ประวัติและปฏิปทา
หลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข
วัดไผ่ล้อม
ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม
๏ ภูมิหลังชาติกำเนิด
เกจิยอดนิยม
นครปฐมอาคมขลัง
ที่สุดแห่งความดัง
เปี่ยมพลังบารมี
งานเสกไม่เคยพลาด
งานราษฎร์ไปทุกที่
แจกจ่ายให้ ?ของดี?
ล้วนมีประสบการณ์
ดังไกลข้ามขอบฟ้า
ฮือฮาเรื่องเล่าขาน
โดดเด่นเห็นผลงาน
ลูกหลานได้ยลยิน
พระแท้ที่โดนใจ
ผู้ให้จนกายสิ้น
แสงทองส่องแผ่นดิน
วิตามินเสริมใจ
ชาตินี้หรือชาติหน้า
ยากหาพระองค์ไหน
ศักดิ์สิทธิ์ติดตรึงใจ
กราบไหว้ไม่รู้ลืม
?พระมงคลสิทธิการ? หรือ ?หลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข? มีนามเดิมว่า พูล ปิ่นทอง เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2455 ตรงกับปีชวด ร.ศ.131 เป็นปีที่ 3 ในแผ่นดินรัชกาลที่ 6 ณ บ้านเลขที่ 75 หมู่ 3 ต.ดอนยายหอม อ.เมือง จ.นครปฐม เป็นบุตรคนที่ 6 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมดรวม 10 คน บิดาชื่อ นายจู ปิ่นทอง มารดาชื่อ นางสำเนียง ปิ่นทอง
โยมบิดา-โยมมารดาได้ช่วยกันเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนให้ ด.ช.พูล ปิ่นทอง เป็นคนดี อยู่ในโอวาท และอยู่ในศีลในธรรม ซึ่งอุปนิสัยของเด็กคนนี้คือ เป็นผู้มีจิตใจเมตตาโอบอ้อมอารี จริงใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ต่อทั้งเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ ชอบช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่ต้องรอให้ร้องขอ และอุปนิสัยที่เด่นชัดที่สุด คือ เป็นคนเงียบๆ พูดน้อย ด้วยเหตุนี้ทำให้ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า ?ต่อไปในภายภาคหน้า หนูน้อยผู้นี้จะเติบใหญ่ภายใต้ร่มกาสาวพัตร์ เป็นสุดยอดอริยสงฆ์ที่ผู้คนกราบไหว้ทั้งแผ่นดิน?
๏ การศึกษาหาความรู้
เมื่ออายุถึงเกณฑ์ ด.ช.พูล ได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนวัดห้วยจระเข้ อ.เมือง จ.นครปฐม ซึ่งเป็นโรงเรียนใกล้บ้าน ด้วยความอุตสาหะขยันหมั่นเพียร จึงสามารถอ่านออกเขียนได้แตกฉานกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน กระทั่งเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในปี พ.ศ.2471
แต่ด้วยชาติตระกูลที่ถือกำเนิดในครอบครัวชาวสวนผลไม้ ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไรมากมาย กอปรกับมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันถึง 10 คนทำให้ ด.ช.พูล ไม่ได้ศึกษาต่อเพราะต้องออกมาช่วยงานทางบ้าน แต่เพราะเป็นคนสนใจใฝ่รู้ จึงได้ฝึกการอ่านและเขียนอักขระขอม และวิชาแพทย์แผนโบราณจนมีความเชี่ยวชาญ จากปู่แย้ม ปิ่นทอง (ผู้เป็นปู่แท้ๆ) ฆราวาสผู้มีภูมิรู้ในเรื่องไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ และการแพทย์แผนโบราณ
