ผู้เขียน หัวข้อ: เวรกรรมมีจริงสลดชีวิต สอง ตา ยาย  (อ่าน 5831 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
เวรกรรมมีจริงสลดชีวิต สอง ตา ยาย



สลดชีวิตสองผัวเมีย เคยร่ำรวยมีกิจการรถบรรทุก แต่ทั้งคู่ไม่เคยหันกลับไปดูแลพ่อ-แม่จนล้มป่วยและเสียชีวิต ทั้งฆ่าสัตว์เป็นอาจิณ หลังพ่อ-แม่ป่วยตายชีวิตเริ่มตกต่ำ สามีถูกรถเฉี่ยวชนจนเป็นอัมพาต ส่วนฝ่ายเมียเป็นโรคเบาหวานจนต้องตัดขา ส่วนลูก 3 คนก็ไม่เคยกลับมาเหลียวแล ยอมรับสำนึกและเชื่อว่าเป็นกฎแห่งกรรมที่เกิดผลในชาตินี้ วอนเป็นอุทาหรณ์ให้คนรุ่นหลังอย่าละเลยผู้ให้กำเนิด

          เมื่อวันที่ 13 กันยายน ที่ผ่านมา นายณรงค์ ธีรจันทรางกูร นอภ.สัตหีบ จังหวัดชลบุรี รับการร้องเรียนจากนางประโลม ปราบศัตรู อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 13/5 หมู่ที่ 7 ตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัตบ ว่ามีนายไพเราะ ทิมทอง อายุ 71 ปี และนางสะอาด ทิมทอง อายุ 65 ปี สองสามีภรรยาสภาพร่างกายพิการทั้งคู่ ดำรงชีวิตอยู่ได้เพราะมีเพื่อนบ้านคอยช่วยเหลือ โดยอาศัยอยู่ในกระต๊อบยกพื้นสูง ปูด้วยไม้อัดและปิดฝาผนังด้านหลังด้วยแผ่นสังกะสีเก่าๆ อยู่ในป่าละเมาะ ซอยเขาหมอน หมู่ที่ 7 ตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัตหีบ จึงส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ เบื้องต้นพบว่าสองสามีภรรยาเดือดร้อนหนัก หากปล่อยไว้โดยไม่มีใครดูแลอาจต้องเสียชีวิต

          ต่อมาผู้สื่อข่าวรุดไปตรวจสอบพบนางสะอาดสภาพขาซ้ายท่อนล่างขาด เหลือเพียง 3 ส่วน ส่วนนิ้วหัวแม่เท้าขวาถูกตัดขาด ขาลีบ ไม่มีแรง นั่งอยู่เคียงข้างกายนายไพเราะผู้เป็นสามีที่เป็นอัมพาต เดินไม่ได้ นอนทอดกายบนที่นอนบนแคร่ไม้อัดที่ยกพื้นสูง ภายในที่พักมีเพียงของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันเท่านั้น เช่น เตาแก๊ส หม้อหุงข้าว ถ้วย ชาม ช้อน ส่วนเสื้อผ้าที่เปลี่ยนสวมใส่แทบจะไม่มี 


          นางสะอาด เปิดเผยว่า ปรับทุกข์กับสามีเป็นประจำ เพราะชีวิตที่ผ่านมาไม่น่าจะมาลำบาก เคยเป็นเจ้าของกิจการรถบรรทุก มีที่ดิน มีฐานะดี แต่จู่ๆ ชีวิตก็เริ่มเลวร้าย ทรัพย์สมบัติต้องหมดไป มีความเห็นตรงกันว่าคงเป็นเพราะกฎแห่งกรรมที่เราทั้ง 2 คนทำไว้กับพ่อแม่บังเกิดเกล้าทั้ง 2 ฝ่าย คือตั้งแต่ออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านไม่เคยหวนกลับไปดูแลพ่อ แม่ แม้แต่ขณะเจ็บป่วย จนท่านเสียชีวิตไปก็ไม่มีโอกาสไปดูใจแต่อย่างใด หลังจากนั้นชีวิตเริ่มตกต่ำ โรคร้ายเข้ามาเยือน สามีถูกรถเฉี่ยวชนจนเป็นอัมพาต ส่วนตัวเองเป็นเบาหวานต้องตัดขามาหลายปี ลูก 3 คนก็ไม่เคยมาดูแล จึงเชื่อว่าเป็นกฎแห่งกรรมที่ตามมาลงโทษในชาตินี้ 

