ ซึ่งในเวลานั้นท่านก็สู้อดทนรับจ้างทำงานทุกอย่าง
  
 จนกระทั่งอายุได้ ๒๐ ปี จึงตัดสินใจบวชตามประเพณีนิยม ณ วัดนางโอ (ปัจจุบันคือวัดบุพนิมิตร) อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๒  โดยมี พระครูมนูญ   สมณการ วัดพลานุภาพ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการแดง ธมฺมโชโต วัดนาประดู่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการทอง จนฺทโชโต    วัดภมรคติวัน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระอธิการดำ ติสสโร เจ้าอาวาส วัดนางโอในขณะนั้น เป็นประธานสงฆ์ พระสงฆ์หัตถบาส เป็นพระอาจารย์ ผู้ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ ให้พ่อท่านเขียวมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นฆราวาส
  
หลังจากครองผ้าเหลือง พ่อท่านเขียวได้จำพรรษาอยู่วัดนางโอ ศึกษาพระปริยัติธรรมและนักธรรม รวมทั้งในด้านการสวดมนต์พิธี รวมถึงการสวดภาณยักษ์ แบบฉบับของภาคใต้ กระทั่งพรรษา ๒ ท่านได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดสุนทรบัญชาราม อ.รามัญ จ.ยะลา ครั้นถึงพรรษาที่ ๓ ท่านได้กลับมาจำพรรษาที่วัดนางโออีกครั้ง ได้ศึกษาวิชาอาคมต่าง ๆ กับ “ตาเลี่ยม” ฆราวาสที่เชี่ยวชาญ ด้านวิปัสสนา รวมทั้งศึกษาสรรพวิชาต่าง ๆ จากผู้เรืองพระเวทย์วิทยาคมอีกหลายท่าน นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาในทางธรรม ท่านปฏิบัติเคร่งครัด ศึกษาด้านปริยัติธรรมบาลีไวยากรณ์และนักธรรม รวมถึงการสวดมนต์ สาธยายธรรม จนกระทั่งสามารถสวดปาฏิโมกข์ได้ตั้งแต่ในพรรษาที่ ๕ และสอบได้นักธรรมโท ต่อมาก็ได้รับตำแหน่ง รักษาการเจ้าอาวาส วัดนางโอ จนกระทั่งได้เป็นเจ้าอาวาสในลำดับต่อมา ซึ่งในช่วงนี้เองที่ท่านได้รู้จักและสนิทสนมกับพระอาจารย์ทิม วัดช้างให้
    
ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ท่านได้ตรวจสอบธรณีสงฆ์รอบวัดนางโอ พบการรุกล้ำที่วัดของชาวบ้านละแวกวัด ทำให้ชาวบ้านเหล่านั้นไม่พอใจ เกิดกระทบกระทั่งกันหลายวาระ ในที่สุด ท่านจึงตัดสินใจออกไปจำพรรษาที่วัดภมรคติวัน ปรากฏว่าก็มีปัญหาเดียวกันกับวัดนางโออีก   จึงย้ายวัดไปจำพรรษาที่วัดนาประดู่อีกครั้งและ   ในระหว่างนี้ เจ้าอาวาส วัดห้วยเงาะ ในเวลานั้นได้มานิมนต์ให้ท่านไปอยู่ด้วย เนื่องด้วยพรรษาท่านมากจะได้ดูแลและไม่ต้องพบกับภาระเหนื่อยหนักอีก
  
พ่อท่านเขียว หรือที่ชาวบ้าน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ขนานนามว่า เทพ เจ้าฝ่ายบู๊แห่งเมืองลังกาสุกะ ท่านเป็นพระสมถะ ไม่สะสมทรัพย์ ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร ฉันก็ฉันง่าย ๆ บางทีก็แบ่งข้าวที่ท่านกำลังฉันให้สุนัขที่ท่านเลี้ยงกินด้วยกันท่าน มีเมตตากับทุก ๆ คน เดือดร้อนอะไรมาท่านก็ช่วยไม่เว้นแม้สุนัขที่ถูกทอดทิ้งท่าน  ก็รับมาเลี้ยงอย่างดี ท่านชอบสอนทุก ๆ คนที่ไปหาท่านให้ทำดี ละเว้นชั่ว ตั้งมั่นในความซื่อสัตย์กตัญญู อดออมทรัพย์สิน  ใช้จ่ายอย่างประหยัด  
  
