สังโยชน์ 10 บารมี 10 และอุทุมพริกสูตร (9/9) จบ
ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย และก็บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่านสำหรับวันนี้ก็พบกันในเรื่องของบารมี 10 แต่ความจริงสิ่ง
ประกอบทั้งหมดเป็นเรื่องของบารมีทั้งหมด โดยก่อนจะพูดเรื่องอื่นก็บอกเวลากันเสียก่อนเวลานี้เป็นเวลา 19 นาฬิกาเศษๆ ของวันที่
22 กันยายน 2526 ที่บอกไว้ก็ทราบว่าพูดไว้ตั้งแต่เมื่อไร ประเดี๋ยวไปเปิดฟังไม่ทราบว่าพูดเมื่อไร ก่อนจะพูดอย่างอื่นก็เตือนกันไว้
ว่าความเลว 10 ประการ พยายามทำลายให้พินาศไป
1.สักกายทิฏฐิ ที่มีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้มันจะไม่ตาย ร่างกายสวยสดงดงาม ร่างกายเป็นเราเป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมี
ในเรา ทิ้งไปจากกำลังใจ มาสร้างความรู้สึกเสียใหม่ ว่าร่างกายนี้มันต้องตายแน่เมื่อความมั่นใจ อย่างนี้มีอยู่ จะได้ปฏิบัติความดี คือ
ประกอบความดีให้ครบถ้วน อารมณ์ใจอย่างนี้ เป็นอารมณ์ใจของพระโสดาบันและพระสกิทาคามี
ถ้ามีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้ น่าเกลียดโสโครก มันเกลียดจริงๆ ไม่ใช่น่าเกลียดเฉยๆ มันสกปรก เราไม่ต้องการทั้งร่างกายของเรา
ร่างกายคนอื่น หรือวัตถุธาตุใดๆ อย่างนี้เป็นกำลังใจของพระอนาคามีถ้ามีความรู้สึกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีใน
ร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา อย่างนี้เป็นกำลังใจของพระอรหันต์ กำลังใจ 3 ประการให้เลือกปฏิบัติเอานะขอรับ จะเอาขั้นไหนก็ได้
ตามกำลังใจของท่านแต่ขอได้โปรดอย่าบอกว่าทั้ง 3 อย่างนี้ผมไม่ไหว ถ้าเป็นอย่างนี้ละก็เชิญกลับไปเถอะครับ อย่าอยู่ที่นี่เลย มัน
รกที่ไม่ต้องการคนประเภทนี้
2.วิจิกิจฉา สงสัยในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจงอย่ามีในใจ ใช้ปัญญาพิจารณานิดเดียว เราจะเข้าใจว่า
พระพุทธเจ้าพูดถูก พูดจริงทุกอย่าง ยอมรับนับถือคำสอนของพระองค์
3.สีลัพพตปรามาส คือลูบคลำศีล รักษาศีลไม่จริงไม่จัง หลอกชาวบ้านในฟ้ากาสาวพัสตร์ ประเภทอย่างนี้อย่ามีในเรา จงเป็นผู้ทรง
ศีลพรต กำหนดให้แน่นอนชัด ปฏิบัติให้ครบถ้วน ถ้าปฏิบัติครบทั้ง 3 ประการคือ
1. มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้มันจะต้องกาย
2. ไม่สงสัยในคำสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมยอมรับปฏิบัติตาม
3. รักษาศีลครบถ้วนทุกประการโดยเคร่งครัด
อย่างนี้องค์สมเด็จพระผู้ทรงสวัสดิโสภาคย์ตรัสว่า ท่านผู้นั้นเป็นพระโสดาบันและพระสกิทาคามีต่อไปก็กำจัด กามฉันทะ คือมีความ