จวบจนถึงวัยหนุ่มฉกรรจ์ นายพูลผู้มีอุปนิสัยนิ่งเงียบ ไม่ค่อยพูดค่อยจาและรักสันโดษ มีความชอบวิชาการต่อสู้ตามแบบฉบับลูกผู้ชาย จึงฝึกฝนและศึกษาศิลปะแม่ไม้มวยไทย จนมีความชำนาญและเป็นนักมวยฝีมือดีคนหนึ่ง ว่างจากซ้อมเชิงมวยแล้ว ว่างจากทำไร่ไถนา ก็จะไปหัดเล่นลิเกกับครูจันทร์ คณะแสงทอง แต่ใจไม่รักลิเก ฝึกได้ระยะหนึ่งก็เบื่อ
กระทั่งอายุครบเกณฑ์ทหาร ท่านได้ทำหน้าที่พลเมืองดีของชาติ ด้วยการเข้ารับราชการเป็นทหาร สังกัดทหารม้ารักษาพระองค์ เมื่อปี พ.ศ.2477 (กองบัญชาการเดิมอยู่ที่สะพานมัฆวาน กรุงเทพมหานคร ตรงกับช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7) หลังครบกำหนด 1 ปี 6 เดือนจึงปลดประจำการ โดยได้รับยศเป็นนายสิบตรี มีเงินเดือนขณะนั้นเดือนละ 2 บาท สร้างความภูมิใจให้ท่านเป็นอย่างมาก
หลวงพ่อพูลมักเล่าประสบการณ์สมัยเป็นทหารให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาฟังอย่างสนุกสนาน ท่านภูมิใจในชีวิตทหาร ให้ช่างวาดภาพแต่งเครื่องแบบเต็มยศไว้เป็นอนุสรณ์ วันนี้ภาพนี้ยังติดอยู่ในกุฏิหลวงพ่อที่วัดไผ่ล้อม ?ชีวิตทหารมีแต่เรื่องสนุก หลวงพ่อ...ชอบเล่าให้ศิษย์ฟัง อายุกว่า 90 ปี ท่านก็มีความจำดี เล่ากี่ครั้ง...กี่รอบ...ก็ไม่มีพลาด?
๏ สู่ร่มกาสาวพัตร์
หลังปลดจากทหารประจำการแล้ว จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุเพื่อทดแทนคุณบิดามารดา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ.2480 ตรงกับขึ้น 12 ค่ำ ปีฉลู ณ พัทธสีมาวัดพระงาม อ.เมือง จ.นครปฐม โดยมีพระครูอุตรการบดี (หลวงปู่สุข ปทุมสุวณฺโณ) เจ้าคณะอำเภอเมืองนครปฐม เจ้าอาวาสวัดห้วยจระเข้ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระปลัดมณี เจ้าอาวาสวัดพระงาม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระสมุห์ปุ่น เจ้าอาวาสวัดลาดปลาเค้า เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า ?อตฺตรกฺโข?
หลังบวชแล้วพระพูลได้พำนักอยู่ที่วัดพระงาม ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยด้วยความพากเพียร จนสามารถสอบไล่ได้นักธรรมตรี เมื่อ พ.ศ.2482 ที่วัดพระงามแห่งนี้ ท่านได้มีโอกาสฝากตัวเป็นศิษย์พระเถระชื่อดังหลายรูปด้วยกัน อาทิ หลวงพ่อพร้อม, หลวงปู่สุข วัดห้วยจระเข้, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม เป็นต้น