สำหรับที่มาของฉายา “เทพเจ้าฝ่ายบู๊” นั้น เพราะท่านได้ทำนายเหตุการณ์ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ไว้ก่อนล่วงหน้า พร้อมกับสร้าง ตะกรุดพิศมรหลวงปู่ทวด แจกพี่น้อง ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อนมีเหตุการณ์ และตั้งแต่มีเหตุการณ์ยังไม่มีผู้ใดแขวน เครื่องรางของขลังของพ่อท่านเขียวแล้วสังเวยชีวิต ให้กับเหตุการณ์ความไม่สงบเลย จึงเป็นที่มาของ “เทพเจ้าฝ่ายบู๊แห่งเมืองลังกาสุกะ”
  
แม้เหตุการณ์ความไม่สงบใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้จะยังไม่น่าไว้วางใจ แต่ท่านตั้งปฏิปทามั่นในการอยู่ในพื้นที่อันตราย จ.ปัตตานีไม่คิดย้ายที่อยู่ไปแห่งใหม่ที่ปลอดภัยกว่า เพราะต้องการอยู่เป็นขวัญกำลังใจของทหารหาญ และพลเรือนในพื้นที่ รวมทั้งสั่งสอนธรรมะของพระพุทธองค์สืบไป
  
พ่อท่านเขียวท่านเป็นพระสงฆ์ที่มัธยัสถ์อดออมและรักสันโดษ ชอบการอ่านหมั่นศึกษาหาความรู้ในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎ หมายบ้านเมือง การเกษตรกรรม โหราศาสตร์ สมุนไพรกลางบ้าน รวมถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์  ในอันที่จะนำไปสงเคราะห์ผู้อื่นได้ ท่านมีเมตตาสูงกับเหล่าศิษย์ และผู้ที่ไปขอให้ท่านเสกเป่าบรรเทาทุกข์ แก้ไขสิ่งที่ขัดข้องในชีวิต โดยให้ความเมตตาเสมอเหมือนกันหมดโดยไม่แบ่งแยกไม่เคยเรียกร้องสิ่งใด ที่สำคัญ ท่านไม่จับ หรือรับเงินที่ถวาย
    
ผู้ที่ไปกราบ พ่อท่านเขียว มักจะได้รับวัตถุมงคล จากมือพ่อท่านเขียว ส่วนใหญ่จะเป็น ปลัดขิก ผ้ายันต์รับทรัพย์ ตะกรุดนิมิตพิสมร และหลวงพ่อทวดรุ่นต่าง ๆ รวมถึงข้าราชการ ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ปกครอง จะได้รับพร้อมกับคำสอนให้รักแผ่นดิน จากมือพ่อท่านเขียวนั่นคือ “วัตถุมงคล” ด้วยเหตุผลที่ต้องการให้ผู้รับได้มีกำลังใจ และเป็นเครื่องสร้างขวัญที่จะร่วมกันสู้ต่อเพื่อรอวันคืนอันเป็นปกติปรากฏ ขึ้นอีกครั้ง จึงมีคำกล่าวขานกันอย่างเซ็งแซ่ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ว่า “ใครก็ตามได้รับเมตตาจากมือท่าน หากพูดถึงเรื่องบู๊แมลงวันไม่ได้กินเลือด หากพูดถึงเสน่ห์ก็หายห่วงค้าขายทำมาหากินคล่อง”
    
ในส่วนของพระเครื่องนั้น ส่วนใหญ่จะไม่มีการเช่าหาแต่อย่างใด ๆ จะมีก็แต่พระเครื่องและวัตถุมงคลที่ทางวัดสร้าง หรือลูกศิษย์สร้างขึ้นให้เช่าบูชา ซึ่งพระเครื่องและวัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมของพ่อท่านเขียวก็คือ ผ้ายันต์รับทรัพย์ ยันต์รับทรัพย์ และ ยันต์เพิ่มทรัพย์, ขุนช้างเจ้าทรัพย์, พระราหู, ปลัดขิก, หน้ากากพรานบุญ



ที่มา Daily News Online ขอบคุณครับ  :089:

117






บันทึกอักษร 'ปัลลวะ' วัฒนธรรมจังหวัดเร่งคัดลอกอักษรส่งผู้เชี่ยวชาญ ไขปริศนาประวัติศาสตร์ 2 พันปีก่อน