พอใจในกามคุณ คือรูปสวย เสียง เพราะ กลิ่นหอม กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ รู้ตามความเป็นจริงว่า ร่างกายเต็มไปด้วย
ความสกปรก เรื่องอะไรที่จะต้องการในร่างกายของเรา ร่างกายของบุคคลอื่นสิ่งโสโครกทั้งหลายเหล่านี้เราไม่ต้องการ
และกำจัด ปฏิฆะ คือการกระทบกระทั่งความไม่พอใจออกจากจิต มีความเมตตา กรุณาเข้ามาแทน แม้จิตใจมีความเบื่อหน่ายใน
ร่างกายเป็นที่สุดอย่างนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นอารมณ์ของพระอนาคามีหลังจากนั้น ทำปัญญาให้ดี พิจารณาให้เห็นว่า รูปราคะ รูป
ฌานก็ดี อรูปราคะ อรูปฌานก็ดี ต้องทรงอารมณ์เอไว้ แต่เราจะไม่ติดอยู่แค่รูปฌานและอรูปฌาน เราจะก้าวต่อไปเพื่อนิพพาน ใน
การตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน ตัด มานะ ความถือตัวถือตนออกจากใจ ทำใจเสมอกัน ตัด อุทธัจจะ คืออารมณ์ฟุ้งซ่านคือว่า
นิพพานเราไม่ต้องการตัดทิ้งไป แต่ตอนนี้ไม่ต้องตัดก็ได้นี่ ถึงอนาคามีแล้วเขาก็สบายมาก ตอนนี้ไม่ตัดแน่ ท่านพูดไว้ก็พูดตามท่าน
ตั้งกำลังใจไว้เฉพาะพระนิพพานแน่วแน่
ตัด อวิชชา ความระยำของจิตที่คิดว่ามนุษย์โลก เทวโลก เป็นของดี ตัดออกไปจากใจ กำลังใจตั้งใจอย่างเดียวคือพระนิพพาน และ
ทำใจของทุกท่านให้ตั้งอยู่ในสังขารุเปกขาญาณ คือไม่เมาในร่างกาย วางเฉยร่างกายมันจะแก่เชิญแก่ตามสบายของมัน ใจไม่ดิ้นรน
ร่างกายมันจะป่วยเชิญป่วยไปตามเรื่องของมัน ใจไม่ดิ้นรนไม่ทุกข์ ร่างกายมันจะตายก็เชิญตาย ฉันไม่ได้ตายด้วย ช่วยให้ฉันมีความ
สุขอย่างนี้เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์
หลังจากนั้นกำจัดสังโยชน์ 10 ประการ ให้พินาศไปจากใจ ทรงกำลังใจในด้านของความดี มารวบรวมบารมีทั้ง 10 ประการ ให้ถึงขั้น
อุกฤษฏ์ คือให้เต็มอยู่เสมอกำลังใจ กำลังใจเต็ม 10 ประการ ได้แก่
1.ทาน ให้ทานพร้อมให้ทานเพื่อเป็นการตัดโลภะความโลภ
2.ศีล เพื่อตัดโทสะความโกรธ
3.เนกขัมมะ คือการบวชระงับนิวรณ์ 5 ประการ อย่าให้มายุ่งกับใจ
4.ปัญญา มีไว้เพื่อเป็นการตัดกิเลส
5.วิริยะ มีความพากเพียร ไม่ท้อถอยต่ออุปสรรคใดๆ อุปสรรคใดๆ เข้ามาต่อสู้ให้ยับยั้งไป ให้บรรลัยไปจะไม่ทรงศัตรูไว้คือกิเลสให้
รอหน้า
6.ขันติ ความอดทน อดใจ อดกลั้นมีไว้เสมอ ไม่ยอมปล่อยความเลวให้หลั่งไหลมาทางกายและวาจา
7.สัจจะ ตั้งใจไว้ว่าเราจะทำอะไร ต้องทำแน่นอน ไม่ท้อถอย ไม่เปลี่ยนแปลง
8.อธิษฐาน ตั้งใจไว้เฉพาะกาล ว่าเราต้องการนิพพานจุดเดียว
9.เมตตา มีจิตเมตตาปรานี ยินดีต่อบรรดาสัตว์ทั้งหมด คือว่าเราจะเป็นมิตรที่ดีของสัตว์และคนทั้งหมดทั่วโลก
10.อุเบกขา วางเฉยต่ออารมณ์ต่างๆ หากการใดที่มันเกิดขึ้น เราเฉย ถือว่าเป็นกฎธรรมดาของการเกิดมาในโลก เพียงเท่านี้ก็เต็ม
