หมวด ธรรมะ และ นอกเหตุ เหนือผล > สนทนาภาษาผู้ประพฤติ

ขั้นตอนก่อนเข้าสู่การภาวนา (ปรับกาย ปรับจิต ปรับความคิด สู่การกระทำ)

<< < (2/2)

~@เสน่ห์เอ็ม@~:

--- อ้างจาก: รวี สัจจะ... ที่ 22 มิ.ย. 2553, 12:45:32 ---เราต้องรู้ว่าเรากำลังปฏิบัติแนวใด สมถะกรรมฐานหรือวิปัสนากรรมฐาน ต้องแยกอารมณ์ให้ถูก
สมถะกรรมฐานนั้นคือการปฏิบัติเพื่อให้จิตสงบ เข้าสู่อารมณ์สมาธิ สภาวะธรรมทั้งหลายอยู่ใน
องค์ของฌาน ๔  คือ วิตกวิจาร ปิติ สุข เอตคตารมณ์ (วิตกวิจารคือการยกข้อธรรมมาพิจารณา)
แต่ทุกอารมณ์นั้นมีสติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา จิตอยู่กับองค์ภาวนาไม่ให้ขาดตอน รู้สภาวะธรรมที่เกิดขึ้น
แต่จิตไม่เข้าไปปรุงแต่ง ไม่สนใจในอารมณ์เหล่านั้น จิตจดจ่ออยู่กับองค์ภาวนาตลอดเวลา ภาวนาไปจนจิตสงบ
เข้าสู่เอตคตารมณ์คือความสงบนิ่ง แล้วจึงถอนจิตขึ้นสู่วิปัสสนา(ยกจิตขึ้นสู่การพิจารณา)ตามแนวของสติปัฏฐาน ๔
คือพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ให้เห็นการเกิดดับของธรรมทั้งหลายนั้น ปฏิบัติไปตามขั้นตอน ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป
(ให้ไปอ่านกระทู้...ที่พระอาจารย์ตอบในวันนี้ ...น้องใหม่ มีคำถาม.. ซึ่งจะมีคำตอบอยู่ในกระทู้นั้นแล้ว)

--- End quote ---

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ครับ  :054:  :054:  :054:  :054:  ที่ชี้แนะแนวทางสว่างให้

ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ สาธุๆ อนุโมธามิ
 :054: :054: :054: :054: :054:

derbyrock:
สมถะกรรมฐานนั้นคือการปฏิบัติเพื่อให้จิตสงบ
กราบนมัสการพระอาจารย์ครับ ตอนนี้ในขั้นนี้ผมก็ไม่ทุกข์แล้วครับ

~@เสน่ห์เอ็ม@~:
กราบมนัสการพระอาจารย์ที่เคารพ มีเรื่องจะสารภาพครับ

คือกรรมฐานที่ผมฝึก ผมฝึกทุกวัน ฝึกมาหลายเดือนแล้วครับ ประมาณตั้งแต่เข้าพรรษาปีที่แล้ว ใช้เวลาและความเพียรทุกวัน
แรกๆฝึกก็ไม่ได้คิดอะไรหลอกครับ ฝึกเพื่อให้จิตสงบ โดยได้คำแนะนำจากพี่ท่านนึง
การฝึกเริ่มแรก ผมฝึกด้านสมถะครับ


โดยนั่งภาวนาพุทธโธ หายใจ-เข้าออก แล้วก็เพ่งไปที่ตัวเอง แล้วก็ แยกตัวเองออกเป็นธาตุ 4 ให้มันสลายตัวกลืนกินไปกับธรรมชาติ
แล้วก็มาจับคำภาวนากับลมหายใจเข้าออกใหม่ โดยไม่ได้สนใจในรูปขันธ์ จิตจับอยู่ที่ คำภาวนากับลมหายใจเข้าออก
หายเข้าลึกๆๆ -หายใจออกยาวๆๆๆ จนคำภาวนาหายจิตจับอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น รู้สึกเริ่มสงบ  แล้วเกิดความสุขแล้วเหมือนมีแสงสว่าง เป็นความสุขแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต สักพักสติก็กลับมาดูลมหาย-ใจเข้าออกอีก ก็จะทรงอยู่ในอารมณ์นั้น โดยแรกๆ ก็แป๊ปเดียวหายไป บางวันก็นานหน่อย
บางวันก็นั่งๆ เหมือนตัวหมุนติ้วๆๆๆๆ บางวันก็เกิดขนลุก บางวันนั่งเสร็จมีน้ำตาไหลออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือมีความสุข ซึ่งแต่ละครั้งก็จะเกิดบ้างไม่เกิดบ้างต่างกันไปแต่ละวันครับ