วันนี้(10 ม.ค.) ที่บริเวณบ้านสว่าง ต.กมลาไสย  อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ นายไพโรจน์  เพชรสังหาร วัฒนธรรมจังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมทีมงาน ได้เข้าตรวจสอบใบเสมาโบราณหลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านบ้านสว่าง ทั้งนี้ยังเข้าทำการเก็บพิสูจน์ตัวอย่างเพื่อส่งผู้เชี่ยวชาญด้านอักษรปัล ลวะและอักษรโบราณ เพื่อเปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่จากการพบหลักฐานชิ้นสำคัญ โดยใบเสมาที่พบใหม่ครั้งนี้เป็นใบเสมาหินทราย อยู่ใต้ต้นไทรภายในสำนักสงฆ์ไม่มีชื่อ ซึ่งใบเสมาที่พบมีทั้งหมด 2 หลัก มีขนาดเท่ากันมีความกว้าง 80 ซม. ยาว 130  ซม. และหนา 20 ซม. ที่นอกจากนี้ใบเสมาใบที่ 2 ยังมีความแปลกไปกว่าหลักอื่น ๆ คือมีอักษรโบราณจารึกไว้ที่ด้านหนึ่ง ความยาวประมาณ 4 บรรทัด ซึ่งเจ้าหน้าที่วัฒนธรรมจังหวัดได้ทำการคัดลอกตัวอักษรบนใบสมาหินทรายเพื่อ ส่งพิสูจน์ว่าเป็นข้อความที่เขียนไว้เรื่องอะไร

นายไพโรจน์ เปิดเผยว่า ใบเสมาที่พบเบื้องต้นคาดว่าน่าจะมีอายุราว 1,000-2,000 ปี ถูกสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 1,500 – 1,700 ในสมัยทวาราวดี ซึ่งรูปร่างของใบเสมาที่พบมีรูปร่างคล้าย ๆ กับที่พบอยู่ในเขตบริเวณเมืองฟ้าแดดสงยาง ที่เป็นเมืองเก่าแก่โบราณและมีความรุ่งเรืองมากในยุคทวาราวดี แต่สิ่งที่มหัศจรรย์อยู่ที่ตัวอักษรที่จารึกอยู่ เนื่องจากเป็นอักษรอยู่ในช่วงยุคหลังของอักษรปัลวะโบราณ เป็นอักษรโบราณมีอายุกว่าพันปีทีเดียว โดยการค้นพบครั้งนี้ชาวบ้านได้พบและได้แจ้งมาทางสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด กาฬสินธุ์ประมาณปลายเดือน พ.ย. 52  ที่ผ่านมา.


ิที่มา Daily News Online ขอบคุณครับ


118








ในบรรดาพระเนื้อดินที่ว่าดังๆ จากทั่วทุกสารทิศในประเทศไทย ถ้าถามว่าพระอะไรที่มีอายุมากที่สุด คำตอบก็คือ พระรอด กรุวัดมหาวัน จ.ลำพูน และเช่นเดียวกันถ้าถามว่าพระอะไรที่ดูยากดูเย็นมากที่สุด ก็คงจะต้องตอบว่า พระรอด กรุวัดมหาวัน จ.ลำพูน อีกเช่นกัน เพราะสำหรับวงการนักนิยมสะสมพระเครื่องแล้วเป็นที่ทราบกันดีว่า "พระรอด" ซึ่งได้รับการยอมรับและยกย่องให้เป็นหนึ่งในพระยอดนิยมของเมืองไทย หรือที่เรียกว่า "พระชุดเบญจภาคี" นั้น นับเป็นพระเครื่องที่มีศิลปะ ชั้นสูง แสดงออกถึงความเป็นเอกลักษณ์อย่างชัดเจน เป็นที่ต้องการและเสาะแสวงหากันมากมาย ดังนั้น ถ้าคิดจะเข้าสู่วงการกับเขาบ้างก็ควรจะรู้วิธีการดูพระรอดขั้นต้นเอาไว้บ้าง ครับผม

พระรอด กรุวัดมหาวัน จ.ลำพูน นั้น จะมีอยู่ด้วยกันหลายพิมพ์ ตั้งแต่พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง พิมพ์เล็ก แถมยังมีพิมพ์ตื้น และพิมพ์ต้อ อีก ด้วย สำหรับวันนี้เราจะมาพูดถึง "พระรอด พิมพ์ต้อ" กันก่อน สาเหตุที่เรียกว่า "พิมพ์ต้อ" นั้น เนื่องด้วยองค์พระมีลักษณะต้อๆ สั้นๆ กว่าพระรอดพิมพ์อื่นนั่นเอง