กำลังใจบารมี 10 นี่นะขอรับ ต้องเต็มกำลังใจทุกวันนะขอรับ เช้าขึ้นมาก็เปิดบารมี 10 มาดู ทานพร้อมจะให้แล้วหรือยัง ศีลครบถ้วน
ไหม นิวรณ์เราชนะกำลังใจได้นิวรณ์หรือเปล่า ปัญญาคิดว่าโลกนี้ดี เทวโลกดี พรหมโลกดีมีไหม ถ้าทีใช้ไม่ได้ วิริยะ ความย่อท้อต่อ
อันตรายต่างๆ มีหรือเปล่า ขันติ ความอดใจมีไหม สัจจะ ทรงกำลังใจแน่นอนไหม อธิษฐานตั้งไว้เฉพาะการคือพระนิพพานมีหรือ
เปล่า เมตตา ความเมตตาปรานียินดีต่อคนและสัตว์ทั้งโลก ว่าเป็นมิตรที่ดีสำหรับเรามีไหม อุเบกขา กำลังใจวางเฉย ไม่ดิ้นรนมีหรือ
เปล่า ถ้าไม่มีปรับปรุงใจให้มีครบถ้วนทุกประการ อย่างนี้ถือว่าเป็นสาวกขององค์สมเด็จพิขิตมารแน่นอน เราก็ย้ำๆ ไปเฉยๆอีตอนนี้
เข้าถึงกระพี้นะขอรับ
วันนี้ก็เข้าถึงกระพี้และแก่นกันแล้ว เมื่อวาน เอ้อ ตอนก่อนผมไปหยุดไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ซิน่ะ พวกท่านบอกว่าถึงกระพี้เท่านั้น อ้อ จำได้
แล้ว เห็นแล้ว หยิบพระไตรปิฏกมาแล้วก็งง ไอ้ทำอย่างนี้นี่มันทำติดๆ กันหลายคาสเซ็ทนี่ท่านถามว่าเหนื่อยไหม ผมก็ต้องตอบว่า
เวลานี้เกือบจะทรงกายไม่ไหว มันทั้งเพลีย มันทั้งเหนื่อย มันทั้งอึด มันทั้งเสียด และก็เสมหะก็ขึ้นคอ มันทำท่าจะอาเจียนอยู่ตลอด
เวลา ท่านถามว่าทำทำไม ผมก็ตอบว่า ผมทำเอาทุนไว้เพื่อตาย ถ้าผมตายไปนี่ ผมทำนี่เป็นธรรมทานนะครับ ผมไม่ได้รับจ้างรางวัล
จากใคร พระพุทธเจ้าบอกว่า
สัพพทานัง ธัมมทานัง ชินาติ การให้ธรรมเป็นทานชนะทานทั้งปวง เวลาผมตายผมจะได้แบกไปใช้ของผมด้วยอะไรที่ผมนำมาให้ไว้
แพวกท่านนะ เวลาตายผมแบกของผมไปด้วย แต่กากมันจะอยู่ที่นี่ เสียงมันยังอยู่นะครับ แต่กำลังใจผมแบกไปทุกอย่าง นี่ผมคิด
อย่างนี้นะ ดีไม่ดีผมพูดๆ นี่ผมเสือกตายขึ้นมาตอนนี้ ผมจะดีใจมาก แต่มันยังไม่ตาย ผมก็ไม่กลุ้ม มันอยากจะตายห้ามไม่ได้ก็ช่าง
มัน ที่เป็นมันยังไม่ตาย ก็ทำงานไปก็หมดเรื่อง
วันนี้ก็มาพูดกันตอนที่ 28 เป็นตอนไม่ใช่เฉพาะเรื่องนะครับ ท่านเขียนไว้อย่างนั้น ตอนที่ 28 ที่เป็นหน้าที่ 37 ตอนนี้เป็นตอนที่มี
ความสำคัญมากแล้วท่านที่ปฏิบัติมโนมยิทธิได้นี่ท่านเข้มกว่านี้นิดหนึ่งขอรับ เพราะว่าที่พระพุทธเจ้าตรัสนี่เป็นหลักสูตรของวิชชา
สาม แต่วามโนมยิทธิที่ท่านทั้งหลายได้นี่ เป็นหลักสูตรของอภิญญาหกเป็นการเตรียมตัวเพื่ออภิญญาหก เข้มกว่าวิชชาสามหน่อย
แต่ถ้าบังเอิญท่านทั้งหลายลืมใช้ความดีที่มีอยู่ ผมก็ต้องขอสรรเสริญทานว่าท่านเลวที่สุดถ้ามีแล้วต้องใช้ให้ครบ เพราะว่าเท่าที่ผม
พยายามหามานี่ เพื่อความดีของท่านทั้งหลาย ถ้าแค่กำลังใจของผมถือว่าพอกินพอใช้ อย่านึกว่าผมเป็นพระอริยเจ้า อย่าไปนึก
อย่างนั้นนะ ผมไม่ได้คิดว่าผมเป็นพระอริยเจ้า แล้วท่านอย่าไปคิดแทน