ในระหว่างนี้เอง พระพูลได้ให้ความสนใจการศึกษาด้านการเจริญสมาธิจิต ฝึกฝนวิปัสสนากรรมฐาน ควบคู่กับการศึกษาวิชาจากคัมภีร์ต่างๆ อย่างคร่ำเคร่ง โดยฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อพร้อม พระเถระชื่อดังแห่งวัดพระงาม พระเกจิอาจารย์รุ่นสงครามอินโดจีน ผู้ทรงคุณในด้านการสร้างพระปิดตาเนื้อทอง ด้วยพื้นฐานวิชาคาถาอาคมซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากปู่แย้ม ตั้งแต่สมัยเยาว์วัย จึงทำให้ท่านสามารถเจริญพุทธาคมได้รุดหน้าอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน พระพูลได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม สุดยอดแห่งบูรพาจารย์แห่งแผ่นดินนครปฐม โดยเฉพาะหลวงพ่อเงินได้ให้ความเมตตาแก่ท่านเป็นพิเศษ ให้คำแนะนำสั่งสอนเรื่องการการเจริญสมาธิภาวนา การเขียนอักขระเลขยันต์ ปลุกเสกวัตถุมงคล และวิชาอาคมต่างๆ อย่างไม่ปิดบังและไม่หวงวิชา
เมื่อได้รับคำแนะนำสั่งสอนจนเกิดความมั่นใจแล้ว หลวงพ่อพูลจึงออกธุดงควัตรไปตามป่าเขาลำเนาไพร มุ่งหน้าไปทางลพบุรี นครสวรรค์ พิษณุโลก แสวงหาความวิเวกอยู่พื้นที่ภาคเหนือ เพื่อลดละกิเลส อานิสงส์การธุดงควัตรทำให้ท่านมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ สมาธิจิตสูง
ด้วยเนื้อนาบุญ
ในปี พ.ศ.2486 วัดไผ่ล้อมเกิดขาดเจ้าอาวาสปกครองวัด เนื่องจากเจ้าอาวาสแต่ละรูปไม่อยู่ในศีลในธรรมแห่งเพศบรรพชิต อยู่ปกครองวัดได้ไม่นานก็ต้องลาสิขาไป สร้างความเอือมระอาจนชาวบ้านหมดศรัทธาไม่ใส่บาตรทำบุญ ทำให้วัดไผ่ล้อมกลายเป็นวัดร้าง
สมัยนั้นวัดไผ่ล้อมมีสภาพเป็นเพียงวัดเก่ารกร้าง เดิมทีเป็นป่าไผ่ชาวมอญ ที่รัชกาลที่ 4 เกณฑ์เป็นแรงงานบูรณะองค์พระปฐมเจดีย์ ใช้เป็นที่พัก บรรยากาศของวัดร่มรื่นเหมาะแก่สมณปฏิบัติธรรม
กระทั่งผู้นำและชาวบ้านกลุ่มหนึ่งฉุกคิดว่ายังมีพระสงฆ์รูปหนึ่ง มีวัตรปฏิบัติที่หมดจดงดงาม จำพรรษาอยู่ที่วัดพระงาม นามว่า พระพูล อตฺตรกฺโข จึงพากันไปกราบนมัสการพระพูล ให้ย้ายมาประจำพรรษาอยู่ที่วัดไผ่ล้อม เพื่อกอบกู้วัดพลิกฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง โดยเข้ารับตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาส จนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2492
สมัยท่านรักษาการเจ้าอาวาส เห็นว่าวัดไผ่ล้อมยังไม่มีอุโบสถ จึงปรึกษากับพระเถระผู้ใหญ่และญาติโยมผู้มีจิตศรัทธา ดำเนินการสร้างอุโบสถ โดยได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2490 กระทั่งเสร็จสมบูรณ์เป็นพระอุโบสถหลังแรก ในปี พ.ศ.2492 หลังจากนั้นท่านก็พัฒนาวัดต่อไป บุกเบิกถางป่าไผ่ จนได้สร้างศาลาการเปรียญในปี พ.ศ.2535
