หมวด ธรรมะ และ นอกเหตุ เหนือผล > ประสบการณ์วิญญาณ

ตายแล้วไปไหน โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง

(1/2) > >>

ทรงกลด:
ตายแล้วไปไหน โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง (1)




คราวนี้ก็จะได้นำเรื่องตายแล้วไปไหนมาเล่าอีกตามเคย เรื่องที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นเรื่องของพระที่ป่วยแล้วตาย เมื่อตายแล้วได้มีโอกาสพบเห็นทางที่มีความสุขและความทุกข์ ที่เรียกว่านรก สวรรค์ และนิพพาน ท่านเจ้าของเรื่องท่านรับรองว่าเป็นความจริงทุกประการ


ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะสงสัยว่า สวรรค์ นรก นั้นเป็นเรื่องที่น่าจะมีได้ แต่คำว่า นิพพานนี้ ตามที่เข้าใจกันตามตำราว่ามีสภาพสูญ คือสลายตัว ไม่มีอะไรเหลือ ความคิดเห็นนี้เป็นความเข้าใจของนักศึกษาทางศาสนามานานแล้ว แต่เมื่อมาพบเรื่องมีผู้ไปนิพพานเข้า ท่านอาจจะสงสัยว่าเรื่องกุขึ้น หรือเป็นอารมณ์ฝัน ตามที่ทางวัดเรียกว่าอุปาทาน คือยึดถือเกินไป เรื่องนี้จะมีอะไรเป็นเหตุผล ควรเชื่อหรือไม่เพียงใด ก็ขอยกให้เป็นภาระของท่านผู้อ่าน สำหรับผู้เล่าเรื่องนี้ขอเล่าตามที่ได้รับฟังมา


เรื่องที่จะนำมาเล่าต่อไปนี้ รับฟังมาจาก พระธนะศิริ กันตะศิริ พระวัดราชประดิษฐ์ จังหวัดพระนคร เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๗ เรื่องราวของท่านมีดังนี้

เมื่อปี ๒๔๘๘ ท่านมีอายุ ๑๙ ปี ท่านตายไปครั้งหนึ่ง และ พ.ศ. ๒๔๙๗ ท่านตายอีกครั้งหนึ่ง รวมการตายของท่านที่ตายแล้วฟื้นในชีวิตของท่านสองครั้งด้วยกัน เมื่อสมัยท่านอายุ ๑๙ ปี ท่านได้ติดตามญาติของท่านคนหนึ่งไปอยู่ทางภาคอีสานของประเทศไทย ท่านไม่ได้บอกไว้ว่าจังหวัดไหน เมื่อท่านเล่าให้ฟังก็มัวสนใจเรื่องที่ท่านเล่าให้ฟัง ไม่ได้ถามว่าจังหวัดไหนแน่ เอากันว่าท่านอยู่ภาคอีสานชั่วคราวก็แล้วกัน

วันหนึ่งท่านมีอาการปวดฟัน เนื่องจากโรคฟันหรือเหงือกเป็นฝี ที่เรียกว่าโรครำมะนาด ท่านมีอาการปวดมากจนเหลือที่จะทน ท่านจึงไปหาหมอรักษาและทำฟันที่ตั้งร้านรับรักษาและทำฟันในตลาดใกล้ ๆ บ้าน เพื่อให้หมอถอนฟันซี่นั้นออก เมื่อหมอถอนฟันแล้วท่านก็กลับบ้าน หมอที่ถอนฟันเป็นหมอจีน พวกหมอจีนนี้รู้สึกว่ามีวิชารอบรู้มาก มาถึงเมืองไทยแล้วเป็นทุกอย่าง เป็นช่างตัดผมก็ได้ ช่างทองก็เป็น ช่างปรุงอาหารให้คนไทย ทั้ง ๆ ที่อาหารที่คนไทยชอบแกก็ไม่ชอบกิน แต่แกก็สามารถทำให้คนไทยกินพากันติดอกติดใจในฝีมือปรุงอาหารของแก เป็นหมอปลูกฟัน หมอถอนฟัน หมอเสริมทรงเสริมสวย

