ผู้เขียน หัวข้อ: เกร็ดธรรม....ท่านชยสาโรภิกขุ (ฌอน ชิเวอร์ตัน Shaun Chiverton)...1  (อ่าน 3103 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
เกร็ดธรรมเก็บมาฝาก
ชยสาโรภิกขุ (ฌอน ชิเวอร์ตัน Shaun Chiverton)
วัดป่านานาชาติ

ตำบลบุ่งหวาย อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
๗ สิงหาคม ๒๕๔๔
 
โพสท์ในลานธรรมเสวนากระทู้ที่ 003221 โดยคุณ : กลางชล [ 9 ส.ค. 2544 ]


ภาพจาก http://d.igetweb.com/index.php?mo=3&art=73926

ความนำ :

    เมื่อสองวันก่อน ที่บริษัทฯ นิมนต์ท่านพระชยสาโร จากวัดป่านานาชาติ จ.อุดรธานีมาเทศน์ให้พนักงานฟังตอนช่วงเย็น ๆ ค่ะ นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีค่ะจากที่ใคร ๆ คาดหมายว่าจะมีผู้เข้าฟังเพียงไม่มากนัก กลับมีผู้เข้าฟังล้นห้อง ยอมยืนฟังท่านเทศน์ก็มี (เห็นแล้วก็อยากให้บริษัทจัดบ่อย ๆ) ส่วนตัวก็ไม่เคยรู้จักชื่อของท่านมาก่อนค่ะ แต่ก็ยอมรับว่าท่านน่าทึ่งทีเดียวกับการที่ท่านเป็นชาวอังกฤษโดยดั้งเดิม พูดภาษาไทยไม่ได้มาก่อนเลยและขณะเดียวกัน หลวงพ่อชาซึ่งเป็นครูของท่าน ก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เช่นกัน (ขนาดคนที่เข้าใจภาษาไทย ศัพท์และคำอธิบายยังยากสำหรับผู้เริ่มต้นเลยนะคะ) แต่ด้วยความตั้งใจและความเพียรอย่างยิ่งยวดท่านก็สามารถเข้าถึงและเป็นอีกหลักหนึ่งให้พุทธศาสนาได้จนทุกวันนี้แถมท่านยังสามารถเทศน์เป็นภาษาไทยได้อย่างเป็นธรรมชาติและน่าฟังอีกด้วยค่ะ (แต่ขณะนี้ ท่านไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสที่วัดป่านานาชาติแล้วเพราะท่านได้ปลีกลาไปเพื่อทำความเพียรส่วนตัวอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในโคราชค่ะ)จากที่ได้ฟังธรรมของท่าน ท่านฝากข้อคิดไว้หลายอย่างค่ะ เลยอยากเก็บเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาฝาก  เท่าที่เก็บจำมาได้ ท่านก็สอนประมาณนี้ค่ะ


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/chayasaro/cs-11.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 มิ.ย. 2554, 08:22:25 โดย ทรงกลด »
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว....ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา...สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา...กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
๑. จงพอใจในทุกย่างก้าว

       ถ้าลองนึกถึงตอนเราเด็ก ๆ นั่งรถไปไหนกับคุณพ่อคุณแม่ถ้านั่งรถไปแค่รังสิตอาจจะไม่เท่าไหร่ แต่ถ้านั่งไปเชียงใหม่นี่ซิ จะเฝ้าสะกิดถามอยู่นั่นแลว่า "ถึงยาง... ถึงยาง..." แม้แม่จะตอบว่า "ยังลูก" กี่ครั้ง เราก็ยังเพียรถามอยู่นั่น "ถึงรึยัง.. แม่.. ถึงรึยัง..."
นั่นก็เพราะมิได้มีจิตใจจดจ่ออยู่กับปัจจุบันการปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน จิตใจจะไปคาดคั้นรีบเร่งย่อมไม่ได้มันเป็นหนทางยาวไกล ที่เราต้องอาศัยความอดทนและความเพียรที่ต่อเนื่องสม่ำเสมอกันไป
ฉะนั้น จงค่อยเป็นค่อยไป ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับใครบางคน เห็นคนอื่นนั่งสมาธิไม่นาน แล้วบอกว่าเห็นโน่นเห็นนี่ แต่เรากลับไม่เห็นอะไรบ้าง ก็คิดว่าเราไม่ก้าวหน้า น้อยใจว่าวาสนาบารมีไม่ถึง
ขอให้เรามีสติจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน เพียรตั้งใจทำในส่วนของเราให้ดีบางทีการที่เรานั่งสมาธิไม่เห็นอะไรเลยน่าจะดีกว่าเสียอีกเพราะยิ่งถ้าเราไปเห็นโน่นเห็นนี่ ก็จะยิ่งพาลทำให้รู้สึกไปว่าเราเหนือกว่าคนอื่น เราวิเศษกว่าคนอื่น ก็รังจะเพิ่มอัตตาให้กับตัวเอง
ดังนั้น ถ้ามั่นใจว่าทางนี้ "ใช่" แล้ว ทางนี้ถูกต้องแล้ว ทางนี้ควรแล้วก็จงพอใจในทุกย่างก้าวมีสติทำทุกย่างก้าวให้ดี