เอ้า ! คุยเรื่องวันต่อไป ตอนที่ 28 พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า เอ้า ไม่ใช่ซิ นิโคธปริพพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การ
หน่ายบาปด้วยตบะเป็นกริยาที่ถึงยอดและถึงแก่นด้วยเหตุเพียงเท่าไร ขอประทานวโรกาสขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงให้ข้าพระองค์ถึง
ยอดถึงแก่นแห่งการหน่ายบาปด้วยเถิดพระเจ้าค่ะ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนนิโครธะ บุคคลผู้มีตบะในโลกนี้เป็นผู้มี
สังวรแล้วไปด้วยกิเลส 4 ประการเป็นต้น ย่อมระลึกชาติ
ก่อนได้เป็นอันมาก นี้ต้องอย่าลืมนะครับท่านบอกว่าย่อมสังวรแล้วด้วยสังวร 4 ประการ แล้วก็ระงับนิวรณ์ 5 ประการทรงพรหมวิหาร
4 เป็นปกติ ท่านละไว้นะครับ ต้องให้ครบนะ จะเอาแค่สังวร 4 ประการไม่ได้นะ
ฆราวาสต้อง 5 ประการนะ เดี๋ยวจะไปย่องดื่มสุรา เป็นอันว่า
1. สะเก็ดเราเลาะดีแล้ว
2. สังวร 4 ประการก็ทรงตัว
3. การระงับนิวรณ์ได้โดยฉับพลัน
4. จิตทรงพรหมวิหาร 4 เป็นปกติ
ท่านบอกว่า เขาย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกได้หนึ่งชาติบ้างสองชาติบ้าง และเขาระลึกได้ถึงชาติก่อนๆ เป็นอันมาก
พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ พร้อมด้วยประการนี้ หมายความว่าไม่จำกัด นึกชาติได้ทุกๆ ชาติ รู้ทั้งเพศทั้งวัย ทั้งความเป็นอยู่ ทั้ง
ความสุข ความทุกข์ ความรู้สึก การพูดจาปราศรัย เอาอย่างนี้ก็แล้วกันว่าอย่างละเอียด เขาเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว
บ้างปราณีตบ้าง ปรารีตคือดี มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดีตกยาก ด้วยทิพจักขุจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้จัก
ถึงหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรมว่าสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการ
กระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงอุบายทุคคติ วิบาก วินิบาติ นรกส่วนสัตว์ทั้งหลายเหล่า
นี้ประกอบไปด้วยกายสุจริต วจีสจริต มโนสุจริต นี่ท่านควบเลยนะครับ เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง ไม่ติเตียนพระอริยาเจ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ
เบื้องหน้าแต่พอตายเพราะกายแตกเขาย่อมเข้าถึงสุคติ มีโลกสวรรค์ดังนี้ เขาย่อมเป็นผู้เห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุบัติเลวบ้าง
ปราณีตบ้าง ผิวพรรณดีบ้าง ผิวพรรณทรามบ้าง ได้ดีตกยากด้วยทิพจักขุ จักษุอันบริสุทธิ์ ได้ดีและก็ได้ตกยาก ท่านกล่าวว่ารู้ได้โดย
ทิพจักขุจักษุญาณอันบริสุทธิ์ อ้า ! ด้วยทิพจักขุ จักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักขุของมนุษย์ธรรมดา ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม
ด้วยประการฉะนี้
ดูก่อนนิโครธะ ท่านสำคัญความเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนี้การหน่าวยบาปด้วยตบะจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เพียงใด
นิโครธปริพพาชกกราบทูล่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นเช่นนี้การหน่ายบาปด้วยตบะบริสุทธิ์แท้ไม่บริสุทธิ์หามิได้ เป็นกริยาที่ถึง
ยอดถึงแก่นพระเจ้าค่ะ
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนนิโครธะ การหน่ายบาปด้วยตบะเป็นกริยาที่ถึงยอดถึงแด่นด้วยการเพียงเท่านี้ ดูก่อนนิโครธะ
ท่านได้กล่าวกับเราอย่างนี้ว่า ธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าสำหรับทรงแนะนำสาวกนั้นชื่ออะไร ธรรมชื่ออะไร สำหรับผู้รู้แจ้งชัด อธิ
พรหมจรรย์ อันเป็นที่อาศัยอยู่แห่งพระสาวกที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนำแล้ว ถึงความยินดี ดูก่อนนิโครธะ ฐานะที่ยิ่งกว่าและ
สกปรกนี่แล เป็นธรรมสำหรับเราแนะนำพระสาวก
เป็นธรรมสำหรับผู้รู้แจ้งชัดใน อธิพรหมจรรย์ อันเป็นที่อาศัยอยู่แห่งพระสาวกที่เราแนะนำแล้ว ถึงความยินดีเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสอย่างนี้ พวกปริพพาชกทั้งหลายเหล่านั้นได้เป็นผู้มีเสียงดังอึกทึกว่า พวกเรากับอาจารย์ยังไม่เห็นคัมภีร์อเจลก เป็นต้น พวกเรา
กับอาจารย์ยังไม่เห็นมีบาลีในบาลีอเจลกเป็นต้น พวกเรายังไม่รู้ชัด การบรรลุคัมภีร์ที่ยิ่งไปกว่านี้
แต่ท่านกล่าวว่า ในการที่สันธานคฤหบดีทราบว่า บัดนี้พวกปริพพาชก อัญญเดียรถีย์ เอ้า ที่แปลที่แล้วๆมา อัญญะ แปลว่าต่างๆ นัน
ไม่ถูกนะครับ ต่างๆ มันมาจากนานา อัญญะแปลว่าอื่น อันเดียรถีย์อื่นๆ เหล่านั้นตั้งใจฟัง เลี่ยงโสตก็สดับตั้งจิตเพื่อจะรู้ถึงภาษิต
ขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยแท้จริง จึงได้กล่าวกับนิโครธปริพพาชกว่า
ดูก่อนท่านนิโคธะ ท่านได้กล่าวกับเราไว้อย่างนี้ว่า เอาเถิดคฤหบดี ท่านถึงรู้พระสมณโคดมจะทรงเจรจากับใคร จะถึงกาลสนทนา
ด้วยใคร จะถึงความเป็นผู้ฉลาดด้วยพระปัญญากว่าใคร พระปัญญาของพระสมณโคดมฉิบหายเสียในเรือนอันสงัด พระสมณโคดม
ไม่กล้าเสด็จเที่ยวไปในบริษัท ไม่สามารถเพื่อจะทรงเจรจา พระองค์ท่านทรงเสพอันสงัด ณ ภายในนั้นอย่างเดียว อุปมาเหมือนแม่
โคบอดที่เที่ยววนเวียนที่อันสงัด ณ ภายใน
ฉะนั้น เอาเถิดคฤหบดี พระสมณโคดมถึงเสด็จมาที่สู่บริษัทนี้ พวกข้าพเจ้าจะพึงสนทนากับพระองค์ท่าน ด้วยปัญหาข้อเดียวเท่านั้น
เห็นจะพึงบีบรัดพระองค์ท่านให้ไม่ให้กล้าเสด็จเที่ยวไปในบริษัท จะทำให้เป็นเหมือนแม่โคบอดเที่ยววนเวียนอยู่ จะสนทนากับท่าน