ผมก็พยายามฝึกไปเลื่อยๆๆ ทุกๆวัน  จนนั่งไปเลื่อยๆ จิตทิ้งดิ่ง แทบจะไม่รับรู้อะไรเลยมีแต่ดวงแสงสว่าง ร่างกายหายไป  ทุกอย่างนิ่งไปหมด ไม่ได้ยินเสียง ลมหายใจแทบจะไม่รู้สึกว่าหายใจเข้าออกเพราะเบามากๆๆ สักพัก ก็ตกใจมาดูลมหายใจเข้าออกใหม่โดยไม่ได้สนใจองค์ภาวนาแต่แรก  ก็กลับไปสู่ระดับปกติอีกครั้งก็พยามฝึกไปทุกๆวันนะครับ ฝึกไปสักระยะ
ก็เลยมาเปิดเวปดู แล้วก็มานั่งอ่านว่า อ่ออาการแบบนี้คือระดับนี้  คราวนี้พออ่านไปกลับไปทำใหม่มันทำไม่ได้และอะครับ ก็เลยพยามลืมๆ กลับไปเริ่มฝึกใหม่โดยไม่ได้สนใจในสิ่งทีอ่านมา

ปัญหาก็คือว่าหลังๆผมฝึกไปสักระยะ  ก็นึกถึงอารมณ์แห่งความสงบนั้นที่ทรงได้ แล้วเอาอารมณ์ระหว่างนั้นไปท่องกับคาถา เอาไปอธิฐานบ้างไปหลงอยู่ในผลหรือสิ่งที่เกิดขึ้นจนไปยึดติดมัน
จนหลังๆ มันเริ่มมีความหึกเหิมอยู่ในใจ ยิ่งฝึกยิ่งอยากได้ ก็เลยยิ่งไปอ่านด้านปฏิหารก็ยิ่งฝึกยิ่งอยากได้อีก จนหลังๆ ฝึกและเครียด
เพราะนอนไม่ได้นอนครับฝึกทั้งวันทั้งคืน จิตเริ่มฟุ่งซ่านไปหมด พอจะคิดอะไรดีๆคิดถึงพระคิดถึงบุญก็ต้องมีคำไม่ดีโผล่มาก็ยังไปยึดติดไปเครียดปล่อยวางไม่ได้ฟุ้งซ่านไปหมด
และก็มีอาการที่ผมเคยกราบเรียนบอกพระอาจารย์ไปอะครับ จนยิ่งแย่ๆๆ ขึ้นทุกวัน สุขภาพร่างกายทรุดโทรมไม่ได้นอนเครียด จิตฟุ่งซ่านส่ายไปมาคุมไม่อยู่ นี่คือผมกำลังหลงทางใช่ใหมครับ
เพราะไปหวังผลในปฏิหารมากเกินไป (นี่คืออาการที่เป็นอยู่ครับช่วงหลังๆ)

กราบมนัสการพระอาจารย์ที่คอยสอนเตือนและชี้ทางให้ครับ บางสิ่งผมอธิบายในการพิมไม่ได้อะครับ เพราะไม่รู้จะพิมยังไงดีอะครับ เพราะผมไม่ชำนาญทางหลักภาษาบาลี
ตอนนี้พยายามละสมถะลงครับ อยากไปทางวิปัสสนา จะเป็นผลดีกับตัวเองหรือป่าวครับ

กราบขอบพระคุณมากครับ  สิ่งใดที่อธิบายผิดพลาดหรือไม่ถูกต้อง ก็ขออภัยด้วยนะครับ ด้วยความเคารพอย่างสูง  :054:

รวี สัจจะ...:
      :059: มันเป็นความกังวลหวังผลในฤทธิ์ ที่เรียกว่าอิทธิปลิโพธ เมื่อเราไปมุ่งหวังในสิ่งนั้น มันจะก่อให้เกิดอัตตา
มานะทิฐิ ถือตัวถือตน สำคัญตนว่าเราเก่งกว่าผู้อื่นดีกว่าผู้อื่น เพราะการที่เราไปหวังในฤทธิ์ทำให้เราไปกดจิตให้มันนิ่ง
มันจึงเกิดอาการเครียด เพราะเราเริ่มปฏิบัติด้วยจิตที่ปรารถนาลามก คือมุ่งหวังผลในการปฏิบัติเพื่อให้ดีกว่าคนอื่นเก่งกว่าคนอื่น
ดำริเจตนาเริ่มแรกมันก็ผิดแล้ว เมื่อก้าวแรกผิดก้าวต่อไปย่อมผิดตาม แต่คนที่เดินนั้นคิดว่ามาถูกทางแล้ว เพราะมันไปข้างหน้า
แต่แท้ที่จริงแล้วมันเฉออกห่างจากจุดหมายปลายทาง ถ้าทำอย่างนั้นผลมันก็ออกมาอย่างนั้น ถูกของผู้ทำ แต่ไม่ถูกกับหลักธรรม
ในพระพุทธศาสนา  เพราะการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นไปเพื่อรู้ เพื่อตื่น เพื่อเบิกบาน ในธรรมที่เป็นกุศลทั้งหลาย
   :059: การแก้ปัญหาก็คือกลับมาเริ่มใหม่ ทำเหมือนคนที่ไม่มีพื้นฐานอะไร มาเริ่มเดินใหม่ที่จุดเริ่มต้น ลืมอารมณ์เก่าๆไป
จิตอย่าไปปรุ่งแต่งสร้างอารมณ์ขึ้นมา ให้มันเป็นไปของมันตามธรรมชาติของจิต กลับไปอ่านกระทู้ ปรับกาย ปรับจิต ปรับความคิด
สู่การกระทำเสียใหม่หลายๆรอบ ว่าเราข้ามขั้นตอนตัวใดไป อะไรที่เรายังไมใ่ได้ทำ ก่อนที่เราจะเข้าสู่การปฏิบัติ....

~@เสน่ห์เอ็ม@~:

--- อ้างจาก: รวี สัจจะ... ที่ 22 มิ.ย. 2553, 03:51:51 ---      :059: มันเป็นความกังวลหวังผลในฤทธิ์ ที่เรียกว่าอิทธิปลิโพธ เมื่อเราไปมุ่งหวังในสิ่งนั้น มันจะก่อให้เกิดอัตตา
มานะทิฐิ ถือตัวถือตน สำคัญตนว่าเราเก่งกว่าผู้อื่นดีกว่าผู้อื่น เพราะการที่เราไปหวังในฤทธิ์ทำให้เราไปกดจิตให้มันนิ่ง
มันจึงเกิดอาการเครียด เพราะเราเริ่มปฏิบัติด้วยจิตที่ปรารถนาลามก คือมุ่งหวังผลในการปฏิบัติเพื่อให้ดีกว่าคนอื่นเก่งกว่าคนอื่น
ดำริเจตนาเริ่มแรกมันก็ผิดแล้ว เมื่อก้าวแรกผิดก้าวต่อไปย่อมผิดตาม แต่คนที่เดินนั้นคิดว่ามาถูกทางแล้ว เพราะมันไปข้างหน้า
แต่แท้ที่จริงแล้วมันเฉออกห่างจากจุดหมายปลายทาง ถ้าทำอย่างนั้นผลมันก็ออกมาอย่างนั้น ถูกของผู้ทำ แต่ไม่ถูกกับหลักธรรม
ในพระพุทธศาสนา  เพราะการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นไปเพื่อรู้ เพื่อตื่น เพื่อเบิกบาน ในธรรมที่เป็นกุศลทั้งหลาย
   :059: การแก้ปัญหาก็คือกลับมาเริ่มใหม่ ทำเหมือนคนที่ไม่มีพื้นฐานอะไร มาเริ่มเดินใหม่ที่จุดเริ่มต้น ลืมอารมณ์เก่าๆไป
จิตอย่าไปปรุ่งแต่งสร้างอารมณ์ขึ้นมา ให้มันเป็นไปของมันตามธรรมชาติของจิต กลับไปอ่านกระทู้ ปรับกาย ปรับจิต ปรับความคิด
สู่การกระทำเสียใหม่หลายๆรอบ ว่าเราข้ามขั้นตอนตัวใดไป อะไรที่เรายังไมใ่ได้ทำ ก่อนที่เราจะเข้าสู่การปฏิบัติ....

--- End quote ---
กราบมนัสการพระอาจารย์ที่เคารพ
ขอบพระคุณพระอาจารย์ ศิษย์ข้อน้อมปฏิบัติตามคำสั่งสอน   :054: :054: :054:

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version