          ด้านนายไพเราะ กล่าวว่า ยอมรับว่ากฎแห่งกรรมมีจริง ตอนนี้ต้องมาชดใช้ ตอนดีๆ เอาแต่หลงระเริงเป็นนายพรานฆ่าสัตว์ป่า ยิงเก้ง กวาง กระจง มาเป็นอาหาร ไม่เกรงต่อบาป ที่สำคัญไม่เคยกลับบ้านไปดูแลพ่อ แม่ พี่น้อง และผู้มีพระคุณเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ทำให้สำนึกได้ แต่ก็สายเกินไปแล้วที่จะแก้ไข เพราะเป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตก็คือรอวันตายที่เข้ามาเยือนเท่านั้น จะสร้างบุญกุศลก็ไม่มีโอกาส ไม่มีเงิน เพียงขอฝากคนรุ่นหลังอย่าได้ละเลยต่อพ่อ แม่ ผู้มีพระคุณที่เลี้ยงดูเรามา ถ้าผู้ใดปฏิบัติดีกับพ่อ แม่ จะไม่พบกับความลำบากอย่างนี้ และขอให้เชื่อเถิดว่ากรรมมีจริง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

คัดลอกจาก
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1156176
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เวรกรรมมีจริงสลดชีวิต สอง ตา ยาย
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 26 พ.ค. 2554, 10:23:01 »
"เวรกรรมตามทันเห็นๆ" โจรปล้น-ฆ่าแท็กซี่ ขับรถหนี "ไปตกถนน"   



แล้วเวรกรรมก็ตามสนองนายทองคำ หรือเอก จันทรโชติ อายุ 28 ปี กับนายอาทิตย์ น้อยจันทรวงษ์ อายุ 18 ปี 2 โจรปล้นฆ่าแท็กซี่อย่างรวดเร็วทันควัน

หลังจากที่ร่วมกันฆ่านายกฤษณพัฒน์ เรืองสมบัติ อายุ 37 ปี คนขับแท็กซี่ที่ว่าจ้างมาจากอ.บางใหญ่ จ.นนทบุรีให้ไปส่งที่อยุธยาแล้วฉวยโอกาสลงมือสังหารเพื่อชิงรถหลบหนี

แต่สุดท้ายหนีไปได้ไม่ไกลรถเกิดเสียหลักตกลงไปข้างทางเลยจนมุมตำรวจจนได้


กรรมติดจรวดจริงๆ!!!

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีแต่คนเห็นใจและสงสารนายกฤษณพัฒน์ โชเฟอร์แท็กซี่ที่ต้องมาจากไปเพราะคนใจบาปแท้ๆ ที่สำคัญ ครอบครัว "เรืองสมบัติ" ต้องมาสูญเสียหัวหน้าครอบครัวผู้เป็นเสาหลักในการหาเลี้ยงชีพไปอย่างไม่มีวันกลับ



ทิ้งลูกเมียให้เผชิญชีวิตกันตามลำพัง!!!

เหตุร้ายเกิดกับนายกฤษณพัฒน์ เปิดเผยขึ้นในตอนเช้าตรู่วันที่ 3 พ.ย. พ.ต.ท.สมศักดิ์ ดาวสุข สารวัตรเวรสภ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา รับแจ้งเหตุพบศพคนถูกฆ่าทิ้งศพในแปลงนา บริเวณม.6 ต.ตลาดเกรียบ จึงรายงานผู้บังคับบัญชาพร้อมด้วยพล.ต.ต.นเรศ นันทโชติ ผบก.ภ.พระนครศรีอยุธยา พ.ต.ท.พิชา รุจินาม รองผกก.(ป) พ.ต.ท.เกรียงไกรภพ อัธิปฎิเวชช รองผกก.สส. พ.ต.ท.เสริมศักดิ์ รุ่งเรือง รองผกก. กลุ่มงานสืบสวน ภ.พระนครศรีอยุธยา นำกำลังพร้อมหน่วยกู้ภัยเดินทางไปตรวจสอบ

เมื่อไปถึงพบว่าที่เกิดเหตุเป็นทางเปลี่ยวอยู่ห่างจากถนนลูกรังประมาณ 20 เมตร ภายในแปลงนาที่มีน้ำท่วมขังพบศพนายกฤษณพัฒน์ มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 272/1 ซอยนพเก้า เขตบางซื่อ กทม. ถูกฆ่าตายในสภาพนอนหงาย ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีฟ้า ตายคาเครื่องแบบคนขับรถแท็กซี่ สวมกางเกงขายาว ลำคอมีรอยถูกบีบเขียวช้ำ คาดว่าตายมาแล้วประมาณ 6 ชั่วโมง ใกล้จุดพบศพพบโป๊ะไฟหลังคารถแท็กซี่มิเตอร์สีชมพู ถูกโยนทิ้งไว้บนกอผักตบชวาในแปลงนา บนถนนมีร่องรอยการต่อสู้เป็นทางยาว พบเข็มขัด มีดคัตเตอร์ พระเครื่อง สร้อยคอสแตนเลส ตะกรุดลูกปืน ตกกระจายเกลื่อนจึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
คุมคนร้ายทำแผน