จงพอใจเมื่อปฏิบัติแล้วเห็นว่าทุกข์นั้นน้อยลง จงพอใจเมื่อปฏิบัติแล้วจิตใจนั้นเบาสบายขึ้น

๒. กำจัดความรู้สึกผิดส่วนตน และมลทินในจิตใจ

     หลายคน ปฏิบัติสมาธิหรือภาวนาไม่ได้ เพราะจิตใจมีความรู้สึก "ยึด" กับความผิดพลาดในอดีตอาจจะเพราะอดีตเคยทำไม่ดีต่อคนอื่น หรือรู้สึกตนเป็นคนไม่ดีด้วยเหตุผลต่าง ๆทำให้เกิดความรู้สึกว่าตนเองมีมลทิน เป็นผู้ไม่สะอาดกระทั่งไม่เหมาะกับสิ่งดี ๆ คือ ธรรม
อาตมาอยากแนะนำให้ลองใช้พิธีกรรมเป็นเครื่องมือคนสมัยนี้อาจมองพิธีกรรมเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะไม่เห็นเป็นไปตามตรรกะแต่เราจะว่ากันแต่ตรรกะสำหรับทุกคน ทุกกรณีไปก็คงไม่ได้เพราะคนเรามีทั้งสมอง และหัวใจ บางอย่างไม่มีเหตุผล แต่ทำแล้วก็กลับมีผลให้เราสบายใจขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อพิธีกรรมนี้ก็อย่างเช่น ไปถวายสังฆทาน ทำบุญเลี้ยงพระ ฯลฯแล้วก็ปล่อยความรู้สึกผิดของตัวเราไปด้วยกันนั้นเลย แล้วเริ่มต้นกันใหม่บางคนถึงกับเปลี่ยนชื่อ แล้วก็มีผลดีขึ้นทางจิตใจอย่างไม่น่าเชื่อก็มี

     อีกอย่างหนึ่งก็คือ เราต้องรู้จักให้อภัยตนเองบางคนให้อภัยคนอื่นทำได้ แต่กับตัวเองกลับไม่ให้อภัยวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งก็คือ การแผ่เมตตาให้กับตัวเราเองแผ่เมตตาให้กับตัวเราเมื่อห้าปีก่อน สิบปีก่อน ที่เคยทำอะไรไม่ดีเอาไว้ให้อภัยตัวเราเมื่อครั้งยังมีสติเท่านั้น ยังมีปัญญาเท่านั้น ยังมี

ความเข้าใจเท่านั้นตอนนี้เราเติบโตขึ้นแล้ว มีความเข้าใจที่ถูกที่ควรขึ้นแล้วก็จงให้อภัยและแผ่เมตตาให้กับตัวเองในอดีตแล้วเริ่มต้นใหม่ด้วยทิฏฐิที่ถูกที่ควร แล้วก้าวเดินต่อไปข้างหน้า


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/chayasaro/cs-11.htm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 มิ.ย. 2554, 08:28:39 โดย ทรงกลด »

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
๓. อธิษฐานจิตด้วยความเด็ดขาด