ด้วยปัญหาเพียงข้อเดียวเท่านั้น เห็นจะบีบรัดพระองค์ท่านเหมือนกับบุคคลบีบรัดหม้อเปล่า
ฉะนั้น เมื่อท่านสันธานคฤหบดีกล่าวอย่างนี้แล้ว นิโคธปริพพาชกก็เป็นผู้นิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา ไม่มีปฏิภาณจะโต้ตอบ
ไอ้นี่เขาเอาจริงๆ เลยนะ เขาเอากันจริงๆ อ่านต่อไปเหลือเวลาอีก 8 นาทีท่านกล่าวว่า ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ ซึ่งนิ
โครธปริพพาชกเป็นผู้นิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา ไม่มีปฎิภาณ จึงตรัสกับนิโครธ
ปริพพาชกว่า ดูก่อน นิโครธะ วาจานี้ท่านกล่าวจริงหรือ นิโครธปริพพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วาจานี้ข้าพระองค์
กล่าวจริงด้วยความเป็นคนเขลา คนหลงไม่ฉลาด
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนนิโครธะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ทส่านเคยได้เป็ฯปริพพชกผู้เฒ่าผู้แก่ เป็นอาจารย์ และ
เป็นปรมาจารย์กล่าวว่ากระไร พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธ่เจ้าทั้งหลายได้มีแล้วในอดีตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาเหล่านั้นประชุม
พร้อมกันแล้วมีเสียงดังอึกทึก ขอให้เดียรฉานคาถาต่างๆ เรื่องอยู่
คือขวนขวายเรื่องพระราชาเรื่องโจร เป็นต้น เรื่องความเจริญเรื่องความเสื่อมด้วยประการ ดังนั้น นั้นเหมือนท่านกับอาจารย์ในขัดนี้
อย่างนี้หรือหรือว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายย่อม แสดงธรรมอะไร. ย่อมทรงเสพ เอ้อ ทรงเสพราวไพรในป่า เสนาสนะอันสงัด ซึ่ง
มีเสียงน้อย มีเสียงอันกึกก้องน้อยปราศจากลม แต่ชนผู้เดินเข้าออก ควรแก่การทำกรรมอันเร้นลับแห่งมนุษย์ สมควรแก่การหลีกเร้น
เหมือนเราในบัดนี้
นิโครธปริพพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เคยได้ยินปริพพาชกผู้เฒ่าผู้แก่ เป็นอาจารย์และปรมาจารย์กล่าวว่า
พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหายได้มีแล้วในอดีตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นเหมือนข้าพระองค์กับอาจารย์ในบัดนี้
อย่างนี้ก็หามิได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นย่อมทรงเสพราวไพรในป่า และมีเสนาสนะอันสงัด มีเสียงน้อย มีเสียงกึกก้อง
น้อย ปราศจากลม แต่ชนผู้เดนเข้าออกสมควรแก่กรรมอันเร้นลับแห่งมนุษย์สมควรแก่การหลีกเร้น เหมือนพระผู้มีพระภาคเจ้าในบัดนี้
อย่างนี้
และพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนนิโคธะ ท่านแลเป็นผู้รู้ เป็นผู้แก่ ไม่ได้ตำหนิว่าพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นพระพุทธะ ย่อมทรง