พุทธ ลักษณะองค์พระของพระรอดทุกพิมพ์จะเหมือนกัน คือ ประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย ภายใต้โพธิบัลลังก์ มีฐานเขียงเป็นอาสนะสามชั้น ศิลปะของพระรอด พิมพ์ต้อ นั้น องค์พระจะเตี้ยล่ำ คล้ายๆ กับพระพุทธรูปเชียงแสนศิลปะขนมต้ม ส่วนเค้าพระพักตร์คนโบราณจะเรียกว่า "เป็นแบบเมล็ดพริกไทย" คล้ายกับพระรอด พิมพ์กลาง พระโอษฐ์สั้นเหมือนปลากัด และพระรอด พิมพ์ต้อนี้ให้สังเกตที่พระกรรณ ซึ่งจะสั้นกว่าพระรอดพิมพ์อื่น

พระ หัตถ์ข้างขวาขององค์พระที่วางพาดเข่าก็จะใหญ่ แลดูเป็นนิ้ว 6 นิ้ว และที่นิ้วหัวแม่มือดูคล้ายจะมีรอยตัด เหลือปลายนิ้วเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ ชี้ลงมาที่โคนน่องของขาขวา ที่โคนน่องให้สังเกตลอยขยัก 2 ขยัก อันนับเป็นจุดสำคัญในแม่พิมพ์

จุดสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ผ้ารองนั่ง จะเป็นขีดเหนือฐานชั้นล่างสุดหรือฐานชั้นที่หนึ่งเล็กน้อย และไม่ห่างกันมาก ถ้าห่างกันจะเป็นของเก๊ อีกประการหนึ่งคือ ในพิมพ์นี้จะไม่ปรากฏเนื้องอกหรือเนื้อปลิ้นที่เกิดจากการดันออกจากพิมพ์ใต้ ฐานองค์พระ

สำหรับผู้ที่เริ่มศึกษาในระยะแรก ควรจะหัด วาดและจัดกลุ่มใบโพธิ์เหนือองค์พระก่อน ซึ่งสามารถจัดได้ 6 กลุ่มโพธิ์ โดยจะมีโพธิ์ขีดยาวที่เรียกว่า "ก้านโพธิ์" เป็นตัวแบ่ง เพราะหัวใจของการดูพระรอดก็คือ การดูกลุ่มโพธิ์ ให้สังเกต "โพธิ์กลุ่มแรก" ซึ่งนับจากทางขวาขององค์พระจะปรากฏโพธิ์ 2 ใบที่ไม่เรียงเป็นแนวเดียวกันหากแต่วางขัดกัน ผิดกับ "โพธิ์กลุ่มที่ 6" ซึ่งอยู่สุดทางซ้ายขององค์พระใบโพธิ์จะวางเรียงตามกันทุกใบ และใน "กลุ่มโพธิ์ที่ 5" จะเห็นเป็นโพธิ์เขยื้อนในบางใบโพธิ์อย่างชัดเจน ครูเก่าๆ ท่านเคยสอนผมว่าพระรอดเป็นพระที่เนื้อละเอียดและแห้งมาก หากล้างมือให้สะอาดเช็ดมือให้แห้งแล้วนำพระรอดวางลงในอุ้งมือองค์พระจะดูด มือนิดๆ ก็ลองกันดู ค่อยเป็นค่อยไปจากหลักการเบื้องต้นนี้ก่อน และก็หวังว่า พระรอดแล้วคนก็จะรอดด้วยนะครับผม




ที่มา คอลัมน์ พันธุ์แท้พระเครื่อง โดย ราม วัชรประดิษฐ์ ขอบคุณครับ :089:


119
ผีกองปราบเฮี้ยนไม่เลิก! คราวนี้สาววัย 30 ผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์เจอดี อ้างเจอผู้ชายวัยกลางคนสวมเสื้อกล้ามสีแดงมาร้องช่วยให้พาออกจากห้องขัง แถมแนะวิธีปลดปล่อย ผู้ต้องหาถึงกับขนหัวลุก ต้องชวน ตร.นั่งคุยเป็นเพื่อนจนถึงเช้า รับไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์เรื่องผีกองปราบมาก่อน


วันนี้ (14 ม.ค.) ที่กองปราบปราม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลากลางดึกที่ผ่านมาขณะที่ ด.ต.บุญเยี่ยม ลอยแก้ว เจ้าหน้าที่สิบเวร ประจำหน้าห้องขังกองปราบปราม ได้ตรวจตราความเรียบร้อย พบนางอรุณรัตน์ พูนดิษฐ์ อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์ที่ถูกเพิ่งจับกุมตัวตามหมายจับศาลตลิ่งชั่น ที่ 877/2552 ลงวันที่ 20 ส.ค.2552 ข้อหายักยอกทรัพย์ มีพฤติการหลบหนีไม่มาศาลตามกำหนดนัด ยืนเกาะประตู ส่งเสียงร้องอยู่หน้าห้องขังขอให้ตำรวจช่วยมาอยู่เป็นเพื่อนเพราะถูกผีหลอก

นายฉลาด เสนารัตน์ วัย 40 ปี อาชีพขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง ผู้ต้องหาข่มขืนหลานสาวในไส้ ที่ผูกคอตายเสียชีวิตในห้องขังกองปราบ


เบื้องต้นจากการสอบถามนางอรุณรัตน์ ให้การด้วยสีหน้าตื่นตระหนกว่า หลังจากถูกจับกุมตัวมาแล้ว พนักงานสอบสวนก็นำตัวไปสอบปากคำก่อนที่จะนำลงมาขัง เนื่องจากจะต้องรอนำตัวส่งศาล ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสิบเวรที่หน้าห้องขังได้มอบผ้ายันต์ท้าวเวส สุวรรณสีแดงมาให้หนึ่งผืน ตอนแรกก็ไม่รู้สึกเอะใจอะไร หลังจากเข้าห้องขังก็พยายามจะนอนพักผ่อน จนเวลาประมาณตี 1 กว่าๆ ขณะนั้นรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นเหมือนกำลังฝัน ก็พบชายวัยกลางคนสวมใส่เสื้อกล้ามสีแดงมายืนเกาะที่บริเวณประตูห้องขัง แล้วบอกว่าเขา
ถูกขังอยู่นานแล้ว ขอให้ตนช่วยนำเขาออกจากห้องขังนี้เสียที พร้อมกับบอกพิธีก็คือให้อัญเชิญพระและตราของแผ่นดิน มาไว้ภายในห้องขังกองปราบปรามก็จะทำให้เขาเป็นอิสระทันที หากไม่ทำเขาก็จะถูกขังอยู่ในห้องขังของกองปราบปรามตลอดไป







นางอรุณรัตน์กล่าวต่อว่า ขณะนั้นได้มีเจ้าหน้าที่เดินมาตรวจดูความเรียบร้อยภายในห้องขัง จึงหันไปถามว่าผู้ต้องหาชายสวมเสื้อแดงที่ถูกขังอยู่ห้องใกล้กันหายไปไหน แล้ว จึงทราบความจริงว่ามีตนถูกขังอยู่เพียงคนเดียว ทำให้รู้สึกหวาดกลัว จึงขอร้องให้สิบเวรคนดังกล่าวมานั่งคุยเป็นเพื่อนจนสว่าง และเพิ่งจะทราบความจริง โดยก่อนหน้านี้ตนไม่เคยทราบข่าวผีเสื้อแดงมาก่อนเลย

ผู้ สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับความเฮี้ยนของผีเสื้อแดงนั้นเป็นที่ล่ำลือกันมานาน ที่ผ่านมาได้มีผู้ต้องขังพยายามผูกคอตายมาแล้วหลายครั้ง มีผู้เสียชีวิต 2 ราย คือ นายฉลาด เสนารัตน์ วัย 40 ปี อาชีพขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง ผู้ต้องหาข่มขืนหลานสาวในไส้ วัย 11 ขวบ จนตั้งท้องและคลอดลูก อีกรายคือ นายศักดิ์ชัย อุตตะละ วัย 50 ปี อาจารย์ประจำชั้น ป.4 โรงเรียนบ้านคำตานา อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ผู้ต้องหากระทำชำเราลูกศิษย์วัย 13 ปี ของตัวเอง แต่ในรายของ นายศักดิ์ชัย เจ้าหน้าที่ช่วยได้ทัน แต่ก็ไปผูกคอตายที่บ้านเกิด และที่ผ่านมาเคยมีการนิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธีสวดมนต์ปัดรังควาน และทำบุญมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ก็ยังเกิดเหตุสยองขวัญขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจากการบอกเล่าของผู้ประสบเหตุล่าสุดก็เชื่อว่าน่าจะเป็นการปรากฏตัว ให้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายของผีห้องขัง


ที่มาจาก www.manager.co.th ขอบคุณเป็นอย่างสูงนะครับ


120
รวมสมาชิก (มิตรไมตรี) / วันครู
« เมื่อ: 15 ม.ค. 2553, 07:36:54 »

ความเป็นมา
          วัน ครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ สืบเนื่องมาจากการประกา