จากนั้นวัดไผ่ล้อมมีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าตามลำดับ ด้วยบุญบารมีของหลวงพ่อพูล ทั้งนี้ หลวงพ่อพูลเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังในเมตตามหานิยม และด้านการปลุกเสกพระขุนแผน-กุมารทอง จนเป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของศิษยานุศิษย์ทั่วประเทศ
วัดมีโบสถ์มีศาลาการเปรียญ ไม่ช้าวัดไผ่ล้อมก็ได้โรงเรียนพระปริยัติธรรม ญาติโยมยิ่งหลั่งไหลเข้ามาทำบุญ บำเพ็ญศีลสมาธิ และศึกษาปฏิบัติธรรม ก็ได้ช่วยสร้างเสนาสนะต่างๆ จากกุฏิสองสามหลัง ก็เพิ่มขึ้นมาจนเต็มพื้นที่ จำนวนพระภิกษุสามเณรเข้ามาจำพรรษาก็มากขึ้น
ต้นปี พ.ศ.2539 อุโบสถหลังเก่าเริ่มทรุดโทรมมาก ประกอบกับน้ำก็ท่วมบ่อยๆ จึงได้สร้างอุโบสถเฉลิมพระเกียรติหลังใหม่ ปลายปีก็สร้างศาลากลางน้ำ ศาลากลางน้ำเป็นบ่อน้ำ ญาติโยมใช้กันมาตั้งแต่โบราณ ท่านเลยปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น ต่อมาดำเนินการสร้างฌาปนสถานไร้มลพิษ พร้อมศาลาอเนกประสงค์ไว้ใช้ในพิธีต่างๆ ในวัด ซึ่งดำเนินการรุดหน้าไปมาก
นอกจากนี้ ท่านยังเป็นผู้อุปถัมภ์สร้างโรงเรียนวัดไผ่ล้อม (พูลประชาอุปถัมภ์) เพื่อเป็นสถานศึกษาสำหรับเยาวชนด้วย
ต่อมาสวนอายุวัฒนมงคล 90 ปี ถูกสร้างขึ้นใช้เป็นที่สำหรับญาติโยมได้พักผ่อนจิตใจ เดินดูต้นไม้ พูดคุยกับต้นไม้ ?ต้นไม้ทุกต้น มีธรรมะของพระพุทธเจ้า? หลวงพ่อพูลสอนเป็นปริศนา
นับเป็นบุญของชาวบ้านโดยแท้ เพราะหลังจากหลวงพ่อพูลได้เข้ามาปกครองวัดไผ่ล้อม ท่านก็ให้ความสงเคราะห์ชาวบ้าน ไม่ว่าจะยากดีมีจนก็เข้าหาท่านได้ทุกคน สร้างความศรัทธาให้ญาติโยมทั้งใกล้และไกล หากใครมีความเดือดเนื้อร้อนใจ พวกเขาจะพากันมากราบขอบารมีหลวงพ่ออยู่เนืองๆ จนท่านกลายเป็นศูนย์รวมแห่งความรักความศรัทธา มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศ และต่างกล่าวขวัญถึงหลวงพ่อของเขาว่าเป็นพระอริยสงฆ์ผู้เปี่ยมด้วยเมตตา
๏ หลวงพ่อคือผู้ให้
วัตรปฏิบัติอย่างหนึ่งที่ศิษยานุศิษย์ได้สัมผัสหลวงพ่อพูล มากว่าครึ่งศตวรรษ คือท่านเป็นพระสงฆ์ที่ไม่สะสมกิเลส ไม่สนใจชื่อเสียงเงินทอง และลาภยศสรรเสริญ จตุปัจจัยไทย ทานที่สาธุชนได้บริจาคมา ท่านไม่เคยสะสม มีเท่าไหร่ท่านก็นำไปบริจาคสร้างวัตถุสร้างความเจริญไว้แก่วัดไผ่ล้อม จนเกิดความเจริญรุ่งเรือง แลดูสวยงามสบายตา เหมาะสมที่จะเป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา นอกจากนี้ยังขจรขจายไปถึงชุมชนรอบๆ วัด ทั้งสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล สถานที่ราชการ เรียกว่าใครที่มาขอให้ท่านช่วย หลวงพ่อไม่เคยขัด รวมทั้งกิจนิมนต์ต่างๆ ไม่ว่าใกล้-ไกลท่านก็เมตตาไปให้ แม้สุขภาพร่างกายจะไม่ค่อยเอื้ออำนวยนักก็ตาม
คนเขามาให้เราช่วยก็ต้องช่วยเขาไปมันได้บุญ หลวงพ่อมักพร่ำสอนลูกศิษย์อยู่เนืองๆ แม้วัยและสังขารจะร่วงโรยไปตามกาลเวลา จวบจนอายุ 93 ปี แต่ในฐานะเจ้าอาวาส หลวงพ่อพูลได้ใช้ความรู้ความสามารถสร้างสรรค์ผลงานให้กับคณะสงฆ์เป็นอย่างดี ไม่มีขาดตกบกพร่อง ท่านปกครอง ลูกวัดให้อยู่ในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ใครมาอยู่กับหลวงพ่อ ห้ามขี้เกียจ ต้องหมั่นสวดมนต์เจริญสมาธิวิปัสสนา ปัดกวาดอาสนะ กุฏิ และพัทธสีมา ให้สะอาดสวยงาม เหตุนี้เองจึงทำให้พุทธศาสนิกชนจากทั่วสารทิศหลั่งไหลมาที่วัดไผ่ล้อม
หลวงพ่อพูลถือเป็นสัญลักษณ์แห่งเมตตามหานิยม ที่ชาวนครปฐมและจังหวัดใกล้เคียงนับถือเลื่อมใส เป็นหนึ่งในพระครูสี่ทิศผู้พิทักษ์องค์พระปฐมเจดีย์ ในสมณศักดิ์ ?พระครูปุริมานุรักษ์? (ประจำทิศตะวันออก) ร่วมกับ พระครูทักษิณานุกิจ (ประจำทิศใต้) คือ หลวงพ่อเสงี่ยม วัดห้วยจระเข้, พระครูปัจฉิมทิศบริหาร (ประจำทิศตะวันตก) คือ หลวงพ่อชิด วัดม่วงตารส และพระครูอุตรการบดี (ประจำทิศเหนือ) คือ หลวงพ่อศรีสุข วัดปฐมเจดีย์ฯ
จากวัดรกร้าง วัดไผ่ล้อมกลายเป็นวัดพัฒนา เป็นศูนย์กลางของชุมชนมีผู้คนหนาแน่น แต่ปัญหาของชุมชนที่เจริญก็มักมีปัญหายาเสพติดตามมา หมดปัญหาเรื่องเสนาสนะที่เป็นวัตถุ หลวงพ่อพูลก็ต้องรับภาระแก้ปัญหาคน
?ระยะหลังเงินบริจาคที่หลวงพ่อได้ ส่วนใหญ่ใช้ในเรื่องยาเสพติด บางส่วนท่านช่วยจังหวัดจัดซื้อเครื่องตรวจสอบยาเสพติด เมื่อท่านรู้ว่าเด็กนักเรียนในโรงเรียนมีปัญหาติดยาเสพติด ท่านก็ให้เงินใช้ในการรณรงค์ต้านยาเสพติด ท่านบอกว่ารู้ว่าลูกหลานติดยาแล้ว ท่านก็กลุ้มใจนอนไม่ค่อยหลับ? นี่คือภารกิจล่าสุดของหลวงพ่อพูล...ซึ่งเริ่มมีคนเรียกท่านว่า เทพเจ้าแห่งวัดไผ่ล้อม
ด้วยความเป็นศิษย์กตัญญูกตเวทีต่อบูรพาจารย์ ในวันวิสาขะ วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี หลวงพ่อจะจัดพิธีไหว้ครู เพื่อรำลึกพระคุณอาจารย์ทั้งหลาย ในทุกวันพระจะนิมนต์พระสงฆ์ภายในวัดมารับสังฆทาน เพื่ออุทิศกุศลผลบุญให้บรรพชนและครูบาอาจารย์ ตลอดทั้งเจ้ากรรมนายเวร โดยปฏิบัติต่อเนื่องมาเป็นประจำ
๏ สมณศักดิ์ที่ได้รับ
เนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ 72 พรรษา ในวันที่ 12 ส.ค. พ.ศ.2547 พระครูปุริมานุรักษ์ (หลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข) วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ ?พระมงคลสิทธิการ? ในฐานะพระสงฆ์ผู้ทำคุณประโยชน์ต่อพระศาสนาและประเทศชาติเป็นกรณีพิเศษ สร้างความปลาบปลื้มแก่คณะศิษยานุศิษย์อย่างหาที่สุดมิได้