      การตั้งจิตอธิษฐานเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยเสริมกำลังใจและสร้างความมุ่งมั่นในการเพียรปฏิบัติธรรมได้เป็นอย่างดีแต่จะต้องเป็นการตั้งจิตอธิษฐานด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวไม่ใช่การอธิษฐานแบบเปิดช่องว่างให้กิเลส
เหมือนคนที่ไปอยู่วัดและตั้งใจจะไม่ทานมื้อเย็นตั้งจิตอธิษฐานว่า "เราจะตั้งใจไม่ทานอาหารเย็นเลยตลอดเจ็ดวันนี้แต่หากทนไม่ไหวจำเป็นจริง ๆ ก็จะหยิบทานเพียงน้อยนิดเท่านั้น"แบบนี้... ก็เท่ากับว่าเปิดช่องว่างให้กับกิเลสแล้ว โอกาสไม่ทำตามมันก็มีได้มาก
หรืออย่างคนบวช พอบวชแล้วพบว่ามีความลำบากกว่าที่คิดก็เกิดความคิดนึกลังเลว่าจะสึกดี หรือจะอยู่บวชต่อดีหนอซึ่งถ้าเราตั้งใจแล้ว ความคิดที่จะสึกจะไม่ใช่ทางเลือกเลย จะไม่มีทางเลือกแบบนั้นมันมีแต่จะคิดหาหนทางเลือกว่า จะอยู่ต่อไปอย่างไร จะทำต่อไปอย่างไรให้ก้าวหน้า

เพราะฉะนั้น จะอธิษฐานจิต ก็ต้องอธิษฐานด้วยความเด็ดขาด

๔. ทุกคนมีศักยภาพที่จะ "ทำได้"

    หลายคนมัวแต่คิดว่าเราไม่มีบุญ ไม่มีบารมีเพียงพอ จึงทำไม่ได้อย่างคนอื่นแต่อาตมาเชื่อเหลือเกินว่า ทุกคนในที่นี้ต้องมีอย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต ที่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเอง อาจจะตั้งใจจะละนิสัยบางอย่างที่ไม่ดี แล้วละได้หรืออะไรที่เราไม่เคยคิดว่าเราจะทำได้ แต่แล้วที่สุดเราก็ทำได้
(ท่านทิ้งช่วงเงียบ ๆ ไว้ครู่สั้น ๆ เพื่อให้พวกเราลองนึกทบทวนกันค่ะตัวเองก็นึกย้อนตามไป ก็เห็นว่ามีอยู่ไม่น้อยครั้งจริง ๆ ในชีวิตที่เราก็สามารถเปลี่ยนตัวเองไปสู่สภาวะหรือความสามารถที่เราไม่เคยคิดว่าเราจะทำได้หรือไปถึงได้สำเร็จ)

ขอให้นึกถึงตัวเราในช่วงเวลาเหล่านั้นไว้จำไว้ว่าเราทุกคนเป็นคนที่มีศักยภาพที่จะทำอะไร ๆ ให้สำเร็จได้ถ้าเราตั้งใจจริง และทำเหตุให้เหมาะสม


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/chayasaro/cs-11.htm

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
๕. หวังความสำเร็จ แต่ยังอยากเพลินในสิ่งที่เป็นอุปสรรค?

บางคน เห็นพอจะเริ่มนั่งสมาธิก็อ้างโน่นอ้างนี่ผลัดวันไปเรื่อยทีดูหนังดูละคร กลับยอมมีเวลามีข้ออ้างให้กับกิเลสมันอย่างนี้มันไม่ได้...เราจะเอาทั้งความสำเร็จ และเพลินไปกับสิ่งที่เป็นอุปสรรคในเวลาเดียวกันมันย่อมเป็นไปไม่ได้

๖. เพียรกำจัดความคิดที่เป็น "ขยะ"

อาตมาถามจริง ๆ เถิดว่า ในที่นี้มีใครกล้ายอมรับบ้างว่าความคิดที่เกิดขึ้นในแต่ละวันของเรานั้นเกินกว่า ๑๐ % เป็นความคิดที่เรียกได้ว่าเป็นความคิดในระดับ "ปัญญา"(ห้องเงียบกริบ)

อาตมาว่า ความคิดส่วนใหญ่ของพวกเราที่เกิดขึ้นขอโทษทีเถิดนะ...  ยังเป็นความคิดที่เรียกว่า ความคิดแบบ "ขยะ"เป็นความคิดที่ฟุ้งซ่านไปด้วยกิเลสต่าง ๆ ไม่มีแก่นสารสาระ

เรารู้จักคิดได้ เราก็ต้องรู้จักระงับความคิดได้นะ อย่าให้มันมาเป็นนายเราบางคนทำงานมาทั้งวัน เลิกงานแล้ว แต่ใจก็ยังไม่ยอมวางงานกลับมาบ้านก็ยังเก็บมานั่งคิดนอนคิดต่ออยู่อีกไม่รู้จบเลิกงานแล้ว เราก็ควรต้องเลิกคิดเรื่องงานได้ มีอะไรพรุ่งนี้ก็ค่อยว่ากันใหม่ คิดกันใหม่ต่อวันรุ่งขึ้น

๗. ทำชีวิตให้มีแต่ "หน้าที่" แล้วจะไม่มี "ภาระ"

ท่านพุทธทาสเคยเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่งว่า เคยมีคนไปเยี่ยมเยียนท่านมาครั้งแรกนั้น ก็สังเกตเห็นอาคารใกล้ ๆ กำลังสร้างอีกสามปีต่อมา กลับมาเยี่ยมอีกครั้ง อาคารก็ยังคงก่อสร้างอยู่ผู้มาเยือนจึงกล่าวขึ้นว่า "อาคารนี้ยังไม่เสร็จอีกนะครับ"หลวงพ่อท่านกลับตอบว่า "เสร็จแล้ว""เท่าที่สร้าง เสร็จแล้ว"
(ท่านพระชยาสาโรบอกว่า) ให้รู้จักมองให้เป็นเรื่อง ๆ รู้จักทำให้เสร็จเป็นขั้น ๆ ไป อย่ามัวแต่ไปกังวลว่า โอย.. ยังมีงานค้างอีกตั้งเท่าไร ๆ สิ้นวันที ทำเท่าไหร่ก็ไม่เสร็จเสียที มีแต่ความรู้สึกเป็นหนี้แต่จงมองงานให้เป็นเรื่อง ๆ วันนี้เสร็จอะไรไปบ้างแล้ว พรุ่งนี้จะทำอะไรต่อ

มีสติอยู่กับทุกเรื่องที่ทำ รู้จักเดินทีละก้าว
รู้จักบริหารชีวิตให้เป็นแล้วชีวิตจะมีแต่คำว่า "หน้าที่" ไม่มี "ภาระ" เลย


๘.ไม่มีครับ ไม่เห็นเลย สงสัยว่า ควรปล่อยวางและปล่อยว่าง :054:

๙. แก้ความสงสัยด้วยการปฏิบัติ

บางคนมีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับการปฏิบัติ เพียรถามคนนั้นคนนี้ตรงนี้ ท่านอาจารย์ชาเคยกล่าวสอนเอาไว้อย่างหนึ่งว่า
"ความสงสัยในการปฏิบัติธรรมไม่เคยหายไปด้วยคำพูดคำอธิบายของคนอื่นแต่มันจะหายไป ก็ด้วยการปฏิบัติของตนเอง"
 
ก็เป็นเกร็ดธรรมที่เก็บมาฝากค่ะเอามาฝากไว้เป็นข้อคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับเพื่อนผู้กำลังพยายามว่ายทวนกระแสไปเหมือน ๆ กันค่ะ


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/chayasaro/cs-11.htm

ออฟไลน์ ทรงกลด

  • ผู้อาวุโส
  • *****
  • กระทู้: 2199
  • เพศ: ชาย
  • ศิษย์หลวงโด่ง.....
    • ดูรายละเอียด
ประวัติโดยย่อ  นามเดิม ฌอน ชิเวอร์ตัน ( Shaun Chiverton )

พ.ศ. ๒๕๐๑ เกิดที่ประเทศอังกฤษ
พ.ศ. ๒๕๒๑ ได้พบกับท่านอาจารย์ สุเมโธ ที่วิหารแฮมสเตด ประเทศอังกฤษ ถือเพศเป็นอนาคาริก (ปะขาว) อยู่กับท่านอาจารย์ สุเมโธ เป็นเวลา ๑ พรรษา แล้วเดินทางมายังประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๒๒ บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
พ.ศ. ๒๕๒๓ อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดหนองป่าพง โดยมีหลวงพ่อชา สุภัทโท (พระโพธิญาณเถร) เป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ. ๒๕๔๐-๔๔ รักษาการณ์เจ้าอาวาส วัดป่านานาชาติ จ.อุบลราชธานี
ปัจจุบัน พำนัก ณ สถานพำนักสงฆ์ จังหวัดนครราชสีมา
ท่านพระอาจารย์ ชยสาโร เป็นชาวอังกฤษ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่แสดงธรรมเทศนาโดยใช้ภาษาไทยได้อย่างสละสลวยเข้าใจง่าย คติธรรมนี้รวบรวมจากธรรมเทศนาของท่าน จึงนำมาเผยแผ่เพื่อผู้สนใจในธรรมะ


ที่มา
http://d.igetweb.com/index.php?mo=3&art=73926