เรื่องความสามารถของชาวจีนนี้เราทราบกันดี ไม่ว่าที่ไหนที่คนไทยด้วยกันเข้าไม่ถึง พี่แกเข้าถึงทุกด้าน ปริญญาที่ชาวจีนเรียนมานี้ คือปริญญาสามารถโดยไม่ต้องเข้ามหาวิทยาลัย น่าจะขอเรียนต่อจากแกบ้าง จะเป็นประโยชน์มาก

เอาแล้ว ว่าจะเล่าเรื่องของท่านศิริ แอบมายุ่งเรื่องเจ๊กให้อีก ขออภัยท่านผู้อ่านด้วย มาว่ากันเรื่องของท่านศิริต่อไป เมื่อท่านมาถึงบ้านแล้ว ก็เข้ามาพักตามปกติ (ท่านว่าอย่างนั้น) ครั้นเมื่อถามว่า อาการปวดหายสนิทดีแล้วหรือ ท่านบอกว่าปวดบ้างแต่ไม่มาก รู้สึกปวดเล็กน้อย มันปวดตุบ ๆ นิดหน่อย มีอาการคล้ายจะง่วงนอน ก็เลยเอนกายลงนอน ปรากฎเหมือนมีอะไรวิ่งซู่ซ่าตามมือและเท้า จะว่าลมพัดก็ไม่ชัด ว่าพิษความปวดก็ไม่เชิง มีอาการคล้ายมีตัวอะไรสักอย่างหนึ่ง วิ่งจากปลายเท้าและปลายมือ เข้ามารวมจุดกันที่หัวใจ ก็มีอาการคล้ายเคลิ้มหลับ แต่ไม่ใช่หลับสนิท มีอาการเหมือนฝัน

ตามความรู้สึกในขณะนั้น รู้สึกว่าตนเองนอนอยู่ในสภาพเดิมที่นอนอยู่ แต่ทว่าถูกปลุกให้รู้สึกตัวขึ้นด้วยน้ำมือของชายสองคน ชายสองคนนี้มีรูปร่างใหญ่โต ผิวดำล่ำสัน คนหนึ่งยืนอยู่ทางด้านศีรษะ อีกคนหนึ่งยืนอยู่ทางด้านปลายเท้า คนที่ยืนทางด้านศีรษะถือคบเพลิงทองเหลืองจุดแสงสว่างมาก ทั้งสองคนนั้นประมาณอายุก็เห็นจะราว ๆ ๓๐ ปี ทั้งคู่ เขาทั้งสองออกปากชวนว่า

 
“ไปกันเถอะ” ท่านถามว่า “จะไปไหน” เขาก็ชวนว่า “ไปเถอะน่า ไปด้วยกัน”


เมื่อเขาชวน ความจริงตามความรู้สึกแล้วก็ไม่อยากไปกับเขา แต่ดูเหมือนมีอำนาจอะไรในตัวเขาทำให้ท่านต้องลุกจากที่นอน แล้วก็เดินตามเขาไปอย่างคนว่าง่าย เมื่อท่านเดินตามเขาออกจากบ้าน คนที่ยืนทางด้านศีรษะเป็นคนถือคบเพลิงนั้น บอกกับเพื่อนเขาว่า

“นี่ไอ้เกลอ เอ็งนำไปคนเดียวก็แล้วกันนะ มันคนเดียวและยังเป็นเด็กคงไม่หนีหรอก ส่วนข้าจะไปธุระที่อื่นสักครู่”

เพื่อนเขารับคำแล้วเขาก็แยกทางไป ไม่ทราบว่าเขาไปไหน ท่านเล่าว่า เมื่อขณะที่ถูกคุมตัวมานั้น คนคุมเขาไม่ได้ดุด่าว่าหรือฉุดกระชากลากตัวแต่อย่างใด เขาให้เดินตามเขาไปตามปกติ พอถึงทางสามแพร่ง ตอนนี้ท่านชักไม่ไว้ใจตัวเอง เกรงว่าจะกลับบ้านไม่ถูก เมื่อเข้าถึงทางแยก ท่านพยายามสังเกตุทางที่เดินไว้ทุกระยะ ทั้งนี้เพื่อว่าเมื่อเวลากลับจะได้ไม่หลงทาง พยายามเหลียวซ้ายแลขวาไว้เสมอ


ที่มา
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=22898.0

ทรงกลด:
ตายแล้วไปไหน โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง (2)


เมื่อเดินไกลมานิดหน่อยก็เหลียวหลังเพื่อดูต้นทางที่ผ่านมา เมื่อเหลียวมาข้างหน้าก็แลเห็นประตูใหญ่ที่ตั้งอยู่ที่กำแพงใหญ่มหึมา เมื่อผ่านประตูเข้าไปเห็นศาลาคล้ายศาลาวัด มีพระกำลังเทศน์ มีคนฟังทั้งชายและหญิงไม่กี่คน ท่านก็นั่งลงยกมือพนม คิดถึงคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เมื่อผ่านสถานที่นั้นไปแล้วก็เข้าไปประตูชั้นที่สอง เขาพาไปยืนอยู่ข้างบันไดตึกเตี้ยๆ เขาบอกว่า
 
“ไอ้หนู เอ็งยืนอยู่ตรงนี้ก่อนนะ คอยฉันอยู่ตรงนี้”


ขณะนั้นเขาคือคนที่มารับก็ยืนอยู่ด้วย คล้ายกับว่าจะคอยใครสักคนหนึ่ง สักครู่หนึ่งก็มีชายรูปร่างสูงใหญ่แต่งเครื่องแบบคล้ายทหารโบราณ มีหลายคนด้วยกัน บางคนถือหอก บางคนถือขวาน เข้าแถวมายืนขนาบท่านอยู่ทั้งสองข้าง ปรากฎว่าทั้งหมดตามที่เขาจำได้มีจำนวน ๖ คน คือคนถือหอก ๓ คน ถือขวาน ๓ คน เขาเข้ามายืนขนาบสองข้างท่าน ตอนนี้ท่านเล่าว่ารู้สึกกลัวขึ้นมา เพราะอยู่ๆ ก็เกิดมาคุมตัวกันเฉยๆ ไม่ยอมแจ้งข้อหาเสียด้วย ไม่เหมือนตำรวจเมืองไทยหรือเมืองจีน เมืองแขกฝรั่งก็คงจะเหมือนๆ กัน คือเมื่อก่อนจะจับเขาต้องแจ้งข้อหาก่อน เป็นต้นว่า

“นี่ไอ้หนู เธอมีความผิด เพราะเมื่อสามสิบปีก่อนโน้นเธอด่าฉัน”


ถ้าเราบอกว่า “เมื่อสามสิบปีก่อนโน้น ผมยังไม่เกิดครับ ผมจะด่าท่านได้อย่างไร”

เขาก็อาจจะแจ้งข้อหาที่สมควรใหม่ในทำนองว่า “เธอยังไม่เกิด ด่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็พ่อเอ็งด่าข้านี่หว่า”

ถ้าจะแก้ตัวว่า “เรื่องของพ่อทำไมผมจึงจะต้องรับผิด”

เขาก็อาจจะตอบตามหลักการของนักกฎเกณฑ์ว่า “ ก็ทีสมบัติเอ็งทำไมยังมีสิทธิรับมรดก ทีเรื่องความผิดเอ็งจะไม่ยอมรับไม่ได้ ข้าต้องจับ”


นี่ว่ากันตามประเพณีเมืองมนุษย์ เมื่อจะจับกันเขาก็ต้องแจ้งข้อหาก่อน แต่เมืองผีนี่แปลก อยู่ ๆ ก็มาชวนไป เมื่อไปแล้วก็ไม่บอกว่าจะให้ไปทำไม ไปไหนก็ไม่บอก เมื่อถึงสถานที่แล้วก็ส่งตำรวจผีออกมายืนคุมเอาดื้อ ๆ แปลก ท่านที่ยังไม่เคยตายต้องระวังไว้ เรื่องตายนี้หนีไม่พ้นแน่ ไม่ต้องไปหาฤาษีหรือเทวดาองค์ใดช่วยหรอก เทวดาท่านก็ตายจากคนไปเกิดเป็นเทวดา ฤาษีท่านก็กำลังรอความตายที่เข้ามาเล่นงานท่านอยู่ทุกขณะลมหายใจเข้าออก แล้วท่านยังคิดว่าท่านจะไม่ตายอย่างนั้นหรือ

เรื่องของความตาย ฟังท่านที่ตายเล่าให้ฟังรู้สึกไม่หนักใจ เพราะคนตายมีอาการคล้ายหลับแล้วฝัน แต่ไม่ดีอยู่หน่อย ตอนที่ตายแล้วมีการลงโทษ เมื่อรับโทษ ความรู้สึกเจ็บนี่สิไม่น่าตาย

คนที่ตายเพื่อหลบหนีเจ้าหนี้ต้องระวังไว้ หนีเจ้าหนี้เมืองมนุษย์นั้นหนีได้ อย่าคิดว่าจะหนีกฎของกรรมที่ตำรวจผีเป็นผู้มีอำนาจควบคุมได้  


ที่มา
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=22898.0

ทรงกลด:
ตายแล้วไปไหน โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง (3)



เมื่อท่านเห็นคณะทหารโบราณ หรือนัยหนึ่งที่ท่านเรียกว่าทหารพระยายม มายืนเข้าแถวเป็นกองเกียรติยศอย่างนั้น ท่านรู้สึกหวาดกลัวมาก แต่ก็ไม่มีทางใดที่จะหนีได้ ก็จำต้องยืนให้หน่วยทหารตั้งแถวขนาบตามความพอใจ ครั้นมองไปข้างหน้า เห็นบริเวณนั้นที่มีรูปคล้ายเวทีละคร มีม่านสีดำกั้นอยู่ เหมือนกับฉากโรงมหรสพ เมื่อม่านถูกรูดออก แลเห็นเก้าอี้ตั้งอยู่สามตัว มีชายคนหนึ่งถือบัญชีมีรูปคล้ายสมุดข่อยเดินออกมา แล้วนั่งเก้าอี้ตัวที่หนึ่ง พอแกนั่งแล้วแกก็ไม่พูดกับใคร แกเปิดบัญชีตรวจอยู่คนเดียว ทุกคนในที่นั้นเงียบสงัด เขาตรวจสอบบัญชีอย่างพิถีพิถัน สักครู่หนึ่งชายอีกคนหนึ่งก็เดินออกมานั่งเก้าอี้ตรงกันข้าม คนนี้มือไม่ได้ถืออะไร มาเฉยๆ แล้วคนที่สามก็เดินออกมา คนนี้รูปร่างใหญ่กว่าทุกคน แต่งตัวภูมิฐานกว่าสองคนนั้น ดูท่าทางเป็นคนมีอำนาจ ออกมานั่งเก้าอี้ตัวกลางทำท่าทางเหมือนตุลาการ พอนั่งเรียบร้อย แกก็เริ่มเทศนาโปรดโดยไม่ต้องมีใครนิมนต์

พระเทศน์หรือคนแสดงปาฐกถายังต้องหาคนนิมนต์หรือได้รับเชิญ นี่ว่ากันตามระเบียบเมืองมนุษย์ แต่ที่เมืองผีนี่ไม่ต้องเชิญ แกออกมานั่งได้ก็เทศน์ทันที แต่ทว่าลีลาการเทศน์ของแกไม่เหมือนพระที่เคยได้ยิน พอเริ่มอารัมภบท แกก็เอาเรื่องของท่านศิริมาว่าเลย แกหันหน้ามาทางท่านศิริ แกก็เริ่มด้วยคำว่า

“เอ็งนี่ เป็นคนใจบาปหยาบช้ามาก เมื่อตอนเป็นเด็กเคยเอาก้อนดินขว้างลูกไก่ตาย”

พอท่านนักเทศน์สาธารณะท่านเริ่มแสดงออกมาอย่างนั้น ท่านเล่าว่าสมองของท่านมันมีความรู้สึกจดจำเหตุการณ์ตามที่ท่านนักเทศน์เมืองผีขึ้นมาได้ เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อสมัยเป็นเด็กยังอายุน้อยประมาณ ๙ หรือ ๑๐ ปี ตอนนั้นเล่นกับเพื่อน เห็นลูกไก่เดินมา ด้วยความคะนองเอาก้อนดินขว้างไป พอดีถูกลูกไก่ตาย ด้วยใจจริงแล้วไม่คิดจะฆ่า ทำเพื่อหวังการหยอกเย้าด้วยความคะนองเท่านั้น เมื่อความจำปรากฎก็อดสงสัยไม่ได้ คิดในใจว่า เราทำกรรมมาเกือบสิบปีแล้ว และเราก็ทำที่เมืองมนุษย์ ทำไมตาผีใหญ่คนนี้จึงรู้ได้

เมื่อเห็นเขาทราบตามความจริงโดยไม่ต้องบอก ก็ชักหวาดหวั่นใจ พอนึกเท่านั้น ท่านตุลาการใหญ่เมืองผีก็หันมายิ้มอย่างเมตตา แล้วพูดว่า
 
“เอ็งไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะทำดีหรือชั่วในที่ลับตาคนหรือทำที่ไหน ๆ ก็ตาม ทางเมืองผีนี้รู้ทุกอย่าง ไม่มีทางปกปิดได้”

เมื่อได้ยินเขาพูดและตรงตามที่ใจนึก ก็สงสัยใหญ่และหวาดหวั่นมากขึ้น คิดว่าเขารู้อาการความนึกคิดได้อย่างไร พอนึกเท่านี้แกก็หันมาพูดว่า
 
“รู้ใจคนและสัตว์ได้เสมอ เพราะพวกเราทำบุญมาพอ”

แล้วท่านเทศน์ต่อไปอีกมากมาย ตอนนี้ไม่ตรงตามความเป็นจริง เมื่อท่านนักเทศน์หรือพระยายมเทศน์จบ ท่านก็ค้านทันที โดยรายงานว่า

“ข้อแรกที่ท่านว่า ข้าทำไก่ตายเมื่อเป็นเด็กเล็ก ข้อนั้นเป็นความจริง ส่วนข้อกล่าวหานอกนั้นไม่มีความจริงเลย ข้าไม่เคยชั่วหยาบอย่างนั้น”

เมื่อท่านศิริท่านคัดค้านขึ้นมา คราวนี้ก็เกิดความวุ่นวาย แทนที่เขาจะหวนกลับมาดุหรือตวาดแหวๆ อย่างท่านนักสอบสวนขี้โมโหทั้งหลาย แกกลับหันหน้าไปหานายบัญชีคนที่ดูตำราตลอดเวลา แล้วถามว่า
 
“นี่เรื่องมันยังไงกัน คนที่ให้ไปเอามานั้นอายุเท่าไร”

นายบัญชีเรียนว่า “อายุ ๑๓ ปีเจ้าค่ะ”

ท่านตุลาการใหญ่ (ขอเรียกว่าพระยายม ตามศัพท์ทางศาสนา) หันมาถามท่านศิริว่า

“นี่พ่อหนู เวลานี้เธออายุเท่าไร”

ที่มา
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=22898.0

ทรงกลด:

ตายแล้วไปไหน โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง (4)

แปลกใจนิดหนึ่ง ที่แกเทศน์เอา ๆ แล้วแทนที่แกจะคิดว่าท่านศิริเป็นศัตรูที่ท่านคิดจะลงโทษ โดยที่จะผิดหรือไม่ผิดก็ลงโทษ เพราะไหน ๆ ก็ได้ลงทุนลงแรงจับมาแล้ว แกไม่เป็นเช่นนั้น พอค้านว่าไม่ใช่อย่างนั้น กรรมชั่วนอกจากขว้างไก่ตายไม่เคยทำอะไรเท่านั้น ใบหน้าที่เคยเห็นเข้มข้นน่ากลัว ก็กลายเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเมตตาปรานี น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็แสดงออกให้เห็นว่าเมตตาอย่างสุดซึ้ง ทำให้มีกำลังใจขึ้นอักโข เมื่อท่านหันมาแล้วถามถึงอายุปัจจุบัน ได้เรียนท่านว่า

“ขณะที่เขาไปเอานี้อายุ ๑๙ ปีเศษ แต่ชื่อไปตรงกับคนที่เขาให้ไปเอามา”

ตอนนี้ท่านพระยายมตกใจมาก ท่านรีบเรียกคนที่ไปรับมาว่า

“เจ้านี่ชุ่ยมาก ทำไมไม่ตรวจตราดูให้ดี ไปจับผิดจับถูกอย่างนี้มีความเสียหายมาก ต้องรีบเอาตัวเขาไปส่งโดยเร็ว ถ้าทางบ้านเขาจัดการเผาร่างกายหรือเอาไปฝังจะมีเรื่องใหญ่ ต่อไปต้องทำงานด้วยความระมัดระวัง ถ้าขืนทำชุ่ย ๆ แบบนี้อีกจะถูกลงโทษอย่างหนัก”

เรื่องนี้เป็นบทเรียนอีกอย่างหนึ่งว่า เรื่องชุ่ย ๆ นี้ไม่ใช่จะมีแต่เมืองมนุษย์เท่านั้น เมืองผีก็ชุ่ยเหมือนกัน ต่างกันอยู่นิดหนึ่งที่เมืองผียอมรับนับถือผลประโยชน์ของจำเลย เมื่อจับไปแล้วปรากฎว่าไม่มีความผิด เพราะจับตัวผิดก็ไม่ขังฟรีเพราะสอบสวนไม่สำเร็จ และไม่ลงโทษตามอารมณ์ เหมือนเมื่อสมัยอินโดจีนเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส สมัยนั้น ถ้าลงชาวเมืองขึ้นถูกจับแล้ว ถ้าสอบสวนจำเลยหรือผู้ต้องหาไม่รับ เขาจะสั่งขังคุกขี้ไก่หรือตอกเล็บ คือเอาเหล็กตอกสวนปลายเล็บเข้าไป แล้วมีวิธีการต่าง ๆ เป็นการทรมานให้ยอมรับ ผู้ต้องหาทนการทรมานไม่ไหวก็ต้องจำยอมรับผิดทั้ง ๆ ที่เขาผู้นั้นไม่มีความผิด

ที่พูดนี้ ไม่ใช่จะยุท่านให้เกลียดฝรั่งเศสหรือเกลียดใครในเมืองมนุษย์ เพียงแต่เอามาเปรียบเทียบกันว่า ใครจะมีความเที่ยงตรงมากกว่ากัน เรื่องของท่านศิรินี้แสดงให้เห็นว่า เมืองผีมีความยุติธรรมมากกว่าเมืองมนุษย์ ถ้าท่านสงสัยก็ไม่ต้องพยายามสอบสวน เพราะอีกไม่นานอย่างช้าไม่เกินร้อยปี ทุกท่านก็ต้องไปเมืองผีเหมือนผู้เล่า มาว่าเรื่องของท่านศิริต่อไป เมื่อท่านพระยายมผู้น่าเคารพที่เต็มไปด้วยความยุติธรรม และเปี่ยมไปด้วยความเมตตาปรานี ได้สั่งให้คนนำกลับมาส่งตอนจะออกเดิน ท่านสั่งว่า

“นี่เจ้าโคล่ ก่อนที่จะนำเขาไปส่ง ไหน ๆ เขาก็ได้มีโอกาสมาในที่นี้แล้ว พาเขาชมการลงโทษคนที่สร้างความชั่วไว้สมัยเมื่อเป็นมนุษย์ เพื่อจะได้ทราบตามความเป็นจริงว่า คนที่เกิดมาแล้วมีความประมาท ไม่คิดว่าตัวจะตาย ทั้ง ๆ ที่คนอื่นเขาตายให้เห็นเป็นปกติ แล้วประกอบกรรมทำความชั่ว ไม่เคารพในทาน ศีล ภาวนา ต้องมีโทษทัณฑ์อย่างไรบ้าง พาเขาไปชมให้ทั่ว แล้วจึงค่อยนำเขาไปส่ง”

เมื่อท่านมีบัญชาให้นายตำรวจผีนำท่านไปชมแล้ว ท่านศิริเล่าให้ฟังต่อว่า ท่านพระยายมท่านหันมาพูดด้วยอัธยาศัยไมตรีเป็นอย่างดี ท่านสั่งมาว่า

“คนทุกคนเมื่อสิ้นลมปราณตายจากมนุษย์แล้ว ต้องผ่านมาเพื่อให้สอบสวนก่อน ทั้งนี้เว้นไว้แต่ท่านที่อารมณ์เข้าถึงระดับฌานและตายในฌาน ท่านพวกนั้นไม่ต้องผ่านการสอบสวน เมื่อออกจากร่างมนุษย์แล้วก็ไปสู่สถานที่สมควรคือสวรรค์หรือพรหมทันที คนที่เกิดเป็นมนุษย์สร้างแต่ความดี คือทำบุญกุศลมากก็จะมีโอกาสได้รับความสุข และได้กลับไปเกิดเป็นมนุษย์เพื่อสั่งสมบารมีเร็วเข้า ถ้าสร้างแต่ความชั่วก็จะถูกทรมาน นานมากกว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะชดใช้กรรมชั่วที่ตัวทำไว้กว่าจะสิ้นกฎของกรรม”


ท่านได้กรุณาสั่งว่า

“เธอ ต่อไปเมื่ออายุได้ ๒๗ ปี เธอจะต้องตายจากมนุษย์เพราะครบกำหนดตามเวลาที่เจ้าจะเกิดเป็นมนุษย์ เจ้าจงอย่าทำกรรมชั่วใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าขืนสร้างกรรมชั่ว จะต้องถูกลงโทษตามกฎของกรรม”

เมื่อท่านสั่งเสร็จ ก็มีบัญชาให้นายตำรวจผีนำไปชมการลงโทษชาวเมืองนรก ท่านนายตำรวจผีแสนจะชุ่ย เพราะจับท่านไปอย่างไร้การพิจารณา ก็พาท่านขึ้นไปบนตึกสามชั้น บนตึกนั้นมีห้องเป็นลูกกรงเหล็ก มีคนถูกขังอยู่มากมาย แต่เงียบสงัดหาเสียงพูดไม่ได้เลย ตอนนี้เป็นที่น่าเสียดายอยู่หน่อยหนึ่งที่ท่านศิริบอกให้ทราบขณะที่เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นท่านไม่มีกำลังใจจะดูอะไรเลย มีความหวาดกลัวเป็นกำลัง มีความประสงค์อย่างเดียว คืออยากให้คนที่เขาพามาส่งนั้น ส่งให้ถึงที่อยู่อย่างเดียว เขาจะเตือนว่าท่านพระยายมกรุณาให้ชมก็ควรชมให้ตลอด เพราะยากนักที่จะได้มาเห็นตามความเป็นจริง แต่ท่านก็ไม่ยอมเพราะคิดถึงบ้านและญาติพี่น้องจนเหลือทน

ที่มา
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=22898.0
มีต่อ

ทรงกลด:
ตายแล้วไปไหน โดยหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง (5)

เรื่องของผีที่ตายจากความเป็นคน แล้วคิดถึงห่วยใยคนที่มีชีวิตอยู่นี้ ท่านคงจะทราบจิตใจของผีแล้วว่า ทุกคนที่ตายจากความเป็นคนแล้ว ไม่มีใครลืมสภาพเมื่อยังไม่ตาย และเรื่องการตายที่คิดว่าสิ้นทุกข์ก็ไม่ตรงตามความเป็นจริง ทุกเรื่องที่ท่านอ่านมาแล้ว ท่านเคยเห็นไหมว่ามีเรื่องใดบ้างที่คนตายไปแล้วมีสภาพสลายตัว ไม่มีความรู้สึกเย็นร้อนทุกข์สุข หาไม่ได้เลย ทุกท่านที่ตายแล้วกลับฟื้นคืนมา หรือตายแล้วเกิดใหม่ ทุกท่านรายงานเหมือนกันหมดว่า ทุกอย่างมีสภาพตามเดิม หมายถึงความรู้สึกของจิตใจ มีสุขมีทุกข์เหมือนเดิม

ที่ว่าตาย ก็ปรากฎว่าตายแต่สังขารร่างกาย อีกส่วนหนึ่งกลับมีสังขารร่างกายใหม่เกิดขึ้นมาทดแทนร่างกายเดิม มีทุกอย่างเหมือนกัน ความรู้สึกก็เท่าเดิม มีทุกข์มีสุขเหมือนกัน ท่านอ่านแล้วท่านสงสัยหรือไม่ว่า เจ้าสังขารที่มีมาแทนสังขารที่สิ้นลมปราณแล้วนั้นมันมาจากไหน ถ้าสงสัยก็คิดเอาเพียงง่าย ๆ ว่า เมื่อเวลาที่ท่านนอนหลับ แล้วฝันว่าไปทางไหนทำอะไร มันมีร่างกายตามสภาพเดิม ทำอะไรได้ทุกอย่าง มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนสังขารที่นอนหลับปุ๋ยอยู่นั้นทุกอย่าง สังขารอันนั้นมันมาจากไหน ถ้ายังสงสัยก็ต้องขอผ่านไปก่อน


ตอนนี้พูดถึงเรื่องของท่านศิริต่อไป เพราะเรื่องของท่านยังไม่จบ ท่านยังจะตายให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบถึงการตายวาระที่สองต่อไป ท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อท่านขอร้องให้นายตำรวจผีมาส่งท่าน เขาก็ไม่ขัดใจ เขาพาเดินมาเพื่อส่งให้ถึงบ้าน เมื่อเดินได้เล็กน้อย เขาก็บอกว่า

“ต่อไปนี้เธอไปเองเถิด อีกไม่ไกลก็ถึงบ้าน”

ท่านบอกว่า ท่านพยายามขอร้องให้เขาเดินมาส่งอีก เขาไม่ยอม เขาบอกว่า

“เดินไปเถอะ ประเดี๋ยวก็ถึง”

ว่าแล้วเขาก็หันหลังกลับ ท่านไม่รู้จะขอร้องให้เขาพาไปส่งได้อย่างไร ก็ตั้งใจหันกลับเพื่อจะเดินทางต่อไป ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าทางที่จะไปบ้านนั้นไปทางไหน พอหันหลังหวังจะเดินต่อไป ก็ปรากฎว่าเท้าไปสะดุดรากไม้เข้า ท่านล้มลง ต่อนั้นก็มีอาการคล้ายหวิวเหมือนตกจากที่สูง แล้วก็รู้สึกตัวว่ามาปรากฎอยู่ในร่างเดิม มีอาการคล้ายหลับแล้วฝันไป และตื่นขึ้นมา เมื่อลืมตาขึ้น เห็นคนที่บ้านมีพี่สาวหลายคน ทุกคนมีอาการคล้ายร้องไห้ เมื่อเห็นท่านรู้สึกตัว ต่างก็พูดว่า

“ฟื้นแล้ว ๆๆ”

เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมา ท่านว่ารู้สึกกระหายน้ำมาก ขอน้ำเขาดื่ม และหิวข้าวเป็นกำลัง ได้ขออาหารมารับประทาน รู้สึกว่าอาหารมื้อนั้นอร่อยมาก อาการที่ปวดฟันก็หายไปสิ้น ไม่มีอาการเจ็บหรือปวดเลย ต่อมาก็ได้เล่าเรื่องที่ผ่านมาให้ทุกคนฟัง ทุกคนต่างพากันแปลกใจและดีใจที่ท่านไม่ตาย ตอนนี้เป็นการตายครั้งแรก ยังมีการตายวาระที่สองต่อไป

เมื่อท่านอายุ ๒๗ ปี ๕ เดือน ท่านต้องตายตามคำที่ท่านพระยายมบอกว่า เรื่องตายตามกำหนดนี้ นี่น่าคิดมากเพราะตามเรื่องของบุญชู ก็มีคนตายตามกำหนดที่เขาบอกมา มารายนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน ดูเหมือนว่าคนและสัตว์ที่เกิดมาแล้วนี้ ไม่มีอะไรเป็นของตัวเลย ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในอำนาจของกรรมหรือตามบัญชาของท่านที่มีอำนาจเหนือ ที่เราชอบเรียกว่าพญามัจจุราช หรือพระกาล เมื่อถึงวาระแล้วไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ แม้แต่ศาตราจารย์นักคิดทั้งหลายที่นิยมคิดฝืน คือคิดไม่อยากให้แก่ ไม่อยากป่วย ไม่อยากตาย ทุกท่านคิดได้อย่างอิสระเสรี แต่ว่าผลที่ท่านคิดนั่นสิ ไม่มีอะไรสมหวังเลย ท่านเองนั่นแหละในที่สุดก็หัวหงอก ฟันหัก สิ้นความผ่องใส แล้วก็ตายในที่สุด 

ที่มา
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=22898.0
มีต่อ

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

Go to full version