ตำรวจอยุธยารีบสืบหารถแท็กซี่ของผู้ตายทันที เพราะคาดว่าคนร้ายน่าจะหลบหนีไปไม่ไกล หรือไม่ก็อาจจะนำไปซ่อนไว้แถวนี้ แต่ยังไม่ทันขยับอะไร ตำรวจบางปะอินก็ได้รับการประสานจากพ.ต.อ.มนตรี จินดา ผกก.สภ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ ว่าสามารถจับกุมคนร้ายที่ลงมือฆ่านายกฤษณพัฒน์เอาไว้ได้แล้ว พร้อมกับรถแท็กซี่มิเตอร์ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอัลติส สีชมพู หมายเลขทะเบียน ทร 9540 กรุงเทพมหานคร ของสหกรณ์แท็กซี่ไทย จำกัด ที่คนร้ายขับมาประสบอุบัติเหตุในท้องที่สภ.ท่าตะโก โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าเพิ่งก่อเหตุฆ่าชิงทรัพย์ผู้ตายในท้องที่อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยามาหมาดๆ

สารวัตรสมศักดิ์รีบเดินทางไปโรงพักท่าตะโกทันที!!!

พอไปถึงจึงพบนายทองคำ มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 19/3 ม.9 ต.ท่าขุนหลวง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร กับนายอาทิตย์ อยู่บ้านเลขที่ 114 ม.5 ต.นิคมคำสร้อย อ.เมือง จ.มุกดาหาร 2 โจรปล้นฆ่านายกฤษณพัฒน์ถูกจับกุมไว้ได้ในสภาพเมาแอ๋ โดยเบื้องหลังการจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากตอนตี 4 ของวันเดียวกัน 2 คนร้ายได้ขับรถแท็กซี่ที่ปล้นมาได้เข้ามายังท้องที่สภ.ท่าตะโก เพื่อจะมาหาแฟนสาวของนายทองคำที่มีบ้านอยู่ที่นี่

แต่พอรถแล่นมาถึงบริเวณทางเข้าวัดลาดเขาดิน หมู่ 2 ต.หนองหลวง อ.ท่าตะโก ได้เกิดเสียหลักพลิกคว่ำทันที ทำให้ 2 คนร้ายไปไหนไม่ได้ เมื่อตำรวจมาถึงจึงเข้าจับกุมนายทองคำเอาไว้ได้ในทันที ส่วนนายอาทิตย์เดินฝ่าความมืดหลบหนีไปไกลจากจุดเกิดเหตุประมาณ 7 ก.ม. แต่ผลสุดท้ายก็ต้องจนมุมตำรวจในภายหลัง

2 โจรสิ้นอิสรภาพทันที!!!

คนร้ายให้การรับสารภาพ ว่า วางแผนปล้นฆ่าแท็กซี่เพื่อเอารถไปขายหาเงินใช้ ก่อนเกิดเหตุนั่งกินเหล้าย้อมใจอยู่แถวอ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี พอเมาได้ที่ตอนประมาณเที่ยงคืน ได้เรียกรถแท็กซี่ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอัลติส สีชมพู หมายเลขทะเบียน ทร 9540 กรุงเทพมหานคร ของผู้ตายมาจากย่านบางใหญ่ให้มาส่งที่จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อมาถึงมุมเปลี่ยวในอ.บางปะอิน ได้ใช้มีดคัตเตอร์จี้บังคับให้นายกฤษณพัฒน์ ขับรถเข้ามายังจุดเกิดเหตุแล้วบังคับให้ลงจากรถ แต่นายกฤษณพัฒน์ต่อสู้จนถูกมีดบาดก่อนที่จะเปิดประตูวิ่งหนีลงไปทุ่งนา แล้วไปสะดุดกับข่ายที่วางดักปลาเอาไว้ พวกตนจึงตามไปทันแล้วบีบคอจับกดน้ำจนสิ้นใจตาย ก่อนที่จะค้นเอาเงินสดในตัวผู้ตายจำนวน 1 พันบาท แล้วช่วยกันถอดโป๊ะไฟบนหลังคาออกก่อนจะขับรถมาจ.นครสวรรค์เพื่อหาแฟนสาวของนายทองคำ แต่ก่อนจะถึงบ้านแฟนนายทองคำประมาณ 500 เมตร รถเกิดเสียหลักตกลงไปข้างทาง ไม่สามารถขับต่อไปได้จึงถูกตำรวจจับกุมได้ในที่สุด

เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบประวัติคนร้ายพบว่าทั้งสองคนมีคดีติดตัวทั้งคู่ โดยนายอาทิตย์มีคดีลักทรัพย์อาวุธปืนเจ้าหน้าที่ตำรวจจ.ปทุมธานีมีการแจ้งความเอาไว้ ส่วนนายทองดำมีคดีฆ่าคนตายในท้องที่อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ อยู่ระหว่างการประกันตัวแต่ก็มาก่อเหตุซ้ำอีกจนได้

ที่สำคัญ จุดที่นายทองคำฆ่าคนตายก็อยู่ใกล้ๆ จุดที่รถคนร้ายประสบอุบัติเหตุซึ่งอยู่ห่างกันไม่ถึง 50 เมตร งานนี้จึงเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเวรกรรมตามทันคนร้าย

ตำรวจอยุธยานำตัวกลับมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพทันที!!!

การจากไปของนายกฤษณพัฒน์สร้างความเศร้าใจให้กับครอบครัว "เรืองสมบัติ" ยิ่งนัก นางนิภาภรณ์ เรืองสมบัติ อายุ 30 ปี ภรรยานายกฤษณพัฒน์ เดินทางมารับศพสามีด้วยความเศร้าใจ ละล่ำละลักเปิดใจว่า สามีเป็นคนดี ทำมาหากินเลี้ยงลูกเมียเสมอมา ที่ผ่านมา จะกลับบ้านตรงเวลาทุกวัน แต่คืนเกิดเหตุไม่กลับบ้าน เมื่อรู้อีกทีก็ได้ข่าวสามีถูกฆ่าตายแล้ว

"ไม่น่าทำกันเลย ทำไมต้องทำกับคนหาเช้ากินค่ำแบบนี้ ต่อไปชีวิตคงจะลำบากเพราะฉันไม่ได้ทำงานอะไร และยังต้องเลี้ยงดูลูกอีก อยากถามใจจริงๆ ว่าทำได้อย่างไร เราไม่เคยทำอะไรให้ ทำไมต้องมาทำกับเราแบบนี้" นางนิภาภรณ์กล่าวทั้งน้ำตา


กฎหมายจะเป็นผู้ลงโทษมันเอง

** สัตย์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม มั่นทำความดี ละเว้นความชั่วนะเจ้าค่ะ

ที่มาจากหนังสือพิมพ์
คัดลอกจาก
http://www.yenta4.com/webboard/2/1182006.html

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เวรกรรมมีจริงสลดชีวิต สอง ตา ยาย
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 26 พ.ค. 2554, 10:50:43 »
พระพุทธเจ้าตรัสเรื่อง"กรรมทั้งสามทวาร"กรรมอันไหนที่ให้ผลร้ายแรงกว่ากัน

"การเข้าสู่ธรรมชาติของมนุษย์นั้น ต้องยืมสายพระเนตรของพระพุทธเจ้า มีพระสูตรพูดถึงฐานะและอฐานะ ความเป็นไปได้และความเป็นไปไม่ได้
ในหมวดธรรมที่ว่าด้วยความเป็นไปได้นั้น ท่านอธิบายว่า มนุษย์ปุถุชนทุกคนเป็นไปได้ที่จะปลงชีวิตพ่อแม่หรือพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ได้
คือคนธรรมดาทุกคน โอกาสที่จะทำอย่างนั้นมี แต่สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้สำหรับพระโสดาบันผู้บรรลุกระแสธรรมแล้ว
ข้อนี้ผมเข้าใจว่าจะนำไปสู่ความเข้าใจและเห็นใจบุคคลที่เรามักจะมองหรือตัดสินเขาเป็นฆาตกรโดยกำเนิดหรือมีสันดานเป็นฆาตกร
คนธรรมดาทั่วไปที่เรียกว่ากัลยาณชนหรือคนดีนั้น โอกาสที่ฆ่าพ่อแม่ก็มี ถ้ามีความบีบคั้นหรือลืมสติอย่างรุนแรง
แม้พระโพธิสัตว์ในเรื่องชาดก เมื่อแม่ขัดขวางการปฏิบัติธรรมถึงกับทำร้ายร่างการแม่"

"คนร้ายหรือฆาตกรน่าจะไดัรับการดูแลเพื่อปรับกระบวนทัศน์ด้วยวิธีหนึ่งวิธีใด มีสิ่งที่ผมเห็นว่าสำคัญมากก็คือการเคารพชีวิต ไม่ได้หมายถึงการเคารพชีวิตของคนดี คนที่ปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น"

"ดูตัวอย่างจากพระไตรปิฎกบ้าง เรื่องของการลงทัณฑ์
คราวหนึ่งมีการถกประเด็นในเรื่องของทัณฑะสาม คือการลงทัณฑ์ในสามทวาร กายทัณฑะ วจีทัณฑะ มโนทัณฑะ
ถกกันว่าอันไหนมีผลร้ายแรงกว่ากัน ระหว่างกายกรรม มโนกรรม และวจีกรรม คือเรื่องหลักกรรมในพุทธศาสนานั่นเอง ศาสดาฝ่ายลัทธิหนึ่ง ก็บอกว่ากายทัณฑะแรงกว่า อย่างเราคิดจะฆ่าเขา เป็นมโนกรรม แต่เราก็ไม่ได้ฆ่าเขาสักหน่อย เราด่าเขาเป็นวจีกรรม ก็ยังน้อยกว่าตี ดังนั้นการทัณฑะคือการลงทัณฑ์ทางกายซึ่งแรงกว่า ดังนั้นโทษย่อมแรงตาม ก็ดูจะเข้ากับสามัญสำนึกของคนส่วนใหญ่ แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้คิดอย่างนั้น

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า มโนกรรมแรงกว่า การคิดร้ายส่งผลรุนแรงต่อชีวิตมากกว่า ฟังดูอาจไม่ค่อยเข้าเหตุเข้าผลสักเท่าไร
เพราะน้ำหนักดูน้อยมาก จนกระทั่งพระพุทธเจ้าท่านต้องยกอุปมา อุปมัยว่า สมมุติมีชายคนหนึ่งเป็นนักโทษฆ่าคน
เจ้าหน้าที่บ้านเมืองตามจับไปลงโทษแต่นักโทษคนนั้นไปล้มตายเอง พระพุทธเจ้าทรงถามว่า
แล้วเจ้าหน้าที่บ้านเมืองต้องตามจับร่างกายของเขาที่ตายแล้วไปขังหรือปล่าว ถ้ายืนยันว่ากายทัณฑะสำคัญกว่าก็ต้องจับไปขังอีก
แต่ในความเป็นจริงคือเราไม่ขังคนที่ตายแล้วอีก ท่านก็สรุปว่า ในบรรดากรรมทั้งสามทวารนั้น มโนกรรมแรงกว่า
หากปราศการการดำริร้ายแล้ว การทำร้ายจะไม่มี การด่าว่าจะไม่มี การฆ่ากันทำร้ายกันจะไม่มี ทุกอย่างมันเริ่มที่จิตก่อน"

"ถ้าเรามองในแง่นี้ เรามาสู่บทสรุปที่ว่า จิตฝึกให้เข้าสู่ขบวนการอหิงสาได้ ผู้ที่เข้าใจว่าจิตฝึกไม่ได้ เนื่องจากยึดถือเรื่องกรรมเก่าผิดๆว่า
คนอย่างนี้หรือคนคนนี่ไม่มีทางสั่งสอนได้ เป็นความยึดติดในความรู้สึกส่วนตัวเกินไป การให้อภัยคนนี่เราสามารถทำได้อย่างถึงที่
แต่สำหรับบางคนอาจไม่ยอมให้อภัย ที่จริงสังคมไทยเรามีประสบการณ์ในเรื่องการกล่อมเกลาชีวิตของนักโทษ การให้บทเรียน ข้อคิด เช่น
นิมนต์พระไปเทศนาก่อนการประหาร เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่การเทศนานั้นมักเป็นเรื่องปลอบใจมากกว่า"

"ที่จริงการฆ่าคน ในขณะที่ฆ่า จิตหวั่นไหวทั้งนั้น สำหรับชาวพุทธแล้ว การฆ่าไม่ว่ารูปแบบใดๆ ไม่พึงปรารถนาทั้งสิ้น นอกเหนือจากไม่ฆ่าแล้ว เรายังต้องเมตตาต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์ ต่อสัตว์ด้วย นอกจากไม่ขโมยแล้ว เรายังต้องบริจาคทาน นอกจากไม่ผิดลูกเมียเขาอื่นแล้ว สำหรับคนที่เคร่งครัดยังต้องรักษาพรหมจรรย์ นอกจากไม่พูดเท็จต้องกล่าวคำสัตย์จริงด้วย นอกจากไม่เสพของมึนเมาพร่าสติตนเองแล้ว เรายังต้องเจริญสติแล้ว มองในแง่ทฤษฎี เรามีหลัก ทีนี้ในแง่ปฏิบัติ ภาวะจำยอม ภาวะจำเป็นมันมี ดังนั้นจะหาคนดีที่ปฏิบัติศีลทุกข้อ หายาก พระวินัยไม่ใช่กรอบหรือคอก แต่พระวินัยหรือระเบียบเหล่านั้นเป็นเหมือนรั้วสะพาน ถ้าคนแข็งแรงจริงๆ ไม่ต้องพึ่งสะพานก็ได้ เขาเดินข้ามแผ่นไม้แผ่นเดียวก็ได้ แต่คนทั่วไปอ่อนแอ ผมเชื่ออย่างนั้นนะ ดังนั้นเราจึงต้องพึ่งราวสะพาน เพื่อเกาะเพื่อไต่ต่อไป แต่ถ้าใครเข้าใจผิดต่อราวสะพาน ยึดราวสะพานแล้วไม่เดินก็เป็นปัญหาอันใหม่ คือพวกยึดมั่นถือมั่นพระวินัย ก็เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาปัญญาได้"

"การฆ่าไม่ว่ารูปแบบใดๆ ถือเป็นบาปทั้งสิ้น ส่วนการปฏิบัติผมได้บอกแล้วว่ามนุษย์มีข้อปฏิบัติอยู่ไม่น้อย ชาวบ้านเขาฆ่าปลาก็จริงแต่ฆ่าเพื่อกิน เพื่อให้อยู่รอด ไม่ได้มีจิตจะฆ่าเพื่อเบียดเบียนสัตว์ ดังนั้น สิ่งที่เขาตอบแทนสิ่งที่ล่วงลับไปเพื่อให้มีชีวิตอยู่ คือการนับถือหรือบูชา เช่น ชาวอินเดียนแดงเชาฆ่าฝูงไบซัน เพราะฝูงไบซันคือผ้าห่มของเขา เขาก็บวงสรวงวิญญานให้ ถือว่าวิญญาณของสัตว์สูงกว่าวิญญานของมนุษย์ วิญญานมนุษย์อยู่ได้เพราะวิญญานสัตว์ แต่การที่คนหนึ่งทำบาป จ้างวานฆ่า ฆ่า หรือเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น แล้วไปทำบุญชดเชย เราต้องแยกส่วน คือบาปต้องมีผลเป็นบาป ทำบาปก็ย่อมได้รับผลบาป ทำบุญได้รับผลบุญ เอามาชดเชยกันไม่ได้ แต่ว่าการทำบุญเป็นสิ่งที่ควรทำ แทนที่จะทำบาปถ่ายเดียว พระพุทธเจ้าตรัสว่า บาปนั้นไม่ควรทำบ่อยๆ คือ ถ้าทำแล้วรู้ตัวว่ามันส่งผลไม่ดี มันเกิดผลสะเทือนจริงๆ แล้วไม่ต้องถามใครหรอกครับ จิตเราทำงานอยู่ พอเราไปทำอะไรจิตมันก็รู้อยู่ เรารู้ก่อนเพื่อน"

"การที่มือปืนทำบาปแล้วไปทำบุญ เขาจะได้ผลหรือไม่ การที่เขาทำบาป เขาได้รับบาปทั้งในขณะนั้นและในขณะอื่นถัดมา เช่น ญาติพี่น้องของคนที่เราทำกรรมเขาก็โกรธแค้นให้ หรือประชาชนหมิ่นน้ำใจหรือหลู่เกียรติ ไม่คบหา ทุรนทุรายในใจนั้นเป็นวิบากโดยตรงเลย จิตกระสับกระส่าย ไม่ตั้งมั่น หวั่นไหวง่าย เช่นเราทำบาปหรือทำผิดหรือแม้แต่คิดว่าผิด เราหวั่นไหว ขึ้นชื่อว่าปุถุชนมีเครื่องวัดอันหนึ่งคือสงสัยในการกระทำของตน ต่างว่าคนนั้นหลังจากทำบาป รู้สึกได้แล้วต่อทุกข์โทษของมัน แต่ที่จริงก็รู้สึกยังไม่ครบถ้วนหรอกครับ เพราะยังทำได้อีก เช่น บางคนฆ่าคนแล้วสำนึก แต่รุ่งขึ้นก็พร้อมจะฆ่าอีก เพราะเอาชนะจิตสำนึกไม่ได้ แสดงว่าจิตของเขายังสมาทานมิจฉาทิฐิ"

"เราจะอ้างว่าเราทำดีชดเชยความชั่วไม่ได้หรอกครับ เพราะต่างกรรมต่างวาระ หมายความว่าชั่วก็ต้องรับผลชั่ว แต่ถ้ารีบทำความดีเผื่อไว้บ้าง ก็พอจะได้รับผลดี ผลชั่วก็จะกินเวลาสั้นหน่อย แต่ชดเชยกันไม่ได้ แต่สามารถแทนที่ได้
แทนที่หมายความว่า ถ้าทำดีเรื่อย ๆ โอกาสทำชั่วก็จะน้อยลง แต่ถ้าทำชั่วมาก ๆ โอกาสทำดีก็น้อยลง"

"พระพุทธเจ้าให้คำนิยามของอกุศลกรรมและกุศลกรรมไว้ว่า กรรมใดทำแล้วเดือดร้อยภายหลัง กรรมนั้นไม่ดี เดือดร้อนนี้หมายถึงเดือดร้อนตนเอง เดือดร้อนคนอื่นในขณะที่ทำ ภายหลังก็ต้องเดือดร้อนอีก ในทางกลับกัน กรรมใดทำแล้วตัวเองไม่เดือดร้อน คนอื่นไม่เดือดร้อน ต่อมาภายหลังก็ไม่เดือดร้อน กรรมนั้นพึงทำ คือกุศลกรรม แต่ทั้งกุศลกรรม อกุศลกรรม เป็นธรรมชาติธรรมดา คนทำบาปเขาก็สับสน เขาคิดผิดไม่ใช่เพราะเขาชั่วแต่กำเนิดหรอก"

"ปัญหาด้านหนึ่งต้องแก้โดยระบบ ต้องยืนพื้นอยู่บนระบบคิด เคารพต่อมนุษย์ มนุษยธรรม ความเคารพมนุษย์เกิดไม่ได้ด้วยทฤษฎีหรอกครับ ดูวันพระพุทธเจ้าออกบวชนะครับ การที่ท่านออกบวชนั้นคือการที่ท่านเบื่อและค้นพบความเหลวแหลกของอำนาจราชศักดิ์ต่างๆ ตัดสินใจไปเดินดิน ออกมาเป็นนักพรตเร่ร่อน แสดงว่าท่านยอมรับคนธรรมดาว่าทัดเทียมกับท่านแล้ว การออกมหาภิเนษกรมณ์นั้นคือการกลับเข้าสู่ฐานของความเป็นมนุษย์จริงๆเลย อำนาจราชศักดิ์เป็นเรื่องสมมุติ เป็นเรื่องอุปโลกน์กันขึ้น"
"ถ้าระบบมีความเป็นธรรมหรือเอื้ออาทร คงไม่มีใครอยากเป็นฆาตกร เป็นมือปืน"

"ทีนี้ถ้าพูดถึงผลสืบเนื่องมาจากเหตุ เช่นมือปืนที่ฆ่าคนแล้วต้องรับโทษ เราจะมีบทปลอบใจให้กำลังใจให้เขากลับตัวได้อย่างไร ผมอยากบอกว่าออกมาจากคุกแล้วก็อย่าคิดรวยเลย ผมนึกถึงคำของมหาตมะคานธีที่ว่า ยากจนโดยสมัครใจ ถ้ายากจนโดยไม่สมัครใจนี่ทุกข์ทรมานนะ ผมอยากจะพูดว่า ชีวิตไม่ได้สำเร็จเพราะเงินทอง จริงๆ แล้วชีวิตเราสำเร็จเพราะข้าวน้ำ เราไม่ได้ต้องการข้าวน้ำ อาหารมากเลย เพียงเราเห็นความจริงอันนี้ตรงๆ เรานุ่งกางเกงวันละตัว ใส่เสื้อวันละตัว เรากินข้าววันละสองสามมื้อ แล้วเรากินทีละคำ ไม่ได้กินทีละห้าคำสิบคำ ชีวิตดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องภายใต้กระแสกระบวนการธรรมชาติ การหายใจเข้า หายใจออก และเรามีโชคชะตาร่วมกันด้วย แล้วช่วงชีวิตที่เนิบช้า สอดคล้องเป็นจังหวะจะโคนนี่เอง คือความหมายของมัน การที่เราวิ่งเริดตลอดเวลานั้นไม่ได้มีความหมายอะไรครับ การที่เราหวังจะมีเงินทองมากนั้นเป็นการวิ่งเริ่ดเตลิดเปิดเปิงไปตามความทะเยอทะยาน ขึ้นชื่อว่าความทะเยอทะยานแล้วจะสร้างขั้วต่างและแรงเหวี่ยง ความขัดแย้งในใจเรา แรงทะยานในภพชาติที่ทำให้เราเป็นทุกข์ พุทธศาสนามองว่ามีแรงชนิดหนึ่งในตัวมนุษย์ ทะเยอทะยานที่จะเป็นโน่นเป็นนี่ ที่จะเสวยนั่นเสวยนี่ นี่คือแรงทะยานในภพชาติซึ่งทำให้เกิดแล้วเกิดอีก ถ้ามองไปสู่หลายวงจรชีวิตก็เรื่องหนึ่งนะ แต่ถ้ามองในแง่ของการเกิดชั่วขณะ เหมือนที่ท่านพุทธทาสพูด เดี๋ยวเกิดเป็นสัตว์นรกบ้าง เดี๋ยวเกิดเป็นเปรตบ้าง เดี๋ยวเกิดเป็นอสุรกายบ้าง ในชั่วขณะจิต จิตเราจะเข้าสู่อันใดอันหนึ่งเสมอไป มันเหนื่อยครับ "

"ผมคิดว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ประเสริฐสุดแล้ว คือความสันโดษเป็นสุข แต่เราฟังไม่เข้าหูเอง เรากลับคิดกันว่าเงินคือความสุข เดี๋ยวนี้เปลี่ยนแปลงไปเยอะ ผมจำได้ว่าผู้ใหญ่สมัยก่อนมักให้พรว่า อยู่เย็นเป็นสุขนะลูกนะ เดี๋ยวนี้เขาให้พรกันว่าขอให้รวยๆนะ เราสูญเสียหลักในการดำเนินชีวิตที่แสนประเสริฐ ชีวิตไม่ได้ประเสริฐเพราะร่ำรวย ชีวิตที่ประเสริฐต้องมีความอิ่มในตัว ไม่อาจไปประกวดประชันกับใครได้"


ทัศนะจาก อาจารย์โกวิท เอนกชัย (เขมานันทะ)
จาก หนังสือเรื่อง ชีวิตจริงของคนรับจ้างฆ่า (มือปืน) โดย อรสม สุทธิสาคร
ที่มา
http://www.watkoh.com/kratoo/forum_posts.asp?TID=4472

ออฟไลน์ saken6009

  • อย่ากลัวคนจะมาตำหนิ แต่จงกลัวว่าตัวเองจะทำผิด อย่ากลัวที่จะรับรู้ความบกพร่องของตน แต่จงกลัวว่าตนจะเป็นคนที่ดีได้ไม่จริง
  • ก้นบาตร
  • *****
  • กระทู้: 893
  • เพศ: ชาย
  • ชีวิตของข้า เชื่อมั่นศรัทธา หลวงพ่อเปิ่น องค์เดียว
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เวรกรรมมีจริงสลดชีวิต สอง ตา ยาย
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: 27 พ.ค. 2554, 06:12:46 »
พ่อแม่เลี้ยงลูกสิบคนได้ แต่ลูกสิบคนเลี้ยงพ่อแม่ไม่ได้ 23; 23;
           
เลี้ยงดูคุณพ่อคุณแม่ ให้ท่านสุขกายสบายใจ อิ่มหนำสำราญ บุคคลนั้นจะเจริญขึ้นมากๆอย่างแน่นอนครับ
                                                                                                                                               
ขอขอบคุณท่าน ทรงกลด ที่นำบทความดีมากๆ มาให้พี่น้องศิษย์วัดบางพระได้อ่านครับ :053: :053:
 
ติดตามอยู่ครับ อ่านแล้วเพลินดีมากๆครับ และ ได้รู้ว่ากรรมติดจรวดมีจริงๆครับ :016: :053: :015:
                                                                                                                                         
(ขออนุญาตเข้ามาอ่าน ขอบคุณครับผม) :054: :054:
 
 

กราบขอบารมีหลวงพ่อเปิ่น คุ้มครองศิษย์ทุกๆท่าน ให้แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง สาธุ สาธุ

ออฟไลน์ โบตั๋นสีขาว

  • ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
  • สัตตมะ
  • **
  • กระทู้: 146
  • เพศ: หญิง
  • จะสูงจะต่ำอยู่ที่เราทำตัวจะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวเราทำ
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เวรกรรมมีจริงสลดชีวิต สอง ตา ยาย
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: 27 พ.ค. 2554, 09:14:51 »
ขอบคุณมากคะ  สำหรับเรื่องราวดีๆ  อ่านแล้ว สลดหดหู่มากคะ :090: 23; :090:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27 พ.ค. 2554, 09:16:53 โดย โบตั๋นสีขาว »
เคารพ กตัญญู บูชา หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ ทั้งครอบครัวคะ

ออฟไลน์ yout

  • อัฏฐมะ
  • ***
  • กระทู้: 1742
  • เพศ: ชาย
    • ดูรายละเอียด
ตอบ: เวรกรรมมีจริงสลดชีวิต สอง ตา ยาย
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: 27 พ.ค. 2554, 02:36:33 »
ขอบคุณครับ.............. :090: :090: :114: :090: :090:............

ออฟไลน์ sper16

  • ปฐมะ
  • *
  • กระทู้: 6
    • ดูรายละเอียด
    • อีเมล
ตอบ: เวรกรรมมีจริงสลดชีวิต สอง ตา ยาย
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: 02 ธ.ค. 2554, 01:05:41 »
น่าสงสารนะครับ