แสดงธรรมเพื่อการตรัสรู้พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นผู้ฝึกแล้ว ย่อมแสดงธรรมเพื่อความฝึก และก็พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้สงบ
ระงับแล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อความสงบระงับ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นผู้ข้ามไปได้แล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อความข้าพ้น
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นผู้สดับแล้ว ย่อมทรงแสดงธรรมเพื่อความสดับเป็นอันว่าเหลือเวลาอีก 5 นาที ดีใจเกือบแย่
เรื่องตอไปข้างหน้าไม่มีอะไร เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงยืนยันว่า ถ้าบุคคลใดปฏิบัติความรู้ตามที่กล่าวมานี้แล้วนั้นได้หมด ถ้า
มีบารมีแก่กล้า จะเป็ฯอรหันต์ภายในเจ็ดวัน ถ้ามีบารมีอย่างกลาง จะเป็นอรหันต์ภายในเจ็ดเดือนมีบารมีอย่างอ่อน จะเป็นอรหันต์
ภายในเจ็ดปี และสมเด็จพระขินสีห์ยังกล่าวกับนิโครธปริพพาชกและปริพพาชกทั้งหมดว่า เธอต้องการให้เราสอน เราจะสอนเป็น
อันว่าเวลานั้นทุกคนนิ่งสงัด องค์สมเด็จพระผู้ทรงสวัสดิโสภาคย์ทรงทราบว่ามารเข้าดลใจ บุคคลทั้งหลายไม่สามารถทรงความดีได้
สมเด็จพระจอมไตรก็เสด็จกลับ
เป็นอันว่า นิโคธปริพพาชก และปริพพาชกทั้งหมดไม่มีความหมายไม่ได้อะไรจากพะพุทธเจ้าเลย อย่างนี้ท่านเรียกว่าอาภัพบุคคล
คนที่หาความเจริญมิได้ เป็นอันว่าเรื่องรวมทั้งหลายเหล่านี้ บรรดาท่านทั้งหลายฟังแล้วเข้าใจไหม
ขอสรุป เรื่องสะเก็ดผมก็จำไม่ได้หมด หลังจากสะเก็ดแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวเน้นว่าสังวร 4 ประการมีประจำใจ
หลังจากนั้นระงับนิวรณ์ 4 ประการให้ได้ขาดในเวลาที่เราต้องการ แล้วก็จิตทรงพรหมวิหาร 4 จนเป็นปกติ ไอ้คำว่าปกตินี่หมายความ
ว่า ถ้าตื่นขึ้นมาต้องทรงพรหมวิหาร 4 ทันทีนะครับ หลังจากนั้นทำปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือการระลึกชาติได้ให้เกิดขึ้นการระลึก
ชาติได้นี่อย่าเบื่อนะขอรับ อย่าถืออุปาทานพวกท่านทำได้ ผมถือว่าทำได้ถ้าลืมก็ถือว่าก็แย่หน่อย คือก่อนจะบวชนี่ทุกคนทำได้หมด
และก็ทิพจักขุญาณหรือว่า
จุตูปปาตญาณ เป็นญาณอันเดียวกันที่รู้การตายและการเกิดของคน เป็นคนเห็นสัตว์รู้ได้ทันทีเลยว่าก่อนเกิดมาจากไหน มีข่าวคน
ตายสัตว์ตายรู้ได้ทันทีว่าไปอยู่ไหนทำให้ชัดเจนแจ่มใน เมื่อทรงกำลังใจได้อย่างนี้ ทุกท่านที่นั่งฟังอยู่ที่วัดนี้ ก็เขาสอนมาแล้วก็
ยืนยันว่าได้ดีแล้วทุกคน ก็ขอให้รักษาความดีขององค์สมเด็จพระทศพลที่ทรงให้ไว้ หลังจากนั้นก็ตั้งใจตัดกิลเลสเป็ฯสมุจเฉทปหาน
จะใช้ญาณอะไรเข้าประกอบบ้าง วันนี้มันก็หมดเวลานะครับขอลาก่อน
เอาไว้ค่อยคุยกันเวลาหลังตอไปขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี